่ ารได ้ เป็น สงิ่ ทีด บางครัง้ สงิ่ ทีด ่ ท ี ส ี่ ด ุ อาจไม่ใชก ่ ท ี ส ี่ ด ุ ! หากแต่คอ ื การ เลือก สงิ่ ทีด ่ ท ี ส ี่ ด ุ ให ้กับตัวเราเอง
1
คาปรารภ หนังสือเล่มนีเ้ ป็ นการเขียนเรียบเรียงขึน ้ ต่างวาระและเวลา ท่านผู ้อ่านอาจจะอ่านตามหัวข ้อ หรืออ่าน หัวข ้อใดหัวข ้อหนึง่ ตามทีส ่ นใจก๋อนก็ได ้ แม ้ว่าการใช ้คาว่า “บิก ๊ แบง” ในทีน ่ ี้ ทีน ่ ามาใช ้อธิบาย ออก จะหวือหวาเกินไปบ ้างก็ขออภัย เพราะนามาใช ้เพียงเป็ นอุปมาอุปมัยเพือ ่ เน ้นชีใ้ ห ้เห็นถึงการ เปลีย ่ นแปลงทีเ่ กิดจาก “ภายใน” ของมวลมนุษยชาติอย่างเห็นได ้ชัด ความหมายจริงๆ ของผู ้เขียน เองแล ้วนัน ้ คือ “นิพพาน” การกล่าวถึง ธรรมชาติของมนุษย์และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กบ ั โลกธรรมชาติในสรรพสิง่ ดูออก จะเป็ นเรือ ่ งทีใ่ หญ่พอควร สาหรับผู ้เขียนเอง และรวบรวมเรียบเรียงขึน ้ มาจากทีต ่ า่ งๆ ก่อนทีเ่ ราจะ สารวจดูรายละเอียดของทัศนะเกีย ่ วกับธรรมชาติในสรรพสิง่ ของหนังสือเล่มนี้ ผมจะขอกล่าวในเรือ ่ ง ส่วนตัวสักเล็กน ้อยว่า ก่อนทีผ ่ มจะเริม ่ ทางานเขียนของหนังสือ “บิก ๊ แบงภายในใจ” (Bing Bang In My Mind) เล่มนีน ้ ัน ้ ผมเคยมีทศ ั นคติตอ ่ ชีวต ิ ทีย ่ ด ึ มั่นถือมั่นในตัวตนมาก่อน มีทศ ั นคติสายตาที่ ่ ว่าทุกๆคน มองโลกใบนีอ ้ ย่างคับแคบ เหมือนกับคนอีกหลายๆ คนทีอ ่ ยู่บนโลกเดียวกันนี้ แต่ผมก็เชือ จะมี “การสะดุดคิด” จนมีบางสิง่ ทีท ่ าให ้สะดุดคิดได ้ ผมว่ามนุษย์เราทุกคนต ้องเคยมีอะไรบางอย่างที่ ทาให ้เราสะดุดในความคิดต่างๆ นานา ด ้วยเหมือนกัน การคิดด ้วยจิตสานึกของมนุษย์โดยมีปัญญาจึง มีความหมายต่อตัวเรามาก ชีวต ิ ทีต ่ ้องเวียนว่ายอยูใ่ นห ้วงสังสารวัฎด ้วยอานาจของกรรมและวิบากนี้ เป็ นสภาวะทีน ่ ่าเบือ ่ หน่าย ดังนั น ้ คนทีม ่ ป ี ั ญญารู ้เท่าทันความจริงของชีวต ิ และพยายามทีจ ่ ะทาคนให ้ หลุดพ ้นออกมาจากการเวียนว่ายในห ้วงสงสาร วิถท ี างในทางพาตัวเองให ้หลุดพ ้นออกมาจากวงจร ชีวต ิ ทีน ่ ่าเบือ ่ หน่ายนี้ก็ คือ การดาเนินไปตามหลักธรรมคาสัง่ สอน คือ ศีล สมาธิ และปั ญญา เคยมีผู ้ตัง้ ข ้อสังเกตว่า แนวความคิดเกีย ่ วกับเรือ ่ งสังสารวัฏ การเกิดใหม่ การทากรรม และรับผล ของกรรม ตามทีก ่ ล่าวมาข ้างต ้น เป็ นแนวคิดพืน ้ ฐานของคนอินเดีย แนวความคิดทานองนี้ไม่ได ้มี เฉพาะในพุทธศาสนาเท่านัน ้ ศาสนาอืน ่ ทีเ่ กิดร่วมยุคกับพุทธศาสนาก็มแ ี นวความคิดในการมองชีวต ิ ้ สุดทีค คล ้ายๆ กันนี้ ดังนัน ้ หากเราจะสรุปว่าทัศนะทีว่ า่ ชีวต ิ ไม่ได ้สิน ่ วามตาย ยังมีภพใหม่ชาติใหม่ท ี่ คนเราสามารถไปเกิดได ้อีกหลังจากตายแล ้ว และชีวต ิ ในภพใหม่นัน ้ จะเป็ นอย่างไรย่อมขึน ้ อยูก ่ บ ั กรรม ่ ทีค ่ นผู ้นัน ้ ได ้กระทาไว ้ก่อนตาย แนวความคิดทีว่ า่ นีแ ้ น่นอนว่าส่วนหนึง่ ตัง้ อยู่บนพืน ้ ฐานของความเชือ ่ ดังกล่าวก็มอ ทีไ่ ม่อาจพิสจ ู น์ให ้เห็นจริง กระนัน ้ ความเชือ ี ท ิ ธิพลต่อคนจานวนมหาศาลเพราะเป็ นความ ่ ร่วมทีค เชือ ่ นทัง้ หลายมีด ้วยกัน คนเราสามารถพาชีวต ิ ตนเองให ้ค่อยๆ หักเหออกจากวงจรแห่งกิเลส กรรม และวิบาก จนทีส ่ ด ุ ก็สามารถฝ่ าไปจนพ ้นเด็ดขาดจากวงจรทีว่ า่ นีไ้ ด ้ พระสัมมาสัมพุทธเจ ้า พระ ปั จเจกพุทธเจ ้า และพระอรหันต์สาวกทัง้ หลายคือตัวอย่างของคนในอุดมคติดงั กล่าวนี้ หนังสือ บิ๊ กแบงภายในใจเล่มนี้ เปรียบเทียบได ้กับทีพ ่ ระสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ ้า ทีเ่ คยเกิดบิ๊ กแบงภายในใจขึน ้ มา ณ ใต ้ต ้นพระศรีมหาโพธิเ์ มือ ่ ๒,๕๐๐ กว่าปี มาแล ้ว และหนังสือเล่มนีอ ้ อกจะ เป็ นวิชาการสักเล็กน ้อย ซึง่ ผู ้เขียนเองพยายามทาให ้เข ้าใจง่าย ซึง่ จะกล่าวถึงทุกสรรพสิง่ นี้ ไม่วา่ จะ ่ เป็ น มนุษย์ สิง่ มีชวี ต ิ ประวัตศ ิ าสตร์ จักรวาล วิทยาศาสตร์ วิวัฒนาการ ศาสนา ปรัชญา ความเชือ ต่างๆ ฯลฯ เป็ นต ้น การมองมิตเิ ดียวทาให ้เราไม่มท ี างออก แต่การมองมิตต ิ า่ งๆ ให ้เป็ นหลายมิตใิ นมุมมองต่างๆ นัน ้ จะทาให ้ตัวเรามีทางออกได ้และไม่คับแคบใจ เปิ ดใจกว ้างทีจ ่ ะเข ้าใจในสรรพสิง่ ทัง้ หลายทีม ่ ันเป็ นไป เพือ ่ ทางออกแห่งความเป็ นมนุษย์ทส ี่ มบูรณ์ เพือ ่ ทีจ ่ ะยอมรับต่อสรรพสิง่ ไม่ใช่เพือ ่ จะเอาชนะต่อสรรพ ่ สิงนี้ เพือ ่ เกิด “บิก ๊ แบงภายในใจ”
Siriphong P.
2
คาขอบคุณ หนังสือ Big Bang In My Mind (บิ๊ กแบงภายในใจ) เล่มนี้ จะออกมาสาเร็จมิได ้เลยหาก ปราศจากตาราความรู ้ต่างๆ ทีม ่ ใี ห ้ผู ้เขียนได ้ค ้นคว ้าศึกษา และรวบรวมเขียนขึน ้ มาในครัง้ นี้ และทีส ่ าคัญ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ ้าซึง่ เคยเกิดบิ๊ กแบงภายในใจขึน ้ มา ณ ทีใ่ ต ้ต ้นพระศรีมหาโพธิ์ ทีไ่ ด ้ค ้นพบ สัจจะธรรม ความจริงของสรรพสิง่ มาก่อนเมือ ่ 2,500 กว่าปี ทแ ี่ ล ้วมา เป็ นรูปบริสท ุ ธิท ์ ส ี่ ด ุ ของความจริงแท ้ เป็ นปั ญญาแห่งความจริงแท ้ ตามตานาน เคยมีสมณะองค์หนึง่ ทูลถามพระองค์วา่ … “พระองค์ทรงเป็ นพระเจ ้าหรือ” “หามิได ้” พระองค์ทรงตอบ “ถ ้าอย่างนัน ้ พระองค์เป็ นนั กบุญหรือ” “หามิได ้” พระองค์ทรงตอบ “ถ ้าพระองค์มไิ ด ้เป็ นพระเจ ้าและมิได ้เป็ นนั กบุญแล ้ว พระองค์ทรงเป็ นอะไร” พระองค์ทรงตอบ “เราเป็นผูต ้ น ื่ ” ทางด ้านความรู ้ทางวิทยาศาสตร์เองก็ตาม ทีม ่ ม ี าจนถึงปั จจุบันนี้ และทีก ่ าลัง พัฒนาขึน ้ ไปเพือ ่ ค ้นหาความจริงทางด ้านวิทยาศาสตร์เองนัน ้ ซึง่ ผู ้เขียนเองได ้ลองนาเสนอความคิดดังกล่าวมาปรับใช ้ใน การเขียนหนังสือเล่มนีข ้ น ึ้ มาด ้วยเช่นกัน นอกจากนีผ ้ ู ้เขียนขอขอบพระคุณ ท่านพระคุณเจ ้า พระครูสงั ฆสิทธิกร จากวัดบวรนิเวศวิหาร และ ครูเล็ก (ภัทราวดี มีชธ ู น) ทีไ่ ด ้มีเมตตาได ้อ่านงานต ้นฉบับของกระผมก่อนตีพม ิ พ์ และยังแนะนาอธิบาย วิจารณ์ งานเขียนของกระผมในครัง้ นีด ้ ้วย และทีจ ่ ะขาดมิได ้เลย คือ ท่านทัง้ สองได ้มีการจัดแสดงละครธรรมะ และ ได ้มีการเสวนาธรรมะทุกวันอาทิตย์ ซึง่ มีประโยชน์ตอ ่ งานเขียนในครัง้ นี้ ทีก ่ ระผมได ้เข ้ามาชมและฟั งการ เสวนาทุกๆครัง้ ไป ผู ้เขียนขอกราบขอบพระคุณท่านทัง้ สองเป็ นอย่างสูง ผู ้เขียนขอขอบพระคุณ ทางสานักพิมพ์ ทีส ่ นใจและให ้โอกาสกระผมในการตีพม ิ พ์เป็ นหนังสือมา ณ ทีน ่ ี้ และได ้ตรวจคาผิดต่างๆ ทีม ่ อ ี ยูใ่ นงานเขียน ได ้ปรับปรุงแก ้ไขให ้กระชับมากยิง่ ขึน ้ และได ้ช่วยให ้ ่ ายตาผู ้อ่านด ้วยความสมบูรณ์ ซึง่ ผู ้เขียนขอขอบคุณเป็ นอย่างยิง่ และที่ ทาเป็ นหนังสือเล่มนีข ้ น ึ้ มาออกสูส จะขาดมิได ้อีกเช่นกัน ต่อกาลังใจของทุกๆ ท่านต่องานเขียนเล่มนี้ ไม่วา่ จะเป็ นครอบครัวขอกระผมเองก็ ตามเพือ ่ นๆ ของกระผมเองก็ตาม รวมกระทัง้ ถึงเพือ ่ นๆ ผู ้คนทางอินเตอร์เน็ ต ทีไ่ ม่สามารถจะกล่าวได ้หมด ทุกคนทีค ่ อ ่ ยให ้กาลังใจจนสาเร็จลุลว่ งมาเป็ นเล่มหนังสือได ้ ทัง้ นีท ้ งั ้ นัน ้ เหนือสิง่ อืน ่ ใด บิดา มารดา ของกระผมเองซึง่ มีความสาคัญทีส ่ ด ุ ในการให ้กาเนิด กระผมมาในโลกใบนี้ และเลีย ้ งดูกระผมมา เพือ ่ การเรียนรู ้ต่อความจริงของสรรพสิง่ ทัง้ มวล สาระความรู ้ และความดีทม ี่ อ ี ยู่ในหนังสือ Big Bang In My Mind (บิ๊ กแบงภายในใจ) เล่มนี้ หาก มีมากน ้อยประการใดก็ตาม ผู ้เขียนขอมอบให ้แด่ทก ุ ๆ ท่านทีไ่ ด ้อ่าน และทุกๆ สรรพสิง่ ทัง้ มวลต่อการ เรียนรู ้เพือ ่ ให ้ “เกิดบิก ๊ แบงภายในใจ” ขึน ้ มาในทัง้ นีด ้ ้วย
Siriphong P.
3
ื บิก ห ัวข้อต่างๆของหน ังสอ ๊ แบงภายในใจ 1. ว่ าด้ วยเรื่องการเข้ าใจในสรรพสิ่ง - ชีวติ it’s my life - ประตูแห่งการรับรู ้ - การเวลาของธรรมชาติในสรรพสิ่ ง (การซ้อมเหลื่อมแห่งเวลา) - ศาสนากับธรรมชาตินิยม - ปริ ศนาจิตวิญญาณมนุษย์
หน้า 5 หน้า 6 หน้า 13 หน้า 19 หน้า 23 หน้า 27
2. ว่ าด้ วยเรื่องการรู้ ทนั ในสรรพสิ่ง - ประวัติศาสตร์มนุษย์ - ประวัติศาสตร์ ชาย-หญิง - มูลเหตุของการเกิดศรัทธาและศาสนา - สังคมที่มงั่ คัง่ ในยุคบริ โภค / จิตใจที่มงั่ คัง่ ในยุคบริ โภค - เราเป็ นได้แค่ผบู ้ ริ โภคหรื อเราสามารถเป็ นได้มากกว่านั้น - วิทยาศาสตร์กบั ศาสนา จุดต่างหรื อจุดเหมือน
หน้า 29 หน้า 30 หน้า 33 หน้า 35 หน้า 39 หน้า 42 หน้า 45
3. ว่ าด้ วยเรื่องการเข้ าถึงในสรรพสิ่ง - จิตจักรวาลสะท้อนปั ญญาบิ๊กแบงภายในใจจึงเกิด - ความสุขเสมอด้วยความสงบไม่มีดว้ ย - ทางเดินของชีวติ เพื่อกําเนิดบิ๊กแบงภายในใจ - ใจอยูใ่ นกายหรื อกายอยูใ่ นใจ (ทางเลือกหลุมดําหรื อบิ๊กแบง) - สิ่ งที่เล็กย่อมเป็ นสิ่ งที่ใหญ่ได้ สิ่ งที่ใหญ่ยอ่ มเป็ นสิ่ งที่เล็กได้ - คํากล่าวของท่าน Dalai Lama ในการดําเนินชีวติ
หน้า 50 หน้า 51 หน้า 54 หน้า 58 หน้า 60 หน้า 63 หน้า 65
4. ว่ าด้ วยเรื่องการเป็ นส่ วนหนึ่งในสรรพสิ่ง - จักรวาลที่มีบิ๊กแบงจึงเกิด - ธรรมชาติของจักรวาล - มิติความสัมพันธ์ของมนุษย์ - บิ๊กแบงภายในที่มี อิสรภาพทางใจจึงเกิด - บิ๊กแบงของจักรวาลภายใน - เข้าถึงความคิดนิพพานเข้าถึงบิ๊กแบงภายในใจ
หน้า 66 หน้า 67 หน้า 71 หน้า 75 หน้า 77 หน้า 83 หน้า 86
บรรณานุกรม
หน้ า 93
4
ชวี ต ิ (it ’s my Life)
5
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเด็กอยูส่ องจําพวกเกิดมาบนโลกสี น้ าํ เงินใบนี้ เด็กทั้งสองจําพวกเกิด มาเพื่อที่จะเรี ยนรู ้โลกใบนี้จากสิ่ งเร้าต่างๆ ที่เกิดขึ้น แตกต่างกันตรงที่ เด็กจําพวกแรกกําเนิดเกิดมาอยู่ กับสิ่ งแวดล้อมตามธรรมชาติมาแต่กาํ เนิด เด็กอีกจําพวกหนึ่ง กําเนิดมาจากสิ่ งแวดล้อมตามธรรมวัตถุมา แต่กาํ เนิดเช่นเดียวกัน “เด็กทั้งสองจําพวกเกิดมามีสิ่งเร้าให้เรี ยนรู ้” เด็กที่เกิดมาจากสิ่ งแวดล้อมตาม ธรรมวัตถุจะเกิดสิ่ งเร้าขึ้นจากภายนอกของความสงสัย ส่วนเด็กที่เกิดมาจากสิ่ งแวดล้อมตามธรรมชาติ จะเกิดสิ่ งเร้าขึ้นจากภายในของความแปลกใจ ทัศนะคติของเด็กสองจําพวกนี้จึงต่างกัน - เด็กที่เกิดมาจากสิ่ งแวดล้อมตามธรรมวัตถุจะเกิดสิ่ งเร้าจากภายนอก เกิดความสงสัยในสิ่ ง ต่างๆที่มีต่อโลกใบนี้วา่ โลกใบนี้มีสิ่งให้เราน่าเรี ยนรู ้อยูต่ ลอดเสี ยเหลือเกิน มีโทรทัศน์ให้ติดตาม ข่าวสารได้ทวั่ โลก มีสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ มากมายให้เราได้เรี ยนรู ้ มีนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่ ตลอดให้เราอยากที่จะค้นหาและทําความรู ้จกั เมื่อเกิดความสงสัย เด็กจึงเกิดการเรี ยนรู ้อยูต่ ลอด - เด็กที่เกิดมาจากสิ่ งแวดล้อมตามธรรมชาติจะเกิดสิ่ งเร้าจากภายใน เกิดความแปลกใจในสิ่ ง ต่างๆ ที่มีต่อโลกใบนี้วา่ แปลกจริ งหนอ? “ทําไมมีโลกขึ้นมาได้” โลกคืออะไร? เกิดขึ้นได้อย่างไร? มี มาจากอะไร? และมีมาเพื่ออะไร? เมื่อความแปลกใจเกิดขึ้นเด็กก็เริ่ มที่จะเอาจริ งเอาจังและเริ่ ม กระบวนการคิดอย่างมีระบบระเบียบเพื่อหาคําตอบในสิ่ งที่สงสัย นี่เป็ นเพียงอุปมาอุปมัยเท่านั้น เพื่อที่ผอู ้ ่านพอจะแยกแยะทัศนคติของความสงสัยได้บา้ ง เล็กน้อย มนุษย์เราไม่วา่ จะอยูท่ ี่ใดก็สามารถที่จะเรี ยนรู ้และคิด สงสัยและแปลกใจ ได้ควบคู่กนั ไป แต่ คนเราส่วนมากมักจะสงสัยและเรี ยนรู ้จากภายนอกมากกว่าที่จะเรี ยนรู ้จากภายใน เพราะปั จจุบนั นี้มีสิ่ง เร้าจากภายนอกมากมายจนเราลืมที่จะเรี ยนรู ้จากภายในตัวเราเอง เราอาจจะรู ้สึกตัวเองได้จากภายในก็ ตอนที่เราได้อยูค่ นเดียวนานๆ หรื อได้ไปเที่ยวตามธรรมชาติน้ นั แหละ ได้เห็นธรรมชาติหรื อทิวทัศน์ที่ สวยงาม เราถึงจะเกิดความแปลกใจหรื อความรู ้สึกลึกๆ จากภายในขึ้นมา ชีวติ คืออะไร ชีวติ เกิดจากอะไร ชีวติ จะสิ้นสุดลงอย่างไรและเมื่อใด นั้นเป็ นปั ญหาที่เรามักจะ ขบคิดอยูเ่ สมอ เป็ นปั ญหาทางปรัชญาคลาสสิ กที่บรรพบุรุษของเราได้ขบคิดกันมา กว่าพันๆ ปี แล้ว ชีวติ ไม่ใช่สิ่งที่อยูห่ ่างไกลตัวเรา ชีวติ เป็ นนามธรรมและรู ปธรรมในขณะเดียวกัน นัน่ ก็คือการที่เรากําลังเห็น อยูน่ ้ ีมิใช่ชีวติ หรอกหรื อ การคิดการนึกถึงสิ่ งที่เห็น ได้ยนิ ได้กลิ่น ลิ้มรส และสัมผัส มิใช่ชีวติ หรอกหรื อ เรามี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรารับรู ้อารมณ์ต่างๆ ทางประสาทสัมผัส ทั้งนี้ ประสาทสัมผัสย่อมเกิด เนื่องมาจากอารมณ์เหล่านั้น นี่คือชีวติ ในขณะนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้วา่ เราได้มีชีวติ มาแล้วในอดีตและจะมี ชีวติ ต่อไปในอนาคต สื บเนื่องกันไปในทุกสรรพสิ่ งของสิ่ งมีชีวติ ชีวติ เกิดขึ้นได้อย่างไร มีเบื้องต้นของการเกิดนี้ข้ ึนมาอย่างไร เราย้อนกลับไปหาอดีตไม่ได้แต่ เราสามารถที่จะศึกษาจากอดีตได้ ถ้าเราใคร่ จะรู ้วา่ ชีวติ ของเรานั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เราก็ควรจะรู ้วา่ อะไรเป็ นปัจจัยให้เกิดสิ่ งมีชีวติ นี้ข้ ึนมาด้วยในขณะนี้ ขณะที่กาํ ลังเห็น ได้ยนิ ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส ทําไมเราเกิดมามีอุปนิสยั ต่างกัน และมีบุคลิกภาพต่างกันมากมาย และรู ปร่ างลักษณะที่ต่างกันตามสังคม ของภูมิศาสตร์โลกเรานี้ จุดกําเนิดของสิ่ งมีชีวติ บนโลกเรานี้ได้เริ่ มเป็ นปั ญหาสําคัญและเป็ นสิ่ งที่สนใจกันมาก ตั้งแต่ การค้นพบว่าสิ่ งมีชีวติ ทั้งหลายเกิดมาจากจุลินทรี ย ์ นักปราชญ์โบราณเคยแก้ปัญหากันอย่างง่ายๆ เช่น
6
ลูเครตีอุส (กวีโรมัน) ได้ให้คาํ ตอบว่า ชีวติ เกิดขึ้นเอง เกิดจากก้อนดินธรรมดานี้แหละที่มีความชื้นและ ความอบอุ่นจนเกิดชีวติ ประเภทต่างๆ ขึ้นมาในสมัยใหม่น้ ีเอง ทีแรกก็ยงั เชื่อกันว่าอาจจะทดลองให้ชีวติ เกิดขึ้นเองในหลอดแก้วได้ (เป็ นทฤษฏีบริ สุทธิ์) โดยให้ลองตักนํ้าจากบ่อมาสักเล็กน้อย แล้วนําไปตาก แดดให้อุ่นไว้ ไม่ชา้ ก็จะเห็นสิ่ งมีชีวติ เต็มไปหมด คราวนี้ลองเอานํ้ามาต้มเสี ยก่อนเพื่อให้แน่ใจว่า ได้ฆ่า สิ่ งมีชีวติ หมดสิ้นแล้ว นําไปผึ่งแดดให้อุ่น ก็ยงั จะมีสิ่งมีชีวติ เกิดขึ้นให้เห็นอยูด่ ี คราวนี้ทดลองซํ้าใหม่ ให้อุดปากหลอดแก้วให้แน่นด้วยสําลี เพื่อกันมิให้สิ่งมีชีวติ อื่นที่อาจล่องลอยอยูใ่ นอากาศตกลงไปในนํ้า ได้ จะเห็นว่าไม่มีสิ่งมีชีวติ เกิดขึ้นเลย เป็ นอันว่าปั ญหาถกเถียงกันเรื่ องสิ่ งมีชีวติ เกิดขึ้นเองได้หรื อไม่ ก็ เป็ นอันยุติลง นี่ก็เป็ นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ช้ ีให้เห็นว่า การค้นคว้าทางทฤษฏีบริ สุทธิ์น้ นั เกิดผลดีในทางปฏิบตั ิ เพียงไร ทําให้เรารู ้เรื่ องเชื้อโรค รู ้วธิ ีรักษาอนามัย รู ้จกั ผ่าตัดไม่ให้อกั เสบและติดเชื้อ นับว่าส่งเสริ ม สวัสดิการของมนุษย์เราอย่างน่าอัศจรรย์ยงิ่ แต่นกั ค้นคว้านักวิทยาศาสตร์พวกนี้ มุ่งหน้าหาความรู ้ใหม่ๆ เกี่ยวกับเชื้อโรค และการกําจัดเชื้อโรค พวกเขาเป็ นนักวิทยาศาสตร์ หาความรู ้เพื่อรู ้เท่านั้น กับอีกจําพวก หนึ่งที่สนใจในปั ญหาเดียวกันเขาสนใจในกําเนิดของสิ่ งมีชีวติ สนใจว่าชีวติ คืออะไร ชีวติ เกิดขึ้นได้ อย่างไร และที่สาํ คัญต่อคําถามที่วา่ “ชีวติ มีความหมายอย่ างไร” เคยมีการแบ่งเกี่ยวกับคําตอบเรื่ องชีวติ แรกนี้ไว้ ๓ แนวด้วยกัน คือ ๑. เชื้อชีวติ แรกอาจจะล่องลอยมาในอวกาศจากโลกอื่น ๒. พระเจ้าสร้างขึ้นบนโลกของเราเอง ๓. ชีวติ เกิดขึ้นเองบนโลกของเราโดยวิวฒั นาการของอนินทรี ยส์ าร คาตอบแรก เมื่อพิจารณาตามทฤษฏีแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะเป็ นไปไม่ได้ เพราะชีวติ อาจจะล่องลอย มาในอวกาศจากดาวเคราะห์หรื อดาวฤกษ์ดวงใดก็ได้ อาจจะมาในรู ปเชื้อชีวติ ที่เล็กอย่างที่สุดซึ่งอาจจะ ซ่อนตัวมาตามซอกของลูกอุกาบาศก์ที่ตกลงสู่พ้นื โลก นักวิทยาศาสตร์หลายคนพากันเสนอคําตอบนี้ แต่ คําตอบนี้ก็ไม่แก้ปัญหาได้จริ ง เพราะถ้าเป็ นจริ งเช่นนั้น ปั ญหาก็จะถูกซัดทอดไปให้โลกอื่นอีกต่อไป นัน่ คือปั ญหายังมีต่อไปได้อีกว่า ชีวติ แรกในดาวที่มีชีวติ เป็ นแห่งแรกเลยทีเดียวนั้น มาจากไหน เป็ นอันว่าคําตอบแรกนี้เราข้ามไปได้เลยเพราะจะสาวกันไปไม่รู้จบ คาตอบทีส่ อง ว่าพระเจ้าสร้างชีวติ ขึ้นมานั้น คําตอบนี้เราจะรับฟังได้แค่ไหน ก็ข้ นึ อยูก่ บั ว่าจะ ตีความหมายการสร้างอย่างไร เรามักจะชอบคิดกันว่า อยูม่ าวันหนึ่ง และ ณ ที่แห่งหนึ่งในอวกาศพระเจ้า ทรงประกาศิต (โอม..!) ชีวติ ก็เกิดขึ้นในบัดดล ถ้าตีความหมายแบบนี้ นักวิทยาศาสตร์ท้ งั หลายก็จะพา กันเมินหน้าหนีไป เพราะพวกเขาเคยแต่มองหาระเบียบแบบแผน และการสื บเนื่องกันในงานของ ธรรมชาติ ถ้าหากตีความหมายว่าพระเจ้าเป็ นผูส้ ร้างชีวติ แต่ท้ งั นี้พระองค์ทรงบันดาลให้ค่อยเป็ นค่อยไป ตามวิถีของธรรมชาติ ความเห็นนี้ก็น่าจะรับไว้พิจารณาได้ คาตอบทีส่ าม ว่าชีวติ เกิดขึ้นเองบนโลกของเราโดยวิวฒั นาการของอนินทรี ยส์ าร ความคิดเห็น นี้นกั ชีววิทยาถือกันโดยทัว่ ไป แม้วา่ ข้อสนับสนุนยืนยันต่างๆ นาๆ ที่ใช้พิสูจน์วา่ อินทรี ยส์ าร มาจาก อนินทรี ยส์ าร แต่ก็ยงั ไม่เด็ดขาดจากชนิดที่วา่ หาข้อโต้แย้งไม่ได้ การทดลองในห้องทดลองก็ยงั ชี้อยู่ เสมอว่า ชีวติ ต้องมาจากสิ่ งที่มีชีวติ แต่ก็มิได้หมายความว่าจะเป็ นไปไม่ได้เสี ยทีเดียว อาจจะมี
7
สภาพแวดล้อมอะไรสักอย่างที่ทาํ ให้อนินทรี ยส์ าร กลายมาเป็ นอินทรี ยส์ ารขึ้นมาได้ เหตุการณ์น้ ีอาจจะ เคยเกิดขึ้นมาครั้งหนึ่ง ทุกวันนี้ยงั อาจจะเกิดขึ้นอยูอ่ ีกก็ได้ กล่าวคือการเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อม ต่างๆ เป็ นต้น (ส่วนหนึ่งที่มา : ปรัชญาเบื้องต้น กีรติ บุญเจือ แปลจาก G.T.W. Patrick / Introduction to Philosophy ๑๙๓๘)
ดังที่กล่าวมานี้มนั เป็ นคําถามต่อปัญหาภายนอก แต่คาํ ถามต่อปัญหาภายในที่วา่ “ชีวติ มี ความหมายอย่างไร?” มีความสําคัญยิง่ กว่า เพราะมันเป็ นอยูส่ าํ หรับเราทุกวันนี้ในตัวเรานี้ ถ้าเราหันหลัง ให้วทิ ยาศาสตร์ แล้วหันมาสนใจ ศึกษาจากประสบการณ์ของตัวเราเองดูบา้ งแล้ว จะพบว่ายังมีอีกเอก ภพหนึ่งที่แตกต่างกับที่กล่าวมาแล้วเป็ นคนละแบบเลยทีเดียว นัน่ ก็คือ โลกของสิ่ งที่มีชีวติ อันเป็ น ดินแดนมหัศจรรย์อย่างแท้จริ ง ที่เต็มไปด้วยชีวติ และปั ญญา โลกที่สร้างสรรค์รูปแบบใหม่ๆ ชนิดใหม่ๆ และประดิษฐ์กรรมใหม่ๆ อยูเ่ สมอ โลกที่มีการเติบโตและพัฒนา ที่มีสิ่งที่กาํ หนดการกระทําของตัวเอง โดยสํานึก มีความคิดและความรู ้สึก จําอดีตได้ และใฝ่ ฝันอนาคตได้ มีอุดมการณ์ได้ รู ้จกั ร่ วมมือกันเป็ น กลุ่มก้อน โลกที่มีความคิดไตร่ ตรอง ศิลปะ ปรัชญา วรรณคดี ดนตรี โลกที่มีจุดหมายและมีคุณค่า โลกแห่งประสบการณ์ของเราทั้งหมดที่เต็มไปด้วยความมีชีวติ ชีวาเช่นนี้ จะมีความเป็ นจริ งน้อยกว่าโลก ที่เป็ นหลักการความรู ้ภายนอกเชียวหรื อ คําตอบคือไม่เลย... ชีวติ ของเราเต็มไปด้วยสิ่ งที่กระตุน้ อารมณ์ความรู ้สึกของเรา บางคนก็ไม่เห็นว่าความทุกข์จะ ลดน้อยลงเมื่อเราทําสิ่ งที่ตามอารมณ์ความรู ้สึกของเราไปแล้ว เรามีความมุ่งหวังในชีวติ ต่างๆ กัน เรา ปรารถนาความสุขกันทุกคน และต่างก็มีทศั นะในเรื่ องความสุขและทางที่จะได้รับความสุขต่างกัน และ ทุกข์ในเรื่ องชีวติ ประจําวัน เราพยายามที่จะหาทางหนีให้พน้ จากชีวติ ประจําวันด้วยวิธีต่างๆ นาๆ บาง คนหาความสุขกันแบบต่างๆนาๆ บางคนก็ดื่มเหล้าหรื อเข้าหาแหล่งความบันเทิงที่มีอยูห่ ลากหลาย เพื่อให้อยูเ่ สี ยอีกโลกหนึ่ง หรื อให้รู้สึกเหมือนกับเป็ นคนอื่น คนที่หนีความจริ งจะไม่รู้จกั ตัวเอง และจะมี ชีวติ อยูด่ ว้ ยความไม่รู้ต่อไป จากประสบการณ์ของผมนั้น ผมได้เห็นผูค้ นมากมายที่ตอ้ งการหาความสุข ใส่ตวั และผูค้ นจําพวกนั้นก็มีความสุขกันจริ งๆ แต่เป็ นความสุขชัว่ คราวแล้วก็ตอ้ งกลับมาใหม่เพื่อหา ความสุขอีกไม่จบสิ้น ซึ่งลืมฉุกคิดไปว่าอะไรเป็ นสาเหตุที่ทาํ ให้เราต้องแสวงหาความสุข ว่าแต่ตวั ผมเอง ก็เคยยึดติดในความสุขชัว่ คราวมาก่อนนั้นด้วย จนวันหนึ่งมีบางสิ่ งที่ทาํ ให้ผมสะดุดคิดได้ ผมว่ามนุษย์ เราทุกคนต้องเคยมีอะไรบางอย่างที่ทาํ ให้เราสะดุดคิดได้เหมือนกัน เพียงแต่ตวั เราจะรู ้หรื อเปล่าหรื อ สะดุดคิดหรื อเปล่า อาจจะมาช้าบ้างเร็ วบ้างแตกต่างกันไป แล้วแต่ประสบการณ์ของแต่ละคนที่พบเจอ ความรู ้สึกฉุกคิดนี้มีอยูเ่ ฉพาะในจําพวกสิ่ งมีชีวติ ที่เรี ยกว่ามนุษย์เท่านั้น สิ่ งมีชีวติ อื่นๆ ไม่มีความฉุกคิดนี้ เกิดขึ้น มีแต่สญ ั ชาตญาณล้วนๆ ในการเอาตัวรอดดําเนินชีวติ ไป ซึ่งการฉุกคิดนี้อาจเรี ยกได้อีกอย่างว่า คือ “จิตสานึกของมนุษย์ เรา” มนุษย์เราเองนั้น มีศกั ยภาพในการที่จะคิด ในการที่จะยับยั้ง ในการจินตนาการได้ และที่สาํ คัญ ที่สุดมนุษย์เรานั้นมีการเรี ยนรู ้ได้อย่าง “ไม่มีขีดจํากัด” ซึ่งจะกล่าวได้วา่ ไม่มีในสิ่ งมีชีวติ ใดๆ ในโลกที่ จะเป็ นอย่างนี้ได้ การเรี ยนรู ้ของมนุษย์จะเรี ยนรู ้ควบคู่ไปกับสัญชาตญาณ มนุษย์เรานี้มีการคิดอยู่ ตลอดเวลา มีการวิเคราะห์ มีการนึกคิดว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร พอใจอะไร ไม่พอใจอะไร หรื อไม่ รู ้สึกกับอะไรเลย ทั้งหมดกระทําโดยมีสญ ั ชาตญาณเข้ามาควบคู่กนั ไป ซึ่งจะหล่อหลอมรวมกันเป็ นตัว เราจนกระทัง่ กลายเป็ น บุคลิกภาพส่วนตัวของเรา โดยมีปัจจัยทางสังคม ปั จจัยทางสิ่ งแวดล้อม เป็ นตัว ทําให้เราเปลี่ยนแปลง และบุคลิกภาพส่วนตัวของเรานี้สามารถที่จะฝึ กได้
8
หนังสื อเล่มนี้จะเน้นในเรื่ องของการเรี ยนรู ้ แต่ไม่ได้มีความมุง่ หมายเพื่อที่จะให้รู้เพียงอย่าง เดียว ว่า เอ่ย! ฉันรู ้น่ะ ฉันรู ้เรื่ องนี้น่ะ...มันเหมือนกับการเรี ยนรู ้เพื่อประดับตัวเราเท่านั้น เหมือน เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านให้สวยงามแต่เราไม่ได้อยูอ่ าศัย แต่จะเป็ นการเรี ยนรู ้เพื่อให้คิด ให้ควบคุม และ เพื่อการพัฒนาตัวเรา และก็เช่นกันไม่ได้เน้นให้ควบคุมตัวเราหรื อพัฒนาตัวเราทางร่ างกาย แต่จะเน้น จากภายใน ควบคุมการคิด การควบคุมสัญชาตญาณภายในตัวเรา เพื่อเกิดการพัฒนาจากภายในไม่ใช่จาก ภายนอก คนเราส่วนใหญ่มกั จะเรี ยนรู ้จากภายนอกตัวเรา เช่น การพัฒนาทางร่ างกาย หลายคนก็จะเข้า ฟิ ตเนตกันหรื อไปออกกําลังกายเพื่อการพัฒนาศักยภาพของร่ างกาย ซึ่งเป็ นสิ่ งที่ดี (ถึงปัจจุบนั นี้จะ กลายเป็ นเรื่ องของแฟชัน่ ไปบ้างแล้วก็ตาม) และในเรื่ องของความคิด หลายคนมักจะเรี ยนรู ้และพัฒนา ความคิดจากภาพนอก กล่าวคือเราจะทําอย่างไรเพื่อที่จะมีอาํ นาจ เราจะทําอย่างไรเพื่อที่จะได้มา เราจะ ทําอย่างไรเพื่อที่จะรวย เราจะทําอย่างไรเพื่อที่จะมีทุกสิ่ งทุกอย่างที่ตอ้ งการ เราก็จะคิด คิดไปต่างๆ นาๆ หาวิธีการ ดังจะเห็นได้วา่ มีหนังสื อตามร้านที่ขายกันอย่างมากมายเพื่อการพัฒนาตัวเรา แต่เป็ นการ พัฒนาจากภาพนอกตัวเองซะส่วนใหญ่ มีหนังสื อไม่มากนักที่จะมีการพัฒนาจากภาพภายในตัว (ซึ่ง ความรู ้สึกของคนส่วนใหญ่ก็จะผลักไปให้เป็ นเรื่ องของศาสนา) ไม่ตอ้ งอื่นไกลตั้งแต่เราเกิดมา การ เรี ยนรู ้จากสถาบันการศึกษาทัว่ ไปส่วนใหญ่จะเป็ นการเรี ยนรู ้จากภายนอกทั้งสิ้น เป็ นการเรี ยนรู ้เพื่อเข้า ไปสู่ระบบกลไกในทางเศรษฐกิจ ระบบกลไกของสังคมในยุคบริ โภค และวัตถุนิยม จนเกิดปัญหา ดังเช่นในปัจจุบนั นี้ที่มีคนว่างงานเป็ นจํานวนมากหลังจากจบการศึกษามาแล้วทุกๆ ปี มีนกั ศึกษาหลาย คนที่ผมเคยคุยด้วย หลังจากจบการศึกษามา ผมถามไปว่า จะทําอย่างไรต่อไปหลังจบมาแล้ว ซึ่งมันก็ เป็ นปั ญหาต่อมาของนักศึกษาหลายคน ซึ่งก่อนหน้านั้นปั ญหาของนักศึกษาก่อนจบจะมีอยูว่ า่ จะทํา อย่างไรเพื่อที่จะเรี ยนจบได้ ซึ่งหลังจากเรี ยนจบปั ญหาที่ตามมาก็อย่างที่บอก “จะทําอย่างไรถึงจะมีงาน ทํา” (และที่ดีดว้ ย) กล่าวคือการศึกษาในยุคปั จจุบนั นี้ มักจะมุ่งไปที่ระบบ และโครงสร้างทางการศึกษา มากเกินไป จนยากที่จะจัดการศึกษาให้เกิดความเป็ นไทได้ นักศึกษามัวแต่ใช่เวลาให้หมดไปกับ หลักสูตรและการวัดผลการเรี ยนการสอนจากภาพภายนอก แต่ไม่มีอะไรที่จะวัดระดับจากภายในได้เลย ระบบโครงสร้างจะต้องผลิตบุคลากรให้ไปมีงานทํายิง่ กว่าจะทําให้คนมีมโนธรรมสํานึกจากภายใน ที่ เศร้ายิง่ ไปกว่านั้นก็ตรงที่ ต่อแต่น้ ีไปคนที่สาํ เร็ จการศึกษาไปแล้ว ไม่วา่ จะได้ปริ ญญาในระดับใดๆ มา ก็ จะว่างงานยิง่ ขึ้นทุกที และเห็นแก่ตวั มากขึ้น เพราะการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ตอ้ งการใช้คนน้อยลง ไปเรื่ อยๆ และต้องการแรงงานที่ถูกลงไปเรื่ อยๆ อีกด้วยเช่นกัน การศึกษาส่วนใหญ่จะเน้นให้จบไปเป็ น ส่วนหนึ่งของโครงสร้างระบบทุนนิยมของสังคม เข้าไปเป็ นส่วนหนึ่งในกลไกของระบบ การเรี ยนรู ้น้ ีเราสามารถที่จะเรี ยนรู ้ควบคู่กนั ไปได้ระหว่าง การเรี ยนรู ้จากภายใน และการ เรี ยนรู ้จากภายนอก ไม่ใช่สกั แต่เรี ยนรู ้จากภาพภายนอกเพียงอย่างเดียว การเรี ยนรู ้จากภายในเป็ น ขบวนการเรี ยนรู ้ให้แต่ละคนได้รู้จกั ศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยูภ่ ายในตัวเอง เพื่อที่จะได้รู้จกั ตัวเองและ พึ่งตนเองได้ ชีวติ นั้นเป็ นสิ่ งที่น่ามหัศจรรย์ การที่จะเรี ยนรู ้จกั ชีวติ นั้นผมจะขอเริ่ มจากการเรี ยนรู ้จาก ภายนอกตัวเราก่อนเพราะเป็ นสิ่ งที่เราสามารถมองเห็นและจับต้องได้เป็ นรู ปธรรม ซึ่งแต่ละคนมีกนั อยู่ แล้วอย่างครบถ้วนแล้วค่อยๆ เริ่ มเรี ยนรู ้เข้าไปภายในตัวเราต่อไปนั้นคือ “จิตใจ” ร่ างกาย Body
9
ร่ างกายของมนุษย์มีการจัดระบบเป็ น ๔ ระดับด้วยกัน ระดับแรกเป็ นระดับที่เล็กที่สุดได้แก่ เซลล์ (cell) จํานวนประมาณ ๗๕-๑๐๐ ล้านล้านเซลล์ แบ่งออกเป็ นประเภทต่างๆได้กว่า ๑๐๐ ประเภท ด้วยกัน เซลล์ที่คล้ายคลึงกัน รวมทั้งวัตถุไม่มีชีวติ ที่รองรับเซลล์เหล่านั้น ซึ่งเรี ยกว่า เมทริ กซ์ (matrix) จะประกอบกันขึ้นเป็ นกลุ่มที่เราเรี ยกว่าเนื้อเยือ่ (tissue) จะอยูใ่ นระดับสอง ระดับที่สามนั้น เนื้อเยือ่ แต่ ละชนิดจะทําหน้าที่ต่างๆกันไป เนื้อเยือ่ ที่เกี่ยวข้องกันจะรวมกลุ่มกันเป็ นอวัยวะ (organ) เพื่อทํางาน เฉพาะอย่าง ในระดับสุดท้ายระดับที่สี่ ร่ างกายจะมีการรวมกลุ่มอวัยวะต่างๆเพื่อให้ทาํ งานสัมพันธ์เป็ น ระบบ (system) เดียวกัน กลายเป็ นร่ างกายเรากลายเป็ นตัวเราอย่างทุกวันนี้ ดังนั้นร่ างกายโดยรวมก็คือ บรรดากลุ่มของเซลล์ต่างๆ ซึ่งจัดรวมกันอย่างมีระเบียบ และแต่ละกลุ่มก็จะอยูใ่ นที่ๆกําหนดเพื่อทํา หน้าที่เฉพาะอย่างของมัน สรุ ประดับของร่ างกายประกอบด้วย - เซลล์ (cell) - เนื้อเยือ่ (tissue) - อวัยวะ (organ) - ระบบร่ างกาย (system) ทั้งนี้ผมจะไม่ขออธิบายรายละเอียดต่างๆของระดับร่ างกายสี่ ระดับนี้ เพราะมันจะเป็ น รายละเอียดปลีกย่อยไปอีกมาก ซึ่งจะไม่ตรงประเด็นกับหนังสื อที่ผมเขียนนี้ ผูอ้ ่านที่ใคร่ จะรู ้ สามารถหา อ่านได้จากตําราที่มีอยูม่ ากมายได้ ร่ างกายเรานั้น ทุกอย่างจะดํารงอยูอ่ ย่างมีเสถียรภาพ อุณหภูมิของร่ างกายคนเรานั้นจะคงตัวอยู่ ที่ ๙๘.๖ ฟ. (๓๗ ซ.) ไม่วา่ จะอยูใ่ นเขตหนาวจัดหรื อร้อนจัด ความเข้มข้นของนํ้าตาลในเลือดจะไม่ เปลี่ยนแปลงไปมากนัก การรักษาสภาพภายในร่ างกายให้คงที่แม้วา่ สภาวะภายนอกจะเปลี่ยนแปลงไป อย่างไรก็ตามนั้น เรี ยกว่า ภาวะคงที่ภายในกาย หรื อ ภาวะธํารงดุล (homeostasis) หากในร่ างกายไม่มี ภาวะธํารงดุล ร่ างกายก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อมภายนอกและเราก็จะไม่สามารถดํารงชีวติ อยูไ่ ด้อย่างปกติสุข เพราะจะต้องแสวงหาสิ่ งแวดล้อมที่คงที่อยูต่ ลอดเวลา เราถึงต่างจากสิ่ งมีชีวติ อื่นที่ เป็ นสัตว์ดงั นี้ ไม่ง้ นั เราก็คงต้องอพยพเหมือนสัตว์ที่อพยพตามฤดูกาลเป็ นอย่างแน่แท้ ภาวะธํารงดุล เกิดขึ้นได้เพราะร่ างกายมีกลไกที่คอยควบคุมสภาพภายใน เมื่อใดที่สภาพสมดุลในร่ างกายได้รับความ กระทบกระเทือนร่ างกายจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง เช่น ร่ างกายจะมีอาการสัน่ หรื อมีเหงื่อออก ทั้งนี้เพื่อ ปรับอุณหภูมิภายในร่ างกายให้สมดุลกับโลกภายนอกนัน่ เอง ในแง่ของสสาร ร่ างกายมนุษย์ดูเหมือนไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ธาตุต่างๆในร่ างกายมนุษย์น้ นั สามารถพบได้ในสิ่ งต่างๆบนโลกเรานี้ แต่ในร่ างกายมนุษย์เรานี้ ธาตุเหล่านี้ประสมกันในลักษณะซับซ้อน เฉพาะตัว สสารสําคัญๆ ที่พบประมาณร้อยละ ๗๐-๘๐ เป็ นนํ้าสักส่วน ใหญ่ แต่ก็มีสสารผสมบางอย่างที่ไม่ปรากฏในสิ่ งที่ไม่มีชีวติ อื่นด้วย นอกจากนํ้าแล้ว ยังมีสสารโปรตีนอยูร่ ้อยละ ๑๐-๒๐ ตามด้วยเกลือแร่ อันเป็ นส่วนผสมของ โลหะ กับ อโลหะ ไขมัน คาร์โบไฮเดรต (แป้ ง และนํ้าตาล) และกรดนิวคลิอิก (nucleic acidic) ซึ่งได้แก่ ดีเอ็นเอ (DNA ย่อจาก deoxy ribonucleic acid)
10
ซึ่งเป็ นโปรแกรมหลักของการประกอบสร้างร่ างกายและ อาร์เอ็นเอ (RNA ย่อจาก ribonucleic acid) ซึ่ง จะเป็ นตัวสานต่อให้ร่างกายพัฒนาไปตามโปรแกรมหลักของ DNA แต่ที่น่าสนใจก็ คือ ร่ างกายไม่ใช่ ระบบทางเคมีที่ตายตัว แต่จะมีพลวัตปรับเปลี่ยนอยูต่ ลอดเวลา เพราะมีการจัดระบบที่ดีเสริ มการ ออกแบบที่น่าอัศจรรย์ กล่าว คือ อวัยวะต่างๆในร่ างกายสามารถเสริ มสร้างตนเองเจริ ญเติบโต มีการรับรู ้ และตอบสนองต่อสิ่ งต่างๆ มีระบบควบคุมและซ่อมแซมส่วนต่างๆได้เป็ นอย่างดีนอกจากนี้ร่างกายยัง สามารถสื บพันธุ์เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของสิ่ งมีชีวติ ทําไมชีวติ ของคนเราเกิดมาจึงมีลกั ษณะหน้าตาหรื อร่ างกายคล้ายกันกับผูท้ ี่ให้กาํ เนิด ใน ศตวรรษที่ ๒๐ นี้เองที่นกั วิทยาศาสตร์สามารถอธิบายได้วา่ เหตุใดลูกจึงมักจะมีส่วนเหมือนพ่อแม่ เหตุผลก็คือ พ่อแม่จะถ่ายทอดหน่วยพันธุกรรมให้แก่ลูก หน่วยเหล่านี้จะบรรจุดว้ ยข้อมูลคําสัง่ ซึ่งเป็ น ตัวกําหนดคุณลักษณะต่างๆของคน ในนิวเคลียสของเซลล์ทุกเซลล์ในร่ างกายจะมีสิ่งที่เรี ยกว่า โครโมโซม (Chromosome) ซึ่งประกอบด้วยหน่วยพันธุกรรม หน่วยพันธุกรรมประกอบด้วยกรดดีเอ็น เอ เรี ยงกันเป็ นเส้นยาว เซลล์แต่ละเซลล์จะบรรจุดีเอ็นเอ ยาวถึง ๑.๘ เมตร หากนําดีเอ็นเอทั้งหมดใน ร่ างกายของคนคนหนึ่งมาเรี ยงเป็ นเส้น ก็จะได้เส้นยาวถึง ๒๗,๐๐๐ ล้านกิโลเมตร เส้นที่บางเบาน่า อัศจรรย์ สมมติถา้ จะวัดก็จะได้ระยะทางจากโลกไปถึงดวงอาทิตย์ได้อย่างสบายๆ กระบวนการถ่ายทอดพันธุกรรม เริ่ มต้นจากที่อณั ฑะของเพศผูแ้ ละของเพศหญิงในรังไข่ โดย อวัยวะเหล่านี้สร้างเซลล์สืบพันธุ์ คือ ตัวอสุจิของเพศชาย และไข่ของเพศหญิง พ่อแม่จะถ่ายทอด พันธุกรรมให้แก่ลูกทางเซลล์สืบพันธุ์ โดยทัว่ ไปเซลล์ของมนุษย์ประกอบด้วย ๔๖ โครโมโซม แต่เซลล์ สื บพันธุ์น้ นั เมื่อกลายสภาพเป็ นตัวอสุจิหรื อไข่แล้ว ตามกระบวนการแบ่งตัวแบบไมโทซิส จะเหลือ โครโมโซมเพียงครึ่ งเดียวคือ ๒๓ โครโมโซม ในอสุจิและไข่ เมื่อมีการปฏิสนธิเกิดขึ้น ตัวอ่อนจะกลับมี จํานวน ๔๖ โครโมโซมอีกครั้งหนึ่ง โดยได้รับหน่วยพันธุกรรมจากพ่อแม่ฝ่ายละครึ่ ง สรุ ปง่ายๆว่า ที่เรา เกิดมานี้มีส่วนที่ได้มาจากพ่อและแม่เราอย่างละครึ่ งนัน่ เอง ถ้ามีใครมาถามเราว่า นี่ เราหน้าคล้ายพ่อน่ะ นี่เราหน้าคล้ายแม่น่ะ เราได้ส่วนไหนจากพ่อและแม่มากกว่ากันล่ะ เราตอบได้อย่างภาคภูมิใจเลยว่า ได้มาอย่างละครึ่ งจากพ่อแม่นนั่ แหละ... บางท่านเข้าใจผิดว่า เราเกิดมาเป็ นชายคงได้เชื้อจากพ่อมากกว่า หรื อเราเกิดมาเป็ นหญิงเราคงได้เชื้อจากแม่มากกว่า นัน่ มันเป็ นเรื่ องของการจับคู่กนั ระหว่างโคโมโซม (XYของชาย) และ (XX ของหญิง) ซึ่งมันก็เป็ นรายละเอียดปลีกย่อยต่อไปอีก นอกประเด็นของหนังสื อ เล่มนี้ ผูอ้ ่านที่ใคร่ สนใจก็หาอ่านได้จากตําราต่างๆ เช่นกัน เมื่อถึงเวลานี้ ที่เราได้เกิดมาเป็ นมนุษย์คนหนึ่งแล้ว ตามขบวนการตามธรรมชาติ การ พัฒนาการทางตัวเราและการเรี ยนรู ้กาํ ลังจะเริ่ มขึ้นต่อมา ดูเหมือนว่าการเรี ยนรู ้หรื อการรับรู ้ต่อโลกใบนี้ ดูช่างใหญ่โตนี่เสี ยนี่กะไร เรารับรู ้สิ่งรอบตัวเราแทบทุกสิ่ งทุกอย่าง ทุกเวลาทุกวินาที สมองเราจะได้รับ ข้อมูลจํานวนนับไม่ถว้ นจากทุกส่วนของร่ างกายและจากโลกภายนอกรอบตัวเรา ต่างกับสัตว์ที่เรี ยนรู ้ ตามสัญชาตญาณเพื่อการเอาตัวรอด แต่มนุษย์เราเรี ยนรู ้เพื่อการพัฒนาการ โดยทัว่ ไปแล้วเราจะไม่ให้ ความสนใจกับสัญญาณที่ได้รับข้อมูลเหล่านี้ ยกเว้นต่อเมื่ออยูใ่ นสภาวะที่ไม่คุน้ เคยหรื อที่เป็ นอันตราย เราจึงจะตื่นตัวกับมันเป็ นพิเศษ ปกติแล้ วความสนใจของเราหรือการรับรู้ จะค่ อยข้ างจาเพาะเจาะจง เราจะไม่ สานึกอยู่ทุกขณะ จิตถึงความรู้ สึกทีเ่ กิดขึน้ ทีแ่ ขน ขา ตา หู จมูก ปาก หรือความรู้ สึกจากการสัมผัสต่ างๆ อย่ างเช่ น เมือ่ เรา
11
จดจ่ อกับนวนิยายหรือกาลังทาอะไรบางอย่ างเช่ น วาดรู ป เราก็จะไม่ ได้ ยนิ เสียงวิทยุหรือเสียงเฮฮาของ คนรอบข้ าง หรือขณะขับรถเราคงไม่ อ่านแผนทีเ่ ส้ นทางขณะขับรถไปเป็ นแน่ “จิต” ของเราก็เช่ นกัน ถ้ า เราสามารถฝึ กจิตให้ สานึกอยู่ทุกขณะ (สมาธิ) สิ่งต่ างๆ ทีอ่ ยู่รอบกายก็จะไม่ มากระทบตัวเราได้ กล่ าว โดยรวมแล้ ว จิตสานึกจะไม่รับรู้ข้อมูลร้ อยละ ๙๙ ทีส่ มองได้ รับ ด้ วยเหตุว่าข้ อมูลเหล่ านั้นไม่สาคัญ หรือไม่ เกีย่ วข้ องกับสิ่งที่เราสนใจอยู่ในขณะนั้น และอะไรล่ ะ ทีเ่ ป็ นส่ วนการรับรู้ข้อมูลของร่ างกาย ทีจ่ ะ กล่ าวถึงในบทต่ อไป
ประตูแห่งการร ับรู ้ 12
สิ่ งที่มนุษย์ “รับรู้ หรือ รู้ สึก” ได้น้ นั มีมาแต่กาํ เนิดผ่านเข้ามาทางผัสสะ กล่าวคือ การเห็น การได้ยนิ การ ได้กลิ่น การได้รส การได้สมั ผัส การรับรู ้น้ นั มิได้ทาํ ให้เราเกิด มโนคติ มโนภาพ หรื อจินตนาการได้ท้ งั หมด ไม่มี ญาณใดที่จะรับประกันได้วา่ การรับรู ้ของคนเราเกิดขึ้นมาได้ต้ วั แต่เกิด ถ้าจะมีใครเชื่อว่า มโนคติมีมาแต่เกิด ก็เห็น จะเป็ นจํานวนน้อยเต็มที จริ งอยูท่ ี่วา่ ความพร้อม ความโน้มเอียง ความสนใจ ปฏิกิริยาต่างๆ เหล่านี้เรามีมาแต่เกิด แต่ถา้ การรับรู ้ที่เป็ นลํ่าเป็ นสันแล้วไม่มีเลย วิธีที่จะเข้าใจทฤษฎีการรับรู ้ได้ดีข้ ึนนั้น ต้องศึกษาต้นกําเนิดของตัวเราเอง หรื อตัวผูร้ ู ้เองเสี ยก่อน แรก ทีเดียวนั้นได้แก่การตอบสนองต่อสิ่ งเร้า พร้อมกับการรับรู ้แบบธรรมดาๆ มาตั้งแต่เกิด หรื อจะพูดตามสํานวน โบราณได้วา่ การรับรู ้ในตอนเกิดมา เป็ นเหมือนกระดานเขียนที่วา่ งเปล่า ประสาทสัมผัสจะประทับอะไรลงไปก็ ได้ ถ้าหากจะพิจารณา ไล่เลียงเรื่ องนี้ตามแนวจิตวิทยา ก็จะเห็นว่า ไม่มีญาณใดในตัวเราที่นาํ การรับรู ้มาให้เรา อย่างปาฏิหาริ ย ์ และไม่มีกฎที่วา่ การรับรู ้จะมาก่อนประสบการณ์ ซึ่งประสบการณ์จะต้องมาทีหลังการรับรู ้ ถ้า ประสบการณ์มาก่อนมันจะกลายเป็ นว่าเราสามารถรู ้อนาคตได้ล่วงหน้าเหมือนมีญาณวิเศษ ผัสสะต่างๆ ที่วา่ เป็ น หน่วยแรกของการรับรู ้น้ นั อาจจะนํามาประติดประต่อกันเข้าเป็ นระบบการรับรู ้ จะสํารวจดูวา่ สิ่ งใดเป็ นศัตรู และ สิ่ งใดเป็ นมิตร หรื อพอใจ ไม่พอใจ ชอบ ไม่ชอบ เฉยๆ เป็ นต้น และจะกระทําปฏิกิริยาต่อสิ่ งแวดล้อมได้อย่าง เหมาะสม ผลที่ได้มาก็ คือ “ประสบการณ์ การรับรู้” ประสบการณ์ที่ได้มานี้จะสะสมไว้เพื่อนํามาดัดแปลงต่อการ ใช้กบั สถานการณ์ใหม่ๆ ต่อไป เป็ นเรื่ องๆ เป็ นรายๆ ไป… และจะมีประสบการณ์แปลกใหม่อยูต่ ลอดไปเรื่ อยๆ ทุกท่านลองคิดดูซิวา่ ชีวติ เรามันน่าสนุกสักเพียงไหน? กับประสบการณ์ที่มีมาตลอดในชีวติ เรานี้ ประสบการณ์ทาํ ให้เราจะปฏิบตั ิต่อสถานการณ์และสิ่ งแวดล้อมต่างๆ อย่างเฉลียวฉลาด! โดยทําการควบคุมและครอบครองให้เป็ น ประโยชน์ต่อตัวเรา จึ่งจะเห็นได้ชดั แจ้งแล้วว่า ประสบการณ์ที่สะสมไว้เช่นนี้แหละเรี ยกได้วา่ เป็ น “ความรู้” ซึ่งมี สิ่ งที่น่าสังเกตุอย่างหนึ่ง ตรงที่เราได้ความรู ้มาพร้อมกับความ “คับแคบในใจ” ตามมาด้วย! เพราะอย่างที่กล่าว มาแล้วว่า ประสบการณ์จะกระทําการควบคุมและครอบครองให้เป็ นประโยชน์ต่อตัวเรา จะเกิดการบีบคั้น เกิด การเห็นแก่ตวั ขึ้น เห็นแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง เกิดความหยิง่ ยะโส จะดูถูกและเอาเปรี ยบกันมากขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากประสบการณ์ได้สงั่ สอนเรามา การเรี ยนรู ้เป็ นสิ่ งที่ทาํ ให้เราฉลาดขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทําให้เรา เป็ นคนที่มีศีลธรรมดีข้ ึน หรื อคุณธรรมดีข้ ึนเลย ถ้าเราไม่ได้เรี ยนรู ้จากภายในตัวเราเองเป็ นเพียงแต่ประสบการณ์ จากภายนอกที่เรารับรู ้หรื อเรี ยนรู ้ หลายคนก็คงทราบดีวา่ ปัจจุบนั นี้สงั คมเราเป็ นอย่างไร แก่งแย่งแข็งขันกัน เพื่อให้ได้สิ่งที่ตอ้ งการเพื่อให้ได้มา เกิดวิกฤตการแก่งแย่งชิงดีข้ ึนในสังคมเรา คิดหาวิธีต่างๆ นาๆ ขึ้น เพื่อให้เกิด ประโยชน์กบั ตัวเรา หรื อกับกลุม่ พวกพ้องของเราขึ้น แต่ผมก็เชื่อว่ามีบางคนที่เคยมีประสบการณ์จากภายในมา บ้างอย่างเช่น เราจะเกิดความภาคภูมิใจเวลาเราได้ทาํ ความดีข้ ึน หรื อการให้แล้วเรารู ้สึกดีโดยไม่หวังผลตอบแทน เป็ นการให้จากภายในใจ หรื อรู ้สึกดีเวลาที่ได้อยูก่ บั ธรรมชาติที่สวยงามอย่างเป็ นอิสระ (ถึงแม้จะชัว่ ขณะหนึ่งก็ ตามที) เป็ นต้น เราจะเกิดมิติทางใจเกิดขึ้น ซึ่งไม่สามารถอธิบายออกมาเป็ นคําพูดได้ อาจจะกล่าวได้วา่ “เป็ น สุ นทรีย์ทางใจเกิดขึน้ ” จะเกิดอิสระจากภายในออกมา เป็ นประเด็นที่จะกล่าวถึงต่อ… ทางวิทยาศาสตร์รู้ดีวา่ คนเราประกอบด้วยส่วนต่างๆ ของร่ างกาย ซึ่งมีน้ าํ กระดูก โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต เกลือแร่ และไวตามิน ฯลฯ มีตวั กําหนดเพศด้วยโครโมโซม กําหนดลักษณะด้วยยีนมี DNA และ RNA เป็ นตัวกําหนดโครงสร้างต่างๆ มีอวัยวะที่สาํ คัญทั้งภายในและภายนอก โดยอาศัยอาหาร อากาศ และ นํ้า 13
เพื่อการยังชีพ มีความรู ้สึกนึกคิด มีสติปัญญา มีความรัก ความเกลียด ความโกรธ ความต้องการ สามารถ สื บพันธุ์กบั สัตว์ประเภทเดียวกันดังที่กล่าวมาตอนต้นแล้ว และมีกาลเวลาที่ชีวติ ต้องสิ้นสุดและเน่าเปื่ อยสลายลง แต่ในอีกทางหนึ่ง ทางพุทธศาสนา ประตูแห่งการรับรู ้ตวั เรานั้นสามารถแบ่งออกได้เป็ นสองอย่างคือ การรับรู้ ภายนอก และ การรับรู้ภายใน อย่างที่ผมกล่าวไว้แล้วว่า “รับรู้ กับ รู้ สึก” การรับรู ้เป็ นสิ่ งสัมผัสได้จากภายนอก ส่วนการรู ้สึกสัมผัสได้จากภายในเราเท่านั้น (รู ป กับ นาม) กล่าวได้ คือ ร่ างกาย (รู ป / รู ป) ความรู้ สึก (เวทนา / นาม) ความจา (สัญญา / นาม) การคิด – ปรุงแต่ ง (สังขาร / นาม) การรู้ (วิญญาณ / นาม) เรื่ องนี้เป็ นเรื่ องที่มีมานานอยูแ่ ล้วกว่า ๒,๕๐๐ กว่าปี ในพุทธศาสนา เป็ นเรื่ องที่น่าสนใจ ถ้าทําความ เข้าใจให้ดี เพราะเป็ นเรื่ องที่เกี่ยวข้องกับตัวเราทั้งนั้น เราสามารถผัสสะสัมผัสเรี ยนรู ้ และฝึ กได้ดว้ ยในตัว ซึ่งจะทํา ให้เรารู ้เท่าทันตัวเราเองด้วย เมื่อเรารู ้เท่าทันตัวเราเองได้ เราก็จะรู ้เท่าทันคนอื่นได้ดว้ ยเช่นกัน ซึ่งจะขออธิบายไว้ เป็ นข้อๆดัง นี้ ร่ างกาย (รู ป / รู ป) คือ ผมต้องขอทําความเข้าใจในเรื่ องนี้เล็กน้อยว่า ผมได้อธิบายในเรื่ องร่ างกายไว้แล้วในบทก่อน แต่น้ นั เป็ น เรื่ องทางด้านกายภาพ (Physical) แต่สิ่งที่จะอธิบายต่อไปนี้เป็ นเรื่ องของ ผัสสะหรื อสัมผัสล้วนๆ (Touch) ซึ่ง ต่างกันกับทางกายภาพมาก กระบวนการผัสสะทางร่ างกายจําแนกได้อีกเป็ น ๖ อย่างด้วยกัน คือ ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ ได้ เห็น ได้ ยนิ เสียง ได้ กลิน่ ได้ รส ได้ สัมผัส รับรู้
ดังจะเห็นว่าเป็ นเรื่ องใกล้ตวั เรามาก มันอยูก่ บั เรามาตั้งแต่เกิดเลยทีเดียว เป็ นผัสสะหกทาง ที่มีมาแต่ กําเนิด แต่เราก็ใช้กนั มาแบบไม่รู้ตวั เป็ นสักส่วนใหญ่ กล่าวอีกแง่หนึ่งได้วา่ เรามักจะใช้ผสั สะตามสัญชาติญาณตัว เราเท่านั้น ถ้าเราได้จะพิจารณาลงไปถึงความจริ งแล้ว มันก็จะเป็ นเรื่ องของความไม่เที่ยงด้วย เป็ นกระบวนการ 14
