ตำำนำนกำร ศึกษำใน สยำม มนุษย์ เรำรู้ จักกำร ศึกษำ หรือกำรเล่ ำ เรียนมำนำนแล้ว น่ ำจะพูดได้ ว่ำ มี มำตั้งยุคสมัยหิน หรืออย่ ำงช้ ำ ก็ ตั้งแต่ ยุคแรกของ ยุคประวัตศิ ำสตร์ เพียงแต่ ว่ำในเวลำ นั้น เป็ นกำรเล่ำ เรียนประเภท ถ่ ำยทอดควำมรู้ จำกผู้ทรงควำมใน เรื่องนั้น ๆ โดยตรง ระบบ กำรศึกษำ ที่ ถ่ ำยทอดควำมรู้ ให้ กนั อย่ ำงเป็ น ระบบ อย่ ำง โรงเรียนนั้น มำ เกิดทีหลังมำกใน ประเทศไทย
สมัยสุ โขทัย การศึกษาใน รู ปแบบโรงเรี ยน ของสยามประเทศ นั้น เพิง่ จะเกิดขึ้น อย่างเป็ นทางการ ก็เมื่อในรัชกาล พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้า เจ้าอยูห่ วั ฯ เป็ นต้นมา เมื่อ เป็ นเช่นนี้ แล้ว การศึกษาของ สยามก่อนหน้า นั้น จะเป็ น อย่างไร ? ซึ่งหลัก ฐานที่แน่นอนถูก ต้องตามความเป็ น จริ งในเรื่ องนี้ ก็มี อยูไ่ ม่มากนัก และ เท่าที่มีอยู่ ก็เป็ น แค่การสันนิษฐาน เอากันเะองในรุ่ น หลัง ๆ นี่เอง โดย อาศัยหลักฐาน แวดล้อมจาก พงศาวดารหลาย ฉบับ แต่ถึง กระนั้นก็สามารถ หาคำาตอบได้วา่ สถานศึกษาของ
ไทยในสมัยกรุ ง สุ โชทัย นั้น พอที่ จะแยกออกมาได้ เป็ น 4 แห่ งกัน คือ วัง สำ ำนัก รำชบัณฑิต และ บ้ ำน วัง การศึกษา ในวังนั้น ก็เป็ น เรื่ องของสถาบัน กษัตริ ยโ์ ดยตรง ผูท้ ี่จะมีโอกาส ศึกษาในสถาน ศึกษาในรั้วในวัง ได้ ถ้าไม่ใช่พระ ราชโอรส ก็ตอ้ ง เป็ นเชื้อพระวงศ์ อันดับรองลงมา นัน่ เอง ผูท้ ี่เป็ นครู สอนก็ได้แก่ พราหมณ์ปุโรหิต และพระภิกษุ ที่ ใกล้ชิดพระ ราชวงศ์ หรื อได้ รับการคัดสรรมา อย่างดี วิชาความ รู ้ที่ใกล้เล่าเรี ยน นอกจากวิชา หนังสื อแล้ว ถ้า เป็ นผูช้ ายก็ตอ้ ง เป็ นวิชาที่เหมาะ สำารับชนชั้น
กษัตริ ย ์ เช่น การ ปกครองอย่าง พระธรรมนูญ ศาสตร์ วิชาการ ต่อสูส้ าำ หรับ นักรบ วิชาคาถา อาคม รวมถึง ตำารับตำาราพิชยั สงคราม แต่ถา้ เป็ นผูห้ ญิง ก็ตอ้ ง เรี ยน เรื่ อง การเรื อน การเย็บ ปั กถักร้อย สำ ำนัก รำชบัณฑิต เป็ น สถานที่ศึกษาของ บรรดาลูกหลาน เจ้านายเชื้อพระ วงศ์ และบรรดา ลูกหลานของ ขุนนางข้าราช บริ พาร ลูกหลาน คหบดี วิชาที่สงั่ สอน เล่าเรี ยนกัน นั้น ก็มีท้ งั ด้าน หนังสื อภาษาไทย ขอม มอญ การ เรี ยนตำาราเฉพาะ ด้าน ในเรื่ องต่าง ๆ ตามความรู้ ความชำานาญของ อาจารย์ในแต่ละ
สำานัก อาจารย์ใน สำานักนี้ส่วนใหญ่ จะเป็ นพวก พราหมณ์และ เหล่านักปราชญ์ ราชบัณฑิต
วัด เป็ นสถานศึกษาของไทยใน อดีต บ้ ำน การ ศึกษานั้นก็เห็นจะ ได้แก่การอบรม กุลบุตรกุลธิ ดา ตามบ้านขุนนาง หรื อ คหบดีผทู ้ ี่ มีหน้าที่สอน กุลบุตรกุลธิ ดาก็ คงได้แก่ ผูเ้ ฒ่าผู้ แก่ ผูอ้ าวุโสใน บ้านเป็ นหลัก หรื อผูท้ ี่มีความ สามารถที่ได้เชื้อ เชิญจ้างมาสอน บุตรหลาน แต่การ เรี ยนภายในบ้าน
ถ้าเป็ นผูเ้ ยาว์วยั ก็ คงสอนแค่วิชา หนังสื อพออ่าน ออกเขียนได้ ต่อ จากนั้น จึงจะได้ ส่ งบุตรที่เป็ น ผูช้ ายไปเรี ยน หนังสื อที่วดั หรื อสำานักราช บัณฑิตต่อไป ถ้า เป็ นลูกหลานที่โต หน่อยก็ตอ้ งเล่า เรี ยนวิชาอาชีพอัน เป็ นอาชีพหลัก ของครอบครัว นั้น ๆ อย่างเช่น ครอบครัวช่าง ทอง ก็เรี ยนทำา ทอง ครอบครัว ช่างเหล็ก ก็เรี ยน การตีเหล็กทำาดาบ เป็ นต้น วัด แต่ที่กล่าว ถึงมาทั้งหมดนี้ ก็ ยังหาใช่แหล่ง ความรู ้หลักของ คนทัว่ ๆ ไปไม่ เพราะเป็ นการเล่า เรี ยนเฉพาะในวง แคบ ๆ สำาหรับ ชนในชั้นนั้นหรื อ ครอบครัวนั้น ซึ่ง
สถานศึกษาที่ สำาคัญที่สุดและ เป็ นต้นกำาเนิดของ โรงเรี ยนอย่าง แท้จริ ง เป็ น สถานที่การเล่า เรี ยนหาความรู้ ของชนทุกชนชั้น อย่างแท้จริ ง สถานที่ที่วา่ นี้ ก็ คงหนีไม่พน้ สำ ำนักสงฆ์ ซึ่งได้ พัฒนากลายมา เป็ น วัด ในตอน ปลายสมัยสุ โขทัย เหตุน้ ีเองลูกผูช้ าย ไทยในสมัย สุ โขทัย และใน สมัยต่อมา จึงต้อง อาศัยวัด เป็ น สถานที่เล่าเรี ยน กับพระสงฆ์องค์ เจ้าเป็ นหลักใหญ่ วิชาที่เล่าเรี ยน กันในวัดนั้น ส่วน ใหญ่กจ็ ะเป็ นการ เรี ยนหนังสื อไทย มอญ และขอม รวมทั้งการอบรม สั่งสอนจริ ยธรรม และเล่าเรี ยน คัมภีร์ทางศาสนา
ทั้งกุลบุตรที่บิดา มารดานำามาฝาก ฝั้งเป็ นศิษย์วดั สามเณร รวมทั้ง ภิกษุอีกด้วย การ สอนก็สอนกันไป ตามความสามารถ และภูมิปัญญา ของพระสงฆ์ใน วัดนั้น ๆ อีก ประการหนึ่ง การ ศึกษาของกุลบุตร นั้นก็คือ การเล่า เรี ยนเพื่อเตรี ยมตัว ที่จะบวช เป็ น สามเณร และภิกษุ ตามขนบประเพณี เมื่อถึงวันอันควร
สมัยอยุธยำ ในสมัยอยุธยา การปกครองได้ เริ่ มมีการจัด ระเบียบให้เป็ น แบบแผนขึ้น ตั้งแต่สมัยพระเจ้า อู่ทองตั้งกรุ ง
ศรี อยุธยา และได้ ถูกจัดระบบการ ปกครองให้รัดกุม ขึ้น ในสมัย พระบรมไตรโลก นาถและใน รัชกาลต่อ ๆ มา อีกหลายครั้ง ทำาให้เกิดระบบ ศักดินาขึ้น มีการ แบ่งชั้นวรรณะ อย่างฃัดเจนขึ้น ในขณะที่สมัย สุ โขทัย ไม่มีการ แบ่ง เมื่อสภาพ ของสังคมเปลี่ยน ไปแนวความคิด ของคนไทยก็ เปลี่ยนไปด้วย ในด้านของ การศึกษานั้นก็ แตกต่างไปจาก สมัยสุ โขทัยไม่ น้อยทีเดียว อย่าง เช่น ความสำาคัญ ของสถานศึกษา ที่เรี ยกว่าสำานัก ราชบัณฑิต ได้ลด ถอยลงไป ใน ขณะเดียวกัน หน้าที่ทางให้การ ศึกษาไปตกอยูท่ ี่
