“ใหดูจติ เคลือ่ นไหวเหมือนดูหนังดูละคร ใหดจู ติ เคลือ่ นไหวอยาหวัน่ ไหวตามจิต
จิตไมมตี ัวตน
แตสามารถกลิ้งกลอกหยอกลอใหคลอยตาม เมือ่ เรารูเทาทัน ใจเราก็จะสงบ สูงขึน้ ตามลําดับ”
คํานํา หนังสือเรียนรูวิธีออกจากทุกข หรือ Learn How to be Free from Suffering จัดทําขึ้นเพื่อเผยแพรความรูที่เปน ประสบการณในการฝกฝนตนของ ทานอาจารยถาวร คงปาน ซึ่งทานไดนําหลักคําสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจามาปฏิบัติ จนพบวิธีออกจากทุกขอีกวิธีหนึ่ง และเหมาะกับทุกคนในยุค ปจจุบันสามารถมาพิสูจนทดสอบดวยตนเอง คณะผูจัดทําจึง ไดรวบรวมความรูจากเอกสารคําสอนที่ไดเคยจัดทําเผยแพรไว ตั้งแตป พ.ศ. 2542 จนถึงปจจุบัน แบงออกเปน 3 ภาค ดังนี้ ภาค 1 การสรางความเขาใจ ประกอบดวย 10 เรื่อง ที่จะชวยสรางความเขาใจกอนที่จะลงมือปฏิบัติ แตถาทานเห็น วามีความเขาใจในกระบวนการออกจากทุกขดีแลวก็สามารถ เริ่มที่ภาค 2 เปนการปฏิบัติไดเลย ภาค 2 กระบวนการพัฒนาจิต ประกอบดวยลําดับ ขั้นการพัฒนาจิตใจ 4 เรือ่ ง ซึ่ง 3 เรื่องแรกเปนความเขาใจ เรื่อง ธรรมชาติของมนุษย จิตเปนนายกายเปนบาว และ Self Awareness (การรูตัวรูตน) สวนเรื่องสุดทายในภาคที่ 2 เปน กระบวนการพัฒนาจิต 3 ขั้นตอน ถือวาเปนหัวใจของหนังสือ เลมนี้ ที่จะชวยใหผูที่เรียนรูการออกจากทุกขไดใชปฏิบัติใน ชีวิตประจําวัน
ภาค 3 นานาสาระ ประกอบดวย 39 เรื่อง ที่รวบรวม จากคําบรรยาย คําถาม-ตอบ ปญหาในการปฏิบัติธรรม ซึ่งผูอาน สามารถเลือกอานไดตามความสนใจ หรือเอาไวชวยแกปญหา ในการฝกฝนตนใหออกจากทุกข คณะผูจัดทําไดศึกษา และปฏิบัติตามแนวทางคําสอน ของทานอาจารยถาวร คงปาน จน สามารถทําความ เขาใจไดในระดับหนึ่งวา อะไรคือทุกข อะไรคือที่มาของทุกข และ มีวิธีการ ใดบางที่จะทําใหทุกขจางคลายลง ซึ่งทําใหการดําเนินชีวิตเปนไปดวยความ ราบรื่น สุขสบายขึ้น สามารถแกปญหา ทุกขกายทุกขใจไดเร็วขึ้น และแกปญหา ทุกขกาย โดยที่ใจเขาไปรวมดวยนอยลง นอยลงตามลําดับ ผลที่ไดรับนอกจากประจักษแกตนเองแลว คนใกลชิดยัง สามารถที่จะสัมผัส และรับรูถึงการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ ดีขึ้นได ดังนั้น หากทานใดตองการที่จะแกปญหา ทุกขใจ และทุกขกายของตนเอง ก็นาจะทดลองศึกษา ลงมือปฏิบัติ เพื่อพิสูจนวาสามารถบังเกิดผลตอตนเองไดจริง โดยตอง พิสูจนดวยตนเองเทานั้น ขอเปนกําลังใจใหกับผูที่จะฝกฝนตนเพื่อออกจากทุกขทุกคน คณะกรรมการชมรมฝกจิตใหจางคลายจากทุกข มกราคม 2551
คําปรารภ มนุษยที่เกิดมาในโลกนี้ สวนใหญมุงแสวงหาสิ่ง อํานวยความสะดวกสบายทางกาย จึงละเลยในสิ่งที่มนุษยพึง กระทํา คือการทําจิตใหจางคลายจากทุกข เพราะเทวดาและ มนุษยเทานั้นที่สามารถพัฒนาจิตไปถึงจุดสูงสุด คือหลุดพนจาก ทุกขได แตเมื่อโอกาสมาถึง ไดเกิดเปนมนุษยแลว กลับไม รูถึงโอกาสดีอันนี้ หรือรู แลวแตไมใสใจที่จะทําความ โชคดีนี้ใหเกิดประโยชน โดย การพัฒนาจิตใจตนเองใหทุกข นอยลงเรื่อยๆ จนถึงที่สุด หรือรูแลวแตคิดวายังไมถึง เวลา หรืออางวายังไมมีเวลาที่จะฝก โดยหลงไปพัฒนา แตชีวิตการงานในทางโลกโลก ใหเจริญสูงสุด ละเลยการพัฒนาจิตใจ ทํางานไป ทุกขไป เครียดไป กับการงานก็เพื่อใหผลงานทางโลกออกมาดีที่สุด เปนที่ พอใจของตนเองที่สุด เปนไปตามความคิดของตนเอง
มากที่สุด เมื่อไมเปนอยางใจคิดก็เครียด โดยไมรตู ัว หรือ รูตัววาเครียดแตไมสามารถกําจัดออกจากใจได ดูแลว มันชางเปนความสูญเปลาจริงๆ ในการที่ เขาไดเกิดมาเปนมนุษย เขาเหลานั้นจะรูไหมวาความ เจริญทางโลกที่เขากําลังทําใหถึงจุดสูงสุดโดยไมพัฒนา ทางธรรมไปพรอมกัน มันจะมีความหมายอะไร เมื่อเขา ตองจากโลกนี้ไป ทานทั้งหลาย อยาปลอยใหเวลาลวงเลยไปโดย ไมทําใหความเปนมนุษยของทานเกิดประโยชนทจี่ ะพึง มีพึงได อยามัวรอเวลาจนสายไปที่จะเริ่มตน ในการ พัฒนาจิตใจของทาน อยารอจนสังขารไมอํานวย หรือ เวทนาทางกายรุมเรา จนไมสามารถทําใจใหสงบจาก ทุกขได เพราะเมื่อถึงเวลานั้น ไมมใี ครสามารถชวยทาน ได แมแตครูบาอาจารยที่เกงกลาสามารถเพียงใดก็ตาม
ถาวร คงปาน มกราคม 2551
สารบัญ ภาค 1 การสรางความเขาใจ บทนํา.................................................................1 ศาสนาพุทธสอนอะไร………………………...2 การฝกฝนทางจิต……………………………...4 รูป-นาม……………………………………….6 ปฏิบัติธรรมทําไม……………………………24 เทคนิคการปฏิบัติใหทุกขจางคลาย…………..29 สมาธิ…………………………….…………..31 กาย-ใจ…………………………….…………33 ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา………………………..38 สติ-สัมปชัญญะ…………………………..….41
ภาค 2 กระบวนการพัฒนาจิต ธรรมชาติของมนุษย…………………………50 จิตเปนนาย กายเปนบาว…………………….56 Self Awareness [การรูตวั รูตน]……………...58
สารบัญ กระบวนการพัฒนาจิต ขั้นที่ 1 การฝกฝนจิตระดับเบื้องตน………….61 ขั้นที่ 2 การฝกฝนจิตระดับเบื้องกลาง..............69 ขั้นที่ 3 การฝกฝนจิตระดับเบื้องปลาย.............72 ภาคที่ 3 นานาสาระ พอรูทันทําใหมันหายไป………………….…79 อาสวะ…………………………….................80 อารมณ ชีวติ ที่เสวยทุกข……….....................81 ตกใจ! รูไมทัน……………………………....84 การทําความรูสึกตัว กับใหมันสลายหายไปเอง……………………85 ดีใจ ปติในธรรม.....................…….…………87 ยึด………………………………….………..89 จุดออน! แตทําอะไรใจไมได………………...91
สารบัญ ความคิด ความจํา……………………..…….93 จบสนิท……………………………………...95 จิตหนึ่ง………………..…………………….96 สนใจ ใหคา.....................................................98 ทุกขมอี ยูแตทําอะไรใจไมได…………….…101 ทุกขเพราะคิดปรุงแตง……………………..102 สติ VS คิดปรุงแตง………………………...104 ชีวิตที่หยวนๆ………………………………105 การเห็นความจริงของชีวติ …………………107 ไมกาวหนา ? ................................................109 ใจเปนดั่งใบบอน……………..…………….112 มายา สมมติ…………………………….....114 เปลาๆ……………………………………....117 เฉย กับ วาง………………………………...120 มึน ทึบ ตื้อ……………………………..…122
สารบัญ รูทัน…………………………………..……124 ถือสา……………………………………….127 ปจจุบันธรรม………………………………128 คูนอก – คูใน……………………………….131 ชาติสุดทาย………………………………...133 ไมเห็นก็ไมตองไปหา………………………135 ฝกนักมวย………………………………….137 เห็นตรงไหนทําตรงนั้น……………………144 รูหรือไมร… ู ………………………………..142 ความจริงในใจ……………..………………146 รูไหมวาฉันเปนใคร……………………...…149 เครื่องรอยรัดผูกพันจิตใจ………………….153 องคประกอบของชีวิต……………………...157 แนใจหรือวาสุขจริง………………………..164 หนทางพนทุกข…………………………....167 เครื่องปดกั้นความเจริญ …………………..172 ตัวชวยในการฝกฝนตนใหพนทุกข...............174
เรียนรูว ิธอี อกจากทุกข
Learn how to be free from suffering จัดพิมพดว ยเงินบริจาคของผูม ีจติ ศรัทธา เพื่อเผยแพรเปน ธรรมทาน หากพิมพจําหนายขอสงวนลิขสิทธิ์ เมือ่ ทาน ไดรบั หนังสือเลมนีแ้ ลว ขอไดโปรดตั้งใจศึกษา และปฏิบตั ิ ธรรมจากหนังสือเลมนี้ เพือ่ ใหเกิดประโยชนสงู สุดทั้งแก ตนเองและผูอ นื่ เพือ่ ใหสมตามเจตนารมณของผูบ ริจาคทุกๆ ทานดวยเทอญ
หากทานสนใจทีจ่ ะจัดพิมพหรือบริจาคเพือ่ จะสนับสนุน กองทุนจัดพิมพหนังสือธรรมะเพือ่ เผยแพรโปรดติดตอ ชมรมฝกจิตใหจางคลายจากทุกข 215/9 ถ.สุดบรรทัด ต.ปากเพรียว อ.เมือง จ.สระบุรี
ใหอภัย ไมถอื สา ไมใหคา ยอมรับตาม ความเปนจริง ไมสนใจในความ นึกคิดปรุงแตง และอารมณทกุ ชนิด ******* จิตและอารมณ ทุกชนิด เปนเพียงสภาวธรรม ทีเ่ กิดๆ ดับๆ ถาไมวางก็ไมวา ง
ภาค 1
การสรางความเขาใจ
1
บทนํา การฟงหรือการอาน ถาเชื่อทันที เรียกวา งมงาย ถาปฏิเสธทันที เรียกวา ขาดประโยชน ควรพิจารณาไตรตรองใหรอบคอบกอน โดยการพิสูจน ทดสอบ ฝกฝน ที่ใจตนใหกระจางกอน วาคืออะไร อยาโออวดวาเรา เกงกวาผูอื่น วิเศษกวาผูอื่น อยาโออวดวาเรา ดีกวาผูอื่น สูงกวาผูอื่น
2
ศาสนาพุทธสอนอะไร ศาสนา สอนใหดับทุกขที่ตนเอง เมื่อดับทุกข หรือแกปญหาทุกขที่ตนได พอสมควร จนกระจางแลว จึงเอื้อเฟอแกผูอื่นบาง บางโอกาสตามกําลัง ถาตนเองไมกระจางจริง ไมสามารถพิสูจน ทดสอบ หรือไมสามารถยืนยันตนตามสภาวะที่ตนเปน จริงๆ แลวไปแนะนําผูอื่น เหมือนคนตาบอดจูงคนตา บอด ศาสนา สอนเรื่องการดําเนินชีวิตของคน ให ตนเองดําเนินชีวิตอยาง เปนสุข มีสนั ติภาพ ศาสนา สอนเรื่องการแกปญหาความทุกขกาย ความทุกขทางใจ ใหลดนอยลงตามลําดับ ใจ เปนทุกข คือ นรก ใจ เปนสุข คือ สวรรค ใจ ที่อยูเหนือสุขและทุกขทั้งมวล คือ สภาวะนิพพาน
3
นิพพานชั่วคราว คือ ใจวางจากทุกขชั่วขณะหนึ่ง นิพพานถาวร คือ ใจวางจากทุกขถาวร มนุษยทุกวันนี้มีความทุกขกาย ทุกขใจ หมุนเวียนกันอยูในทะเลทุกขอยูอยางนี้ชั่วนิรันดร ทุกข เทานั้นที่เกิดขึ้น ทุกข เทานั้นที่ตั้งอยูชั่วระยะหนึ่ง ทุกข เทานั้นที่ดับสลายหายไป เมื่อไมมีทุกขก็ไมมีอะไรเกิด ไมมีอะไรดับ จิตก็ จะวางเปลา โปรงเบาปราศจากอารมณของทุกขทกุ ชนิด
4
การฝกฝนทางจิต การฝกฝนทางจิต หมายถึง การมีสติปญญาที่จะปลอย วางความทุกข ออกจากจิต หรือ ใจ จง มีสติปญญาคอยสังเกตความเคลื่อนไหว ทางจิต (ความนึกคิดปรุงแตงตางๆ และอารมณทุก ชนิด) อยูทุกขณะที่เกิดขึ้นในใจ จง ดูจิตเคลื่อนไหวเหมือนดูหนังดูละคร แตเราอยาเขาไปรวมเลนหนัง เลนละครรวมกับจิต คอย เฝาดูจิตที่กําลังเกิดอยูทุกขณะที่เกิด จง ดูจิตเคลื่อนไหว ดูความเปนไปของจิต ดวยความวางเฉย อยาหวั่นไหว อยาคลอยตามความ เปนไปของจิต (อยาเขาไปมีอารมณรวมกับจิต) จิต ไมมีตัวตน เปนเพียงสภาพมายาเกิดๆ ดับๆ แตสามารถกลิ้งกลอกหยอกลอใหคลอยตามจิตที่ เกิด ทําใหทกุ ขเกิดกับเรา เมื่อเรามีอารมณรวมตามมัน จิต เปนเพียงสภาพมายาธาตุ มายาธรรม ชนิดหนึ่งเทานั้น ถาเราไมแปรปรวนไป ตามมัน 5
หรือมีสติรูเทาทันมันอยูทุกๆ ขณะ เราก็จะเปนอิสระอยู ไมถูกมันฉุดกระชากลากไป สติ คือ ความระลึกรูวามีความคิด มีอารมณ หรืออาการทางใจลักษณะตางๆ ที่กอเกิดอยูในใจ สัมปชัญญะ คือ การทําความรูสึกตัวเพื่อออก จากความคิดและอารมณอันไมพึงประสงคที่กอเกิดอยู ในใจ
จริงๆ ไมมีใครทํารายเรา อารมณเราตางหากที่ทํารายเรา
6
รูป-นาม รูป คือ อะไร ? รูป คือ สิ่งที่ถูกรู (สิ่งที่ถูกรูคือ สิ่งที่ไม สามารถรูตัวเองได จะมีอีกสิ่งหนึ่งที่เขาไปรูวาเปน อะไร เปนอยางไร และสมมติบัญญัติ เรียกวาอะไร อยางไร) เชน จักรวาลนี้คือรูป คือ สิ่งที่ถูกรู (เพราะจักรวาล รูตัวเองไมได มีมนุษย หรือคนเขาไปรูวาเปน จักรวาล และสมมติ บัญญัติตั้งชื่อเรียกวา จักรวาล) จักรวาลนี้ จึงกลายเปน “สิ่งที่ถูกรู” หรือเรียกวา “รูป” ดวงดาวตางๆ และโลกเรานี้เรียกวา “รูป” หรือ “สิ่งที่ถูกรู” เพราะรูตัวมันเองไมได มี มนุษยหรือคนเขาไปรูวาเปนดวงดาวตางๆ
7
อวกาศ ธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุลม ธาตุไฟ เรียกวา “รูป” หรือ “สิ่งที่ถูกรู” เพราะรูตัวมันเอง ไมไดเชนกัน มีมนุษย หรือคนเขาไปรูวาเปนอวกาศ ธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุลม ธาตุไฟ ตนไม แรธาตุ ตนพืช สัตว และสิ่งที่ มนุษยสรางขึ้นมาทุกชนิด เรียกวา “รูป” หรือ “สิ่งที่ ถูกรู” เพราะรูตัวเองไมได มีมนุษย หรือคน เขาไปรูจัก และตั้งชื่อ บัญญัติ ชื่อ นาม คือ อะไร ? นาม คือ ธาตุรู จิตรู วิญญาณรู หรือความรูสึก รับรูที่มีอยูในมนุษย หรือคน หรือสัตวตางๆ เชน จิต คน ไปรูเรื่อง จักรวาล ไปตั้งชื่อเรียกวา จักรวาล จักรวาลจึงเปน “สิ่งที่ถูกรู” หรือ “รูป” มนุษย หรือคน หรือธาตุรู หรือจิตรู หรือวิญญาณรู ที่มีอยูในคน ที่ไปรูเรื่องของจักรวาล และตั้งชื่อเรียกวา
8
จักรวาล จึงเปน “สิ่งรู” หรือธาตุรู หรือจิตรู หรือ วิญญาณรู เรียกวา “นาม” ดวงดาวตางๆ และโลกเรานี้มันรูตัวมันเอง ไมไดจึงจัดเปนสิ่งที่ “ถูกรู” หรือเรียกวา “รูป” มนุษย หรือคน หรือ ธาตุรู หรือจิตรู หรือ วิญญาณรูที่มีอยูในคน ที่ไปรูเรื่องของ ดวงดาวตางๆ และ เรื่องของโลกนี้ และตั้งชื่อเรียกดวงดาวตางๆ และตั้ง ชื่อเรียกโลกนี้ (มนุษย หรือคน) จึงเปน สิ่งรู หรือ ธาตุรู หรือจิตรู หรือ วิญญาณรู เรียกวา นาม อวกาศ ธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุลม ธาตุไฟ สิ่งเหลานี้ มันรูตัวมันเองไมได เรียกสิ่งเหลานี้วา “สิ่งที่ถูกรู” หรือ “รูป” มนุษยหรือคน หรือจิตรู หรือธาตุรู หรือวิญญาณรู ที่มี อยูในคนเขาไปเปนผูรูเรื่องอวกาศ ธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุ ลม ธาตุไฟ จึงเรียกสิ่งเหลานี้วา “สิ่งรู” หรือ “นาม” 9
ตนไม ตนพืช แรธาตุ สัตวตางๆ และสิ่งที่มนุษย สรางขึ้นทุกชนิด มันรูตวั มันเองไมไดจึงจัดเปน “สิ่งที่ ถูกรู” หรือเรียกวา “รูป” มนุษย หรือคน หรือ จิตรู ธาตุรู วิญญาณรู ที่มีอยู ในคน เปนผูรูเรื่องดังกลาวขางตน จึงจัดเปน “สิ่งรู” หรือ “นาม” รูปกาย หรือรางกายของคนที่ประกอบดวยธาตุ ดิน น้ํา ลม ไฟ หรือรูปกาย รางกาย ที่ประกอบดวยธาตุ อาหาร น้ํา อากาศ จัดเปนสสาร หรือ วัตถุธาตุที่ ไมมีชีวิต ทีไ่ มสามารถรูจักตัวเองได จึงเรียกวา “สิ่งที่ ถูกรู” หรือเรียกวา “รูป” จิตรู หรือธาตุรู หรือ วิญญาณรู ที่กอเกิดอยูใน รางกายของคน กอเกิดขึ้น มาแลวเปนผูเขาไปรูเกี่ยวกับ รูปกายของคน ระบบของ รางกายคน สวนประกอบ ของระบบรางกายคนทุก Jugular vein
Carotid artery
Innominate vein
Innominate artery Subclavian artery
Heart
Lung
Aorta
Pulmonary artery
Alveolar capillaries
Left atrium Right atrium Left ventricle Right ventricle
Pulmonary veins
Hepatic vein Liver
Kidney
Hepatic artery
Renal artery
Portal vein
Renal vein
Large intestines
Capillaries of gastrointestinal tract
Inferior vena cava
Small intestines
Iliac artery
Femoral vein
CARDIOVASCULAR SYSTEM
10
ชนิด จัดเรียกวา “สิ่งรู” หรือเรียกวา “นาม” รูปกาย รางกาย จัดเปนสิ่งที่ถูกรู หรือ “รูป” จิตรู ที่เขาไปรูเรื่องกาย จัดเปนสิ่งรู หรือ “นาม” กายเปน “รูป” จิตรูกายเปน “นาม”
ความนึกคิด ที่กอเกิดขึ้นมาในใจ หรือใน ความรูสึกของเรา จัดเปนสิ่งที่ถูกรู หรือเรียกวา “รูป” เพราะความนึกคิด หรือจิตนึกคิดที่กอเกิดขึ้นมาในใจ ของเราชั่วขณะหนึ่ง แลวดับสลายหายไป จิตนึกคิดที่กอ เกิดขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง นั้น มันรูตัวมันเองไมได แตจะมี จิตรูหรือธาตุรูอีกตัวหนึ่ง กอเกิดซอนตอจากความนึก คิดตัวแรกวาเมื่อสักครูคิดอะไร หรือคิดเรื่องอะไร
11
ความนึกคิดตัวแรก จิตนึกคิดตัวแรก จัดเปนสิ่งที่ ถูกรูหรือเรียกวา “รูป” จิตรูทกี่ อเกิดซอนตอจากจิตนึกคิดตัวแรก ที่เกิด ขึ้นมารูวา เมื่อสักครูคิดอะไร จิตรูตัวหลังนี้ จัดเรียก เปนสิ่งรู หรือธาตุรู หรือ “นาม” เกิดความรูสึกโกรธหรือเกิดจิตโกรธกอเกิดขึ้นมา ในใจหรือในความรูสึกของเรา ความรูส ึกโกรธ หรือจิตโกรธ ที่กอเกิดขึ้นมาชั่ว ขณะหนึ่งแลวดับสลายหายไปจัดเปนสิ่งที่ถูกรู เพราะวา จิตโกรธที่กอ เกิดขึ้นมา มันรูตัวมันเองไมได จึงจัดเปน สิ่งที่ถูกรู หรือเรียกวา “รูป” จิตรู หรือธาตุรู ที่กอ เกิดซอนขึ้นมารูวา เมื่อ สักครูเกิดจิตโกรธ เกิดความรูสึกโกรธ จิตรูหรือธาตุ รูตัวหลังนี้ จัดเรียกเปนสิ่งรู หรือเรียกวา “นาม” เกิดความนึกคิดแลวเกิดอารมณโกรธตอเนื่องจาก ความนึกคิดตัวแรก จิตนึกคิดและความโกรธของจิต กลุมนี้ จัดเรียกเปนสิ่งที่ถูกรู หรือเรียกวา “รูป”
12
มีจิตรูห รือธาตุรูอีกตัวหนึ่ง กอเกิดซอนขึ้นมารูวา เมื่อสักครู คิดแลวเกิดอารมณโกรธ จิตรูหรือธาตุรูตัว หลังนี้ จัดเปนสิ่งรูหรือ “นาม” คิดแลวเกิดอารมณทางเพศตอเนื่องจากความนึก คิดตัวแรก จิตนึกคิดและอารมณทางเพศของจิตกลุมนี้ จัดเปนสิ่งที่ถูกรูหรือเรียกวา “รูป” จิตรูหรือธาตุรูที่กอเกิดซอนขึ้นมารูวา เมื่อสักครู คิดแลวเกิดอารมณทางเพศ จิตรูห รือธาตุรูตัวหลังนี้ จัดเปน สิ่งรู หรือเรียกวา “นาม” คิดแลวเกิดความรูสึกชอบใจ และไมชอบใจ จิต กลุมนี้กอเกิดขึ้นมาชั่วขณะหนึ่งแลวดับสลายหายไป จัดเปนสิ่งที่ถูกรู หรือเรียกวา “รูป” จิตรู หรือธาตุรูที่กอเกิดซอนขึ้นมารูวาเมื่อสักครู คิดแลวเกิดรูสึกไมชอบใจหรือชอบใจ จิตรู หรือธาตุ รูตัวหลังนี้จัดเปน สิ่งรู หรือเรียกวา “นาม” คิดแลวเครียด หรือเกิดความรูสึกเครียด กอเกิด ขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง แลวดับสลายหายไป จิตกลุมนี้จัด เรียกเปนสิ่งที่ถูกรู หรือเรียกวา “รูป” 13
จิตรูหรือธาตุรูที่กอเกิดซอนขึ้นมารูวา เมื่อสักครู คิดแลวเครียด เกิดความรูสึกเครียด จิตรูหรือธาตุรูตัว หลังนี้จัดเรียกวา สิ่งรูหรือเรียกวา “นาม” อารมณทุกชนิดที่เกิดมาชั่วขณะหนึ่ง แลวดับ สลายหายไปจัดเปนสิ่งที่ถูกรูหรือเรียกวา “รูป” จิตรู หรือ ธาตุรู ที่กอเกิดซอนขึ้นมารูวา เมื่อ สักครู เกิดอารมณชนิดตาง ๆ จิตรูหรือธาตุรูเหลานี้ เรียกวา สิ่งรูห รือ เรียกวา “นาม” จิตลักษณะตางๆ ที่กอเกิดขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง แลวดับสลายหายไป จิตลักษณะตางๆ เหลานี้จัดเปนสิ่ง ที่ถูกรู หรือเรียกวา “รูป” จิตรู หรือ ธาตุรู ที่กอ เกิดซอนขึ้นมารูวาเมื่อ สักครู เกิดจิตลักษณะใดบาง จิตรู หรือธาตุรูกลุมหลังนี้ เรียกวาสิ่งรู หรือเรียกวา “นาม” ทานจะเห็นวาวัตถุธาตุ ทั้งหลายตั้งแตระบบสุริยะ จักรวาล ทุกจักรวาล รวมทั้ง โลกที่เราอาศัยนี้ดวย ลวนเปน 14
สิ่งที่ถูกรู หรือเรียกวา “รูป” รูปกาย รางกาย ระบบของรางกายทุกชนิด ความเปนไปของระบบรางกาย ทุกชนิดลวนเปนสิ่งที่ ถูกรู หรือเรียกวา “รูป” ความรูสึกทุกชนิด ความจําทุกชนิด ความนึก คิดทุกชนิด อารมณทุกชนิด ที่กอเกิดขึ้นมา ลวน จัดเปนสิ่งที่ถูกรู หรือเรียกวา “รูป” แตเปนรูปที่อยูในฝาย “นามธรรม” หรือเปน “รูป” หรือเปน “สิ่งที่ถูกรู” ที่กอเกิด ตั้งอยูชั่วขณะ หนึ่ง แลวดับสลายหายไป อยูในใจคน จิตรู หรือธาตุรู หรือวิญญาณรู ทีก่ อเกิดอยูใน ใจคน จัดเปนสิ่งรูหรือเรียกวา“นาม”แตเปน “นาม” หรือ “สิ่งรู” ที่กอเกิดอยูในฝาย “นามธรรม” หรือ “นามธาตุ” “วัตถุธาตุ” หรือ “รูปธาตุ” ทั้งหลาย กอเกิด ขึ้นมาตั้งอยูนานหนอย แลวก็ดบั สลายหายไป แต “รูป” ฝาย “นามธาตุ” หรือฝาย “นามธรรม” เชน ความรูสึกชนิดตางๆ ความจําเรื่องตาง ๆ ความนึกคิด 15
