คานา การจัดการศึกษาในชุมชนบ๎านบะหว๎านั้นต๎องรํวมกันจัดการศึกษาให๎ประชากรในบ๎านบะหว๎ามี สํวนรํวมในจัดกิจกรรมการเรียนรู๎การสอนและพัฒนาคุณภาพชีวิตภายใต๎ โครงการชุมชนบะหว๎ารํวม พัฒนาการเรียนรู๎ เพื่อให๎นักเรียนเกิดองค์ความรู๎ และชุมชนเป็นสังคมแหลํงการเรียนรู๎ โดยการสนับสนุน งบประมาณ จากสานักงานกองทุนสนับสนุนการสร๎างเสริมสุขภาพ (สสส.) ภายใต๎การดาเนินการรํวมกันระหวํางมหา ลัยธุรกิจบัณฑิตย์และโรงเรียนบ๎านบะหว๎า โรงเรียนบ๎านบะหว๎าได๎ดาเนินการจัดกิจกรรมทั้ง ๕ กิจกรรมเพื่อให๎การดาเนินงานตามโครงการ ชุมชนบะหว๎ารํวมพัฒนาการเรียนรู๎โดยชุมชนเป็นขุมพลังในการขับเคลื่อนการศึกษา โรงเรียนขอขอบคุณ สสส. และมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และวิทยากรทุกฝุายที่ทาให๎โครงการประสบผลสาเร็จ
โรงเรียนบ๎านบะหว๎า มีนาคม ๒๕๕๕
สารบัญ สํวนที่
หน๎า
๑
โครงการชุมชนบะหว๎ารํวมพัฒนาการเรียนรู๎
๑–๓
๒
รู๎จักชุมชนชุมชนบะหว๎า และการจัดการศึกษาแบบมีสํวนรํวมกันเถอะ
๔–๘
๓
ข๎อมูลพื้นฐานและลักษณะของชุมชน
๔
สภาพปัญหาของชุมชน
๖
ความต๎องการของชุมชน
๗
กิจกรรมการเรียนรู๎และพัฒนาคุณภาพการศึกษา
๘
การดาเนินกิจกรรมการเรียนรู๎ กิจกรรมคุณธรรมนาชีวิต
๙ – ๑๒ ๙
กิจกรรม อสม.น๎อย
๑๑
กิจกรรมการทาปุ๋ยชีวภาพ
๑๑
กิจกรรมข๎าวฮางงอก
๑๒
กิจกรรมดนตรีพื้นเมือง
๑๒
๔
ผลการดาเนินงาน
๑๓ - ๑๗
๕
สรุปบทเรียนที่ได๎จากการดาเนินโครงการ
๑๘ – ๑๙
๖
ภาคผนวก รายชื่อคณะกรรมการโครงการชุมชนบะหว๎ารํวมพัฒนาการเรียนรู๎ รายละเอียดหลักสูตร ปุาโคก คลังอาหารที่มั่นคงของชาวชุมชนบะหว๎า เมือ่ “ผู๎บําวแนว” ทอผ๎า
สํวนที่ ๑ โครงการชุมชนบะหว๎ารํวมพัฒนาการเรียนรู๎ ๑. หลักการและเหตุผล จากการที่สานักงานกองทุนสนับสนุนการสร๎างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีเจตนารมณ์และ วิสัยทัศน์สาคัญ ในการสร๎างเสริมสุขภาพของประชาชนทั้งด๎านกาย จิต สังคมและสติปัญญา เพื่อให๎คน ไทยเป็นบุคคล ที่สมบูรณ์ เพียบพร๎อม และดารงชีวิตได๎อยํางมีความสุข ในการนี้ ได๎มีการศึกษาแนวทาง “รํวมสร๎างประเทศไทยให๎นําอยูํ ” ที่มีศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี เป็นประธาน มีการศึกษา ประเด็นสาคัญที่พิจารณาวําจะสํงผลตํอการรํวมสร๎างประเทศไทยให๎นําอยูํ โดยมีประเด็นเกี่ยวกับการสร๎าง ระบบการศึกษาที่พาชาติ ออกจากวิกฤติ เป็น สํวนหนึ่งของประเด็น สาคัญดังกลํา วในการสร๎ า งระบบ การศึกษาที่พาชาติออกจากวิกฤติ สสส. ได๎มอบหมายให๎ รองศาสตราจารย์ ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และคณะ ดาเนินการศึกษาทางเลือกระบบการศึกษาที่เหมาะสมกับ สุขภาวะคนไทยแล๎วเสร็จในปี ๒๕๕๓ ข๎อเสนอดังกลําว มีประเด็นสาคัญของระบบการศึกษา คือ การสร๎าง ความเข๎มแข็งที่ฐานรากที่จาเป็นต๎องเข๎ามามีสํวนในการจัดการศึกษาโดยให๎ความสาคัญกับครอบครัว ชุมชน ท๎องถิ่น สถาบันศาสนา เอกชนและองค์กรเอกชน องค์กรปกครองสํวนท๎องถิ่น และองค์กรอื่นของ ประชาชน มีการสร๎างชุมชนให๎เป็นชุมชนแหํงการเรียนรู๎ ที่เป็นความรํวมมือของครอบครัว วัด/ศาสน สถาน โรงเรียน องค์กรชุมชน เอกชน องค์กรปกครองสํวนท๎องถิ่น และที่เกี่ยวข๎อง เพื่อรํวมกันเติมเต็มการ จัดการศึกษาที่ดาเนินอยูํในปัจจุบัน เพื่อนาไปสูํสุขภาวะของคนไทยทั้งด๎านกาย จิต สังคมและสติปัญญา แนวคิดของการศึกษาดังกลําวนี้ จึงเป็นการจัดการศึกษาเพื่อสุขภาวะคนไทยที่ยึดผู๎เรียนเป็นตัวตั้ง (ผู๎เรียนเป็นสาคัญ) และเชื่อวํา “คนทุกคนมีศักยภาพที่จะเรียนรู๎ได๎ ” บนหลักการ “การศึกษาเพื่อมวลชน และมวลชนเพื่อการศึกษา” ชํวยกันทาให๎การศึกษาเป็นกลไกปลูกฝังและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่บูรณา การเข๎ากับวิถีชีวิต วัฒนธรรม รากเหง๎า ประวัติศาสตร์ ชุมชนท๎องถิ่นและประเทศชาติ เป็นการศึกษาที่เอา “ชีวิตเป็นตัวตั้ง” แทนการเอา “วิชาเป็นตัวตั้ง” ดังที่ผํานมา โดยมีจุดมุํงหมายเพื่ อให๎ผู๎เรียนได๎รับทั้ง ความรู๎ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมจริยธรรม รูปแบบการศึกษาจึงเป็นการศึกษาระบบเปิด ทั้งการศึกษา ในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ที่ทุกคนมีสิทธิที่จะให๎ความเห็นหรือเข๎าไปมี สํวนรํวมในการจัดการศึกษาและบูรณาการทรัพยากรในท๎องถิ่นรํวมกันบนพื้นฐานของการกระจายอานาจ โดยใช๎ชุมชนเป็นฐาน ให๎เกิดความเข๎มแข็งจากฐานราก ด๎วยความรํวมมือขององค์กรในชุมชน ทั้งการรํว ม คิด รํวมวางแผน รํวมตัดสินใจ รํวมดาเนินการ รํวมรับผิดชอบ รํวมติดตามประเมินผล รํวมแก๎ปัญหา และ รํ วมชื่น ชม ที่ ใ ห๎ อิส ระ ความยืด หยุํ น และความคลํอ งตั วกั บผู๎จั ดการศึก ษา บนความหลากหลายและ สอดคล๎องกับบริบทของท๎องถิ่น และสังคมไทย
ดังนั้นชุมชนบ๎านบะหว๎าจึงได๎ประชุมกันเพื่อทาประชาคมวิเคราะห์ปัญหาและความต๎องการของ ชุมชนเพื่อให๎เกิดการพัฒนาแบบยั่งยืน ในที่สุดลงความเห็นวําการการจัดการศึกษาในชุมชนบ๎านบะหว๎า นั้นต๎องรํวมกันจัดการศึกษาให๎ประชากรในบ๎านบะหว๎ามีสํวนรํวมในจัดกิจกรรมการเรียนรู๎การสอนและ พัฒนาคุณภาพชีวิตภายใต๎ โครงการชุมชนบะหว๎ารํวมพัฒนาการเรียนรู๎ เพื่อให๎นักเรียนเกิดองค์ความรู๎ และชุมชนเป็นสังคมแหลํงการเรียนรู๎ โดยการสนับสนุนงบประมาณจากสานักงานกองทุนสนับสนุนการ สร๎างเสริมสุขภาพ (สสส.) ภายใต๎การดาเนินการรํวมกันระหวํางมหาลัยธุรกิจบัณฑิตย์และโรงเรียนบ๎านบะ หว๎า ๒. วัตถุประสงค์ ๑) เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรในชุมชนให๎สูงขึ้นทุกด๎าน ๒) เพื่อให๎ผู๎เรียนและชุมชนได๎พัฒนากระบวนการเรียนรู๎อยํางมีคุณภาพ ๓) เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล๎อม ๔) เพื่ออนุรักษ์ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมท๎องถิ่น ๕) เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการเรียนรู๎ของผู๎เรียนให๎มีคุณภาพดีขึ้น ๓. เปูาหมาย ๑) เชิงปริมาณ ๑. นักเรียนโรงเรียนบ๎านบะหว๎า ๒. คณะครูโรงเรียนบ๎านบะหว๎า ๓. ผู๎นาชุมชน หนํวยงาน และภูมิปัญญาท๎องถิ่น
จานวน 386 คน จานวน 24 คน จานวน 60 คน
๒) เชิงคุณภาพ ๑. ผู๎เรียนมีการพัฒนาทักษะในการเรียนรู๎ร๎อยละ 80 ๒. ผู๎เรียนสามารถสร๎างรายได๎เสริมร๎อยละ 60 ๓. ผู๎เรียนมีเจตคติที่ดีในการทางานเป็นทีม ๔. ผู๎เรียนมีจิตสานึกที่ดีในการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล๎อม ๕. ผู๎เรียนมีคุณธรรมจริยธรรม และรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีท๎องถิ่น ๖. ผู๎เรียนมีสุขภาพกาย สุขภาพจิตที่ดี
๔. วิธีดาเนินการ ๑) ประชุมประชาคม วิเคราะห์ชุมชน ๒) แตํงตั้งคณะทางาน ดาเนินโครงการ ๓) จัดทาโครงการ นาเสนอโครงการ เพื่อขออนุมัติโครงการ ๔) ประชุมคณะกรรมการดาเนินการเพื่อวางแผนปฏิบัติงาน ๕) ดาเนินงานตามโครงการ/กิจกรรม ๖) ประเมินผล รายงานผล กากับติดตาม ๗) ถอดประสบการณ์ ๕. ระยะเวลาดาเนินการ ระยะเวลาดาเนินโครงการ ตั้งแตํ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ถึง ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕
๖. ประโยชน์ที่คาดวําจะได๎รับ ๑) คุณภาพชีวิตของคนในชุมชนดีขึ้นในด๎านรํางกาย จิตใจ สังคม และสติปัญญา ๒) ผู๎เรียนและชุมชนเกิดการเรียนรู๎ ทาให๎เป็นสังคมแหํงการเรียนรู๎ ๓) ชุมชนรักและหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล๎อม ขนบธรรมเนียมประเพณีท๎องถิ่น ๔) ได๎รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบมีสํวนรํวม ๕) สํงเสริมคุณธรรมจริยธรรมของผู๎เรียนและคนในชุมชนให๎สูงขึ้น
สํวนที่ ๒ “มารูจ๎ ัก” ชุมชนบะหว๎า และการจัดการศึกษาแบบมีสํวนรํวมกันเถอะ ชุมชนบะหว๎า เป็นพื้นที่ที่มีกลุํมชาติพันธุ์หลัก ๆ คือ กลุํมชาติพันธุ์ญ๎อ และมีกลุํมชาติพันธุ์ รองลงมาคือ โย๎ย แสกและไทลาว ปะปนอยูํในชุมชน โดยเป็นกลุํมชาติพันธุ์ที่อพยพมากจากเขตอ.นาหว๎า จ.นครพนม อ.วานรนิวาส จังหวัดสกลนคร มาตั้งรกรากสร๎างบ๎านแปงเมืองจนถึงปัจจุบัน ภาษาที่ ชาวบ๎านใช๎ในการสื่อสารสํวนใหญํเป็นภาษาญ๎อเป็นสํวนใหญํ กลุํมชาติพันธุ์ญ๎อเป็นกลุํมที่มีวิถีชีวิตแบบ เรียบงําย และผูกพันและพึ่งพากับธรรมชาติสูง ๑. ข๎อมูลพื้นฐานและลักษณะของชุมชน กาเนิดชุมชนและภูมิหลัง ตาบลบะหว๎า อาเภออากาศอานวย จังหวัดสกลนคร ย๎ายมาจากบ๎านนาหว๎า จังหวัดนครพนม เมื่อประมาณ พ.ศ. 2465 มีนายทุ๎ย ดันมีแก๎ว นายวาด ดีวันไชย และ นายคามาวังใจ เป็นหัวหน๎า นาอพยพมาอยูํที่บะหว๎า (ปุามีต๎นหว๎าขึ้นอยูํ ทั่วไป) ภาษาพื้นบ๎านเรียกวํา บะต๎นหว๎า ตํอมาจึงได๎ตั้งชื่อ วํา บ๎านบะหว๎า และเป็นตาบลในปัจจุบัน ลักษณะทั่วไปของตาบลบะหว๎า ด๎านสภาพพื้นที่ ตาบลบะหว๎า มีพื้นที่ทั้งหมด 30,625 หรือ 65 ตารางกิโลเมตร มีลักษณะ เดํ นคือ มีพื้นที่ปุา โคก ปุา เต็งรัง เป็น จานวนมากและพื้น ที่ที่สูงที่สุดของอาเภออากาศอานวย จังหวัด สกลนคร จึงทาให๎มีพื้นที่ปุาโคกมีปริมาณมากกวําพื้นที่ทาการเกษตรของชุมชน มีแหลํงอาหารธรรมชาติ ตลอดทั้งปี จาพวก เห็ดธรรมชาติ ผักหวาน ไขํมดแดง เป็นต๎น จึงสํงผลให๎ความเหมาะสมในการทาเกษตร เป็นอยํางยิ่ง ทาให๎ชุมชนในเขตตาบลบะหว๎าถือวําเป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ ไมํเคยประสบปัญหา ทั้งภัยแล๎งหรือน้าทํวมเลย ประชาชนมีการอพยพออกจากหมูํบ๎านเป็นชํวงระยะสั้นๆ ด๎านการเมืองการ ปกครอง ต าบลบะหว๎ า มี หมูํ บ๎ า นเพี ย ง 9 หมูํ บ๎า น ซึ่ง ถื อ วํ า มี ข นาดของประชากรและพื้ น ที่ ที่มี ค วาม เหมาะสมในการพัฒนาชุมชนหรือการดาเนินกิจกรรมของศูนย์เรียนรู๎ ด๎านประชากร จากการศึกษาพบวํา ประชากรในตาบลบะหว๎ามีทั้งหมด 6,346 คน เป็นชาย 3,208 คน หญิง 3,138 คน (จปฐ 2553) อยูํในชํวงวัยแรงงานมากที่สุด มีการอพยพออกไปขายแรงงาน ในเมืองใหญํและตํางจังหวัดไมํมากนัก สํวนใหญํวัยแรงงานและหัวหน๎าครอบครัวมักจะไปทางานตํางถิ่น ในชํวงระยะสั้นเทํานั้นๆ ประชากรสํวนใหญํยังอยูํในชุมชนเป็นสํวนมาก ขนาดของครอบครัวก็ยังเป็น ลักษณะแบบครอบครั วใหญํ มีประชากรในครอบครั วเฉลี่ย 5 คน แตํมีบางครอบครั วที่มีสมาชิกมาก ประมาณ 7 – 13 คน ซึ่งถือวํามีสมาชิกครอบครัวที่มากที่ยังอยูํรํวมกัน
ด๎ า นเศรษฐกิ จ พบวํ า เศรษฐกิ จ ของประชาชนในต าบลบะหว๎ า อยูํ ใ นระดั บ พอมี พ อกิ น ประชาชนสํ ว นใหญํ ป ระกอบอาชี พ เกษตรกรรม คื อ การท านาปี และมี ร ายได๎ ห ลั ก จากการท านาปี นอกจากนั้นมีอาชีพเสริมเป็นการเก็บหาของปุา การปลูกพืชผักสวนครัวในชํวงฤดูแล๎ง รับจ๎าง เย็บผ๎าโหล เผาถํานขาย การทาหัตถกรรมฝีมือในครัวเรือน เชํน การทอผ๎า การจักสาน เป็นต๎น ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ ของชุมชนในด๎านการทาผ๎า ญ๎อมคราม ซึ่งมีกลุํมทอผ๎าใน 5 หมูํบ๎าน จาก 9 หมูํบ๎าน ซึ่งมีการผลิตตลอด ทั้งปี ด๎านศาสนา ความเชื่อ ประเพณี และวัฒนธรรม ชาวบ๎านในเขตตาบลบะหว๎าทั้ง 9 หมูํบ๎าน นับถือศาสนาพุทธ 99.9 เปอร์เซ็นต์ มีคนนับถือศาสนาคริสต์ 1 คน มีวัดทั้งหมด 8 วัด ชาวบ๎านในเขต ต าบลบะหว๎า ยัง มีค วามเชื่อและเคารพนั บถื อและศรั ท ธาในพระศาสนาเป็ น อยํ า งยิ่ง ด๎ า นวัฒ นธรรม ประเพณีของชุมชน ถือวําชาวบ๎ านในเขตตาบลบะหว๎ายังคงยึดถือ ฮีต 12 คอง 14 เป็นประเพณีของ ชุมชนอยํางเข๎มแข็ง ซึ่งมีประเพณีและพิธีกรรมเดํนๆ ของตาบล เชํน บุญประจาปีของหมูํบ๎าน, บุญหลัก บ๎าน บุญบายศรีครอบครัว เป็นต๎น และโดยเฉพาะอยํางยิ่งความเชื่อตํอการเคารพนับถือดอนปูุตา หรือผี เจ๎าปูุของหมูํบ๎าน ชาวบ๎านในแถบนี้ยังมีความเชื่อและมีกติกาและข๎อปฏิบัติอยํางเหนียวแนํน ซึ่งถือวํา เป็นต๎นทุนทางสังคมที่ศูนย์เรียนรู๎สามารถที่จะนาไปปรับเป็นกระบวนการเรียนรู๎ในศูนย์ได๎ ด๎านองค์ความรู๎ จากการศึกษาพบวํา ชุมชนบะหว๎านอกจากจะมีความหลากหลายทางชาติ พันธุ์แล๎ว ก็ยังมีองค์ความรู๎ของชุมชนที่สาคัญในลักษณะขององค์ความรู๎ภายในชุมชน เชํน องค์ความรู๎การ จักสาน ด๎านการญ๎อมคราม การทอผ๎าพื้นเมือง หมอลา ดนตรีพื้นบ๎าน การขับร๎องสารภัญญะ ความรู๎ ฮอดเฒําฮอดแกํหรือตุลาการชุมชน เป็นต๎น และองค์ความรู๎ที่มีการนาเข๎า เชํน ความรู๎เกี่ ยวกับการเลํา นิทาน การประดิษฐ์ดอกไม๎ การแปรรูปกะลามะพร๎าว โดยองค์ความรู๎ทั้งสองลักษณะ ศูนย์ฯ ได๎นามา ปฏิบัติการในกระบวนการเรียนรู๎และถํายทอดความรู๎ให๎กับคนในชุมชนตามความสนใจของวัย ซึ่งถือเป็น ความรู๎สาคัญของชุมชนที่จาไปสูํการพัฒนาและจัดทาเป็นคูํมือในการเรียนรู๎เพื่อขยายผลไปสูํการเรียนการ สอนในระดับโรงเรียนมากขึ้น ด๎านการเปลี่ยนแปลงของชุมชน จากการศึกษาพบวํา สิ่งดีของชุมชนที่หายไปสํวนใหญํเป็นลักษณะของการดารงชีวิตในอดีต ประเพณีวัฒนธรรมและ ความเชื่อบางอยํางของชุมชน ที่เป็นรูปแบบของการเคารพและพึ่งพาธรรมชาติ เชํน การทานาวาน หรือ การลงแขก การใช๎แรงงานสัตว์ในการทานา การเดินทางด๎วยเกวียน บุญตูบ(บุญกระทํอม) ความเชื่อเรื่อง การสํงแขก, การรักนวลสงวนตัวของลูกผู๎หญิง เป็นต๎น สิ่งดีของชุมชนที่ยังคงอยูํและมาใหมํ เป็นลักษณะของการใช๎เครื่องจักรกลในระบบการผลิต, ความ เจริญทางการสื่อสาร เชํน โทรศัพท์ หอกระจายขําวหมูํบ๎าน, การรักษาความเชื่อและฮีตคองของชุมชน สิ่งแยํของชุมชนที่เคยมีและหายไป เป็นลักษณะของการใช๎ชีวิตเชํน ห๎องน้า โรคระบาดตํางๆ การ คมนาคมที่ไมํสะดวกสบาย เป็นต๎น สิ่งแยํของชุมชนที่มาใหมํ พบวํา มีอบายมุขในงานศพ มีการระบาดของยาเสพติดในหมูํเยาวชน มากขึ้น มีการลักขโมยภายในชุมชน
