หลักสูตรการจัดการศึกษานาร่องสัมมาอาชีพด้วยบริบทจริงในชุมชน เพื่อสุขภาวะของเด็กและเยาวชนไทย จัดทาโดย โครงการแหลํงเรียนรู๎ของชุมชนจัดการศึกษานํารํองสัมมาอาชีพด๎วยบริบทจริงในชุมชน เพื่อสุขภาวะของเด็กและเยาวชนไทย
หลักสูตรในชุดโครงการนาร่องการจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วมขององค์กรในชุมชน เพื่อสุขภาวะของเด็กและเยาวชนไทย สนับสนุนโดยสานักงานกองทุนสนับสนุนสร้างเสริม สุขภาพ(สสส.) และมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ร่วมกับแหล่งเรียนรู้ชุมชนปู่ทวดครูสิงห์ ฤทธิเดช
วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2554
คานา การจัดทําหลักสูตรการจัดการศึกษานํารํองสัมมาอาชีพด๎วยบริบทจริงในชุมชน เพื่อสุขภาวะของเด็ก และเยาวชนไทย คณะผู๎วิจัยได๎จัดทําหลักสูตรตามสภาพจริง ตามความต๎องการของคนในชุมชนเป็นตัวตั้ง มี กิจกรรมการเรียนรู๎ 5 กิจกรรม คือ ไกํ-ปลา เศรษฐกิจชุมชน ถํานชีวภาพลดภาวะโลกร๎อน สมุนไพรอาหาร เพื่อสุขภาพ ดนตรีพื้นบ๎านโปงลางประยุกต๑ และประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่นสายใยรักชุมชน ซึ่งกิจกรรมการ เรียนรู๎ได๎ชุดความรู๎ที่เกิดขึ้นตามความสนใจของเด็กและเยาวชนได๎ศึกษา เขียนบันทึกเป็นรายบุคคลและกลุํม เพื่อเป็นชิ้นงานประกอบได๎นําหลักสูตรไปใช๎จัดการศึกษาโดยการวิจัยชุมชนเป็นฐาน เกิดความรํวมมือ ระหวํางคนภายในชุมชนและคนภายนอกชุมชนเข๎ามาหนุนเสริมให๎เด็ก เยาวชน ผู๎ปกครอง ประชาชนใน หมูํบ๎านกุดแคนที่เป็นสมาชิกในโครงการได๎รับความรู๎ทักษะอาชีพสามารถนําไปใช๎ในการดํารงชีวิตใน ปัจจุบันได๎อยํางเป็นสุข และคณะผู๎วิจัยขอบพระคุณผู๎ประสานงานโครงการ ปศท.2 ในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ อาจารย๑ ดร.พิณสุดา สิรินธรังศรี รองศาสตราจารย๑ ดร.อุทัย บุญประเสริฐ และอาจารย๑ บุญจันทร๑ บัวหุํง ที่ได๎ให๎ข๎อเสนอแนะ เอใจใสํประเมินผลโครงการอยํางสม่ําเสมอ หวังวําเอกสารหลักสูตรใสชุดโครงการ ปศท.2 จะเป็นประโยชน๑ตํอการจัดการศึกษาในระบบเปิด ตามแบบอัธยาศัย เกิดการขยายผลแหลํงเรียนรู๎ของชุมชนตํอไปในสังคมไทย คณะทีมวิจัย ประสพสุข ฤทธิเดช นภัทสร แกํนแก๎ว ธนาพัฒน๑ เที่ยงภักดิ์
สารบัญ เนื้อหา 1 หลักสูตรการจัดการศึกษานํารํองสัมมาอาชีพด๎วยบริบทจริงในชุมชน เพื่อสุขภาวะของเด็กและเยาวชนไทย 2 องค๑ประกอบของหลักสูตร - ไกํ – ปลา เศรษฐกิจชุมชน - สมุนไพรอาหารเพื่อสุขภาพ - ถํานชีวภาพลดภาวะโลกร๎อน - ดนตรีพื้นบ๎านโปงลางประยุกต๑ - ประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่นสายใยรักชุมชน
หน้า 1 2 17 36 68 94 114
หลักสูตรการจัดการศึกษานาร่องสัมมาอาชีพ ด้วยบริบทจริงในชุมชน เพื่อสุขภาวะของเด็กและเยาวชนไทย คาชี้แจง หลักสูตรการศึกษานํารํองสัมมาอาชีพด๎วยบริบทจริงในชุมชน เพื่อสุขภาวะของเด็กและเยาวชนไทย การดําเนินงานของโครงการเพื่อให๎บรรลุวัตถุประสงค๑ของโครงการ จึงได๎จัดทําหลักสูตรการจัด การศึกษานํารํองสัมมาอาชีพด๎วยบริบทจริงในชุมชน เพื่อสุขภาวะของเด็กและเยาวชนไทย ได๎ใช๎วิธีการแบบ มีสํวนรํวมขององค๑กรในชุมชนและองค๑กรภายนอกชุมชนพูดคุยกันกับ ผู๎ปกครองของกลุํมเด็กและเยาวชน แบบไมํเป็นทางการ และรํวมมือกันจัดประชุม เพื่อขอให๎ทุกคน ที่เข๎ารํวมโครงการแสดงความคิดเห็นจัดทําคูํมือหลักสูตรของแหลํงเรียนรู๎ชุมชน เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ที่ผํานมา ผลปรากฏวํา การจัดทําโครงรํางคูํมือหลักสูตรทั้ง 5 กิจกรรม มีลําดับขั้นตอนดังนี้ 1. ความเป็นมาของโครงการการจัดการศึกษานํารํองในแหลํงเรียนรู๎ชุมชนปูททวดครูสิงห๑ ฤทธิ เดช 2. วัตถุประสงค๑ของโครงการ 3. การมอบภาระงานจัดกิจกรรมเรียนรู๎ 5 กิจกรรม 4. ระยะเวลาการเรียนรู๎ 5. การออกแบบหนํวยกิจกรรมการเรียนรู๎ 6. การสร๎างสรรค๑ชิ้นงานจาก 5 กิจกรรม 7. การติดตามประเมินผล 5 กิจกรรม 8. การถอดบทเรียนด๎วยเวทีชาวบ๎าน 9. การสรุปบทเรียนได๎หลักสูตรที่เป็นฉบับสมบูรณ๑ และรายงานฉบับสมบูรณ๑ ดังนั้น การดําเนินงานรํางคูํมือหลักสูตรสัมมาอาชีพและประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่น มีองค๑ประกอบดังกลําวมา ตั้งแตํวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2554 ได๎ปรับแก๎ไขการจัดกิจกรรมให๎เหมาะสมกับ ชํวงวัยของเด็กและเยาวชน ในการเรียนรู๎มีระดับผลงานแตกตํางกัน อยํางไรก็ตามได๎ใช๎กระบวนการเรียนรู๎ แบบรํวมมือระหวํางเพื่อนสอนเพื่อน พี่สอนน๎อง ครูพํอ – แมํ ครูภูมิปัญญา ถํายทอดความรู๎ตามกิจกรรม ระบุได๎ 5 กิจกรรมได๎บรรลุผลตามโครงการ และมีชุดความรู๎เฉพาะท๎องถิ่นของชาวบ๎านกุดแคนเป็น หลักสูตรประวัติศาสตร๑ชุมชนการจัดการศึกษาแบบทางเลือกในด๎านสัมมาอาชีพและประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่น องค์ประกอบของหลักสูตร
1. ความเป็นมาของโครงการ สืบเนื่องจากโครงการนํารํองการจัดการศึกษาการมีสํวนรํวมขององค๑กรในชุมชน เพื่อสุขภาวะคนไทย ที่ได๎รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร๎างเสริมสุขภาพ (สสส.) รํวมกับศูนย๑วิจัยและฝึกอบรมทางการศึกษาวิทยาลัยครุศาสตร๑ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย๑ ได๎ให๎ โอกาสเครือขํายโดยเฉพาะแหลํงเรียนรู๎ของชุมชนได๎นําเสนอโครงการ ให๎องค๑กรหนํวยงานในชุมชน และ ภายนอกชุมชนได๎รํวมมือกันจัดการศึกษาให๎ชุมชนเป็นชุมชนแหํงการเรียนรู๎ตลอดชีวิต ทําให๎แหลํงเรียนรู๎ของ ชุมชน “บ๎านหลังเรียนปูททวดครูสิงห๑ ฤทธิเดช” ตั้งอยูํบ๎านเลขที่ 1 บ๎านกุดแคน หมูํที่ 6 ตําบลหนองโน อําเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ได๎จัดกิจกรรมการเรียนรู๎ตามความต๎องการของชุมชน 5 กิจกรรม คือ (1) ดนตรีพื้นบ๎านโปงลางประยุกต๑ปูททวดครูสิงห๑ ฤทธิเดช (2) ถํานชีวภาพลดภาวะโลกร๎อน (3) สมุนไพรเพื่อ สุขภาพ (4) ไกํและปลาเศรษฐกิจชุมชน และ (5) ประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่น สื่อสายใยรักในชุมชน ซึ่งกิจกรรมการเรียนรู๎ทั้ง 5 กิจกรรม จะเริ่มดําเนินการ ตั้งแตํเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2554 ถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2555 2. วัตถุประสงค์ของโครงการ 1) เพื่อนํารํองการจัดการศึกษาของแหลํงเรียนรู๎ชุมชนปูททวดครูสิงห๑ ฤทธิเดช เรื่องสัมมาอาชีพ ได๎แกํ โปงลางประยุกต๑ฯ ถํานชีวภาพลดภาวะโลกร๎อน สมุนไพรเพื่อสุขภาพ ไกํและปลาเศรษฐกิจชุมชน และประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่นบ๎านกุดแคน 2) เพื่อศึกษาความเป็นไปได๎ และถอดบทเรียนของการจัดการศึกษานํารํองสัมมาอาชีพ และ ประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่นจากแหลํงเรียนรู๎ของชุมชนปูททวดครูสิงห๑ ฤทธิเดช ตามความหลากหลายในบริบทจริง ชุมชน 3) เพื่อเสนอแนวทางจัดการศึกษาที่เหมาะสมในสุขภาวะของเด็กและเยาวชน และสนับสนุนให๎ เป็นการขยายผลในโอกาสตํอไป
3. การมอบภาระงานจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การมอบภาระงานการจัดกิจกรรมการเรียนรู๎ ทั้ง 5 กิจกรรม โดยมีผู๎รับผิดชอบรํวมมือกัน คือ
3.1 เจ้าภาพหลักตระกูลฤทธิเดช นางสําเนียง และนายไพโรจน๑ ดอนสามารถ ศาสนาและจิตอาสา
คุณลุงเสนาะคุณป้าวราภรณ๑ ฤทธิเดช สํงเสริมสุขภาพ
ดร.สมบัติ คุณละมัย ฤทธิเดช กองทุนการศึกษา
ตระกูลฤทธิเดช
คุณลุงสมชายป้าลัดดา ฤทธิเดช ฝทายสถานที่, ประชาสัมพันธ๑
รศ.ดร.สัมพันธ๑ผศ.อรวรรณ ฤทธิเดช สารสนเทศและการคลัง
ดร.ประสพสุข ฤทธิเดช ผู๎อํานวยการและประสานงาน
3.2 เจ้าภาพร่วมองค์กรภายในชุมชน กลุํมสตรีแมํบ๎าน และ ครูจิตอาสา
เด็กและเยาวชน ที่เข๎ารํวมโครงการ
เจ้าภาพร่วม ภายในชุมชน
ผู๎นําชุมชน พระสงฆ๑ ผู๎นําพิธีกรรม
ผู๎ปกครองเด็กและเยาวชน
ปราชญ๑ชุมชน เรื่องดนตรีและอาชีพ
3.3 เจ้าภาพร่วมองค์กรภายนอกชุมชน สถาบันการศึกษา (โรงเรียน, เขตพื้นที่การศึกษา, มหาวิทยาลัย, ห๎องสมุดประชาชน)
ปปส ภาค 4 จังหวัดขอนแกํน และครูจิตอาสา
สถานีประมงน้ําจืด จังหวัดมหาสารคาม
เจ้าภาพร่วม ภายนอกชุมชน
องค๑การบริหารสํวนตําบล หนองโน (อบต.ประจําหมูํบ๎าน)
สถานีอนามัย ตําบลหนองโน (อสม.ประจําหมูํบ๎าน)
สํานักงานเกษตร จังหวัดมหาสารคาม
4. ระยะเวลาการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู๎ในวันเสาร๑ – วันอาทิตย๑ตลอดโครงการ โดยไมํมีมิติเวลากํากับเป็นการ เรียนรู๎ตามอัธยาศัย เพราะเนื้อหาเป็นการบอกเลําข๎อมูลจากคนในชุมชน แล๎วเชื่อมโยงกับความรู๎จากแหลํง
เรียนรู๎ภายนอก บูรณาการรํวมกันเข๎าสูํระบบการศึกษาในสถานศึกษาตามความสนใจของเด็กและเยาวชนจะ ปรับไปใช๎ในการดํารงชีวิต 5. การออกแบบหน่วยกิจกรรมการเรียนรู้ แหล่งเรียนรู้หรือวิธีการ สืบค้นข้อมูล 1. ดนตรีพื้นบ๎าน 1. ข๎องใจ หมายถึง กิจกรรมที่ พํอ-แมํ เพื่อน ครู โปงลางประยุกต๑ปูททวด ให๎เด็กและเยาวชนตั้งคําถามที่ ปราชญ๑ชุมชน วิทยากร ครูสิงห๑ ฤทธิเดช ตนเองต๎องการอยากรู๎เกี่ยวกับ ครูดนตรี, ถํานชีวภาพ, 2. ถํานชีวภาพลดภาวะ ดนตรีพื้นบ๎านอีสาน ถําน สมุนไพร ไกํและปลา โลกร๎อน ชีวภาพ สมุนไพร ไกํและปลา เศรษฐกิจชุมชน 3. สมุนไพรเพื่อสุขภาพ เศรษฐกิจชุมชน และคําถาม และวิทยากรครู 4. ไกํและปลาเศรษฐกิจ เกี่ยวกับประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่น ประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่น ชุมชน และ บ๎านกุดแคน ห๎องสมุดแหลํงเรียนรู๎ 5. ประวัติศาสตร๑ 2. หมายคําตอบ หมายถึง กลุมํ ของชุมชน ห๎องสมุด ท๎องถิ่น สื่อสายใยรักใน เด็กและเยาวชนสืบค๎นหา โรงเรียน สํานักวิทย ชุมชน คําตอบจากภายในและภายนอก บริการ มหาวิทยาลัย ชุมชน มหาสารคาม 3. สอบสวน หมายถึง กลุํมเด็ก มหาวิทยาลัยราชภัฏ และเยาวชนเก็บข๎อมูลตาม มหาสารคาม แหลํงข๎อมูล ที่ระบุในข๎อ 2. วิเคราะห๑ข๎อมูลจัดกลุํม 4. ครวญใครํ หมายถึง กลุํม ตามหนํวยกิจกรรมการ เด็กและเยาวชนได๎ มีการ เรียนรู๎ 5 กิจกรรม วิเคราะห๑ตีความ หาคําอธิบาย ในเรื่องที่ตนอยากรู๎ 5. ไขความจริง หมายถึง เด็ก และเยาวชนําเสนอสิ่งที่ได๎ เรียนรู๎ ด๎วยการเขียนเป็น เรื่องหรือเลําเรื่องได๎ กิจกรรมการเรียนรู้
ขั้นตอนการทากิจกรรม
ผลลัพธ์ กระบวนการเรียนรู๎ 5 ขั้นตอน จาก 5 กิจกรรม เกิดการพัฒนา ทักษะทางภาษา ได๎แกํ การฟัง การดู การพูด การ อํานและการเขียนเกิด ขึ้นกับเด็กและเยาวชน
6. การสร้างสรรค์ชิ้นงาน แหล่งเรียนรู้หรือวิธีการ สืบค้นข้อมูล 1. ดนตรีพื้นบ๎าน - การสาธิตการแสดงโปงลาง พํอ-แมํ เพื่อน ๆ โปงลางประยุกต๑ปูททวด ประยุกต๑ ครูปราชญ๑ชุมชน ครูสิงห๑ ฤทธิเดช - สมุดเลํมเล็ก 5 เรื่อง คือ วิทยากร 2. ถํานชีวภาพลดภาวะ ดนตรี ถํานชีวภาพ สมุนไพร ห๎องสมุดแหลํงเรียนรู๎ โลกร๎อน เพื่อสุขภาพ ไกํและปลา ของชุมชน 3. สมุนไพรเพื่อสุขภาพ เศรษฐกิจชุมชนและ ห๎องสมุดโรงเรียน 4. ไกํและปลาเศรษฐกิจ ประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่นสื่อสายใย อินเตอร๑เน็ต ชุมชน และ รักชุมชน สํานักวิทยบริการ 5. ประวัติศาสตร๑ - โครงงานสมุนไพร ถําน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ท๎องถิ่น สื่อสายใยรักใน ชีวภาพ สํานักวิทยบริการ ชุมชน - ไกํและปลาเศรษฐกิจชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏ และโครงงานประวัติศาสตร๑ มหาสารคาม ท๎องถิ่นบ๎านกุดแคน ห๎องสมุดประชาชนใน - สารคดี 1 เรื่อง แหลํงเรียนรู๎ของชุมชน กิจกรรมการเรียนรู้
ขั้นตอนการทากิจกรรม
ผลลัพธ์ สมุดเลํมเล็ก/เอกสาร จาก 5 กิจกรรม โครงงาน 1-2 เรื่อง สารคดี จํานวน 1 เรื่อง
7. การติดตามประเมินผล กิจกรรมการเรียนรู้ 1. ดนตรีพื้นบ๎านโปงลาง ประยุกต๑ปูททวดครูสิงห๑ ฤทธิเดช 2. ถํานชีวภาพลดภาวะโลกร๎อน 3. สมุนไพรเพื่อสุขภาพ 4. ไกํและปลาเศรษฐกิจชุมชน และ 5. ประวัตศิ าสตร๑ท๎องถิ่น สื่อ สายใยรักในชุมชน
วิธีการวัดและประเมินผล ประเมินผลตามสภาพจริง มีการสังเกตพฤติกรรม การตรวจผลงาน - ผลงานการฝึกทักษะ การเขียน - ผลงานโครงงาน - ผลงานสมุดเลํมเล็ก - ผลงานการเขียนเรื่องเลํา ครูปราชญ๑ชุมชน วิทยากร เด็กและเยาวชนผลผลิตที่ เกิดขึน้ จริงมีการใช๎การ บริโภค - การเกิดมีแปลงสาธิต พืชผักสมุนไพร - การแสดงดนตรี - การจําหนํายผลผลิตใน กิจกรรมของโรงการ - การนําเสนอผลงานของ องค๑กรด๎วยเอกสารและการ พูดสื่อสารในการประชุมของ องค๑กรกลางและองค๑กรอื่นๆ
เกณฑ์การประเมิน เชิงปริมาณ - ครัวเรือนข๎ารํวมโครงการ ประมาณ 40-50 ครัวเรือน - สมาชิกโครงการประมาณ 50-60 คน/สัปดาห๑ - มีสมุดเลํมเล็กการเรียนรู๎ - มีโครงงานเกิดทักษะ 5 อยําง การฟัง การดู การพูด การเขียนและการอําน - ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้น - ครอบครัวกินดี สุขภาวะ แข็งแรง มีความสุข - เด็กและเยาวชนมีการ ประหยัดออมเงิน
8. การถอดบทเรียนด้วยเวทีชาวบ้าน หลังจากจัดกิจกรรมการเรียนรู๎ประมาณ 4-5 เดือน จะจัดกิจกรรมถอดบทเรียนด๎วยเวทีของ ชาวบ๎าน โดยบุคคลผู๎มีสํวนเกี่ยวข๎องมาประชุมเชิงปฏิบัติการ จากตัวแทนบุคคลแกนนําของแตํละกิจกรรม พูดคุยสนทนา มีผู๎รับผิดชอบ เจ๎าภาพหลักตระกูลฤทธิเดช เจ๎าภาพรํวมคนภายในชุมชนและคนภายนอก ชุมชนในแตํละภาคที่องค๑กรกลางเป็นทีมประสานปรึกษา ได๎ข๎อเสนอแนะปรับปรุงแก๎ไขให๎โครงการบรรลุ วัตถุประสงค๑ตามเป้าหมาย 9. การสรุปบทเรียน
จัดทําคูํมือหลักสูตรฉบับสมบูรณ๑ และจัดทํารายงานฉบับโครงรําง และรายงานฉบับสมบูรณ๑สํง องค๑กรกลางมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย๑
ภาคผนวก
1. ทะเบียนกลุ่มดนตรีโปงลางประยุกต์ปู่ทวดครูสิงห์ ฤทธิเดช
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19
นายธนกิต นายสมชัย นายบุญมา นายธนวุฒิ เด็กชายลิขิตชัย เด็กชายฉัตรมงคล เด็กชายอัครเดช เด็กชายทรงวุฒิ เด็กชายพัธพัฒน๑ เด็กชายอเนก เด็กชายณัฐพงษ๑ เด็กหญิงอรทัย เด็กหญิงรสสุคนธ๑ เด็กหญิงแพรวพโยม เด็กหญิงสิรินทรา เด็กหญิงธัญญลักษณ๑ เด็กชายวรพันธ๑ เด็กหญิงรัชนีวรรณ เด็กหญิงสุวนันท๑
อินทร๑งาม ธรรมวิชัย คามทาหลง เศษภักดี ธรรมวิชัย สารพิมพ๑ ขุรี แสงนา ปานาตี บุตรราช ธงศรี ธงไธสง เหมือนมาตร ธงไธสง คํารินทร๑ กองรัตน๑ ศรีจันทร๑นนท๑ กลั่นอักโข บุญจูง
วิทยากรครูปราชญ์ชุมชน นายธนกิต อินทร๑งาม นายธนวุฒิ เศษภักดี นายบุญมา คามทาหลง วิทยากรครูผู้เชี่ยวชาญดนตรีจากมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม อาจารย๑ทรงศักดิ์ สุจันทร๑ วิทยากรพี่สอนน้อง เด็กชายลิขิตชัย ธรรมวิชัย เด็กชายทรงวุฒิ แสงนา 2. ทะเบียนกลุ่มเลี้ยงปลา และไก่ ผู้ปกครองร่วมกับเด็กและเยาวชนกับครูจิตอาสา
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
นายสุวรรณ นายเฉลียว นางน๎อย นายสมพงษ๑ นางสุนันทา นางหนูจันทร๑ นางรังรอง นางกล นายถวัลย๑ นายสมพงษ๑
กลุ่มเลี้ยงไก่ 1 นางเพ็ง 2 นายสมพร 3 นายถนอม 4 นางสาววนิดา 5 นายสุพจน๑ 6 นายสร๎อย 7 นายทอง 8 นายธนกิต 9 นายคําปัน 10 นางคล๎าย 11 นางสาวจิตนา
ปานโหนํง กนึกรัตน๑ สาวังดี จํายก รังวัดสา ศรีจันทร๑นนท๑ ขุสี เศษภักดี ผิวผํอง จํายก
ชุมแสง สีโยวัย เศษภักดี กาบสุวรรณ คํายา บุรี สุกพวงแก๎ว อินทร๑งาม ปานโหนํง ทันบาล พุทธดี
จานวน 21 ครัวเรือน
เด็กและเยาวชนครูจิตอาสา 1 เด็กหญิงอ๎อนจันทร๑ 2 เด็กหญิงกนกพร
ปานโหนํง หมอรัตน๑
3 4 5 6 7
เด็กหญิงสิริกัญญา เด็กหญิงกนกวรรณ เด็กหญิงรัชนีวรรณ เด็กหญิงตวงทอง เด็กชายใหมํ
หงส๑เจริญ คําจันทร๑ กลั่นอักโข อนันเอื้อ ศรีจันทร๑นนท๑
ครูจิตอาสาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม นายธนาพัฒน๑ เที่ยงภักดิ์ วิทยากร นางละมัย ฤทธิเดช ดร.สมบัติ ฤทธิเดช
3. ทะเบียนกลุ่มสมุนไพรเพื่อสุขภาพ ผู้ปกครอง เด็กและเยาวชน ครูจิตอาสาในชุมชน 1 นางคล๎าย ทันบาล 2 นางจุฑามาตย๑ คํารินทร๑ 3 นางหยูํ จํายก 4 นางไหม ศรีแก๎ว 5 นางบังอร อนันเอื้อ 6 นางจันดา หงส๑เจริญ 7 นางคําจันทร๑ สุกพวงแก๎ว 8 นางแสงจันทร๑ งามใส 9 นางดวงพร ชุมแสง 10 นางนาง สอนชา เด็กและเยาวชน 1 นางสาวนภัสสร 2 นางสาวรสสุคนธ๑ 3 เด็กหญิงปาริชาติ 4 เด็กหญิงจิรวดี 5 เด็กหญิงเมขลา 6 เด็กหญิงแก๎วมณี 7 เด็กหญิงเนตรนิล
แกํนแก๎ว เหมือนมาตย๑ กองรัตน๑ ศรีอํานวย จํายก ลืออํานาจ สนิทลุน
วิทยากรฐานการเรียนรู้ นางสุนันทา รังวัดสา นางปูน เรืองจันทา ครูจิตอาสา จากสานักงานเกษตรจังหัดมหาสารคาม นางละมัย ฤทธิเดช
4. ทะเบียนกลุ่มถ่านชีวภาพลดภาวะโลกร้อน
.
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
นางละมัย นายณัฐวุฒิ นางสาวชํอกัลป์ นายถวัลย๑ นายสมพงษ๑ นายสมพงษ๑ เด็กชายอภิรักษ๑ เด็กชายวิทยา เด็กหญิงจิรวดี นางสาวนภัสสร
ฤทธิเดช ฤทธิเดช ฤทธิเดช ผิวผํอง สีโยวัย จํายก เจริญนนต๑ ป้องสงคราม สุกพวงแก๎ว แกํนแก๎ว
วิทยากร จากมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม นายสมบัติ ฤทธิเดช ครูปราชญ์ชุมชน นายถวัลย๑ ผิวผํอง 5. ทะเบียนกลุ่มประวัติศาสตร์ท้องถิ่น 1 คุณยายอํานวยพร สีดาพล 2 คุณตาสมบูรณ๑ ศรีเฮือง 3 นายถนอม เศษภักดี 4 นางลุน พานหาญ 5 นายทองใบ วิวัฒนากร กลุํมเด็กและเยาวชนในโครงการแหลํงเรียนรู๎ของ ชุมชนปูททวดครูสิงห๑ ฤทธิเดช จํานวน 52 คน วิทยากร จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ผศ.ดร.ทวีศิลป์ สืบวัฒนะ ครูปราชญ์ชุมชน คุณยายอํานวยพร สีดาพล คุณตาสมบูรณ๑ ศรีเฮือง นายถนอม เศษภักดี นางลุน พานหาร
ตัวอยํางกิจกรรมการเรียนรู๎
แหล่งเรียนรู้ของชุมชนจัดการศึกษานาร่องสัมมาอาชีพด้วยบริบทจริงในชุมชน เพื่อสุขภาวะของเด็ก และเยาวชนไทย ไก่และปลาเศรษฐกิจชุมชน จัดทาโดย เด็กและเยาวชนแหลํงเรียนรู๎ชุมชน “ปูททวดครูสิงห๑ ฤทธิเดช”
ครูที่ปรึกษาปราชญ์ชาวบ้าน นางจันทร๑ ศรีจันทร๑นล นางคําปัน ปานโหนํง นายถนอม เศษภักดี นางดวงพร ชุมแสง
ครูที่ปรึกษาพิเศษ ดร.ประสพสุข ฤทธิเดช นางสาวนภัทสร แกํนแก๎ว นายธนาพัฒน๑ เที่ยงภักดิ์
สนับสนุนโดยสานักงานกองทุนสนับสนุนสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) และ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ร่วมกับแหล่งเรียนรู้ชุมชนปู่ทวดครูสิงห์ ฤทธิเดช
วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2554
คานา การจัดกิจกรรมการเรียนรู๎เรื่องไกํและปลา เศรษฐกิจชุมชน เป็นกิจกรรมในโครงการแหลํงเรียนรู๎ของ ชุมชนจัดการศึกษานํารํองสัมมาอาชีพด๎วยบริบทจริงในชุมชน เพื่อสุขภาวะเด็กและเยาวชนไทย ขอบพระคุณ ทีมประสานงานภาคตะวันออกเฉียงเหนืออาจารย๑ ดร.พิณสุดา สิรินธรังศรี รองศาสตราจารย๑ ดร.อุทัย บุญ ประเสริฐ และอาจารย๑บุญจันทร๑ บัวหุํง ที่ให๎ข๎อเสนอแนะให๎การดําเนินกิจกรรมของโครงการบรรลุตาม วัตถุประสงค๑ของโครงการ หวัง วําการเรียนรู๎เรื่องไกํและปลา เป็นชุดความรู๎ที่นําไปปรับใช๎ในการประกอบ อาชี พ ในครัว เรือน และในชุ ม ชนเป็ น อาชีพ เสริมสํ าหรับผู๎ ส นใจและกิ จ กรรมการเรี ย นรู๎เ รื่องนี้ส ามารถ สอดแทรกเข๎ า ไปสูํ ก ลุํม สาระการเรี ย นรู๎ ใ นระบบสถาบัน การศึก ษาได๎ ทุ ก สาระการเรีย นรู๎ ต ามหลั ก สู ต ร แกนกลางพุทธศักราช 2551 คณะทีมวิจัย ประสพสุข ฤทธิเดช นภัทสร แกํนแก๎ว ธนาพัฒน๑ เที่ยงภักดิ์
สารบัญ เนื้อหา 1 วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู๎ ไกํ-ปลา เศรษฐกิจชุมชน 2 ไกํ-ปลา เศรษฐกิจชุมชน 3 สมุดเลํมเล็ก 4 ภาพประกอบกิจกรรม 5 รายชื่อผู๎ให๎ข๎อมูล
หน้า 20 22 24 34 35
1 วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ไก่-ปลา เศรษฐกิจชุมชน
สืบเนื่องจากโครงการนี้เป็นโครงการตํอเนื่องที่ได๎เข๎ารํวมโครงการกับ ปศท.2 มหาวิทยาลัยธุรกิจ บัณฑิตย๑ ทําให๎การทํางานตํอยอดชุดกิจกรรมที่ทําตามปกติในแหลํงเรียนรู๎ชุมชนได๎ขยายผลไปสูํครัวเรือน โดยจัดกิจกรรมสํงเสริมทักษะอาชีพให๎สมาชิกโครงการได๎มีอาชีพเสริมหลังจากการทํานาปลูกกข๎าวเป็นอาชีพ หลัก ได๎ทําอาชีพเลี้ยงไกํ เลี้ยงปลา ปลูกพืชผักสมุนไพร ฝึกซ๎อมดนตรีพื้นบ๎านโปงลาง ทําเตาถํานชีวภาพ และแลกเปลี่ยนเรียนรู๎ประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่นกับผู๎เฒําผู๎แกํในชุมชน โดยมีกติการํวมกัน ต๎องได๎ฝึกปฏิบัติจริง ระหวํางพํอ-แมํ กับลูกของตนเอง ผลที่เกิดขึ้นได๎ชุดความรู๎บทเรียนของชาวบ๎านโดยใช๎ วิธีการดําเนินการจัด กิจกรรมการเรียนรู๎ หลากหลายแบบยืดหยุํนโดยผู๎เรียนเป็นตัวตั้ง มีครูจิตอาสาเป็นผู๎ดําเนินกิจกรรมรํวมกับ ผู๎ปกครอง ใช๎วิธีสอนแบบเพื่อนสอนเพื่อน พี่สอนน๎อง ครูพํอ – แมํสอนลูก และครูภูมิปัญญาในชุมชน ครู วิทยากรจากภายนอก เรียนรู๎แตํละฐานกิจกรรมจะมีผลงานรํวมกัน ใช๎ชํวงอายุเป็นตัวกําหนดชิ้นงานตาม กระบวนการเรียนรู๎ 5 ขั้นตอนได๎แกํ 1. ข๎องใจ กําหนดหัวข๎อ 2. หมายคําตอบ ตั้งสมมุติฐาน 3. สอบสวน เก็บรวบรวมข๎อมูล 4. ครวญใครํ วิเคราะห๑ข๎อมูล 5. ไขความจริง สรุปผลการเรียนรู๎ในแตํละฐานการเรียนรู๎และการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู๎ สร้างความจัดเจนในการเก็บข้อมูลให้เด็กและเยาวชน ให๎เด็กและเยาวชน รู๎จักวางแผนการเก็บข๎อมูลอยํางจริงจัง ใช๎ตารางคํอนข๎างมาก ในการให๎จัดระบบคิดตนเองวําจะเก็บข๎อมูลอะไรจากใครในรูป “ผังการเก็บ ข๎อมูล” ตามคําถามและการมีบันทึกปฏิทินการทํางาน ให๎เด็กและเยาวชน มีการบันทึกและจัดระเบียบข๎อมูลอยํางดี อาจใช๎เทคนิคงํายๆ บางอยํางชํวย เชํน การเขียนแผนที่ แบบบันทึกการสังเกต แบบบันทึกการ สัมภาษณ๑ แบบสอบถามงํายๆ ใช๎กระบวนการกลุํมชํวยกันตรวจสอบกันและกันดังตาราง
เด็กและ ได้
คาถาม
ผู้ให้สัมภาษณ์
เล่าเรือ่ ง
สรุปเรื่องที่เล่า
เยาวชน
1)
2)
3)
วิเคราะห์ ให๎เด็กและเยาวชน มีกระบวนการวิเคราะห๑ข๎อมูลอยํางจริงจังเพื่อสร๎างข๎อสรุป เด็กและเยาวชนต๎องดึงข๎อมูลออกมาวิเคราะห๑อยํางเป็นระบบ มีการใช๎เทคนิคบางอยํางชํวย เชํน “ตารางสร้างข้อสรุป” เพื่อนําข๎อมูลเชิงคุณภาพมาวิเคราะห๑เปรียบเทียบ ให๎เด็กๆ สร๎างข๎อสรุปจากความรู๎ที่ได๎ เน๎นการเชื่อมโยง “ความเป็นเหตุเป็นผล” ของข๎อมูล เพื่อนชํวยตรวจสอบความหลากหลายและนําเชื่อถือของข๎อมูล อาจ “โต้แย้งอย่างสร้างสรรค์” ตํอ ข๎อมูลที่มานําเชื่อถือได๎ แนวทางการออกแบบการเรียนรู้ไก่และปลาเศรษฐกิจชุมชน (เฉพาะประเด็นที่เด็กและเยาวชนมีความสนใจ) ออกแบบการเรียนรู๎ 5 ขั้นตอน (ข๎องใจ หมายคําตอบ สอบสวน ครวญใครํ ไขความจริง) แตํมี ความยืดหยุํนปรับลดหรือเพิ่มเติมได๎ การตั้งคําถามดีๆ และไตํหาความรูไ๎ ปเรื่อยๆ ตีความ หรือชี้แนะในประเด็นตํางๆ เน๎นการเข๎าถึงผู๎ใหญํ พํอแกํแมํเฒําหรือผู๎รู๎ในท๎องถิ่น การตั้งคําถามดีๆ พากลุํมให๎สนใจไปสืบค๎น หาความรู๎ และไตํหาความรู๎ไปเรื่อยๆ ตีความ หรือพยายามตั้งข๎อสงสัยในประเด็นตํางๆ ที่สืบค๎น เชื่อมมิติด๎านเวลา พื้นที่ กับเรื่องท๎องถิ่น และเรื่องชีวิตเด็กเยาวชนตามสภาพจริง สรุปกระบวนการเรียนรู้แนวคิดไก่และปลาเศรษฐกิจชุมชน
ข๎องใจ กาหนดปัญหาการวิจัย : กิจกรรม/กระบวนการเด็กได๎คิดคําถามที่อยากรู๎ (เมื่อไร ที่ไหน อยํางไร ใคร/ใครบ๎าง ทําไม ) หมายคําตอบ ตั้งสมมุติฐาน : กระบวนการที่ทําให๎เด็กได๎มีการวางแผนวําจะไปหาความรู๎อยํางไร จากใครบ๎าง สอบสวน เก็บข้อมูล : กระบวนการ/กิจกรรมที่ทําให๎เด็กได๎ลงเก็บรวบรวมข๎อมูล ตรวจสอบ ข๎อมูล เน๎นประสบการณ๑ตรง ได๎สัมผัสคนเฒําคนแกํ พื้นที่และชุมชน ครวญใครํ วิเคราะห์ : มีกระบวนการสํงเสริมให๎มีการวิเคราะห๑ข๎อมูล : ตีความ หาคําอธิบาย ใน เรื่องนั้นๆ (ครูรํวมในกิจกรรมด๎วยเป็นระยะๆ) ไขความจริง สรุปและเสนอ กิจกรรมที่สํงเสริมการสรุปและเสนอผลการศึกษา เขียนเรื่อง/เลํา/ หรือการแสดงละคร/วาดภาพ/ประเมินผลตามชิ้นงาน 2 ไก่-ปลา เศรษฐกิจชุมชน