วัด และพระสงฆ์ เป็ นหลักใหญ่ โดยที่กลุ บุตร ที่อยูว่ ยั เยาว์จะถูก ส่ งมาอยูว่ ดั โดยที่ ผูป้ กครองจะนำา ตัวมาฝาก เป็ นลูก ศิษย์พระ หรื อเด็ก วัด ให้อยูก่ บั พระ สงฆ์ในวัดใกล้ บ้านหรื อที่ตนมี ความเคารพ นับถือ หรื อมี ความคุน้ เคยกันดี ซึ่งเด็กนั้นจะได้ รับการสอน หนังสื อทั้งภาษา ไทย ขอม และ วิชาอื่น ๆ ตาม ความรู ้ของพระ สงฆ์ในวัดี นั้น ๆ เพื่อให้ได้รับการ ศึกษาเ่าเรี ยน รวม ทั้งการอบรมศีล ธรรมจรรยาตั้งแต่ ยังเป็ นเด็ก ส่ วน เด็กนั้น ก็จะ มีหน้าที่ปรนนิบตั ิ รับใช้พระสงฆ์ผู้ เป็ นอาจารย์ใน กิจการต่าง ๆ จน เมื่อกุลบุตรนั้นถึง
วัยอันควร ก็จะได้ รับการบวชเป็ น สามเณร หรื อ อุปสมบทเป็ น ภิกษุ เพื่อศึกษา เล่าเรี ยน ตาม ประเพณี ต่อไป ในสมัยอยุธยา นี้เองที่ได้เกิด ประเพณี ที่ลูก ผูช้ ายไทยจะต้อง เข้าอุปสมบท ใน บวรพุทธศาสนา เมื่ออายุครบบวช หรื ออายุครบ 20 ปี บริ บูรณ์ เพื่อ ศึกษาพระธรรม วินยั และปฏิบตั ิ ศาสนกิจเป็ น ระยะเวลาหนึ่งใน ระหว่างเข้า พรรษา สามเดือน เป็ นอย่างน้อย มิ ฉะนั้น จะถือว่า บุคคลนั้นยังเป็ น คนดิบอยู่ (คำาเรี ยก ผูท้ ี่ยงั ไม่บวช เรี ยน) ส่ วนการ บวชสามเณรนั้น ก็ถือว่าเป็ นการ บวชเพื่อเตรี ยมตัว เข้าสู่ การ
อุปสมบท นัน่ เอง และการ อุปสมบทนั้น ก็ ถือได้วา่ เป็ นการ ศึกษาอย่างหนึ่ง ดังที่มีการเรี ยก การอุปสมบทอีก อย่างหนึ่งว่า "การ บวชเรี ยน" เรี ยกผู้ ที่อุปสมบทว่า "ผู้ บวชเรี ยน" โดยมี พระภิกษุผู ้ เชี่ยวชาญทาง หนังสื อ และทาง ธรรมวินยั เป็ นผู้ สั่งสอน มีการ เรี ยนหนังสื อขอม เรี ยนบาลี ศึกษา พระธรรมวินยั เป็ นประการ สำาคัญ อนึ่ง ประเพณี การอุปสมบท กุลบุตรนี้เอง ที่ ทำาให้เกิดคำาเรี ยก ผูท้ ี่ลาสิ กขาบท แล้ว ว่า "ทิด" หรื อ "บัณฑิต" (ทิด กร่ อนมาจากคำาว่า "บัณฑิต" นัน่ เอง บัน-ทิต สมัยก่อน
อ่านอย่างนี้ ตัดเอา เฉพาะคำาหลังคือ "ฑิต") และใน สมัยแผ่นดิน พระเจ้าอยูห่ วั บรม โกศ ก็เกิด ประเพณี ในราช สำานักว่า ผูท้ ี่จะ ถวายตัวเข้ารับ ราชการ นั้น ต้อง เป็ นบัณฑิต คือ ผ่านการอุปสมบท มาแล้ว เพราะจะ ไม่ทรงรับ ผูท้ ี่ยงั มิได้บวชเรี ยนรับ ราชการเลย ซึ่งการ ศึกษาในวัด จะมี ทั้งการอบรมสั่ง สอนทั้งด้าน จริ ยศึกษา และ พุทธิ ศึกษา ที เดียว นอกจากนี้ ในบางวัด ยังได้มี การสอนวิชา พิเศษนอกเหนือ ไปจากที่กล่าวมา เป็ นการเพิ่มเติม ตามความสามารถ ของพระภิกษุใน วัดนั้น ๆ อย่าง
เช่น วัดที่มีพระ ภิกษุที่มีความรู้ ความสามารถใน เชิงช่างต่าง ๆ ก็ จะมีการสอนวิชา เหล่านั้น ให้ดว้ ย หรื อวัดใดมีพระ ภิกษุที่มีความรู้ ทางวิชาการต่อสู้ ทั้งมวยไทย และ วิชาอาวุธ ต่าง ๆ ท่านก็จะถ่ายทอด วิชาให้กบั ผูเ้ ป็ น ศิษย์ต่อไป และ ในทำานอง เดียวกัน ถ้าวัดใด มีพระภิกษุที่ทรง วิทยาคุณทาง คาถาอาคม ก็จะมี ถ่ายทอดในด้านนี้ เช่นกัน ซึ่งจากการที่ ได้มีการเล่าเรี ยน วิชาการต่อสูใ้ น วัดดังกล่าวมาแล้ว นี้เอง ทีไ่ ด้ ทำำให้ เกิดคลำดเคลือ่ น ทำงข้ อมูลใน ปัจจุบนั นี้ จนถึง ขนำดมีคนเอำชื่อ วัดพุทไธศวรรย์ มำตั้งเป็ นชื่อ
สำ ำนักดำบ และ ก็ได้ มีกำรนำำเสนอ ข้ อมูลบอกเล่ ำกัน มำ ในทำำนองว่ ำ "วัดพุทไธศวรรย์ คือ สำ ำนักดำบ ใหญ่ ในสมัย อยุธยำ" แต่ที่ถูก ต้องแล้วในสมัย อยุธยา วัดแห่ งนี้ มิได้เป็ นสำานัก ดาบอย่างแท้จริ ง ดังที่ได้มีการ ยืนยันกันนั้น เพียงแต่วา่ ในวัดนี้ ได้มีการสอนวิชา เพลงอาวุธกัน และที่มีการสอน วิชาเพลงอาวุธใน วัดนี้จนโ่ด่งดัง ก็ เนื่องมาจากการที่ วัดนี้ มีขนุ นาง ฝ่ ายทหารที่มีฝีมือ ทั้งเพลงอาวุธ และตำาราพิชยั สงครามมาบวช อยูต่ ้ งั แต่เริ่ มสร้าง วัด และในเวลา ต่อมา ก็มีอดีต นักรบมาบวชจำา
พรรษาที่นี่เรื่ อยมา เมื่อพระคุณเจ้า มี ความสามารถใน เรื่ องนี้ จึงได้มี ผูน้ าำ บุตรหลานมา ฝากฝังเรี ยนวิชา เพลงอาวุธ แต่ถา้ เป็ นศิษย์ที่เป็ น ภิกษุ-สามเณร ก็ คงเรี ยนในเรื่ อง ของตำารับตำารา ต่าง ๆ ที่เกี่ยวการ รบเท่านั้น ท่านคง ไม่ห่มผ้าเหลืองมา รำาดาบ ฟันดาบ เล่นกระบี่ กระบอง ก็คงต้ องชี้แจ งกันรว่ ำ สมัย อยุธยำ "สำ ำนัก ดำบพุทไธศวรรย์ ไม่ มี คงมีแต่ วัด พุทไธศวรรย์ " เท่ ำนั้น โรงเรียนแห่ งแรก ในสยำม คนอยุธยา คงอาศัยวัดเป็ นที่ เล่าเรี ยนเรื่ อยมา จนกระทัง่ ในรัช สมัย สมเด็จพระ
นารายณ์มหาราช เมื่อประเทศสยาม ได้ติดต่อทาง สัมพันธไมตรี และทางการ ค้าขายกับชาติ ตะวันตกมากขึ้น สถานศึกษาที่รูป แบบเป็ นโรงเรี ยน ได้เกิดขึ้นอย่าง เป็ นทางการ โรงเรี ยนดัง กล่าวนี้กค็ ือ ศำลำ โรงเรียน หรื อ บ้ ำนสำมเณรใหญ่ หรื อ โรงเรียน สำมเณร ที่ต้ งั อยู่ ณ ตำาบลเกาะ พราหมณ์ (อยูท่ าง ตอนเหนือของ กรุ ง ศรี อยุธยา) ผูท้ ี่ต้ งั โรงเรี ยนแห่ งนี้ ข้ ึน มาก็คือ สั งฆรำช หลุยส์ ลำโน บาทหลวง ในคณะ มิชชันนารี คาทอลิก ฝรั่งเศส ภายใน โรงเรี ยนแห่ งนี้ มีผู้ เล่าเรี ยนอยู่ ส่ วน ใหญ่เป็ นสามเณร มีสามเณรเล็ก ประมาณ 30 คน
