ข้อคิดยามเช้า วันพุธ ที่ 1 ตุลาคม ค.ศ.2014 แม่พระได้ประจักษ์ครั้งแรกแก่เด็กสามคนคือ ลูซีอา ฟรัสซิสโก และ ยาชินทา เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 1917 ที่ตาบลฟาติมา ประเทศโปรตุเกส จากนัน้ พระนางได้ประจักษ์ มาอีกห้าครั้งติดต่อกัน โดยมอบภารกิจการภาวนาเพื่อช่วย โลกให้รอดพ้นแก่เด็กสามคนนี้ เพราะเข้าใจดีว่าพระเจ้าทรง พอพระทัยคาอธิษฐานภาวนาของเด็กๆ พระองค์พร้อมที่จะ ฟังและตอบคาอธิษฐานภาวนาของพวกเขาเสมอ “ถ้าท่านไม่กลับเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย” (มธ 18:3) นอกจากความสดใสน่ารัก ความไร้เดียงสา และ ความซื่อบริสุทธิ์ พวกเขามีความเชื่อมั่นและความไว้วางใจใน พ่อแม่ของพวกเขา ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้เสมอ ถ้าพวกเขามี พ่อแม่อยู่เคียงข้าง พวกเขาไม่สงสัยในความรักที่พ่อแม่มีต่อ พวกเขาเลยแม้แต่น้อยนิด ถ้าเราอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้าเหมือนเด็กๆ ด้วยความเชื่อมั่นและไว้วางใจในความรัก และ พระเมตตาของ พระเจ้าอย่างไร้ข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น จะส่งผลให้คาอธิษฐานภาวนาของพวกราเปี่ยมด้วยอานุภาพ เมื่อพระเจ้าทรงได้ ยินคาอธิษฐานด้วยท่าทีแบบนี้ พระองค์จะไม่ทรงนิ่งเฉยอย่างแน่นอน อันทีจ่ ริง ความเชื่อมั่น และ ความไว้วางใจใน ความรักและพระเมตตาของพระเจ้าเป็นลักษณะพิเศษของแม่พระเองคาตอบที่พระนางทรงให้แก่ทูตสวรรค์ของพระ เจ้าที่ว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด” (ลก 1:38) สะท้อนให้เราเห็นถึงเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน ตอนนั้นพระนางไม่ทรงรู้อย่างแน่ชัดว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ด้วยความเชื่อที่มั่นคง และ ความไว้วางใจในความรักของพระเจ้า พระนางตอบรับสาสน์ของพระเจ้าด้วยความ เต็มใจ ผลที่ตามมาก็คือ แผนการแห่งการกอบกู้มนุษยชาติของพระเจ้าซึ่งมีมาตัง้ แต่นิรันดรภาพได้กลายเป็นความจริง
นี่แหละคืออานุภาพของความเชือ่ และความไว้วางใจในความรักของพระเจ้าเดือนตุลาคมนี้ เป็นโอกาสดีที่เรา จะคิดถึงภารกิจแห่งการช่วยโลกให้รอดพ้นที่แม่พระได้ฝากฝังไว้กับเด็กสามคนที่ตาบลฟาติมา นี่เป็นภารกิจที่เราทุกคน ในฐานะลูกของแม่พระที่ต้องสานต่อ แม่พระเคยบอกว่า “สักวันหนึ่งอาศัยสายประคาเป็นอาวุธ เราจะช่วยโลกให้รอดพ้น” สายประคาคือเครื่องมือช่วยให้คนบาปกลับใจและวิงวอนขอพระหรรษทานของพระเจ้ามาสู่ครอบครัว ครอบครัวที่สวดสายประคาด้วยกันจะอยู่ด้วยกันใครก็ตามที่สวดสายประคาอย่างศรัทธาจะก้าวหน้าในความศักดิ์สทิ ธิ์ และจะได้รับความคุ้มครองจากพระนาง เพราะฉะนั้น ให้เรามั่นใจในความช่วยเหลือของพระนางและพยายามใช้ สายประคาเป็นอาวุธเพื่อเอาชนะศัตรูทั้งฝ่ายกายและฝ่ายวิญญาณ ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี
ข้อคิดยามเช้า วันพฤหัสบดี ที่ 2 ตุลาคม ค.ศ.2014 เมื่อทูตสวรรค์กาเบรียลเข้ามาในบ้าน และ กล่าวทักทายแม่พระว่า “จงยินดีเถิด ท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน พระเจ้าสถิตกับท่าน” (ลก 1:28) คาว่า “ท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน” ตามตัวอักษรแล้วแปลว่า “ท่านเป็นผู้ที่เปี่ยมด้วย พระหรรษทาน” ซึ่งเป็นที่มาของ “บทวันทามารีย์” ที่เราสวดเป็นประจา “วันทามารีย์ เปี่ยมด้วยพระหรรษทาน พระเจ้าสถิตกับท่าน” แม่พระทรงเป็นอิสระจากบาปกาเนิด และความโน้มเอียงในทางบาปใด ๆ ทั้งสิน้ ไม่เพียงเฉพาะในช่วงเวลาที่ พระเยซูเจ้าทรงปฏิสนธิในครรภ์ของพระนางเท่านั้น แต่ทุกช่วงเวลาตลอดชีวิตของพระนางบนโลกนี้ พระนางทรง ยอมรับเป็นมารดาของพระเยซูเจ้า พระเมสสิยาห์ที่ชาวยิวและมวลมนุษย์รอคอยด้วยใจอิสระ “ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด” (ลก 1:38) พระนางทรงเป็นอิสระจากความหยิ่งจองหอง “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า” (ลก 1:38) แม้ว่าพระนางได้ทรงรับเลือกให้เป็นมารดาของพระบุตรของพระเจ้า แต่พระนางตระหนักดีวา่ เฉพาะ พระพักตร์พระเจ้าแล้ว พระนางทรงเป็นเพียงผู้รบั ใช้ที่ตาต้ ่ อยคนหนึ่งของพระองค์เท่านัน้ พระนางยังทรงเป็นอิสระ จากความกลัว โดยยอมรับพระประสงค์ของพระเจ้าด้วยใจสุภาพถ่อมตนและกล้าหาญ
ในฐานะลูกของแม่พระ เราก็ได้รับการชาระล้างจากบาปกาเนิด ตั้งแต่ช่วงเวลาที่เราได้รับศีลล้างบาป นักบุญ เปาโลบอกเราว่า “พระเจ้าทรงเลือกสรรเราในพระคริสตเจ้าแล้ว ตั้งแต่ก่อนการเนรมิตสร้างโลก เพื่อให้เราศักดิ์สิทธิ์และ ปราศจากมลทิน เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ด้วยความรัก” (อฟ 1:4) เพื่อตอบสนองต่อความรักอันยิ่งใหญ่และไร้ขอบเขตของพระเจ้า เราทุกคนควรรักและรับใช้พระองค์อย่าง สิ้นสุดจิตใจของเราให้เรามีความกล้าหาญที่จะตอบรับเสียงเรียกของพระเจ้าด้วยใจสุภาพถ่อมตนและสามารถพูด เหมือนที่แม่พระได้ทรงพูดว่า “ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด” (ลก 1:38) ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี
ข้อคิดยามเช้า วันศุกร์ ที่ 3 ตุลาคม ค.ศ.2014
ในสมณลิขิต “ประตูแห่งความเชื่อ” (Porta Fidei) สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ทรงบอกว่า นอกจากผ่าน ทางศีลล้างบาปแล้วเรายังสามารถ ได้รับพระพรแห่งความเชื่อผ่านทางการฟังพระวาจา ของพระเจ้า และ การเปิดหัวใจของเราให้กับพระ หรรษทานของพระองค์ซึ่งมีพลังเปลี่ยนแปลงตัวเรา พระองค์ทรงชี้ว่า แม่พระทรงเป็นแบบอย่างที่ยอด เยี่ยมในเรื่องนี้ พระนางทรงเป็นผู้ที่ฟังพระวาจาของ พระเจ้า และเ ก็บพระวาจาเหล่านั้นไว้ในพระทัยของ พระนาง ความยิ่งใหญ่ของพระนางอยู่ที่ความเชื่อใน พระวาจาของพระเจ้าซึ่งเป็นพลังขับเคลื่อนชีวิตของพระนางให้ดาเนินไปตามแผนการที่พระนางไม่เข้าใจ หรือ ไปยัง สถานทีท่ ี่พระนางไม่ได้เลือกหรือทาสิ่งต่าง ๆ เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนซึ่งจะปฏิเสธพระเยซูเจ้า ทรมาน และ ประหารชีวิตพระองค์ สมเด็จพระสันตะปาปาได้ทรงพูดถึงความเชื่อของแม่พระไว้ว่า “อาศัยความเชื่อ แม่พระน้อมรับคาพูดของทูตสวรรค์ และ เชื่อในสารนั้นว่าพระนางจะกลายเป็นมารดา ของพระเจ้า และ พระนางก็นบนอบด้วยความเชื่อศรัทธา... อาศัยความเชื่อเดียวกันนี้ พระนางทรงติดตามพระคริสตเจ้าไปในการเทศนา และประทับอยู่กับพระองค์ ตลอดเส้นทางไปสู่เนินเขากลโกธา... อาศัยความเชื่อแม่พระได้ลิ้มรสผลแห่งการเสด็จกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า และ ทรงเก็บความ ทรงจาทุกอย่างไว้ในดวงพระทัย” ในเดือนแห่งการสวดสายประคานี้ เป็นโอกาสดีที่เราจะคิดถึงแบบอย่างแห่งความเชื่อที่แม่พระได้วางไว้เพื่อ เราความเชื่อที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวกับความรักที่พระนางทรงมีต่อพระเจ้า และ เพื่อนมนุษย์ ความเชื่อของเรา จะต้องผ่านการทดลองหรือการทดสอบจึงจะกลายเป็นความเชือ่ ที่บริสุทธิ์และมัน่ คงเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี
ข้ อคิดยามเช้ า วันเสาร์ ที่ 4 ตุลาคม ค.ศ.2014 “มนุษย์ ทุกคนตายเพราะอาดัมฉันใด มนุษย์ ทุกคนก็จะกลับมีชีวติ เพราะพระคริสตเจ้ าฉันนั้น” (1 คร 15:22) นี่คือเหตุผลที่เราเรี ยกพระเยซูเจ้าว่า “อาดัมคนใหม่” ถ้าพระเยซูเจ้าทรงเป็ นอาดัม คนใหม่ แล้วใครละที่เป็ น “เอวาคนใหม่”? คาตอบคือ แม่พระของเรานี่แหละ ที่ทรงเป็ นเอวาคนใหม่ เรื่ องราวทั้งครบเกี่ยวกับการไถ่กมู้ นุษยชาติไม่สามารถถูกบอกเล่าโดยปราศจากแม่พระได้ แม่พระได้ตอบรับพระประสงค์ของพระเจ้า “ข้ าพเจ้ าเป็ นผู้รับใช้ ของพระเจ้ า ขอให้ เป็ นไปกับข้ าพเจ้ าตามวาจาของท่ านเถิด” (ลก 1:38) และได้อบรมสัง่ สอนพระเยซูเจ้าพระบุตรของพระนางให้กระทาสิ่ งเดียวกัน พระเยซูเจ้าและแม่พระประสบกับ ความทุกข์ยากลาบากด้วยกัน เพราะการทาตามประสงค์ของพระเจ้า ดาบแห่งความทุกข์โศกได้ทิ่มแทงดวงใจของ ท่านทั้งสอง (ยน 19:34; ลก 2:35b) พระเยซูเจ้าและแม่พระต่างก็ได้รับเกียรติรุ่งโรจน์ซ่ ึ งเป็ นผลมาจากความนบนอบ เชื่อฟังของท่านทั้งสอง พระเยซูเจ้าได้รับผ่านทางการกลับคืนพระชนมชีพและเสด็จสู่สวรรค์ แม่พระได้รับผ่าน ทางการได้รับเกียรติเข้าสู่สวรรค์ท้ งั กายและ วิญญาณ ดังนั้น ความเชื่อและความศรัทธาในแม่พระไม่ทาให้ความเชื่อ ของเราในพระเยซูเจ้าลดน้อยถอยลง แต่ทาให้ลึกซึ้ งมากยิง่ ขึ้น ในเดือนแห่งการสวดสายประคานี้ให้เราวอนขอแม่พระเป็ นความหวังและเป็ นกาลังใจให้เราสามารถ ติดตามพระบุตรของพระนางได้อย่างซื่ อสัตย์เพื่อว่าสักวันหนึ่ งเราจะมีส่วนร่ วมในการกลับคืนพระชนมชีพของพระ เยซูเจ้าเหมือนแม่พระในสวรรค์ ขอพระเจ้ าอวยพรพีน่ ้ องทุกคน พระสั งฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวสิ ั ย ประมุขสั งฆมณฑลอุดรธานี
ข้อคิดยามเช้า วันอาทิตย์ ที่ 5 ตุลาคม ค.ศ.2014 สิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทา ล้วนแต่เป็นสิ่งทีด่ ี พระองค์พยายามนา ประชาชนไปสู่ความสุขตลอดนิรนั ดร พระองค์ทรงสั่งสอนไม่เพียงเกี่ยวกับ ความดี และ ความรักของพระบิดาที่มี ต่อมวลมนุษย์เท่านั้น แต่พระองค์ทรง เผยแสดงให้เห็นความดีและความรักนั้น ด้วยกิจการต่างๆ ของพระองค์ดว้ ย แต่ เรื่องไม่น่าเชื่อประการหนึ่งในชีวิตของ พระองค์ คือ มีประชาชนจานวนมากได้ ปฏิเสธพระองค์ ซึ่งทาให้พระเยซูเจ้าทรงรู้สึกเจ็บปวด และ ผิดหวัง ผู้ฟังอุปมาของพระเยซูเจ้าในพระวรสารวันนี้ไม่ใช่ พวกไม่มีศาสนาหรือคนที่ไม่มีความเชื่อ แต่เป็นบรรดาหัวหน้าสมณะ และ ผู้อาวุโสของประชาชนซึ่งหยิ่งทะนงใน ความชอบธรรมของตนเอง เพราะพวกเขาได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของศาสนาอย่างครบถ้วน ปัญหาคือ ความศรัทธาของพวกเขาเป็นเพียงเรื่องผิวเผินภายนอกเท่านั้น ไม่ได้เป็นสิ่งที่ออกมาจากใจของ พวกเขา คาสอนของพระเยซูเจ้าเป็นการเรียกร้องความเสียสละ และ ความกล้าหาญจากตัวเราเป็นอย่างมาก เช่น เรา ต้องแบกกางเขนทุกวัน และ ติดตามพระองค์ เราต้องกล้าตักเตือนเพื่อนพี่น้องที่หลงผิด เราต้องพร้อมที่จะให้อภัยคน ที่ทาผิดต่อเราตลอดเวลา เราต้องพร้อมที่จะสละทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ชีวิตเพื่อพระเจ้า และเพื่อรักษาความเชื่อของเรา ทุกครั้งที่เราได้ยินข้อเรียกร้องเหล่านี้ เรามีปฏิกิริยาต่อต้านบ้างหรือเปล่า? เราปฏิเสธว่าเป็นสิ่งทีไ่ ม่สามารถปฏิบัติได้หรือล้าสมัยไปแล้ว หรือ เป็นข้อเรียกร้องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเรา แต่เกี่ยวข้องกับคนอื่นหรือคนบางกลุ่มมากกว่า? หลายครั้งความจริงสามารถก่อให้เกิดความเจ็บปวดแก่ผู้กาลัง เผชิญหน้ากับมันได้ ความจริงที่พระเยซูเจ้าทรงเทศน์สอนเรียกร้องเราให้ต้องแตกต่างจากคนอื่นให้ยอมรับความ ลาบาก และ ปฏิเสธตัวเองเพื่อจะได้มีที่วา่ งในหัวใจสาหรับคนอืน่ เลิกเห็นแก่ตัวเพื่อจะสามารถรักและรับใช้พระเจ้า และ เพื่อนมนุษย์ได้อย่างเต็มที่ ถ้าเรารับฟังคาสัง่ สอนของพระเยซูเจ้า แต่ไม่ได้ปฎิบัตติ ามเราก็ปิดตัวเองจากความ เป็นไปได้ทจี่ ะเปลีย่ นแปลงชีวิตของเราถ้าจะถามว่า “ใครกาลังปฏิเสธพระเยซูเจ้าอยู่เวลานี?้ ” เราไม่ต้องคิดถึงบรรดา หัวหน้าสมณะและผู้อาวุโสของประชาชน เราไม่ต้องมองไปที่คนอื่น แต่ถามตัวเองตรง ๆ ว่า “ใครกาลังปฏิเสธพระเยซู เจ้าอยู่เวลานี้ ... ตัวเราเองหรือเปล่า?” ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี
ข้อคิดยามเช้า วันจันทร์ ที่ 6 ตุลาคม ค.ศ.2014 ท่าทีของประชาชนที่มตี ่อพระเจ้าในสมัย พระเยซูเจ้าไม่ต่างจากท่าทีของประชาชนในสมัย ประกาศกอิสยาห์เท่าใดนัก ราวเจ็ดร้อยปีก่อน การบังเกิดของพระเยซูเจ้า ประกาศกอิสยาห์ได้ พยายามโน้มน้าวจิตใจประชาชนให้หันหนีจาก ชีวิตที่ชวั่ ร้าย และ กลับมาหาพระเจ้าเที่ยงแท้ ท่านชี้ให้เห็นว่าหากพยายามทาทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อสวนองุ่นของตน ก็ย่อมมีสิทธิที่จะคาดหวัง ผลผลิตที่ดีจากสวนนั้น สวนองุน่ ที่ไม่ให้ผลผลิต ตามที่คาดหวังไว้สมควรถูกทาลาย ทุกคนเห็น ด้วยกับหลักการนี้ ท่านจึงเผยความจริงว่า ประชาชนชาวอิสราเอลคือสวนองุ่นของพระเจ้าที่ได้รบั การดูแลเอาใจใส่อย่างดีจากพระองค์ แต่กลับให้ ผลผลิตที่ตรงข้ามกับความคาดหวังของพระองค์ “พระองค์ทรงหวังความยุติธรรม แล้วทรงพบแต่การนองเลือด ทรงหวังความชอบธรรม กลับทรงพบเสียงร้องให้ช่วย” (อสย 5:7) ในพระวรสาร พระเยซูเจ้าทรงเล่าอุปมาที่มีสาระสาคัญเดียวกัน พระองค์ทรงกล่าวถึงหน้าที่ของบรรดาคน เช่าสวน พวกเขาต้องให้ส่วนแบ่งจากผลผลิตให้แก่เจ้าของสวนองุ่น บรรดาคนใช้ที่เจ้าของสวนส่งไปหมายถึงประกาศก ในพันธสัญญาเดิม ส่วนบุตรชายของเจ้าของสวนหมายถึงพระเยซูเจ้าเอง การที่บรรดาคนเช่าสวนปฏิบัตไิ ม่ดีต่อพวก คนใช้เหล่านัน้ ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ชั่วร้ายมากพออยู่แล้ว แต่การฆ่าบุตรชายของเจ้าของสวนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทนได้ อีกต่อไป เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่บรรดาประกาศก และ แม้แต่พระเยซูเจ้าได้รับการปฏิเสธจากประชาชนจานวนมากมาย เช่นนี้ พวกเขาพบความจริงทีว่ ่าพระเจ้าทรงเรียกร้องให้ประชาชนตอบสนองต่อความดี และ ความรักของพระองค์ ด้วยการเปลี่ยนแปลงแนวทางในการดาเนินชีวิตอย่างสิน้ เชิง ซึง่ แน่นอนเป็นเรื่องที่ประชาชนทุกคนสมควรกระทา นี่เป็นคาเตือนซึง่ พวกเขาในสมัยนั้นได้ยินแต่ไม่ยอมรับ