ความรู๎ที่ได๎รับจากการเรียนรู๎เรื่องไกํ-ปลา พบวํา กลุํมแกนนําของผู๎ปกครองที่เข๎ารํวมโครงการด๎วย ความสมัครใจได๎เขียนเลําเรื่องและพูดคุยถอดบทเรียนรํวมกันในวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2554 และวันที่ 18 มกราคม พ.ศ.2555 ได๎เคล็ดลับการเลี้ยงไกํประสบผลสําเร็จ คือ 1) เลี้ยงไกํแบบธรรมชาติ ให๎อาหารไกํแบบไมํต๎องซื้อหัวอาหารสําเร็จรูปโดยให๎ข๎าวเปลือก ข๎าวสาร พืชผักสีเขียว เลี้ยงแบบปลํอยตามธรรมชาติไมํใสํกรง ไกํจะออกไขํเป็นระยะ ครอบครัวได๎มีไขํกินตลอด ไมํได๎ซื้อขาย 2) เลี้ยงไกํแบบวิชาการโดยเลี้ยงขังกรงตาขําย เปิดไฟฟ้าทําความสะอาดรางน้ํา เปิดวิทยุให๎เสียงเพลง เบา ๆ ไกํกินอาหารสําเร็จรูปผสมรําข๎าว ปลายข๎าว ข๎าวเปลือก มีน้ําให๎ไกํกินได๎ตลอดเวลา ให๎ไกํกินแตงกวา แตงล๎าน พืชผักสีเขียว การเลี้ยงไกํแบบนี้ไกํไขํทุกวันเลี้ยงไกํ 10 ตัว จะออกไขํประมาณ 7-9 ฟอง ครัวเรือนมี ไขํได๎กินในครอบครัวและได๎ขาย 3) เลี้ยงไกํแบบบูรณาการคือ เลี้ยงแบบวิธีธรรมชาติ ผสมผสานกับวิธีวิชาการให๎กินอาหารสูตร 324 สําหรับไกํพันธุ๑ไขํ ผสมข๎าวเปลือก ข๎าวสาร รําข๎าวหรือปลายข๎าว ไกํกินพืชผักสีเขียวกินเศษอาหาร ไมํขัง กรงตาขําย ทําเล๎าไกํให๎และขยายพันธุ๑กักบริเวณทําตาขํายเป็นที่เลี้ยงไกํโดยเฉพาะ ไกํพันธุ๑ไขํ ผสมพั นธุ๑กับ ไกํตัวผู๎พันธุ๑พื้นเมือง เป็นไกํพันธุ๑ไขํแบบลูกผสม ลูกไกํประเภทนี้จะแข็งแรงไมํได๎เลี้ยงเพื่อกินไขํ แตํเลี้ยงไกํ เพื่อขายและเป็นอาหารในครัวเรือน มีเกษตรกรขยายพันธุ๑ไขํไกํได๎ในลักษณะนี้หลายคน เชํน นายถนอน เศษภักดี นางคําปั่น ปานโหนํง และนายธนกิต อินทร๑งาม ที่ครั้งแรกเลี้ยง 10 ตัว แตํขยายพันธุ๑ได๎เกิดลูกไกํ จํานวน 20 - 30 ตัว กิจกรรมการเลี้ยงไกํได๎ผลลัพธ๑มีความรู๎เรื่องการเลี้ยงไกํ ได๎กินไขํและได๎ขายมีเงินใช๎ หมุนเวียนในครอบครัวอยํางสม่ําเสมอ มีความเป็นอยูํที่ดีขึ้น ไมํต๎องจํายเงินซื้อไขํไกํ ทําให๎ครัวเรือนมีเงิน ออม และเกษตรกรที่สนใจเลี้ยงไกํได๎ซื้อพันธุ๑ไขํไกํมาเลี้ยงเป็นการขยายผลเกิดขึ้นในชุมชนบ๎านกุดแคน และ
บ๎านใกล๎เคียง หลายครัวเรือน เชํน ครัวเรือนของนายธนาพัฒน๑ เที่ยงภักดิ์ เพ็ง ชุมแสง
นายสุพจน๑ คํายา และนาง
การเลี้ยงปลา การเลี้ยงปลามีเกษตรกรเข๎ารํวมโครงการจํานวนน๎อย เนื่องจากบางคนไมํมีสระน้ําเลี้ยงปลา และ พื้นที่ในครอบครัวมีจํากัดไมํสามารถทําบํอซีเมนต๑เลี้ยงปลา อยํางไรก็ตามมีเกษตรกรแกนนํา นางจันทร๑ ศรีจันทร๑นล อธิบายวิธีเลี้ยงปลาโดยใช๎บํอซีเมนต๑เลี้ยงปลาดุกได๎ผล คือ วิธีให๎อาหารปลา สําเร็จรูปตามขนาดอายุของปลามีอาหารสําเร็จรูปปลาดุกขนาดเล็ก กลางและปลาดุกขนาดใหญํ วิธีการให๎ อาหารจะให๎เวลาเช๎าและเวลาเย็น ปริมาณของอาหารปลาดุก ที่เลี้ยงให๎แตํละครั้งต๎องให๎อาหารสําเร็จรูป จํานวนน๎องเพราะถ๎าให๎อาหารสําเร็จรูปในแตํละวันจํานวนมากปลาดุกจะตายและตัวปลาดุกจะมีผิวหนังถลอก เรียกวํา “ปลาปทวย” แตํวิธีการเลี้ยงปลาดุกในสระทุํงนา สมาชิกที่เข๎ารํวมโครงการไมํได๎ซื้ออาหารสําเร็จจาก ตลาดใช๎วิธีเลี้ยงปลาแบบธรรมชาติ ให๎ปลาดุกหากินอาหารจากพืชและให๎ปุ๋ยจากมูลวัว – ควาย ใสํลงในสระ น้ําเพื่อให๎เกิดลูกน้ํา ปลาดุกจะได๎กินลูกน้ําเป็นอาหาร ผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการเลี้ยงปลาไมํประสบสําเร็จ สําหรับเกษตรกรที่เลี้ยงปลาดุกในสระน้ําทุํงนา เพราะ เดือนกันยายน พ.ศ.2554 ฝนตกหนักมาก ทําให๎น้ํา ทํวมนา และน้ําคลองชลประทานไหลเข๎าสระน้ําในทุํงนา เรียกวํา เกิดน้ําทํวมในหมูํบ๎าน ในทุํงนาปลาที่ใน สระหายไปกับสายน้ํา มีปลาเหลือจํานวนน๎อยแตํมีไว๎รับประทานไมํได๎ซื้อขาย ทําให๎คนในชุมชนได๎เรียนรู๎วิธีเลี้ยงปลารํวมกันและขยายผลการเลี้ยงปลาโดยทําบํอซีเมนต๑ในชุมชน บ๎านกุดแคน หลายครัวเรือนโดยใช๎งบประมาณของตนเอง ข๎อค๎นของฐานกิจกรรมการเรียนรู๎เรื่องไกํ – ปลา เศรษฐกิจชุมชนได๎ขยายเครือขํายเกิดเกษตรกรแกนนําเป็นตัวอยํางครูภูมิปัญญาเลี้ยงไกํ มีนางดวงพร ชุมแสง นายถนอม เศษภักดี นางคําปั่น ปานโหนํง และเกษตรกรตัวอยํางการเลี้ยงปลาได๎แกํ นางจันทร๑ ศรีจันทร๑ นล
3 สมุดเล่มเล็ก
4 ภาพประกอบกิจกรรม
เด็ก เยาวชนและผู้ปกครอง เรียนรู้เรื่องไก่พันธุ์ไข่ร่วมกัน
สระเลี้ยงปลาในแหล่งเรียนรู้ฯ
6 รายชื่อผู้ให้ข้อมูล 1. นางจันทร๑ ศรีจันทร๑นล อายุ 45 ปี บ๎านเลขที่ 28 บ๎านกุดแคน อําเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ให๎สัมภาษณ๑ทีมเด็กและเยาวชน วันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ.2554 2. นายถนอม เศษภักดี อายุ 55 ปี บ๎านเลขที่ 30 บ๎านกุดแคน อําเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ให๎สัมภาษณ๑ทีมเด็กและเยาวชน วันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ.2554 3. นางดวงพร ชุมแสง อายุ 35 ปี บ๎านเลขที่ 80 บ๎านกุดแคน อําเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ให๎สัมภาษณ๑ทีมเด็กและเยาวชน วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2554 4. นางคําปัน ปานโหนํง อายุ 50 ปี บ๎านเลขที่ 98 บ๎านกุดแคน อําเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ให๎สัมภาษณ๑ทีมเด็กและเยาวชน วันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ.2554 ครูที่ปรึกษาพิเศษ ดร.สมบัติ ฤทธิเดช ดร.ประสพสุข ฤทธิเดช นางสาวนภัทสร แกํนแก๎ว นายธนาพัฒน๑ เที่ยงภักดิ์
วิทยากรพิเศษเรื่องไกํและปลา เศรษฐกิจชุมชน หัวหน๎าโครงการแหลํงเรียนรู๎ ฯ ผู๎อํานวยการแหลํงเรียนรู๎ ครูจิตอาสาในโครงการ
แหล่งเรียนรู้ของชุมชนจัดการศึกษานาร่องสัมมาอาชีพด้วยบริบทจริงในชุมชน เพื่อสุขภาวะของเด็ก และเยาวชนไทย สมุนไพรอาหารเพื่อสุขภาพ จัดทาโดย เด็กและเยาวชนแหลํงเรียนรู๎ชุมชน “ปูททวดครูสิงห๑ ฤทธิเดช”
ครูที่ปรึกษาปราชญ์ชาวบ้าน นางพรรณี แก๎วศรีจันทร๑ นางนันทา รังวัดสา นางสาวจิตนา พุทธคี นางกล เศษภักดี
ครูที่ปรึกษาพิเศษ ดร.ประสพสุข ฤทธิเดช นางสาวนภัทสร แกํนแก๎ว นายธนาพัฒน๑ เที่ยงภักดิ์
สนับสนุนโดยสานักงานกองทุนสนับสนุนสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) และ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ร่วมกับแหล่งเรียนรู้ชุมชนปู่ทวดครูสิงห์ ฤทธิเดช
วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2554
คานา การจัดกิจกรรมการเรียนรู๎เรื่องสมุนไพรอาหารเพื่อสุขภาพ เป็นกิจกรรมในโครงการแหลํงเรียนรู๎ของ ชุมชนจัดการศึกษานํารํองสัมมาอาชีพด๎วยบริบทจริงในชุมชน เพื่อสุขภาวะเด็กและเยาวชนไทย ขอบพระคุณ ทีมประสานงานภาคตะวันออกเฉียงเหนืออาจารย๑ ดร.พิณสุดา สิรินธรังศรี รองศาสตราจารย๑ ดร.อุทัย บุญ ประเสริฐ และอาจารย๑บุญจันทร๑ บัวหุํง ที่ให๎ข๎อเสนอแนะให๎การดําเนินกิจกรรมของโครงการบรรลุตาม วัตถุประสงค๑ของโครงการ หวังวําการเรียนรู๎เรื่องสมุนไพรอาหารเพื่อสุขภาพ เป็นชุดความรู๎ที่นําไปปรับใช๎ ในการประกอบอาชีพในครัวเรือน และในชุมชนเป็นอาชีพเสริมสําหรับผู๎สนใจและกิจกรรมการเรียนรู๎เรื่องนี้ สามารถสอดแทรกเข๎าไปสูํกลุํมสาระการเรียนรู๎ในระบบสถาบันการศึกษาได๎ทุกสาระการเรียนรู๎ตามหลักสูตร แกนกลางพุทธศักราช 2551 คณะทีมวิจัย ประสพสุข ฤทธิเดช นภัทสร แกํนแก๎ว ธนาพัฒน๑ เที่ยงภักดิ์
สารบัญ เนื้อหา 1 วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู๎ สมุนไพรอาหารเพื่อสุขภาพ 2 สมุนไพรอาหารเพื่อสุขภาพ 3 สมุดเลํมเล็ก และวิธีการทําผงนัว 4 ความประทับใจในโครงการ 5 ภาพประกอบกิจกรรมและเกียรติบัตรในโครงการ 6 รายชื่อผู๎ให๎ข๎อมูล
หน้า 39 41 42 60 65 67