สามเณรใหญ่ ประมาณ 30 คน
ศาลา โรงเรี ยนนี้ ปรากฏหลักฐาน ว่า มีวิทยฐานะ เทียบเท่าได้กบั วิทยาลัย ใน มหาวิทยาลัย ปารี ส วิชาความรู้ การเรี ยนการสอน ก็ใกล้เคียงกับที่ สอนกัน ใน วิทยาลัยนั้น คือ วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ เทว ศาสตร์ และ ปรัชญา ซึ่ง เป็ นการเรี ยนรู้ เกี่ยวกับเรื่ องราว ของโลกและ มนุษย์ ส่ วนการ เรี ยนด้านภาษา ที่ มีท้ งั ภาษาลาติน ภาษาฝรั่งเศส ซึ่ง ในเรื่ องเกี่ยวกับ ศาลาเรี ยนนี้ ส. ทรงศักดิ์ศรี ได้
สรุ ปเอาไว้วา่ "...จะเห็นได้ ว่าบ้านเณรใหญ่น้ ี เปรี ยบเสมือน มหาวิทยาลัยแห่ง แรก ในสยามก็ซ่า ได้" นอกจากนี้ ยัง มีหลักฐานระบุอีก ว่า ที่ศาลา โรงเรี ยนนี้ เอง สังฆราชลาโน ท่านได้จดั การให้ มีการตั้งโรงพิมพ์ และทำาการจัด พิมพ์หนังสื อขึ้น มาใช้ ในประเทศ สยาม นอกจากนี้ยงั มี เรื่ องเกี่ยวกับการ ตั้งโรงเรี ยนใน สมัยสมเด็จพระ นารายณ์ ปรากฏ ข้อมูลอยูใ่ น หนังสื อเรื่ อง ควำมเป็ นมำของ แบบเรียนไทย ซึ่งจัดทำาโดย ฝ่ าย ห้องสมุด ศูนย์ พัฒนาหนังสื อ กรมวิฃาการ กระ ทรวงศึกษธิ การ
ซึ่งได้กล่าวถึง เรื่ องนี้เอาไว้ (หน้าที่ 1) อีกว่า "สมัยนี ้ มีการ เรี ยนการสอนทั้ง ภาษาไทย และ ภาษาต่ างประเทศ นอกจากบาลี สันสกฤตและ เขมรแล้ ว ยังมี ภาษาฝรั่ งเศส พม่ า มอญ และ จี น ถึงขัน้ มี โรงเรี ยน สอน หนังสื อ แต่ กเ็ ป็ น โรงเรี ยนของพวก บาทหลวงที่ เข้ า มาเผยแพร่ ศาสนา คริ สต์ คือ โรง เรี ยนศีอยุธยา โรงเรี ยนมหา พราหมณ์ วิทยา ลัยคอนสแตนติน โรงเรี ยนสามเณร และวิทยาลัยแห่ ง ชาติ" จากข้อมูลดัล กว่านี้ ก็ค่อนข้าง แปลกกว่าที่ได้เคย รับรู ้มา แต่กเ็ ป็ น ปมปั ญหา ที่น่า สนใจน่าศึกษากัน
ต่อไป เกี่ยวกับ ระบบการศึกษา ในสมัย สมเด็จ พระนารายณ์ฯ จินดำมณี แบบ เรียนเล่มแรกใน สยำม ? "จิ นดามณี เป็ น ตำาราเรี ยน หนังสื อไทย แต่ ง ไว้ พิสดารตั้งแต่ หั ดอ่ าน จนถึง แต่ งโคลงฉั นท์ กาพย์ กลอน บอกไว้ ในตำานาน นั้นว่ า พระ โหราจารย์ ชาว เมืองโอฆบุรี (คือ เมืองพิจิตร) เป็ น ผู้แต่ งและมี หนังสื อเรื่ องหนึ่ง คื อ พระราช พงศาวดาร (ซึ่ ง หอ สมุดฯ สมมติ ชื่ อเรี ยกว่ า "ฉบับ หลวงประเสริ ฐ" นั้น) ในบาง แผนกข้ างต้ นว่ า สมเด็จ พระ นารายณ์ ดำารั สสั่ง ให้ พระโหราฯ แต่ งขึน้ เมื่อ
พุทธศักราช 2223 เป็ นสันนิษฐาน ว่ า สมเด็จพระนา รายณ์ ฯ คงโป รดฯ ให้ พระ โหราฯ คน เดียวกัน แต่ งทั้ง หนังสื อ จิ นดามณี และ หนังสื อพระราช พงศาวดาร นอกจากนีย้ งั มี เค้ าเงื่อนที่ จะ สันนิษฐาน ต่ อ ไปอีกข้ อหนึ่งว่ า เพราะเหตุใด สมเด็จพระนา รายณ์ ฯ จึ งมี รั บสั่งให้ พระ โหราฯ แต่ ง หนังสื อสองเรื่ อง นั้น ด้ วยปรากฏ ในเรื่ อง พงศาวดารรั ชกาล สมเด็จพระนา รายณ์ ฯ ว่ า เมื่อ พวกบาทหลวง ฝรั่ งเศสแรกเข้า มาตั้งสอนศาสนา คริ สตังใน พระนครศรี อยุธย า นั้น มาตั้ง
โรงเรี ยนขึน้ สำาหรั บสอน หนังสื อแก่ เด็ก ไทยด้ วย อาศัย เหตุนั้น เห็นว่ า คงเป็ นเพราะ สมเด็จพระนา รายณ์ ฯ ทรงพระ ราชดำาริ ว่า ถ้ าฝ่ าย ไทยเอง ไม่ เอา ธุระ จัดบำารุ งการ เล่ าเรี ยนให้ รุ่ งเรื อง ก็จะเสี ย เปรี ยบฝรั่ งเศส พระโหราฯ คง เป็ นปราชญ์ มีชื่อ เสี ยงว่ าเชี่ ยวชาญ อักขรสมัยอยู่ใน ครั้ งนั้น สมเด็จ พระนารายณ์ ฯ จึง มีรับสั่ ง ให้ เป็ นผู้ แต่ งตำาราสอน หนังสื อไทยขึน้ ใหม่ ส่ วนการที่ โปรดฯ ให้ แต่ ง หนังสื อ พระราช พงศาวดารนั้น จะ เป็ นแต่ งหนังสื อ เรี ยนหรื อแต่ งสำา หั บให้ เป็ นความรู้ แก่ พูต่างประเทศ
ที่ เข้ ามาในครั้ ง นั้น ก็อาจเป็ นได้ ทั้งสองสถาน แต่ ควรฟั งเป็ นยุติ ได้ ว่ า การที่ กวดขัน ให้ ลกู ผู้ดีเล่ าเรี ยน หนังสื อไทยคง เริ่ มขึน้ ในรั ชกาล สมเด็จ พระนา รายณ์ ฯ..." (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำารงราชานุภาพ ทรงอธิ บายไว้ใน "บันทึกสมาคมวรรณคดี" ปี ที่ 1 เล่มที่ 5 พุทธศักราช 2475) และ "จินดามณี " นี้เอง ที่มีความเชื่อกัน ว่า เป็ นแบบเรี ยน เล่มแคกของไทย และเป็ นแม่บท ของแบบเรี ยน สมัยต่อ ๆ มาอีก หลายเล่ม ซึ่งใช้ กันอย่างแพร่ หลาย มาตั้งแต่ สมัยอยุธยาจนถึง สมัย รัตนโกสิ นทร์ แต่ถึงอย่างไร ก็ตาม ก็ยงั มีนกั ปราชญ์ นัก ประวัติศาสตร์อีก หลายท่าน ที่มี
ความคิดแตกต่าง ไปจากนี้ นัน่ ก็คือ ปั ญหาที่มีผู ้ พยายามขบคิด หาความจริ งว่า "จินดำมณี เป็ นแบบเรียนเล่ม แรกของไทยจริง ๆ หรือ ?" ซึ่งทรงวิทย์ ดลประสิ ทธิ์ ได้ ตั้งคำาถามเอาไว้ ในบทความเรื่ อง จินดามณี "ตำารา" เล่มแรกจริ งหรื อ? (ศิลปวัฒนธรรม ปี ที่ 2 ฉบับที่ 7 พฤษภาคม 2524) ดังนี้ "...ถ้ าหากเป็ น ตำาราเล่ มแรกจริ ง แล้ ว หมายความ ว่ า ก่ อนหน้ านั้น ไม่ มีตาำ ราหรื อ? "ในเมื่อไม่ มี ตำารามาก่ อน ถ้า เช่ นนั้นคนไทย ก่ อนสมัยสมเด็จ พระนารายณ์ ฯ เรี ยนหนังสื อด้ วย
วิธีการเช่ นไรไ "คำาว่ า "ตำารา" มีความหมายก ว้ างขวางคับแคบ แค่ ไหน? เพราะ เรามีตาำ รายา ตำารา หมอดูอะไรต่ อมิ อะไรจิ ปาถะ กระ ้ ารั บพิชัย ทั่งตำ สงคราม ซึ่ งเชื่ อ กันว่ า มีมาแต่ ครั้ ง สมเด็จพระบรม ไตรโลกนาถ หรื อครั้ งสมเด็จ พระรามาธิ บดีที่ 2 เป็ นอย่ างน้ อย "ถ้ าหาก จิ นดามณี เป็ น "ตำาราภาษาไทย" ที นีก้ ารเรี ยนรู้ อักษรไทย หรื อ การเรี ยนรู้ การ แต่ งโคลงฉั นท์ กาพย์ กลอนก่ อน หน้ าสมเด็จพระ นารายณ์ มหาราช ล่ ะเป็ นอย่ างไร "ท้ ายที่ สุด สมมติว่า จิ นดามณี เป็ น ตำาราภาษาไทย เล่ มแรกแล้ ว ข้อ
สงสัยมีอยู่ว่า เป็ น ตำาราสอนใคร?" ซึ่งในเรื่ อง นี้ (ในบทความ เรื่ องเดิมของคุณ ทรงวิทย์) ได้มี การถามความเห็น จากนักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ นักภาษาศาสตร์ หลายท่านดังนี้ ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ ประเสริ ฐ ณ นคร ผูเ้ ชี่ยวชาญทาง จารึ กภาคเหนือ และ ด้าน ประวัติศาสตร์ โบราณคดี และ หนึ่งในคณะ กรรมการชำาระ ประวัติศาสตร์ ได้ มีความเห็นว่า "ที่ ว่า หนังสื อ จิ นดามณี เป็ น แบบเรี ยนเล่ ม แรกนะครั บ ผม เข้ าใจว่ า สมัย ก่ อน คือ สมัย สมเด็จพระ นารายณ์ มหาราช
นั้น พวกฝรั่ งต่ าง ชาติ เข้ ามาติดต่ อ ค้ าขาย และมี สัมพันธไมตรี กัน นั้น พวกฝรั่ งเขา คงถามคนไทยว่ า เมืองไทย มี ประวัติศาสตร์ ไหม อะไร ทำานองนี ้ เมื่อยัง ไม่ มี ประวัติศาสตร์ ไม่ มีตาำ ราเรี ยน ที่ จะอ้ างพวกฝรั่ ง เขาได้ สมเด็จ พระนารายณ์ ฯ ท่ านก็ทรงโปรดฯ ให้ มีการเขียน พงศาวดารขึน้ มา เป็ นฉบับหลวง ประเสริ ฐ" "...พอต่ อมา ท่ านจึ งโปรด เกล้ าฯ ให้ พระ โหราธิ บดี แต่ ง หนังสื อจิ นดามณี เืพื่อเป็ นตำารา เรี ยนของเราขึน้ มาอย่ างที่ พอมี หลักฐานเหลืออยู่ คื อพอจะทำาให้ ฝรั่ ง เขาเชื่ อถือได้
ว่ า ไทยเรามีตาำ รา เรี ยนเหมือนกัน "ที นีจ้ ะเชื่ อว่ า จิ นดามณี เป็ น ตำาราเล่ มแรกของ เราได้ หรื อไม่ นั้น ก็เป็ นที่ ยอมรั บ กัน ในนักศึกษา ผู้ใหญ่ ๆ เพราะ ท่ านมีหลักฐาน มาอ้ างมายืนยัน ไว้ เราก็รับฟั งไว้ ก่ อน เพราะเรา เองก็ยงั หาหลัก ฐานมาหั กล้ าง มา ขัดแย้ งไม่ ได้ ซึ่ ง อันนีต้ ้ องใช้ เวลา พอสมควร" "อย่ าเพิง่ ให้ ผมสรุปเลยนะ ครับ ผมว่ าเอาไว้ ให้ เราค้ นหาหลัก ฐานมาได้ เป็ นที่ แน่ นอนดีกว่ า จึง ค่ อยนำามาศึกษา มาอ้ างมายืนยัน ว่ า จินดามณี ไม่ ได้ เป็ นตำาราเล่ ม แรก" อาจารย์เปลื้อง ณ นคร (นาย
ตำารา ณ เมืองใต้) ผูเ้ ชี่ยวชาญภาษา ไทย มีความเห็น ว่า "หนังสื อ จิ นดามณี ที่ว่าเป็ น ตำาราเล่ มแรกของ ไทยนั้น ก็ตาม เรื่ องตามหลัก ฐาน มันไม่ มีเล่ ม อื่นนี่ สารานุกรม เขาอธิ บายเอาไว้ ละเอียดมาก โดย เฉพาะหลักฐาน ฉบับพระโหราธิ บดี และอีกเล่ มก็ ของกรมหลวง วงศาธิ ราชสนิท ในรั ชกาลที่ 3" "หนังสื อเก่ า ก่ อนจิ นดามณี เราก็ยงั ไม่ พบ" ผูช้ ่วย ศาสตราจารย์ ร้อย เอก เสนีย ์ วิลา วรรณ อดีต หัวหน้า ภาควิชา ภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัย ศิลปากร ให้ ทรรศนะว่า
"เรื่ องหนังสื อ จิ นดามณี นี่ เขาก็ เชื่ อมาอย่ างนั้น นะ เพราะมันมี หลักฐานอยู่แล้ ว ก่ อนหน้ านั้นมัน ไม่ มี แต่ เท่ าที่ มี การตรวจ การค้ น พบ มันไม่ น่าจะมี แค่ นั้น..." "เรื่ อง จิ นดามณี ว่าเป็ น เล่ มแรกนี่ ผมไม่ อยากเชื่ อเลย แต่ มันก็ไม่ มีหลัก ฐาน" อาจารย์ ภิญโญ ศรี จาำ ลอง กวีร่วมสมัย และ นักวิชาการ กอง วรรณคดี และ ประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร แสดงความเห็นว่า "...ผมเชื่ อว่ า เป็ นตำาราเล่ มแรก ของไทยนะครั บ โดยเฉพาะวิชา ภาษาไทยของ เรา" "ก็มนั มีหลัก
ฐานนี่ครั บ ปรากฏอยู่ใน พงศาวดาร เล่ ม ใดผมจำาไม่ ได้ " การแสดง ความเห็นในเรื่ อง นี้ ค่อนข้างแตก แจกออกไป มีท้ งั ผูท้ ี่เชื่อว่า "จินดามณี " เป็ น แบบเรี ยนหรื อ ตำาราเล่มแรกของ เมืองไทย ทั้งสอง ฝ่ าย ต่างก็มีขอ้ คิด เห็นรองรับความ เชื่อของตนต่าง กันไป แต่กย็ งั หา บทสรุ ปไม่ได้วา่ "จินดำมณี เป็ นแบบเรียนเล่ม แรกจริงหรือไม่ และถ้ ำไม่ ใช่ หนังสื ออะไร คือ แบบเรียนเล่ มแรก ของไทยเรำ"
สมัยกรุง รัตนโกสิ น ทร์
รัชกาลที่ 5 ผูท้ รงพัฒนาการศึกษา ไทย อย่างเป็ นระบบ ครั้นมาถึง ตอนปลายกรุ ง ศรี อยุธยา ก่อนที่ จะเสี ยกรุ งฯ ครั้ง ที่ 2 ในปี พุทธศักราช 2310 เรื่ อยมาจนถึง กรุ งธนบุรี และใน สมัยต้น กรุ ง รัตนโกสิ นทร์ เมื่อได้มีการกู้ อิสรภาพ บ้าน เมืองคืนสู่สนั ติสุข อีกครั้ง ระบบการ ศึกษาก็เริ่ มเข้ารู ป เข้ารอยกลับมา
เป็ นอย่างเดิม เหมือนในสมัย กรุ งศรี อยุธยาอีก ครั้ง "วัด" ยังคงเป็ น สถานศึกษาสำาคัญ ของคนไทยอยู่ เช่นเดิม ไม่วา่ จะ เป็ นคนระดับไหน ควบคู่ไปกับการ ศึกษาในวัง และ ตามบ้านขุนนาง บ้านคหบดี ความสำาคัญ ของวัดในสมัยต้น รัตนโกสิ นทร์ เรา จะเห็นได้จาก การที่บุคคลสำาคัญ ๆ กวีที่มีชื่เสี ยง ในยุคนั้น เล่าเรี ยน ศึกษา มาจากวัด ด้วยกันแทบจะ ทั้งหมด อย่าง สุ นทรภู่ ก็เรี ยน หนังสื อ ที่วดั ชีปะขาว ในคลอง บางกอกน้อย พระ เทพโมลี ศึกษาที่ วัดพลับ (วัดราช สิ ทธาราม) ธนบุรี สมเด็จพระปรมา นุชิตชิโนรส ก็
นักศึกษา มาจาก สำานักวัดโพธิ์ (วัด พระเชตุพนฯ) แม้ องค์พระบาท สมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้า อยูห่ วั ฯ ก็ทรงเป็ น ศิษย์ของพระพุทธ โฆษาจารย์ วัด โมฬีโลกยาราม วัด ยังคงเป็ น สถานที่ให้การ ศึกษาทั้งด้าน หนังสื อ จริ ยศึกษา พุทธิ ศึกษาและวิชาชีพ ไม่วา่ จะเป็ น โหราศาสตร์ การ ช่าง หมอยา หมอ สมุนไพร เช่น เดียวกันกับใน สมัยอยุธยา
ครั้งถึงรัชกาล พระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้า นภาลัย จึงได้เกิด สถานศึกษาเพิ่ม ขึ้นอีกแห่ ง นอก เหนือไปจากวัด
สถานที่น้ นั ก็คือ "โรงทำน" ซึ่งมีกาำ เนิดมา จากการที่กรม หมื่นเจษฎา บดินทร์ สมเด็จ พระราชวังบวร (สมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั ฯ) ทรงตั้งโรงทาน สำาหรับเลี้ยง อาหารพวกคน ยากจนขึ้น ที่พระ บวรราชวัง (วัง หน้า) ถึงวันพระ ก็ทรงปล่อยสัตว์ และแจกเงิน คน เฒ่าคนแก่ สมเด็จ พระพุทธเลิศหล้า นภาลัย ทรง โสมนัส และทรง โปรดฯ ให้ต้ งั โรง ทานเช่นนั้นขึ้นที่ วังหลวง เรี ยกกัน ว่า "โรงทาน หลวง" มีการจัด ทำาอาหารคาว หวาน เลี้ยงพระ ภิกษุ สามเณร และบรรดา ข้าราชการที่มาอยู่ เวรในพระบรม
มหาราชวัง และ ยังมีการบริ จาค พระราชทรัพย์ เป็ นทานแก่คน ชรา และคนพิการ อีกด้วย จากนั้น ก็ ใช้สถานที่น้ ี เป็ น ที่สาำ หรับพระ สงฆ์ แสดงพระ ธรรมเทศนา และ สอนหนังสื อให้ กับคนทัว่ ๆ ไป ต่อมาในแผ่น ดินสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั ฯ ความสำาคัญ ของวัดในฐานะ สถานศึกษา ได้ เพิ่มขึ้นเป็ นอย่าง มาก เนื่องมาจาก พระองค์ท่านทรง มีพระราชศรัทธา แก่กล้าใน พระพุทธศาสนา ตั้งแต่ ยังไม่ได้ ครองราชสมบัติ เมื่อทรงครองราช สมบัติแล้ว ได้ ทรงบุรณะ ปฏิสัง ชรณ์วดั ทั้งใน และนอกพระนคร ถึง 35 วัด และ
ทรงโปรดเกล้าฯ สร้างขึ้นใหม่ 4 วัด นอกจากนี้ พวกเจ้านาย และ ขุนนางยังได้สร้าง วัด-ปฏิสงั ขรณ์วดั ทั้งที่ได้ทูลเกล้าฯ ถวาย และไดม่ได้ ทูลเกล้าฯ ถวาย อีกมากกว่า 20 แห่ ง จนถึงกับมี คำาว่า ในรัชกาลที่ 3 ว่า "ถ้ ำใครสร้ ำง วัด จะเป็ นคน โปรด" ในด้าน พระพุทธศาสนา ได้มีการสอบไล่ พระปริ ยตั ิธรรม อย่างจริ งจัง โป รดฯ ให้สถาปนา "โรงเรียนสอน พระปริยตั ิธรรม" กสำาหรับภิกษุ สามเณรขึ้นในวัด พระ ศรี รัตนศาสดารา ม ปรากฏว่า มี พระภิกษุสามเณร สอบได้เปรี ยญ เอก โท ตรี ใน แต่ละคราว เป็ น
จำานวนมาก ใช่แต่แค่น้ นั ยัง ได้ทรงมีพระ ราชดำาริ วา่ ใน เรื่ องของวิชาชีพ อื่น ๆ ยังไม่มี สถานที่จะศึกษา เล่าเรี ยนกันได้ ส่ วนใหญ่ จะมี การสอนกัน ภายในครอบครัว หรื อในวงศ์สกุล ไม่เป็ นที่แพร่ หลาย และคน ไทยก็มีนิสยั หวงแหนวิชา ความรู ้ ที่ตนมีอยู่ ไม่ใคร่ จะ ถ่ายทอดให้เป็ น วิทยาทานแก่คน ทัว่ ไป จึงเป็ นเหตุ ให้วิทยาการหลาย อย่างมีอนั ต้อง สูญหายไป อย่าง น่าเสี ยดาย ดังนั้นในคราว ที่ทรงโปรดฯ ให้ มีการปฏิสงั ขรณ์ วัดโพธิ์ (วัด พระเชตุพนฯ) ขึ้น จึงทรงโปรดฯ ให้ ประชุม นัก
ปราชญ์ราฃ บัณฑิต ผู ้ เชี่ยวชาญใน วิชาการต่าง ๆ มา ร่ วมแรง ร่ วมใจ กัน ทำาการจารึ ก วิชาการต่าง ๆ เอาไว้ โดยที่ก่อน จะดำาเนินการ จารึ กวิชาการต่าง ๆ นั้น ก็ให้ผรู ้ ู้ ที่ จะมาร่ วมในการ ถ่ายทอดความรู้ ลงบนแผ่นศิลา ทำาการสาบานตน เสี ยก่อนว่า จะ ไม่มีการปกปิ ด หรื อทำาให้วิชา ความรู ้น้ นั วิปลาส ไปจากที่เป็ นจริ ง วิชาการ ทีทรงให้ รวบรวมผู ้ เชี่ยวชาญในครั้ง นั้นก็มี อาทิ วิชา อักษรศาสตร์ แพทยศาสตร์ คช ศาสตร์ เครื่ อง ประกอบพระราช พิธีต่าง ๆ ขนบประเพณี การช่างต่าง ๆ เป็ นต้น โดยให้นาำ
เอาวิชาการ ที่ได้ รวบรวมผูร้ ู ้มานั้น มาทำาการจารึ กลง บนแผ่นศิลา ทำา เป็ นรู ปปั้น ประกอบคำา อธิ บาย และเขียน เป็ นภาพ จิตรกรรมฝาผนัง เพื่อเป็ นการ สื บทอดวิชาความ รู ้ต่อไปในภาค หน้า มิให้สูญหาย ไป
อุบัตกิ ำรณ์ แห่ งแบบ เรียนภำษำ ไทย จากที่ทราบกัน มาแต่เดิมว่า "จินดำมณี" เป็ น แบบเรี ยนเล่มแรก ของสยามประเทศ ดังกล่าวมาแล้ว เมื่อเวลาผ่านมา มากกว่าศตวรรษ ก็ได้เกิดแบบเรี ยน ขึ้นใหม่อีก 2 เล่ม
คือ หนังสื อ ประถม ก กำ และ หนังสื อ ประถม มำลำ เล่มแรกที่จะ กล่าวถึงคือ "หนังสื อประถม ก กำ" ซึ่งที่มาของ หนังสื อเล่มนี้ ยัง เป็ นปัญหาอยูม่ าก เนื่องจากยังไม่ สามารถบอกได้ ว่า "ใครเป็ นผู้แต่ ง และแต่ งขึน้ เมื่อใด แน่ ?" ซึ่งบาง ข้อมูล ก็ระบุวา่ แต่ในสมัยพระเจ้า กรุ งธนบุรี แต่ก็ ไม่มีหลักฐานที่ แน่นอนใด ๆ มา ยืนยันได้ ถึงอย่าง ก็ตาม ไม่น่าจะ เกินรัชกาลที่ 3 หนังสื อ ประถม ก กา นี้ เป็ นแบบหัดอ่าน เบื้องต้น ตั้งแต่ สอนแจกลูก และ คำากาพย์วา่ ด้วยแม่ ต่าง ๆ แยกออก