เช่นเดียวกับเราแต่ละคนในสมัยปัจจุบนั หลายครั้ง ความจริงทาให้เราสัมผัสถึงความล้มเหลวและความ บกพร่องในชีวิตของเราซึ่งทาให้เราจาเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง เรามักจะมีปฏิกิริยาต่อต้าน แนวทางที่ง่ายที่สุดที่ หลายคนใช้คือไม่สนใจหรือปฏิเสธความจริงอันนั้น เพราะความจริงทาให้เราต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด คาสั่ง สอนของพระเยซูเจ้าเรียกร้องความเสียสละ และ ความกล้าหาญจากตัวเราเป็นอย่างมาก เราจึงจาเป็นต้องเปิดตัวเอง รับฟังคาสัง่ สอนนั้น และ ปฏิบัตติ ามสิ่งทีพ่ ระองค์ทรงเรียกร้องจากเราด้วยความเชื่อและความหวังว่าอาศัยพระองค์ เราสามารถเปลี่ยนแปลงชีวติ ของเราได้ ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี
ข้อคิดยามเช้า วันอังคาร ที่ 7 ตุลาคม ค.ศ.2014
การได้ชื่อว่าเป็น “คาทอลิก” ไม่ได้เป็น หลักประกันว่าเราเป็นคนดี และ จะได้รับความรอด พ้นอย่างแน่นอน การได้รับศีลล้างบาป การมาร่วม มิสซา การรับศีลอภัยบาป และ ศีลมหาสนิทเป็น ประจาไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเรารักพระเจ้า และ เพื่อนพี่น้องด้วยใจจริง บางคนมาร่วมมิสซาในวัน อาทิตย์เพราะจะเป็นบาป เขาไม่ได้มาเพราะรัก และอย่างอยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้า ถ้าการปฏิบัติ ศาสนาของเราไม่ได้มาจากความรักที่เรามีต่อพระ เจ้าและเพื่อนพี่น้อง ชีวิตคริสตชนจะไม่บงั เกิดผล เท่าที่ควร หลายครั้งชีวิตของเราไม่ตา่ งจาก “ต้นมะเดื่อเทศ” (ลก 13:6) มีชีวิตแต่ไม่เกิดผลจึงสมควรถูกตัดทิ้ง คนสวน ขอโอกาสอีกหนึ่งปีจากเจ้าของสวนเพื่อพรวนดินใส่ปุ๋ย ถ้ายังไม่เกิดผลอีก จึงค่อยโค่นทิ้งทีหลัง ชีวิตของเราแต่ละคนมี วันเวลาสั้นยาวแตกต่างกัน แต่ละวันจึงควรพรวนดินใส่ปุ๋ยต้นไม้แห่งชีวิตเพื่อให้เกิดผลเพิ่มขึ้นเสมอ สาหรับบางคนอาจ เป็นโอกาสสั้น ๆ ครั้งสุดท้ายที่จะได้ทา ให้เราใช้โอกาสแห่งพระพรที่พระเจ้าประทานแก่เรา ปรับปรุง และ เปลี่ยนแปลงตนเองให้ดีขึ้น เพื่อว่าชีวิตของเราจะเกิดผลมากที่สดุ เท่าที่จะเป็นไปได้ ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี
ข้อคิดยามเช้า วันพุธ ที่ 8 ตุลาคม ค.ศ.2014 “ใจของมนุษย์วางแผน แต่คาตอบมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า” (สภษ 16:1) หลายครั้งในชีวิตคริสตชน เราอาจ รู้สึกว่ายังไม่มีความสุขกับชีวิต เหมือนขาด อะไรไปบางอย่าง ถึงแม้เราได้ยนิ ใครมากมาย พูดถึงพระเยซูเจ้า เราอาจอ่านพระคัมภีร์ที่ บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์ แต่หาก เรายังไม่เคยมีประสบการณ์ในความรักของ พระองค์ พระองค์ยังไม่ได้เป็นศูนย์กลางชีวิต ยังไม่ได้เป็นที่หนึง่ ในใจของเราชีวิตเราจะ วนเวียนแสวงหาอยู่อย่างไม่มวี ันสิ้นสุด เมื่อเราตระหนักว่า ชีวิตของเราขึ้นอยู่กับพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง พระองค์ทรงเป็นคาตอบสาหรับทุกสถานการณ์ ในชีวิต เราจะยินยอมมอบตัวเองไว้ในอ้อมพระหัตถ์ของพระองค์ ทั้งนี้เพราะ “ความสาเร็จของมนุษย์อยู่ในพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (บสร 10:5) เมื่อเรายอมให้พระองค์เป็นที่หนึ่งในชีวิตของเรา เราจะดาเนินชีวิตสอดคล้องกับพระประสงค์ของพระเจ้า และ มี ความสุขที่ได้เลือกติดตามพระองค์ ดังคาของนักบุญเปาโล ที่บอกเราไว้ว่า “พี่น้อง เรารู้ว่า พระเจ้าทรงบันดาลให้ทุกสิง่ กลับเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่รักพระองค์” (รม 8:28) ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี
ข้อคิดยามเช้า วันพฤหัสบดี ที่ 9 ตุลาคม ค.ศ.2014 ที่เมืองอันทิโอกในแคว้นปิสีเดีย นักบุญเปาโล ได้กล่าวว่า องค์พระผู้เป็น เจ้ามีพระบัญชาแก่เราดังนีว้ ่า ‘เราแต่งตั้งท่านให้เป็น แสงสว่างส่องนานาชาติ เพื่อท่านจะได้นาความรอดพ้น ไปจนสุดปลายแผ่นดิน’ (กจ 1347) โดยทางการเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระคริสตเจ้าแสงสว่างยิ่งใหญ่ได้มาถึงโลกของเรา เราได้เห็นแสง แห่งความหวัง ความยินดี และ สันติสุขมาถึงเราโดยทางความเชื่อในพระคริสตเจ้า และ ในศีลล้างบาปด้วยน้า้ และ พระจิตเจ้า เราได้เป็นส่วนหนึ่งของพระศาสนจักร พระกายทิพย์ของพระคริสตเจ้าบนโลกนี้ และ เป็นทายาทร่วมส่วน ชีวิตนิรันดรในเมืองสวรรค์ ให้เราเปิดใจรับแสงสว่างของพระคริสตเจ้า และปล่อยให้แสงสว่างของพระองค์สะท้อนผ่านตัวเราไปยังคนอื่น จากนั้น ให้เราแบ่งปันข่าวดี ความหวัง ความยินดี และ สันติสุขที่แสงสว่างของพระคริสตเจ้าน้ามาให้เรากับผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผูท้ ี่อยู่รอบข้างเรา เพราะเราทุกคนถูกเรียกให้เป็นแสงสว่างในโลกนี้ด้วย “ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างส่องโลก... แสงสว่างของท่านต้องส่องแสงต่อหน้ามนุษย์ เพื่อคนทั้งหลายจะได้เห็นกิจการดีของท่านและสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์” (มธ 5:14,16) ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี
ข้อคิดยามเช้า วันศุกร์ ที่ 10 ตุลาคม ค.ศ.2014 ประชาชนรวมทั้งบรรดาศิษย์ หลายคนในสมัยพระเยซูเจ้าเข้าใจว่า พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่พวก เขารอคอยเป็นผู้นาเพื่อทาสงคราม ปลดปล่อยชาวยิวให้เป็นอิสระจาก อานาจโรมันแต่พระเยซูเจ้าทรงอธิบาย ให้บรรดาศิษย์ของพระองค์เข้าใจว่า “บุตรแห่งมนุษย์จะต้องรับทรมานเป็นอันมาก จะถูกบรรดาผู้อาวุโส มหาสมณะ และธรรมาจารย์ ปฏิเสธ ไม่ยอมรับ และ จะถูกประหารชีวิต แต่จะกลับคืนชีพในวันทีส่ าม” (ลก 9:22) พระเมสสิยาห์คนนี้ ถูกปฏิเสธจากประชาชนของพระองค์เอง และ ถูกตัดสินประหารชีวติ โดยอานาจของชาว โรมัน เพราะว่าชัยชนะของพระองค์ไม่ได้มาจากการสงครามหรือการใช้ความรุนแรง แต่จากความสัตย์ซื่อต่อความจริง ความสุภาพอ่อนโยน และ ความรัก พระเยซูเจ้าทรงเรียกร้องให้เราในฐานะศิษย์ติดตามพระองค์สละตนเอง แบกไม้กางเขนของตนทุกวัน ในโลกปัจจุบันซึง่ เน้น และ ส่งเสริมให้ผู้คนเห็นคุณค่าของตนเอง แสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนเองมากที่สุดเท่าที่จะ ทาได้ ผู้คนจึงเห็นแก่ตัว และ เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของชีวติ มากขึ้น ยากที่ใครคนใดคนหนึ่งจะสละตนเอง หรือ ปฏิเสธตนเอง หรือ เลิกนึกถึงตนเอง แต่ถ้าเราอยากเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้าอย่างแท้จริง เราต้องมีพระเยซูเจ้าเป็น ศูนย์กลางของชีวิต ไม่ใช่ยึดตัวเอง เมื่อเราปฏิเสธตนเองและเลิกนึกถึงตนเอง ใจของเราจะมีห้องว่างสาหรับคนอื่น และ รักคนอื่นได้มากขึ้น เราจะสามารถยอมรับและมองทุกสิ่งในแง่บวกไม่ว่าเหตุการณ์นั้นจะเลวร้ายในสายตาของมนุษย์ ทั่วไปเพียงใด แต่เราจะมองเห็นพระหัตถ์และความรักของพระเจ้าในทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี
ข้อคิดยามเช้า วันเสาร์ ที่ 11 ตุลาคม ค.ศ.2014 พระเยซูเจ้าทรงเล่าเรื่อง อุปมาตอนหนึ่งในพระวรสาร "บรรดาผู้รับใช้จงึ ไปหานายถามว่า ‘นายครับ นายหว่านข้าวพันธุ์ดีใน นาพิมใช่หรือ แล้วข้าวละมานมา จากที่ใดเล่า’ นายตอบว่า ‘ศัตรูมาหว่านไว้’ ผู้รับใช้จึงถามว่า ‘นายต้องการให้ เราไปถอนมันไหม?’ นายตอบว่า ‘อย่าเลย... เกรงว่าเมื่อท่านถอนข้าวละมาน ท่านจะถอนข้าวสาลีติดมาด้วย จงปล่อยให้ข้าวสองชนิดงอกงามขึ้นด้วยกันจนถึงฤดูเก็บเกี่ยว แล้วฉันจะบอกคนเก็บเกี่ยวว่า จงเก็บข้าว ละมานก่อน มัดเป็นฟ่อน เผาไฟเสีย ส่วนข้าวสาลีนั้น จงเก็บเข้ายุ้งของฉัน’” (มธ.13:27-30) เมื่อเรามองสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้หลายคนถามว่า ทาไมพระเจ้าจึงปล่อยให้สิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ เกิดขึ้น บางครั้ง เราอาจตัดสินเร็วเกินไปที่บอกว่าคนนัน้ หรือสิ่งนั้นไม่ดี เราไม่สามารถยอมรับคนโน้นคนนี้ เรื่องนั้น เรื่องนี้ได้ ความจริงคือ เราไม่มีสทิ ธิที่จะไปตัดสินความผิดของคนอื่น สิทธินี้เป็นของพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ถึงแม้ว่า สังคมของเราจะเลวร้ายขนาดไหน เรามีสิทธิที่จะประณามกิจการที่ชั่วร้ายของพวกเขาได้ แต่เราไม่มีสทิ ธิที่จะประณาม ตัวบุคคลนัน้ ไม่วา่ จะเป็นใครเพราะชีวิตของคนเรามีทงั้ ส่วนดี และ ส่วนที่ไม่ดีผสมผสานกันอยู่ ไม่มีใครในโลกนี้ที่ สมบูรณ์แบบทุกอย่าง ไม่มีใครในโลกนีท้ ี่ดีร้อยเปอร์เซ็นต์ และ ไม่มีใครที่ชั่วร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยเช่นกัน สังคมของเรามี ทั้งคนดี และ ไม่ดี มีทั้งสิ่งที่ถูกต้อง และ สิ่งทีผ่ ิดรวมกันอยู่
คริสตชนจึงควรหยุดกระทาเลียนแบบชาวโลกที่มักประณามบุคคลอื่น ๆ โดยไม่แม้แต่จะหยุดชัง่ ใจไตร่ตรอง เพราะความหลง ความเกลียด หรือความไม่ชอบใจส่วนตัว เราแต่ละคนลองถามตัวเองอย่างซือ่ สัตย์ดูเถอะว่า เราเป็น คนดีพร้อมแล้วหรือที่จะไปเที่ยวด่าว่าประณามคนอื่น เพราะแม้แต่ในตัวเราแต่ละคนก็ยงั มีทั้งสองสิ่งนี้ด้วย ทั้งความดี และ ความชั่วร้าย เคยกระทาทัง้ เรื่องถูกและเรื่องผิดพระเจ้าทรงทรงอดทนและให้โอกาสกับทุกคนเพื่อให้เรากลับใจ และ เปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น พระองค์ทรงเคารพเสรีภาพของมนุษย์ ซึ่งเป็นของประทานทีล่ ้าค่าจนทาให้พระองค์ ต้องอดทนต่อความชั่วช้าทั้งหลาย อย่างน้อยจนกระทั่งถึงวันพิพากษา “จนถึงฤดูเก็บเกี่ยว” (มธ.13:30)
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี
ข้อคิดยามเช้า วันอาทิตย์ ที่ 12 ตุลาคม ค.ศ.2014 ในประเทศเม็กซิโกมีคุณพ่อ เจ้าอาวาสคนหนึ่งต้องการทราบว่า สัตบุรุษมีความรูส้ ึกอย่างไรขณะที่กาลัง ร่วมพิธีมิสซา ท่านแจกลูกโป่งสวรรค์ให้ สัตบุรุษทุกคนที่มาร่วมมิสซา บอกว่า เมื่อใดก็ตามที่พวกเขารู้สึกมีความยินดี ในจิตใจ ให้ปล่อยลูกโป่งนัน้ ในระหว่าง มิสซา สัตบุรุษเริ่มทยอยปล่อยลูกโป่ง เรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อพิธีมิสซาจบลง ปรากฏว่าสัตบุรุษส่วนใหญ่ยังคงถือลูกโป่งไว้ในมือซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าสัตบุรุษเหล่านั้นไม่รู้สึกมี ความชื่นชนยินดีในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขากาลังเฉลิมฉลองในวันนั้น หลายคนยังคิดว่าบ้านของพระเจ้าเป็น สถานที่เงียบสงบเข้ามาแล้วต้องใส่ใจในทุกอิริยาบถ ปิดตา และ อธิษฐานภาวนา ไม่ใช่เป็นสถานที่แห่งการเฉลิมฉลอง และ สนุกสนานรื่นเริง อุปมาเรื่องงานวิวาห์ในพระวรสารวันนี้นาเสนอภาพพจน์ที่ค่อนข้างแตกต่างกับสิ่งที่หลายคนคิด การมาร่วม มิสซาเป็นการรวมตัวกันของผู้ทไี่ ด้รับการเรียกให้มาร่วมงานเลี้ยงฉลอง ก่อนที่จะรับศีลมหาสนิทและนาไปแจกจ่าย ให้กับสัตบุรุษ พระสงฆ์จะยกศีลมหาสนิทขึ้นและประกาศว่า “ผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกมาร่วมงานเลี้ยงของพระองค์ย่อมเป็นสุข” พระเจ้าทรงเรียกเราทุกคนให้มาร่วมงานเลี้ยงฉลองของพระองค์ ถ้าแขกที่มาร่วมงานวิวาห์ต่างมีสีหน้าเคร่ง ขรึม และ ไม่ยอมปริปากพูดกับใคร คงเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจไม่น้อย ดังนัน้ เราควรจะเป็นแขกรับเชิญที่มาร่วมงาน วิวาห์ด้วยการสวมชุดที่เหมาะสมกับงานที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดีนี้ เป็นบุคคลที่มีความสนุกสนาน และ ความชืน่ ชมยินดีในงานเลี้ยงฉลอง พระเยซูเจ้าทรงเตือนแขกรับเชิญที่ไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงฉลองของพระองค์ว่า พวกเขากาลัง สูญเสียความยินดีแห่งชีวิตที่แท้จริง และ สาหรับเราผู้ตอบรับคาเชื้อเชิญ และ มาร่วมเฉลิมฉลองของพระองค์ เราต้องไม่รับพระพรของพระเจ้าแบบเปล่า ๆ โดยไม่ทาอะไรเลย แต่ต้องพยายามทาตัวเราให้เหมาะสมกับ พระพรนั้นด้วย นั่นคือ เราต้องพยายามทาตัวเราให้สะอาดบริสทุ ธิ์ และ กลายเป็นคนชอบธรรมในสายพระเนตรของ พระองค์อยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรามาร่วมพิธีมิสซาซึ่งเป็นงานเลี้ยงฉลองขององค์พระผู้เป็นเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี
ขอคิดยามเชา วันจันทร ที่ 13 ตุลาคม ค.ศ.2014 แขกรับเชิญสามประเภทในอุปมาที่ พระเยซูเจาบอกเรา (มธ 22:1-14) ประเภทแรก เปนแขกที่ตอนแรกตอบ รับคําเชื้อเชิญของกษัตริย แตเมื่อถึงนั้นจริง ๆ พวกเขากลับขอถอนตัวโดยอางเหตุผลสารพัด ประเภทที่สอง เปนแขกรับเชิญที่ ไมไดสวมเสื้อสําหรับงานวิวาห พวกเขาตอบรับ และมารวมงานตามคําเชื้อเชิญ แตไมไดเตรียม ตัวใหพรอมสําหรับงานสําคัญนี้เทาที่ควร ประเภทที่สาม เปนแขกรับเชิญที่สวมเสื้อสําหรับงานวิวาห พวกเขาทําทุกสิ่งทุกอยางที่จําเปนเพื่อเตรียมตัว ใหพรอมสําหรับการไปปรากฏตัวในงานเลี้ยงฉลองของกษัตริย บรรดาแขกที่ไดรับเชิญแตไมมารวมงานวิวาห ไมใชคน บาป พวกเขาไมไดไปทํากิจการที่ผิดศีลธรรมใด ๆ ทั้งสิ้น คนหนึ่งบอกวาจะไปทุงนา หาเลี้ยงชีพ สวนอีกคนหนึ่งบอกวาจะไปทําธุรกิจ (เทียบ มธ 22:5) แนนอน สิ่งเหลานั้นลวนเปนประโยชนตอตัวเอง และ ครอบครัว แตบางครั้งสิ่งที่ดึงเราออกจากความยินดี แหงพระอาณาจักรสวรรคไมใชบาป แตเปนการสาละวนอยูกับบางสิ่งในชีวิตมากเกินไป การเอาจริงเอาจังกับ ภาระหนาที่ และ การงานเปนสิ่งที่ดี แตหากภาระหนาที่และการงานเหลานั้นมีมากเกินไปจนทําใหไมสามารถมา รวมงานเลี้ยงฉลองของพระเจาได พวกมันกําลังกลายเปนอุปสรรคที่ขัดขวางเราจากการสัมผัสความยินดีที่องคพระผู เปนเจาเสนอใหแกเรา หลายครั้ง เราเลือกสิ่งที่คิดวาดีในสายตาของเรา แตนั่นทําใหเสียโอกาสที่จะมีสวนรวมในสิ่งที่ดี ที่สุด เราอาจไมรูสึกเสียดายดวยซ้ําไปวากําลังทําสิ่งที่ผิดพลาดอยางใหญหลวงในชีวิตในอดีต คาทอลิกหลายคนมารวม มิสซาวันอาทิตยก็เพราะทําตามกฎขอบังคับของพระศาสนจักร ถาไมมาก็กลัวเปนบาป ปจจุบันความกลัวแบบนี้ไมได เปนแรงผลักดันใหหนุมสาวสมัยใหมมารวมมิสซาวันอาทิตยตอไปอีกแลว แตถาเราตระหนักวา การขาดมิสซาวัน อาทิตยจะทําใหพลาดการมีสวนรวมในความชื่นชมยินดีในงานเลี้ยงฉลองขององคพระผูเปนเจาพรอมกับเพื่อนพี่นอง คนอื่นอาจเปนแรงบันดาลใจใหเยาวชนคนรุนใหมมารวมมิสซามากขึ้น ขอพระเจาอวยพรพี่นองทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี
ข้อคิดยามเช้า วันอังคาร ที่ 14 ตุลาคม ค.ศ.2014 อุปมาของพระเยซูเจ้าเรื่อง แขกรับเชิญในงานวิวาห์ (มธ 22:1-14) พูดถึงแขกรับเชิญที่ไม่ได้สวมเสือ้ สาหรับงานวิวาห์ ประเด็นสาคัญที่ พระเยซูเจ้าทรงต้องการบอกเราคือ เราต้องพยายามทาสิ่งทีเ่ หมาะสมกับ กาลเทศะ ถ้าเราจะไปเล่นกีฬา เราควรใส่ชุดกีฬา ถ้าเราจะไปร่วมงาน ปลงศพ เราควรใส่เสื้อผ้าสีดาหรือ สีเรียบง่าย ไม่ใช่สีแดงฉูดฉาด และ ถ้าเราต้องไปร่วมงานวิวาห์ เราต้องสวมชุดที่เหมาะสมสาหรับงานนี้ด้วยการไม่สวมชุดสาหรับงานวิวาห์สะท้อนเห็นว่า แขกรับเชิญคนนั้นมาร่วมงานแต่ตัวเท่านั้น แต่จิตใจของเขาไม่ได้อยู่ที่งานนั้น เขาไม่มีอารมณ์ความรู้สึกร่วมในงานเลี้ยง ฉลองนั้นเลย พระเยซูเจ้าทรงรังเกียจท่าทีที่ไม่จริงใจหรือเสแสร้งแบบนี้ อันที่จริง เป็นการดีกว่าเสียด้วยซ้าไป ถ้าเขาไม่อยู่ ที่นั่น ตัวเขาอยูท่ ี่นั่น แต่ใจของเขาล่องลอยไปที่ไหนก็ไม่รู้ ทุกคนได้รับการเชือ้ เชิญ และ งานเลี้ยงฉลองเปิดสาหรับทุก คนโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น แต่คนที่ตัดสินใจไปร่วมงานเลี้ยงฉลองต้องมีความรับผิดชอบทาให้ตัวเอง เหมาะสมต่อหน้าพระพักตร์ของกษัตริย์ พระอาณาจักรของพระเจ้าถูกเสนอให้แก่เราแบบเปล่า ๆ ในระหว่างทางที่จะไปสถานที่นี้ เราต้องทุ่มเททั้ง แรงกาย และ แรงใจเพื่อเตรียมตัวเองให้พร้อม และ เหมาะสมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่นี้ ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี
ข้อคิดยามเช้า วันพุธ ที่ 15 ตุลาคม ค.ศ.2014 วันฉลองนักบุญเทเรซา แห่ง อาวีลา นักบุญเทเรซา แห่ง อาวีลา พรหมจารี และ นักปราชญ์ แห่งพระศาสนจักร เกิดเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ.1515 ในตระกูลผู้ดีที่ร่ารวยของ สเปน ชีวิตในวัยเด็กมีความศรัทธาต่อพระเจ้าอย่าง ยิ่ง บทเขียนของนักบุญเยโรม เป็นแรงบันดาลใจให้ ท่านสมัครเข้าเป็นนักบวช โดยได้เข้าอารามคาร์แมล ที่เมือง อาวีลา ซึ่งเป็นบ้านเกิด ขณะนั้น ระเบียบ วินัยของคณะไม่เข้มงวดเท่าทีค่ วร ต่อมา ท่านจึงได้ลงมือปฎิรูปคณะครั้งใหญ่ ซึ่งนักบุญยอห์น แห่งไม้กางเขน เป็นผู้ช่วยเหลือ สนับสนุนโดยให้ชีวิตเป็นการภาวนา และ พลีกรรม ใช้โทษบาปถือความเงียบ และ ความยากจนอย่าง ที่สุดแม้จะมีภารกิจหน้าที่ในการปฎิรูปคณะ และ สร้างอารามแห่งใหม่ ๆ ท่านได้ลงมือปฎิบัติพระวินัย อย่างเคร่งครัดจนบรรลุถงึ ชีวิตการเพ่งฌาณขั้นสูงสุด ท่านสอนเราว่า การภาวนาเป็นหนทางเดียวเพือ่ รู้จกั พระเจ้าการภาวนาจึงต้องเป็นจุดศูนย์กลางของชีวิต ด้วยการมอบดวงใจแด่พระคริสตเจ้า เจริญชีวิตอย่างสุภาพถ่อมตนโดยยอมรับความจริงของตนเพื่อมุง่ ปฏิบัตฤิ ทธิ์กุศล ในทุกวันเวลาแห่งชีวิต ค่าสอนทางด้านชีวิตภายในอันลึกซึง้ ของท่านในงานเขียนต่าง ๆ เช่น “บนหนทางแห่งความ ครบครันบริบูรณ์” “ปราสาทแห่งชีวิตภายใน” ฯลฯ พระสันตะปาปา ปอล ที่ 6 จึงได้ประกาศยกย่องท่าน ในปี ค.ศ.1970 เป็น “นักปราชญ์ (หญิง) แห่งพระศาสนจักร” แบบอย่างชีวิตของท่านท่าให้เราตระหนักว่า ชีวิตของเราต้องมุง่ ไปสู่พระเจ้า องค์คุณงามความดีสูงสุดแต่ เพียงผู้เดียว เราจึงต้องยึดการภาวนาเป็นศูนย์กลางของชีวิตเพือ่ ว่าชีวิตภายในของเราจะสามารถเป็นสื่อน่าความชื่นชม ยินดีแห่งพระวรสารไปสู่ทุก ๆ คนที่เราพบปะในแต่ละวันของชีวิต ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี
ข้อคิดยามเช้า วันพฤหัสบดี ที่ 16 ตุลาคม ค.ศ.2014 “ขอโปรดให้ข้าพเจ้าคนหนึ่งนัง่ ข้างขวา อีกคนหนึ่ง นั่งข้างซ้ายของพระองค์ใน พระสิริรุ่งโรจน์เถิด” (มก 10:37) นักบุญยากอบ และ นักบุญ ยอห์นทูลขอพระเยซูเจ้าโดยคิดว่า พระเยซูเจ้าจะเป็นผู้นาในการสถาปนา อาณาจักรอิสราเอลขึ้นใหม่ แต่ความจริง คือ พระองค์จะทรงเข้าสู่พระสิริรุ่งโรจน์ โดยผ่านทางการสิ้นพระชนม์ทแี่ สน เจ็บปวดเท่านั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านไม่รู้ว่ากาลังขออะไร ท่านดื่มถ้วยซึ่งเราจะดื่มได้ไหม หรือ รับการล้างที่เราจะรับได้หรือไม่” (มก 10:38) เมื่อเวลาผ่านไป ผ่านเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ อาศัยแสงสว่างแห่งการกลับคืนพระชนมชีพของ พระองค์ทาให้ทา่ นทั้งสอง และ บรรดาศิษย์ติดตามพระเยซูเจ้าเรียนรู้ความหมายที่แท้จริง และ ตระหนักว่าในฐานะ ศิษย์ของพระเยซูเจ้า พวกท่านต้องเป็นผูร้ ับใช้ นั่นคือ ต้องอุทศิ ตนเพื่อคนอื่นจนกระทั่งลมหายใจสุดท้าย นักบุญยา กอบเป็นมรณสักขีโดยถูกตัดศีรษะในสมัยกษัตริย์เฮโรด อากริบปา ส่วนนักบุญยอห์น ถูกทรมานอย่างแสนสาหัส ต้องหนีไปยังเกาะปัทมอส และ รับใช้เพื่อนพี่น้องคริสตชนที่นนั่ จนกระทั่งสิ้นลมหายใจ เราแต่ละคนที่เป็นศิษย์ติดตามพระเยซูเจ้าเช่นกัน แต่ละคนมีอาชีพและหน้าที่การงานในสังคมที่แตกต่างกัน ไป ให้เราทางานดังกล่าวโดยคานึงถึงประโยชน์ของส่วนรวม สังคมที่เราอาศัยอยู่ และมนุษยชาติทงั้ มวลเป็นที่ตั้ง งานต่าง ๆ ที่เราทาจะเป็นวิถีทางที่ทาให้ชวี ิตของเรา เป็นผู้รับใช้ดังเช่นพระเยซูเจ้า ผู้ทรงตรัสไว้ว่า “บุตรแห่งมนุษย์มิได้มาเพื่อให้ผู้อื่นรับใช้แต่มาเพื่อรับใช้ผู้อนื่ และ มอบชีวิตของตนเป็นสินไถ่เพื่อมวลมนุษย์” (มก 10:45) ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี
ข้อคิดยามเช้า วันศุกร์ ที่ 17 ตุลาคม ค.ศ.2014 นักบุญยอห์น เอ่ยถึงชื่อของพระนางมารีย์ ในพระวร สารโดยเรียกพระนางว่า “พระมารดาของพระเยซูเจ้า” ครั้งแรกในงานสมรสที่หมู่บ้านคานา (ยน 2:1-12) ซึ่งถือได้ ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของภารกิจที่เปิดเผยของพระเยซูเจ้า ส่วน ครั้งที่สองที่เชิงกางเขนของพระองค์ (ยน 19:25-27) ซึ่งถือ ได้ว่าเป็นการสิน้ สุดภารกิจบนโลกนี้ แม่พระไม่ทรงเป็น เพียงมารดาผู้ให้กาเนิดพระเยซูเจ้าเท่านั้น แต่ทรงเป็นผู้มี ส่วนร่วมในภารกิจแห่งการไถ่กู้ของพระองค์อีกด้วย หากเรามีพระเยซูเจ้าและแม่พระอยู่ในหัวใจเรา เสมอ เราจะไม่มีวันขาดพระพรจากพระเจ้าอย่างแน่นอน ในยามที่เราเป็นทุกข์เดือดร้อนและประสบปัญหาอุปสรรค พระนางจะวอนขอพระเจ้าให้ช่วยเหลือเราเหมือนที่ได้ทา เพื่อคู่บ่าวสาวที่หมู่บ้านคานา (ยน 2:1-5) พระนางจะทา เพื่อเราทุกคนทีเ่ ป็นลูกของพระนาง จนกระทัง่ เราสามารถ ผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤติในชีวิตของเราคนอื่นในโลกนี้อาจ ทอดทิ้งเรา ไม่สนใจเรา หรือเลิกรักเรา แต่แม่คนนี้ของเรา จะไม่มีวันจากเราไปไหน และ พร้อมที่จะอ้าแขนโอบอุ้ม ช่วยเหลือเราตลอดเวลาและตลอดไป เราต้องมั่นใจและมอบตัวเราไว้ในความอารักขาของพระนาง เชื่อมั่น ไว้วางใจในความรัก และ พระเมตตา ของพระเยซูเจ้า พระบุตรของพระนางด้วย ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี
ข้อคิดยามเช้า วันเสาร์ ที่ 18 ตุลาคม ค.ศ.2014 ฉลองนักบุญลูกา ผู้นพิ นธ์พระวรสาร นักบุญลูกาได้เล่าถึงการที่ พระเยซูเจ้าทรงส่งบรรดาศิษย์ ออกไปประกาศข่าวดีสองครั้ง ครั้งแรกพระองค์ทรงส่งอัครสาวก สิบสองคนออกไป (ลก 9:1-6) และครั้งที่สองพระองค์ทรงส่งศิษย์ เจ็ดสิบสองคนออกไป (ลก 10:1-12) เหตุผลสาคัญประการหนึ่งที่ทาให้ นักบุญลูกาบันทึกเรื่องราวเหล่านี้คือ ท่านต้องการเน้นความเป็นสากลของพันธกิจแห่งการประกาศข่าวดี ตามธรรมประเพณีของชาวยิวมีชนชาวอิสราเอล 12 เผ่า และ ชนชาติอื่นอีก 72 ชาติเท่านั้นบนโลกนี้ เพราะฉะนั้น การส่งศิษย์เจ็ดสิบสองคนออกไปจึงเป็นสัญลักษณ์ หมายถึงการประกาศข่าวดีแก่มนุษย์ทุกคนนั่นเอง การประกาศข่าวดีเป็นธรรมชาติของพระศาสนจักรซึ่งคริสตชนทุกคนต้องตระหนักถึงบทบาทของการมีส่วน ร่วมในพันธกิจอันสาคัญยิ่งนี้ พันธกิจนี้ไม่ใช่มีไว้สาหรับกลุ่มใดกลุ่มโดยเฉพาะ แต่มีไว้สาหรับทุกคน... ทุกคนต้องมีส่วน ร่วม ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของบรรดาพระสงฆ์หรือนักบวชชายหญิงเท่านั้น แต่เป็นหน้าที่ของฆราวาสทุกคนด้วย “ข้าวทีจ่ ะเกี่ยวมีมาก แต่คนงานมีน้อย” (ลก 10:2) เราจึงต้องมีส่วนร่วมอย่างจริงจังในพันธกิจนี้ดว้ ยการประกาศข่าวดี และการดาเนินชีวิตที่เป็นพยานถึงความ รักของพระเจ้า “จงไปเถิด เราส่งท่านทั้งหลายไป” (ลก 10:3) ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี
ข้อคิดยามเช้า วันอาทิตย์ ที่ 19 ตุลาคม ค.ศ.2014 ศิษย์ของชาวฟารีสีและคนฝ่าย กษัตริย์เฮโรดได้ทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “การเสียภาษีแก่พระจักรพรรดิซีซาร์ เป็นการถูกต้องหรือไม่?” (มธ 22:16) แทนที่พระองค์จะทรงตอบว่า “ถูกต้อง” หรือ “ไม่ถูกต้อง” พระเยซูเจ้า กลับบอกให้ศัตรูของพระองค์เอาเงินที่ใช้ เสียภาษีมาให้ดเู หรียญหนึ่ง แล้วทรงถาม พวกเขาเพือ่ ให้พวกเขาสรุปคาตอบเอาเอง พระเยซูเจ้าทรงมีเหตุผลที่ไม่ได้ทรงให้คาตอบตรง ๆ เพราะคนที่ถามนั้นไม่มีความจริงใจพวกเขาไม่ได้ถาม เพื่อที่จะรู้แต่ “เพื่อจับผิดพระวาจา” (มธ 22:15) ของพระองค์มากกว่า พระเยซูเจ้าไม่ได้ทรงมีเจตนาที่จะดูหมิ่นคน ที่มาถามพระองค์ แต่ต้องการท้าทายพวกเขามากกว่า แน่นอน พวกเขาต้องเสียภาษีแก่พระจักรพรรดิซีซาร์ เพราะใน ฐานะเมืองขึ้น ถ้าพวกเขาปฏิเสธ ชาวโรมันคงจะใช้กาลังกับชาวยิวอย่างไม่ต้องสงสัย แต่พระเจ้าไม่ได้เป็นอย่างนั้น วิธีการของพระองค์แตกต่างจากวิธกี ารของชาวโรมัน พระองค์ไม่ได้ทรงบังคับหรือใช้กาลังให้เราทาสิ่งนั้นสิ่งนี้ พระองค์ ทรงปรารถนาการปรนนิบัตริ ับใช้ด้วยน้าใจอิสระจากมนุษย์ เหนือสิ่งอื่นใดหมด พระองค์ทรงประสงค์ความรักที่บริสุทธิ์ และไม่เห็นแก่ตัว เหมือนความรักที่ พระองค์ทรงมอบให้แก่มวลมนุษย์ ซึ่งแสดงออกมาให้เราเห็นโดยทางพระเยซูเจ้า พระบุตรสุดที่รักของพระองค์ ผู้ทรงยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปของเรา ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี
ข้อคิดยามเช้า วันจันทร์ ที่ 20 ตุลาคม ค.ศ.2014 “องค์พระผู้เป็นเจ้า” (อสย 45:5) ทรงเป็นเจ้านายและบ่อเกิดของทุกสิ่ง ทุกสิ่งที่เรามีและเราเป็นล้วนเป็นของ ประทานจากพระองค์ เราจึงต้องใช้สงิ่ ที่ พระองค์ประทานให้เราอย่างเหมาะสม และสอดคล้องกับพระประสงค์ของ พระองค์ เราต้องใช้สิ่งที่พระองค์ให้ ชั่วคราวในโลกนี้เพื่อรับใช้พระองค์และ เพื่อนมนุษย์ของเรา อย่าให้สิ่งที่เราเป็น และสิ่งเรามีชั่วคราวในโลกนี้เป็นอุปสรรค ขัดขวาง แยกเราออกจากพระเจ้าและ เพื่อนมนุษย์ ตรงกันข้ามเราต้องพยายามใช้ทุกวิถีทาง ใช้ทุกสิง่ ที่เรามีและเราเป็น เพื่อจะได้ไปอยู่ในเมืองสวรรค์เมื่อ เราต้องจากโลกนี้ไป เพราะเมื่อถึงเวลานั้น ไม่มีใครสามารถเอาอะไรติดตัวไปด้วย สิ่งที่คงเหลืออยู่คือ คุณงามความดีที่ จะติดตัวเราไป ถ้าเราไปพบกับพระเยซูเจ้าในเมืองสวรรค์ เมื่อพระองค์ทรงถามเราว่า เราได้คนื สิ่งที่เป็นของของพระ เจ้าให้กับพระเจ้าแล้วหรือยัง? เราได้ให้เวลากับพระเป็นเจ้า อย่างที่เราควรจะให้พระองค์แล้วหรือไม่? เราจะสามารถ ตอบได้อย่างไม่รีรอว่า “ข้าพเจ้าได้คืนทุกสิ่งทุกอย่างให้กับพระองค์แล้วแม้แต่ชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ใช้มันเพื่อพระองค์และ ประชากรของพระองค์ เหมือนที่พระองค์เองทรงมอบตัวพระองค์ทั้งครบเพื่อไถ่บาปข้าพเจ้า”
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี
ข้อคิดยามเช้า วันอังคาร ที่ 21 ตุลาคม ค.ศ.2014 พระเจ้าคือองค์ความรัก พระองค์ทรงรักเรามากจนกระทั่งยอม ส่งพระบุตรเพียงพระองค์เดียวลงมา ในโลกนี้ “เพื่อทุกคนที่มคี วามเชื่อในพระบุตร จะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร” (ยน 3:16) ความรักต้องตอบแทนด้วย ความรัก ลองถามตัวเองดูซิว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมาเราได้แสดงความรัก ของเราต่อพระองค์เพื่อเป็นการตอบ แทนความรักที่พระองค์ทรงมีตอ่ เรา แล้วหรือยัง? ขอให้พระเยซูเจ้าผู้ทรงคืนทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงเป็นและทรงมี แม้แต่ชีวิตของพระองค์แก่พระบิดา เจ้าสวรรค์ ซึ่งส่งผลให้มนุษย์ทุกคนได้รับความรอดพ้น และ พระนางพรหมจารีมารีย์ พระมารดาของเราทุกคน ผู้ทรง ยอมสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อร่วมส่วนในแผนการแห่งการกอบกูม้ นุษยชาติของพระบุตรของนาง เป็นแบบอย่าง และ กาลังใจให้กับเราทุกคน ในการดาเนินชีวิตแต่ละวัน เพื่อรักและรับใช้พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ของเรา ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี
ข้อคิดยามเช้า วันพุธ ที่ 22 ตุลาคม ค.ศ.2014 การฟังเป็นการให้เกียรติ และแสดงความเคารพต่อผูท้ ี่กาลัง พูด เมื่อพระเจ้าตรัสกับเราผ่านทาง พระคัมภีร์และผู้แทนของพระองค์ ถ้าเราไม่ฟังเสียงของพระองค์อย่าง ตั้งใจ ก็เท่ากับว่าเราไม่ให้เกียรติ พระองค์ เมื่อเรามาชุมนุมกันเฉพาะ พระพักตร์พระเจ้าในพิธีบูชา ขอบพระคุณ ให้เราตั้งใจฟังว่า พระองค์ตรัสอะไรกับเราในแต่ละวัน พระดารัสของพระองค์หมายความว่าอะไร? อะไรคือประเด็นสาคัญของบทเทศน์ในวันนี?้ ทุกครั้งที่เรามาร่วมพิธีมิสซา อย่ากลับบ้านมือเปล่า แต่นาเอาพระวาจาของพระเจ้าใส่ในใจของเรากลับไปด้วย เราจะสามารถทาสิ่งนี้ได้ก็ต่อเมื่อเราตัง้ ใจฟังเสียงของพระองค์นั่นเอง ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี
ข้อคิดยามเช้า วันพฤหัสบดี ที่ 23 ตุลาคม ค.ศ.2014 การอธิษฐานภาวนา เป็นการพูดคุยและติดต่อกับ พระเจ้า การอธิษฐานภาวนา เป็นการสนทนา ดังนั้นเราคงไม่พูดคน เดียว แต่ต้องให้เวลาพระเจ้า ตรัสกับเราด้วย เราต้องฟังเสียง พระองค์ พระองค์ทรงรูท้ ุกสิง่ ทุกอย่างดีกว่าเรา ทรงรู้ว่า อะไรดีที่สุดสาหรับเรารู้กอ่ นที่ เราจะทูลขอพระองค์เสียอีก ดังนั้น หาเวลาเงียบ ๆ อยู่กับพระองค์และปล่อยให้พระองค์ตรัสกับเราในใจ เมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า สิ่งที่เราต้องทาก็คือ ... พยายามฟังเสียงของพระองค์ ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี
ข้อคิดยามเช้า วันศุกร์ ที่ 24 ตุลาคม ค.ศ.2014 “พระจิตของพระเจ้าทรงอยู่ เหนือข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเจิม ข้าพเจ้าไว้ ให้ประกาศข่าวดีแก่คน ยากจน ทรงส่งข้าพเจ้าไปประกาศการ ปลดปล่อยแก่ผถู้ ูกจองจาคืนสายตา ให้แก่คนตาบอด ปลดปล่อยผูถ้ ูกกดขี่ ให้เป็นอิสระ ประกาศปีแห่งความ โปรดปรานจากพระเจ้า” (ลก 4:18-19) ข้อความเน้นถึงการประทับอยู่ ของพระจิตเจ้าในชีวิตของพระเยซูเจ้า คาพูดและการกระทาของพระองค์มาจากพระเจ้าและได้รับการดลใจจากพระจิตเจ้า ภารกิจหลักของพระองค์คือ ประกาศข่าวดี และ ปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสในทุกรูปแบบรวมจากการเป็นทาสของบาปด้วย กลุ่มเป้าหมายของภารกิจของพระองค์คือ คนยากจน ผู้ถูกจองจา คนตาบอด และผู้ถูกกดขี่ขม่ เหงทั้งหลาย พระเยซู เจ้าทรงอธิบายสั้นๆ แก่ผู้มาร่วมชุมนุมในวันนั้นว่า “ในวันนี้ ข้อความจากพระคัมภีร์ที่ท่านได้ยินกับหูอยู่นี้เป็นความจริงแล้ว” (ลก 4:21) นั่นคือ พร้อมกับการเสด็จมาของพระองค์ เวลาแห่งการปลดปล่อยให้เป็นอิสระมาถึงแล้ว ในฐานะศิษย์ของ พระเยซูเจ้า เราทุกคนมีหน้าที่สานต่อภารกิจแห่งรักและรับใช้นี้เราต้องพร้อมที่จะเป็นเครื่องมือของพระองค์ในการ ปลดปล่อยเพื่อนมนุษย์ให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสในทุกรูปแบบ ปล่อยให้พระองค์ทางานในตัวเราและผ่านทางตัว เรา ให้เสียงของเราเป็นเสียงของพระองค์ ขอพระจิตเจ้าส่องสว่างสติปัญญาและนาทางเราเพื่อว่ากิจการทุกอย่างทีเ่ รา ทาจะดาเนินไปในทิศทางเดียวกันกับภารกิจของพระเยซูเจ้าพระอาจารย์ของเรา และ สอดคล้องกับแผนการ และ พระประสงค์ของพระเจ้าพระบิดาของเรา ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี
ข้อคิดยามเช้า วันเสาร์ ที่ 25 ตุลาคม ค.ศ.2014 เมื่อเราแต่ละคนพบกับเหตุการณ์ เลวร้ายต่าง ๆ เกิดขึ้นในชีวิต หลายครั้งเรา อาจรู้สึกสับสน หวาดกลัว สงสัย บ่อยครั้ง เราจะถามตนเองว่า “พระเจ้าทรงอยู่ที่ไหน?” หลายคนถึงกับเลิกเชื่อในพระเจ้า และหันหลังให้วดั ไปเลย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เราจาเป็นต้องใช้เวลาอธิษฐาน ภาวนามากขึ้นเป็นพิเศษ วอนขอพระเจ้าให้เปิดตาของเราเพื่อมองเห็นความจริงทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ล้วนเป็นเครื่องหมายแห่งความรักของพระเจ้า ถ้าเราได้รับพระพรมากมายทั้งเรื่องทรัพย์สินเงินทองหรือด้านฝ่ายจิต สิ่งเหล่านี้มีไว้เพือ่ แบ่งปันกับคนอื่น หากเราประสบความทุกข์ยากลาบากในชีวิตไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าไม่ทรงรัก เรา แต่นั่นจะช่วยทาให้เราเติบโต เข้มแข็ง และใกล้ชิดกับพระเจ้ามากยิง่ ขึ้น ความทุกข์ยากลาบากทัง้ หลายบนโลกนี้ เป็นเพียงแค่ทางผ่านเท่านั้นเอง แม้มรสุมชีวิตจะกระหน่าเข้ามามากมายเพียงใด หากเราน้อมรับโดยตระหนักว่าพระ เจ้าทรงอยู่เคียงข้างเราเสมอ เราจะแบกกางเขนของตนและติดตามพระองค์ไปในแต่ละวันด้วยความมั่นใจว่าผ่านทาง กางเขนเราจะพบความรอดพ้นที่พระเยซูเจ้าทรงเตรียมไว้สาหรับเราอย่างแน่นอน ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี
ข้อคิดยามเช้า วันอาทิตย์ ที่ 26 ตุลาคม ค.ศ.2014 คาถามที่ว่า “บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกในธรรมบัญญัติ?” (มธ 22:36) แม้ว่าในหนังสือโตราห์ซึ่งเป็นหนังสือ พระคัมภีร์ห้าเล่มแรกของชาวยิวมีบทบัญญัติ มากมายถึง 613 ข้อ แต่สาหรับชาวยิวที่มใี จ ศรัทธาทุกคนมีเพียงคาตอบเดียวไม่ใช่เรื่องแปลก ที่พระเยซูเจ้าซึ่งเป็นชาวยิวที่เชีย่ วชาญในพระ คัมภีร์ จะทรงตอบว่า “ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน สุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาของท่าน”(มธ 22:37) แต่ที่น่าประหลาดใจคือ พระองค์ทรงเพิ่มบทบัญญัติเพิ่มอีกข้อหนึ่ง “ท่านต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง” (มธ 22:39) คาถามที่ว่า “บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกในธรรมบัญญัติ?” ควรมีคาตอบเดียว แต่พระเยซูเจ้าทรงให้สอง คาตอบ คาตอบแรกพระองค์นามาจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ (ฉธบ 6:5) ส่วนคาตอบที่สองพระองค์นามาจาก หนังสือเลวีนิติทบี่ อกว่า “ท่านจะต้องไม่แก้แค้น หรืออาฆาตชนชาติเดียวกับท่าน แต่จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองเราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า” (ลนต 19:18) พระเยซูเจ้าทรงรวมธรรมบัญญัติสองข้อ ซึ่งแยกกันอยู่ในหนังสือพระคัมภีร์สองเล่มเข้าด้วยกัน ทรงทาให้ทั้งสองเป็นหนึ่งเดียวกัน พระองค์ต้องการบอกเราว่า ไม่มีความรักแท้ต่อพระเจ้าที่ปราศจากความรักต่อ เพื่อนมนุษย์ และไม่มีความรักแท้ต่อเพื่อนมนุษย์ที่ปราศจากความรักต่อพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี
ข้อคิดยามเช้า วันจันทร์ ที่ 27 ตุลาคม ค.ศ.2014 สาหรับเราส่วนใหญ่ “การรักพระเจ้า” เป็นเรื่องง่ายกว่า “การรักเพื่อนมนุษย์” เพราะพระเจ้าทรงสมบูรณ์พร้อม ทุกอย่าง พระองค์ไม่ทรงเคยทา ผิดต่อเรา เป็นเราต่างหากที่ไม่ เข้าใจพระองค์ แต่สาหรับเพื่อนมนุษย์ของเราไม่ได้เป็นเช่นนัน้ เราทุกคนล้วนมีความบกพร่อง และ ความอ่อนแอ การกระทบกระทั่งกันจึงเป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งอยู่ใกล้กัน ก็ยงิ่ มีโอกาสขัดใจกัน หลายครั้งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรักคนที่ ทาผิดต่อเรา คนที่ทาให้เราต้องเจ็บช้าน้าใจ .. จะรักไปได้อย่างไร แต่ในพระวรสาร พระเยซูเจ้าทรงชีใ้ ห้เราเห็นอย่างชัดเจนว่า เราไม่สามารถแยกความรักทีเ่ รามีต่อพระเจ้า และต่อเพื่อนมนุษย์ออกจากกันได้ มีเรื่องเล่าว่านักบุญยอห์น อัครสาวก มีชีวิตอยูจ่ นกระทั่งวัยชรา ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ท่านอ่อนแรงลงไป มากท่านไม่สามารถเทศน์ยาว ๆ ได้เหมือนตอนที่ยังเป็นหนุ่ม แต่สิ่งที่ท่านแบ่งปันแบบสั้น ๆ และเหมือนกันทุกครัง้ คือ “ลูกที่รักทั้งหลาย จงรักกันและกันเถิด” เมื่อท่านพูดประโยคเดิมซ้า ๆ บ่อย ๆ หลายคนเริ่มเบื่อกับความจาเจในคาพูดของท่าน ที่สุด มีคนหนึ่ง รวบรวมความกล้าและถามท่านว่า “อาจารย์ ทาไมท่านพูดเรื่องเดียวกันทุกครั้งเลย” นักบุญยอห์นตอบด้วยความอดทนและอย่างสงบว่า “เพราะว่ามันเป็นคาสั่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าถ้าเพียงสิ่งนี้ถกู นาไปปฏิบัติ ก็เป็นการเพียงพอแล้ว” ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี
ข้อคิดยามเช้า วันอังคาร ที่ 28 ตุลาคม ค.ศ.2014 การรักพระเจ้า และการรัก เพื่อนมนุษย์ เป็นธรรมบัญญัตทิ ี่ยิ่งใหญ่ ที่สุดใน บรรดาธรรมบัญญัตทิ ั้งหลาย พระเยซูเจ้าไม่เคยเหนื่อยอ่อนที่จะพูด ถึงเรื่องนี้ซ้าไปซ้้ามา เราก็เช่นเดียวกัน เพราะเวลานี้โลกของเราต้องการ ความรัก โลกจ้าเป็นต้องมีความรัก นักบุญยอห์นพูดได้อย่าง ถูกต้องที่บอกว่า “ถ้าเพียงสิ่งนี้ถกู นาไปปฏิบัติ ก็เพียงพอแล้ว” ถ้าความรักเป็นพลังควบคุมโลกนี้ โลกของเราจะไม่มีความเกลียดชัง ไม่มกี ารเข่นฆ่าหรือสงคราม ไม่มีการแก่งแย่งชิงดีชงิ เด่น ไม่มีความเห็นแก่ตวั ไม่มีความอิจฉาริษยา และไม่มีความอยุติธรรม จะมีแต่เพียงการให้ อภัยและการรับใช้ซึ่งกันและกัน เรายังอยู่ห่างไกลจากจุดนี้มาก แต่เราต้องพยายามไปให้ถึง เราสามารถเริ่มต้นภายใน แวดวงของคนใกล้ชิดเราก่อน ผู้รู้ท่านหนึ่งบอกว่า “ความรักเริ่มต้นที่บ้าน” เราต้องเริ่มกับบุคคลซึ่งเราด้าเนินชีวิตอยู่ด้วย หรือ ท้างานด้วยกันทุกวัน มีห้องมากมายส้าหรับความรักในใจ ของเรา เพราะต้นก้าเนิดของเราแต่ละคนคือ “พระเจ้า” ผู้ทรงเป็น “ความรัก”
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี
ข้อคิดยามเช้า วันพุธ ที่ 29 ตุลาคม ค.ศ.2014 อุปมาของพระเยซูเจ้าตอนหนึ่ง เล่าให้เราฟังถึงเศรษฐี ซึ่งคิดว่าตนเองเป็น บุคคลที่ประสบความสาเร็จในชีวิต ทางาน หนักมาหลายปี และ เวลานี้มีทกุ สิ่งที่เขา ต้องการ เวลานี้เขาไม่ต้องทาอะไรแล้ว นอกจากเสวยสุขกับสิ่งที่มี แต่พระเจ้าตรัส กับเขาว่า “คนโง่เอ๋ย คืนนี้ เราจะเรียกเอาชีวิตเจ้า ไป แล้วสิ่งที่เจ้าได้เตรียมไว้จะเป็นของ ใครเล่า” (ลก 12:20) พระเยซูเจ้าไม่ได้บอกว่าในตัวของทรัพย์สินเงินทองเป็นสิง่ ชั่วร้าย ความโลภ ความไม่รู้จักพอ และ การนา ทรัพย์สินเงินทองไปใช้ในทางทีผ่ ิดต่างหากที่ถือว่าเป็นสิง่ ชั่วร้าย พระเยซูเจ้าทรงสรุปไว้ว่า “คนที่สะสมทรัพย์สมบัติไว้สาหรับตนเอง แต่ไม่เป็นคนมั่งมีสาหรับพระเจ้า ก็จะเป็นเช่นนี”้ (ลก 12:21) การเป็นคนมั่งมีสาหรับพระเจ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีทรัพย์สมบัติมากหรือน้อย แต่ขึ้นอยู่กับท่าทีของเราต่อ ทรัพย์สมบัติมากกว่า เงินมีไว้เพือ่ ซื้ออาหาร เครื่องนุ่งหม ที่อยู่อาศัย และ ใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของลูกหลานใน ครอบครัว ช่วยเราในการประกาศข่าวดี และ รับใช้พระคริสตเจ้า เป็นส่วนหนึง่ ที่ทาให้เราสามารถช่วยเหลือเพื่อน มนุษย์ที่เดือดร้อนได้ นักบุญเปาโลเตือนเราไว้วา่ “ความรักเงินตราเป็นรากเหง้าของความชั่วร้ายทุกประการ” (1 ทธ 6:10) หากเราแสวงหาและใช้เงินทองเพียงเพื่ออานาจและความพึงพอใจฝ่ายเนื้อหนัง มันจะกลายเป็นสิ่งชั่วร้ายได้ คนยากจนที่โลภและเห็นแก่ตัวก็มีคนรวยที่ใจดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และไม่เห็นแก่ตัวก็เยอะ นักบุญเปาโลจึงให้ข้อคิด เตือนใจเราไว้ว่า “จงคิดถึงแต่สิ่งที่อยู่เบื้องบนอย่าพะวงถึงสิ่งของบนแผ่นดินนี้” (คส 3:2) ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี
ข้อคิดยามเช้า วันพฤหัสบดี ที่ 30 ตุลาคม ค.ศ.2014 “จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ จงแสวงหาเถิด แล้วท่านจะพบ จงเคาะประตูเถิด แล้วเขาจะเปิดประตูรับท่าน เพราะคนที่ขอ ย่อมได้รับ คนที่แสวงหา ย่อมพบ คนที่เคาะประตู ย่อมมีผู้เปิดประตูให้” (ลก 11: 9-10) หลายครั้งเราอาจตั้งคาถามว่าทาไมเราต้องวอนขอพระเจ้าอย่างไม่หยุดหย่อน ทั้ง ๆ ที่พระองค์ทรงรักและ ดูแลเอาใจใส่เราเสมอ ที่จริงแล้ว การวอนขอพระเจ้าไม่ใช่เพื่อเตือนพระองค์เกี่ยวกับสิ่งที่เราต้องการบ่อยครั้งที่พระเจ้า ไม่ประทานสิ่งที่ต้องการแก่เรา เพราะสิ่งที่เราต้องการอาจไม่เหมาะสมในสายพระเนตรของพระองค์ คาอธิษฐาน ภาวนาของเราต้องสอดคล้องกับแผนการ และ พระประสงค์เพือ่ มนุษยชาติทั้งครบของพระองค์ด้วย พระเจ้าทรงรู้ดีว่าอะไรคือสิ่งที่จาเป็นสาหรับเรา แต่เป้าหมายของการอธิษฐานภาวนาคือ ความเป็นหนึ่ง เดียวกันของเรากับพระเจ้า ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทาและประทานแก่เราล้วนเป็นการให้เปล่า ด้วยเหตุนี้ เราจึงเรียก สิ่งที่มาจากพระองค์ว่า “พระพร” หรือ “ของประทาน” เราควรเข้าใจด้วยว่าการที่พระองค์ทรงโปรยปรายพระพร หรือ ของประทานมากมายมายังเราอย่างไม่ขาดสายนั้น ไม่ใช่เพราะว่าเราเป็นคนดี เก่ง น่ารัก หรือ เหมาะสมที่จะ ได้รับ แต่เพราะพระองค์ทรงรักเรา ของประทานยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระเจ้าทรงมอบให้แก่เราคือ พระเยซูเจ้า เราไม่ได้ทาสิง่ ใดที่สมควรให้พระเจ้าส่ง พระบุตรสุดที่รัก และ หนึ่งเดียวองค์นี้ลงมาเพื่อไถ่บาปเรา พระเจ้าทรงเป็นผู้ริเริ่มเองทุกอย่าง แม้ว่าเราเป็นคนบาป พระองค์ก็ยังทรงรักเราและแสดงความรักนั้นในวิถีทางพิเศษและสามารถสัมผัสได้ พระเยซูเจ้าทรงสานต่อภารกิจแห่ง รัก และ แสดงให้เราเห็นความรักแบบให้เปล่านีต้ ่อไปเรื่อย ๆ จนถึงวินาทีสุดท้ายแห่งชีวิตของพระองค์ ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี
ข้อคิดยามเช้า วันศุกร์ ที่ 31 ตุลาคม ค.ศ.2014 ความเชื่อมั่นและความไว้วางใจใน ความรัก และ พระเมตตาของพระเจ้า เป็น ลักษณะพิเศษของพระแม่มารียค์ าตอบที่ พระนางทรงให้แก่ทูตสวรรค์ของพระเจ้าที่วา่ “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่าน เถิด” (ลก 1:38) สะท้อนให้เราเห็นถึงเรื่องนี้ได้อย่าง ชัดเจน ด้วยความเชื่อที่มั่นคง และความ ไว้วางใจในความรักของพระเจ้า พระนาง ตอบรับสาสน์ของพระเจ้าด้วยความเต็มใจ ผลที่ตามมาก็คือ แผนการแห่งการกอบกู้ มนุษยชาติของพระเจ้า ซึ่งมีมาตั้งแต่นิรันดร ภาพได้กลายเป็นความจริง นี่แหละคือ อานุภาพของ ความเชื่อ และ ความไว้วางใจ ในความรักของพระเจ้า ในฐานะลูกของแม่ พระ เรามีภารกิจที่ต้องสานต่อ แม่พระเคยบอกว่าสักวันหนึ่งอาศัยสายประคาจะเป็นอาวุธช่วยโลกให้รอดพ้น สายประคาคือเครื่องมือช่วยให้ คนบาปกลับใจ และ วิงวอนขอพระหรรษทานของพระเจ้ามาสูค่ รอบครัว ครอบครัวที่สวดสายประคาด้วยกันจะอยู่ ด้วยกัน ใครก็ตามที่สวดสายประคาอย่างศรัทธาจะก้าวหน้าในความศักดิ์สิทธิ์ และ จะได้รับความคุ้มครองจากแม่พระ เพราะฉะนัน้ ให้เรามั่นใจในความช่วยเหลือของพระแม่ และ พยายามใช้สายประคาเป็นอาวุธ เพื่อเอาชนะศัตรูทั้งฝ่าย กายและฝ่ายวิญญาณ ขอแม่พระอยู่เคียงข้าง และ เอาใจใส่เราผู้ซึ่งเป็นลูกของพระนางตลอดไป ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี