ส าหรั บ พระศาสนจั ก รตะวั น ออก วั น ที่ 6 สิ ง หาคม เป็ น วั น ฉลอง ปัสกาของฤดู ร้อน เพราะเป็น การ ระลึ ก ถึ ง เหตุ ก ารณ์ ที่ พ ระองค์ ไ ด้ ทรงจาแลงพระวรกายของ พระองค์ ดั ง ที่ ไ ด้ มี เ ล่ า ไว้ ใ นพระ ว ร ส า ร ส า ห รั บ พ ว ก เ ข า แ ล้ ว เหตุการณ์นี้มีความสาคัญมาก
ในการจาแลงพระวรกายของ พระเยซู เ จ้ า บนภู เ ขาทาบอร์ นั้ น พระองค์ได้ทรงแสดงพระองค์เองใน ความรุ่งเรืองสุกใสทั้งครบแห่งชีวิต พระที่มีอยู่ในพระองค์ ให้สานุศิษย์ ทั้ง 3 คน ได้แลเห็น
ความรุ่ง เรื อ งสดใสนี้ เป็น เพี ยงแต่ บทนาของ ความรุ่งเรืองสุกใสของ พระองค์ ใ นคื น วั น ปั ส กาเท่ า นั้ น คื น ที่ พ ระองค์ ไ ด้ ท รงกลั บ คื น ชี พ และที่ พ ระองค์ จะทรงประทาน ให้แก่เรา
โดยบันดาลให้เราเป็นบุตรของพระ ผู้เป็นเจ้า ดังนั้น ชีวิตคริสตชนของ เราจึ ง เป็ น กระบวนการของการ เปลี่ ย นแปลงที่ ค่ อ ยๆ ด าเนิ น ไป เรื่อยๆ อย่างช้าๆ ในพระคริสตเจ้า จนกว่าจะถึงรูปแบบของการจาแลง พระวรกายของพระเยซูค ริสตเจ้ า ผู้รุ่งเรืองสุกใส
การฉลองการจ าแลงพระวรกาย ของพระเยซูคริสตเจ้าในพระศาสน จั ก ร ต ะ วั น ต ก นั้ น เ ป็ น พ ร ะ สัน ตะปาปากั ล ลิ ส ตุ ส ที่ 2 ได้ ทรง นาเข้ามาใน ปี 1456 เพื่อ เป็ นการ ระลึกถึงชัยชนะของพระศาสนจักร ที่มีต่อพวกอิสลาม
แสงสว่ า งหรื อ ความสว่ า งเป็ น รู ป แ บ บ ข อ ง ก า ร ร่ ว ม ใ น ความสัมพันธ์ ที่สมบูรณ์แบบที่สุด
เพราะท าให้ เ รามนุ ษ ย์ ส ามารถมี ความรู้และความเข้าใจซึ่งกันและ กั น ได้ อ ย่ า งดี โดยนั ย นี้ เ ราจึ ง น ามาใช้ เ ปรี ย บเที ย บกั บ ศี ล มหา ส นิ ท ซึ่ ง เ ป็ น สั ญ ลั ก ษ ณ์ ที่ ใ ห้ ความหมายมากที่ สุ ด ของรู ปแบบ ของแสงสว่างนี้
นั ก บุ ญ ย อ ห์ น อั ค ร ส า ว ก ใ น หนั ง สื อวิ ว รณ์ ซึ่ ง เป็ น หนั ง สื อ พิ ธี ก ร ร ม ชั้ น เ ลิ ศ บ ร ร ย า ย ถึ ง พ ร ะ เ ย ซู เ จ้ า ว่ า เ ป็ น เ ห มื อ น “ดาวรุ่ ง ที่ ส่ อ งสว่ า งสุ ก ใสของ ยามเช้าตรู่” (วว 2, 28 ; 22, 16 )
พระคริ ส ตเจ้ า ทรงเป็ น ท่ อ ธารที่ ประทานให้ กั บ พระศาสนจั ก ร เพื่อให้พระศาสนจักร ได้ชาระล้าง ตัวเองให้บริสุทธิ์ ให้กลับใจ
ทั้งประทานให้กั บคริสตชนแต่ล ะ คนซึ่ ง ได้ ท าการช าระล้ า งเสื้ อ ผ้ า อาภรณ์ของตนให้ ขาวสะอาดผุด ผ่ อ งในพระโลหิ ต ของพระชุ ม พาน้ อ ย และได้ ด าเนิ น ตามรอย พระคริสตเจ้าในชุดสีขาวบริสุทธิ์นี้
เป็ น ที่ เ ข้ า ใจได้ ไ ม่ ย ากนั ก ว่ า ท าไม เรื่ อ ง “การจาแลงพระวรกาย” นี้ พ ร้ อ ม กั บ ค ว า ม ห ม า ย ที่ น า ไ ป เปรียบเทียบกับ “แสงสว่าง” นั้น
พระศาสนจักรได้เลือกและนามาใช้ เป็ น บทอ่ า นขั้ น พื้ น ฐานส าหรั บ การ สอนค าสอนทาง พิ ธี ก รรมในการ เตรี ย มศี ล ล้ า งบาป (สั ป ดาห์ ที่ 2 ของมหาพรต) และพระศาสนจักร ตะวั น ออกได้ ขั บ ร้ อ งบทเพลงที่ มี ค ว า ม ห ม า ย ม า ก ห ลั ง รั บ ศี ล ว่ า “เราแลเห็นแสงสว่าง”
ส าหรั บ พวกเราทุ ก ๆ ครั้ ง ที่ เ รา มาร่วมถวายบูชามิสซา “เราก็ได้แล เห็นแสงสว่าง” นี้ เป็นต้นโดยการ เ ข้ า ไ ป รั บ อ ง ค์ พ ร ะ เ ย ซู เ จ้ า ใ น ศีลมหาสนิท
เช่นเดียวกับที่โมเสสได้แลเห็นแสง สว่ า งของพระยาห์ เ วห์ ที่ พุ่ ม หนาม อั น ลุ ก โชติ ช่ ว งหรื อ บนภู เ ขาซี นั ย หรือเช่นเดียวกับการที่ประชากรซึ่ง ได้ รั บ เลื อ กสรรที่ ก าลั ง เดิ น ทางอยู่ ภายใต้ กลุ่ ม เมฆที่ ส ว่ า งโชติ ช่ ว ง หรือการที่ประกาศกเอลียาห์
ได้ ถู ก ดึ ง ตั ว ให้ ขึ้น ไปบนรถม้ าเพลิ ง หรือการที่ผู้เฒ่าซีเมออนได้แลเห็น องค์ ค วามสว่ า งที่ พ ระวิ ห ารกรุ ง เยรู ซ าเลม หรื อ ว่ า เช่ น เดี ย วกั บ เปโตรยากอบและยอห์ น ที่ ภู เ ขา ทาร์บอร์”
หรือว่าเหมือนกับพวกอัครสาวกกับ พระนางมารีย์ในห้องประชุมสวดใน วั น พ ร ะ จิ ต เ ส ด็ จ ล ง ม า ห รื อ เหมื อ นกั บ นั ก บุ ญ เปาโลที่ ก าลั ง เดินทางมุ่งหน้าไปยังกรุงดามัสกัส...
โดยมีความหวังและรอคอยว่าเราจะ ได้รับการไขแสดงให้เป็นเหมือนกับ “บุ ตรแห่ง แสงสว่าง” ในพิ ธีกรรม ศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองสวรรค์ เมื่อพระ เจ้ า จะทรงเป็ น “ทุ ก ๆ สิ่ ง ในทุ ก ๆ คน”