ชนิดตาง ๆ อารมณชนิดตาง ๆ ลวนจัดเปน “รูป” หรือเปน “สิ่งที่ถูกรู” ที่กอเกิดขึ้นมาชั่วระยะสั้น ๆ ชั่วขณะจิตหนึ่ง แลวดับสลายหายไป “รูป” ฝายวัตถุธาตุทุกชนิด กอเกิดขึ้นมาชั่ว ระยะเวลาหนึ่ง แลวก็ดับสลายหายไป “รูป” ฝาย “นามธาตุ” หรือ “นามธรรม” ทุก ชนิดกอเกิดขึ้นมาชั่วขณะจิตหนึ่ง แลวก็ดับสลายหายไป ไมมี “รูป” ฝาย “วัตถุธาตุ” ชนิดใดๆ ที่กอ เกิดขึ้นมาแลวชั่วระยะเวลาหนึ่งจะไมแตกดับจะไม เปลี่ยนแปลง จะไมสลายหายไป ไมวาจะเปนวัตถุธาตุที่ เรียกวาโลก วัตถุธาตุที่เรียกวาจักรวาล วัตถุธาตุที่เรียกวา ตนไม ตนพืช วัตถุธาตุที่เรียกวา ดิน น้ํา ลม ไฟ วัตถุธาตุ ที่เรียกวา รูปกายคน รางกายคน ระบบของรางกายคนและ สัตวทุกชนิด ลวนแตกอเกิดขึ้นมาแลวตั้งอยูชั่วระยะเวลา หนึ่ง ชั่วระยะเวลาที่ตั้งอยู ก็กอเกิดความเปลี่ยนแปลงไป ตามกระบวนการของมัน กอเกิดความเปลี่ยนแปลงไปตาม เหตุ ตามปจจัย แลในทีส่ ุดก็แตกดับสลายหายไป “รูป” ฝาย “นามธาตุ” หรือ “นามธรรม” 16
หรือสิ่งที่ถูกรูอยูในฝายของ “นามธรรม” เชน ความรูสึกเห็น (เห็นนั่น เห็นนี่) จิต รูสึกเห็นเกิดขึ้นมาชั่วขณะจิตหนึ่ง แลก็ดับ สลายหายไป (เกิดโดยอาศัยผานทางระบบ ประสาทตา) เชน รูสึกไดยิน (ไดยินเสียงนั้น เสียงนี)่ จิตรูสึกไดยิน เกิดขึ้นมาชั่วขณะจิตหนึ่งแลว ดับสลาย หายไป (เกิดโดยอาศัยผาน ทางระบบประสาทหู) เชน รูสึกไดกลิ่น (ไดกลิ่นจากวัตถุตาง ๆ ไดกลิ่นจากสสารตางๆ ดกลิ่นจากพลังงาน ตาง ๆ ) เกิดขึ้นมาชั่วขณะจิตหนึ่ง แลวดับ สลายหายไป(เกิดโดยอาศัยผานทางระบบประสาทจมูก) เชน รูสึกสัมผัสเสียดสีทางกาย (สัมผัสเย็น สัมผัสรอน สัมผัสออน สัมผัสแข็ง สัมผัส เจ็บ) จิต รูสึกสัมผัสเกิดขึ้นมาชั่วขณะจิตหนึ่ง แลวดับสลายหายไป (เกิดโดยอาศัยผานทางระบบ ประสาทผิวกาย) 17
เชน จิตนึกคิดชนิดตางๆ กอเกิดขึ้นมา ชั่วขณะจิตหนึ่งแลวดับสลายหายไป (คิด แลว จางหายไปแลวกอเกิดกลับมาคิดใหม อีก วนเกิด วนดับ ทางความนึกคิดอยูอยางนั้น) เชน อารมณชนิดตางๆ กอเกิดขึ้นมาชั่วขณะอารมณ จิตหนึ่ง แลวดับสลายหายไป (เกิดอารมณ ขึ้นมา ชั่วขณะหนึ่งแลวดับสลายหายไป แลวกอเกิดอารมณตัว ใหมเกิดขึ้นมาอีก อารมณเวียนเกิดเวียนดับอยูอยางนั้น) ทั้ง “รูป” หรือ “สิ่งที่ถูกรู” ทั้งหลายลวนกอเกิดขึ้นมา แลวตั้งอยูชั่วระยะเวลาหนึ่ง แลวในขณะที่ตั้งอยูนั้นก็กอ เกิดความเปลี่ยนแปลงไปตามกระบวนการของมัน ในขณะที่ตั้งอยูนั้นก็กอเกิดความเปลี่ยนแปลงไปตาม เหตุ ตามปจจัย แลวในที่สุดก็แตกสลายดับหายไปไมมี อะไรที่คงที่ถาวรอยูไดแมแตอยางเดียว “รูป” ฝายวัตถุธาตุ เปลี่ยนแปลงชาหนอย แตกสลายชาหนอย แต “รูป” ฝาย “นามธาตุ” หรือ ฝาย “นามธรรม” เชนความนึกคิดชนิดตางๆ อารมณ ชนิดตางๆ ความรูสึกชนิดตางๆ 18
- ลวนกอเกิดขึ้นมาชั่วขณะจิตนึกคิดขณะหนึ่ง ๆ แลวดับจางหายไป - ลวนกอเกิดขึ้นมาชั่วขณะอารมณจิตขณะหนึ่ง แลวดับจางหายสลายไป - ลวนกอเกิดขึ้นมาชั่วขณะความรูสึกทางจิต ขณะหนึ่งๆ แลวดับจางหายสลายไป - ลวนเปนรูปฝายนามธรรม หรือเปนสิ่งที่ “ถูกรู” ฝายนามธรรม ที่กอเกิดขึ้นมาแตละชั่วขณะจิตหนึ่งๆ แลวจาง สลายไป แลวกอเกิดจิตลักษณะใหมซอนขึ้นมาอีก แลว จางสลายหายไปอีก วนเวียนเกิดจิตลักษณะตางๆ อยู อยางไมรูจักจบสิ้น เชน เกิดความนึกคิดขึ้นมาชั่วขณะจิตหนึ่ง แลวจางหายสลายไป แลวก็กอเกิดความนึกคิดตัวใหม เกิดซอนขึ้นมาอีก เชน เกิดความนึกคิดขึ้นมาชั่วขณะจิตหนึ่ง แลวดับหายไป แลวก็กอเกิดอารมณชอบใจ หรือไม
19
ชอบใจกอเกิดตอเนื่องจากความนึกคิดตัวแรกวนเวียน เกิด วนเวียนดับอยูอยางนี้ไมมีวันจบสิ้น ถาไมมีจิตรู ธาตุรู หรือวิญญาณรู ทีก่ อเกิดรูอยู ในคน เราก็ไมสามารถรูไดวา - เมื่อสักครูคิดอะไร คิดเรื่องอะไร - เมื่อสักครู เกิดอารมณอะไร - เมื่อสักครูรูสึกอยางไร เชน จิตนึกคิดถึงคนนั้น คนนี้ ก็จะมีจิตรู หรือธาตุรู อีกตัว หนึ่ง เกิดซอนตอจากความนึกคิด ตัวแรก เกิดขึ้นมารูวาเมื่อสักครู คิดถึงคนนั้น คนนี้ คือจิตนึกคิดตัว แรกมันจะไมรูตัวมันเอง แตจะมีจิต รูตัวหลัง กอเกิดขึ้นมารูวาเมื่อสักครูคิดถึงคนนั้นคนนี้ แตแลวทานจะมองเห็นวา พิจารณาเห็นวา - ความนึกคิดตัวแรกก็ดี - จิตรู ที่กอเกิดขึ้นมารูวาเมื่อสักครูคิดอะไร ก็ดี 20
- จิตตัวที่เปนความนึกคิด เกิดแลวก็ดบั ไป - จิตรูที่เกิดขึ้นมารูวาคิดอะไร เกิดแลว ก็ดับ ไปเหมือนกัน เชน อารมณโกรธ ที่กอเกิดขึ้นมาชั่วขณะ อารมณจิตหนึ่ง แลวจางหายดับไป แลวก็จะมีจิตรูหรือ ธาตุรูอีกตัวหนึ่งกอเกิดซอนขึ้นมารูวา เมื่อสักครูนี้ เกิด อารมณโกรธ คือ อารมณโกรธตัวแรกมันจะไมรูตัวมัน เอง แตจะมีจิตรูหรือธาตุรูอีกตัวหนึ่งกอเกิดซอนขึ้นมารู วา เมื่อสักครูนี้เกิดอารมณโกรธ แตแลวทานจะมองเห็น วา หรือพิจารณาเห็นวา - อารมณโกรธที่เกิดขึ้นตัวแรกก็ดี - จิตรูที่กอเกิดขึ้นมารูวา เมื่อสักครูเกิดอารมณ อะไรก็ดี - อารมณโกรธ ที่เกิดขึ้นมาชั่วขณะจิตหนึ่งเกิด แลวก็ดับสลายไป - จิตรูที่กอเกิดขึ้นมารูวา เมื่อสักครูเกิดอารมณ อะไร เกิดมารู แลวก็ดับไปเหมือนกัน
21
- จิตลักษณะอะไรอื่นใดก็เหมือนกัน ที่กอ เกิดขึ้นมาแลว ลวนดับสลายหายไปหมดสิ้น - ไมวาจะเปนจิตฝายที่ถูกเรียกวา “รูป” ก็ดี - ไมวาจะเปนจิตฝายที่ถูกเรียกวา “นาม” ก็ดี ทั้งสองฝาย ลวนแลวแตกอเกิดขึ้นมาแตละ ชั่วขณะจิตหนึ่งๆ เทานั้น แลวก็ดับสลายหายไป เหมือนกัน หามีตัวตนจริงจังไม แตเราผูที่ยังไมรูความจริงตามความเปนจริง กลับ หลงผิดไปจากความเปนจริง หลงเขาไปยึดถือเอาทั้ง “รูป” ทั้ง “นาม” ที่เกิดขึ้นมาแตละชั่วขณะหนึ่งๆ ทําให เราเปนทุกขเปนทาสของรูปนามเหลานั้นอยูอยางไมรูจัก จบสิ้น
เราตองปลอยตองวาง รูป-นาม เหลานั้นให หลุดพนจากใจของเราไป 22
ถาเราเขาไปยึดถืออะไรเปนจริงเปนจังเราก็จะ ทุกขอยูกับสิ่งนั้น เราก็จะทุกอยูกับอันนั้น ทั้งรูปและนามลวนเกิดๆ ดับๆ อยูอยางนั้น ตามเหตุตามปจจัย ตามกระบวนการของมันอยูอยางนั้น “หามีใครเปนเจาของไม” เชน รูปกาย รางกาย ระบบของรางกายลวนกอ เกิดขึ้นมา และตั้งอยูตามเหตุปจจัย แลวก็เปลี่ยนแปลง สลายไปตามกระบวนการของมัน หามีใครบังคับไดไม เชน ความนึกคิดที่เกิดขึ้นมาชั่วขณะจิตหนึ่ง แลวสลายหายไป เชนกัน เชน อารมณตางๆ ที่เกิดขึ้นมาชั่วขณะอารมณ จิตหนึ่งๆ แลวก็สลายหายไปเชนกัน หามีใครเปน เจาของไม เมื่อเราเฝาพิจารณาอยางละเอียดลออ และ ทําความเขาใจอยางทะลุปรุโปรงแลว เราจะเห็นวา “รูป” ทั้งหลายก็ดี “นาม” ทั้งหลายก็ดี นั้นลวนแลวแต เกิดๆ ดับๆอยูอยางหามีอะไรจริงจังเที่ยงแทไม ยึดอะไร อยูก็จะทุกขอยูกับสิ่งนั้น
23
ถามนุษยวางทั้งรูป – วางทั้งนาม เหลืออะไรเอย?
“เมื่อหยุดคิดปรุงแตง และวางทุกสิ่งลงได (ทั้งสิ่งที่รูและสิ่งที่ถูกรูทั้งปวง) สัจธรรมความจริง แท ก็จะปรากฏขึ้นมาใหรูเห็นเอง”
24
ปฏิบัติธรรมทําไม ? การปฏิบัติธรรมนั้น ทําเพื่อแกปญหาทุกขที่ เกิดขึ้นทางรางกาย และเพื่อแกปญหาทุกขที่เกิดขึ้นทาง จิตใจ ทุกขที่เกิดขึ้นทางรางกายเปนอยางไร ทุกขที่เกิดขึ้นทางรางกาย เชน ความเจ็บไข หรือเจ็บปวย เมื่อสิ่งเหลานี้เกิดขึ้นเรา ก็มีความทุกข มีความวิตกกังวล อยู กับอาการเจ็บปวย อาการผิดปกติทาง รางกาย ทุกขที่เกิดขึ้นทางจิตใจเปนอยางไร ? ทุกขที่เกิดขึ้นทางจิตใจ เชน ความขุนมัว ความ เศราหมอง หดหู ความเศราสลด ความ โกรธ ความอึดอัด ขัดเคือง ความ อาฆาตพยาบาท ความไมไดดังใจ ความคิดฟุงซานตาง ๆ เหลานี้เปนตน
25
ความทุกขทางรางกาย เปนสิ่งทีท่ ุกคนไม ปรารถนา ไมตองการให เกิดขึ้น แตความเจ็บปวยใน รูปแบบตางๆ ความ เปลี่ยนแปลงของรางกายไป ในทางที่ตนเองไมพึง ประสงคอันเปนสิ่งที่ทุกคนตองประสบ ยากที่จะ หลีกเลี่ยงได เพราะคนเราทุกคนไมอยากจะใหเปนอยาง นั้น ไมตองการที่จะใหสิ่งเหลานั้นเกิดขึ้นกับตน ดังนั้น คนเราทุกคนจึงเปนทุกขอยูกับการเจ็บปวยที่เกิดขึ้น เปนทุกขอยูกับความแปรปรวน เปลีย่ นแปลงทาง รางกายที่เกิดขึ้นกับตนเอง ทุกขทางใจ โดยธรรมชาติของใจคนเรานั้น วาง เปลา เบา สบาย แตอยูๆ ความผิดปกติก็เกิดขึ้น ปรากฏ ขึ้นมาในใจของเรา เชน - บางครั้งก็มีความไมพอใจปรากฏขึ้นมาในใจ เรา ทําใหใจเรา ไมวางเปลา ไมเบาสบาย
26
- บางครั้งก็มีความอึดอัดขัดเคืองตอสิ่งตางๆ ปรากฏขึ้นมาในใจเรา ทําใหใจเราไมวาง เปลา ไมเบาสบาย - บางครั้งก็มีความคิดฟุงซานเขามาปรากฏ ขึ้นมาในใจเรา ทําใหใจเราไมวางเปลา ไมเบาสบาย - บางครั้งก็มีอารมณดี อารมณเสีย เขามา ปรากฏขึ้นมาในใจเรา ทําใหใจเราไมวาง เปลา ไมเบาสบาย - บางครั้งก็มีความคิดวิตกกังวลในเรื่องตางๆ เขามาปรากฏขึ้นมาในใจเรา ทําใหใจเราไม วางเปลา ไมเบาสบาย ปรากฏการณตางๆ ที่เกิดขึ้นในใจของเราเหลานี้ ทําใหใจของเราไมวางเปลา ไมเบาสบาย ทําใหใจของ เราไมปกติ และถาเราเฝาสังเกตดูพฤติกรรมในใจของ เรา - ในขณะที่ตาเราเห็นสิ่งตาง ๆ - ในขณะที่หูเราไดยินเสียงตาง ๆ 27
- ในขณะที่จมูกเราไดรับรูกลิ่นตางๆ - ในขณะที่ล้นิ เราไดสัมผัสรสชาติตางๆ - ในขณะที่เนื้อหนังของเราไดสัมผัสถูกตอง กับสิ่งตางๆ - ในขณะที่ความนึกคิดตางๆ ปรากฏขึน้ ในใจ ของเรา ถาเราเฝาสังเกตดูใจเราอยูเสมอ เราจะเห็นวาใน ใจเรานั้น มีความปกติ มีความแปรปรวน มีความขุน มัว มีความเศราหมอง วิตกกังวล ความไมไดดังใจ มี ความอึดอัด ความขัดเคืองใจ และมีอาการอื่นๆ อีก มากมายปรากฏขึ้นในใจของเราอาการหรือปรากฏการณ เหลานี้ที่เกิดขึ้นในใจของเรา ทําใหใจของเราเปนทุกข ทําใหใจเราผิดปกติ ไมวางเปลา ไมเบาสบาย
28
เราจึงควรฝกฝนจิตใจใหจางคลายจากทุกข - เพื่อไวใชงานและเพื่อความสุข ความสงบ ความสบายของตน ครอบครัว และสังคม - เพื่อใหรูแจงเห็นจริงเกี่ยวกับความเปนไป ของสภาวะจิต - เพื่อใหความทุกขทางใจลดนอยลงไป ตามลําดับเอาความสุขเขามาแทนความทุกข การฝกจิต จนใจตั้งมั่นอยูในอารมณสมาธิ ผู ปฏิบัติจะตองฝกฝนใหใจตั้งมั่นอยูในอารมณโปรงโลง เบาสบาย อารมณปติ อารมณสุข อารมณอุเบกขา เกิดขึ้นในใจตนใหไดกอน เพื่อใหอารมณเหลานี้เขามา แทนที่ความทุกขในชีวิตประจําวัน แตพอตอนปลายๆ เมื่อเรารูแจงเห็นจริงของสภาวะ จิตสภาวะอารมณตางๆ ไดกระจางดวยปญญาแลว จึงคอย สลัดหรือปลอยวางอารมณเหลานั้นใหหลุดพนไปจากใจ เมื่อนั้น ใจก็จะเหลือแตความวางเปลาปราศจากอารมณ เพราะ
อารมณปติ อารมณสุข ก็คือ ทุกขอยาง ละเอียดที่จะตองปลอยวาง
29
เทคนิคการปฏิบัติใหทุกขจางคลาย “พอรูทัน ความคิดก็จะหายไป” ชั่วขณะหนึ่ง “พอรูทัน อารมณก็จะหายไป” ชั่วขณะหนึ่ง การสะกดใจไวไมใหความคิดเกิดและอารมณ เกิดขึ้นเปนการกระทําที่ไมถูกตอง จะตองปลอยใจให เปนธรรมชาติ แตถาเมื่อใดรูวาความคิดและอารมณที่ ไมพึงประสงคเกิดขึ้น ใหทําความรูสึกตัวทันที วิธีทําความรูสึกตัว คือ การเคลื่อนไหวอวัยวะ สวนหนึ่งสวนใดของรางกายทันทีหรือเปลี่ยนอิริยาบถ ทันทีทันใด เชน เมื่อรูวาเวลาเกิดความคิดขึ้นในใจใหกระพริบ ตาแรงๆ แลวปลอยใจวางเปลาไป หรือเคลื่อนไหวมือ เทา บิดตัว จะเคลื่อนไหวรางกายลักษณะใด ลักษณะ หนึ่งก็ไดแลวปลอยวางใหใจวางเปลาไปเปนคราวๆ เมื่อความนึกคิดเกิดขึ้นอีก ก็ใหใชวิธีทําความรูสึกตัว แบบเดิมอีกจนชํานาญ
30
กรณีที่อารมณตางๆ เกิดขึ้นในใจก็เชนกัน ให เคลื่อนไหวอวัยวะรางกายตามความรุนแรงของอารมณ นั้นการกระทําเชนนี้ เรียกวา ใชความเคลื่อนไหวทางรางกาย ละลายปญหาทางจิต เมื่อทําเชนนี้บอยๆ จนชํานาญอยางยิ่ง ปรากฏการณ ทางจิตอันวางเปลาเบาสบายก็จะเกิดขึ้นเอง โดยไมตอง ไปบังคับใจ หรือกดขมอารมณไว ใจเราก็จะวางเปลา เบาสบายมากยิ่งขึ้นเปนลําดับ
สงสัย ก็ตามดู อยากรู ก็เพียรกระทํา
31
สมาธิ สมาธิ คือ อะไร ? สมาธิ คือ สภาพที่ใจตั้งมั่น สมาธิแบงเปน 2 ลักษณะไดแก 1.สมาธิเชิงฌานเชิงอภิญญา หรือสมถะ กัมมัฏฐาน (ความสามารถพิเศษทางจิต หรือจิต เกงๆ ทั้งหลาย) 2.สัมมาสมาธิคือวิธีของสติสัมปชัญญะ(มีสติเขา ไปรูเทาทันความคิดและอารมณ จนกระทั่งทุกข ทําอะไรใจไมได หรือเรียกวาใจตั้งมั่นวางเปลา ปราศจากทุกข) สมาธิเชิงฌานเชิงอภิญญา หรือ สมถะกัมมัฏฐาน เปน อยางไร - สมาธิในลักษณะนี้คือ สภาพที่จิตใจตั้งมั่น โปรง โลง เบา สบาย และประกอบดวย อารมณปติ (อิ่มเย็น) ปรากฏอยูในใจของ ตน นี้ลักษณะหนึ่ง 32
- สภาพที่จิตใจตั้งมั่น โปรง โลง เบา สบาย มีความสุขอิ่มเอิบอยูในใจตนแตอารมณปติ หายไป เหลือแตสุข นี้ลกั ษณะหนึ่ง - สภาพที่จิตใจตั้งมั่น โปรง โลง เบา สบาย มีความสวางไสว ตั้งมั่น แนบแนนอยูภายใน ใจ แตสภาพกายภายนอกหายไป (หมายถึง จิตไมรับรูเรื่องภายนอก ไมสนใจอารมณ ภายนอก) มีแตความสงบ ความนิ่งเฉย โปรง เบา แนบแนน อยูภายในนี้ลักษณะ หนึ่ง สัมมาสมาธิ หรือ วิธขี องสติสัมปชัญญะ สัมมาสมาธิ หรือ วิธีของสติสัมปชัญญะ คือ มี สติเขาไปรูเทาทันความคิดและอารมณที่กอเกิด อยูในใจจนกระทั่งทุกขทําอะไรใจไมได หรือ เรียกวาใจตั้งมั่นวางเปลาปราศจากทุกข
33
กาย-ใจ กาย
ความรูสึกรับรู
สิ่งกระทบกาย
ความจําไดหมายรู
ความนึกคิด
กอเกิดอารมณสุข ทุกข เครียด พอใจ ไมพอใจ สบายใจ ไมสบายใจ
กระบวนการเกี่ยวพันของกายและจิตใจ 1. รูปกาย รางกาย อวัยวะตาง ๆ ของรางกาย 2. ความรูสึกรับรู ความรูสึกรับสัมผัส (ขณะจิตแรก) ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ 3. ความจําได หมายรู (ขณะจิตตัวที่ 2) 4. ความนึกคิดตาง ๆ (ขณะจิตตัวที่ 3) 5. ความรูสึกที่ประกอบดวยอารมณ อันเปนผลที่ เกิดตอเนื่องมาจากความนึกคิด 34
เชน คิดแลวเครียด คิดแลวสบายใจ (ขณะจิตตัวที่ 4) คนที่มีชีวิตประกอบดวยรางกายและจิตใจ คนที่ตาย แลวมีแตรางกายที่ปราศจากจิตใจ ถาจะนับเรียง *จากรูปกาย รางกาย อวัยวะตาง ๆ ที่กอเกิด ขึ้นมารับรูสึกรู รับรูสึกสัมผัสแลวก็ดับ ซึ่งเปนขณะ จิตแรก (ความรูสึกรับรู รับสัมผัส) ตัวอยาง เชน ทางกาย - กอเกิดขึ้นมารับรูสึก รอน เย็น แลวก็ดับลงไป ทางตา - กอเกิดขึ้นมารับรูสึก เห็น แลวก็ดบั ลงไป ทางหู - กอเกิดขึ้นมารับรูสึกได ยิน แลวก็ดบั ลงไป ทางจมูก - กอเกิดขึ้นมารับรูสึก กลิ่นตาง ๆ แลวก็ดับลงไป ทางลิ้น - กอเกิดขึ้นมารับรูสึกรส ตาง ๆ แลวก็ดับลงไป
35
*ลําดับถัดมา ตอจากขณะจิตแรกที่เรียกวา ความรูสึกรับรูก็จะเปนขณะจิตที่สองที่เรียกวา ความจําไดหมายรู เชน - จําไดวามีวัตถุอะไรมากระทบสัมผัส เสียดสีกายขณะนั้น รูสึกรอน เย็น มีความจํา และหมายรูวาเปนอะไร เขามาทํางานรวมดวย ตอเนื่องจากขณะจิตแรก ที่กอเกิดขึ้นมารับรูสึก รู แลวก็ดับลงไป) เชนเดียวกับ ความรูสึกเห็นจําไดวา เห็นอะไร แลวก็ดับลงไป ความรูสึกไดเย็น จําไดวาไดยินอะไร แลวก็ดับลงไป ความรูสึกไดกลิ่น จําไดวาไดกลิ่นอะไร แลวก็ดับลงไป ความรูสึก รส ตาง ๆ จําไดวารับรส อะไร แลวก็ดับลงไป * เมื่อจําไดวามีอะไรมากระทบสัมผัสเสียดสีกาย แลว 36
(เชนเดียวกับ เห็น ไดยิน ไดกลิ่น รับรส) กอเกิดความนึกคิดปรุงแตงวาสิ่งที่มา กระทบนั้นเปนอยางไร มีลักษณะอยางไร เปนขณะจิตที่สาม เขารวม ทํางานดวย แลวความนึกคิดปรุงแตง ณ ขณะ จิตนั้นก็ดับลง เมื่อความนึกคิดปรุงแตงเขามารวมทํางานดวย แลว จะทําใหเกิดปฏิกิริยาทางจิตใจอีกชนิดหนึ่งคือ * ความรูสึกที่ประกอบดวยอารมณเกิดตอจาก ความนึกคิดปรุงแตงทันทีเปน ขณะจิตที่สี่ เชน รูส ึกชอบใจ รูสึกไมชอบใจ รูสึก เครียด รูสึกสุข รูสึกเปนทุกข ลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ณ ขณะจิตนั้น ๆ ซึ่งเกิดชั่วขณะจิตหนึ่งแลวดับลงไป เหมือนกัน
37
ทางใจ หรือ ประตูใจ - ใจจําอาการสุข-ทุกขทางใจทั้งหลายทั้งปวง แลว นํามานึกคิดปรุงแตงใหม กอใหเกิด สุข-ทุกขทาง ใจขึ้นมาใหมอีก วนเวียนอยูอยางนี้ไมรูจักจบสิ้น - ใจจําเหตุการณตางๆ ที่เคยเกิดขึ้น (ซึ่งเรื่องนั้นหรือ เหตุการณนั้นมันจบไปแลว หรือจบไปนานแลว ) แตใจ นํามาคิดปรุงแตงอีก กอใหเกิดอารมณ สุข-ทุกข เครียดความสบายใจ ความไมสบายใจ ขึ้นมาใหม วนเวียนอยูอยางนี้ - ใจนึกคิดปรุงแตงถึงเรื่องราวที่ยังไมมี ไมเกิด ไม เปน กอใหเกิดใจเปน สุข เปนทุกข เครียด สบายใจ ไมสบายใจ ไมรูจักจบ สิ้นวนเวียนอยูอยางนี้
38
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรามาปฏิบัติธรรมกันทําไม? เพราะเราเห็นวามันเปน ทุกข เรารูวาใจเรามัน อึดอัดขัดเคือง ชีวิตเต็มไปดวยความไมนามี ความไม นาเปนทําไมสภาพใจเราเปนอยางนี้ เราทุกขแลวใช ไหม เรารูใจเรามีปญหาอยางนี้ เรียกวาทุกข แลวจะทํา อยางไรที่จะออกจากทุกข ทุกขนั้นก็ไมเที่ยง (อนิจจัง) แลวจะออกจากทุกขโดย ใชหลัก อนัตตา หลักอนัตตา คือ อยางไร อนัตตา คือ สิ่งทั้งหลาย เกิดแตเหตุปจจัย ไมมี ตัวตนที่ตั้งอยูจริง แตตัวตนเกิดดับเพราะเหตุปจจัย เห็นวา ธรรมชาติอาศัยซึ่งกันและกัน เกิดขึ้น เห็นมัน ดับเพราะเหตุปจจัยดับ วิธีที่จะใหทะลุสัจธรรมถึงที่สุด คือ ชีวิตที่เปนทุกขมัน มีเหตุปจจัยอะไร เชน เรารูสึกไมพอใจ เมื่อไดยินเสียง 39
การไดยิน เกิดขึ้นมาจากเหตุอะไร เสียงกระทบ หู ทําใหเกิดการไดยิน ใจใหความหมาย เกิดอารมณไมพอใจ ความไมพอใจ เกิดขึ้นมาลอย ๆ ไมได ฉะนั้น ความไมพอใจนี้เกิดแตเหตุปจจัย ความไมพอใจนี้ไมใชของใคร เหตุปจจัยที่ตรงกระทบ เปน แดนเกิด ทีท่ ําให เกิดกระแสทุกข หรือกระแสปฏิจจสมุปบาท ตัวเหตุ ปจจัยไมใชตัวทุกข แตเปนแดนเกิด เมื่อเห็นวาเปนเหตุปจจัยตามธรรมชาติแลว ก็ไม เขาไปยึด ตองเห็น และเขาใจในสิ่งที่เห็นไมเชนนั้น จะ ไมคลายจากความเปนตัวตน ตัวอยางเชน ชีวิตทางหู (การรูสึกไดยิน) เกิด มาจากเหตุปจจัยอะไร เสียง กระทบระบบประสาทหู ทําใหเกิดการได ยินขึ้น แตพอเสียงหายไป การไดยินก็ดับ หรือหายไป
40
ชีวิตเกิดแตละขณะ ตามเหตุปจจัย ไมใชชีวิตที่ ตั้งอยูอยางนิรันดร ทีนี้เมื่อเห็นชีวิตเกิดดับตามเหตุ ปจจัย อยางนี้ แลวใครเปนผูทุกขละ เพราะเห็นวามัน ไมมีตัวตนที่ตั้งอยูจริง ๆ แลวใครเปนผูทุกขเลา ที่มัน ทุกข ๆ คือ “กูทุกข” อยู มันไมใชธรรมชาติ มันเปน การคนหาตัวเองวาตัวกูมีอยูหรือเปลา ถาทะลุตรงนี้จะ เขาใจคําวา อนัตตา ไมมีตัวตนที่ตั้งอยูจริงๆ แตสิ่ง ทั้งหลายเกิดและดับ เพราะเหตุปจจัย นี่คือ ธรรมชาติ ชีวิตของคนเกิดไดกี่ทาง ชีวิตของคนเกิดได 6 ทาง แตละทางมีเหตุปจจัย ของมัน ถาเชนนั้น ตัวตนจริงๆ มีหรือไม ชีวิตที่เราพูด เปนรูปราง หนาตา ไมใชแลว มันเปนชีวิตทางหู ชีวิตทางตา ทางจมูกทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มันจะคลายความเขาใจผิด คลายความหลง ที่ ยึดติดยึดถือวาเปนตัว เปนตน เปนอัตตา
41
“ใหดูจิตเคลื่อนไหวเหมือนดูหนังดูละคร ใหดูจิตเคลื่อนไหวอยาหวั่นไหวตามจิต จิตไมมีตัวตน แตสามารถกลิ้งกลอกหยอกลอใหคลอยตาม เมื่อเรารูเทาทัน ใจเราก็จะสงบ สูงขึ้นตามลําดับ”
42
สติสัมปชัญญะ สติ คือ ตัวรูเ ทาทันสิ่งที่เกิดขึ้น พอเกิดอะไรขึ้นในใจเรารูทันหรือเกิดอะไรขึ้น ในความรูสึกพอเรารูทัน เรียกวา มีสติ แตพอเกิดอะไรขึ้นในความรูสึกในใจเรา เราไมรู นั่นเรียกวา เราขาดสติ สัมปชัญญะ คือ ภาวะที่เมื่อรูทันแลวใหทําการ เคลื่อนไหวรางกาย เชน กระพริบตา กํามือ ขยับตัว เพือ่ ออกจากความคิดและ อารมณตางๆ รูทันอะไร ? รูวาอะไรกําลังเกิดในใจเรา กําลังเกิดอารมณ อะไร เกิดปฏิกิริยาอะไรในความรูสึกเรา ขอใหเรารูทัน รูเทาทันวาตอนนี้กําลังเกิด แลวที่เกิดตองการไหม ถา ตองการก็ใหมันเกิดตอไป ถาไมตองการก็รีบ 43
ปรับเปลี่ยนไปเปนอยางอื่น ที่ไมตองการก็จะหายไป มันจะแทนที่อยูแตละขณะความรูสึกทางจิตนั้นๆ คําวามีสติ คือ รูวาเกิดอะไรขึ้น รูว าใจเราไม ปกติ รูวาตอนนี้เรากําลังคิดฟุงซานรูอยางนี้ เรียกวา เรามีสติ เรากําลังคิดฟุงซานแลว เราไมรู เรียกวา เราขาดสติ ขอใหรูวามันกําลังเกิดอะไรขึ้น ใจเรามันผิดปกติ ไหม หรือใจเราเปนปกติสบายดีอยู ก็รูอยู ถากําลัง ฟุงซานก็พยายามพลิกแพลงแกไข ตอนนี้กําลังอารมณ เสีย ก็พยายามพลิกแพลงแกไข ตอนนี้กําลังงวง อยากจะหลับ ก็รีบพลิกแพลงหาวิธีแกไข คือเรารูอยูวา เกิดอะไรขึ้น ที่รูอยูเรียกวา มีสติ ถาไมรูวา เกิดอะไรขึ้น ไมคิดที่จะแกไขนี่เรียกวา ปลอยไปตามยถากรรม เราตองเปนผูเปลี่ยนแปลงเอง ใครมาเปลี่ยนให เราไมไดหรอก พอเรารูวาใจเราไมปกติ ก็รีบ ปรับเปลี่ยนใหสบายหรือใหเปนอยางอื่น
44
เทคนิคในการปรับเปลี่ยน เทคนิคในการปรับเปลี่ยน โดยทําความรูสึกตัว เชนกระพริบตาแรงๆ กํามือ ยกมือ ยกแขน บิดเนื้อ บิดตัว กระดิกแขน กระดิกขา ไมจํากัดวิธีการ ทํา อยางไรก็ไดใหมันหายไปจากใจเรา หายไปจาก ความรูสึกเรา
ตัวรูทัน เรียกวา สติ ตัวอยางเชน ตอนนี้กําลังโมโห ก็รู นี้ เรียกวามีสติ พอขยับรางกาย ความโมโหก็หายไป มีสติ กอน การกระทําทีหลัง ใจ เราก็จะคอยๆ สบายมากขึ้นตามลําดับ สิ่งที่เขามาปน มาคลุกเคลาอยูในใจหรืออยูในความรูสึกเราก็จะ คอยๆ จางคลายหายไป สิ่งที่เขามาคลุกเคลาในใจเรา เรียกวา ทุกข หรือ กิเลส เราตองการเอาทุกข หรือสิ่งคลุกเคลาอยูในใจที่ ไมดีทั้งหลายออกไปใหเหลือแตความรูสึกที่ดี 45
ความรูสึกที่วางเปลา เบาสบาย ไมมีสิ่งอื่นคลุกเคลาปน อยูในความรูสึกนั้นๆ เลย อยางนี้เรียกวา ใจมีอิสระ ทุกขทําอะไรใจไมไดในขณะนั้น ๆ พอเกิดอะไรขึ้นในใจรีบทําความรูสึกตัว อยางนี้ เรียกวาเรามีสติ ขณะที่อะไรเกิดขึ้นในใจเรา รีบทํา ความรูสึกตัว รีบปรับเปลี่ยน รีบแกไขใหอาการที่ไมดี เหลานั้นมันหายไป ถาเราไมเปลี่ยนแปลง ไมแกไข ใครจะมาทําใหเรา มันเปนเรื่องในใจเราคนอื่นมาทําให เราไมได อะไรที่เกิดขึ้นในใจ รีบทําความรูสึกตัว ปรับเปลี่ยนใหหมดใหเหลือแตความรูสึกเปลาๆ ขยับ เคลื่อนไหวรางกาย ไมใชกดไว ไมใชวาพอจะคิดก็กด ไว พอจะเกิดอารมณก็กดไว อยางนี้ผิด ใหทําความ รูสึกตัว อยาไปกดใจตัว อยาไปกักใจตัวเองหรือ ความรูสึกตัวเองไว ใหสังเกตแคความรูสึกเทานั้น เชน รูส ึกเย็น ก็รู วาเย็น ไมคิดอะไรตอจากรูสึกเย็นถามีความคิดเขามา แสดงวา มีบางอยางเขามาแลว เย็นก็รูวาเย็น รอนก็รูวา
46
รอน ลมพัดมาถูกตัว ก็รวู าลมพัดมาถูกตัว ก็รูอยู แลว ไมมีอะไรตอ พอเรารูสึกอะไรตางๆ ความคิดจะเขามา ทันที ระวังตรงนี้ พอมันจะคิดอะไรมั่วๆ เริ่มทําความ รูสึกตัว ใหใจวางเปลาจากสิ่งที่จะเขามาปนอยูเรื่อย ความรูสึกหรือใจทุกคนมีอยูแลวตามธรรมชาติ แตใจไมมีที่อยู ไมมีที่ตั้งแตมันเกิดๆ ดับๆ อยูใ นตัวเรานี้ แหละ พอรูเทาทันความคิดครั้งหนึ่ง เดี๋ยวก็คิดใหมอีก ซึ่งมันก็คิดอยูอยางนั้น แหละไมใชไมคิด แต พอเรารูทัน เราจะเห็น ชองวางระหวางคิดตัว แรกกับคิดตัวหลังมัน มีชองวาง มันมีรอยตอ ของมัน ตองการให เห็นตรงนี้นะ ระหวางคิดกับคิดมันมีชองวางอยู คนไม เคยเห็นวางระหวางคิดกับคิด ไมเคยเห็นวางระหวางคิด กับอารมณ ตองการใหเห็นอันนี้วาใจไมไดมั่วอยูตลอด 47
มันมีใจที่วางเปลาอยู เราไมเคยเห็นใจสภาพที่วางเปลา เราเห็นแตคิดกับอารมณอยูตลอดเวลา ใจที่วางเปลาเบา สบายโดยไรความคิด หรือความคิดออนแรงลงไป หรืออารมณแผวเบาลงไปเราไมเคยเห็นเลย มันจะเปน ความรูสึกอีกอยางหนึ่ง เมื่อความคิดหายไป เมื่ออารมณ หายไปจากใจ ถาถามวาความคิดมีไหม ตอบวามีอยูตลอดเวลา แตเมื่อไรเราไมตองการใหมี มันหายไปไดทันทีตาม ความตองการ ทําอยางไรใหเห็นความคิด เราจะพูดอะไรใหหยุด สักประเดี๋ยว แลวมาตั้งหลัก เมื่อกี้เราจะพูดอะไร เราหยิบ ตัวที่คิดจะพูดอะไร เมื่อกี้มันมี ไหม มันหายไปไหม ลอง เบรกตัวเอง อยางนี้สักอึดใจ หนึ่งเดี๋ยวคอยพูด เชน เราคิดถึงคนนั้นคิดถึงคนนี้ พอ คิดแวบขึ้นมา หยุดตั้งหลักกอน เมื่อกีค้ ิดถึงเพื่อนนะ 48
มันหายไปไหนแลว ความคิดมันมีตัวตนหรือไม มัน เกิดขึ้นมาแลวมันดับไปไหม ตองการใหเห็นอันนี้ ให เห็นความจริงอันนี้ ไมเชนนั้นเราก็จะถูกความคิดลากไป ไมมีวันหยุด เราเขาไปอยูในความคิดหมด ถูกความคิด มันบงการตลอดเวลา เราตอการใหออกจากความคิด ปรุงแตนี้ และระหวางคิดกับคิดสองขณะมันมีชองวาง อยู ตองการใหเห็นชองวางที่ไมคิดในขณะนั้นใหได ใหเขาใจวา ใจที่วาง ๆ อยูมันก็มีนะ ไมไดเต็มไปดวย ความคิดเสมอไปนะ ใจไมไดเต็มไปดวยความขุนมัว ความสับสนอลหมานเสมอไป ใจหรือความรูสึกเปลาๆ ก็มีอยูนะ อยาไปจองดูความคิดวาเมื่อไรความคิดจะเกิด เพราะนั่นคือคิดตลอดเวลาวาเมื่อไร “คิด” จะมา มัน คิดแผวๆ อยูในใจเมื่อไรมันจะโผลหนามา นั่นแหละนั่ง คิดอยูในใจตลอดเวลา ทําใหความคิดหายไป ทําใหอารมณหายไป ความวางจะปรากฏขึ้นเอง พอมันคิดก็รูทัน พอรูทัน ความคิด ความคิดนั้นก็จะแวบหายไปจากใจเรา หายไป จากความรูสึกเรา พอรูทันอีกมันจะหายไป ทําอยูแคนี้ ไมใชไปนั่งเคลียรใจใหวาง นั่นนั่งคิดอยูตลอดเวลา เอา 49
ความคิดออกไป เอาอารมณออกไปแลวความวางก็จะ ปรากฏขึ้นมาเองโดยเราไมตองทําความวาง ความวางมี อยูแลว ไมตองทํา
เอาที่วุน ๆ ออกไปเทานัน้ ความวางก็จะ ปรากฏมาเอง
ไมตองไปรูวาที่ผานมาเปนอะไร ไมตองรูวา ขางหนาเปนอะไร รู ณ วินาทีนี้ก็พอ พออะไรเกิดขึ้นในความรูสึก ไมจับ ไมยึด ไมอยู แตะแลววาง รูแลววาง เพราะมันเกิดแลว ก็ดับไป ดับไป........
50
ภาค 2
กระบวนการพัฒนาจิต
1
ธรรมชาติของมนุษย มนุษยทุกคนตองการการดํารงชีวิตอยางมี ความสุขความสบายแตในชีวิตประจําวันกลับไมได เปนอยางที่ใจตองการทําไม ถึงเปนเชนนี?้ เมื่อเราอยากได อยากมี อยากเปน แตเมื่อ ไมได ไมมี ไมเปนใจเราก็จะ เปนทุกขหรือมีปญหา เมื่อเราได เรามี เรา เปน ใจเราก็จะเปนสุข หรือ ปญหาใจหมดไปชั่วคราว เมื่อไมได ไมมี ไมเปน เกิดขึ้นมาอีก ก็จะ ทุกขใจ เกิดปญหาใจขึ้นอีก แตเมื่อเกิดได เกิดมี เกิดเปน ใจเราก็เปนสุข หมดปญหาไปชั่วคราวอีก ใจเราวนไป เวียนมา อยูอยางนี้ไมรูจกั จบสิ้น “แลวสภาพใจที่ดีกวานี้มีไหม?”
2
ถามี จะเปนอยางไร จึงมีคําถามตามมาวา จะทําอยางไร ใจเราจึงจะสงบรมเย็นปราศจากปญหา ใจ ดังกลาวขางตน วิธีอบรมจิตใหจางคลายจากทุกข มีมากมาย หลากหลายประสบการณของผูฝกฝนแตละคน แต จากประสบการณสวนตัวของขาพเจาที่ไดศึกษา เรียนรู และฝกอบรมจิต พบวากระบวนการฝกจิต ใหจางคลายจากทุกข หรือ คลายจากปญหาใจ ประกอบดวย 3 ขั้นตอน ดังนี้ 1) การฝกจิตเพื่อออกจากทุกขระดับ เบื้องตน คือ ขั้นแรกของการเรียนรูจิต ใน ดานรับรูความรูสึก โปรง โลง เบา สบาย 2) การฝกจิตเพื่อออกจากทุกขระดับ เบื้องกลาง คือ ฝกใหเกิดสติ (ตัวรู) โดยรูเทาทันความคิดและอารมณที่กอ เกิดขึ้นในใจเรา
3
3) การฝกจิตเพื่อออกจากทุกขระดับ เบื้องปลาย เปนขั้นฝกฝนจิตใหเกิด ปญญา รูแจง เห็นจริง ในสัจธรรม วา สิ่งทั้งหลายอาศัยซึ่งกันและกันเกิดขึ้น
การที่จําแนกวิธีการฝกอบรมจิตใหจางคลาย จากทุกขเปน 3 ขั้นตอนนั้น ผูที่จะฝกอบรมจิตใหออกจากทุกขจะตองรูวา 1. จิต คืออะไร 2. สติสมั ปชัญญะ คืออะไร 3. สมาธิ คืออะไร และ 4. ปญญา คืออะไร จิต คือ ความรูสึกรับรู รับรูแลวปรุงแตง แปรตัวใหความจําเกิดขึ้น จําแลวปรุงแตงแปรตัว
4
ใหเกิดความคิด คิดแลวปรุงแตงแปรตัวให เกิดอารมณ (จิตที่เสวยทุกขแลว หรือมี ปญหา แลว) สติ คือ สภาพของใจที่รูวากําลังคิดอะไร อยู หรือกําลังเกิดอารมณอะไรอยู สัมปชัญญะ คือ การทําความรูสึกตัว ทําให ตัวเองตื่นขึน้ จากความคิด หรืออารมณนั้นๆ เพื่อกลับเขาสูสภาวะปกติของใจ สมาธิ คือ สภาพของใจที่ตั้งมัน่ จําแนก เปนโลกียะสมาธิ และโลกุตระสมาธิ โลกียะสมาธิ คือ สภาพที่ใชสิ่ง ตางๆ เปนอุบาย (วิตก วิจารณ) เพือ่ ปรุงแตงจิตให เกิด อารมณ เชน อารมณปต ิ อารมณสุข และ อารมณอุเบกขา โลกุตระสมาธิ คือ การกําหนดเอา ทุกข หรือ สมุทัย มาเปนตัวตั้งในการกระทํา เพื่อให ทุกขนั้นจางคลายหายไป (วิตก, วิจารณ) - เมื่อทุกขนั้นจางคลายหายไป ใจก็เกิดปติ ยินดี สดชื่น ผองใสขึ้น (ปติ) 5
- เมื่อทุกขนั้นทําอะไรใจไดนอยลงไป ตามลําดับ ใจนั้นก็จะมีความสุขสบายมาก ขึ้น (เพราะทุกขจางคลาย หรือเบาบาง ลง) “สุขสบาย” - เมื่อฝกสติสมั ปชัญญะ รูเ ทาทันทุกข รูเทา ทันสมุทัย จนกระทั่งทุกขนั้นทําอะไรใจ ไมได หรือที่เรียกวา “ใจนั้นวางเปลา ปราศจากทุกข” สภาพจิตอยางนั้น เรียกวา “อุเบกขา” หรือ “การทําจิต ใหอยูเหนือทุกข” ปญญา คือ การอบรมจิตจนรูแจงเห็น จริงในสัจธรรม (ธรรมชาติตามความเปนจริง) วา ธรรมชาติทงั้ หลายแมกระทั่งองคประกอบของ รางกาย และจิตใจลวนแลวอาศัยซึ่งกันและกัน เกิดขึ้น เปนกระบวนการสืบเนื่องกันตอๆ ไป หามี ใครเปนเจาของไม เชน เมื่อเสียงกระทบหู ทําใหเกิด การไดยิน เสียง และหู เปนเหตุ สวนการไดยนิ เปนผล
6
เมื่อรูแจงเห็นจริง อยางนี้ ก็จะทําใหจิต คลายจากการยึดติด ยึดถือที่จะเอาสิ่งเหลานั้น มาปรุงแตงใหเปนทุกข หากทานประสงคจะฝกอบรมจิตให จางคลายจากทุกขตามแนวทางนี้ ควรหมั่นฝกฝนตน ไปตามลําดับ ทีละลําดับจนมีความเขาใจ และความ ชํานาญในการปฏิบัติเพือ่ ยังประโยชนในการนําไปใช ในการดํารงชีวิตประจําวันใหมีความสุข มีความ สบายอยางแทจริงตามความประสงค
เราเอาทุกขออก จากใจได แตเอา ทุกขออกจาก โลกไมได
7
แผนที่ชวี ติ
หนักทึบ
จิต
เบาสบาย
ผิดปกติ
- ความคิด ทีเ่ ปนทุกข - ความจําทีไ่ มดี - อารมณไมดี
กาย
คิดแตเรือ่ งดี ใจเบา/ใจสบาย ใจเปนสุข/ใจสงบ อารมณดี ระบบประสาท
- เครียด - นอนไมหลับ
กายเจ็บปวย
- กายสบาย - อยูอ ยาง ทุกขนอ ย
ปกติ
8
ความรูส กึ ความจํา ความคิด อารมณ เสนทางทุกขมาก
-
เสนทางทุกขนอย - เห็นความคิด ทีเ่ ปนทุกข - ปรับความคิด เปนเชิงบวก - ปรับพืน้ ฐานใจ และสรางหลักใจ - ฝกสมาธิใหชาํ นาญ - ฝกสติสมั ปชัญญะ ใหชาํ นาย
กระบวนการพัฒนาจิต
“จิตเปนนาย กายเปนบาว”
จิต คือ ความรูสึกรับรู จิต คือ ความจํา จิต คือ ความคิด จิต คือ อารมณ
จิตเปนนาย กายเปนบาว ทานทัง้ หลายคง คุนเคยกับคติธรรมนีม้ าบาง
9
เราจะสังเกตเห็นวาเวลาเราคิดจะทําอะไร เรามักจะทําตามที่เราคิดเสมอ เวลาเราเกิดอารมณ อะไร กายเราก็จะเปนไปตามอารมณนั้นดวย ถาเรารูจักจิตและสัมผัสจิตของเราไดโดยการ ฝกอบรมจิต และหัดควบคุมจิตทั้ง 4 ประเภทนี้ ใหอยูในอํานาจของเราไดตามความประสงค ชีวิต เราก็จะสงบรมเย็นยิ่งขึ้นๆ จิตที่ไมสบายทุกชนิดเราทุกคนรูจักดี เชน ความรูสึกหนักอกหนักใจ เครียด ฟุงซาน ไมได ดังใจ ความวิตกกังวล เหลานี้เรียกวา จิตหนัก หรือ จิตที่ไมสบาย ที่ทุกคนไมตอ งการ แตความรูสึกโปรงโลงเบา สบายคนสวนมากไมรูจัก เราจึง ตองฝกฝนเพื่อใหรูจักสภาพจิตที่ โปรง โลง เบา สบายไดชัดเจน แมนยํา เพื่อเอาจิตดังกลาวมา ตั้งแทนที่จิตที่ไมสบาย
10
Self Awareness การรูตัวรูตน หรือ การรูกายรูใจตนเอง การเรียนรูกายรูใจ คือ รูวามีทุกข หรือไมมีทุกขใน กาย และในใจ ตองใชหลัก 3 ประการใน การพิจารณา ดังนี้ 1. ฐานที่เกิดของทุกข 2. การแกปญหาทุกข 3. วิธีปฏิบัตเิ พื่อแกปญหา ทุกข (ลงมือทํา แบบฝกหัด) 1.ฐานที่เกิดของทุกข - กาย - ใจ 2.การแกปญหาทุกข - ทุกขกาย เชน การเจ็บปวย นอกจาก หา หมอเพื่อรักษาอาการเจ็บปวยแลว ยังแกไขไดโดย การทําสมาธิ (สมถะปฏิบัติ) โดยการสรางอารมณ 11
สมาธิ ฝกเคลื่อนยายจิต จากจุดที่ทรมาน ไปยัง ความรูสึกทีด่ ีกวา โดยไมสนใจความเจ็บปวด เชน การหมุนนิ้ว หรือการเคลื่อนไหวอวัยวะรางกายแบบ ตางๆ - ทุกขใจ แกไขโดยหลักอริยสัจสี่ วิธีปฏิบัติในหลักการอริยสัจสี่ คือ 1. รูเทาทันทุกข เพราะทุกขเปนสิ่งที่ตอง กําหนดรู ถาเรารูสึกวากําลังมีทุกขเกิดขึ้นในใจ เรียกวา “เห็นทุกข” เชน รูสึกเครียด หรือ รูสกึ กังวล รูสึกอารมณเสีย ก็รูวาเครียด รูวากังวล หรือรูวาอารมณไมดี 2. รูเทาทันตนเหตุทที่ ําใหเกิดทุกข คือรูวา ทุกขกําลังเกิดที่ใด ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือใจ เชน ตา เห็นสิ่งที่ไมถูกใจ รูสึกหงุดหงิด เรียกวา ทุกขเกิดที่ตา หรือ การเห็นเปนเหตุใหเกิดทุกข หู ไดยินเสียงนินทา แลวเกิดอารมณไมพอใจ เรียกวาทุกขเกิดที่หู หรือ การไดยนิ เปนเหตุใหเกิด ทุกข
12
ใจ เกิดความคิดผุดขึ้นมาแลว รูสึกกังวลใจ เรียกวาทุกขเกิดที่ใจ หรือ การคิดปรุงแตงเปนเหตุ ใหเกิดทุกข 3. รูวิธีออกจากทุกข โดยวิธีการของ สติสัมปชัญญะ หรือ สติปญญา คือ เมื่อรูว า ทุกขเกิดขึ้นในใจ ใหทําความรูสึกตัวโดยการ เคลื่อนไหวรางกาย หรือ อวัยวะใดอวัยวะหนึง่ เรียกวา “การทําความรูสึกตัว” (เปนวิธีปฏิบตั ิ) 4. ตองวัดผลที่เกิดขึ้นในใจไดดวยตัวเอง พิสูจนผลดวยตนเอง การวัดผลการปฏิบัติ โดย สังเกตวาเมือ่ ทําความรูส ึกตัวแลว ความทุกขที่ เกิดขึ้นในใจจางลง หรือลดลงตามลําดับ จนรูสกึ วา อารมณของทุกขไมเหลือในใจ เรียกวา ทุกข หายไปจากใจ 3. ลงมือปฏิบัติ เปนการทําแบบฝกหัด คือ
- ฝกสรางอารมณสมาธิ (สมถะปฏิบตั )ิ - ฝกสติสัมปชัญญะ (ดวยวิธีปฏิบัติในหลักการอริยสัจสี่)
13
e˵u
¡ÃaºÇ¹¡Òþa²¹Ò¨iµ 14
oº¡Áืo
Êà ҧËÅa¡ã¨ : Êa§e¡µ ¤ÇÒÁÃÙÊ ¡ึ oÒÃÁ³ o»Ã §
¼ o¹¤ÅÒ¡Ò æÅaã¨
¢a¹é ·Õè 1 eºืoé §µ ¹
ËÁu¹¹iéÇ
eË繤ÇÒÁ¤i´/oÒÃÁ³ ·Õèe» ¹·¡¢ (ÊaÁÁÒʵi)
¼Å
ÇÒ§Êi觷a§é ÃÙ
ÁÕoÒÃÁ³ o»Ã § oÅ § eºÒʺÒ ¹ึ¡¤i´ä´ ´§a 㨹ึ¡ / ªíÒ¹Ò
·íÒ¤ÇÒÁÃÙÊ ¡ึ µaÇe¾ืoè oo¡ ã¨Ç Ò§e»Å Ò»ÃÒÈ ¨Ò¡·¡¢ (ÊaÁÁÒÊÁÒ¸i) ¨Ò¡·u¡¢ ªÇaè ¢³a
ÃaºÃÙ
¡ÃaºÇ¹¡Òþa²¹Ò» Ò ¼Ùo ÂÙ ´ ÇÂoÒµ¹a·a§é 6 e˹ืo·u¡¢ 㪠§Ò¹·íÒo ҧÃÙ
¾a²¹ÒÊaÁÁÒʵi æÅa ÊaÁÁÒÊÁÒ¸iãË ªÒí ¹Ò
ÁÕÊÀÒ¾ã¨o»Ã § oÅ § eºÒʺÒÂe» ¹¾ื¹é °Ò¹
ÁÕÊÁa ÁÒʵi æÅaÊaÁÁÒÊÁÒ¸i e» ¹ºÒ·°Ò¹ÁÒº Ò§æÅ Ç
¢a¹é ·Õè 2 eºืoé §¡ÅÒ§
¢a¹é ·Õè 3 eºืoé §»ÅÒÂ
» ¨¨ÂÒ¡Ã
o¤Ã§Êà ҧ¡ÃaºÇ¹¡Òþa²¹Ò¨iµ
กระบวนการพัฒนาจิต กระบวนการพัฒนาจิต ประกอบดวยการฝกฝนจิต 3 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 การฝกฝนจิตระดับเบื้องตน ขั้นที่ 2 การฝกฝนจิตระดับเบื้องกลาง ขั้นที่ 3 การฝกฝนจิตระดับเบื้องปลาย ขั้นที่ 1 การ ฝกฝนจิตระดับเบื้องตน การฝกฝนจิตระดับเบือ้ งตน ประกอบดวย การผอนคลายกายและจิต และการสรางหลักใจดวย การสังเกตความรูสึกโปรง โลง เบาสบาย เปนการ ปรับพื้นฐานกายใจ เพื่อเตรียมตัวกอนที่จะปฏิบัติ หรือการฝกสมาธิ ดังนี้ 1. การผอนคลายกายและจิต 1.1 ยืนแยกขาเล็กนอยใหถนัด แลว ปลอยกาย ปลอยใจใหอยูในสภาพที่ ผอนคลายสบายๆ ไมเกร็ง
15
1.2 ประสานมืออยูขางหนา พรอมทั้งทํามือใหเบา และนิ่ง 1.3. เมือ่ รูสึกวามือ เบา และนิ่งแลว คอยๆ ยกมือขึ้น ชาๆ จับความรูสึกที่มือเบา เคลื่อนไหวมือขึ้นชาๆ จนกระทั่งถึง ระดับหนาอกจึง คอยๆ พลิกฝามือ ออกนอกตัว ชาๆ และเบาๆ 1.4 ยกมือทั้งสองที่ประสาน ขึ้นชาๆ และเบาจนสุดแขน อยูเหนือศีรษะ คอยๆ เอนตัวไป ดานหลังเล็กนอยจนรูสึกวาหนาทอง ตึง พรอมทั้งกลั้นลมหายใจไวสักครู
16
1.5. โนมตัวกลับใหตรงพรอมทั้งหายใจออกชาๆ ตามธรรมชาติ และปลอยกายปลอยใจสบายๆ ไม เกร็ง ลดมือลงชาๆ เบาๆ โดยจับความรูสึกที่มอื ที่กําลังเคลื่อนลงชาๆ จน มือถึงหนาอก แลวพลิกมือกลับเขาหาตัวชาๆ พรอมทั้งลดมือลงจนอยูใ น ทามือประสานกัน เหมือนเริ่มตน จิตและกายจะเริ่มผอนคลายขึ้น
ขอแนะนํา : - อยาจับความรูส ึกที่ลมหายใจ (หายใจอยางธรรมชาติ) - ใหจับความรูสึกที่มือเคลื่อนไหวอยาง ชาๆ เบาๆ นิ่งๆ อยูตลอดเวลา โดยไม สนใจลมหายใจ
17
2 การฝกฝนจิตระดับเบื้องตนดวยการสังเกต ความรูสึกโปรงโลงเบาสบาย มี 2 เทคนิค 2.1 แกวงมือ 2.2 วิธีหมุนนิ้ว
วิธีแกวงมือ - ยกมือขึ้นระดับอก - ทํามือเบาๆ - แกวงมือเขา-ออกชาๆ เบาๆ - ในขณะระหวางที่แกวงมือเขา-ออก
18
- ใหสังเกตความรูสึกเบาของมือใหตอเนื่อง จนกระทั่งสามารถสังเกตความเบานัน้ ตั้งอยูไดชัดเจน - หยุดแกวงมือ และสังเกตความรูสึกเบา สบายยังคงอยูหรือไม ถาความรูสึกเบานั้นหายไป ใหมาเริ่มตน แกวงมือใหมตามลําดับวิธีขางตน ใหฝกฝนบอยๆ จนชํานาญ
วิธีหมุนนิ้ว - เอานิ้วหัวแมมือและนิว้ ชี้แตะกันเบาๆ แลวหมุนเปนวงชาๆ - ในระหวางหมุนนิ้ว ใหสังเกตความรูสึกเบา ที่นิ้ว (นิว้ ทีห่ มุนจะรูสึกลื่น) ใหตอเนื่องจนกระทั่ง สามารถสังเกตความรูสึกเบา (นิว้ ลื่น) อยาง
19
ตอเนื่อง จนกระทั่งสามารถสังเกตความเบานัน้ ตั้งอยูไดชัดเจน - หยุดหมุนนิ้วและสังเกตความรูสึกเบาสบาย ยังคงอยูหรือไม ถาความรูสกึ เบาสบายนั้นหายไป ใหมาเริ่มตน หมุนนิ้วใหมตามลําดับวิธีขางตน ปรับใจใหสบายๆ โปรง โลง เบาสบายให ตอเนื่องนานๆ ดวยการแกวงมือเบาๆ หรือ หมุนนิ้ว จนอยูในสภาพผอนคลาย สบายๆ เมื่อสภาพใจผอนคลาย โปรง โลง เบาสบาย ตอเนื่องกันนานๆ ก็จะมีอารมณ ปติ สดชื่น อิ่มเอิบ คอยๆกอเกิดขึ้นมาในใจชั่วขณะหนึ่งแลวหายไป ชั่วขณะหนึ่งแลวหายไป ขอใหรักษาสภาพใจ ที่โปรง โลง เบา สบายใหตอ เนื่องนานๆ ถาทานสังเกต อารมณ ปติ หรือสุข หรืออิ่มเอิบที่หายไปแลวจะเกิด ขึ้นมาใหมอีกวนเวียนอยูเชนนี้ ทําเชนนี้บอ ยๆ จนเกิดความชํานาญ 20
ทานก็จะเห็นวาความรูสึกทางใจของทานจะมี อารมณปติ สุข อิ่มเอิบ กอเกิดขึ้นไดตามใจนึก การกออารมณปติ สุข อิ่มเอิบ ใหกอเกิดขึ้นใน ใจ ทําไดดวยวิธีดังกลาวขางตน
ทิ้งเปาหมายที่จะมีที่จะเปนเสีย ทําแตเหตุอยางเดียว ความรูสึกตัวเปนเหตุ ความเบาเปนผล อยูกับเหตุ ไมไดอยูกับผล รูเทาทันความคิด และอารมณทุกชนิด
21
สรุป ประโยชนของการฝกความรูสึกโปรงโลง เบาสบายจนชํานาญชัดเจน คือ 1. เวลาเกิดความรูสึกเจ็บปวดทางกายก็ ใหเปลี่ยนมาอยูกับความรูสึกโปรง โลง เบา สบายแทนความรูสึกเจ็บปวดทาง กาย 2. จะชวยทําใหทานเห็นความคิดชัดเจน ขึ้น และมีสติรูทันความคิดที่ลากทุกขมา ก็ใหรีบทําความรูสึกตัว ความคิดที่เปน ทุกขนั้นก็หายไป หรือลดความรุนแรงลง
22
ขั้นที่ 2 การฝกฝนจิตระดับเบื้องกลาง การฝกฝนจิตระดับเบื้องกลาง เปนการฝก สติสัมปชัญญะ ใหมั่นคง เพื่อใหรูเทาทันความคิด และอารมณที่เปนทุกข ทานรูตวั เองไหม? วาใจกําลังนึกคิดอะไรอยู! ทานรูตัวเองไหม? วาใจกําลังเกิดอารมณอะไรอยู!
เชน ใจกําลังนึกคิดเรื่องนั้น เรื่องนี้อยู ใจ กําลังนึกคิดเรื่องของคนนั้น เรื่องของคนนี้อยู เชน ใจเกิดอารมณสบาย หรือใจเกิดอารมณ ขุนมัว หรือใจเกิดอารมณเสีย, หงุดหงิด, ไมสบายใจ ตึงเครียดภายใน หรือ เกิดอารมณ ทางเพศสัมพันธ ทุกครั้งที่ทานรูสึกตัววา ใจกําลังนึกคิดเรื่อง อะไรอยู! หรือรูสึกวาใจกําลังเกิดอารมณอะไรอยู! ขอใหทาน ทําความรูสึกตัว โดยการกระพริบตา แรงๆ กํามือแรงๆ หรือขยับตัว สัก 2-3 ครั้ง ทานจะ สังเกตพบวา ความคิดหรืออารมณที่เกิดขึ้นเมื่อครูจะ หายไป ใจทานก็จะวางเปลาจากอารมณเสีย อารมณ เครียดไปชั่วขณะหนึ่ง เมื่อมีความคิดเกิดขึ้นมาอีก ก็ขอใหทําความ รูสึกตัวซ้ําอีก หรือเมื่อทาน 23
รูตัวเองวาใจกําลังมีอารมณเกิดขึ้น ก็ขอให ทําความรูสกึ ตัวซ้ําเชนเดียวกัน ความคิด และอารมณเสียนั้นจะหายไป ใจก็ จะวางเปลาจากทุกขอีก ความนึกคิดทุกชนิด อารมณทุกชนิดเปรียบ เหมือนความฝน ที่กอเกิดขึ้นมาในใจ เมือ่ เราปลุก ตัวเองใหตื่นขึ้น โดยการทําความรูสึกตัว เชน กระพริบตาแรงๆ หรือเคลื่อนไหวอวัยวะรางกาย ลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ความนึกคิดเหลานั้น หรือ อารมณเหลานั้นก็จะหายไปจากใจชั่วขณะหนึ่งๆ เพราะเราทําความรูสึกตัวหรือปลุกตัวเองใหตื่นขึ้น อารมณ และความคิดจึงหายไป อบรมจิตอยางนี้ ฝกฝนจิตอยางนี้ใหชํานาญ ในชีวิตประจําวันเสมอๆ จนกระทั่งจิตมีความตืน่ ตัว อยูอยางตอเนื่อง จนกระทั่งความนึกคิดที่จะทําใหใจ ของทานเปนทุกข หรือมีปญหาลดลงไป หรือจาง คลายหายไป และอารมณที่จะทําใหใจของทานขุนมัว เศราหมอง ลดลงไป จางคลายหายไป อยางนี้เรียกวา ฝกอบรมจิตใจใหมี “สติสัมปชัญญะ” เมื่อสติสัมปชัญญะ มีกําลังเต็มที่ คือรูเทา รูท ัน ความนึกคิดทุกชนิดที่เกิดขึ้นในใจ รูเทา รูทัน อารมณ ทุกชนิด 24
ที่เกิดขึ้นในใจ หรือที่เรียกวา รูขณะจิตแหงตนทุก ขณะ อยางนี้เรียกวามี “สัมมาสติ” ก็จะทําให จิตใจมีความตั้งมั่น ดังนั้นทุกขทั้งหลายก็จะทําอะไร ใจของทานไมได สภาวะใจของทานก็จะมีความวาง เปลาปราศจากทุกข สภาพจิตอยางนี้เรียกวา “สัมมาสมาธิ” เพราะมี สัมมาสติ เปนเหตุปจจัย จึงทําใหเกิดผลเปน สัมมาสมาธิ
ความคิดไมมีตัวตน ความจําก็ไมมีตัวตน คนทุกขอยูกับอะไร
25
ขั้นที่ 3 การฝกฝนจิตระดับเบื้องปลาย เมื่อทานฝกฝนอบรมจิตตน ตามขัน้ ที่ 1 และขั้นที่ 2 จนชํานาญจิตใจทานมีสมั มาสติดีแลว ถูกตองแลว รูเทา รูทัน ขณะจิตของตนอยาง คลองแคลวชัดเจนจริงๆ จนใจตั้งมั่นวางเปลา ปราศจากทุกข หรือรูตวั รูตนอยูวา ทุกขที่เกิดขึ้นใน ใจนั้นทําอะไรใจไมไดแลว เพราะมีสติรูทันทุกขที่ เกิดขึ้น ขั้นตอไป เปนขั้นทีเ่ รียกวา อบรมจิต เพื่อใหเกิด “ปญญา” หรือเกิดความรูแจง เห็น จริงในสัจธรรมทั้งปวง ตามความเปนจริง วา “ธรรมชาติทั้งหลาย อาศัยซึ่งกันและกัน เกิดขึ้นอยางไร! และสิ่งทัง้ หลาย อาศัยซึ่งกันและกันเกิดขึ้น อยางไร!” เชน อารมณทั้งหลาย มีความนึกคิดปรุงแตง เปนปจจัย จึงทําใหมีอารมณเกิดขึ้น อารมณจะ
26
เกิดขึ้นเองลอยๆไมได อารมณจะตองมีเหตุ มีปจจัย ทําใหเกิดอารมณนั้นขึ้น ตัวอยาง ความไมสบายใจ - เกิดขึ้นเพราะใจ จะตองนึกคิดปรุงแตง เรื่องอะไรสักอยาง ทําใหความ ไมสบายใจเกิดขึ้น ความเครียด - จะเกิดขึ้นไดเพราะ ใจตองนึกคิดปรุงแตง เรื่องอะไรสักอยาง ความ เครียดจึงเกิดขึ้น ความวิตกกังวล - จะเกิดขึ้นไดเพราะ ใจตองนึกคิดปรุงแตง อะไรสักอยาง ความวิตกกังวล จึงเกิดขึ้น สภาวะจิต สภาวธรรมเหลานี้ เราจะเห็นได ชัดเจน เพราะเกิดจากการฝกอบรม “สติสัมปชัญญะ” จนรูขณะจิตแหงตนอยางชัดเจน แลว แตถาการฝกสติยังไมชาํ นาญ ไมชดั เจน หรือ ยังเบลอๆอยูยอมหมดหวังที่จะรู ทีจ่ ะเห็น ที่จะเขาใจ สภาวะจิต สภาวธรรมตามความเปนจริงวามัน เกิดขึ้นไดอยางไร มันมีอะไรเปนเหตุเปนปจจัย ที่ทํา ใหเกิดขึ้น
27
สิ่งทั้งหลายมีเหตุ มีปจจัย ทําใหเกิดขึ้น เชน - ความนึกคิด จะเกิดขึ้นเองลอยๆไมได ความนึกคิดจะตองมีความจําเปนปจจัยทําใหเกิดขึ้น การที่ใจตริ ตรึก นึกคิดอยูนั้น เราเคยจําเรื่องอะไรไว แลวเอาเรื่องราวที่เคยจําไดนั้นมานึกคิดอีก ความจําจึงเปนปจจัยทําใหความนึกคิดเกิดขึ้น สิ่งทั้งหลายมีปจจัย ทําใหเกิดขึ้น เชน - ความจํา จะเกิดขึน้ เองลอยๆไมได ความจําจะตองมีความรูสึกรับรูเปนปจจัยทําให เกิดขึ้น คือเราจําเรื่องนั้น เรื่องนี้ เราไปจํามาจาก ไหน? เชน - จํามาจากสิ่งที่เคยรูสึกเห็น (ทางตา) - จํามาจากสิ่งที่เคยไดยิน (ทางหู) - จํามาจากสิ่งที่เคยรูสึกไดกลิ่น (ทางจมูก) - จํามาจากสิ่งที่เคยรูสึกรับรูรส(ทางลิ้น) - จํามาจากสิ่งที่เคยรับรูสึกสัมผัส (ทางกาย) - จํามาจากสิ่งที่เคยรูสึกรูอารมณ (ทางใจ) 28
ดังนั้นความจํา จึงมีความรูสึกรับรูทางประตู ทั้งหกเปนปจจัย ทําใหเกิดความจําขึ้น จะเห็นไดวา สิ่งทั้งหลาย มีเหตุ มีปจ จัย ทําใหเกิดขึ้น เชน ความรูส ึกรับรู (เวทนา) ทางประตูทั้งหก จะเกิด ขึ้นมาเองลอยๆ ไมได จะตองมีสิ่งที่มากระทบสัมผัสกับทวารทัง้ หก ทางหู - จะตองมีเสียงมากระทบ ระบบประสาทหู จึงทําใหเกิดการรับรู ทางเสียงขึ้น หรือที่เรียกวาเกิดการไดยิน ทางตา - จะตองมีสิ่งทีม่ ากระทบ ทางตา หรือที่เรียกวา รูปกระทบตา จึงทําใหเกิดความรูสึกรับรูทางตาขึ้น หรือเกิดการ รูสึก เห็นขึน้ ทางใจ - จะตองมีความนึกคิด กระทบใจ หรือมีอารมณมา กระทบใจ จึงทําใหเกิดความรูสึกรับรูทางใจขึ้น ทางประตูอื่นๆก็กระทบทํานองเดียวกัน... เชน
29
สิ่งทั้งหลาย อาศัยซึ่งกันและกัน เปนเหตุ เปน ปจจัยซึ่งกันและกันใหเกิดกระบวนการของ ธรรมชาติเหลานี้เกิดขึ้น เพราะเกิดจากการ กระทบกับทวารทั้งหก เชน - เสียงกระทบหู ทําใหเกิดการรูสึกไดยิน แลว จําไว แลวเอาสิ่งที่จําไวมา นึกคิดปรุงแตง ทําใหเกิดอารมณขึ้น (ถาไมมี สติสัมปชัญญะ) - ตากระทบรูป ทําใหเกิดการรูสึกเห็น แลวจําไว แลวเอาสิ่งที่จําไว มานึกคิด ปรุงแตง ทําใหเกิดอารมณ เกิดขึ้น (ถาไมมีสติสัมปชัญญะ)
+ทําให
+ ทําให
+
ตากระทบรูป เกิดการรูสึกเห็น เกิดความจํา เอาสิ่งที่จําไว มานึกคิดปรุงแตง
สุข
ทุกข
ทําใหเกิดอารมณตางๆ ไมสุขไมทุกข
5
30
มันเปนปจจัยทีท่ ําใหเกิดอาการเปนลูกโซ เกี่ยวเนื่องกันอยางนี้ตลอดเวลาที่มีการกระทบ ถา เราไมมีสติสมั ปชัญญะเขามากํากับ แตถาเราฝกฝนจิตจนจิตมี “สัมมาสติ” และ “สัมมาสมาธิ” ถูกตอง เราจะรูเ ห็นและเขาใจใน กระบวนการเกิดตามธรรมชาติของทุกขที่ เกิดขึ้นในใจอยางชัดเจนแจมแจง ละเอียดลึกซึ้งเขา ไปตามลําดับ ใจเราก็จะรูวาสิ่งทัง้ หลายที่อาศัยกัน เกิดขึ้นหามีใครเปนเจาของไม! อยางนี้เรียกวา ฝกอบรมจิตจนเกิดมีปญ ญา หรือที่เรียกวา เกิด “สัมมาญาณ”
ไมตองรูวาที่เกิดขึ้นในความรูสึกเปนอะไร เพราะมันไมตั้งอยูนาน มิฉะนั้นจะเขาไปอยูในวังวนของความคิด ใหเลยไป ๆ ๆ เพราะในแตละขณะ เกิดแลวก็ดับ มันจบไปแลว
31
ภาค 3
นานาสาระ 1
พอรูทัน ทําใหมันหายไป คําวาพอรูทันทําใหมันหายไป ก็คือ มาอยูกับ ความ รูสึกตัว ไมใชไปยุงอะไรกับอารมณ กับความคิด พอมันเกิด อยางมาอยูกับอีกอยาง ไมไปยุงอะไรกับมัน พอไปทําใหมันหาย แลวไปทําอยางใดอยางหนึ่งกับ มัน มันจะแปรรูปไปอีกอยาง พอความคิดเกิดขึ้น อารมณเกิดขึ้น มาทําความ รูสึกตัว นี่คือ สัมปชัญญะ ทําความรูสึกตัว ไมใชไปทํากับความคิดกับอารมณ ถาเราไปทําอะไรกับความคิด กับอารมณ เทากับเอาสิ่งหนึ่ง ไปกระทบอีกสิ่งหนึ่ง เกิดสิ่งที่สามเลยจบไมลง จริงๆ ไม ตองทําอะไรกับสิ่งนั้น “อนิจจา วัตตะ สังขารา” คือความนึกคิด วนเวียน เกิดๆ ดับๆ ตลอดเวลา
2
อาสวะ อาสวะ หมายถึง ความเคยชินของจิตที่ยึดใหเปน ทุกขอยูร่ําไป แตจะทําอยางไร เขาใจอะไรถึงจะไมยึดติดยึดถือ เพราะความเคยชินของจิตที่เรียกวา “อาสวะ” หรือ “อนุสัย” มันจะยึดอยูอยางนั้น เพราะมันไมเขาใจอะไร มันจะยึด (เพราะไมรูวาอะไรเปนอะไร) จะสลายอาสวะตรงนี้ตองมาสุดที่ปญญา มันตองเห็น อยางถูกตอง มันตองเขาใจอยางถูกตอง พอเห็นอยางถูกตอง เขาใจอยางถูกตอง มันก็วนไป สัมมาทิฎฐิอีก ที่วาทําอาสวะใหสิ้น ถาไมทะลุปญญาตรงนี้ (เขาใจ กฎของธรรมชาติ)… มันจะคลายจากความยึดติดยึดถือใหสนิ้ เชิงไมได ยึดติดยึดถือเมื่อไรก็ทุกขเมื่อนั้น
3
อารมณ...ชีวิตที่เสวยทุกข อารมณ เปนชีวิตที่เปนทุกขแลว อารมณชี้ไปที่ชีวิตที่เสวยทุกขแลว เชน ความรูส ึกได ยิน ยังเปนความรูสึกรับรูเ ปลาๆ ไมมอี ะไรเลย การไดยิน มัน ไมมีตัวอะไรเลยมันเรียกวาเปลาๆ มันแคการไดยิน ยังไมมี ความหมายใด ๆ เลย แตถามันปรุงแตงแปรตัวไปเปนความจํา ปรุงแตงแปรตัวเปนความคิด ปรุงแตงแปรตัวเปนอารมณ เราลองทวนกลับ อารมณ เกิดขึ้นไดอยางไร อารมณ เกิดขึ้นมาลอยๆ ไมได ตองมีความคิดเปนปจจัย ความคิดทํา ใหอารมณเกิดขึ้น ความคิดเกิดขึ้นมาไดอยางไร มันตองมา จากตัวความจํา อยู ๆ มันคิดขึ้นมาลอยๆ ไมได ตองมีความ จําเปนปจจัย แลวความจํามาจากไหน ก็มาจากการรูสึกเห็น การรูสึกไดยนิ ทะลุตา หู อีกแลว ทุกสิ่งทุกอยางมันอาศัย ซึ่งกันและกันเกิดขึ้นความรูสึกรับรูทางเสียง ก็ตอ งมีเสียงมา กระทบหู การไดยินถึงเกิดขึ้น ใหเห็นเปนเรื่องของธรรมชาติซึ่งอาศัยซึ่งกันและกัน มันไมใชใครเปนเจาของในธรรมชาตินี้ มันเปนเรื่องของ ปจจยาการ ปจจยาการที่ทําใหเกิดเรื่องแตละอยางๆ มันไมมี เจาของ 4
สมมติเราไดยินเสียง แลวเราคิดวา “กู” ไดยิน แลว “กู” มาจากไหนที่จริงมันมีแค 3 เอง “กู” นีต้ ัวเกินมาแลว จริงๆ มันมีเสียงกระทบประสาทหู เกิดการไดยิน ธรรมชาติ มีเพียงเทานี้เอง แตเราไมเขาใจ บอกวา “กู” ตัว “กู” เกิน มาแลว จําไดแตยังไมคิดปรุงแตอะไร ก็ยังถือวาเปลาๆ อยู ยังไมไดปรุงแตงเปนความหมายใดออกมา เกินจากธรรมชาติ ตามความเปนจริงเรียกปรุงแตงทั้งนั้น ถาเรียกโดยภาษา คือ มันเกิดมายาขึ้น และมายาเหลานี้พาใหทุกข มายา คือสิ่งที่ไมใชของจริง เปนมายาธาตุ มายาธรรม หรือ มายากล ก็คือ หลอกลวงสิ่งหลอกลวงนี้พาเราหลง และ เราจะเห็นผิดความจริงตลอด จริงๆ โดยธรรมชาติมีเพียง 3 อยางเสียงมากระทบ หู ทําใหเกิดการไดยิน ถาจะเรียนรู ธาตุแม หรือ จักรวาลเดิม ธรรมชาติ เดิม หรือ จิตประภัสสร ดูตรงนี้ วานี่คือตัวไมเกิดไมดับ สิ่งที่ไมเกิดไมดับ ภาวะที่ไมปรุงแตงใดๆ เรียกวา วิสังขาร จะเรียกวา อมตะธาตุ อมตะธรรม ภาวะที่ไมเกิด 5
ไมตาย ภาวะที่เรียกวานิพพาน เรียกวา พระเจา คือตรงนี้ ตรงนี้เปนภาวะที่ยังไมปรุงแตง ยังเปลาๆ เราตองเขาถึงตรงนี้ดวยถึงจะไมมีใครตาย ไมมีใคร เกิดมันเปลาๆ ปราศจากความหมายใดๆ และทุกคนตอง เขาถึงตรงนี้ใหไดดวยถึงจะอยูกับความเปลาๆ อยูกบั ภาวะไม ปรุงแตงตรงนี้คือ ของจริง นิ่งเปนใบ ไมใชที่เกิดๆ ดับๆ แตของที่ตอจากนั้นคือ ของลวง ทั้งหมด คือ สิ่งที่เคลื่อนไหวทั้งหมด สิ่งที่ป รุง แต งไมใ ช ข องจริ ง ของจริ ง มันไม เคลื่อ นไหว มันเปลาๆ อยู สิ่งที่ปรุงแตงไมใชของจริง เปนมายา
ของจริงนิ่งเปนใบ สิ่งที่เคลื่อนไหว ไมใชของจริง
6
ตกใจ...รูไมทัน ประสบเหตุการณ แลวเกิดความรูสึกตกใจ มีอาการ อกสั่นขวัญแขวน นั่นเปนปกติ เพราะเหตุปจจัยที่ทําใหเปน ก็ตองเปน เชน อยูกลางแดดก็ตองรอน ฉะนั้นจะบอกวา ตองไมตกใจ ก็ไมใช ถาอะไรๆ ก็ไมสะดุงสะเทือน นั่นมันหุนยนตแลว ไมใชคน เวทนามันก็มีตามเหตุปจจัย แตใจปรุงใหเปนทุกขหรือไม สาระ คือ ใจปรุงใหเปนทุกข หรือไม ไมใชเวทนาไมมี ชี้ไปที่ทกุ ขหรือไมทุกข ไมใชชี้ไปที่เวทนา หรือไมเวทนา เหมือนเราเจ็บปวย แตใจปรุงใหเปนทุกขหรือไม เวทนาทั้งหมดมันเปนไปตามเหตุปจจัย ใจไปปรุงแตงเวทนานั้นใหเปนทุกขหรือไม ไมใช บอกวาเวทนาไมมี เวทนาเกิดตามเหตุปจจัย และดับตามเหตุปจจัย เชน เปนแผล มันเจ็บ จะบอกวาไมเจ็บไดอยางไร แตใจเปนทุกขกับเจ็บนั้นไหม ธรรมชาติของจิตก็แปรปรวนอยูตลอดเวลา ธรรมชาติของกายก็แปรปรวนตลอดเวลา แตเธอไปทุกขกับสิ่งที่แปรปรวนนั้นไหม 7
การทําความรูสึกตัว กับใหมันสลายหายไปเอง ! เมื่อเกิดอารมณสุขหรืออารมณทุกขใดๆ ควรทําความ รูสึกตัวหรือใหมันสลายหายไปเอง หรือ ทําความรูสึกตัว ดีกวา ตัวอยาง เราเอาขาแหยลงไปในโคลน เราควรลางขา เสียกอน ไมเชนนั้นขาก็จะเปอนโคลนโดยที่เราไมรูตัว ตอไปที่เปอน เปอนบอยๆ ก็หนาขึ้นๆ ฉะนั้นลางดีกวา จิตอาศัยระบบประสาทเกิด เขยาประสาทไวใหจิต คลายโดยสมบูรณเราคิดวามันหายไปเองตามธรรมชาติ เกิดขึ้น ตั้งอยู ดับไป แตมันไมแน ควรทําความรูสึกตัวนิด หนึ่ง หลักงายๆ ไมวาอยางไร ออกจากมันเสีย ถาเราไมทําความรูสึกตัว ขาก็ยังเปอนโคลนอยู พอ เปอนบอยๆ มันหนาขึ้นๆ สิ่งนั้นจะเปนอนุสัยเปนอาสวะกั้น เปนความเคยชินทางจิตชนิดหนึ่ง มันกลืนเราไปโดยไมรูตัว กลืนเปนเนื้อเดียวกัน ทํารูสึกตัวไวปลอดภัยที่สุด รูสึกตัว คือ เขยาประสาทไว ไมใหจิตหมักประสาท จิตอาศัยระบบประสาทเกิด แตถา เราไมทําความรูสึกตัว มันหมักประสาทติดอยูเลย จะหมักดานสบาย ดานสุข ดาน ทุกข ก็หมักประสาทเทากัน ฉะนั้น เคลียรประสาทใหเกลี้ยง ทุกอยางก็เปลา เขยาประสาทไวใหเกลี้ยง ปลอดภัยที่สุด 8
ดีใจ !..ปติในธรรม การเห็นความดีใจ เทากับทําความรูสึกตัวไหม? การ “เห็น เรียกวา มีสติ “ทําความรูสึกตัว” เรียกวา มีสัมปชัญญะ พอเรา “เห็น” จริงๆ ความดีใจ ก็หายไปเองไหม มันไมไดหายไป มันกลืนเปนเนื้อเดียวกัน เห็นวาอะไรเกิดขึ้น เรียกวา มีสติ ทําความรูสึกตัว เพื่อใหเกลี้ยงประสาท คือ สัมปชัญญะ ลักษณะจิตที่พอทําอะไรไดแลวดีใจ เรียก ปติในธรรม ปติในธรรมก็ตองวาง เปนปติในธรรมก็ตองรูทัน พอจิตจางคลายจากทุกข ก็มีปติขึ้น นีค้ ือปติในธรรม พอรูเทาทันปติ ปติหายไป สุขสบายก็ปรากฏขึน้ พอรูเทาทัน สุขสบาย ก็“วาง” ปรากฏขึ้น เวลาดีใจ มันอิ่มๆ มันสดชื่น นั่นแหละคือการกอตัว ขึ้นของสังขาร เปนสังขารเล็กๆ มันเปนเหตุเปนผล จากผล ก็กลายเปนเหตุอีกใหเกิดผลอีกตอไป ไมจบ นี่คือสังขาร พอเห็นดับ ตัวผลก็ดับ แตตัว “จํา” ก็มาเลนตอ มันเอาตัว “จํา” ไปปรุงตอ ปรุงโดยอัตโนมัติ ฉะนั้นเคลียรใหเกลี้ยง ประสาทไว แนนอนที่สุด 9
เหตุดับ ผลเกิด ผลดับ แตมันจําไว เอาสิ่งที่จําไว ปรุงตอไปเปนขณะจิตเล็ก ๆ ตัวที่ขาดไมไดคือ สติสัมปชัญญะ สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น ตั้งอยู ดับไป นั้นคือ ธรรมชาติ แตธรรมชาตินั้นเปนทุกขนะ (ถาหลง) เราออก จากมันหรือยัง เราเขาไปจับไปยึดอยูโดยไมรูตัว (เพราะหลง และไมรู ไมเขาใจ) เรานึกวามันไมมีแตมัน “จํา” เปนความ พอใจไว แลววันดีคืนดีในขณะหนึ่งมันก็หยิบที่จําไวมา “ปรุง” ใหดีใจซ้ํา
เราเขาใจผิดวากิริยาจิต ทั้งหลายมีตัวตนอยู จริงๆ ไมมี มันเปนแคกิริยา ที่เกิดขึ้นชั่วขณะหนึ่ง แลวหายไป........
10
ยึด อะไรเปนตัวบงวาเรา “ยึดติดยึดถือ” ไว? ตัวนั้นจะเขาไปโดยปริยาย โดยธรรมชาติจะมีแตเขาไปๆ ไมออก ธรรมชาติของตัว “อุปาทาน” มันจะมีแตเขาไปๆ ไม ออก ฉะนั้นเราทําความรูสึกตัว ออกไวๆ มันเปนความเคย ชินที่เขาไป เราเปลี่ยนความเคยชินใหม ออกมาๆ นี้ตางหาก อนุสัยความเคยชินนี้มันสะสมตั้งแตเมื่อไร เราไมรูได มันเคยชินกับการเขาไปยึดถือ ยึดติด ฉะนั้น เรารูแจงตรงนี้ ก็ทําความเคยชินในการออกมา เพื่อปองกันการเขาไปโดยไม รูตัวโดยเฉพาะตัวสบายมันออกยากที่สุด ตัวสบายอานยาก มากเพราะมันเปนตัวละเอียด และคนจะพอใจกับตัวสบาย ทุกขยังอานงายกวา สบายอานยากกวา สวรรคจึงอยูนาน ตองรูขณะจิตของตนเอง และตองซอมความรูสึกตัวเปน ระยะๆ พอเรารูสึกตัว มันตางจากตรงนี้ไหม เปรียบเทียบ โดย ถาทําความรูสึกตัวแลว รูสึกตัวอีกแลวไมแตกตางแสดง วา จิตไมเปลี่ยนแปลง
11
แตถายังมีความตาง แสดงวาตัวเมื่อกี้ไมใช (สภาวะ เมื่อกี้ไมใช) ตองทําความรูสึกตัวเปนระยะๆ เพื่อเปรียบเทียบวา มันมี หรือมันไมมี มันยังมีเปลี่ยนไปไหม หรือไมมีเปลี่ยนอีก เลย ไมมีจติ อื่นยิ่งกวาจิตนี้อีกแลว ที่ภาษาบัญญัติ นิดหนึง่ นอยหนึ่งก็ตองรูทัน คือ ไมประมาท ถาเชนนั้นใชสติสัมปชัญญะ เพราะบางทีเราก็ อานตัวเองไมออกวา มันอยูตรงไหน ตัวสบายยิ่งอานยากที่สุด ตองทําความรูสึกตัว ออก ชาออกเร็วก็ตองออก ตัวทุกขเห็นไดงาย ตัวสุขสบายเขาใจ ยาก แลวเราจะถูกตัวสุขสบายกิน (ครอบงํา) นรก คนอยากออก แตสวรรค คนไมอยากออกเพราะ มันสบาย จริง ๆ มัน คือ สังขาร เทากัน นรก คือ สังขาร สวรรค คือ สังขาร ดีใจกับเสียใจก็มีคาเทากัน คือ สังขาร (มีการปรุงแตงใหเปนอยางนั้นอยู)
12
จุดออน !... แตทําอะไรใจไมได ทุกคนมีจุดออนเมื่อถูกกระทบ ตองมีการกระเพื่อม มีการแปรปรวน มากบางนอยบาง ตามปจจัยแรงมากแรง นอยที่กระทบ พอสติมาทันก็จบ อยาคิดวาใจเราตองไมปรากฏอะไรขึ้นเลย ไมมีอะไร แผวพานเลย ผิดครับ ทุกสิ่งทุกอยางเกิดแตเหตุปจจัย แตตัว ที่จะแกไขคือ สติสัมปชัญญะ ชีวิตทั้งชีวิตไมรูสึกรูสา ไมมีปฏิกิริยา ไมมีอาการใดๆ เลย อยางนั้น กลายเปนหุนยนตแลวไมใชคน แสดงวาเขาใจ เรื่องเหตุปจจัยไมถูกตอง สิ่งทั้งหลายยอมเกิดแตเหตุปจจัย ทุกขก็ยังปรากฏอยู แตทุกขนั้นทําอะไรใจไมได เหมือนน้ํากลิ้งบนใบบอน หรือใบบัว กระทบรู แลวก็ผานไป ไมใชบอกวาทุกขไมเกิด ทุกขยังเกิดอยูตามเหตุปจจัย แตพอสติสัมปชัญญะรูทนั ทุกขนั้นหายไป พอหายไปเรียกวา ทุกขนั้นทําอะไรใจไมได ใจเหมือนใบบอนใบบัว มีน้ํากลิ้งผาน มันไมซับลง เหมือนกระดาษซับ เมื่อกอนใจเราเปนกระดาษซับ ตัวสติสัมปชัญญะจะ ทําใหกระดาษซับเสื่อมคุณภาพ ไมซับลง นี่คือความจริง จะ 13
บอกวาใจไมมีอะไรเลย โกหกครับ เพราะสิ่งทั้งหลายยอมเกิด แตเหตุปจจัย จะวาเหตุปจจัยไมมีไดอยางไร เพราะยังกระทบ อยูทุกทวาร สิ่งทั้งหลายยังเกิดแตเหตุปจจัยอยู แตพอ สติสัมปชัญญะรูทัน มันหายไป ไมซับลง หรือซับไดนิดเดียว ไดนอยมาก เรียกวา ดําเนินชีวิตอยางทุกขนอย คือซับไดนอยมาก จะบอกวาไมซับเลยก็พูดเกินไป ซับไดนอย ประเดี๋ยวก็หาย ทุกขนั้นยังปรากฏอยูตามเหตุปจจัยเสมอ ไมเชนนั้น เวลามีแผล คนนั้นตองไมเจ็บ จริงๆ ยังมี เจ็บมีปวดอยู แตปรุงอะไรไหม นั้นเรือ่ งหนึ่ง ความคิดนั้นยังกระทบใจอยู อารมณนั้น ยังกระทบใจอยูไหม ยังมีขณะจิต 2 ขณะจิต 3 ยืดเยื้อไหม แตขณะจิตแรกยังมีอยูตามปกติ ความคิดก็ยังกระทบ ใจอยูตามปกติ คําวาไมคิดปรุงแตงใหเปนทุกข คือ ไมซับลง ใจไม เปนกระดาษซับ ซับเมื่อไรทุกขเมื่อนั้น ใครจะวาอยางไรก็ตามตองหาคําตอบที่ใจตน อานใจ ตัวเองใหออกวา ใจมีอาการไหม ? ใจมีปญหาไหม ? ใจมีทุกขไหม ? 14
ความคิด ความจํา ความคิด เกิดมาไดอยางไร ? ความคิดมาจากความจํา ถาไมมีความจําเปนปจจัย ความคิดเกิดไมได ถาเรายอนไปตนตอ ตากระทบรูป ทําให เกิดความรูสึกรับรู แลวมันจะปรุงแตงแปรตัวใหเกิดธาตุแหง ความจําขึ้น และธาตุความจํานี้จะปรุงแตงแปรตัวใหเกิดธาตุ แหงความคิดขึ้น เรียกวา มันเปน ปจจยาการกัน (ปจจัยที่ทํา ใหเกิดอาการตอๆ ไป) ความจําไปอยูตรงไหน ? จริงๆ ความจําก็มิไดมี แตมันเกิดจากความรูสึกรับรู เปนตัวปรุงแตงแปรตัวใหเกิดความจํา ความจําก็ปรุงแตงแปร ตัวใหเกิดความคิด ความคิดจะเกิดขึ้นโดดๆ ไมไดมันตองมี ความจําเปนปจจัยปรุงแตงแปรตัวใหเกิดความคิด กระแส ธรรมชาติมนั จะมาตามลําดับอยางนี้ และแตละธาตุก็เพิ่งเกิด ตอนมันกระทบ คนก็เพิ่งเกิดเดี๋ยวนี้ ตอนยังไมกระทบก็ยังไม มีคน พอกระทบปบ เกิดความเปนคน เกิดกูขึ้นมา ทุกอยาง เพิ่งมีเดี๋ยวนี้ตอนกระทบ ที่ผมเรียก เกิดทันที ดับทันที ถึงจะ เขาใจเรื่องอนัตตา และเห็นความเปนที่สุดของมัน เพิ่งเกิด 15
ตอนที่มีการกระทบ ความรูสึกรับรูเพิง่ เกิดตอนนี้ แตมันยังไม จบเทานี้ ถาปลอยความรูสึกรับรูใ หทํางานก็กลายเปน ความจํา ความจําก็พัฒนาเปนความคิดอีก ความคิดพัฒนาเปนอารมณ อีก มันไปเรือ่ ยๆ แลว บางอยางอธิบายใหเขาใจเปนรูปธรรมไมได แตใจที่สัมผัส อยูมันจะเขาใจ ยิ่งสื่อก็ยิ่งหาง เพราะการสื่อก็ คือ การปรุง ความรูสึกรับรูก็เพิ่งเกิดเดี๋ยวนี้ คนก็เพิ่งเกิดเดี๋ยวนี้ อวิชชาก็เพิ่งเกิดเดี๋ยวนี้ไมใชอวิชชามีอยูแลว ตั้งอยูแลว ทุกอยางเพิ่งเกิดเมื่อมีการกระทบ ถามองลักษณะนี้ไมออก มันจะงงเรื่อง อนัตตา มันไมมี อยางไรนะ กูก็ยังมีตลอดกาล ถาหลงผัสสะ หลงการกระทบ มันจะเกิดความเปนตัวเปนตนขึ้นทันที ถาไมเห็นการกระทบ แลวเกิดรับรู
16
จบสนิท! ขันธ 5 ที่ประกอบดวยทุกขเมื่อ เกิดความรูสึกรับรูแลวก็ปรุงแตงแปรตัว เพราะปรุงตอที่ไมทุกขนั้นไมมี ฉะนั้นตัวที่จบสนิทจริงๆ จบที่ ผัสสะ แตพระพุทธเจา ทานก็สอนไว 3 ขยัก ผัสสะก็ได เวทนาก็ได ตัณหาก็ได บางครั้งทานบอกใหรูทันที่ผัสสะ บางครั้งทานบอกใหรูทันที่ เวทนา บางครั้งทานบอกใหรูทันที่ตัณหา บางบททานบอกให ออกจากตัณหา บางทบทานบอกใหออกจากเวทนา บางบท ทานบอก ผัสสะ เปนแดนเกิดของกระแสทุกข ที่ 3 จุดนี้ใคร ถนัดจุดไหน แตผมถนัดที่ผัสสะ ผมเรียก ตัดหัวรถจักรเลย ถารอ ไปถึงตัณหา อยางผมเอาไมอยูแลว แดนเกิ ด แหง การกระทบคื อ สมุ ทั ย ที่ เ ล็ ก ที่ สุ ด ถ า ไมเชนนั้นจะไปสอดคลองกับพุทธพจนที่วา “เห็นสักแตวา เห็น ” ไดอยางไร “ไดยิน สักแตวาไดยิ น” ไมได คื อไม ปรุ ง อะไร ผมจะถนัดแบบนี้ บางคนจะถนัดไปหยุดที่เวทนาก็ได หยุ ด ที่ ตั ณ หาก็ ไ ด สํ า หรั บ ผม ถ า ไปหยุ ด ที่ ตั ณ หา ผมไม มั่นใจ ผมเห็นการลากหางของจิต 17
จิตหนึ่ง จิตหนึ่ง คือ อะไร! จิตหนึ่งคือ จุดที่เกิดและดับคือจุดเดียวกัน ไมแตก ตัวออกไป พอทําทาจะคิด รูแลว ชีไ้ ปที่ตัวสังขารโดยเฉพาะเลย คือความนึกคิด พอทําทาจะคิด รูทัน จบ แตจบในลักษณะไมใชกด ไวขมไว พอรูทันมันหายไปๆ คือจากหนึ่งแลวกลายเปน ศูนย ทั้งหนึ่งและศูนยอยู ณ ที่เดียวกัน การขยับเคลื่อนไหวกายก็ตองคิด แตไมใชสาระไม ตองไปสนใจ สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ กระบวนการกายเปนเรื่องของธรรมชาติ มันจะคิดมา จากไหน ไมตองสนใจ เรามีหนาที่รูทันอยางเดียว ตรงนี้แหละคือ จบอยาง ถอนรากถอนโคน ไมมตี ัวตอ แตจบอยางนี้รูอะไรไหม ตอบวา “ไมร”ู ถาจะรูตองปลอยใหมันคิดออกมา ไปอีกขั้นตอนหนึ่ง ปลอยใหมันคิด ปลอยใหมันเกิดอารมณ เกิดวงจร ตอเนื่องออกมาถึงจะรู
18
ในชีวิตประจําวันรูเทาทันสิ่งที่กําลังคิด แตถาจะดับสนิท ทําทาจะคิดตองรูทัน ซอมทําทุกวันในชีวิตประจําวัน จะคิดก็คิดไป พออีก จังหวะหนึ่งพอทําทาจะคิดรูทัน จบ ตองทําใหชํานาญ พอจะคิด คิดไป ปลอยให ขบวนการดําเนิน แตพอทําทาจะคิด รูทัน กระบวนการไมมี กระบวนการของจิตไมมี ทดลองซอมดูแลวจะเขาใจ คิดไปแลวรูทัน ทําทาจะ คิดแลวรูทัน แลวจะเห็นมุมตางๆ พอทําทาจะคิดรูทัน จบ นี้คือตัวดับสนิท ทั้งเกิดทั้งดับอยู ณ จุดเดียวกัน แตในชีวิตคนก็ตองปรุงอยูนอยๆ แตไมทุกข หรือ ดําเนินชีวิตอยางทุกขนอย ชวงไหนที่เราตองการดับสนิท เราก็ไมปลอยใหมัน ทําทาจะกอขึ้นมาเลยพอทําทาจะคิด ทําทาจะกอ เรารูทัน จะอยูอยางมีก็ได จะอยูอยางไมมีก็ไดตามที่เรา ตองการ เหตุปจจัยที่ตองมี ก็มี เมื่อไรไมมีเหตุปจจัยที่จะให มี ก็มาอยูกับความไมมี ขึ้นอยูกับเหตุปจจัย 19
สนใจ...ใหคา... ถาเราไมสนใจอะไรนานๆ คามันก็หายไปจากใจเรา ถาเราไมเพิ่มเติมอยูเรื่อย สิ่งนั้นก็จางตัวไป มันอยูที่ เราสนใจมันหรือไมสนใจแตตองดูการทําเหตุของเราดวย บางทีบอกวาไมสนใจ แตเราทําเหตุอันนั้นอยู เมื่อทําเหตุอัน นั้นอยูผลก็ตองปรากฏบางครั้ง เราก็ทําเหตุโดยไมรูตัว ความกังวลเกี่ยวกับสิ่งนั้น ความคิดเกี่ยวกับสิ่งนั้น นั่นแหละคือสนใจ เรามองวาที่เราสนใจคือเราพอใจ แตมีอีก ดานหนึ่งที่เรามองไมออก คือ ที่เราไมพอใจก็คือ เราสนใจ ดานหนึ่งสนใจเพื่อใหอยู อีกดานสนใจเพื่อจะผลักออก เราตองไมใหคาทั้ง 2 ดาน คือ ดานปฏิเสธ และดานพอใจ แตระวังใหดี พอจะไมใหคา จริงๆ มัน ปฏิเสธสอยูขางใน คือเราไปคิดวาความรูสึกนั้นมันตั้งอยู จนความรูสึก มันกลายเปนตัวตน เราไมมองความรูสึกเปนแตมายา แครูสึกรับรูแลวก็ดับ สิ่งที่ถกู รู เกิดแลวก็ดับ สิ่งที่เขามารูเกิดแลวก็ดับ 20
เชน เอามือลูบแขน ถาลูบ ก็รูสึก ถาไมลูบก็ไมรูสึก พอลูบเสร็จ ความรูสึกนี้ก็ดับลง มันแคความรูสึกรับรูแลวก็ ดับ เราทําแตเหตุอยางเดียว เมื่อใจไมมีอะไร ก็รูวาใจไมมีอะไร แลวก็จบ แตพอ “ใจ” กําลังมีอะไร ก็รูอีกวา “ใจ” มีอะไร แลวก็จบ พอ “คิด” แวบขึ้นมา ก็หายแลว ที่หายไปเรียกวา “ดับ” เรียกวา “ไมมี” กระบวนการนี้เปนคายกลของจิต พอ คิดขึ้นมาทีไร ก็มี แลวก็ดับไป เปนแคพฤติกรรม เปนแค กิริยา เปนแคอาการที่เกิดๆ ดับๆ อยูตลอด เกิดขึ้น ตั้งอยู ดับไป ไมใชเปนตัวเปนตนใดๆ เปนแคความรูสึกรับรูแลวก็ วาง คือ โดยสรุปแลวยึดติดยึดถืออะไรไมไดสักอยาง พอยึด อะไรก็มีปญหาอยูกับอันนั้น คือ เราหลงวาสิ่งนั้นมีอยูจริงๆ พอสบาย ก็เริ่มจับสบาย นั้นเริ่มเห็นผิดไปแลว ทําแตเหตุอยางเดียวไมตองไลจับผล พอเหตุถูกตอง ผลปรากฏอยูเองโดยไมตองไลจับ พอทําทาจะคิด รูทัน ทํา อยูแคตรงนี้ เมื่อเหตุถูกตองผลปรากฏเอง พอผลปรากฏก็ไม จับผล แตกร็ ูอยูวาเปนอยางไร แตกไ็ มจับ
21
พอไปเฝาผล กลัวผลจะหาย กลายเปนผลมีอยูจริง ไมอยากใหมันหาย ทําไปทํามา “จิตคลาย” กลายเปน “จิต กอ” อีก เพราะไปตั้งปอมเฝาผลตลอด จาก “ไมมี” กลายเปนสิ่งที่ “มี” อีกแลว ตรงนี้อยูท ี่ความเขาใจที่ถูกตอง จริงๆ เชน พอ “เบาสบาย” เราก็อยากใหมีอยูอยางนั้น นี่ตัว ราย คือไมอยากใหมันหาย จริง ๆ ตัว “เบาสบาย” เกิดจากเรา ทําเหตุตางหาก ฉะนั้นเราทําที่เหตุอยางเดียว เบาสบายเรื่อง ของมัน ผลปรากฏเองเมื่อเหตุถูกตอง ในชีวิตจริง เราเอาความจํามาปรุงแตงใหเกิดอารมณ พอเกิดอารมณเสร็จ จําไว แลวเอามาคิดใหม ใหเกิดอารมณ ใหม ก็วนเวียนอยูอยางนี้ ออกจากวังวนแหงทุกขนี้ไมได
ถายังติดรูอยู จิตไมเปน อนัตตาเด็ดขาด
22
ทุกขมีอยูแตทําอะไรใจไมได! ทุกขมีอยูแตทําอะไรใจไมได! เชน โดนมีดบาดก็ยังเจ็บ ! ใช มีแผลก็ยงั เจ็บ เรียกวา เกิดแตเหตุปจจัย เพราะยัง มีกายและความรูสึกรับรูท ํางานรวมกันอยู จะหายเจ็บเมื่อ แผลหายไป กระบวนการทุกขใจเกิดเมื่อจิตคิดปรุงแตงตอ จากอาการเจ็บปวยของกาย ทุกขกายเปนเรื่องของการกินยาและหาหมอ ทุกขใจ โดยการรับ เปนเรื่องของตนที่ตองบําบัดออกจาก ทุกข เปลี่ยนความรูสึกรับรูทางจิตไปอยูกับความคิดอื่นๆที่สบายใจ ไมเกี่ยวกับเรื่องที่เปนอยู หรือปรับความรูสึกรับรูไปอยูกบั ความรูสึก โปรง โลง เบา สบาย เพื่อใหทุกขนั้นจางคลาย ไป เจ็บก็เจ็บ แตจิตไมคิดปรุงแตงตอจากอาการเหลานั้น เปลี่ยนความรูสึกรับรูไปอยูกับใจที่สบาย จะทําใหดีกรี ความเจ็บตรงนั้นมันถูกแบงออกไป เวทนากายมีอยูจริงๆ แตไมสรางเวทนาจิตซอน ไม สรางทุกขทางจิตซอนเขาไปอีกเรื่องหนึ่ง ทุกขทางกายมีอยู แนๆ เชน เราเดินนานๆ ก็เมื่อยขาแนๆ กระบวนการ ทุกขเวทนากายเกิดเสร็จสรรพ แตระวังเวทนาจิต (ปรุงแตง แลว) เขาไปรวมวง ไมสรางทุกขซอนเขาไปอีก ทุกขนั้นมีอยู จริงๆ ตรงนัน้ ใครๆ ก็หลีกไมพน แตทุกขนั้นหามีเจาของไม 23
ทุกขเพราะคิดปรุงแตง ในชีวิตประจําวันรูทันสิ่งที่คิดปรุงแตงที่ทําใหเกิดทุกขหรือ เกิดปญหาทางใจ คิดยาว มีโอกาสทุกขมากกวาคิดสั้น แตพอเรา รูท ัน ทุกขจางคลายหายไปหรือไม ผมจึงใชคําวา “จิตจางคลาย จากทุกข” พอจางคลายหายไป ก็กลายเปน ความวางเปลาจาก ทุกข ใหดําเนินชีวิตใหทุกขนอยที่สุดตางหาก ไมใชไมมี ทุกขเลย เพราะมันมีเหตุปจจัยใหทุกขมันเกิด ถา “คิดยาว” แลวตัดไมออก ตองใช “คิด” มาปราบ “คิด” เหมือนกัน หาวิธีพลิกแพลงออกมาใหได หลัก คือ กายเบาใจเบา เปนตัวชี้ขาดวาเราอยูในภาวะ อะไร ทุกขมันจรมาเปนคราวๆ ได แตพอเรามี “สติ รูทนั ” ทุกขจางคลายหายไป มันจะไมหายไปทันทีทันใดก็ได แต มันคอย ๆ จางคลายหายไป ซึ่งเราจะไปบอกวาตองไมมีเลย ไมใชนะ มันมีตามเหตุตามปจจัย แตพอเรารูทัน มันหายไป หายชาหายเร็วนั้นอีกเรื่องหนึ่ง 24
จุดเปลี่ยนคือ จาก “รูป-นาม” คูที่ไมมีทุกข จะ “มี” ทุกขก็มาจาก “ความคิดปรุงแตง” ที่เปนเหตุใหเกิดทุกข นั่นเอง “คิด” แลวเกิดอาการ อาการนั้นเรียกวา “ทุกข” “คิด” แลวเกิดอาการทางใจ “คิด” แลวเกิดอาการทางวาจา “คิด” แลวเกิดอาการทางกาย เรียกวา “ทุกข” ทั้งหมด แตถา “คิดอยางมีสติ” อาการก็ไมมี กลายเปน “คิด ธรรมดาที่ไมเกิดทุกข” เมื่อ “คิด” อยางธรรมดา รูป-นาม คูใหมที่เปนทุกขก็ไมเกิด
การที่ทุกขทําอะไรใจไมได เพราะเรามีสติ ทุกขทําอะไรเราไมได เพราะเรามีความเขาใจ และรูเทาทันทุกขที่เกิดขึ้นและดับไป
25
สติ กับ คิดปรุงแตง เปนคูตอสู “สติ” กับ “คิด” เปนคูปรับกัน เปนคูตอสูกัน รูป-นาม คูนี้คือคูตอสูอันยิ่งใหญจริงๆ มันจบตั้งแตคูแรกแลว “คิด” พอรูวากําลังคิดอะไร รูทัน มันจบตั้งแตคูแรกแลว ไมวา “คิด” นั้นจะกอใหเกิด “ทุกข” หรือไม ถา จะ “ดับสนิท” พอทําทาจะ “คิด” ใหรูทัน แตในชีวิตคน ธรรมดามั น ต อ งคิ ด ถ า “คิ ด ไม เ กิ ด ทุ ก ข ” ก็ รู อ ยู ก็ รู ทั น เหมือนกัน ทั้ง “คิดธรรมดา และคิดไมธรรมดา” พอ “สติ” เราเก งขึ้ นๆ พอแปรตั ว นิด มั น รู ทัน พอรู ทัน ทุก ขทํ า อะไรใจไมได ไมใชบอกทุกอยางไมมี พอทําทาจะแปรตัว มันรูทันๆ สภาวะอยางนี้เรียกวา ทุกขทํา อะไรใจไมได ฉะนั้นตัวที่เรา ฝกจริง ๆคือ ฝกตัวรูทัน
26
ชีวิตที่หยวนๆ อาวุธที่ชวยพิชิตทุกข พิชิตจิตปรุงแตงใหเปนทุกข คือ ตัวสติปญญา สติ คือ ตัวรูเ ทารูทัน หรือความรูสึกตัว ปญญา ชี้ไปที่เห็นเหตุปจจัยที่กระทบกันเห็นสิ่งซึ่งอาศัยกัน เกิดขึ้นเปนทอดๆ ไป ชีวิตในกระแสโลกเปนชีวติ ที่หยวนๆ จะยกตัวอยาง ใหชัดๆ ทําไมจึงบัญญัติแคปจจัย 4 เพราะเปนปจจัยพื้นฐาน ในการดําเนินชีวิตที่พอเพียง แตชีวิตจริงคนเราตองการสิ่ง อํานวยความสะดวกมากมาย เชน มีรถ บานหลายๆหลัง เครื่องประดับมากมาย สนองความตองการไมจบสิ้น แนวทางปฏิบัติที่จะดําเนินชีวิตใหหยวนนอยที่สุด คือ มีชีวิตที่พอเพียง อยาปลอยไปตามอํานาจกิเลสตัณหาของ ตัวเองและหมูชน สติเราจึงแข็งบาง ออนบาง ถาเราปฏิบัติแบบนักบวช สังคมภายนอกก็มองวานี่ ประหลาด เราก็จะอยูลําบาก เราทําเทาที่ทําได เราตองเขาใจ ตัวเองอยางยิ่ง ปญญาตองมาอยางยิ่ง พิจารณาแยกแยะเหตุ 27
ปจจัย และตัวปญญาจะเสริมใหสติแข็งแรง ตัวปญญาและ สติตองแนบกันมาตลอด แยกแยะเหตุปจจัยการกระทบตลอด เอาปญญามาเปนตัวเสริมใหน้ําหนักมากขึ้น ตัวอยางเชน สมมติไปงานเลี้ยง เพื่อนยกเคกมากินที ไร อยากกินทุกที จะไมกินก็ไมได กินนิดหนอย แตใจรู อาน ใจตัวเองใหขาด ปญญาตองมาอยางแรง สติลวนๆ เอาไมอยู ทําไมเรากินกันทั้งวัน นี่หยวนหรือไมหยวน ตั้งใจกิน หนเดียว นอกเหนือ เวลาที่ตั้งไวไมกินจุกจิก แลวพวกเรา หยวนหรือไมหยวน พอมันไมมีกรอบเลยทําให พัฒนาสติไมดีเทาที่ควรจะเปน พอมีกรอบมีวินัยก็เปนตัวชวย เปนรั้วที่จะปองกันขาศึกศัตรู คํา วา วินัย คือ รั้ว
28
การเห็นความจริงของชีวิต การเห็นสาระสําคัญสุดยอด ที่จะพาเราออกจากทุกข เปนการเห็นขณะจิต เห็นระบบของจิต เห็นขั้นตอนของจิต ที่เรียกวา ปรมัตถ เราเห็นความรูสึกรับรู เกิดแลวก็ดับตามปจจัยกระทบ ความคิดเกิดแลวก็ดับ อารมณเกิดแลวก็ดับนี่คือเห็น ปรมัตถ เห็นสาระสูงสุดที่จะพาเราออกจากทุกขได ทุกขที่เกิดขึ้น มันก็ดับไปเอง ที่นี้มันไมดับเพราะ เขาไปยึดถือ เปนอุปาทาน ถาไมเห็นตามความเปนจริงสภาวะ นี้เรียกวา อวิชชา มันเห็นไปตามความคิดเรา เห็นไปตามการ ยึดติดยึดถือของเรา ถาเราเห็นตามความเปนจริง ความคิดปรุงแตงที่ เพิ่มเติมไปจากนั้นมันก็ไมมี เราเริ่มเห็นตั้งแตเราเริ่มแยกขันธ 5 แลววา ความนึกคิดเกิดแลวก็ดับ แลวตัวความคิดเองก็ไม รูตัวมันเอง ตองมีจิตอีกตัวหนึ่ง เกิดขึ้นมารูวา เมื่อกี้คิดอะไร มันตองเห็นจะจะตั้งแตตรงนี้ แตถาเราแยกตรงนี้ไมชัด มัน จะพราๆ เลือนๆ 29
ถาไมมีสติ จะเห็นความคิดไมได เพราะมันเขาไปใน ความคิดเสียแลว มันไปนึกหา คิดหาเสียแลว พอพูดวาปฏิบัติธรรม คนเราก็เริ่มทําตัวผิดธรรมชาติ เสียแลว ความคิดเขาไปบงการตั้งแตแรก อยูในภาวะนึกหา คิดหาหมด ไมไดเห็นวา ความคิด คิดขึ้นมาแลวก็ดับ จิตอีก ตัวหนึ่งเกิดขึ้นมารูวาเมื่อกี้คิดอะไร ตัวคิดตัวแรกมันไมรู เรื่อง ตรงนี้เปนความลึกลับจริงๆ แลวอีกตัวที่มารูก็ดับจริง ๆ ถาไมมีสติ เห็นตรงนี้ไมได ตองมีสติตั้งแตเห็นคิด ถามีความคิด แลวรูทัน นั่นเรียกวา มีสติ แลว รู ตามหลังก็ยังดี เดี๋ยวมันคอยๆ แกกลาเอง
ฝกเห็นคิด คือ ฝกสติ (หรือ รูสึกวา ใจกําลังคิดอยู)
30
ไมกาวหนา !! ฝกปฏิบัติยังไมกาวหนา คนอื่นกาวหนากวา ! คอยๆ ทําไป เห็นทุกขก็จัดการที่ทุกข เห็นความคิด ก็จัดการที่ความคิด เพียรพยายามไมลดละ ทําแบบไมทิ้ง แต ก็ไมใชจริงจังจนเกินไป และก็ไมใชไมสนใจเลย คือเอาความ สบายเปนตัวตั้ง ทําอยางสบายๆ เพราะงานอยางนี้ไมใชงาน วิ่งแขง มันเปนงานที่เรียกวาคอยๆ พัฒนาความเขาใจ เหมือน ปลูกตนไมตองรดน้ํา พรวนดิน ใสปุย ดูแลไปเรื่อยจนกวา วันใดวันหนึ่งมันออกลูกออกผล ไมใชวาปลูกวันนี้ พรุงนี้ ตองออกดอก มันเปนงานที่ผิดกับงานชนิดอื่นๆ เราคิดวาเรา จะตองเอาใหได ความคิดกินเรียบแลว บางวันรูสึกฝกไดดี บางวันก็ฝกไมไดดี ! นั่นเพราะเราไปตั้งความหวังวา มันจะตองเปนอยาง นั้นอยางนี้ นี่ความคิดอีกแลว แคเราคอยรูเทาทันความคิด รูเทาทันอารมณเทานั้น ไมไดหวังผลอะไร ไมไดตั้งความหวัง ดวยวาผลจะออกมาอยางไร แตพอเกิดอะไรขึ้น รูทันเทานั้น ไมมีหวังผลใดๆ การหวังผลคือความคิด ในใจเรามันมี 2 สภาพ อยูตลอดเวลา ทั้งดี ทั้งไมดี เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยูตลอดเวลา เราตองยอมรับตรงนี้วาทั้ง 31
ดีทั้งไมดีเกิดอยูตลอดเวลา เราจะเลือกแตดีอยางเดียวไมได คือ เรารับไดทั้ง 2 สภาพ ทั้งดีก็รบั ได ทั้งไมดีก็รับได ออ ! ดีมันเปนอยางนี้ ออ ! ไมดีมันเปนอยางนี้ แตจุดที่เราตองการ ยิ่งใหญกวานั้น ออกจากสิ่งที่ทั้งดี และไมดี แตกอนจะถึงจุด นั้นมันก็เปลี่ยนไป เปลี่ยนมาอยูตลอดเวลา เดี๋ยวดี เดี๋ยวไมดี ตลอดเวลา แตเปาที่สุดของเราคือ หลุดพนจากทั้งดีและไมดี ตัวนี้เปนตัวลออยูตลอดเวลา เดี๋ยวสบาย เดี๋ยวไมสบายอีกแลว แตภาวะที่เราตองการไมใชตรงนี้ ตัวนี้ เปนแคมารยาอีกชนิด หนึ่งเทานั้น ดีก็รูทัน ไมดีก็รูทัน จบ ทั้งดี และไมดีก็คือภาวะทุกข ถาเราไปยึด ออกจาก ทุกขไดก็วางเปลา จบ ตรงนี้ อาศัยเวลาจากการทําแลว ผิดบาง ถูกบาง เปนการคอยๆ พัฒนาขึ้น ถูกบาง ผิด บาง แพบาง ชนะบาง ไมเปนไร อยาไปคิดวา ทําไมกูแพ นะวันนี้ ไมใช แพก็แพ แพก็รับได ชนะก็รับได นี่เราจะไป รับหนาชนะอยางเดียว ไมมีหรอก เราอยาไปตั้งหลักเอาแต ถูก ผิดไมเอา รับไดทั้ง 2 ดานแหละ อารมณเสียก็รูวาอารมณ เสีย แลวก็ จบ อารมณดีก็รูวาอารมณดี แลวก็จบ ไมใชไป บอกวา ทําไม! วันนี้อารมณเสีย ! อยางนี้ผิดแลว อะไรเกิดขึ้นในใจ รูทัน แลวจบ ทั้ง 2 ดาน ทั้งดานดี และดานไมดี
32
ใจเปนดั่งใบบอน อยาคิดวาใจเราตองไมเกิดปรากฏอะไรขึ้นเลย ไมมี อะไรแผวพานเลย ทุกสิ่งทุกอยางยังเกิดอยูตามเหตุปจจัย แต ตัวที่จะแกไข คือ สติสมั ปชัญญะ กระทบรูแลวก็ผานไป ไมใชบอกวาทุกขไมเกิด ทุกข ยังเกิดอยูตามเหตุปจจัย แตพอสติสัมปชัญญะรูทนั ทุกขนั้นก็ หายไป พอทุกขหายไปเรียกวา ทุกขนั้นทําอะไรใจไมได แต ตอนนั้นทําอะไรใจไดแวบหนึ่ง ใจเหมือนใบบอนใบบัว มีน้ํา กลิ้งผาน มันไมซับลงเหมือนกระดาษซับ เมื่อกอนใจเราจะเปนเหมือนกระดาษซับตัวสติ สัมปชัญญะจะทําใหกระดาษซับเสื่อมคุณภาพ ไมซับลง แค ผานไป จะบอกวาใจไมมีอะไรเลย ไมจริง เพราะสิ่งทั้งหลาย ยอมเกิดแตเหตุปจจัย จะวาเหตุปจจัยไมมีไดอยางไร ยัง กระทบอยูทุกทวาร แตพอสติสัมปชัญญะรูทัน มันหายไป ไมซับลง หรือซับไดนิดเดียว ไดนอยมาก เรียกวาดําเนินชีวิต อยางทุกขนอย ทุกขนั้นยังปรากฏอยูตามเหตุปจจัยเสมอ ไมเชนนั้น เวลาเปนแผล ก็ไมตองเจ็บแลวถาบอกวาไมมี 33
อะไรเลย ยังมีเจ็บมีปวดอยู แตปรุงแตงอะไรตอไหม ความคิดนั้นยังกระทบใจอยูไหม อารมณนั้นยังกระทบใจอยู ไหม ยังมีขณะจิตสองขณะจิตสามยืดเยื้อไหม สวนขณะจิต แรกยังมีอยูตามปกติ คําวาไมคิดปรุงแตงใหเปนทุกข คือไมซับลง ใจไม เปนกระดาษซับ ซับเมื่อไรทุกขเมื่อนั้น ใครจะวาอยางไรก็ ตามตองหาคําตอบทีใจตน อานใจตัวเองใหออกเทานั้นแหละ ใชคําวาดําเนินชีวิตอยางทุกขนอย คือ ทุกขทําอะไรใจไดนิด เดียว
ทุกขนั้นทําอะไรใจไมได เหมือนใบบอนใบบัว(ใจ) มีน้ํากลิ้งผาน(ทุกข) มันไมซับไมซึมลงใบ
34
มายา สมมติ “ไมยึดติดสิ่งที่เปนมายา ไมใหคาในสิง่ สมมติ” สิ่งที่เกิดขึ้นในจิต เปนมายา คือ เกิดขึ้น หายไป ไมตั้งอยู สมมติก็คอื สิ่งที่เขาสมมติใชกันอยูใ นโลกทั้งหมด เชน ชื่อ ยศ ตัวหนังสือ สมมติมีไวเพื่อใชงาน ไมใชเพื่อยึดติดยึดถือจนเปนทุกข ทุกสิ่งก็เหมือนมายากล เกิดแลวก็ดับ เกิดแลวก็ดับอยูอยาง นั้น ยึดติดอะไรไมได เหมือนจิต คิดแลวก็หายไป อารมณก็หายไปไมมีอะไร นี่คอื มายา เหมือนกับลมพัดมาก็หายไป แลวเราไปเที่ยวจับลม ไดอยางไรกัน เพราะเราไมเห็นความจริง วา ความคิดเกิดแวบแลวก็หาย อารมณเราเกิดแวบแลวก็หาย เราไปคิดวา มันเกิดแลวมันตั้งอยู เราติดไปกับมัน เรายึดติดสิ่งนั้นเปนจริงเปนจัง เชน เราคิดอะไรสักเรื่อง คิด เสร็จก็หายไปแลว ที่นี้เรายึดติดวามันตองเปนอยางที่เราคิด ปญหามาแลว จริงๆ ความคิดตรงนั้นหายไปแลว 35
ถาไมไดอยางที่เราคิด เรากลุมใจ เราเครียด ตัวมายาหายไป แลว แตเราไปหยิบขึ้นมาอีก ภาวะตรงนี้ เรียกวา หลงมายา ที่เรียกวา โมหะ สิ่งที่เราคิด มันหายไปตั้งแตเชาแลว พอไมไดอยางที่เรา คิด เลยหงุดหงิดอยางนี้หลงมายา ถาเราเห็นความคิดตรงนั้น หายไปแลว ตัวราย คือ จําไววาคิดอะไร พอไมไดอยางที่คิด มัน หงุดหงิดงุนงาน คือ ความจริงมัน (สิง่ ที่เราคิด) มันหายไปแลว (ดับ) แต เราปฏิเสธความจริงเพราะเราไมเห็น เราเขาใจไมไดวา ความคิดตัวนั้นมันหายไปแลว พอเราไดอยางที่เราคิด ก็ดีใจ นี่ก็หลงแบบหนึ่ง พอมันหายไป ก็เสียใจ นี่ก็หลงอีกแบบหนึ่งอีก เจอคายกลตลอด ที่ภาษาโบราณวา กับดักพญามาร พญามารมีไพรพลเสนามากหันไปทางไหนก็ติดกับ ดักของมันหมด เพราะเราไมเห็นตัวแรก(ความคิด) เสียแลว
36
ไมเห็นหัวหนาโจร(ความคิด) วา มันหายไปแลว ที่เกิดที หลัง ลูกนองโจรทั้งนั้น เหมือนโจรเหยียบรอยไวในบาน เหยียบแลวหายไปแลว เราเจอแตรอย รอยนี้พาเรามั่ว รอยนั้น คือ ความจํานั่นเอง สมมติ คือ สิง่ ที่คนคิดประดิษฐขึ้น คิดสรางขึ้น แตสอื่ หรือสมมติทั้งหมด มีไวเพื่อใชงาน ไมใชเพื่อยึด ติดยึดถือเพื่อใหทุกขนะ แตก็ตองมีสมมติ ถาแยกสมมติไม ออก เราหลงทันที เราจะถูกสมมติดูด เชน ใครมาดาวาบา ถาเราคลอยตาม ก็บาไปกับมัน จริงๆ มันแคเสียงกระทบหู แตมายาตรงนี้ตองเห็นถึงจะเขาใจ เราจะออกจากภาวะโมหะ หรือหลงได ตองเห็น ออ! เกิดแลวก็หายไปๆ เหมือนกับ ลมมาวูบแลวก็หายๆ เราไปเที่ยวไลจับลมแลวเราก็บา
37
เปลาๆ ! ความรูสึกเปลาๆ กับไมรสู ึกตางกันอยางไร ? รูสึกเปลาๆ ยังรูสึกอยู แตไมมีทุกขหรือไมมีปญหา ทางใจปนอยู ถาไมรูสึกรับรูทางทวารทั้ง 6 คือ สิ่งไมมีชีวิต เชน รูสึกลมพัดถูกตัวเรา นี่รูสึก แตกร็ ูสึกแคตรงนั้นเอง ไม มีอะไรตอจากนั้น รูส ึกตามความเปนจริง ตามีหนาที่เห็น หู มีหนาที่ไดยิน ระบบผิวหนังมีหนาที่สัมผัสเสียดสีตามความ เปนจริงทุกอยาง แตไมมีอะไรเลยไปจากอันนั้น อยางนี้เรียกวา รูสึกเปลา ๆ อยู เห็นก็สักแตวาเห็น ไดยินสักแตวาไดยิน ไดกลิ่นสักแตวาไดกลิ่น การที่มีดีใจ เสียใจ ไมเปลาแลว (ตอง มีสติสัมปชัญญะเขามาชวยแลว)
38
ปลอยใจใหวา งเปลา หมายความวาอะไร ? หมายถึง ความคิดดับไปแลว มันดับไปเอง เรา เพียงแตเฝาดูมัน พอความคิดหายไป ใจก็วางเปลา ในขณะความคิดเกิดใจ ไมวาง ผมตองการใหคนดูความคิดของตนเอง อยาเขาไปใน ความคิดนั้น ใหเห็นความคิดมันเกิด-ดับ มันคิดอะไรก็รูวาคิด คิดอะไร แลววางเฉยเสีย พอมันคิดอะไรขึ้นมาอีก ก็รูวาเมื่อกี้ คิดอะไร แลวก็วางเฉยเสีย ไมนําเอาสิ่งนั้นมาคิดปรุงแตงซ้ํา อีก ถาหยุดคิดไประยะหนึ่ง เหมือนเราไมรูสึกอยางทําอะไร ? นี่เปนการสะกดความคิด สะกดใจตัวเองใหนิ่ง ไมใหคิดแลวนะ ถาทําถูกตองจริงๆ ยิ่งกลายเปนคนขยัน ยิ่งกลายเปนคนกระตือรือรนตางหาก ไมใชกลายเปนคน เฉื่อย ถาสะกดไปนานๆ ความจําก็จะไมทํางานดวย ตอไปชักจะจําเลอะๆ เลือนๆถาสะกดใจตัวเองไว พอเรากดไมใหความคิดเกิด มันก็มีผลเชื่อมโยงไปสู ความจํา ทําใหจําอะไรไมได เพราะมาจากกดใจใหเครียด นั่นเอง หรือทําใหผิดธรรมชาติไป 39
ผมใชคําวา ใหรูทันความคิด ไมใชบังคับความคิด ไมใหเกิด รูท ันอยางสบายๆ ไมใชกดไวขมไวไมใหคิดเกิด อยางนั้นความคิดจอทายเลย จอติดอยูเลย คือ คิดควบคุมความคิดไมใหเกิดขึ้น หรือคิดทําใจเฉยๆ ไวพอรูทันมันหายไป ความคิดอัน นั้นจะคอย ๆ ออนกําลังลง มันจะบางลงๆ จะสูงายเขี่ยหลุด งาย ถาตัวใหญๆ เขี่ยไมออก ตองเคลื่อนไหวชวย
อยูกับวาง แตอยายึดวาง
40
เฉย vs วาง เฉย กับวาง ตางกันอยางไร? เฉย ก็เฉย แตวางไมไดเฉย คนละสภาพใจ เฉย เหมือนใจถูกบังคับใหนิ่งอยูกลายๆ จะเรียกวากด ก็ได จะเรียกวาถูกบังคับใหนิ่งอยูกลายๆ มันยังไมใชตัวสุด เพราะตัวสุดใจไมไดถูกบังคับ ใจมันเปนอิสระ ไมถูกบังคับ ไมถูกกดขม ไมไดถูกประคองไว พูดงายๆ ไมมีการกระทําทางใจใดๆ อีกเลยนั่นคือ วาง ถายังมีการกระทําทางใจอยู ยังไมใช มันเปนของมันอยูเองโดยไมตองมีการกระทําทางใจใดๆ พูดโดยผม ถายังทําอยู ยังไมวาง ถาวาง ไมตองทํา ในขณะที่ยังไมวางก็ตองทํา ถาวางแลวไมตองทํา คือ ใจมันเปนไปเองแลวโดยไมตองไปทําอะไรมันอีก มันเปนไป เองแลว มันพนจากการกระทําทั้งมวลลงแลว มันผันจากการ ปรุงแตงที่จะใหเปนไปทั้งดานบวก และดานลบ
41
ทุกขเมื่อไรมันจะไมวาง แตถามันวางแลว มันจะไมทุกข ใจมันเปนอิสระของมันอยู ทุกขทําอะไรใจไมได ทุกข แคผานไปผานมาเหมือนน้ําที่กลิ้งอยูบนใบบัว ใบบอน มันไมซับลงไป น้ําเปรียบเหมือนความทุกข มันไม ซับเขาไปในใจแลว มันแคกลิ้งไปกลิ้งมา แตมันไมซึมลงไม ซับลงไป พอหยุดพูดมันก็หยุดกลิ้ง เพราะในความวางมัน ไมไดเปนอะไรสักอยาง ถายังเปนอยูเรียกวาสังขารทั้งหมด ไมวาจะอยูในอารมณสมาธิ อยูในอารมณฌาน อยูในภาวะ ทุกข นั้นเรียกวา สังขาร ทั้งสิ้น ขณะที่ทําอะไรอยู ไมมคี วามคิดที่เปนทุกข เหมือน น้ํากลิ้งบนในบอน ใจไมไดเปนอะไร ถายังมีความมี ความเปนอยูในใจ นั่นแหละ สังขาร ภาวะที่จะเปนไดนี้ตองมีสติดี แตจะมีสติไดก็ตองเห็นความคิดกอน เห็นอารมณกอน ทุกสิ่ง ทุกอยาง เกิดขึ้น ดั้งอยู ดับไป ตามเหตุปจจัย ไมมี เจาของ
42
มึน ทึบ ตื้อ ขณะที่ทําสมาธิ ทําไมจึงเกิดอาการมึน ทึบ ตื้อ ? ถาเราทําผิด จิตกับระบบประสาทมันไมลงตัว จิตมัน กดประสาทมากเกินไป ทําใหระบบประสาทไมโปรงเบา สบาย วิธีแกไข คือ ทําความรูสึกตัว เชน เคลื่อนไหวรางกาย หรืออวัยวะอยางใดอยางหนึ่ง และในขณะที่เปลี่ยนอิริยาบถ เชน ขยับตัว โยกตัว ลุกเดิน จิตก็ตองเปลี่ยนไปดวย ไมใชขณะที่กายเปลี่ยน แตใจก็ยังตั้ง นิ่งอยู ขณะที่ฝกสมาธิจนเกิดปติ ทําไมยังเกิดมึน ทึบ ตื้อ ? เปนเพราะเกิดการเรงเราใหมันเปนอยูอยางนั้นไม เปลี่ยนแปลง (ซึ่งจริง ๆ แลว อารมณ สมาธิทุกชนิดก็เกิดขึ้น ตั้งอยูระยะหนึ่ง แลวดับไปเหมือนกัน) แลวจดจอหมกมุน จะใหมันเปน บังคับใหมันเปนมากไป พอนานๆ ไป ความหมกมุน จะกลายเปน ความเครียด แทรกเขามาทีละนิดๆ โดยเราไมรูตัว พอนานๆ เอะ! ทําไมมันมึนไปหมด ทั้งๆ ที่ทาํ ปติอยู จริงๆ มัน 43
เปลี่ยนไปแลว แตเราเขาใจวาเหมือนเดิม มันเปนปติที่คอยๆ มีความเครียดแทรกเขามาปนแลว มันเริ่มมีพลังงานที่ไมดีเขา มาปนในอารมณปตินั่นแลว ใจมันไมโปรงโลงเบาสบายอยู ในจิตระดับปติที่แทจริง มันเปนพลังงานจิตไปแลว ถาทําอยางพอดี ตองรูสึกโปรง โลง เบา สบาย ทั้งกายทั้ง ใจ ถาไมสบายแสดงวาเสียสมดุล จิตกดประสาท ควรผอน คลายสักพัก แลวคอยมาเริ่มทําใหมไมใชยิ่งเครียดยิ่งลุย ในชีวิตประจําวันรูเทาทันสิ่งที่กําลังคิด ถาจะดับสนิททําทาจะ คิดตองรูทัน พอทําทาจะคิด รูทัน จบ นี่คือตัวดับสนิท ทั้งเกิดทั้งดับ อยู ณ จุดเดียวกันเราจะเห็นวามันเปลาๆ ไมมีอะไรปน เพราะ มันไมมีวงจรอื่นเขามา พอทําทาจะคิด รูทัน พอมันทําทาจะ กอมวลสังขาร รูทัน สังขารทั้งหลายก็สลาย ก็ดับ แตในชีวิตคนก็ตองปรุงอยูนอยๆ แตไมทุกข หรือดําเนินชีวิตอยางทุกขนอย แตชวงไหนที่ตองการดับสนิทเราก็ไมปลอยใหมัน ทําทาจะกอขึ้นมาเลย พอมันทําทาจะกอ ทําทาจะคิด เรารูทัน
44
ถาเราไมฝกใหดับสนิท? ถาเราไมฝกใหดับสนิท เราอาจหลงได แทนที่จะเร็ว มันอาจชา เพราะในชีวิตคนมันตองปรุง แลวเราจะเขาสูความ ดับสนิท ความวางเปลาจริงๆ อยางไร เราซอม “ดับสนิท” ทุกวันในชีวิตประจําวัน จะคิดก็ คิดไป พออีกจังหวะหนึ่ง พอทําทาจะคิด ก็รูทัน จบ ตรงนี้ ก็ตองทําใหชํานาญ ใหชํานาญทั้งคู พอจะคิด คิดไป ปลอย ใหกระบวนการดําเนิน แตพอทําทาจะคิด รูทัน กระบวนการ ของจิตไมมี ทดลองซอมดูแลวจะเขาใจ คิดไปแลวรูทัน ทําทาจะ คิดแลวรูทัน ซอมดู แลวจะเห็นมุมตาง คิดไป เปนการเรียนรูวงจร จะเรียกทุกขไมทุกข ยัง สรุปไมได เปนการเรียนรูวงจร เรียนรูการจําแนกธรรม เรียนรูสภาวธรรมตางๆ วงจรขันธ 5 ถาทําทาจะคิดแลวรูทัน มันดับหมดแลว เราจะไป เรียนรูจากอะไร เราอยูในอัปปนาสมาธิตลอดเวลา เปนภาวะ จิตที่ตั้งมั่น ไมมีทุกข คิดแลวรูทัน อยูที่ขณิกกสมาธิ เพื่อเรียนรูวงจรของ จิต เรียนรูล กั ษณะของจิต เรียนรูพฤติกรรมของจิต ตรงนี้ เพื่อใหเขาใจวาถาทําอยางนี้ดับสนิทเต็มรอย ถาทําอยางนี้คือ ไมเต็มรอย วางเหมือนกันแตไมเต็มรอย เหมือนกับวาไม ยอมใหเกิด กับยอมใหเกิด จะอยูอยางมีก็ได จะอยูอยางไมมี ก็ไดตามที่เราตองการ เหตุปจจัยที่ตองมีก็มี เมื่อไมมีเหตุปจจัย ก็มาอยูกับความไมมี ขึ้นอยูกับเหตุปจจัย 45
ถือสา ทําใจอยางไรไมใหถือสา ? คุณตองยอมรับความจริง สมมติวา เห็นคนไมดี คุณก็ตองยอมรับความจริงวาเขา เปนคนไมดี จบแลวก็จบ ไมตองไปมีเงื่อนไขวาทําไมเขาไมดี อยางนี้ ทีย่ อมรับอยางนั้น เพื่อใหใจเราสบาย เพื่อแกปญหาใจ เรา ไมใชไปแกที่เขา เราไปแกใหเขาไมไดหรอก เขาตองแก ของเขาเอง เราทําไดแค ใหคําแนะนํา เล็กๆ นอยๆ เทานั้น ที่ผมเขียนไมถือสา ไมใหคาพวกนี้ เพื่อแกปญหาเรา ไมใหใจมีปญหากับเขาไมเชนนั้นใจเราก็จะมีปญหาอยูกับเขา ไมเลิก ไปมีเงื่อนไขทางใจ ทําไมเขาตองเปนอยางนั้น ทําไม เขาตองเปนอยางนี้ กลายเปนจบไมเปน จบไมเปนเพราะเรา ถือสา เราใหคา ถาเราใหคาอะไร สิ่งนั้นก็จะมีคาอยูในใจเรา ถาเราไมใหคาสิ่งนั้นก็จะไมมีคาอยูในใจเราเลย คือเราไมเอาสิ่งนั้น เรื่องนั้น คนนั้น เขามาคิดปรุงแตงอยู ในใจของเรา
46
ปจจุบันธรรม เห็น ณ ปจจุบัน เห็นอยางไรที่เปนปจจุบันธรรม พอคิดแวบ เห็น คิดแวบ รูทัน ตรงนี้คือ ปจจุบันธรรม (คือเห็นทุกข เห็นจิตคิดปรุงแตง ใหเปนทุกข) พอรูทัน มันหายไป จบ พอรูทัน มันหายไป ใจวางเปลา ถาทําอยูตรงนี้ วงจรขันธ 5 ถูกตัด คําวาจิต หลุดพน หลุดพนจากอะไร ก็หลุดพนจากทุกข หลุดพนจากปรากฏการณที่มันเกิดขึ้น หลุดพนจากขณะจิตนั้น ขณะจิตที่เกิดขึ้นมันทําอะไรเรา ไมได ถาเราเชื่อวาปจจุบันมาจากอดีตแลวปจจุบันก็จะสงผล ตอไปอนาคตมันเชื่อมโยง ดูสิ่งที่เราหยิบเอามาคิดทั้งหมด มันคืออดีต ความจํา ไมใชอนาคตนะ มันเอาอดีตทั้งนั้นมาคิดใหม มันตอเนื่องกัน ไปอยางนี้ เราเรียนรูไดแตปจจุบัน อดีตเราเรียนรูไมได อนาคตเรา ก็เรียนรูไมได 47
ในกระบวนการฝายนามธรรมยากที่จะเขาใจ สวนที่เปน รูปธาตุพอเขาใจได เอะ! เดี๋ยวเราก็เปนอยางนั้น เอะ! เดี๋ยวเราก็เปนอยาง นี้ ก็คือ กระบวนการปรุงแตงและเราก็หลุดจากกระบวนการ ปรุงแตงนี้ไมได บางทีเราไมไดปรุงหรอก แตจิตภายในปรุง แตง โดยเอาความจําเกาๆ มาปรุงใหมเราจับประเด็นไดที่ ปจจุบันเทานั้น การแกไขก็แกไขที่ปจจุบัน แกท่อี ดีตไมได หรือจะไปแกที่อนาคตก็ไมไดอีก รูเทาทันปรากฏการณที่เกิดขึ้น ณ ปจจุบัน พอเกิด แลวดับ แลวกลายเปนความจํา แลวจําตั้งแตศตวรรษไหนอีก ไมรู ตัวความจําก็เปนธาตุฝายนามธรรม นามธาตุชนิดหนึ่ง เปนธาตุแตละอยางๆ แตทํางานรวมวงกัน ดูในกระบวนการขันธ 5 แควงจร 3 วงคือ ความคิด ไปเอาความจํามาคิดใหมใหเกิดอารมณใหม พอจําไวมันจะ หยิบเอาที่จําไวมาคิดใหม ใหเกิดอารมณใหม เราก็ออกจาก วังวนตรงนี้ไมไดเลย เดินเปนวงกลมใน 3 วงนี้ วันๆ วนอยู ตรงนี้ เอาความจําเกามาคิดใหมใหเกิดอารมณแลวก็จําไว แลวจิตตัวความคิดไปหยิบตัวที่จําไวมาคิดใหมใหเกิดอารมณ
48
ใหม วนเปนวงใหญอยูเรื่อย แลวเราก็ออกจากวงจรทุกข ไมได ชีวิตของเราทั้งหมดไมพนวงจรขันธ 5 ไปไดหรอก ความรูสึก ความจํา ความคิด อารมณ วนอยูในวงจรนี้ เราทํา ไดแคมีสติรูทันเทานั้นเอง พอรูทันมันหายไป ใจวางเปลาๆ ปราศจากทุกข ตัวรูทันตัวเดียว เทานั้นที่ จะตัดวงจรนี้ได วางเปลาจากทุกข วางเปลาจากปญหาทางใจ
49
คูนอก-คูใน ทุกข ถาแยกคูใหชัด คือ ทุกขทางกายคูหนึ่ง ทุกข ทางใจคูหนึ่ง หรือกายกับ เวทนาทางกาย นั้นคูหนึ่ง (คูนอก) ความนึกคิดกับอาการทางจิตนั้นอีกคูหนึ่ง (คูใน) และสองคู นี้เปนเหตุเปนปจจัยกัน คือคูในเปนเหตุใหเกิดคูนอก คูนอกเปนเหตุใหเกิดคูใน ตัวอยาง พอตาเห็นปุบ คิด คูในมาแลว พอหูไดยิน คิดทันที คูในมาแลว ตัวชีวิตประกอบดวยกายกับจิต จิตจะเกิดอยางเดียว ไมได ถาเปนสิ่งมีชีวิตจิตประสาทตองอาศัยประสาทกายเกิด ถึงเปนตัวชีวิต กายกับความรูสึกรับรูทางกายนี่คูหนึ่ง คือกายอยาง เดียวไมมีชีวิต ตองมีความรูสึกรับรูดว ยถึงเปนตัวชีวิต กายกับความรูสึกทางกายนั้น เปนตัวชีวิตคูหนึ่ง ตา กับ ความรูสึกเห็นนั้น เปนตัวชีวิตคูหนึ่ง หู กับความรูสึกไดยินนัน้ เปนตัวชีวิตอีกคูหนึ่ง จมูกกับความรูสึกรับรูก ลิ่น นั้นอีกคูหนึ่ง นี่คือ คูนอก 50