ข๎อค๎นพบเหลํานี้คือ เกิดจากการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชุมชนที่เกิดจากการปะทะ กับโลกภายนอกที่มีการเคลื่อนตัวไปอยํางรวดเร็ว ทาให๎สิ่งดีบางอยํางของชุมชนอาจจะหายไปและสิ่งแยํ รูปแบบใหมํเข๎ามาแทนที่นั่นเอง ด๎านภูมิปัญญาของท๎องถิ่น จากการศึกษาครั้งนี้มีชุดความรู๎ภูมิปัญญาท๎องถิ่นที่สาคัญของ ชุมชนทั้งสิ้น ๕ ความรู๎ คือ ความรู๎การทอผ๎า ญ๎อมคราม, ความรู๎ด๎านการจักสาน, ความรู๎เรื่องหมอลา พื้นบ๎าน, ความรู๎เรื่องการร๎องสารภัญญะ และความรู๎เรื่องฮอดเฒําฮอดแกํ(เอิ้นผู๎เฒําเว๎าความ) ซึ่งเป็น ความรู๎ที่มีการรวบรวมข๎อมูลเป็นชุดความรู๎ในครั้งนี้ นอกจากนั้นยังมีความรู๎ที่เกิดจากการดาเนินกิจกรรม ของศูนย์ ๓ วัยฯ อีกจานวนหนึ่ง แตํยังไมํมีการรวบรวมความรู๎เป็นชุดความรู๎ที่เป็นระบบ เชํน ความรู๎เรื่อง การผู๎เ ฒํา เลํา นิทาน, ความรู๎ เรื่ องการทาดอกไม๎ประดิษฐ์, ความรู๎ เ รื่ องสิทธิ ของผู๎สูงอายุ, ความรู๎ การ ประดิษฐ์จากกะลามะพร๎าว, ชุดความรู๎เรื่องการทาพานบายศรี เป็นต๎น ซึ่งเป็นแนวทางที่ศูนย์ควรจะมีการ จัดทาชุดความรู๎เพื่อนาไปถํายทอดในชุมชนตํอไป ๒. สภาพปัญหาของชุมชน จากการศึกษาในครั้งนี้พบวํา ชุมชนตาบลบะหว๎ามีศักยภาพของชุมชนดังตํอไปนี้ จุดแข็งของชุมชน เชํน ความอุดมสมบูรณ์ทางทรัพยากรธรรมชาติ ทาให๎มีความเสี่ยงตํอ ปัญหาธรรมชาติในระบบการผลิตน๎อย ความสามัคคีของชุมชน การรักษาประเพณีวัฒนธรรมอันดีงาม มี ระบบสวัสดิการชุมชนที่ครอบคลุมทุกหมูํบ๎าน จุดอํอนของชุมชน พบวํา ในภาพรวมอาจกลําวได๎วํา สถาบันตํางๆในชุมชนไมํได๎ทาหน๎าที่ ตามโครงสร๎างทางสังคมที่กาหนดไว๎ เชํน สถาบันครอบครัวและการศึกษาไมํได๎ทาหน๎าที่สมบูรณ์ พํอแมํ ต๎องออกไปทางานนอกชุมชนและสํงเงินกลับมาเลี้ยงลูก ทาภาระในการเลี้ยงดูลูกหลานตกอยูํกับปูุยําตา ยายซึ่งเป็นวัยที่ต๎องได๎รับการดูแลเชํนกัน จนมีคากลําวติดตลกในชุมชนวํา “อาชีพหากินกับสายอูํ” และ ทาให๎ลูกหลานขาดความรักและเอาใจใสํจึงทาให๎เกิดปัญหายาเสพติดตามมา ตํอมาคือ ภาระหนี้สินของ ประชาชนที่เกิดจากการมีกองทุนในหมูํบ๎านและการใช๎เครื่องใช๎อานวยความสะดวกมากมาย และอบายมุข ตํางๆยังแพรํหลายในชุมชน เชํน การเลํนหวย การพนันในงานศพ การตีไกํ ยาเสพติด เป็นต๎น ภัยคุกคาม อิทธิพลการเมืองและความขัดแย๎งทางการเมืองท๎องถิ่น ปัญหาด๎านสุขภาพของ คนในชุมชน การรุกรานของทุนยํอย เชํน การเปิดตลาดนัดในชุมชน รถเรํขายของในหมูํบ๎าน รถรับซื้อของ เกําที่นามาซึ่งปัญหาลักขโมย ความเจริญทางเทคโนโลยี เชํน โทรศัพท์มือถือ ทาให๎เกิดปัญหาวัยรุํนและ ปัญหาครอบครัว และทาให๎คําใช๎จํายสูงมากขึ้น โอกาสของชุมชน การมีศูนย์ ๓ วัย สานสายใยรักแหํงครอบครัว บะหว๎าและโครงการ สายใยรักแหํงครอบครัว จึงทาให๎มีหนํวยงานราชการเข๎ามาสนับสนุนกระบวนการพัฒนาคุณภาพชีวิต ของชุมชนครบทุกด๎าน เชํน เทศบาลตาบลบะหว๎า, โรงพยาบาลสํงเสริมสุขภาพตาบลบะหว๎า, สานักงาน พัฒนาชุมชนอาเภออากาศอานวย, สานักงานเกษตรอาเภออากาศอานวย, โรงพยาบาลอากาศอานวย,
ศูนย์พัฒนาสังคมที่ ๕๕ ที่เข๎ามาสนับสนุนระบบสวัสดิการของชุมชน, สถาบันการศึกษาตํางๆ, ผู๎นาทาง ศาสนาในแตํละหมูํบ๎าน, แรงงานที่ไปทางานตํางประเทศ และทุนท๎องถิ่น ที่เป็นโอกาสสาคัญในการรํวมกัน แก๎ไขปัญหาของชุมชนตํอไป ๓. ความต๎องการของชุมชน หลังจากที่ชุมชนได๎สรุปปัญหาแล๎วจากการทาประชาคมของชุมชนแล๎วสรุปความต๎องการของ ชุมชนได๎ดังนี้ ๑) ด๎านการศึกษา สํงเสริมการศึกษาโดยการจัดการศึกษาแบบมีสํวนรํวมของชุมชนในการเข๎า มาจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช๎ภูมิปัญญาท๎องถิน่ ๒) ด๎านการศิลปวัฒนธรรม การสํงเสริมศิลปวัฒนธรรมพื้นบ๎านให๎คงอยูํจนรุํนลูกหลาน สร๎าง ความเข๎าใจของวัฒนธรรมในท๎องถิ่นของตนเอง ๓) ด๎านสิ่งแวดล๎อม ให๎มีการสร๎างจิตสานึกให๎คนในชุมชนมีรักษ์สิ่งแวดล๎อมในชุมชนมีการ เกื้อกูลซึ่งกันและกันของคนในชุมชน ๔) ด๎านสุขภาพอนามัย เป็นชุมชนที่ปลอดภัย หํางไกลจากยาเสพติด ๕) ด๎านคุณธรรม การสํงเสริมคุณธรรมจริยธรรมให๎กับนักเรียน การปลูกฝังคุณงามความดี
ภาพการจัดทาประชาคมวิเคราะห์ชุมชนบะหว๎า
๔. กิจกรรมการเรียนรู๎และพัฒนาคุณภาพการศึกษา เพื่อตอบสนองตํอความต๎องการของชุมชนในการขจัดปัญหาดังกลําวข๎างต๎น ในที่สุดลงความเห็น วําให๎มีการจัดการศึกษาในชุมชนบะหว๎า โดยจัดการศึกษาให๎ประชากรในตาบลมีสํวนรํวมในการจัดการ เรียนรู๎ และพัฒนาคุณภาพการศึกษา ภายใต๎ โครงการชุมชนบะหว๎ารํวมพัฒนาการเรียนรู๎ โดยการ สนับสนุนงบประมาณจากสานักงานกองทุนสนับสนุนการสร๎างเสริมสุขภาพ (สสส.) ภายใต๎ความรํวมมือ กันกับมหาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เป็นที่ปรึกษาให๎แกํชุมชนและโรงเรียนบ๎านบะหว๎า โดยดาเนินกิจกรรมการ เรียนการสอนที่เกิดจากการวิเคราะห์ปัญหาและความต๎องการของชุมชน ๕ กิจกรรมยํอย ดังนี้ ๑) กิจกรรมคุณธรรมนาชีวิต ๒) กิจกรรมอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมูํบ๎านน๎อย (อสม.น๎อย) ๓) กิจกรรมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล๎อม ๔) กิจกรรมการทาข๎าวฮางงอก ๕) กิจกรรมอนุรักษ์ดนตรีพื้นเมือง และได๎รํางเป็นหลักสูตรท๎องถิ่น แบํงออกเป็น ๕ หลักสูตร แตํละหลักสูตรกาหนดกิจกรรมการจัดการ เรียนการสอน ดังนี้ ๑) หลักสูตรท๎องถิ่นพานบายศรี ๒) หลักสูตรท๎องถิ่นอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมูํบ๎านน๎อย (อสม.น๎อย) ๓) หลักสูตรท๎องถิ่นปุ๋ยชีวภาพ ๔) หลักสูตรท๎องถิ่นข๎าวฮางงอก ๕) หลักสูตรท๎องถิ่นดนตรีพื้นเมือง
สํวนที่ ๓ การดาเนินกิจกรรมการเรียนรู๎ โครงการชุมชนบะหว๎ารํวมพัฒนาการเรียนรู๎ ประกอบด๎วย ๕ โครงการยํอย ตัวแทน/ คณะทางานของแตํละโครงการยํอยได๎ดาเนินตามโครงการ ดังนี้ ๑ . กิจกรรมคุณธรรมนาชีวิต กิจกรรมคุณธรรมนาชีวิต โรงเรียนได๎ดาเนินการวิเคราะห์ข๎อมูลพื้นฐานของชุมชน ประชุมระดม ความคิดเห็นจากผู๎มีสํวนได๎เสียในชุมชนบ๎านบะหว๎า อาเภออากาศอานวย จังหวัดสกลนคร ประกอบด๎วย กลุํมปราชญ์ชาวบ๎าน กลุํมข๎าราชการ กลุํมผู๎นาชุมชน มัคนายกในวัด และหนํวยงานของรัฐในพื้นที่ เชํน เทศบาลตาบลบะหว๎า ศูนย์ ๓ วัย สานสายใยรักแหํงครอบครัวบ๎านบะหว๎า โดยสรุปแนวทางการ ดาเนินกิจกรรม และจัดทาโครงการ “ชุมชนบะหว๎ารํวมพัฒนาการเรียนรู๎” มีกิจกรรมคุณธรรมนาชีวิต ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการ มีสาระสาคัญและแบํงเป็นกิจกรรมยํอย ดังนี้ ๑.๑ กิจกรรมนั่งสมาธิแผํเมตตา มีสาระสาคัญของกิจกรรม คือ ผู๎เรียนทุกคนตั้งแตํชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๑ – ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ได๎ฝึกปฏิบัติจริง โดยนั่งสมาธิและแผํเมตตากํอนเข๎าห๎องเรียน ทุกวัน ๆละ ประมาณ ๑๐ นาที ตั้งแตํเวลา ๑๒.๕๐ – ๑๓.๐๐ น. สถานที่ ณ หอประชุมโรงเรียน บ๎านบะหว๎า มีครูเวรประจาวันเป็นผู๎ดาเนินกิจกรรมและครูในโรงเรียนทุกคนเข๎ารํวมกิจกรรมด๎วย ผู๎รับผิดชอบกิจกรรมได๎รวบรวมเอกสาร สืบค๎นข๎อมูลจากอินเทอร์เน็ตมาจัดทาเป็นหลักสูตร หนังสืออําน เพิ่มเติม เอกสารประกอบการเรียนรู๎ โดยสอดแทรกในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนปกติ การดาเนิน กิจกรรมดังกลําวสํงผลทาให๎ผู๎เรียนมีความรู๎ความเข๎าใจในหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ที่มุํงให๎ พุทธศาสนิกชนหมั่นทาความดี ละเว๎นความชั่ว และทาจิตใจให๎ผํองใส นอกจากนี้การนั่งสมาธิและแผํ เมตตา ยังทาให๎ผู๎เรียนมีสมาธิในการเรียน มีสติในการพูด การทา ไมํกํอให๎เกิดการทะเลาะวิวาทในหมูํ คณะ เห็นคุณคํา๙งกันและกันสํงผลตํอสุขภาวะที่ดีขึ้น ๑.๒ กิจกรรมสวดมนต์ไหว๎พระประจาสัปดาห์ มีสาระสาคัญของกิจกรรม คือ ผู๎เรียนตั้งแตํชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๑ – ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ได๎ฝึกสวดมนต์ยาว โดยผู๎รับผิดชอบกิจกรรมได๎จัดทาแบบ สวดมนต์ไหว๎พระให๎ทุกคน ระยะเวลาในการดาเนินการ คือในวันศุกร์ทุกสัปดาห์ ตั้งแตํเวลา ๑๕.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. ผู๎เรียนทุกคนจะมารวมกันที่ห๎องประชุมใหญํของโรงเรียนเพื่อรํวมกันสวดมนต์ยาวประจา สัปดาห์ และมีมัคนายกน๎อยเป็นผู๎เตรียมการ เชํน จัดสถานที่ จัดโต๏ะหมูํบูชา นาสวดมนต์ และ
ประเคนสิ่งของแดํพระวิทยากร ตํอมาในภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๕๔ ได๎นาผู๎เรียนมาฝึกสวดมนต์ ไหว๎พระที่ศาลาการเปรียญวัดจอมแจ๎งบ๎านบะหว๎า ตาบลบะหว๎า อาเภออากาศอานวย จังหวัดสกลนคร โดยแบํงเป็นชํวงชั้น และหมุนเวียนกันไปตามลาดับ เนื่องจากสถานที่ไมํเพียงพอ ในการดาเนินกิจกรรม ครั้งนี้สํงผลให๎ผู๎เรียนมีความรู๎ ความเข๎าใจในการเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี รู๎จักขั้นตอนในการประกอบ พิธีกรรมทางศาสนา เกิดความภาคภูมิใจในตนเอง เห็นคุณคําซึ่งกันและกัน สํงผลตํอสุขภาวะที่ดีของ ชุมชน ๑.๓ กิจกรรมทาพานบายศรีเพื่อฝึกสมาธิ มีสาระสาคัญของกิจกรรม คือ รวบรวมข๎อมูลในเรื่อง การทาพานบายศรีจากผู๎ที่มีความชานาญ สืบค๎นจากอินเทอร์เน็ต นามารวบรวมจัดทาเป็นหลักสูตร ให๎ ผู๎เรียนได๎ศึกษาเรียนรู๎เกี่ยวกับประเพณีบายศรีสูํขวัญ จัดทาเป็นหลักสูตรแยกเป็นรายชั้นเรียน ตั้งแตํชั้น ประถมศึกษา ปีที่ ๑ – ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนนั้นได๎แยกให๎ผู๎เรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๑ – ๖ เรียนรู๎เรื่องการทาขันหมากเบ็ง สํวนผู๎เรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต๎น เรียนรู๎เรื่องการทาพานบายศรีสุขวัญ และรับสมัครสมาชิกกลุํมสนใจในการทาพานบายศรี ซึ่งมีผู๎สมัคร จานวน ๒๖ คน และจัดให๎ผู๎เรียนได๎เรียนรู๎การทาพานบายศรีกับพระวิทยากร ที่วัดจอมแจ๎งบ๎านบะหว๎า โดยใช๎กรับวนการเรียนรู๎ การสังเกต รวบรวมข๎อมูล เกี่ยวกับประเพณีการบายศรีสูขวัญซึ่งเป็นเอกลักษณ์ ของชุมชน การดัดแปลงรูปทรงพานบายศรีไปใช๎ให๎เหมาะสมกับพีธีกรรมที่เกี่ยวข๎อง มีการฝึกปฏิบัติจริง เน๎นกระบวนการฝึกวินัยและฝึกนิสัยรักการทางาน มีการปรับปรุงผลงาน สามารถสร๎างเป็นอาชีพเสริมได๎ จากการดาเนินกิจกรรมดังกลําวสํงผลให๎ผู๎เรียนรักการทางาน มีสมาธิ มีความเป็นระเบียบ รอบคอบ มี ทักษะในการทางาน และรู๎จักใช๎เวลาวํางให๎เกิดประโยชน์ ๑.๔ กิจกรรมมัคนายกน๎อย มีสาระสาคัญของกิจกรรม คือ ผู๎รับผิดชอบกิจกรรมรับสมัครผู๎เรียน ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต๎น เป็นมัคนายกน๎อยประจาโรงเรียน มีสมาชิกเข๎ารํวมกิจกรรมจานวน ๒๐ คนเป็นนักเรียนชายทั้งหมด ฝึกการจัดเตรียมสถานที่ การจัดโต๏ะหมูํบูชา การนิมนต์พระ การถือเทียน ชนวน การเชิญประธานและแขกผู๎มีเกียรติเข๎ารํวมกิจกรรม การจัดที่นั่งสงฆ์ การประเคนสิ่งของแดํ พระสงฆ์ ตลอดจนเก็บสถานที่เมื่อพิธีการนั้นแล๎วเสร็จ เมื่อมีการสวดมนต์ยาวประจาสัปดาห์มัคนายก น๎อยเป็นผู๎เตรียมการ เชํน จัดสถานที่ จัดโต๏ะหมูํบูชา นาสวดมนต์ และประเคนสิ่งของแดํพระวิทยากร ตํอมาในภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๕๔ ได๎นาผู๎เรียนมาฝึกสวดมนต์ไหว๎พระที่ศาลาการเปรียญวัด จอมแจ๎งบ๎านบะหว๎า ตาบลบะหว๎า อาเภออากาศอานวย จังหวัดสกลนคร โดยแบํงเป็นชํวงชั้น และ หมุนเวียนกันไปตามลาดับ เนื่องจากสถานที่ไมํเพียงพอ มัคนายกน๎อยก็จะไปปฏิบัติหน๎าที่อยูํที่วัดโดย แบํงหน๎าที่กัน นอกจากนี้เมื่อมีการทาบุญตักบาตรที่วัด เชํน การทาบุญข๎าวสารท การทาบุญข๎าว
ประดับดิน การทาบุญออกพรรษา และการทาบุญประจาปีของชุมชน มัคนายกน๎อยก็จะไปรํวมกิจกรรม ทุกครั้ง ในการดาเนินกิจกรรมครั้งนี้สํงผลให๎ผู๎เรียนมีความรู๎ ความเข๎าใจในการเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี รู๎จักขั้นตอนในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เกิดความภาคภูมิใจในตนเอง มีความสัมพันธ์อันดี ระหวํางผู๎เรียนซึ่งเป็นเยาวชนและปราชญ์ชุมชนซึ่งเป็นผู๎สูงอายุ เห็นคุณคําและมีความเอื้ออาทรซึ่งกัน และกัน สํงผลตํอสุขภาวะที่ดีของชุมชน ๑.๕ กิจกรรมทํองทานองสรภัญญะ มีสาระสาคัญคือ การรวบรวมข๎อมูลและบทสวดทานอง สรภัญญะจากผู๎เฒําผู๎แกํในชุมชน และจากอินเทอร์เน็ต ตลอดจนประเพณีการทํองบทสวดทานอง สรภัญญะ มาจัดทาเป็นหลักสูตรและเอกสารประกอบการสอน ให๎ผู๎เรียนได๎ศึกษาและเรียนรู๎ ตลอดจน ฝึกทํองทานองสรภัญญะจากพระวิทยากรในวัดจอมแจ๎งบ๎านบะหว๎า โดยจัดกิจกรรมเป็นกลุํมสนใจ มี สมาชิกทั้งสิ้น จานวน ๒๐ คน และผํานกิจกรรมการเรียนการสอนปกติกลุํมสาระการเรียนรู๎ภาษาไทยใน ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต๎น ผํานกระบวนการอธิบาย ศึกษาจาลองสถานการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของ ชุมชนบ๎านบะหว๎า บทร๎อยกรองที่ใช๎ในการสวดทานองสรภัญญะ ใช๎กระบวนการคิด วิเคราะห์ กระบวนการสืบค๎นกระบวนการกลุํม โดยเชิญปราชญ์ชุมชนที่มีความรู๎ ความสามารถมาเป็นวิทยากร และนานักเรียนออกไปศึกษาและฝึกสวดที่แหลํงเรียนรู๎ ผลของการจัดกิจกรรมสํงผลให๎ผู๎เรียนซึ่งเป็น เยาวชนได๎เข๎าใจเรื่องราวของชุมชน มีความสัมพันธ์อันดีระหวํางกัน เห็นคุณคําซึ่งกันและกันสํงผลให๎ ชุมชนมีสุขภาวะที่ดีขึ้นกวําเดิม ๒ . กิจกรรมอาสาสมัครสาธารณสุขหมูํบ๎านน๎อย (อสม.น๎อย) อสม.น๎อย เป็นนวัตกรรมใหมํในการดูแลสุขภาพ และจิตอาสาบริการประชาชน คาวํา อสม.น๎อย เป็นนามเรียกขานที่ชาวบ๎านเรียกนักเรียนที่ไปชํวย อาสาสมัครสาธารณสุขหมูํบ๎าน (อสม.) ในการบริการ ประชาชนในด๎านการปูองกันสุขภาพ การคุ๎มครองผู๎บริโภค การตรวจวัดดัชนีมวลกาย(BMI) การตรวจ สารปนเปื้อนในอาหารที่แมํค๎านามาขายทีห่ น๎าโรงเรียน การตรวจเยี่ยมดูแลสุขภาพและให๎กาลังใจผู๎ พิการ ผู๎ด๎อยโอกาส ดูแลสุขภาพผู๎สูงวัย ให๎ความรู๎ด๎านสุขภาพที่หอกระจายขําวของโรงเรียน และการเป็นจิต อาสาชํวยเหลือในโรงพยาบาลสํงเสริมสุขภาพตาบลบะหว๎า การจัดกิจกรรม อสม.น๎อย จะรับสมัครนักเรียนที่สนใจ เป็นนักเรียนแกนนา อสม.น๎อย และเข๎ารับ การอบรมจาก วิทยากรจากโรงพยาบาลสํงเสริมสุขภาพตาบลบะหว๎า และ อสม. บ๎านบะหว๎า โดยแบํง เนื้อหาการอบรม เป็นดังนี้ ๒.๑ ความหมายของ อสม.
