Journal. Traditional Medicine

Page 1

วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

วารสาร ยาในวิถีชาติพันธุ์ Journal. Traditional Medicine 1. วัตถุประสงค์ 1.1 1.2 1.3

2. เจ้าของ 3. ที่ปรึกษา 3.1 3.2 3.3 3.4 3.5 3.6 3.7 3.8 3.9 3.10 3.11 3.12 3.13 3.14

มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัย

4. บรรณาธิการ 4.1 ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.อรรถ นันทจักร์

มหาวิทยาลัย

5. ผู้ช่วยบรรณาธิการ 5.1 5.2 5.3

6. กองบรรณาธิการ 6.1 6.2 6.3 6.4 6.5

มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัย


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

7.รายชื่อผู้ประเมินอิสระ (Peer Review) ผู้ประเมินบทความประจาฉบับ 7.1 7.3 7.4

8. ฝ่ายการจัดการและเผยแพร่ 8.1 8.2 8.3 8.4

9. ฝ่ายศิลปกรรม 9.1 9.2 9.3 9.4

10. สานักงาน สานักงาน........................................................................................... เลขที.่ ............................................................... อาคาร...................................................................................................................(http://www.......................................)

11. ขอบเขตของวารสาร บทความที่ทางวารสาร................................................................................................................................................... จะ พิจารณารับตีพิมพ์ จะต้องเป็นบทความที่เกี่ยวข้องกับ.............................................................................................. โดย ที่รับตีพิมพ์ ได้แก่..........................................................................................................................................................................

12. เกณฑ์คุณภาพของวารสาร การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่น 12.1 กองบรรณาธิการ ประกอบด้วย........................................................................................................................... โดย มี…………………………………………………………………………………………………. 12.1.1 กองบรรณาธิการ ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งภายในลายนอก จานวน ................ ท่าน 12.1.2 บรรณาธิการ ประกอบด้วยบรรณาธิการ ........ ท่าน และผู้ช่วยบรรณาธิการ จานวน............... ท่าน 12.1.3 ผู้ประเมินอิสระ (Peer Review) เป็นผู้เคยมีประสบการณ์ด้าน.................. หรือ.................................................... มีคุ ณ วุ ฒิ ...........................................................................ในสาขาวิช าที่ เกี่ ยวข้ อง หรือเป็ นผู้ เคยมี ตาแหน่ง ทางวิ ช าการ เป็ น ศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ทั้งภายในและนอก 12.2 บทความที่ ได้ รั บ การตี พิ ม พ์ จะต้ อ งผ่ า นการพิ จ ารณาจากผู้ ท รงคุ ณ วุ ฒิ ที่ เป็ น ผู้ เชี่ ย วชาญในสาขานั้ น และ ผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการวิจัย รวม.................ท่าน 12.3 กาหนดการจัดทา ปีละ .............. ฉบับ 12.3.1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม ถึงเดือน เมษายน ของทุกปี 12.3.2 ฉบับที่ 2 เดือน พฤษภาคม ถึงเดือน สิงหาคม ของทุกปี 12.3.3 ฉบับที่ 3 เดือน กันยายน ถึงเดือน ธันวาคม ของทุกปี


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

12.4 ก าหนดแล้ ว เสร็จ ในแต่ ล ะฉบั บ ฉบั บ ที่ ............ ภายในเดื อ น ..........................ฉบั บ ที่ .......... ภายในเดื อ น ................. และฉบับ

13. ข้อกาหนดเฉพาะของวารสาร 13.1 เป็นบทความวิจัย บทความวิชาการ บทความปริทัศน์ (Review Article) และมีรายการอ้างอิง 13.2 บทความที่ไม่มีรายการอ้างอิงจะพิจารณาคัดเลือกเป็นรายบทความ โดยพิจารณาจากเนื้อหาของบทความที่มีอยู่ใน ความสนใจของสังคม และมีคุณค่าทางวิชาการ 13.3 ไม่เป็นความแปล บทความสัมภาษณ์ 13.4 รายการอ้างอิงประเภทหนังสือที่ไม่คัดเลือกเพื่อบันทึกคือ รายการอ้างอิงที่ไม่มีชื่อผู้เขียน และผู้เขียนเป็นนิติบุคคล 13.5 บทความที่ลงตีพิมพ์ทุกเรื่องได้รับการตรวจทางวิชาการโดยผู้ประเมินอิสระ (Peer Review) 13.6 ข้อคิดเห็นใด ๆ ของบทความที่ล งตีพิมพ์ในวารสารยาในวิถีชาติพันธุ์นี้ เป็นของผู้เขียน คณะผู้จัดทาวารสารไม่ จาเป็นต้องเห็นด้วย 13.7 กองบรรณาธิการวารสารยาในวิถีชาติพันธุ์นี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์การคัดลอกแต่ให้อ้างอิงที่มา

14. โรงพิมพ์ พิ ม พ์ ที่ ............................................................................................................................. ................................ รหัสไปรษณีย์ ........................... โทร. …………………………. Mobile : ……………………………… Facebook : ………………………….. Line id : ……………………………………. E-mail : ………………………………..

15. สาระสังเขป ของวารสาร ฉบับปฐมฤกษ์ ของวารสาร “วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์” ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 (วันที่ 1 เดือน มกราคม 2562 ถึง 31 มีนาคม 2562) เป็นการ นาเสนอบทความทางวิชาการ โดยผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก จานวน ........... บทความ ในประเด็นหัวข้อ การอภิปรายที่เกี่ยวข้องกับ “..........................................................................................................” บทความวิจัยใน................................................... และ .................................................... สาขาวิชา.................................. ทั้งภายในและภายนอก จานวน ………………… บทความ


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

บรรณาธิการแถง วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ฉบับที่ 1 ปีที่ 1 เป็นฉบับที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์ ........................................ โดยสาระที่นาเสนอ ประกอบด้วยบทความทางวิชาการ ....... เรื่อง และบทความวิจัย .......... เรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับ ......................................... ในทศวรรษ ที่ 21 ที่ผู้อ่านสามารถนาความรู้ไปใช้ประโยชน์และเป็นแนวทางในการพัฒนางานของวารสาร กองบรรณาธิการมีความมุ่งหวังที่จะเป็นตัวกลางในการเผยแพร่องค์ความรู้ของนักวิชาการ นักวิจัย รวมถึงนิสิตนักศึกษา และบุคคลทั่วไป โดยสามารถส่งผลงานของท่านมายังกองบรรณาธิการ โดยทางกองบรรณาธิการ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จ ะ เผยแพร่ผลงานของท่าน เมื่อผ่านการพิจารณาจากกองบรรณาธิการและผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) แล้ว โดยมุ่งหวังให้ผลงานที่ ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ มีคุณค่าและคู่ควรแก่การติดตาม สาหรับผู้อ่านที่ประสงค์จะเติมเต็มความรู้ ให้กับตนเองอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตามทางกองบรรณาธิการยินดีที่จะรับข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ เพื่อพัฒนา ปรับปรุง ให้วารสาร การจัดการศึกษาเพื่อ ........................................................... มีคุณภาพดียิ่งๆ ขึ้นไป ทั้งนี้เพื่อก่อให้เกิดผลงานที่มีคุณภาพสู่สายตา ท่านผู้อ่านให้มากที่สุด กองบรรณาธิการขอขอบพระคุณเจ้าของบทความทุกท่าน ที่ได้เล็งเห็นความสาคัญและตัดสินใจที่จะเลือกลงตีพิมพ์ใน วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ฉบับนี้ ขอขอบพระคุณผู้ทรงคุณวุฒิที่เสียสละเวลาอันมีค่ายิ่งในการพิจารณา กลั่นกรองแก้ไขบทความทุกบทความให้มีคุณค่า และมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น และที่จะลืมไม่ได้นั่นคือสมาชิก วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ทุกท่านที่ให้การอุปการะและมีจานวนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงผู้ที่ส นใจทั่วไปที่เห็นความส าคัญ ของการเพิ่มพูนความรู้ที่ทันสมัย โดยการจัดหาวารสารฉบับนี้ไว้เป็นเจ้าของ ท างกอง บรรณาธิการวารสาร ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ ............................ บรรณาธิการ


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

สารบัญ หน้า บทความวิชาการ

บทความวิจัย


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

กัญชา : สิ่งเสพติดอันตรายหรือยารักษาโรคร้าย Marijuana : dangerous drugs or drug treatment * ธีรศักดิ์ ศิริพยัคฆ์ Mr. Theerasak siripayak

บทคัดย่อ ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีทรัพยากรชีวภาพหลากหลายมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ความหลากหลาย ทางชีวภาพ หรือ ทรัพยากรชีวภาพ เป็นฐานสาคัญของการเกษตร ยารักษาโรค และต่อเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่ง ความหลากหลายทางชีวภาพนี้สะท้อนจากการใช้พื ชกัญ ชาเป็นอาหารและใช้ประกอบในตารับยาไทยตามภู มิ ปัญ ญาชาวบ้านมาอย่างกว้างขวางและยาวนาน นอกจากนั้นหลายประเทศทั่วโลกผ่อนปรนกฎหมายอนุญาตให้ ประชาชนใช้กัญชาทางการแพทย์หรือเพื่อสันทนาการได้อย่างถูกต้อง แต่กัญชายังถือเป็นสิ่งเสพติดให้โทษประเภท 5 ในไทย ซึ่ งผู้ เสพต้ อ งระวางโทษปรั บ และ/หรือ จ าคุ ก ส่ วนรัฐ บาลเพิ่ ง เริ่ ม หาทางแก้ ก ฎหมายเปิ ด ช่ อ งให้ ศึกษาวิจัยพืชเสพติดได้อย่างถูกต้อง แม้ผู้ป่วยไทยบางส่วนลักลอบใช้กัญชาเพื่อรักษาโรคร้ายมาหลายปีแล้ว คาสาคัญ : กัญชา, สิ่งเสพติด, ยารักษาโรค, โรคร้าย * นักศึกษาระดับดุษฎีบัณฑิต สาขาการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่น คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม Email.: ........................................ Tell ....................................

Abstract Thailand is one of the world that's most diverse biological resources. Biodiversity or biological resources Is an important base of agriculture, medicine and the country's economy. This biodiversity is reflected in the use of cannabis plants as food and is used in Thai traditional medicine according to folk wisdom for a long and extensive period. In addition, many countries around the world have relaxed laws allowing people to use medical marijuana or for recreation properly. But marijuana in thailand is still considered a type 5 drug addiction. The drug user is liable to a fine and / or imprisonment. Although some Thai patients have been using marijuana to treat malaria for many years.

Keywords : marijuana, drugs, medicine, disease

บทนา กัญชาเป็นสิ่งเสพติดผิดกฎหมาย เรื่องนี้ถูกสอนให้ฝังอยู่ในหัวเรามาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ลืมนึกไปว่าทุกอย่างในโลกนั้นไม่ได้มี แค่ด้านเดียว เมื่อโตขึ้นเราพบว่ากัญชาถูกนามาใช้ในหลายบริบท ในด้านมืดเรารู้จักมันในฐานะสิ่งเสพติดอันตรายตัวแรกๆ ที่น้าพุ เริ่มเสพในหนังสือ พระจันทร์สีน้าเงิน รู้จักกับมันในฐานะยาที่ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด จากโรคมะเร็งระยะสุดท้ายของตัวละครที่ นาแสดงโดย ซูซาน ซาแรนดอน ในภาพยนตร์เรื่อง Stepmom กัญชาในตอนนี้จึงกลายเป็นพืชที่อยู่ตรงกลางระหว่างพืชที่ถูกนาไปทาเป็นสารเสพติดอันตราย กับพืชทางเลือกเพื่อช่วย รักษาโรคร้าย เป็นทั้งเทพธิดาผู้มาช่วยเหลือมนุษย์ และปีศาจร้ายที่ทาลายชีวิตคน แต่ทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าจะเชื่อในด้าน ไหน


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

กัญ ชาเป็นพืช ล้มลุกชนิดหนึ่ง ที่มีประวัติศ าสตร์ยาวนานหลายพันปี แต่หน้าที่ของมันกลับถูกเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาด้วย ข้อกาหนดของกฎหมายอยู่บ่อยครั้ง บ้างก็ถูกมองว่าเป็นวายร้าย เป็นสารเสพติดที่ก่อให้เกิดอาการมึนเมา บ้ างก็เป็นของเล่นของ เหล่าหนุ่มสาวและศิลปินที่ทาให้เกิดแรงบันดาลใจและผ่อนคลาย แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นสมุนไพรชั้นเยี่ยมที่ช่วยรักษาให้ใคร หลายคนรอดพ้นจากอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง สุดท้ายแล้วจุดยืนที่ถูกต้องของกัญชาอยู่ตรงไหน? เราขอชวนคุณไปสารวจ เส้นทาง ประวัติศาสตร์ของพืชชนิดนี้ไปพร้อมๆ กัน การใช้กัญชาครั้งแรกของโลกมีขึ้นเมื่อราว 4,700 ปีที่แล้ว โดยจักรพรรดิเสินหนงแห่งประเทศจีน ได้ใช้พืชชนิดนี้เป็น สมุนไพรรักษาโรคข้อต่ออักเสบ (เกาต์) มาลาเรีย และโรคไข้รูมาติก แต่ต่อมาเมื่อราวๆ 2500 ปีที่แล้ว มันก็เริ่มถูกสั่งห้ามในจีน เนื่องจากได้รับการสันนิษฐานว่าทาให้เด็กๆ และวัยรุ่นไม่เคารพผู้ใหญ่ ประมาณว่าพอเสพแล้วสติขาด หัวร้อน ทาให้สติไม่อยู่กับ เนื้อกับตัว ไม่ต่างจากอาการเมาสุราที่เราเห็นกันอยู่ทุกวัน ส่วนในประเทศไทย เราใช้กัญชาในการรักษาโรคมาตั้งแต่รัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งมันเคยเป็นส่วนผสม สาคัญในตารับแพทย์แผนไทยถึง 93 ตารับ ส่วนใหญ่ใช้รักษาอาการนอนไม่หลับ ช่วยให้เจริญอาหาร ตกเลือด แก้ลงแดง ขับลม รักษาอาการปวดต่างๆ และบารุงกาลัง ถึงหลายคนจะคิดว่ากัญชาเป็นพืชที่ปลูกได้แค่ในเขตร้อนเท่านั้น แต่นักประวัติศาสตร์ก็ค้นพบว่าในประเทศเขตหนาว อย่างฝั่งยุโรปเองก็มีการใช้กัญชาเป็นสมุนไพรรักษาโลกมาเป็นเวลานานแล้วเช่นกัน เช่ น ชนเผ่าไวกิ้งในสแกนดิเนเวีย และคน เยอรมันในยุคมืดที่ใช้กัญชาเป็นยาบรรเทาอาการปวดขณะคลอดลูก และปวดฟัน (ใครที่เคยผ่าฟันคุดน่าจะเข้าใจอาการเจ็บปวดนี้ ได้เป็นอย่างดี) ความนิยมของกัญชาค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงศตวรรษที่ 17 เนื่องจากเป็นพืชที่มีประโยชน์ทั้งในเชิงการแพทย์และ การอุปโภค โดยที่เมืองเจมส์ทาวน์ รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา ได้ออกข้อบังคับให้ประชาชนในเมืองทุกบ้านปลูกกัญชาเพื่อนาเส้น ใยมาทาเป็นเชือก สิ่งทอ และผืนผ้าใบเรือ หากบ้านไหนไม่ปลูกกัญชาถือว่าผิดกฎหมาย แม้กระทั่ง จอร์จ วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา ก็บอกว่าเขาปลูกไร่กัญชาไว้บนภูเขาเวอร์นอนเพื่อ นามาใช้งานในเชิงอุตสาหกรรม และแม้ว่าชาวอเมริกันส่วนใหญ่จะตั้งข้อสงสัย แต่ก็ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเขาเคยสูบกัญชาหรือไม่ การเสพและใช้กัญชาได้รับความนิยมจนถึงขีดสุดหลังการปฏิวัติเม็กซิโกในปี ค.ศ. 1910-1920 เนื่องจากชาวเม็กซิกันแห่ ข้ามพรมแดนเข้ามาในสหรัฐอเมริกา พร้อมกับหอบความเพลิดเพลินในรูปแบบของใบไม้สีเขียวเข้ามาด้วย ทาให้คนหนุ่มสาวยุคใหม่ เริ่มใช้กัญชาเพื่อการผ่อนคลายเป็นจานวนมาก พฤติกรรมนี้ค่อยๆ หล่อหลอมให้เกิดวัฒนธรรมฮิปปี้ หรือบุปผาชน ในปี ค.ศ. 1940 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนหนุ่มสาวนิยมออกเดินทางท่องเที่ยว เล่นดนตรี พร้อมกับมวนกัญชาในกระเป๋า แต่ในขณะเดียวกัน ความนิยมที่จะ get high ตลอดเวลานี้ก็ทาให้อัตราการก่ออาชญากรรมและอุบัติเหตุเพิ่มขึ้นอย่างเห็น ได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นการขับรถในขณะมึนเมา และการทะเลาะวิวาทอย่างขาดสติ หลังจากนั้นไม่นาน อุตสาหกรรมกัญชาจึงเริ่มเข้าสู่ จุดเปลี่ยน ในปี ค.ศ. 1961 กัญชากลายเป็นของต้องห้าม ไม่ใช่สมุนไพรหรือของเล่นสนุกของหนุ่มสาวอีกต่อไป เพราะหลังจากที่ สหประชาชาติประกาศลงนามในสนธิสัญญาร่วมเพื่อปราบยาเสพติดให้หมดไปจากโลกนี้ ผู้นาประเทศต่างๆ รวมถึงประธานาธิบดี ริ ชาร์ด นิกสัน ของสหรัฐอเมริกา จึงประกาศสงครามยาเสพติด โดยเปลี่ยนกัญชาขึ้นเป็นยาเสพติดประเภท 1 ซึ่งมีความรุนแรง เทียบเท่ากับเฮโรอีน พร้อมกับเชิญชวนให้ทั่วโลกร่วมทาสงครามยาเสพติดเช่นกัน ส่วนการปราบปรามกัญชาในประเทศไทยเริ่มในสมัยของพระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ของประเทศ โดยขณะนั้นได้มีพระราชบัญญัติกัญชา พ.ศ. 2477 ซึ่งห้ามให้ผู้ใดปลูก นาเข้า ซื้อขาย หรือเสพกัญชาเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะได้ รับ โทษทั้งจาและปรับอย่างรุนแรง จนกระทั่งปี พ.ศ. 2522 รัฐบาลไทยก็ได้ออก พ.ร.บ. ยาเสพติดที่ใช้กันจนมาถึงปัจจุบัน


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

หลังจากกาหนดให้กัญชากลายเป็นยาเสพติดชนิดรุนแรง ก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่แพทย์และนักวิชาการทั่วโลก เพราะแม้ว่ากัญชาจะมีฤทธิ์ให้เกิดอาการมึนเมาและเสี่ยงต่อการเสพติด แต่ก็ยังนับว่าเป็นพืชที่มีประโยชน์มากในเชิงการรักษาโรค ในปี ค.ศ. 1972 รัฐบาลเนเธอร์แลนด์จึงตัดสินใจจัดประเภทยาเสพติดใหม่ โดยเลือกให้กัญชาเป็นยาเสพติดชนิดไม่ร้ายแรง และ สามารถใช้ในเชิงการผ่อนคลายได้ใน ‘ร้านกาแฟ’ การรักษาโรคโดยใช้กัญ ชาได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ในโลกตะวันตก เนื่องจากทีมแพทย์จากอเมริกาสามารถนา กัญชามารักษาผู้ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งและโรคเอดส์สาเร็จ ในปี ค.ศ. 1996 จึงประกาศให้แคลิฟอร์เนียเป็นรัฐแรกของสหรัฐอเมริกา ที่สามารถใช้กัญชาในเชิงการแพทย์ได้อย่างถูกกฎหมาย จากนั้นจึงตามมาด้วยประเทศแคนาดา ปัจจุบัน กว่า 20 ประเทศทั่วโลกเปลี่ยนแปลงให้กัญชากลายเป็นพืชถูกกฎหมาย แต่ก็ยังมีข้อบังคับที่แตกต่างกันออกไป เพราะบางแห่งเปิดขายแค่เชิงการแพทย์ หรือแค่กับคนบางกลุ่มเท่านั้น ส่วนในประเทศไทย เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2561 คณะกรรมาธิการวิสามัญมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 โดยปรับแก้ไข 2 เรื่อง ประกอบด้วย แยกการควบคุมการอนุญาตการผลิตนาเข้า -ส่งออก จาหน่ายยาเสพติดหรือมีไว้ใน ครอบครองประเภท 2 และประเภท 5 ออกจากกันอย่างชัดเจน โดยสาระสาคัญ คือ เปิดโอกาสให้สามารถนายาเสพติดประเภท 5 คือ กัญชาและกระท่อม ไปทาการศึกษาวิจัยเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ และสามารถนาไปรักษาภายใต้การควบคุมดูแลของแพทย์ ได้ โดยเฉพาะการแก้ไขในส่วนของบท เฉพาะกาล ที่ เพิ่มองค์ประกอบของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ เฉพาะ วาระที่เกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษประเภท 5 จานวน 8 ตาแหน่ง คือ 1.ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2.อธิบดีกรมการแพทย์ แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก 3.อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม 4.อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ 5.อธิบดีกรมสุขภาพจิต 6. นายกแพทยสภา 7.นายกสภาการแพทย์แผนไทยและ 8.นายกสภาเภสัชกรรม และเมื่อเจาะลึกไปอีกจะพบว่าการขออนุ ญาตเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษนั้นเน้นความสาคัญเพื่อประโยชน์ทางราชการ การแพทย์ การรักษาผู้ป่วย การศึกษาวิจัยพัฒนา รวมถึงเกษตรกรรม พาณิชยกรรม วิทยาศาสตร์ หรืออุตสาหกรรมเพื่อประโยชน์ ทางการแพทย์ ซึ่ง ต้องขออนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยผ่านความเห็ นชอบจากคณะกรรมการ ควบคุมยาเสพติด ที่มีลักษณะตามกาหนดในราชกิจจานุเบกษา ส่วนการผลิต นาเข้า ส่งออก ครอบครอง หรือจาหน่ายกัญชาเพื่อ ประโยชน์ทางการแพทย์ต้องเป็นไปตามที่กฎกระทรวงกาหนด จากการปลดล็อกกัญชาเพื่อให้ไทยสามารถนาสารที่มีส่วนประกอบหลักที่ออกฤทธิ์ต่อร่างกายและสมอง 2 ชนิด คือ tetrahydrocannabinol (THC) หรื อ สารกล่ อ มประสาท และ cannabidiol (CBD) สารที่ ล ดการอั ก เสบ ลดการกั ง วล ซึ่ ง นอกเหนือจากความหวังเพื่อนาประโยชน์จากพืชธรรมชาติอย่างกัญชามาใช้แล้ว สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามนั่นก็คือการนาสารกัญชา ไปใช้ในทางที่ผิด เพราะแม้จ ะมีการคลายล็อกกัญชา แต่ต้องอย่าลืมว่ากัญชา ก็ยังคงเป็นยาเสพติดที่ผู้ครอบครองต้องมีการขอ อนุญาตไม่เช่นนั้นจะต้องได้ รับโทษทั้งจาและปรับ นพ.โสภณ เมฆธน ที่ปรึกษา รมว.สาธารณสุข และประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) เล่าถึง สาเหตุที่ต้องปลดล็ อกและนากัญชามาใช้ทางการแพทย์ ว่า ปัจจุบันวิทยาการมีความเจริญก้าวหน้ามีการศึกษาวิจัย จนมีความเชื่อว่ากัญชามีประโยชน์ ทางการแพทย์ เพราะสามารถนาไปใช้รักษาเรื่องโรคลมชักที่ยาปัจจุบันยังรักษาไม่ได้ ในผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบาบัด ช่วยลด อาการคลื่ น ไส้ อ าเจี ย น ลดอาการปลายปลอกประสาทอั ก เสบที่ แ ข็ ง เกร็ ง และช่ วยในเรื่ อ งอาการปวด ทั้ ง หากย้ อ นไปใน ประวัติศาสตร์จะพบว่าไทยมีการใช้กัญชา ใส่ในตารับยากว่า 100 ตารับ ซึ่งถือว่ามีประโยชน์ แต่ก็ยังติดขัดเรื่องกฎหมาย จึงต้องมี การปลดล็อกเพื่อสามารถนากัญชาไปใช้ในทางการแพทย์ได้อย่างครบกระบวนการ ตั้ง แต่ศึกษาวิจัย ปลูกและสกัด จนสามารถ นาไปรักษาโรคได้ แต่ไม่มีแนวคิดที่จะนามาใช้เพื่อเรื่องนันทนาการแน่นอน “การที่เรานายาเสพติดมาใช้เป็นยารักษาโรคนั้น เพราะบางโรคแม้จะมียาแผนปัจจุบันรักษาได้ แต่ยาแผนปัจจุบันที่ใช้ รักษาโรค เช่น พาร์กินสัน อัลไซเมอร์ เป็นต้น อาจช่วยเรื่องการลดอาการ แต่ยังไม่สามารถลดการดาเนินของโรคได้ ขณะที่มีคนที่ ใช้กัญชาแล้วพบว่าสามารถลดการดาเนินของโรคได้ ดังนั้นจึงถือเป็นประโยชน์และไม่ทาให้คนไข้เสียโอกาส ทั้งนี้หากสามารถนา


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

กัญชามารักษาโรคได้ ก็จะถือเป็นยาที่ประเทศ ไทยผลิตเองได้ ส่งผลให้ไทยไม่ต้อ งนาเข้ายาในชนิดที่ใช้สารสกัดจากกัญชาทดแทน ได้ ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านยาได้จานวนมาก ดังนั้นถือเป็นโอกาสของไทยและผู้ป่วย และที่สาคัญหากคนไทยผลิตเองได้ยาที่ ได้ก็ จะมีราคาถูกผู้ป่วยเข้าถึงได้ ซึ่งราคาจะถูกกว่าต่างชาติแน่นอน โดยเป้าหมายคือผู้ป่วยบัตรทองสามารถใช้ได้ อนาคตหากเราไม่ทา เรื่องกัญชาเราต้องมีการนาเข้ากัญชาจากต่างชาติ ” นพ.โสภณ ขยายภาพถึงสาเหตุการนายาเสพติดมาใช้เป็นยารักษาโรค โดย หลังจากกัญชาถูกนามาใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์อย่างแพร่หลายในหลายประเทศทั่วโลก เนื่องจากมีผลงานวิจัยและผล การศึกษาที่ออกมารองรั บว่าสารสกัดจากกัญชา ทั้ง THC และ CBD มีสรรพคุณในการรักษาโรค โดยเฉพาะบางโรคที่ยังไม่มียา รักษา เช่น ลมชัก เป็นต้น ประเทศไทยจึงเล็งเห็นถึงความสาคัญในการนากัญชามาใช้รักษาโรค โดยได้กาหนดที่จะนามาใช้โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม หลักๆ ที่สามารถนากัญชาไปใช้ในการรักษาโรค ประกอบด้วย 1.กลุ่มที่มีหลักฐานข้อบ่งชี้แล้วว่าใช้ได้ ซึ่งมี 4 โรค ได้แก่ 1.อาการ แข็งเกร็งจากเส้นเลือดตัดหรือแตก ความผิดปกติที่ระดับของไขสันหลัง 2.อาการปวดอื่นที่ไม่ใช่มะเร็งหรือปลอกประสาท เช่น ข้อ เส้นเอ็น กล้ามเนื้อ ที่ต้องใช้ยาระงับปวดอย่างรุนแรง 3.การรับประทานอาหารไม่ได้จากโรคทางกายและทางจิต และ 4.โรคทาง สมอง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกัญชายังถือเป็นยาเสพติดประเภท 5 ไม่ได้เปิดเสรี การจะนาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกัญชาเข้า มาในประเทศต้องได้รับอนุญาต เช่น ผู้ป่วยต้องมีใบรับรองแพทย์ หากหิ้วมาโดยไม่ขออนุญาต อาทิ เป็น น้าอัดลม อาหารเสริมที่มี ส่วนประกอบของกัญชาจะถือว่าผิดกฎหมายทั้งสิ้น มีโทษจาคุกไม่เกิน 5ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท แต่ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ ศาล แต่ถ้าใครครอบครองเพื่อจาหน่ายจะถือว่าผิดกฎหมายมีโทษจาคุก 2-15 ปี” ในส่วนของการปลูกกัญชา มีกาหนดว่าต้องเป็น หน่วยงานของรัฐ หากเป็นเอกชนก็ต้องทาร่วมกับรัฐ รวมถึงวิสาหกิจชุมชน และการปลูกต้องได้มาตรฐานที่สูงกว่าการปลูกสมุนไพร จีซีพี (GCP) เพราะกัญชาเป็นพืชที่ดูดซับโลหะหนักได้ดี และครอบคลุมถึงเรื่องการเก็บเกี่ยวด้วย ส่วนการปลูกต้องขออนุญาตจาก นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด และผู้ ว่าราชการจังหวัด เพื่อเป็นคนพิจารณาอนุญาต การดาเนินการเพื่อนากัญชามาใช้ทางการ แพทย์อย่างครบวงจร ตั้งแต่การเลือกสายพันธุ์การเลือกวิธีปลูก โดยจะเป็นเชิงระบบมีการควบคุมทั้งหมด เพราะกัญชายังเป็นยา เสพติดประเภท 5 ทั้งนี้ ที่ผ่านมาเคยมีการขอของกลางยาเสพติดให้โทษมาทาการทดลอง แต่ก็พบว่ากัญชามีการปนเปื้อนโลหะ หนัก ดังนั้นเพื่อให้สามารถมีสารสกัดจากกัญชาที่ได้มาตรฐาน เราจึงต้องดาเนินการปลูกเองเพื่อให้ได้กัญชาไปทาการวิจัยช่วงเดือน พ.ค.–มิ.ย. 2562 โดยจะปลูกในโรงเรือนของ อภ. ให้ได้กัญชาประมาณ 100 กิโลกรัม ก่อนทาเป็นระบบเชิงวิจัยและต่อยอดทาวิจัย ซึ่งไม่เกินเดือน ก.พ.2562 ไทยจะมีการปลูกกัญชาต้นแรก อนาคตหากเราไม่ทาเรื่องกัญชาเราต้องมีการนาเข้ากัญชาจากต่างชาติ ทั้งนี้ ถึงแม้เราจะเดินหน้าเรื่องกัญชาอย่างเต็มที่ แต่สิ่งหนึ่งที่เรากังวล คือการยื่นคาขอจดสิทธิบัตรของต่างชาติเพราะหากยังไม่มี ความชัดเจนจากกรมทรัพย์สินทางปัญญา อภ.ก็มีความเสี่ยงถูกฟ้องได้หากคาขอได้รับการอนุมัติ การที่ประเทศไทยมีการเตรียมพร้อม นากัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ เพื่อทาให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาที่ดี ส่งผลให้ ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี รวมถึงการช่วยประเทศชาติประหยัดงบประมาณด้านยารักษาโรคที่สามารถใช้กัญชาทดแทนได้นั้น ถือเป็น เรื่องที่ดีที่จะช่วยคืนความสุขและรอยยิ้มให้กับผู้ป่วยรวมถึงครอบครัวด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องขอฝากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อไม่มองข้ามคือ การควบคุมและเอาจริงเอาจังไม่ให้มีการนาเอา กัญชารักษาโรคกลับไปใช้เป็นยาเสพติด เพราะหากปล่อยให้มีการนาไปใช้ผิดที่ผิดทาง หรือผิดวัตถุประสงค์ สิ่งที่จะตามมาอย่างไม่ อาจหลีกเลี่ยงได้คือความสูญเสียที่รุนแรงต่อไป ซึ่งมั่นใจว่าคงไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้น

เอกสารอ้างอิง https://voicetv.co.th/read/B1Id7u_9X https://www.honestdocs.co/what-is-cannabis-indica https://th.wikipedia.org/wiki/กัญชา https://www.thairath.co.th/content/747307 https://news.mthai.com/news-clips/511540.html http://haamor.com/th/กัญชา/#article101


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

https://mgronline.com/marsmag/detail/9610000115408j https://www.bbc.com/thai/thailand-42748753 https://www.honestdocs.co/what-is-cannabis-indica https://www.prachachat.net/spinoff/spinoff-featured/news-102903 https://waymagazine.org/กัญชา/

กัญชากับการพัฒนาประเทศไทยด้านการแพทย์ Marijuana with Medical Development in Thailand * ธีรศักดิ์ ศิริพยัคฆ์ Mr. Theerasak siripayak

บทคัดย่อ “กัญชา” ในประเทศไทยมักจะถูกกล่าวถึงในด้านลบมากกว่าด้านบวก อีกทั้งยังถู กกฎหมายประทับรอย บาปไปแล้วว่าเป็นสิ่งเสพติดให้โทษ แต่ในทางกลับกันในหลายประเทศเริ่มศึกษาวิจัยประโยชน์ของกัญชาที่มีต่อ วงการแพทย์ ส่วนประเทศไทยเพิ่งเริ่มมีการวิจัยอย่างจริงจังเมื่อเร็วๆนี้ การจะได้ประโยชน์เรื่องนี้ต้องมีผู้รู้และ เข้าใจ เตรียมสิ่งที่ มี คุณ ภาพ โดยเฉพาะกั บผู้ ที่ จะสั่ ง ใช้ ยากั ญ ชา ไม่ ว่าจะเป็ น แพทย์แ ผนไทย แพทย์แ ผนไทย ประยุกต์ หรือแพทย์แผนปัจจุบัน ที่เป็นผู้ดูแลผู้ป่วย ทาให้คนเหล่านี้มีความรู้เฉพาะทางขึ้นมาในเรื่องการแพทย์ แคนนาบินอยด์ แล้วทาการศึกษาวิจัยแบบติดติดตามผู้ป่วยไปข้างหน้าอย่างเข้าใจเป็นระบบ เชื่อว่าประเทศไทย สามารถที่จะเป็นผู้นาทางด้านการแพทย์แคนนาบินอยด์ ในไม่ช้า คาสาคัญ : กัญชา, กัญชากับยารักษาโรค, การแพทย์แคนนาบินอยด์ * นักศึกษาระดับดุษฎีบัณฑิต สาขาการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่น คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม Email.: ........................................ Tell ....................................

Abstract "Marijuana" in Thailand is often said to be more negative than positive. And was also legally imprisoned for sin. But on the other hand, in many countries, began to study the benefits of marijuana to the medical community. Thailand has recently begun to have serious research recently. To gain this benefit, there must be a person who knows and understands. Prepare quality things especially with those who would order marijuana. Whether it is Thai medicine, Thai Traditional Medicine or Modern medicine who is the caregiver of the patient causing these people to have specialized knowledge in the field of medicine. And conducting a follow-up study to understand patients in a systematic manner. We believe that Thailand is able to be a medical leader in Cannabinoid soon. Keywords: marijuana, marijuana with medicine, cannabinoid Medicine


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

บทนา เมื่อพูดถึงยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เราเน้นความมั่นคง ความสามารถในการแข่งขันการแก้ปัญหาทางสังคม ลดความเหลื่อมล้า การคานึงถึงสิ่งแวดล้อม รวมถึง Thailand 4.0 ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ที่จะเปลี่ยนเศรษฐกิจแบบเดิม ไปสู่เศรษฐกิจ ที่ขับ เคลื่อนด้วยนวัตกรรม และในส่วนของอุ ตสาหกรรมเป้าหมายที่ เกี่ย วข้องประการหนึ่ ง คื อ อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร ซึ่งรวมถึงการแพทย์สมัยใหม่และแพทย์แผนไทย อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า เบื้องต้นจะเสนอให้คลายล็อกยา 4 ตารับ ที่มีกัญ ชาเป็นส่วนผสม คือ 1. ตา รับศุขไสยาศน์ ช่วยให้นอนหลับสบาย แก้ปวด เจริญ อาหาร นามาใช้ทดแทนหรือเสริมกับยานอนหลับในแผน ปัจจุบันได้ 2. ตารับทาลายพระสุเมรุ ช่วยแก้อาการแข็งเกร็งจากอัมพฤกษ์อัมพาต 3.ตารับน้ามันสนั่นไตรภพ ช่วยเรื่องท้องบวม คลายลมในท้อง ท้องอืดจากโรคมะเร็งตับ หรือที่เรียกว่า ท้องมาน และ 4. ตารับทั พยาธิคุณ ช่วยเรื่องโรคเบาหวาน ลดน้าตาล โดยจะนามาศึกษาและดูผลว่าการรักษาเป็นอย่างไร รวมถึงควบคุมกัญชาให้อยู่ ในวงจากัดอย่างไร คาว่าแพทย์แ ผนไทยก็เกี่ ยวข้ องกั บพื ช สมุ นไพรที่มี อ ยู่ในประเทศไทยจ านวนมาก และมีก ารนามาใช้ ประโยชน์อย่างแพร่หลายมานาน แต่แน่นอนพืชบางชนิดมีทั้งคุณ ทั้งโทษ ส่วนหนึ่งก็เอามาใช้ประโยชน์ ส่วนหนึ่งก็ เอาไปทาลักษณะที่เกิดความเสี่ยงต่อผู้คน ต่อประชาชน ก็เป็นสิ่งที่อยากจะเรียนว่า อะไรก็ตามที่จะเกิดประโยชน์ ต่อประชาชน ประโยชน์ต่อสังคม ประโยชน์ต่อประเทศชาติ สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศนั้น รัฐบาลควรจะให้ การสนับสนุน ในเรื่องของการที่จะเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ชาติก็ตาม หรือการที่จะปฏิรูปประเทศเพื่อให้เกิดการ พัฒนาอย่างยั่งยืน จะต้องอาศัยเรื่องของความรู้ ความรู้ก็มาจากหลายทาง ความรู้ส่วนหนึ่งมาจากการเรียนการ สอน มาจากห้องเรียน จากการอ่านหนังสือ มาจากประสบการณ์ที่เ ราได้พบเห็น ความรู้อีกทาง คือได้มาจากการ วิจัย แน่นอนเกิดองค์ความรู้ เกิดปัญญาจะพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้เมื่อมีการวิจัยก็จะจับต้องได้พิสูจน์ได้ตามมา ด้วยเทคโนโลยี เราก็จะต้องใช้เทคโนโลยีนั้นให้เกิดประโยชน์ ในการที่จะนาไปสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการ นาไปสู่ ผลผลิตที่เอาไปใช้ป ระโยชน์ได้ ทั้งเศรษฐกิจ การแก้ปัญ หาสัง คม การพัฒนาทางด้านสัง คม โดยเฉพาะในเรื่อง อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งต้องมีการวิจัย นวัตกรรม ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และองค์ความรู้ และการที่จะสร้างผลผลิตทางด้านพาณิชย์ต่อไป ในต่างประเทศ มีการนาผลิตภัณฑ์ที่มีกัญชาเป็นส่วนประกอบไปใช้เพื่อลดผลกระทบจากยาที่บาบัดมะเร็ง และสามารถที่จะวิจัยแล้วก็นาไปผลิตเพื่อจาหน่าย ดังเช่น ในประเทศแคนาดา และอีกหลายๆประเทศ ซึ่งได้มีการ ใช้มานานแล้ว เชื่อว่าในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของแต่ละคน คงได้รับทราบเกี่ยวกับกัญชา แม้แ ต่ในชีวิตประจาวันของ บางชนกลุ่มเผ่าในพื้นที่รับทราบกันดีอยู่แล้วว่ามีการใช้ แต่ในส่วนที่เริ่มทาให้เกิดความไม่สบายใจของสังคม คือ มี การนาเอาไปใช้ทางที่ผิด ผิดประเภท เอาไปเป็นสารเสพติด เอาไปปรับปรุง เพื่อให้เกิดลักษณะของยาที่มันเกิด ผลร้ายต่อสุขภาพ แล้วก็ในเรื่องของเกิดอาการหลอน เกิดการเสื่อมต่อด้านจิตใจ ซึ่งก็แน่นอน อะไรก็ตามที่มาทาให้ คน ประชาชน ทุกช่วงวัยไม่ว่าจะเป็นเยาวชน เป็นเด็กหรือว่าผู้ใหญ่ กลายเป็นเหยื่อของพืชเสพติดหรือยาเสพติดก็ ต้องมีการออกกฎหมายมาดูแล สิ่งสาคัญก็คือจะควบคุมอย่างไร ไม่ให้ยาเสพติดนั้นมีการผลิต ควบคุมอย่างไรไม่ให้ มีแพร่ระบาด ไม่ให้มีการเคลื่อนย้าย จะทาอย่างไรที่จะไม่ให้คนของเราหลงกลายเป็นเหยื่อ ไม่ให้เกิดธุรกิจที่ขยาย กิจการยาเสพติดเป็นกิจการสาคัญ แล้วก็มีการฟอกเงิน มีปัญหาตามมา มีอาชญากรรม มีปัญหาเรื่องบาบัดรักษา มี


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

ปัญหาที่ต้องตัดสินคดีแล้วเข้าสู่เรือนจาหรือสถานพินิจต่อไป พวกนี้อยู่ที่เราสร้างการรับรู้ สร้างจิตสานึก โดยต้อง เริ่มต้นตั้งแต่เด็ก คือ ตั้งแต่ปฐมวัยขึ้นมา ชั้นอนุบาล ชั้นประถม ชั้นมัธยม ขึ้นมาจนกระทั่งถึงชั้นที่เรียกว่าเป็น แรงงาน หรือแม้แต่ผู้สูงอายุก็ตาม การที่ผู้คนได้พยายามนาสิ่งที่มันประโยชน์แต่มาเปลี่ยนแปลงเป็นธุรกิจแล้วทาให้ เกิดเหยื่อ เกิดเคราะห์ร้าย แล้วก็เกิดการติดสารเสพติดต่างๆซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ป้องกันได้ยาก เรื่องของปัญหายาเสพติดภายในประเทศ ในช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ เราคงทราบว่าในประเทศไทย ก็มีพืชเสพติดจานวนมากโดยเฉพาะพื้นที่ตอนบนของประเทศไทย ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านก็ทรงลงพื้นที่ สามารถ ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตชาวเขา นาเรื่องการพัฒนา เรื่องพืชเศรษฐกิจ เพื่อสร้างความเจริญ ดูแลเรื่องการสาธารณสุข เรื่องการศึกษา เรื่องของโลจิสติกส์ สามารถที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตจนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เลิกปลูกพืชเสพติด เกิดการ พัฒนาการ ซึ่งเรื่องการพัฒนาส่วนนี้เป็นตัวอย่างที่ดีมีการนาไปใช้ประโยชน์ในประเทศและต่างประเทศ พื้นที่ที่ เรียกว่า สามเหลี่ยมทองคา ที่เรารู้จักจะมีพืชเสพติดเยอะ มีการผสมสารตั้งต้นและนามาสู่การผลิต ยาบ้า ยาไอซ์ เฮโรอีนต่างๆ แล้วก็จึงเคลื่อนย้ายมาผ่านประเทศไทยออกไปต่างประเทศเกิดการจาหน่ายในประเทศ ก็มีผู้เสพติด จึงเกิดขบวนการที่จะดูแลในเรื่องของการป้องกัน การปราบปราม และการบาบัด รวมถึงการสร้างเครือข่ายที่จะ ร่วมมือกับต่างประเทศในการกดดันไม่ให้มีการปลูก ไม่ให้มีการลาเลียง และไม่ให้มีการจาหน่าย จะเห็นว่ายัง มี มาตรการที่ดูแลความเสี่ยงเหล่านี้อยู่ และผู้ผลิตไม่มีจิตสานึก ผู้ที่ลาเลียงไม่มีจิตสานึก คิดถึงแต่เรื่องรายได้อย่าง เดียว รวมถึงผู้ที่เป็นเอเย่นต์ต่างๆก็ไม่มีจิตสานึก จึงต้องมีกฎหมายเรื่องของการฟอกเงิน กฎหมายต่างๆ ที่จะต้องมี บทลงโทษที่ เข้ ม แข็ ง ขณะเดี ย วกั น เด็ ก ๆ เยาวชน หรื อ ผู้ ที่ ห ลงผิ ด เราก็ จ ะให้ โอกาส โดยส่ ว นหนึ่ ง ก็ น ามา บาบัดรักษา มีการดูแลที่สถานพินิจ ส่วนหนึ่งก็เข้าเรือนจาโดยมีขบวนการที่จะดูแลเพื่อให้เลิกเสพ จึงเป็นเหตุว่า ทาไมหน่วยงานบางหน่วยยังไม่สบายใจหากจะมีการปลูกพืชเสพติดในประเทศไทยจะมีมาตรการควบคุมดูแล อย่างไรเพื่อให้ลดโอกาสที่จะขยายผลในการขายให้เหยื่อ ขยายผลในการไปทาธุรกิจที่เป็นสีเทา สร้างความเชื่อมั่น ให้กับ ผู้บริหารและผู้ที่ดูแลในเรื่องของกฎหมายต่างๆ กัญชาหรือ Cannabis (Cannabis sativa L) เป็นพืชที่ถูกใช้มาเป็นเวลานานหลายศตวรรษเพื่ อการรักษา และการผ่ อ นคลาย ประเทศที่ ใช้ กั ญ ชาเพื่ อ การรั ก ษาทางการแพทย์ เช่ น แคนาดา เบลเยี ย ม ออสเตรเลี ย เนเธอร์แลนด์ เยอรมัน สเปน และบางรัฐของสหรัฐอเมริกานอกจากนี้ กัญชายังสามารถใช้บรรเทาอาการปวดของ ผู้ป่ วยในโรคมะเร็ง เบาหวาน เอดส์ผู้ ป่ วยที่ ไ ด้รั บ บาดเจ็บ ที่ ไ ขสั น หลั ง (spinal cord injury) ผู้ ป่ วย Multiple sclerosis และผู้ป่วยที่มีอาการปวดประสาทแบบ neuropathic pain กั ญ ชามี ส ารออกฤทธิ์ ห ลั ก 2 ชนิ ด คื อ tetrahydrocannabinol (THC) ซึ่ ง เป็ น Psycoactive และ cannabidiol (CBD) ซึ่งเป็ น Non-psycoactive สารทั้ง 2 ชนิดนี้ มีค่า Pharmacokinetics ที่ใกล้เคี ยงกั น THC เมื่อให้ทางปากมีค่า Bioavailability ประมาณ 4-20% และเมื่อให้โดยสูดเข้าทางเดินหายใจหรือโดยการสูบมีค่า Bioavailability ประมาณ 10-69% ดั ง นั้ น ค่ า Bioavailability ของกั ญ ชาจึ ง ขึ้ น กั บ รู ป แบบผลิ ต ภั ณ ฑ์ ย า เช่ น vaporization, smoking, capsules, transdermal, tincture และ oro-mucosal spray ในต่างประเทศมีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกัญชา เช่น 1. Sativex® เป็นรูปแบบยาพ่นในช่องปาก การพ่นยาแต่ละครั้งจะมียา THC:CBD ในอัตราส่วนประมาณ 1:1 ใช้ลดอาการปวด neuropathic pain ในผู้ป่วย multiple sclerosis, ผู้ป่วยมะเร็ง