หรื อเป็ นปรากฏการณ์ชวั่ ขณะหนึ่งๆ เท่านั้น เป็ นผัสสะที่ผา่ นเข้ามาให้เรารับรู ้แล้วก็ผา่ นไป มีเกิดและก็มีดบั ไป แต่ที่น่าสนใจอยูต่ รงที่วา่ ตอนที่ผสั สะผ่านเข้ามานั้นตัวเราจะคิดปรุ งแต่งต่อไปอีกเรื่ อยๆ หรื อที่เราเรี ยกว่า “ติดใจ” และในที่สุดจะกลายเป็ นอุปทานต่อไป กล่าวคือ “จะยึดมัน่ ถือมัน่ ในตัวตน” ขึ้นมาจนในที่สุดก็จะมีลกั ษณะ กลายเป็ นความเห็นแก่ตวั ขึ้นมา วิธีลกั ษณะที่ตวั เราได้รับผัสสะหรื อสัมผัสนั้นมีดงั นี้ (จะขอกล่าวในทางกายภาพ วิชาการสักเล็กน้อย) ตา - แม้วา่ ตามปกติเราจะไม่ได้มองเห็นโลกนี้เป็ นภาพหัวกลับ แต่จริ งๆ แล้วเลนส์ตานั้น จะโฟกัสภาพ หัวกลับไปยังจอตา ทั้งนี้เป็ นผลมาจากคุณสมบัติพิเศษของแก้วตา ซึ่งสัมพันธ์กบั ขนาด และรู ปร่ างของดวงตา ภาพ หัวกลับนี้จะส่งผ่านจักษุประสาทไปยังศูนย์กลางการเห็นในสมอง สมองจะแปรให้เป็ นภาพหัวตั้งตามจริ งดังที่ สมองรู ้วา่ ควรจะเป็ น สมองของเราจะสามารถเติมส่วนที่มองไม่เห็นลงไปในภาพเค้าโครงวัตถุน้ นั ได้โดยอัตโนมัติ ด้วยข้อมูลเพียงเล็กน้อย เป็ นต้นว่า เพียงแวบเดียวที่เราได้เห็นทิศทางของแสงที่สาดลงบนพื้นห้อง เราก็บอกได้ ทันทีวา่ ขณะนั้นเป็ นช่วงเวลาใดของวันได้ หรื อถ้าเราตกอยูใ่ นสถานการณ์ใดที่ตาเห็น เราก็พอจะวิเคราะห์ได้วา่ จะ ปลอดภัยหรื อไม่ปลอดภัยต่อสถานการณ์น้ นั ๆ ดังนั้นจึงสรุ ปได้วา่ เรารับรู ้สิ่งต่างๆ ได้มากกว่าที่เราเห็นจริ ง กล่าว ได้วา่ การเห็นมิใช่เป็ นเพียงการที่ดวงตาเราจับจ้องไปยังวัตถุภาพนอก และมีภาพสะท้อนกลับเข้ามายังจอตา เท่านั้น หากแต่วา่ การเห็นนั้นเริ่ มต้นขึ้นเมื่อสมองแปลความหมายของภาพที่เข้ามากระทบจอตาของเรา แล้วใช้ ภาพที่ปรากฏแก่ดวงตานั้นเป็ นพื้นฐานเพื่อสร้าง “ภาพอื่น” ที่สมบูรณ์ยงิ่ ขึ้น ภาพอื่นๆ นี้ อาจจะเรี ยกอีกอย่างหนึ่ง ว่า “ภาพความทรงจา” สมองเก็บความจําไว้มากมายนับเป็ นคลังข้อมูลภาพของสิ่ งที่อยูร่ อบตัวเรา คลังข้อมูลภาพ ความทรงจํานี้ จะเป็ นประโยชน์หากว่าภาพที่เข้ามายังจอตาขาดความสมบูรณ์หรื อมีความคลุมเครื อและต้องแปล ความหมายเพิ่มเติมต่อไป คงจะเคยได้ยนิ ที่วา่ ดวงตาคือหน้าต่างของโลกกว้าง ก็ไม่ผิดนัก หู - เมื่อเราสี ไวโอลิน ร้องเพลง เคาะส้อมเสี ยง หรื อเราอาจพูดเป็ นทางการได้วา่ ทําให้วตั ถุสนั่ สะเทือน แรงสัน่ สะเทือนจะกระทบโมเลกุลของอากาศทั้งสองข้างของวัตถุน้ นั เกิดเป็ นคลื่นของอากาศที่โดนกดอัด (โมเลกุลที่โดนอัดเบียดกัน) สลับกับอากาศที่เบาบาง (โมเลกุลที่กระจายตัวออกไปเมื่อมีความกดน้อย) คลื่นนี้แผ่ ขยายออกไปคล้ายระลอกคลื่นในมหาสมุทร เราเรี ยกสิ่ งที่เกิดขึ้นนี้วา่ “เสี ยง” คลื่นเสี ยงสะเทือนเป็ นช่วงของ ความถี่ ทําให้เกิดเป็ นเสี ยงแหลมเสี ยงทุม้ คลื่นของแรงกดอากาศซึ่งเคลื่อนที่ไปนี้จะเป็ นเสี ยง ได้ก็ต่อเมื่อเยือ่ แก้ว หูของเราถูกกระทบหรื อได้รับ แล้วส่งสัญญาณคลื่นนี้ไปยังสมองเพื่อให้วเิ คราะห์วา่ เป็ นเสี ยงอะไร เมื่อเราได้ยนิ เสี ยงเพียงเสี ยงเดียว เราอาจจะรู ้ถึงคุณลักษณะหลายประการของเสี ยง ได้แก่ ระดับสูงตํ่า ความดังเบา แม้แต่ คุณภาพของนํ้าเสี ยง ซึ่งเป็ นบ่อเกิดของความรู ้สึกเร้าจากภายใน ความรู ้สึกนี้เองจึงเป็ นสิ่ งที่เราเรี ยกว่า “ดนตรี ” (Music) เคยมีคนกล่าวไว้วา่ ดนตรี ทุกประเภทมีความลึกซึ้งอย่างจะหาคําพูดใดมาอธิบายไม่ได้ และเพราะเหตุน้ ี เองดนตรี จึงลอยเด่นขึ้นมาในความสํานึกของเรา ปลุกอาเวคทั้งหมดในส่วนลึกของธรรมชาติของเรารื้ อฟื้ นขึ้นมา ให้เราเสี ยใหม่โดยไม่มีความเป็ นจริ งแต่ประการใดเลย และปราศจากความปวดร้าวใดๆ ทั้งสิ้น... จมูก - จมูกเป็ นอวัยวะที่ออกแบบมาอย่างดีเยีย่ มรู ปทรงที่ยนื่ ออกมา สอดคล้องกับการทําหน้าที่ทาง สรี ระ กล่าวคือเป็ นท่อทางเดินอากาศ ตําแหน่งที่อยูเ่ หนือปากก็เหมาะสมต่อการรับรู ้กลิ่นอาหาร เสริ มกับปุ่ มรับรส เพื่อช่วยจําแนกประเภทอาหารและรับรสชาติได้ดียงิ่ ขึ้น ถ้าเราอยากสัมผัสกลิ่นให้เต็มที่ เราก็ตอ้ งสูดหายใจเข้า ลึกๆช้าๆ เพื่อให้กระแสอากาศลอยตัวขึ้นสู่ส่วนบนของจมูกเรา ซึ่งเป็ นบริ เวณที่มีตวั รับสัมผัส แต่จมูกของเราจะ
15
รับรู ้กลิ่นได้ก็ต่อเมื่อโมเลกุลของสสารส่งกลิ่นนั้นอยูใ่ นรู ปของเหลว กล่าวคือ กลิ่นต่างๆ มักอยูใ่ นรู ปไอระเหยอยู่ แล้วขณะที่ผา่ นเข้าจมูกของเรา จมูกจะขับเมือกจากเยือ่ บุผนังมาละลายโมเลกุลของสารส่งกลิ่น เมื่อโมเลกุล ดังกล่าวสัมผัสปลายประสาทรับกลิ่นก็จะเกิดปฏิกิริยาเคมีข้ นึ เปลี่ยนเป็ นกระแสประสาทรับรู ้กลิ่น เดินทางไปตาม เส้นประสาทที่ลอดผ่านแผ่นกระดูกใต้สมอง ขึ้นไปสู่สมองส่วนที่ทาํ หน้าที่รับกลิ่นต่อไป กลิ่นแม้มีเพียงโมเลกุล เดียวก็สามารถกระตุน้ ปลายประสาทได้อย่างน่าทึ่ง กลิ่นหอมหลายชนิดมีผลต่อความทรงจําความรู ้สึกเราได้เป็ น อย่างดีดว้ ย ลิน้ - ลิ้นเป็ นหนึ่งในอวัยวะสัมผัสที่มีหลากหลายหน้าที่ มีบทบาทสําคัญในการพูดและการกินอาหาร ทั้ง ยังเป็ นที่ต้ งั ของชิวหาประสาทและกายประสาท ซึ่งช่วยให้เราเพลิดเพลินกับการกินอาหาร ลิ้นช่วยป้ องกัน อันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากอาหาร เช่น จะส่งสัญญาณเตือนถึงความอันตรายหากอาหารที่กินร้อนเกินไป หรื อเกิด ความรู ้สึกขยะแขยงหากอาหารนั้นบูดเน่า เป็ นต้น เงื่อนไขเบื้องต้นสําหรับการรับรู ้รสก็คือ ความชื้น อวัยวะรับรส จะตรวจพบสารที่ให้รสชาติในอาหารได้ก็ต่อเมื่อสารดังกล่าวละลายอยูใ่ นนํ้าลาย หากปราศจากนํ้าลายเราก็จะไม่ สามารถรับรสใดๆ ได้เลย อวัยวะที่ทาํ หน้าที่รับรสอาหารก็คือปุ่ มรับรสซึ่งส่วนใหญ่ต้ งั อยูบ่ นลิ้น ที่เหลือกระจาย อยูต่ ามส่วนอื่นๆ ของปากและในลําคอ ปุ่ มรับรสประกอบด้วยเซลล์ปลายประสาทซึ่งมีขนเส้นเล็กๆ ยืน่ ออกมา บริ เวณส่วนผิว ปลายประสาทเหล่านี้เชื่อมต่อกับเครื อข่ายเส้นประสาทซึ่งทําหน้าที่ถ่ายทอดข้อมูลเกี่ยวกับรส ภายในสมอง ในขณะเดียวกัน เส้นประสาทอื่นๆ ก็ส่งข้อมูลเกี่ยวกับอุณหภูมิ ความอ่อนแข็งและความเจ็บปวด ซึ่ง รับรู ้ได้ดว้ ยลิ้นเช่นเดียวกัน กาย – กายเราเป็ นส่วนรับสัมผัสต่อสิ่ งแวดล้อมต่างๆ ได้ดีที่เราเรี ยกว่า ผิวหนัง ผิวหนังของเราเป็ น อวัยวะน่าอัศจรรย์ที่ช่วยปกป้ องและห่อหุม้ ร่ างกายช่วยปรับอุณหภูมิของร่ างกาย ขับถ่ายนํ้าและเกลือแร่ และเป็ น ตัวรับสัมผัสอันว่องไวต่อสิ่ งแวดล้อมรอบตัว ความรู ้สึกไวต่อการสัมผัสนั้นเกิดขึ้นมาจากโครงสร้างรับสัมผัสใน ร่ างกาย เส้นขนเป็ นตัวรับสัมผัสชนิดหนึ่ง ขนแต่ละเส้นเปรี ยบเหมือนเสาอากาศเมื่อถูกสัมผัส ร่ างกายบริ เวณที่ไม่ มีขน เช่น ริ มฝี ปาก หัวนม อวัยวะเพศ จะมีระบบอื่นเพื่อรับสัญญาณ คือมีประสาทรับความรู ้สึกอยูห่ นาแน่น ซึ่ง ตอบสนองต่อการลูบเบาๆ ผิวหนังชั้นลึกจะมีปลายเส้นประสาทรับรู ้อยูท่ วั่ ร่ างกายเมื่อผิวถูกแรงกดต่อเนื่อง นอกจากนี้ยงั มีประสาทรับความรู ้สึกชนิดพิเศษที่ทาํ ให้เรารับรู ้แรงสัน่ สะเทือน ความร้อน และความเย็นได้ ทารก ที่ไร้ผอู ้ าทรคอยลูบไล้โอบกอดและอุม้ พาไปที่ไหนๆด้วย จะมีร่างกายและจิตใจที่เจริ ญเติบโตช้า นี่เป็ นเรื่ องจริ ง! เห็นได้ชดั ว่า กายสัมผัสมีความสําคัญต่อชีวติ ไม่เพียงแต่สาํ หรับทารกเท่านั้น ผูใ้ หญ่ก็เช่นกันการสัมผัสและถูก สัมผัสจากผูอ้ ื่นส่งผลให้เกิดความผาสุกทางจิตใจได้ ใจ - ใจเป็ นตัวผัสสะอีกอย่างหนึ่ง หรื อจะเรี ยกอีกอย่างหนึ่งได้วา่ “ภาวะอารมณ์” เราจะเกิดผัสสะทางใจ หรื อภาวะอารมณ์ได้น้ ี จะต้องเกิดจากผัสสะทั้งห้าคู่สมั ผัสที่กล่าวมาก่อนหน้านี้คือ ตา หู จมูก ลิ้น จนถึงกาย เป็ น การสัมผัสกันด้วยของทางวัตถุ มองเห็นได้ เข้าใจได้ รู ้รสได้ จับต้องได้ จึงเกิดภาวะอารมณ์ข้ ึนมา อารมณ์ในที่น้ ี ไม่ได้หมายถึง อารมณ์ดีหรื ออารมณ์ไม่ดี แต่หมายถึงสิ่ งที่ผสั สะทั้งห้าตั้งแต่ ตาจนถึงกาย ถูกรู ้ข้ ึนมา “ใจ” จึงถูก ผัสสะรับรู ้ดว้ ย แต่ในบางครั้งใจก็ได้รับผัสสะโดยที่ไม่ได้ถูกรับรู ้ดว้ ยผัสสะทั้งห้าในขณะนั้นได้ แต่เป็ นการรับรู ้ มาแล้วแต่อดีตด้วยผัสสะทั้งห้ามาก่อน เช่น วันหนึ่งเรานึกถึงแม่ข้ ึนมา นึกถึงพ่อขึ้นมา หรื อนึกถึงคนรักขึ้นมา
16
หรื อนึกถึงอะไรที่เราเคยเห็นมาก่อน หรื อเหตุการณ์ใดๆ ที่เรากลัวไปก่อน เป็ นต้น เป็ นการสัมผัสด้วยใจ ภาพที่ เกิดขึ้นนั้นเป็ นสิ่ งที่ถูกใจรับรู ้ (มันเป็ นอดีตและอนาคต) เป็ นต้น ความรู้ สึก (เวทนา / นาม) คือ รู ้สึกเจ็บปวด เป็ นทุกข์ ไม่สบายทางกาย ไม่สบาย ทางใจ หรื อ รู ้สึกเป็ นสุขทางกายหรื อทางใจ หรื อรู ้สึก เฉยๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขก็ได้ ถ้าเรารู ้สึกชอบก็อยากได้อีกหรื อ ที่เรี ยกภาษาปั จจุบนั ว่า “ติดใจ” ถ้าไม่ชอบเราก็อยากให้ สภาวะความรู ้สึกนั้นหายไปหรื อหลีกไป ผูอ้ ่านคงเคยได้ยนิ ว่า ถ้าเรารู ้สึกอย่างไรเราก็จะกระทําอย่างนั้นไปด้วย นี่ เป็ นเรื่ องจริ ง! แต่เป็ นเรื่ องจริ งสําหรับคนที่ไม่รู้เท่าทันตนเองเท่านั้น แต่สาํ หรับคนที่รู้เท่าทันตนเองแล้วจะ สามารถพิจารณาความรู ้สึกของตนเองได้ กล่าวคือ ความรู ้น้ ีน้ นั จะเป็ นประโยชน์กบั ตัวเราเองได้อย่างไร เช่น ความรัก ความรักทําให้เราเกิดความปรารถนาต่อไป หรื อถ้าเราได้เห็นข่าวตามหน้าหนังสื อพิมพ์ในสิ่ งที่ไม่ดีเราก็ สามารถเอาความรู ้สึกไม่ดีของตัวเรานั้นมาเป็ นอุทาหรณ์ได้ ดังนั้นความรู ้สึกของตนจะไม่เกิดขึ้นได้เลยหากไม่มี “จิต” ควบคุมอยูด่ ว้ ย ความจา (สัญญา / นาม) คือ จํารู ป จําเสี ยง จํากลิ่น จํารส จําสัมผัส ว่าเป็ นอะไร ทางพุทธศาสนาถือว่า เป็ นหน่วยความจําของ “จิต” ไม่ใช่ของสมอง และเป็ นที่รวมของคําสัง่ ต่างๆ ซึ่งจะหลอมรวมกลายเป็ น “ประสบการณ์” ประสบการณ์แต่ละ เหตุการณ์ จิตจะจดจําไว้จากรู ปที่เห็นและให้เราเกิดความรู ้สึกต่อมา เราจดจําไว้เพื่อนํามาใช้ในการคิดต่อไปใน ภายหน้า ในลักษณะเดียวกับซอฟท์แวร์โปรแกรมที่ควบคุมกํากับสมองให้ทาํ งานอย่างคอมพิวเตอร์ เหตุการณ์ใดๆ ที่ผา่ นเข้ามาทางรู ปต่างๆ จะเกิดการจําเป็ นสัญญาไว้ใน “จิต” จิตของคนเรามีคุณลักษณะ คือ สามารถเก็บบันทึก สิ่ งที่ผา่ นเข้ามาสู่การรับรู ้ คุณลักษณะส่วนที่ทาํ หน้าที่เก็บบันทึกสิ่ งที่ผา่ นเข้ามาสู่การรับรู ้น้ ีเรี ยกว่า ความจํา (สัญญา) เช่นเด็กเกิดใหม่ยงั ไม่รู้จกั อะไร เมื่อเติบโตขึ้นก็ค่อยๆ เรี ยนรู ้สิ่งต่างๆ มากขึ้นเป็ นลําดับ ครั้งหนึ่งเด็กไม่ รู ้วา่ คนที่อมุ ้ ตัวเองอยูน่ ้ นั คือแม่ ต่อเมื่อมีคนสอนว่า นี่คือแม่ และได้รับการสัมผัสอยูต่ ลอดจากอ้อมอกแม่ จิตของ เด็กก็บนั ทึกความรู ้น้ นั ไว้ ทุกครั้งที่เด็กเห็นแม่ หรื อได้ยนิ เด็กจะรู ้วา่ นี่คือแม่ คุณลักษณะของจิตส่วนที่ทาํ หน้าที่ เก็บบันทึกสิ่ งต่างๆ นี้เรี ยกว่า ความจํา (สัญญา) การคิด – ปรุงแต่ ง (สังขาร / นาม) คือ การคิดนี้ จะเป็ นส่วนที่เราเคยผ่านมาก่อนแล้ว หรื อที่เรี ยกว่า “ประสบการณ์มาก่อน” เราจึงจะคิดได้ คําอธิบายได้อีกอย่างหนึ่งหมายถึง “ความปรารถนา” ความต้องการก็ได้ เมื่อ “จิต” มีความปรารถนาอย่างใด ก็จะ สัง่ ให้สมองให้ปฏิบตั ิตามโดย ๓ วิธีน้ ีคือ - สัง่ เป็ นคําพูด หรื อนึกคิดเป็ นถ้อยคําในทันทีที่ตอ้ งการ - สัง่ ด้วยขบวนการทํางานร่ วมกันระหว่างความรู ้สึก (เวทนา) กับ ความจําหมาย (สัญญา) ซึ่งเป็ น หน้าที่อย่างอื่นของจิตดังที่กล่าวมาแล้ว คําสัง่ ชนิดนี้มีลกั ษณะเป็ น “จินตนาการ” - สัง่ ด้วยกลไกของระบบร่ างกายให้อวัยวะต่างๆ ทํางาน เช่น การหายใจ การย่อยอาหาร การ เคลื่อนไหวของแขนขา ปฏิกิริยาทางร่ างกาย เป็ นต้น สภาวะการคิดที่ปรุ งแต่งใจ สภาวะที่วา่ นี้แบ่งออกเป็ นสามฝ่ ายด้วยกันได้ คือ ฝ่ ายดี ฝ่ ายเลว และฝ่ ายที่ เป็ นกลาง ตัวอย่างของสภาวะฝ่ ายดี เช่น ความละอายต่อการทําความชัว่ ตัวอย่างของสภาวะฝ่ ายเลวก็เช่น ความ 17
ไม่ละอายต่อการทําความชัว่ และตัวอย่างของสภาวะฝ่ ายที่เป็ นกลางไม่ดีไม่เลว เช่น ความเพียรพยายาม ความ เพียรพยายามนี้โดยตัวมันเองไม่ดี ไม่เลว มันจะดีหรื อเลวก็ต่อเมื่อถูกใช้ไปในทางที่ดีหรื อชัว่ เท่านั้น เช่น เพียร ศึกษาหาความรู ้ก็กลายเป็ นเรื่ องดี แต่ถา้ เพียรฝึ กฝนวิธีโจรกรรมก็เลยเป็ นเรื่ องเลว เป็ นต้น การรู้ (วิญญาณ / นาม) คือ กล่าวได้วา่ การรู ้ก็หมายถึง การรับรู ้โลกภายนอกที่ผา่ นเข้ามาทางอวัยวะรับสัมผัสทั้งห้า (รู ป) คือ ตา หู จมูก ปาก กาย นอกจากนี้ยงั รับรู ้การทํางานอย่างอื่นของจิตอีกด้วย คือ รับรู ้ความรู ้สึก (เวทนา) รับรู ้การจํา (สัญญา) รับรู ้การคิด (สังขาร) ได้ดว้ ยดังที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งประกอบไปด้วยรู ปกับนาม ทั้งสิ้น หรื อกายกับใจเรา ดังจะเห็นได้วา่ ทุกอย่างนั้น เชื่อมโยงกันหมด “จิต” คือ สิ่ งที่ทาํ ให้ ร่ างกายมนุษย์ (รู ป) มีความรู ้สึก (เวทนา) มีความจํา (สัญญา) และ มีการปรับเปลี่ยนคิดเพิ่มเติมปรุ งแต่งขึ้นอีก (สังขาร) จนเกิดการรับรู ้ (วิญญาณ) เป็ นขั้นๆ ไป... ผัสสะสัมผัส ความรู้ สึก การจา การคิด - ปรุงแต่ง การรู้ (รู ป) (เวทนา) (สัญญา) (สังขาร) (วิญญาณ) กล่าวได้วา่ เป็ นขั้นๆ ในที่น้ ี คือ หากเราได้เรี ยนรู ้สิ่งใหม่ๆ หรื อประสบการณ์ใหม่ๆ คือไม่มีขอ้ มูลเก่าจาก ความจําเก่า ก็จะมีการจําใหม่ไว้แทนต่อ ทั้ง “รู ป” ที่เกิดความรู ้สึก ที่เกิดจากสัมผัสการรับรู ้จากภายนอก (ตา หู จมูก ปาก กาย) เห็นรู ปนั้นไว้ดว้ ยกัน ครั้นในเวลาต่อมาเมื่อใดที่ได้เห็นรู ปนั้นอีก ก็จะทําให้เกิดความรู ้สึกขึ้นมา เมื่อครั้นเกิดความรู ้สึก ก็จะเกิดการจําขึ้นต่อมา อย่างที่เคยเกิดร่ วมกับการเห็นครั้งแรกขึ้นมากได้อีกเสมอ ต่อมา เมื่อจําได้ก็จะคิดต่อเพิ่มเติมหรื อปรุ งแต่ง (จิตนาการ) จึงเกิดการเป็ น จิต (การรู ้) การทํางานร่ วมกันระหว่าง “ความรู ้สึก” กับ “การจํา” เช่นนี้ ทางพุทธศาสนา เรี ยกว่า “จิตสังขาร” เป็ น คําสัง่ ของจิตไปยังสมองอีกลักษณะหนึ่ง กล่าวคือ มีการเก็บคําสัง่ ไว้ในรู ปของ “การจํา” แล้วใช้ “ผัสสะสัมผัส” เป็ นตัวกระตุน้ ให้เกิด “ความรู ้สึก” ซึ่งจะไปดึงเอา “การจํา” ที่เก็บไว้เป็ นคําสัง่ นั้นมาสู่สมอง ให้ปฏิบตั ิตามได้ซ้ าํ แล้วซํ้าอีก ตัวอย่างเช่น ถ้ามีใครสักคนด่าท่านด้วยถ้อยคําอย่างหนึ่งที่ทาํ ให้รู้สึกเจ็บชํ้าใจยิง่ นัก ท่านก็จะจําถ้อยคํา นั้นไว้ได้ เมื่อใดที่ได้ยนิ ถ้อยคํานั้นอีก (หรื อแม้แต่เพียงนึกถึง) ก็จะเกิดความรู ้สึกเจ็บชํ้าใจ ขึ้นมาได้ซ้ าํ แล้วซํ้าเล่า ตราบเท่าที่ยงั จําถ้อยคําที่ด่าว่านั้นไว้อยู่ เช่นกัน ตรงกันข้ามถ้าท่านได้พบเห็นสิ่ งสวยงามด้วยผัสสะสัมผัสจนเกิด ความรู ้สึกขึ้นและจําไว้ เมื่อใดที่ท่านได้เห็นอีกจากผัสะสัมผัส ท่านก็จะดึงจากการจํานั้นขึ้นมาเพิม่ เติมปรุ งแต่ง นี่ แหละที่เค้าเรี ยกว่า “จิตสังขาร” หรื อ “จิตคิดปรุ งแต่ง” ต่อไป คาอธิบายดังนี้ อาจเปรียบเทียบได้ ว่า ทาให้ มองเห็นการใช้ คาสั่งในลักษณะทีเ่ ป็ นโปรแกรมเก็บไว้ ในจิตที่ เรียกว่ า “ความจา” อันมีลกั ษณะเดียวกับซอฟท์แวร์ โปรแกรมใช้ งานเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยโปรแกรมคาสั่งเข้ าไว้ ในจิต และนา “ความจา” เข้ ามาสู่ สมอง (Loading to Brain) เช่ นเดียวกับการนาโปรแกรมใช้ งานเข้ าสู่ คอมพิวเตอร์ จากนั้นมนุษย์ เราก็จะมีพฤติกรรมไปตามโปรแกรมทีน่ าเข้ าไปนั้นซ้าแล้ วซ้าอีก
กาลเวลาของธรรมชาติในสรรพสงิ่ ้ นเหลือ (การซอ ่ มแห่งเวลา)
18
ถ้าเราจะให้ความหมายของ “เวลา” (Time) นั้น มันไม่ง่ายนักที่จะจํากัดความลงไปให้แน่ชดั เวลา คือการ นับอายุเวลา หรื อคือการกําเนิดฤดูกาล หรื อเวลาคือตารางที่ถูกกําหนดขึ้นมาเพื่อให้เรารู ้วา่ เราจะทําอะไรบ้าง ใน กิจวัตรประจําวันอย่างนั้นหรื อ ก็ไม่รู้วา่ จะตอบอย่างไรเหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ ตั้งแต่แรกเกิดลืมตาอ้าปากขึ้นมา เวลา ก็เข้ามายุง่ เกี่ยวกับเรา พอโตขึ้นมาพอจะจําอะไรกับเขาได้บา้ ง เราก็ถูกสอนให้บอกเวลาจากนาฬิกา ให้บอกเวลา จากปฏิทิน วันไหน คือ วันจันทร์ วันไหน คือ วันอาทิตย์ เดือนไหนเป็ นเดือนไหนก็วา่ เรื่ อยไป การนับเวลาที่วา่ มานี้เป็ น “สิ่งประดิษฐ์ ” อย่างหนึ่งที่มนุษย์เราตั้งขึ้นมาเพื่อให้สาํ หรับนัดหรื อวัดเวลาบน โลก ลองคิดดูง่ายๆ ถ้าพ้นจากดาวเคราะห์โลกนี้ไปแล้ว (ไปอยูด่ าวเคราะห์ดวงอื่น) เราก็คงไม่สามารถนับเวลา ตามกฎเกณฑ์เดิมของเรานี้ได้ เราอาจจะพบกับเวลาที่แท้จริ ง ที่เรี ยกว่า เวลาแห่งจักรวาล (Cosmic Time) หรื อ เวลาแห่งเอกภพ (Universal Time) ซึ่งนัน่ อาจจะเป็ นธรรมชาติของเวลาที่จะต้องให้เวลาในการศึกษากันอีก มากมาย ปรากฎการณ์ลึกลับที่เกิดจาการซ้อนเหลื่อมกันของเวลาจึงเป็ นเรื่ องจริ งที่เกิดขึ้นได้ ที่เรายังหาคําตอบ ไม่ได้ และมักจะคิดว่าเป็ นเรื่ องที่เหลือเชื่อเป็ นเพราะว่า เรายังไม่เข้าใจถึงธรรมชาติที่แท้จริ งของ “เวลา” โจน ฟอร์แมน (Joan Forman) ผูเ้ ขียนสารคดีเรื่ องกาลเวลาของธรรมชาติน้ ี เป็ นผูห้ นึ่งที่สนใจถึงความ ลึกลับของเวลา และได้ศึกษารวบรวมเรื่ องราวที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ “การซ้อนเหลื่อมของเวลา” ไว้เป็ น จํานวนมากซึ่งจะได้หยิบยกมาเป็ นตัวอย่างเพียงบางเรื่ องหลังจากนั้น เราจะมาวิเคราะห์กนั ถึงแนวทางที่มนั จะ เกิดขึ้นได้อย่างไรบ้างบนพื้นฐานของหลักการทางวิทยาศาสตร์เท่าที่อารยชนรุ่ นเราจะมีอยูแ่ ละรู ้ได้ โจน ฟอร์แมน เขียนไว้วา่ การซ้อนเหลื่อมกันของเวลาอดีต กับปั จจุบนั และอนาคต นั้น เมื่อเวลาเกิดการ ซ้อนเลื่อมกันได้มนั อาจจะซ้อนเข้าไปสู่อดีตหรื อล่วงหน้าเข้าไปสู่อนาคต มันเป็ นสิ่ งที่เกิดขึ้นได้ท้ งั 2 กรณี อนาคตที่ล่วงหน้ามาปรากฏขึ้นในปั จจุบนั นั้นอาจเกิดขึ้นได้ ๒ ทาง คือ เป็ นภาพที่อยูใ่ นความฝัน หรื อไม่ก็เดินไป ดีๆ แล้วก็เห็นกันเจ๋ งๆเลย จนบางทีคิดว่าเป็ นภาพลวงตา ภาพที่อยูใ่ นอนาคตแล้วมาซ้อนกันอยูก่ บั ปั จจุบนั บางครั้ง อาจจะไม่รู้สึกผิดสังเกต เพราะมันเป็ นเหตุการณ์ที่ยงั ไม่เกิดขึ้นแต่เมื่อเราไปพบเห็นเข้าสักวันหนึ่งข้างหน้า เรา อาจจะรู ้สึกประหลาดใจที่พอจะนึกออกว่า คลับคล้ายคลับคลาว่าเราเคยเห็นมาก่อน ท่านผูอ้ ่านหลายท่านคงจะเคย มีความรู ้สึกเช่นนี้มาบ้าง! แต่ไม่แน่ใจว่าเห็นมากับตาหรื อในความฝัน หรื อเห็นมาจากที่ไหนเมื่อไรมาก่อน การซ้อนเหลื่อมแห่งเวลาทั้งอดีตและอนาคต ซึ่งเป็ นเรื่ องที่เกิดขึ้นจริ งได้ แต่เป็ นความแปลกประหลาดที่ ยากจะอธิบาย คนส่วนใหญ่จึงยกให้มนั เป็ นปรากฏการณ์ที่เหนือธรรมชาติ อย่างไรก็ตามกฎเกณฑ์ที่อยูเ่ หนือ ธรรมชาติน้ นั ก็ยงั คงต้องอยูภ่ ายใต้เหตุแห่งธรรมชาติท้ งั นั้น แต่เรายังอธิบายไม่ได้หรื อยังอธิบายได้ไม่ชดั เจน ก็ อาจจะเป็ นเพราะว่าความรู ้เรายังก้าวไปไม่ถึง มีใครบ้างที่จะอธิบายถึงการเกิดสุริยปุ ราคาได้ก่อนที่โลกจะเรี ยนรู ้ถึง ระบบการโคจรของดวงดาวในจักรวาล เมื่อโลกมืดลงเพราะเกิดสุริยปุ ราคาเมื่อหลายพันปี ก่อน มันจึงเป็ น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากสิ่ งที่อยูเ่ หนือธรรมชาติที่ไม่มีคาํ อธิบาย แต่ปัจจุบนั เราสามารถคาดเดาได้ ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยําแล้ว เช่นกัน การซ้อนเหลื่อมแห่งเวลาก็จะสามารถอธิบายได้ ถ้าเราจะรู ้ซ้ ึงถึงกฎเกณฑ์ ของเวลาแห่งจักรวาลมากกว่านี้ อย่างไรก็ตามในขณะที่เรากําลังคลําทางเพื่อค้นคว้าเรื่ องการซ้อนเหลื่อมแห่งเวลา ข้อสังเกตหลายประการก็ได้ถูกรวบรวมขึ้นมาบ้างแล้ว เช่น - การซ้อนเหลื่อมแห่งเวลาจะเกิดขึ้นเมื่อมีจุดกระตุน้ - การซ้อนเหลื่อมนั้นจะเกิดขึ้นเพียงชัว่ เวลาสัน่ ๆ - มีความรู ้สึกผิดปกติเกิดขึ้นในขณะที่เวลากําลังจะซ้อนกัน - ความรู ้สึกบอกได้วา่ กําลังอยูใ่ นเหตุการณ์ที่แตกต่างกันใน ๒ เวลา
19
- เสี ยงจากเหตุการณ์ปัจจุบนั นั้นจะหายไป - การซ้อนเหลื่อมแห่งเวลาได้ดว้ ยการฝึ กจิต ใครจะยืนยันได้วา่ “เวลา” เป็ นสิ่งที่ต่อเนื่องเหตุการณ์ จะต้องเกิดจากอดีต มาสู่ปัจจุบนั และไปสู่อนาคต อย่างเดียวเท่านั้นหรื อ อย่าลืมว่าความรู ้สึกเช่นนี้ถูกฝังแน่นอยูใ่ นจิตสํานึกของเรา เพราะเราคุน้ เคยกับการนับเวลา ตามปฏิทินและการนับเวลาเช่นนี้เป็ นเรื่ องที่สมมติข้ ึน หรื อเรี ยกอีกอย่างว่า “เวลาประดิษฐ์” เป็ นเครื่ องมือวัดอย่าง หนึ่งที่มนุษย์ฉลาดประดิษฐ์ข้ ึนมาเพื่อวัด “เวลา” ที่เนื้อแท้ๆ ของมันนั้น คือ “เวลาแห่ งจักรวาล” ซึ่งอาจจะมี เครื่ องมือวัดระบบอื่นๆ ที่แตกต่างกันไปมาใช้วดั ได้ ในภาวะปกติเวลาจะต่อเนื่องกันไปตามระบบการวัด ของมนุษย์ แต่เมื่อมี “สิ่ งผิดปกติ” เกิดขึ้น ธรรมชาติของเวลาที่แท้จริ งก็จะแสดงออก เวลาจะเกิดการเหลื่อมซ้อน กัน ข้อที่น่าสังเกตว่า เมื่อเวลาเกิดเหลื่อมซ้อนกันนั้น เป็ นปรากฏการณ์ที่ผิดปกติ ก็เนื่องมาจากผูพ้ บเห็นเหตุการณ์ จะเกิดอาการผิดปกติข้ ึนในร่ างกาย เช่น เวียนหัว ทํานองเดียวกับบุคคลที่มีประสาทพิเศษบางคนที่จะเกิดอาการ ผิดปกติข้ ึนก่อนหน้าที่จะเกิดแผ่นดินไหวซึ่งเป็ นความผิดปกติของธรรมชาติ เช่นเดียวกัน ถ้าจะเทียบกับความรู ้สึก ของคนบางคนที่เกิดผิดปกติข้ ึนมาก่อนหน้าที่เวลาธรรมชาติอย่างหนึ่งกําลังจะผันผวนด้วยการที่มนั กําลังจะซ้อน เหลื่อมกัน สิ่ งที่น่าขบคิดต่อไปก็คือว่า ถ้าอดีต ปัจจุบนั และอนาคต พร้อมอยูแ่ ล้วที่จะปรากฏออกมา ถ้าเช่นนั้น “ข่าวสาร” ของเหตุการณ์เหล่านี้ควรจะมีอยูแ่ ล้ว มันปรากฏอยูใ่ นรู ปใดรู ปหนึ่ง และ ณ.ที่ใดที่หนึ่งสมมุติฐานที่ อาจจะยังอยูเ่ หนือความนึกคิดอยู่ สมมติฐานหนึ่งที่วา่ สรรพสิ่ งทั้งหลายในโลกนี้มีการส่ง “คลื่นลึกลับ” ออกมา ตลอดเวลา คลื่นนี้จะบรรจุข่าวสารเกี่ยวกับตัวมันเอง (เช่น สี สนั รู ปลักษณ์ สภาวะ ฯลฯ) คลื่นลึกลับเหล่านี้มีการ รับและดูดกลืน จากวัตถุอื่นและเมื่อวัตถุอยูใ่ นสภาวะที่เหมาะสม และเมื่อสวิตช์ถูกเปิ ดขึ้น ข่าวสารเหล่านี้จะถูก ถ่ายทอดออกมาช่วงหนึ่งเข้าสู่เครื่ องรับ ซึ่งเป็ นสมองคนเรา ก็อาจจะทําให้ปรากฏภาพขึ้นได้ ปั ญหาก็อยูท่ ี่ “คลื่น ลึกลับ” ที่สามารถเก็บภาพและเสี ยงเอาไว้ได้น้ ีคืออะไร แต่มนั เป็ นความจริ งทางฟิ สิ กส์ที่ยอมรับกันข้อหนึ่งว่า มวลสารทุกอย่างมีการแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าออกมาตลอดเวลา คลื่นแสงที่ทาํ ให้เรารับรู ้ความสดสวยของโลก หรื ออาจจะเป็ นความขยะแขยง คลื่นวิทยุ รังสี อุลตราไวโอเลต รังสี เอกซ์ ตลอดจนรังสี แกมม่า ชื่อต่างๆ เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็ นส่วนหนึ่งของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ า คลื่นเหล่านี้ที่เคยเป็ นคลื่นลึกลับมาก่อนได้ถูกทยอยค้นพบ ในช่วงศตวรรษที่ผา่ นมา แล้วใครหละจะกล้าพนันได้วา่ ในช่วงศตวรรษต่อไป “คลื่นลึกลับ” ที่ส่งภาพอดีตและ อนาคตจากสรรพสิ่ งในโลกออกมาจากตัวมันเอง จะไม่เป็ นคลื่นรายต่อไปที่ถูกค้นพบ สาขาสําคัญหนึ่งของวิชาฟิ สิ กส์ที่เรี ยกว่า ควนตัม เมคคานิคส์ (Quantum machanics) มีส่วนสนับสนุน ในเรื่ องความไม่แน่นอนของเวลา โดยดูจากความไม่แน่นอนของอิเล็กตรอนในอะตอม เราไม่สามารถบอกถึง ตําแหน่งแห่งหนของอะตอมที่แน่นอนได้ มันอาจจะวิง่ ไปข้างหน้าหรื อว่าย้อนหลังในเวลาเดียวกันได้ มันทําตัว เหมือนกับไม่ข้ ึนอยูก่ บั เวลา อนาคตหรื ออดีต อาจจะอยู่ ณ. ที่ปัจจุบนั ก็ได้ ความลึกลับของเวลาในโลกอิเล็กตรอน อาจจะไขความลึกลับของเวลาแห่งจักรวาลได้บา้ งไม่มากก็นอ้ ยอย่างแน่นอน ในวันหนึ่งข้างหน้า เป็ นความจริ งที่ ยอมรับกันแล้วว่าสมองของคนเรานั้นมีการส่งคลื่นออกไปตลอดเวลา ด้วยลักษณะของความถี่ที่แตกต่างกัน และ เมื่อมันทําตัวมันเป็ นเครื่ องส่งได้มนั ก็น่าจะเป็ นเครื่ องรับได้ดว้ ยภาพของเหตุการณ์ในอดีต หรื อในอนาคตที่มา ปรากฏในปั จจุบนั ไม่วา่ จะมาในรู ปของการเห็นหรื อจากความฝันซึ่งเราเรี ยกมันว่าเป็ นการซ้อนเหลื่อมของเวลา นั้น อาจจะเป็ นการรับ “คลื่นลึกลับ” ที่เข้าสู่สมองในขณะที่สมองนั้นอยูใ่ นสภาวะที่เกิด “ปรับ” (Tune) ได้ตรงกับ คลื่นนั้นพอดี
20
ถ้าเราสามารถรับรู ้เหตุการณ์ในอนาคตซึ่งโดยสามัญสํานึกเราคิดว่า มันยังไม่น่าเกิดขึ้น เพราะผลของ อนาคตจะต้องต่อเนื่องจากเหตุแห่งปัจจุบนั ถ้าเป็ นเช่นนั้นแสดงว่าข่าวสารในอนาคตได้ถูกกําหนดไว้แล้ว รอให้ เราไปพบโดยที่เราจะปล่อยมันไม่ได้เลย อย่างนั้นหรื อ คําตอบก็คือ ใช่ ! อาจจะเป็ นอย่างนั้น เหตุการณ์ทุกอย่างได้ ถูกกําหนดไว้แล้ว หรื อถ้าจะพูดลึกลงไปก็คือ มันได้เกิดขึ้นแล้ว ถ้าเช่นนั้นผูอ้ ่านบางท่านอาจจะเถียงได้วา่ มัน เกิดขึ้นได้อย่างไรในเมื่อมัน คือ เรื่ องของอนาคต คําถามที่น่าคิดสําหรับท่านก็คือ ท่านแน่ใจแล้วหรื อว่า สิ่ งที่กาํ ลัง เกิดขึ้นอยูเ่ ดี๋ยวนี้ท่านเรี ยกว่า “ปั จจุบนั ” คือ ปลายสุดของเหตุการณ์ซ่ ึงต่อเนื่องมาจากอดีต ปลายสุดหมายถึงว่า เหตุการณ์ในอนาคตยังไม่มี ผูอ้ ่านอาจจะแน่ใจอย่างนั้นไม่ได้ เพราะนัน่ คือ ความรู ้สึกของเวลาที่ถูกวัดด้วยระบบของปฏิทิน นั้นคือ เวลาประดิษฐ์ สมมติวา่ มีการเทียบกับการวัดอีกระบบหนึ่ง คนที่อยูใ่ นระบบนั้นจะมองเห็นว่า ปัจจุบนั ที่เรากําลัง ดําเนินอยูน่ ้ นั มันคือ อดีต เมื่อมองจากระบบของเขานัน่ เอง ถ้าอดีต ปั จจุบนั และอนาคต เป็ นสิ่ งที่ได้ถูกกําหนดวาง ไว้แล้วเกิดขึ้นแล้ว ปรัชญาของคนโบราณเกี่ยวกับเรื่ องของชะตาชีวติ ที่กล่าวว่า “วิถีชีวติ ของคนทุกคนได้ถูก กําหนดไว้แล้ว” สิ่ งที่มนั จะเกิดมันก็ตอ้ งเกิด ก็นบั ได้วา่ เป็ นแนวความคิดที่น่าสนใจมิใช่นอ้ ย เรื่ องที่เราคิดว่าไร้ สาระ อาจจะตรงกับหลักความจริ งที่ลึกซึ้งลงไปกว่านั้น สําหรับการค้นพบในวันข้างหน้า และเมื่อนั้นเราอาจจะ ต้องยกย่องให้ แล้วบอกว่า คนโบราณนี้คิดไกลจริ งๆ เวลาดูเหมือนว่าไหลผ่านไปเช่นเดียวกับกระแสนํ้า เราแยกสายธารแห่งเวลาออกเป็ นสามสายธาร คือ อดีตกาล ปั จจุบนั กาล และอนาคตกาล มีความจริ งอยูว่ า่ “อดีตกาลถูกสร้ างขึน้ ในความทรงจา และปัจจุบันกาลมี ความเป็ นจริงในประสบการณ์ และอนาคตกาลล่ วงหน้ าอยู่ในจินตนาการ” เคยมีคนกล่าวไว้วา่ ปั จจุบนั กาลไม่ เฉี ยบขาดเหมือนคมมีด ที่เราเรี ยกกว่า ชัว่ ขณะ ชัว่ คราว (Sir James Jeans / The Mysterious Universe) ความ จริ งมันมีช่วงเวลาอยูเ่ หมือนกันในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ มีก่อนหลังอยูด่ ว้ ย แต่ตามความเข้าใจของคนส่วนมากแล้ว ถือกันว่า ก่อนหลังพรุ่ งนี้วานนี้ ล้วนแต่เป็ นการกําหนดขึ้นในอุดมการณ์ประดิษฐ์ท้ งั สิ้น เช่นเดียวกับอวกาศแห่ง มโนภาพ เวลาแห่งมโนภาพก็ผิดเพี้ยนกับเวลาแห่งผัสสะนิดหน่อยเช่นเดียวกัน เวลาคิดเราคิดถึงเวลานามธรรม ซึ่งปั จจุบนั กาล เฉี ยบขาดเหมือนคมมีด ไม่มีช่วงเวลา หรื อช่วงเวลามีค่าเป็ นศูนย์ ส่วนอดีตกาลและอนาคตกาล อาจจะยืดออกไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด การซ้อนเหลื่อมกันแห่งเวลาอาจจะเป็ นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่นเดียวกับการเกิดแผ่นดินไหว สุริยปุ ราคา หรื อภูเขาไฟระเบิด เพียงแต่เรายังไม่มีกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ที่แน่ ชัดมาอธิบายได้เท่านั้น ความจริ งแล้วมีอยูใ่ นตําราคัมภีร์โบราณต่างๆ หรื อตํานานต่างๆ เหมือนกันเกี่ยวกับเวลา แต่จะเรี ยกอีกอย่างหนึ่ง กล่าวคือ ภพชาติ การระลึกชาติได้ ดังที่มีในตําราและคํากล่าวต่างๆ ทางพุทธศาสนา ในพระไตรปิ ฎก มีข้อความทีพ่ ระผู้มพี ระภาคเจ้ าได้ เคยตรัสถึงการกระทาของพระองค์ เอง และของคน อืน่ ๆ ว่ า ได้ เคยกระทาคล้ ายอย่ างนั้นมาแล้ วในอดีต หรือทีเ่ ราเรียกในนิทานชาดกในเรื่องทศบารมีหรือทศชาติ ถึง ตัวเราจะระลึกอดีตชาติไม่ ได้ และไม่ รู้ ว่าเราสะสมอดีตชาติมาเป็ นอย่ างไร แต่ ในพุทธศาสนาทั้งนี้ จะไม่ เน้ นพูดถึง เรื่องอดีตชาติหรือภพชาตินหี้ รือภพหน้ า แต่ จะพูดถึง “เหตุและผล” ทีเ่ ป็ นการสืบเนื่องเชื่อมโยงกันมา กล่ าวคือ สิ่งทีเ่ ป็ นอยู่ในปัจจุบันนี้ เป็ นผลสืบเนื่องมาจากอดีต เหตุจากในอดีตเป็ นผลให้ เราเป็ นอยู่ในปัจจุบนั นี้ และเช่ นกัน เหตุทเี่ รากระทาลงไปในปัจจุบันนี้ ก็จะเป็ นผลให้ เกิดขึน้ ในอนาคตเราด้ วย คนส่ วนใหญ่ ไม่ ได้ ฉุดคิดในข้ อนีป้ ล่ อย กระแสการกระทาของเราให้ เป็ นไปตามกาลเวลา และอารมณ์ ความรู้ สึกของตัวตนเราในขณะนั้นไป... สิ่งทีเ่ ป็ นจริง ซึ่งเรียกว่ าสิ่งธรรมชาติ จะต้ องอยู่ภายใต้ อวกาศและเวลา เกิดขึน้ และดับลงโดยมีสาเหตุ และเกิดผลตามมา จึงเกิด ทรรศนะทีเ่ รียกว่ า “ธรรมชาตินิยม” ขึน้ มา ดังจะกล่ าวต่ อไป
21
ศาสนาก ับธรรมชาตินย ิ ม
22
“ธรรมชาตินิยม” (Naturalism) เป็ นแนวคิดทางปรัชญาที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง ภายหลังจาก การค้นพบทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่สาํ คัญ ๓ ทฤษฎี กล่าวคือ ทฤษฎี “วิวฒั นาการ” (Evolution Theory) ของ ชาร์ลส์ ดาร์วนิ (Charles Darwin) และทฤษฎี “ควอนตั้มฟิ สิ กส์” (Quantum Physics) ของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) และทฤษฎี “การระเบิดครั้งยิง่ ใหญ่” (Big Bang Theory) ของเอ็ดวิน ฮับเบิ้ล (Edwin Hubbles) นับเป็ นการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ครั้งสําคัญทั้งในโลกของปรัชญาและวิทยาศาสตร์ ปรัชญาธรรมชาตินิยม ตั้งต้นจากทรรศนะที่วา่ สิ่ งที่เป็ นจริ งซึ่งเรี ยกว่า สิ่ งธรรมชาติ (Natural Object) จะต้องอยูภ่ ายใต้อวกาศและเวลา (Space and Time) เกิดขึ้นและดับลงโดยมีสาเหตุ และสาเหตุน้ นั จะต้องเป็ นสิ่ ง ธรรมชาติดว้ ย หมายความว่า นอกจากสสารแล้ว สิ่ งที่มิใช่สสาร เช่น ปรากฏการณ์ที่เรี ยกว่า “จิต” (Mind) ของ มนุษย์ หากอยูภ่ ายใต้ระบบอวกาศและเวลาแล้ว ก็ถือว่าเป็ นสิ่ งที่เป็ นจริ งด้วย นับเป็ นการทลายข้อจํากัดของ ปรัชญา “สสารนิยม” (Materialism) ซึ่งยอมรับแต่เพียง สสาร (Matter) ที่สมั ผัสได้ดว้ ยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เท่านั้น ชีวติ จึงได้แก่ปฏิกิริยาพิเศษโดยเฉพาะของสิ่ งที่มีโครงสร้างอันซับซ้อน สสารเองก็ยงั เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันอย่างมีระเบียบของ โปรตอน และ อีเล็กตรอน ซึ่งมีระดับตํ่ากว่าสสาร เมื่อวิวฒั นาการ สูงขึ้นๆ อย่างมากแล้ว มนัสจึงเริ่ มแสดงบทบาทออกเป็ นขั้นอุดการณ์ของสิ่ งที่มีชีวติ ที่ความซับซ้อนมากๆ เรา อาจจะกล่าวได้วา่ ธรรมชาติไต่เต้าขึ้นหาชีวติ และมนัสโดยการจัดระเบียบในสสาร ตามทฤษฎี “วิวฒ ั นาการ” (ชาร์ลส์ ดาร์วนิ ) หลังจากโลกได้เย็นตัวลงแล้ว ปฏิกิริยาทาง เคมีบนผิวโลกทําให้เกิดไอนํ้า ไอนํ้าที่ลอยขึ้นสูงถูกแรงดึงดูดของโลกดูดไว้ ก่อให้เกิด ชั้นบรรยากาศและเมฆขึ้น ในที่สุดเมฆก็ตกลงมาเป็ นฝน ทําให้เกิดลําคลอง แม่น้ าํ ทะเล และมหาสมุทร เมื่ออนินทรี ยสาร (non-organic matter) ทําปฏิกิริยากับนํ้าปริ มาณ มหาศาลในเวลาที่ยาวนานเพียงพอ สิ่ งมหัศจรรย์ คือ อินทรี ยสาร (organic matter) หรื อ “ชีวติ ” (Life) ก็ได้บงั เกิดขึ้น จากโครงสร้างที่เรี ยบง่าย เช่น สัตว์เซลล์เดียว ชีวติ ได้ วิวฒั นาการสู่ความสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยแยกเป็ นทั้งอาณาจักรพืชและอาณาจักรสัตว์ ในอาณาจักรสัตว์ชีวติ ได้ วิวฒั นาการจากหนอนทะเล มาเป็ นปลา สัตว์ครึ่ งบกครึ่ งนํ้า สัตว์บก กระทัง่ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในที่สุด เมื่อชีวติ มี วิวฒั นาการที่ยาวนานเพียงพอ สิ่ งอัศจรรย์ยงิ่ กว่านั้นคือ “จิต” (Mind) ก็เกิดขึ้น นักชีววิทยาสังเกตว่า รู ปแบบของ ชีวติ นับตั้งแต่ปลาเป็ นต้นมาล้วนแต่มีปรากฏการณ์ที่เรี ยกว่า “จิต” เกิดขึ้นแล้วทั้งสิ้น ไม่วา่ จะเป็ นปลาโลมาที่ สามารถฝึ กได้ สุนขั ที่ซื่อสัตย์ต่อเจ้าของ ลิงที่เริ่ มเรี ยนรู ้การใช้เครื่ องมือ และที่สาํ คัญที่สุดก็คือ “มนุษย์” จิตของ มนุษย์จึงเป็ นสุดยอดของวิวฒั นาการของจักรวาลนี้ จากการคํานวณของนักธรณี วทิ ยา โลกมีอายุประมาณ ๕,๐๐๐ ล้านปี สิ่ งมีชีวติ มีอยูใ่ นโลกนี้ประมาณ ๕๐๐ ล้านปี และมนุษย์เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ ๒ ล้านปี มานี้เอง ทฤษฎี “วิวฒั นาการแบบก้าวกระโดด” (Emergent Evolution) บ่งบอกว่า เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงด้าน ปริ มาณมาถึงจุดหนึ่ง จะเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านคุณภาพขึ้นอย่างฉับพลัน และในวิวฒั นาการของจักรวาลและ โลก ได้เกิดวิวฒั นาการแบบก้าวกระโดดขึ้นอย่างน้อยที่สุด ๔ ครั้งใหญ่ๆ คือ การเกิดขึ้นของ มวลสาร, นํ้า, ชีวติ , และจิตใจ พุทธศาสนาเห็นพ้องกับปรัชญาธรรมชาตินิยม ที่วา่ จิตใจของมนุษย์มีอยู่ แต่มิใช่ “สิ่ ง” (Object) แต่เป็ น “ปรากฏการณ์” (Phenomenon) ที่ไม่เป็ นตัวไม่เป็ นตน เป็ น “อนัตตา” (non-self) ร่ างกายที่จบั ต้องได้เห็นได้ กับ จิตใจที่จบั ต้องไม่ได้เห็นไม่ได้ จึงเป็ นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน และอิงอาศัยกันอย่างแยกไม่ออก
23
ตามทฤษฎี “ควอนตั้มฟิ สิกส์ ” (อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์) หน่วยที่เล็กที่สุดที่เรี ยกว่า “อะตอม” (Atom) นั้นมิใช่สิ่งที่แข็งตันและหยุดนิ่งอยูก่ บั ที่ ดังคําอธิบายของ “ฟิ สิ กส์ แบบนิวตัน” (Newtonian Physics) แต่กลับประกอบด้วยโปรตอน นิวตรอน อิเล็กตรอน และช่องว่างมหาศาลระหว่างประจุไฟฟ้ าเหล่านั้น และอิเล็กตรอนก็วงิ่ รอบ นิวตรอนด้วยความเร็ วสูง ทุกสิ่ งจึงเคลื่อนที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่มีสิ่งใดหยุดนิ่ง อยูก่ บั ที่ สรรพสิ่ งจึงเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงด้วยตัวของมันเองได้ ไม่จาํ เป็ นต้องเกิด จากแรงผลักจากภายนอกแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น และเป็ นไปอย่างสะเปสะปะไม่แน่นอน เราจะต้องแปลกใจที่ มันไม่อยูต่ รงที่คาํ นวณเอาไว้ แต่พบว่ามันกระโดดไปตามเรื่ องตามราวอย่างพิสดารไร้ทิศทาง เรื่ องนี้ทาํ ให้มึนงง ไปตามๆ กันกับนักวิทยาศาสตร์ เหมือนกับว่ารากฐานของวิทยาศาสตร์พงั ทลายเสี ยแล้ว เพราะรากฐานทาง วิทยาศาสตร์กล่าวว่า เหตุการณ์ในธรรมชาติถูกกําหนดขึ้นอย่างแน่นอนตายตัว กล่าวคือ ปั จจุบนั เป็ นผลของอดีต อย่างเคร่ งครัด การค้นคว้าใหม่น้ ี ยังให้ผลลัพธ์ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง คือ เน้นหนักมากขึ้นในเรื่ องลักษณะสถิติ ของกฎในธรรมชาติ เราอาจจะไม่รู้วา่ อิเล็กตรอนแต่ละตัวจะมีพฤติกรรมอย่างไร แต่เราสามารถ กําหนดสถิติข้ ึน อย่างเชื่อถือได้ จึงเป็ นอันว่าแม้ในโลกน้อยๆ ที่เราอาศัยอยูน่ ้ ี พื้นฐานของวิทยาศาสตร์ก็หาได้คลอนแคลนไปแต่อย่างใด ไม่ กฎในธรรมชาติส่วนมากเป็ นกฎตามสถิติ นั้นก็เท่ากับยืนยันพฤติกรรมรายเฉลี่ยของสังคมศาสตร์ได้วา่ อัตวินิบาตกรรม จะเกิดขึ้นประมาณสักกี่รายในกลุ่มชนสังคมหนึ่ง ในชัว่ ระยะเวลาหนึ่ง แม้วา่ จะเอาแน่เอานอน เป็ นรายคนไปไม่ได้ ว่าคนไหนบ้างจะทําอัตวินิบาตกรรม หรื ออีกตัวอย่างหนึ่งได้วา่ พฤติกรรมของแต่ละคนเรา ไม่สามารถที่จะคาดเดาได้วา่ เป็ นอย่างไร แต่ถา้ เรามองภาพรวมใหญ่และตามสถิติแล้ว เราก็อาจจะคาดการณ์ใน อนาคตได้บา้ งของสังคมนั้นๆ ไป พูดกว้างๆ แล้วหลักการใหม่น้ ีดูเหมือนจะถือว่า หน่วยเฉพาะแต่ละหน่วยมี เสรี ภาพในการกระทําของตัวเอง มากกว่าที่รู้มาแต่เดิมเสี ยอีก ตามทฤษฎี “การระเบิดครั้งยิง่ ใหญ่ ” (เอ็ดวิน ฮับเบิ้ล) ต้นกําเนิดของจักรวาลเกิดจาก การระเบิดครั้งใหญ่ (Big Bang) เมื่อประมาณ ๑๕,๐๐๐ ล้านปี ที่แล้ว อันก่อให้เกิด ปฏิกิริยาลูกโซ่กลายเป็ น “มวลสาร” (Matter) ปริ มาณมหาศาล แรงระเบิดได้ก่อให้เกิด ช่องว่าง หรื อ อวกาศ (Space) ขึ้น มวลสาร อวกาศ และความเร็ ว ได้ก่อให้เกิด เวลา (Time) ขึ้น จักรวาลได้ขยายตัวออกกลายเป็ น กาแล็กซี่ (Galaxy) ซึ่งมีจาํ นวนกว่า หนึ่ง ล้านล้านกาแล็กซี่ แต่ละกาแล็กซี่ ประกอบด้วยดาวฤกษ์ (เช่น ดวงอาทิตย์) จํานวนกว่า หนึ่งล้านล้านดวง สุริยะระบบ (Solar System) ของเราอยูช่ ายขอบ กาแล็กซี่ทางช้างเผือก (Milky Way Galaxy) ซึ่ง อยูช่ ายขอบของจักรวาลใหญ่อีกทีหนึ่ง เราจึงมิได้เป็ นศูนย์กลางของจักรวาล ไม่วา่ ในความหมายใดก็ตามที (ที่มา : ดร.ทวีวฒั น์ ปุณฑริ กวิวฒั น์ อาจารย์ประจําภาควิชามนุษย์ศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล)
24
ทรรศนะทั้งสามนี้ นับเป็ นการทลายข้อจํากัดของปรัชญา “สสารนิยม” ที่ต้ งั อยูบ่ นพื้นฐานของฟิ สิกส์ แบบนิวตัน ซึ่งมองว่าสรรพสิ่ งอยูภ่ ายใต้ระบบจักรกล (Mechanism) จะเคลื่อนไหวก็ต่อเมื่อมีแรงผลักจากภายนอก เท่านั้น (Determinism) และทุกสิ่ งสามารถทอนลงเป็ นหน่วยย่อยได้ (Reductionism) “สสารนิยม” จึงปฏิเสธการมี อยูข่ อง “จิต” ว่าเป็ นเพียงปฏิกิริยาทางชีวเคมีของร่ างกายเท่านั้น ไม่สูจ้ ะมีใครพยายามกําหนดให้รัดกุมมากขึ้นไป อีกว่า ตัวการปลุกเร้าให้เกิดวิวฒั นาการดังที่กล่าวมานี้ มีธรรมชาติเป็ นอย่างไรกันแน่ เท่าที่กาํ หนดกันไว้เพียงรางๆ ก็วา่ เป็ นพลังงานควบคุมภายใน เป็ นพลังงานควบคุมและประสานงานดั้งเดิม แน่นอนถ้าจะบอกว่าเป็ นตัว “จิต” เสี ยคําเดียวก็จะง่ายแสนง่าย ที่จะง่ายก็เพราะสามารถเทียบดูได้กบั ตัวเราเอง จิตเป็ นตัวการกระตุน้ ให้ทาํ การทุก อย่างในตัวเรา เพราะฉะนั้น ในธรรมชาติก็น่าจะเหมือนกัน ดังจะเห็นได้วา่ คําว่า ธรรมชาตินิยม ก็ไม่ต่างกันกับที่มีความหมายคล้ายกับสสารนิยมนัก ที่เชื่อในเรื่ อง ของ สสาร อะตอม แต่ถา้ จะให้เราเชื่อในเรื่ องของสสารนิยม ก็จะดูต้นื เกินไป อาจจะเป็ นเพราะว่ามาจาก ความหมายที่ไม่แน่นอนของสสารนิยม และความเข้าใจของเราที่เปลี่ยนแปลงไปอยูต่ ลอด ธรรมชาตินิยมจึงเสนอ ใช้คาํ อื่นแทน คือ พลัง การเคลื่อน กฎธรรมชาติ และการมีเหตุผล เป็ นต้น เป็ นตัวกําหนด ซึ่ งสิ่ งที่อธิบายสรรพสิ่ ง ต่างๆ นี้ เพียงพอสําหรับการอธิบายโลกเราแล้ว อาจจะต่างกันอยูบ่ า้ งก็เพียงแต่ธรรมชาตินิยมนี้ จะเน้นความสําคัญ ของสสารนิยมน้อยกว่า และหันมาเน้นความสําคัญของพลังงานแทน จะเห็นได้วา่ ธรรมชาตินิยมก็คือ การเอาเรื่ อง ของ สสารนิยม กับ จิตนิยม เข้ามาไว้ดว้ ยกันอย่างดี ทฤษฎีสมั พัทธภาพ พลิกเนื้อหาวิชาฟิ สิ กส์และวิทยาศาสตร์ท้ งั หมด ทฤษฎีน้ ีครอบงํากฎสําคัญๆ ทั้งหลายซึ่งมีสูตรกะทัดรัดตายตัว และนําไปประยุกต์ได้ตรงเป้ าหมาย จนทําให้วชิ าฟิ สิ กส์และวิทยาศาสตร์เชิด หน้าชูตาได้บนเวทีแห่งความรู ้ของมนุษย์อยูท่ ุกวันนี้ กระนั้นก็ดี ครั้นหันมาพูดถึงธรรมชาตินิยมของสรรพสิ่ ง ต่างๆ วิชาฟิ สิ กส์ทางด้านวิทยาศาสตร์ท้ งั หมดก็เหมือนเปลือกหอยที่วา่ งเปล่า มีสภาพเป็ นเพียงสัญลักษณ์เท่านั้น เป็ นความรู ้เพียงโครงเรื่ องยังไม่มีเนื้อหา แต่ทว่าทัว่ ไปในโลกฟิ สิ กส์และวิทยาศาสตร์เนื้อหาก็ยงั ไม่รู้วา่ เป็ นอะไร แน่นอนทีเดียวว่าจะต้องเป็ นเนื้อเดียวกันกับความสํานึกของคนเรา นี่เป็ นตัวอย่างให้เห็นว่า มีบางอย่างที่อยูล่ ึกใน โลกแห่งฟิ สิ กส์และวิทยาศาสตร์ ที่ไม่สามารถรู ้และเข้าใจได้ดว้ ยวิธีการทางฟิ สิ กส์และวิทยาศาสตร์ ยิง่ กว่านั้น เรา ได้พบว่า แม้วทิ ยาศาสตร์จะก้าวหน้าไปไกลสักแค่ไหนก็ตามที จิตจะได้รับคืนจากธรรมชาติก็เฉพาะสิ่ งที่จิตได้ใส่ ลงไว้ในธรรมชาติเท่านั้น มีบทกวีเคยกล่าวไว้วา่ ... (A.S. Eddington / On the Nature of Things) 25
“เราได้ พบรอยเท้ าประหลาดบนชายหาดทีย่ งั ไม่ เคยรู้ จกั ...” “เราได้ คดิ หาทฤษฎีลกึ ซึ้งทฤษฎีแล้ วทฤษฎีเล่ า เพือ่ เดาหาทีม่ าของมัน...” “ในทีส่ ุ ด...” “เราก็ปะติดปะต่อร่ างของเจ้ าของรอยเท้ านั้นจนได้ ...” “และน่ าประหลาดใจน้ อยอยู่หรือทีว่ ่ า...” “ทีแ่ ท้ เป็ นรอยเท้ าตัวเรานีเ้ องแหละ...”