๒.๒ ๒.๓ ๒.๔ ๒.๕ ๒.๖
การบริการประชาชนในด๎านการปูองกันสุขภาพ การตรวจวัดดัชนีมวลกาย (BMI) การตรวจวัดความดัน และชีพจร การตรวจสารปนเปื้อนในอาหาร การทาลูกประคบ
๓. กิจกรรมการทาปุ๋ยชีวภาพ มีสาระสาคัญของกิจกรรม คือ ผู๎เรียนตั้งแตํ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑-๓ ได๎ฝึกการทาปุ๋ยชีวภาพ โดยโรงเรียนได๎จัดทาหลักสูตรท๎องถิ่น เรื่อง ปุ๋ยชีวภาพขึ้น เพื่อเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียน การสอนของครู โดยใช๎วิทยากรจากบุคคลในท๎องถิ่น ระยะเวลาในการดาเนินการ คือ ในวันอังคาร ตั้งแตํเวลา ๑๕.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. ผู๎เรียนทุกคนจะมารวมกันที่โรงปุ๋ยชีวภาพ โรงเรียนบ๎านบ๎านบะหว๎า เพื่อเข๎ารับฟังการบรรยาย และสาธิต จากวิทยากร และลงมือปฏิบัติการทาปุ๋ยชีวภาพ ใช๎กระบวนการคิด วิเคราะห์ กระบวนการสืบค๎นกระบวนการกลุํม โดยเชิญปราชญ์ชุมชนที่มีความรู๎ ความสามารถมาเป็น วิทยากร และนานักเรียนออกไปศึกษาที่แหลํงเรียนรู๎ ผลของการจัดกิจกรรมสํงผลให๎ผู๎เรียนซึ่งเป็น เยาวชนได๎เข๎าใจเรื่องการอนุรักษ์ดินและสิ่งแวดล๎อม มีความสัมพันธ์อันดีระหวํางกัน เห็นคุณคําซึ่งกัน และกันสํงผลให๎ชุมชนมีสุขภาวะที่ดีขึ้นกวําเดิม
๔. กิจกรรมการทาข๎าวฮางงอก มีสาระสาคัญของกิจกรรม คือ ผู๎เรียนตั้งแตํ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑-๓ ได๎ฝึกการทาปุ๋ยชีวภาพ โดยโรงเรียนได๎จัดทาหลักสูตรท๎องถิ่น เรื่อง ปุ๋ยชีวภาพขึ้น เพื่อเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียน การสอนของครู โดยใช๎วิทยากรจากบุคคลในท๎องถิ่น ระยะเวลาในการดาเนินการ คือ ในวันอังคาร ตั้งแตํเวลา ๑๕.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. ผู๎เรียนทุกคนจะมารวมกันที่โรงสีข๎าวกล๎องบ๎านบะหว๎า เพื่อเข๎ารับฟัง การบรรยาย และสาธิต จากวิทยากร และลงมือปฏิบัติการทาข๎าวฮางงอกปุ๋ยชีวภาพ ใช๎กระบวนการคิด วิเคราะห์ กระบวนการสืบค๎นกระบวนการกลุํม โดยเชิญปราชญ์ชุมชนที่มีความรู๎ ความสามารถมาเป็น วิทยากร และนานักเรียนออกไปศึกษาที่แหลํงเรียนรู๎ ผลของการจัดกิจกรรมสํงผลให๎ผู๎เรียนซึ่งเป็น เยาวชน
ได๎เข๎าใจเรื่องการอนุรักษ์ดินและสิ่งแวดล๎อม มีความสัมพันธ์อันดีระหวํางกัน เห็นคุณคําซึ่งกันและกัน สํงผลให๎ชุมชนมีสุขภาวะที่ดีขึ้นกวําเดิม ๕. กิจกรรมดนตรีพื้นเมือง มีสาระสาคัญของกิจกรรม คือ ผู๎เรียนตั้งแตํ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑- ชั้นมัธยมศึกษาปีที่๓ ได๎ฝึก การเลํนดนตรีพื้นเมือง และนาฏศิลป์พื้นเมือง โดยโรงเรียนได๎จัดทาหลักสูตรท๎องถิ่น เรื่อง ดนตรีและ นาฏศิลป์พื้นเมืองขึ้น เพื่อเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียน การสอนของครู โดยใช๎วิทยากร จากบุคคลในท๎องถิ่น ระยะเวลาในการดาเนินการ คือ ในวันพฤหัสบดี ตั้งแตํเวลา ๑๕.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. ผู๎เรียนทุกคน จะมารวมกันที่หอประชุม โรงเรียนบ๎านบ๎านบะหว๎า เพื่อเข๎ารับฟังการบรรยายจากวิทยากร และลงมือ ปฏิบัติ ใช๎การจัดการเรียนการสอนแบบเน๎นผู๎เรียนเป็นสาคัญ โดยให๎นักเรียนฝึกกระบวนการสืบค๎น กระบวน การกลุํม โดยเชิญปราชญ์ชุมชนที่มีความรู๎ ความสามารถมาเป็นวิทยากร และนานักเรียนออกไปศึกษา ที่แหลํงเรียนรู๎ ผลของการจัดกิจกรรมสํงผลให๎ผู๎เรียนซึ่งเป็นเยาวชนได๎เข๎าใจเรื่องดนตรีพื้นเมือง รักษ์ใน ดนตรีพื้นเมืองของท๎องถิ่น
สํวนที่ 4 ผลการดาเนินงาน จากการดาเนินงานโครงการนารํองการจัดการศึกษาแบบมีสํวนรํวมขององค์กรในชุมชนเพื่อสุข ภาวะคนไทย (ปศท.๒) เป็นโครงการที่ได๎รับทุนสนับสนุนจากสานักงานกองทุนสนับสนุนการสร๎างเสริม สุขภาพ (สสส) และมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ โรงเรียนบ๎านบะหว๎าได๎ดาเนินการงานตามโครงการและมี ผลการดาเนินงานดังนี้ ๑. กิจกรรมคุณธรรมนาชีวิต โรงเรียนบ๎านบะหว๎าได๎จัดทาหลักสูตรท๎องถิ่น เรื่อง การทาพาน บายศรี ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งถือวําเป็นหลักสูตรที่ได๎จากความต๎องการของชุมชนในการอนุรักษ์ ขนบธรรมเนียมประเพณีของชุมชนไว๎เป็นอยํางดี นักเรียนมีคุณธรรมจริยธรรม เข๎าใจถึงหลักคาสอนของ พระพุทธศาสนา และมีสมาธิในการเรียนมากขึ้นทาให๎ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนเพิ่มสูงขึ้น และ นักเรียนมีความพึงพอใจในระดับดีมาก
๒. กิจกรรม อสม.น๎อย โรงเรียนบ๎านบะหว๎าได๎จัดทาหลักสูตรท๎องถิ่น เรื่อง อาสาสมัคร สาธารณสุข ประจาหมูํบ๎านน๎อย (อสม.น๎อย) ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งถือวําเป็นหลักสูตรที่ได๎จากความ ต๎องการของชุมชน เพื่อให๎ประชากรในชุมชนมีสุขภาพกาย สุขจิตที่ดี และนักเรียนที่เข๎ารํวมกิจกรรมได๎รับ ความรู๎ในการดูแลบุคคลในชุมชนและ เป็นจิตอาสาในการดูแลผู๎สูงวัยในชุมชน และนักเรียนที่เข๎ารํวม กิจกรรมมีความพึงพอใจในระดับดีมาก
๓. กิจกรรม อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล๎อม โรงเรียนบ๎านบะหว๎าได๎จัดทาหลักสูตร ท๎องถิ่น เรื่อง ปุ๋ยชีวภาพ ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งถือวําเป็นหลักสูตรที่ได๎จากความ ต๎องการของชุมชน เพื่อให๎มีการใช๎เกษตรอินทรีย์มากขึ้น และสามารถเข๎าสูํการเรียนรู๎ตามหลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง ในการบูรณาการกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของทุกชั้น และนักเรียนที่เข๎ารํวม กิจกรรมมีความพึงพอใจในระดับดีมาก
๔. กิจกรรมการทาข๎าวฮางงอก โรงเรียนบ๎านบะหว๎าได๎จัดทาหลักสูตรท๎องถิ่น เรื่อง ข๎าวฮางงอก ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งถือวําเป็นหลักสูตรที่ได๎จากความต๎องการของ ชุมชน เพื่อให๎มีการเพิ่มมูลคําของผลผลิตในชุมชน และมีประโยชน์ตํอรํางกาย และสามารถนาเข๎าสูํการ เรียนรู๎ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในการบูรณาการกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของทุกชั้น และนักเรียนที่เข๎ารํวมกิจกรรมมีความพึงพอใจในระดับดีมาก
๕. กิจกรรมอนุรักษ์ดนตรีพื้นเมือง โรงเรียนบ๎านบะหว๎าได๎จัดทาหลักสูตรท๎องถิ่น ๓ หลักสูตร ได๎แกํ เรื่อง แคน พิณ โปงลาง ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งถือวําเป็นหลักสูตรที่ได๎จากความ ต๎องการของชุมชน เพื่อให๎มีการอนุรักษ์ดนตรีพื้นเมือง และรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีของ ชาวบ๎านบะหว๎าให๎คงอยูํ และสามารถบูรณาการกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของทุกชั้น และ นักเรียนที่เข๎ารํวมกิจกรรมมีความพึงพอใจในระดับดีมาก
สํวนที่ ๕ สรุปบทเรียนที่ได๎จากการดาเนินโครงการ
โครงการชุมชนบะหว๎ารํวมพัฒนาการเรียนรู๎ มีวัตถุประสงค์เพื่อให๎ นักเรี ยน ได๎รับทั้งความรู๎ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมจริยธรรม โดยรูปใช๎แหลํงเรียนรู๎ในชุมชน ภูมิปัญญาพื้นบ๎าน เพื่อให๎คนใน ชุมชนเข๎าไปมีสํวนรํว มในการจัด การศึกษาและบูร ณาการทรัพยากรในท๎องถิ่นรํ วมกัน กระบวนการเรียนรู๎ที่ยั่งยืน ชุมชนและชีวิตความเป็นอยูํของครอบครัวให๎มีความสุข
เพื่อให๎เกิด
ประกอบด๎วย ๕
กิจกรรมยํอย ที่เกิดจากการวิเคราะห์ปัญหาและความต๎องการของชุมชน คือ ๑) ๒) ๓) ๔) ๕)