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

2. Marinol® เป็นรูปแบบยาแคปซูล ใน 1 แคปซูลประกอบด้วยยา Dronabinol 2.5, 5 และ 10 mgซึ่ง เป็น synthetic delta-9 THC ใช้ลดอาการคลื่นไส้อาเจียนในผู้ป่วยมะเร็ง กระตุ้นความยากอาหารในผู้ป่วยเอดส์ และลดอาการปวด neuropathic pain ในผู้ป่วย multiple sclerosis 3. Cesamet® เป็นรูปแบบยาแคปซูล ใน 1 แคปซูลประกอบด้วย Nabilone 1 mg เป็นสารสังเคราะห์ที่ มีความใกล้เคียงกับ THC ใช้ลดอาการคลื่นไส้อาเจียนในผู้ป่วยมะเร็ง งานวิจัยด้านกัญชาที่กาลังดาเนินการในประเทศไทย ได้แก่ 1. Systematic review และ Meta-analysis ของปั จจัย ที่มี ผลต่อ การลดความปวดของกัญ ชา (ใช้ทุ น มหาวิทยาลัยนเรศวร 2561) ได้ทบทวนวรรณกรรมงานวิจัยทั้งหมด 37 งานวิจัย พบว่า • ใช้ cannabinoid เพื่ อ ลดอการปวดในโรคต่ า ง ๆ 3 อั น ดั บ แรก ได้ แ ก่ neuropathic pain (46%) โรค multiple sclerosis (19%) และโรคมะเร็ง (13%) • ใช้ dose range ของ THC เพื่อลดอาการปวด ดังนี้ ความแรง 1-25 mg (86%) ความแรง 2650 mg (11%) และ ความแรง 51-100 mg (3%) • ใช้ dose range ของ CBD ในผู้ป่วยที่มีอาการปวด ความแรง 1-25 mg ซีงไม่มีการใช้ที่ความ แรงอื่นๆ นอกจากนี้ส่วนใหญ่ใช้ CBD ร่วมกับ THC • รู ป แบบการน าส่ ง ยามี รุ ป แบบต่ า งๆ ดั ง นี้ Spray (46%), Smoking (16%), Vaporization (11%), Capsules (19%), Tablets (8%) 2. การพัฒนาแผ่นแปะผิวหนังที่มีส่วนผสมจากสารสกัดกัญชา (ใช้ทุนงบประมาณแผ่นดินปี 2561) โดยมี กรอบงานวิจั ยเริ่ม จากการศึ กษากระบวนการเตรียมสารสกั ดมาตรฐานกั ญ ชาจากวัตถุ ดิ บ กัญ ชา การควบคุ ม คุณ ภาพของ cannabinoids ในสารสกั ด กัญ ชา และการพั ฒ นาแผ่ น แปะผิ ว หนั ง ที่ ต อบสนองต่ ออุ ณ หภู มิ ที่ มี ส่วนผสมของสารสกัดมาตรฐานจากกัญชาสาหรับใช้บรรเทาอาการปวดในผู้ป่วยมะเร็ง จากกระแสข่าวที่อกมาในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ก็ได้จุดประกายว่า หากเรานาสิ่งที่มี ในประเทศไทยซึ่งมีทั้ง แง่บวกและแง่ลบ มีการนามาใช้โดยเน้นที่เรื่องการวิจัยให้เกิดองค์ความรู้แล้วก็ผลิตออกมาใช้ประโยชน์ นามา บาบัดรักษาโรค จะเกิดผลดีแน่นอน สามารถลดค่าใช้จ่ายได้ในแต่ละปีเรามีค่าใช้จ่ายของผู้เจ็บป่วยปีละประมาณ ห้าแสนล้านบาท มีการนาเข้ายาและอุปกรณ์การแพทย์จากต่างประเทศสูงถึงกว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นล้านบาท ซึ่งแต่ ละปีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ข้อเสนอของทีมที่อยากจะทาวิจัย คือ หากเราสามารถปลูกได้ในพื้นที่ควบคุม ดูแลได้ โดยไม่ให้มีการเล็ดลอดออกไป แล้วส่วนที่จะใช้วิจัยในห้องแลปใช้โดยมีการควบคุม ก็น่าจะทาได้เมื่อแพทย์จะมีการ สั่งใช้ยาก็จะมีการควบคุม เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายจะมาตรการดูแลอย่างไร ซึ่งฟังดูแล้วมีทั้งข้อห่วงใยและข้อที่เป็นโอกาส เพราะฉะนั้นถ้าสามารถทาได้ ก็พิจารณาว่าโอกาสการนาไปใช้ประโยชน์ควบคู่กับเรื่องของการป้องกัน มาตรการ การควบคุมควบคู่กันไปตรงนี้ มีค วามเป็นไปได้ ที่จะใช้ประโยชน์จากพืชกัญชา ในต่างประเทศมีการนากัญ ชามา พัฒ นา มี การจดทะเบี ย นและใช้ ประโยชน์ ท างการแพทย์ ตรงนี้ เป็ น สิ่ง ที่ ผมก็ รอมานานว่าเมื่อ ไหร่ถึ ง จะมี การ สังคายนาเรื่องนี้เมื่อไหร่ถึงจะมีการพูดเรื่องนี้ในเชิงวิชาการจนนามาสู่เชิงปฏิบัติ จากการเข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็วในยุคปัจจุบัน ทาให้เกิดความพร้อมในการที่จะศึกษาแลกเปลี่ยนข้อมูล แล้ว ก็น าความคิดข้อเสนอแนะต่างๆ มาประกอบในการที่จะเดินหน้าสู่การวิจัย สร้างองค์ความรู้ ขณะเดียวกันผู้แทน จากทุกสายจากภาคเกษตร จากภาคที่ดูแลทางด้านกฎหมาย ภาคที่ดูแลทางการบาบัดรั กษา และทางสาธารณสุข


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่สิ่งสาคัญคือในการที่เราจะดาเนินการนี้จะต้องชี้ให้ชัดว่ามันจะต้องเริ่มต้นจากสองสาม มาตรการควบคู่กันไปมาตรการแรก คือ มาตรการด้านการวิจัย ขณะเดียวกันเมื่อมีการวิจัยแล้ว ต้องมีมาตรการใน การควบคุมสิ่งที่จะเป็นพืชเสพติดที่จะนามาใช้ ควบคุมตั้งแต่ต้นทางการในการที่จะจัดพื้นในการปลูก ควบคุมเรื่อง ของขบวนการ จนกระทั่งเก็บเอามาใช้ในการวิจัยแล้วเมื่ออยู่ในห้องแลปว่าจะควบคุมอย่างไร การดาเนินการใน ส่วนนี้ต้องทาควบคู่กันไป ขณะเดียวกันก็จะต้องมีมาตรการรองรับในเรื่องของกฎหมายที่จะทาให้ค นทาวิจัยแล้วมี อะไรรองรับ ไม่อย่างนั้นแล้วก็อาจจะมีความไม่สบายใจ อาจมีความเข้าใจผิด แล้วทาให้ขบวนการที่จะนาไปสู่ ผลสัมฤทธิ์ของการวิจัยถูกเบี่ยงเบนไป แน่นอนบ้านเราก็มีหลายกลุ่ม กลุ่มที่อยากให้การวิจัยเกิดผล กลุ่มที่อยากจะ วิจัยเฉยๆ กลุ่มที่อยากจะเห็นสิ่งที่มีป ระโยชน์ของประเทศไทย เรื่องของพืชต่างๆที่เป็นสมุนไพรท้องถิ่นนามาใช้ ประโยชน์ เพราะฉะนั้นในทางวิชาการ ในเรื่องการวิจัยควรเดินหน้าควบคู่กันไปมาตรการควบคุม ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง และมาตรการป้องกันกรณีที่จะนาไปประยุกต์ใช้ในทางที่ผิดประเภท ดังเช่น ยาแก้ไอ กาว ยา ที่ออกฤทธิ์กดประสาท ก็เอาไปเบี่ยงเบนในการเป็นยาเสพติด ดังนั้นจึงต้องดูแลให้ครบและดาเนินการคู่ขนานกัน ไป และในการดูแลเรื่องกฎหมาย จะต้องเตรียมการในการที่จะไปร่าง นาเสนอ ควบคู่กับฝ่ายกฎหมายโดยเฉพาะ ทางด้านกฤษฎีกา และเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย วันนี้เราทาในแทรคที่หนึ่งคือในเรื่องของการสร้างองค์ความรู้ ในการที่จะสร้างความมั่นใจให้กับนักวิจัย เมื่อได้องค์ความรู้แล้วเราจะเดินสเต็ปหนึ่ง สอง สาม สี่ ต่อไปอย่างไร ซึ่งต้องค่อยๆช่วยกันคิด ขณะเดียวกันใครที่ อยู่ในมาตรการที่ควบคุมดูแลตลอดห่ วงโซ่นี้ ก็ต้องคิดไปพร้อมๆกัน รวมถึง ใครที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายก็คิดไป พร้อมๆกัน กัญชาเป็นยาเสพติดประเภทที่ 5 ซึ่งมีโทษรุนแรง จึงมีข้อห่วงใยในการที่จะนาไปใช้ก็จะต้องรอพวก ท่ านในการที่ จะรวบรวมประเด็ น แล้ วน าเสนอในการที่ ไ ปสร้างความมั่ น ใจให้ นั ก กฎหมาย สร้ างมั่ น ใจให้ กั บ เจ้าหน้าที่ที่จะดูแลในมาตรการของการป้องกัน ปราบปราม จนถึงทีมงานของสาธารณสุขต่างๆที่ต้องเตรียมการ รองรับกรณี ที่จะนาไปใช้บาบัดรักษาหรือกากับดูแลขั้นตอนต่างๆ อะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นพืช ไม่ว่าจะเป็นพื ช สมุนไพรตัวใดก็ตามที่มีประโยชน์ ก็ช่วยกันพิจารณาการวิจัยเพื่อใช้ ประโยชน์ ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันเพื่อหา มาตรการเพื่อให้สมุนไพรหรือพืชสมุนไพรที่ใช้ประโยชน์นี้เดินหน้าต่อไปได้ ขณะเดียวกันนักกฎหมายก็ต้องพร้อม รับฟังจากนักวิชาการนักวิจัย จนกระทั่งสามารถที่จะทาให้เกิดขบวนการ เกิดการผลิต เกิดการขับเคลื่อน เกิดการ นาไปใช้ประโยชน์ได้จริงซึ่งไม่ใช่เรื่องที่มองภาพด้านเดียว อาจมีความซับซ้อนในหลายมิติ ต้องทาควบคู่กันไปและ ต้องทาให้สังคมเห็นภาพทั้งหมดตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง โดยเฉพาะทาอย่างไรจึงไม่ทาให้ประชาชน เยาวชน มีโอกาสกลายเป็นผู้เสพ เป็นเหยื่อ ในส่วนของผู้บริหารก็ต้องมองที่ผลประโยชน์ของชาติ สังคมจะรอดพ้น จากเหยื่อที่อาจเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นภัยสังคม ภัยยาเสพติด ดังนั้น หากสิ่งใดยังไม่ชัดเจนอย่าด่วนสรุป เชื่อว่าเมื่อเรา เข้าใจตรงกันเห็นประโยชน์ เห็นภาพรวม มีมาตรการการที่จะควบคุม ดูแล ป้องกัน เชื่อว่าจะเดินหน้าต่อไปได้ ดังนั้นเพื่อประโยชน์ในการวิจัยและพัฒนาสารสกัดกัญชาและกัญชงทางการแพทย์เพื่อการพัฒนาประเทศ ก็อยากจะสนับสนุนให้สังคมได้แลกเปลี่ยนได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ผู้ที่มีความรู้ มีฐานความรู้ที่จะมาแลกเปลี่ยนได้ ท่านที่เกี่ยวข้องในทุกสายงานก็มีโอกาสที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ได้เช่นกัน ขณะเดียวกัน ก็อยากจะให้รับฟัง ให้ ข้อคิดเห็น ให้ข้อเสนอแนะ รวมถึงข้อห่วงใยว่าได้พิจารณารอบคอบแล้วหรือยัง เพื่อทาให้ขบวนการที่เริ่มต้นตั้งแต่ การคิด การผลิต การที่จะดูแลห่วงโซ่ไปจนถึงการใช้งาน แล้วก็ไปจนถึงการที่จะไปเปลี่ยนแปลง แปรรูป จนกระทั่ง เกิดผลเสียทางด้านสังคม เชื่อว่าทางทีมผู้จัด ทางทีมเลขานุการจะสามารถรวบรวมเรียบเรียงแล้วจัดทาเป็นเอกสาร ได้ อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของการนาเสนอเป็นตอนๆแล้วเผยแพร่ออกไปต้องระมัดระวังการเกิดความเข้าใจผิดใน การสื่อสาร เพื่อที่จะนาความรู้นั้นไปใช้ประโยชน์ ก่อให้เกิดการวิจัยในส่วนที่จะเป็นการพัฒนาประเทศ โดยใช้พืชที่ มีในประเทศไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุดและสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ถ้าเราทาได้โดยนักวิจัยของเรา ถ้าเราทาได้โดยการผลิต


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

ในประเทศ แล้วก็ช่วยคนในประเทศ เกิดผลผลิตทางวิชาการ เกิดผลผลิตทั้งทางด้านพาณิชย์ และเกิดประโยชน์ อย่างแน่นอนต่อการพัฒนาประเทศต่อประชาชนและสังคมของเราในอนาคตต่อไป

เอกสารอ้างอิง https://mgronline.com/marsmag/detail/9610000115408 https://news.mthai.com/general-news/680965.html https://www.thaipost.net/main/detail/20459 https://brandinside.asia/cannabis-good-for-health-legal/ https://www.hfocus.org/content/2018/07/16066 https://www.matichonacademy.com/content/article_9875 https://www.posttoday.com/social/general/571212 https://thaipublica.org/2018/11/cannabis-medical-thai/

คนไทยพร้อมแค่ไหนที่จะเปิดมุมมองใหม่ต่อกัญชา How are Thai people ready to open a new perspective on marijuana? * ธีรศักดิ์ ศิริพยัคฆ์ Mr. Theerasak siripayak

บทคัดย่อ กัญ ชา ถู ก จั ด ให้ ก ลายเป็ น ‘ยาเสพติ ด ’ ‘สิ่ ง มอมเมา’ มาร่ว ม 39 ปี ตั้ ง แต่ พ.ร.บ.ยาเสพติ ดให้ โทษ ประกาศใช้เมื่อปี 2522 แต่ ผ่ านมา 39 ปี เมื่ อสาร 2 ตัวในกัญ ชา ได้ แก่ THC และ CBD ได้รับการค้นพบว่ามี คุณสมบัติทางยาที่มีประโยชน์มากมายกับผู้ป่วย เช่น มะเร็ง ลมชัก ไมเกรน อัลไซเมอร์ รวมถึงการเข้าถึงข่าวสาร อย่างรวดเร็วในยุคสมัยปัจจุบัน ก็ทาให้ประเทศไทยไม่สามารถหลับหูหลับตาจากกระแสนานาชาติได้อีกต่อไป และ เพดานความเข้าใจเกี่ยวกับกัญชาทางการแพทย์ในสังคมไทยก็จาเป็นต้องขยับขึ้นไปอีก ทั้ง นี้ เกิดคาถามที่ว่า ประเทศไทยมีความพร้อมแค่ไหนที่จะเปิดมุมมองใหม่ต่อกัญชา ก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องทาการศึกษาต่อไป คาสาคัญ : กัญชา, ยาเสพติด, สิ่งมอมเมา, กัญชากับยารักษาโรค * นักศึกษาระดับดุษฎีบัณฑิต สาขาการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่น คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม Email.: ........................................ Tell ....................................

Abstract Marijuana has been given to become a 'drug', ' Mescaline ' for 3 9 years since the Narcotics Act. Announced in 1979, but 39 years ago when 2 substances in marijuana, including THC and CBD, were found to have many useful medicinal properties for patients such as epilepsy, migraine, Alzheimer's. Including quick access to news in the current era that causing Thailand to no longer be able to fall asleep from the international stream. And the perception


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

of medical marijuana in Thai society needs to be moved upwards. How is Thailand ready to open a new perspective on marijuana? It is also a matter that must be further research. Keywords: marijuana, drugs, mescaline, marijuana and medicine

บทนา ประเทศไทยกาลังถกเถียงเรื่องการให้กัญชาถูกกฎหมาย เพื่อใช้ในการแพทย์ กัญชาเป็นพืชที่มีส รรพคุณ ทางบวกที่ใช้รักษาโรคต่างๆ ได้มากมาย ประโยชน์ของกัญชาในฐานะพืชธรรมชาติ สามารถนาไปแปรรูปได้ในการ ผลิตสินค้าอุตสาหกรรม ต้องยอมรับว่าในช่วงที่ผ่านมา ข่าวเกี่ยวกับกัญชาหรือสมุนไพรแห่งความสุขที่หลายคนให้ สมญานาม กาลังถูกพูดถึงเป็นอย่างมากทั้งในระดับบุคคลทั่ว ไป รวมไปถึงในระดับแวดวงการแพทย์ของไทยที่ พยายามผลักดันให้กัญชา ‘ถูกกฎหมาย’ เพราะมองว่าพืชอย่างกัญชาสามารถนามาเป็นยาเพื่อใช้รักษาโรคได้อย่าง มากมาย แต่การที่จะทาให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมายไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะถ้าหากมองไปในระดับโลกก็มี หลายประเทศที่เปิดเสรีกัญชาอย่างถูกกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา, แคนาดา, เนเธอร์แลนด์, ออสเตรเลีย และอีกหลายๆ ประเทศที่เปิดกว้างทางกฎหมายให้ใช้กัญชาได้ในเงื่อนไขต่างๆ แน่นอนว่ากว่าที่ประเทศเหล่านั้นจะ ทาให้กัญ ชาถูกกฎหมายก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องผ่านกระบวนการที่ยุ่งยากและซับ ซ้อน ทั้งการฟัง เสียงของ ประชาชน รวมไปถึงการประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจและการพัฒนาด้านการแพทย์ ซึ่งต้องผ่านการคิดมาแล้วใน หลายแง่มุม ด้านประเทศไทยที่ตอนนี้กาลังถกเถียงเรื่องนี้อยู่ นั่นเป็นเพราะยังมีผู้คนบางส่วนมีทัศนคติต่อกัญชาในมิติ เดียว โดยมองว่ากัญชาคือยาเสพติด ส่วนหนึ่งคงเพราะยังมีกฎหมายว่าด้วยเรื่องของยาเสพติดอย่างกัญชา ที่ถูกจัด ให้เป็นยาเสพติดผิดกฎหมายประเภทที่ 5 เพราะกัญ ชามีฤทธิ์ร้ายแรงถึงขั้นทาลายเซลล์ประสาทและสมอง หรือ ส่งผลเสียต่อร่างกายแต่ถึงอย่างนั้นกัญชาอาจมีประโยชน์และสรรพคุณมากกว่าที่คิด และนี่คือมุ มมองเรื่องกัญชาที่ หลายคนอาจไม่เคยทราบมาก่อน ต้องเท้ าความก่อ นว่า เดิม ทีพื ช อย่างกัญ ชาอยู่ ร่วมกั บมนุษ ย์ เราบนโลกนี้ มานานกว่า 4,000-5,000 ปี กัญชาเป็นพืชล้มลุกจาพวกหญ้า ที่ปัจจุบันถูกค้นพบแล้ว 3 สายพันธุ์ ได้แก่ Indica พบในทวีปเอเชีย Sativa พบใน ทวีปอเมริกาเป็น ส่วนใหญ่ และ Ruderalis พบได้ในประเทศรัสเซี ย กัญ ชาเป็ นพื ชที่มีสรรพคุณ ทางบวกอย่าง มหาศาล ในทางการแพทย์เคยมีการใช้กัญชาเพื่อบาบัดอาการเจ็บปวดมาแล้วหลายอย่าง เช่น บรรเทาอาการอ่อน ล้า อาการปวดต่างๆ ไม่นานมานี้ นพ.โสภณ เมฆธน ประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม ได้เผยข้อ ดีของกัญชาที่ ผ่านการวิจัยและสกัดมาเป็นสาร เพื่อใช้เป็นส่วนผสมเป็นยารักษาโรคว่า ถ้าหากนากัญชามาผ่านกระบวนการวิจัย เพื่อผลิตสารเป็นส่วนผสมให้ตัวยาที่มีประสิทธิภาพ จะสามารถใช้รักษา 4 กลุ่มโรคหลักๆ ได้แก่ 1.มะเร็ง , เคมี บาบั ด 2. ลมชัก 3. กล้ามเนื้ อเกร็ง 4. อาการปวดทั่วไป โดยตัวยาที่สกัดจากสารกัญ ชาจะสามารถออกมาเป็ น รูปแบบทั้งน้ามันหยดใต้ลิ้น, ยาเหน็บ, ครีม, แผ่นแปะผิวหนัง และแคปซูล นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่คนไทยอาจจะยังคงเข้าใจผิดอยู่เกี่ยวกับกัญชาในอีกหลายด้าน หรือข้อดีที่ ยังไม่รู้ เช่น กัญชาไม่ใช่สารเสพติด กัญชาเป็นพืชธรรมชาติที่ไม่ผ่านกระบวนการปรุง แต่งจากสารเคมีใดๆ ที่จะ กระตุ้ นท าให้ ผู้เสพรู้สึกอยากเสพกัญ ชา ซึ่ง จุ ดนี้ ก็อยู่ กับ ตัวผู้ เสพด้วย เพราะถ้ าหากเสพในปริมาณที่ ม ากหรื อ ติดต่อกันเป็ นเวลานานอาจเป็นผลเสียทาให้เกิดอาการลงแดง ซึ่งจะแตกต่างจากบุหรี่ที่เลิกได้ยากกว่ากันมาก เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าบุหรี่มีการเติมส่วนผสมพิเศษมากถึง 599 ชนิด