1 วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สมุนไพรอาหารเพื่อสุขภาพ สืบเนื่องจากโครงการนี้เป็นโครงการตํอเนื่องที่ได๎เข๎ารํวมโครงการกับ ปศท.2 มหาวิทยาลัยธุรกิจ บัณฑิตย๑ ทําให๎การทํางานตํอยอดชุดกิจกรรมที่ทําตามปกติในแหลํงเรียนรู๎ชุมชนได๎ขยายผลไปสูํครัวเรือน โดยจัดกิจกรรมสํงเสริมทักษะอาชีพให๎สมาชิกโครงการได๎มีอาชีพเสริมหลังจากการทํานาปลูกกข๎าวเป็นอาชีพ หลัก ได๎ทําอาชีพเลี้ยงไกํ เลี้ยงปลา ปลูกพืชผักสมุนไพร ฝึกซ๎อมดนตรีพื้นบ๎านโปงลาง ทําเตาถํานชีวภาพ และแลกเปลี่ยนเรียนรู๎ประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่นกับผู๎เฒําผู๎แกํในชุมชน โดยมีกติการํวมกัน ต๎องได๎ฝึกปฏิบัติจริง ระหวํางพํอ-แมํ กับลูกของตนเอง ผลที่เกิดขึ้นได๎ชุดความรู๎บทเรียนของชาวบ๎านโดยใช๎ วิธีการดําเนินการจัด กิจกรรมการเรียนรู๎ หลากหลายแบบยืดหยุํนโดยผู๎เรียนเป็นตัวตั้ง มีครูจิตอาสาเป็นผู๎ดําเนินกิจกรรมรํวมกับ ผู๎ปกครอง ใช๎วิธีสอนแบบเพื่อนสอนเพื่อน พี่สอนน๎อง ครูพํอ – แมํสอนลูก และครูภูมิปัญญาในชุมชน ครู วิทยากรจากภายนอก เรียนรู๎แตํละฐานกิจกรรมจะมีผลงานรํวมกัน ใช๎ชํวงอายุเป็นตัวกําหนดชิ้นงานตาม กระบวนการเรียนรู๎ 5 ขั้นตอนได๎แกํ 1. ข๎องใจ กําหนดหัวข๎อ 2. หมายคําตอบ ตั้งสมมุติฐาน 3. สอบสวน เก็บรวบรวมข๎อมูล 4. ครวญใครํ วิเคราะห๑ข๎อมูล 5. ไขความจริง สรุปผลการเรียนรู๎ในแตํละฐานการเรียนรู๎และการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู๎ สร้างความจัดเจนในการเก็บข้อมูลให้เด็กและเยาวชน ให๎เด็กและเยาวชน รู๎จักวางแผนการเก็บข๎อมูลอยํางจริงจัง ใช๎ตารางคํอนข๎างมาก ในการให๎จัดระบบคิดตนเองวําจะเก็บข๎อมูลอะไรจากใครในรูป “ผังการเก็บ ข๎อมูล” ตามคําถามและการมีบันทึกปฏิทินการทํางาน ให๎เด็กและเยาวชน มีการบันทึกและจัดระเบียบข๎อมูลอยํางดี อาจใช๎เทคนิคงํายๆ บางอยํางชํวย เชํน การเขียนแผนที่ แบบบันทึกการสังเกต แบบบันทึกการ สัมภาษณ๑ แบบสอบถามงํายๆ ใช๎กระบวนการกลุํมชํวยกันตรวจสอบกันและกันดังตาราง
เด็กและ ได้
คาถาม
ผู้ให้สัมภาษณ์
เล่าเรื่อง
สรุปเรื่องที่เล่า
เยาวชน
1)
2)
3)
วิเคราะห์ ให๎เด็กและเยาวชน มีกระบวนการวิเคราะห๑ข๎อมูลอยํางจริงจังเพื่อสร๎างข๎อสรุป เด็กและเยาวชนต๎องดึงข๎อมูลออกมาวิเคราะห๑อยํางเป็นระบบ มีการใช๎เทคนิคบางอยํางชํวย เชํน “ตารางสร้างข้อสรุป” เพื่อนําข๎อมูลเชิงคุณภาพมาวิเคราะห๑เปรียบเทียบ ให๎เด็กๆ สร๎างข๎อสรุปจากความรู๎ที่ได๎ เน๎นการเชื่อมโยง “ความเป็นเหตุเป็นผล” ของข๎อมูล เพื่อนชํวยตรวจสอบความหลากหลายและนําเชื่อถือของข๎อมูล อาจ “โต้แย้งอย่างสร้างสรรค์” ตํอ ข๎อมูลที่มานําเชื่อถือได๎ แนวทางการออกแบบการเรียนรู้สมุนไพรอาหารเพื่อสุขภาพ (เฉพาะประเด็นที่เด็กและเยาวชนมีความสนใจ) ออกแบบการเรียนรู๎ 5 ขั้นตอน (ข๎องใจ หมายคําตอบ สอบสวน ครวญใครํ ไขความจริง) แตํมี ความยืดหยุํนปรับลดหรือเพิ่มเติมได๎ การตั้งคําถามดีๆ และไตํหาความรูไ๎ ปเรื่อยๆ ตีความ หรือชี้แนะในประเด็นตํางๆ เน๎นการเข๎าถึงผู๎ใหญํ พํอแกํแมํเฒําหรือผู๎รู๎ในท๎องถิ่น การตั้งคําถามดีๆ พากลุํมให๎สนใจไปสืบค๎น หาความรู๎ และไตํหาความรู๎ไปเรื่อยๆ ตีความ หรือพยายามตั้งข๎อสงสัยในประเด็นตํางๆ ที่สืบค๎น เชื่อมมิติด๎านเวลา พื้นที่ กับเรื่องท๎องถิ่น และเรื่องชีวิตเด็กเยาวชนตามสภาพจริง สรุปกระบวนการเรียนรู้แนวคิดสมุนไพรอาหารเพื่อสุขภาพ
ข๎องใจ กาหนดปัญหาการวิจัย : กิจกรรม/กระบวนการเด็กได๎คิดคําถามที่อยากรู๎ (เมื่อไร ที่ไหน อยํางไร ใคร/ใครบ๎าง ทําไม ) หมายคําตอบ ตั้งสมมุติฐาน : กระบวนการที่ทําให๎เด็กได๎มีการวางแผนวําจะไปหาความรู๎อยํางไร จากใครบ๎าง สอบสวน เก็บข้อมูล : กระบวนการ/กิจกรรมที่ทําให๎เด็กได๎ลงเก็บรวบรวมข๎อมูล ตรวจสอบ ข๎อมูล เน๎นประสบการณ๑ตรง ได๎สัมผัสคนเฒําคนแกํ พื้นที่และชุมชน ครวญใครํ วิเคราะห์ : มีกระบวนการสํงเสริมให๎มีการวิเคราะห๑ข๎อมูล : ตีความ หาคําอธิบาย ใน เรื่องนั้นๆ (ครูรํวมในกิจกรรมด๎วยเป็นระยะๆ) ไขความจริง สรุปและเสนอ กิจกรรมที่สํงเสริมการสรุปและเสนอผลการศึกษา เขียนเรื่อง/เลํา/ หรือการแสดงละคร/วาดภาพ/ประเมินผลตามชิ้นงาน 2 สมุนไพรอาหารเพื่อสุขภาพ การจัดกิจกรรมการเรียนรู๎สมุนไพรเพื่อสุขภาพ สมาชิกในโครงการมีกลุํมเด็ก เยาวชน ผู๎ปกครอง ผู๎ ที่สนใจได๎รํวมมือกันทําแปลงสาธิตการปลูกพืชผักสวนครัว สมุนไพรหลายชนิดได๎แกํ ผักกาด ผักชี หอม กระเทียม มะเขือเทศ ข๎าวโพด ฟักทอง คะน๎า ฯลฯ ผักแตํละชนิดมีวิธีการดูแลโดยไมํใช๎ยาฆําแมลง ใช๎สาร อีเอ็มน้ําหมักชีวภาพบํารุงผักมีสีเขียวสดกรอบ ปลอดภัย เพราะเป็นผักปลูกโดยวิธีธรรมชาติ จากการสังเกต แปลงทดลอง ปลูกพืชผักในบ๎านหลังเรียนรํวมกับผู๎ปกครองและเด็ก เยาวชน พบวําการปลูกถั่วฝักยาวจะ ไมํได๎ผลผลิตเพราะมีเพลี้ยระบาดกัดกินต๎นถั่วฝักยาวแตํไมํใช๎สารเคมีฉีดพํน จึงเปลี่ยนพืชที่ปลูกเป็นการปลูก ข๎าวโพด จะได๎ผลผลิตดีไมํมีเพลี้ยทําลายต๎นข๎าวโพด นอกจากการฝึกปฏิบัติจริงให๎ปลูกในสวนบ๎านหลังเรียน แล๎ว เด็กและเยาวชน ผู๎ปกครอง ประชาชนที่สนใจจะนําเมล็ดพันธุ๑ผักที่แบํงปันให๎ไปปลูกในครัวเรือนตนเอง เพื่อปลูกไว๎รับประทานและเหลือจากใช๎บริโภคในครัวเรือนจะได๎ขาย หรือนํามาแปรรูปเป็นผงนัว เครื่องเทศ ปรุงอาหาร โดยเอาพืชที่ที่กินได๎ มาผสมกันกับข๎าวเหนียวที่แชํน้ําแล๎วนําไปบดให๎ละเอียดใช๎พืชสมุนไพร 18 ชนิด ผสมกัน ได๎แกํ ผักตําลึง ผักหวานบ๎าน ใบน๎อยนํา ใบยํานาง ผักแป้น กระเทียม หัวหอม สะเดาดิน ผักติ้ว ผักขจร ใบส๎มโฮง ใบชะพลู อํอมแซบ ซึ่งผักแตํละชนิดในครัวเรือนของชาวบ๎านกุดแคนได๎ปลูกไว๎ใช๎ ปรุงอาหาร และนํามาแปรรูปเป็นผงนัวแทนผงชูรส เป็นการลดรายจํายและรักษาสุขภาพให๎แข็งแรงปราศจาก โรคเหน็บชา กระดูกเสื่อม เพราะรับประทานพืชสมุนไพรแทนเครื่องเทศผงอาหารแบบผงชูรส และได๎ขยาย ผลการปลูกพืชผักสวนครัวไปปลูกในครัวเรือนตนเอง ครัวเรือนที่มีปัญหาที่ดินจํากัดในครัวเรือน ให๎ขยาย การปลูกพืชผักสวนครัวไปตามทุํงนาตนเอง ทําให๎ชาวบ๎านกุดแคนมีตลาดพืชผักสีเขียวทุกวันพุธและวันเสาร๑ ได๎ซื้อขายให๎ชาวบ๎านอื่น ๆ เข๎ามาซื้อผักไปขายที่ตลาดในจังหวัดมหาสารคาม และมีพํอค๎าแมํค๎าคนกลางใน หมูํบ๎านรับซื้อผักไปขายทุกวัน เป็นการขยายผลของกิจกรรมโครงการที่เกิดขึ้นจากที่ได๎ปฏิบัติรํวมกับลูก ๆ ตนเอง ได๎นําความรู๎ไปปรับใช๎ในชีวิตโดยไมํพึ่งตลาดภายนอก และนอกจากนี้แหลํงเรียนรู๎ชุมชนได๎มีการ คัดเลือกพันธุ๑ผักสวนครัว ผลิตเมล็ดพันธุ๑ไว๎ใช๎เอง ในฤดูกาลผลิตในปีตํอไป สะท๎อนถึงการเรียนรู๎ในกิจกรรม
ฐานสมุนไพรเพื่อสุขภาพได๎เส๎นทางการพัฒนาตนให๎พึ่งตนเองได๎ครบวงจร คือ มีพันธุ๑ผักปลูก และไว๎ขาย และผักบางชนิดแปรรูปเป็นน้ําดื่มสมุนไพรแก๎โรคภัยตําง ๆ ได๎ เชํนน้ําสมุนไพรรางจืด ตะไคร๎หอม ใบเตย กระเจี๊ยบ ซึ่งการทําน้ําสมุนไพรเด็กและเยาวชนได๎เรียนรู๎ โดยนําใบสมุนไพรมาตากแห๎ง แล๎วบรรจุเป็นของ ฝากให๎กับคณะบุคคลที่เข๎ามาศึกษาดูงาน เกิดประโยชน๑โดยอ๎อม แหลํงเรียนรู๎ชุมชนมีสวัสดิการทุนการศึกษา ให๎เด็กและเยาวชนโดยคณะบุคคลได๎ให๎ทุนการศึกษาจากที่ได๎รับของฝาก ชุดสมุนไพรบูรณาการกับไขํไกํและ ปลาแห๎ง ทําให๎ผู๎ปกครองเข๎าใจในแนวนโยบายการจัดการศึกษาโดยใช๎สมุนไพร สามารถสร๎างอาชีพเสริมฝึก ทักษะอาชีพให๎ลูก ๆ ของตนเองได๎ และมีการเพิ่มมูลคําทําสินค๎าพื้นบ๎านของท๎องถิ่นในชุมชน และมีสํวน สํงเสริมให๎เด็กและเยาวชนพูด เขียน เรื่องนําเสนอผลงานในระดับชั้นมัธยมศึกษา รายวิชาวิทยาศาสตร๑ โดยรวมกลุํมกับเพื่อน ๆ ในระดับชั้นเรียนที่เรียนอยูํในสถานศึกษาเดียวกันแลกเปลี่ยนเรียนรู๎รํวมกัน 3 สมุดเล่มเล็ก และวิธีการทาผงนัว