กิจกรรมคุณธรรมนาชีวิต กิจกรรมอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมูํบ๎านน๎อย (อสม.น๎อย) กิจกรรมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล๎อม กิจกรรมการทาข๎าวฮางงอก กิจกรรมอนุรักษ์ดนตรีพื้นเมือง
จากสํวนที่ 4 จะเห็นได๎วําการทากิจกรรมในแตํละกิจกรรม องค์กรในชุมชนจะเข๎ามามีบทบาทใน การให๎ความรู๎ โดยครูเป็นผู๎ชํวยในการจัดกิจกรรมการเรียนรู๎ โดยการสร๎างหลักสูตร การออกแบบหนํวย การเรียนรู๎ การจัดทาแผนการเรียนรู๎ และนักเรียนเป็นผู๎ได๎รับความรู๎จากการเรียนรู๎ที่ตนเองสนใจ ทาให๎ นักเรียนสนใจ เข๎าใจ และสามารถนาไปใช๎ในชีวิตประจาวันของนักเรียนได๎อยํางรวดเร็ว
ปัจจัยความสาเร็จ/ปัจจัยที่ทาให๎โครงการขับเคลื่อน และอุปสรรคการเรียนรู๎/การดาเนินโครงการ เนื่องด๎วยโรงเรียนบ๎านบะหว๎าในชํวงเดือน พฤศจิกายนและธันวาคม เป็นชํวงที่มีการแขํงขัน ทั ก ษะศิ ล ปหั ต ถกรรมนั ก เรี ย นในระดั บ ศู น ย์ เ ครื อ ขํ า ยสถานศึ ก ษา ส านั ก งานเขตพื้ น ที่ ก ารศึ ก ษา ประถมศึกษาสกลนคร เขต ๓ และระดับภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดมหาสารคาม โรงเรียนจึงมีการ หยุดกิจกรรมดังกลําว
การเรียนรู๎ตามแผนที่กาหนดไมํเป็นไปตามที่กาหนด ทาให๎ไมํสามารถประเมินผลโครงการได๎สมบูรณ์ มากนัก อยํางไรก็ตามกิจกรรมที่ได๎ดาเนินการกํอนหน๎านั้นมีความคืบหน๎าพอสมควร
ปัจจัยความสาเร็จ/ปัจจัยที่ทาให๎โครงการขับเคลื่อน ๑. ผู๎นาและแกนนาชุมชน ชุมชนบะหว๎ามีผู๎นาและแกนนาชุมชนที่เข็มแข็ง มีจิตอาสาเนื่องด๎วย เป็น คนในชุมชน เกิดและเติ บโตอีกทั้งทางานอยูํใ นชุมชน แกนน าล๎วนเป็น ผู๎ทรงวุฒิมีศักยภาพและ ความสามารถบ๎างเป็ นบุคคลกรทางการศึกษา เป็นบุคลากรด๎านสาธารณสุขและองค์กรของรัฐทาให๎มี กระบวนการคิดและทางานเป็นระบบ ๒. การมีสํวนรํวมของคนในชุมชน ได๎รับความรํวมมือจากคนในชุมชนในการเข๎ารํวมทากิจกรรม ตําง ๆ ของโครงการเป็นอยํางดี ๓. การแสวงหาเครือขํายความรํวมมือ โครงการฯมีการแสวงหาเครือขํายความรํวมมือจาก องค์กรภายในและภายนอกชุมชนเป็นอยํางดี ภายในชุมชนได๎รับความรํวมมือจากกลุํมองค์กรภาครัฐ เชํน ศูนย์ ๓ วัยสานสายใยรักบ๎านบะหว๎า เทศบาล . รพ.สต. กศน.ตาบล วัด และกลุํมตํางๆ เชํน อสม. ผู๎สูงอายุ จิตอาสา ในชุมชน อุปสรรคการเรียนรู๎/การดาเนินโครงการ ๑. บุคลากรทางาน คณะกรรมการโครงการในแตํละทํานมีภารกิจมีเวลาไมํตรงกัน ทาให๎การ บริหารงานของ คณะทางานคํอนข๎างเป็นไปได๎ยาก ซึ่งแก๎ไขปัญหาโดยใช๎การประชุมกลุํมยํอยอยํางไมํเป็น ทางการ และใช๎การประชุมทางโทรศัพท์ นอกจากนี้มีบุคลากรในโรงเรียนก็มีงานในปีการศึกษา ๒๕๕๔ มากทาให๎การทางานน๎อยสํงผลให๎ขาดการเตรียมการในการทากิจกรรมให๎มีประสิทธิภาพเทําที่ควร ซึ่ง แก๎ไขได๎โดยมีการประชุมเตรียมการทุกขั้นตอน แบํงหน๎าที่ในการรับผิดชอบให๎เพียงพอกับงาน ๒. วิธีการเรียนรู๎ เป็นเรื่องที่ท๎าทายในการจัดการเรียนการสอนและทากิจกรรมอยํางมาก แตํ ละกิจกรรมต๎องมีการจัดกิจกรรมที่หลากหลายแตกตํางกันออกไปทั้งการสาธิต การบรรยาย บางครั้งการ เตรียมอุปกรณ์ก็ไมํเพียงพอบ๎าง แตํมีการแก๎ไขปัญหา คือ การใช๎กระบวนการกลุํม ๓. นโยบายของสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต ๓ เชํน การแขํงขัน ทักษะทางวิชาการระดับ เขตพื้นที่ และระดับภาค การสอบ O-Net ป.๖ และ ม.๓ การสอบ NT ป.๓ และ ม.๒ การสอบ Las ระดับ ป.๒ และ ป.๕ ต๎องมีการสอนซํอมเสริมและติวข๎อสอบให๎กับนักเรียนเพื่อให๎เพิ่ม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนร๎อยละ ๕ และมีการแขํงกีฬา กรีฑานักเรียนระดับศูนย์เครือขําย ระดับอาเภอ
ระดับเขตพื้นที่อีก ในชํวงระยะเวลาเดือน กันยายน-ธันวาคม ๒๕๕๔ ที่ผํานมาทาให๎การดาเนินกิจกรรมไมํ เต็มที่ ข๎อเสนอแนะตํอการดาเนินโครงการตํอไป โครงการชุมชนบะหว๎ารํวมพัฒนาการเรียนรู๎ ควรดาเนินการตํอเนื่องโดยอาจปรับเนื้อหา รูปแบบ และวิธีการเรียนรู๎ให๎เหมาะสมตามระดับชั้นเรียนให๎มีความนําสนใจ กระชับ เข๎าใจงําย และพัฒนาเป็น หลักสูตรของโรงเรียน และกิจกรรมที่ควรดาเนินตํอเนื่อง เชํน กิจกรรมที่สํงเสริมอัตลักษณ์ ภูมิปัญญา ท๎องถิ่นวิถีไทย และเสริมสร๎างสุขภาวะ กิจกรรมของกลุํมจิตอาสา ด๎านสิ่งแวดล๎อมและสุขภาวะ และการ นาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ ในชุมชน ได๎แกํ ธนาคารขยะรีไซเคิ ล ธนาคารหมูํบ๎าน ทั้งนี้การ ดาเนินการใด ๆ จะต๎องอยูํบนพื้นฐานความเข๎าใจของชุมชนและความรู๎รักสามัคคีระหวํางบุคคลในชุมชน และการมีสํวนรํวมของคนในชุมชนทุกขั้นตอน จะเป็นแนวทางที่ทาให๎ประสบความสาเร็จและมีศักยภาพ ในที่สุด
ภาคผนวก
โครงการชุมชนบะหว๎ารํวมพัฒนาการเรียนรู๎ คณะกรรมการอานวยการ ๑. นายสมชัย ไตรโยธี ประธานอานวยการ ๒. นายรังสรรค์ แจนโกนดี รองประธานอานวยการ ๓. นางเกษร อนุเวช กรรมการและเลขานุการ
คณะกรรมการดาเนินการ ๑. กิจกรรมข๎าวฮางงอก ๑. นางนงนุช เถื่อนยศ ประธาน ๒. นายจานงค์ แดงวิเศษ รองประธาน ๓. นางแหลมทอง วะเกิดเปูง กรรมการ ๔. นางไพวัน ชาติชานิ กรรมการ ครูรับผิดชอบกิจกรรม ๑. นางรัตนา วงษ์ศรี กรรมการ ๒. นางสุชาลี เขื่อนกองแก๎ว กรรมการและเลขานุการ ๒. กิจกรรม อสม.น๎อย ๑. นายวิษณุ ไชยชมพู ผอ.รพ.สํงเสริมสุขภาพชุมชนต.บะหว๎าประธาน ๒. นายบุญเลิศ ติงมหาอินทร์ อสม.บะหว๎า รองประธาน ๓. นายคาพา นาขะมิ้น อสม.บะหว๎า กรรมการ ๔. นางเชิญ ดีวันไชย อสม.บะหว๎า กรรมการ ครูรับผิดชอบกิจกรรม ๑. นางสลวย กลยนี กรรมการ ๒. นางนิดารัตน์ วะเกิดเปูง กรรมการและเลขานุการ ๓. กิจกรรมปุ๋ยชีวภาพ ๑. นายสกล ติงมหาอินทร์ ประธาน ๒. นายชาญณรงค์ ดวงสุภา รองประธาน ๓. นายประกิม นาขะมิ้น กรรมการ ครูรับผิดชอบกิจกรรม ๑. นายชูชาติ คุณบุราณ กรรมการ ๒. นายรังสรรค์ แจนโกนดี กรรมการ
๓. นางสาธิยา สุวรรณวงษ์ ๔. นางอัญลยา ดีวันไชย
๔. กิจกรรมดนตรีพื้นบ๎าน ๑. นายประหยัดทรัพย์ นามทมาต ๒. นายบุญยงค์ ชาติห๎าวหาญ ๓. นายเชียงฮอ ดันมีแก๎ว ๔. นายดวงจันทร์ ติงมหาอินทร์ ครูรับผิดชอบกิจกรรม ๑. นายธีระพงค์ ดวงสุภา ๒. นางวัชราภรณ์ ดวงสุภา ๓. นางสาวเกณิกา โชติประเสริฐ ๔. นายสิทธิชัย ไตรโยธี ๕. กิจกรรมคุณธรรมนาชีวิต ๑. นายแผน ดวงสุภา ๒. นายเอี่ยม นาขะมิ้น ๓. พระอธิการธิตินันต์ สุทธิธโณ ๔. พระสมจิต กิตติโสภโณ ๕. พระทศพล คุณวิโร ครูรับผิดชอบกิจกรรม ๖. นายวิสุทธิ์ ดวงสุภา ๗. นางคาพันธ์ โมยะ ๘. นางเกษร อนุเวช
กรรมการ กรรมการและเลขานุการ
ประธาน รองประธาน กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการและเลขานุการ
ประธาน รองประธาน กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการและเลขานุการ
ปุาโคก คลังอาหารที่มนั่ คงของชาวชุมชนบะหว๎า กรกฎาคม ๒๕๕๓ แม๎จะลํวงเข๎ากลางฤดูฝน แตํหลายพื้นที่ยังคงแห๎งแล๎ง ชาวนาเริ่มบํนถึงฝนฟูา ที่มาช๎ากวําทุกปี เกรงวําปีนี้จะไมํมีข๎าวตกใสํเต็มเล๎าเชํนเคย แตํที่นี่ ตาบลบะหว๎า อาเภออากาศอานวย จังหวัดสกลนคร กลับมีฝนถั่งเทลงมามิขาดสาย ชาวบ๎านหลายคนเรํงไถหวํานตกกล๎าดานากันอยํางรีบเรํง พวกเขาทานาเสร็จกํอนใครในภาคอีสานก็วําได๎ ด๎วยความอุดมสมบูรณ์ของผืน
“ปุาโคก”ที่รายรอบที่อยูํอาศัยและที่ทากินของชาวบะหว๎าเป็น