ในที่สุด เราจะสรุ ปอย่างไรกันดี สําหรับแก้ปัญหาการกําเนิด และธรรมชาติสรรพสิ่ งชีวติ ปั ญหานี้ไม่ใช่ เรื่ องเล็กน้อย เพราะถ้าเราพบกุญแจไขความลึกลับเกี่ยวการกับกําเนิด และธรรมชาติของเซลล์มีชีวติ เซลล์แรกได้ เมื่อไร เราก็คงได้กญ ุ แจไขความลับของโครงการยิง่ ใหญ่แห่งวิวฒั นาการเช่นกัน และวิวฒั นาการนี้เองที่มาสูงเด่น สุดยอดกับชีวติ มนุษย์ กับความรู ้สึกนึกคิดของมนุษย์ และกับประวัติศาสตร์ของมนุษย์เราด้วย เราได้เห็นแล้วว่า ทฤษฎีที่กล่าวมาข้างต้นนี้ หามิได้ให้คาํ ตอบและอธิบาย อย่างที่น่าพึงพอใจแก่เราไม่ ทั้งนี้ก็เพราะเราสังเกตเห็นอยู่ ว่า ไม่มีเส้นแบ่งเด็ดขาดระหว่างสิ่ งมีชีวติ กับสิ่ งไร้ชีวติ และก็ดูเหมือนกับว่า ในห้วงลึกของธรรมชาติจะมีตวั การ อะไรแฝงอยูส่ กั อย่าง มีลกั ษณะเป็ น อิทธิพลสร้างสรรค์ดิ้นรนเพื่อให้ได้มาเพื่ออิสรภาพ เป็ นการผลักดันและ ปรับปรุ งตัวให้เกิดระเบียบ ให้เกิดความสัมพันธ์ข้ ึนอย่างหนึ่ง ซึ่งยังหาคําเหมาะๆ ใช้ไม่ได้ ความสัมพันธ์หรื อการ รวมกลุ่มกันใหม่น้ ี ทําให้เกิดคุณลักษณะคุณค่าใหม่ๆ แห่งวิวฒั นาการ จึงได้ชื่อว่าสร้างสรรค์อย่างแท้จริ ง เราคงจะพอกล่าวได้วา่ ธรรมชาติในส่วนรวมทั้งหมดเป็ นกระบวนการสร้างสรรค์สืบเนื่องกันเป็ นลูกโซ่ ระยะที่สาํ คัญๆ ได้แก่ชีวติ มนัส ความสํานึก สังคม ประวัติศาสตร์ ศิลปะ วรรณคดี วรรณกรรม วิทยาศาสตร์ ปรัชญา และศาสนา ซึ่งทั้งหมดนี้ลว้ นเกี่ยวข้องกับ “มนุษย์ เรา” โดยแท้ ที่จะกล่าวต่อไป มนุษย์ จงึ ไม่ แตกต่ างไปจากหุ่นยนต์ นับเป็ นข้ อจากัดของปรัชญา “สสารนิยม” ทีน่ าเอาระบบกลไกทาง ฟิ สิกส์ มาใช้ อธิบายเรื่องของชีวติ ซึ่งเป็ นข้ อเท็จจริงทีล่ ะเอียดอ่อนทางชีววิทยา การเกิดขึน้ ของปรัชญา “ธรรม ชาตินิยม” จึงทาให้ ความรู้ ทางปรัชญาและวิทยาศาสตร์ ธรรมชาติ มาประสานสอดคล้องเข้ ากับความคิดทางพุทธ ศาสนา โดยเฉพาะอย่ างยิง่ ทฤษฎี “อนิจจัง” และ “อนัตตา” อย่ างน่ าอัศจรรย์
26
ปริศนาจิตวิญญาณมนุษย์
เท่าที่ได้อ่านได้คน้ คว้ามานั้น เชื่อว่านักคิดนักปรัชญา และนักวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะนักฟิ สิ กส์ ระดับ นําทุกคนกระมัง ที่พดู เหมือนๆ กันว่า “มนุษย์ คือ จักรวาล ภายใน คือ จิตรู้ ” ที่มีข้ ึนมาเพื่อเรี ยนรู ้จกั รวาลภายนอก หรื อพูดว่ามนุษย์ คือ จักรวาลที่มีข้ ึนเพื่อเรี ยนรู ้ตวั เอง หรื อพูดว่ามนุษย์มีข้ ึนมา เพื่อให้จิตรู ้มีที่ต้งั หรื อเป็ นฐาน เพื่อ การเรี ยนรู ้ความจริ ง ปริ ศนาของ ปรัชญา ศาสนา และวิทยาศาสตร์จึงเกี่ยวกับนิยามของความเป็ นมนุษย์อย่างแยก จากกันไม่ได้ ปริ ศนาอาจเป็ นคําถามที่มีเป้ าหมายเบื้องต้นที่ความลี้ลบั ของ “จักรวาล” ความเป็ นมาและจุดมุง่ หมายของ การเกิดขึ้นมาและการดํารงอยู่ รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างกันของธรรมชาติในสรรพสิ่ งและชีวติ โดยเฉพาะ มนุษย์เรา ส่วนปรัชญาและศาสนา อาจเป็ นคําตอบหรื อความพยายามที่จะแสวงหาความจริ งที่อยูเ่ บื้องหลังคําถาม ธรรมชาติในสรรพสิ่ งเหล่านั้นด้วยปั ญญา เพื่อยังหาความรู ้ความเข้าใจร่ วมกันของมนุษย์เราต่อความจริ งแท้ ในด้านปฏิบตั ิ ปริ ศนามักจะซ่อนเงื่อนงําของประสบการณ์ ธรรมชาติที่คนทัว่ ไปมักจะนึกไม่ถึงหรื อนึกไม่ทนั เอาไว้ แต่หากว่าปริ ศนาใด ซ่อนเงื่อนของประสบการณ์ทางจิตที่ประณี ตและลํ้าลึก ย่อมต้องอาศัยความ ลํ้าลึกและ ประณี ตเช่นเดียวกัน ของปั ญญาหรื อปรัชญาและศาสนา มาใช้ในการตีความ หรื อพิจารณานั้นๆด้วย ดังเช่นปริ ศนา ธรรมในศาสนา ล้วนเป็ นปรัชญาแทบทั้งนั้น ซึ่งแน่นอน! การตีความย่อมมีระดับความลํ้าลึกประณี ตต่างกันไป ตามระดับของ ปั ญญาของผูพ้ จิ ารณานั้นๆ ดังนั้นการคาดหวังที่จะเห็นข้อสรุ ปของการ พิจารณาให้เป็ น เช่นเดียวกันจากทุกคนจึงเป็ นไปไม่ได้ เพราะปั ญญาของคนเราล้วนเป็ นแยกได้สองประเด็นทั้งสิ้น ซึ่งประเด็นแรก เป็ นปั ญญาที่ได้มาจากประสบการณ์บนสัญชาติญาณ ส่วนประเด็นที่สองเป็ นการได้มาจากวัฒนธรรมความเชื่อ และจากความรู ้หรื อวิทยาศาสตร์ที่สะสมเป็ นความทรงจํา ไล่ข้ ึนมาตามช่วงเวลาและความก้าวหน้าของความรู ้ ความเชื่อนั้นๆ ดังนั้นจึงเป็ นไปได้ที่ความเห็นของคนเราอาศัยการรับรู ้มาจากสองประเด็นทั้งสองนี้ ปั ญญาดังกล่าว เป็ นไปในทํานองเดียวกันทุกประการ ยกเว้นสําหรับน้อยคนยิง่ นักที่สามารถมีปัญญาระดับพิเศษ นัน่ คือ ปั ญญาที่ ได้มาจากการปฏิบตั ิจิตปฏิบตั ิสมาธิ แต่อย่างไรก็ตาม น่าจะต้องเชื่อได้วา่ มันมีปัญญาอีกระดับหนึ่งที่อยูก่ ่อนหน้า ระดับพิเศษนั้น นัน่ คือปั ญญาของนักปรัชญา หรื อกวีเอกยอดศิลปิ น รวมทั้งนักฟิ สิ กส์วทิ ยาศาสตร์ผคู ้ รํ่าเคร่ งอยูก่ บั จินตนาการ ดังที่ไอน์สไตน์ และ ต่อมาวูลฟ์ กัง พอลี (นักวิทยาศาสตร์) ที่พดู เอาไว้มีใจความคล้ายๆ กันว่า “สิ่ ง สําคัญที่สุดที่ผลักดันในนักวิทยาศาสตร์เป็ นนักวิทยาศาสตร์ ที่แท้จริ งมีเพียงประการเดียว นัน่ คือ จินตนาการ” ดัง นั้นเองจึงมีแต่นกั ปรัชญา หรื อกวีช้ นั ยอดด้วยกันที่เข้าใจ “ความตายของนิรันดร” หรื อนักฟิ สิ กส์ระดับเดียวกันที่ เข้าใจ “ความว่างของความเต็ม หรื อ ความเต็มของความว่าง” และเช่นเดียวกัน ผูท้ ี่ปฏิบตั ิจิตด้วยกันที่เราสามารถ เข้าใจถึง “ความสงบของจิต ความว่างของจิต” ได้ดว้ ยเช่นเดียวกัน การพิจารณาเพื่อตีความหมายของประสบการณ์ โดยเฉพาะ หลักหรื อทฤษฎีปรัชญา และศาสนาในอดีต โดยคนทัว่ ไปที่เป็ นคนธรรมดาในยุคสมัยต่อๆ มา จึงเห็นแตกต่างกันไปตามพื้นฐานของข้อมูลของความรู ้ของตน ในแต่ละคนนั้นๆ การตีความหมายจึงมีแต่การโต้แย้งกันในทุกประเด็น ทั้งนี้ก็เพราะ วัฒนธรรมความเชื่อและ ความหลากหลายกับความก้าวหน้าทางวิชาการที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามวันและกาลเวลา ทุกวันนี้ทางตะวันตก จึงได้มีการเอาปรัชญาในยุคของกรี กมารื้ อฟื้ น และนํามาปรับแปรใหม่จากการเทียบเคียงกับความรู ้ใหม่ๆ ที่
27
ก้าวหน้าไปมาก โดยเฉพาะในด้านของฟิ สิ กส์ทฤษฎี และชีววิทยาใหม่ นัน่ เป็ นเช่นเดียวกับที่นกั ฟิ สิ กส์แควนตัม ในอดีตเมื่อไม่นานมานี้ ที่ได้พบความแนบขนานสอดคล้องกัน ระหว่างวิทยาศาสตร์ใหม่ กับ ศาสนาที่อุบตั ิข้ ึนมา จากทางตะวันออก เช่น ศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ เต๋ า และศาสนาอื่นๆ เมื่อหลายทศวรรษก่อน หลังจากนั้น ความรู ้ใหม่ที่เป็ นความจริ งใหม่น้ ี ก็ได้กลายเป็ นวิสยั ทัศน์ที่เป็ นพื้นฐาน ของกระบวนทัศน์ใหม่ทางสังคมที่กาํ ลัง เปลี่ยนแปลงไป เปลี่ยนจากกระบวนทัศน์เก่าเดิม ที่เน้นความจริ งทางกายภาพบนหลักการแยกส่วน สู่กระบวน ทัศน์องค์รวม หรื อกระบวนทัศน์ทางจิตวิญญาณ ซึ่งกําลังเกิดขึ้นในประเทศที่พฒั นามากๆ แล้วอย่างรวดเร็ ว ด้วยมิติใหม่ทางวิชาการเช่นนั้นเอง ที่ทาํ ให้นกั คิด นักค้นคว้าในระยะหลังๆ มานี้ พากันหวนกลับไป ค้นคว้ารื้ อฟื้ นปรัชญาเก่าๆ และความรู ้เดิมๆ ของอดีตที่ถูกหลงลืมทิ้งไปหรื อไม่เข้าใจกลับมาศึกษาใหม่ เป็ น โครงการรายวิชาในสถาบันของมหาวิทยาลัย และพบว่า มีหลายอย่างหลายประการเหลือเกินที่ความรู ้ และข้อมูล เก่าเดิมเหล่านั้น ได้เป็ นส่วนอย่างยิง่ ที่สาํ คัญต่อความคิด ว่าด้วยทิศทางและเป้ าหมายของการสร้างสรรค์ หลักการ ของการดํารงอยูข่ อง จิตปั ญญา หรื อ จิตวิญญาณสูงสุด ซึ่งก็คือ ที่มาของพระเจ้าในความเชื่อของมนุษย์เรานัน่ เอง กล่าวเอาไว้วา่ “จิตวิญญาณ” คือความจริ งแท้พ้นื ฐานของธรรมชาติที่เปี่ ยมไปด้วย ศักยภาพของความ เป็ นชีวติ และคือ ตรรกะอันบริ สุทธิ์ที่มีหนึ่งเดียว ส่วนจิตวิญญาณที่อยูใ่ นทุกชีวติ หรื อตัวตน เป็ นส่วนหนึ่งของ ความจริ งที่บริ สุทธิน้ นั เมื่อคนเราตายไป ส่วนสําคัญของจิตวิญญาณตัวตนที่วา่ นั้น จะกลับไปรวมกับความจริ งที่ ยิง่ ใหญ่ อันเป็ นสากลหนึ่งเดียวนั้น นี่คือแนวคิดของ อริ สโตเติล (นักปรัชญาสมัยกรี ก) นั้นคือ ผูท้ ี่นกั วิทยาศาสตร์ กายภาพยอมรับว่าเป็ น “บิดาแห่งความรู ้วทิ ยาศาสตร์” ทั้งนี้ก็เพราะว่า อริ สโตเติล เป็ นผูย้ ดึ มัน่ ต่อเหตุผล เชื่อมัน่ ต่อความเป็ นระบบ และนําความเป็ นเหตุปัจจัยระหว่างกันและความเป็ นระบบนั้นๆ มาเป็ นประเด็นหลัก ในการ อธิบายข้อสังเกตและการทดลองของเขา แต่ไม่ค่อยมีนกั วิชาการ หรื อนักวิทยาศาสตร์ผใู ้ ดสนใจที่จะหยิบยกเอา หลักปรัชญาที่เป็ นประสบการณ์ทาง “จิต” หรื อด้านของความรู ้เร้นลับต่อความจริ งอันสากล รวมทั้งเนื้อหาที่วา่ ด้วยจิตวิญญาณที่อธิบายธรรมชาติในสรรพสิ่ งมาศึกษาค้นคว้ากัน จนกระทัง่ มาถึงทุกวันนีเ้ ท่ านั้น เมือ่ ความคิดดังกล่ าวถูกนามาพิจารณาใหม่ และพบว่ า สอดคล้องกับ กลไกของกระบวนการชีววิวฒ ั นาการทางด้ านฟิ สิกส์ เคมีอย่ างน่ าสนใจยิง่ ความก้ าวหน้ าใหม่ ๆ ทางด้ าน วิทยาศาสตร์ สสาร และจิตวิญญาณ (God in Nature) ซึ่งก็คอื จิตวิญญาณสู งสุ ดนั้น มีมาตั้งแต่ เดิม ตั้งแต่ เริ่มต้ น ของจักรวาล สิ่งทีผ่ ลักดัน วิวฒ ั นาการสู่ ชีวติ เป็ นเรื่องทีต่ ้ องเป็ นเช่ นนั้นมาแต่ ต้น ด้ วยแม่ พมิ พ์ทเี่ รียกว่ ารู ปแห่ ง ชีวติ ทีซ่ ่ อนตัวเองอยู่ภายในวิวฒ ั นาการทั้งหมดของมนุษย์ ไม่ ได้ เกิดขึน้ จากกลไกภายนอก หรือความบังเอิญ ทุก สิ่งมีทศิ ทาง มีเป้ าหมายตั้งแต่ ต้น... แต่ จากภายในของมนุษย์ เรานีเ้ อง และในฐานะทีม่ นุษย์ เราอยู่ร่วมกันเป็ น ประชาคมด้ วยสังคมศาสตร์ จึงต้องมีทมี่ าทีไ่ ป ทีจ่ ะกล่ าวต่ อไปในเรื่องของ ประวัตศิ าสตร์ มนุษย์ ในบทต่ อไปนี้
28
29
ประว ัติศาสตร์ – มนุษย์ ความหมายของคําว่า “ประวัติศาสตร์” มีความหมายคือ วิชาที่วา่ ด้วยความเป็ นมาของเหตุการณ์ และ เรื่ องราวสําคัญต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลก อันเกี่ยวพันกับพฤติการณ์ของโลกในอดีต อาจตั้งแต่โลกเริ่ มกําเนิด และ พฤติการณ์ของมนุษย์ต้งั แต่เริ่ มเข้ามามีบทบาทในโลกจากอดีตกาลมาจนปัจจุบนั สมัย ประวัติศาสตร์ในสมัยที่ มนุษย์ยงั ไม่รู้จกั การเขียนหนังสื อหรื อจดบันทึกเรื่ องราวต่างๆ ลงไว้เป็ นลายลักษณ์อกั ษรนั้นเป็ นสมัยที่เราเรี ยกว่า “สมัยก่ อนประวัตศิ าสตร์ ” สมัยที่มนุษย์รู้จกั การเขียนหนังสื อและรู ้จกั บันทึกเรื่ องราวต่างๆ ไว้เป็ นหลักฐานแล้ว เรี ยกว่า “สมัยประวัตศิ าสตร์ ” ซึ่งเริ่ มเมื่อประมาณ ๕,๐๐๐ ปี ก่อนคริ สตกาลมาแล้ว ซึ่งนักปราชญ์ทาง ประวัติศาสตร์ได้ช่วยกันบันทึกลงไว้ดว้ ยตัวอักษรเป็ นหลักฐาน เนื้อเรื่ องดั้งเดิมของประวัติศาสตร์ จึงอาจเริ่ มด้วย ศาสนา วีรชน กษัตริ ย ์ และความเคร่ งในศาสนาก็ดี ในระบอบประเพณี ก็ดี ทําให้คนสมัยเก่าใช้วธิ ีการบันทึก ประวัติศาสตร์ให้อุดมไปด้วยวรรณศิลป์ เพราะครั้งสมัยอดีตนั้นยังถือว่าวิชาประวัติศาสตร์เป็ นแขนงหนึ่งของ อักษรศาสตร์ ฉะนั้นเนื้อแท้คือเค้าความจริ ง จึงมีศิลปะ และความเคร่ งประเพณี หรื อ ความจงรักภักดีแทรกแซงอยู่ ด้วย โดยธรรมเนียมนิยมซึ่งมีเหตุผล นักประวัติศาสตร์ได้ยดึ เอาการเริ่ มรู ้จกั การจดบันทึกเป็ นลายลักษณ์อกั ษร เป็ นเครื่ องแบ่งระยะเวลาระหว่าง ยุคก่อนประวัติศาสตร์ กับ ยุคประวัติศาสตร์ เนื่องจากบันทึกที่เหลือไว้เป็ น หลักฐานได้ช่วยให้นกั วิชาการสามารถรู ้ และทําความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับกิจกรรมของมนุษย์ซ่ ึงได้สูญสิ้นไป จากโลกนี้นานมาแล้ว การที่ยดึ เอาช่วงการประดิษฐ์ตวั อักษรเป็ นหัวเลี้ยวในประวัติศาสตร์มนุษย์ก็นบั ได้วา่ สมเหตุสมผลดี และแน่นอน เมื่อมีประวัติศาสตร์ก็ตอ้ งเป็ นเรื่ องที่เกี่ยวพันกับมนุษย์เรา การจะกล่าวถึง ประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวพันกับมนุษย์เรานี้ ผมจะขอกล่าวถึงบทความ โครงการตําราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ / ปรัชญา (ชุมนุมบทความทางวิชาการ ถวายพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ในโอกาสที่พระ ชนม์ครบ ๘๐ พรรษา บริ บูรณ์) ซึ่งกล่าวไว้อย่างกระชับ และสมบูรณ์ดงั นี้ คือ ได้มีการค้นคว้าวิจยั มนุษย์ในด้านต่างๆ ในฐานะที่เป็ นร่ างกายด้วย สรี รศาสตร์ (Anatomy) ในฐานะที่ เป็ นจิตด้วย จิตศาสตร์ (Psychology) และในฐานะที่อยูร่ ่ วมเป็ นประชาคมด้วยสังคมศาสตร์ ส่วนในฐานะ ประวัติศาสตร์ เรารู ้จกั มนุษย์ดีข้ นึ ด้วยการตรวจสอบและวิเคราะห์เรื่ องราวที่จารึ กสื บต่อกันมา ด้วยการพยายาม เข้าใจความหมายของความนึกคิด และการกระทําต่างๆ ของมนุษย์ ด้วยการอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยคํานึงถึง สาเหตุ จุดประสงค์ สถานการณ์ และความเป็ นจริ ง จริ งอยูท่ ี่วา่ วิธีการค้นคว้าทั้งหลายเหล่านี้ทาํ ให้เรารู ้มากขึ้น แต่ ก็ยงั เป็ นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่จะเรี ยนรู ้ทุกสิ่ งทุกอย่างเกี่ยวกับมนุษย์อย่างละเอียดลออและโดยสมบูรณ์น้ นั ดู ออกจะเป็ นได้โดยยาก หรื อมิฉะนั้นก็เป็ นไปไม่ได้เลยถึงแม้ความก้าวหน้าในปัจจุบนั จะรุ ดหน้าไปไกลเพียงไรก็ ตาม เมื่อกล่าวถึงมนุษย์ก็จาํ เป็ นต้องกล่าวถึงโลกด้วย “มนุษย์ และ โลก” คําเชื่อมว่า “และ” นี้มีความสําคัญต่อ มนุษย์ แต่ไม่มีความสําคัญต่อโลก เพราะจะคิดได้โดยง่ายโลกสามารถดํารงอยูต่ ามลําพังได้โดยไม่จาํ เป็ นต้องมี ความสัมพันธ์กบั ชีวติ นั้นได้ แต่ไม่อาจนึกภาพมนุษย์ได้โดยปราศจากโลก เรามีชีวติ อยูต่ ้ งั แต่ลมหายใจแรกจนถึง ลมหายใจสุดท้ายพัวพันอยูก่ บั โลก เรามาสู่โลก ไม่ใช่โลกมาสู่เรา และเราจากโลกไปในขณะที่โลกยังดํารงอยู่ ต่อไปโดยไม่แยแสกับเรา โลกซึ่งเราอยูใ่ นและอยูก่ นั นี้ มิใช่จะเป็ นโลกแห่งประวัติศาสตร์ และมนุษย์ก็มิใช่จะเป็ นมนุษย์ในแง่ของ ประวัติศาสตร์โดยอัตโนมัติเสี ยทีเดียว การเขียนประวัติศาสตร์มิใช่การเขียนประวัติชีวติ ของบุคคลหรื อของกลุ่ม
30
สังคมใดสังคมหนึ่ง แต่เป็ นเหตุการณ์ทางการเมืองซึ่งกระทบกระเทือนต่อการกระทํา และโชคชะตาของ ประชาชาติน้ นั ๆ และเพราะเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางการเมือง ประวัติศาสตร์จึงพัวพันเป็ นประการสําคัญอยูก่ บั สภาวะแวดล้อมของการปกครอง ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามวิถี สงครามโลกทั้งสองครั้ง แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า ประวัติศาสตร์มิใช่ประวัติศาสตร์แห่งวัฒนธรรม หรื อประวัติศาสตร์ผลงานทางสติปัญญาความนึกคิด มิใช่ ประวัติศาสตร์แห่งความคิดเห็น หรื อประวัติศาสตร์ปัญหาทั้งหลายแหล่ แต่เป็ นประวัติศาสตร์โลกตามความหมาย ทางการเมือง แม้แต่สงครามซึ่งอ้างการขัดแย้งทางศาสนาเป็ นต้นเหตุก็เป็ นต้นเหตุผิวเผินที่ปรากฏอยูเ่ บื้องบน แต่ สาเหตุลึกซึ้งที่แท้จริ งนั้นมิอาจหลีกเลี่ยงเรื่ องของการเมืองไปได้ แต่อย่างใดก็ตาม การนําเอาประวัติศาสตร์เข้ามาพัวพันกับปัญหาทางปรัชญา ซึ่งเกี่ยวกับธรรมชาติที่ แท้จริ งของโลก และของมนุษย์น้ นั เพิ่มจะเริ่ มต้นด้วย เฮเกล (Hegel) ความคิดที่วา่ ปัญหาทั้งหลายทางปรัชญาจะ ได้รับการพิจารณาได้ก็ดว้ ยวิถีทางของประวัติศาตร์เท่านั้น เป็ นความคิดที่เริ่ มมาเพียงเมื่อ ๑๕๐ ปี ที่แล้วมา แล้วก็ หายไปอีก ในระยะเวลาที่ผา่ นมาตามความคิดเห็นของปราชญ์กรี กโบราณนั้น มิใช่เป็ นคุณสมบัติจาํ เป็ นตาม ธรรมชาติของมนุษย์แต่ที่จาํ เป็ นและเป็ นธรรมชาติวสิ ยั ก็คือ มนุษย์เป็ นสัตว์ที่มีความโน้มเอียงที่จะมีชีวติ อยู่ ร่ วมกันกับผูท้ ี่มีความคล้ายคลึงกัน ( ผิว เชื้อชาติ ความเชื่อถือ ) แต่ในระดับที่สูงมากกว่าระดับของฝูงผึ้ง และฝูง สัตว์เลี้ยง นอกจากความโน้มเอียงของมนุษย์ที่จะอยูร่ ่ วมกันเป็ นประชาคมนี้ มนุษย์ยงั มีความสามารถในการ เสริ มสร้างและผูกพันประชาคมไว้ดว้ ยกันโดยความเข้าใจในภาษาและคําพูด มนุษย์เป็ นมนุษย์ก็ต่อเมื่อเป็ นเพื่อนมนุษย์ และจะเป็ นเพื่อนมนุษย์ได้ก็ต่อเมื่อได้ร่วมใช้ชีวติ ของตนเอง กับมนุษย์อื่นด้วยการติดต่อเข้าใจกันทางภาษา การเข้าใจซึ่งกันและกันในสิ่ งซึ่งให้คุณและให้โทษ ในสิ่ งซึ่ง ถูกต้องและผิด ในสิ่ งซึ่งยุติธรรมและอยุติธรรม ในสิ่ งซึ่งจริ งและไม่จริ ง เราอาจพูดถึงมนุษย์ในแง่ที่เป็ นสัตว์ที่มี เหตุมีผล มีความเข้าใจ และเป็ นสัตว์สงั คม หรื อสัตว์การเมือง โดยไม่มีความจําเป็ นต้องยุง่ เกี่ยวอ้างถึง ประวัติศาสตร์ ประวัตศาสตร์อาจพัวพันกับมนุษย์ แต่มิได้มีส่วนกําหนดกฎเกณฑ์ในความเป็ นมนุษย์ ที่วา่ มนุษย์ ดํารงอยูใ่ นแง่ของประวัติศาสตร์น้ นั เป็ นความคิดซึ่งเริ่ มมาในอดีตซึ่งไม่นานนัก แต่ทว่ามีจุดเริ่ มต้นที่ไกลออกไป อีกในความเข้าใจของโลกตามเทววิทยาของคริ สต์ศาสนา เมื่อจักรวาลกลายเป็ นสิ่ งที่พระผูเ้ ป็ นเจ้าสร้างสรรค์ ขึ้นมา ความนึกคิดเกี่ยวกับ ประวัติศาตร์ ก็อาจสื บเนื่องมาจากประวัติศาสตร์โบรัมโบราณ ซึ่งมีเรื่ องการสร้างโลก และการสร้างมนุษย์ดว้ ย และในที่สุดก็มาให้ความสนใจในมนุษย์ในฐานะที่เป็ นชีวติ ที่ดาํ รงอยูใ่ นแง่ของ ประวัติศาสตร์ กรี กโบราณมีความประทับใจอย่างลึกซึ้ง ในกฎเกณฑ์ความเป็ นระเบียบแบบแผนที่หมุนเวียนอยูช่ วั่ นิจ นิรันดร์ ไม่มีผใู ้ ดสมัยนั้นที่จะให้ระบบจักรวาลที่ได้รับการจัดแจงเป็ นระเบียบเรี ยบร้อยดีแล้วนี้ มีความสัมพันธ์กบั ความผันแปรไม่แน่นอนของสิ่ งต่างๆ ที่เกี่ยวกับมนุษย์ในประวัติศาสตร์ของโลก ต่างรายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์ และการกระทําที่ยงิ่ ใหญ่ในยุคสมัยของตนไว้ แต่สงครามระหว่างกรี กกับเปอร์เซีย ระหว่างเอเธนส์ กับสปาร์ตา และความเจริ ญรุ่ งเรื องของโรมจนมีอาํ นาจเป็ นศูนย์กลางของโลกเหล่านี้ มิได้เป็ นต้นเหตุให้นกั ปรัชญาสมัยนั้น ประดิษฐ์โครงสร้างปรัชญาทางประวัติศาสตร์ข้ ึนมา เหตุผลที่ไม่มีปรัชญาทางประวัติศาสตร์น้ ีมิใช่เพราะความ เพิกเฉยไม่ไยดีต่อเหตุการณ์ที่สาํ คัญ แต่เป็ นเพราะได้รู้แจ้งเห็นจริ งและตระหนักว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดย บังเอิญเพียงครั้งเดียว และการเปลี่ยนแปลงต่างๆนั้น อย่างดีก็เพียงให้รายงานข่าว เป็ นเรื่ องราว หรื ออีกนัยหนึ่งเป็ น ประวัติศาสตร์แต่มิอาจเป็ นความรู ้ที่แท้จริ งได้ มีขอ้ คิดอยูเ่ พียงประการเดียว ถึงกระนั้นก็ค่อนข้างสําคัญ ซึ่งนักประวัติศาสตร์กรี กเน้นที่วา่ การต่อสู ้ เพื่อให้ได้มาซึ่งอํานาจทางการเมืองอันเป็ นการจารึ กเรื่ องราวในประวัติศาสตร์น้ นั เป็ นธรรมชาติของมนุษย์ เพราะ
31
ธรรมชาติน้ ีจะไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยโดยหลักการแล้ว จึงเป็ นที่ประจักษ์สาํ หรับเหตุการณ์ทาํ นองนี้ในอดีต และปั จจุบนั จะเกิดขึ้นเช่นกันในอนาคต ในวิถีทางเดียวกันและคล้ายคลึงกัน อนาคตไม่อาจนํามาซึ่งสิ่ งที่ใหม่อย่าง สมบูรณ์ ในเมื่อเป็ นธรรมชาติของทุกสิ่ งทุกอย่างที่จะมีข้ ึนแล้วก็สูญหายไป การที่ทุกชาติ ทุกรัฐ ทุกเมือง และทุกบุคคลผูท้ รงอํานาจทั้งหลายจะต้องประสบกับจุดจบที่ไม่มีทาง หลีกเลี่ยง และเป็ นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติน้ นั สําหรับความเข้าใจและความรู ้สึกของชาวกรี กและโรมัน โบราณมีความหมายเช่นเดียวกับข้อเท็จจริ งที่วา่ มนุษย์ทุกคนต้องตาย ทุกอย่างในโลกนี้ซ่ ึงอุบตั ิยอ่ มผันแปรสลาย ไป ความผันแปรสลายตัวไปของทุกสิ่ งทุกอย่างที่เป็ นมนุษย์ ที่เกี่ยวกับมนุษย์ ซึ่งผิดแปลกอย่างเห็นได้ชดั จาก ความแน่นอนของการโคจรของดวงดาวในท้องฟ้ านี้ เป็ นเหตุผลที่ง่ายและกระจ่างแจ้ง ความก้าวหน้าภายใต้ จิตสํานึกของเสรี ภาพหรื อเพราะประวัติศาสตร์ มีจุดหมายปลายทางที่จะสร้างสรรค์สงั คมที่ปราศจากชั้นวรรณะ ภายในอาณาจักรแห่งเสรี ภาพมนุษย์ ซึ่งมีความหมายเป็ นคําเดียวกับ ผูท้ ี่ตอ้ งตาย! อันเป็ นความรู ้สึกที่แท้จริ งและ ลึกซึ้งสําหรับคํา ความผันแปรไม่แน่นอน ความอนิจจังของทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็ นมนุษย์ที่เกี่ยวกับมนุษย์ เขารู ้สึก จําเป็ นที่จะต้องจารึ กการกระทํา หรื อเหตุการณ์ยงิ่ ใหญ่ไว้เป็ นประวัติศาสตร์ เป็ นความพยายามเพื่อให้บรรลุถึง ความเป็ นอมตะไม่มากก็นอ้ ย เพราะถ้าปราศจากประวัติศาสตร์ไว้ชา้ ไปแล้ว เหตุการณ์เหล่านี้ก็จะจมลงสู่หว้ งที่ ว่างเปล่าแห่งความลืม เพราะมนุษย์ไม่มีส่วนร่ วมในความเป็ นอมตะของพระเจ้า การกระทาของมนุษย์ จงึ ต้ องการประวัตศิ าสตร์ เพือ่ ทีว่ ่ าการกระทาหรือเหตุการณ์ เหล่ านีจ้ ะมีชีวติ ยืน ยาวกว่ ามนุษย์ ซึ่งเป็ นผู้กระทาและเป็ นผู้ก่อเหตุการณ์ น้นั เอง ในเมือ่ มนุษย์ เองนีเ้ ป็ นผู้กาหนดประวัตศิ าสตร์ และ อะไรล่ ะทีเ่ ป็ นส่ วนหนึ่งของมนุษย์ ในการกระทานั้นๆ ดังจะเห็นได้ ว่าเกิดมาจากความเชื่อ เมือ่ เกิดความเชื่อก็เกิด ศรัทธา เมือ่ เกิดศรัทธาก็เกิดศาสนาตามมา ดังทีจ่ ะกล่ าวต่ อไปนี้
32
ประว ัติศาสตร์ ชาย - หญิง
(บทความนี้ผู ้เขียนเรียบเรียงขึน ้ มาเพือ ่ ให ้ผู ้หญิงได ้มีการรู ้ทีเ่ ท่าทันตามยุคสมัย )
ยุคสมัยก่ อนประวัตศิ าสตร์ ซึ่งมีชื่อเรี ยกกันว่า ยุคหะรัปปา (Harappan) เป็ นสังคมที่ประกอบด้วยชน สองกลุ่มใหญ่ คือ พวกอารยัน กับ พวกทราวิฑ (ดราวิเดี่ยน) พวกอารยัน คือ พวกชนพเนจรเผ่าหนึ่งที่อพยพหรื อ เร่ ร่อนเข้ามายึดแผ่นดินอินเดียเมื่อประมาณ ๒,๐๐๐ ปี ก่อนคริ สต์ศกั ราช แต่ในขณะที่พวกทราวิฑเป็ นพวกที่อยูต่ ิด แผ่นดินอินเดียมาก่อน พวกอารยันเมื่ออพยพเข้ามาแล้ว ได้มาสถาปนาสิ่ งที่เรี ยกว่าวัฒนธรรมของชาวอารยันขึ้น ในการสถาปนานั้นเป็ นการสถาปนาบนการต่อสูก้ นั ระหว่างคนสองกลุ่ม กล่าวคือ ประเด็นเรื่ อง ผูห้ ญิง - ผูช้ าย และประเด็นอื่นๆ ในสังคมวัฒนธรรมอินเดีย เป็ นผลมาจากการต่อสูใ้ นทางวัฒนธรรมความเชื่อ นัน่ คือ ตาม ประวัติพวกอารยันนั้นเป็ นพวกที่นบั ถือเทพเจ้าซึ่งเป็ นผูช้ าย ซึ่งอยูบ่ นฟ้ าหรื อบนสวรรค์ เพราะคนพวกนี้เป็ นพวก ที่อพยพเร่ ร่อน พวกอารยันจึงไม่สามารถนับถือเทพเจ้าที่อยูบ่ นดินหรื อแม่น้ าํ ได้ เนื่องจากเมื่อมีการอพยพจากผืน แผ่นดินเดิมไปแล้ว เขาจะทิ้งเทพเจ้าของเขาเอาไว้เบื้องหลัง แต่ถา้ เทพเจ้าอยูบ่ นฟ้ า จะตามเขาไปได้เรื่ อยๆ เช่นดวง อาทิตย์ดวงดาวต่างๆ ในขณะที่พวกทราวิฑนั้นนับถือพระแม่เจ้า ที่อยูบ่ นผืนแผ่นดิน และผืนนํ้า เพราะฉะนั้นเวลาที่พวกอารยันเข้ามาสู่แผ่นดินอินเดีย จึงมีการต่อสูก้ นั ระหว่างคนสองกลุ่ม และคนสอง กลุ่มนี้ถา้ เราจะวินิจฉัยจากรู ปเคารพและลัทธิความเชื่อ ก็น่าจะสันนิษฐานได้วา่ พวกอารยันนั้นยกย่องผูช้ ายให้เป็ น ผูน้ าํ หรื อเทพเจ้าที่เป็ นบุรุษเพศ เช่นนับถือพระอาทิตย์ พระอาทิตย์ก็เป็ นผูช้ าย ในขณะที่พวกทราวิฑนับถือพระแม่ เจ้า เช่นกรณี พระแม่คงคา ซึ่งเป็ นพระแม่เจ้าประจําแม่น้ าํ พระแม่ธรณี ซึ่งเป็ นแม่เจ้าประจําพื้นแผ่นดิน กรณี ที่ทราวิฑนับถือเช่นนี้ก็มีขอ้ สันนิษฐานตามมาว่า ชนทราวิฑนั้น ผูห้ ญิงมีอาํ นาจเหนือกว่าผูช้ าย เมื่อคนสอง กลุ่มนี้มาอยูด่ ว้ ยกันจึงมีการปะทะกันทางวัฒนธรรม ซึ่งภายหลังพวกอารยันได้มีชยั เหนือพวกทราวิฑ ก็พยายามที่ จะทําให้เห็นว่าพวกผูห้ ญิงเป็ นฝ่ ายพ่ายแพ้ เทพเจ้าผูห้ ญิงต่อมาจึงถูกลดทอนมาเป็ นเพียงแค่ศกั ติของเทพเจ้าผูช้ าย เท่านั้น ความขัดแย้งของคนทั้งสองกลุ่มนี้ก่อให้เกิดผลผลิตทางวัฒนธรรมใหม่ ซึ่งมีการรังเกียจไม่เฉพาะใน เรื่ องของผูห้ ญิงกับผูช้ ายเท่านั้น เช่นการรังเกียจผิว พวกอารยันซึ่งเป็ นคนผิวขาวก็รังเกียจพวกทราวิฑซึ่งเป็ นคนผิว ดํา จึงทําให้เกิดระบบวรรณะที่ทาํ ให้คนเกิดมาแล้วไม่เสมอภาคกัน มีการรังเกียจวิถีชีวติ ไปด้วย ผมคิดว่าสิ่ งเหล่านี้ เป็ นการยืนยันให้เห็นถึงผลผลิตทางด้านวัฒนธรรม ซึ่งพวกอารยันมีชยั เหนือพวกทราวิฑ กรณี เรื่ องผูห้ ญิงก็เป็ นกรณี หนึ่งซึ่งเป็ นผลติดตามมาของการที่พวกอารยันแสดงความเชื่อในเชิงข่ม ให้ เหนือกว่าความเชื่อของพวกทราวิฑที่เคยยกย่องผูห้ ญิง พวกอารยันจึงกีดกันพวกผูห้ ญิงไม่ให้เข้ามาสู่แวดวง ศาสนา ชาวอารยันนับถือเทพเจ้าหลายองค์ เช่น พระอินทร์ พระพรหม พระยม ฯลฯ ซึ่งแต่ละองค์ลว้ นมีอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริ ยต์ ่างๆกัน มนุษย์จาํ ต้องพึ่งพิงเทพเจ้าเหล่านี้เพื่อประโยชน์สุขและความอยูร่ อดของตน สิ่ งที่น่าสังเกตของ เทพเจ้าต่างๆ ล้วนแต่เป็ นเพศชายเป็ นส่วนใหญ่..... สมัยยุคคริสตจักร ก็เช่นกัน ผูห้ ญิงก็เคยได้ถูกข่มเหงเช่นกัน และเป็ นการข่มเหงที่รุนแรงเสี ยด้วย! ด้วย การโฆษณาชวนเชื่อให้เห็นว่าสตรี ผศู ้ กั ดิ์สิทธิ์ท้ งั หลายคือปี ศาจ และได้กาํ จัดเทพีออกไปจากศาสนายุคใหม่ไป ตลอดกาล การล้างสมองในยุคนั้นนั้นได้กินเวลายาวนานกว่าถึงสามศตวรรษ เป็ นช่วงที่มีคาํ ว่า “แม่มดเกิดขึ้น” การโฆษณาชวนเชื่อที่ให้ลดคุณค่าของสตรี ลง การทําลายแม่มด สัง่ สอนให้โลกรู ้ถึงอันตรายของสตรี นอกรี ต แม่ มดในทัศนะของยุคสมัยนั้นมักจะร่ วมถึง สตรี ผทู ้ ี่ทรงมีความรู ้ต่างๆ นักบวชหญิง หมอตําแย พวกยิปซี หญิงผูร้ ัก ธรรมชาติ ฯลฯ กล่าวคือหญิงใดก็ตามที่ กลมกลืนกับโลกธรรมชาติอย่างน่าสงสัยจะถูกกล่าวหาว่าเป็ นแม่มด จะ
33
ถูกเผ่าและทําลายโดยสิ้น ยุคของเทพีจบสิ้นลงแล้ว เป็ นยุคที่สงั คมรังเกียจผูห้ ญิงมากเกินไป ครั้งหนึ่งเคยได้รับ เกียรติ์ให้มีบทบาทสําคัญในฐานะส่วนประกอบครึ่ งหนึ่งที่ทาํ ให้บงั เกิดความรู ้แจ้งทางจิตวิญาณได้ถูกกําจัดให้พน้ ไปเสี ยแล้ว นั้นมันเพียงเป็ นประวัติศาสตร์ที่เราสามารถเรี ยนรู ้ได้ แต่มาจนถึง..... ในยุคปัจจุบัน นี้อีกเช่นกัน… ผูห้ ญิงก็ยงั ถูกคุกคามอยูใ่ นทางอ้อม... กล่าวได้คือ ถึงปั จจุบนั นี้ก็ตามที เถอะ ที่ผหู ้ ญิงได้ถูกยกระดับขึ้นมาเท่าเทียมกับผูช้ ายแล้วก็ตามถึงกับมีองค์กรสิ ทธิสตรี หญิงเกิดขึ้นหลายองค์กร และความเสมอภาคเท่าเทียมกันระหว่างหญิงกับชาย แต่ในอีกมิติหนึ่งที่มนุษย์มองไม่เห็นว่า ผูห้ ญิงได้ถูกใช้เป็ น สื่ อต่างๆ ในระบบของสังคมมนุษย์ดว้ ยกันเองในปั จจุบนั นี้โดยไม่รู้ตวั ไม่ตอ้ งไปไหนไกล... อยูร่ อบๆ ตัวเรานี่เอง เพียงคุณอยูท่ ี่บา้ นกดปุ่ มทีวคี ุณก็จะเจอกับสื่ อต่างๆ ที่ใช้ผหู ้ ญิงหลอกล่ออย่างแยบยล เป็ นเครื่ องมือระหว่างมนุษย์ ด้วยกันเอง แม้แต่ผหู ้ ญิงเองก็ตาม ก็ยงั หลงเข้าไปในค่านิยมนี้โดยไม่รู้ตวั (ซึ่งเป็ นยุคของบริ โภคนิยม จะกล่าวถึง ในบทหลังๆต่อไป) ดังจะเห็นได้จากภาพนูด้ ต่างๆ เป็ นต้นหรื อภาพโป๊ เปลือยนั้น ยังเป็ นเรื่ องที่ยงั คงถูกถกเถียงกัน อยูถ่ ึงการให้ความหมายต่อภาพนูด้ ที่บางกลุ่มให้ความหมายไปในเชิงศิลปะ อันได้แก่ พวกช่างภาพ ทีมงานผูผ้ ลิต ไปจนถึงตัวนางแบบเอง คนกลุ่มนี้ส่วนหนึ่งมักประกาศเจตนารมณ์ของการผลิตภาพนูด้ ออกมาอย่างชัดเจนว่า กระทําไปเพื่อศิลปะ ในขณะที่บางกลุ่มกลับมองภาพนูด้ ไปในแง่ของความลามกอนาจาร ที่ตอ้ งการยัว่ ยุกามารมณ์ ของผูเ้ สพสื่ อ (ซึ่งส่วนใหญ่เป็ นผูช้ าย) หรื อเป็ นการทําให้ผหู ้ ญิงมีสภาพเป็ นวัตถุแห่งการจ้องดูในเชิงเพศ “อุตสาหกรรมภาพนูด้ ” โดยใช้เรื อนร่ างของผูห้ ญิง และความเป็ นเพศหญิงเป็ นเครื่ องมือในการตอบสนอง อรรถรสทางเพศของผูบ้ ริ โภคชายเป็ นหลัก โดยสิ่ งต่างๆ เหล่านี้เองได้สะท้อนให้เห็นภาพของระบบชายเป็ นใหญ่ อยูเ่ ช่นกัน...
34
มูลเหตุของการเกิดศร ัทธาและศาสนา
การถือกําเนิดของศาสนา หรื อพูดของในแง่ทางการ กล่าวคือ “ความสัมพันธ์ ระหว่ างมนุษย์ กบั พระเจ้ า” ในระยะเริ่ มแรกนั้น เกิดจากความไม่รู้ของมนุษย์ที่มีต่อปรากฏการณ์ธรรมชาติ กล่าวคือ มนุษย์ได้ประสบกับ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และปรากฎการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวติ เช่น ความมืด ความสว่าง นํ้าท่วม พายุ ฝนตก ฟ้ าแลบ ฟ้ าผ่า แผ่นดินไหว ไฟป่ า นํ้าท่วม กลางวัน กลางคืน การเกิด การตาย เป็ นต้น อีกทั้งขอบเขตของความรู ้ เกี่ยวกับธรรมชาติและปรากฏการณ์ต่างๆ ที่มีจาํ กัด ทําให้มนุษย์ในสมัยดึกดําบรรพ์ไม่สามารถอธิบายสาเหตุที่ แท้จริ งอันอยูเ่ บื้องหลังของภัยธรรมชาติเหล่านั้นได้ ดังนั้นมนุษย์จึงมองว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้น เป็ นสิ่ งน่าหวาดกลัว ทรงอานุภาพ ลึกลับ และมหัศจรรย์ จากความไม่เข้าใจในธรรมชาติและความกลัว ทําให้มนุษย์เชื่อว่ามีบางสิ่ งที่อยูเ่ หนือธรรมชาติ เช่น เทพ เจ้า ภูตผี วิญญาณ เป็ นผูด้ ลบันดาลให้ปรากฏการณ์ธรรมชาติเกิดขึ้น ดังนั้น มนุษย์จึงแสวงหา วิธีการที่จะคุม้ ครอง ให้ตน อยูอ่ ย่างเป็ นสุข โดยสร้างวัฒนธรรม หรื อจัดพิธีบูชาและเซ่นสรวงเทพเจ้าขึ้น โดยพิธีกรรมเหล่านั้นได้แก่ การบูชายัญ การสวดวิงวอน สวดสรรเสริ ญ เป็ นต้น เพื่อเป็ นการแสดง ความเคารพนับถือ และเอาใจเทพเจ้า แนวความคิดขั้นพื้นฐานที่ใช้อธิบายความเป็ นไปทั้งหลายนี้ก็จดั ว่าง่ายมากขึ้น เนื่องจากพลังสําคัญๆ ทาง ธรรมชาติจะถูกจินตนาการและปฏิบตั ิต่อเสมือนหนึ่งเป็ นมนุษย์ แต่ทรงพลังอํานาจที่ยงิ่ ใหญ่กว่ามนุษย์ รวมทั้ง อํานาจแห่งความเป็ นอมตะ อํานาจที่ได้ถูกจินตนาการให้มีตวั มีตนขึ้นมา หรื ออีกนัยหนึ่ง คือ เทพเจ้าได้เข้ามามี บทบาท มีส่วนร่ วมอยูใ่ นสังคมการเมืองของมนุษย์เข้าแล้ว จะเห็นได้วา่ การที่มนุษย์ยอมรับสิ่ งเหนือธรรมชาติ หรื อเทพเจ้า ก็เพราะมนุษย์ตอ้ งการความอบอุน่ ใจ หรื อต้องการหาที่พ่ งึ ซึ่งการมีที่พ่ งึ ทําให้มนุษย์ไม่รู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยว หรื อเมื่อต้องการพ้นภัยก็จะอ้อนวอนร้อง ขอจากเทพเจ้า หรื อหากเทพเจ้าพึงพอใจกับพิธีบูชาแล้วก็ยอ่ มจะอํานวยสภาพแวดล้อม ที่เป็ นประโยชน์ต่อมนุษย์ แต่ในทางตรงกันข้าม หากเทพเจ้าไม่พอใจก็อาจดลบันดาลให้เกิดภัยพิบตั ิให้แก่มนุษย์ได้เช่นกัน จากความเชื่อ ของกลุ่มคน ขนบธรรมเนียมประเพณี และพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อต่อสิ่ งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ จึงค่อยๆ วิวฒั นาการเรื่ อยมา จนกระทัง่ กลายเป็ นลัทธิ และศาสนาต่างๆ มีผเู ้ สนอว่า ศรัทธา หรื อความเชื่อนับเป็ นจุดเริ่ มต้น ทางศาสนาทั้งปวง ซึ่งศรัทธาในทางศาสนานั้นมีอยูส่ องประเภท ได้แก่ ศรัทธาอันเป็ นญาณสัมปยุต คือ ความเชื่อที่ ประกอบด้วยปั ญญา รู ้เหตุ รู ้ผล และศรัทธาอันเป็ นญาณวิปปยุต คือ ความเชื่ออันเกิดจากความไม่รู้เหตุไม่รู้ผล หากจะแยกให้เห็นมูลเหตุของศาสนาตามวิวฒั นาการทางความคิดของมนุษย์ ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบนั สามารถแยกได้ดงั นี้ คือ ๑. เกิดจากอวิชชา : อวิชชา คือ ความไม่รู้ พูดภาษาชาวบ้านว่า โง่! ในที่น้ ี ได้แก่ความไม่รู้เหตุรู้ผล เริ่ ม แต่ความไม่รู้เหตุผลทางภูมิศาสตร์ ทางดาราศาสตร์ ไม่รู้ชีววิทยา และไม่รู้จกั ธรรมชาติอื่นๆ ที่อยูร่ อบตัวเรา เมื่อมี ความไม่รู้เหตุผลก็เกิดความกลัวในพลังทางธรรมชาติ ต้องการความช่วยเหลือจากธรรมชาติ ซึ่งเป็ นสิ่ งมีอาํ นาจ เหนือตน จึงมีการสร้างขนบธรรมเนียมประเพณี เพื่อบูชาเอาใจสิ่ งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น เพื่อที่จะสามารถช่วยให้ มนุษย์มีความอยูร่ อดไม่มีภยั ต่อๆ ไป...