อวิชชา หรือ ขาดสติ ทําใหความนึกคิดปรุงแตงเกิด พอความนึกคิดเกิดทําใหอารมณเกิด นี่คือ คูใน เกิดอยูภายใน แลวสงผลมาสูคูนอก สงผลมาสูกาย และความรูสึกทางกาย เชน เวลาคิดแลวเครียด เครียดคืออาการทางใจ แลว สงผลมาสูคูนอกทําใหกายก็ออกอาการ (ใจสั่น ปวดศีรษะ ปวดทอง ทองเสีย นอนไมหลับ) แลวคูนอกเปนเหตุใหเกิด คูใน (กังวลใจ กลัว เปนตน) จะเห็นวาคูนอกคูในวิ่งสลับไปสลับมา ประโยชนของการแยกคูนอกคูใน เพื่อจะปลอยวาง ทุกขกายทุกขใจ เมื่อคูในเกิดเราจะวางอยางไร เมื่อคูนอกเกิด เราจะวางอยางไรถึงจะไมใหคูในเกิดดวย คือเราจะทําอยางไร ไมใหคูนอกกับคูในปนกัน เชน พอตาเห็น เริ่มคิดแลว ก็รูทันความคิด พอไดยิน นีค่ ูนอก พอเริ่มคิด คูในมาแลว ฉะนั้น ระวังความคิด กระดูกหัก เจ็บ จะทําอยางไร เจ็บก็รูวาเจ็บตามความ เปนจริง แตใจคิดทุกขซอนเขาไปไหม จะรักษาก็รักษากัน ไป แตใจไปปรุงแตงใหทุกข ใหเกิดอารมณรวมขึ้นมาอีก ไหม นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง
51
ชาติสุดทาย เมื่อจิตหลุดพนก็รูวาจิตหลุดพน ชาตินี้เปนชาติสุดทาย ชาติ หนามิไดมี คือ จบแลวจบเลย คือจบลงแควงจรเดียว ไมมี วงจรที่สอง วงจรที่สาม ตัวอยาง เมื่อเกิดอารมณเสีย ก็จบลงแคอารมณเสีย อยามี วงจรตอไป ไมใชวาพอเกิดอารมณเสียปุบ ไปคิดวาไมนา เกิดอารมณเสีย ไปอีกวงจรหนึ่งแลว ไมนาโงนี่ก็อีกวงจรหนึ่ง แลว ไมนาขาดสติ นี่ก็อีกวงจรหนึ่ง ไปเรื่อย พอไปคิดตอก็ สรางวงจรใหม อยางนี้เรียกวา จบไมเปน จบไมลง พอคิดใหมก็เกิดวงจรใหม ฉะนั้น จบ จบใหสนิทจริง ๆ ดูซิวา เบากายเบาใจไหม คําตอบอยูตรงนั้น อยูในภาวะที่ไม มีจริง ๆ ไหม ถาไมเห็นตรงนี้ก็ไมเห็นอะไรเลย เมื่อไมเห็น วงจรแรก วงจรที่สองก็ยังมีคือ ชาติตอไปก็ยังมี เหมือนการ เกิดของ “ทุกข” ครั้งนี้เปนครั้งสุดทาย ครั้งหนามิไดมี การ เกิดของ “ทุกข” ขางหนามิไดมี ไมมีเหลือเยื่อใยเปนวงตอไป ดับสนิทไมมีสวนเหลือใหมีเยื่อใยวงตอไป มันจบ ถาเราจะตอเราเปนผูตอเองแลว ไมใชทําอยางขาดสติ แลวนะ เรียกวา “เปนผูทําเกิดและเปนผูทําดับเอง” ไมไดทํา ตามเรื่องตามราว เราเปนผูตัดและเราก็เปนผูตอ เรามี “สติ” เขามาควบคุมกํากับแลว ตัวอยาง พอทําไดแลวดีใจ ดีใจเปนวงที่สองแลวพอ ทําไมไดแลวก็เครียด เครียดก็เปนวงที่สองแลว 52
ไมเห็นก็ไมตองไปหา อารมณอะไรมาก็ได แตพอรูทัน เปลี่ยน ไมใชไป บังคับอันนี้ไมตองมา เชน กระพริบตา พอหายไป ก็คือ จบ ถาพยายามไปจับความคิด ก็จะพาหมกมุน ไมเห็นก็ ไมตองหา ถาเขาไปหาเมื่อไรคือ หมกมุน หมกมุนเมื่อไร ลากเขาไปหาสมถะ ลากเขาไปหาจิตจดจอ พอสบาย ก็ กลัววามันจะหาย นี่คือ สมุทัยตัวจริงเลย รูทันอยางเดียว รูทันแลวเปลีย่ นไปเปนอยางอื่น ทํา อยูแคนี้เอง ไมเห็นไมตองไปหา เอาเฉพาะที่เห็น คิดหา เมื่อไร นั้นคือหมกมุน ทําอยางสนุกสนาน ไมใชตั้งทาเปน จริงเปนจัง แพก็ยิ้ม ชนะก็ยิ้ม ทําใหสนุก เรียกวา ราเริงในธรรม มันละเอียด แตละ คนตองจับทิศของตัวเอง ตองจับ พฤติกรรมของตัวเองใหได ไมมี ใครจับใหได ตัวเองตองชาง สังเกตของตัวเอง และตองสังเกต อยางสบายๆ อยาหมกมุน จิตมัน พรอมที่จะพาใหเราหลงกลอยู ตลอดเวลา มันหลอกทั้งโลก มันคือธรรมชาติที่ครอบงํา สรรพสัตว เปนหนาที่ของมัน 53
หนาที่ของเราคือฝกสติรูทัน พอเรารูทันคิดชัดๆ มันก็เกิดคิดแผวๆ ถาไมสังเกต เกือบจะไมรูเลยวามันคิดตัวแผวๆ เราไมรูทัน ปลอยเขาไป สั่งสมไป กวาจะรูก็ออกอาการแลว
ฝกนักมวย นิดหนึ่ง นอยหนึ่ง ก็ตองรูทัน ความคิดที่อยากจะทําใหความคิดหายไป เปนตัวทําให ผิดพลาดได เลยไปทําทุกวิถีทางใหมันหายไป บังคับบาง กดขมบาง การกระพริบตา เปนตัว เปลี่ยนไปเลย เหมือนกับไมตองไปทํา อะไรกับมันเลย บางที เราจะไปบังคับใหมัน ไมเกิดโดยไมรูสึกตัวก็มี โดยไปทําใจนิ่งๆ ไว
54
เมื่อจิตหลุดพนก็รูวาจิตหลุดพนจากทุกข พอมันหายไปเหมือนกับเราไมไดทําอะไรมันเลย ก็จบ เราชอบเอียงไปอยางนี้สบายดีแลว ก็อยูตรงนี้ไมไปไหน จิตคนทุกคนชอบเสพสบาย นี้เปนเกมกลอันลึกซึง้ พอสบาย แลวไมอยากเปลี่ยนไปไหน อยูตรงนี้ ก็เลยติดกับพอดี จริงๆ ตัวรูทันไมไดปนความอยาก เราไมไดทําใน ลักษณะใหมันหายไป เราแคฝกตัวรูทันๆ เหมือนกับเปนการ ตอสู 2 ฝาย ระหวาง ฝายสังขาร หรือ ฝายทุกข กับสมุทัย ฝายหนึ่ง และ ฝายสติ กับ ปญญา ฝายหนึ่ง 2 ฝายนี้ไมมี “เรา” อยูเลย แต เราฝกตัวสติปญญาใหแกกลา เพื่อสูกับฝายทุกขกับสมุทัย เหมือนเปนเจาของคายมวย ฝกนักมวยใหดีไมใชตองขึ้นไป ตอยเอง เจาของคายขึ้นตอยเองเมื่อไร ความอยากล้ําหนา หนาที่เราคือ ฝกนักมวยหรือฝกสติใหแกกลา ฝกตัว รูทันใหกลาแกรง ใหเกงขึ้นเทานั้น แตเราไมทันใจ เราจะ ขึ้นไปชกเสียเอง ฝายทุกขและสมุทัยมีโดยธรรมชาติ ไมตองไปฝกมัน สิ่งที่เกิดขึ้นในใจเรานั่น คือ ทุกข เกิดขึ้นออกมาทางวาจานั่น คือ ทุกข ออกมาทางพฤติกรรมทางกายนั่น คือ ทุกข 55
แตทุกขมีสมุทัยเปนเหตุ ถาพูดเปนวิชาการ ก็มี 3 กลุม 1. กลุมกายสังขาร (ปรุงแตงใหเกิดกิริยาตางๆทางกาย) ที่ เปนทุกข 2. กลุมวจีสังขาร (ปรุงแตงใหเกิดคําพูดตางๆ) ที่เปนทุกข 3. กลุมมโนสังขาร (จิตสังขารปรุงแตงใหเกิดความคิด ตางๆ) ที่เปนทุกข พระพุทธเจาสอนใหออกจากสังขาร 3 กลุมนี้ ใหละสังขาร ปลอยวางสังขาร เห็นสังขารเปนของไมเที่ยง, เปนทุกข เห็นตรงไหนทําตรงนั้น บางครั้งเราเห็นทุกขไมเห็นเหตุแหงทุกข(สมุทัย) บางครั้งเห็นเหตุแหงทุกขไมเห็นทุกข บางครั้งก็เห็นทั้งคู บางครั้งมันเร็วจนเราไมเห็น ฉะนั้นเห็นตรงไหนก็ทําตรงนั้น ที่ผมบอกไมเห็น ก็ไมตองหา คืออยางนี้ เราจะเห็นทั้งคูให ได ก็เลยมั่ว ทุกขเกิดก็รูเทาทันทุกข สมุทัยเกิดก็รูเทาทันสมุทัย บางครั้งมันเร็วมากจนเราไมเห็น ถาไปมัวหาก็หมกมุน ถา 56
เชนนั้นทําอยางงายๆ พอรูทันมันหายไป ไมวาทุกขหรือ สมุทัยก็คือ จบ เราจะไดไมหมกมุน ถาไปหาก็เสร็จ หา คืออะไร ก็คือ นึกหา คิดหา กลายเปนไมจบ จริงๆ มันจบไปแลว แตเราไมจบ สรางขึ้นมาใหมอีก โดยภาษาเขาบอกใหดับที่สมุทัย แตจริงๆ สมุทัย บางขณะก็เห็นไมไดจริงๆ เหมือนกัน แตทุกขนั้นเห็นได ถา เชนนั้น ตัวไหนเกิดกอนก็ดับตัวนั้นกอน รูทันตัวนั้นกอน ตัวที่ไมเห็นก็ยังไมตองหา หาเมื่อไรก็คิดเมื่อนั้น คือ ทําใหปญหาใจนอยที่สุดและสั้นที่สุด เร็วที่สุด เมื่อเริ่มเห็นทุกข เห็นสมุทัย ใจก็เริ่มคลายจากทุกข เห็นชัดขึ้นๆ ใจก็ชํานาญขึ้นจนกระทั่ง ทุกขทําอะไรใจไมได คือภาวะที่เรียกวา นิโรธ ตอนแรกทุกขก็เริ่มจางคลาย ทําแลวทําอีกจนทุกอยาง มันชัดขึ้นๆ จากจางคลายแลวกลายเปนหายไป พูดใหชัดคือ เห็นทุกขเห็นสมุทัยอยางแจม แจงก็เปนนิโรธ ตอนแรกเริ่ม จางคลาย คือเห็นบางไมเห็น บาง ตอมามันหายไป อะไร หายไป ทุกขนั่นเองที่หายไป
57
รู หรือ ไมรู ในการดําเนินชีวิตประจําวันหลายๆอยาง อาจ กอใหเกิดปญหาแกตนเองและผูอื่นทั้งที่ตั้งใจและไมตั้งใจก็ ตาม จนทําใหเกิดความทุกขกายทุกขใจ เหตุก็คือ ความไมรู ในเรื่องของทุกข หรือที่เรียกวา อวิชชา อวิชชา คือ
ความไมรู ในเรื่อง - ในเรื่องของทุกข - ในเรื่องตนเหตุที่ทําใหเกิดขึ้นแหงทุกข - ในเรื่องความดับสนิทแหงทุกข (ทุกขหายไปจากใจ) - ในวิธีการทีจ่ ะปฏิบัติตน ฝกฝนตนเพื่อออกจากทุกข
อวิชชา เกิดตอนไหน ? อวิชชา เกิดตอนขาดสติ ไมใชตั้งอยูตลอดเวลา เพิ่ง เกิดตอนขาดสติ เมื่อสติมา อวิชชา เปนวิชชา ทุกสิ่งทุกอยาง เปนปจจุบันหมด ไมมีอะไรตั้งอยูแบบเที่ยง เปนปจจุบันตาม เหตุตามปจจัย 58
และที่อธิบายวาวิชชาตั้งอยูตลอดการนั้น ก็ไมใช อวิชชาเพิ่งเกิดเดี๋ยวนี้ เกิดพรอมขาดสติ ณ ขณะจิตนั้น ผัสสะ ที่ประกอบดวยอวิชชา คือ ผัสสะนั้นขาดสติ ถาผัสสะนั้นประกอบดวยสติ มันก็เปนวิชชา พูดเปนขณะจิตๆ ที่เปนปจจุบันธรรม เพราะขณะจิต นั้น เพิ่งเกิดขึ้นตามเหตุปจจัยตอนนั้น ไมใชมันเกิดอยูแลว เชน จักษุวิญญาณ ความรูสึกเห็น เกิดตอนตากระทบ รูป มันถึงจะเกิดจักษุวิญญาณ เกิดการเห็น ถาตาไมกระทบ รูป จักษุวิญญาณก็ยังไมมี ยังไมเกิด มันตองอาศัยซึ่งกันและ กัน ตองเห็นแจงๆ เปนปจจุบัน ปจจุบันธรรม คือ ณ ขณะจิตที่เกิด ถึงจะเห็นการ เกิดทันทีทันใด จะเขาใจ เกิดทันทีดับทันที ไมใชมสี ิ่งใดที่ตั้งอยู ไมเชนนั้น มันละอัตตา หรือปลอยวางความรูสึกเปนตัวเปนตนไมออก วิชชา คือ ความรูในเรื่องอริยสัจ 4 วิชชา คือ ขณะจิตที่ประกอบดวยสติสัมปชัญญะ สติปญญา อยูกับรู คือ อยูกับวิชชา
59
ความจริงในใจ ความจริงในใจ หรือ สภาวะจริงตามธรรมชาติที่ ละเอียดลึกซึ้งที่เกิด-ดับอยูในใจ ตลอดเวลา เปนความจริงแท ตามธรรมชาติ หรือที่เรียกวา ปรมัตถ เชน ความคิด อารมณ ความจํา มันเปนสิ่งที่มีอยูจริงๆ ไมตองสมมติ ไมตองไปบัญญัติ สิ่งเหลานี้มีอยูแลว นี่คือ ความจริง อยางเชน เสียงกระทบหู ทําใหเกิดการไดยิน การได ยินจะเกิดขึ้นไดตองอาศัยเสียงกระทบหู นี่คือ ปรมัตถ เปน กระบวนการธรรมชาติอาศัยซึ่งกันและกันกอเกิดขึ้น ไมมี ใครบัญญัติ มันเกิดของมันอยูอยางนั้น สมมติสัจจะ คือ ความจริงแทที่ใชกนั แบบโลกๆ ใช สื่อกันทางโลก ปรมัตถสัจจะ คือ ความจริงอยูอยางนั้นโดยใครไม ตองไปยุงกับมัน เชน การไดยินเกิดขึ้นได ตองอาศัยเสียง กระทบหู การรับรูทางหูถึงเกิดขึ้น เมื่อเสียงหายไป ความ 60
รับรูทางหูหรือการไดยินก็หายไป นีเ่ ปนกระแสเหตุปจจัยวา ธรรมชาติอาศัยซึ่งกันและกันกอเกิดนี่คือ สัจธรรม นี่คือ ปรมัตถธรรม กระแสโลก ใครจะวาอยางไรก็ได คิดใครคิดมัน วา กันตามเรื่องใครเรื่องมัน เรื่องเดียวกันคิดสิบคนก็สิบอยาง แตธรรมชาติไมมีใครไปคิดแทนมันได อยางลม ลม มันพัด มันก็พัดอยูของมัน ใครจะไปทําอะไรกับมัน ใครไป ปรุงแตงอะไรไมไดหรอก นี่คือ ธรรมชาติ นีค่ ือ ปรมัตถ คือความจริงแทที่มีอยูจริงๆ คําวา ธรรมะ คือ ธรรมชาติ สัจธรรม คือ ธรรมชาติ ตามความเปนจริง เรารูสัจธรรม คือ รูธรรมชาติตามความเปนจริง รู ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตเปนอยางไร รูธ รรมชาติของ สิ่งไมมีชีวิตเปนอยางไร ชี้ไปทีธ่ รรมชาติของสิ่งมีชีวิตที่ เรียกวา “คน” มันเปนอยางไร แลวทําไมมันถึงทุกข และทํา อยางไรมันถึงจะออกจากทุกขได นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจาสอน คือ ธรรมชาติที่เกี่ยวกับคน คุณลองจับประเด็นตรงนี้ดู โตะตัวนี้คือสิ่งไมมีชีวิต เพราะไมมีภาวะแหงการรับรู ไมมีความรูสึกรับรูใ ดๆ และ สิ่งมีชีวิตคือสิ่งที่มีความรูสึกรับรูได และชี้ไปที่สิ่งที่มีชีวิตที่ เรียกวา “คน” มีความรูสึกรับรูดานไหนบาง ทางตา ทางหู 61
ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ และความรูสึกรับรูนี้เกิดขึ้น ไดอยางไร เกิดเพราะเหตุปจจัย เชน เสียงกระทบหู ทําให เกิดการไดยิน ทําใหเกิดการรับรูทางหูได ชีวิตทางหูเกิดขึ้น แลว แตพอเสียงหายไป ความรูสึกรับรูก็ดับ นี่คอื ชีวิต เกิดดับ เพราะเหตุปจจัย นี่คือธรรมชาติ นีค่ ือ สัจธรรม ชีวิตเกิด ทันทีดับทันทีเพราะเหตุปจจัย ถาเขาใจตรงนี้ได จะเขาใจคําวา อนัตตา วาสิ่ง ทั้งหลายเกิด-ดับตามแตเหตุปจจัย หามีใครเปนเจาของไม มองใหทะลุอยางแจมแจงเลย จะเขาใจ สัจธรรม ขั้นสูงสุดที่ เรียกวา อนัตตา หรือทีว่ า เพราะมีสิ่งนี้เปนปจจัย สิ่ง ๆ นี้จงึ เกิดขึ้น คือ สัจธรรมขั้นสูงสุด มองใหทะลุกฎธรรมชาติ นี่ คือ สัจธรรม มองทะลุกฎธรรมชาติวามันอาศัยซึ่งกันและกันกอ เกิดขึ้นอยางไร เพราะเหตุปจจัยอยางไรและดับไปเพราะเหตุ ปจจัยดับอยางไร มองใหออก เรียนรูจากของจริงๆ เลย จากตา จากหู จากจมูก จากลิ้น จากตา จากใจ เชนเสียงเหาของสุนัข กระทบหู ทําใหเกิดการไดยิน นี่คอื ของจริงๆ ไมตองไปคิด เลย ไมมคี วามคิดปน แตพอเสียงเหาของสุนัขหายไป ความรูสึกรับรูทางเสียงหายไปแลว นี่ เรียนรูจ ากของจริงๆ เลยแตตองตั้งหลักใหติดกอนนะ ชีวติ หมายถึงอะไร 62
ชีวิต คือ สิ่งที่มีภาวะ แหงความรูสึกรับรู ภาวะแหงความรูสึกรับรูน ี้ เกิดขึ้นไดอยางไร มีเหตุ ปจจัยอยางไร และดับไปเพราะเหตุปจจัย ตองมองตรงนี้ใหทะลุ แลวคุณจะเขาใจวา อนัตตา คือ เขาใจธรรมชาติตามความเปนจริง ไมตองคิด เห็นอยู รูอยูตาม ความเปนจริง ไมมีความคิดเขาไปปน คุณจะไดคําตอบ ชีวิตเปนสิ่งที่ตั้งอยูจริงหรือไม หรือ ชีวิตเกิดขึ้น ตั้งอยู ดับไปตามเหตุปจจัย คุณตองมองตรงนี้ใหทะลุดวยปญญาของคุณ ดวยความ เขาใจอยางแจมแจงของคุณ จากเห็นตามความเปนจริง อยางเชน เสียงกระทบหู นี่คือความจริง ไมตองมีความคิดเพิ่มแมแตนอย
อนัตตา คือ สิ่งทั้งหลายเกิด ดับตามแตเหตุปจจัย หามีใครเปนเจาของไม
63
รูไหมวาฉันเปนใคร ธรรมชาติของจิตฝายปรุงแตง มักจะปรุงแตงเพื่อ ความเปนไปในการดําเนินชีวิตประจําวัน แลวจําไว จน กลายเปนบุคลิกภาพของคนๆ นั้น ทีม่ ีความขัดแยงทาง ความคิด ความถือตัวถือตนวาฉันเปนนั่น เปนนี่ ความคิด และการกระทําของฉันถูกตอง คนอื่นไมใช หรือที่เรียกวา มานะทิฏฐิ มานะ คือ ความถือตัวถือตน ทิฏฐิ คือ ความคิดเห็น มานะทิฏฐิ คือ ความคิดเห็นถือตัวถือตน ถือดีถือเดน ไมยอมรับ หรืออัตตานั่นเอง วิธีทําใหมานะทิฏฐินอยลง เราไมไดเปนใครเลย เราเปนสัตวผิวดินธรรมดา ไมได เปนอะไร ที่เปนมานะทิฏฐิเพราะไปหลงสมมติวาเปนนั่นเปน นี่ เปนเจานาย เปนผูบังคับบัญชา โดยสรุปมานะทิฏฐิเปนการหลงตัวเอง ถือตนถือตัววา เปนนั่นเปนนี่ ใครจะสมมติใหเราเปนอะไรก็ได แตแคสมมติ จริงๆ สมมติเพื่อใหทําหนาที่ ไมใชไปหลงสมมติ 64
สมมติบัญญัติคือสิ่งที่มนุษยคิดขึ้นมา (สังขาร) แลว เราไปติดสมมติหรือสังขารของคนอื่น เราไมไดเปนอะไร เรา ทําหนาที่ของเราธรรมดาๆ แลวมานะทิฏฐิจะลดลง รูวาคิดอะไร แลวก็วาง พอรูทัน ความคิดก็หายไป ถา โกรธไปแลว ก็จบแลวเฉพาะเรื่องนั้น (เสียเฉพาะตรงนั้น) ไมตองไปคิดตอ เทากับสองคิด ไมเอาความคิดอื่นมาตอ เรา คือคนธรรมดาไมใชผูวิเศษที่ทําอะไรไมผิดไมบกพรอง ทุก คนมีผิดมีถูกเปนเรื่องธรรมดาของคน ออกอาการแลวก็แลว ไป จบเลย สติเรายังไมเต็มก็เปนอยางนี้ อยาเล็งผลเลิศเกินไป ไดแคไหนก็แคนั้น ไมงั้นคิดซ้ําซาก ออกอาการแลว ตองจบ เลย ไมตองไปคิดอะไรตอ อยามาคิดวาเรามาทําอยางนี้เราไม นาจะเปนอยางนั้น ตองคอยๆ ขัดคอยๆ ถูจากซุงทอนใหญ เปนแจกัน ตองคอยๆ เปนคอยๆ ไป ไมใชทําวันนี้ตองให เปนวันนี้ ไมใช มีผิดบางมีถูกบาง ออกอาการบางเปน ธรรมดา ไมใชเรื่องผิดปกติ ถาเรารูวาเกิดอะไรขึ้น แสดงวาเรากาวหนา ถาเราไมรู วาเกิดอะไรขึ้น แสดงวาเราถอยหลัง ถายังรูวาใจเราเกิดอาการอะไร รูตัวรูต นอยู อยางนอย ยังเห็นพฤติกรรมทางใจอยู ไมมีใครขัดเกลากิเลสใหเกลี้ยงใน 65
เวลาอันสั้น เราไมใชมนุษยมหัศจรรย เราตองขัดตองถู วันนี้ แพ พรุงนี้เอาใหม ลมแลวลุกใหมได จบแลวจบเลย แพก็ยมิ้ ชนะก็ยิ้ม ไมตองคิดอะไรตอ ยิ้มแลวก็จบ สวนใหญจะเล็งผล เลิศ ทําแลวตองไมออกอาการนั้นเลย ออกอาการไดทั้งนั้นทั้ง กายวาจาใจ อยาไปคิดวาทําไมเราตองเปนอยางนั้น ไมตองคิดวาเดี๋ยวตั้งหลักใหมก็คิดอีกแลว น็อตหลุดก็ยิ้ม น็อตไมหลุดก็ยิ้ม เริ่มทีถ่ กู ตอง คือ รูส ึกตัวแลว ก็จบ ไมตอง วนมาใหม จบใหเปน จบลงตรงนั้น อยาไปตั้งหลักวิ่งวนใหม ไมงั้นก็วนอยูอยางนั้น ความคิดเราเปนตัวพาวน ไมตองรําคาญ เราอยากเอาชนะ มัน มันก็จะเอาชนะเราอยูทุกวัน นี่คอื การตอสู พอเราอารมณเสีย มานั่งคิดวาไมนาอารมณเสีย แพ ความคิดอีกแลว ถูกความคิดลากไปอีกแลว วนไปแลว ใหจบ ในเรื่องเดียวอยาตอหัวตอหางเปนหลายเรื่อง นี่เปนวัฏฏะ เปนวังวน ออกจากมันไมได พอความคิด ไมมาก็นั่งนึกหา แพอยูดี “เมื่อไรจะมา” เทากับนั่งคิดอยูดี เราถูกมันหลอกอยู ตลอดเวลา คนที่จะหลุดจากกฎธรรมชาตินตี้ องเขาใจจริงๆ ยากมากที่คนจะหลุดจากกฎธรรมชาตินี้ 66
เราจะหลุดจากกฎธรรมชาติฝายปรุงแตงไดอยางไร ถา พระพุทธเจาไมมาสอน จะรูไดอยางไรจะหลุดจากความนึก คิดปรุงแตงไดอยางไร เราถูกมันลากไป เราไมเคยรูเรื่อง ธรรมชาติฝายปรุงแตงมากอน เราอยูกับมันจนเคยชิน นึกวา จะชนะ แพนี่นา ตั้งหลักใหม แพแลว แพอีก นับไมถวน สติ ปญญาอยางเดียวที่จะเอาชนะได
เราไมไดเปนใครเลย เราเปนสัตวผิวดินธรรมดา
67
เครื่องรอยรัดผูกพันจิตใจ เครื่องรอยรัดผูกพันจิตใจที่กอใหเกิดทุกขในใจ ก็ คือสังโยชน 10 จะตองละใหหมดสิ้น ไดแก 1. สักกายทิฏฐิ คือ การเห็นผิดวา กอนกายที่ ประกอบดวยความรูสึกความจํา ความนึกคิด และ อารมณ เปนตัวเปนตน การละสักกายทิฏฐิได คือ จะตองเห็นใหถูกตองวา รูปนาม ขันธ 5 หรือรูปธาตุ นามธาตุ เปนภาวะที่เกิดๆ ดับๆ อยูตลอดเวลา หาใชตัวตนไม ยึดติดยึดถือไมได ใหละวางเสีย 2. วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัยในวิธีประพฤติปฏิบัติ ในการเดินทางไปสูความพนทุกข การละวิจิกิจฉาได คือ รูทันความลังเลสงสัยในวิธี ประพฤติปฏิบัติตางๆ จนกระทั่งความลังเลสงสัยนั้น หมดไป และเชื่อมั่นวาวิธีที่ปฏิบัติ มานี้ถูกตองแลว ทํา ใหพนทุกขไดจริง 3. สีลัพพตปรามาส คือ ความหลงผิดที่ทําใหใจพลัด หลงไปสูเสนทางอื่น ซึ่งไมใชทางพนทุกข เชนทํา 68