แหลํงที่ทาให๎เกิดน้าซับไหลออกมาผืนดินอยูํตลอด ชาวบ๎านเรียกลักษณะดังกลําววํา “บะ” อันหมายถึงที่ เนินสูงมีน้าซึมซับออกมาจากผืนดิน ดึงดูดใจให๎นายฮ๎อยที่ไลํต๎อนวัวควายจาก อ.นาหว๎า อ.ทําอุเทน จ. นครพนม ตัดสินใจชักชวนเพื่อนบ๎านมาสร๎างบ๎านแปงเมืองในดินแดนแถบนี้ และตั้งชื่อหมูํบ๎านแหํงนี้วํา “บ๎านบะหว๎า” อันหมายถึงบ๎านที่มี “บะ” ที่มตี ๎นหว๎าเป็นจานวนมาก นอกจากบ๎านบะหว๎าแล๎ว ยังมีอีก หลายหมูํบ๎านที่ตั้งชื่อบ๎านตามลักษณะท๎องถิ่นดังกลําว เชํน บ๎านบะยาวใหญํ บ๎านบะยาวน๎อย เป็นต๎น แม๎ปัจจุบันพื้นที่ “บะ” ดังกลําวชาวบ๎านได๎หักร๎างถางพงแปงเป็นไรํนาไปเสียเป็นสํวนใหญํ แตํ พวกเขาก็ยังเหลือพื้นที่ปุาธรรมชาติไว๎อีกจานวนไมํน๎อย กลําวได๎วํา ตาบลบะหว๎า เป็นตาบลที่มีผืนปุาโคก มากที่สุดในแถบนี้และมีสภาพพื้นที่ที่สูงที่สุดใน ๘ ตาบลของอาเภออากาศอานวยอีกด๎วย ที่สาคัญปุาโคก แถบนี้ยังไมํถูกรุกรานจากพืชเศรษฐกิจเชํน อ๎อย มันสาปะหลัง ยูคาลิปตัส และยางพารา ที่เป็นพืช เศรษฐกิจยอดฮิตของคนอีสานซึ่งได๎รับการสํงเสริมกันอยํางเกรียวกราวในปัจจุบัน สภาพของผืนปุาประกอบไปด๎วยไม๎หลักๆ เชํน ไม๎เต็ง รัง ติ้ว เหียง พลวง ที่ยืนต๎นเบียดเสียดกัน อยํางหนาแนํน สํวนพืชชั้นลํางเป็นกระเจียวปุาและหญ๎าเพ็ก มีพื้นที่รวมกันทั้งหมดประมาณ ๒๐,๐๐๐ ไรํ กระจายอยูํรอบที่ตั้งของหมูํบ๎านและสลับกับทุํงนาทั้ง ๙ หมูํบ๎านในเขตตาบลบะหว๎า สถานภาพสํวน ใหญํของปุาโคกเหลํานี้ มีทั้งเป็นปุาชุมชน ปุาสาธารณะประโยชน์ ปุาดอนปูุตา ปุาช๎าของชุมชน และปุา หัวไรํปลายนาของครอบครัว ผืนปุาแหํงนี้เป็นพื้นที่ต๎นน้าสาคัญของลาห๎วยขนาดเล็กจานวน ๕ สายที่ไหลผํานตาบลบะหว๎า สายน้าเล็กๆ ที่ไหลมาจากปุาพัดพาเอาตะกอนปุ๋ยจากการทับถมของซากใบไม๎และผิวดินลูกรังสีแดงไหล ลงสูํผืนนาและลาห๎วย เป็นปุ๋ยอันโอชะของนาข๎าว เป็นปุ๋ยธรรมชาติที่ผืนปุามอบให๎แกํชาวบะหว๎า ปุาโคกแหํงนี้ยังทาหน๎าที่เป็น “คลังอาหารธรรมชาติ” ที่มั่นคงของชุมชนแหํงนี้” ในทุกฤดูกาลผืน ปุาแหํงนี้มิเคยวํางเว๎นจากผู๎คนที่จะเข๎ามาเก็บหาอาหารจากธรรมชาติตั้งแตํผืนดินจนถึงยอดไม๎คือ ในฤดู
แล๎ง มีไขํมดแดง ดอกกระเจียวดิน กระเจียวปุา ผักอีลอก(บุกปุา) ผักหวาน สํวนตามลาต๎นของพรรณไม๎ คือ ขี้ยาง ขี้ซี ยางไม๎ที่สามารถเก็บไปทาขี้ไต๎ไว๎สาหรับกํอไฟในครัวเรือนได๎ ตํอมาตามใบไม๎และลาต๎นก็เป็น หน๎าจักจั่น
แมงแคง แมลงทับ เหลํานี้คือ อาหารและผลผลิตจากปุาในชํวงฤดูแล๎งของชาวบ๎าน
เมื่อยํางเข๎าฤดูฝนผืนปุาแหํงนี้อุดมไปด๎วยเห็ดธรรมชาตินานาชนิด เชํน เห็ดเผาะ เห็ ดโคน(ปลวก) เห็ดระโงก เห็ดดิน เห็ดไค เห็ดถําน เห็ดน้าหมาก(สีแดง) เห็ดข๎าวกล่า(สีมํวง) เป็นต๎น นับรวมได๎ประมาณ ๑๔ ชนิด เห็ดจะเริ่มออกตั้งแตํเดือนพฤษภาคม –กรกฎาคม เมื่อฝนตกชุกและมีแสงแดดจ๎าในสองสามวัน ติดกัน นั่นคือสัญญาณของเห็ดธรรมชาติที่จะเริ่มโผลํพ๎นดินออกมา โฆษก โคตํอเนตร หญิงวัยกลางคนแหํงบ๎านบะหว๎า เลําวํา “ยามเห็ดออกราวกับงานบุญใหญํของ หมูํบ๎าน เพราะชาวบ๎านตํางจะพากันมุํงหน๎าเข๎าปุาหาเห็ดตั้งแตํตี ๔ ตี ๕ บางคนก็เข๎าหาเห็ดในปุา สาธารณะของหมูํบ๎าน บ๎างก็เข๎าเก็บหาในปุาหัวไรํปลายนาของตนเอง นอกจากคนในบ๎านบะหว๎าแล๎ว คน บ๎านไกล เชํน อ.นาหว๎า อ.พรรณานิคม อ.อากาศอานวย ก็จะพากันเหมารถมาเก็บเห็ดในเขตตาบลบะ หว๎าเชํนเดียวกัน สังเกตได๎จากรถที่จอดเรียงรายอยูํริมถนนตามปุาตํางๆ แตํเราก็ไมํหวงใครหาได๎ก็หาไป เพราะมันมีมาก ถือวําแบํงกันพอ ขอกันกินได๎อยูํ” เห็ดที่หาได๎สํวนใหญํชาวบ๎านจะหามาเพื่อเป็นอาหารในครอบครัว
สํงให๎ลูกหลานที่ไปทางาน
กรุงเทพฯ บางคนก็ตั้งโต๏ะขายอยูํริมถนนที่ตัดผํานหน๎าหมูํบ๎าน เชํน บ๎านวังมํวง, บ๎านบะยาวน๎อย บะยาว ใหญํ เป็นต๎น สํวนบางคนที่ปุาหัวไรํปลายนาติดถนนก็ถือโอกาสเปิดตลาดริมทางติดปุาของตนเองเลย คน หนึ่งขายอีกคนก็เข๎าปุาหาเห็ด รายได๎เฉลี่ยวันละไมํต่ากวํา ๕๐๐ บาทตํอคนทีเดียว เพราะความอุดมสมบูรณ์ของผืนปุาโคกที่ชาวบ๎านยังชํวยกันดูแลรักษาไว๎นี้จึงทาให๎ชุมชนได๎พึ่งพา อาหารจากธรรมชาติได๎ตลอดทั้งปีเชํนนี้ รวมทั้ง “แมํเตํา” หรือ สมคิด ชาสงวน วัย ๖๐ ปี ผู๎ไมํมีที่ดิน แตํ สามารถพึ่งผืนปุาและท๎องนาของเพื่อนบ๎านรวมทั้งหนองน้าสาธารณะ
เพื่อเลี้ยงดูสมาชิกในครอบครัว
จานวน ๘ ชีวิต ในฐานะหัวหน๎าครอบครัวที่ต๎องเลี้ยงดูหลานกาพร๎าและสามีชราที่ไมํคํอยแข็งแรง เธอจึง เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสาคัญของครอบครัว แมํเตําบอกวํา ปุาโคกคือแหลํงอาหาร แหลํงรายได๎ที่จะเลี้ยงดูจุนเจือครอบครัวของเธอให๎มีข๎าว กินไปตลอดปีได๎ เธอคือผู๎ที่หาของปุาเกํงที่สุดในหมูํบ๎านก็วําได๎ ในชํวงที่เห็ดออกออกมากเธอจะมีรายได๎ จากการขายเห็ดประมาณ อาทิตย์ละ ๒,๐๐๐ บาท หากเป็นยามแล๎ง ดอกกระเจียว ไขํมดแดง แมงแคง จักจั่น จิ้งหรีด ขี้ซี ขี้ยาง เธอจะเก็บหามาขายและมาเลี้ยงครอบครัวได๎ตลอด หากบางชํวงที่ไมํมีของปุา ก็
จะไปหาปลา รับจ๎างดานา ถอนกล๎า บ๎าง ต๎องหารายได๎อยํางต่าวันละ ๒๐๐ บาทเพื่อให๎ลูกหลานอยูํได๎ ผืนปุาสํวนใหญํที่ไปเก็บหาก็เป็นปุาสาธารณะของหมูํบ๎าน หัวไรํปลายนาของญาติพี่น๎อง เป็นต๎น แมํเตํา บอกวํา “ปุาทาเล ปุาโคก คือแหลํงเลี้ยงดูชีวิต เพราะหากินหาอยูํได๎ทุกแล๎ง ทุกฝน หาได๎ ทุกนาที แล๎วแตํฤดูของพืชพันธุ์ไป ถ๎าไมํมีปุา ก็ไมํมีอาหาร ไมํมีหนองน้า ครอบครัวของแมํก็คงลาบาก มากกวํานี”้
นี่คือคายืนยันของคนที่ไมํมีที่ดินที่ชีวิตนี้ฝากไว๎กับธรรมชาติอยํางแท๎จริง แม๎ครอบครัวจะต๎องดิ้น รน ขัดสนลาบาก แตํแมํเตําบอกวํา ครอบครัวของเธออยูํกันอยํางมีความสุข ลูกหลานไมํเคยทะเลาะเบาะแว๎ง กัน นอกจากนี้แมํเตําผู๎ได๎รบั ผลผลิตจากปุาและการแบํงปันพื้นที่หาอยูํหากินจากเพื่อนบ๎าน แมํเตํายังได๎ แบํงปันความสุขให๎กับชุมชนด๎วยการมารํวมกิจกรรมกับศูนย์ ๓ วัยฯ ทั้งเป็นสมาชิกกลุํมทอผ๎า ยามวํางก็ ฝึกร๎องหมอลา แตํงกลอนลา ร๎องสารภัญญะ ย๎อมครามกับเพื่อนบ๎านอยูํเสมอ หากหาเห็ดมาได๎มาก แมํ เตําก็จะแบํงมาให๎เพื่อนบ๎านที่ศูนย์ฯ ได๎กินกันอยํางถ๎วนหน๎า เรียกวํา เมื่อได๎รับก็มีการแบํงปันให๎ไปเรื่อยๆ นั่นเอง แมํเตําและชาวบ๎านอีกหลายคนในชุมชนตาบลบะหว๎าได๎แตํหวังวํา
จะรํวมกันดูแลรักษาปุาโคก
ผืนใหญํในตาบลนี้ ให๎เป็นอยํางนี้ตลอดไป พวกเขาไมํอยากให๎ปุาแหํงนี้กลายเป็นปุายางพาราหรือปุายูคา ลิปตัสแบบในตาบลอื่น เพราะพวกเขาเห็นแล๎ววํา คุณคําที่เกิดขึ้นนั้นตํางกันเหลือคณานับ เพราะผืนปุายัง มีอยูํมาก จึงอานวยให๎อากาศฝนฟูาดีและอาหารอุดมสมบูรณ์กวําที่อื่น พวกเขาเชื่ออยํางนั้น.
“เมื่อผู๎บําวแนว..ทอผ๎า” “ปึ๊ก! ปึ๊ก!” เสียงฟืมกระทบหูกดังสลับกันไปมาอยูํทั้งวันจากกี่ทอผ๎านับสิบของบรรดากลุํมแมํบ๎านบะหว๎า ที่มารวมกันทอผ๎าอยูํที่โรงทอผ๎าของศูนย์ ๓ วัยฯ บะหว๎า สกลนคร ยามนี้ตํางคนตํางก็เรํงทอผ๎าของตนเอง อยําง ขมักขะเม๎น เพราะข๎าวในนาเริ่มสุกเหลืองบ๎างแล๎ว หากไมํเสร็จกํอนเกี่ยวข๎าวก็คงต๎องทิ้งหูกไว๎อีกนานเป็น เดือนจึงจะได๎เข๎ากี่อีกครั้ง แตํสิ่งที่ทาให๎ฉันแปลกใจยิ่งกวํานั้นคือ เสียงเพลง “คึดฮอด” ของวงบอดี้แสลม วงสตริงสุดฮิตแหํงยุคดังแวํวมาอยูํใกล๎ๆ
นึกในใจวําแมํอุ๎ยบ๎านบะหว๎านี้ทันสมัยเสียจริงฟังเพลงวัยรุํนที่
กาลังฮิตที่สุดในตอนนี้ หรือแมํอุ๎ยเหลํานั้นอยากลองฟังเสียง ศิริพร อาไพพงษ์ ที่ร๎องให๎บอดี้แสลมหรือ เปลํา ด๎วยความสงสัยฉันจึงรีบสาวเท๎าเดินตามเสียงเพลงไปที่โรงทอผ๎า เพื่อดูวําใครเปิดเพลงวัยรุํนสุดฮิตอยูํ พอ ถึงโรงทอผ๎า ภาพที่ปรากฏกลับกลายเป็นหนุํมน๎อย 3 คน กาลังทอผ๎าและคุยกันโขมงโฉงเฉงตามประสาผู๎ บําวแนว (หนุํมน๎อย)
ความสงสัยในจิตใจฉันยิ่งเพิ่มมากขึ้น “เด็กผู๎ชายทอผ๎า” เป็นไปได๎อยํางไรกัน?