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

ในขณะที่กัญชายังคงเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ก็ยังมีเหล้าและบุหรี่เป็นสิ่งส่งผลอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก ที่ยังเปิดให้ขายกันได้อย่างเสรี โดยสิ่งเหล่านี้ได้ทาลายสุขภาพของผู้คนไปมากไม่ต่ างจากกัญชาเลย กัญชาสามารถ นามาเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมมากกว่า 25,000 ชนิด เพราะเดิมทีเคยมีการปลูกกัญชาเพื่อใช้ ในการผลิตกระดาษและวัสดุสิ่งทอที่มีคุณภาพค่อนข้างสูง โดยกระดาษที่ผลิตจากกัญ ชาจะมีความแตกต่างจาก กระดาษทั่วไปตรงที่มีความคงทนและแข็ งแรงกว่า จากการศึกษาพบว่า กัญชาสามารถปลูกและนามาทากระดาษ ได้มากเป็น 4 เท่าเมื่อเทียบกับไม้ยืนต้น เส้นใยมีคุณภาพดีกว่า ไม่ต้องใช้คลอรีนเหมือนกระดาษที่ทาจากไม้ ซึ่งจะ ทาให้เกิดสารไดออกซิน อีกทั้งยังสามารถผลิตเป็นเส้นใยไฟเบอร์เชือกที่มีความแข็งแรง แปรรูปเป็นอาหารสัตว์ และยังสามารถนามาทาเป็นน้ามันเชื้อเพลิงให้กับรถยนต์ได้อีกด้วย จากข้อมูลที่เราได้หยิบยกมาให้เห็นถึงประโยชน์และข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับกัญชา จะเห็นได้ว่า กัญชาไม่ได้ จัดเป็ นสารเสพติดตามที่ห ลายคนเข้าใจ และไม่ ได้ มีผลในการท าลายสมองโดยตรง เพราะเป็น พืช ที่มี สารทาง ธรรมชาติ ส่วนในรูปแบบของอุตสาหกรรมเองก็จะเห็นได้ว่ากัญชาสามารถนามาแปรรูปเป็นสินค้าอุตสาหกรรมได้ ไม่น้อย แต่ถึงอย่างไรก็ตามประเทศไทยของเราก็ยังไม่มีความคิดที่จะใช้กัญชาไปอยู่ในรูปแบบอื่นๆ เพราะเรื่องที่ หลายฝ่ายพยายามผลักดันเกี่ยวกับเรื่องกัญชาจริงๆ คือ กฎหมายกัญ ชาที่ใช้ในเฉพาะด้านการแพทย์ รวมถึงใช้ใน งานวิจัยเกี่ยวกับการรักษาโรคที่องค์การแพทย์เป็นผู้ควบคุมเท่านั้น และตอนนี้อาจจะยังไม่มีข้อสรุปทางกฎหมายที่ ลงตัว เพราะเรื่องพวกนี้ต้องใช้เวลา ความละเอียดอ่อน ในการวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ต่างๆ สุดท้ายเรา คงต้องคอยติดตามว่า กัญชาจะได้รับการอนุมัติให้ถูกกฎหมายหรือไม่ แล้วเราในฐานะประชาชนคนไทยพร้อมหรือ ยังที่จะปรับมุมมองต่อกัญชาที่เคยถูกมองเป็นตัวร้ายมาตลอดให้กลายเป็นพระเอกได้หรือไม่ คนไทย 72% เห็นด้วยให้กัญชาเป็นยารักษาโรคถูกกฎหมาย ศูนย์สารวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” ชี้ให้เห็นว่า “คนไทยเห็นด้วย ให้กัญชาเป็นยารักษาโรค”


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

คนไทยเห็นด้วย ให้กัญชาเป็นยารักษาโรค แต่เชื่อว่า เจ้าหน้าที่ควบคุมการใช้ปลูกไม่ได้ แนะให้อนุญ าต ปลุกในบางสถานที่เท่านั้น ศูนย์สารวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิด เผยผลสารวจความ คิดเห็นของประชาชน เรื่อง “กัญชา ประโยชน์ หรือ โทษ” ทาการสารวจระหว่างวัน ที่ 16 – 17 สิงหาคม 2561 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา และอาชีพทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จานวน 1,250 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการทาให้กัญชาถูกกฎหมายเพื่อการรักษาโรค จากการสารวจเมื่อถามถึงการทราบหรือเคยได้ยินเกี่ยวกับประโยชน์ของ กัญชา ที่สามารถนามาใช้เป็นยา รักษาโรคได้ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 68.24 ระบุว่า ทราบ/เคยได้ยิน ร้อยละ 31.36 ระบุว่า ไม่ทราบ/ ไม่เคยได้ยิน และร้อยละ 0.40 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

ด้านความคิดเห็นเกี่ยวกับการมีกฎหมายเฉพาะให้ใช้ กัญ ชา เป็นยารักษาโรคโดยถูกกฎหมายในอนาคต พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 72.40 ระบุว่า เห็นด้วย เพราะ กัญชามีประโยชน์หลายอย่าง น่าจะใช้ในการ รั ก ษาโรคได้ ถ้ า น ามาใช้ กั บ ทางการแพทย์ ก็ ค าดว่ า น่ า จะเกิ ด ประโยชน์ อ ย่ า งมาก ขณะที่ บ างส่ ว นระบุ ว่ า ต่างประเทศก็ทากัน รองลงมา ร้อยละ 24.96 ระบุว่า ไม่เห็นด้วย เพราะ ถ้าทาให้ถูกฎหมายจะมีผลเสียมากกว่า ผลดี ไม่สามารถควบคุมได้ และมีการลักลอบนามาใช้เสพเป็นสารเสพติด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประเทศชาติ เช่น ทาให้เกิดปัญหาอาชญากรรมเพิ่มมากขึ้น และร้อยละ 2.64 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ เมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนว่า หากในอนาคตมีกฎหมายรับรองกัญชา เพื่อการรักษาโรคได้แล้ว เจ้าหน้าที่รัฐของไทยจะ สามารถควบคุมการใช้กัญชาเพื่อการรักษาโรคได้หรือไม่ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อย ละ 54.32 ระบุว่า ควบคุมไม่ได้ เพราะ กัญชาถูกนาไปใช้เป็นสารเสพติด อาจจะมีการลักลอบนามาใช้เสพมากกว่า การนามาทาเป็นยารักษาโรค และเจ้าหน้าที่รัฐบังคับใช้กฎหมายไม่จริงจัง ดูแลได้ไม่ทั่วถึง ซึ่งจะทาให้เกิดปัญหา ต่าง ๆ ตามมา รองลงมา ร้อยละ 38.72 ระบุว่า ควบคุมได้ เพราะ น่าจะมีกฎหมายรองรับและมีแนวทางการ ป้องกันที่ดี เจ้าหน้าที่มีความเข้มงวด ขณะที่บางส่วนระบุว่า รัฐบาลน่าจะมีนโยบายสาหรับ การควบคุมที่เด็ดขาด และร้อยละ 6.96 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ ท้ า ยที่ สุ ด เมื่ อ ถามถึ ง ข้ อ เสนอแนะเกี่ ย วกั บ การท าให้ กั ญ ชา ถู ก กฎหมายเพื่ อ การรั ก ษาโรค พบว่ า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 53.12 ระบุว่า กาหนดให้มีการใช้กัญ ชาได้เฉพาะบางสถานที่ที่ ได้รับอนุญ าต เช่น โรงพยาบาล เท่านั้น รองลงมา ร้อยละ 36.48 ระบุว่า กาหนดให้มี การปลูกได้เฉพาะพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ร้อยละ 29.04 ระบุว่า เจ้าหน้าที่ควรบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและลงโทษขั้นรุ นแรงกับผู้ที่กระทาผิด ร้อยละ 19.92 ระบุว่า สร้างความรู้/จิตสานึกให้กับประชาชนถึงประโยชน์และโทษของกัญ ชา ร้อยละ 8.88 ระบุว่า นา กฎหมาย ของต่างประเทศที่กัญชาถูกกฎหมายมาปรับใช้กับกฎหมายไทย ร้อยละ 6.88 ระบุว่า การเปิดเสรี การค้ากัญชาแบบถูกกฎหมาย เพื่อการรัก ษาโรค ร้อยละ 1.44 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ มีการนาเสนอข้อมูลการวิจัยที่ ชัดเจนและเป็นที่ยอมรับ ขณะที่บางส่วนระบุว่า ไม่ควรอนุญาตให้กัญ ชา ถูกกฎหมาย เพราะยังถือว่า เป็นสิ่งเสพติด และร้อยละ 3.52 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ

เอกสารอ้างอิง https://thestandard.co/marijuana-legal/ https://www.thaipost.net/main/detail/15681 https://mgronline.com/onlinesection/detail/9600000012158 http://www.bangkokhealth.com/health/article/กัญชา-651 https://pantip.com/topic/30558696 https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_1282957

โครงการพัฒนาพืชสมุนไพรท้องถิ่นเพื่อการบาบัดรักษาโรคแบบครบวงจร Local medicinal plant development project for comprehensive treatment * โดย กลุ่มบริษัท ”แม่โขงแคนนาบิส” จากัด


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

บทคัดย่อ เวลานี้โลกเริ่มเปลี่ยนกระบวนทัศน์การมองกัญชา จากยาเสพติด สิ่งเลวร้าย เป็นยา เป็นสิ่งดีที่ช่วยให้ชีวิต ไม่ท รมาน โดยเฉพาะอย่ างยิ่ งแก้ป วด และส าหรับ ประเทศไทย ถ้าสามารถเพื่ อเปลี่ย นกระบวนทั ศน์ ผู้ค นว่ า “กั ญ ชาคื อ ยาสมุ น ไพรรัก ษาโรค” ได้ แ ล้ ว กลุ่ ม บริษั ท แม่ โขงแคนนาบิ ส ได้ ม องก้ าวข้ า มไปยั ง อนาคต ที่ ว่ า “ประเทศไทย คือ แหล่งผลิตพืชกัญชาที่ดีที่สุดในโลก” และ “เป็นผู้ผลิตยารักษาโรคจากสารสกัดจากพืชกัญชา ให้แก่โลก” คาสาคัญ : กัญชา, สมุนไพร, กัญชากับยารักษาโรค

Abstract Now the world begins to change the marijuana view paradigm from drugs (bad things) to mdicine (good thing) that helps life to not suffer especially the pain from many kind of disease. In Thailand, if able to change the paradigm of the people "Cannabis is a herbal remedy". We “Meakhong Cannabis Group” looking forward to the future that "Thailand is the best source of cannabis crop production in the world" and "best manufacturer of medicinal plants from cannabis plant extracts to the world" Keywords: cannabis , herbs, cannabis medicine

บทนา เรื่องกัญชาเป็นตัวอย่างที่ดี ว่าหากเราสามารถสร้าง “การเปลี่ยนกระบวนทัศน์ ” ได้ด้วยตนเอง เวลานี้ โลกเริ่มเปลี่ยนกระบวนทัศน์การมองกัญชา จากจากยาเสพติด สิ่งเลวร้าย เป็นยา (medicine) เป็นสิ่งดีที่ช่วยให้ ชีวิตไม่ทรมาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก้ปวด และสาหรับประเทศไทย แทนที่ผู้ป่วยที่ต้องการใช้กัญชาเป็นเวลานาน เพราะเป็นโรคเรื้อรัง จะต้องซื้อ ควรจะปลูกเองในสวนครัว ทั้งประเทศน่าจะลดค่าใช้จ่ายด้านยาแก้ปวดได้เป็น พันล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ต้องมีการวิจัยครบวงจรเพื่อสร้างการใช้กัญชาอย่างถูกต้อง ใช้มันเป็นทาสเรา ไม่ใช่คนตก เป็นทาสมัน อาจต้องวิจัยเพื่อพัฒนากฎหมายขึ้นมาควบคุมการใช้ ไม่ให้มีการใช้ในทางที่ผิด ทาอันตรายแก่ตนเอง และผู้อื่น เราสามารถเริ่มต้นจากการอนุญาตให้ใช้โดยมีการคุมเข้มก่อน อนุญาตให้ใช้เฉพาะผู้ป่วยที่แพทย์สั่งยา ให้ใช้กัญ ชา และมีคาแนะนาวิธีใช้ที่ชัดเจน รวมทั้ง บอกอาการไม่พึงประสงค์ที่จะต้องหยุดยาและไปพบแพทย์ ต่อไปเมื่อสังคมรู้จักควบคุมกันเองได้ดีขึ้นก็ค่อยๆ หย่อนการควบคุมลง เป้าหมายอย่างหนึ่งของการวิจัย คือเพื่อเปลี่ยนกระบวนทัศน์ผู้คนในสังคมเกี่ยวกับกัญชา จากเชิงลบเป็น เชิงบวก ที่มีกติกาและจริยธรรมในการใช้ โดยเราสามารถศึกษาจากประสบการณ์ในประเทศอื่นที่นาหน้าไปแล้ว เวลานี้โลกมีความรู้เกี่ยวกับกัญชามากมาย ที่จะนามาใช้กาหนดวิธีใช้ที่ให้ผลดี ลดผลร้าย เรารู้ว่าในกัญชามีสาร ออกฤทธิ์ ๑๐๘ ชนิด และมีมากน้อยต่างกันในกัญ ชาต่างสายพันธุ์จากต่างแหล่งผลิต รวมทั้งออกฤทธิ์ต่างกันใน ต่างคน ผู้ใข้แต่ละคนจึงต้องลองเองว่าได้ผลดีที่ต้องการหรือไม่ ทั้งนี้เราต้องไม่ลืมว่ากัญชา (ทุกสิ่ง) มีทั้งคุณและ โทษ กัญชามีฤทธิ์ลดความสามารถในการรับรู้ (cognitive impairment) และมีรายงานว่ามีส่วนสัมพันธ์กับการ เกิดโรคซึมเศร้า และโรคจิตเภท อาการแทรกซ้อนทางจิตนี้พบบ่อยในผู้ใช้กัญ ชาที่อายุน้อย สมัยผมเด็กๆ เขา เรียกคนที่สติไม่ดีเมื่อเสพกัญชาว่า "บ้ากัญชา"


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

ประเทศไทยควรเป็นประเทศที่ผลิตอาหารและยาให้แก่โลกผ่านการเกษตรแผนใหม่ การเกษตร ชนิดที่ให้มูลค่าเพิ่มสูง และมีคุณค่าสูงต่อมนุษยชาติ สิ่งที่มีคุณค่าสู งมักจะมีอันตรายสูงตามมา เราสามารถเพิ่ม คุณค่าลดอันตรายได้โดยการวิจัยสร้างความรู้ให้สังคมรู้จักใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม ลดโทษ และต้องวิจัยและ สื่อสารต่อสังคมไทยและต่อโลก เพื่อเปลี่ยนกระบวนทัศน์ผู้คนว่า “กัญชาคือยาสมุนไพร” ซึ่งสอดคล้องมาตรการ หนึ่งของแผนแม่บทแห่งชาติ ว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทยฯ จึงเน้นไปที่การส่งเสริมและพัฒนาสมุนไพร ให้เป็นที่ รู้จักและส่งออกสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ ทั้ง นี้การ กาหนดสมุนไพรที่มีศักยภาพให้เป็น Product Champion ต้องมีการพิจารณาใน 3 มิติ ได้แก่ มิติด้านศักยภาพ มิติด้านความต้องการ และมิติด้านความน่าสนใจในอนาคต โดยจะมีการทบทวนทุก 3 ปี เพื่ อให้เป็ นไปตาม สภาพการณ์ปัจจุบันและอนาคต กลุ่ มบริษั ท ”แม่โขงแคนนาบิ ส” จากั ด ได้ จัด ท าโครงการ “การพั ฒ นาพื ช สมุ น ไพรท้ อ งถิ่น เพื่ อ การ บาบัดรักษาโรคแบบครบวงจร” โดย รูปแบบโครงการ คือ เป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อวิจัยและพัฒนาสมุนไพรที่มีคุณค่าทางการรักษาและบาบัดโรค พร้อมทั้งสร้างกระบวนการแปรรูปที่มีคุณภาพ ตามมาตรฐานสากลเพื่อการเพิ่มมูลค่า และสร้างสถานบาบัดอย่างครบวงจร ด้วยกระแสการตื่นตัวเกี่ยวกับทางเลือกของการบาบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ โดยอาศัยภูมิปัญญาที่มีสืบ ทอดมาอย่างยาวนานรุ่นต่อรุ่นควบคู่กับงานวิจัยที่เกี่ยวกับการใช้สารสกัดจากสมุนไพรท้องถิ่น โดยเฉพาะกัญชา มา เป็นทางเลือกในการบาบัดรักษาโรคต่างๆ จึง เป็นที่มาของการแสวงหาแนวทางและความร่วมมือ ระหว่างฝ่าย สนั บ สนุน การลงทุ น และฝ่ายวิจั ยพั ฒ นาซึ่ ง เกี่ ย วกั บเรื่อ งของกั ญ ชาบ าบั ด ดัง กล่ าว โดยเล็ ง เห็ น ซึ่ ง โอกาสและ ศักยภาพในการดาเนิ นการโครงการดังกล่าว ร่วมกับ รัฐบาลแห่ ง สปป.ลาว ด้ วยความเหมาะสมทั้ง ในแง่ของ ศักยภาพพื้นที่การการดาเนินการ ไม่ว่าในแง่ของ การวิจัย การเพาะปลูกกัญ ชา ซึ่งต้องอาศัยความสมบูรณ์ทาง กายภาพและภูมิประเทศของ สปป.ลาว รวมถึงเรื่องของพื้นที่ที่จะต้องใช้สาหรับการดาเนินการนาร่องโครงการ ตลอดทั้งรองรับการขยายโครงการในโอกาสต่อไป ทั้งนี้ ยังรวมถึงความเหมาะสมในส่วนของนโยบายฝ่ายรัฐ และเสถียรภาพทางการเมืองการปกครองของ สปป.ลาว ที่มีความมั่นคงต่อการดาเนินนโยบายใดๆก็ตาม ที่ต้องอาศัยการความร่วมมือจากรัฐบาลลาว เพื่อความ ต่อเนื่องและบรรลุเป้าหมายวัตถุประสงค์ของการดาเนินการและการลงทุน อันจะเป็นการส่งเสริมศักยภาพและ ภาพลักษณ์ให้แก่ สปป.ลาว อีกทางหนึ่งในด้านของศูนย์กลางการบาบัดรักษาภายใต้โครงการนี้ รวมถึงเป็นการยก ฐานะและยกระดับของความก้าวหน้าในวิทยาการทางด้านการบาบัดรักษาและการสาธารณสุขของ สปป.ลาว ให้ ก้าวหน้าและมีชื่อเสียงแก่ประเทศสากลต่างๆ มากขึ้น ดังนั้น เพื่อให้การดาเนินโครงการดังกล่าวก่อเกิดผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งในส่ วนของบริษัทเอกชนในฐานะ ฝ่ายผู้ลงทุนและรัฐบาลแห่ง สปป.ลาว ในฐานะเจ้าของพื้นที่และผู้อนุมัติซึ่งใบอนุญาตให้ดาเนินซึ่งกิจการดังกล่าว รวมถึง เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ร่วมจากโครงการนี้ ในส่วนแบ่ง ของรายได้ที่จะเกิดจากการจัดสรรปันส่วนอย่าง เหมาะสมและเป็ น ธรรมจากโครงการดั ง กล่ า ว โดยบริ ษั ท เอกชนที่ เป็ น ผู้ ด าเนิ น การ จะเป็ น ฝ่ า ยรั บ ผิ ด ชอบ ดาเนินการด้านการบริหารจัดการ รวมถึงการลงทุนทั้งในด้านการเงิน การก่อสร้าง เทคโนโลยี นวัตกรรม การวิจัย พัฒนา และอื่น ๆ อันเกี่ยวกับการบริหารจัดการซึ่งโครงการนี้ วัตถุประสงค์ของโครงการ คือ เป็นปรากฏการณ์ แห่งทางเลือกของการบาบัดรักษาโรคภัยต่างๆในยุค ปัจจุบัน อันเป็นทางเลือก ทางรอด และการเยียวยารักษาแก่ผู้ป่วยทั่วไป ซึ่งเป็นมวลมนุษยชาติที่มีสิทธิ์ มีโอกาส และสามารถเข้าถึงการบาบัดรักษาทางเลือกดังกล่าวได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง และโครงการดังกล่าวจะเป็น การ เตรียมการสู่แนวทางการพัฒนาเพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ (Capital of Cannabis Treatment) ด้าน