การทําผงนัว มีวิธีการดังนี้ เนื่องจากในชุมชนมีพืช ผักสวนครัวเป็นจํานวนมากเราจึงได๎นํามาแปรรูปมาทําเป็นผงนัวเพื่อสุขภาพ และสามารถประหยัดคําใช๎จํายได๎อีกด๎วย หรือสามารถนําไปจําหนํายได๎เพื่อเป็นการเสริมรายได๎อีกสํวนหนึ่ง และการทําผงนัวเพื่อสุขภาพก็เป็นการทําที่ไมํยุํงยากถ๎าเราเข๎าใจในสํวนประกอบ สํวนผสมตําง ๆ ก็จะสามารถ ทําได๎โดยงําย พืชผักสวนครัวที่นํามาก็อยําง เชํน ใบมะขาม ใบมะรุม หัวหอม กระเทียม สะเดาดิน ใบ ผักหวาน ใบผักกาด ต๎นหอม ผักชี ผักชีลาว ผักกาด ตําลึง เป็นต๎น ดังภาพประกอบวิธีการทําผงนั ว พืชผัก ที่ใช๎ในการทําผงนัว
ผักกระเฉดและดอกผักขิก
ดอกลิ้นฟ้า
สะเดาดิน
ใบมะกอก
กระเทียม
หัวหอม อุปกรณ์ใช้ทาผงนัว
อุปกรณ๑การทําผงนัว
วิธีการทาผงนัว
การหั่นผัก
การตําผักตํางๆ
การปั่นข๎าว
ข๎าวที่ปั่นละเอียดแล๎ว
การใสํสํวนผสมเตรียมปั่น
ผงนัวที่ปั่นละเอียดแล๎ว
ทําให๎เป็นแผํน
การทําให๎เป็นแผํนบาง ๆ
การตากผงนัว (ต๎องตากในที่แจ๎ง)
ผงนัวที่แห๎งแล๎ว
4 ความประทับใจในโครงการ
5 ภาพประกอบกิจกรรมและเกียรติบัตรในโครงการ
เด็กและเยาวชน ครูที่ปรึกษาพิเศษ เก็บข้อมูลเรื่องสมุนไพรใบเตย
เด็กและเยาวชนแปรรูปสมุนไพรโดยวิธีตากแห้ง
เด็ก เยาวชน และผู๎ปกครอง เข๎ารับการอบรมทําพานบายศรีจากต๎นกล๎วยรํวมกับ มหาวิทยาลัยมาหาสารคาม
6 รายชื่อผู้ให้ข้อมูล
1. นางกล เศษภักดี อายุ 70 ปี บ๎านเลขที่ 36 บ๎านกุดแคน หมูํที่ 6 ตําบลหนองโน อําเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ให๎สัมภาษณ๑ทีมเด็กและเยาวชน วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2554 2. นางสาวจิตนา พุทธคี อายุ 37 ปี บ๎านเลขที่ 36 บ๎านกุดแคน หมูํที่ 6 ตําบลหนองโน อําเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ให๎สัมภาษณ๑ทีมเด็กและเยาวชน วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2554
3. นางพรรณี แก๎วศรีจันทร๑ อายุ 57 ปี บ๎านเลขที่ 9 บ๎านกุดแคน หมูํที่ 6 ตําบลหนองโน อําเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ให๎สัมภาษณ๑ทีมเด็กและเยาวชน วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2554 4. นางนันทา รังวัดสา อายุ 50 ปี บ๎านเลขที่ 8 บ๎านกุดแคน หมูํที่ 6 ตําบลหนองโน อําเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม หัวหน๎ากลุํมสตรีแมํบ๎าน ให๎สัมภาษณ๑ทีมเด็กและเยาวชน วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2554 5. คณะครูที่ปรึกษาพิเศษ ดร.ประสพสุข ฤทธิเดช หัวหน๎าโครงการแหลํงเรียนรู๎ของชุมชนฯ นางสาวนภัทสร แกํนแก๎ว ผู๎อํานวยการแหลํงเรียนรู๎ นายธนาพัฒน๑ เที่ยงภักดิ์ ครูจิตอาสาในโครงการ
แหล่งเรียนรู้ของชุมชนจัดการศึกษานาร่องสัมมาอาชีพด้วยบริบทจริงในชุมชน เพื่อสุข ภาวะของเด็ก และเยาวชนไทย ถ่านชีวภาพลดภาวะโลกร้อน จัดทาโดย เด็กและเยาวชนแหลํงเรียนรู๎ชุมชน “ปูททวดครูสิงห๑ ฤทธิเดช”
ครูที่ปรึกษาปราชญ์ชาวบ้าน นายถวัลย๑ ผิวผํอง นางสาวจิตนา พุทธคี นายธนกิต อินทร๑งาม
ครูที่ปรึกษาพิเศษ ดร.ประสพสุข ฤทธิเดช นางสาวนภัทสร แกํนแก๎ว นายธนาพัฒน๑ เที่ยงภักดิ์
สนับสนุนโดยสานักงานกองทุนสนับสนุนสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) และ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ร่วมกับแหล่งเรียนรู้ชุมชนปู่ทวดครูสิงห์ ฤทธิเดช
วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2554
คานา การจัดกิจกรรมการเรียนรู๎เรื่องถํานชีวภาพลดภาวะโลกร๎อน เป็นกิจกรรมในโครงการแหลํงเรียนรู๎ ของชุ ม ชนจั ด การศึ ก ษานํ า รํ อ งสั ม มาอาชี พ ด๎ ว ยบริ บ ทจริ ง ในชุ ม ชน เพื่ อ สุ ข ภาวะเด็ ก และเยาวชนไทย ขอบพระคุณทีมประสานงานภาคตะวันออกเฉียงเหนืออาจารย๑ ดร.พิณสุดา สิรินธรังศรี รองศาสตราจารย๑ ดร. อุทัย บุญประเสริฐ และอาจารย๑บุญจันทร๑ บัวหุํง ที่ให๎ข๎อเสนอแนะให๎การดําเนินกิจกรรมของโครงการ บรรลุตามวัตถุประสงค๑ของโครงการ หวังวําการเรียนรู๎เรื่องถํานชีวภาพลดภาวะโลกร๎อน เป็นชุ ดความรู๎ที่ นําไปปรับใช๎ในการประกอบอาชีพในครัวเรือน และในชุมชนเป็นอาชีพเสริมสําหรับผู๎สนใจและกิจกรรมการ เรียนรู๎เรื่องนี้สามารถสอดแทรกเข๎าไปสูํกลุํมสาระการเรียนรู๎ในระบบสถาบันการศึกษาได๎ทุกสาระการเรียนรู๎ ตามหลักสูตรแกนกลางพุทธศักราช 2551 คณะทีมวิจัย ประสพสุข ฤทธิเดช นภัทสร แกํนแก๎ว ธนาพัฒน๑ เที่ยงภักดิ์
สารบัญ เนื้อหา 1 วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู๎ ถํานชีวภาพลดภาวะโลกร๎อน 2 ถํานชีวภาพลดภาวะโลกร๎อน 3 สมุดเลํมเล็ก และโครงงานวิทยาศาสตร๑ 4 ความประทับใจในโครงการ 5 ภาพประกอบกิจกรรมและเกียรติบัตรในโครงการ 6 รายชื่อผู๎ให๎ข๎อมูล
หน้า 71 74 74 86 90 93
1 วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ถ่านชีวภาพลดภาวะโลกร้อน สืบเนื่องจากโครงการนี้เป็นโครงการตํอเนื่องที่ได๎เข๎ารํวมโครงการกับ ปศท.2 มหาวิทยาลัยธุรกิจ บัณฑิตย๑ ทําให๎การทํางานตํอยอดชุดกิจกรรมที่ทําตามปกติในแหลํงเรียนรู๎ชุมชนได๎ขยายผลไปสูํครัวเรือน โดยจัดกิจกรรมสํงเสริมทักษะอาชีพให๎สมาชิกโครงการได๎มีอาชีพเสริมหลังจากการทํานาปลูกกข๎าวเป็นอาชีพ หลัก ได๎ทําอาชีพเลี้ยงไกํ เลี้ยงปลา ปลูกพืชผักสมุนไพร ฝึกซ๎อมดนตรีพื้นบ๎านโปงลาง ทําเตาถํานชีวภาพ และแลกเปลี่ยนเรียนรู๎ประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่นกับผู๎เฒําผู๎แกํในชุมชน โดยมีกติการํวมกัน ต๎องได๎ฝึกปฏิบัติจริง ระหวํางพํอ-แมํ กับลูกของตนเอง ผลที่เกิดขึ้นได๎ชุดความรู๎บทเรียนของชาวบ๎านโดยใช๎ วิธีการดําเนินการจัด กิจกรรมการเรียนรู๎ หลากหลายแบบยืดหยุํนโดยผู๎เรียนเป็นตัวตั้ง มีครูจิตอาสาเป็นผู๎ดําเนินกิจกรรมรํวมกับ ผู๎ปกครอง ใช๎วิธีสอนแบบเพื่อนสอนเพื่อน พี่สอนน๎อง ครูพํอ – แมํสอนลูก และครูภูมิปัญญาในชุมชน ครู วิทยากรจากภายนอก เรียนรู๎แตํละฐานกิจกรรมจะมีผลงานรํวมกัน ใช๎ชํวงอายุเป็นตัวกําหนดชิ้นงานตาม กระบวนการเรียนรู๎ 5 ขั้นตอนได๎แกํ 1. ข๎องใจ กําหนดหัวข๎อ 2. หมายคําตอบ ตั้งสมมุติฐาน 3. สอบสวน เก็บรวบรวมข๎อมูล 4. ครวญใครํ วิเคราะห๑ข๎อมูล 5. ไขความจริง สรุปผลการเรียนรู๎ในแตํละฐานการเรียนรู๎และการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู๎ สร้างความจัดเจนในการเก็บข้อมูลให้เด็กและเยาวชน ให๎เด็กและเยาวชน รู๎จักวางแผนการเก็บข๎อมูลอยํางจริงจัง ใช๎ตารางคํอนข๎างมาก ในการให๎จัดระบบคิดตนเองวําจะเก็บข๎อมูลอะไรจากใครในรูป “ผังการเก็บ ข๎อมูล” ตามคําถามและการมีบันทึกปฏิทินการทํางาน ให๎เด็กและเยาวชน มีการบันทึกและจัดระเบียบข๎อมูลอยํางดี อาจใช๎เทคนิคงํายๆ บางอยํางชํวย เชํน การเขียนแผนที่ แบบบันทึกการสังเกต แบบบันทึกการ สัมภาษณ๑ แบบสอบถามงํายๆ ใช๎กระบวนการกลุํมชํวยกันตรวจสอบกันและกันดังตาราง
เด็กและ ได้
คาถาม
ผู้ให้สัมภาษณ์
เล่าเรื่อง
สรุปเรื่องที่เล่า
เยาวชน
1)
2)
3)