ฉันยืนแอบดูพวกเขาทอผ๎าอยูํหํางๆ
เพราะอยากรู๎วําเขาทาได๎จริงหรือ...และตนเองก็เคยถูกฝึกให๎ทอผ๎า
ตั้งแตํอายุ
๑๔
ด๎วยความที่เกิดเป็นลูกสาวของชาวอีสานหนุํมน๎อยตัวเล็กที่สุดสอดกระสวยจากด๎านขวาผํานแผงเส๎นด๎าย ที่สืบตํอกับฟืม มือด๎านซ๎ายรับกระสวยอยํางแมํนยา เท๎าเหยียบไม๎สองอันอยูํด๎านลําง ทาให๎ด๎ายสลับกัน และประสานกับด๎ายที่สอดผํานเพื่อให๎กลายเป็นผืนผ๎า ดูแวบเดียวก็รู๎วําเขามีความชานาญพอตัว ฉันเดินเข๎าไปใกล๎กี่ทอผ๎าของสามหนุํม “ทอผ๎าอะไรน๎อ” .....เงียบ คือ คาตอบ .....กํอนที่เสียงแมํอุ๎ยอยูํโรงทอผ๎าติดกันจะเอํยขึ้น “หัวหน๎าถามก็บอกตอบเพิ่นหนํอย น๎องอาร์ม” “ผ๎าแพร ครับ” หนุํมน๎อยนามวํา “อาร์ม” ตอบเสียงคํอยๆ ด๎วยทําทางอายๆ นั่นเทํากับทาให๎ฉันเปิดฉากสนทนากับสาม หนุํมได๎งํายขึ้น
“ผ๎าที่ทอนี้ลายอะไร” “ลายน้าไหลครับ” “ใครเป็นคนสอนให๎ทอผ๎าละ” ฉันรุกถาม “แมํครับ” เขาตอบพร๎อมชาเลืองมองหน๎าฉันเล็กน๎อย (คงคิดในใจวํา ถามอะไรนักหนา) “แมํบังคับหรืออยากทอเอง” “อยากทอเองครับ” “ทาไมอยากทอลํะ” เด็กหนุํมเงียบครุํนคิด กํอนจะตอบวํา “ไมํรู๎ครับ” ฉันจึงหัวเราะออกมาดังๆ กํอนจะ เริ่มสนทนากับสามหนุํมอยํางเป็นทางการ “อาร์ม” และ “อ้า” สองพี่น๎อง วัย ๑๓ และ ๑๔ ปี ผู๎เป็นลูกและหลานของ “แมํกุ๎ย” สาคร ไชยมงค์ ประธานกลุํมทอผ๎าพื้นเมือง บ.บะหว๎า หมูํ ๙ ซึ่งยกกี่ทอผ๎ามาไว๎ที่ ศูนย์ ๓ วัย แหํงนี้นานนับปีแล๎ว แมํกุ๎ย จะลงมาทอผ๎าที่ศูนย์เกือบทุกวัน ยกเว๎นชํวงดานาหรือเกี่ยวข๎าวเทํานั้น ที่กี่ทอผ๎าของเธอจะวํางเปลํา สํวน อีกหนึ่งหนุํมคือ “เอ็ม” วัย ๑๔ ปี หลานยายเตํา ซึ่งเป็นสมาชิกกลุํมทอผ๎าเชํนเดียวกับแมํกุ๎ย “อ้า” หนุํมน๎อยวัย ๑๔ ปี กาลังเรียนอยูํชั้น ม. ๓ เลําให๎ฟังวํา “ผมหัดทอผ๎ามาตั้งแตํปีที่แล๎ว แตํก็บอกไมํได๎วําทาไมถึงอยากทอ เห็นยายทอผ๎ามาแล๎วก็อยากลองทาดู ก็ ไปแอบทอผ๎าตอนที่ยายไมํอยูํบ๎าน บางทียายก็ใช๎ให๎กวักไหม ปั่นด๎าย ตอนนี้ทอผ๎าได๎หลายลายและหลาย ผืนแล๎ว เชํน ลายน้าไหล ลายหินแตก ลายตาไกํ ลายดอกแก๎ว ลายหมากปิ้นลม(ใบพัด)” ที่สาคัญคือ เขาสามารถทอผ๎าได๎ทั้งแบบสองตะกอและแบบสี่ตะกออยํางชานาญ ระหวํางบทสนทนาของฉันกับหนุํมน๎อย เสียงเพลงสุดฮิตที่ฉันสงสัยก็ดังอยูํไมํขาด ทั้งเพลงของบอดี้แสลม วงแคลช หรือแม๎แตํ เสก โลโซ ล๎วนเป็นศิลปินขวัญใจของหนุํมน๎อยคนนี้ทั้งสิ้น มันเป็นเสียงเพลงจาก โทรศัพท์รุํนใหมํยี่ห๎อที่คนนิยมที่สุดในประเทศ เขาวางมันไว๎บนผืนผ๎าที่ทอเรียบร๎อยและพันไว๎ในไม๎พันหูก ดูๆ ไปมันก็ชํางขัดกับสิ่งที่เขากาลังทา จนอยากเรียกวํา “ผู๎บําวแนวต่าหูก” เหลือเกิน ฝุายหนุํม“อาร์ม” ตัวเล็กแตํคลํองแคลํว ทําทางเป็นคนไมํคํอยพูด “ทาไมไมํมีผู๎หญิงมาทอผ๎าบ๎างลํะ” ฉันยิงคาถามแกํเขา
“มีอยูํคนหนึ่งชื่อ ออม แตํวันนี้ไมํมาครับ แตํกํอนเพื่อนผู๎หญิงก็มีมาหลายคน แตํเขาไมํทน ใจออก เลยไมํ มาอีกครับ” เขาตอบพลางสาละวนกับการตํอเส๎นด๎ายที่ขาดอยํางคลํองแคลํว หูกของอาร์มเป็นผ๎าแพรคลุมไหลํลายน้า ไหลย๎อมผ๎าสีธรรมชาติที่แมํเป็นคนย๎อมและมัดหมี่ให๎ ดูรํองรอยม๎วนผ๎าที่พันไว๎ก็พอนับได๎วํามาถึงครึ่งทาง อีกสามสี่วันก็คงเสร็จสาหรับผ๎าแพรผืนนี้ “เคยขี้เกียจบ๎างไหม ถามจริงๆ อยากมาทอเอง หรือแมํบังคับให๎มา ทาไมํอยากไปเลํนกับเพื่อนบ๎างเหรอ” “อยากมาเองครับ ไมํรู๎จะไปเลํนอะไร เพื่อนก็อยูํบ๎านดูทีวี” อาร์มตอบ แตํเจ๎าอ้าสวนกลับมา “บางทีก็แมํ บังคับ อยากให๎เสร็จเร็วๆ” พวกเราเลยพากันหัวเราะกันลั่นทั้งโรงทอผ๎า แมํกุ๎ย สาคร ไชยมงค์ เลําวํา “แมํก็บอกไมํได๎วํา ทาไมเขาถึงอยากทอผ๎า ทั้งที่เป็นผู๎ชาย เขาเห็นเราทอเขา ก็ปวด(อยาก)ทอ เรากางหูกไว๎ที่บ๎านเขาก็แอบทอจนแทบจะเสียผ๎า แมํจึงถามเขาวํา อยากทอจริงรึเปลํา เขาก็บอกวํา อยากทอ จึงตัดสินใจทาหูกให๎เขาเลยเครือหนึ่งแบบโสทิ้งเลย” เมื่อเขาเริ่มทอผ๎าได๎แล๎ว ผู๎เป็นแมํก็เริ่มสอนขั้นตอนทั้งหมดในการผลิตผ๎าหนึ่งผืน เหลือแตํการย๎อมสีและ ย๎อมครามเทํานั้น ที่ยังไมํสอน เพราะเด็กๆ บอกวํา กลัวเล็บดา ไมํอยากทา และที่สาคัญคือ ครามจะมีฤทธิ์ กัดมือทาให๎มือเปื่อยได๎ “แมํก็ดีใจที่เขาสนใจทอผ๎า ไมํได๎ขี่มอเตอร์ไซด์ หรือไปเกเรที่ไหน ที่สาคัญเขาก็เป็นคนเลือกเองวํา อยาก ทาหรือไมํอยากทา เมื่อเขาอยากทาเราก็ต๎องสนับสนุน ทอผ๎าเสร็จ เหนื่อยเขาก็ไปเลํนบ๎าง ตกเย็นก็ไปใสํ เบ็ดตามไรํนา ประสาพวกเขานั่นแหละ” แมํกุ๎ย บอก เชํนเดียวกับ “แมํเตํา” สมคิด ชาสงวน บอกวํา น๎องเอ็ม ก็คล๎ายๆกัน เขาอยากทาเราก็สนับสนุน ตอนนี้ เขาทอผ๎ามีเงินเก็บได๎ประมาณ ๓,๐๐๐ บาท แล๎ว และเคยไปทอผ๎าโชว์ที่ขอนแกํน รํวมกับศูนย์ 3 วัย ฯ บะหว๎า
สกลนคร
นอกจากนี้หนุํมน๎อยทั้งสามคนนี้ถือวําอยูํในขั้นเป็นผู๎เชี่ยวชาญเรื่องการทอผ๎าแล๎ว
เพราะบรรดาแมํอุ๎ยในกลุํมทอผ๎าตํางยืนยันฝีมือของหนุํมๆ ด๎วยการจ๎างให๎ทาเครือหูก กวักไหม แก๎มัดหมี่ ให๎หลายๆ คน บรรดาผู๎เฒําตํางยอมรับวํา พวกเขามีความตั้งใจสูงและลงมือทาจริงๆ แม๎จะไมํรู๎วําพวก เขาจะทอผ๎าไปถึงตอนไหน “คาถามสุดท๎าย” ฉันถามหยั่งเชิงสามหนุํมพลางสบตาพวกเขา หนุํมน๎อยทั้งสามตํางพากันยิ้ม
“คิดวําจะทอผ๎าไปอีกนานไหม” คาตอบที่ได๎เป็นคาตอบเดียวกับคาถามที่วําทาไมพวกเขาถึงอยากทอผ๎า แม๎ไมํแนํใจนักวําบรรดา
“หนุํมแนว”จะเลิกทอผ๎าเมื่อไหรํ
แตํผู๎เป็นแมํและยายก็ภูมิใจที่ได๎ถํายทอด
วิชาการทอผ๎าให๎กับลูกหลาน และดีใจที่พวกเขายังสนใจในสิ่งที่พํอแมํทา แม๎วําพวกเขาจะเป็นเด็กผู๎ชาย สิ่งนี้ไมํได๎กีดกั้นความรู๎สึกของการอยากเรียนรู๎ภูมิปัญญาของผู๎เป็นแมํ และพวกเขาก็ไมํได๎รู๎สึกเขินอายที่จะ นั่งกี่ทอผ๎าเชํนเดียวกับบรรดาแมํอุ๎ยทั้งหลาย แถมเวลาเหนื่อยพวกเขาก็พักไปเอาน้าลูบผม แตํงผมให๎ดูเทํหลํอ ตามประสา “เด็กแนวแถวบะหว๎า” ได๎ อยํางลงตัวกับวิถีชีวิตของพวกเขาจริงๆ