35
มนุษย์จะอยูใ่ นโลกได้ตอ้ งมีหน้าที่ คือ การต่อสูก้ บั ธรรมชาติ และสูส้ ตั ว์ร้าย นานาชนิดและโดยเฉพาะกับมนุษย์ดว้ ยกันเอง ยามใดที่เราสามารถเอาชนะธรรมชาติหรื อคนได้ ความเกรงกลัว ธรรมชาติ สัตว์ร้าย หรื อมนุษย์ยอ่ มไม่มี แต่ถา้ ไม่สามารถต่อสู ้ได้ มนุษย์จะเกิดความกลัวต่อสิ่ งเหล่านั้น และใน ยามนั้นเอง ที่มนุษย์ตอ้ งพากันกราบไหว้บูชา และแสดงความจงรักภักดี ทําพิธีสงั เวยเซ่นไหว้ต่อธรรมชาติดงั กล่าว ด้วยความหวังหรื ออ้อนวอนขอให้สาํ เร็ จตามความปรารถนาอันเป็ นผลตอบแทนขึ้นมาเป็ นความสุขความปลอดภัย และอยูไ่ ด้ในโลก ๓. เกิดจากความจงร ักภ ักดี : ความจงรักภักดีเป็ นศรัทธาครั้งแรกที่มนุษย์ทุกยุคทุกสมัยยอมเชื่อว่า เป็ น กําลังก่อให้เกิดความสําเร็ จได้ทุกเมื่อ ในกลุ่มศาสนาที่นบั ถือพระเจ้า เช่น (ศาสนายิว ศาสนาคริ สต์ ศาสนาอิสลาม แม้แต่ศาสนาพุทธ) มุ่งเอาความภักดีต่อพระเจ้าเป็ นหลักใหญ่ในศาสนา ในกลุ่มชาวอารยันมีศาสนาพราหมณ์ (ฮินดู) มีคาํ สอนถึงภักติมรรค คือ ทางแห่งความภักดี อันจะยังบุคคลให้ถึงโมกษะ คือหลุดพ้นได้ แม้ในทาง พระพุทธศาสนาก็ยอมรับว่าศรัทธา หรื อความเชื่อ ความเลื่อมใสเท่านั้นที่จะพาข้ามโอฆสงสารได้ เมื่อเป็ นดังนี้ แสดงว่ามนุษย์ยอมตนให้อยูใ่ ต้อาํ นาจของธรรมชาติเหนือตน อันเป็ นสิ่ งที่มนุษย์สร้างขึ้นเองซึ่งเรี ยกว่าเทพเจ้า หรื อพระเจ้า อย่างไรก็ตาม ผลที่เกิดตามมาคือมนุษย์ยอมให้เครื่ องเซ่นสังเวยแก่ธรรมชาติน้ นั ๆ ด้วย ลักษณะนี้จึง เท่ากับมนุษย์เสี ยความเป็ นใหญ่ในตน ยอมอยูใ่ ต้อาํ นาจของสิ่ งที่ตนคิดว่ามีอาํ นาจเหนือตน ๔. เกิดจากปัญญา : ศรัทธาอันเกิดจากปั ญญาคือมูลเหตุให้เกิดศาสนาอีกทางหนึ่ ง แต่ศาสนาประเภทนี้ มักเป็ นฝ่ ายอเทวนิยม คือไม่สอนเรื่ องเทพเจ้าสร้างโลก ไม่ถือเทพเจ้าเป็ นศูนย์กลางแห่งศาสนา หากแต่ถือความรู ้ ประจักษ์จริ งเป็ นสําคัญ เช่น พระพุทธศาสนา ความเน้นหนักของพระพุทธศาสนา คือ ญาณ หรื อปั ญญาชั้นสูงสุด ที่ทาํ ให้รู้แจ้งประจักษ์ความจริ ง และหลุดพ้นจากความทุกข์ท้ งั ปวง ๕. เกิดจากอิทธิพลของบุคคลสาค ัญ : ศาสนาหรื อลัทธิที่เกิดจากความสําคัญของบุคคลเป็ น ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทุกแห่งหน ที่มีเรื่ องราว หรื อความสําคัญของบุคคลที่อยู่ ณ. ที่น้ นั ความสําคัญของบุคคล ที่เป็ นเหตุเริ่ มต้นของศาสนา หรื อลัทธิ โดยมากมักมีเหตุเริ่ มต้นโดยความบริ สุทธิ์จากจิตใจของมนุษย์ ไม่มีใคร บังคับ ไม่มีใครวางหลัก อีกทั้งเมื่อใครนับถือความสําคัญของบุคคลผูใ้ ดก็จะพากันกราบไหว้ และเคารพบูชา ๖. เกิดจากล ัทธิการเมือง : ลัทธิ การเมืองอันเป็ นมูลเหตุของศาสนาเป็ นเรื่ องสมัยใหม่ อันสื บเนื่องจาก การที่ลทั ธิการเมืองเฟื่ องฟูข้ ึนมา และลัทธิการเมืองนั้นได้เข้าไปมีอิทธิพลต่อคนบางกลุ่ม เป็ นต้นว่า กลุ่มคน ยากจน ซึ่งคนเหล่านั้นก็ได้ละทิ้งศาสนาเดิมที่ตนเองนับถืออยูแ่ ล้วหันมานับถือลัทธิการเมืองดังกล่าวเป็ นศาสนา ประจําสังคม หรื อชาตินิยมลัทธิการเมือง เป็ นต้นว่า ลัทธินาซี ลัทธิฟาสซิสม์ และลัทธิคอมมิวนิสต์ เป็ นต้น ๒. เกิดจากความกล ัว :
เมื่อเกิดศาสนาหรื อความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กบั พระเจ้ามา สิ่ งที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้กค็ ือ เกิด เทพนิยายต่างๆนาๆ ตามมา ทั้งนี้ก็เพราะว่าสิ่ งใดที่มนุษย์ในยุคบรรพบุรุษเราไม่สามารถจะแสดงออกมาได้อย่าง เป็ นที่พึงพอใจโดยอาศัยคําพูด สิ่ งนั้นมนุษย์ก็พยายามระบายออกมาโดยอาศัยความคิดคํานึงทางเทพนิยาย ด้วยเหตุ นี้เองจึงทําให้เกิดจินตนาการเรื่ อง อวตาร ซึ่งแปลว่า “การก้าวลงมาเกิด การข้ามลงมาเกิด หรื อการแบ่งภาคลงมา เกิด” เทพเจ้าแต่ละองค์จะมีธรรมชาติแห่งบุคลิกและอุปนิสยั ใจคอเยีย่ งปุถุชนอย่างพร้อมมูล อันข้อคิดเรื่ องเทพเจ้า แปลงกายลงมาประกอบกรณี ยกิจบนพื้นโลกนี้มีมาแต่บรรพกาลคือ ตั้งแต่ยคุ คัมภีร์พระเวทแล้วทีเดียว ครั้นตก มาถึงยุคคัมภีร์ปุราณและคัมภีร์อุปปุราณ (เป็ นคัมภีร์เก่าแก่ของศาสนาฮินดู) ข้อคิดอันนี้ก็ได้รับการพัฒนาให้งอก งามแผ่ไพศาลยิง่ ขึ้น คําว่า “นารายณ์” แปลว่า ผูท้ ี่มีน้ าํ เป็ นที่เคลื่อนไหว นารายณ์เป็ นนามหนึ่งของพระวิษณุ ซึ่งมี
36
อยูป่ ระมาณพันชื่อ เพราะฉะนั้น “นารายณ์สิบปาง” (ผูอ้ า่ นคงเคยได้ยนิ มาบ้าง) จึงแปลว่า พระวิษณุนารายณ์ อวตารหรื อแบ่งภาคลงมาเกิดสิ บยุคหรื อสิ บปาง ซึ่งมีลาํ ดับตามพระคัมภีร์ ดังต่อไปนี้ ครั้งทีห่ นึ่ง ครั้งทีส่ อง ครั้งทีส่ าม ครั้งทีส่ ี่ ครั้งทีห่ ้ า ครั้งทีห่ ก ครั้งทีเ่ จ็ด ครั้งทีแ่ ปด ครั้งทีเ่ ก้ า ครั้งทีส่ ิบ
“มัตสยาวตาร” “กูรมาวตาร” “วราหาวตาร” “นรสิ งหาวตาร” “วามนาวตาร” “ปรศุรามาวตาร” “รามาวตาร” “กฤษณาวตาร” “พุทธาวตาร” “กัลกิยาวตาร”
ได้แก่อวตารเป็ นปลา ได้แก่อวตารเป็ นเต่า ได้แก่อวตารเป็ นหมู ได้แก่อวตารเป็ นนรสิ งห์ (ครึ่ งคนครึ่ งสิ งห์) ได้แก่อวตารเป็ นคนแคระ (คนยังไม่สมบูรณ์) ได้แก่อวตารเป็ นปรศุราม (คนป่ าหรื อคนถือขวาน) ได้แก่อวตารเป็ นพระราม ได้แก่อวตารเป็ นพระกฤษณะ ได้แก่อวตารเป็ นพระพุทธเจ้า ได้แก่อวตารเป็ นพระกัลกี (บุรุษผูข้ ี่มา้ ขาว)
นี่เป็ นคัมภีร์ของศาสนาของฮินดู กล่าวว่า ตั้งแต่โลกได้อุบตั ิข้ นึ จนตราบถึงทุกวันนี้ พระนารายณ์ได้ อวตารมาแล้วถึงเก้าปางคือ “ปางที่สิ้นสุดด้วยพระพุทธเจ้า” ปางสุดท้ายคือปางที่สิบ “กัลกิยาวตาร” จะอุบตั ิข้ นึ ใน เมื่อถึง กลียคุ คือ ยุคปัจจุบนั ถึงกาลอวสานลง ในปางที่สิบนี้พระวิษณุจะเสด็จมาบนหลังม้าขาว “พระหัตถ์ถือพระ แสงดาบซึ่งส่องแสงวาววาบประดุจดวงดาวหาง” พระองค์จะทรงปราบความชัว่ ร้ายในโลกแล้วสร้างพิภพแห่ง ความบริ สุทธิ์ผดุ ผ่องขึ้นใหม่ (ตามพระคัมภีร์) เรื่ องอวตารหรื อพระผูเ้ ป็ นเจ้าแบ่งภาคลงมาเกิดในโลกมนุษย์น้ ี ในแง่ของสังคมวิทยา ปราชญ์ผรู ้ ู ้มี ความเห็นว่า เป็ นเรื่ องวิวฒั นาการของมนุษย์ที่ท่านนํามาสอนคนให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ของสังคมในสมัยนั้น เราจะเห็นได้วา่ ลําดับที่พระผูเ้ ป็ นเจ้าแบ่งภาคลงมาเกิดในมนุษย์โลกตามเทพนิยายของชาวฮินดูน้ นั เริ่ มต้นด้วย การกําเนิดเป็ นปลา เป็ นเต่า กล่าวคือ สัตว์ในนํ้าก่อน แล้วจึงวิวฒั นาการมาเป็ นหมู กล่าวคือสัตว์บก ต่อมาเป็ นครึ่ ง คนครึ่ งสัตว์ (ปางที่สี่) ตามลําดับ ต่อมาจึงเป็ นคนที่ยงั ไม่สมบูรณ์ (ปางที่หา้ ) แล้วก็เป็ นคนป่ าถือขวาน (ปางที่หก) ในที่สุดจึงเป็ นคน ที่เจริ ญแล้ว เป็ นลูกตัวอย่างเป็ นสามีอนั เป็ นแบบฉบับ เป็ นผูน้ าํ และ เป็ นกษัตริ ยอ์ ุดมทรรศนะ (กล่าวคือพระรามในเรื่ องรามเกียรติ์) ต่อมาก็พฒั นายิง่ ขึ้นไป เป็ นครู บาอาจารย์สอนคน (กล่าวคือ พระกฤษณะและพระพุทธเจ้า) ตามลําดับ สารบัญชีแห่งการอวตารมาเกิดเป็ นขั้นๆ ไปเช่นนี้ หากจะพิจารณากัน โดยใช้หลักใหญ่เข้าประกอบแล้วก็คงจะเห็นได้วา่ ไม่สูจ้ ะห่างไกลจากหลักวิวฒั นาการ หรื อทฤษฎีววิ ฒั นาการ (Evolution Theory) ของชาร์ล ดาร์วนิ (Charles Darwin) ของโลกเรานี้เท่าไรนัก
37
เรื่ องยุคต่างๆ ก็มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับเรื่ องอวตารมาเกิด ที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ คือ คัมภีร์ปุราณของชาวฮินดู กําหนดเวลาของโลกไว้วา่ มีสี่ยคุ ด้วยกัน คือ -
ยุคที่หนึ่งมีชื่อว่า “กฤตยุค” มีระยะเวลา ๔,๘๐๐ ปี เทวดา ในยุคนี้โลกมีสุขสันต์เพราะมีธรรมะครองโลก อยูอ่ ย่างสมบูรณ์ ยุคที่สองมีชื่อว่า “เตรตายุค” หรื อไตรดายุค มีระยะเวลา ๓,๖๐๐ ปี เทวดา ยุคที่สามมีชื่อว่า “ทวาปรยุค” มีระยะเวลา ๒,๔๐๐ ปี เทวดา ยุคที่สี่มีชื่อว่า “กลียคุ ” มีระยะเวลา ๑,๒๐๐ ปี เทวดา
*(หนึ่งปี ของเทวดานั้นในพระคัมภีร์กล่าวไว้วา่ เท่ากับ ๓๖๐ ปี ในโลกมนุษย์) สิ่ งที่หน้าสังเกตว่าแต่ละยุคมีระยะเวลาลดน้อยลงยุคละ ๑,๒๐๐ ปี หรื อหนึ่งในสี่ ของระยะเวลา ในยุคที่ หนึ่ง ธรรมะซึ่งครองโลกก็ลดน้อยถอยลงในอัตราเดียวกันนี้ดว้ ย ดังนั้น เมื่อถึง “กลียุค” อันเป็ นยุคปั จจุบนั ของเรา นี้ จึงมีธรรมะเหลืออยูใ่ นโลกเพียงหนึ่งในสี่ ส่วนของปริ มาณเดิมในกฤตยุคเท่านั้นเอง ยุคทั้งสี่ น้ ีเมื่อรวมกันเข้าแล้ว เป็ นหนึ่งมหายุคหรื อหนึ่งมนวันดร และ ๒,๐๐๐ มหายุค หรื อมนวันดรนี้จะเป็ น หนึ่งกัลป์ ตามศัพท์ในพระคัมภีร์ ของฮินดู เมื่อสิ้นหนึ่งกัลป์ โลกก็จะถึงซึ่งกาลาวสานครั้งสําคัญ ครั้นแล้วการสร้างสรรค์โลกจึงจะบังเกิดขึ้นใหม่ อีกเพื่อรับการอวสานอีก หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้โดยไม่หยุดยั้ง นี่เป็ นการกล่าวตามคัมภีร์ปุราณของ ศาสนาชาวฮินดู ซึ่งผูเ้ ขียนยกขึ้นมาเพื่อให้ขบคิดกัน (ส่วนหนึ่งที่มา : ภารตวิทยา / กรุ ณา -เรื องอุไร กุศลาสัย รวบรวมและเรี ยบ เรี ยง)
ดังทีก่ ล่ าวมาแล้ วว่ าในยุคปัจจุบันนีเ้ ป็ นยุคของ “กลียุค” ตามพระคัมภีร์ปุราณ เป็ นยุคทีธ่ รรมะซึ่งครอง โลกลดน้ อยถอยลงเหลืออยู่ในโลกเพียงหนึ่งในสี่ส่วนของปริมาณเดิม บางท่ านอาจสงสัยว่ าปัจจุบันนีก้ ย็ งั มีธรรมะ อยู่นี่ แต่ ปัจจุบันนีเ้ ป็ นธรรมะทีบ่ ริสุทธ์ เหมือนดังสมัยยุคบรรพบุรุษเรานั้นยังมีเหลืออยู่เท่ าไรกัน หรืออาจจะกล่ าว ได้ ว่ายุคปัจจุบันนีอ้ าจเป็ นยุคของการ “บริโภคนิยม” แล้ วก็ได้ ดังจะกล่ าวต่ อไป
38
ั สงคมที ม ่ ง่ ั คง่ ั ในยุคบริโภค จิตใจทีม ่ ง่ ั คง่ ั ในยุคบริโภค สังคมปัจจุบนั นี้ โดยเฉพาะ สังคมเมืองที่มีทุกสิ่ งทุกอย่างมากกว่าปั จจัยสี่ ในเบื้องต้นนี้ ที่ไม่สามารถ ใช้ได้แล้วในยุคปั จจุบนั ถึงจะเป็ นสังคมนอกเมืองก็ตามที ก็นบั ว่าน้อยลงเต็มทีที่จะสามารถอยูไ่ ด้ดว้ ยปั จจัยสี่ (ที่ อยูอ่ าศัย , อาหาร , เครื่ องนุ่งห่ม , ยารักษาโรค) ในสังคมเมืองทัว่ โลกซึ่งมีความมัง่ คัง่ มีความทันสมัย และมีความ สะดวกสบาย รวมถึงอาหารการกินที่ดีกว่าแต่สมัยก่อนมาก แต่ก็เป็ นเรื่ องที่น่าแปลก และเป็ นที่น่าสังเกตอยูม่ าก ที่วา่ ความสะดวกสบายทางกาย กับ ความสบายใจทางใจ กับเดินสวนกะแสกันไปคนละทาง มองในแง่หนึ่ง ดังที่ ท่าน พระไพศาล วิสาโล ท่านเคยพูดกล่าวเอาไว้วา่ นี่คือ “ความรู้ สึกพร่ อง” คนเรายิง่ รู ้สึกพร่ องก็ยงิ่ อยากหาอะไร มาเติมให้เต็ม ความรู ้สึกพร่ องดังกล่าวนี้กาํ ลังเป็ นความรู ้สึกร่ วมสมัยของคนในยุคนี้ ปัญหาหลักก็คือ ไม่วา่ เราจะมี มากมายเพียงใดเราก็ไม่รู้จกั พอเพียง เราจึงต้องแสวงหาสิ่ งต่างๆ มาเติมให้เต็ม อย่างไรก็ตามค่านิยมการแสวงหา สิ่ งที่มาเติมให้เต็มนี้ไม่มีวนั ที่จะช่วยให้เรามีความรู ้สึกพอหรื อเต็มได้เลย แต่กลับตรงกันข้าม กลับทําให้เรามี ความรู ้สึกพร่ องอยูเ่ สมอ อะไรล่ะ! เป็ นปั จจัยต่อคนเรานี้ที่ทาํ ให้ตวั เรามีความรู ้สึกพร่ องอยูเ่ สมอ ท่าน พระ ไพศาล วิสาโล ยังกล่าวอีกว่า “คนสมัยอดีตกาล ความรู ้สึกพร่ องนี้เกิดจาก อํานาจ ของตัวบุคคล ความแข็งแกร่ งกว่าของตัวบุคคล ความแข็งแกร่ งและอํานาจสามารถทํา ให้บุคคลอื่นเกิดความรู ้สึกพร่ องได้ และเป็ นฝ่ ายตามหรื อเชื่อฟังหัวหน้าเผ่าแต่โดยดี แต่ปัจจุบนั นี้ ได้เกิดปัจจัยสิ่ งหนึ่งที่สาํ คัญไม่มากกว่าสมัยอดีตกาล คือ “วัตถุนิยม” จริ งอยูท่ ี่วา่ ถึงปัจจุบนั นี่ก็เช่นกันที่ยงั มีเรื่ องของอํานาจความแข็งแกร่ งอยูบ่ า้ ง แต่ก็ มิใช่ประเด็นที่ผมจะกล่าวถึง สิ่ งที่ผมจะกล่าวถึงนี้มนั มีอิทธิพลกับจิตใจคนเราเป็ นอย่างมาก ที่ทาํ ให้คนเรามี ความรู ้สึกพร่ องอยูเ่ สมอ ค่านิยมทางวัตถุนิยมนี้ที่แพร่ หลายไปทัว่ โลก เป็ นสิ่ งที่กระตุน้ ความรู ้สึก “อยาก” อยูเ่ สมอ หรื อต้องการอยูเ่ สมอ สิ นค้าต่างๆ ที่ออกกันมาอย่างชนิดที่ตามไม่ทนั ใครที่ตามไม่ทนั กลับกลายเป็ นเรื่ องของ ความไม่ทนั สมัย การไม่อินเทรนไป และเป็ นสิ่ งที่แน่นอนที่วา่ สิ่ งหนึ่งที่กระตุน้ ความรู ้สึกพร่ องให้รุนแรงขึ้นก็คือ “สื่ อโฆษณา” สื่ อโฆษณาต่างๆ จะใช้เทคนิคอันหลากหลายและวิธีการ ไม่วา่ จะหลากหลายหรื อวิธีการใดๆ ก็ตาม แต่จุดมุ่งหมายเพรี ยงแต่อย่างเดียวคือ การกระตุน้ ให้เกิดความรู ้สึกอยากขึ้นมาต่อคนดู หรื อเกิดภาพฝันขึ้นต่อคนดู ยิง่ กระตุน้ ให้เกิดภาพฝันต่อคนดูไกลมากเท่าไร เราก็ยงิ่ ทําให้เกิดความรู ้สึกพร่ องมากขึ้น ดังนั้น สื่อโฆษณาจึงไม่ เพียงแต่วาดภาพฝันให้งดงามหรู เลิศเท่านั้น หากยังกดสภาพความเป็ นจริ งของเราให้ดูแย่ลง หรื อทําให้เรา (ผูช้ ม) รู ้สึกไม่ดีกบั สภาพความเป็ นจริ งของตัวเอง” มันก็เป็ นเรื่ องที่น่าคิดอยูเ่ หมือนกันสําหรับผมเอง ซึ่งปั จจุบนั นี้ทุกคนดูเหมือนว่าจะมีความรู ้ดี และฉลาดมากกว่า แต่คนสมัยอดีต แต่ผมก็ชกั ไม่แน่ใจแล้วเหมือนกันว่า ความทันสมัยอินเทรน กับ ความไม่ ฉลาด และ... ความไม่ ทนั สมัยไม่ อนิ เทรน กับ ความฉลาด 39
เราจะมีมุมมองอย่างไร และจะเลือกอย่างไรดี ดังจะเห็นได้วา่ สื่ อโฆษณาส่วนใหญ่มกั จะเน้นคุณสมบัติ ของสิ นค้าน้อยกว่าภาพลักษณ์ของสิ นค้า เช่น การสวมใส่เสื้ อผ้าอันเบาบาง และไม่รัดกุม กับ สัญญาลักษณ์ตรา ยีห่ อ้ ของสิ นค้า อย่างไหนมีความสําคัญมากกว่ากัน เสื้ อผ้าเป็ นอะไรมิได้มากไปกว่าเพื่อการสวมใส่เพื่อปกปิ ด ร่ างกาย รองเท้าเป็ นอะไรไปมิได้มากกว่าปกป้ องเท้าของเรามิให้บาดเจ็บ รถยนต์เป็ นอะไรไปมิได้มากไปกว่าใช้ ในการเดินทาง ทุกสิ่ งทุกอย่างส่วนใหญ่มกั จะเน้นที่ภาพลักษณ์ของสิ นค้ามากขึ้น ซึ่งสื่ อโฆษณาได้ประทับไว้ใน จิตใจเรา หรื อในจิตสํานึกเราไปแล้ว ความสัมพันธ์กนั ระหว่างผูบ้ ริ โภคและตัวสิ นค้าได้รับการก่อรู ปขึ้นมา ส่วน ใหญ่แล้วโดยจินตนาการ ซึ่งเป็ นสิ่ งที่ดดั แปลงได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ความรู ้สึกและความหมายเป็ นได้ทุกสิ่ งทุก อย่าง แต่ไม่คงที่ ลักษณะรู ปธรรมที่ดดั แปลงได้ง่ายอันนี้ ทําให้มนั ล้าสมัยได้รวดเร็ วเช่นกัน ซึ่งความจริ ง เป็ น ความจงใจให้มนั ล้าสมัย เพื่อผลให้เกิดการบริ โภคอยูต่ ลอดเวลา และสิ่ งเหล่านี้สามารถที่จะถูกนํามาตักตวง ผลประโยชน์โดยบรรดานักออกแบบทั้งหลายด้วยวิธีการอันหลากหลายไม่มีสิ้นสุด ตามความเป็ นจริ งแล้ว จินตนาการเป็ นเชื้อเพลิงที่ไม่มีวนั หมดสําหรับการคงไว้ซ่ ึงการเจริ ญเติบโตของสิ นค้าและบริ การ ผูอ้ ่านคงจะสังเกตเห็นได้บา้ งไม่มากก็นอ้ ย ที่ปัจจุบนั เรานี้มีความทันสมัยเจริ ญมากขึ้นทางภาพนอก แต่ ภาพในกลับเดินสวนทางกัน การแสวงหาสิ่ งวัตถุภายนอกทําให้ภายในเรามีความสุขได้กจ็ ริ ง แต่หลายคนมิได้นึก คิดถึงไปว่า ภายนอกหรื อวัตถุนิยม มิได้หยุดให้ตวั เราตามทันได้เลย จึงทําให้ตวั ตนของเรามีความรู ้สึกพร่ องอยู่ เสมอ การบริ โภคสิ นค้าเพื่อมาโชว์น้ นั เป็ นลักษณะเด่นอีกประการหนึ่งของยุคบริ โภคนิยม ดังที่ท่าน พระไพศาล วิ สาโล เคยกล่าวเอาไว้อย่างน่าคิดอีกที่วา่ “ทั้งนี้เพราะจุดหมายสําคัญก็คือ การยกระดับ “ตัวตน” ของตนให้สูงขึ้นส่วนหนึ่งก็เพื่อจะได้ใกล้เคียง กับภาพฝันที่สื่อโฆษณาได้ประทับไว้ในใจเรา ยิง่ ไปกว่านั้นก็คือความรู ้สึกด้อยหรื อไม่พอใจใน “ตัวตน” เวลานี้ กําลังลุกลามไปเป็ นความไม่พอใจในร่ างกายของตน ลําพังการที่ “ตัวตน” กับ “หน้าตา” กลายมาเป็ นเรื่ องเดียวกัน ได้ก็นบั ว่าพอแรงแล้ว เพราะแต่ก่อนสิ่ งที่กาํ หนดตัวตนของแต่ละคนนั้นไม่ได้อยูท่ ี่ “หน้าตา” หรื อภาพลักษณ์สกั เท่าไรหากขึ้นอยูก่ บั ศาสนา เชื้อชาติ สถานะทางสังคม และที่สาํ คัญคือจากอาชีพการงานและการกระทําของตนเอง ใครที่อยากจะมี “ตัวตน” ที่ดีกว่าเดิม ก็สามารถจะทําได้โดยการฝึ กฝนพัฒนาตน หรื อแสดงความสามารถให้ ประจักษ์ ในปัจจุบนั เพียงแค่กินนํ้าอัดลมหรื อกินเหล้าบางยีห่ อ้ ก็กลายเป็ น “คนรุ่ นใหม่” ได้แล้ว และสําหรับบาง คน ความรู ้สึกพร่ องดังกล่าวอาจบรรเทาเมื่อเข้าหาศาสนามีสิ่งศักดิ์สิทธิเป็ นที่ยดึ เหนี่ยว หรื อเป็ นตัวตนให้ยดึ ถือ แต่สาํ หรับคนส่วนใหญ่ทุกวันนี้ ศาสนาไม่มีเสน่ห์ดึงดูดใจอีกแล้ว เพราะเป็ นนามธรรมหรื อไม่สอดคล้องกับความ นึกคิด ก็ในยุคที่โลกทัศน์แบบวัตถุนิยมกําลังแพร่ หลายเช่นทุกวันนี้ อะไรเล่าที่ผคู ้ นคิดว่าสามารถยึดเหนี่ยวจิตใจ หรื อทําชีวติ ให้เติมเต็มได้ดีไปกว่าวัตถุ ด้วยเหตุน้ ีเองจึงไม่น่าแปลกใจที่ผคู ้ นต่างพากันแสวงหาวัตถุมาครอบครอง ไม่ใช่เพราะมันให้ความสุขสบายทางกายแต่เพราะมันให้ความอบอุ่นแก่จิตใจต่างหาก ทั้งนี้ก็ดว้ ยความเชื่อว่ามัน จะทําให้ความรู ้สึกพร่ องที่แท้หมดไป ความรู ้สึกพร่ องที่เกิดจากช่องว่าง ระหว่างความฝันกับความเป็ นจริ งนั้นขอ เรี ยกว่า ความรู ้สึกพร่ องเทียม เพราะเกิดจากความคิดปรุ งแต่งมากกว่าอะไรอื่น” ดังจะเห็นที่ท่าน พระไพศาล วิสาโล เขียนกล่าวเอาไว้อย่างน่าคิดทีเดียว โดยเฉพาะที่บอกไว้วา่ “ความรู้ สึกพร่ องเทียม” เป็ นที่น่าสังเกตสําหรับผมที่วา่ ความรู ้สึกพร่ องเทียมนี้ เมื่อสมัยอดีตคนเราคงจะไม่มีมาก เท่าสมัยนี้ คุณผูอ้ ่านคงจะสงสัยอยูบ่ า้ งว่า แล้วความรู ้สึกพร่ องเทียมมันเป็ นอย่างไร? และ ความรู ้สึกพร่ องแท้ล่ะ มันเป็ นอย่างไรกัน? คนสมัยก่อนก็จะมีความรู ้สึกพร่ องด้วยเช่นกัน แต่จะเป็ นความรู ้สึกพร่ องแท้มากกว่า เช่น เรื่ องของความ ตาย เราทุกคนรู ้วา่ สักวันเราต้องตายกันทุกคน ซึ่งเป็ นความรู ้สึกพร่ องแท้ของทุกคนที่รู้วา่ ตัวเองต้องตาย และมี
40
เพรี ยงศาสนาที่เป็ นที่ยดึ เหนี่ยวจิตใจเราไว้ให้ความรู ้สึกพร่ องแท้น้ นั หายไปได้ แต่ปัจจุบนั นี้ในยุคบริ โภคนิยม คน ส่วนใหญ่ไม่ค่อยนึกถึงในเรื่ องของความรู ้สึกพร่ องแท้มากเท่าไร คือ เรื่ องของความตายที่ทุกคนต้องตายกัน แต่ กลับนึกถึงในเรื่ องของวัตถุ การบริ โภค เป็ นเรื่ องสําคัญมากกว่า เห็นคนอื่นเขามีทาํ ให้เรารู ้สึกพร่ อง และอยากมี บ้าง เห็นคนอื่นเขาสวย เราก็อย่างสวยบ้างจึงไปทําศัลยกรรมตกแต่งแทบจะทัว่ ร่ างกายในบางคน เห็นคนอื่นเขา แต่งตัวทันสมัยมียหี่ อ้ ทําให้เรารู ้สึกพร่ องอยากมีบา้ งจริ งไปซื้อมาสวมใส่เพื่อยกระดับตัวตนของเราให้เท่าเทียม กันหรื อสูงกว่า นี่แหละคือ ความรู ้สึกพร่ องเทียม ที่ท่านไพศาล วิสาโล เคยกล่าวเอาไว้ และอะไรล่ะที่ทาํ ให้ ความรู ้สึกของคนเราบกพร่ องอยูเ่ สมอในยุคปัจจุบนั นี้ ท่านไพศาล วิสาโล ท่านได้ใช้คาํ ได้ที่น่าสนใจอย่างยิง่ อีก เช่นกันคือ “วัฒนธรรมความรํ่ารวย” ท่านกล่าวเขียนไว้น่าคิดอีกว่า “วัฒนธรรมความร่ารวย วัฒนธรรมดังกล่าวถือว่าความรํ่ารวยเป็ นของดี และถือว่าชีวติ ที่ดีคือชีวติ ที่ตอ้ ง รวยขึ้น มีเงินและทรัพย์สมบัติมากขึ้น ค่านิยมภายใต้วฒั นธรรมนี้คือการอวดมัง่ อวดมี และการประชันขันแข่งใน เรื่ องบริ โภค แน่นอนว่าแนวคิดที่อยูเ่ บื้องหลังวัฒนธรรมนี้ก็คือทัศนะแบบวัตถุนิยม ที่เห็นว่าความสุขอยูท่ ี่วตั ถุ และสิ่ งเสพ ขณะเดียวกันก็มีแนวคิดเรื่ องความก้าวหน้าควบคู่ไปด้วย ดังนั้นจึงทําให้เกิดความเชื่อว่าคนเราต้อง แสวงหาความก้าวหน้าในชีวติ ด้วยการมีทรัพย์มากขึ้น มีเงินเดือนสูงขึ้น มีความเป็ นอยูท่ ี่สะดวกสบายเพิ่มขึ้น และ มีสิ่งใหม่ๆ มาไว้ในครอบครองมากด้วย (โดยเฉพาะเทคโนโลยีล่าสุด) วัฒนธรรมความรํ่ารวยดังกล่าวทําให้ผคู ้ น คิดแต่จะสะสมและแสวงหา ทํางานหาเงินไม่รู้จกั หยุดหย่อนและปรารถนารายได้เพิ่มมากขึ้น แต่ได้มาเท่าไรก็ไม่ รู ้จกั พอ เพราะยังมีสิ่งที่ตอ้ งการอีกมากหลาย ยิง่ เห็นคนอื่นรวยกว่าตน ก็ยงิ่ รู ้สึกด้อย จําต้องหาดิ้นรนให้ทดั เทียม หรื อลํ้าหน้ายิง่ กว่า แต่ถึงจะลํ้าหน้าใครต่อใคร ก็ยงั มีคนอื่นที่ไปไกลกว่าตน จึงต้องขวนขวายต่อไป วัฒนธรรม ความรํ่ารวยจึงนําผูค้ นทั้งโลกไปสู่ความทุกข์ เพราะมันทําให้คนทั้งโลกสําคัญตนว่ายากจน ไม่เว้นแม้แต่คนมัง่ มี ใช่แต่เท่านั้นยังทําให้เกิดการเอารัดเอาเปรี ยบและกดขี่กนั ยังผลให้มีคนจํานวนมหาศาลยากจนลง เดือดร้อนมาก ขึ้น แต่ไม่วา่ จะมัง่ มีหรื อยากจน ต่างก็กลายเป็ นปฏิปักษ์ต่อกัน เห็นซึ่งกันและกันเป็ นเหยือ่ หรื อศัตรู สร้างความ ทุกข์แก่กนั และกัน ทั้งนี้เพียงเพือ่ จุดหมายประการเดียวนัน่ คือความรํ่ารวยมัง่ คัง่ ปั จจุบนั ผูค้ นถูกตีกรอบให้มอง ตนเองเป็ นเพียงแค่ผบู ้ ริ โภค แม้จะทําให้ชีวติ ของเราสะดวกสบายขึ้นแต่หาได้ช่วยให้มีความสุขเพิ่มขึ้นไม่ อีกทั้ง บ่อยครั้งก็ไม่ได้ช่วยให้มีคุณภาพชีวติ ดีข้ ึนเลย นอกจากนั้นยังกลับทําให้ชีวติ ขาดความลุ่มลึก เพราะท่าทีแบบ ผูบ้ ริ โภคทําให้เราต้องการเพียงแค่สิ่งปรนเปรอผัสสะทั้ง ๖ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) หรื อความสะดวกสบายเท่านั้น ดังนั้นความสัมพันธ์กบั สิ่ งต่างๆ จึงเป็ นไปอย่างฉาบฉวยเพราะคิดแต่เรื่ องกําไร ขาดทุน ได้เสี ย เท่านั้น บทสรุ ป ดังกล่าวก็คือ ลัทธิบริ โภคนิยม และการมองตนเองเป็ นแค่ผบู ้ ริ โภคนั้น ได้ตีกรอบความคิดและการกระทําของเรา ให้แคบและฉาบฉวย จนกลับมาบัน่ ทอนชีวติ ของเราเองในที่สุด” จะเห็นว่ าท่ านกล่ าวไว้ น่าคิดอย่ างมีประโยชน์ มาก ให้ แง่ คดิ เรา ให้ เราได้ รู้ ทนั ในลัทธิสังคมบริโภคนิยมนี้ อาจจะว่ าไปแล้ วทุกคนส่ วนใหญ่ ต้องการแสวงหาความมัง่ คัง่ ความร่ารวย จากภายนอกกัน แต่ความมัง่ คัง่ และ ความร่ารวยจากภายในหามีใช้ น้อย ดังทีผ่ มเขียนไว้ ในหัวข้ อบทนีไ้ ว้ ว่า “สังคมทีม่ งั่ คัง่ ในยุคบริโภค คือ สังคมทีม่ ี ความทันสมัย มีความสะดวกสะบาย และก้ าวหน้ าในยุคบริโภคปัจจุบันนี้ แต่ ...! ผมก็จงใจทีจ่ ะขีดคัน่ ไว้ อย่ าง เป็ นสัญวิทยา ไว้ ในหัวข้ อบทนีท้ วี่ ่ า “จิตใจทีม่ งั่ คัง่ ในยุคบริโภค” ทีค่ นส่ วนใหญ่ มคิ ่ อยมีใครใส่ ใจกันมากนักในยุค บริโภคปัจจุบันนี้
41
เราเป็นได้แค่ผบ ู ้ ริโภค หรือ เราสามารถเป็นได้มากกว่านน ั้ ผูอ้ ่านพอจะคิดได้กบั หัวข้อของบทนี้ แน่นอน... ที่เราสามารถเป็ นได้มากกว่าการเป็ นผูบ้ ริ โภคอย่างเดียว และอีกเช่นกัน เราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ในยุคปั จจุบนั นี้ที่จะหนีการบริ โภคนิยมไป การที่มนุษย์เราเป็ นผูร้ ู ้จกั เลือก รู ้จกั คิด รู ้จกั คัดสรรค์ และการเป็ นผูบ้ ริ โภคที่ชาญฉลาดที่ดีน้ นั เป็ นสิ่ งที่ดี แต่ในเวลาเดียวกันเราก็สามารถ เป็ นได้มากกว่านั้นด้วย มนุษย์เราเป็ นสิ่ งมีชีวติ ที่สามารถพัฒนาไปได้มากกว่านั้นด้วย มนุษย์เราเป็ นสิ่ งมีชีวติ ที่ สามารถพัฒนาไปได้อย่างไม่สิ้นสุด คนสมัยโบราณ การทําอะไรด้วยตัวเอง มีความหมายมากกว่าการจ้างให้คน อื่นเขาทํา การทําด้วยตัวเองหรื อร่ วมกันทํา จะมีมิติของทางจิตใจประทับมาด้วยในตัวตนของแต่ละคน เช่น การ ทําอาหารทานกันเองในครอบครัวช่วยสร้างความสัมพันธ์ได้ในครอบครัว แต่การใช้เงินตราแทนการทํากิจกรรม ของตนเอง หรื อร่ วมกันในบางอย่างทําให้เราขาดมิติทางใจเกิดขึ้น หรื อการใช้เงินตราและการครอบครองวัตถุเป็ น ส่วนที่ทาํ ให้ตวั เรารู ้สึกมีอาํ นาจขึ้น หรื อมีตวั ตนเพิ่มขึ้นมาได้กระนั้นหรื อ นี่คงเป็ นคําถามที่น่าสนใจอยูบ่ า้ ง การ สวมใส่ชุดที่ดาราดังสวมใส่ตามโฆษณา ทําให้เรารู ้สึกยกระดับตัวตนของเราขึ้นมาได้บา้ ง บุคคลจะรู ้สึกว่าเพิม่ พูน ขึ้นหรื อได้สถานะภาพใหม่เพียงแต่ซ้ือด้วยเงินตราในยุคบริ โภคนิยม ถ้าจะมองในแง่ร้ายหน่อย จะถือได้ไหมว่า “การบริ โภคนิยมกําลังจะกายเป็ นศาสนาใหม่ไปแล้ว” ไม่มีสงั คมใดไม่มีศาสนา อะไรที่เกี่ยวกับมนุษย์มากพอ ก็ตอ้ งเกี่ยวกับศาสนาไปด้วย อาจกล่าวได้วา่ มนุษย์คือ สัตว์ที่มีศาสนา ก็ได้ ไม่วา่ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะก้าวหน้าเพียงใด มนุษย์ก็ยงั ต้องการศาสนาอยู่ นัน่ เอง แต่ทศั นะของศาสนาลึกๆ แล้วเรารู ้วา่ ไม่มีตวั ตนจับต้องไม่ได้ ปั ญหาเกิดขึ้นตรงที่มนุษย์น้ นั ปรารถนาที่จะ มีตวั ตนคงที่ยงั่ ยืน แต่เมื่อรู ้สึกลึกๆว่าไม่มีตวั ตนใดๆ จะให้ยดึ ถือได้ ก็เกิดความรู ้สึกไม่มนั่ คงขึ้นมา ในด้านหนึ่งจึง ยิง่ พยายามไขว่คว้าหาสิ่ งใดสิ่ งหนึ่งมายึดให้แน่นขึ้น และแน่นอนว่าย่อมเป็ นสิ่ งซึ่งดูยงั่ ยืนมัน่ คง พระเจ้า ศาสนา ประเทศชาติ หรื อระบอบคอมมิวนิสต์ในสมัยหนึ่ง อาจสนองความรู ้สึกนี้ได้ไม่มากก็นอ้ ย ดังกล่าวแล้วข้างต้น ลึกๆ แล้ว สิ่ งที่ทาํ ให้มนุษย์เรามีความรู ้สึกที่ไม่มนั่ คงนัน่ ก็ คือ การกดความรู ้สึกนี้ไว้ให้อยูใ่ นจิตไร้สาํ นึกเสี ย หรื อ ปฏิเสธความรู ้สึกดังกล่าวตามหลักจิตวิทยา สิ่ งใดที่ถูกกดเอาไว้ในจิตไร้สาํ นึก จะผุดขึ้นมาสู่จิตสํานึกในรู ปลักษณ์ ใหม่ที่กลายสภาพหรื อบิดเบี้ยวในทํานองเดียวกัน ความรู ้สึกหรื อสงสัยว่าตัวตนไม่มีอยูจ่ ริ งนี้ เมื่อถูกกดเอาไว้ก็จะ ผุดขึ้นมาเป็ นอาการความรู ้สึกไม่มนั่ คง ง่อนแง่น คับข้อง กระวนกระวาย ซึ่งเรี ยกว่า “ความรู ้สึกพร่ อง” ดังที่กล่าว มาแล้วในบทก่อน ความรู ้สึกดังกล่าวคอยรบกวนจิตใจเสมอ เพราะทําให้รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ ที่ขาด หายไป ทําให้จิตไม่สงบสุข คอยแต่จะหาสิ่ งที่มาทําให้ชีวติ มัน่ คงเต็มอิ่ม ขณะเดียวกันเมื่อไม่ยอมรับว่าตัวตนไม่มี อยูจ่ ริ ง จิตก็ยงิ่ ดิน้ รนหาทางทําให้ตวั ตนนั้นจริ งขึ้นมาให้ได้ ด้วยการไปยึดอะไรบางอย่างมาเป็ นตัวตน หรื อเอาสิ่ ง ใดสิ่ งหนึ่งมารองรับคํ้าจุนภาพตัวตน นี่เป็ นคํากล่าวทัศนะของ “เดวิด อาร์ ลอย” / David ั ) R. Loy (นักจิตวิทยา นักปรัชญาและอาจารย์เซนชาวอเมริ กน ในทัศนะของ เดวิด ลอย ความรู ้สึกพร่ องนี้เองเป็ นแรงผลักดันสําคัญอย่างยิง่ ที่ทาํ ให้ มนุษย์แสวงหาศาสนา และถึงแม้ในปัจจุบนั ศาสนาจะถูกลดความสําคัญลงบ้าง ก็เพราะ 42
มีสิ่งอื่นมาทําหน้าที่ศาสนาแทน นี้คือคําตอบว่า ทําไมผูค้ นในยุคสมัยใหม่ จึงยึดถือชาติหรื อบริ โภคนิยมราวกับ เป็ นศาสนาหนึ่ง เดวิด ลอย ชี้วา่ คนในปั จจุบนั เข้าหาชาติและบริ โภคนิยม ด้วยเหตุผลเดียวกับที่คนสมัยก่อน รวมทั้งเวลานี้ เข้าหาศาสนา นัน่ คือเพื่อบรรเทาความรู ้สึกพร่ องคับข้องไม่สมหวังเต็มอิ่มในตัวตน ซึ่งเป็ น ความรู ้สึกไม่มนั่ คงพื้นฐานที่สุดของมนุษย์ ผูค้ นยึดถือชาติมิใช่แค่เป็ นที่ยดึ เหนี่ยวปกป้ องภัยเท่านั้น หากยังเพราะ คิดว่า การเอาตนไปอิงไว้กบั ชาติ อันเป็ นสิ่ งที่ดูยงิ่ ใหญ่มนั่ คงนั้น จะช่วยให้ตนเกิดความรู ้สึกมัน่ คงตามไป ด้วย หรื อให้ความรู ้สึกที่ลึกไปกว่านั้นคือรู ้สึกว่าตัวตนมีจริ งด้วย ส่วนบริ โภคนิยมนั้นก็อธิบายว่าความรู ้สึกพร่ อง ที่รบกวนจิตใจนั้น เป็ นเพราะยังมีไม่พอ ดังนั้นจึงต้องแสวงหามาไว้ในครอบครองให้มาก เพื่อชีวติ จะได้เต็ม อิ่ม ขณะเดียวกัน การยึดติดในวัตถุโภคทรัพย์ ก็เป็ นความพยายามที่จะหาฐานรองรับตัวตน ที่มีลกั ษณะเที่ยงแท้ มัน่ คง เพื่อทําให้ตวั ตนเป็ นจริ งมากขึ้น แม้แต่เงินก็มีนยั ลึกซึ้งทางจิตใจเช่นกัน เพราะมันเป็ นเครื่ องหมายของ ความอมตะ การไปยึดถือเงินเป็ นตัวตนย่อมทําให้เกิดความรู ้สึกว่าตนนั้นจริ งมากขึ้น นี่เป็ นแนวคิดตามหลัก จิตวิทยาของการหาสิ่ งทดแทนยึดเหนี่ยวของ เดวิด ลอย อย่างไรก็ตามถึงที่สุดแล้ว ตามทัศนะของท่าน พระไพศาล วิสาโล กล่าวไว้อย่างน่าฟังและน่าคิดที่วา่ “ชาตินิยมและบริ โภคนิยม ก็ไม่สามารถตอบสนองความต้องการ ทางจิตวิญญาณลึกๆได้จริ ง เพราะไม่สามารถทํา ให้ผคู ้ นเกิดความมัน่ ใจว่าตัวของตนนั้นมีอยูจ่ ริ งไม่ จึงไม่สามารถบรรเทาความรู ้สึกพร่ องคับข้องใจได้ เพราะไม่ ว่าชาติ หรื อทรัพย์สิน เงินทอง ก็ลว้ นเป็ นสิ่ งไม่ยงั่ ยืน ไม่ใช่ตวั ตน และไม่สามารถมายึดถือเป็ นตัวตนได้ การยึด เอาสิ่ งที่ไม่ใช่ตวั ตนว่าเป็ นตัวตน หรื อยึดถือสิ่ งซึ่งไม่อาจยึดถือได้ จึงรังแต่จะทําให้ผิดหวังและเกิดความทุกข์ ยิง่ ขึ้น ดังนั้นถึงแม้ผคู ้ นจะยึดถือชาตินิยมและบริ โภคนิยมดังเหมือนศาสนาหนึ่ง และแม้ชาตินิยมและบริ โภคนิยม จะทําหน้าที่ดงั ศาสนาก็ตามที สามารถแก้ปัญหาของมนุษย์ได้หลายเรื่ อง แต่เมื่อมาถึงปัญหาตัวตนในระดับที่ลึกซึ้ง ลงไปแล้ว มันไม่สามารถทําหน้าที่ศาสนาได้อย่างแท้จริ ง ทําได้อย่างมากเพียงระงับความรู ้สึกพร่ องคับข้องใจไป ชัว่ คราวเท่านั้น” พระไพศาล วิสาโล ยังกล่าวไว้อีกว่า “แม้วา่ บริ โภคนิยมจะไม่สามารถแทนที่ศาสนาได้ เพราะไม่สามารถ ขจัดความทุกข์ในระดับจิตวิญญาณลึกๆ ของผูค้ นได้ แต่อิทธิพลอันมหาศาลมากของการบริ โภคนิยม ที่สามารถ เบียดขับศาสนาให้หดตัวและถอยร่ น มาอยูใ่ นมุมเล็กๆ ของชีวติ และสังคมได้ หาไม่ก็ครอบกลืนให้กลายเป็ นส่วน หนึ่งของบริ โภคนิยม หรื อเป็ นร่ างทรงของมันเท่านั้น ทุกวันนี้บริ โภคนิยมได้แพร่ ขยายจนกลายเป็ นส่วนหนึ่งของ ชีวติ และจิตใจของผูค้ นทัว่ ทั้งโลกยิง่ กว่าศาสนาใดๆไปแล้ว ยิง่ มีเครื อข่ายดาวเทียมเป็ นเครื่ องมือด้วยแล้ว ศาสนา บริ โภคนิยมก็สามารถประกาศลัทธิไปทัว่ ทุกมุมโลกแม้ในพื้นที่ ที่เข้าไปไม่ถึงได้ ด้วยเหตุน้ ี หากต้องการให้ คุณภาพชีวติ ดีข้ ึน นอกจากการเป็ นผูบ้ ริ โภคที่ชาญฉลาด สํานึกถึงพลังของตนเอง หรื อปั ญญาของตนเอง หรื อ คํานึงถึงธรรมชาติแวดล้อมแล้ว เรายังควรไปพ้นจากการเป็ นผูบ้ ริ โภคด้วย แทนที่จะคิดแต่ซ้ือก็ลองทําเองบ้าง ช่วยกันทําบ้าง หรื อแลกเปลี่ยนกันบ้าง” อย่างไรก็ตาม จะทําเช่นนั้นได้ดี ผมจึงหยิบยกประเด็นที่ท่านพระไพศาล วิสาโล ได้เคยเขียนให้ไว้เป็ น แนวทางในยุคบริ โภคนิยมนี้ได้อย่างน่าคิดและกระทํา ซึ่งมีอย่างน้อย ๒ อย่างที่ควรทําไปด้วยกัน คือ ประการแรกการฟื้ นความสามารถในการพึง่ ตนเอง ทุกวันนี้ความสามารถดังกล่าวของเราถูกบัน่ ทอนจน เราทําอะไรเป็ นไม่กี่อย่าง ที่เหลือต้องใช้เงินซื้อเอาหมด แม้แต่การรักษาสุขภาพและดูแลตนเอง เราก็ทาํ ไม่เป็ น เจ็บป่ วยก็ตอ้ งพึ่งหมอสถานเดียว พูดง่ายๆ ก็คือ คุณภาพชีวติ และความสุขของเราถูกฝากไว้กบั ท้องตลาดแทบ สิ้นเชิง การฟื้ นความสามารถในการพึ่งตนเองหมายถึงการเอาคุณภาพชีวติ และความสุขของเรากลับมาอยูใ่ นกํามือ ของตนเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้ คุณภาพชีวติ อันหมายถึง ปั จจัยสี่ สุขภาพ และการศึกษานั้นเป็ นสิ่ งที่เรา
43
สามารถทําขึ้นเองได้แม้ไม่ท้ งั หมด ส่วนความสุข เราทุกคนก็มีความสามารถที่จะสรรค์สร้างได้ท้ งั นั้น โดยไม่ตอ้ ง ใช้เงินซื้อหาหรื อเข้าศูนย์การค้าเลย เช่น ความเพลิดเพลินกันในครอบครัว วาดรู ป ตกแต่งสวน หรื อทําสมาธิ ภาวนารวมกัน อุปสรรคที่ทาํ ให้คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะในเมืองไม่สามารถพึ่งตนเองได้ก็คือ ไม่มีเวลา และไม่ สะดวก แต่ถา้ เราใช้ชีวติ ให้ชา้ ลง ไม่เร่ งรี บบีบรัดตัว ตัดกิจกรรมที่ไม่จาํ เป็ นออกไป ก็จะมีเวลามากขึ้น ส่วนความ ไม่สะดวกนั้นเป็ นเพราะเราติดสบายและต้องการอะไรเร็ วๆ การทําอาหารหรื อปลูกผักเองจึงไม่สะดวกเท่ากับไป ซื้อจากร้าน แต่ถา้ ลองเปลี่ยนมุมมองใหม่ แทนที่จะถือเป็ นภาระ ให้มองเป็ นการพักผ่อนหย่อนใจ ฝึ กสมาธิจากการ ทําอย่างเนิบช้าไม่เร่ งรัดหวังผลไม่นานความเพลิดเพลินจะมาแทนที่ความรู ้สึกไม่สะดวกไปเอง อย่างไรก็ตามระบบบริ โภคนิยมจะไม่ยอมให้เราพึ่งตนเองได้ง่ายๆ มันจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้เรา กลับไปเป็ นนักช็อปปิ้ งเหมือนเดิม เช่น ดูถูกดูแคลนการพึ่งตนเองว่าเป็ นเรื่ องถอยหลังเข้าคลอง ไม่โก้เก๋ สมยุค โลกาภิวตั ร หาไม่ก็ล่อหลอกด้วยการเสนอ “ทางลัด” หรื อสิ่ งสําเร็ จรู ปซึ่งถูกจริ ตคน ประการทีส่ องต่ อมาคือการฟื้ นความสามารถในการพึง่ กันเอง แม้เราไม่สามารถพึ่งตนเองไปได้หมดทุก อย่างแต่การพึ่งพากันเองก็ช่วยทําให้เราเป็ นอิสระจากระบบบริ โภคนิยมได้มากขึ้น การพึ่งพาช่วยเหลือกันนั้นเป็ น ธรรมเนียมดั้งเดิมของไทยจนเกิดเป็ นกลุ่มประเพณี มากมายหลายแบบ การรวมกลุ่มช่วยเหลือกันตลอดจนการ รวมกันเป็ นชุมชนนั้น สามารถให้สิ่งซึ่งความสัมพันธ์แบบ ผูซ้ ้ือ-ผูข้ าย ให้ไม่ได้ นัน่ คือ ความเอื้อเฟื้ อ ความเข้าอก เข้าใจ การมีส่วนร่ วม การได้ใช้ศกั ยภาพในทางสร้างสรรค์ คุณค่าเหล่านี้คือสิ่ งที่ชีวติ ต้องการ ช่วยให้เกิดความงอก งามแก่จิตใจ และที่สาํ คัญคือทําให้เกิดความสุข เป็ นเพราะคนทุกวันนี้ไม่ได้รับสิ่ งดังกล่าว จึงรู ้สึกพร่ องในชีวติ และโหยหาไม่รู้จบ จนไปหลงติดอยูก่ บั คุณค่าอันฉาบฉวยที่ระบบบริ โภคนิยมเสนอให้ ได้แก่ ความหลากหลายน่า ตื่นเต้น ความเพลิดเพลินสะดวกสบาย อํานาจ สถานภาพ และเสรี ภาพ คุณค่าทั้ง ๔ ประการนี้แหละ ที่เป็ นเสน่ห์ ของระบบบริ โภคนิยมที่ดึงดูดให้ผคู ้ นยอมอยูใ่ นอํานาจของมันถึงจะเป็ นคนหัวก้าวหน้าแต่ก็อยากใส่โรเล็กซ์ขี่ เบนซ์เพราะมันเพิ่มสถานภาพทางสังคมให้สูงขึ้น ขณะที่เครื่ องยนต์อนั ทันสมัยกลไกต่างๆ จะช่วยให้ชีวติ สะดวกสบายแล้ว ยังทําให้รู้สึกว่าตนมีอาํ นาจในการควบคุมบางสิ่ งบางอย่างได้มากขึ้น พร้อมกันนั้นความ หลากหลายของสิ นค้าก็หนุนเสริ มให้เกิดความรู ้สึกว่าตนมีอิสรภาพในการเลือกทั้งๆ ที่เป็ นแค่อิสรภาพจําแลงมาก็ ตาม (โปรดดูใน พุทธศาสนาไทยในอนาคต แนวโน้มและทางออกจากวิกฤต พระไพศาล วิสาโล ๒๕๔๖) ตราบใดทีผ่ ้คู นต่ างยึดถือตนเองสาคัญมากกว่ าส่ วนร่ วม ต่ างก็ต้องแก่ งแย่ งกันอยู่ ก็ง่ายทีจ่ ะต้ องมนต์ เสน่ ห์ของบริโภคนิยม แต่ ถ้าผู้คนมารวมกลุ่มช่ วยเหลือกันความสัมพันธ์ ดงั กล่ าวจะช่ วยให้ เราได้ รับสิ่งทีล่ กึ ซึ้งกว่ า ทีบ่ ริโภคนิยมจะให้ ได้ คุณค่ าต่ างๆ ทีก่ ล่ าวมาข้ างต้ น อาทิ ความเอือ้ เฟื้ อ ความเข้ าอกเข้ าใจ สามารถตอบสนอง จิตใจส่ วนลึกได้ ดกี ว่ า ความสุ ขอันประณีตเช่ นนีแ้ หละทีส่ ามารถไถ่ ถอนผู้คนให้ เป็ นอิสระจากความสุ ขแบบหยาบๆ ทีไ่ ด้ จากระบบบริโภคนิยม เพียงมองเข้ าไปให้ ลกึ จะพบว่าเราเป็ นได้ มากกว่ าผู้บริโภค และถ้ าเราขยาย ความสัมพันธ์ ให้ กว้ างออกไปจนยึดโยงกันเป็ นชุมชนเราก็จะสามารถสรรค์ สร้ างและได้ รับสิ่งต่ างๆ ทีร่ ะบบบริโภค นิยมให้ ไม่ ได้ คุณภาพชีวติ คุณค่ าทางจิตใจ และความสุ ข อันเกิดจากการพึง่ ตนเองและการพึง่ กันและกันเองนี้ แหละคือรางวัลทีไ่ ด้ รับจากการเป็ นอิสระจากระบบบริโภคนิยม ถึงจะไม่ สิ้นเชิงก็ตามที สิ่งหนึ่งทีจ่ ะช่ วยยึดเหนี่ยว คุณค่ าทางจิตใจ และความสุ ขตัวเราได้ น้นั คือ “ศาสนา”
44
วิทยาศาสตร์ก ับศาสนา (จุดต่างหรือจุดเหมือน) ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “ศาสนา” (Religion) เป็ นสิ่ งหนึ่งที่คอยยึดเหนี่ยวจิตใจของมนุษย์เราตั้งแต่ไหนแต่ไร มาแล้วไม่วา่ จะศาสนาใดก็ตามที่มีอยูใ่ นโลกนี้ต่างก็พรํ่าสอนให้คนเป็ นคนดี ปฏิบตั ิตนอยูใ่ นทํานองคลองธรรม กันทั้งนั้นอาจจะมีส่วนน้อยที่แบ่งแยกตนออกไปเป็ นลัทธิ มีความเชื่อผิดแผกไปบ้าง แต่โดยส่วนใหญ่แล้วก็เน้น ให้คนเห็นความสําคัญของการดํารงตนเป็ นคนดีของทุกคนและสังคม แต่ในภาวะปั จจุบนั ที่โลกมีแต่เทคโนโลยีล้ าํ หน้าไปเสี ยทุกอย่าง ไม่วา่ จะเป็ นเทคโนโลยีทางการสื่ อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะเทคโนโลยีชีวภาพ ที่ล้ าํ หน้าเสี ยจนคนก้าวตามแทบไม่ทนั นําความเปลี่ยนแปลงหลากหลายประการมาสู่ชีวติ มนุษย์ โดยเริ่ มตั้งแต่สมัยแรกๆ ที่นกั วิทยาศาสตร์ สามารถล่วงรู ้ ว่า “ยีน” (Gene) หรื อหน่วยพันธุกรรมเป็ นหัวใจหลักของการควบคุมการแสดงออกของลักษณะต่างๆ ในสิ่ งมีชีวติ ไม่วา่ จะเป็ นพืชหรื อสัตว์ และมนุษย์ ทั้งยังสามารถวิเคราะห์ถึงโครงสร้างของยีนได้อย่างกว้างขวาง และสามารถ สังเคราะห์ชิ้นส่วนยีนรวมถึงถ่ายฝากยีนของสิ่ งมีชีวติ หนึ่งให้กบั สิ่งมีชีวติ อื่นได้หรื อเป็ นที่รู้จกั กันในชื่อของ “พันธุวศิ วกรรม” (Genetic Engineering) ซึ่งเป็ นเทคโนโลยีที่ทาํ การเคลื่อนย้ายยีนจากสิ่ งมีชีวติ สายพันธุ์หนึ่งไปสู่ สิ่ งมีชีวติ อีกสายพันธุ์หนึ่ง ก่อให้เกิดความคิดริ เริ่ มในสร้างสิ่ งมีชีวติ รู ปแบบใหม่ที่มียนี ลูกผสมแบบใหม่ ใน คุณลักษณะแบบใหม่ซ่ ึงไม่เคยปรากฏในธรรมชาติมาก่อน ด้วยความมุ่งหมายที่จะปรับปรุ งคุณลักษณะของ สิ่ งมีชีวติ นั้นๆ ให้ดีกว่าเดิม เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาอุตสาหกรรม สนองความต้องการของมนุษย์ในด้านการ อุปโภคและบริ โภคที่สูงขึ้น เช่น การพัฒนาพันธุ์สตั ว์ การปรับปรุ งพันธุ์พืชให้ตา้ นทานโรคและแมลง การพัฒนา พันธุ์พืชให้มีคุณภาพผลผลิตดี การพัฒนายารักษาโรคและวัคซีนที่ไม่เคยทําได้ในยุคก่อนหน้านี้ ทว่านักวิทยาศาสตร์ก็ยงั ไม่สามารถให้คาํ ตอบที่ชดั เจนว่าการนําเทคโนโลยีชีวภาพเหล่านี้มาใช้ จะไม่ ก่อให้เกิดปั ญหาต่างๆ อาทิ ผลผลิตจะมีพิษภัยต่อสุขภาพคนและสัตว์หรื อไม่ ยีนเหล่านี้จะมีโอกาสกลายพันธุ์เป็ น ยีนก่อโรคหรื อไม่ ยีนเหล่านี้จะมีโอกาสหลุดรอดออกไปสู่สิ่งมีชีวติ อื่นได้หรื อไม่ ฯลฯ เพราะฉะนั้นความเชื่อทาง ศาสนาจึงก้าวมามีบทบาทสําคัญในการช่วยให้มุมมองผลกระทบทางเทคโนโลยีชีวภาพ เป็ นหลักสําคัญประการ หนึ่งที่จะช่วยแสดงถึงมิติแห่งการรับรู ้ และกําหนดขอบเขตการยอมรับเทคโนโลยีสมัยใหม่ของสังคม เพราะความ เชื่อทางศาสนานั้นมักเป็ นความเชื่อที่อยูบ่ นรากฐานของการยอมรับในกฎแห่งธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิง่ ความ เชื่อที่เกี่ยวกับมนุษย์ ความรู ้ในทางศาสนาแม้จะมีรากฐานอันเดียวกันกับวิทยาศาสตร์ กล่าวคือ ตั้งอยูบ่ นความเชื่อแบบ มนุษย์นิยมเหมือนกัน แต่ท่าทีที่ศาสนามีต่อธรรมชาติแตกต่างจากท่าทีของวิทยาศาสตร์มากนัก แม้วา่
45
นักวิทยาศาสตร์ท้ งั หลายจะไม่ประกาศท่าทีของเขาต่อธรรมชาติอย่างแจ้งชัด แต่จากลักษณะการทํางานของ นักวิทยาศาสตร์ เราก็พอมองเห็นได้วา่ คนเหล่านี้คิดเช่นไรต่อสิ่งต่างๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ ในการทดลองทาง วิทยาศาสตร์บางแขนง เช่น ชีววิทยา สัตว์จาํ นวนหนึ่งจะถูกนํามาทรมานให้เจ็บปวด เคยมีคนเขียนหนังสื อ บรรยายสภาพของสัตว์ที่ถูกนํามาทดลองว่าน่าสมเพชเวทนาอย่างยิง่ สัตว์เหล่านี้บา้ งก็พิกลพิการ บ้างอยูใ่ นภาวะ หวาดผวาจนเสี ยสติ บ้างก็ลม้ ตายลงด้วยโรคร้ายอันเกิดจากสารเคมีที่นกั วิทยาศาสตร์ฉีดเข้าไปในร่ างกายของมัน ที่นกั วิทยาศาสตร์ทาํ เช่นนั้นอาจมีเหตุผลเพื่อความผาสุกของมนุษยชาติโดยส่วนรวม การทดลองเหล่านี้ลว้ น เป็ นไปเพื่อค้นหาสิ่ งมาอํานวยความสะดวกสบาย และการมีสุขภาพที่ยนื ยาวสําหรับมนุษย์ ในที่น้ ีเราจะไม่ อภิปรายกันว่าจุดประสงค์ดงั กล่าวนี้มีเหตุผลเพียงพอหรื อไม่ที่จะลบล้างบาปกรรมที่มนุษย์กระทําต่อสัตว์ที่ไม่มี ทางสูเ้ หล่านั้น ประเด็นที่เราจะพิจารณากันก็คือ การที่คนเราสามารถทําทารุ ณกรรมต่อสัตว์ตาดําๆ เหล่านั้นได้ สะท้อนให้เห็นว่า มนุษย์ที่ทาํ การทดลองบนความเจ็บปวดทรมานของสัตว์พวกนั้นคิดว่าตนเอง คือ “นายของ ธรรมชาติ” เมื่อเป็ นนาย ย่อมไม่แปลกที่เราจะทําอะไรก็ได้กบั สิ่ งที่เราครอบครองเป็ นเจ้าของนั้น ความคิดที่วา่ คน คือนายของธรรมชาตินี่เอง ที่ผลักดันให้วทิ ยาศาสตร์กา้ วลํ้าเข้าไปในอาณาเขตที่น่าวิตก ปั จจุบนั วิชาชีววิทยา ก้าวหน้าไปมาก มนุษย์สามารถควบคุมให้พืชหรื อสัตว์เจริ ญเติบโตไปในทิศทางและรู ปแบบที่ตนต้องการ มีคน คิดผสมพันธุ์แปลกๆ แปลกถึงขนาดมีการคิดผสมพันธุ์พืชและสัตว์เข้าด้วยกัน และด้วยพื้นฐานความคิดที่วา่ ตนคือ นายของธรรมชาตินี่เอง ที่ก่อให้เกิดโครงการที่น่าเกรงกลัวอย่างยิง่ เช่น โครงการเพาะพันธุ์มนุษย์แบบไม่อาศัย เพศหรื อที่เรี ยกว่า“โครนนิ่ง”เป็ นต้น เป็ นที่ทราบกันดีวา่ การสื บพันธุ์โดยอาศัยเพศ (sexual reproduction) อันเป็ นวิธีการแบบธรรมชาติที่ คนเรากระทํากันอยูน่ ้ ีไม่สามารถคงคุณสมบัติบางประการที่เราต้องการไว้ได้ อัจฉริ ยะอย่างเช่นไอน์สไตน์เมื่อมีลูก ก็ไม่จาํ เป็ นว่าลูกของเขาจะเป็ นอัจฉริ ยะด้วย นักวิทยาศาสตร์ใฝ่ ฝันมานานว่า ทําอย่างไรจึงจะสามารถถ่ายทอด คุณสมบัติที่หาได้ยากของพ่อแม่ไปสู่ลูก หากเราค้นพบวิธีถ่ายทอดคุณสมบัติดงั กล่าวนี้ อัจฉริ ยะบุคคลทั้งหลายจะ มีชีวติ เป็ นอมตะ ความรู ้ในโลกนี้แบ่งออกเป็ นสองประเภท ประเภทหนึ่งรู ้แล้วเป็ นประโยชน์แก่ชีวติ ส่วนอีกประเภท หนึ่งรู ้แล้วไม่เป็ นประโยชน์ ความรู ้ที่พทุ ธศาสนาเลือกนํามาสอนนี้ คือ ความรู ้ประเภทแรกเท่านั้น ส่วนประเภทที่ สองแม้จะรู ้ก็ไม่นาํ มาสอนและหากจะเปรี ยบเทียบกันแล้วจะเห็นว่า ความรู ้ที่เป็ นประโยชน์น้ นั มีนอ้ ยมาก ความรู ้ ส่วนใหญ่ไม่เป็ นประโยชน์แก่มนุษย์ ความเป็ นประโยชน์หรื อไม่เป็ นประโยชน์วดั จากอะไร คําตอบคือ ความรู ้ใด ไม่ส่งเสริ มให้เราเข้าถึง “บิ๊กแบงภายในใจ” (ผูเ้ ขียนเปรี ยบเทียบขึ้นมาเอง) นิพพาน หรื อ ความสิ้นทุกข์ ความรู ้น้ นั ถือว่าไม่เป็ นประโยชน์ในแนวพุทธศาสนา ดังนั้นในขณะที่เรากําลังชื่นชมวิทยาศาสตร์วา่ มีคุณอเนกอนันต์ เราต้องไม่ลืมว่าในขณะเดียวกันสิ่งนี้ก็มี โทษมหันต์ดว้ ย และก็เช่นเดียวกัน เมื่อเรากําลังวิพากษ์วจิ ารณ์วา่ วิทยาศาสตร์ คือ ต้นตอของปั ญหาที่กาํ ลังคุกคาม สันติภาพในโลกคุกคามความสมดุลทางธรรมชาติ ทําให้โลกเสี ยสมดุล ทําให้คนมีจิตใจเป็ นเครื่ องจักร ทําให้ สะดวกสบายจน หลงใหลในสิ่ งฉาบฉวยมากกว่าแก่นของชีวติ เป็ นต้น เราต้องไม่ลืมว่าวิทยาศาสตร์ ก็มีคุณูปการ อันไม่อาจประมาณได้แก่มนุษย์ดว้ ยเช่นกัน วิชาวิทยาศาสตร์เป็ นวิชาที่ศึกษาเรื่ อง “สสารนิยม” เรื่ องที่สามารถรับรู ้ดว้ ยประสาทสัมผัส ดังนั้น รากฐานทางอภิปรัชญาของวิชาวิทยาศาสตร์จึงได้แก่ แนวคิดแบบ สสารนิยม เนื้อหาของวิชาวิทยาศาสตร์ทุกสาขา เกี่ยวข้องกับเรื่ องของสสารเท่านั้น ไม่มีเนื้อหาของวิทยาศาสตร์ส่วนใดหรื อสาขาใดที่กล่าวถึงสิ่ งที่ไม่ใช่สสาร จริ ง อยูท่ ี่บางครั้งวิทยาศาสตร์อาจกล่าวถึงสิ่ งเร้นลับที่วทิ ยาศาสตร์เองไม่สามารถอธิบายได้วา่ มาจากไหนในเบื้องสุด
46
เช่น สนามแม่เหล็ก คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ า อิเล็กตรอน เป็ นต้น แต่สิ่งเหล่านี้วทิ ยาศาสตร์กเ็ ชื่อว่ามีฐานะเป็ นสสาร หรื อไม่ก็เป็ นการแสดงตัวของสสาร นักวิทยาศาสตร์บางคน เช่น นิวตัน เชื่อในสิ่ งเร้นลับที่วทิ ยาศาสตร์ไม่ สามารถอธิบายได้ เช่น พระเจ้า , จิต , วิญญาณ เป็ นต้น นักวิทยาศาสตร์อาจมีความเชื่อส่วนตัวอย่างไรก็ได้ เพราะ เขาคือมนุษย์คนหนึ่งที่เกิดมาท่ามกลางผูค้ นและขนบธรรมเนียมประเพณี นิวตันเกิดมาในสังคมที่คริ สต์ศาสนามี อิทธิพลต่อวิถีชีวติ ของผูค้ น นิวตันไม่ได้เป็ นนักวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียวที่เชื่อในพระเจ้า เขายังเป็ นมนุษย์ที่ สามารถถูกหล่อหลอมด้วยแนวคิดทางศาสนา การเป็ นนักวิทยาศาสตร์เป็ นเพียงด้านหนึ่งของชีวติ เท่านั้น ด้วยเหตุ นี้จึงไม่ใช่เรื่ องแปลกที่นิวตันจะเชื่อเรื่ อง พระเจ้า แต่เมื่อนิวตันจะเสนอแนวคิดใดก็ตามในทางวิทยาศาสตร์เขาต้อง พักความเชื่อส่วนตัวไว้ก่อน วิชาวิทยาศาสตร์ไม่อนุญาตให้เราใส่เรื่ องที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ดว้ ยประสาท สัมผัสลงในเนื้อหาของวิชาวิทยาศาสตร์ ดังนั้นแม้วา่ นิวตันจะเชื่อเรื่ องพระเจ้า แต่เขาจะเอาเรื่ องนี้มาปนลงใน วิทยาศาสตร์ไม่ได้ เพราะเมื่อใดก็ตามที่นิวตันเสนอแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ออกมาก แนวคิดนั้นจะกลายเป็ นของ สาธารณะ และ มีฐานะเป็ นส่วนหนึ่งของวิชาวิทยาศาสตร์ รากฐานทางอภิปรัชญาของวิทยาศาสตร์คือแนวคิดแบบ สสารนิยม ดังนั้นใครก็ตามหากต้องการเสนอความคิดทางวิทยาศาสตร์ออกมาเขาต้องเสนอในกรอบแนวคิดแบบ สสารนิยมนี้เท่านั้น ส่วนพุทธศาสนาเป็ นที่ทราบกันดีวา่ มีรากฐานทางอภิปรัชญาแบบ “จิตนิยม” พุทธศาสนาเชื่อว่าภายใน จักรวาลนี้ นอกจากวัตถุยงั มีสิ่งอื่นที่ไม่ใช่วตั ถุรวมอยูด่ ว้ ย แนวคิดแบบจิตนิยมของพุทธศาสนาอาจดูได้ง่ายๆ จาก หลักคําสอนที่เรี ยกว่า “ขันธ์หา้ ” พุทธศาสนาเชื่อว่าคนเราประกอบด้วย กาย(รู ป) หนึ่ง กับอีกสี่ อย่าง คือ ความรู ้สึก (เวทนา) การจํา(สัญญา) การคิด(สังขาร) และการรู ้(วิญญาณ) สี่ ขนั ธ์หลังนี้ไม่ใช่สสาร หากแต่เป็ นนามธรรม ดังที่ กล่าวไว้ต้ งั แต่บทต้นๆแล้วมา ดังนั้นในทัศนะของพุทธศาสนา การที่คนเราคิดได้ มีอารมณ์ความรู ้สึก มี จินตนาการ มีความรัก ความเกลียด ความโกรธ เป็ นต้น ก็เพราะเรามีจิตซึ่งแยกต่างหากจากกาย คนไม่ใช่กลุ่มก้อน ของสสารอย่างที่ลทั ธิสสารนิยมเชื่อกัน ความแตกต่างระหว่างรากฐานของพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์น้ ีเป็ นเองสําคัญ มีคนอ้างบ่อยๆ ว่าพุทธ ศาสนาเป็ นวิทยาศาสตร์บา้ ง พุทธศาสนาเข้ากันได้กบั วิทยาศาสตร์บา้ ง การอ้างนั้นแม้จะเกิดจากความหวังดีและ ต้องการเชิดชูพทุ ธศาสนา แต่ก็เป็ นเรื่ องที่เราต้องระวังเช่นกัน ความรู ้บางส่วนในพุทธศาสนาอาจพิสูจน์ตรวจสอบ ได้เหมือนความรู ้ในวิทยาศาสตร์ เพราะต่างก็เป็ นความรู ้เกี่ยวกับสิ่ งที่อาจตรวจสอบด้วยประสาทสัมผัสและ เหตุผลเหมือนกัน แต่นนั่ ก็ไม่จาํ เป็ นว่าพุทธศาสนาจะต้องเป็ นวิทยาศาสตร์ หรื อเข้ากันได้กบั วิทยาศาสตร์ทุกอย่าง เสมอไป รากฐานของสองระบบความรู ้น้ ีแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เมื่อสาวไปจนถึงที่สุดแล้ว วิทยาศาสตร์นนั่ เองคือ เป็ นสิ่ งที่ขดั แย้งอย่างรุ นแรงต่อพุทธศาสนา หรื อจะพูดได้อีกอย่างได้วา่ “วิทยาศาสตร์ เองนั้นขัดแย้ งต่ อกฎ ธรรมชาติ!” เมื่อมีวทิ ยาศาสตร์ก็ตอ้ งย่อมมีการวิจยั ทดลอง จึงมีคาํ ถามที่หน้าสนใจเป็ นอย่างยิง่ ว่า การวิจยั ทดลอง เป็ นการทําลายชีวติ หรื อไม่? จะเห็นได้วา่ การทดลองวิจยั บางอย่างในปัจจุบนั ที่เกี่ยวข้องกับชีวติ มนุษย์โดยตรง เช่น การผสมเทียม หรื อการสร้างเด็กหลอดแก้ว ซึ่งอาจจะนําไปสู่การสร้างมนุษย์คนใหม่ข้ นึ มาลืมตาดูโลก แต่จากวิธีการสร้างที่ตอ้ ง สร้างตัวอ่อนขึ้นมาหลายๆตัว และเลือกไว้เพียงจํานวนที่ตอ้ งการใช้ ขณะที่ตวั อ่อนที่เหลือจะต้องถูกกําจัดทิ้งไป ในทางศาสนาแล้วถือว่าเป็ นการทําลายชีวติ มนุษย์หรื อไม่ ตัวอ่อนถือว่าเป็ นหนึ่งชีวติ หรื อไม่ นิยามเกี่ยวกับ ชีวติ มนุษย์ ของแต่ละศาสนาคืออะไร มุมมองต่อเรื่ องการเกิด การตาย การทําลายสิ่ งมีชีวติ โดยเฉพาะอย่างยิง่ ต่อมนุษย์ ของแต่ละศาสนาเป็ นอย่างไร
47
ในยุคหนึ่งความรู ้และอํานาจได้ต้งั อยูบ่ นฐานของกระบวนการโลกทัศน์ที่วา่ โลกเป็ นศูนย์กลางของ ระบบจักรวาล แต่โคเปอร์นิคสั พบว่าไม่ใช่! เพราะถ้าถืออย่างนั้นก็ไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์การเคลื่อนที่ วกกลับของดาวเคราะห์ต่างๆได้ เขาพิสูจน์วา่ ถ้าให้ดวงอาทิตย์เป็ นศูนย์กลาง จึงจะสามารถอธิบายได้ในเรื่ องของ การเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ แต่ความรู ้ใหม่ของเขา ได้เป็ นอันตรายต่อศรัทธาและโครงสร้างอํานาจ ที่อิงอยูก่ บั ความรู ้เดิมอย่างรุ นแรง โชคดีที่โคเปอร์นิคสั ตายก่อน ผูเ้ ห็นจริ งตามโคเปอร์นิคสั คนหนึ่งคือ บรู โน ได้พยายาม เผยแพร่ ความคิดดังกล่าว ก็ได้ถูกศาลไต่สวนศรัทธาจับเผาทั้งเป็ นเมื่อปี ค.ศ.๑๖๐๐ ส่วนอีกคนที่รู้จกั กันทัว่ โลกก็ คือ กาลิเลโอ กาลิเลอี โดนจับหลายครั้ง ถูกลงโทษจําขัง และห้ามไม่ให้แสดงความคิดเห็นใดๆ อีกตลอดชีวติ นี่คือการเริ่ มต้นของการปฏิวตั ิวทิ ยาศาสตร์ตะวันตก ที่ตอ้ งต่อสูแ้ ละแลกมาด้วยเลือดและชีวติ ของผูค้ น จํานวนมากมาย เพื่อแลกกับอิสรภาพและเสรี ภาพในการแสวงหาความจริ งของธรรมชาติ จนกระทัง่ ระบบกดขี่ ข่มเหงหมดพลังอํานาจลงไป วิทยาศาสตร์ที่ยนื อยูข่ า้ งความจริ งก็ได้รับการยอมรับ ระยะเวลาที่ผา่ นมาสาม ศตวรรษ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตะวันตก ก็กลับกลายเป็ นสถาบันที่มีอาํ นาจ แผ่ไปครอบงําวิถีชีวติ ของคน ทัว่ โลก เวลานี้ ถ้าใครไม่เชื่อวิทยาศาสตร์ ไม่เชื่อวิธีการพัฒนาแบบทันสมัย กลายเป็ นพวกนอกรี ตหรื อล้าสมัย หากยังมีจิตวิญญาณของความเป็ นวิทยาศาสตร์หลงเหลืออยูบ่ า้ ง กระทรวงวิทยาศาสตร์ทวั่ โลก ควรใช้วธิ ีการทาง ปั ญญาควบคู่กนั ไปด้วย มีจิตใจวิทยาศาสตร์ เปิ ดกว้างมากขึ้นควบคู่ไปกับแนวทางวิทยาศาสตร์ดว้ ย การทดลองในห้องทดลองเมื่อผิดพลาด เรายังรื้ อทิ้งแก้ใหม่ได้ แต่อาจจะมีผลกระทบกับชีวติ และของ ธรรมชาติในสรรพสิ่ งบ้าง และมีชีวติ คนเป็ นเดิมพันบ้าง วัฒนธรรมชุมชนเป็ นเดิมพันบ้าง ระบบนิเวศเป็ นเดิมพัน บ้าง เท่าที่คิดได้ชีวติ และธรรมชาติมีแค่มิติเดียวเท่านั้นหรื อ คุณค่าของความเป็ นมนุษย์ คุณค่าของการเรี ยกร้องเอา ธรรมชาติกลับคืนมา มันไม่เป็ นจิตวิญญาณของความเป็ นวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร หรื อวิทยาศาสตร์ที่เป็ นอยูไ่ ด้ มอบกายมอบใจสวามิภกั ดิ์ให้กบั เทคโนโลยีไปหมดแล้วก็เป็ นได้ ปั จจุบนั นี้ มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางทั้งในวงการวิทยาศาสตร์ ปรัชญา และศาสนา มีหลายคนเห็น ว่ามนุษย์กาํ ลังทําตัวเป็ นพระเจ้าเสี ยเอง บ้างก็เป็ นห่วงว่า ปั จจุบนั มนุษย์เรายังไม่เข้าใจสิ่ งที่เรี ยกว่าธรรมชาติดีนกั เรายังไม่รู้วา่ ที่ธรรมชาติกาํ หนดให้สิ่งต่างๆ เป็ นอย่างที่เป็ นอยูน่ ้ ี เช่น กําหนดให้คนสื บพันธุ์ดว้ ยวิธีอาศัยเพศ เท่านั้น ไม่อนุญาตให้คนสื บพันธุ์โดยการแบ่งเซลล์หรื อตัดเอาเนื้อหนังไปเพาะพันธุ์ เป็ นต้น ธรรมชาติมีเหตุผล อย่างไร สติปัญญาของมนุษย์ยงั เข้าไม่ถึงความเร้นลับดังกล่าวนั้น พฤติกรรมของมนุษย์ที่พยายามฝ่ าฝื นกฎเกณฑ์ที่ ธรรมชาติวางไว้ให้อาจไม่ต่างจากพฤติกรรมของทารกที่ไม่รู้วา่ ทําไมแม่จึงห้ามทําสิ่ งนั้นสิ่ งนี้ แล้วก็ฝ่าฝื นคําสัง่ นั้นจนก่อให้เกิดอันตรายแก่ตน นี่คือส่วนหนึ่งของความวิตกที่คนส่วนหนึ่งในโลกมีต่อทิศทางของวิทยาศาสตร์ ในปัจจุบนั ในอีกแง่หนึ่งของวิทยาศาสตร์ จากอดีตที่ผา่ นมา มนุษย์ตอ้ งประสบกับความทุกข์ทรมานจากโรคภัย ไข้เจ็บต่างๆ ดังนั้นวิทยาศาสตร์การแพทย์ ทุกยุคทุกสมัยต่างก็พยายามหาหนทางในการที่จะกําจัดโรคร้ายเหล่านั้น ไม่วา่ จะด้วยการพัฒนาคิดค้นยารักษาโรคตลอดจนการรักษาด้วยวิธีการและรู ปแบบต่างๆ ทั้งนี้ ก็ดว้ ยเป้ าหมาย เพื่อให้มนุษย์ดาํ รงเผ่าพันธุ์อยูไ่ ด้อย่างมีความสุขและยัง่ ยืน เราห้ามนักวิทยาศาสตร์ไม่ให้คน้ คว้าไม่ได้เพราะวิทยาศาสตร์เป็ นศาสตร์บริ สุทธิ์ ไม่ดีและไม่เลว คนที่ ใช้วทิ ยาศาสตร์ต่างหากที่จะทําให้โลกพินาศหรื อเจริ ญรุ่ งเรื อง และวิทยาศาสตร์เอง ก็ไม่มีหน้าที่สงั่ สอนอบรมคน ให้รู้จกั ควบคุมตนเอง นัน่ จึงเป็ นหน้าที่ของศาสนา วิทยาศาสตร์มีหน้าที่เพียงค้นคว้าหากฎเกณฑ์ในธรรมชาติ เท่านั้น ท่าทีของวิทยาศาสตร์ที่แสดงมาทั้งหมดนี้นบั ว่าแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับท่าทีของทางศาสนา เคยมีคนกล่าว อย่างสรุ ปท่าทีระหว่าง วิทยาศาสตร์กบั ศาสนาไว้วา่
48
“วิทยาศาสตร์ ทปี่ ราศจากศาสนา เปรียบได้ กบั คนแขนขาพิการ ส่ วนศาสนาทีป่ ราศจากวิทยาศาสตร์ เปรียบได้ กบั คนตาบอด”
( Science without religion is lame, religion without science is blind )
ไอน์สไตน์เคยกล่าวข้อความสั้นๆนี้ คิดว่าน่าจะเป็ นคําตอบที่กะทัดรัดที่สุดสําหรับปั ญหาว่าศาสนาควร วางตัวอย่างไรต่อวิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ก็ควรจะวางตัวอย่างไรด้วยเช่นกันต่อศาสนา หากลองพิจารณาคิดกันสักนิดว่า ลําพังเพียงวิทยาศาสตร์อย่างเดียวไม่อาจสร้างปั ญหาให้กบั โลกได้เลย ตัวการของปั ญหา คือ “มนุษย์ เรานี่เอง” หาใช่อะไรที่ไหนไม่ เราก็คงไม่ประณามวิทยาศาสตร์วา่ เป็ นตัวก่อปั ญหา คนเรานั้น พุทธศาสนาเชื่อว่าต้องพัฒนาสองสิ่ งในตัวพร้อมๆกัน คือ “ปัญญา กับ คุณธรรม” เท่าที่ผา่ นมา วิทยาศาสตร์ที่สร้างปั ญหา คือวิทยาศาสตร์ที่มีปัญญา แต่ไม่มีคุณธรรมกํากับ หากวิทยาศาสตร์เดินเคียงคู่ไปกับ คุณธรรมด้วยแล้ววิทยาศาสตร์จะกลายเป็ นสิ่ งอํานวยประโยชน์แก่มนุษย์อย่างอเนกอนันต์เลยทีเดียว เนื้อหาหลักของพุทธศาสนานั้นเกี่ยวข้องกับธรรมชาติอนั เป็ นอมตะของมนุษย์ ธรรมชาติที่วา่ นี้จะคงอยู่ ในตัวมนุษย์ ไม่วา่ มนุษย์จะมีพฒั นาการทางความรู ้ไปมากมายเพียงใด คนในยุคหิ นเคยมี ความโลภ โกรธ หลง อย่างไร คนในยุคเทคโนโลยีปัจจุบนั นี้ก็มี ความโลภ โกรธ หลง อย่างนั้นด้วยเช่นกัน ความรู ้ทางวิทยาศาสตร์ไม่มี ผลต่อความเปลี่ยนแปลงธรรมชาติภายในอันเป็ นที่มาของปั ญหาชีวติ และสังคม หากเราคิดว่า มีความจําเป็ นที่ มนุษย์จะต้องได้รับการขัดเกลาธรรมชาติภายในเหล่านี้ ตราบนั้นพุทธศาสนาก็ยงั จะมีความสําคัญและจําเป็ น สําหรับมนุษยชาติอยูต่ ลอดไป เมื่อมองจากแง่น้ ีแล้ว ดูเหมือนว่าพุทธศาสนาจะไม่มีทางได้รับผลกระทบจากวิทยาศาสตร์ เพราะ วิทยาศาสตร์ศึกษาในขอบเขตหนึ่ง ส่วนพุทธศาสนาก็ศึกษาในอีกขอบเขตหนึ่ง วิทยาศาสตร์เกี่ยวเนื่องกับ “วัตถุ” (ภายนอก) ส่วนพุทธศาสนาเกี่ยวเนื่องกับ “จิตใจ” (ภายใน) คนที่เห็นว่าวิทยาศาสตร์สามารถหักล้างความเชื่อใน ศาสนา คือ คนที่ไม่เข้าใจสาระที่แท้ของวิทยาศาสตร์และศาสนา และก็เช่นเดียวกัน คนที่เห็นว่าวิทยาศาสตร์ สามารถใช้สนับสนุนความน่าเชื่อถือของศาสนาก็ คือ คนที่ไม่เข้าใจสาระสําคัญของวิทยาศาสตร์และศาสนาด้วย เช่นเดี่ยวกัน ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ ทรงกาใบไม้ แห้ งทีร่ ่ วมอยู่ตามพืน้ ดินขึน้ มากาหนึ่ง แล้ วถามพระภิกษุทแี่ วดล้ อม อยู่ว่า “ใบไม้ ในพระหัตถ์ กบั ใบไม้ ท้งั ป่ าทีไ่ หนมากกว่ ากัน?” พระสาวกทั้งหลายก็ตอบว่ า “ในป่ ามากกว่ าอย่ างไม่ อาจเทียบกันได้ ในพระหัตถ์ ” พระพุทธองค์กต็ รัสสืบไปว่ า “ใบไม้ ในพระหัตถ์ น้ันเปรียบได้กบั หลักธรรมทีท่ รง นามาสอนพุทธบริษัท ส่ วนใบไม้ทอี่ ยู่ในป่ าทั้งหมดเปรียบได้กบั สิ่งทีท่ รงรู้ แต่ ไม่นามาสอน”
49
50
จิตจ ักรวาลสะท้อนปัญญา บิก ๊ แบงภายในใจจึงเกิด คงเป็ นเรื่ องประหลาด หากคนเราไม่รู้จกั คิดหรื อคิดไม่เป็ น เพราะมนุษย์ คือ ผูร้ ู ้ ผูค้ ิด และผูเ้ บิกบาน ผู ้ แสวงหาความเป็ นอิสระนั้น ว่ากันตามปรัชญากรี ก ที่มายืนยันบันทึกซํ้าบางส่วนในพระคัมภีร์ ประเด็นคือ ที่รู้ ที่ คิด ที่เบิกบาน เป็ นอิสระที่วา่ นั้น มันมีที่มาของมันอย่างไรและเพื่ออะไร? คิดว่าชีวติ เกิดมาโดยบังเอิญแล้วตายไป จบสิ้นแค่น้ นั จึงต้องเบิกบานกันกระนั้นหรื อ? นักปรัชญากรี กที่วา่ รวมทั้งอริ สโตเติลเองยังบอกว่า “มนุษย์ตอ้ งมี คุณภาพ และความสุขสนุกสนานความเบิกบานคือคุณภาพนั้น” นักวิทยาศาสตร์โดยวิชาวิทยาศาสตร์ของ นิวตัน ของ ดาร์วนิ และ ของ ซิกมันต์ ฟรอยด์ ที่เราเรี ยนมาก็บอกว่าถูกต้องแล้ว! มนุษย์เกิดมาโดยบังเอิญและจะตาย เมื่อไรก็ไม่รู้ ดังนั้นช่วงของการดํารงอยู่ เราจึงต้องเรี ยนรู ้โลกเรี ยนรู ้ธรรมชาติแสวงหาคุณภาพความเบิกบานความ เป็ นอิสระตามที่ตาเห็นเพราะว่าโลกและธรรมชาติมีแค่น้ นั คือ ต้องมีรูปเป็ นวัตถุและเคลื่อนที่ตามที่ตาเห็นจริ งๆ ดังที่นกั สังคมนักปรัชญากายภาพไม่วา่ จะเป็ น เดส์การ์ตส์ เบคอน และ ทอมัส ฮอบส์ และต่อมาแม้เมื่อกลาง ศตวรรษที่แล้วนี้เอง เบอรแทรนด์ รัสเซลล์ ก็พดู ทํานองนั้น คือ พูดว่าแม้แต่อามรณ์ความรักและความเชื่อล้วนเป็ น ความมัว่ ซัว่ ของอะตอมที่วงิ่ วุน่ ไปมา อะไรที่มองไม่เห็นไม่มีรูปไม่มีจริ ง แต่อีกด้านหนึ่งนักศาสนานักอภิปรัชญา กลับบอกว่าไม่จริ งไม่ถูกต้อง ที่รู้ที่คิดที่ถูกมันลึกลํ้ากว่ารู ปวัตถุที่ตาเห็น ความเบิกบานที่พดู ๆ กันก็ไม่ใช่ความปิ ติ สุขที่อิ่มเอมลํ้าลึกและความอิสระที่วา่ นั้นก็ไม่ใช่ความอิสระจริ งๆ ดัง โพลตินสั ได้พดู ไว้ในเอ็นเนียร์ตเล่มที่หา้ ว่า “ความสุขความอิสระที่แท้จริ งนั้น เป็ นเรื่ องของจิตที่เชื่อมรวมกับแสงกระจ่างที่บางเบานัน่ คือ เมื่อเราละได้ซ่ ึงทุก สิ่ งหลุดจากทุกสิ่ ง มองที่ดา้ นนี้จึงเป็ นการคิดการเห็นด้วยจิตที่ผา่ นพ้นเหนือจิตรู ้ จึงปิ ติเบิกบานและเป็ นอิสระ เป็ น ความปี ติอิสระอีกแบบหนึ่ง ไม่ใช่สุขแบบสนุกสนานสําราญบานใจชัว่ ครู่ ยาม (Have Fun)” ทุกวันนี้ที่เรารู ้ ทั้งยังมีหลักฐานทางฟิ สิ กส์และหรื อวิทยาศาสตร์ทางจิตพอสมควรที่ช้ ีบ่งบอกว่าการ ปฏิบตั ิจิตปฏิบตั ิสมาธิอย่างต่อเนื่อง สามารถเอื้อต่อวิวฒั นาการของจิตวิญญาณสู่ระดับที่ทางจิตวิทยาเรี ยกว่าระดับ “ผ่านพ้ นตัวตน” ไปตามระนาบและระดับที่อาจสูงลํ้ากว่ากันระหว่างปั จเจกบุคคลกับวิธีปฏิบตั ิน้ นั ๆ ระนาบและ ระดับหนึ่งคือสภาพที่เรี ยกว่า “สภาพจิตทีเ่ ปลีย่ นไป” จากสภาพจิตรู ้หรื อมโนสํานึกในปกติ แต่จริ งๆ แล้วสภาพ จิตที่เปลี่ยนแปลงไปที่วา่ นี้ อาจเกิดขึ้นมาเองในคนทุกคนทัว่ ๆ ไป ส่วนหนึ่งอาจเป็ นสิ่ งเดียวกันกับ ญาณทัสนะ (Intuition) ความคิดความรู ้ที่โผล่พลุ่งขึ้นมาเองในความสงบในความฝัน หรื อเป็ นพรสวรรค์ของบุคคลบางคน หรื อเป็ นเหตุการณ์เร้นลับเหนือธรรมชาติที่เกิดกับชุมชนในบางครั้งนัน่ คือสิ่ งที่คลาร์ค จึงเรี ยกว่า “อุบัตกิ ารณ์ ที่ เกิดขึน้ อย่ างพ้ องจ้ องกัน” ประสบการณ์เหนือธรรมชาติ หรื ออภิญญาณบางอย่าง กระทัง่ เป็ น ปั ญญาเหนือปั ญญา และ ความรู ้เหนือความรู ้ ดังที่มีบนั ทึกเป็ นประวัติศาสตร์เอาไว้ในที่ต่างๆ (อ้างจาก : Wilis Harman as Editor ; New Metaphysical Foundation of Modern Science, 1994 ; David Lorimer as Editor ; The Spirit of Science, 1999) หนังสื อของโจเซพ เพียรซ (Joseph C. Pearce : The Biology of Trancendence, 2002) ในตอนที่เล่าเรื่ อง เกี่ยวกับความสามารถเหนือธรรมชาติของเขาเองในช่วงที่เป็ นนักศึกษามหาวิทยาลัยแล้ว ความรู ้สึกที่เกิดขึ้นใน ตอนแรกคือ ไม่เข้าใจหรื อจริ งๆ แล้วไม่เชื่อนั้นเอง ไม่กี่วนั มานี้ได้พบกับ เดวิต สปิ ลเลน เพื่อนที่คุน้ เคยกับเขามา นานที่เพียรซอ้างถึงในหนังสื อเล่มนั้น เดวิดยืนยันว่าเป็ นเรื่ องจริ งหรื อเป็ นเรื่ องปกติธรรมดาของคนที่สามารถนํา 51
จิตของตนเองเข้าสู่สภาวะ “จิตที่เปลี่ยนสภาพไป” ในช่วงนั้น จิตอยูใ่ นภวังค์เช่นนั้น ประหนึ่งไม่ใช่เป็ นตัวของ ตัวเองแต่เป็ นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ หรื ออาจอธิบายว่าเป็ นอภิญญาณ ที่เกิดจากจิตที่แน่วนิ่งอยูก่ บั สมาธิหรื อที่จด จ่อกับงานหรื อสิ่ งที่กาํ ลังเกี่ยวข้องอยูใ่ นขณะนั้นๆ เพียรซเล่าให้ฟังว่า เขาไม่เป็ นอะไรเลยเมื่อถูกจี้ดว้ ยบุหรี่ แดงวูบ วาบร้อนจัดที่จ้ ีลงไปที่ริมฝี ปากต่อหน้าเพื่อนๆ ที่หอพักของมหาวิทยาลัย ที่วา่ ไม่เป็ นอะไรเลยคือไม่เป็ นอะไรเลย จริ งๆ แม้แต่รอยแดงสักน้อยนิด ความร้อนของบุหรี่ เมื่อเพื่อนที่เรี ยนฟิ สิ กส์เอาไปทดสอบปรากฏว่าร้อนจัดถึง ๑๓๘๐ องศาฟาเรนไฮต์ ยิง่ เมื่อเพียรซเล่าถึงการรับคําท้าของเพื่อนคนหนึ่ง ด้วยการปี นขึ้นไปบนภูเขาลูกหนึ่งซึ่ง เป็ นภูหินทรายที่มีชื่อริ มมหาสมุทรแปซิฟิก เป็ นหน้าผาที่สูงมากและชันมากแทบว่าจะตั้งฉากกับพื้นดิน แถบตอน บนสุดช่วงยอดหลายสิ บเมตรเป็ นส่วนที่หน้าผายืนชงํ้าออกมาเป็ นจะงอยโดยไร้ผนังผาที่จะใช้เหยียบยึด แต่เพียรซ สามารถปื นขึ้นไปได้อย่างปลอดภัยท่ามกลางความไม่เชื่อสายตาของเพื่อนๆ เพียรซ บอกว่าในตอนปี นหน้าผาขึ้น ไปตลอดระยะทางและตลอดเวลา เขาเพียงรู ้ตวั ว่าเขาเป็ นส่วนหนึ่งของภูผานั้นเป็ นส่วนหนึ่งของโลกทั้งหมด เพียรซเล่าว่าเขาไม่เคยมีความสงสัยหรื อลังเลใจว่าจะปี นไม่ได้ หรื อจะมีความกลัวแม้แต่นอ้ ยนิดเกิดขึ้นในจิตใจ ของเขาตลอดช่วงเวลาที่ปีนขึ้นไป จนกระทัง่ ไปยืนอยูบ่ นที่ราบยอดเขาที่เพื่อนนักศึกษามหาวิทยาลัยหลายคนยืน รอกันอยูด่ ว้ ยสี หน้าที่ฉาบด้วยความไม่เชื่อสายตาผสมความตื่นตกใจ นัน่ คงเป็ นประสบการณ์เดียวกันกับที่คนลุย ไฟลุยถ่านที่ลุกแดงร้อนจัดในพิธีกรรมบางศาสนาที่เราเคยได้ยนิ กันจนชินหู แต่ไม่รู้วา่ จะเชื่อทั้งหมดดีหรื อไม่ดี หรื อมีคาํ อธิบายให้กบั ตัวเองอย่างไร? ดังนั้นหลายคนจึงไม่เอามาคิดหรื อไม่ก็หนีประเด็นไปเลย เหมือนกับว่าเป็ น เรื่ องแหกตาหลอกลวงโดยไม่คิดที่จะสื บสาวให้ลึกลงไป นัน่ ก็เหมือนกับศาสตราจารย์จิตวิทยาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ชื่อว่า ริ ชาร์ด อัลเปิ ร์ต ที่ไปทดสอบผล ของยาแอลเอสดีที่อินเดียในปี ๑๙๖๖ เขาได้มีโอกาสทดลองกับนักปฏิบตั ิจิตนักปฏิบตั ิสมาธิในศาสนาฮินดูและ พุทธศาสนาสายทิเบตสามสี่ คน ก็พบว่านอกจากแอลเอสดีที่แม้โดยขนาดที่เกิดอันตรายก็ไม่สามารถยังผลในทาง เภสัชวิทยาใดๆ ให้กบั ผูว้ เิ ศษเหล่านี้ได้ บางคนในกลุ่มนี้บอกว่ายานี้อาจช่วยให้คนธรรมดาเข้าสมาธิได้เร็ วขึ้น แต่ก็ เป็ นคนละระดับกับวิธีที่ตนปฏิบตั ิที่สามารถเข้าถึงสภาวะสมาธิลึกๆได้ในทันที ผูว้ เิ ศษเหล่านี้สามารถแสดงให้ ริ ชาร์ด อัลเปิ ร์ต เห็นว่า ทันทีที่สภาพจิตของพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงไป พวกเขาสามารถทําให้ส่วนหนึ่งส่วนใด ของร่ างกายเกิดเป็ นก้อนเนื้อเป็ นตุ่มเป็ นเนื้องอกผลุบๆ โผล่ๆ ตรงนั้นตรงนี้ได้ตามแต่ใจปรารถนา ริ ชาร์ด อัลเปิ ร์ต ลาออกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดมาฝึ กสมาธิสายฮินดูที่อินเดียตั้งแต่น้ นั แถมยังเปลี่ยนชื่อเป็ นชาวภาระตะว่า “รามทัสส์” (Ramdas ดู Richard Alpert ; Be Here Now. 1971) รามทัสส์กลายเป็ นครู สอนสมาธิการปฏิบตั ิจิต ใน ด้านของสุขภาพกับการรักษาโรคต่อมาจนขณะนี้ได้หนั มาเน้นด้านของสิ่ งแวดล้อมหรื อนิเวศวิทยาลุ่มลึก ที่มี ชื่อเสี ยงอย่างยิง่ ในด้านของความรู ้โดยเฉพาะโดยคําถาม ที่ถามถึงที่มาของความรู ้และกระบวนการทั้งหมดที่เรา ได้ความรู ้มนั มาจากไหนและมาได้อย่างไร จริ งๆ แล้วเราคิดว่ามันมาโดยการคิดการรู ้ที่ได้มาจากสองเส้นทาง คือ - หนึ่ง เส้ นทางภายนอก การตื่นตัวหรื อสติและการรับรู ้โดยประสาทสัมผัสที่เปิ ดสู่ภายนอก ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส การรับรู ้ของจิตพื้นฐาน ที่โดยเริ่ มต้นมีเป้ าหมายเพือ่ การอยูร่ อดของชีวติ - สอง เส้ นทางภายใน อาศัยประสบการณ์ที่ได้จากภายนอกที่วา่ นั้น ผ่านสมองในส่วนลิมบิก (ศัพท์ทาง กายวิภาค) ที่วา่ ด้วยอารมณ์ความรู ้สึกของสมอง และความจําของอดีตที่เราไม่รู้วา่ เป็ นอดีตของเมื่อไร ผสมผสาน ผ่านต่อไปยังสมองส่วนนิโอคอร์เท็กซ์ (ศัพท์ทางกายวิภาค) ทั้งหมดพัวพันก่อประกอบเป็ นจิตสํานึก หรื อจิตรู ้ และหากเอามาประกอบเป็ นจินตนาการที่แน่วแน่ หรื อเอามาหมุนเวียนสะท้อนกลับไปมา ในที่สุดความคิดใน
52
รู ปแบบของปั ญญาอีกระดับหนึ่ง หรื อข้อมูลเหนือปั ญญาก็จะโผล่โพล่งปรากฏขึ้นมาเหมือนสายฟ้ าแลบ บางที่ ขณะกําลังหลับ นัน่ คือปั ญญาที่อาจเรี ยกว่าญาณทัสนะที่กล่าวมาแล้ว ที่เป็ นปั ญญาหรื อข้อมูลที่ทาํ ให้เราต้องอุทาน เออ!...จริ งๆ ด้วย! ขึ้นมา ปั ญหาที่นกั ฟิ สิ กส์หลายๆ คนคิดว่าไม่ใช่ปัญญาที่สร้างหรื อส่วนประกอบที่สมอง ไม่วา่ ด้วยเส้นทางภายนอกหรื อภายในที่กล่าวมาข้างต้น พื้นฐานที่สุดของจักรวาล คือ “จิตวิญญาณ” ที่ เป็ นข้อมูลการค้นหาความจริ งแท้ของนักฟิ สิ กส์แควนตัมสายปรัชญาที่คน้ พบ และแสดงออกซึ่งหลักฐานใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมาเรื่ อยๆ ตลอดเวลา ที่ไม่วา่ นักฟิ สิ กส์ยคุ ใหม่ที่ไม่ชอบปรัชญา ผูข้ ้ ีเกียจคิดซึ่งเป็ นนักวิทยาศาสตร์ส่วน ใหญ่ทวั่ ไปจะชอบใจหรื อไม่ชอบใจอึดอัดใจหรื อไม่ ในที่สุดจําเป็ นต้องค่อยๆ รับความจริ งใหม่ที่คน้ พบเพิ่มขึ้น ไปทีละอย่างสองอย่าง โดยเฉพาะหนังสื อของนักฟิ สิ กส์ดาราศาสตร์ผเู ้ ป็ นนักแควนตัม ที่เขียนราวกับว่าเป็ นนักศาสนานัก อภิปรัชญาเขียน บอกว่ามีหลักฐานทางฟิ สิ กส์ที่อาจทําให้ติดต่อไปได้วา่ สนามแควนตัมสากลของจักรวาลที่ให้จิต ปั ญญาที่สูงลํ้า ที่เมื่อจักรวาลรู ้ตวั จะสามารถเชื่อมโยงกับจิตของมนุษย์ที่อยูใ่ นจินตนาการอยูก่ บั งานเฉพาะหน้า อย่างแน่วแน่ นัน่ คือ จักรวาลเป็ นจิตปั ญญาที่สามารถสะท้อนปัญญานั้นๆ ให้กบั มนุษย์ที่ต้ งั ใจระลึกหรื อนึกถึง อย่างแน่วแน่น้ นั ตรงนี้คือที่มาและเนื้อหาของญาณทัสนะที่เป็ นฐานคิดของ “วิธีคิดใหม่” นอกจากนั้นตรงนี้ก็อาจ เป็ นคําตอบต่อการขอพระขอเทพเทวาเทวดาช่วย และเป็ นคําตอบส่วนหนึ่งต่อการยังผลของการรักษาโรคด้วยการ สวดมนต์ จิตจักวาลจึงสะท้อนปัญญาให้เกิดขึ้นจากภายใน ปั ญญา คือความรอบรู้ โดยทัว่ ไปเรามักจะเข้ าใจคานี ้กันดี เพราะการศึกษาวิชาการทุกแขนงก็เพือ่ ให้ เกิดปั ญญา ต้ องการรู้สงิ่ ทีย่ งั ไม่ร้ ู ไม่วา่ ความรู้นนจะอยู ั้ ใ่ กล้ หรื อไกล เช่น การสารวจจักรวาล ก็เพราะอยากรู้ อยากเห็น อยากได้ ปัญญา ความเข้ าใจเรื่ องปั ญญาดังกล่าวก็ถกู ต้ อง แต่เป็ นเพียงโลกียปั ญญาเพราะฟั งคนอื่น มาหรื อเรี ยนรู ้ หรื อปั ญญาเพราะคิดค้ นด้ วยตัวเอง การทดลอง ตั้งทฤษฎีต่างๆ นาๆ ขึ้นมา ความรู้ทเี่ กิดขึ ้นจาก ปั ญญาระดับนี ้ไม่เป็ นไปเพื่อความบริ สทุ ธิ์ หลุดพ้ นเข้ าถึงบิ๊กแบงภายในใจ เพราะเป็ นความรู้เกี่ยวกับเรื่ องนอก ตัวเองเสียมากกว่า ส่ วนคาว่ าปั ญญาในที่นีม้ คี วามหมายลึกซึง้ กว่ านัน้ คือหมายถึง ความรอบรู้สภาวะความจริง ซึ่งเป็ นไปด้ วยความเป็ นเหตุและผลของกันและกัน เป็ นปั ญญาระดับจิตใจหรือความสงบสมาธิชนั ้ สูง ปั ญญาระดับนีท้ าให้ จติ ใจของบุคคลเป็ นอิสระไม่ ตกเป็ นทาสของสิ่งหนึ่งสิ่งใด หลุดพ้ นจากอานาจของ กิเลสและความทุกข์ สว่ างและสงบเยือกเย็นเกิดขึน้ ภายในจิตใจนี ้ คือความหมายของคาว่ า “ปั ญญา” บิ๊กแบงภายในใจจึงเกิดขึน้ ...
53
ความสุขเสมอด้วย ความสงบไม่มด ี ว้ ย
ความสุขเป็ นสิ่ งที่ปรารถนาของมวลมนุษย์ ทุกคนอยากมีอยากได้ อยากยึดรักษาไว้ให้นานที่สุดหรื อ ตลอดกาล ศาสนาต่างๆ จึงเน้นถึงเรื่ องความสุข บางศาสนามีพิธีกรรมที่ชกั นําให้เกิดความสุข เช่น การร้องเพลง ในโบสถ์ มีการสวดอ้อนวอนขอสิ่ งที่ตอ้ งการ การฉลองวาระสําคัญต่างๆ ด้วยพิธีที่มีความสุข เช่น การให้ ของขวัญแก่กนั เด็กๆ จะตั้งตารอวาระสําคัญทางศาสนานับเป็ นการชักจูงให้มีศรัทธาต่อศาสนาอย่างยิง่ แต่เหตุใดในพุทธศาสนาไม่เน้นเรื่ องความสุข! แม้ในวาระสําคัญทางศาสนาพุทธก็มุ่งในด้านให้เกิด ความสงบมากกว่า เช่น การเวียนเทียน เข้าโบสถ์สวดมนต์ เพราะพุทธศาสนาถือว่า “ความสุ ขเสมอด้ วย ความ สงบไม่ มดี ้ วย” บางคนไม่เข้าใจ ความสงบ ที่พระพุทธองค์หมายถึง คือ ความเงียบ ไม่วนุ่ วายไปจนถึงนิพพาน ซึ่ง บางคนพบเข้ากลับมีทุกข์เพราะอยากสนุกสนาน ความสงบที่ทางพุทธศาสนาหมายถึง ในด้านธรรมะไม่ใช่ทาง โลก หมายถึง สงบจากจิตที่เป็ นสมาธิ ไม่สอดส่ ายไปข้างนอก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่ติดกิเลส ความสุขที่ เกิดจากสมาธิจะเหนือกว่าความสุขทางโลก เพราะทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของภาวะแวดล้อม พุทธศาสนา มิได้ปฏิเสธความสุข เพียงแค่ช้ ีให้เห็นว่าความสุขไม่จีรัง แนะนําไม่ให้คนติดยึดกับความสุข ซึ่งมีความไม่แน่นอน ไม่ยงั่ ยืน เป็ นอนิจจัง ไม่ชา้ เมื่อความสุขหายไปก็จะเกิดความทุกข์ความผิดหวัง ทําให้คนอาจทําอะไรไม่ถูกต้องจึง เกิดทุกข์ตามมา แต่ถา้ คนใดมองทุกข์เป็ นหลัก เมื่อพบความสุขก็จะนึกรู ้อยูเ่ สมอว่าไม่ยงั่ ยืน เมื่อเกิดปั ญหาหมด ความสุขจะสามารถทนรับความทุกข์ได้ดีกว่าผูท้ ี่ยดึ ความสุขเป็ นหลัก พุทธศาสนาได้อธิบายถึงกลไกการเกิดความสุขว่า เกิดจากสิ่ งเร้าจากภายนอกมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ โดยมีใจเป็ นตัวรับ (ดังที่อธิบายมาแล้วในบทก่อนๆ) โดยมีการปรุ งแต่งที่เรี ยกว่า สังขาร ออกมาเป็ น ความทุกข์ ความสุข หรื ออารมณ์เฉยๆ (ไม่ทุกข์ไม่สุข) จะเห็นได้วา่ สิ่ งเร้าอย่างเดียวกันอาจทําให้เกิดผลต่างกัน เช่น การฟังเพลงๆหนึ่ง ในบางอารมณ์จะฟังว่าเพราะเกิดความสุข แต่ในบางอารมณ์เพลงเดียวกันนี้กลับรู ้สึกว่า หนวกหูรําคาญเกิดความทุกข์ ถ้าเราพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าสุขและทุกข์อยูต่ ิดกันจนแยกไม่ออก ทางธรรมะของ ท่าน พุทธทาสภิกขุ เคยกล่าวไว้วา่ “ถ้ าไม่ วางสุขก็ไม่พ้นทุกข์ ถ้ าวางสุ ขทุกข์ ไม่ ต้องวางก็หายเอง” นี่เป็ นคํากล่าว ที่น่าสนใจเป็ นอย่างยิง่ ถ้าใครลองคิดดู แน่นอนครับ! ทุกคนย่อมหาความสุขกันทุกคน แต่สิ่งที่ทุกคนหาความสุข กันนั้น เป็ นความสุขแท้จริ งหรื อ ท่านพุทธทาสภิกขุ ยังกล่าวอีกว่า “สุขอาจเปลี่ยนเป็ นทุกข์ได้ในพริ บตา แต่จาก ทุกข์เป็ นสุขเกิดช้ามาก ถ้าเปรี ยบสุขเป็ นสีขาว ทุกข์เป็ นสี ดาํ เอาสี ดาํ ขาวผสมลงไปตามสัดส่วนของประสบการณ์ ของชีวติ จริ ง ผลคงออกมาเป็ นดํามากหรื อดําน้อยเท่านั้นไม่มีขาวเหลืออยู่ พุทธศาสนาจึงเรี ยกสุขทุกข์ และไม่สุข ไม่ทุกข์น้ ีวา่ เวทนา ได้แก่ สุ ขเวทนา ทุกข์ เวทนา และอทุกข์ สุขเวทนา ซึ่งคําว่าเวทนาตามตัวแปลว่า ความโง่ ความน่าสงสาร ความไม่รู้แจ้ง (อวิชชา) ซึ่งเป็ นปัจจัยต่อเนื่องให้เกิดตัณหา และอุปาทาน พระพุทธศาสนาจึง ไม่ได้เน้นเรื่ องความสุขด้วยเหตุดงั ข้างต้นนี้ ไม่สอนให้คนติดอยูก่ บั ความสุขซึ่งไม่ยงั่ ยืนเพราะขึ้นอยูก่ บั การปรุ ง แต่ง อย่าดิ้นรนแสวงหาสุขจนเป็ นทุกข์ อย่ายึดถือไว้จนเป็ นทุกข์ ถ้าปรับใจตนเองได้อย่างนี้คงจะอยูใ่ นโลกนี้โดย มีสุขพอประมาณและมีทุกข์แต่พอควร อาจกล่าวได้วา่ ผูแ้ สวงหาสุขทางใจ มีอยูเ่ พียงกี่คนก็ตามที ก็เป็ นเหมือน ลูกตุม้ ที่ถ่วงโลกไว้มิให้หมุนไปถึงยุค “กลียคุ ” เร็ วเกินไปเพียงนั้น ดังที่กล่าวมาแล้วในบทก่อนหน้านี้ตามคัมภีร์ ปุราณของชาวฮินดู เรายอมรับว่าเป็ นลูกตุม้ จริ ง แต่วา่ เป็ นลูกตุม้ ที่ถ่วงไม่ให้พวกเราไปสู่ยคุ นั้นเร็วเกินไป นี่อาจ เป็ นคําที่ซ่ ึงพวกแสวงสุขทางจิตภายใน ควรจะพูดได้วา่ โดยชอบธรรม! การเรี ยนรู ้สรรพสิ่ งหรื อความจริ งหรื อ
54
ทางพุทธศาสนาที่เรี ยกว่า “ปริ ยตั ิธรรม” หรื อ “ธรรม” ในส่วนหลักวิชานั้น ช่วยได้โดยเป็ นเครื่ องสะกิดใจให้รู้สึก ในเบื้องต้นว่า เรามีกายสองซีกคือ ซีกรู ปกาย และ ซี กธรรมกาย รู ปกาย เจริ ญได้เองด้วยการมี บิดามารดาเป็ นแดนกําเนิดเกิดเติบโตขึ้น และด้วยการเลี้ยงดูขา้ วปลาอาหาร การ เจริ ญเติบโตทางสรี รศาสตร์ ทางร่ างกาย ธรรมกาย เจริ ญได้ดว้ ยการฝึ ก นั้นมี กาย วาจา ใจ ที่สุจริ ตผ่องใส เป็ นที่ต้งั ที่ปรากฏ มีผลของความสุจริ ต เป็ น อาหาร ที่จะบํารุ งให้เติบโตสื บไป และทําให้เรารู ้สึกสื บไปเป็ นลําดับ สรุ ปความว่า การเรี ยนรู ้ในสรรพสิ่ งของธรรมชาติความจริ ง (ปริ ยตั ิธรรม หรื อ ธรรม) ช่วยให้เราทราบว่า เราจะต้องประพฤติธรรม เช่นนั้นเช่นนี้ เพื่อธรรมกายของเรา มิฉะนั้นเราตายด้านไปซีกหนึ่ง เมื่อเรารู ้ความจริ งใน สรรพสิ่ งพอสมควรแล้ว เราก็ได้อาหารของดวงใจ ในส่วนหลักวิชา และภาคพื้นของการปฏิบตั ิ หรื อที่เรี ยกในทาง พุทธว่า สัมมาทิฎฐิ คือการชอบธรรม และรุ่ งอรุ ณได้ปรากฏแก่เราแล้ว เป็ นแรกเริ่ มเป็ นการย่างก้าวเข้าสู่บิ๊กแบง ภายในใจ ต่อมาการปฏิบตั ิธรรม หรื อ ธรรม คือ ตัวการปฏิบตั ิน้ นั เป็ นการ “ทรมานอินทรี ย”์ เพื่อเอาชนะอินทรี ย ์ ชนะได้เท่าใด ความเยือกเย็น พร้อมทั้งความรู ้แจ้งก็เกิดขึ้นเท่านั้น ความเยือกเย็นเกิดจากความที่ อินทรี ย ์ สงบ ระงับลง ความเห็นแจ้ง ความจริ งในตัวเอง ปรากฏเพราะ ไม่ถูกม่านแห่งความกลัดกลุม้ ของอินทรี ยป์ ิ ดบังไว้ เช่น แต่ก่อนวิธีเอาชนะ อินทรี ย ์ ตามหลักแห่งพุทธศาสนา ได้แก่ การบังคับตัวเองให้งดเว้นจากสิ่ งชัว่ บังคับตัวเอง ให้ ทําแต่สิ่งที่ดีเข้าแทน และต่อจากนั้นพยายามหาวิธีชาํ ระจิตให้เป็ นอิสระจากความหม่นหมอง ทั้งที่เปิ ดเผย เห็นได้ ง่ายๆ และที่นอนนิ่งเงียบๆ อยูใ่ นสันดาน อันเป็ นเหมือนเชื้อที่ก่อเกิดของอย่างแรก หรื อกล่าวอีกอย่างหนึ่งได้แก่ การบังคับกาย และ วาจา ให้อยูใ่ นอํานาจ เรี ยกว่า “ศีล” การบังคับจิตให้อยูใ่ นอํานาจ เรี ยกว่า “สมาธิ” และใช้จิตที่ อยูใ่ นอํานาจแล้ว คือ ค้นหาความจริ ง ที่ยาก ที่ลึก จนปรากฏแจ่มแจ้ง เรี ยกว่า “ปัญญา” การบังคับหรื อ ควบคุม อินทรี ยเ์ ช่นนี้ ทําให้ดวงใจ ได้รับความสะบักสะบอมน้อยลง วัตถุหรื ออารมณ์ท้ งั หลาย มีพษิ สงน้อยลง หรื อหมด ไป เพราะที่เราสามารถบังคับตัวเอง ไว้ในภาวะที่จะไม่หลงใหลไปตามในทางที่ชอบ และในทางที่ชงั เมื่อใจเรา ได้รับความพักผ่อนอย่างผาสุก เนื่องจากการบังคับอินทรี ยข์ องเราเช่นนี้แล้ว เราก็ได้เข้าใจในสรรพสิ่ งของ ธรรมชาติความจริ ง ในส่วนของการปฏิบตั ิ อันจะเป็ นอุปกรณ์ให้ได้เข้าถึง และจะเข้าไปถึงสื บไปอีกเพื่อเกิดการรู ้ แจ้งในสรรพสิ่ ง ท่าน พุทธทาสภิกขุ ยังกล่าวสอนอีกว่า การปฏิบตั ิธรรม หรื อธรรมในส่วน การรู ้แจ้งนั้น จะแทงตลอด ในสิ่ งที่เคยหลงใหล จะรู ้เท่าทัน เป็ นความรู ้ชนิดที่จะตัดรากความหม่นหมองของจิตใจเสี ย เช่น ความสงสัย ความ เข้าใจผิด หลงรัก หลงชัง ฟุ้ งซ่าน ฯลฯ เสี ยแล้ว ทําความแจ่มแจ้งใจ โปร่ งใจ เยือกเย็นใจ ให้เกิดขึ้นแทน นี้เป็ นผล ที่ปรากฏแก่ใจ สมจริ งตามที่เรี ยนรู ้มาทางหลักวิชาความจริ ง (ธรรม) เมื่อได้เป็ นลําดับมาจนลุถึง พระนิพพาน เช่นนี้แล้ว ต่อจากนั้นก็เป็ นใจที่มีรสของ พระนิพพาน ในที่น้ ีหมายถึง ความเยือกเย็น ของพระนิพพาน หรื อ สภาพ อันหนึ่ง ซึ่งเป็ นสภาพแห่งความว่างโปร่ ง เป็ นอิสระเหนือสิ่ งทั้งหลาย เหนือรู ปธรรมนามธรรม เหนือกฎต่างๆ แห่งรู ปธรรมและนามธรรมทั้งหมด และเป็ นสิ่ งที่ใครจะตั้งกฎเกณฑ์อะไรให้ไม่ได้เลย เปรี ยบเทียบได้กบั เมื่อเรา อาบนํ้าเราได้รับความเย็นของนํ้า เช่นกันเมื่อใจลุถึงพระนิพพาน มันย่อมเยือกเย็นเพราะความเย็นของพระนิพพาน นัน่ เอง 55
มาถึงตรงนี้ มาถึงความจริ งแท้เข้าถึงสรรพสิ่ ง เป็ นสิ่ งที่ท่าน พุทธทาสภิกขุ ท่านกล่าวได้วา่ “เป็ นยอด ประสบการณ์ช้ นั พิเศษของภายในใจ ก็เพราะความหม่นหมองต่างๆของภ ายในนั้น ถูกสลัดทิ้ง เสี ยหมดแล้ว ตั้งแต่ ได้รับฝึ กฝนกันมาเป็ นขั้นๆ จนถึงขั้นปฏิเวธขั้นสูง มาบัดนี้ ได้รับความเยือกเย็นของพระนิพพานเข้าอีก จึงเป็ นการ ยากที่จะกล่าว ให้เป็ นที่เข้าใจกันอย่างทัว่ ไปว่า รสชาติอนั นี้ ในขณะนี้ จะเป็ นอย่างไร?” ท่านจึงกล่าวว่า “เป็ นสิ่ งที่ แม้แต่อยากพูดให้ฟัง ก็ไม่รู้วา่ จะพูดอย่างไร อย่าว่าแต่รสชาติของพระนิพพานเลย แม้เพียงแต่รสของวิเวก หรื อ สมาธิข้ นั ต้นๆ ก็เป็ นของยากที่จะอธิบายว่า มีรสชาติเป็ นอย่างไรเสียแล้ว เพราะเป็ นรสที่ตอ้ งจัดเป็ นรสแปลกใหม่ อีกรสหนึ่ง จากที่คนธรรมดาเราเคยรู ้รสกันมาในวงแห่งโลกธรรม” ความจริ งตามธรรมดา สิ่ งที่เรี ยกกันว่า รสหรื อ ประสบการณ์น้ นั เป็ นของอธิบายยากมาก บางอย่างไม่มีทางจะเทียบเคียงเสี ยเลย เช่น นาย ก.ไม่เคยกินของหวาน เลย นาย ข.ก็ไม่อาจที่จะอธิบายให้ นาย ก.ทราบได้วา่ รสหวานนั้นเป็ นอย่างไร จะอธิบายว่าตรงกันข้ามกับ ขม กับ เค็ม กับเปรี้ ยว หรื อ อะไรก็แล้วแต่ นาย ก.ก็ไม่อาจทายได้วา่ รสหวานนั้นเป็ นอย่างไร แม้ นาย ข.จะคิดค้นหาคําใด มาพูดก็ไม่ได้คงไม่ได้ความ ในการอธิบายรสหวานเป็ นอย่างไร นี่เองคือ ความเป็ นของอธิบายให้ชดั ไม่ได้ของ หรื อประสบการณ์ของ พระนิพพาน ซึ่งผูเ้ ขียนเองนํามาเปรี ยบเทียบเป็ น (บิ๊กแบงภายในใจ) ผูเ้ ขียนเองนี้ ก็มิได้เคยมีประสบการณ์อย่างที่กล่าวมานี้เองมาก่อน เป็ นผูท้ ี่กาํ ลังเดินรอยตามการปฏิบตั ิ ในแนวทางนี้ ที่ผเู ้ ขียนเองคิดว่าดีสาํ หรับผูเ้ ขียนเอง และดีสาํ หรับผูอ้ ่านด้วยเช่นกัน อย่างที่บอกไปว่า จะหา คําอธิบายใดๆ จากประสบการณ์หรื อรสชาติของ พระนิพพาน (บิ๊งแบงภายในใจ) ก็มิได้ นอกจากทางเดียวคือ การ ปฏิบตั ิเดินรอยตามเพื่อเข้าไปเป็ นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ นิพพาน (บิ๊งแบงภายในใจ) เรานี้เอง นอกจากความสุขทางโลกที่เรี ยกว่า โลกียส์ ุข ของคนทัว่ ไปแล้ว ท่าน พุทธทาสภิกขุ ยังกล่าวต่อว่า ทาง พุทธศาสนาจะเน้นถึงความสุขที่เกิดจากการปฏิบตั ิภาวนา เพราะเป็ นความสุขที่เป็ นประโยชน์และยัง่ ยืนกว่า ไม่ได้ มีการปรุ งแต่งด้วยการคิด (สังขาร) ไม่ได้เป็ นความรู ้สึก (เวทนา) กล่าวได้คือ -
ความสุขที่เกิดจากการปฏิบตั ิสมาธิ (ขั้น๑)
-
จิตเข้าสู่ปฐมฌานจะเกิดความรู ้สึกปี ติสุขที่เกิดจากสมาธิ ซึ่งเมื่อถึงทุติยฌาน (ขั้น๒)
-
วิตกวิจารดับไปแต่ยงั มีปิติสุขอยู่ เมื่อเข้าตติยฌาน (ขั้น๓)
-
ปิ ติจึงดับ เหลือแต่สุข แต่เมื่อถึงจตุตถฌาน (ขั้น๔) สุขจึงดับ เหลือแต่เอกัคคตาและอุเบกขา ปล่อยวางจากทุกสิ่ งทุกอย่าง
ดังนั้นผูท้ ี่แสวงหาความสุขที่แท้จริ งพึงได้จากการปฏิบตั ิสมาธิเท่านั้น นักปฏิบตั ิจาํ นวนไม่นอ้ ยติดอยูก่ บั สุขนี้ ซึ่งยังถือเป็ นสุขทางโลกอยู่ ถึงแม้วา่ สูงกว่าความสุขทางโลกทัว่ ๆไปจนถึงจุดสูงสุดที่วา่ “ความสุ ขเสมอด้ วย ความสงบไม่ มดี ้ วย” ซึ่งหมายถึงสุขจากนิพพาน พระพุทธองค์เคยได้เทศนาสอนให้พระอานนท์ดงั นี้... “บุคคลผู้ปรารถนาความสุขในภพนีแ้ ละภพหน้ าแล้ ว จงรักษาใจให้ ได้ รับความสุ ข ส่ วนตัวตนร่ างกาย ภายนอกไม่ สาคัญ เมือ่ ตายแล้ วก็ทงิ้ อยู่เหนือแผ่นดินหาประโยชน์ มไิ ด้ ส่ วนใจนั้นติดตามตนไปในอนาคตเบือ้ ง หน้ า”
56
ขอสรุปขั้นสั้นทีส่ ุ ด ศีล สมาธิ ปัญญา กล่ าวคือ การบังคับกาย และ วาจา ให้อยูใ่ นอํานาจ เรี ยกว่า “ศีล” การบังคับจิตให้อยูใ่ นอํานาจ เรี ยกว่า “สมาธิ” การใช้จิตที่อยูใ่ นอํานาจแล้ว คือ ค้นหาความจริ งที่ลึก จนปรากฏแจ่มแจ้ง เรี ยกว่า “ปัญญา”
57
ทางเดินของชวี ต ิ เพือ ่ กาเนิดบิก ๊ แบงภายในใจ
ชีวติ คนเรานั้น แท้จริ งคือ การเดินทางชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็ นการเดินทางซึ่งเต็มไปด้วยความทุกข์ ไปยังที่สุด จบสิ้นของความทุกข์ ที่ตนเคยผ่านมาแล้วนัน่ เอง ไม่รู้วา่ ผูน้ ้ นั จะทราบหรื อไม่อย่างไร รู ้สึกหรื อไม่รู้สึก ชีวติ ก็ ยังคงเป็ นการเดินทางเรื่ อยอยูน่ นั่ เอง เมื่อเดินไปทั้งไม่ทราบ ก็ยอ่ มมีความระหกระเหิ นบอบชํ้าเป็ นธรรมดา การ เดินทางของชีวติ นี้ มิใช่เป็ นการเดินทางด้วยเท้าหรื อรู ปกายตัวเรา แต่เป็ นการ “เดินทางชีวติ ด้ วยจิต” ในฐานะที่ เป็ นทางของจิต อันจะวิวฒั น์ไปในทางสูง ซึ่งจะไปได้สูงกว่าทางวัตถุหรื อทางกาย อย่างที่จะเทียบกันไม่ได้เลย สิ่ งที่เรี ยกกันว่าทางๆนั้น แม้จะมีสายเดียวก็จริ ง ตามธรรดาต้องประกอบอยูด่ ว้ ยองค์คุณหลายประการ เสมอ การเดินทางด้วยกาย ทางไกลแรมเดือนสายหนึ่งจะต้องประกอบด้วย ร่ มเงา ที่พกั อาศัยระหว่างทาง การหา อาหารในระหว่างทาง ฯลฯ ดังนี้เป็ นต้น และเช่นกัน ทางชีวติ ด้วยจิต แม้จะสายเดียวที่ดิ่งไปสู่ “บิ๊กแบงภายในใจ” ก็จริ ง แต่ก็ตอ้ งประกอบไปด้วย องค์คุณหลายประการเช่นกัน คือ ศาสนา เป็ นองค์คุณอันสําคัญ โดยช่วยให้ชีวติ นี้ มีสิ่งยึดเหนียวและศรัทธาในการเดินทาง มีความสดชื่น เยือกเย็น พอที่จะเป็ นอยูเ่ ช่นเดียวกับนํ้า เป็ นเครื่ องหล่อเลี้ยงพฤกษาชาติให้สดชื่นงอกงามตลอดเวลา ฉันใดฉันนั้น ปรัชญา เป็ นองค์คุณอีกอย่างที่ช่วยให้เกิดอุดมคติอนั มีกาํ ลังแรง ในการที่จะกระตุน้ ให้ปฏิบตั ิ ตาม ศาสนา หรื อ หน้าที่อื่นๆ ทําให้เกิด ความเชื่อ ความเพียร และคุณธรรมอื่นๆ ที่เป็ นตัวกําลังสําคัญด้วยกันทั้งนั้น อย่างมากพอที่จะไม่เกิด การท้อถอย หรื อโลเล หรื อหันหลังกลับ โดยสรุ ปก็คือ ช่วยให้มีความเป็ นนักปราชญ์ หรื อมีปัญญา เป็ นเครื่ องดําเนินชีวติ ตน ไปจนบรรลุถึง ปลายทางที่ตนประสงค์ “บิ๊กแบงภายในใจ” จริ งอยูท่ ี่วา่ วิทยาศาสตร์ ช่วยให้เราเป็ นผูร้ ู ้จกั เหตุผล ให้รู้จกั ใช้เหตุผล และให้อยูใ่ นอํานาจแห่งเหตุผล เพื่อให้ชีวติ นี้ไม่หลับหูหลับตาเดินไปอย่างโง่เง่างมงาย ซึ่งจะทําให้เดินไม่ถึงหรื อถึงช้าและไม่ได้รับผลเป็ นที่ พอใจ หรื อถ้าจะพูดในแนวศิลปะทางเดินของชีวติ ก็ได้วา่ คือ ศิลปะแห่งการครองชีวติ หรื อการบังคับตัวเองได้ ช่วยให้ชีวติ นี้ ดูแจ่มใสงดงาม น่าชื่นใจ น่ารักใคร่ นํามาซึ่งความเพลิดเพลินในการก้าวหน้าไปด้วยความรู ้ และ การกระทําที่ดูงาม ทั้งในเบื้องต้นท่ามกลางและเบื้องปลายด้วย ท่าน พุทธทาสภิกขุ เคยกล่าวสอนไว้วา่ “ทางเดินของชีวติ ด้วยจิตจะต้องมีภูมิธรรม” กล่าวคือ ธรรม สมบัติ หรื อ ความดี ความจริ ง ความยุติธรรม ที่ประกอบ อยูท่ ี่เนื้อที่ตวั ช่วยเหลือให้เกิด บุคคลิกลักษณะอันนํามา ซึ่งความน่าเลื่อมใส ความไว้วางใจ ความน่าคบหาสมาคมจากชีวติ รอบข้าง ทําให้ชีวติ นั้นตั้งอยูใ่ นฐานะเป็ น ปูชนียบุคคล เป็ นที่พ่ งึ แก่ตนเองได้ และเป็ นเครื่ องยึดเหนี่ยวของชีวติ ทั้งหลาย ความรู ้เป็ นส่วนหนึ่งช่วยให้มี ความสามารถในการที่จะใช้ความคิด และการวินิจฉัย สิ่ งต่างๆ ได้อย่างกว้างขวาง ในการตัดสิ นใจ การค้นคว้า ทดลอง การแก้ไขอุปสรรค และอื่นๆ ในอันที่จะให้เกิดผลในการครองชีพ การสมาคมและอื่นๆ ที่จาํ เป็ นทุก ประการโดยสมบูรณ์ จึงจะเกิดสติปัญญา และสติปัญญาก็ช่วยให้เกิดสมรรถภาพ หรื อปฏิภาณในการดําเนินงาน ของชีวติ ให้สาํ เร็จ ลุล่วงไปได้ ตามแนว ของความรู ้ ทําให้งานของชีวติ ทุกชนิดทุกระดับ ดําเนินไปได้โดยง่าย โดยเร็ วโดยสมบูรณ์และปลอดภัย โดยประการทั้งปวง
58
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้รวมกันเป็ น “ทางสายเดียว” เป็ นทางสายชีวติ ที่จะช่วยให้ชีวติ ของเราดําเนินไปได้ อย่างเป็ นที่พอใจมาก จนถึงกับท่าน พุทธทาสภิกขุ อยากจะยืนยันแก่เพื่อนร่ วมสิ่ งมีชีวติ ที่เรี ยกว่ามนุษย์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งหลายว่า จงลองเดินทางสายนี้ดู ผลในโลกนี้กค็ ือ ทรัพย์ ชื่อเสี ยง และมิตรภาพก็ตาม ผลในโลกหน้า คือ สุคติกต็ าม และผลอันสูงสุดพันจากโลกทั้งปวง คือ นิพพาน (บิ๊กแบงภายในใจ) ก็ตาม จักเป็ นที่หวังได้ ครบถ้วนโดยไม่ตอ้ งสงสัย โลกทุกวันนี้ มากไปด้วย ขวากหนาม อันเป็ นอันตรายมาก ยิง่ ขึ้นเพียงใด ชีวติ นี้ก็ยงิ่ ต้องเพียบพร้อม ไป ด้วยคุณธรรม และสมรรถภาพอันจะเป็ นเครื่ องป้ องกัน และแก้ไขอันตรายนั้นๆ มากขึ้นเพียงนั้น เพราะฉะนั้น อย่างน้อยที่สุด เขาจะต้องมีหนทางอันประกอบไปด้วย ทางไปของชีวติ ในด้านจิต หรื อ วิญญาณ ของเขาผูน้ ้ นั จึง จะก้าวไปด้วยดี คู่กนั ไปได้ กับการก้าวหน้าในทางวัตถุ หรื อทางกายของโลกแห่งสมัยนี้ อันกําลังก้าวไป อย่าง มากมาย จนเกินพอดีหรื อผิดส่วน ไม่สมประกอบ จนทําให้โลกระสํ่าระสายเป็ นประจําวันอยูแ่ ล้ว ทางชีวติ แห่ง สมัยนี้โลดโผนโยกโคลงขรุ ขระ ขึ้นๆลงๆ ยิง่ กว่าสมัยเก่าก่อน เกินกว่าที่จะดําเนินไปได้ง่ายๆ โดยการใช้วธิ ีการที่ ง่ายๆสั้นๆ เหมือนที่แล้วมา ความสับสนวุน่ วาย การหลงผิดไปกับการบริ โภคนิยมในยุคปั จจุบนั นี้ เป็ นการเดินทาง ของใจที่หลงผิด เป็ นสิ่ งที่หลายคนปฏิบตั ิไปตามกัน และคิดเสมอว่านั้นเป็ นทางที่ดีสาํ หรับเรา เป็ นทางที่เราจะได้ อยูเ่ หนือผูอ้ ื่น และมีอาํ นาจเพรี ยงแค่บริ โภคเท่านั้น ดังนั้นท่าน พุทธทาสภิกขุ จึงกล่าวไว้ให้แง่คิดอย่างน่าฟังที่วา่ “โลกทุกวันนี้ มีอะไรๆ มากเกินไปในทางทีจ่ ะผูกพันชีวติ นีใ้ ห้ ตกอยู่ภายใต้ อานาจของสิ่ งทีบ่ ีบคั้น เผาลน
เผลอไปเพียงนิดเดียว ก็จกั ลืน่ ไถลลงไปในกองเพลิงชนิดทีย่ ากทีจ่ ะถอนตัวออกมาได้ และถึงกับตายอยู่ในกอง เพลิงนั้นเป็ นทีส่ ุ ด เพราะเหตุน้นั จึงเป็ นการสมควรหรือจาเป็ นสาหรับชีวติ ทุกชีวติ ทีจ่ ะต้ องแสวงหาทาง และมี ทางของตน อันถูกต้ อง ปลอดภัย เพือ่ ก้ าวหน้ าไปสู่ ความสะอาด หมดจด สว่ างไสว และสงบเย็น สมตามความ ปรารถนา ไม่ เสียทีทเี่ ราเกิดมาเป็ นมนุษย์ เพือ่ ทีจ่ ะเรียนรู้ ชีวติ นีซ้ ักครั้งอันยิง่ ใหญ่ ทีจ่ ะเปลีย่ นตัวเราเองไปตลอด กาล”
59
ใจอยูใ่ นกายหรือกายอยูใ่ นใจ (ทางเลือกหลุม ดาหรือบิก ๊ แบง)
ความอิ่มเอิบ ด้วยอารมญ์ความรู ้สึก ทางรู ป รส กลิ่น เสี ยง สัมผัส นั้น เป็ นอาหารของฝ่ ายภายนอก ความ อิ่มเอิบด้วยปิ ติและปราโมช อันเกิดจากความที่ใจสงบจากอารมณ์เป็ นอาหารของฝ่ ายภายใน อุดมคติของชีวติ คือ ความถึงที่สุดแห่งอารยธรรม ทั้งฝ่ ายภายนอกและฝ่ ายภายใน (ทางโลก กับ ทางธรรม) เพราะฉะนั้น ชีวติ ย่อม ต้องการอาหารทั้งฝ่ ายภายนอกและฝ่ ายภายใน ถ้ามีเพียงอย่างเดียว ชีวติ นั้น ก็มีความเป็ นมนุษย์ เพียงครึ่ งเดียว หรื อ ซีกเดียวเท่านั้น เราหาความสําราญให้แก่กายของเราได้ไม่สูย้ ากนัก (ภายนอก) แต่การหาความสําราญให้แก่ใจ (ภายใน) นั้นยากเหลือเกิน ความสําราญกาย เห็นได้ง่ายรู ้จกั ง่าย ตรงกันข้ามกับ ความสําราญทางใจ แต่ไม่มีใครเชื่อ เช่นนี้ มากกันนัก เพราะเขาเชื่อว่า ไม่มีความสําราญอย่างอื่นที่ไหนอีกนอกจากความสําราญทางกาย และเมื่อกายสําราญ แล้วใจก็สาํ ราญ ความสําราญทางกาย หรื อฝ่ ายโลกนั้นต้องดื่มต้องกินอยูเ่ สมอจึงจะสําราญ ดังที่กล่าวไว้ในบท ก่อนหน้านี้ในเรื่ องของการบริ โภคนิยม แต่ที่แท้มนั เป็ นเพียง การระงับ หรื อกลบเกลื่อนความหิ วไว้ทุกชัว่ คราวที่ หิ วเท่านั้น ส่วนความสําราญ ฝ่ ายใจภายใน หรื อฝ่ ายธรรมนั้น ไม่ตอ้ งดื่มไม่ตอ้ งกินก็สาํ ราญอยูเ่ อง เพราะมันไม่มี ความหิ วไม่ตอ้ งดื่มกิน ที่กล่าวนี้ ผูท้ ี่นิยมความสําราญทางกาย อย่างเดียวอาจฟังไม่เข้าใจก็ได้ แต่อย่าเพ่อเบื่อหน่าย เสี ยก่อน ขอให้ทนอ่านไปอีกหน่อย ท่าน พุทธทาสภิกขุ ท่านเคยกล่าวไว้ และแยกได้เป็ น ๒ จําพวกด้วยกัน คือ พวกที่นิยม ความสําราญกาย ในทางโลก กล่าวว่า “ใจอยู่ในกาย” แต่พวกนิยมความสําราญใจในทางธรรม กล่าวว่า “กายอยู่ในใจ” (ตรงข้ามกัน) พวกแรกรู ้จกั โลกเพียงซีกเดียว พวกหลังอยูใ่ นโลกนานพอ จนรู ้จกั โลกดีท้ งั สองซีกแล้ว ขณะเมื่อพวกที่ชอบ สําราญกายกําลังปรนเปรอให้เหยือ่ แก่ความหิ วของตนอย่างเต็มที่น้ นั พวกที่ชอบสําราญใจ กําลังเอาชนะความหิ ว ของเขาได้ ด้วยการบังคับอินทรี ย ์ จนมันสงบอยูภ่ ายใต้อาํ นาจของเขาตนเอง พวกแรก เข้าใจเอาคุณภาพของการ “ให้สิ่งสนองความอยาก” แก่ความหิ วของเขาว่าเป็ นความสําราญ พวกหลังเอาคุณภาพของการที่ยงิ่ “ไม่ตอ้ งให้สิ่ง สนองความอยาก” เท่าใดยิง่ ดีวา่ เป็ นความสําราญเช่นกัน พวกหนึ่งยิง่ แพ้ตณั หามากเท่าใดยิง่ ดี อีกพวกหนึ่งยิง่ ชนะ มากเท่าใดยิง่ ดีเช่นกัน ! (ถ้าผูอ้ ่านสับสนโปรดอ่านอีกครั้งอย่างช้าๆ และพิจารณาไปด้วยอีกที) ท่าน พุทธทาสภิกขุ ยังกล่าวต่ออีกว่า พวกที่ชอบสําราญกายย่อมจะแพ้ตณ ั หาอยูเ่ องแล้ว โดยไม่รู้สึกตัว ทําเอง และชักชวนลูกหลาน ให้หา ความสําราญกายอย่างเดียวกันนี้ดว้ ย เพราะไม่รู้จกั สิ่ งอื่นนอกจากนั้น ครั้นได้ เครื่ องสําราญกายมาใจก็ไม่สงบสุข เพราะ มันยังอยากของแปลกของใหม่อยูเ่ สมอไป คนชนิดนี้ในที่สุดก็มอบตัว ให้แก่ ธรรมชาติฝ่ายตํ่า (หลุมดํา) ประกอบพฤติกรรมชนิดที่โลกไม่พึงปรารถนา ต่อสูก้ บั สิ่ งที่เรี ยกว่าโชคชะตาไป แม้อย่างดีที่สุดคนพวกนี้จะทําได้ก็เพียงแต่ เป็ นผูท้ นระทมทุกข์อยูด่ ว้ ยการแช่งด่าโชคชะตาของตัวเองเท่านั้นไป อีก
60
ความสําราญทางกาย ซึ่งกําลังร่ าเริ งกันอยูน่ ้ นั จําพวกฝ่ ายสงบภายในใจ ย่อมรู ้ดีวา่ เป็ นการเล่นละคร ย้อมสี หน้า ทั้งที่ตวั เองหลอกตัวเอง ให้เห็นว่าเก๋ วา่ สุข บางคนต้องร้องไห้และหัวเราะสลับกันทุกๆวัน วันละหลาย ครั้ง จิตใจฟูข้ ึนแล้วเหี่ ยวห่อลงขึ้นๆลงๆ ตามที่กระเป๋ าพองขึ้นหรื อยุบลง หรื อตามแต่จะได้เหยือ่ ที่ถูกใจและไม่ ถูกใจ ใจของพวกนี้ยงั เหลืออยูน่ ิดเดียวเสมอเท่าที่เขารู ้สึก จึงทําให้เขาเข้าใจว่าใจอยูใ่ นกาย คือ แล้วแต่กาย หรื อ สําคัญอยูท่ ี่กาย เพราะต้องต่อเมื่อเขาได้รับความสําราญกายเต็มที่แล้วต่างหาก ใจของพวกเขาจึงเป็ นอย่างที่เขา เรี ยกว่า “สุข” แม้คนพวกนี้จะพูดว่าความสําราญใจอยูบ่ า้ ง ก็เป็ นเพียง การหลงเอาความสําราญฝ่ ายกาย ขึ้นมาแทน เท่านั้น จะสําราญใจได้อย่างไร ในเมื่อใจถูกทําให้พองขึ้นหรื อยุบลงเสมอ ความพองขึ้นหรื อยุบลงก็ตาม ย่อมเป็ น สิ่ งทรมานใจให้เหน็ดเหนื่อยเท่ากัน เพียงแต่เป็ นรู ปร่ างที่ต่างกันเท่านั้น ลาภยศสรรเสริ ญและความเพลิดเพลิน ทํา ให้พองเบ่ง เสื่ อมลาภเสื่ อมยศถูกสบประมาทและหาความเพลิดเพลินมิได้ ทําให้ยบุ เหี่ ยว แต่ท้ งั สองอย่าง ทําความ หวัน่ ไหวโยกโคลงเท่ากัน กล่าวคือ เมื่อเขาได้สมใจอยาก เขาก็ได้ความหวัน่ ไหว เมื่อไม่ได้ก็ได้ความหวัน่ ไหว เช่นเดียวกัน เมื่อมืดมนหนักเข้า ก็แน่ใจลงเสี ยว่าความสุข หรื อขณะที่เคยสุขนัน่ แหละเป็ น “บิ๊กแบงภายในใจ เกิดขึน้ ”(พระนิพพาน) เป็ นการหลงผิดของความคิด และคิดอีกว่าชีวติ เราจะต้องหาความสุขนั้นมาอีก (สุขทาง โลก) แต่เมื่อคิดดู เราพอจะเห็นได้วา่ นัน่ ยังไม่ได้ถอยห่างออกมาจากกองทุกข์แม้แต่นิดเดียว มันเป็ นเพียง ความสําคัญผิดเท่านั้น และเป็ นความสําคัญผิดที่จะมัดตรึ งตัวเองให้ติดจมอยูก่ บั “หลุมดา” นัน่ อยูต่ ลอดเวลา เมื่อเป็ นเช่นนี้ ก็จะเห็นได้สืบไปว่า การสําราญทางฝ่ ายโลก หรื อจะเรี ยกอีกอย่างหนึ่งว่า ฝ่ ายกาย หรื อ วัตถุ นั้นคืออะไร และเมื่อได้หมกมุ่นมัวแต่แสวงหาให้กายท่าเดียวแล้วจะเป็ นอย่างไร หรื ออีกอย่างหนึ่งว่า ถ้ารู ้จกั ความสุขเฉพาะในด้านนี้ดา้ นเดียวแล้ว ก็จะรู ้จกั โลกเพียงซีกเดียวอย่างไร และยิง่ กว่านั้น คนที่รู้จกั โลกเพียงซีก หนึ่งเช่นนี้ อาจหาญทําอารมณ์เหล่านี้ ให้เป็ นเครื่ องอํานวยความสะดวก หรื อความเพลินแก่เขาได้ ซึ่งต่างกันกับผู ้ ที่เข้าใจโลกดีท้ งั สองซีกไม่(ฝ่ ายธรรม) เพราะต้องตกเป็ นทาสของความมัวเมา ถึงกับบูชามันให้เป็ นสิ่ งสูงสุด กว่า สิ่ งใดอยูเ่ สมอ ส่วนผูท้ ี่รู้จกั โลกดีแล้วทั้งสองฝ่ ายนั้น คือฝ่ ายธรรม ย่อมบูชาความสําราญทางธรรม หรื อฝ่ ายใจอัน แท้จริ งเป็ นส่วนสําคัญ และถือเอาส่วนกายหรื อวัตถุเป็ นเพียงเครื่ องอํานวยความสะดวก ในฐานเป็ นร่ างที่อาศัย สําหรับรับใช้ ในการแสวงหา ความสําราญทางฝ่ ายใจหรื อเรี ยนอีกอย่างได้วา่ “จิตของตัวเรา” เท่านั้น พวกนี้จึงมี อุดมคติวา่ “กายอยู่ในใจ” อย่างที่กล่าวไว้แล้ว การเป็ นอิสระเหนือวัตถุน้ นั เห็นได้ยาก ตรงที่ตามธรรมดาก็ไม่มีใครนึกว่า ตนได้ตกเป็ นทาสของวัตถุ แต่อย่างใด ใครๆก็กาํ ลังหาวัตถุ มากินมาใช้มาประดับ เกียรติยศของตน และบําเรอคนที่ตนรัก ทําให้เห็นไปว่า ตัว เรานัน่ เป็ นนาย มีอิสระเหนือวัตถุได้ เช่น มีเงินจะใช้มนั เมื่อไรก็ได้ ส่วนความหม่นหมองใจที่เกิดขึ้น มากมาย หลายประการหามีใครคิดไม่วา่ นัน่ เป็ นอิทธพลของวัตถุที่มนั ครอบงํายํ่ายีเล่นตามพอใจของมัน ดวงใจได้เสี ย ความสงบเย็นที่ควรจะได้ไปจนหมด ก็เพราะความโง่เง่าของตัวเองที่ไปหลงบูชาวัตถุจนกลายเป็ นของมีพิษสง ขึ้นมา ดวงใจที่แท้จริ งก็ไม่อาจฟักตัวเจริ ญงอกงามขึ้นมาได้ เพราะขาดการบํารุ งด้วยอาหาร โดยที่เจ้าของไม่เคยคิด ว่า มันต้องการอาหารเป็ นพิเศษยิง่ กว่ากาย สัญชาตญาณทั้งหลายชวนกันขึ้นนัง่ บัลลังก์บญั ชาการเต็มที่ ออกคําสัง่ ทับถมดวงใจที่แท้จริ งหรื อธรรมชาติฝ่ายสูง จนไม่ปรากฏสาละวน แต่แสวงหาอาหารตามอํานาจฝ่ ายตํ่า หรื อที่ เรี ยก ในที่น้ ีวา่ กาย เมื่อใจขาดอาหาร แม้แต่ที่เป็ นเบื้องต้นเช่นนี้แล้ว ก็ไม่งอกงามพอที่จะแจ่มใส ส่องแสงให้ผนู ้ ้ นั มองเห็นและถืออุดมคติแห่งความสุขทางใจได้ ชีวติ ก็เป็ นของมืดมนต้องร้องไห้ ทั้งที่ไม่รู้เห็นว่า มีอะไรมาทําเอา
61
เมื่อเด็กๆที่เกิดมาในโลกไม่อาจสํานึกในปริ ยายนี้ได้ดว้ ยตนเองเช่นนี้แล้ว การศึกษาสรรพสิ่ งของ ธรรมชาติ หรื อที่เรี ยกว่า “ธรรม” เท่านั้น ที่จะช่วยได้ในเบื้องต้น การศึกษาธรรมทางฝ่ ายหลักวิชา จึงเป็ นอาหาร ของดวงใจในขั้นแรกและขั้นกลาง ก็คือ การย่อยหลักวิชาๆนั้น ออกด้วยมันสมองของตนเอง ได้ความรู ้ความแจ่ม แจ้ง ความโปร่ งใส เยือกเย็น อะไรมานัน่ เป็ นอาหารชั้นปลายส่งเสริ มกัน สื บไปให้เจริ ญจนสามารถไปถึง “บิ๊กแบง ภายในใจ” (พระนิพพาน) ให้ปรากฏ จึงจะนับว่าถึงที่สุด เรื่ องความเจริ ญงอกงามของดวงใจ ท่าน พุทธทาสภิกขุ เคยกล่าวสอนไว้วา่ ความเจริ ญงอกงามของ ดวงใจหรื อจิตนั้น ยังไปได้ไกลอีกมากมายนัก กล่าวคือกว่าจะถึง พระนิพพาน หรื อ บิ๊กแบงภายในใจ (ที่ผเู ้ ขียน นํามาเปรี ยบเทียบ) เมื่อไรนัน่ แหละ จึงจะหมดขีดของทางไป แล้วมีอุดมสันติสุขอยูต่ ลอดอนันตกาล ส่วนความ เจริ ญทางกายนั้นไม่มีทางไปอีกต่อไป สูงสุดอยูไ่ ด้เพียงแค่ รู ป รส กลิ่น เสี ยง สัมผัส เพราะว่า การแสวงหาทาง ฝ่ ายนี้ ต้องการ “ความไม่รู้จกั พอ” นัน่ เอง เป็ นเชื้อเพลิงอันสําคัญแห่งความสําราญ ถ้าพอเสี ยเมื่อใด ก็หมดสนุก ! ใครจะขวนขวายอย่างไรก็ไม่อาจได้ผลสูงไปกว่าการสยบซบซึมอยูท่ ่ามกลางกองเพลิง แห่งความถูกปลุกเร้าของ ตัณหาความต้องการ เพราะฉะนั้น การแสวงหาทางฝ่ ายใจ เพื่อดวงใจหรื อจิต จึงเป็ นสิ่ งที่มีค่า น่าปฏิบตั ิทาํ มากกว่า เป็ นศิลปะกว่า เป็ นอุดมคติที่สูงกว่า จริ งอยูท่ ี่ทาํ ยาก แต่น่าสรรเสริ ญกว่า หอมหวนกว่า เยือกเย็นกว่า ฯลฯ กว่า โดยทุกๆปริ ยาย บิ๊งแบงภายในใจจึงจะเกิด ดังนั้นมนุษย์ เราจึงมีทางเลือกทีจ่ ะเดินทางไปว่ า “หลุมดา หรือ บิ๊กแบง” หรือจะมีอุดมคติทจี่ ะเลือกว่ า “ใจอยู่ในกาย หรือ กายอยู่ในใจ” ถ้ าใจอยู่ในกายเราก็จะโดนกายบังคับใจไปลงหลุมดา แต่ ถ้ากายอยู่ในใจ ใจเราก็ สามารถบังคับกายได้ และพัฒนาการฝึ กให้ ไปถึงบิ๊กแบงภายในใจ การแสวงความสาราญทางฝ่ ายกาย เป็ นต้ นเหตุ แห่ ง “สงคราม” การแสดงความสาราญทางฝ่ ายจิต เป็ นต้ นเหตุ “แห่ งสันติภาพ”
62
สงิ่ ทีเ่ ล็กย่อมเป็นสงิ่ ทีใ่ หญ่ได้ สงิ่ ทีใ่ หญ่ยอ ่ มเป็นสงิ่ ทีเ่ ล็กได้
การเน้นสอนให้เข้าถึงสภาวธรรมของธรรมชาติสรรพสิ่ ง อาจอาศัยวิธีจากภายนอกเข้ามาเป็ นสิ่ งพิจารณา ด้วยปั ญญา ไม่มุ่งเน้นแต่เรื่ องของความเป็ นอริ ยบุคคล และโดยไม่อาศัยรู ปแบบและพิธีกรรมใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากนี้ไม่เน้นเรื่ องราวในพระคัมภีร์มากนักเอาแต่เพียงหัวข้อธรรมที่สาํ คัญ ซึ่งก็มีอยูไ่ ม่กี่สูตร ที่มากเหลือ คณานับ แต่สิ่งที่มองเห็นได้ชดั เจนมากที่สุดในการสอนก็ คือ มุ่งเน้นให้อยูก่ บั ความจริ งทั้งปวงของชีวติ ความจริ ง ทั้งทางด้านการปฏิบตั ิธรรม ความจริ งของบุคคลที่เป็ นอยู่ โดยไม่ให้มีสิ่งอื่นใดเข้ามาแอบแฝงในความเป็ นจริ งเลย แม้แต่นอ้ ยนิด นอกจากนี้แล้วยังสอนพื้นฐานให้คนเห็นความเป็ นจริ งของตัวเองด้วยว่า ความจริ งตัวเองเป็ นใคร นิสยั เป็ นอย่างไรและควรปรับปรุ งตัวอย่างไร จากนั้นจึงหันเข้าหาธรรมชาติท้ งั ปวง ไม่วา่ จะเรื่ องของความไม่เที่ยง ของสังขาร หรื อเรื่ องความเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของต้นไม้ ภูเขา ลําธาร สายนํ้า เพื่อเป็ นเชื้อให้จิตนั้นค่อยๆ ปรับระดับความเป็ นจิตแห่ง “สภาวพุทธะ” หรื อ “สภาวะความเป็ นจริงแท้” นอกจากนี้ การมุ่งเน้นสอนเรื่ องอันว่า ด้วยบริ สุทธิ์แห่งจิต ซึ่งมีอยูใ่ นคนทุกคนในสิ่ งทุกๆสรรพสิ่ งแล้ว เพียงแต่ไม่มีโอกาสที่จะพบเท่านั้นเอง อัน เนื่องจากความบริ สุทธิ์แห่งจิตใจยังไม่เพียงพอ หากจะให้เห็นอย่างพอดีก็ คือ ต้องมีสติปัญญาควบคู่กนั ไปด้วย จึง จะทําให้ทราบว่า จิตเดิมแท้เป็ นสภาพอย่างไร การอาศัยแต่เรื่ องของธรรมชาติเท่านั้นในการปฏิบตั ิจะเป็ นการ เข้าถึงความจริ งได้ของจิต มนุษย์ไม่ได้เกิดมาในโลกแต่เพียงลําพัง นอกจากเพื่อนมนุษย์ดว้ ยกันเรายังมีเพื่อนร่ วมโลกจํานวน มากมายมหาศาล ไกลออกไปยังห้วงจักรวาลเรายังอาจมีเพื่อนที่ยงั ไม่รู้จกั กันอีกจํานวนไม่ได้ มนุษย์ไม่ได้อยูอ่ ย่าง โดดเดี่ยวท่ามกลางจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล หากแต่มนุษย์ยงั กําลังอยูท่ ่ามกลางสิ่ งไร้ชีวติ จํานวนมหึ มาไม่วา่ จะเป็ นดวงดาว ฝุ่ นธุลี หรื อวัตถุหลากหลายประเภท มนุษย์น้ นั มองได้หลายแง่ มนุษย์อาจมีความสามารถที่จะ กําหนดความเป็ นไปหลายอย่างในชีวติ ตนเอง แต่กระนั้นสิ่ งหนึ่งที่เป็ นแง่จริ งของความเป็ นมนุษย์ที่คงไม่มีใคร ปฏิเสธก็คือ ในบางสถานการณ์มนุษย์ไม่ได้เป็ นอิสระเด็ดขาดจากจักรวาล เราอาศัยอยูบ่ นดวงดาวเล็กๆ ดาวหนึ่งที่ เรี ยกว่าโลก โลกใบนี้ก็ไม่ได้เป็ นอิสระเลย มันต้องหมุนไปตามทิศทางที่ถูกกําหนดโดยดวงดาวดวงอื่นๆ ในระบบ สุริยะ ระบบสุริยะเองก็หาได้เป็ นอิสระไม่ มันยังต้องหมุนเหวีย่ งตัวมันเองไปตามทิศทางที่ถูกกําหนดโดยกลุ่มดาว กลุ่มอื่นๆ ภายในกาแล็กซีน้ ี และกาแล็กซีที่เราอยูน่ ้ ีก็ได้เป็ นอิสระไม่ มันยังต้องเปลี่ยนแปลงไปตามทิศทางที่ถูก กําหนดโดยกาแล็กซีอื่นๆ สรรพสิ่ งในจักรวาลต่างอิงอาศัยและสัมพันธ์เนื่องถึงกัน โลกแห่งธรรมชาติความเป็ นจริ งแท้น้ นั อาจเป็ นแสงสว่างที่ฉายออกมาจากพระผูเ้ ป็ นเจ้า และโดยอาศัย แสงสว่างนั้นเองที่ทาํ ให้พระผูเ้ ป็ นเจ้าทรงเห็นความจริ ง โลกแห่งธรรมชาติเป็ นโลกแห่งมโนคติ เป็ นแบบพิมพ์ เดิมของโลกแห่งประสาทสัมผัสและโลกแบบพระผูเ้ ป็ นเจ้าด้วย ในพระผูเ้ ป็ นเจ้านั้นไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต มีแต่ ปั จจุบนั ที่เป็ นนิรันดร์เท่านั้นเอง ความจริ งก็ไม่เชิงถูกต้องนัก ที่วา่ เมื่อไม่มีอดีต - ไม่มีอนาคต ปัจจุบนั ก็ไม่น่าจะมี ด้วย เพราะฉะนั้นเราอาจจะเรี ยกรวมๆ ได้วา่ ไม่ข้ ึนอยูก่ บั อะไรทั้งสิ้น เป็ นภาวะ เสถียรภาพและความเคลื่อนไหว และรู ้วา่ แต่ละอย่างนั้นเป็ นภาวะ ณ ขณะนี้ ปั จจุบนั นี้ที่เป็ นอยูน่ ้ ีที่เทียงแท้ สิ่ งที่มีอยูใ่ นสภาวะจริ งนั้น ย่อมเห็นใน
63
ตัวมันเองในสิ่ งทั้งปวงด้วย ในที่ทุกหนทุกแห่งจึงเชื่อว่ามีสิ่งทั้งปวง แต่ละสิ่ งก็เป็ นสิ่ งทั้งปวงและมีความสว่างไสว ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ละอย่างล้วนยิง่ ใหญ่ท้ งั นั้นในตัวมันเอง สิ่ งที่เล็กก็เป็ นสิ่ งที่ยงิ่ ใหญ่ ณ ที่น้ นั ดวงอาทิตย์ก็เป็ น ดวงดาวทั้งปวง และดวงดาวแต่ละดวงก็เป็ นดวงอาทิตย์ดว้ ย นี่เราจะเห็นได้วา่ อาจจะฟังยากสักหน่อย แต่ถา้ หาก เราพิจารณาถึงความเป็ นจริ งตามหลักของปรัชญาและอภิปรัชญาแล้ว เราจะเห็นได้วา่ ความใหญ่และความเล็กนั้น ความจริ งก็เป็ นอันเดียวกัน คือ เมื่ออยูใ่ นที่หนึ่งเราอาจจะเห็นว่าเล็ก แต่อยูใ่ นอีกที่หนึ่งเราอาจจะเห็นว่าใหญ่ อย่างเช่น หนังสื อที่ผอู ้ ่านถืออยูใ่ นมือนี้ ซึ่งเราเองก็ถือว่ามันไม่ใหญ่นกั แต่ถา้ เมื่อเทียบกับสิ่ งที่เล็กมันก็กลายเป็ น สิ่ งที่ใหญ่ได้ เช่น ตัวอักษรทุกตัวในหนังสื อเล่มนี้ถา้ นํามาต่อเรี ยงกันให้ยาว มันก็อาจจะยาวเป็ นกิโลเมตรได้ แต่ถา้ เราเอาหนังสื อเล่มนี้มาเทียบกับตัวเรา หนังสื อเล่มนี้ก็ดูเล็กลงไป ทําให้เราสามารถพกพาไปไหนมาไหนได้เพื่อ ความสะดวก เพราะฉะนั้น หนังสื อเล่มนี้ก็เป็ นสิ่ งที่ใหญ่กว่าตัวอักษรที่สามารถบรรจุตวั อักษรได้ หรื ออาจพูดได้ ว่าหนังสื อนี้เป็ น “ทั้งสิ่ งที่เล็ก และ เป็ นทั้งสิ่ งที่ใหญ่” อยูใ่ นตัวเดียวกัน ดวงอาทิตย์ก็เช่นกัน เราคิดว่าดวงอาทิตย์ เราใหญ่โตมโหฬาร แต่ความจริ งแล้วดวงอาทิตย์ก็เป็ นดวงดาว ดวงหนึ่งและดวงดาวบางดวงอาจจะใหญ่กว่าดวง อาทิตย์ของเราเสี ยอีก เพราะฉะนั้นดวงอาทิตย์แต่ละดวงก็เป็ นดวงดาวด้วย เป็ นดวงอาทิตย์ดว้ ยในตัวเดียวกัน คือ ถ้าเรามองจากโลกของเรานี้ เราก็เห็นว่าดวงอาทิตย์เป็ นดวงอาทิตย์ดวงหนึ่ง แต่ถา้ เรามองจากโลกอื่นหรื อกาแล็กซี อื่น เราจะเห็นเป็ นดวงอาทิตย์เป็ นแค่ดวงดาวดวงหนึ่ง อย่างที่เราเคยพูดกันในด้านของดาราศาสตร์ที่วา่ ที่เราเห็น ดวงดาวกันบนท้องฟ้ ายามคํ่าคืนอยูน่ ้ นั บางดวงก็เป็ นดวงอาทิตย์ดว้ ย เพราะมันอยูไ่ กลเราจึงมองเห็นว่ามันเล็ก เรา ต้องกินเวลาตั้งหลายๆล้านปี แสงในการเดินทางกว่าจะไปถึงมัน เราถึงจะเห็นมันเป็ นดวงอาทิตย์ได้ “จิต” ของเราก็เช่นเดียวกัน เป็ นสิ่ งที่มองเห็นไม่ได้ จับต้องไม่ได้ แต่ “รู ้สึกได้” เป็ นสิ่ งที่ดูเหมือนเล็ก และเป็ นสิ่ งที่ใหญ่มโหฬารได้ คําว่า “จิต” (Mind) เป็ นคําศัพท์พยางค์เดียว ซึ่งความรู ้สึกเป็ นสิ่ งที่ดูเล็ก แต่ ความหมายของคําว่า “จิต” นั้น ความรู ้สึกเป็ นสิ่ งที่ยงิ่ ใหญ่เช่นเดียวกัน ตัวอักษรอักขระทุกตัวในหนังสื อที่กาํ ลัง อ่านเล่มนี้ “จิต” เป็ นตัวรับรู ้ เรี ยนรู ้ ที่มีอยูใ่ นตัวเราๆทุกคน ณ ขณะนี้! และที่นี่! ที่ผอู ้ ่านกําลังอ่านอยูต่ ลอดนี้! ขณะที่จิตสัมผัสอยูน่ ้ ี ผูอ้ ่านไม่รู้ตวั หรอกว่า จิตกําลังรับรู ้หรื อเรี ยนรู ้อยูข่ ณะนี้ เป็ นการเรี ยนรู ้อยูต่ ลอดเวลาไม่ ขึ้นอยูก่ บั อะไรทั้งสิ้น เป็ นภาวะ เสถียรภาพ และความเคลื่อนไหว ณ สภาวะขณะนี้ ไม่มีอดีตไม่มีอนาคต ดังที่ กล่าวไว้ขา้ งต้นแล้ว “จิต” ในตามทรรศนะของคนเรานั้นดูเป็ นสิ่ งที่เล็ก แต่สิ่งที่เล็กนี้ ก็เป็ นตัวสิ่ งที่เรี ยนรู ้ที่ยงิ่ ใหญ่ ได้เช่นเดียวกัน เป็ นการเรี ยนรู ้อยูต่ ลอดเวลาของทุกขณะจิต ขณะเดียวกันทั้งๆ ที่มนุษย์เปี่ ยมไปด้วยสิ่ งเหล่านี้ที่ เรี ยกว่า “จิต” นี้ แต่ความจริ งมีอยูว่ า่ มีไม่มากนัก หรื อมีนอ้ ยคนเหลือเกินที่จะชื่นชมในตนเองในสิ่ งนี้ที่เรี ยงกว่า “จิต” ที่มีอยูใ่ นตัวทุกคนอยูแ่ ล้วที่จะพัฒนาไปเป็ น “ปั ญญา” เราไม่ตระหนักถึงความปรับปรุ งเปลี่ยนแปลงได้ของ ตัวเอง ถือเอาว่า ตนนั้นเป็ นผลิตผลที่สาํ เร็ จรู ปมาเรี ยบร้อยแล้ว ทั้งๆ ที่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็ นเพียงรู ปกายวัตถุดิบก็ ตามที นี่คอื ความสู ญเสียอันยิง่ ใหญ่ ทสี่ ุ ดของมนุษย์ ความสู ญค่ าแห่ งธรรมชาติในตัวเราเอง คือ มนุษย์ ทไี่ ม่ ได้ รับการพัฒนาทางด้ านจิตใจ คนส่ วนใหญ่ จะอยู่ในระดับแรกเริ่มทีส่ ุ ดของจิต เมือ่ เทียบกับจุดทีจ่ ะสามารถพัฒนา หรือยกระดับขึน้ ไปได้ อกี มาก เพราะฉะนั้น “ในสิ่งทีเ่ ล็กมันก็เป็ นสิ่งทีใ่ หญ่ ด้วยในตัวเดียวกัน และ ในสิ่งทีใ่ หญ่ น้ัน ก็เป็ นสิ่งทีเ่ ล็กด้ วยในตัวเดียวกัน”
64
มีคากล่าวจากท่านDalai Lama ทีไ่ ด้ กล่าวไว้สาหร ับการดาเนินชวี ต ิ อย่างมี คุณค่าไว้ด ังนี้
1. ระลึกเสมอว่าการจะได้พบความรักและความสําเร็ จอันยิง่ ใหญ่ก็ตอ้ งประสบกับความเสี่ ยงอันมหาศาลดุจกัน 2. เมื่อคุณแพ้ อย่าลืมเก็บไว้เป็ นบทเรี ยน 3. จงปฏิบตั ิตาม (3Rs) - เคารพตนเอง (Respect for self) - เคารพผูอ้ ื่น (Respect for others) - รับผิดชอบต่อการกระทําของตน (Responsibility for all you ractions) 4. จงจําไว้วา่ การที่ไม่ทาํ ตามใจปรารถนาของตนบางครั้งก็ให้โชคอย่างน่ามหัศจรรย์ 5. จงเรี ยนรู ้กฎ เพื่อจะทราบวิธีการฝ่ าฝื นอย่างเหมาะสม 6. จงอย่าปล่อยให้การทะเลาะเบาะแว้งด้วยเรื่ องเพียงเล็กน้อยมาทําลายมิตรภาพอันยิง่ ใหญ่ของคุณ 7. เมื่อคุณรู ้วา่ ทําผิด จงอย่ารอช้าที่จะแก้ไข 8. จงใช้เวลาในการอยูล่ าํ พังผูเ้ ดียวในแต่ละวัน 9. จงอ้าแขนรับการเปลี่ยนแปลงแต่อย่าปล่อยให้คุณค่าของคุณหลุดลอยจากไป 10. จงระลึกไว้วา่ บางครั้งความเงียบก็เป็ นคําตอบที่ดีที่สุด 11. จงดําเนินชีวติ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริ ตเพื่อที่วา่ เมื่อคุณสูงวัยขึ้นและคิดหวนกลับมาคุณจะสามารถมีความสุข กับสิ่ งที่ได้ทาํ ลงไปได้อีกครั้ง 12. บรรยากาศอันอบอุน่ ในครอบครัวเป็ นพื้นฐานสําคัญของชีวติ 13. เมื่อเกิดขัดใจกับคนที่คุณรักให้หยุดไว้แค่เรื่ องปัจจุบนั อย่าขุดคุย้ เรื่ องในอดีต 14. จงแบ่งปั นความรู ้ เพื่อเป็ นหนทางก้าวสู่ความเป็ นอมตะ 15. จงสุภาพกับโลกใบนี้ 16. จงหาโอกาสท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ที่คุณไม่เคยไปอย่างน้อยก็ปีละครั้ง 17. จําไว้วา่ ความสัมพันธ์ที่ดีที่สุดคือความรักมิใช่ความใคร่ 18. จงตัดสิ นความสําเร็ จของตนด้วยสิ่ งที่ตอ้ งเสี ยสละ 19. จงเข้าใกล้ความรักด้วยการปล่อยวาง
65
66
จ ักรวาลทีม ่ ี บิก ๊ แบงจึงเกิด ________________________________ เมื่อกล่าวถึง “จักรวาล” มีประเด็นมากมายที่เราสามารถหยิบยกมา ขบคิดหรื ออภิปรายกันในทางปรัชญา ก่อนที่จะกําหนดประเด็น สําหรับอภิปรายขอให้เรามาตกลงกันก่อนว่า คําว่าจักรวาล หมายความเอาแค่ไหน คําว่าจักรวาลในที่น้ ีหมายเอาทุกสิ่ งทุกอย่าง ที่มีอยู่ ไม่วา่ จะเป็ นดวงดาว กลุ่มดาว กาแล็กซี่ ฝุ่ นธุลี วัตถุใน รู ปลักษณะต่างๆ ทั้งหยาบทั้งละเอียด ตลอดจนภาวะทางนามธรรม ที่ไม่อาจสัมผัสได้ดว้ ยประสาทสัมผัสสิ่ งเหล่านี้ท้ งั หมดไม่วา่ จะอยู่ ณ ตําแหน่งใดในอวกาศ รวมกันเข้าแล้วเราจะเรี ยกว่า “จักรวาล” โดยคํานิยามนี้จึงไม่มีสิ่งใดที่อยูน่ อกจักรวาล โลกที่เราอาศัยอยูน่ ้ ีกค็ ือส่วนหนึ่งของจักรวาล มนุษย์เองก็เป็ นส่วนหนึ่งของจักรวาลด้วย ดังนั้น คําว่ามนุษย์ โลก และจักรวาลจึงเป็ นคําที่มีความสัมพันธ์เนื่องถึงกัน มนุษย์ไม่ได้อยูโ่ ดยอาศัยเพียงตนเองเท่านั้น หากยังต้องอาศัย โลกเป็ นสถานที่พาํ นัก โลกก็หาได้ลอยอยูใ่ นอวกาศโดยไม่มีความสัมพันธ์กบั สิ่ งอื่น ไม่มีจุดใดในจักรวาลนี้ที่เรา สามารถชี้ลงไปว่าสามารถดํารงอยูไ่ ด้โดยตัวมันเอง ผมเคยอ่านการศึกษาเชิงวิเคราะห์พทุ ธศาสนานิกายเซน ของ รองศาสตราจารย์ ดร. สมภาร พรมทา ท่านกล่าวไว้น่าฟังที่วา่ “สรรพสิ่ งในจักรวาลล้วนอิงอาศัยและผลักดึงซึ่ง กันและกัน เมื่อกล่าวถึงจักรวาล มีปัญหาอยูส่ องเรื่ องที่คนพยายามขบคิดและแสวงหาคําตอบมานาน” ปัญหาแรกคือ กาเนิดของจักรวาล มนุษย์เราเชื่อกันว่า สิ่ งที่มีอยูท่ ุกอย่างย่อมเป็ นผลผลิตของสิ่ งที่มีอยู่ ก่อนหน้านี้ ไม่มีสิ่งใดสามารถอุบตั ิข้ นึ จากความว่างเปล่า ดังนั้น เราทุกคนย่อมต้องมีบรรพบุรุษ แต่บรรพบุรุษ ของเราจะมีไม่ได้ถา้ ไม่มีโลกที่เรากําลังอาศัยอยูน่ ้ ี โลกนี้จะมีไม่ได้ถา้ ไม่มีวตั ถุที่จะมารวมตัวกันกลายเป็ นโลก แล้ววัตถุที่วา่ นั้นมาจากไหน ปั ญหานี้เป็ นปั ญหาที่ไม่รู้จกั เพราะไม่วา่ จะสื บสาวไปถึงสิ่ งใด เราก็ยงั สามารถตั้ง คําถามได้วา่ สิ่ งนั้นเป็ นผลผลิตของอะไรได้เรื่ อยไป ไม่วา่ เราจะสื บสาวหาที่มาของสิ่ งใดในจักรวาลนี้เราจะพบ ปั ญหาที่วา่ นี้เสมอ ปัญหาทีส่ องคือ ปัญหาธรรมชาติของจักรวาล สรรพสิ่ งในจักรวาลนี้ดาํ เนินไปอย่างมีทิศทาง มี กฎระเบียบหรื อไม่ หากมี ใครคือผูว้ างระเบียบของจักรวาล แล้วนั้นคือใครเหล่า ปั ญหานี้มีคนตอบหลายอย่าง แต่ คําตอบทั้งหมดนั้นไม่มีสกั คําตอบเดียวที่ไม่มีทางให้คนอื่นแย้งได้ เราจะใช้ปัญหาทั้งสองนี้เป็ นประเด็นในการ อภิปรายทัศนะเกี่ยวกับจักรวาลดังรายละเอียดต่อไปนี้ ดูเหมือนจะเป็ นที่เข้าใจกันทัว่ ไปว่า เมื่อมีใครถามปั ญหาเกี่ยวกับกําเนิดของจักรวาลขึ้นในที่ชุมนุมคน หากในจํานวนคนเหล่านั้นมีชาวพุทธร่ วมอยูด่ ว้ ย เขาจะไม่สนใจร่ วมอภิปรายปั ญหาที่วา่ นี้เด็ดขาด เหตุผลคือ ปั ญหาที่วา่ นี้อยูห่ ่างไกลตัวเราเหลือเกิน พุทธศาสนาสนใจเฉพาะเรื่ องใกล้ตวั สนใจเฉพาะเรื่ องที่เกิดขึ้นจริ งๆ ใน ชีวติ ไม่สนใจเรื่ องที่อยูห่ ่างตัวหรื อเรื่ องที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริ งๆในชีวติ หากเป็ นเพียงสมมติฐานที่ต้ งั ขึ้นเพื่อถกเถียง เอาชนะกันในเชิงสติปัญญาความรู ้เท่านั้น ความเข้าใจข้างต้นมีส่วนถูกอยูม่ าก ที่วา่ ถูกหมายความว่า ในฐานะที่ เป็ นชาวพุทธเขาย่อมต้องดําเนินชีวติ โดยยึดเอาคําสอนของพระพุทธองค์เป็ นหลัก มีหลักฐานแสดงเอาไว้ชดั เจน
67
ว่าพระพุทธองค์ไม่ทรงสนใจอภิปรายปั ญหาที่อยูไ่ กลตัวมนุษย์ ปัญหาเหล่านี้ทรงพิจารณาเห็นว่า แม้เราจะทราบ คําตอบ แต่เนื่องจากว่ามันเป็ นเรื่ องไกลตัวเหลือเกิน ดังนั้น มันจึงไม่มีผลกระทบต่อตัวเรา รู ้ไม่รู้เรื่ องเหล่านี้ชีวติ ของเราก็ยงั คงดําเนินไปตามปกติได้ อีกประการหนึ่ง ปั ญหาเหล่านี้เป็ นปั ญหาที่ไม่อาจตอบได้เด็ดขาดแน่นอนลง ไป มีคนพยายามตอบหลายแง่หลายทาง แต่ทุกคนมีแง่ให้แย้งได้ท้ งั สิ้นการที่ไม่ทรงร่ วมอภิปรายด้วยอาจเป็ น เพราะทรงพิจารณาเห็นดังที่กล่าวมานี้ก็ได้ จะอย่างไรก็ตาม อาจมีชาวพุทธบางคนเห็นว่า หากเรายอมรับว่าสรรพสิ่ งในจักรวาลเนื่องสัมพันธ์ถึงกัน หมด ดังนั้นเราย่อมบอกไม่ได้ที่วา่ เรื่ องนี้ไม่เกี่ยวกับตัวเรา การพยายามค้นหาคําตอบเกี่ยวกับความลี้ลบั ต่างๆ ใน จักรวาลอาจไม่ช่วยให้เราดับทุกข์ในชีวติ ได้ แต่ปัญหาที่มนุษย์กาํ ลังเผชิญอยูไ่ ม่ได้มีเพียงปั ญหาการดับทุกข์ใน ชีวติ เท่านั้นเรายังต้องเผชิญปั ญหาภายนอกตัวเราอีกมากมาย ขอให้นึกวาดภาพง่ายๆ ก็ได้วา่ ... หากวันหนึ่งอยูๆ่ ดวงอาทิตย์ที่เคยส่องแสงมายังโลกของเรานี้เกิดดับลง วันนั้นมนุษย์ท้ งั โลกจะเลิกสนใจปั ญหาที่วา่ ทําอย่างไรจึง จะดับกิเลสภายในใจได้ทนั ที สิ่ งที่เราสนใจมากที่สุดในเวลานั้น คงไม่ใช่เรื่ องการดับทุกข์ หากแต่น่าจะเป็ นเรื่ อง ที่วา่ ทําอย่างไรเราจึงจะไม่ตายกันทั้งโลกมากกว่า สมมติฐานที่วา่ วันหนึ่งข้างหน้าดวงอาทิตย์ตอ้ งดับลงแน่นอนนี้ อย่างน้อยที่สุดก็มีทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ทฤษฎีหนึ่งสนับสนุนอยู่ หากว่าทุกอย่างเป็ นไปตามที่ทฤษฎีน้ ีคาดหมาย ไว้ วันหนึ่งจะเป็ นวันที่จกั รวาลทั้งหมดตกอยูใ่ นภาวะหนาวเย็นและมืดสนิท ไม่มีความร้อน ไม่มีแสงสว่าง ไม่มี ชีวติ ใดๆ ทั้งสิ้น นัน่ ย่อมหมายความว่า คนเราซึ่งเป็ นส่วนประกอบเล็กๆ ส่วนหนึ่งของจักรวาลย่อมจะสูญสิ้น เผ่าพันธุ์ไปพร้อมกับชีวติ อื่นๆที่มีอยู่ กฎของเทอร์โมไดนามิกส์ดูจะชวนให้เราสงสัยอย่างช่วยไม่ได้วา่ จักรวาล กําลังดําเนินไปสู่จุดจบ นัน่ ย่อมหมายความว่า เมื่อถึงที่สุดจะไม่มีสิ่งใดในจักรวาลนี้สามารถนํามาใช้ให้เกิด ประโยชน์ได้เลย จะอย่างไรก็ตามอาจมีคนพูดว่า เมื่อถึงเวลานั้นพระเจ้าจะทรงชุบชีวติ ให้แก่จกั รวาลอีกครั้งหนึ่ง แต่การพูดเช่นนี้เป็ นการพูดเพราะความศรัทธา ไม่ใช่พดู เพราะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุน หลักฐาน ทางวิทยาศาสตร์บอกเราว่าเวลานี้จกั รวาลกําลังคืบคลานไปอย่างช้าๆ สู่จุดหมายอันจะส่งผลให้เกิดสภาพอันน่า หวากหวัน่ ต่อโลกเรานี้ ไม่เพียงเท่านั้น จักรวาลยังกําลังคืบคลานไปอย่างช้าๆ สู่จุดจบอันน่าสะพรึ งกลัวยิง่ กว่าที่ กล่าวมานี้อีก นัน่ คือความตายของจักรวาลทั้งจักรวาล หากนี่คือสิ่ งชี้บอกว่าพระเจ้าทรงสร้างจักรวาลมาอย่างมี จุดหมาย ผมก็คงพูดได้เพียงว่า จุดหมายนี้มิได้ดึงดูดใจกระผมแม้แต่นอ้ ย กระผมมองไม่เห็นเหตุผลที่จะเชื่อใน พระเจ้า ไม่วา่ จะเป็ นพระเจ้าในรู ปแบบใด กล่าวคือ ไม่วา่ จะเป็ นพระเจ้าในความหมายที่คลุมเครื อหรื อที่ถูกปรับ เพื่อให้ง่ายต่อการยอมรับก็ตาม นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าคนเรามีปัญหาภายนอกที่ตอ้ งเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อจักรวาล ประสบภาวะใด เราในฐานะที่เป็ นส่วนหนึ่งของจักรวาลย่อมพลอยได้รับผลกระทบจากภาวะนั้นด้วย พิจารณาจาก แง่มุมนี้ดูเหมือนจะเป็ นการยากยิง่ ที่จะจําแนกว่าปั ญหาใดเป็ นปั ญหาที่อยูไ่ กลตัวเรา และปั ญหาใดเป็ นปั ญหาที่อยู่ ใกล้ตวั อนึ่ง ปั ญหาที่ครั้งหนึ่งในอดีตมีคนคิดว่าเป็ นปั ญหาที่ไม่มีทางหาข้อสรุ ปที่แน่นอนได้ ปั จจุบนั ดูเหมือนจะ เริ่ มคนมองเห็นลู่ทางในการตอบชัดขึ้น ดังนั้น ที่เรากล่าวว่า มีปัญหาบางปั ญหาที่พระพุทธองค์ไม่ทรงตอบเพราะ เป็ นปั ญหาที่ไม่อาจหาคําตอบที่แน่ชดั ได้น้ นั เรามีเหตุผลอะไรสนับสนุนความคิดที่วา่ นั้น เราแน่ใจได้อย่างไรว่า ปั ญหาเหล่านี้ตอบไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น ปั ญหาต้นกําเนิดของจักรวาล ในอดีตนักปรัชญาจํานวนไม่นอ้ ยพยายาม ค้นหาคําตอบ ในปัจจุบนั ก็ยงั มีนกั ปรัชญาจํานวนหนึ่งพยายามตอบปั ญหานี้ แต่เมื่อเทียบดูความเปลี่ยนแปลง ระหว่างวิธีการหาคําตอบของคนในอดีตกับคนในปั จจุบนั เราจะเห็นได้ชดั ว่า แต่เดิมนักปรัชญาใช้เพียงความคิด และเหตุผลล้วนๆ เพื่อหาคําตอบ แต่ปัจจุบนั นักปรัชญามีขอ้ มูลการค้นคว้าหาทางวิทยาศาสตร์ช่วยในการแสวงหา 68
คําตอบ ปั ญญาที่ครั้งหนึ่งเราคิดว่าตอบยากเริ่ มตอบง่ายขึ้น แม้จะยังไม่อาจตอบได้แน่ชดั ลงไป แต่คาํ ตอบเท่าที่มี อยูเ่ วลานี้เมื่อเทียบกับคําตอบในอดีตเราจะเห็นว่ามีเหตุผลและหลักฐานสนับสนุนหนักแน่นมากขึ้น สติปัญญา ของมนุษย์พฒั นาอยูท่ ุกวินาที ดังนั้น เราย่อมบอกไม่ได้วา่ ปั ญหาที่วนั นี้เราคิดว่าตอบไม่ได้คนในวันหน้าจะตอบ ไม่ได้เหมือนเรา เรื่ องกําเนิดของจักรวาลก็เช่นกัน ข้อเสนอของนักปรัชญาในวันนี้แม้จะยังไม่ใช้ขอ้ ยุติแต่ก็เป็ น ข้อเสนอที่เป็ นรู ปร่ าง มีเหตุผลและหลักฐานสนับสนุนมากกว่าแต่ก่อน เท่าที่กล่าวมาเราคงพอมองเห็นว่า เป็ นการ ยากที่เราจะบอกว่าปั ญหาใดเราไม่มีทางตอบ เมื่อเราไม่มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอนสําหรับใช้ช้ ีวา่ ปั ญหานี้ไม่มีทางตอบ เราย่อมไม่มีสิทธิ์บอก ว่าอย่าสนใจปั ญหานี้ แต่จงสนใจปั ญหานั้น เพราะทุกปั ญหามีฐานะเท่ากันหมด มีอาจารย์ ท่านหนึ่ง ในนิกายเซนมีกระแสความคิดที่สนใจปั ญหาที่วา่ นี้และได้ให้คาํ ตอบต่อปั ญหาที่วา่ นี้ไว้ เจ้าของความคิด ที่วา่ นี้ คือ ท่านฮวงโป (Huang Po- ๘๕๐ A.D) อาจารย์เซน ในสมัยราชวงศ์ถงั ขอให้เรามารองดูขอ้ ความต่อไปนี้ กันดู พระพุทธเจ้าทั้งปวงและสัตว์โลกทั้งสิ้นไม่ได้เป็ นอะไรเลย นอกจากเป็ นเพียง จิตหนึ่ง (One Mind) นอกจากจิตหนึ่งนี้แล้วมิได้มีอะไรตั้งอยูเ่ ลย จิตหนึ่งซึ่ง เป็ นที่ปราศจากการตั้งต้นนี้ เป็ นสิ่ งที่ไม่ได้เกิดขึ้น และไม่อาจจะถูกทําลายได้ เลย มันไม่ใช่เป็ นของสี เขียวหรื อสี เหลืองหรื อขาวดํา และไม่มีท้ งั รู ป ปรากฏ มันไม่ถูกนับรวมอยูใ่ นบรรดาสิ่ งทั้งที่มีการตั้งอยูแ่ ละไม่มีการตั้งอยู่ มันไม่ อาจจะถูกลงความเห็นว่าเป็ นของใหม่หรื อของเก่า มันไม่ใช่ของยาวของสั้น ของใหญ่ของเล็ก ทั้งนี้เพราะมันอยูเ่ หนือขอบเขต เหนือการวัด เหนือการตั้งชื่อ เหนือการทิ้งร่ องรอยไว้ และเหนือการเปรี ยบเทียบทั้งหมดทั้งสิ้น ท่านฮวงโป มีทศั นะว่า สรรพสิ่ งทั้งหลายในจักรวาลนี้กาํ เนิดมาจากสิ่ งที่ท่านเรี ยกว่าจิตหนึ่ง สิ่ งต่างๆ จํานวนมากมายมหาศาล ในจักรวาลนี้แม้จะแตกต่างกันอย่างไรแต่ท้ งั หมดก็อาจจําแนกออกเป็ นสองพวกใหญ่ๆ คือ “รู ปธรรม” กับ “นามธรรม” ทั้งรู ปธรรมและนามธรรมนี้มีแหล่งกําเนิดเดียวกัน คือ “จิตหนึ่ง” สรุ ปความง่ายๆ ว่าเมื่อครั้งที่ จักรวาลนี้ยงั ว่างเปล่า ไม่มีดาวดวง ไม่มีสิ่งมีชีวติ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ในภาวะนั้นมีสิ่งหนึ่งดํารงอยูส่ ิ่ งนี้ท่านเรี ยกว่า จิตหนึ่ง จิตหนึ่งเป็ นสิ่ งที่มีอยูก่ ่อนกาลเวลา หมายความว่า เวลานั้นเริ่ มต้นเมื่อมีรูปธรรมหรื อนามธรรมเกิดขึ้นใน จักรวาล ก่อนหน้านี้สิ่งเหล่านี้จะเกิดมี เวลาก็ไม่มี ในภาวะที่ปราศจากเวลาซึ่งจะยาวนานแค่ไหนไม่มีใครทราบนี้ ท่านฮวงโปถือว่ามีสิ่งที่เรี ยกว่าจิตหนึ่งดํารงอยูแ่ ล้ว จิตหนึ่งไม่เป็ นทั้งรู ปธรรมและนามธรรม ดังนั้น จิตหนึ่งนี้จึง ไม่ใช่จิต พูดง่ายๆ ก็คือ เวลาที่อ่านพบคําว่าจิตหนึ่งในคัมภีร์ของท่านฮวงโป ให้เข้าใจว่าคํานี้ไม่ได้หมายถึงจิตใจที่ อยูใ่ นตัวเรา ในทัศนะของท่านฮวงโป คนเราประกอบด้วย “กาย” กับ “จิต” กายเป็ นรู ปธรรม ส่วนจิตเป็ น นามธรรม ทั้งกายและจิตนี้ท่านถือว่ามีตน้ กําเนิดมาจากจิตหนึ่ง จิตหนึ่งเป็ นภาวะที่ละเอียดลึกซึ้ง เป็ นภาวะที่ดาํ รง อยูก่ ่อนที่จะมีรูปธรรมกับนามธรรมเกิดขึ้นในจักรวาล คุณสมบัติใดๆ ก็ตาม ที่เราสามารถกําหนดให้แก่รูปธรรม และนามธรรมคุณสมบัติน้ นั ๆ ทั้งหมดเราไม่อาจกําหนดให้แก่สิ่งที่เรี ยกว่าจิตหนึ่งนี้ หรื อกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า รู ปธรรมกับนามธรรมเป็ นสิ่ งที่มีคุณสมบัติ เช่น รู ปธรรมเป็ นสิ่ งที่เราอาจสัมผัสได้ดว้ ยประสามสัมผัส แต่ นามธรรมเป็ นสิ่ งที่ไม่อาจสัมผัสด้วยประสามสัมผัสหากแต่ตอ้ งอาศัยจิตในการรับรู ้เป็ นต้น และคุณสมบัติเหล่านี้ เราสามารถอธิบายได้ดว้ ยคําพูดหรื อภาษา แต่สิ่งที่เรี ยกว่าจิตหนึ่งปราศจากคุณสมบัติเหล่านี้โดยสิ้นเชิงซึ่งอธิบาย ได้อยาก ดังนั้นเราจึงไม่อาจอธิบายลักษณะของมันได้ดว้ ยคําพูด กล่าวคือ “มีมาตั้งแต่ไม่มีใครทราบ” นี่คือ การ ตีความสิ่ งที่ท่านฮวงโปเรี ยกว่าจิตหนึ่งของท่าน เป็ นที่น่าสังเกตว่าแนวความคิดในการอธิบายกําเนิดของจักรวาล ในรู ปกําหนดให้มีอะไรสักอย่างเป็ นจุดเริ่ มต้น แล้วให้คาํ นิยามจุดเริ่ มต้นนั้นว่าเป็ นสิ่ งที่สามารถเกิดมีได้เอง ไม่มี
69
เหตุปัจจัย เป็ นสิ่ งอยูเ่ หนือการหยัง่ รู ้ดว้ ยสติปัญญาและเหตุผล เป็ นแนวทางหนึ่งที่มีคนใช้ค่อนข้างมาก ศาสนาอื่น ที่เชื่อในเรื่ องพระเจ้าก็มีวธิ ีอธิบายกําเนิดของจักรวาลในแนวเดียวกันนี้เช่นกัน สรุ ปความว่า ไม่วา่ เราจะหยิบยกเอาสิ่ งใดก็ตามในจักรวาลนี้ข้ ึนมาสาวหาที่มาที่ไปแล้ว เมื่อสาวไป จนถึงที่สุดแล้วจะพบว่าปฐมกําเนิดของสิ่ งนั้นก็คือจิตหนึ่งนัน่ เอง บางท่านอาจสงสัยเพราะเหตุใดท่านฮวงโปจึง ให้ความสนใจเรื่ องจิตหนึ่งนี้ เรื่ องนี้ไม่เห็นเกี่ยวกับการดับทุกข์เลย ตอบว่า ในทัศนะของท่านฮวงโป การที่เรา ทราบว่าสรรพสิ่ งถือกําเนิดมาจากสิ่ งเดียวกันย่อมช่วยให้เราคลายความยืดมัน่ ในสิ่ งต่างๆได้ ความยึดมัน่ ของคนเรา นั้นสื บเนื่องมาจากการมองสิ่ งต่างๆ อย่างแยกเป็ นคู่กนั มองว่านี่สวย / นั้นน่าเกลียด เมื่อมองเช่นนี้เลยเกิดความยึด มัน่ กล่าวคือ ชอบสิ่ งสวยงามและเกลียดสิ่ งที่น่าเกลียด แต่ถา้ เรามองลึกลงไปจนพบว่าทุกสิ่ งมีตน้ กําเนิดเดียวกัน ความเข้าใจอันนั้นจะทําให้เราคลายความยึดมัน่ ลง เมื่อมองเห็นตามความเป็ นจริ งว่าสิ่ งที่ตนเองเข้าใจว่าสวยงาม แท้ที่จริ งก็มีสภาวะเดียวกันกับสิ่ งที่เราเข้าใจว่าน่าเกลียด บุคคลย่อมวางใจเป็ นกลาง ไม่เอนเอียงไปในทางใดทาง หนึ่ง นอกจากจะช่วยให้เราคลายความยึดมัน่ ในความเป็ นคูข่ องสรรพสิ่ ง ความเข้าใจเรื่ องจิตหนึ่งนี้ยงั เป็ นพื้นฐาน สําคัญของการเจริ ญกุศลธรรมด้วย ยกตัวอย่างเช่น การเจริ ญเมตตา ตราบใดที่เรายังไม่เข้าใจว่าตัวเรากับคนอื่น เป็ นสิ่ งที่แยกออกจากกันไม่ได้เด็ดขาดตราบนั้นการเจริ ญเมตตาจะยังไม่สาํ เร็ จผล เราจะเมตตาคนอื่นได้อย่าง เต็มที่เมื่อเรารู ้สึกว่าตัวเรากับคนอื่นไม่วา่ จะเป็ นคนหรื อสัตว์หรื อสิ่งที่ชีวติ ในรู ปใดๆ แท้ที่จริ งนั้นเป็ นสิ่ งเดียวกัน เรารักและหวงแหนอวัยวะทุกส่วนในร่ างกายของเราเท่าเทียมกันก็เพราะเรามีความรู ้สึกว่าอวัยวะเหล่านี้ท้ งั หมด เป็ นหนึ่งเดียวกับตัวเรา เช่นกันนั้น…หากเรามีความรู ้สึกว่าตัวเรากับสรรพสิ่ งในจักรวาลเป็ นหนึ่งเดียวกันเรา ย่อมจะมีความระมัดระวังในการวางตัวยิง่ ขึ้น เพราะหากเกิดผลกระทบต่อสิ่ งอื่นซึ่งเป็ นผลมาจากการกระทําของ เราเอง เช่น ทําความสกปรกในสวนสาธารณะ การทําลายสภาพแวดล้อม การตัดต้นไม้ทาํ รายป่ า ผลกระทบนั้น ส่วนหนึ่งก็คือ ผลกระทบที่เราทําให้แก่ตวั เองนัน่ เองทั้งสิ้น ขอให้สงั เกตข้อความต่อไปนี้ดู คนธรรมดาทัว่ ไปทุกคนพากันปล่อยตัวไปตามความคิดปรุงแต่ ง ซึ่งอาศัยปรากฏการณ์ ท้งั หลายที่ แวดล้ อมอยู่ เพราะฉะนั้นเขาจึงเกิดความรู้ สึกทีเ่ ป็ นความรักและความชัง ถ้ าจะขจัดปรากฏการณ์ ซึ่งเป็ นเครื่อง แวดล้ อมเหล่ านั้นเสีย เธอก็เพียงแต่ หยุดความคิดปรุงแต่ งของเธอเสีย เมือ่ การคิดปรุงแต่หยุดไป ปรากฏการณ์ ต่ างๆ ทีเ่ ป็ นเครื่องแวดล้อม ก็กลายเป็ นของว่ างเปล่ า เมือ่ ปรากฏการณ์ ต่างๆ กลายเป็ นของว่ างเปล่ า ความคิดก็ สิ้นสุ ดลง แต่ถ้าเธอพยายามขจัดสิ่งแวดล้ อมเหล่ านั้นโดยไม่ ทาให้ การคิดปรุงแต่ งหยุดไปเสียก่ อน เธอจะไม่ ประสบความสาเร็จ กลับมีแต่ จะเพิม่ กาลังให้ แก่ สิ่งแวดล้ อมเหล่ านั้นให้ รบกวนเธอหนักขึน้ เพราะฉะนั้น สิ่งทั้ง ปวงก็ไม่ ได้ เป็ นอะไรนอกจากจิต คือ จิตซึ่งสัมผัสไม่ ได้ ทางอายตนะ เมือ่ เป็ นดังนีแ้ ล้ ว อะไรเล่ าทีเ่ ธอหวังว่ าอาจจะ บรรลุได้ ...