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

การจัดการภูมิปัญญาท้องถิ่น นวัตกรรม เทคโนโลยี และการเป็นต้นแบบของศูนย์การบาบัดรักษา “อโรคยากัญชา บาบัด” ให้กับประเทศรอบภูมิภาคอาเซียน ทั้งรองรับกับแนวทางประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนต่อไป เป้าหมาย ของโครงการ คือ เป็นการนาร่องให้แก่รัฐบาลผ่านทางหน่วยงานราชการในการทาร่วมมือกับ ภาคเอกชน ในการพัฒนาและขับเคลื่อนซึ่งโครงการดังกล่าวไปด้วยกัน โดยเป็นทั้งฝ่ายสนับสนุนและส่งเสริมโอกาส ต่างๆภายใต้โครงการนี้แก่กันและกัน เพื่อรองรับความก้าวหน้าในวิทยาการด้านการบาบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ทั้ง เป็นการ สร้างให้ หน่วยงานราชการ เป็นพื้นที่หลักและเป็นผู้นาของการบาบัดโรคด้วยภูมิปัญ ญาที่เกิดจาก โครงการนี้ “Capital of Cannabis Treatment” อันจะนามาซึ่งผลประโยชน์ ในด้านอื่นๆ อาทิเช่น การยกระดับ คุณภาพของสถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้อง , การส่งเสริมอาชีพ , การพัฒนาเศรษฐกิจ, การส่งเสริมการท่องเที่ยว ฯลฯ เป็นต้น โดยมีขั้นตอนการดาเนินงาน และแผนปฏิบัติงาน คร่าว ๆ คือ เป็นการร่วมมือกันของภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่า จะเป็นในส่วนของภาคเอกชนซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบด้านการบริหารจัดการและด้านการลงทุนในโครงการ กับภาคส่วน ของหน่วยงานภาครัฐ ที่จะได้ร่วมมือกันในการนาร่องโครงการในครั้งนี้ รวมกระทั้งหน่วยงานทางด้านการศึกษา และวิชาการ เช่น มหาวิทยาลัย วิทยาลัย รวมถึงองค์กรพัฒนาภาคประชาชนที่ได้รับการรับรองสถานะจากภาครัฐ ในฐานะเจ้าของพื้นที่และเป็นฝ่ายสนับสนุนที่ดินเพื่อร่วมพัฒ นาโครงการ อีกทั้งฝ่ายสนับสนุนและรองรับด้าน นวัตกรรมและเทคโนโลยี และอีกหลายๆ องค์กรความร่วมมือ เบื้องต้นของการตระเตรียมโครงการ มีลาดับและขั้นตอน ดังนี้ 1. พบปะเพื่อหารือกันนอกรอบกับตัวแทนของหน่วยงานราชการ เพื่ อทาความเข้าใจและรับทราบข้อมูล ของโครงการจากผู้ลงทุนและผู้ประสานงานโครงการฯ 2. ยื่นหนังสือเพื่อเสนอแนวทางโครงการฯต่อหน่วยงานหรือตัวแทนของหน่วยงานราชการ 3. ประชุมหารือเพื่อตระเตรียมโครงการ เพื่อจะนาไปสู่พิธีลงนามความร่วมมือ MOU ระหว่างภาคเอกชน ผู้ลงทุน กับ หน่วยงานราชการ อันเป็นความร่วมมือในการขับเคลื่อนเดินหน้าพัฒนาโครงการฯ ร่วมกันต่อไป 4. ภายหลังจากลงนาม MOU แล้ว จะเป็นลงรายละเอียดร่วมกัน ในส่วนของการกาหนดกรอบการเริ่มต้น ดาเนินการต่างๆ ภายใต้รายละเอียด เงื่อนไข ขั้นตอน วิธีการ กาหนดการ และระยะเวลาของการดาเนินการ โดยในความร่วมมือกันครั้งนี้ เป็นความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานราชการ และภาคเอกชนซึ่งเป็นผู้ ลงทุนในโครงการ จะได้ร่วมมือกันผลักดันให้โครงการนี้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของโครงการ เพื่อ แสดงถึ ง ศัก ยภาพและความพร้อ มเพรียงของการลงร่วมมื อและการลงทุน ในครั้ ง นี้ โดยประมาณการกรอบ ระยะเวลาของใบอนุญาตการลงทุนครั้งนี้ เป็นระยะเวลา 30 ปี สิ่งสาคัญที่สุด คือ หากต้องมีปรับปรุง หรือปรับเปลี่ยนแก้ไขซึ่ง ประกาศ กฎระเบียบ และข้อกฎหมาย ต่างๆ ที่เกี่ยวกับรูปแบบ วิธีการ และเงื่อนไขของดาเนินโครงการนี้ โดยหากต้องเกี่ยวข้องและเกี่ยวพันกับวิธีการ ปฏิบัติของหน่วยงานภาครัฐ หรือองค์กรภาครัฐ หรือหน่วยงานราชการ กับ ฝ่ายเอกชนผู้ลงทุนจะได้หารือร่วมกัน เพื่อให้สอดคล้องเหมาะสม ต่อความสามารถในการเดินหน้าและพัฒนาโครงการดังกล่าว ทั้ง นี้เพื่อไม่ให้ขัดต่อ กฎระเบียบต่างๆ อันอาจเป็นอุปสรรคและข้ อจากัดในการพัฒนาโครงการดัง กล่าวได้ ซึ่งจาเป็นจะต้องมีคาสั่ง ระเบียบ และวิธีการเฉพาะหน้า เพื่อให้สามารถพัฒนาและดาเนินโครงการร่วมกันได้ โดยไม่ติดกับกฎระเบียบและ ข้อกฎหมายแห่งรัฐ แม้จาเป็นจะต้องแก้ไข ปรับปรุง หรือยกเลิกก็ตาม โดยถือเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติ เป็นที่ตั้ง เพื่อประโยชน์สุขร่วมกันต่อการดาเนินการโครงการนี้ อันจะนาไปสู่แนวทางการพัฒนาที่เหมาะสม และมี ประสิทธิภาพ ต่อไป กิจกรรมที่จะเกิดขึ้น ตามลาดับ คือ


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

1. 2. 3. 4. 5.

การจัดทา Concept Paper กระบวนการนาเสนอเพื่อขออนุมัติหลักการ กิจกรรม และระยะเวลา การเตรียมการ เพื่อนาเสนอผ่าน สานักนายกฯ เพื่อขอรับใบอนุญาต การจัดหา พัฒนาพื้นที่ พั ฒ นาศู น ย์ วิ จั ย และแสวงหาความร่ว มมื อ และสนั บ สนุ น จากหน่ ว ยงานพื้ น ฐานที่ เกี่ ย วข้ อ ง (มหาวิทยาลัย / วิทยาลัย) โดยอาจตั้งเป็นคณะการแพทย์ทางเลือก และ พยาบาลทางเลือก เพื่อ สร้างบุคลากรมารองรับงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 6. พัฒนาแปลงปลูก โดยขอให้ทางหน่วยงานราชการ จัดพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ หรือพื้นที่เฉพาะ สาหรับการทาแปลงปลูก โดยจะนาเอาเทคโนโลยี Smart Farm อย่างครบวงจรเข้ามาควบคุม กากับการดาเนินการปลูกตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงการเก็บเกี่ยวและแปรรูป 7. พั ฒ นา Lab & Factory Product โดยท าเป็ น ศู น ย์วิ จั ย และทดลอง โดยใช้ ม าตรฐานสากลที่ เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการ ทุกกระบวนการ พัฒนาตารับยาหรือสูตรยาที่เหมาะสมสาหรับ การรักษาผู้ป่วยในโรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยอ้างอิงจากงานวิจัยจากต่างประเทศ 8. พัฒนาศูนย์บาบัด หรือ/ อาคารรับผู้ป่วย ประมาณ 200 หน่วย ทั้ง คุณภาพระดับ Premium class และอาคารรักษาทั่วไป อย่างครบวงจร 9. พัฒนาอาคารรับรอง บ้านพักเจ้าหน้าที่ 10. การจัดสัมมนาทางวิชาการ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ และเปลี่ยนกระบวนทัศน์ด้านกัญชา

โดยมีระยะเวลาดาเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งใบอนุญาตของโครงการ อันจะนาไปสู่ความร่วมมือระหว่างกัน ของหน่วยงานราชการ กับ ภาคเอกชนผู้ลงทุนโครงการดังกล่าว มีกาหนด ปี นับแต่วันลงนาม MOU แ ล ะ ระยะเวลาในการดาเนินการภายใต้ใบอนุญาตของโครงการฯ มีกาหนดระยะเวลา 30 ปี งบประมาณ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1. งบประมาณในส่วนของการดาเนินการเพื่อขออนุมัติซึ่ง ใบอนุญาตโครงการ รวมถึงงบประมาณที่จะใช้จ่ายภายใต้โครงการนาร่องใดๆ อันเกี่ยวเนื่องกับโครงการนี้ และ 2. งบประมาณในส่วนของการลงทุนภายหลักจากได้รับใบอนุญาต ให้ดาเนินโครงการดังกล่าวได้โดยสมบูรณ์แล้ว


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

และมีการวัดและการประเมินผลโครงการ โดยจะมีการกาหนดกรอบและรูปแบบการประเมิน ผลโดย ละเอียดเพื่อนาเสนอเป็นแนวทางอีกครั้งหนึ่ง โดยในเบื้องต้น จะกาหนดกรอบการประเมิน เป็น 3 ช่วง คือ 1.ช่วงระหว่างการเริ่มต้นตระเตรียมเพื่อขอใบอนุญาตโครงการฯ 2.ช่วงระหว่างดาเนินการสาธิตนาร่องโครงการฯ 3.ช่วงระหว่างการดาเนินโครงการภายใต้การได้รับซึ่งใบอนุญาตโครงการฯแล้ว ภายใต้กรอบการลงทุน 30 ปี โดยเฉพาะเมื่ อโครงการได้ดาเนินการภายใต้กรอบระยะเวลาตามใบอนุญ าตโครงการฯแล้วนั้ น จะได้ พิจารณาเกณฑ์ชี้วัดโครงการฯ โดยพิจารณาจาก จุดแข็ง จุดอ่อน ปัญ หาอุปสรรค ประโยชน์และผลกระทบด้าน ต่างๆ โดย เน้นที่ ผลประโยชน์มวลรวมและส่วนได้เสียของผู้ลงทุน ตลอดมวลมมุษยชาติจากหลากหลายภูมิภาค จากเหล่าบรรดาประเทศสากลต่างๆ จะได้รับ เป็นส าคัญ เพื่ ออธิบายและสามารถพิ สูจน์ไ ด้ถึงเจตนารมณ์ และ ประโยชน์สูงสุดตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ดังกล่าวนี้


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

ประโยชน์อื่นๆ ที่คาดว่าจะได้รับ 1.การเป็นศูนย์กลางการบาบัดรักษาทางเลือกโดยใช้องค์ความรู้และภูมิปัญ หาตลอดทั้งนวัตกรรมและ เทคโนโลยีอันเกี่ยวแต่การศึกษาวิจัยและพัฒนาจากการใช้กัญชาเป็นตัวยาในการรักษา 2.การเป็นศูนย์กลางแห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางด้านวิทยาการและความก้าวหน้าว่าด้วยเรื่องเนื้อหา ของกัญชา ประจาภูมิภาคอาเซียน และเอเชีย ต่อไป

เอกสารอ้างอิง https://mgronline.com/onlinesection/detail/9600000012158 http://www.bangkokhealth.com/health/article/กัญชา-651 https://pantip.com/topic/30558696 https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_1282957 http://oknation.nationtv.tv/blog/boonlum/2018/05/09/entry-1

ภาพรวมกัญชาโลก ในปัจจุบัน Current cannabis’s world overview * ธีรศักดิ์ ศิริพยัคฆ์ Mr. Theerasak siripayak

บทคัดย่อ กว่ า จะมาเป็ น “กั ญ ชาถู ก กฎหมาย” ในหลายประเทศทั่ ว โลก…นั่ น ไม่ ใช่ เรื่อ งง่ าย จาเป็ น ต้ อ งผ่ า น กระบวนการอันซับซ้อน ทั้งเสียงจากประชาชน การประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจเเละการพัฒนาทางการ เเพทย์ ในสหรัฐอเมริกากว่าจะเสพกัญชาเพื่อ “สันทนาการ” ได้ก็ต้องรอนานกว่า 3 ทศวรรษ การเปลี่ยนเเปลง ของ “กัญ ชา” ผ่านยุคสมัยที่เปลี่ยนไป จากสิ่งผิดกฎหมายกลายเป็นธุรกิจสร้างรายได้ เป็นยารักษาโรค เป็นเเม่ เหล็กดึงดูดให้คนมาท่องเที่ยว รวมไปถึงการโกยภาษีมหาศาลเข้ารัฐ เเต่ก็มีโทษเช่นเดียวกัน ในขณะที่เมืองไทย ยังคงมีการถกเถียงเรื่องกัญชาเเละรอผลวิจัยเพื่อเเก้กฎหมายนามาใช้ทางการเเพทย์ ดังนั้น การศึกษา “พัฒนาการ ของกัญ ชาถูก กฎหมาย” ของหลายประเทศ จึง เป็ นสิ่ ง จ าเป็ น เพื่ อสร้างความรู้ค วามเข้ าใจ และย้อ นกลั บ มา วิเคราะห์ความเป็นไปได้ ของการผลักดัน “กัญชาให้ถูกกฎหมาย” ในประเทศไทยต่อไป คาสาคัญ : กัญชา, กัญชากับยารักษาโรค, กัญชาเพื่อสันทนาการ, กฎหมายกัญชาไทย * นักศึกษาระดับดุษฎีบัณฑิต สาขาการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่น คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม Email.: ........................................ Tell ....................................

Abstract That not easy to be a "legal cannabis" in many countries around the world. In the United States spend more than three decades of "marijuana" have changed. That need to go


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

through a complicated process such as checking the public, evaluating economic value, etc. Then changing from illegal to become a revenue-generating business as a medicine. Appeal the people are attracted to tourism including paying taxes to the state. But in the other hand also had some penalty. While in Thailand, there is still debate about cannabis and waiting for the results of the lawing process. So it is necessary to studying on "The development of legal cannabis" of many countries to create knowledge and back to the feasibility analysis also try to find the way topush "Cannabis Legalization" in Thailand Keyword : Cannabis, Cannabis with medicines, Recreational cannabis, Thailand Cannabis’s law

บทนา “กัญชา” สิ่งที่ถูกมองเป็นตัวแทนของ ‘ความไม่ดี’ มาตลอด ทาไมจึงต้องถูกกฎหมาย? ไม่กี่ปีที่ผ่านมา กัญชาถูกหยิบยกมาถกเถียงถึงคุณและโทษทั้งในเชิงการแพทย์ เศรษฐกิจ และการใช้ทั่วไปอย่างแพร่หลาย บ้างก็ว่า เราถูกปกคลุมด้วยมายาคติ กัญ ชานั้นมีประโยชน์มากกว่าโทษเป็นไหนๆ แต่บางส่วนก็ยัง ส่ายหน้าไม่สนใจ ใน ประเทศไทยเองก็มีกลุ่มอย่าง ‘กัญชาชน’ หรือ ‘Highland’ หรือ “สายเขียว” หรือ “ลุงตู้” ที่ออกมาเคลื่อนไหว และพยายามให้ความรู้ผู้คนถึงประเด็นดังกล่าว แท้จริงแล้ว “มันอาจไม่เกี่ยวกับเรื่องศีลธรรม แต่มันเกี่ยวกับระบบ บริหารจัดการของรัฐมากกว่า” ในขณะที่อุรุกวัยเป็นประเทศแรกที่ให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมายในเชิงนันทนาการ และมีป ระเทศที่ สองอย่ างแคนาดาตามมา เรื่อ งของกั ญ ชาในประเทศไทยกาลัง อยู่จุ ดไหนกั น แน่ ? การศึก ษา “พั ฒ นาการของกั ญ ชาถู กกฎหมาย” ของหลายประเทศ จึ ง เป็ น สิ่ง จ าเป็ น เพื่ อ สร้างความรู้ค วามเข้ าใจ และ ย้อนกลับมาวิเคราะห์ความเป็นไปได้ ของการผลักดัน “กัญชาให้ถูกกฎหมาย” ในประเทศไทยต่อไป

เนื้อเรื่อง กัญ ชาเป็นพืชล้มลุกจาพวกหญ้ าขึ้นได้ง่ายในเขตร้อน ลาต้นสูง ประมาณ 2-4 ฟุต ลักษณะใบจะแยก ออกเป็นแฉกประมาณ 5-8 แฉก คล้ายใบมันสาปะหลังที่ขอบใบทุกใบจะมีรอยหยักอยู่เป็นระยะๆ ออกดอกเป็นช่อ เล็กๆ ตามง่ามของกิ่งและก้าน ส่วนที่คนนามาเสพได้แก่ส่วนของกิ่ง ก้าน ใบ และยอดช่อดอกกัญชา โดยนามาตาก หรืออบแห้ง แล้วบดหรือหั่นให้เป็นผงหยาบๆ จากนั้นจึงนามายัดไส้บุหรี่สูบ (แตกต่างจากบุหรี่ทั่วไปที่ไส้บุหรี่จะมีสี เขียว ต่างจากไส้ยาสูบที่มีสีน้าตาล และขณะจุดสูบจะมีกลิ่นเหมือนหญ้าแห้งไหม้ไฟ) หรืออาจสูบด้วยกล้องหรือ บ้องกัญ ชา บ้างก็ใช้เคี้ยวหรือผสมลงในอาหารรับประทาน ปั จจุบันรูปแบบของกัญ ชาที่พบ นอกจากจะพบใน ลักษณะของกัญชาสด กัญชาแห้งอัดเป็นแท่งเป็นก้อนแล้ว ยังอาจพบในรูปของ “น้ามันกัญชา” (Hashish Oil) ซึ่ง มีลักษณะเป็นของเหลวสีน้าตาลเข้มหรือสีดา กัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพ ติดให้โทษ พ.ศ. 2522 สรุปข้อหาและบทลงโทษดังนี้ ข้อหา บทลงโทษ ผลิต นาเข้า หรือส่งออกจาหน่าย - จาคุกตั้ง แต่ 2 ปี ถึง 15 ปีแ ละปรับ ตั้ง แต่ 2 หมื่นบาทถึง 1 แสน 5 หรือครอบครองเพื่อจาหน่าย หมื่นบาท - จาคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาทหากเป็นพืชกระท่อม ครอบครอง ต้องจาคุกไม่เกิน2 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ปี และปรับไม่เกิน 1หมื่นบาท


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

เสพ

หรือทั้งจาทั้งปรับ(กรณีมียาเสพ-ติดให้โทษในประเภทที่ 5 ตั้งแต่ 10 กิโลกรัมขึ้นไป ถือว่าเป็นการครอบครองเพื่อจาหน่าย) - จาคุ กตั้ง แต่ 1 ปี และปรับไม่เกิน 1 แสนบาทหากเป็นพื ชกระท่อ ม ต้องจาคุกไม่เกิน 1เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 พันบาท

เมื่อ 1 มกราคม 2561 ที่ผ่านมา ทางการรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ได้ประกาศให้การเสพกัญชาเพื่อ “ความบันเทิง” กลายเป็นสิ่งถูกกฎหมาย โดยเป็นรัฐที่ 7 ของสหรัฐที่อนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อการสันทนาการ และ คาดว่ารัฐแมสซาชูเซตส์และรัฐเมนจะตามมาภายในปลายปี นี้ ขณะเดียวกันมี 29 รัฐที่อนุญ าตให้ ใช้กัญ ชาเพื่ อ ประโยชน์ทางการแพทย์ได้ ถึงแม้ว่ากฎหมายระดับประเทศ (Federal Law) ยังคงห้ามอยู่ก็ตามที หลังกฎหมาย ใหม่นี้บังคับใช้ ร้านขายกัญชาที่มีใบอนุญาตในเมืองซานดิเอโกแทบทุกร้าน บรรยากาศคึกคักเป็นพิเศษ ผู้คนรอคิว ซื้อกัญชามวนและอาหารที่ผสมกัญชา ตั้งแต่คนในวัยหนุ่มสาวยันวัยเกษียณ สาหรับแคลิฟอร์เนียเป็นรัฐแรกใน อเมริ ก า ที่ อ นุ ญ าตให้ มี ก ารใช้ กั ญ ชาทางการแพทย์ อ ย่ า งถู ก กฎหมายเมื่ อ 22 ปี ก่ อ น จากอดี ต ถึ ง ปั จ จุ บั น แคลิฟอร์เนียกลายเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ ที่มีตลาดซื้อขายกัญชาเพื่อการแพทย์สูงสุดในสหรัฐ ย้อนกลับไปเมื่อต้นปี 2014 รัฐโคโลราโด สร้างประวัติศาสตร์ ด้วยการเป็นแห่งแรกของโลกที่ประชาชน สามารถเสพกัญชาเพื่อความบันเทิง สูบ-กิน-ซื้อและปลูกได้ตามกฎหมาย นอกเหนือจากการใช้เพื่อการแพทย์ โดย ผ่านการลงมติเห็นชอบจากเสียงส่วนใหญ่ของพลเมืองในรัฐ ตามมาด้วยกรุงวอชิงตันดีซี ได้เป็นมลรัฐที่สองที่เปิด เสรีกัญ ชา ให้สามารถเสพเพื่อความบันเทิงได้ แต่ต้องแลกด้วยภาษีที่สูงมาก ทาให้ราคากัญ ชาในรัฐนี้แพงตามไป ด้วย ส าหรั บ ข้ อ ก าหนดการใช้ กั ญ ชาเพื่ อ ความบั น เทิ ง ผู้ ซื้ อ ต้ อ งมี อ ายุ 21 ปี ขึ้ น ไป ต้ อ งซื้ อ จากร้า นที่ มี ใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย ห้ามเสพในที่สาธารณะ เช่น ร้านอาหาร หรือสวนสาธารณะ และต้องเสพห่างจาก เขตโรงเรียน 300 เมตร โดยผู้ฝ่าฝืนจะถูกปรับครั้งแรก 100 ดอลลาร์ และจะสูงขึ้น ในครั้ง ต่อไป และสามารถ ครอบครองได้ไม่เกิน 28.5 กรัม และปลูกได้ไม่เกิน 6 ต้นที่บ้าน และต้องปลูกโดยมิดชิด เนื่องจากยังผิดกฎหมาย ระดับประเทศอยู่ ขณะที่ผู้ที่เคยต้องโทษคดีกัญ ชา สามารถร้องขอให้ศาลกาหนดโทษให้ใหม่เพื่อล้มล้างโทษ และ สามารถร้องขอให้ลบประวัติอาชญากรรมได้ กว่าจะมาถึงจุดนี้ ในช่วงทศวรรษ 1970 อเมริกาก็เคยมีการปราบปรามการใช้กัญชาอย่างหนัก เมื่อการ เสพกัญชาได้กลายเป็นแฟชั่นในหมู่นักศึกษา ชาวฮิปปี้ และคนรุ่นใหม่ยุค 1960 ขณะที่ประเทศส่วนใหญ่ในโลกถือ ว่ากัญ ชาเป็นยาเสพติดที่ มีโทษอาญา ต่อมาในยุค 1980 กระแสต่อต้านกัญ ชาในสหรัฐเริ่มเปลี่ยนแปลง หลัง มี งานวิจัยทางการแพทย์รับรองถึงคุณประโยชน์ของกัญชา ผลวิจัยล่าสุดจาก Gallup เปิดเผยว่าในปี 2017 กว่า 64% ของประชากรผู้ใหญ่ของอเมริกาสนับสนุน ให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย โดยมองว่ามีประโยชน์มากกว่าโทษ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างมากจากทศวรรษ ก่อนที่มีเพียง 36% เท่านั้นที่ให้การสนับสนุน ทาให้ผลโหวตในรัฐแคลิฟอร์เนียกว่า 57% สนับสนุนให้การเสพ กัญชาเพื่อความบันเทิงกลายเป็นเรื่องถูกกฎหมายในที่สุด มี ห ลายส านั ก คาดผลทางเศรษฐกิ จ หลั ง รั ฐ แคลิ ฟ อร์ เนี ย อนุ ญ าตเสพกั ญ ชาเพื่ อ ความบั น เทิ ง โดย นักวิเคราะห์ “กรีนเวฟ” คาดว่าจะมีเงินสะพัดในอุตสาหกรรมกัญ ชาในสหรัฐมากถึง 5,100 ล้านดอลลาร์ ในปี 2018 และจะให้ให้อุตสาหกรรมนี้เติบโตถุง 3 เท่าในช่วง 10 ปีข้างหน้า


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

ด้านบริษัทที่ปรึกษาอาร์ควิว เผยรายงานคาดว่า อุตสาหกรรมกัญ ชาถูกกฎหมายจะสร้างรายได้ กว่า 40,000 ล้านดอลลาร์ และสร้างงานกว่า 400,000 ตาเเหน่งในสหรัฐภายในปี 2021 อีกทั้งรัฐบาลจะเก็บภาษีได้ 4,000 ล้านดอลลาร์ ภายใน 3 ปี ท่ามกลางความนิยม ก็มีอุปสรรคที่ขวางการเติบโตของอุตสาหกรรมกัญชาในสหรัฐ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ภายหลังการผ่านกฎหมายนี้ เช่น แบงก์จะไม่กล้าให้เงินทุนกับร้านจาหน่ายกัญชา เนื่องจากอาจกลายเป็นการมี ส่วนร่วมในอุตสาหกรรมยาเสพติดผิดกฎหมายระดับประเทศ หรือกฎหมายภาษี 280E ที่ระบุว่าธุรกิจค้ากัญชาไม่ สามารถยื่นขอหักภาษีได้เช่นเดียวกับธุรกิจอื่นที่มีสิทธิได้รับตามปกติ ทาให้ร้านค้าอาจจะต้องเสียภาษีเงินได้สูงถึง 90% ขณะเดียวกัน ก็มีเสียงเรียกร้องให้ธุรกิจกัญชา ได้รับการดูแลอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งด้านความโปร่งใส การ โฆษณา และการซื้ อขาย กลายเป็ น ประเด็ น สาคั ญ ที่ก ดดัน ให้ “รัฐบาลกลางสหรั ฐ ” ต้ องทบทวนสถานะของ “กัญชา” ในระดับประเทศครั้งใหญ่ แคนาดา : โกยเงิน “กัญชาพาณิชย์” เจ้าใหญ่ของโลก เป็นที่ทราบกันดีว่าการค้า “กัญ ชา” เป็นธุรกิจใหญ่ที่นารายได้มหาศาลเข้าสู่แคนาดามานับทศวรรษ หลัง มีการอนุญ าตให้นากัญชามาใช้รักษาโรคได้ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา โดยพลเมืองวัยหนุ่มสาวกว่า 30 % ของ แคนาดายอมรับว่าพวกเขาเคยเสพกัญชาเพื่อความบันเทิง บรรดาบริษัทเอกชนสัญชาติแคนาดา ต่างแข่งขันเพื่ อ แย่งชิง ตลาดผลิตและจาหน่ายกัญชาถูกกฎหมายรายใหญ่ของโลก และการผลักดันให้มีการปลูก ขาย และเสพ กัญชาเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจอย่างถูกกฎหมายนั้น ก็เป็นหนึ่งในนโยบายที่ทาให้ “จัสติน ทรูโด” ชนะเลือกตั้งขึ้น เป็นนายกรัฐมนตรี โดยหลังเข้ารับตาแหน่ง เขาได้เสนอพ.ร.บ.กัญ ชา (Cannabis Act) เข้าสู่การพิ จารณาของ รัฐสภาและคาดว่าจะผ่านเป็นกฎหมายออกมาได้ในช่วงกลางปี 2018 นี้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าว กระตุ้นให้เอกชนเริ่มเตรียมการรับกฎหมายใหม่ อย่างเช่นผู้ผลิตกัญ ชาราย ใหญ่ “คานาปี โกรว์ธ คอร์ป” ซึ่งมีมูลค่าหุ้นในตลาดที่ 1,240 ล้านดอลลาร์ พื้นที่ปลูกในโรงเรือนแบบปิดรวมกว่า กว่า 350,000 ตารางฟุต และคู่แข่งรายสาคัญที่กาลังตีตื้นขึ้นมากับบริษัท “ออโรร่า แคนนาบิส อิงค์” ผู้ผลิตกัญชา สัญ ชาติแคนาดาที่สร้างโรงเรือนใหม่ใหญ่ถึง 800,000 ตารางฟุต ที่จะมีกาลังผลิตกว่า 100 ตันต่อปี นับว่าเป็น พื้ น ที่ ป ลู ก กั ญ ชาเชิ ง พาณิ ช ย์ ที่ ใหญ่ ที่ สุ ด ในโลก รองรับ พ.ร.บ.กั ญ ชาใหม่ ข องแคนาดา ทั้ ง นี้ สถิ ติ จ ากส านั ก งบประมาณรัฐสภาแคนาดา ระบุว่า ปัจจุบันราคาจาหน่ายกัญ ชาแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เช่นในเมืองควิเบค ราคากรัมละ 7.31 ดอลลาร์แคนาดา ขณะที่ในเมืองอื่นๆทางตอนเหนือของประเทศ ราคาจาหน่ายกรัมละ 13.17 ดอลลาร์แคนาดา สานักวิเคราะห์หลายแห่ง คาดการณ์ว่า เมื่อ พ.ร.บ.กัญชามีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ รัฐบาล แคนาดาอจะมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีกัญชาเพิ่มขึ้น สูงสุดถึงปีละ 5,000 ล้านดอลลาร์แคนาดา แต่บางสานักก็ คาดว่าอาจเก็บได้เพียงราว 600 ล้านดอลลาร์เท่านั้น เนเธอร์เเลนด์ : กัญชากระตุ้นท่องเที่ยว เป็ น อี ก หนึ่ ง ประเทศที่ มี ชื่ อ เสี ย งด้ า นการเสพกั ญ ชาถู ก กฎหมาย และน ามาเป็ น แม็ ก เนตดึ ง ดู ด นักท่องเที่ยว ช่วยผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศให้เติบโต ขณะที่ประชาชนมีความคิดเห็นที่ดีต่อกัญชา โดยมองว่ามีอันตรายน้อยกว่าบุหรี่และสุรา โดยพบสารวจพบว่า 23 % ของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนอัมสเตอร์ดัมส์ ต้องการใช้ บ ริการร้านกาแฟ ที่ อนุ ญ าตให้ บุ คคลที่ อายุ มากกว่า 18 ปีสู บกั ญ ชาได้ อย่ างถู กกฎหมาย อีกทั้ ง ยั ง สามารถซื้อกัญชาได้สูงสุด 5 กรัม โดยร้านกาแฟประเภทนี้ มีประมาณ 220 ร้ าน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในย่านแหล่ง บันเทิง


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

ด้านประเทศอื่นๆ ในแถบสแกนดิเนเวีย อย่างเดนมาร์ก การสูบ-ปลูก-ครอบครองและขายกัญชา ยังเป็น เรื่องผิดกฎหมาย ในขณะที่รัฐกาลังพยายามผลักดันพัฒนาเรื่องการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ในต้นปีนี้ ฟากฝั่งยุโรปอย่าง “สเปน” เป็นประเทศแรกๆ ที่เปิดให้กัญ ชาถูกกฎหมาย และอนุญ าตให้ประชาชน สามารถใช้และปลูกเองภายในบ้านได้ตามจานวนที่กาหนด แต่ห้ามนาออกมาขายและซื้อ พร้อมสามารถพกติดตัว ได้สูงสุด 40 กรัม ขณะที่กรุงปรากของสาธารณรัฐเช็ค ก็เป็นอีกเมืองที่สามารถปลูกกัญชาในครอบครองได้ 5 ต้น เเละพกติดตัวได้สูงสุด 15 กรัม อุรุกวัย : กฎหมายเสรีกัญชา ในดินเเดนยาเสพติด “อุรุกวัย” นับว่าเป็นดินเเดนเเห่งกัญชา ที่เสรีที่สุดแห่งลาตินอเมริกา โดยเมื่อเดือน ก.ค.ปี 2017 ที่ผ่าน มา รัฐบาลได้อนุญาตให้มีการขายกัญชาเพื่อสันทนาการตาม “ร้านขายยา” ได้อย่างถูกกฎหมายเป็นชาติแรกใน โลก หลังผ่านกฎหมายเสพกัญชาอย่างถูกฎหมายมาตั้งเเต่ปี 2013 โดยคุณสมบัติผู้ที่สามารถซื้อกัญชาตามร้านขาย ยาที่ ไ ด้ รั บ อนุ ญ าต จะต้ อ งเป็ น พลเมื อ งอุ รุ ก วั ย หรือ บุ ค คลมี สิ ท ธิ พ านั ก อาศั ย ถาวร อายุ 18 ปี ขึ้ น ไป พร้อ ม ลงทะเบียนกับรัฐเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งจะสามารถซื้อกัญ ชาได้ สูงสุด 40 กรัมต่อเดือน ราคากรัมละ 1.30 ดอลลาร์ สหรัฐ โดยกัญชาจะต้องมาจากไร่ที่รัฐกากับดูแล นอกจากนี้ยังอนุญาตให้ผู้ใช้ปลูกกัญชาเองที่บ้านได้ปีละ 6 ต้น และอนุญาตให้ตั้งสมาคมผู้สูบกัญชา 15-45 คน ซึ่งจะปลูกกัญชาได้ปีละ 99 ต้น สาหรับอุรุกวัย ถือว่าเป็นประเทศที่มีอัตราเหตุรุนแรงเกี่ยวกับยาเสพติดน้อย เมื่อเทียบกับประเทศอื่นใน ละตินอเมริกา แต่ผู้ต้องขังราว 1 ใน 3 ล้วนพัวพันการค้ายาเสพติด เพราะอุรุกวัยกลายเป็นเส้นทางลาเลียงกัญชา จากปารากวัยและโคเคนจากโบลิเวีย จากผลสารวจผู้ใหญ่จานวน 9,000 คนจาก 9 ประเทศในภูมิภาคนี้อ ย่าง อาร์เจนตินา , โบลิเวีย, ชิลี , โคลัมเบีย ,คอสตาริกา , เอลซัลวาดอร์ ,เม็กซิโก ,เปรู เเละอุรุกวัย พบว่ากว่า 40 % เห็นด้วยกับเรื่องกัญ ชาถูก กฎหมาย โดยประชาชนในอุรุกวัย ผู้บุกเบิกตลาดกัญ ชาถูกกฎหมาย เห็นด้วย 68% ตามมาด้วยเม็กซิโก 57% คอสตาริกาที่ 55% อย่างไรก็ตาม การยอมรับการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการยังแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ออสเตรเลีย : เป้าใหม่เบอร์หนึ่งของโลก ผู้ส่งออกกัญชาเพื่อการเเพทย์ ข้ามมายังฝั่งแปซิฟิก ออสเตรเลียประกาศแผนตั้งเป้าเป็นผู้นาการส่งออกกัญชาเพื่อการแพทย์เบอร์หนึ่ง ของโลก หวังส่งขายทาเงิน ต่ างประเทศ เหมือนแคนาดาและเนเธอร์แลนด์ ขณะที่ อุรุก วัยและอิ สราเอลก็เคย ประกาศแผนส่งออกตีตลาดกัญชาเช่นเดียวกัน โดยช่วงต้นปีที่ผ่านมา รัฐมนตรีสาธารณสุขของออสเตรเลีย กล่าว ว่า รัฐบาลตั้งเป้าหมายผลักดันให้เกษตรกรและผู้ผลิตออสเตรเลีย เป็นผู้ส่งออกกัญชาเพื่อการแพทย์ อันดับ 1 ของ โลก และนโยบายนี้ จะเป็ น ผลดี ต่ อทั้ ง ภาคธุรกิ จ และช่ วยเหลื อ ผู้ป่ ว ยภายในประเทศด้ว ย อย่ างไรก็ ต าม การ เปลี่ยนแปลงกฎหมายดังกล่าว จาเป็ นต้องได้รับการรับรองจากรัฐสภาก่อน ซึ่ง น่าจะเกิดขึ้นได้เร็วสุด ในเดือ น กุมภาพันธ์ โดยพรรคแรงงานที่เป็นฝ่ายค้านก็แสดงท่าทีสนั บสนุนเรื่องนี้ ออสเตรเลีย กาหนดให้การใช้กัญชาเพื่อ การแพทย์ถูกกฎหมาย มาตั้งแต่ปี 2016 ส่วนการใช้กัญชาเพื่อความบันเทิงยังเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ทั้งนี้ จากการ ประเมิ น ของแกรนด์ วิ วรี เสิ ร์ ช (Grand View Research) บริ ษั ท ที่ ป รึก ษาของสหรัฐ ระบุ ว่ า ตลาดกั ญ ชาเพื่ อ การแพทย์ทั่วโลกอาจมีมูลค่าสูงถึง 55,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.9 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2025 ไทย : ปลูกกัญชาผิดกฎหมาย ปลูกได้แต่กัญชง


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

ย้อนกลับมาที่ “กัญชา” ในเมืองไทย มีความพยายามจะเสนอให้กัญชาถูกกฎหมายหลายครั้ง ล่าสุดจาก กรณี น ายประพั ฒ น์ ปั ญ ญาชาติ รัก ษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่ ง ชาติ เสนอให้ บ ริเวณเขตเทื อ กเขาภูพ าน จ. สกลนครเป็ น พื้ น ที่ น าร่อ ง 5,000 ไร่ ส าหรั บ เป็ น แหล่ ง ปลู ก กั ญ ชา โดยก าลั ง เตรีย มขออนุ ญ าตตามประกาศ กระทรวงสาธารณสุขถึงการขออนุญาต และการอนุญ าตผลิตจาหน่าย หรือมีไว้ครอบครอง ตามประกาศในราช กิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 6 ม.ค.2561 ที่ผ่านมา เเต่ก็ต้องโดนเบรกชะงัก เมื่อสานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ออกมายืน ยันว่า ประเทศไทยยังไม่อนุญ าตให้ปลูกกัญ ชาได้ แต่อนุญ าตให้ครอบครองเพื่อวิจัยได้ ส่วนที่ อนุ ญ าตได้ คื อ “กั ญ ชง” ที่ ปั จ จุ บั น อนุ ญ าตให้ ป ลู ก ในพื้ น ที่ 5 จั ง หวั ด ของภาคเหนื อ เพื่ อ รองรับ การปลู ก เชิ ง อุตสาหกรรม “ขอชี้แจ้งว่ากฎกระทรวงดังกล่าว ออกมาจากพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ว่า ด้วยการปลูก เฮมพ์ (HEMP) เป็นพืชชนิดย่อยของกัญชาที่ ที่เรียกว่า “กัญชง” ซึ่งจะมีลักษณะทางกายภาพคล้าย กัญชามาก แต่ที่สิ่งแตกต่าง คือ กัญชงจะมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล หรือ THC ในปริมาณไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ ส่วนกัญชา 3 เปอร์เซ็นต์ สารตัวนี้จะเป็นสารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ถือเป็นสารเสพติด จึงมีการอนุญาตให้ ทดลองปลูกกัญชงในหลายพื้นที่ แต่ไม่อนุญาตให้ปลูกกัญชา เพราะมีสารในปริมาณที่มากกว่า ” อนุญาตให้ปลูกก กัญชา เพราะมีสารในปริมาณที่มากกว่า” นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา นพ.สุรโชค กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมามีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการนากัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ แต่ยัง ไม่ได้ข้อสรุป เพราะเสนอว่าควรจะมีผลงานวิจัยที่แน่ชัดก่อน โดยการวิจัยนั้นใช้เวลานานเป็นปี ซึ่งทางอย.ได้เสนอ ให้แก้กฎหมายยาเสพติดให้โทษ ปี พ.ศ. 2522 เพื่อสนับสนุนให้มีการพัฒนาการศึกษาวิจัยในคนและนากัญ ชา รวมทั้งสารสกัด มาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์รักษาโรคได้ ซึ่งบรรจุอยู่ในร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด เเละ ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ขณะที่พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผู้บัญชาการตารวจปราบปรามยาเสพติด แสดงความคิดเห็นว่า เขา เห็นด้วยหากจะมีการเปลี่ยนกัญชา ที่ปัจจุบันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ให้เป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 2 เพื่อใช้ในทางการแพทย์ อีกทั้ งจะช่วยลดปัญ หาลักลอบส่ง ประเทศที่ 3 ซึ่งมี แนวโน้มการลักลอบนาเข้าจาก ประเทศเพื่อนบ้านทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากขึ้น โดยการลักลอบนาเข้ามาในประเทศ ขณะนี้ยังถือว่ามี ความผิด ต้องจับดาเนินคดีทั้งหมด ด้านนพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า เบื้องต้นเท่าที่ทราบ กัญ ชายัง เป็ นการนามาใช้เพื่ อการวิจัยเกี่ยวกับยารักษาโรคเท่ านั้น ซึ่ งต้อ งศึก ษารายละเอี ยดให้ ชัดเจนอีก ครั้ง เนื่องจากกัญชายังถือเป็นยาเสพติด กระเเสผลักดัน “กัญชาถูกกฎหมายในไทย” ครั้งนี้จะไปได้ไกลเเค่ไหน…เเละจะส่งผลต่อสังคม ประชา ชนเเละเศรษฐกิจอย่างไร ขอย้อนกลับไป 5 ปีที่แล้วภาพที่สังคมเข้าใจเกี่ยวกับกัญ ชามันมืดสนิทมาก มองไปทาง ไหน หนังสือพิมพ์ ทีวี ทุกอย่าง เราจะเห็นมุมมองแค่เพียงด้านเดียว นั่ นคือจับคนเสพกัญ ชา คนเสพกัญ ชาท า เรื่องราวร้ายๆ ไม่ดี มันไม่มีมุมอื่นที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงเลย แต่หลังจาก 5 ปี ที่ผ่านมา สื่อหลักเริ่มหันมาพูดถึงการ ใช้กัญ ชาในทางการแพทย์ เริ่มหันมาพูดถึง มุมมองอื่นๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนในสังคมไทย มีคนจากภาครัฐ ป.ป.ส. องค์การเภสัช ลุกขึ้นมาสนับสนุน ผลักดันให้เรื่องนี้เกิดขึ้น และเรากาลังจะมีการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายหลักๆ นั่นคือ จะอนุญาตให้ใช้ในทางการแพทย์ได้ ซึ่งมันค่อนข้างเป็นการเปลี่ยนแปลงในสเต็ปที่ค่อนข้างใหญ่ นั่นคือเรื่อง ของมุมมองของสังคม เพราะการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมาย หรืออะไรก็ตาม มันจะมาจากความรู้สึกของคนใน สังคมเป็นหลัก คือถ้าความเข้าใจโดยรวมของสังคมดีขึ้น ความเปลี่ยนแปลงมันก็จะง่ายขึ้น ยกตัวอย่างจากเรื่อง


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

ความเปลี่ยนแปลงในการแพทย์ พอสังคมเข้าใจ จากโพลล์สารวจต่างๆ เสียงต่อต้านก็แทบจะไม่มี นั่ นคือการ เปลี่ยนแปลงทางกระบวนการคิดที่ถือว่าใหญ่ แต่อุปสรรคก็คือ นอกเหนือจากเรื่องการแพทย์ เมื่อเราพูดถึงการใช้ ในอีกด้านหนึ่ง เราก็อาจต้องทาความเข้าใจกันอีกรอบ การทาให้ถูกกฎหมายมันอยู่ภายใต้ขอบเขตบางอย่างอยู่แล้ว อย่ างเหล้ า บุห รี่ ทุ กวั น นี้ มั น ก็คื อ การวางข้ อ กาหนด (regulation) บางอย่ างเพราะฉะนั้ น การท าให้ กั ญ ชาถู ก กฎหมายมันก็จะเป็นหนึ่งในวิธีการเหล่านั้น อย่างแคนาดาเขาก็มีการจากัดว่า ต้องอายุเท่ าไหร่คุณถึงจะซื้อได้ หรือ ใช้ได้ที่ไหนบ้าง ปลูกได้กี่ต้น คือมันต้องมีข้อจากัดบางอย่างเพื่อให้องค์รวมของสังคมสามารถรับได้ เพราะฉะนั้น หลักๆ เลย คือต้องมีกฎเกณฑ์ให้เราอยู่ร่วมกันได้ ในต่างประเทศได้มีการศึกษาการใช้สารสกัดจากกัญชาและนาออกสู่ท้องตลาดโดยอยู่ภายใต้การควบคุม ของกฎหมายของประเทศนั้นๆ นักวิท ยาศาสตร์ตรวจพบคุ ณ สมบัติ ของตัวยาสาคั ญ จากสารสกั ดกัญ ชามีฤทธิ์ บรรเทาอาการเจ็บปวด ลดอาการอักเสบ ระงับการปวดเกร็ง/ปวดบีบ ลดอาการชักกระตุก ทาให้อยากอาหาร บรรเทาอาการคลื่นไส้-อาเจียน ทาให้นอนหลับง่ายขึ้น รวมถึงฤทธิ์ในการอาจต้านเซลล์มะเร็ง การรวบรวมงานวิจัย ทางคลิ นิ ก เกี่ ย วกั บ กั ญ ชาและสารสกั ด ตั้ ง แต่ อ ดี ต มาจนปั จ จุ บั น ที่ เผยแพร่ ใ ห้ กั บ ประชาชนตามเว็ บ ไซด์ www.cannabis-med.org/studies/study.php มีดังนี้ 1. ช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อและปวดบริเวณเนื้อเยื่ออ่อน (Fibromyalgia) 2. สาร Cannabidiol (CBD) ในกัญชาอาจจะช่วยทาให้สุขภาพของผู้ติดบุหรี่ดีขึ้น 3. เด็กที่ป่วยด้วยโรคลมชัก (Epilepsy) ที่ได้รับ Cannabidiol ซึ่งสกัดได้จากกัญชา จะมีอาการดีขึ้น โดยการบริหารยาต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของแพทย์ 4. ในปี ค.ศ.2018 มีการสารวจและรวบรวมการใช้ยารักษาอาการในผู้ ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บบริเวณ กระดูกสันหลังและสมอง พบว่าผู้ป่วยหลายรายใช้กัญชามาบาบัดอาการปวดจากบาดแผลที่เกิด ต่อระบบประสาทส่วนหลังดังกล่าว 5. มีการศึกษาในผู้ป่วยที่มีอาการเสื่อมทางสมองหรือที่เรียกกันว่าโรค Huntington’s disease โดย ใช้กัญชาพบว่า สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วยกลุ่มนี้ดีขึ้น 6. Nabilone ซึ่งเป็นสารประกอบสังเคราะห์เลียนแบบโครงสร้างสารสาคัญในกัญชา ถูกนามาใช้กับ ผู้ป่วยมะเร็งโดยกระตุ้นให้ผู้ป่วยมีความอยากอาหารและรับประทานได้เพิ่มขึ้น 7. ทางคลินิกมีความพยายามที่จะใช้สารสกัดของกัญชามากระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของ ผู้ป่วยเอชไอวี ซึ่งยังต้องรอการรวบรวมข้อมูลและยังต้องทาการวิจัยอย่างต่อเนื่อง 8. สารกลุ่ ม Cannabinoids ใน กั ญ ชาอ าจท าให้ สุ ข ภาพ ขอ งผู้ ป่ ว ยมะเร็ ง สมองจี บี เอ ม (Glioblastoma) มีอาการดีขึ้น อนึ่ง งานวิจัยของต่างประเทศอีกมากมาย ที่พยายามใช้สารสกัดจากกัญชามาเป็นยารักษาโรคต่างๆ ซึ่ง ไม่สามารถนามาลงในบทความนี้ได้หมด และ ในปี พ.ศ.2561 ประเทศไทยโดยองค์การเภสัชกรรมได้เริ่มทาการ วิจัยและพัฒนาสารสกัดจากกัญชาโดยผลิตน้ามันกัญชาเพื่อนามาใช้รักษาโรคต่างๆดังนี้ 1. อาการคลื่นไส้ของผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบาบัด 2. บาบัดโรคลมชัก 3. รักษาโรคปลอกประสาทอักเสบ 4. ใช้บรรเทาอาการปวดที่รุนแรง


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

ทั้งนี้ ลักษณะและรูปแบบเภสัชภัณฑ์ของน้ามันกัญชาจะเป็นยาหยอดเข้าใต้ลิ้น โดยองค์การเภสัชกรรม ได้รับมอบกัญชาจานวน 100 กิโลกรัม ซึ่งเป็นของกลางจากตารวจปราบปรามยาเสพติดเพื่อนามาวิจัยและอาจ ผลิตเป็นน้ามันกัญ ชาได้ 10–15 ลิตร (18,000 ขวด) ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสาคัญ ในวงการสาธารณสุข/ วงการแพทย์ไทย ซึ่งต้องรอดูกันต่อไป

เอกสารอ้างอิง


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

http://haamor.com/th/กัญชา/#article101 https://mgronline.com/marsmag/detail/9610000115408 https://www.bbc.com/thai/thailand-42748753 https://www.honestdocs.co/what-is-cannabis-indica https://www.prachachat.net/spinoff/spinoff-featured/news-102903 https://www.thairath.co.th/content/1179823 https://www.honestdocs.co/interesting-cannabis-medicinal-properties https://news.mthai.com/news-clips/468004.html

มายาคติ : กัญชา การเมืองหรือผลประโยชน์ Mythology : Political cannabis or benefits. * ธีรศักดิ์ ศิริพยัคฆ์ Mr. Theerasak siripayak

บทคัดย่อ ในช่ วงหลายเดื อ นที่ ผ่ านมา วงการสาธารณะสุ ข ของประเทศไทยได้ มี ก ารเปิ ดเวที ถ กเถี ยงเกี่ ยวกั บ ประเด็นการเปิดเสรีกัญชา ซึ่งขณะนี้หลายประเทศทั่วโลกได้ผลักดันให้ยาเสพติดชนิดนี้ถูกกฎหมาย ซึ่งสาหรับใน ไทย แม้การเปิดเสรีกัญชาจะสามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่ก็ไม่ สามารถปฏิเสธได้ว่าหากท าจริงจะสร้าง ผลกระทบอย่างหนักในด้านสังคม เพราะสัง คมในประเทศไทยยังเป็นสังคมที่เปราะบางขาดภูมิคุ้มกันในด้านการคิด รวมถึงยังมีความกังวลว่าการเปิดเสรีกัญชาจะยิ่งทาให้ปัญหาเยาวชนไทย จากที่หนักอยู่แล้วจะเละมากขึ้นไปอีก แต่ แม้จะมีโทษตามกฎหมายแต่อีกแง่หนึ่งกัญชาก็มีประโยชน์ในการที่มีสารสามารถสกัดเป็นยารักษาโรคด้ วย ดังจะ พบในงานวิจัยและกรณีศึกษาของต่างประเทศและในประเทศ การให้กัญชาผิดกฎหมายแม้จะเป็นการป้องกันไม่ให้ คนในสังคมมัวเมา แต่อีกนัยหนึ่งก็สร้างความสูญเสียโอกาสทางการพัฒนาด้านการแพทย์ ยารักษาโรค ทาให้ไทยยัง ขาดดุลการค้า และพึ่งพาการนาเข้ายาจากต่างประเทศ แต่ในกลุ่ มผู้ป่วยบางพื้นที่ ยังคงมีการใช้กัญชาในการรักษา คนไข้ โดยศึกษาจากสื่อออนไลน์ และนามาใช้จริง และเห็นผลในด้านบวกที่ตามมา จนกระทั่งมีการรณรงค์ปลดล๊ อกกัญชาตามที่เป็นข่าวในช่วง 1 ปีที่ผ่านมานี้ คาสาคัญ : เสรีกัญชา, มายาคติ, ปลดล๊อกกัญชา * นักศึกษาระดับดุษฎีบัณฑิต สาขาการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่น คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม Email.: ........................................ Tell ....................................

Abstract In the last few month, Thailand's public health has opened a debate on the issue of cannabis liberalization. At present, many countries around the world are pushing for this kind of drugs to be legal. In Thailand, even cannabis liberalization can increase economic value. But it can’t be denied that doing so will make a big impact on society. Because society in Thailand is


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

a fragile society, lack of immunity in thinking. There are also concerns that the liberalization of cannabis will further the problems of Thai youth. In spite of the legal consequences, cannabis is also useful in the presence of substances that can be extracted as medicines. It is found in research and case studies of foreign and domestic. Illegal cannabis is even prevented by people in the society. In other words, it is a loss of opportunities in the field of medical and medicine also imported drugs from abroad. But in some patients, cannabis used to treat patients by studying on internet and used and they found many positive results that follow. There is a campaign to unblock cannabis as news in the past one year. Keyword : Cannabis, Mythology, Unlock cannabis

บทนา ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ประเทศไทย ได้มีการเปิดเวทีถกเถียงเกี่ยวกับประเด็นการเปิดเสรีกัญชา ซึ่ง ขณะนี้ ห ลายประเทศทั่ วโลกได้ ผลั ก ดั น ให้ ย าเสพติ ด ชนิ ด นี้ ถู กกฎหมาย ในหลายๆวงการ ไม่ ว่า จะเป็ น วงการ สาธารณะสุข วงการเมือง วงการกฎหมาย หรือแม้กระทั่งสื่อออนไลน์ ซึ่งสาหรับในไทย แม้การเปิดเสรีกัญชาจะ สามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าหากทาจริงจะสร้างผลกระทบอย่างหนักในด้านสังคม เพราะเรายังเป็นสังคมที่เปราะบางขาดภูมิคุ้มกันในด้านการคิด รวมถึงยังมีความกังวลว่าการเปิดเสรีกัญชาจะยิ่งทา ให้ปัญหาเยาวชนไทย จากที่หนักอยู่แล้วจะเละมากขึ้นไปอีก กัญชาเป็นพืชที่มีสารออกฤทธิ์ที่มีผลต่อร่างกายและสมอง ถ้าเสพเข้าไปจะกดประสาทส่งผลให้ผู้เสพมี อาการคล้ายเมาเหล้าเห็นมีภาพลวงตา ความคิดสับสน มีอาการคล้ายกับติดยาเสพติดประเภทอื่น ๆ บ้างเรียก กัญชาว่ายาสุขีหรือยานันทนาการ สาหรับประเทศไทยจัดให้กัญชาเป็นยาเสพติดประเภทที่ 5 ตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ห้าม บุคคลทั่วไปที่ไม่ได้รับอนุญาตจะผลิต(เพาะปลูก) จาหน่าย นาเข้า ส่งออก หรือ มีไว้ในครอบครอง ถือว่าเป็นความผิด ซึ่งขณะนั้นบ้านเราประสบปัญหายาเสพติดทั้งในด้านการเป็นพื้นที่ผลิต พื้นที่ การค้า การเป็นพื้นที่แพร่ระบาด และการเป็นทางผ่านยาเสพติด กระทบต่อภาคสังคมอย่างหนักหน่วง แม้จะมีโทษ ตามกฎหมายแต่อีกแง่หนึ่งกัญชาก็มีประโยชน์ในการที่มีสารสามารถสกัดเป็นยารักษาโรคด้วย การให้กัญชาผิดกฎหมายแม้จะเป็นการป้องกันไม่ให้คนในสังคมมัวเมา แต่อีกนัยหนึ่งก็สร้างความสูญเสีย โอกาสทางการพั ฒ นาด้ า นการแพทย์ ยารั ก ษาโรค ท าให้ ไ ทยยั ง ขาดดุ ล การค้ า และพึ่ ง พาการน าเข้ ายาจาก ต่างประเทศ แต่ในชนบทบางพื้นที่หมอชาวบ้านยังคงมีการใช้กัญ ชาในการรักษาคนไข้ตามภูมิปัญ ญาดั้งเดิม ซึ่ง ต่อมาสานักงานคณะกรรมการอาหารและยา ยังกาหนดให้กัญ ชาเป็น 1 ใน 37 รายชื่อยาแผนโบราณที่เป็นยา อันตราย ไม่อนุญาตให้ใช้ในตารับยาแผนโบราณ สรุปง่ายๆคือในประเทศไทยกัญ ชาผิดกฎหมายในทุกมิติ ทั้งการ เสพเพื่อความบันเทิงและทางการแพทย์แผนใหม่/โบราณ ในฝั่งของสหรัฐอเมริกา ประเทศที่ได้ชื่อว่ามีเสรีภาพมากที่สุดในโลกได้เล็งเห็นว่ากัญชามีประโยชน์ทาง การแพทย์ จึงมีการทาให้ถูกกฎหมายทางการแพทย์ 29 มลรัฐ นอกจากนี้ในบางรัฐยังสนับสนุนให้มีการวิจัยต่อ ยอดทางวิทยาศาสตร์ด้วย ซึ่งกฎหมายกัญ ชาในสหรัฐฯ ที่ถูก พูดถึง โด่ง ดัง มากที่ สุดคงจะหนี ไม่พ้น กรณี ของรัฐ โคโลราโดที่เปิดให้ประชาชนลงมติผ่านการเปิดเสรีกัญชา โดยมีข้อแม้ว่าสามารถมีการเพาะปลูก จาหน่าย และให้ ประชาชนที่มีอายุไม่น้อยกว่า 21 ปี ใช้กัญชาเพื่อสันทนาการได้ เหมือนกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กลายเป็นรัฐแรก


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

ของสหรัฐที่ได้เคลิบเคลิ้มกัน ต่อมาที่กรุงวอชิงตันดีซี ก็กลายเป็นมลรัฐที่สองที่เปิดให้เสรีกัญ ชาสามารถเสพเพื่อ ความบันเทิงได้ แต่ต้องแลกด้วยภาษีที่สูงมาก ส่งผลให้กัญชามีราคาแพงสูงลิ่วตามไปด้วย ย้อนกลับมาที่ประเทศไทย วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลั ย จัดเสวนา เสรี กัญชา กับอนาคตประเทศไทย ได้มีการสะท้อนข้อดีและข้อเสียของการเปิดเสรีกัญชา โดยมีหนึ่งข้อเสนอที่ว่า ก่อน จะอนุญาตหรือแก้ไขกฎหมายใด ๆ ควรมีการทาประชาพิจารณ์จากคนในสังคมเสียก่อน นอกจากนี้ยังปฏิเสธไม่ได้ ว่า คนไทยได้รับการปลูกฝังทัศนคติด้านลบกับกัญ ชา ทาให้ขาดการพัฒนาต่อยอดในอีกหลาย ๆ ด้านและการเปิด เสรีกัญชาก็ควรจะมีข้อบัญญัติที่ชัดเจนเหมือนการจาหน่ายบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงไม่อยากให้รัฐเป็น ผู้ชี้นาอยากให้คนในสังคมได้ตัดสินใจด้วยวิจารณญาณด้วยตัวเอง ซึ่งผลที่ตามมาหากไทยมีการเปิดเสรีกัญชาจะ ช่วยให้รัฐลดงบประมาณด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และทาให้รัฐสามารถจัดเก็บภาษีมากขึ้นตามไป ด้วยถือเป็นการสร้างรายได้อีกทางหนึ่งที่จะเพิ่มเม็ดเงินให้รัฐบาลได้ด้วย

เนื้อเรื่อง กัญชา ยาเสพติด หรือ มายาคติในสังคม? วันนี้..กระแสของ "กัญชา"ในสังคมไทยถูกพูดถึงในแง่บวกมาก ขึ้นเป็นไปได้ไหม..หากไทยปลดล็อคกฎหมาย แก้ไข กัญชาและพืชกระท่อม สามารถนาไปศึกษาวิจัย เพื่อประโยชน์ ทางการแพทย์ ข้อมูลงานวิจัยของประเทศแคนาดา ระบุว่า มีการอนุญาตให้นากัญชามาใช้ทางการแพทย์ตั้งแต่ปี 2544 ด้ ว ยสารสกั ด น้ ามั น กั ญ ชาบ าบั ด โรค อาการปวดเรื้ อ รั ง อาการทางสมองบางอย่ า งและอี ก หลายโรค นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลระบุว่าสายพันธุ์ที่ดีที่สุดคือ กัญชาสายพันธุ์ไทย ที่ให้สารสาคัญได้มากและมีคุณภาพ คือ สาร Cannabidiol (CBD) และ สาร Tetrahydrocannabinol (THC) กัญชาเป็นอาหารและยาของคนไทยมาแต่โบราณกาล แต่ถูกคนชั่วขายชาตินาไปใส่ในบัญชีให้เป็นยาเสพ ติด ไม่ให้คนไทยได้ใช้ประโยชน์ และต้องหันไปใช้ยาเคมีจากต่างชาติแทน ทาให้เสียหายปีละหลายแสนล้านบาท และทาให้คนไทยต้องเจ็บป่วยเพราะหลงผิดกินยาเคมีอีกสารพัดโรคจนนับไม่ถ้วน ดังที่ขณะนี้คนหนุ่มอายุ 40 ปี ก็ เป็นโรคความดัน เป็นโรคเบาหวาน เป็นโรคหัวใจกันแล้ว นี่คือผลจากความอุบาทว์ชาติชั่วในการขายชาติ มาถึงวันนี้ประชาชนรับทราบความจริงและเรียกร้องต้องการให้นากัญชามาใช้ในทางการแพทย์เป็นการ ทั่วไปโดยถูกต้องตามกฎหมาย และเป็นกระแสใหญ่ไปทั่วบ้านทั่วเมือง รอวันเวลาที่จะจัดตั้งกันขึ้นให้มีจานวน 17 ล้านคน ก็จะมีอานาจพิพากษาทางการเมืองที่จะกวาดล้างคนชั่วออกจากอานาจและส่งเสริมให้คนดีมีอานาจใน บ้านเมืองต่อไป ซึ่งจะได้เห็นกันในอีกร้อยวันข้างหน้า ในวันนี้จึงควรที่ปวงชนชาวไทยจะได้ทาความเข้าใจว่าถ้า สามารถใช้ในการรักษาพยาบาลได้เป็นการทั่วไปโดยชอบด้วยกฎหมายได้แล้ว อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย ซึ่ง สรุปได้ในเบื้องต้นนี้ว่ายุคศิวิไลซ์ของประเทศไทยจะปรากฏขึ้น พี่น้องเกษตรกรและประชาชนไทยทั่วประเทศจะอยู่ ดีมีสุขมั่งคั่งร่ารวยถ้วนหน้ากัน ในกรณีทาให้กัญชาไม่ใช่ยาเสพติดที่ผิดกฎหมาย และสามารถใช้เป็นอาหารและยาได้เป็นการทั่วไปแล้ว จะเกิดสภาพการณ์ดังต่อไปนี้ขึ้นในประเทศไทย ประการแรก พี่น้องเกษตรกรในพื้นที่ภาคอีสาน ภาคเหนือ รวมทั้งภาคกลางตอนบนที่มีพื้นที่เหมาะสม จะหันมาปลูกกัญชาแทนพืชอย่างอื่นที่ปลูกไม่ได้หรือที่มีราคาตกต่า และสร้างรายได้เพิ่มขึ้นนับร้อยเท่า เพราะถ้า ปลูกกัญชาได้และใช้กัญชาพันธุ์ดีที่สุดในโลกของประเทศไทยก็จะมีรายได้ต่อไร่หลายแสนบาท ในประการนี้มีผู้อ้าง ว่าจะมีรายได้ ไร่ละล้ านกว่าบาท แต่ เห็น ว่ามากเกิ นไป คิ ดเอาแต่ เพี ยง 1 ใน 3 ก็ พอแล้ว จึง แทนที่ จะปลูกมั น สาปะหลังขายได้ไร่ละ 6,000-7,000 บาท และต้องพึ่ง เงินชดเชยจากรัฐบาลเป็นภาระของชาติตลอดมา พี่น้อง


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

เกษตรกรก็จะมีรายได้ชนิดที่สร้างฐานะให้อยู่ดีกินดีไปตลอดชีวิตทั้งครอบครัว มีความมั่งมีศรีสุขโดยถ้วนหน้ากัน จะสามารถยกเลิกบัตรคนจนที่ประจานคนไทยถึง 15 ล้านคน อยู่ในขณะนี้ให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้เสียทีหนึ่ง ประการที่สอง ประชาชนที่ป่วยเจ็บด้วยโรคร้ายแรงสารพัดชนิดก็จะหันมาใช้ยา ไม่ว่าแผนไทยหรือแผน ปัจจุบันที่ใช้สารสกัดจากกัญชาได้อย่างสมบูรณ์ ตามหลักวิชาการและด้วยการผลิตที่ทันสมัย ซึ่งการรักษาย่อม ได้ผลดีอย่างแน่นอน ในที่สุดประชาชนก็จะเลิกใช้คีโมและมอร์ฟีนที่ต้องนาเข้ามาจากต่างประเทศปีละหลายแสน ล้านบาท ประการที่สาม ตารับยาแพทย์แผนไทยก็จะฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และใช้ในการรักษาโรคร้ายแรง ต่างๆ ได้อีกหลายโรค ไม่ว่าพาร์กินสัน ลมชัก โรคเครียด โรคซึมเศร้า โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคนอนไม่หลับ ซึ่ง จะประหยัดเงินตราต่างประเทศปีละหลายแสนล้านบาท และที่สาคัญ จะไม่ต้องหลงผิดกินยาเคมีที่มีสารก่อ มะเร็ง เจือปน หรือมีสารเคมีที่มีผลข้างเคียง เช่น ทาให้เป็นโรคหัวใจ ทาให้เป็นโรคไต โรคเบาหวาน ดัง ที่กาลัง เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ ประชาชนชาวไทยก็จะมีสุขภาพดีถ้วนหน้า ประการที่สี่ ยาแผนไทยที่ใช้กัญชาก็จะเป็ นที่นิยมใช้กันทั่วโลก ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางสาคัญ ใน การส่งออกยารักษามะเร็ง พาร์กินสัน ลมชัก ยาแก้เครียด แก้ซึมเศร้า ยานอนหลับ และยาที่ทาให้มีอารมณ์สดชื่น ร่าเริม แจ่มใส รวมทั้งเป็นยาแก้ปวดสาหรับคนป่วยระยะสุดท้าย แพทย์แผนไทยและการแพทย์แผนไทยก็จะเลื่อง ชื่อลือชาในการรักษาพยาบาลของโรค และเพราะเหตุที่คนไทยมีอัชฌาสัยโอบอ้อมอารีเอาใจใส่ดูแลผู้คนเป็นอย่าง ดี ก็จะมีผู้ป่วยจากทั่วโลกเดินทางมารักษาพยาบาลในประเทศไทย กิจการพยาบาลและการท่องเที่ยวในประเทศ ไทยก็จะเฟื่องฟูตามๆ กัน ประการที่ห้า ทันทีที่ทาให้กัญชา เป็นของถูกกฎหมาย คดียาเสพติดจะหายไปถึง 90% ผู้ต้องขังจะหมด ไปจากเรื อ นจ า และเหลื อ ผู้ ต้ อ งขั ง ในคดี อื่ น ๆ ไม่ ถึ ง 20% ลดภาระของรั ฐ ลดความเสื่ อ มโทรมเน่ า เฟะใน กระบวนการยุติธรรมได้อย่างถึงแก่นแกน ตารวจทั้งหลายจะไม่ต้องเสียเวลาทาสานวนเรื่องยาเสพติดให้รกโรงพัก อีกต่อไป อัยการก็ไม่ต้องเสียเวลาทาสานวนฟ้องที่ไม่รู้จักจบสิ้น ผู้พิพากษา ตุลาการ ก็ไม่ต้องหมกมุ่นอยู่กับคดียา เสพติดที่ไม่มีวันจบสิ้น และสามารถอานวยความยุติธรรมได้อย่างถ่องแท้มากขึ้น เหล่านี้เป็นอาณาประโยชน์ยิ่งใหญ่ที่ใครๆ ก็เห็นได้โดยง่าย มีแต่คนขายชาติเท่านั้นที่ไม่นาพา ไม่เห็น และไม่ได้ยินและไม่ยอมรับรู้ ตั้งหน้าทาโง่อยู่ท่าเดียว ซึ่งนั่นแหละคือสภาพที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า วินาศกาเล วิปริต ตะพุทธิ คือถึงแล้ว ซึ่งกาลวินาศ พุทธิปัญญาจึงวิปริตแปรปรวนไป มามองถึงต่างประเทศกัน แคนาดากาลังจะเป็นชาติที่สองในโลกที่ทาให้การเสพกัญชาเพื่อนันทนาการเป็นเรื่องถูกกฎหมาย ตั้งแต่ วัน พรุ่งนี้ (17 ต.ค.) เป็นต้นไป ชาวแคนาดาที่บรรลุนิติภาวะแล้วจะสามารถซื้อและเสพกัญ ชา จากผู้ผลิตที่ได้รับ ใบอนุญ าตจากทางการได้ แคนาดาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการใช้กัญ ชาสูงที่สุดในโลก โดยเฉพาะในหมู่คน หนุ่มสาว มีการประเมินว่า ในปี 2017 ปีเดียว ชาวแคนาดาใช้จ่ายราว 5.7 พันล้านดอลลาร์แคนาดา หรือราว 1.43 แสนล้านบาท สาหรับการใช้กัญชาเพื่อนันทนาการและการแพทย์รวมกัน อุรุกวัยเป็นประเทศแรกที่อนุญาตให้การเสพกัญชาเพื่อนันทนาการเป็นเรื่องถูกกฎหมาย แม้ว่าโปรตุเกส และเนเธอร์แลนด์ จะลดโทษทางอาญาจากการเสพกัญชามาแล้วก่อนหน้านี้ ลองมาดูกันว่า อะไรคือผลที่เกิดตามมาจากการเปลี่ยนแปลงกฎหมายเรื่องนี้ของแคนาดา และใครจะได้ และเสียผลประโยชน์จากเรื่องนี้