เป็ นแม่ ๆ เริ่ มต้น จากการแจกลูก แม่ ก กา แม่ กก แม่ กง แม่ กด จนถึงแม่เกอย เมื่อ แจกลูกจบไปแม่ แม่หนึ่งแล้ว ก็จะ มีการนำาเอาคำาใน แม่น้ นั มาแต่งเป็ น กาพย์ กลอน ต่อ จากนั้น ก็จะ เป็ นการอธิ บายถึง เรื่ อง คำากล้าำ คำา ควบ และการแบ่ง เป็ นอักษรสูง อักษรกลาง อักษร ต่าำ รวมทั้ง เครื่ องหมายต่าง ๆ ซึ่ง "พงศ์ อินทร์ ศุขขจร" ได้แสดงความ เห็นเกี่ยวกับ หนังสื อเล่มนี้เอา ไว้ในหนังสื อ "ประวัติศาสตร์ การศึกษาไทย" ว่า "ผู้แต่ งหนังสื อ เล่ มนี ้ เป็ นผู้ที่มี คุณลักษณะเป็ น นักการศึกษา เข้ าใจหลัก จิ ตวิทยาของเด็กดี
จึ งได้ คัดสิ่ งที่ ฟุ่ มเฟื อย ไม่ จำาเป็ นออกเสี ย ทำาให้ เรี ยนได้ เร็ ว เข้ าเหมาะสำาหรั บ เรี ยนในชั้นต้ น สอนสิ่ งที่ พึง ปฏิ บัติและสิ่ งที่ พึงละเว้ นไม่ ควร กระทำา เท่ ากับ เป็ นการสอน จรรยามารยาทไป ในตัว..." ส่ วน หนังสือ ประถม มำลำ ถึง แม้วา่ จะไม่ ปรากฏว่า ใคร เป็ นผูแ้ ต่ง และ แต่งขึ้นเมื่อใด ก็ตาม แต่กม็ ีขอ้ สันนิษฐาน จาก ท่านผูร้ ู ้มาว่า น่า จะแต่งขึ้นในสมัย พระบาทสมเด็จ พระนัง่ เกล้าเจ้าอยู่ หัวฯ โดยมี พระ เทพโมฬี (พึ่ง) วัด ราชบูรณะ เป็ นผู้ แต่งขึ้น โดยแต่งเป็ น กาพย์ สอนการ อ่านการเขียน
ตั้งแต่ แม่ ก กา กน กง กก กด กบ กม และเกอย นอกจากนี้ ยังมี การสอนการอ่าน เขียน หนังสื อ ขอม ตลอดจน การสอนวิธีแต่ง โคลงสุ ภาพ โคลง กระทู ้ อีกด้วย หนังสื อ ประถม มาลา นี้ นอกจากวิธีการ แต่ง จะมีความ ไพเราะ มากแล้ว ยังให้แง่คิดทาง จิตวิทยากับเด็ก อีกด้วย ถือได้วา่ เป็ นตำาราเรี ยนที่ ถือว่าดีเยีย่ มเล่ม หนึ่ง
โฉมหน้ ำ ใหม่ ของ กำรศึกษำ ไทย สื บเนื่องจาก การที่มีฝรั่งชาว
ต่างประเทศ ได้ เริ่ มเข้ามาติดต่อ ทางสัมพันธไมตรี ทางการค้า และ เข้ามาเผยแพร่ ศาสนาคริ สต์ ตั้งแต่ในสมัย รัชกาลที่ 3 ต่อมา ในรัชกาล พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้า อยูห่ วั ฯ วิทยาการ ต่าง ๆ ของชาว ตะวันตก ก็ได้เข้า มาเผยแพร่ มากขึ้น เริ่ มมีการสอน หนังสื อภาษา อังกฤษ ขึ้นใน พระบรมมหาราช วังแก่เชื้อพระวงศ์ ฝ่ ายใน และ นอกจากนี้ ยังมี การเรี ยนวิชาการ ต่าง ๆ เช่น การ ต่อเรื อกำาปั่ น วิชา แพทย์ วิชา เครื่ องจักรกล การ เดินเรื อ และการ ถ่ายภาพ เป็ นต้น ในขณะ เดียวกัน ในแผ่น ดินพระบาท
สมเด็จพระจอม เกล้าฯ นัน่ เอง คณะมิชชัน่ นารี โดยการนำาของ หมอบรัดเล ได้นาำ เอาการพิมพ์ หนังสื อ และ เครื่ องพิมพ์เข้ามา ในประเทศสยาม จึงได้มีการพิมพ์ หนังสื อภาษาไทย ขึ้น ออกจำาหน่าย จ่ายแจก แก่ ประชาชนทัว่ ไป และแบบเรี ยน ภาษาไทยอย่าง จินดามณี ประถม ก กา ประถม มาลา ก็ได้ถูกจัด พิมพ์ข้ ึนด้วย ดัง นั้น การศึกษาจึง ได้แพร่ หลาย และ สะดวกขึ้นกว่าที่ เจยเป็ นมา โรงสกูลหลวง หลังจากที่ พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้า เจ้าอยูห่ วั ฯ ทรง ขึ้นครองราช สมบัติ ในปี พุทธศักราช 2411
ต่อมาอีกไม่กี่ปี ในปี พุทธศักราช 2414 พระองค์ ท่านได้โปรด เกล้าฯ ให้ต้ งั โรงเรี ยนขึ้นเป็ น ครั้งแรกในสยาม สถานที่ดงั กล่าวนี้ ่คือ โรงสกูลหลวง (โรงเรียนหลวง) และ โรงเรียน หลวงสอนภำษำ อังกฤษ โรงสกูลหลวง นี้ต้ งั อยูข่ า้ งโรง ละครเก่าในสนาม ต่อระเบียงวัดพระ ศรี รัตนศาสดารา ม ท่างด้านทิศตะ วันตก โดยผูท้ ี่ทาำ หน้าที่เป็ นครู ใหญ่คนแรกก็คือ หลวงสำร ประเสริฐ ปลัด กรมอาลักษณ์ (นามจริ ง "น้อย อาจารยางกูร ต่อ มา ได้เลื่อน บรรดาศักดิ์เป็ น "พระศรี สุนทร โวหาร") และโป รดฯ ให้ต้ งั
โรงเรี ยนหลวง สอนภาษาอังกฤษ สำาหรับสอนภาษา อังกฤษ ให้กบั สมเด็จพระเจ้า น้องยาเธอ และ หม่อมเจ้าต่างกรม ที่ทรงได้เรี ยน ภาษาไทยแล้ว โดยตั้งอยูท่ ี่ตึก สองชั้น ข้างประตู พิมานไชยศรี ด้าน ทิศตะวันออก มี นายฟรานซิส ยอร์ ช แปเตอร์ สัน เป็ นครู ผสู ้ อน อนึ่ง โรงเรี ยน ทั้งสองนี้ ตั้งอยูใ่ น บริ เวณของกรม มหาดเล็ก และขึ้น กับกรม มหาดเล็กหลวง เช่นเดียวกัน ต่อมาเมื่อนาย ฟรานซิ ส ยอร์ช แปเตอร์ สนั ครู สอนภาษาอังกฤษ กราบทูลฯ ขอ ลากลับยุโปร ใน ปี พุทธศักราช 2419 โรงเรี ยน สอนภาษาอังกฤษ
จึงต้องเลิกไป จน กระทัง่ ในปี พุทธศักราช 2422 จึงทรงโปรด เกล้าฯ ให้ต้ งั โรงเรี ยนสอน ภาษาอังกฤษขึ้น มาใหม่ ณ พระราชวัง นัน นทอุทยาน เรี ยก ชื่อว่า "โรงเรียน นันทอุทยำน" หรื อ "โรงเรียน สวนนันทอุยำน" โดยโปรดฯ ให้ หมอแมคฟาร์ แลนด์ (S.G. Mc. Farland) มิชชัน่ นารี ชาวอเมริ กนั ทำาหน้าที่เป็ นครู ใหญ่ และมีคณะ กรรมการคณะ หนึ่ง จำานวน 8 ท่าน ทำาหน้าที่ ควบคุม ดูและ จัดการ และนี่คือ กำาเนิด "โรงเรียน" ที่มีคุณลักษณะ เป็ นโรงเรี ยนอย่าง แท้จริ ง แทนการ
เรี ยนตามวัด หรื อ บ้าน อย่างที่เคย เป็ นมา ต่อมาในปี พุทธศักราช 2424 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยา เธอ พระองค์เจ้าดิ ศวรกุมาร (สมเด็จ กรมพระยาดำารง ราชานุภาพ) ผู้ บังคับการทหาร มหาดเล็ก ตั้ง โรงเรี ยนขึ้นมา สำาหรับฝึ กสอนผู้ ที่จะเป็ นนายร้อย นายสิ บ ในกรม มหาดเล็ก ครั้น จำานวนนักเรี ยน มากขึ้น ทำาให้ ห้องเรี ยน ในโรง ทหารมหาดเล็ก คับแคบขึ้น จึง ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทาน พระ ตำาหนักเดิมที่สวน กุหลาบ ที่เคยใช้ เป็ นคลังอยูน่ ้ นั เป็ นที่ต้ งั โรงเรี ยน มหาดเล็ก ครั้นโรงเรี ยน ตั้งมาได้ปีหนึ่ง
จำานวนนักเรี ยน มากขึ้น จนเกิน อัตราที่ตอ้ งการ ฝึ กหัดเอาไว้ สำาหรับเป็ นนาย ทหารมหาดเล็ก จึงทรงโปรด เกล้าฯ ให้มีการ จัดระเบียบและ แก้ไขโรงเรี ยน พระตำาหนักสวน กุหลาบเป็ น โรงเรี ยน ข้าราชการ พลเรื อน แต่ เนื่องจากพระ ตำาหนักสวน กุหลาบ มีที่ไมี เพียงพอสำาหรับ นักเรี ยน จึงทรง โปรดเกล้าฯ ให้ สร้างตึกยาวสอง ชั้นทางทิศใต้ ของ พระบรมราชวัง ใช้เป็ นสถานที่ เรี ยนเพิ่มขึ้น ดังนั้น กว่ ำกำร ตั้งโรงเรียนพระ ตำำหนักสวน กุหลำบ สำ ำเร็จ บริบูรณ์ ได้ ก็ล่วง เข้ ำปี พุทธศักรำช
2427 แต่เนื่องจาก โรงเรี ยนที่กล่าว มาแล้วนี้ท้ งั หมด เป็ นสถานศึกษา สำาหรับผูท้ ี่เป็ น ชายเท่านั้น ต่อมา พระองค์เจ้าดิศว รกุมาร จึงทรงจัด ให้พระเจ้าลูกยา เธอพระองค์หญิง ทรงเล่าเรี ยน หนังสื อไทยที่ตึก ข้างประตูพิมาน ไชยศรี ด้านตะวัน ออก ดดยใช้ครู จากโรงเรี ยน หลวงนั้น มาสอน เป็ นเวลา สำาหรับการเล่า เรี ยนในโรงเรี ยน พระตำาหนักสวน กุหลาบนี้ ใช้แบบ เรี ยนหลวง 6 เล่ม ซึ่งพระยาศรี สุ นทรโวหาร (น้อย อาจารยา งกูร) รวบรวมขึ้น อันได้แก่ หนังสื อ มูลบทบรรพกิจ วาหนิตนิกร อักษรพิโยค
สังโยคพิธาน ไวพจน์พิจารณ์ และ พิศาลการันต์ แต่เนื่องจาก แบบเรี ยนหลวง ทั้ง 6 เล่ม ที่ใช้ เรี ยนในโรงเรี ยน พระตำาหนักสวน กุหลาล ปรากฏว่า นักเรี ยนน้อยคน นัก ที่จะเรี ยนได้ ครบทั้งหมด ซึ่ง อาจจะต้องใช้เวลา นานมากกว่าที่จะ มี ผูเ้ รี ยนจบ บาง คนเรี ยนได้เพียง สามเล่ม ก็ตอ้ ง ออกมารับราชการ เสี ยแล้ว เนื่องจาก กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ที่ต้ งั ขึ้นใหม่ กำาลัง ต้องการผูม้ ีความรู้ เข้ารับราชการ เป็ นจำานวนมาก จึงได้มีการ ประชุมผูช้ าำ นาญ การสอนหนังสื อ อย่างเช่น พระยา ศรี สุนทรโวหาร หลวงโอวาทว
รกิจ (พระยาโอ วาทวรกิจ-แม่น) อาจารย์ใหญ่ โรงเรี ยนพระ ตำาหนักสวน กุหลาบ เป็ นต้น ที่ประชุมได้ ตกลงว่า ควรมี การสอบไล่ หนังสื อทำานอง เดียวกับ พระสงฆ์ สอบพระปริ ยตั ิ ธรรม เมื่อ สอบไล่ได้ ก็จะมี การออกใบสำาคัญ รับรองความรู้ช้ นั ที่สอบได้ จึงได้มี การนำาความขึ้น กราบทูล ก็ทรง พระราชดำาริ เห็น ชอบด้วย การ สอบไล่ความรู้ ทางหนังสื อใน ประเทศไทย จึง เกิดขึ้นนับแต่น้ นั มา
โรงเรียน หลวง
สำ ำหรับ รำษฎร ในปี 2427 ที่ ได้มีการตั่้ ง โรงเรี ยนเรี ยน พระตำาหนักสวน กุหลาบ นัน่ เอง พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าฯ ได้ทรงเล็งเห็น ความสำาคัญ ใน การจะวาง รากฐานการศึกษา ของประเทศ จึง ทรงโปรดฯ ให้มี การตั้งโรงเรี ยน หลวง สำาหับ ราษฎร ขึ้นตามวัด หลายแห่ งทั้งใน พระนคร และตาม หัวเมืองสำาคัญ ๆ ดังนั้น โรงเรี ยน หลวงสำาหรับ ราษฎรแห่ งแรก จึงถือกำาเนิดขึ้น ที่ กรุ งเทพฯ นี่เอง ณ วัดมหรรณพำ รำม ถนนตะนาว ตำาบลเสาชิงช้า อำาเภอพระนคร โรี งเรี ยนหลวง
สำาหรับราษฎร แห่ งแรกนี้ ก็คือ "โรงเรียนวัด มหรรณพำรำม" หรื อ "โรงเรียนวัด มหรรณพ์" โรงเรียนสตรีแห่ ง แรก ส่ วนในเรื่ อง การศึกษาของ หญิงไทย แต่เดิม ไม่นิยม ที่จะให้ สตรี เล่าเรี ยนทาง หนังสื อ นอกจาก จะเรี ยนรู ้ในเรื่ อง ของการบ้าน การเรื อน เท่านั้น จะมีสตรี ที่เล่า เรี ยนความรู ้ ใน ด้านหนังสื ออยู่ บ้าง ก็เฉพาะสตรี ชั้นสูงในรั้วในวัง เท่านั้น จนกระทัง่ มาถึงยุคสมัยของ กรุ งรัตนโกสิ นทร์ ภายหลังรัชกาลที่ 4 จึงได้มีการ ยอมรับที่จะให้ สตรี สามัญ สามารถเล่าเรี ยน ทางหนังสื อ เกิด
ขึ้น ในปี พุทธศักราช 2417 โรงเรี ยน สตรี แห่ งแรกใน ประเทศสยาม จึง เกิดขึ้น โดยคณะ มิชชัน่ นารี ชาว อเมริ กนั ได้ก่อตั้ง "โรงเรียนกุลสตรี วังหลัง" ขึ้น ซึ่ง ต่อมาโรงเรี ยน แห่ งนี้ ก็คือ "โรงเรียนวัฒนำ วิทยำลัย" ในเวลา นี้ จากนั้น ก็ได้ เกิดโรงเรี ยน สำาหรับสตรี ข้ ึน อีกหลายแห่ ง ดังนี้ พุทธศักราช 2423 พระบาท สมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัวฯ ทรงพระ กรุ ณาโปรดเกล้าฯ ให้ต้ งั "โรงเรียนสุ นันทำ" ขึ้น ที่ปาก คลองตลาด เพื่อ เป็ นอนุสาวรี ย ์ แด่
สมเด็จพระนาง เจ้าสุ นนั ทา กุมารี รัตน์ แต่ต้ งั อยูไ่ ม่ นาน โรงเรี ยน ประจำาสำาหรับ สตรี แห่ งแรก ที่ คนจัดตั้งขึ้น ก็มี อันต้องเลิกล้มไป พุทธศักราช 2440 สมเด็จพระ ศรี พชั ริ นทราบรม ราชินีนาถ โปรด เกล้าฯ ให้จดั ตั้ง "โรงเรียนเสำวภำ ผ่ องศรี" ขึ้น จาก พระนามเดิมของ พระองค์ ตรง บริ เวณที่เป็ นวัง ของพระเจ้าวรวง ศ์เธอ พระองค์เจ้า จุลจักรพงษ์ ข้าง โรงเรี ยนราชินี ปากคลองตลาด ในเวลานี้ ซึ่ง โรงเรี ยนแห่ งนี้ เป็ นโรงเรี ยนไปกลับ พุทธศักราช 2444 เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม "โรงเรียนบำำรุง สตรีวชิ ำ"
โรงเรี ยนสตรี ของ รัฐบาลแห่ งแรก เปิ ดทำาการสอน สถานที่ต้ งั ของ โรงเรี ยนแห่ งนี้ ก็ คือ บ้านเดิมของ ขุนหลวงพระยา ไกรสี ห์ (เปล่ง เว ภาระ) ที่ตาำ บล บ้านหม้อ (โรงเรี ยนเสาวภา ผ่องศรี ใน ปั จจุบนั )
พุทธศักราช 2448 สมเด็จพระ ศรี พชั ริ นทราบรม ราชินีนาถ ได้โป รดฯ ให้ต้ งั โรงเรี ยนสตรี ข้ ึน อีกแห่ งหนึ่ง ที่ ตรงบริ เวณตึก มุม ถนนอัษฎางค์ กับ ถนนจักรเพชร ตำาบลปากคลอง ตลาด แล้ว พระราชทานนาม ว่า "โรงเรียน รำชินี" แต่ใน เวลาต่อมา ได้ยา้ ย ไปอยูท่ ี่ขา้ งวัง
หน้า ข้างวัง พระเจ้าบรมวงศ์ เธอ กรมพระ นเรศวรฤทธิ์ ตรง ข้ามกับโรง พยาบาลทหารบก ที่ถนน พระอาทิตย์ จนถึงปี พุทธศักราช 2449 จึงย้ายมาอยูท่ ี่ตึก สุ นนั ทาลัย ปาก คลองตลาด หรื อ ในสถานที่ต้ งั ปั จจุบนั นี้เอง ส่ วนโรงเรี ยน เสาวภา นั้นต่อมา ได้ยบั มารวมกับ โรงเรี ยน บำารุ ง สตรี วิชา กลายมา เป็ น "โรงเรียน เสำวภำ" ในเวลา ต่อมา
กว่ำจะ เป็ นกระ ทรวง ธรรมกำร ในขณะที่การ ศึกษาเริ่ มขยายตัว
ออกไปนั้น กรม มหาดเล็กหลวง ยังมีหน้าที่ในการ ดูแลเรื่ องการ จัดการโรงเรี ยน ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ในเวลานั้น ทั้งที่ เป็ นโรงเรี ยน สำาหรับพลเรื อน และของฝ่ าย ทหาร จึงทรงมี พระราชดำาริ วา่ ถึง เวลาอันสมควร แล้ว ที่จะแยกการ จัดการ โรงเรี ยน ออกจากกรม มหาดเล็ก จัด เป็ นกรมหนึ่ง ใน ส่ วนราชการ ฝ่ าย พลเรื อนขึ้นมา ต่างหาก ดังนั้น จึงทรงโปรด เกล้ ำฯ ให้ ต้งั กรม ศึกษำธิกำรขึน้ แล้วโปรดฯ ให้ โอนโรงเรี ยนทั้ง ปวง ที่มีอยูใ่ น เวลานั้นมาขึ้นกับ กรมศึกษาธิ การ ไม่วา่ จะเป็ น โรงเรี ยน พระ ตำาหนักสวน
กุหลาบ โรงเรี ยน สวนนันทอุทยาน โรงเรี ยนกรม แผนที่ โดยมี ที่ทาำ การของกรม ศึกษาธิ การ ตั้งอยู่ ที่ตึกยาว ข้าง ประตูพิมานไชย ศรี ด้านตะวัน ออก โดยทรงโปรด เกล้ ำฯ ให้ มี ประกำศตั้ง "กรม ศึกษำธิกำร" เป็ นกรมอิสระขึน้ เมื่อวันที่ 6 พฤษภำคม 2430 ในเวลาต่อมา อีกสองปี ในปี พุทธศักราช 2432 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้กรม ศึกษาธิ การไป รวมกับกรมอิสระ อื่น ๆ อาทิ กรม แผนที่ กรม พยาบาล และ กรมพิพิธภัณฑ์ แล้วยกฐานขึ้น เป็ น "กระทรวง ธรรมกำร" แต่ยงั
ให้เรี ยกชื่อว่า "กรมธรรมกำร" ไปก่อน และ โปรดเกล้าฯ ให้ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำารง ราชานุภาพ ทำา หน้าที่เป็ นอธิบดี บัญชากระทรวง จนเมื่อวันที่ 1 เมษายน พุทธศักราช 2435 จึงทรง โปรดเกล้าฯ ให้มี ประกาศตั้ง "กรม ธรรมกำร" ขึ้น เป็ น "กระทรวง ธรรมกำร" แล้ว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระยำภำสกร วงศ์ (เจ้ ำพระยำ ภำสกรวงศ์ - พร บุนนำค) เสนำบดี กระทรวงเกษตร ำธิกำร มำทำำ หน้ ำที่ เป็ น เสนำธิกำร กระทรวง ธรรมกำรคนแรก นับตั้งแต่น้ นั มา ระบบการ
ศึกษาของ ประเทศ ก็ได้มี การพัฒนา เปลี่ยน แปลงมาเรื่ อย อย่างเช่น การที่ พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้า เจ้าอยูห่ วั ฯ ทรง โปรดเกล้าฯ ให้ ตั้ง "โรงเรียน ข้ ำรำชกำร พลเรือน" ขึ้นมา เพื่อฝึ กคนเข้ารับ ราชการตาม กระทรวงต่าง ๆ ในปี พุทธศักราช 2453 และต่อมา ในปี พุทธศักราช 2459 พระบาท สมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้า อยูห่ วั ฯ ทรงโปรด เกล้าฯ ให้ยกฐาน ขึ้นเป็ น "จุฬำลง กรณ มหำวิทยำลัย" มหาวิทยาลัยแห่ง แรกของ ประเทศไทย (ที่
เป็ นรู ปแบบ มหาวิทยาลัย ทัว่ ไป แต่ถา้ หมายถึงสถานที่ รวบรวมวิชาการ ทุกสาขาไว้ วัด โพธิ์ หรื อ วัด พระเชตุพนวิมล มังคลำรำม ได้ชื่อ ว่าเป็ น มหำวิทยำลัย แห่ ง แรก ของไทย) ปี พุทธศักราช 2464 ประกาศ "พระรำชบัญญัติ ประถมศึกษำ พุทธศักรำช 2464" บังคับให้ เด็กเข้าเกณฑ์เรี ยน หนังสื อ ตั้งแต่ อายุ 7 ขวบ และ อยูใ่ นโรงเรี ยน จนถึงอายุ 14 ปี บ ริ บูรณ์ โดยไม่ ต้องเสี ยค่าเล่า เรี ยน ปี พุทธศักราช 2475 ทรงโปรด เกล้า่ฯ ให้ต้ งั "สภำกำรศึกษำ" ขึ้น
"กระทรวง ธรรมกำร" เปลี่ยนชื่อมาเป็ น "กระทรวง ศึกษำธิกำร" ในปี พุทธศักราช 2484 (ซึ่งเคยเปลี่ยนชื่อ เป็ น "กระทรวง ศึกษาธิ การ" ครั้ง หนึ่งแล้ว และ ก่อนปี พุทธศักราช 2484 ก็ได้กลับมาใช้วา่ "กระทรวง ธรรมการ" ก่อนที่ จะมีการ เปลี่ยนแปลงอีก ในครั้งนี้) ตั้ง "กรมกำร ฝึ กหัดครู" ขึ้นใน ปี พุทธศักราช 2497 ตั้ง "ทบวง มหำวิทยำลัยของ รัฐ" ในปี พุทธศักราช 2417 ก่อนจะยุบรวมเข้า กับกระทรวง ศึกษาธิ การใน ปั จจุบนั ฯลฯ ที่มา : นิตยสาร
สยามอารยะ