วิเคราะห์ ให๎เด็กและเยาวชน มีกระบวนการวิเคราะห๑ข๎อมูลอยํางจริงจังเพื่อสร๎างข๎อสรุป เด็กและเยาวชนต๎องดึงข๎อมูลออกมาวิเคราะห๑อยํางเป็นระบบ มีการใช๎เทคนิคบางอยํางชํวย เชํน “ตารางสร้างข้อสรุป” เพื่อนําข๎อมูลเชิงคุณภาพมาวิเคราะห๑เปรียบเทียบ ให๎เด็กๆ สร๎างข๎อสรุปจากความรู๎ที่ได๎ เน๎นการเชื่อมโยง “ความเป็นเหตุเป็นผล” ของข๎อมูล เพื่อนชํวยตรวจสอบความหลากหลายและนําเชื่อถือของข๎อมูล อาจ “โต้แย้งอย่างสร้างสรรค์” ตํอ ข๎อมูลที่มานําเชื่อถือได๎ แนวทางการออกแบบการเรียนรู้ถ่านชีวภาพลดภาวะโลกร้อน (เฉพาะประเด็นที่เด็กและเยาวชนมีความสนใจ) ออกแบบการเรียนรู๎ 5 ขั้นตอน (ข๎องใจ หมายคําตอบ สอบสวน ครวญใครํ ไขความจริง) แตํมี ความยืดหยุํนปรับลดหรือเพิ่มเติมได๎ การตั้งคําถามดีๆ และไตํหาความรูไ๎ ปเรื่อยๆ ตีความ หรือชี้แนะในประเด็นตํางๆ เน๎นการเข๎าถึงผู๎ใหญํ พํอแกํแมํเฒําหรือผู๎รู๎ในท๎องถิ่น
การตั้งคําถามดีๆ พากลุํมให๎สนใจไปสืบค๎น หาความรู๎ และไตํหาความรู๎ไปเรื่อยๆ ตีความ หรือพยายามตั้งข๎อสงสัยในประเด็นตํางๆ ที่สืบค๎น เชื่อมมิติด๎านเวลา พื้นที่ กับเรื่องท๎องถิ่น และเรื่องชีวิตเด็กเยาวชนตามสภาพจริง
สรุปกระบวนการเรียนรู้แนวคิดถ่านชีวภาพลดภาวะโลกร้อน ข๎องใจ กาหนดปัญหาการวิจัย : กิจกรรม/กระบวนการเด็กได๎คิดคําถามที่อยากรู๎ (เมื่อไร ที่ไหน อยํางไร ใคร/ใครบ๎าง ทําไม ) หมายคําตอบ ตั้งสมมุติฐาน : กระบวนการที่ทําให๎เด็กได๎มีการวางแผนวําจะไปหาความรู๎อยํางไร จากใครบ๎าง สอบสวน เก็บข้อมูล : กระบวนการ/กิจกรรมที่ทําให๎เด็กได๎ลงเก็บรวบรวมข๎อมูล ตรวจสอบ ข๎อมูล เน๎นประสบการณ๑ตรง ได๎สัมผัสคนเฒําคนแกํ พื้นที่และชุมชน ครวญใครํ วิเคราะห์ : มีกระบวนการสํงเสริมให๎มีการวิเคราะห๑ข๎อมูล : ตีความ หาคําอธิบาย ใน เรื่องนั้นๆ (ครูรํวมในกิจกรรมด๎วยเป็นระยะๆ) ไขความจริง สรุปและเสนอ กิจกรรมที่สํงเสริมการสรุปและเสนอผลการศึกษา เขียนเรื่อง/เลํา/ หรือการแสดงละคร/วาดภาพ/ประเมินผลตามชิ้นงาน
2 ถ่านชีวภาพลดภาวะโลกร้อน การทําถํานชีวภาพลดภาวะโลกร๎อนเป็นกิจกรรมที่ให๎เด็กเยาวชนและผู๎ปกครองได๎ศึกษาดูงานจาก แหลํงเรียนรู๎ภายนอกชุมชนจัดกิจกรรมให๎วิทยากรได๎บรรยายความรู๎เรื่องถํานชีวภาพลดภาวะโลกร๎อนโดย ดร.สมบัติ ฤทธิเดช เป็นผู๎บรรยายพิเศษ ทําให๎เด็ก-เยาวชนใช๎ความรู๎มาทําเตาถํานชีวภาพภายใน แหลํงเรียนรู๎ ปูททวดครูสิงห๑ ฤทธิเดช โดยผํานกิจกรรมการเก็บขยะในชุมชนมารีไซค๑เคิล นําถํานชีวภาพแปรรูปเป็นสินค๎า
ของใช๎ดูดกลิ่นในที่อับชื้น เชํน ใช๎ถํานชีวภาพดูดกลิ่นในตู๎เย็น ในรถยนต๑ และห๎องครัว ทําให๎เด็กและ เยาวชนได๎ฝึกสมาธิการประดิษฐ๑ผลิตภัณฑ๑ถํานชีวภาพจําหนํายได๎รูปทรงหลาย ๆ แบบ มีเงินรายได๎ และที่ สําคัญยิ่งเด็ก เยาวชน ผู๎ปกครอง ได๎รํวมมือกันทํางานอยูํใกล๎ชิดกันมีความอบอุํน และสามารถนําเตาถําน ชีวภาพไปทําเป็นเตาถําน ไว๎ใช๎ในครัวเรือนตนเองมีจํานวนเพิ่มมากขึ้นจากที่ได๎เรียนรู๎วิธีเผาถํานจากวิทยากร และเด็ก เยาวชน สาธิตการเผาถํานให๎พํอแมํ ได๎ศึกษาเรียนรู๎รํวมกับลูกตนเอง ทําให๎เด็กและเยาวชนบางคนใช๎ องค๑ความรู๎เรื่องถํานชีวภาพลดภาวะโลกร๎อน จัดทําโครงงานวิทยาศาสตร๑ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ได๎รับ รางวัลที่ 1 ในงานสัปดาห๑วิทยาศาสตร๑ของโรงเรียนผดุงนารีมหาสารคาม สะท๎อนภาพการจัดการศึกษา แบบมี สํวนรํวมขององค๑กรในชุมชนได๎ทําให๎ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเยาวชนสูงขึ้น 3 สมุดเล่มเล็ก และโครงงานวิทยาศาสตร์
4 ความประทับใจในโครงการ
5 ภาพประกอบกิจกรรมและเกียรติบัตรในโครงการ
วิทยากร ดร.สมบัติ ฤทธิเดช อธิบายวิธีเผาถ่านจากเตาชีวภาพ
คุณป้าละมัย ฤทธิเดช อธิบายวิธีบรรจุผลิตัณฑ์ถ่านชีวภาพ
เด็กและเยาวชนร่วมมือกันออกแบบผลิตภัณฑ์ถ่านชีวภาพ
ถ่านชีวภาพเพื่อการจัดจาหน่าย
เยาวชนบ้านหลังเรียนได้รับเกียรติบัตร อันดับที่ 1 ในงานนิทรรศการวิทยาศาสตร์ โรงเรียนผดุงนารี เรื่อง ถ่านชีวภาพและน้าส้มควันไม้กาจัดศัตรูพืช
6 รายชื่อผู้ให้ข้อมูล 1. นางสาวจิตนา พุทธคี อายุ 37 ปี บ๎านเลขที่ 36 บ๎านกุดแคน หมูํที่ 6 ตําบลหนองโน อําเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ให๎สัมภาษณ๑ทีมเด็กและเยาวชน วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2554 2. นายถวัลย๑ ผิวผํอง อายุ 55 ปี บ๎านเลขที่ 40 บ๎านกุดแคน หมูํที่ 6 ตําบลหนองโน อําเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ให๎สัมภาษณ๑ทีมเด็กและเยาวชน วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2554 3. นายธนกิต อินทร๑งาม อายุ 52 ปี บ๎านเลขที่ 20 บ๎านกุดแคน หมูํที่ 6 ตําบลหนองโน อําเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ให๎สัมภาษณ๑ทีมเด็กและเยาวชน วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2554 ครูที่ปรึกษาพิเศษ ดร.สมบัติ ฤทธิเดช ดร.ประสพสุข ฤทธิเดช นางสาวนภัทสร แกํนแก๎ว นายธนาพัฒน๑ เที่ยงภักดิ์
วิทยากรพิเศษเรื่องถํานชีวภาพ หัวหน๎าโครงการแหลํงเรียนรู๎ ฯ ผู๎อํานวยการแหลํงเรียนรู๎ ครูจิตอาสาในโครงการ
แหล่งเรียนรู้ของชุมชนจัดการศึกษานาร่องสัมมาอาชีพด้วยบริบทจริงในชุมชน เพื่อสุขภาวะของเด็ก และเยาวชนไทย ดนตรีพื้นบ้านโปงลางประยุกต์ปู่ทวดครูสิงห์ ฤทธิเดช จัดทาโดย เด็กและเยาวชนแหลํงเรียนรู๎ชุมชน “ปูททวดครูสิงห๑ ฤทธิเดช”
ครูที่ปรึกษาปราชญ์ชาวบ้าน นายธนกิต อินทร๑งาม เด็กชายทรงวุฒิ แสงนา เด็กชายลิขิตชัย ธรรมวิชัย นายศตวรรษ เศษภักดี
ครูที่ปรึกษาพิเศษ ดร.ประสพสุข ฤทธิเดช นางสาวนภัทสร แกํนแก๎ว นายธนาพัฒน๑ เที่ยงภักดิ์
สนับสนุนโดยสานักงานกองทุนสนับสนุนสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) และ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ร่วมกับแหล่งเรียนรู้ชุมชนปู่ทวดครูสิงห์ ฤทธิเดช
วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2554
คานา การจัดกิจกรรมการเรียนรู๎เรื่องดนตรีพื้นบ๎านโปงลางประยุกต๑ปูททวดครูสิงห๑ ฤทธิเดช เป็นกิจกรรมในโครงการแหลํงเรียนรู๎ของชุมชนจัดการศึกษานํารํองสัมมาอาชีพด๎วยบริบทจริงในชุมชน เพื่อสุขภาวะเด็กและเยาวชนไทย ขอบพระคุณทีมประสานงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาจารย๑ ดร.พิณสุดา สิรินธรังศรี รองศาสตราจารย๑ ดร.อุทัย บุญประเสริฐ และอาจารย๑บุญจันทร๑ บัวหุํง ที่ให๎ข๎อเสนอแนะให๎การ ดํา เนินกิ จกรรมของโครงการบรรลุตามวัตถุประสงค๑ของโครงการ หวังวําการเรียนรู๎เรื่องดนตรีพื้ นบ๎าน โปงลางประยุกต๑ปูททวดครูสิงห๑ ฤทธิเดช เป็นชุดความรู๎ที่นําไปปรับใช๎ในการประกอบอาชีพในครัวเรือน และในชุมชนเป็นอาชีพเสริมสําหรับผู๎สนใจและกิจกรรมการเรียนรู๎เรื่องนี้สามารถสอดแทรกเข๎าไปสูํกลุํม สาระการเรียนรู๎ในระบบสถาบันการศึกษาได๎ทุกสาระการเรียนรู๎ตามหลักสูตรแกนกลางพุทธศักราช 2551 คณะทีมวิจัย ประสพสุข ฤทธิเดช นภัทสร แกํนแก๎ว ธนาพัฒน๑ เที่ยงภักดิ์
สารบัญ เนื้อหา 1 วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู๎ ดนตรีพื้นบ๎านโปงลางประยุกต๑ปูททวดครูสิงห๑ ฤทธิเดช 2 ดนตรีพื้นบ๎านโปงลางประยุกต๑ปูททวดครูสิงห๑ ฤทธิเดช 3 เพลงที่เด็กและเยาวชนชอบ 4 เพลงของบ๎านหลังเรียน 5 ภาพประกอบกิจกรรมและความประทับใจ 6 รายชื่อผู๎ให๎ข๎อมูล
หน้า 97 99 103 105 108 113