70
ธรรมชาติของจ ักรวาล
แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้ า เราทุกคนอาจเคยสงสัยว่าอะไรนะที่ ทําให้ดวงจันทร์หมุนรอบโลก โลกหมุนรอบดวงตะวัน ดวงดาว อื่นๆ ต่างก็มีทิศทางที่แน่นอนในการโคจร สิ่ งเหล่านี้ดาํ เนิน บทบาทของตนไปอย่างมีระเบียบ มีความแน่นอน อะไรคือ สิ่ ง กําหนดให้ดวงดาว โลก ดวงตะวัน ดวงเดือนและสิ่ งต่างๆ ให้ ห้วงอากาศเป็ นอย่างที่มนั เป็ น ไม่เป็ นอย่างอื่นๆ หันมามองสิ่ ง ต่างๆ รอบกายบนพื้นโลก เราอาจเคยสงสัยว่า อะไรนะที่ทาํ ให้ เม็ดมะม่วงเมื่อนําไปเพาะจึงงอกเป็ นต้นมะม่วง ไม่เป็ นต้นขนุน อะไรที่ทาํ ให้วตั ถุที่หลุดจากมือเราหล่นลงสู่พ้นื ไม่ลอยขึ้นบนท้องฟ้ า ทําไมสิ่ งมีชีวติ จึงต้องกินอาหาร ไม่กินไม่ได้ หรื อ ดอกกุหลาบที่เราเห็นนั้นมาจากไหน มาจากอาหารและแร่ ธาตุที่ตน้ กุหลายกินเข้าไปแล้วแปรเปลี่ยนมาเป็ น ดอกกุหลาบอย่างนั้นหรื อ แต่แร่ ธาตุและอาหารเหล่านั้นไม่มีลกั ษณะอย่างดอกกุหลาบนี้ พืชและสัตว์ในโลกนี้ ช่างมีมากมายเหลือกิน แต่ละเผ่าพันธุ์ต่างก็มีลกั ษณะไม่ซ้ าํ แบบกัน ใครคือผูจ้ าํ แนกประเภทของสิ่งเหล่านี้ ใครคือ ผูอ้ อกแบบลวดลายบนปี กผีเสื้ อ ใครคือผูอ้ อกแบบโครงสร้างอันซับซ้อนภายในสมองของคนเรา ปั ญหาเหล่านี้ เป็ นเพียงส่วนหนึ่งในจํานวนปั ญหามากมายมหาศาลที่เราสามารถหยิบขึ้นมาตั้งข้อสงสัย จักรวาลนี้ช่วงเต็มไป ด้วยสิ่ งลี้ลบั มหัศจรรย์จริ งๆ ในอดีตมีคนไม่นอ้ ยพยายามค้นหาคําตอบสําหรับข้อสงสัยเหล่านี้ ส่วนหนึ่งของความพยายามอันนั้นได้ กลายมาเป็ นสิ่ งที่เรี ยกว่าวิทยาศาสตร์ในปัจจุบนั ดูเหมือนจะเป็ นที่ยอมรับกันทัว่ ไปว่า หน้าที่หลักอันหนึ่งของ วิทยาศาสตร์ก็คือการเปิ ดเผยสิ่ งที่อยูเ่ บื้องหลังความลี้ลบั มหัศจรรย์ของจักรวาล สมัยหนึ่งคนสงสัยกันว่าทําไม โลกจึงหมุนรอบดวงอาทิตย์ดว้ ยอัตราความเร็ วที่คงที่ และด้วยเส้นทางโคจรที่แน่นอน ก็มีคนอย่างนิวตันให้ คําอธิบายว่า เพราะระหว่างโลกกับดวงตะวันมีสิ่งหนึ่งยึดเหนี่ยวอยู่ สิ่ งนี้นิวตันเรี ยกว่าแรงโน้มถ่วง หรื อสมัยหนึ่ง คนเราเคยรู ้สึกพิศวงกับสิ่ งที่เรี ยกว่าฟ้ าร้องฟ้ าแลบ ครั้นมีคนอย่างแฟรงคลินอธิบายว่า ปรากฏการณ์เหล่านี้เป็ นผล มาจากสิ่ งที่เขาเรี ยกว่าไฟฟ้ าบนก้อนเมฆ ทุกคนก็หายสงสัย นี่คือตัวอย่างการพยายามอธิบายสิ่ งลี้ลบั ในจักรวาล ของวิทยาศาสตร์ เป็ นที่น่าสังเกตว่า ในการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์น้ นั สิ่ งหนึ่งที่นกั วิทยาศาสตร์มีความเชื่อร่ วมกันอยูก่ ็ คือ ความเป็ นระเบียบแห่งจักรวาล นักวิทยาศาสตร์ท้ งั หลายมีความเชื่อว่าสิ่ งที่พวกเขาค้นพบคือแง่หนึ่งของความ เป็ นระเบียบในธรรมชาติ ทุกครั้งที่พวกเขาค้นพบความจริ งใหม่ๆ พวกเขาคิดว่าความจริ งที่คน้ พบนี้ลว้ นมีความ ประสานกลมกลืนกับความจริ งที่ยงั ไม่คน้ พบในธรรมชาติ จักรวาลในความนึกคิดของนักวิทยาศาสตร์คือระบบ มหึ มาที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กนั อย่างประสานกลมกลืน หน้าที่ของวิทยาศาสตร์คือการพยายามเปิ ดเผยให้เห็นความ กลมกลืนสอดคล้องกันในธรรมชาติท้ งั หมด พวกเขาใฝ่ ฝันว่าสักวันหนึ่งข้างหน้า ความลี้ลบั ทุกแง่ทุกมุมใน ธรรมชาติจะได้รับการเปิ ดเผย
71
ในทัศนะของไอน์สไตน์ การทํางานของนักวิทยาศาสตร์จาํ เป็ นต้องได้รับการสนับสนุนจากความเชื่อ บางอย่างโดยเฉพาะความเชื่อในความเป็ นระเบียบของจักรวาลจึงไม่ใช่เรื่ องแปลกที่คนอย่างนิวตันยืนยันเสมอว่า เขาเชื่อในพระเจ้าอย่างเต็มที่ นิวตันเคยกล่าวเอาไว้วา่ จักรวาลถูกสร้างมาอย่างเหมาะเจาะ ตัวอย่างเช่นภายใน ระบบสุริยะของรานี้มีดวงอาทิตย์เพียงดวงเดียว การมีดวงอาทิตย์เพียงดวงเดียวทําให้โลกเราได้รับความร้อนพอดี นัน่ ย่อมหมายความว่าผูท้ ี่วางแผนสร้างจักรวาลเป็ นผูท้ ี่รอบรู ้อย่างยิง่ สําหรับนิวตัน ความก้างหน้าทาง วิทยาศาสตร์หาใช่อะไรไม่ หากแต่คือ การเปิ ดเผยให้เห็นความสมบูรณ์ของพระเจ้า ยิง่ เราค้นพบกฎเกณฑ์ใหม่ๆ ในธรรมชาติมากเท่าใดเราจะยิง่ ทึ่งและประหลาดใจในความรอบรู ้และอัจฉริ ยภาพของผูท้ ี่สร้างจักรวาลนี้มาก เท่านั้น ไอน์สไตน์เอง ก็เคยมีคนเข้าใจว่าเขาเป็ นคนไม่นบั ถือศาสนา จนกระทัง่ วันหนึ่งมีคนถามเรื่ องนี้กบั เขา ไอน์สไตน์ตอบว่า “ข้าพเจ้าเชื่อในพระเจ้าแบบที่ สปิ โนซ่ากล่าวไว้ คือ พระเจ้าผูเ้ ปิ ดเผยตนเองในความกลมกลืน ของสรรพสิ่ ง ไม่ใช่พระเจ้าผูค้ อยกําหนดชะตากรรมและการกระทําทุกอย่างของมนุษย์…” แม้วา่ ไอน์สไตน์จะไม่เชื่อพระเจ้าที่เป็ นบุคคลที่คอยทําหน้าที่กาํ หนดชะตากรรมและการกระทําของ มนุษย์ดงั เช่นที่ปรากฏในคัมภีร์ไบเบิลก็ตาม แต่ไอน์สไตน์ก็ไม่ปฏิเสธพระเจ้าในความหมายที่สิโนซ่าตีความเรื่ อง ของพระเจ้า ที่ไอน์ไตน์ยอมรับนี้ คือสิ่ งเร้นลับอันแผงอยูเ่ บื้องหลังปรากฏการณ์อนั น่าพิศวงในธรรมชาติ พระเจ้า ในความหมายของภาวะที่ทาํ ให้สรรพสิ่ งในจักรวาลนี้ประสานกลมกลืนกันและกัน เพราะความเชื่อที่วา่ นี้ หลาย ครั้งที่เมื่อไอน์สไตน์ให้ความเห็นทฤษฎีที่แสดงให้เห็นว่าธรรมชาติไม่มีความประสานกลมกลืนกัน เขาจะให้ เหตุผลแบบทีเล่นทีจริ งว่า... พระเจ้าคงไม่สร้างจักรวาลมาสุ่มสี่ หา้ อย่างนั้น หากเราไม่ใส่ใจคําว่าพระเจ้าที่นิวตันและไอน์สไตน์กล่าวถึงนัก (เพราะเป็ นคําที่สามารถสร้างปั ญหา ถกเถียงในทางปรัชญาได้มากมาย) เราจะเห็นว่าสาระของสิ่ งที่นกั วิทยาศาสตร์ผยู ้ งิ่ ใหญ่ของโลกเหล่านี้กล่าวไว้ก็ คือ เบื้องหลังการทํางานของนักวิทยาศาสตร์ คือ ความเชื่อในความเป็ นระเบียบของจักรวาล ความเป็ นระเบียบ ที่วา่ นี้ไม่ใช่สิ่งเร้นลับ หากแต่เป็ นสิ่ งที่เราสามารถประจักษ์ดว้ ยประสาทสัมผัสในชีวติ ประจําวัน ดวงอาทิตย์ข้ นึ ตอนเช้าและตกตอนเย็นทุกวัน ฤดูกาลผันเวียนมาอย่างสมํ่าเสมอ กฎเกณฑ์ต่างๆที่เกี่ยวเนื่องกับโลกก็คงไม่ เปลี่ยนแปลง ระบบชีวติ ของคนสัตว์ และพืชก็คงเป็ นระบบเดิม นี่คือความคงที่เป็ นระบบระเบียบของโลกที่เรา มองเห็นได้ในชีวติ ประจําวัน พุทธศาสนาเองก็มีความเชื่อในความเป็ นระเบียบของจักรวาล มีหลักธรรมอยูห่ มวดหนึ่งที่แสดงถึง ความเชื่อที่วา่ นี้ หลักธรรมหมวดนี้มีชื่อว่า “นิยาม” นิยามมีความหมายหลายนัย แต่นิยามหนึ่งที่เราจะกล่าวในที่น้ ี คือ ชาวพุทธเชื่อว่าสรรพสิ่ งในจักรวาลนี้ดาํ เนินไปอย่างมีระเบียบ มีกฎเกณฑ์ ตัวอย่างเช่น เมื่อเอาเมล็ด ข้าวเปลือกไปเพาะ เราจะได้ตน้ ข้าว ความสมํ่าเสมอที่วา่ นี้ไม่ใช่สิ่งที่เราสรุ ปขึ้นจากการสังเกตธรรมชาติของต้น ข้าว แต่สรุ ปจากความเชื่อที่วา่ เบื้องหลังความสมํ่าเสมอนี้มีสิ่งหนึ่งกําหนดอยู่ สิ่ งนี้เป็ นภาวะทางนามธรรมที่ไม่ อาจสัมผัสได้ดว้ ยประสามสัมผัส สิ่ งที่เราสัมผัสได้มีเพียงการแสดงตัวของภาวะที่วา่ นี้เท่านั้น ภาวะดังกล่าวนี้ชาว พุทธเรี ยกว่านิยาม นิยามนี้เองที่อยูเ่ บื้องหลังความเป็ นเหตุเป็ นผลของสรรพสิ่ ง จักรวาลดําเนินไปอย่างมีระเบียบก็ เพราะนิยามควบคุมให้เป็ นไปเช่นนั้น นิยามไม่ใช่คาํ สมมติเรี ยกภาวะที่จกั รวาลดําเนินไปอย่างมีระเบียบ หากแต่ เป็ นสิ่ งที่มีอยูจ่ ริ ง แม้จกั รวาลนี้จะว่างเปล่าจากสรรพสิ่ ง นิยามก็ยงั มีอยู่ เพราะเชื่อเช่นนี้ ชาวพุทธจึงเชื่อ สมมติวา่ อยูๆ่ วันหนึ่ง จักรวาลนี้เกิดว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย ในภาวะเช่นนั้นย่อมไม่มีสิ่งอันจะดําเนินไปตามการควบคุมของ 72
นิยาม นิยามก็ไม่สามารถแสดงตัวของมันออกมาได้ หากแต่อยูใ่ นภาวะนิ่งสงบ ต่อเมื่อใดที่มีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมา ในจักรวาลอีกครั้ง เมื่อนั้นนิยามจะออกมาแสดงบทบาท เมล็ดข้าวเมล็ดใหม่ที่เกิดขึ้นหลังจากที่จกั รวาลว่างเว้น จากการมีเมล็ดข้าว เมื่อถูกนําไปเพาะจะกลายเป็ นต้นข้าวเหมือนเดิม พุทธศาสนาเราเชื่อเช่นนั้น เพราะเชื่อใน ความมีอยูข่ องนิยาม หากนิยามเป็ นเพียงชื่อที่สมมติข้ นึ เพื่อเรี ยกอาการที่ทุกสรรพสิ่ งทั้งหมดดําเนินไปอย่างมี ระเบียบ เราย่อมปราศจากพื้นฐานที่จะเชื่อตามที่กล่าวมานั้น กล่าวคือ หากเราไม่เชื่อว่าคํานิยามเป็ นสิ่ งที่มีอยูแ่ ม้ จะไม่มีสิ่งอันใดจะดําเนินไปตามนิยาม เราย่อมไม่มีเหตุผลที่จะเชื่อว่าเมล็ดข้าวเมล็ดใหม่ที่เกิดขึ้นจะมีระเบียบใน ตัวมันเอง เหมือนกับเมล็ดข้าวทั้งหลายก่อนหน้าที่จกั รวาลจะว่างเปล่า ทุกสิ่ งที่เกิดขึ้นใหม่อาจเปลี่ยนแปลงไป โดยสิ้นเชิงก็ได้ เมื่อไม่มีนิยาม อะไรจะเป็ นหลักประกันได้วา่ สรรพสิ่ งที่เกิดขึ้นใหม่จะเป็ นเหมือนที่มนั เคยเป็ น จากที่กล่าวมานี้ เมื่อกล่าวถึงจักรวาล มีประเด็นที่คนเราสนใจอยูส่ องประเด็น คือ - จักรวาลดาเนินไปอย่ างมีระเบียบหรือไม่ - หากจักรวาลดาเนินไปอย่ างมีระเบียบ อะไรคือสาเหตุของความมีระเบียบดังกล่ าวนั้น จะเห็นว่าทั้งสองประเด็นนี้ ประเด็นแรกพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์มีความเห็นสอดคล้องกันว่า จักรวาลนี้ดาํ เนินไปอย่างมีระเบียบ แต่ประเด็นที่สอง ที่พทุ ธศาสนามองต่างจากวิทยาศาสตร์ นิวตันเชื่อว่าที่ จักรวาลดําเนินไปอย่างมีระเบียบเพราะนัน่ เป็ นพระประสงค์ของพระเจ้า พระเจ้าทรงควบคุมให้สิ่งเหล่านี้เป็ น อย่างที่มนั เป็ นไอน์สไตน์เชื่อว่าเบื้องหลังความเป็ นระบบระเบียบของจักรวาลคือพระเจ้าแบบที่สปิ โนซ่าตีความ แม้วา่ พระเจ้าที่ไอน์สไตน์เชื่อนี้ จะต่างจากพระเจ้าของนิวตันในแง่การตีความ แค่พ้นื ฐานความคิดของทั้งสองคน นี้ยนื อยูบ่ นทัศนะแบบเทวนิยมเหมือนกัน แต่ชาวพุทธเชื่อว่านิยามที่ควบคุมความเป็ นระเบียบของจักรวาลไม่ใช่ พระเจ้า เพราะพุทธศาสนาไม่เชื่อในเรื่ องของพระเจ้า แต่เชื่อในเรื่ องของการพัฒนาตัวตนให้เข้าเป็ นส่วนหนึ่งของ นิยามที่วา่ นั้น นิยามเป็ นภาวะทางธรรมชาติอย่างหนึ่งเหมือนภาวะทางธรรมชาติท้ งั หลาย นิกายเซนก็มีทศั นะเกี่ยวกับจักรวาลเหมือนอย่างชาวพุทธทัว่ ไป จะต่างกันก็ตรงที่เวลาเซนกล่าวถึง สิ่ งที่ ควบคุมความเป็ นระเบียบของจักรวาลเซนชอบใช้คาํ ว่า “ตถตา” แทนคําว่านิยาม ความเข้าใจเรื่ องตถตานี้เซนถือ ว่าสําคัญมาก หากเราเข้าใจเรื่ องตถตาเท่ากับเราเข้าใจเนื้อแท้ของจักรวาลทั้งหมด ตถตาจะบอกเราว่า สรรพสิ่ ง ล้วนเกี่ยวเนื่องอาศัยเป็ นปั จจัยแก่กนั และกัน ทุกสิ่ งทุกอย่างที่เกิดขึ้นย่อมมีสาเหตุ โลกมีกฎเกณฑ์ของมันเอง กฎเกณฑ์ที่วา่ นี้ไม่ข้ ึนอยูก่ บั ความชอบหรื อไม่ชอบของเรา เมื่อมีปัจจัยอันจะก่อให้เกิดสิ่ งหนึ่งสิ่ งใดเพียงพอ สิ่ ง นั้นย่อมเกิดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่วา่ เราจะต้องการให้มนั เกิดหรื อไม่ก็ตาม ผูไ้ ม่เข้าใจตถตาย่อมเดือนร้อน กังวล หรื อเป็ นทุกข์ เมื่อประสบกับสิ่ งที่ตนไม่ตอ้ งการ ในอีกทางหนึ่งย่อมพอใจ อิ่มใจ หรื อเป็ นสุข เมื่อประสบกับสิ่ งที่ ตนต้องการให้เกิด แต่สาํ หรับผูท้ ี่เข้าใจในตถตา โลกธรรมเหล่านี้เขาย่อมพิจารณาเห็นว่าล้วนแล้วแต่มีเหตุปัจจัย ทั้งสิ้น เมื่อสรรพสิ่ งมีเหตุปัจจัย มนุษย์ยอ่ มไม่มีสิทธิ์ ยินดียนิ ร้ายหรื อโกรธแค้นต่อการเกิดขึ้นหรื อไม่เกินขึ้น ของสิ่ งเหล่านี้ อุปมาเหมือนนักวิทยาศาสตร์ ที่วา่ เมื่อเอาธาตุ A ผสมกับธาตุ B แล้วได้สาร C เขาย่อมไม่มีสิทธิ์ ยินดีวา่ นัน่ เป็ นผลงานของเขา เพราะการเกิดของ C เป็ นไปตามกฎเกณฑ์ของโลก ไม่เกี่ยวกับตัวเขาเอง สุขทุกข์ใน ชีวติ มนุษย์ก็เช่นเดียวกัน ล้วนแต่ดาํ เนินไปอย่างมีกฎมีระเบียบ เมื่อเราทําสิ่ งอันจะเป็ นสาเหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ก็ ต้องเกิด เมื่อเราทําสิ่ งอันจะเป็ นสาเหตุให้เกิดสุข สุขก็ตอ้ งเกิด นี่คือ กฎเกณฑ์ของโลก นี่คือ กฎเกณฑ์ของจักรวาล
73
พุทธะคือจิตของท่ าน... หนทางสู่ ความรู้ แจ้ งไม่ ได้ ทอดไปทีไ่ หน... อย่ าสนใจสิ่งอืน่ นอกจากจิตนี.้ .. ถ้ าท่ านขับเกวียนมุ่งขึน้ ทางเหนือ... ในขณะทีต่ นเองต้องการลงใต้แล้ว ท่ านจะถึงทีห่ มายได้ อย่ างไร... บทกวีขา้ งต้นนี้เป็ นของเรี ยวกัน (Ryokan, ๑๗๕๘ - ๑๘๓๑ A.D.) พระเซนชาวญี่ปุ่นสมัยโตกุงาวะ บท กวีขา้ งต้นนี้สะท้อนให้เห็นความเข้าใจในธรรมชาติของจักรวาลของท่านผูแ้ ต่งได้เป็ นอย่างดี ในทัศนะของเรี ยว กัน สรรพสิ่ งย่อมดําเนินไปอย่างมีเหตุปัจจัย การปฏิบตั ิธรรมก็เป็ นกิจกรรมอันหนึ่งที่เราจะต้องคํานึงกฎแห่งความ เป็ นเหตุเป็ นผลของมัน เมื่อปั จจัยแห่งความรู ้แจ้งพร้อมมูล การรู ้แจ้งก็เกิดขึ้น การปฏิบตั ิธรรมจึงไม่ใช่การครํ่า เคราเอาจริ งเอาจังอย่างไม่ทราบว่าสิ่ งที่ตนกําลังทําอย่างนั้นจะเอื้ออํานวยให้เกิดผลหรื อไม่ กล่าวคือ การรู ้แจ้ง หรื อไม่ หากแต่การทําความเข้าใจในตถตาจนรู ้วา่ นี่คือเหตุปัจจัยแห่งความรู ้แจ้ง จากนั้นก็ลงมือบําเพ็ญปฏิรูปอัน จะนําไปสู่ความรู ้แจ้งดังกล่าว เมื่อเหตุปัจจัยเกิดมีจนอยูใ่ นระดับเพียงพอจะยังผลให้เกิด กล่าวคือ ความรู ้แจ้งก็เกิด เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ คนเราคือ อณูหนึ่งในจักรวาลอันกว้ างใหญ่ ไพศาล ภายในจักรวาลนีม้ สี ิ่งทีเ่ รายังไม่ รู้มากมายนับอนันต์ ความรู้ มนุษย์ ทมี่ อี ยู่เวลานี้ เป็ นเพียงความรู้ ทมี่ อี าณาบริเวณอย่ างมากก็แค่ เพียง ภายในระบบสุ ริยะจักรวาลของเรา เท่ านั้น นอกเหนือจากนั้นไป ภายในห้ วงอวกาศอันลึกลับซับซ้ อน เราไม่ อาจแน่ ใจได้ ว่าจะมีสิ่งอันใดอยู่เกินเลย สติปัญญาของเราทีจ่ ะเข้ าใจได้ หรือไม่ จะอย่ างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งทีถ่ ือว่ าไม่ อยู่เกินเลยวิสัยทีเ่ ราจะเข้ าใจได้ กค็ อื ตัว เราเอง มนุษย์ ต่างจากเศษหินเศษดินก็ตรงทีร่ ู้ จกั ตัวเอง รู้ จกั ตั้งคาถามเกีย่ วกับสถานะของตนเอง การทาความ เข้ าใจจักรวาลทั้งหมดจะไม่ สมบูรณ์ เด็ดขาด หากเราลืมทีจ่ ะผนวกตัวเองเข้ าไปเป็ นส่ วนหนึ่งของจักรวาลและ ธรรมชาติด้วยแล้ ว มนุษย์ จงึ มีความเป็ นประติสัมพันธ์ กนั กับธรรมชาติและจักรวาล ซึ่งมีอยู่สามมิตคิ วามสัมพันธ์ ของมนุษย์ ดังทีจ่ ะกล่ าวต่อไปนี้ ...
74
ั ันธ์ของมนุษย์ มิตค ิ วามสมพ ความเป็ นมนุษย์ มรี ูปแบบของความสัมพันธ์ อยู่ 3 มิติ คือ -
ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กบั มนุษย์ที่อยูร่ ่ วมกัน ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กบั ธรรมชาติและสิ่ งแวดล้อม ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กบั สิ่งนอกเหนือธรรมชาติ
ทั้ง 3 มิติร้อยรัดกันเป็ นสิ่ งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อจะดํารงชีวติ อยูร่ ่ วมกัน เรี ยกว่า “วัฒนธรรม” คนตะวันตกกับ ตะวันออกมองรู ปแบบความสัมพันธ์ดงั กล่าวต่างกัน ขณะที่คนตะวันตกไม่ให้ความสนใจกับสิ่ งนอกเหนือ ธรรมชาติ แต่พยายามจะคุมทุกอย่างด้วยวิทยาศาสตร์ สังคมตะวันตกแยกจิตวิญญาณออกจากธรรมชาติ เพราะคิดว่าจะควบคุมจักรวาลด้วยวิทยาศาสตร์ ทําให้พฒั นาความรู ้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีข้ ึนมา ขณะที่คนตะวันออกยอมรับสิ่ งนอกเหนือธรรมชาติ แม้วา่ จะเป็ นสิ่ งที่ไม่รู้ไม่เข้าใจแต่เป็ นสิ่ งที่คนเหล่านี้เชื่อ และสร้างความเชื่อเหล่านี้ข้ ึนมาเพื่อเป็ นแนวทางในการอยูร่ ่ วมกัน จากความเชื่อได้พฒั นากลายเป็ นศาสนาต่างๆ ที่มองจักรวาลเป็ นระบบความเชื่อ เพราะฉะนั้นคน ตะวันออกจึงมีครบทั้ง 3 มิติ โดยเฉพาะมิติสุดท้าย คือ สิ่ งนอกเหนือธรรมชาติน้ นั เป็ นความสัมพันธ์ที่ควบคุม พฤติกรรมของคนในสังคมตะวันออก ซึ่งคนทางตะวันตกส่วนใหญ่ไม่มี ขณะที่สงั คมไทยในปั จจุบนั กลายเป็ นส่วนหนึ่งของสังคมตะวันตก ซึ่งเกิดจากการเดินตามตะวันตกทุกอย่าง ทําให้มิติของความสัมพันธ์ กับสิ่ งนอกเหนือธรรมชาติขาดหายไป ความเชื่อที่เหลืออยูก่ ็ไม่ใช่ความเชื่อทางศาสนาแต่เป็ นความเชื่อทาง ไสยศาสตร์ เวลานี้เราไม่ได้มองมิติทางจิตวิญญาณ เรามองศาสนาในลักษณะหยุดนิ่ง การศึกษาศาสนาคือ การศึกษาเพียงแต่วา่ พระพุทธเจ้าสอนอะไรบ้าง ขณะที่เราพูดกันถึงความหลากหลายทางชีวภาพ และเราต้องไม่ลืมความหลากหลายของวัฒนธรรมด้วย “ศาสนา” คือ สถาบันสากลของความมีศีลธรรม เป็ นสิ่ งที่สร้างชุมชนแบบมนุษย์ข้ ึนมา ที่ผา่ นมาเราอยูก่ นั มา เป็ นพันๆ ปี ได้อย่างมีความสุข มาพังเมื่อรับเอาความคิดแบบตะวันตกเข้ามา เกิดศาสนาใหม่ข้ ึนมาคือ ศาสนา บริ โภคนิยม ศาสนาทุนนิยม (ดังที่กล่าวไว้ในบทก่อนแล้ว) ถ้าไม่เข้าใจตรงนี้เราหยุดไม่ได้ ถ้ายังไม่หยุด ปรากฏการณ์น้ ีจะเกิดขึ้นต่อไป เช่นเมื่อเราสัมผัสกับธรรมชาติ ถ้าเรารู ้วา่ ธรรมชาติมนั เชื่อมโยงเป็ นหนึ่ง เดียวกันเราก็ได้ประโยชน์ตรงนี้มาก เราเงยหน้าเห็นดวงดาว ความเห็นแก่ตวั ตรงนี้เราก็ลดลง เพราะเรารู ้วา่ ทั้งหมดมันมีความเป็ นหนึ่งเดียวกันทั้งจักรวาล เราไม่ได้เป็ นศูนย์กลางที่จะแยกส่วนออกมา เห็นดวงดาว ความเห็นแก่ตวั ก็ลดลง เห็นพระจันทร์ความเห็นแก่ตวั ก็ลดลง เห็นทะเลความเห็นแก่ตวั ก็ลดลง เห็นภูเขา ความเห็นแก่ตวั ก็ลดลง เราสามารถนํามาใช้ให้เป็ นประโยชน์เพื่อลดความเห็นแก่ตวั ของเราได้ตลอดเวลา ทํา ให้เราเป็ นอิสระขึ้น มีความสงบ มีความสุข มีความรักเพื่อมนุษย์ รักธรรมชาติท้ งั หมด ตรงนี้ที่หมายถึงเข้าถึง ความเป็ นทั้งหมดและถ้าเราเข้าใจตรงนี้เราก็จะได้ประโยชน์จากธรรมชาติอย่างเหลือหลาย จะประสบ
75
ความสุข และความงาม และจะเกิดความรู ้สึกอยากให้เพื่อนมนุษย์คนอื่นได้เจออย่างนี้เช่นกัน เพราะเป็ น ความสุข เป็ นความงาม และมีการเรี ยนรู ้ ซึ่งหมายถึงการเข้าถึงความจริ งทั้งหมด เกี่ยวกับความจริ งทั้งหมดนั้น ถ้าเป็ นสิ่ งที่ใหญ่ที่สุดทางวิทยาศาสตร์ ก็คือความเป็ นบิ๊กแบง (Big Bang) ที่คาดกันว่าเกิดขึ้นเมื่อ ๑๕,๐๐๐ ล้านปี นั้นเป็ นจุดเริ่ มต้นของทุกอย่างในปัจจุบนั แต่วา่ ในทางพุทธนั้นมีสิ่งที่ ดํารงอยูก่ ่อนบิ๊กแบงเสี ยอีก ถ้าทางวิทยาศาสตร์จะบอกว่าอวกาศและเวลาเริ่ มเมื่อเกิดมีบิ๊กแบง เพราะฉะนั้น จักรวาลทั้งจักรวาล ดวงดาวทั้งหมดและวัตถุต่างๆ เริ่ มเมื่อเกิดมีบิ๊กแบงเกิดขึ้น แต่ในทางพุทธบอกว่ามันมีสิ่ง ที่มีอยูก่ ่อนแล้ว สิ่ งที่ไม่ปรุ งแต่งมีอยูก่ ่อนบิ๊กแบง ซึ่งเป็ นธรรมชาติที่มีอยูแ่ ล้วเมื่อไหร่ ก็ไม่รู้ เป็ นจุดตั้งต้นไม่ มีจุดสิ้นสุด ไม่ปรุ งแต่งในนั้น แล้วสิ่ งอื่นที่เกิดขึ้นตั้งแต่มีบิ๊กแบง ถือเป็ นการปรุ งแต่งทั้งสิ้น คือปรุ งแต่งขึ้น สังขารแปลว่าปรุ งแต่งขึ้นเป็ นจักรวาล เป็ นดวงอาทิตย์เป็ นดวงดาว เป็ นต้นไม้ คน สัตว์ อันนี้เป็ นสังขารที่ ปรุ งแต่งขึ้นมา ถ้าใครเข้าใจก็จะระงับการปรุ งแต่งได้ และถ้าระงับการปรุ งแต่งเสี ยได้ก็จะเข้าไปสู่ความสงบ และเป็ นสุขอย่างยิง่ พระไพศาล วิสาโล เคยกล่าวไว้วา่ “ความทุกข์พ้นื ฐานของคนในยุคบริ โภคนิยมสื บเนื่องจากการปฏิเสธ มิติที่มีความสัมพันธ์กบั มนุษย์ทางจิตวิญญาณ อันเป็ นผลจากโลกทัศน์แบบวัตถุนิยมที่เห็นธรรมชาติมีเพียง มิติเดียว คือ “มิติทางวัตถุ” อันประจักษ์ได้ดว้ ยประสาททั้งห้าเท่านั้น โลกทัศน์ดงั กล่าวให้ผคู ้ นปฏิเสธหรื อไม่ ยอมรับความต้องการมิติทางจิตวิญญาณ อันได้แก่ความต้องการมีตวั ตนที่เที่ยงแท้มนั่ คงและความสงบ เมื่อ ไม่ยอมรับว่ามีความต้องการดังกล่าวอยูใ่ นส่วนลึก จึงไม่สนใจที่จะตอบสนอง หรื อตอบสนองไม่ตรงจุด เพราะไปอาศัยวัตถุเป็ นทางแก้เนื่องจากเข้าใจว่า ต้นตอของปั ญหาอยูท่ ี่เรื่ องวัตถุ” ศาสนานั้นเห็นว่า มนุษย์น้ นั มีหลายมิติขา้ งต้นที่หลอมรวมกันเป็ น วัฒนธรรม ซึ้งเราควรได้รับความเอา ใจใส่ไม่นอ้ ยไปกว่ามิติทางวัตถุ การรื้ อฟื้ นมิติทางจิตวิญญาณให้กลับมาเป็ นส่วนหนึ่งของมนุษย์ พร้อมกับ วิธีการตอบสนองความต้องการทางจิตวิญญาณอันได้แก่ “สมาธิภาวนา” ซึ่งเป็ นหนทางที่จะช่วยให้มนุษย์เรา นั้นบําบัดทุกข์ได้อย่างแท้จริ ง อย่างไรก็ตามควรยํ้าว่า มิติทางจิตวิญญาณทางศาสนานั้น สิ่ งที่ควรให้ ความสําคัญมากที่สุดก็ คือ ความรู ้ความเข้าใจที่ช่วยให้แต่ละคนสามารถเห็นสาเหตุต่างๆ และหนทางดับทุกข์ ด้วยตนเอง เพื่อให้บรรลุถึงอิสรภาพในทาง “จิต และ ปั ญญา” อันเป็ นจุดหมายสูงสุดของมนุษย์ท้ งั หลาย จนถึงบิ๊กแบงภายในใจ... มนุษย์ เป็ นสิ่งมีชีวติ ทีแ่ ปลก คือ สามารถเป็ นทั้งศู นย์ กลางของจักรวาล และเป็ นทั้งส่ วนหนึ่งของ จักรวาลได้ กล่ าวคือ ในฐานะศูนย์ กลางของจักรวาล มนุษย์ สามารถปรับสิ่งต่ างๆทีอ่ ยู่รอบกายให้ เข้ ากับตัวเขา เองได้ (ยึดมัน่ ถือมัน่ ในตัวตน) และเช่ นกัน มนุษย์ เราในฐานะเป็ นส่ วนหนึ่งของจักรวาล มนุษย์ จาเป็ นต้ อง ปรับตัวให้ เข้ ากันกฎเกณฑ์ ต่างๆในจักรวาลและธรรมชาติ และนี่คอื ความอ่ อนแอ และยิง่ ใหญ่ ภายในของ ความเป็ นธรรมชาติของตัวมนุษย์ เอง อยู่ทเี่ ราจะเลือกปฏิบตั แิ บบไหน เป็ นศูนย์ กลางหรือจะเป็ นส่ วนหนึ่ง ของจักรวาลธรรมชาติ “บิ๊กแบงภายใจจึงเกิด” เมือ่ เราเข้ าใจดังนี้ ...
76
บิก ๊ แบงภายในทีม ่ ี อิสรภาพทางใจจึงเกิด
มนุษย์ไม่ได้เกิดมาในโลกแต่เพียงลําพัง นอกจากเพื่อนมนุษย์ดว้ ยกันเรายังมีเพื่อนร่ วมโลกจํานวน มากมายมหาศาล ไกลออกไปยังห้วงจักรวาลเรายังอาจมีเพื่อนที่ยงั ไม่รู้จกั กันอีกจํานวนไม่ได้ มนุษย์ไม่ได้อยูอ่ ย่าง โดดเดี่ยวท่ามกลางจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล หากแต่มนุษย์ยงั กําลังอยูท่ ่ามกลางสิ่ งไร้ชีวติ จํานวนมหึ มาไม่วา่ จะเป็ นดวงดาว ฝุ่ นธุลี หรื อวัตถุหลากหลายประเภท พุทธศาสนาตระหนักถึงความเป็ นจริ งอันนี้ จึงได้วางแนวทาง เอาไว้สาํ หรับให้มนุษย์นาํ ไปปฏิบตั ิท้ งั นี้ก็เพื่อช่วยให้มนุษย์ปรับตัวให้กลมกลืนกับความเป็ นไปของจักรวาล มนุษย์น้ นั มองได้หลายแง่ มนุษย์อาจมีความสามารถที่จะกําหนดความเป็ นไปหลายอย่างในชีวติ ตนเอง แต่กระนั้น สิ่ งหนึ่งที่เป็ นแง่จริ งของความเป็ นมนุษย์ ที่คงไม่มีใครปฏิเสธก็คือ ในบางสถานการณ์มนุษย์ไม่ได้เป็ นอิสระ เด็ดขาดจากจักรวาล เราอาศัยอยูบ่ นดวงดาวเล็กๆ ดาวหนึ่งที่เรี ยกว่าโลก โลกใบนี้ก็ไม่ได้เป็ นอิสระเลย มันต้อง หมุนไปตามทิศทางที่ถูกกําหนดโดยดวงดาวดวงอื่นๆ ในระบบสุริยะ ระบบสุริยะเองก็หาได้เป็ นอิสระไม่ มันยัง ต้องหมุนเหวีย่ งตัวมันเองไปตามทิศทางที่ถูกกําหนดโดยกลุ่มดาวกลุ่มอื่นๆ ภายในกาแล็กซีน้ ี และกาแล็กซีที่เรา อยูน่ ้ ีก็ได้เป็ นอิสระไม่มนั ยังต้องเปลี่ยนแปลงไปตามทิศทางที่ถูกกําหนดโดยกาแล็กซีอื่นๆ สรรพสิ่ งในจักรวาล ต่างอิงอาศัยและสัมพันธ์เนื่องถึงกัน ในเรื่ องของวิทยาศาสตร์ โดยทัว่ ไปอาจจะถือได้วา่ โลกเป็ นระบบ (System) ที่อยูน่ ิ่งระบบหนึ่ง เรา อาจจะเลือกกําหนดว่าต้นไม้และบ้านอยูน่ ิ่ง สัตว์ รถยนต์ และเครื่ องบินนั้นเคลื่อนที่ สําหรับนักฟิ สิกส์ดาราศาสตร์ โลกไม่ได้อยูน่ ิ่งเลย แต่กาํ ลังเคลื่อนที่ไปในอากาศในลักษณะอันแสนซับซ้อน คือ นอกจากจะหมุนรอบตัวเองวัน ละ ๑ รอบ ด้วยความเร็ วถึง ๑,๐๐๐ ไมล์ต่อชัว่ โมง ยังโคจรรอบดวงอาทิตย์ ด้วยความเร็ ว ๒๐ ไมล์ตอ่ วินาที และยัง เคลื่อนที่ในลักษณะอื่นที่เราไม่คนุ ้ อีกหลายอย่าง ดวงจันทร์ก็มิได้โคจรรอบโลกดังที่เข้าใจกันทัว่ ๆ ไป แต่ท้ งั โลก และดวงจันทร์ต่างโคจรรอบกันและกัน หรื อพูดให้ถูกก็คือ ทั้งโลกและดวงจันทร์ต่างโคจรรอบจุดศูนย์ถ่วงอัน เดียวกัน ยิง่ กว่านั้นระบบสุริยะทั้งหมดกําลังเคลื่อนที่อยูภ่ ายในกลุ่มดาวกลุ่มดาวกลุ่มหนึ่งด้วยความเร็ ว ๑๓ ไมล์ ต่อวินาที กลุ่มดาวกลุ่มนี้กาํ ลังเคลื่อนที่อยูภ่ ายในกาแล็กซีดว้ ยความเร็ ว ๒๐๐ ไมล์ต่อวินาที และกาแล็กซีท้ งั กาแล็กซีก็เคลื่อนที่ดว้ ยความเร็ ว ๑๐๐ ไมล์ต่อวินาทีเมื่อเทียบกับกาแล็กซีอื่นที่อยูไ่ กลออกไป การเคลื่อนที่ท้ งั หมด ที่กล่าวแล้วนี้เป็ นไปคนละทิศละทาง จะว่าไปแล้วจําเพาะโลกที่เราอยูน่ ้ ี มนุษย์เพิง่ ครอบครองเป็ นเจ้าของเมื่อไม่กี่หมื่นปี มานี้เอง ระยะเวลา ตามที่กล่าวมานี้นบั ว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับอายุอนั ยาวนานของโลก ในอดีตนั้นโลกใบนี้เคยมีสิ่งมีชีวติ ชนิดต่างๆ เป็ นผูค้ รอบครองเป็ นเจ้าของมาไม่รู้กี่รุ่น ผูค้ รอบครองต่างกันมาแล้วก็ไป ไม่มีใครอาจยืนยงอยูค่ ู่โลก ปั จจุบนั มนุษย์คือผูค้ รอบครองโลก ด้วยความรู ้สึกว่าตนเองคือผูค้ รอบครองนี่เอง ที่บางครั้งอาจทําให้เราลืมไปว่าแท้ที่จริ ง นั้น มนุษย์ไม่มีสิทธิ์อา้ งว่าโลกนี้เป็ นของตนเพียงผูเ้ ดียว ความคิดที่วา่ เราคือเจ้าของอาณาบริ เวณทั้งหมดในโลก เป็ นเพียงการทึกทักที่ไม่มีความชอบธรรมใดๆ รองรับทั้งสิ้น พืช สัตว์ ตลอดจนชีวติ ที่เรายังไม่รู้จกั จํานวน มหาศาลในโลกนี้มีอะไรต่างจากคน สิ่ งเหล่านี้อาจต่างจากเราในแง่ที่ยงั มีระดับของพัฒนาการตํ่ากว่าเรา แต่นี่ก็
77
ไม่ใช่สิ่งสําหรับใช้อา้ งว่ามนุษย์สามารถเอาเปรี ยบพวกเขาได้ คนแข็งแรงไม่มีสิทธิ์เอาเปรี ยบคนอ่อนแอฉันใด คน ฉลาดไม่มีสิทธิ์เอาเปรี ยบคนไม่ฉลาดฉันใด มนุษย์ก็ไม่มีสิทธิ์เอาเปรี ยบเพื่อนร่ วมโลกเหล่านั้นฉันนั้น ความเป็ นอิสระจึงมีความหมายไปได้สองแง่อยูเ่ สมอ หนึ่งเราพยามเพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็ นอิสระ สอง เพื่อให้ได้มาซึ่งจุดเหนือโลก แต่ปัญหามีอยูว่ า่ จุดเหนือโลกเป็ นจุดที่ทาํ ให้มนุษย์อิสรเสรี เต็มที่เปรี ยบประหนึ่งเป็ น พระเจ้าเอง หรื อว่าเป็ นจุดภายนอกที่มนุษย์เสรี พอที่จะเผชิญหน้ากับพระเจ้า และตระหนักในขณะนั้นถึงความไม่ อิสรเสรี อย่างสมบูรณ์ของตน ว่าอย่างน้อยก็ยงั ต้องยึดมัน่ ในพระเจ้า ความเป็ นอิสระที่ไม่มีขอ้ ผูกพันและที่ไม่มี ความรับผิดชอบอาจจะปรากฏในรู ปของความไม่แยแส ความไม่ใช่ธุระของตนต่อโลกและเพื่อนมนุษย์ ความ เพิกเฉยต่อความตาย วันหนึ่งความตายจะต้องมาถึง ทําไมจะต้องตื่นเต้น ความรักนั้นเป็ นไปได้ แต่ก็ข้ ึนอยูก่ บั เวลา ขึ้นอยูก่ บั ความแน่นอน และจะต้องผ่านพ้นเปลี่ยนแปลงไป ชีวิตดํารงอยูอ่ ย่างไม่มีอารมณ์ไม่มีประสงค์ที่จะเป็ น หรื อทําอะไรเป็ นพิเศษ ทําไปเท่าที่ได้รับการร้องเรี ยนหรื อเท่าที่ควรจะทํา ชีวติ ที่ไม่มีขอบฟ้ า ไม่มีความไกล ไม่มี อดีต ไม่มีอนาคต ไม่มีอะไรหวังอีกต่อไปดํารงอยูเ่ พียงที่นี่และขณะนี้ ทัศนะในการมองโลกตามที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เป็ นการศึกษาเชิงวิเคราะห์พทุ ธศาสนานิกายเซน ของท่าน รองศาสตราจารย์ ดร. สมภาร พรมทา และยังกล่าวอีกว่า ดูเหมือนจะเป็ นเรื่ องที่บางศาสนาให้ความสําคัญมาก ซึ่ง ถือว่ามนุษย์เราเป็ นเพียงผูอ้ าศัยโลกเหมือนกับพืชและสัตว์ต่างๆ ดังนั้นในการดํารงชีวติ เราจําต้องตระหนักถึง ความชอบธรรมและสิ ทธิที่พืชและสัตว์ต่างๆ ดังนั้นในการดํารงชีวติ เราจําต้องตราหนักถึงความชอบธรรมและ สิ ทธิที่พืชและสัตว์อื่นสามารถอ้างได้ในการดํารงชีพของมัน สิ ทธิที่จะมีชีวติ อยูบ่ นโลกนี้ เป็ นสิ ทธิที่ทุกชีวติ มีอยู่ เท่าเทียมกัน เราจะเข้าใจทัศนะในการมองโลกอย่างที่วา่ นี้ดีข้ ึน หากจะลองพิจารณาดูตวั อย่างบทกวีตวั อย่าง ต่อไปนี้ ดอกไม้ ณ ซอกกาแพง… ฉันถอนเจ้ าขึน้ มาจากซอกาแพง… ถือเจ้ าเอาไว้ ในมือ… ดอกไม้ น้อยๆ เอย ถ้ าฉันสามารถเข้ าใจ… ว่ าเจ้ าคืออะไร… ฉันคงเข้ าใจว่ าพระเจ้ าและมนุษย์คอื อะไร… บทกวีขา้ งต้นนี้เป็ นของเทนนิสนั (Alfred Tennyson, ๑๘๐๙ - ๑๘๙๒ A.D.) กวีชาวอังกฤษ เนื้อหาของ บทกวีบรรยายภาพความนึกคิดของผูเ้ ขียนที่มีต่อดอกไม้ที่เขาพบที่ซอกกําแพงแห่งหนึ่ง โปรดสังเกตว่า เมื่อแทนนิ สันพบดอกไม้ เขาได้ถอนมันขึ้นมาทั้งต้น เพื่อพินิจดูความเร้นลับอันแฝงอยูใ่ นต้นไม้น้ นั เมื่ออ่านบทกวีบทนี้ เรา อาจเข้าใจความนึกคิดที่ละเอียดลึกซึ่งของท่านผูแ้ ต่งที่เพียงแต่มองเห็นต้นไม้ไร้ค่าต้นหนึ่งที่ซอกกําแพง ก็สามารถ มองเห็นความเร้นลับของจักรวาลทั้งจักรวาล ต้นไม้ที่เทนนีสนั เห็นอาจมีคนหลายคนเคยเห็นมันมาก่อน แต่ทุกคน อาจมองไม่เห็นบางสิ่ งที่เทนนีสนั เห็นโดยผ่านทางต้นไม้น้ นั นี่คือความละเอียดอ่อนในการมองสิ่ งต่างๆ ของกวี เทนนีสนั อาจประสบความสําเร็ จในการบรรยายความนึกคิดของตนเองในบทกวีน้ ี แต่สิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนว่าเขาจะ มองข้ามไปก็คือต้นไม้เล็กๆ ต้นนั้นที่เขาถอนมันขึ้นมา ต้นไม้น้ นั มีชีวติ และชีวติ ของมันก็จบสิ้นลงพร้อมกับมือ เทนนีสนั ที่ดึงมันขึ้นจากซอกกําแพง หากเทนนีสนั ไม่คิดว่ามนุษย์คือผูค้ รอบครองโลกที่สามารถถอนต้นไม้ที่ เกิดขึ้นในอาณาบริ เวณที่เขาเป็ นเจ้าของ เขาก็คงจะเพียงแต่พนิ ิจดูตน้ ไม้น้ นั โดยไม่เข้าไปแตะต้องล่วงลํ้าสิ ทธิ 78
ส่วนตัวของต้นไม้น้ นั เทนนีสนั มีสิทธิ์จะเพ่งพินิจความเร้นลับอันแฝงอยูใ่ นต้นไม้น้ นั แต่เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะดึง ต้นไม้น้ นั ออกมาจากซอยกําแพง เรื่ องนี้บางทีเราอาจเห็นเป็ นเรื่ องเล็กน้อย ในชีวติ ประจําวันเรา ก็ทาํ อย่างที่ เทนนีสนั ทํา เราชอบดอกไม้แล้วเราก็เด็ดดอกไม้น้ นั มาปั กแจกกัน นี่เป็ นเรื่ องปกติธรรมดา แต่เรื่ องเล็กน้อยปกติ ธรรมดาอย่างนี้บางศาสนากลับสอนให้เห็นเป็ นเรื่ องใหญ่ คนเราไม่ค่อยรู ้สึกว่าตนเองผิดที่ถอนต้นหญ้าหรื อฆ่า แมลงตัวเล็กๆตาย แต่สาํ หรับศาสนาเซนสิ่ งเหล่านี้ต่างก็มีชีวติ เราไม่อาจสรุ ปได้วา่ ชีวติ ของเราสําคัญกว่าชีวติ เล็กน้อยเหล่านี้ หรื ออาจจะกล่าวได้อีกว่า “มนุษย์ มสี ิทธิ์จะชมความงามของธรรมชาติ แต่ มนุษย์ ไม่ มสี ิทธิ์ทจี่ ะ ทาลายธรรมชาติ” บางท่านที่อ่านเรื่ องราวทํานองนี้แล้วอาจมีความสงสัยว่า ชีวติ ของคนเรานั้นบางครั้งก็ไม่อาจทํา ในสิ่ งที่เป็ นอุดมคติได้เสมอไป มนุษย์จาํ เป็ นต้องทําสิ่ งที่ถูกกําหนดให้ทาํ โดยธรรมชาติ ทั้งนี้เพื่อความอยูร่ อดแห่ง เผ่าพันธุ์ของมนุษย์เอง โดยที่การกระทําเหล่านี้ไม่มีทางที่จะไม่ให้กระทบถึงชีวติ อื่นในโลกนี้ ยกตัวอย่างเช่นเรา ต้องกินอาหารอาหารที่คนเรากินมาจากไหน จากพืชและสัตว์ หากมนุษย์ยงั ไม่อยากตาย มนุษย์จาํ เป็ นที่จะต้อง เบียดเบียนชีวติ ของสิ่ งเหล่านี้ ในความนึกคิดเราอาจวาดภาพการไม่เบียดเบียนเพื่อนร่ วมโลกได้ แต่ในความเป็ น จริ งไม่มีทางที่จะหนีพน้ จากการเบียดเบียนพวกเขาเลย เพราะธรรมชาติของเราถูกสร้างมาเพื่อเบียดเบียนชีวติ อื่น อยูแ่ ล้ว ความสงสัยข้างต้นนี้ที่จริ งเป็ นความสงสัยที่ค่อนข้างมีคนคิดกันมากในวงการปรัชญาสาขา จริ ยศาสตร์ ประเด็นของความสงสัยอาจสรุ ปสาระสําคัญได้วา่ เวลาที่เราบอกว่าคนเราควรทําเช่นนั้นเช่นนี้ การบอกนั้นมีนยั แฝงอยูแ่ ล้วว่า สิ่ งที่เราบอกว่าคนควรทําเป็ นสิ่ งที่คนสามารถทําได้ เช่น เราบอกว่าคนควรเสี ยสละ การกล่าวเช่นนี้ แฝงความเชื่ออย่างหนึ่งเอาไว้ คือ ความเชื่อถือที่วา่ คนเราสามารถเสี ยสละได้ถา้ เขาต้องการทํา หากเราเชื่อว่ามนุษย์ มีธรรมชาติอย่างหนึ่ง คือ เสี ยสละไม่ได้ เราก็คงไม่บอกว่าคนเราควรเสี ยสละ เพราะบอกไปแล้วจะมีความหมาย อะไร สรุ ปความว่าเวลาที่เราต้องการมาตรฐานทางศีลธรรมบางอย่าง สําหรับชี้บอกว่านี่คือความดี นี่คือสิ่ งที่มนุษย์ ควรทํา สิ่ งแรกที่สุดที่เราจะต้องคํานึงถึงก็คือ สิ่ งที่เรากําลังชี้ชวนให้คนทํานั้นขัดกับธรรมชาติของคนหรื อไม่ หาก ขัดกับธรรมชาติ การชี้ชวนนั้นย่อมไร้ความหมาย เพราะย่อมไม่มีใครสามารถทําตามได้ ขอให้นึกถึงภาพคนหนึ่ง ที่พยายามชี้ชวนคนทั้งโลกว่าควรทําสิ่ งหนึ่ง แต่สิ่งที่เขากําลังชี้ชวนนั้น ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทําได้ เราคงไม่ อยากเรี ยกสิ่ งที่เขาพยายามชี้ชวนนั้นว่าเป็ นสิ่ งที่ควรทํา ความเคลือบแคลงตามที่กล่าวมานี้ การศึกษาเชิงวิเคราะห์ พุทธศาสนานิกายเซน ของ รองศาสตราจารย์ ดร. สมภาร พรมทา ยังกล่าวไว้ในการศึกษาอีกว่า หากให้ศาสนาบาง ศาสนาตอบ อย่างนิกายเซน เซนก็คงจะตอบว่าเวลาที่เรากล่าวถึงความเคารพในสิทธิของชีวติ อื่นที่อยูร่ ่ วมโลกกับ เรา เราต้องแยกประเด็นการพิจารณาออกเป็ นสองประเด็น กล่าวคือ ๑.ในสถานการณ์น้ นั เราสามารถเลือกที่จะไม่เบียดเบียนพวกเขาได้ หรื อไม่ในกรณี ที่เราสามารถเลือกได้ เราย่อมไม่มีสิทธิ์ที่จะก้าวก่ายแทรกแซงชีวติ เหล่านั้น กรณี ของเทนนีสนั เองก็อยูใ่ นสถานการณ์ที่สามารถเลือกที่ จะไม่ทาํ อันตรายแก่ตน้ ไม้ที่ซอกกําแพงได้ แต่เขาก็ยงั ทําลายมัน! การที่เซนเสนอความคิดเรื่ องการเคารพสิ ทธิใน ชีวติ ของสิ่ งต่างๆ เซนเสนอในกรณี ที่เราสามารถเลือกได้วา่ จะละเมิดชีวติ ของสิ่ งนั้นๆหรื อไม่ โดยที่ทางเลือกทั้ง สองนี้ไม่มีผลกระทบอันใดต่อการดํารงชีพของมนุษย์ กล่าวคือหากเราเลือกที่จะละเมิด การละเมิดนั้นก็ไม่ใช่สิ่ง สนับสนุนการดํารงชีพของมนุษย์ (เช่น กรณี ที่เทนนีสนั ถอนต้นไม้ การที่เขาถอนต้นไม้ตน้ นั้นไม่ทาํ ให้เขามีชีวติ ที่ ดีข้ ึนหรื อสะดวกสบายขึ้น) หรื อหากเราเลือกที่จะไม่ละเมิด การไม่ละเมิดนั้นก็ไม่ใช่สิ่งตัดรอนการดํารงชีพของ เรา (เช่น หากเทนนีสนั เลือกที่จะไม่ถอนต้นไม้น้ นั ชีวติ เขาก็ยงั เป็ นปกติ การถอนต้นไม้ไม่ใช่สิ่งจําเป็ นสําหรับการ ดํารงชีพของเขาเลย) 79
๒.แต่ในบางสถานการณ์เราไม่สามารถเลือกได้ เรามีทางเลือกอยูเ่ พียงทางเดียวเท่านั้น คือ ต้องละเมิด ชีวติ สิ่ งอื่นเพื่อความอยูร่ อดของเราเอง ในสถานการณ์เช่นนี้เซนไม่ได้ขอร้องหรื อชี้ชวนให้เราทําสิ่ งที่ขดั กับ ธรรมชาติของเราเลย พระในนิกายเซนก็ยงั ต้องฉันอาหาร อาหารที่ฉนั แม้จะเป็ นพืชผัก แต่พืชผักนั้นก็เป็ นสิ่ งมีชีวติ ตราบใดที่คนเรายังต้องกินอาหาร ตราบนั้นพระเซนก็ยงั จะต้องละเมิดสิ ทธิในชีวติ ของพืชผักอยูต่ ลอดไป จากที่กล่าวมานี้เองการศึกษาเชิงวิเคราะห์พทุ ธศาสนานิกายเซน สรุ ปได้วา่ เวลาที่เราพิจารณาถึงทัศนะ ในการดําเนินชีวติ ที่เน้นเรื่ องการเคารพในสิ ทธิชีวติ ของสิ่ งต่างๆ เราต้องเข้าใจว่าเราเคารพสิ ทธิในชีวติ ของสิ่ ง ต่างๆ ในกรณี ที่เราสามารถเลือกได้เท่านั้น กล่าวให้ง่ายก็คือ ก่อนที่เราจะทําอะไรลงไปอันเป็ นการลิดรอนชีวติ ของสิ่ งอื่น ให้เราลองตั้งคําถามว่าเราจําเป็ นต้องทําอย่างนั้นหรื อไม่ หากจําเป็ นก็ไม่เป็ นไร เพราะธรรมชาติสร้าง ชีวติ ของเราให้จาํ ต้องทําอย่างนั้น แต่ถา้ ไม่จาํ เป็ นเราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะลิดรอนชีวติ ของเขา มนุษย์เราทุกวันนี้ต่างก็มี ชีวติ อยูไ่ ด้ดว้ ยการทําลายชีวติ สิ่ งอื่น ขอให้เราลองตั้งคําถามกันดูวา่ ในกรณี ที่เราละเมิดชีวติ เพื่อนร่ วมโลกของเรา เองนั้น มีสกั กี่กรณี ที่เป็ นความจําเป็ นจริ งๆ และมีกี่กรณี ที่เราละเมิดทั้งที่ไม่มีความจําเป็ นใดๆ ทั้งสิ้น การล่าสัตว์ เพื่อความสนุกสนานซึ่งเรี ยกเสี ยหรู หราว่าเกมกีฬา การทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้สตั ว์เป็ นเครื่ องมือในการ ทดลองซึ่งยังผลให้สตั ว์เหล่านั้นล้มตาย หรื อไม่ก็พิกลพิการอย่างน่าเวทนา ตลอดจนการกักขังสัตว์ไว้ในสวนสัตว์ ที่ทาํ ให้สตั ว์เหล่านั้นจําต้องทนอยูภ่ ายในอาณาบริ เวณที่จาํ กัดเพียงความบันเทิงของมนุษย์ สิ่ งเหล่านี้เราต้องถาม ตัวเองดูวา่ มันเป็ นสิ่ งจําเป็ นหรื อไม่สาํ หรับการดํารงชีพของมนุษย์ เรามีอิสระที่จะทําอะไรก็ได้ ที่จะเลือกทํา หรื อไม่ทาํ ก็ได้ เคยมีคนกล่าวไว้วา่ “ คนธรรมดาคือ พุทธะ กิเลสคือการรู้ แจ้ ง ความคิดทีโ่ ง่ เขลาในอดีตทาให้ คนเป็ นคนธรรมดา ความคิดที่ สว่ างโพลงในปัจจุบันทาให้ คนเป็ นพุทธะ ความคิดทีค่ อยใฝ่ หาสิ่งสนองตอบความอยากทางอายตนะในอดีตคือ กิเลส ส่ วนความคิดทีเ่ ป็ นอิสระจากความยึดติดปัจจุบันคือความรู้แจ้ ง ” ข้อความนี้เป็ นของท่านฮุยเหนิง (慧能) หรื อที่เราคุน้ ชื่อกันว่า ท่านเว่ยหลาง เป็ นข้อความที่คอ่ นข้างจะ ชวนฉงนแก่ชาวพุทธเถรวาท ท่านฮุยเหนิง กล่าวว่าปุถุชนคนธรรมดาคือ พุทธะ กิเลสคือ โพธิ การกล่าวเช่นนี้ดู เหมือนการเล่นคําเพื่อผลในทางกระตุน้ ความสนใจ แต่ที่จริ งไม่ใช่ การกล่าวเช่นนี้เป็ นการยืนยันจริ ง ในทัศนะของ ท่านฮุยเหนิง ปุถุชนกับพระอริ ยะไม่มีความแตกต่างกัน กิเลสกับความรู ้แจ้งก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน ทั้งพระอริ ยะ และปุถุชนต่างก็มีพทุ ธภาวะเสมอเหมือนกันเมื่อมองอย่างนี้ เราย่อมไม่เห็นความแตกต่าง ส่วนกิเลสกับความรู ้แจ้ง ก็เช่นกัน สองสิ่ งนี้ปกติคนมักมองว่าตรงข้ามกัน แต่ท่านฮุยเหนิง มองว่าทั้งสองอย่างนี้เป็ นธรรมชาติร่วมกันของ คน คนเรานั้นมีธรรมชาติอย่างหนึ่งคือ ธรรมชาติที่จะยึดมัน่ หรื อปล่อยวางในสิ่ งที่ตนประสบก็ได้ เมื่อใดที่คนเรา ยึดมัน่ เมื่อนั้นเราอาจจะเรี ยกว่าเขามีกิเลส เมื่อใดที่เขาปล่อยวาง เมื่อนั้นเราอาจจะเรี ยกเขาว่ารู ้แจ้ง กิเลสหรื อการรู ้ แจ้งไม่ใช่สาระหรื อธรรมชาติที่เที่ยงแท้ในตัวคน ในวันหนึ่งๆ เราอาจเกิดกิเลสหรื อรู ้แจ้งสลับเปลี่ยนกันไปไม่รู้กี่ ครั้งต่อกี่ครั้ง ที่เป็ นเช่นนี้สืบเนื่องมาจากธรรมชาติของเราที่ถกู สร้างมาเช่นนั้นคนคือสิ่ งที่สามารถจะคิดในเชิง สร้างสรรค์ก็ได้หรื อคิดในเชิงทําลายก็ได้ เราจึงมีอิสระที่จะกระทําลงไป ความเป็ นอิสระจึงมีความหมายไปได้สองแง่อยูเ่ สมอ เราพยามเพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็ นอิสระ เพื่อให้ ได้มาซึ่งจุดเหนือนอกโลก แต่ปัญหามีอยูว่ า่ จุดเหนือนอกโลกเป็ นจุดที่ทาํ ให้มนุษย์อิสระเสรี เต็มที่เปรี ยบประหนึ่ง เป็ นพระเจ้าเอง หรื อว่าเป็ นจุดภายนอกที่มนุษย์เสรี พอที่จะเผชิญหน้ากับพระเจ้า และตระหนักในขณะนั้นถึงความ
80
ไม่อิสระเสรี อย่างสมบูรณ์ของตน ว่าอย่างน้อยก็ยงั ต้องยึดมัน่ ในพระเจ้า ความเป็ นอิสระที่ไม่มีขอ้ ผูกพันและที่ไม่ มีความรับผิดชอบอาจจะปรากฏในรู ปของความไม่แยแส ความไม่ใช่ธุระของตนต่อโลกและเพื่อนมนุษย์ ความ เพิกเฉยต่อความตาย วันหนึ่งความตายจะต้องมาถึง ทําไมจะต้องตื่นเต้น ความรักนั้นเป็ นไปได้ แต่ก็ข้ ึนอยูก่ บั เวลา ขึ้นอยูก่ บั ความแน่นอน และจะต้องผ่านพ้นเปลี่ยนแปลงไป ชีวติ ดํารงอยูอ่ ย่างไม่มีอารมณ์ ไม่มีประสงค์ที่จะเป็ น หรื อทําอะไรเป็ นพิเศษ ทําไปเท่าที่ได้รับการร้องเรี ยนหรื อเท่าที่ควรจะทํา ชีวติ ที่ไม่มีขอบฟ้ า ไม่มีความไกล ไม่มี อดีตไม่มีอนาคตไม่มีอะไรหวังอีกต่อไปดํารงอยูเ่ พียงที่นี่และขณะนี้ ความเป็ นอิสระที่ทาํ ให้หลงผิดและปรากฏใน ลักษณะต่างๆ ทําให้ความเป็ นอิสระเองเป็ นสิ่ งที่น่าสงสัยแคลงใจเหตุฉะนี้ เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งความเป็ นอิสระที่ แท้จริ งจึงไม่เพียงแต่จะต้องมองเห็นและเข้าใจถึงความหมายสองด้านของมันเท่านั้น แต่ยงั ต้องตระหนักใน ขอบเขตของความอิสระด้วย เพราะอิสระที่สมบูรณ์สูงสุดนั้นหามีไม่ แม้แต่ความคิดก็มิได้เกิดขึ้นในสูญญากาศ ต้องมีตน้ เหตุหรื อความคิดต่อเนื่อง ชีวติ ตัวเราซึ่งเป็ นผูค้ ิดก็ตอ้ งพึ่งพาถือกําเนิดมาจากชีวติ อื่น ไม่มีอิสรภาพหรื อ เสรี ภาพที่อยูโ่ ดดเดียว ที่ไหนมีเสรี ภาพที่นนั่ ย่อมีการต่อสูก้ บั ความไม่มีเสรี ภาพด้วย เหตุฉะนี้จึงมีขอบเขตจํากัด ของเสรี ภาพหรื ออิสรภาพสามอย่างดังนี้ คือ ขอบเขตจากัดประการทีห่ นึ่งของอิสรภาพก็คอื เราจะมีอิสรภาพที่แท้จริ งได้ก็ต่อเมื่อเราพัวพันอยูใ่ นโลก ในขณะเดี่ยวกัน อิสรภาพมิอาจเกิดขึ้นได้เมื่อเราละทิ้งโลกนี้ไป เป็ นอิสระอยูใ่ นโลกหมายถึงการมีทีท่าที่เหมาะสม ต่อโลก “อยูก่ บั โลกและขณะเดียวกันก็ไม่อยูก่ บั โลก” / “อยูใ่ นโลกและขณะเดียวกันก็อยูน่ อกโลก” ปราชญ์อินเดีย เคยกล่าวไว้ในภควัทตีวา่ “จงทํางานแต่อย่าไขว่คว้าหาผลของงาน” เล่าจื๊อ ปราชญ์จีนก็กล่าวทํานองเดียวกันว่า “จงทําด้วยการไม่ทาํ ” ประโยคที่กินความหมายลึกซึ้งกว้างขวางทางปรัชญาดังกล่าวจะมีความหมายอย่างไร แค่ ไหน และเพียงไรนั้น แถลงกันไม่มีที่สิ้นสุด เป็ นการเพียงพอสําหรับเราที่ทราบว่ามีปราชญ์บางคนที่แสดงออกถึง ความอิสระภายใน อิสระทางจิตใจ ความอิสระจากโลกมิอาจแยกตัวหรื อหลุดพ้นจากการพัวพันอยูใ่ นโลกหรื ออยู่ กับโลกนี้ ขอบเขตจากัดประการทีส่ องของอิสรภาพก็คอื โดยลําพังตัวมันเองแล้วอิสรภาพคือความว่างเปล่า เพราะ อิสรภาพนั้นหมายถึงการหลุดพ้นจากความกลัว ถึงการเพิกเฉยไม่ใยดีต่อทุกข์สุข ถึงความไม่หวัน่ ไหว ไม่ถูก กระทบกระเทือนด้วยความรู ้สึกและความใคร่ ความอยาก แต่อะไรเล่าที่มีอิสระ! สิ่ งที่จะมีอิสระในที่น้ ีก็คือจุดของ ความเป็ นตัวเรา คือมนุษย์ นิตเชย์ (Nietzsche) เคยมีความคิดรุ นแรง มนุษย์จะมีอิสรภาพต่อเมื่อไม่มีพระผูเ้ ป็ นเจ้า หรื อถ้าจะใช้ภาษาของนิตเชย์ เมื่อพระผูเ้ ป็ นเจ้าถึงแก่อนิจกรรม เพราะตราบใดที่ยงั มีพระผูเ้ ป็ นเจ้า มนุษย์จะไม่ เติบโตเพราะต้องคอยอ้างอิงพึ่งพาพระผูเ้ ป็ นเจ้าอยูเ่ นืองนิจ ขอบเขตจากัดประการทีส่ ามของอิสรภาพก็คอื ลักษณะธรรมชาติพ้นื ฐานของความเป็ นมนุษย์ ในฐานะ เป็ นคน เราจําต้องมีความผิดพลาด เมื่อเราตื่นขึ้นในจิตสํานึกครั้งแรก เราก็ตระหนักเสี ยแล้วว่าเราได้หลงผิด เมื่อ เรามีความหลง ความลืม ความคลุมเครื อ ความกระจ่างชัดในจิตใจ ความผิดพลาด เช่นนี้ เป็ นไปได้หรื อไม่ที่เราจะ สามารถตะเกียกตะกายให้ได้มาซึ่งอิสรภาพอันสมบูรณ์ เมื่อเราทําโดยไม่รู้ การกระทําของเราก็ไม่อาจดีไปได้อย่าง แท้จริ ง แต่เราคิดและเข้าใจว่าการกระทํานั้น ดี ถูกต้อง และมีความรู ้สึกภาคภูมิ มีความมัน่ คง แต่คานท์ (Kant) ได้ แสดงให้เห็นว่า ในการกระทําที่ดีท้ งั หลายแหล่น้ นั ก็ยงั มีเหตุผลักดันอยูเ่ บื้องหลังที่แอบแฝงซ่อนเร้น และอาจไม่ อยูใ่ นจิตสํานึก ซึ่งคํานึงถึง “ตัวเอง” อยูเ่ สมอ ด้วยเหตุน้ ีจึงทําให้การกระทํานั้นไม่บริ สุทธิ์ ไม่เสรี และไม่อิสระโดย สิ้นเชิง...ธรรมชาติเช่นนี้เรามนุษย์ไม่อาจขจัดเสี ยได้ 81
เราไม่มีความเชื่อมัน่ ในปราชญ์ที่ไม่ยอมให้มีการโต้แย้ง เราไม่ตอ้ งการความเพิกเฉย ไม่ใยดี ความไม่ หวัน่ ไหว ความไม่ข้ ึนและไม่ลง เพราะลักษณะของความเป็ นมนุษย์จะต้องประสบ เรี ยนรู ้ และตระหนักด้วยตัวเอง ว่าอะไรเป็ นอะไร ในกิเลสและความกลัวด้วยนํ้าตาแห่งความเศร้าและความทุกข์ และด้วยนําตาแห่งความยินดี ปรี ดา ฉะนั้น ด้วยการกระตุน้ ของความผูกพันอยูก่ บั ความเคลื่อนไหวของอารมณ์ และมิใช่ดว้ ยการขจัดอารมณ์เรา จึงจะเข้าถึงตัวเราเอง และรู ้จกั ตัวเราเอง เราจึงจะรับทุกข์โดยไม่ตีโพยตีพาย ถึงแม้จะหมดศรัทธาก็ไม่ยอมให้มาบัน่ ทอนตัวเอง ถึงแม้จะไหวหวัน่ กระทบกระเทือน ก็ไม่ยอมให้มาทําลายชีวติ โดยสิ้นเชิง ในขณะเดียวกันอิสรภาพ ทางใจจะเพิ่มพูนแข็งแกร่ งขึ้นในตัวเรา มีประโยคที่วา่ "สิ่ งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมัน่ ถือมัน่ " (สพฺเพ ธมฺ มา นาลํ อภินิเวสาย) คํากล่าวประโยคนี้ เป็ นหัวข้อธรรมพระสุตตันตปิ ฏก มัชณิ มนิกาย มูลปั ญญาสก์ ที่เคยกล่าวไว้ ควรจะถือว่าเป็ นหัวใจของพุทธศาสนา เพราะมีเรื่ องราวกล่าวอยูใ่ นบาลีวา่ เมื่อมีผมู ้ าทูลขอให้พระพุทธองค์ทรง ประมวลคําสอนทั้งสิ้น ให้เหลือเพียงประโยคสั้นๆ เพียงประโยคเดียว พระองค์ก็ตรัสประโยคนี้ และทรงยืนยัน ว่า นี่แหละคือใจความของคําสอนทั้งหมด ถ้าได้ปฏิบตั ิในข้อนี้ ก็คือได้ปฏิบตั ิท้ งั หมดของพระองค์ ทรงยืนยันว่า ถ้าได้ฟังคํานี้ ก็คือได้ฟังทั้งหมด ถ้าได้รับผลจากการปฏิบตั ิขอ้ นี้ ก็คือได้รับผลจากการปฏิบตั ิท้ งั หมด ฉะนั้น เรา จะมองเห็นได้ทนั ทีวา่ การศึกษาธรรมะทั้งหมด ก็คือเรี ยนเพื่อไม่ให้ยดึ มัน่ ในสิ่ งใดๆ การคิดอย่ างปราชญ์ และปัญญาจากภายใน หมายถึง การฝึ กฝนต่อสู้ เพือ่ ให้ ได้ มาซึ่งอิสรภาพทางใจหรือ อิสรภาพภายใน แต่ มใิ ช่ การเป็ นเจ้ าของอิสรภาพนั้น เพราะเมือ่ ใดทีไ่ ด้ อสิ รภาพทางใจมาเป็ นเจ้ าของโดยสมบูรณ์ เมือ่ นั้นก็หยุดความเป็ นปราชญ์ และกลายเป็ นผู้สาเร็จ... “บิ๊กแบงภายในทีม่ ี อิสรภาพทางใจจึงเกิด”
82
บิก ๊ แบงของจ ักรวาลภายใน (บิก ๊ แบงภายในใจ)
ไม่ทราบว่ามีผอู ้ ่านสังเกตและมองเห็นบ้างหรื อไม่ สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อนข้างฉับพลัน หากว่าเราจะไม่ใช้คาํ ว่าทันทีทนั ใดของจิตใจ จิตวิญญาณของมนุษย์ชาติในหลักการและในภาพรวมนัน่ เป็ นความ คิดเห็นจากข้อสังเกต ที่ไปตรงกับนักเขียนที่เป็ นนักคิดนักวิทยาศาสตร์ทางจิตแห่งยุคใหม่ทุกคนกระมังที่คิดไปใน ทิศทางเดียวกัน แม้วา่ การใช้คาํ ว่า “บิ๊กแบง” ในที่น้ ี นํามาใช้อธิบาย ออกจะหวือหวาเกินไปบ้างก็ขออภัย เพราะ นํามาใช้เพียงเป็ นอุปมาอุปมัยเพื่อเน้นชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจาก “ภายใน” ของมวลมนุษยชาติอย่าง เห็นได้ชดั ความหมายจริ งๆ ของผูเ้ ขียนเองแล้วนั้น คือ “นิพพาน” นักคิดที่ศึกษาการเปลี่ยนจากภายในนี้เริ่ มต้นด้วยคนจํานวนน้อยนิด ผูท้ ี่มีโอกาส "ตืน่ " ในช่วงแรกๆ เมื่อราวๆ สามสี่ ทศวรรษก่อน โดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์ดงั ที่ ฟริ ตจ๊อฟ แคปร้า และต่อมา การี่ ซูก๊าฟ คิดว่าเป็ น เพราะการเปิ ดศักราชใหม่สูป้ ั ญญาชนชาวตะวันตก ได้มองเห็นความสอดคล้องกันระหว่างฟิ สิ กส์แควนตัม กับ อภิปรัชญาของศาสนาที่อบุ ตั ิข้ ึนมาทางตะวันออก เช่น ศาสนาพุทธ หรื อ เต๋ า เป็ นต้น หลายคนนําความเชื่อม ประสานนั้นมาสะท้อนสู่ภายในอันเป็ นสาเหตุให้เกิดการ “ตื่น” ทางจิตวิญญาณ แต่ผเู ้ ขียนคิดว่า การสะท้อนจาก ความรู ้ความจริ งใหม่ก็ดี การสะท้อนจากความล่มสลายของระบบนิเวศธรรมชาติก็ดี เรื่ องการแพทย์ทางเลือกก็ดี และการปฏิวตั ิเปลี่ยนแปลงที่ฐานของการเรี ยนรู ้กด็ ี ทั้งหมดนี้มีสิ่งที่เป็ นสากลกว่านั้น ผลักดันอยูเ่ บื้องหลังที่ทาํ ให้ การโผล่ปรากฏและการตื่นขึ้นมาของชาวโลกนั้นเป็ นไปได้ ที่นบั วันการตื่นขึ้นมาและการสื บค้นแสวงหาได้แผ่สู่ ประชาโลกในวงกว้าง มีจาํ นวนทวีเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ ว ที่สงั เกตและมองเห็นทําให้เชื่อจริ งๆ ว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ภายในที่วา่ นัน่ หรื ออย่างน้อยมีการสื บค้น แสวงหาเส้นทางใหม่ หรื อทางออกใหม่ให้กบั ตนเอง และกับส่วนรวมอย่างจริ งจัง จึงอยากเห็นนักวิจยั คนอื่นๆ ลองสํารวจประชากรของโลกดูใหม่วา่ จากช่วงปี ๑๙๙๕ หรื อ ๑๙๙๖ จนถึงวันนี้ จะมีจาํ นวนของประชากรโลกที่มี การเปลี่ยนย้ายโลกทัศน์จากภายใน ที่ พอล เรย์ เรี ยกว่ากลุ่มสร้างสรรค์วฒั นธรรมหรื อสร้างสรรค์สงั คมใหม่ ซึ่ง เฉพาะที่สหรัฐอเมริ กาในเวลานั้น มีเพียง ๒๔ เปอร์เซ็นต์ของประชากรที่เป็ นผูใ้ หญ่ ว่า ณ เวลานี้และถึงตอนนี้ และอีกแปดปี ต่อมาจะมีจาํ นวนเพิม่ ขึ้นอีกเท่าไร และอยากเห็นการวิจยั ที่คาดการณ์ดว้ ยว่า ผูท้ ี่เปลี่ยนแปลงหรื อ สามารถจะ “ตื่น” ได้ทนั กับเวลานั้นจะมีจาํ นวนมากพอที่จะกําหนดวิถีการดํารงชีวติ ที่สอดคล้องกับธรรมชาติ อย่างสมภาคสมดุลและยัง่ ยืนได้หรื อไม่ (นักวิทยาศาสตร์ระดับนําของโลกหลายคนคาดว่า โลกในสภาพทาง กายภาพเช่นปั จจุบนั จะมีเวลาเหลือเพียง ๒๐ - ๓๐ ปี เท่านั้น) ว่าไปแล้วหากสังเกตสถานการณ์ และเชื่อว่าจํานวนของมนุษย์ที่มีการเปลี่ยนย้ายกระบวนทัศน์ หรื อการ เปลี่ยนแปลงของจิตวิญญาณมีอตั ราเพิ่มขึ้นอย่างมากจริ ง และหากเป็ นเช่นนั้นกันทั้งโลก เราคงต้องมองเหตุการณ์ ที่เกิดกับศูนย์การค้าโลกเมื่อวันที่ ๑๑ เดือนกันยายน ปี ๒๐๐๑ (เหตุการณ์ 9/11) กันใหม่จากอีกมุมมองหนึ่ง พร้อมๆ กับมองประเด็นของความเลวร้ายของการก่อการร้ายในอีกด้านหนึ่งพร้อมกันไปด้วย คือ มองเหตุการณ์ใน วันนั้นว่าเป็ นผลของความล่มสลายโดยสิ้นเชิงของระบบสังคมและเศรษฐกิจโลก เช่นเดียวกับที่เรายอมรับความ ล่มสลายของระบบนิเวศธรรมชาติ ความล้มเหลวของระบบการศึกษา ความบกพร่ องของการบริ การด้านสุขภาพ
83
และทางการแพทย์กายภาพสมัยใหม่และอื่นๆ ทั้งมวลของอายรธรรม เหตุการณ์ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริ กา (9/11) จึงเป็ นประหนึ่งตัวผลักดันหรื อเป็ นประเด็นปั จจัย “ตัวดึงดูด” ตัวใหม่ที่ดึงหรื อดันให้กลไกของความโกลาหลไร้ ระเบียบให้เกิดขึ้นตามทฤษฎีลูกโซ่ได้ หรื อแม้แต่เหตุการณ์โศกนาฏกรรมคลื่นสึ นามิเมื่อ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๗ เป็ นอีกครั้งที่ประวัติศาสตร์โลกต้องจารึ กไว้ ซึ่งมีผลกระทบให้เกิดความเสี ยหายต่อชีวติ มนุษย์และทรัพย์สินอย่าง มหาศาล ซึ่งเหตุการณ์น้ นั ทําให้มนุษย์เราได้เปลี่ยนย้ายกระบวนทัศน์ใหม่ของความเป็ นมนุษย์เราขึ้นได้ ต่าง เชื้อชาติ ต่างอายรธรรม ต่างศาสนา ได้เป็ นหนึ่งเดียวกันเกิดขึ้นทัว่ โลก อย่าลืมว่าในสายตาของโลกธรรมชาติที่ ปราศจากการแบ่งแยกนั้น ซึ่งแน่นอนย่อมไม่ได้ให้ความสนใจต่อมนุษย์เหนือสิ่ งอื่นใดทั้งหมด ที่เกิดขึ้นนั้น แม้วา่ ล้วนเป็ นฝี มือของมนุษย์ที่กระทํากับมนุษย์ก็ตาม แต่ผลพวงทั้งหลายได้กระทบกระทัง่ ทุกสรรพสิ่ งในโลกใน จักรวาลจนก่อความไม่สมดุล หรื อห่างไกลจากสมดุลเป็ นอย่างยิง่ กลไกของทฤษฎีลูกโซ่และระบบการจัดองค์กร ตนเองของธรรมชาติจึงเคลื่อนไหว ดังนั้นกระบวนการทั้งหมดจึงอาจมองได้วา่ มันเป็ นเรื่ องจิตจักรวาล หรื อเป็ น เรื่ องที่ท้ งั ศาสนาพุทธ ฮินดู และ เต๋ า บอกว่า “มันต้องเป็ นไปของมันเองเช่ นนั้น” ประหนึ่งว่ามันเป็ นแผนโครงการ หรื อเป็ นแม่แบบพิมพ์เขียวของจักรวาล ที่ พอล เดวีส์ นักฟิ สิ กส์ที่มีชื่อเสี ยงจากมหาวิทยาลัยนิวเซาธ์เวล ตั้งเป็ น คําถามไว้ (Paul Davies; Cosmic Blueprint, ๑๙๘๙) ดังนั้นตัวละครทั้งหมดที่กาํ ลังเล่นกันอยูใ่ นเวทีโลก ล้วน เป็ นไปตามแผนการณ์น้ นั เพราะฉะนั้น ทั้งผูน้ าํ ต่างๆของประเทศนั้นๆที่ทาํ สงครามกันในปัจจุบนั นี้ หรื อแต่จะย้อนอดีตไปถึงยิว กับปาเลสไตน์สมัยก่อนก็ตามที ล้วนเป็ นตัวเล่นอยูบ่ นเวทีโลกที่เป็ นไปตามแผนโครงการนั้นๆทั้งสิ้น ความทุกข์ ความขัดแย้งความเจ็บปวดและความเคียดแค้น ล้วนเป็ นผลพวงของจิตที่ติดอัตตาไร้ววิ ฒั นาการของเรามานาน เช่นนั้น ที่เมื่อถึงเวลาที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปอีกระดับหนึ่งที่อยูส่ ูงกว่า เหตุการณ์ท้ งั หมดจึงต้องเป็ นไปของ มันเช่นนั้นด้วย การสะท้อนความคิดสู่ภายในที่แน่นอน มีส่วนอย่างยิง่ ต่อการก่อให้เกิดบิ๊กแบงของวิวฒั นาการ ของจักรวาลจากภายใน ซึ่งจะนํามาสู่ความรู ้ใหม่หรื อผลสะท้อนตามมาของความเจ็บปวดและความทุกข์ของ ชาวโลกให้ทุกคนได้ประจักษ์ดว้ ยตนเองพร้อมๆกัน เพื่อที่จะเอื้อให้ต่อการเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญาณของมวล มนุษย์สามารถเกิดขึ้นมาได้เอง “ มันเป็ นไปของมันเช่นนั้นเอง! ” ถ้าเราลองมาพิจารณาเฉพาะหน้าและวิถีของการเคลื่อนไหวในช่วงของปั จจุบนั เราอาจพบว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับชาวโลกทั้งหมด อันจะนําไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ภายในของจิตจักรวาลที่อยูใ่ นตัวมนุษย์ เราทุกคนในครั้งนี้อย่างถี่ถว้ นก็ได้ เราหลายๆคนก็อาจจะมองเห็นเช่นเดียวกับที่ผเู ้ ขียนสังเกต และมองเห็นก็ได้ นัน่ คือ ที่มาของบทบาทมวลมนุษย์เรา ที่จะต้องเล่นการแสดงในเวทีโลกนี้ต่อไป... ทั้งนี้ เป็ นเพียงส่วนเสี้ ยวเล็กๆ ของประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติและประวัติศาสตร์ของจิตมนุษย์บนโลก ส่วนที่มาปฐมหรื อเบื้องต้นของปรากฏการณ์ของโลก ว่าด้วยวิวฒั นาการของมนุษย์และวิวฒั นาการของจิตจักรวาล ที่อยูใ่ นตัวมนุษย์น้ นั หากนํามาเขียนในช่วงนี้ นอกจากจะไม่ช่วยอะไรได้แล้วยังจะเป็ นประเด็นที่อนั ตรายต่อ ความรู ้สึกนึกคิดของคนในบางชาติพนั ธุ์บางวัฒนธรรมเกินไปที่จะนํามาเขียนในช่วงเวลาที่เป็ นหน้าสิ่ วหน้าขวาน ของโลกในขณะนี้ ซึ่งที่มาปฐมที่วา่ นี้คือ ประวัติศาสตร์ของมนุษย์และสังคมมนุษย์ ที่จะผูกพันกับเงื่อนไขของ วิวฒั นาการทางจิตจักรวาลและทั้งยังผูกพันกับอนาคตของ “ความเป็ นมนุษย์” โดยกายวิภาคศาสตร์ (physical) และอนาคตของจิตมนุษย์โดยหน้าที่
84
เราอาจจะว่ากันตามเนื้อผ้าได้วา่ โลกทัศน์ที่เราส่วนใหญ่ถกั ทอขึ้นมา เราพูดกันเองบนฐานของความเป็ น มนุษย์ เราคิดเอาเองว่าเราคือเผ่าพันธุ์ที่กา้ วหน้า “พ้นความเป็ นสัตว์” ไปแล้ว พูดง่ายๆ คือ เราส่วนใหญ่คิดเอาเอง ว่าเรายิง่ ใหญ่และก้าวหน้าเหนือชีวติ อื่นใด “โลกเป็ นของเรา” อัตตาร่ วมของเผ่าพันธุ์ แต่หากว่าเราส่วนใหญ่ยงั ติด อัตตาเช่นที่ผนู ้ าํ โลกไม่กี่คนกระทําในเวลานี้น้ นั เราเหล่านั้นก้าวหน้าเหนือความเป็ นสัตว์จริ งๆหรื อไม่ นัน่ คือ เรา ส่วนใหญ่ตอ้ งสะท้อนความคิดและประสบการณ์ที่ได้จากทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วสู่ ภายในให้ทนั เราส่วนใหญ่ตอ้ ง เปลี่ยนตัวเองให้ทนั บิ๊กแบงแห่งจักรวาลภายในต้องเกิดให้ทนั กับเวลา ก่อนที่ “มันจะเป็ นไปของมันเช่นนัน่ เอง” ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไปกว่านี้ เราจึงต้ องหวนกลับไปทีก่ ล่ าวมาแล้ วข้ างต้ นนีว้ ่ า ในสายตาของจักรวาล ในสายตาของโลกธรรมชาติที่ ปราศจาการแบ่ งแยก แน่ นอนอยู่แล้ วว่ าความยิง่ ใหญ่ อตั ตาของเผ่าพันธุ์ทเี่ ราคิดเองทีว่ ่ านั้น โลกธรรมชาติไม่ เคย สนใจ โลกธรรมชาติไม่ ได้ คดิ ว่ ามนุษย์ อยู่เหนือสิ่งอืน่ ใดเป็ นพิเศษเลย กระบวนการธรรมชาติมกี ระบวนการเดียว คือ “ทุกสิ่งไหลเลือ่ นเคลือ่ นทีเ่ ปลีย่ นแปลงไปด้ วยกัน” เชื่อมโยงกันอย่ างทีจ่ ะแยกจากกันไม่ ได้ มนุษย์ กเ็ ช่ นนั้น มด ปลวกก็เช่ นนั้น ไดโนเสาร์ กเ็ คยเป็ นเช่ นนั้นก่ อนการโผ่ลปรากฏกลายเป็ นนกในปัจจุบัน ใครจะไปรู้ ว่าต่ อไปใน อนาคตมนุษย์ เราอาจเป็ นดุจไดโนเสาร์ ในอดีตทีห่ ายไปเมือ่ เปลีย่ นตัวเองไม่ ทนั จะโผล่ ปรากฏเป็ นอะไรในอนาคต หรือไม่ สาหรับเรา...
85
เข้าถึงความคิดนิพพานเข้าถึงบิก ๊ แบงภายในใจ ______________________________________ เมื่อมาถึงบทสุดท้าย หวังว่าผูอ้ า่ นสามารถเข้าใจสู่ถึง “บิ๊กแบงภายในใจ” ของตัวเองได้ไม่มากก็นอ้ ย มิฉะนั้น อย่างน้อยก็คงจะเปิ ดโลกทัศน์ของผูอ้ ่านได้บา้ งไม่มากก็นอ้ ย เราจะมองปั ญหาต่างๆ ในอีกมิติหนึ่งได้ และผูอ้ ่านจะมีสายตามองโลกที่ตา่ งออกไป ปั ญหาต่างๆที่ซ่ ึงเกิดขึ้นอยูใ่ นปัจจุบนั ไม่วา่ จะเป็ นปัญหาทางสังคม ปั ญหาทางเศรษฐกิจ ถึงแม้จะไปจนถึงปั ญหาสงครามโลกก็ตามที จะเป็ นเพรี ยงแค่ปัญหาใน “กํามือคุณเท่านั้น” ทั้งนี้จะเป็ นสิ่ งที่คุณจะรู ้ได้ตามจริ งเองเมื่อเข้าถึง บิ๊กแบงภายในใจ ผมขอยกตัวอย่าง เช่น ปั ญหาสงครามโลกถ้า มันมีเกิดขึ้นมา จะเป็ นปั ญหาที่มีผลกระทบไปเป็ นลูกโซ่ได้กล่าวคือ จะเกิดปั ญหาทางด้านเศรษฐกิจ ปั ญหา ทางด้านสังคม ปั ญหาทางด้านมนุษย์ธรรม ตามมา เพราะอะไร กล่าวคือ ถ้าชาวโลกยังบูชาลัทธิวตั ถุนิยม มัวแสวงแต่ความสําราญทางกายอย่างเดียวอยูเ่ พียงใด ก็ไม่มีหวังใน สันติภาพได้ นักวัตถุนิยมเห็นกายเป็ นใหญ่ ย่อมเสี ยสละได้ทุกอย่างเพื่อให้กายหรื อโลกของตนได้มา ส่วนนักจิต นิยม เห็นแก่จิตเป็ นใหญ่ ย่อมเสียสละได้ทุกอย่างเหมือนกัน เพื่อแลกเอาความสงบเยือกเย็นของจิต ผูแ้ สวงความ สําราญทางกายนั้น การแสวงของเขาจําเป็ นอยูเ่ องที่จะต้องกระทบกับผูอ้ ื่น เพราะความสําราญกายนี้เป็ นของ เกี่ยวเนื่องด้วยกับผูอ้ ื่น หรื อสิ่ งแวดล้อมอยูโ่ ดยรอบ ท่าน พุทธทาสภิกขุ เคยกล่าวไว้วา่ “เมื่อความเห็นแก่ตวั มีอยู่ ก็ ต้องมีการกระทบกันเป็ นธรรมดา” การสงครามก็คือ การปะทะหรื อกระทบกันของคนหลายคน ที่ต่างฝ่ ายต่างมี ความเห็นแก่ตวั เพื่อความสําราญทางกาย หรื อ อุปทานต่างๆของความต้องการ (ประเทศนั้นๆ) นัน่ เอง “สงครามโลก” ซึ่งเป็ นเพียงความเห็นแก่ตวั ของคนหลายชาติรวมกันก็ไม่ต่างอะไรกันอีก ส่ วนการแสวงหา ความสุขทางฝ่ ายจิตนั้น จะไม่กระทบกระทัง่ ใครเลยแม้แต่นอ้ ย เพราะเหตุวา่ มีอะไรๆให้แสวงอยูใ่ นตนผูเ้ ดียว ไม่ ต้องเกี่ยวเนื่องด้วยกับผูอ้ ื่น การสงครามไม่สามารถเกิดจากผูแ้ สวงสุขทางจิตได้เช่นเดียวกันกับที่ “ไฟไม่ สามารถ เกิดจาก ความเย็นได้ เช่ นกัน” แต่ก็อย่างที่ผมกล่าวมานั้น มันจะเป็ นปั ญหาเพียงแค่กาํ มือคุณเท่านั้นเอง ผูอ้ ่านบางท่านอาจจะเกิดการ โต้แย้งหรื อสงสัยได้วา่ ปั ญหาสงครามโลกมันจะเป็ นเพียงแค่ปัญหาเล็กๆได้ไง มันมีผมกระทบถึงระดับประเทศ ระดับชาติ ระดับโลกเชียวน่ะ ผมขอบอกได้วา่ ผูอ้ ่านสามารถศึกษาได้จากประวัติศาสตร์ ยอ้ นหลังไปได้เป็ นพันๆปี แล้วจะพบว่าปั ญหาลักษณ์น้ ีกเ็ คยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตกาล บางเหตุการณ์ปัญหายิง่ ใหญ่กว่าสงครามโลกที่เคยเกิด ขึ้นมาในช่วงยุคประวัติศาสตร์จากปั จจุบนั เราเสี ยอีก การล่าอาณานิคมเมื่อพันๆปี ก่อน การสูญสลายของเผ่าพันธุ์ มนุษย์บางเผ่าพันธุ์ อาณาจักรบางอนาจักรที่เคยยิง่ ใหญ่และรุ่ งเรื องมาแต่อดีตกาล ก็ยงั สูญสลายไป เช่น จักรวรรดิ โรมัน จักรวรรดิอียปิ ต์ จักรวรรดิขอม แม้แต่ทางด้านศาสนาก็เคยมีการเกิดและสูญสลายไปได้ อย่างเช่นศาสนา พุทธที่เคยเกิดขึ้นและรุ่ งเรื องในอินเดียอดีตกาล ซึ่งเป็ นแหล่งกําเนิดของศาสนาพุทธโดยแท้ก็ยงั สูญสลายไปจาก อินเดียได้ และอย่างจักรวรรดิขอมที่เคยรุ่ งเรื องที่สุดอยูใ่ นแถบเอเชียเฉี ยงใต้ก็สูญสลายไป (เมื่อสมัยยุคนั้นยังไม่ เคยมีคาํ ว่าเอเชียหรื อแม้แต่คาํ ว่าประเทศไทยเรามีแต่อาณาจักรขอม) ขอยกตัวอย่างอีกจักรวรรดิหนึ่งคือ จักรวรรดิ มองโกเลียหรื อเรี ยกอีกอย่างว่า จักรวรรดิแห่งข่าน ซึ่งเคยรุ่ งเรื องอยูใ่ นยุคหนึ่งเช่นกันที่กินพื้นที่แถบจีนไปจนถึง อินเดียตอนเหนือจนถึงแทบยุโรป ก็ยงั สูญสลายไปได้ และยังมีอีกหลายอาณาจักรอีกมากมายที่เกิดและดับศูนย์ไป 86
ทั้งหมดที่ยกตัวอย่างมานี้ ก็เหลือแต่หลักฐานทางซากปรักหักพังแห่งโบราณวัตถุให้เราได้ศึกษา ได้ยอ้ นหลังไป เป็ นพันๆปี เท่านั้น แล้วสิ่ งที่เป็ นปั ญหาใหญ่คืออะไรเล่า ก็ขอบอกได้เพียงว่า “จิต” (Mind) หรื อใจเรานี่แหละ จิตในตัวเรา ทุกคนนี้ จิตที่ต้ งั ไว้ผิดย่อมนํามาซึ่งอันตรายซึ่งร้ายยิง่ กว่าอันตรายที่ศตั รู ใจอํามหิ ตจะพึงกระทําให้ จิตที่ต้ งั ไว้ถูกจะ นํามาซึ่งประโยชน์มากกว่าคนที่หวังดีที่สุด ทั้งนี้เป็ นการชี้ให้เห็นโทษของการที่ต้ งั จิตไว้ผิด แต่สิ่งที่มนุษย์ในโลก กําลังกลัวกันนั้นหาใช่จิตที่ต้ งั ไว้ผิดไม่ เพราะเขายังไม่รู้จกั สิ่ งๆนี้ จึงไปสนใจกลัวสิ่ งซึ่งไม่น่ากลัวเท่าสิ่ งๆนี้ เช่น กลัวลัทธิการเมืองฝ่ ายตรงกันข้ามบ้าง กลัวสงครามหรื อการอดอยาก กลัวเศรษฐกิจจะตกตํ่า กลัวผีสางกลัวเทวดา กลัวสิ่ งศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ กลัวกันจนถึงกับหมดความสุข หรื อกลายเป็ นความทุกข์ไป ทุกข์ภยั ทั้งหมดของโลกมาจากจิตที่ต้ งั ไว้ผิดนี่เอง คือจิตที่ต้งั ไว้ผดิ ก็ทาํ ให้สิทธิที่ไม่พึงปรารถนาขึ้น ทํา ให้เกิดการอดอยาก การเบียดเบียน และการสงคราม ฯลฯ เมื่อสิ่ งเหล่านั้นเกิดขึ้นแล้ว ชาวโลกก็หาได้สนใจไม่วา่ มันเกิดขึ้นจากอะไรกันแน่จึงจัดการแก้ไขไปอย่างผิดๆ กระทําไปด้วยความกลัวเพราะไม่มีจิตที่ดี ซึ่งสามารถขจัด ความกลัวออกไปเป็ นอย่างดี (แม้ลาํ พังความกลัวล้วนๆ ก็ถือว่าเป็ นจิตที่ต้ งั ไว้ผิดเหมือนกัน) เพราะฉะนั้น เราจะ เห็นได้วา่ จิตที่ต้งั ไว้ผิดอยูเ่ ป็ นตอนๆ ต่อเนื่องกันไปหลายระดับ เมื่อไม่มีการตั้งจิตใจไว้ในลักษณะที่ถูกต้องเลย สิ่ ง ที่เรี ยกว่า ความเห็นแก่ตวั ความเห็นว่ามีตวั มีตนจึงเต็มไปหมด แม้กระนั้นก็ไม่มีใครเอาใจใส่ ไม่สนใจว่ามัน เกิดขึ้นได้อย่างไร จนทําให้โลกนี้ตกอยูใ่ นสภาพที่อยูใ่ ต้กะลาครอบของความคิดตัวเอง คือความมืดมนอลเวงเต็ม ไปด้วยปั ญหายุง่ ยาก ซึ่งสรุ ปแล้วก็คือ ความทุกข์ แล้วก็แก้ไขความทุกข์กนั ไปเรื่ อยๆ ด้วยอาการที่รู้สึกว่าตื่นเต้น สนุกดี คือได้ลองฝี มือใช้ความรู ้ใหม่ๆ แปลกๆ แม้จะแก้ไขความทุกข์ของโลกไม่ได้ ก็ยงั เพลิดเพลินอยูด่ ว้ ยความรู ้ หรื อความสามารถใหม่ๆ สิ่ งเหล่านั้นเป็ นเสมือนเครื่ องหลอกให้อนุ่ ใจ อาการเช่นนี้เองที่เป็ นเครื่ องปิ ดบังไม่ให้ไป สนใจถึงต้นเหตุอนั แท้จริ งของวิกฤตการณ์ท้ งั หลาย โดยเฉพาะอย่างยิง่ ก็คือ ไม่สนใจในเรื่ องของจิตที่ต้ งั ไว้ผดิ เพื่อ จะได้เข้าถึงความจริ งในสรรพสิ่ ง น่าประหลาดอยูอ่ ย่างหนึ่งก็ คือ ใครๆก็พยายามจะแสดงตนว่าเป็ นผูร้ ู ้จกั ตัวตนดีเพราะมีความรู ้ และให้ ความหมายของตัวตนกันไปเองตามชอบใจ ดูประหนึ่งว่าเขาเป็ นผูเ้ ข้าใจหรื อรู ้จกั ตัวตนดีอย่างแจ่มแจ้ง แต่แล้วก็ เป็ นที่น่าขบขันที่ความรู ้น้ นั ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้แม้แต่นิดเดียว เขาไม่เห็นอย่างถูกต้องตามที่เป็ นจริ งว่าความ ทุกข์น้ นั มันอะไรกันแน่ อะไรเป็ นมูลเหตุที่แท้จริ งของความทุกข์ สภาพที่ปราศความทุกข์จริ งๆ นั้นเป็ นอย่างไร และวิธีปฏิบตั ิอย่างไรคนเราจึงจะเข้าถึงสภาพที่ไม่มีความทุกข์ หรื อ “นิพพาน” หรื อ “บิ๊กแบงภายในใจ” ที่ผเู ้ ขียน เปรี ยบเทียบขึ้นมาเอง อย่างที่กล่าวมา ถ้าได้เข้าถึงบิ๊กแบงภายในใจเรา ตัวเราจะมีความรู ้สึกเข้าถึงจักรวาลเช่นกัน เป็ นส่วน หนึ่งเดียวกัน เป็ นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ไม่ใช่จกั รวาลเป็ นของเรา ธรรมชาติเป็ นของเรา (ดังที่กล่าวมาแล้วในมิติ ความสัมพันธ์ของมนุษย์) แต่มนุษย์ก็คือส่วนหนึ่งของจักรวาล และภายในของมนุษย์เองนั้น คือ จิตรู้ ที่มีข้ ึนมา เพื่อให้เรี ยนรู ้จกั สรรพสิ่ งต่างๆในความเป็ นจริ ง หรื อพูดว่ามนุษย์มีข้ ึนมา เพื่อให้จิตรู ้มีที่ต้ งั หรื อเป็ นฐาน เพื่อการ เรี ยนรู ้ความจริ ง ปรัชญา ศาสนา และวิทยาศาสตร์ จึงเกี่ยวกับนิยามของความเป็ นมนุษย์อย่างแยกจากกันไม่ได้ ปริ ศนาอาจเป็ นคําถามที่มีเป้ าหมายเบื้องต้นที่ความลี้ลบั ของจักรวาล ความเป็ นมาและจุดมุ่งหมายของการเกิด ขึ้นมา และการดํารงอยู่ รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างกันของธรรมชาติและชีวติ โดยเฉพาะมนุษย์ ส่วนปรัชญา
87
อาจเป็ นคําตอบหรื อความพยายามที่จะแสวงหาความจริ งที่ มีอยู่ เบื้องหลังคําถามธรรมชาติเหล่านั้นด้วยปั ญญา เพื่อ ยังหาความรู ้ความเข้าใจร่ วมกันของมนุษย์เราต่อความจริ งแท้
ดังนั้นมนุษย์ในทุกยุคสมัยจึงต้องตั้งคําถาม ต้องตั้งปริ ศนาขึ้นมาเพื่อหาคําตอบของความจริ งให้ได้ ตรง นี้หากเราคิดให้ลงไปถึงที่สุด เราก็จะได้คาํ ตอบ ต่อคําถามตั้งแต่บทต้นๆ สุดที่อ่านมา นัน่ คือ ชีวติ คืออะไร? มนุษย์ เกิดมาทําไม? หรื อทําไมต้องมีมนุษย์? เพราะหากเพียงต้องการกิน ต้องการสื บพันธุ์ ต้องการต่อสูห้ รื อหนีภยั เอาตัว รอด ก็ไม่เห็นจําเป็ นอะไรที่ตอ้ งมีมนุษย์ข้ นึ มา เป็ นแค่สตั ว์ธรรมดาๆ ทัว่ ไปก็พอแล้ว ธรรมชาติหรื อจักรวาลไม่ จําเป็ นต้องมีววิ ฒั นาการของสติปัญญาและจิตใจให้มนั ยุง่ ยาก ไม่จาํ เป็ นต้องสร้างระบบเศรษฐกิจ ระบบสังคมและ การเมือง เพราะที่สร้างขึ้นมาทั้งหมด ไม่วา่ จะวิจิตรตระการตาแค่ไหน ตีไข่ใส่สีให้ดูดีงาม ประการใดก็คือการกิน คือการสื บพันธุ์และความอยูร่ อด หรื อว่าคือการต่อสูห้ นีภยั อันเป็ นสัญชาตญาณของสัตว์ธรรมดาๆ สุดท้ายก็ตอ้ ง ดับสูญไปอยูว่ นั ยังคํ่า ดังนั้นคําตอบเพื่อตอบว่าทําไมต้องมีมนุษย์ ก็เพราะว่ามนุษย์ไม่ใช่สตั ว์ธรรมดาๆ หากว่า มนุษย์จาํ เป็ นต้องอาศัยทางผ่าน ต้องอาศัยวิวฒั นาการของสสารวัตถุรูปกายแห่งชีวติ มาตามลําดับบ้าง นัน่ ก็เพื่อให้ โอกาส ต่อการเรี ยนรู ้ “ธรรม” หรื อความจริ งแท้ของธรรมชาติในสรรพสิ่ งหรื อจักรวาลนัน่ เอง การเรี ยนรู ้จาก คําตอบที่ได้ดว้ ยจิตและปั ญญาต่อปริ ศนาคําถาม ทําให้เราต้องมีมนุษย์ข้ นึ มา หรื อมีตวั ตนเราเกิดขึ้นมา หรื อ “ชีวติ ” (Life) นัน่ เองเพื่อเรี ยนรู ้ ทฤษฎีบิ๊กแบงนั้นได้รับการเชื่อมต่อด้วยทฤษฎีววิ ฒั นาการ (Evolution Theory) ของชาร์ล ดาร์วนิ (Charles Darwin) เมื่อโลกเย็นตัวลงนั้น ปฏิกิริยาเคมีจากมวลสารในโลกในที่สุดแล้วก่อให้เกิดไอนํ้า และไอนํ้า ก่อให้เกิดเมฆ และเมฆตกลงมาเป็ นฝน ทําให้เกิดแม่น้ าํ ลําธาร ทะเล และมหาสมุทร วิวฒั นาการนี้มีลกั ษณะแบบ “ก้าวกระโดด” (Emergent Evolution) เมื่อมีสารอนินทรี ยแ์ ละนํ้าปริ มาณมหาศาลเป็ นเวลาที่ยาวนาน ในที่สุด คุณภาพใหม่คือ “ชีวติ ” (Life) ก็เกิดขึ้น จากโครงสร้างของเซลล์ๆเดียว ชีวติ ได้ววิ ฒั นาการซับซ้อนยิง่ ขึ้นจนเป็ น อาณาจักรพืชและสัตว์ การต่อสูก้ บั สิ่ งแวดล้อมในโลกธรรมชาติทาํ ให้ชีวติ วิวฒั นาการแบบกาวกระโดดจากสัตว์ นํ้า มาสู่สตั ว์ครึ่ งบกครึ่ งนํ้า และสัตว์เลื้อยคลานมาสู่สตั ว์บก จนมาสู่สตั ว์เลี้ยงลูกด้วยนมในปัจจุบนั นี้ เช่น ลิง มนุษย์ ทั้งหมดนี้กินเวลาหลายร้อยล้านปี ในวิวฒั นาการแบบก้าวกระโดดของชีวติ ในโลกเรานี้ มีคุณภาพใหม่ที่ สําคัญเกิดขึ้นอย่างน้อยที่สุดสี่ ประการ คือ มวลสาร นํ้า ชีวติ และ จิตใจ นักชีววิทยาสังเกตว่า รู ปแบบของชีวติ ที่ ซับซ้อนนับตั้งแต่ปลาขึ้นมาล้วนมีสิ่งที่เรี ยกว่าจิตใจเกิดขึ้นแล้ว เช่น ปลาโลมา แมว สุนขั และลิง แต่ที่มี คุณภาพสูงสุดได้แก่ “จิตใจของมนุษย์” จิตใจจึงเป็ นปรากฏการณ์ ที่เป็ นผลผลิตของวิวฒั นาการของจักรวาลนี้ กล่าวคือ เป็ นจิตใจที่ใฝ่ หาความรู ้ความเข้าใจในตัวเอง มีความอิจฉาริ ษยา ขณะเดียวกันก็มีความเมตตากรุ ณา และ ใฝ่ หาคุณธรรม ความจริ งและสัจธรรม หรื อาจกล่าวได้วา่ เป็ นความรู ้สึกซึ้งเกิดขึ้นภายในใจเราเอง ความคิดความรู ้ ที่โผล่พลุ่งขึ้นมาเองในความสงบในความฝัน หรื อเป็ นพรสวรรค์ของบุคคลบางคน หรื อเป็ นเหตุการณ์เร้นลับ เหนือธรรมชาติที่เกิดกับชุมชนในบางครั้ง “จิตที่เปลี่ยนสภาพไป” ในช่วงนั้น หรื ออาจอธิบายว่าเป็ นอภิญญา ที่ เกิดจากจิตที่แน่วนิ่งอยูก่ บั สมาธิหรื อที่จดจ่อกับงานหรื อสิ่ งที่กาํ ลังเกี่ยวข้องอยูใ่ นขณะนั้นๆ จิตอยูใ่ นภวังค์เช่นนั้น ประหนึ่งไม่ใช่เป็ นตัวของตัวเองแต่เป็ นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติของจักรวาล ดังเหมือนอยูโ่ ลกใหม่หรื อภพใหม่น้ ี เอง
88
พุทธศาสนาของเราจะว่าไปแล้วไม่ใช่วทิ ยาศาสตร์ จึงไม่กล่าวถึงเรื่ องของ รู ปมากนัก ที่วทิ ยาศาสตร์เน้น ที่รูปเป็ นสําคัญ หากแต่วา่ พุทธศาสนานั้น จะมุ่งเน้นในเรื่ องของจิตเป็ นพิเศษในการกล่าวนี้ก็จะอ้างถึงเหตุของจิต ว่าเป็ นอย่างไรเพื่อทําการแก้ไขจิตให้เป็ นอย่างดีและมีศิลธรรมนั้นเอง จะว่าไปแล้วนั้นพุทธศาสนานั้นถือได้วา่ เป็ นจริ ยศาสตร์ และเป็ นจริ ยศาสตร์อย่างบริ สุทธ์โดยไม่เกี่ยวกับการอ้างสิ่ งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ซึ่งต่างกับบางศาสนาที่ ได้เอาจริ ยศาสตร์ไปปะปนกับความภักดีต่อพระเจ้า ส่วนความติดข้องเกี่ยวในเทพเจ้านี้ไม่มีในพุทธศาสนาเรา โดย มีคาํ สอนในเรื่ องที่วา่ “พระพุทธเจ้าในฐานะที่เป็ นปฐมาจารย์ของพุทธศาสนานั้นเป็ นสิ่ งที่เลิศกว่าเทพเจ้าใดๆ และ มนุษย์ทุกคนคงอาจพากเพียรปฏิบตั ิตนจนกลายเป็ นเหมือนดังพระพุทธเจ้าได้ (พระอรหันต์) พระพุทธเจ้าทรง ยืนยันว่าการตรัสรู ้ของพระองค์น้ นั อยูต่ รงเรื่ อง อริ ยสัจสี่ หรื อสัจธรรมสี่ ประการ ซึ่งเป็ นคําตอบที่พระองค์จะทรง ตรัสรู ้ข้ ึนว่าจะแก้ทุกข์ของมนุษย์เราได้อย่างไร กล่าวคือ พระองค์ทรงยอมรับว่า ทุกข์ เป็ นสิ่งทีม่ อี ยู่ (ข้อหนึ่งในอริ ยสัจสี่ ) และจะต้องแก้ไขไม่ให้มี การ ที่มนุษย์เราทุกคนจะกําจัดสิ่ งใดนั้นเราต้องกําจัดที่เหตุของมัน พระองค์จริ งมองเห็นเหตุแห่งทุกข์และก็พบว่ากิเลส ตัณหาเป็ นเหตุอนั ทําให้เกิดทุกข์ข้ นึ ในใจ ตรงนี้เองที่พระองค์ก็ทราบถึงสาเหตุที่ทาํ ให้คนเราประพฤติชวั่ นั้นคือ การดิ้นรนในชีวติ เพือ่ จัดหาสิ่ งมาบํารุ งตัณหาของตน ตัณหานี้เองพระองค์ทรงสอนว่ามีสามประการ คือ -
ความใคร่ อยากได้สิ่งที่เราชอบ ความใคร่ อยากให้สิ่งที่ชงั่ เสื่ อมสูญไป ความใคร่ อยากให้ตนเองเป็ นอย่างนั้นอย่างนี้
ความใคร่ ท้ งั สามนี้เองบังคับให้คนเราดําเนินการเอารัดเอาเปรี ยบกัน ประกอบอาชญากรรมแล้วก็ทาํ ความเดือดร้อนให้แก่ผอู ้ ื่น ผลคือ ถ้าได้สิ่งที่สมหวังมาก็อาจก่อทุกข์ให้แก่ผอู ้ ื่น ถ้าไม่ได้มาก็เป็ นทุกข์แก่ตวั เอง เหตุแห่งทุกข์น้ ีในอริ ยสัจสี่ จดั เป็ น ทุกข์ สมุทยั (ข้อสองในอริ ยสัจสี่ ) ความใคร่ สามประการนี้จดั ว่าเป็ นเรื่ องส่วนตัว เมื่อดําเนินตามไปก็เกิดความเสี ยหายแก่ผอู ้ ื่นและตัวเองจนถึงสังคมด้วย พระพุทธองค์จึงทรงเห็นว่าการแก้ความ ทุกข์ของมนุษย์น้ นั อยูท่ ี่การรู ้จกั ระงับเสี ยซึ่งกิเลสตัณหานี้เอง ในอริ ยสัจสี่ น้ ีเรี ยกว่า ทุกข์ นิโรธ (ข้อสามในอริ ยสัจ สี่ ) และอะไรคือวิธีระงับกิเลสตัณหาที่ทาํ ให้คนเราเกิดความทุกข์ ข้อนี้เองที่พระองค์ทรงค้นหาวิธีต้ งั แต่ออกผนวช และทรงพบว่าคือการปฏิบตั ิชอบตามวิธีมรรคที่พระองค์ทรงคิดขึ้นมาแปดประการ ที่ในอริ ยสัจสี่ ขอ้ สุดทั้งที่ เรี ยกว่า มรรคแปด (ข้อสี่ ในอริ ยสัจสี่ ) และนี่เอง คือ จริ ยศาสตร์อนั บริ สุทธิ์โดยแท้ของพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ เพราะมันให้ คําตอบแก่มนุษย์เราว่าควรจะปฏิบตั ิอย่างไรต่อชีวติ เมื่อมีความรู ้สึกเป็ นตัวตนเป็ นของชีวติ เกิดขึ้นมาอย่างเต็มใน รู ปนี้แล้ว ก็นบั ได้วา่ การเกิดหรื อโลกใหม่ได้ปรากฏขึ้นมาแล้ว และหลังจากนั้นเราจะรู ้ความทุกข์เท่าทันตน โดย สมควรแก่กรณี คือมากบ้างน้อยบ้าง ส่วนในกรณี ของผูท้ ี่หมดการยืดมัน่ ในตัวตน ท่านไม่มีความรู ้สึกว่าพอใจ หรื อไม่พอใจ กล่าวคือไม่คิดปรุ งหรื อคิดต่อไปให้เป็ นอารมณ์ดีหรื อเป็ นอารมณ์ร้ายขึ้นมาได้ ความรู ้สึกว่า “ตัวเรา–ของเรา” จึงไม่มีช่องทางที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้เป็ นเพราะไม่มีการรับรู ้เทียมเข้ามาบันดาล มีแต่การรับรู ้ที่ แท้จริ งอยูป่ ระจํา การกระทบของสัมผัส ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ก็เป็ นแต่สกั ว่าการกระทบหรื อผ่านเข้ามาเฉยๆ แล้วก็ดบั ไป พอรู ้วา่ อะไรเป็ นอะไรแล้วก็สิ้นสุดลง ไม่คิดปรุ งแต่เป็ นความรู ้สึกหรื อเป็ นความอยากขึ้นต่อไปของ ตัณหา ความรู ้สึกว่า “ตัวตน–ของตน” จึงไม่เกิดขึ้น เพราะกระแสแห่งการเกิดถูกตัดตอนเสี ยแล้วตั้งแต่ในขั้นของ
89
การกระทบทั้งหมดนี้เป็ นเครื่ องพิสูจน์วา่ เพราะการรับรู ้มีอยู่ อารมณ์จึงเกิดมีความหมายขึ้นมา จิตที่ประกอบอยู่ ด้วยการับรู ้ยอ่ มคิดปรุ งต่อไปเป็ นความรู ้สึกที่เป็ น “ตัวเรา–ของเรา”เนื่องมาจากอารมณ์น้ นั ๆไป อารมณ์ที่ ประทับใจแรงและนาน เราเรี ยกเป็ นอารมณ์ใหญ่อารมณ์ที่มีความประทับใจนิดหน่อย เรี ยกอารมณ์เล็ก ส่วนที่อยู่ ในระหว่างนั้นเรี ยกว่าอารมณ์ธรรมดา ปฏิกิริยาต่างๆ ที่กระทําลงไปก็สุดแต่กาํ ลังของอารมณ์ที่ใหญ่หรื อเล็ก อารมณ์ที่เป็ นเหตุให้เกิดมีปฏิกิริยาขนาดใหญ่ ย่อมมีกาํ ลังมากพอที่จะทําให้ร่างกายสัน่ หรื อใจสัน่ หมายความว่ามี การประทับใจมากจึงมีเจตนามาก มีผลเกิดขึ้นคือทําให้เกิด “ตัวเรา–ของเรา” ชนิดที่ใหญ่หลวง ทําให้เกิดความ ระสํ่าระสายเป็ นทุกข์อย่างยิง่ ถ้าอารมณ์นอ้ ยก็เป็ น “ตัวเรา–ของเรา” อย่างน้อย และมีความทุกข์นอ้ ย ฉะนั้นใครจะ เป็ นตัวตนอย่างสัตว์ช้ นั ตํ่าหรื อสัตว์ช้ นั สูงก็ได้ หรื อเป็ นตัวตนอย่างเทวดา หรื อพรหมก็ได้ (อยูท่ ี่ระดับจิตใจเรา) เท่าที่บรรยายมาทั้งหมดนี้เป็ นการชี้ให้เห็นลักษณะต่างๆ ของสิ่ งที่เรี ยกว่า “ตัวตน” ให้เห็นมูลเหตุแห่ง การเกิดขึ้นของมัน ให้เห็นสิ่ งตรงกันข้าม คือ ความว่างจากความมี และให้เห็นวิธีปฏิบตั ิเพื่อเข้าถึงความว่างของ ตัวตน ในฐานะที่เป็ นปั ญหาสําคัญสําหรับมนุษยชาติท้ งั มวลเพราะว่าความทุกข์ของคนทั้งหลายไม่วา่ จะอยูใ่ นภูมิ ไหนสูงตํ่าอย่างไรก็ลว้ นแต่มีความทุกข์เนื่องมาจากสิ่ งที่เรี ยกว่า ตัณหาหรื อการสําคัญตัวเองผิด หรื อการยืดมัน่ ถือ มัน่ ในตัวตน ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า โดยสรุ ปอย่างสั้น “เบญจขันธ์ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ที่ ประกอบอยู่ด้วยอุปาทาน หรือความยึดมัน่ ถือมัน่ ในตัวเองนั่นแหละเป็ นตัวทุกข์ ” การปรุ งแต่งก็เป็ นมูลเหตุให้เกิด การยึดมัน่ ถือมัน่ นี่เป็ นคํากล่าวของท่าน พุทธทาสภิกขุ ที่สอนไว้อย่างน่าคิด และยังกล่าวสอนอีกว่า การดับการปรุ งแต่งหรื อตัณหาเสี ยได้ คือ การดับทุกข์สิ้นเชิง การมีชีวติ อยูอ่ ย่างถูกต้องทุกลมหายใจ เข้า - ออก ทั้งในขณะปกติที่ไม่มีอารมณ์รบกวนและทั้งในขณะที่เผชิญหน้ากันกับอารมณ์นนั่ แหละ คือ การปฏิบตั ิ ชอบ อันจะทําให้มนุษยชาติประสบสันติสุขอันถาวร ทั้งภายนอก และ ภายใน รวมทั้งส่วนตัวและส่วนรวมต่อ สังคมและต่อประเทศจนถึงต่อธรรมชาติโลกมนุษย์เรานี้ดว้ ย ตลอดเวลาที่มนุษย์เราไม่เข้าถึงความจริ งข้อนี้ โลกนี้ จะยังคงมีวกิ ฤติการณ์ถาวร ระสํ่าระสายวุน่ วายไม่มีหยุด อย่างที่ไม่มีใครจะช่วยได้ เพราะเป็ นการกระทําที่ฝืนหลัก ความจริ งแท้ หรื อฝื นธรรมชาติ ฉะนั้นจึงอย่าได้ประมาท ในเรื่ องของตัวตน จงได้พจิ ารณาโดยใช่ปัญญาดูกนั ภายในตัวเองใหม่ไปด้วยอยูต่ ลอด ให้มีความเข้าใจอย่างถูกต้องทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ แล้วก็จะได้ ประสบสิ่ งที่ดีที่สุด หรื อประเสริ ฐที่สุดที่มนุษย์เราควรจะได้รับกับมาต่อธรรมชาติในสรรพสิ่ งนี้โดยไม่ตอ้ งสงสัย เลย คือ การได้เข้าไปเป็ นส่วนหนึ่งของทุกสรรพสิ่ ง กล่าวคือ...
90
“ บิก ๊ แบงภายในใจ” (นิพพาน) “Big Bang In My Mind” (Nirvana) ความบริสุทธิ์ของหลักสาคัญสู งสุด ทั้งสองประการ คือ จิตหนึ่งหรือพุทธะด้ านหนึ่ง กับนิพพานอีกด้ าน หนึ่ง จะมีคุณสมบัตแิ ละความบริสุทธิ์เป็ นเช่ นเดียวกัน แต่ ต่างกันทีม่ ติ แิ ละมีเส้ นทางทีต่ ่ างกันออกไป เปรียบได้ กับจักรวาลวิทยาว่ าด้ วยการเกิดของจักรวาลทีเ่ ป็ นขามาหลังบิ๊กแบง กับ จักรวาลทีเ่ ป็ นขากลับหลังบิ๊กครันซ์ (ซึ่ง ความเห็นยังไม่ ยตุ ริ ะหว่ างจักรวาลปิ ดหรือจักรวาลเปิ ด) แต่ ไม่ ว่าจะเป็ นบิ๊กครันช์ ของจักรวาลปิ ด หรือจุดกลาง ของหลุมดาของจักรวาลเปิ ด ต่ างก็มแี ต่การเกิดๆ ดับๆ ทีไ่ ม่ สิ้นสุ ดในวิชาจักรวาลวิทยาใหม่ ทีก่ ไ็ ม่ ได้ ต่างกันกับ จักรวาลในทางพุทธศาสตร์ ความเป็ นขามาและขากลับไป ของวิวตั ตา – สังวิวตั ตา ตลอดไป... สุ ดท้ ายนีข้ องหนังสือเล่ มนี้ และ สุ ดท้ ายในอดีตกาล ก่ อนทีพ่ ระสัมมาสัมพุทธเจ้ าจะเสด็จดับขันธ์ ปรินิพพานไป ได้ ตรัสคาสอนวาจาเป็ นครั้งสุ ดท้ ายแก่ มนุษย์ ในโลกนีไ้ ว้ พระองค์ ได้ตรัสว่ า... “สังขารทั้งหลายทั้งปวงมีความสิ้นไป และเสื่อมไปเป็ นธรรมดา” “ท่ านทั้งหลายจงทาความรอดพ้น ให้ บริบูรณ์ ถึงทีส่ ุ ด” “ด้ วยความไม่ ประมาทเถิด”
The End… (จบ)... 91
“เมือ่ เราได้ พจิ ารณาว่ า ทุกสิ่งทุกอย่ างทีเ่ ราประสบล้ วนเป็ นผลจากเหตุและ เงือ่ นไขอันซับซ้ อน ทีร่ ่ วมกันส่ งผลต่ อกันและกัน เราจะพบว่ าไม่มแี ม้ สิ่งเดียวทีจ่ ะทาให้ ปรารถนาหรืออขุ่นเคืองได้ และยังเป็ นการยากยิง่ ขึน้ ทีจ่ ะบังเกิดทุกข์ จากความยึดมัน่ หรือ ความโกรธ โดยวิธีมองมุมของสรรพสิ่งอิงอาศัยซึ่งกันและกันนี้ จะทาให้ ใจของเราผ่อน คลายและเปิ ดกว้ างมากยิง่ ขึน้ ”
(องค์ทะไลลามะ)
92
บรรณานุกรม ื อ้างอิงและค้นคว้าเพิม หน ังสอ ่ เติม - พุทธธรรม (ป.อ. ประยุตโต) ฉบับขยายความ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย - พระธรรมปิ ฎก (ป.อ. ประยุตโต) จาริกบุญ จารึกธรรม ๒๕๔๑ - คู่มอื มนุษย์ ฉบับสมบูรณ์ (พุทธทาสภิกขุ) ๒๕๔๑ - รวมธรรมะ เนื่องในงานฉลอง ๑๐๐ ปี สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ๒๕๔๓ - พุทธศาสนาไทยในอนาคต แนวโน้ มและทางออกจากวิกฤต (พระไพศาล วิสาโล) ๒๕๔๖ - ประตูสู่ สภาวะใหม่ (พระไฟศาล วิสาโล) แปลจาก The Tibetan Book of Living and Dying ๒๕๔๔ - ปรัชญาเบือ้ งต้ น (กีรติ บุญเจือ) แปลจาก G.T.W. Patrick/Introduction to Philosophy ๒๕๑๘ - ปรัชญาประยุกต์ ชุดตะวันตก (จานง ทองประเสริฐ) ๒๕๑๕ - ธรรมชาติของสรรพสิ่ง การเข้ าถึงความจริงทั้งหมด (ศ.นพ. ประเวศ วะสี) บรรณาธิการ ๒๕๔๗ - พุทธเศรษฐศาสตร์ (ศาสตราจารย์ ดร.อภิชัย พันธเสน) ๒๕๔๔ - วิชาปรัชญา (สมัคร บุราวาศ) ๒๕๑๑ - โลกของโซฟี (สายพิณ ศุพุทธมงคล) แปลจาก Jostein Gaarder/Sophy’s World ๒๕๔๒ - จักรวาลในเปลือกนัท (ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล) แปลจาก Stephen Hawking/The Universe in a Nutshell ๒๕๔๖ - ความลับของเอกภพและเวลา (วรพจน์ อารมย์ ด)ี แปลจาก Stephen Hawking/ABrief History Of Time - พืน้ ฐานแห่ งกายมนุษย์ (Reader’s Digerst General Books) - ภารตวิทยา (กรุณา - เรืองอุไร กุศลาสัย) รวบรวมและเรียบเรียง ๒๕๔๗ - พลังแห่ งจิตปัจจุบัน หนทางสว่างสู่ แสงแห่ งปัญญา (พรรณี ชู จริ วงศ์ ) แปลและเรียบเรียงจาก Eckhart Tolle / The Power Of Now A Guide To Spiritual Enlightenment
93