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

นักกฎหมาย – ได้ประโยชน์ คาดว่าจะมีคดีความเกี่ยวกับการใช้กัญชาขึ้นสู่ศาล จานวนมากในช่วงไม่กี่ ปี ข้างหน้า บิล โบการ์ต ผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายด้านยาเสพติดและนิติกรณ์ ในนครโทรอนโต กล่าวว่า "ในขณะที่เรา กาลังถอยห่างจากยุคแห่งการห้ามปราม ในเวลาเดียวกันเราก็กาลังเดินหน้าไปสู่ การกาหนดกรอบกฎเกณฑ์ที่มี รายละเอียดหลายอย่าง" นั่นหมายความว่า แม้จะมีกฎเกณฑ์ที่กาหนดขึ้นอย่างมากมาย แต่ก็เป็นไปได้ที่จะมีส่วนที่ เป็นพื้นที่สีเทา ที่กลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ จะใช้หลบเลี่ยงกฎเกณฑ์และแสวงหาประโยชน์ได้ ประเด็นสาคัญ อีก ประการหนึ่งคือ เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบคนขับรถที่มึนเมาจากฤทธิ์กัญชาได้อย่างไร เมื่อเทียบกับการตรวจสอบคน เม าแ ล้ ว ขั บ ค ว าม น่ าเชื่ อ ถื อ ข อ ง เท ค โน โล ยี ที่ ใช้ ใน ก าร ต ร ว จ วั ด เต ต ร าไฮ โด ร แ ค น น าบิ น อ ล (Tetrahydrocannabinol) หรือ THC ซึ่ ง เป็ น สารออกฤทธิ์ต่ อ จิ ตประสาท ที่ อ ยู่ ในกั ญ ชา ยั ง เป็ น เรื่ อ งที่ ถู ก ตั้ ง คาถามอยู่ในขณะนี้ ตารวจบางส่วนได้เลือกที่จะไม่ใช้เครื่องตรวจน้าลาย ที่ได้รับการอนุมัติ จากรัฐบาลกลาง เพราะ กังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย และปัญหาที่อาจเกิดขึ้นหากต้องใช้ในช่วงที่มีสภาพอากาศหนาวเย็นมากขึ้น นอกจากนี้ นายโบการ์ต คาดว่าจะมีปัญหาหลายอย่างเกิดขึ้นเกี่ยวกับการควบคุมผลิตภัณฑ์จากกัญชาที่รับประทานได้ ซึ่งจะ ยังคงเป็นสิ่งไม่ถูกกฎหมายไปอีกอย่างน้อย 1 ปี รวมถึงปัญหาในการจ้างงาน เช่น การใช้กัญชาที่ใช้ทางการแพทย์ ในสถานที่ทางาน ผู้ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ – เสียประโยชน์ การทาให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมายนั้นหมายความว่า การ เสพกัญ ชาและการปลูกกัญชาในจานวนจากัดภายในบ้าน จะเป็นเรื่องที่ทาได้ตามกฎหมายในอีกไม่ นาน ผู้ให้เช่า อสังหาริมทรัพย์กาลังกังวลว่า ควันจะก่อให้เกิดการรบกวน และการปลูกกัญชา จะสร้างความเสียหายได้ ผู้ให้เช่า อสังหาริมทรัพย์รายหนึ่งในรัฐอัลเบอร์ตาหาทางป้องกันด้วยการประกาศเมื่อเดือนกันยายนว่า จะห้ามการสูบ กัญชาและปลูกกัญชาในอาคารทุกแห่งที่ให้เช่า มลรัฐต่าง ๆ ยังได้กาหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับสถานที่สูบกัญชา ซึ่งทา ให้เกิดกฎเกณฑ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ขึ้นทั่วประเทศ เช่น ในรัฐออนแทรีโอ อนุญาตให้คนสูบกัญชาได้ในที่ที่อนุญาตให้สูบ บุหรี่ แต่ในรัฐนิว บรุนส์วิก , รัฐนิวฟาวด์แลนด์และลาบราดอร์ และรัฐซาสแคตเชวัน จะห้ามการเสพกั ญ ชาในที่ สาธารณะ ดังนั้นผู้เช่าบางรายอาจจะเผชิญข้อจากัดมากขึ้นในการหาที่เสพกัญชา แบรนด์ระดับโลก – ได้ประโยชน คาดว่าตลาดกัญ ชาจะเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ และการเป็นธุรกิจขนาด ใหญ่ย่อมมีเม็ดเงินลงทุนจานวนมาก ในช่วงที่ตราบาปจากการเสพกัญชาค่อย ๆ เลือนรางลง นักวิเคราะห์ ระบุว่า ขนาดตลาดผู้บริโภคกัญชาน่าจะอยู่ที่ระหว่าง 4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถึง 8.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ ราว 1.37 แสนล้านบาท ถึง 2.84 แสนล้านบาท และคาดว่าจะมีผู้ใช้กัญชาเพื่อนันทนาการราว 3.4 ล้านคน ถึง 6 ล้านคน ในปีแรก หลังจากที่กัญชากลายเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ตัวเลขเหล่านี้ดึงดูดใจบริษัทขนาดใหญ่จานวนมาก โค คา-โคลา ก็ ก าลั งจั บ ตามอง "การน าสารแคนนาบิ ไ ดออล (cannabidiol) หรือ CBD ซึ่ ง เป็ น สารที่ ไ ม่อ อกฤทธิ์ กระตุ้นประสาท มาใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ (functional wellness beverages) มากขึ้น" และได้ หารือกับออโรรา แคนนาบิส์ (Aurora Cannabis) ผู้ผลิตที่มีใบอนุญ าตในแคนาดา เกี่ยวกับการพัฒนาเครื่องดื่ม ผสมกลิ่นกัญชาแล้ว คอนสเตลเลชั่น แบรนด์ส (Constellation Brands) เจ้าของเบียร์โคโรน่า กาลังลงทุนกับแค โนพี โกรว์ธ (Canopy Growth) ในการผลิตเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ที่ทาจากกัญชา เพื่อทากาไรจากความต้องการ กัญชาที่ขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น เช่นเดียวกับแคโนพี และออโรรา ผู้ผลิตที่ได้รับใบอนุญาตในการค้าหลายราย ได้สร้าง อาคารแห่งใหม่และเร่งการผลิตก่อนหน้าที่กัญชาจะถูกกฎหมายในแคนาดา ผู้ผลิต 'คราฟต์กัญชา' - เสียประโยชน์? ผู้ปลูกกัญชาขนาดเล็ก จะอยู่ตรงไหนในตลาดที่มีผู้ผลิตรายใหญ่ ที่ได้รับใบอนุญาต และมีราคาหุ้นที่ทะยานสูงขึ้น ? ฝ่ายที่เห็นด้วยมองว่าการสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

ผู้ผลิต 'คราฟต์กัญชา' ในการผลิตกัญชาป้อนตลาดได้ จะช่วยลดการผลิตที่ผิดกฎหมายและช่วยทาให้มีปริมาณ กัญชาเพียงพอสาหรับการเสพเพื่อนันทนาการของผู้บริโภครายย่อย แต่พวกเขายังคงเผชิญกับอุปสรรคหลายอย่าง ตั้งแต่แหล่งเงินทุนและข้อจากัดต่าง ๆ เกี่ยวกับการใช้ที่ดิน และการกาหนดเขตพื้นที่ ผู้ผลิตขนาดเล็กหลายราย คือ เกษตรกรซึ่งมีใบอนุญาตที่จากัดในการปลูกกัญชาเพื่อการแพทย์ แต่ พวกเขาคือผู้ที่ผลิตกัญชาป้อนตลาดมืด หรือที่ เรียกอีกชื่อว่า ตลาด "สีเทา" แคนาดาพยายามส่งเสริมตลาดกัญ ชาที่หลากหลายมากขึ้น ด้วยการออกใบอนุญ าต ให้แก่ "ผู้ปลูกรายย่อย" และ "ผู้แปรรูปรายย่อย" โดยเฉพาะ นอกจากนี้ รัฐบาลกาลังออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ที่เคยถูก ตั้งข้อหาเกี่ยวกับกัญชาที่ไม่รุนแรงด้วย นักวิจัยกัญชา - ได้ประโยชน์ ยังคงมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้อีกมากเกี่ยวกับผลกระทบของกัญชาต่อร่างกายของ มนุษย์การวิจัยเกี่ยวกับการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์และเพื่อนันทนาการทาได้อย่างจากัดมาโดยตลอดในแคนาดา เนื่องจากกัญชามีสถานะเป็นสารที่ ถูกควบคุม แม้ว่าการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์จะถูกกฎหมาย มาตั้งแต่ปี 2001 การหาเงินสนับสนุนจึงไม่ใช่เรื่องง่าย การเข้าถึงกัญชาเพื่อนามาวิจัยมีข้อจากัด และการวิจัยจานวนมาก มุ่งเน้นไป ที่อันตรายของกัญชา ปัจจุบันมีสัญญาณหลายอย่างว่า สถานะใหม่ของกัญ ชาจะทาให้มีการวิจั ยและการลงทุน เพิ่มขึ้น ในการศึกษาข้อดีและข้อเสียของการใช้กัญชา เช่น ผลกระทบของกัญชาในประเด็นต่าง ๆ เช่น สุขภาพจิต , พัฒนาการทางประสาท, การตั้งครรภ์, การรักษาโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ (post-traumatic stress disorder), การขับรถ และการบรรเทาอาการปวด จัสติน ทรูโด – ได้ประโยชน์ ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งในปี 2015 จัสติน ทรูโด รับปากว่า รัฐบาลเสรีนิยม จะทางานเพื่อออกนโยบายกัญชาถูกกฎหมายและออกกฎเกณฑ์ควบคุมการขายกัญชา "ในทันที" สามปีต่อมา เขา ทาได้อย่างที่สัญญาไว้ เขาให้เหตุผลว่าสิ่งที่ทาจะช่วยคุ้มครองหนุ่มสาวชาวแคนาดา และป้องกันอาชญากรจากการ หากาไรในตลาดมืด อย่างไรก็ดี ยังมีข้อโต้แย้งหลายอย่างเกี่ยวกับต้นทุนทางสังคม และความเสี่ยงเกี่ยวกับความ ปลอดภัยและสุขภาพขณะที่การกาหนดให้ผู้นาเทศบาลหรือมลรัฐเป็นผู้ออกกฎเกณฑ์ต่าง ๆ มาควบคุมนั้น เป็น งานที่ นักการเมืองท้องถิ่นจานวนมากไม่อยากจะทา เมืองต่าง ๆ ของแคนาดา - เสียประโยชน์? ทางการของเมืองหลายแห่งในแคนาดา ระบุว่าต้องเป็นฝ่ายที่ อยู่ด่านหน้าในการทาให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย และต้องมีส่วนรับผิดชอบจากการบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงการ จัดการสิ่งต่าง ๆ อย่างการกาหนดเขต, จุดขายกัญชารายรายย่อย, การปลูกกัญชาภายในบ้าน, การออกใบอนุญาต ประกอบธุรกิจ และกฏเกณฑ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับการเสพกัญ ชาในที่สาธารณะ แต่เมืองเหล่านี้กลับไม่รู้รายละเอียด เกี่ยวกับการจัดสรรเงินภาษีที่เก็บได้จากการขายกัญ ชาของรัฐ ทาให้เมืองบางแห่งเลือกที่จะไม่อนุญ าตให้มีร้าน กัญ ชาถูกกฎหมายตั้งอยู่ในเขตของตัวเองทั้งหมด รัฐบาลกลางประเมินว่า จะเก็บภาษีจากการขายกัญ ชาได้ 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1.3 หมื่นล้านบาท ต่อปี จากข้อตกลงกับมลรัฐต่าง ๆ รัฐบาลกลางจะเก็บภาษีนี้ไว้ 25% และสูงสุดไม่เกิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 3.3 พันล้านบาท ต่ อปี ส่วนที่เหลือจะนาส่งให้แก่มลรัฐ ต่าง ๆ ซึ่งจะได้ส่งเงินสนับสนุนให้แก่เมืองต่าง ๆ ต่อไป กัญชาถูกระบุว่าเป็นสารเสพติด จากมติหรือมายาคติของฝรั่ง ฝรั่งเริ่มกล่าวหาว่ากัญ ชาเป็นยาเสพติด และหากประเทศใดปลูกหรือค้าขายกัญชา ก็จะตราหน้าว่าเป็นแหล่งค้ายาเสพติด ถู กกีดกันทางการค้า กดดันทาง การเมืองและการทหาร สาหรับประเทศไทย บ้านเรานั้นพ่วงกระท่อมเข้าไปอีกอย่าง ทั้งๆที่หลายประเทศในโลกนี้ก็ ไม่ได้เห็นกระท่อมเป็นยาเสพติดเลย ปัจจุบันหลายประเทศรวมทั้งสหรัฐอเมริกาในบางรัฐ เริ่มเปลี่ยนท่าที่กับกัญชา และในการรักษาพยาบาล กัญชากาลังถูกทดสอบในฐานะยา ซึ่งบ้านเรายังคงไม่มีการแก้ไขกฏหมาย และจะไม่มี


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

การแก้ไขให้ทันโลกได้ กัญชาที่ใช้เป็นยาจะต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศตลอดกาล ทั้งๆที่ประเทศของเราปลูกและ ได้ผลผลิตดีระดับหนึ่งของโลก ทั้งนี้ขอวิจารณ์ตามตรงว่า เป็นเพราะบ้านเรานี้มีคนที่มีศักยภาพทางสังคม แต่เป็นโรคจิตเภทที่คิดว่าตน เป็นเทวดา เป็นพระเจ้า ที่จะบงการให้พลเมืองทาอย่างโน้นอย่างนี้ที่ตนเองคิดว่าดีแล้ว ประเสริฐแล้ว และคน เหล่านี้จะได้ผลประโยชน์แอบแฝงจากการต่อต้านสิ่งที่เรียกว่าอบายมุขหรือภาษีบาป เอาเงินเหล่านี้ไปเสพติดกันใน หมู่เพื่อนหมู่ญาติ ถึงขนาดส่งลูกหลานเครือญาติให้ได้ทุนการศึกษาจากภาษีบาปเหล่านี้ สวาปามกันสุขสบายโดย อ้างความดี ประมาณโจรใส่สูท หรือปีศาจน์ในเสื้อกาวน์ หวังดีต่อประเทศจนพุงปลิ้นกันเลยทีเดียว คนเหล่านี้เวลาอ้างความถูกต้อง จะอ้างผลการวิจัย ยิ่งถ้าได้จากฝรั่งสักคนไม่ว่าจะเชื่อถือได้แค่ไหน ก็จะ อ้างเพื่อให้เห้นว่าเห็นไหมฝรั่งยังวิจัยว่าอย่างนี้ แต่เวลาฝรั่งเปิดให้สูบกัญ ชาเสรี ก็ด่าฝรั่งแล้วอ้างโน่นนี่นั่นว่ายัง ไม่ได้เปิดทุกประเทศทุกรัฐ กล่าวคืออ้างอะไรก็ได้เพื่อรักษาภาพให้ตนยังเป็นคนดีและได้สวาปามผลประโยชน์ต่อไป นอกจากกัญชา ยังมีเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า ใบกระท่อม และอาจะลามไปถึงน้าข้าวหมากในเร็วๆนี้ เกิดเป็นคน ในประเทศที่มีคนโรคจิตที่มีศักยภาพสามารถใช้คราบคนดีรังแกคนป่วยได้ ก็ต้องทนเป็นมะเร็งตายไปก็แล้วกัน ได้ ข่าวว่าลาวเขาเริ่มโครงการกัญชาแล้ว คนไทยนี่ล่ะเข้าไปทา อีกหน่อยเป็นมะเร็งก็ไปรักษาที่ลาวก็แล้วกัน …

เอกกสารอ้างอิง https://news.mthai.com/news-clips/511540.html http://haamor.com/th/กัญชา/#article101 https://mgronline.com/marsmag/detail/9610000115408j https://www.bbc.com/thai/thailand-42748753 https://www.honestdocs.co/what-is-cannabis-indica https://www.prachachat.net/spinoff/spinoff-featured/news-102903 https://www.thairath.co.th/content/1179823 https://www.honestdocs.co/interesting-cannabis-medicinal-properties https://news.mthai.com/news-clips/468004.html https://pantip.com/topic/38120346 https://web.facebook.com/News.Ch3Thailand/videos/176510096573071/

บรรณานุกรม คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, สานักงาน. ( 2553) กฎหมายการศึกษา .กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุ สภาลาดพร้าว . ( 2544). ครูภูมิปัญญาไทย. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ครุ ุสภาลาดพร้าว . (2542 ). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ : พริกหวาน กราฟฟิค, จารุวรรณ ธรรมวัตร. ( 2538 ). วิเคราะห์ภูมิปัญญาอีสาน. อุบลราชธานี : ศิริธรรมออฟเซ็ท. ชอบ ดีสวนโคก .( 2553 ). มรดกล้านช้าง . ขอนแก่น : คลังนานาวิทยา . ทรงคุณ จันทจร. ( 2549 ). การวิจัยเชิงคุณภาพทางวัฒนธรรม. กาฬสินธุ์ : ประสานการพิมพ์. ธวัช ปุณโณฑก. ( 2537 ). ภูมิปัญญาชาวบ้านในภูมิปัญญาชาวบ้านกับการพัฒนาชนบท เล่ม 1.


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019

กรุงเทพฯ : หมู่บ้าน. นันทสาร สีสลับ.( ม.ป.ป.) “ ภูมิปัญญาไทย ” สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชนโดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หวั เล่ม 23. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พรินติ้งแอนด์ พับลิสซิ่ง. นิคม ชมภูหลง. ( 2545). วิธีการและขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นและการจัดทาหลักสูตรสถานศึกษา. . มหาสารคาม : อภิชาตการพิมพ์. นิยม วงศ์พงษ์คา. (2553 ). มรดกล้านช้าง . ขอนแก่น : คลังนานาวิทยา . ประคอง นิมมานเหมินทร์. ( 2533 ). ภูมิปัญญาไทยในวิถีชีวิตไทย. กรุงเทพฯ : สานักงาน เสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติและมหาวิทยาลัย. .( 2544 ). การสร้างสรรค์ภูมิปัญญาไทยเพื่อการพัฒนา ชุมชนพัฒนา. กรุงเทพฯ : หมู่บ้าน. ประเวศ วะสี. ( 2530 . “การสร้างสรรค์ภูมิปัญญาไทยเพื่อการพัฒนา”. ชุมชนพัฒนา 1(5) . ป.อ. ปยุตโต. ( 2552) . พระไตรปิฎก(ฉบับประมวลธรรม). ม.ป.ท. มานิต สิทธิศร. ( 2543 ). ชุดฝึกอบรมการนาภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ในการพัฒนาหลักสูตรและ การจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนประถมศึกษา (ฉบับปรับปรุง). มหาสารคาม : เอกสาร ศน.ที่ 30/2543 สานักงานประถมศึกษาอาเภอพยัคฆภูมิพิสัย. วราวุธ สุวรรณฤทธิ์. ( 2539 ). วิถีไทย. กรุงเทพฯ : โอ เอสพริ้นติ้งเฮ้าส์, ท้องถิ่นกับการพัฒนาหลักสูตร. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ครุ สุ ภาลาดพร้าว. วิสิทธิ์ โรจน์พจนรัตน์.(2560)รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560. กรุงเทพฯ :บริษัทสานักพิมพ์ พ.ศ.พัฒนา จากัด . ศิลปากร, กรม. ( 2542 ). ภูมิปัญญาและเทคโนโลยีทอ้ งถิ่น. กรุงเทพฯ : สานักโบราณคดีและ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ. เสรี พงศ์พิศ. ( 2536 ). ภูมิปัญญาชาวบ้านกับการพัฒนาชนบท เล่ม 1. กรุงเทพฯ : อัมรินทร์พงกรุ๊ฟ. . ( 2529) . คืนสู่รากเหง้า : ทางเลือกและทัศนวิจารณ์วา่ ด้วยภูมิปัญญาชาวบ้าน. กรุงเทพฯ :เทียนวรรณ. เอกวิทย์ ณ ถลางและคณะ. ( 2541). ภูมิปัญญาชาวบ้าน วิถีและกระบวนการเรียนรู้แก้ปัญหาของ ชาวบ้านไทย. กรุงเทพฯ : มูลนิธิภูมิปัญญา.


วารสารยาในวิถีชาติพันธุ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มีนาคม 2562 Journal. Traditional Medicine Vol.1 No.1, Jan – Mar 2019


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.