อะไรแลวไมเกิดผลใดๆ ที่ทําใหทุกขหายไปจากใจ หรือประเมินผลในทางพนทุกขไมได การละสีลัพพตปรามาส คือ การประพฤติปฏิบัติไม พลัดหลงไปในทางที่ไมพนทุกขอีก หรือในทางที่ทําให พนทุกขไมได 4. กามราคะ คือ ความหลงผิดนึกคิดที่จะพา หู ตา จมูก ลิ้น กาย วนไปสูกามภพ (ความพึงพอใจอยาง ยึดติดผูกพันในกามารมณทั้งหลาย) ที่ยังควบคุมไมได หามปรามไมได การละกามราคะได คือ พฤติกรรมของกามคุณ 5 ขาดสูญไป การเวียน กลับมาเกิดในกามภพ คือภพ มนุษยหรือภพสัตว หรือเรียกรวมวา “ภพหยาบ” นี้ขาดสูญไป คือไมเวียนกลับมาเกิดในภพ หยาบอีก 5. ปฏิฆะ คือ ความหลงผิดไมรูเทาทันความนึกคิดปรุง แตง และอารมณที่ไมชอบใจจนทําใหเกิดความ หงุดหงิด ขัดเคืองใจ และละวางปรากฏการณของ อารมณทางใจชนิดนี้ไมได การละปฏิฆะ คือ ตองรูทันความคิดและอารมณ เหลานั้นจนมันหายไป 69
6. รูปราคะ คือ ความหลงผิดไมรูเทาทัน ความนึกคิดที่ คอยดิ้นรนทะยานอยากอยูในใจอยางเห็นไดชัดที่จะ ไปสูกามภพ (ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย) การละรูปราคะ ได คือ สามารถรูทันสิ่งนี้จนมัน หายไปได 7. อรูปราคะ คือ ความหลงผิดไมรูเทาทัน ความนึกคิด ที่คอยดิ้นรนทะยานอยากอยูในใจที่จะไปสูกามภพ (ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย) ซึ่งมีลักษณะแผวเบากวา รูปราคะ การละอรูปราคะ คือ รูทนั มัน หายไป 8. มานะ คือ ความหลงผิด ถือตัวถือตน ถือดี ถือเดน วาเปนนั่นเปนนี่ ซึ่งจะตองละใหหมดไป 9. อุทธัจจะ คือ ความหลงผิด ไมรูเทาทันจิตที่ฟุงซาน ไปในทางที่ชอบใจ และไมชอบใจ และความเกอเขิน หรือไมแนใจในการชี้ขาดความพนทุกขของตน 10. อวิชชา คือ ความหลงผิดไมรูเสนทางที่จะพาตนให พนจากทุกขอยางเกลี้ยงเกลาสนิท การละอวิชชา คือ รูทันวิธีที่จะทําใหใจพนทุกขโดย สิ้นเชิง 70
องคประกอบของชีวิต ในคนทุกคนประกอบดวยสิ่งที่เรียกวา รางกาย กับ จิตใจ หรือรูปธรรมกับนามธรรม ซึ่งอาศัยกันเกิดขึ้นเปน สิ่งมีชีวิต และแสดงออกโดยกิริยาอาการตางๆตามธรรมชาติ 5 ลักษณะ หรือ 5 อาการ ดวยกันเรียกวา ขันธ 5 มีลักษณะ ดังนี้ คือ 1. รูปกาย หรือ รางกาย รวมทั้งคุณสมบัติ และ พฤติกรรมทางกายทุกชนิดประกอบดวยองคประกอบ ยอยไดแก อวัยวะตางๆ เชน หนา ตา ลําตัว แขน ขา กระเพาะอาหาร ลําไส ปอด หัวใจ ตับ ไต สมอง เปนตนซึ่งอวัยวะแตละสวนเหลานี้ตาง ประกอบดวยสสารและพลังงานฝายวัตถุธาตุ ที่ บัญญัติวาธาตุ 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุลม ธาตุ ไฟ หรือหมายถึงอาหาร น้ํา อากาศ ที่หลอเลี้ยง รางกายอยูตลอดเวลา 2. ความรูสกึ เชน ความรูสึกเห็น ความรูสึกไดยิน ความรูสึกไดกลิ่นความรูสึกลิ้มรส ความรูสึกสัมผัส เสียดสีทางกาย(เปนกิริยาทางกายและทางใจรวมกัน) 71
3. ความจํา คือกิริยาจิตชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นในใจตอ จากความรูสึก เชน จําเรื่องนั้นเรื่องนี้ได จํารูป จํา เสียง จํากลิ่น จํารส จําความรูสึกเย็นรอนออนแข็ง และการเสียดสีทางกาย จําความคิดและอารมณตางๆ ได 4. ความนึกคิด คือกิริยาจิตอีกชนิดหนึ่ง ที่เกิดขึ้นใน ใจตอจากความจํา เชนคิดถึงเรื่องราวตางๆ คิดถึงคน นั้นคนนี้ คิดจะทําอยางนั้นอยางนี้ คิดอยากที่จะเปน นั่นเปนนี่ เปนตน 5. อารมณ คือ กิริยาจิตหรืออาการทางจิตที่เกิดตอ จากความนึกคิด มีทั้งอารมณดี อารมณเสีย ซึ่ง หมายถึงสภาวะทุกขและสุขนั่นเอง ทั้ง 5 ลักษณะดังกลาวมีอยูในคนเราจริงๆ และเราก็ ทุ ก ข อ ยู กั บ สิ่ ง เหล า นี้ ทุ ก ข อ ยู กั บ ระบบการทํ า งานของ รางกาย ทุกขเพราะความรูสึกที่เกิดขึ้น ทุกขเพราะความจํา ทุกขเพราะความคิด ทุกขเพราะอารมณ นี่เรียกวาทุกขเพราะ ขันธ 5 “ทุกขเพราะเขาไปยึดถือขันธ 5 วาเปนตัวเราเปนของ เรา” 72
ถามองใหดีในรูปกาย ไมไดมีเราอยูเลย แตเราไปคิด ผิดหรือเห็นผิดวารางกายนี้เปนตัวเรา ความรูสึกตางๆ ก็เปนอาการทางกายและอาการทาง จิตรวมกัน ที่เกิดขึ้นชั่วขณะหนึ่งแลวดับสลายหายไปตาม เหตุปจจัย แตเราไปรูสึกหรือเห็นวาลักษณะจิตนี้เปนตัวเรา แลวเราก็ทุกขอยูกับตัวมัน เรียกวาเรายึดติดยึดถือมันวาเปน ตัวเราของเรา เราตองวางความรูสึกทั้งหมด ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ออกไปจากใจเสียดวย นอกจากวางระบบของ รางกายออกไปจากใจ ความจําที่มีอยูในตัวเรา เราก็ไปหลงยึดถือวาเปนเรา มี เ ราเป น ผู จํ า จริ ง ๆแล ว เป น พฤติ ก รรมของจิ ต ที่ เ รี ย กว า ความจํ า สมมติ ชื่ อ ว า เป น ความจํ า แต เ ราไปเข า ใจผิ ด ว า ความจํานี้เปนตัวเรา เราจํานั่นจํานี่ได เราจึงเปนทุกขไปกับ ความจําเหลานั้น เราไปยึดติดวาความจําเปนเรา ในความ เปนจริงพฤติกรรมทางจิตนี้ เกิดขึ้นมาชั่วขณะหนึ่งแลวก็ดับ สลายหายไป ในความจําจึงไมมีตัวตนตั้งอยูจริง ความจําตัว นี้ทําใหเราเปนทุกขไปกับมัน เพราะเราไมเห็นความจริง ไม เห็นการเกิดขึ้น-ตั้งอยู-ดับไป ของจิตลักษณะนี้ ไปเขาใจผิด หรือเห็นผิดวามีตัวตนจริง และยึดติดยึดถือเปนตัวเราของเรา 73
ความนึกคิดตางๆ ที่เกิดขึ้นในใจเรา คิดเรื่องนั้นเรื่อง นี้อยูทั้งวันทั้งคืน เราคิดวาเราเปนผูคิด แตจริงๆ แลวความคิด เปนลักษณะของจิตชนิดหนึ่งที่เกิดดับๆ อยูในเรา ไมมีเราอยู ในความนึกคิดเหลานั้น ในกิริยาจิตหรือพฤติกรรมทางจิตที่ เรียกวาความนึกคิดไมมีตัวตนอยูจริง ไมมีเราอยูในมัน แต เราไปหลงผิดวาตัวเราคิด เราจึงทุกขไปกับความคิด อารมณ เปนเพียงกิริยาจิตหรือพฤติกรรมทางจิตชนิด หนึ่ง ทั้งอารมณดี อารมณเสียเกิดขึ้นตามเหตุปจัยแตละขณะ แตเราไปคิดวาเราอารมณดี อารมณเสียอยูเรื่อย จริงๆแลว อารมณแตละชนิดที่เกิดขึ้น จะตั้งอยูไดชั่วขณะหนึ่งแลวก็ดับ สลายหายไป ไมมีตัวตนอยูจริง แตเราหลงผิดไปยึดติดยึดถือ วาอารมณเหลานั้นเปนตัวเรา เปนของเรา เราจึงทุกขอยูกับ อารมณเหลานั้น ขันธทั้ง 5 มีอยูตามธรรมชาติ แตเราเขาใจผิดคิดวา สิ่งเหลานี้เปนเรา จริงๆ ไมมีเราอยูในสิ่งเหลานี้ ทุกสิ่งตั้งอยู ชั่วขณะหนึ่ง แลวก็ดับสลายหายไป หรือเกิดๆดับๆ อยูอยาง นี้ ต ลอดเวลา เราทุ ก ข อ ยู กั บ สิ่ ง เหล า นี้ เพราะเข า ใจไม ถูกตองหรือเขาใจผิด เรียกวา เราทุกขอยูกับขันธ 5 คื อ 74
ทุ ก ข กั บ ระบบของร า งกาย ทุ ก ข กั บ ความรู สึ ก ทุ ก ข กั บ ความจํา ทุกขกับความนึกคิด และทุกขกับอารมณทุกชนิด เพราะเราคิดวาขันธ 5 นี้เปนเรา จริงๆแลวไมใช มันเปนแค ปฏิกิริยาทางวัตถุธาตุชนิดหนึ่ง และปฏิกิริยาทางนามธาตุ หรือนามธรรมอีกชนิดหนึ่งเทานั้นซึ่งตั้งอยูชั่วขณะหนึ่งแลว ดับสลายหายไป โดยไมมีตัวตนอยูในสิ่งเหลานี้เลย ถาเรา เขาใจถูกตองตามที่เปนจริง เราก็จะคอยๆวางขันธ 5 ลง วาง ความทุก ขที่เกิด จากการยึดติด ยึด ถือขัน ธ 5 เมื่อเราวางสิ่ง เหลานี้ได สิ่งเหลานี้ก็ยังเกิดอยูตามเหตุปจจัยตามธรรมชาติ แตเราจะไมทุกขไปกับขันธ 5 แลว ปกติธรรมชาติของใจคนนั้นวางเปลาเบาสบาย แต แล ว ความผิ ด ปกติ ก็ เ กิ ด ขึ้ น ในใจได เช น ความพอใจ-ไม พอใจ ความอึดอัดขัดเคืองใจ ความคิดฟุงซานรําคาญใจ เกิด อารมณ ดี อารมณ เสีย ทําให ใ จไม วา งเปล า ไมเ บาสบาย เรียกวามีความทุกขเกิดขึ้นในใจ จะตองหาทางแกไขโดยการ รูเทาทันความนึกคิดปรุงแตง และอารมณทุกชนิดที่ทําใหใจ เปนทุกข
75
ธาตุรู หรือจิตรู หรือใจ มีหนาที่รูขันธ 5 สัมพันธ กับขันธ 5 แตไมใชเจาของขันธ 5 เชน - ไปรูวากายเคลื่อนไหว กายมีการเปลี่ยนแปลง กายมิใชตัวตน - ไปรูวามีความรูสึกเกิดขึ้นในกาย เกิดขึ้นในใจ ความรูสึกเหลานี้มีการเปลี่ยนแปลง และมิใช ตัวตน - ไปรูวามีความจําเกิดขึ้นในใจ ความจํามีการ เปลี่ยนแปลงและมิใชตัวตน - ไปรูวามีความนึกคิดเกิดขึ้นในใจ ความนึกคิดมี การเปลี่ยนแปลงและมิใชตัวตน - ไปรูวามีอารมณเกิดขึ้นในใจ อารมณมีการ เปลี่ยนแปลงและมิใชตัวตน - “ เมื่อเห็นขันธ 5 ตามที่เปนจริงวามิใชตัวตน แทจริงและสิ่งที่ไปรูขันธ 5 คือ ใจ หรือ นาม ก็ มิใชตัวตนแทจริง ก็จะหมดความหลง ปลอยให ทุกสิ่งวางจากความยึดถือ เปนใจที่วางเปลา ปราศจากทุกข” 76
แนใจหรือวาสุขจริง เราทุกคนควรเขาใจวาในคนเรามีแตเรื่องทุกขเกิดขึ้น ในชีวิต จนกลาวไดวา “ทุกขเทานั้นที่เกิดขึ้น ทุกขเทานั้นที่ ตั้งอยู ทุกขเทานั้นที่ดับไป” นอกจากทุกขแลวไมมีอะไร เพราะสุขก็คือทุกขที่ละเอียดชนิดหนึ่งกอเกิดอยูในใจ ใจ คือความรูสึก เปนสภาวะนามธรรม (ไมได หมายถึงหัวใจที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงรางกาย) จิต คือกิริยาอาการทุกชนิดทีก่ อเกิดอยูในใจหรือ ความรูสึก เชน ความนึกคิดปรุงแตงและอารมณทุกชนิด แมกระทั่งอารมณสุข อริยสัจ 4 กลาวถึงเรื่องทุกข อันเปนสัจธรรมหรือความจริง ของชีวิตคนซึ่งประกอบดวย ทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข หมายถึง ความทุกขใจ ทุกขกาย เปนผลที่เกิด จากจิตนึกคิดปรุงแตงและ การยึดติด ยึดถืออารมณทุก ชนิด ( สุขสบายก็คือทุกขอยางละเอียด ) สมุทัย คือ เหตุใหเกิดทุกข หมายถึง ความนึกคิด ปรุงแตงดิ้นรนทะยานอยากที่เปนไปตามอํานาจของกิเลส ตัณหา และ ความขุนมัวเศราหมองของอารมณทงั้ หลายที่ กอเกิดรวมอยูในใจ ซึ่งทําใหใจเปนเปนทุกขตามมา
77
- จิตนึกคิดปรุงแตง ไปตามสิ่งที่ไดเห็น เปนเหตุ ใหเกิดทุกข - จิตนึกคิดปรุงแตง ไปตามเสียงที่ไดยินเปนเหตุให เกิดทุกข - จิตนึกคิดปรุงแตง ไปตามกลิ่นที่ไดสมั ผัสทาง จมูก เปนเหตุใหเกิดทุกข - จิตนึกคิดปรุงแตง ไปตามรสที่ไดสัมผัสทางลิ้น เปนเหตุใหเกิดทุกข - จิตนึกคิดปรุงแตง ไปตามสิ่งที่กระทบเสียดสีทาง รางกาย เปนเหตุใหเกิดทุกข นิโรธ คือ สภาพของใจที่สงบ วางเปลาปราศจาก ทุกขอยู เปนผลจากการรูเทาทัน เห็น และเขาใจ จิตนึกคิด ปรุงแตงอยางชัดเจน จนกระจางใจวา ความนึกคิดปรุงแตง และอารมณทั้งหลายที่กอเกิดอยูในใจ ลวนแลวแตเกิดขึ้น ตั้งอยูชั่วขณะจิตหนึ่งแลวก็ดับหายไป ยึดติดยึดถืออะไร ไมได ใจก็จะปลอยวางเปนความวางเปลา มรรค คือ วิถีทางที่ทําใหทุกขจางคลายจากใจจนหมด ทุกขโดยสิ้นเชิงโดยการ รู เห็น เขาใจ รูเทาทันจิตที่นึกคิดปรุงแตงที่ทําใหใจ เปนทุกขทุกชนิด รูเทาทันอารมณที่ทําใหใจขุนมัว เศรา หมองทุกชนิด จนสามารถปลอยวางสิ่งเหลานี้ ทําใหทุกข จางคลายลงไปเรื่อยๆ 78
หนทางพนทุกข วิถีทาง หรือ วิธีการที่จะทําใหใจจางคลายจากทุกข จนกระทั่งหลุดพนจากทุกขโดยสิ้นเชิง ตองอาศัยความเขาใจ ที่ถูกตอง เพราะใจเปนใหญ ใจเปนสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งและ สลับซับซอน การจะวางใจใหถูกตองและพนจากทุกขทั้ง ปวงได จะตองศึกษาหรือทําความเขาใจเรื่องอริยมรรคมีองค 8 ใหถูกตอง โดยเริ่มตนจากการปฏิบัติที่ถูกตอง 8 ประการ ดังนี้ 1. มี ค วามเห็ น ถู ก ต อ งหรื อ ความเข า ใจถู ก ต อ ง หมายถึง มีความเห็นและพิจารณาวา เมื่อมีความทุกข เกิ ด ขึ้ น แก ต นแล ว ทุ ก ข เ กิ ด ขึ้ น เพราะเหตุ ใ ด ทํ า อยางไรใจตนจึงจะพนจากทุกข หรือออกจากกระแส แห ง ทุ ก ข ไ ด (เห็ น อริ ย สั จ 4 หรื อ เห็ น ทุ ก ข ถู ก ต อ ง ตามที่เปนจริง) 2. มีความนึกคิดตรึกตรองถูกตอง หมายถึง มีความ นึกคิดที่จะหาวิธีการวาจะทําอยางไร จึงจะทําใหใจ จางคลายจากทุกข จนพนจากทุกขไดจนรูวาการรูเทา 79
ทันความนึกคิดปรุงแตงทุกชนิดที่ทําใหใจเปนทุกข รูเทาทันอารมณทุกชนิดที่ทําใหใจขุนมัว หรือรูเทา ทั น การเคลื่ อ นไหวของใจที่ ทํ า ให เ กิ ด ความเครี ย ด ความไมสบายใจและความไมสบายกายทั้งหลาย จะ ทําใหความทุกขจางคลายลง หรือหมดไปจากใจใน ที่สดุ 3. มีการใชคาํ พูดถูกตอง หมายถึง การรูเทาทันจิตที่ นึกคิดจะพูด กอนจะพูดอะไรใหรูเทาทันความคิด นั้นๆกอน เปนกระบวนการทํางานของใจหรือการ ทํางานทางใจลวนๆแลว คือรูเทาทันจิตที่คิดจะพูดใน ทุกขณะ ทําใหเกิดการพูดที่ไมกอโทษกอทุกขทั้งแก ตนเองและผูอื่น 4. มีการกระทําทางกายถูกตอง หมายถึง การทํางาน ของใจที่ผานการนึกคิดตรึกตรองถูกตอง รูเทาทันจิต ที่คิดจะกระทําทางกายกอนจะทํา ทําใหเกิด พฤติกรรมทางกายที่ถูกตอง ไมเปนไปเพื่อ การ เบียดเบียนหรือกอโทษกอทุกขแกตนและผูอื่น
80
5. มีการงานของใจถูกตอง หมายถึง หนาที่หรือการ กระทําของใจ ที่จะตองระวังรักษาใจไมใหเปนทุกข โดยการรูเทาทันความนึกคิดปรุงแตงทุกชนิด รูเทา ทันอารมณทุกชนิด หรือรูเทาทันการเคลื่อนไหวของ จิตทุกชนิดทุกขณะ เพื่อไมใหเกิดทุกขขึ้นในใจ ซึ่ง จะตองทําอยางจริงจัง ตอเนื่องสม่ําเสมอโดยไมเกียจ คราน หรือปลอยปละละเลย 6. มีความพากเพียรถูกตอง หมายถึง ความพากเพียร พยายามของใจอยางจริงจังตั้งใจ และตอเนื่องที่จะทํา ใหใจคลายจากทุกข จนกระทั่งพนทุกขโดยสิ้นเชิง โดยการรูเทาทันการเคลื่อนไหวของจิตทุกชนิด ทัง้ จิตที่นึกคิดปรุงแตง และอารมณที่เขามารบกวนจิตใจ อยูทุกขณะ 7. มีการระลึกรูถูกตอง หมายถึง การฝกตัวรูใหรเู ทา ทันจิตที่นึกคิดปรุงแตงใหเกิดทุกขแตละขณะไดมาก ขึ้น รูเทาทันอารมณที่เขามารบกวนจิตใจไดมากขึ้น จนทุกขจางคลายจากใจมากขึ้นๆ ตัวรูเ ทาทันความ นึกคิดปรุงแตงที่ทําใหเกิดทุกขในใจ รูเทาทันอารมณ ที่เขามารบกวนจิตใจในปจจุบันขณะนี้แหละ เรียกวา สติ (สัมมาสติ) 81
8. มีใจตั้งมั่นถูกตอง หมายถึง การมีสภาพใจที่ตั้งมั่น (สงบ) วางเปลาปราศจากทุกข เปนสภาวะที่เกิดตอ เนื่องมาจาก การระลึกรูถ กู ตอง จนมีสติเต็มรอบ มี ความมั่นคงของใจที่แทจริง (สัมมาสมาธิ) ถือวาเปน แกนของสมาธิ ตอจากนี้จะเกิด ความรูแจงเห็นจริง (รูจริง) ในสัจ ธรรมอยางถูกตองคือเขาใจในสัจธรรมตรงตามความ เปนจริง โดยไมมีความนึกคิดปรุงแตงที่ทําใหใจเปน ทุกขเกิดขึ้นในใจอีก หรือไมมีความขุนมัวเศราหมอง คอยปดบังใจอยู ในที่สุดจะถึงซึ่ง ความหลุดพนอยางถูกตอง คือ หลุดพนจากความนึกคิดปรุงแตงที่ทําใหใจเปนทุกข หลุดพนจากอารมณที่เขามาครอบงําใจ ปดบังใจใหขุน มัวเศราหมองและเปนทุกขตามมา หรือหลุดพนจาก ความอยากและความยึดถือผิดๆ เพื่อใหได ใหมี ใหเปน ในสิ่งที่คิดผิดหรือเขาใจผิดวาเปนตัวตน-ของตนจน เปนทุกข เกิดสภาวะใจที่บริสุทธิ์ผุดผอง วางเปลา ปราศจากทุกขโดยสิ้นเชิงอยู ซึ่งจะกลาววา “เปนความ หลุดพนจากทุกขทั้งปวง” ก็ได เพราะทุกขที่มีอยูทํา อะไรใจไมไดอีกตอไป 82
เครื่องปดกัน้ ความเจริญ ในการฝกจิตใจใหจางคลายจากทุกข มีเครื่องปด กั้นความเขาใจและการเขาถึงใจที่เปนอุเบกขา อยู 5 กองหรือ 5 ลักษณะดวยกันคือ 1. กามฉันทะ คือความนึกคิดปรุงแตง ดิ้นรน ทะยานอยากไปในทางหลงยึด หลงติด หลงเสพ ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสเสียดสีทุกชนิด ที่ เรียกวากามคุณ ๕ 2. พยาบาท คือความอาฆาต ความโกรธ ความ ความฉุนเฉียว ขุนเคืองใจ แคนใจ ผูกใจเจ็บ ความอึดอัดใจ หงุดหงิดใจ ไมพอใจทุกชนิด 3. ถีนมิทธะ คือความงวงเหงาหาวนอน จิตหรี่ จิตซึมเซา หดหู หอเหี่ยว เหงาหงอย หลงหลับ ที่คอยครอบงําใจอยูทุกขณะ 4. อุทธัจจกุกกุจจะ คือความนึกคิดปรุงแตงที่ ฟุงซานไปในทางชอบใจ ไมชอบใจทุกชนิด ไดแก ความซัดสายของใจ ความเดือดรอน
83
วุนวายใจ ความรําคาญใจ ความกลุมใจ ความ วิตกกังวลตางๆ 5. วิจิกิจฉา คือความลังเลสงสัยไมแนใจทุกชนิด ในการประพฤติปฏิบัติ วาถูกตองหรือไม จะ ใหผลแกผูปฏิบัติจริงหรือไม นิวรณทั้ง 5 กอง ที่กอ เกิดขึ้นเหลานี้ ทําใหใจไมตั้งมั่น เปน สมาธิ และปดกั้นใจไมใหบรรลุถึงความบริสุทธิ์ เมื่อ เรารูเทาทันกิเลสนิวรณที่เกิดขึ้นในใจเหลานี้ ใจเราก็จะ โปรง โลง เบา สบาย มีปติอิ่มเอิบสดชื่นแทรกเขามา พอ เริ่มรูเทาทันนิวรณทั้ง 5 กองนี้ จิตจะเริ่มเขาสูสมาธิ และใช เปนบาทฐานในการฝกจิตเชิงวิปสสนา หรือปญญาตอไป “อารมณทั้งหลายยังเปน ทุกขที่ละเอียดอยู เมื่อ รูเทาทันทุกขเหลานี้ ทุกข เหลานี้ก็จะหายไปจากใจ สุดทายก็จะเหลือแตใจที่ วางเปลาปราศจากทุกข” 84
ตัวชวยในการฝกฝนตนใหพนทุกข การจะฝกฝนตนใหพนทุกข หรือ การทําการงานใดๆ หลักธรรมทีค่ วรนํามาใช คือ อิทธิบาท 4 ไดแก 1. มีความพอใจ ที่จะฝกฝนจิตใจใหจางคลายจาก ทุกข จนจิตใจหลุดพนจากทุกข 2. มีความเพียรพยายาม ที่จะฝกฝนจิตใจใหหลุดพน จากทุกข 3. มีความสนใจและใสใจ ในการกระทํา คือการ ฝกฝนจิตใจอยางตอเนื่องไมปลอยปละละเลย (แต ไมใชทําอยางเครงเครียด) 4. พิจารณาตรึกตรอง เพื่อใหเขาถึงความจริงในสิ่งที่ ตนกระทํา
85
แผนที่ชวี ติ
หนักทึบ
จิต
เบาสบาย
ผิดปกติ
- ความคิด ทีเ่ ปนทุกข - ความจําทีไ่ มดี - อารมณไมดี
กาย
คิดแตเรือ่ งดี ใจเบา/ใจสบาย ใจเปนสุข/ใจสงบ อารมณดี ระบบประสาท
- เครียด - นอนไมหลับ
กายเจ็บปวย
- กายสบาย - อยูอ ยาง ทุกขนอ ย
ปกติ
86
ความรูส กึ ความจํา ความคิด อารมณ เสนทางทุกขมาก
-
เสนทางทุกขนอย - เห็นความคิด ทีเ่ ปนทุกข - ปรับความคิด เปนเชิงบวก - ปรับพืน้ ฐานใจ และสรางหลักใจ - ฝกสมาธิใหชาํ นาญ - ฝกสติสมั ปชัญญะ ใหชาํ นาย
กระบวนการพัฒนาจิต
e˵u
¡ÃaºÇ¹¡Òþa²¹Ò¨iµ 87
oº¡Áืo
Êà ҧËÅa¡ã¨ : Êa§e¡µ ¤ÇÒÁÃÙÊ ¡ึ oÒÃÁ³ o»Ã §
¼ o¹¤ÅÒ¡Ò æÅaã¨
¢a¹é ·Õè 1 eºืoé §µ ¹
ËÁu¹¹iéÇ
eË繤ÇÒÁ¤i´/oÒÃÁ³ ·Õèe» ¹·¡¢ (ÊaÁÁÒʵi)
¼Å
ÇÒ§Êi觷a§é ÃÙ
ÁÕoÒÃÁ³ o»Ã § oÅ § eºÒʺÒ ¹ึ¡¤i´ä´ ´§a 㨹ึ¡ / ªíÒ¹Ò
·íÒ¤ÇÒÁÃÙÊ ¡ึ µaÇe¾ืoè oo¡ ã¨Ç Ò§e»Å Ò»ÃÒÈ ¨Ò¡·¡¢ (ÊaÁÁÒÊÁÒ¸i) ¨Ò¡·u¡¢ ªÇaè ¢³a
ÃaºÃÙ
¡ÃaºÇ¹¡Òþa²¹Ò» Ò ¼Ùo ÂÙ ´ ÇÂoÒµ¹a·a§é 6 e˹ืo·u¡¢ 㪠§Ò¹·íÒo ҧÃÙ
¾a²¹ÒÊaÁÁÒʵi æÅa ÊaÁÁÒÊÁÒ¸iãË ªÒí ¹Ò
ÁÕÊÀÒ¾ã¨o»Ã § oÅ § eºÒʺÒÂe» ¹¾ื¹é °Ò¹
ÁÕÊÁa ÁÒʵi æÅaÊaÁÁÒÊÁÒ¸i e» ¹ºÒ·°Ò¹ÁÒº Ò§æÅ Ç
¢a¹é ·Õè 2 eºืoé §¡ÅÒ§
¢a¹é ·Õè 3 eºืoé §»ÅÒÂ
» ¨¨ÂÒ¡Ã
o¤Ã§Êà ҧ¡ÃaºÇ¹¡Òþa²¹Ò¨iµ