1 วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ดนตรีพื้นบ้านโปงลางประยุกต์ปู่ทวดครูสิงห์ ฤทธิเดช สืบเนื่องจากโครงการนี้เป็นโครงการตํอเนื่องที่ได๎เข๎ารํวมโครงการกับ ปศท.2 มหาวิทยาลัยธุรกิจ บัณฑิตย๑ ทําให๎การทํางานตํอยอดชุดกิจกรรมที่ทําตามปกติในแหลํงเรียนรู๎ชุมชนได๎ขยายผลไปสูํครัวเรือน โดยจัดกิจกรรมสํงเสริมทักษะอาชีพให๎สมาชิกโครงการได๎มีอาชีพเสริมหลังจากการทํานาปลูกกข๎าวเป็นอาชีพ หลัก ได๎ทําอาชีพเลี้ยงไกํ เลี้ยงปลา ปลูกพืชผักสมุนไพร ฝึกซ๎อมดนตรีพื้นบ๎านโปงลาง ทําเตาถํานชีวภาพ และแลกเปลี่ยนเรียนรู๎ประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่นกับผู๎เฒําผู๎แกํในชุมชน โดยมีกติการํวมกัน ต๎องได๎ฝึกปฏิบัติจริง ระหวํางพํอ-แมํ กับลูกของตนเอง ผลที่เกิดขึ้นได๎ชุดความรู๎บทเรียนของชาวบ๎านโดยใช๎ วิธีการดําเนินการจัด กิจกรรมการเรียนรู๎ หลากหลายแบบยืดหยุํนโดยผู๎เรียนเป็นตัวตั้ง มีครูจิตอาสาเป็นผู๎ดําเนินกิจกรรมรํวมกับ ผู๎ปกครอง ใช๎วิธีสอนแบบเพื่อนสอนเพื่อน พี่สอนน๎อง ครูพํอ – แมํสอนลูก และครูภูมิปัญญาในชุมชน ครู วิทยากรจากภายนอก เรียนรู๎แตํละฐานกิจกรรมจะมีผลงานรํวมกัน ใช๎ชํวงอายุเป็นตัวกําหนดชิ้นงานตาม กระบวนการเรียนรู๎ 5 ขั้นตอนได๎แกํ 1. ข๎องใจ กําหนดหัวข๎อ 2. หมายคําตอบ ตั้งสมมุติฐาน 3. สอบสวน เก็บรวบรวมข๎อมูล 4. ครวญใครํ วิเคราะห๑ข๎อมูล 5. ไขความจริง สรุปผลการเรียนรู๎ในแตํละฐานการเรียนรู๎และการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู๎ สร้างความจัดเจนในการเก็บข้อมูลให้เด็กและเยาวชน ให้เด็กและเยาวชน รู้จักวางแผนการเก็บข้อมูลอย่างจริงจัง ใช้ตารางค่อนข้างมาก ในการให้จัดระบบคิดตนเองว่าจะเก็บข้อมูลอะไรจากใครในรูป “ผังการ เก็บข้อมูล” ตามคาถามและการมีบันทึกปฏิทินการทางาน ให้เด็กและเยาวชน มีการบันทึกและจัดระเบียบข้อมูลอย่างดี อาจใช้เทคนิคง่ายๆ บางอย่างช่วย เช่น การเขียนแผนที่ แบบบันทึกการสังเกต แบบบันทึกการ สัมภาษณ์ แบบสอบถามง่ายๆ ใช้กระบวนการกลุ่มช่วยกันตรวจสอบกันและกันดังตาราง
เด็กและ
คาถาม
ผู้ให้สัมภาษณ์
เล่าเรื่อง
สรุปเรื่องที่เล่า
1)
2)
3)
เยาวชนได้วิเคราะห์ ให้เด็กและเยาวชน มีกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างจริงจังเพื่อสร้างข้อสรุป เด็กและเยาวชนต้องดึงข้อมูลออกมาวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ มีการใช้เทคนิคบางอย่างช่วย เช่น “ตารางสร้างข้อสรุป” เพื่อนาข้อมูลเชิงคุณภาพมาวิเคราะห์เปรียบเทียบ ให้เด็กๆ สร้างข้อสรุปจากความรู้ที่ได้ เน้นการเชื่อมโยง “ความเป็นเหตุเป็นผล” ของข้อมูล เพื่อนช่วยตรวจสอบความหลากหลายและน่าเชื่อถือของข้อมูล อาจ “โต้แย้งอย่างสร้างสรรค์” ต่อข้อมูลที่มาน่าเชื่อถือได้ แนวทางการออกแบบการเรียนรู้ดนตรีพื้นบ้านโปงลางประยุกต์ (เฉพาะประเด็นที่เด็กและเยาวชนมี ความสนใจ) ออกแบบการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (ข้องใจ หมายคาตอบ สอบสวน ครวญใคร่ ไขความจริง) แต่มี ความยืดหยุ่นปรับลดหรือเพิ่มเติมได้ การตั้งคาถามดีๆ และไต่หาความรู้ไปเรื่อยๆ ตีความ หรือชี้แนะในประเด็นต่างๆ
เน้นการเข้าถึงผู้ใหญ่ พ่อแก่แม่เฒ่าหรือผู้รู้ในท้องถิ่น การตั้งคาถามดีๆ พากลุ่มให้สนใจไปสืบค้น หาความรู้ และไต่หาความรู้ไปเรื่อยๆ ตีความ หรือพยายามตั้งข้อสงสัยในประเด็นต่างๆ ที่สืบค้น เชื่อมมิติด้านเวลา พื้นที่ กับเรื่องท้องถิ่น และเรื่องชีวิตเด็กเยาวชนตามสภาพจริง สรุปกระบวนการเรียนรู้แนวคิดดนตรีพื้นบ้านโปงลางประยุกต์ ข้องใจ กาหนดปัญหาการวิจัย : กิจกรรม/กระบวนการเด็กได้คิดคาถามที่อยากรู้ (เมื่อไร ที่ไหน อย่างไร ใคร/ใครบ้าง ทาไม ) หมายคาตอบ ตั้งสมมุติฐาน : กระบวนการที่ทาให้เด็กได้มีการวางแผนว่าจะไปหาความรู้ อย่างไร จากใครบ้าง สอบสวน เก็บข้อมูล : กระบวนการ/กิจกรรมที่ทาให้เด็กได้ลงเก็บรวบรวมข้อมูล ตรวจสอบ ข้อมูล เน้นประสบการณ์ตรง ได้สัมผัสคนเฒ่าคนแก่ พื้นที่และชุมชน ครวญใคร่ วิเคราะห์ : มีกระบวนการส่งเสริมให้มีการวิเคราะห์ข้อมูล : ตีความ หาคาอธิบาย ใน เรื่องนั้นๆ (ครูร่วมในกิจกรรมด้วยเป็นระยะๆ) ไขความจริง สรุปและเสนอ กิจกรรมที่ส่งเสริมการสรุปและเสนอผลการศึกษา เขียนเรื่อง/เล่า/ หรือการแสดงละคร/วาดภาพ/ประเมินผลตามชิ้นงาน
2 ดนตรีพื้นบ้านโปงลางประยุกต์ปู่ทวดครูสิงห์ ฤทธิเดช การทํากิจกรรมฐานการเรียนรู๎นี้ มีวิธีการถํายทอดความรู๎โดยครูภูมิปัญญาได๎แกํ นายธนกิต อินทร๑งาม นายศตวรรษ เศษภักดี เด็กชายลิขิตชัย ธรรมวิชัย และเด็กชายทรงวุฒิ แสงนาเป็นครูผู๎ สอนเด็ก และเยาวชนทั้งเพศหญิงและเพศชายโดยความสมัครใจจะเรียนรู๎มีวิธีการสอนแบบตัวตํอตัว ให๎จําโน๏ตแตํละ เพลงมีเพลงลายบายศรีสูํขวัญไทยดํารําพั น ลายโปงลางแตํละเพลงเด็กและเยาวชนใช๎เวลาฝึกซ๎อมในเวลา กลางคืน เนื่องจากครูภูมิปัญญาต๎องใช๎เวลากลางวันไปโรงเรียนและไปทํานา ผลที่เกิดขึ้นการเรียนรู๎เรื่อง ดนตรีทําให๎เด็กและเยาวชนมีกิจกรรมตํอยอดโครงการโดยเขียนเพลงที่เกี่ยวกับสภาพแวดล๎อมในแหลํงเรียนรู๎
ของชุมชนได๎หลายเพลงเชํนเพลงบ๎านหลังเรียน เพลงลมเย็นมาแล๎ว เพลงร๎อ นและหนาว เพลงเจ๎าปลานิล ปลาดุก และเด็กเยาวชนได๎รวมตัวกันกํอตัง้ เป็นวงดนตรีโปงลางประยุกต๑ปูททวดครูสิงห๑ ฤทธิเดช ดนตรีพื้นบ๎านโปงลางประยุกต๑ปูททวดครูสิงห๑ ฤทธิเดช ได๎ทํากิจกรรมรํวมกับชุมชนโดยแสดงดนตรี พื้นบ๎านตามบุญงานประเพณีชาวอีสาน เชํนงานบุญกฐิน งานบุญเดือนสี่ เดือนสาม ฯลฯ ชาวบ๎านใช๎ดนตรี โปงลางแหลํ ง เรี ย นรู๎ ชุ ม ชนปูท ท วดครู สิ ง ห๑ ฤทธิ เ ดช ไปแหํ ข บวน ตี ก ลอง ดี ด พิ ณ เปท า แคน มี ค วาม สนุกสนานรื่นเริงรํวมกัน เป็นกิจกรรมที่สร๎างสุขรํวมกัน เด็กและเยาวชนที่เป็นผู๎หญิงได๎ฟ้อนรํารํวมขบวน แหํ เป็ นการฝึ ก ทั ก ษะอาชี พ วงดนตรีโปงลางประยุ ก ต๑ปูททวดครูสิงห๑ ฤทธิเ ดช รับงานแสดงได๎เป็น เงิ น ทุ นการศึ ก ษา สํง ผลให๎ผู๎ป กครองมี ค วามภูมิใ จที่บุตรหลานของตนเองกล๎า แสดงออกและอนุ รัก ษ๑ ดนตรี พื้นบ๎านของชุ มชนให๎คงอยูํ และเผยแพรํชื่อเสียงให๎กับบ๎านกุดแคน ทําให๎ชุมชนบ๎านกุดแคนเป็นชุมชน พอเพียงและเป็นสุข เพราะไมํจ๎างมหรสพจากหมูํบ๎านอื่น ๆ มาแสดงในงามประเพณี แตํให๎บุตรหลานของ ตนเอง ทํากิจกรรมงานบุญประเพณี นอกจากนี้ครูภูมิปัญญาท๎องถิ่นดรตรีโปงลางนายธนกิต อินทร๑งาม ได๎รับ เชิญเป็นวิทยากรขยายองค๑ความรู๎เรื่องดนตรีพื้นบ๎านให๎กับสถานศึกษา 3 แหํง คือ โรงเรียนบ๎านกุดแคน บ๎านนานกเขียน และโรงเรียนบ๎านโคกสี ให๎ไปสอนนักเรียนได๎เรียนรู๎เรื่องดนตรีจัดตั้งวงดนตรีโปงลาง เกิดขึ้นในโรงเรียนทั้งสามแหํง โดยใช๎องค๑ความรู๎จากแหลํงเรียนรู๎ชุมชนปูททวดครูสิงห๑ ฤทธิเดช เชื่อมโยงกับ การจัดการศึกษาในระบบ กลุํมสาระการเรียนรู๎ศิลปะ ดนตรีแสดงถึงการใช๎ทุนทางสังคม ครูภูมิปัญญาท๎องถิ่น รํวมกันทั้งในระบบการศึกษาและนอกระบบการศึกษาและประโยชน๑ที่เกิดขึ้นโดยอ๎อมเด็กและเยาวชนเขียน บทเพลงที่แตํงขึ้นด๎วยตนเองได๎
วิธีการจัดการเรียนรู้โปงลางประยุกต์ โดยครูภูมิปัญญาท้องถิ่น สอนเรื่อง การอ่านตัวโน้ต
3 เพลงที่เด็กและเยาวชนชอบ
4 เพลงของบ้านหลังเรียน
5 ภาพประกอบกิจกรรมและความประทับใจ
เด็กและเยาวชนเรียนรู้ดนตรีพื้นบ้านโปงลางประยุกต์ร่วมกันอย่างมีความสุข
เด็กและเยาวชนฝึกการฟ้องรํารํวมกัน
ความประทับใจในโครงการ
6 รายชื่อผู้ให้ข้อมูล 1. นายธนกิต อินทร๑งาม อายุ 52 ปี บ๎านเลขที่ 20 บ๎านกุดแคน หมูํที่ 6 ตําบลหนองโน อําเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ให๎สัมภาษณ๑ทีมเด็กและเยาวชน วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2554 2. เด็กชายทรงวุฒิ แสงนา ครูจิตอาสาดนตรีพื้นบ๎านพิณ อายุ 14 ปี ทําหน๎าที่สอนพิณให๎เด็กและ เยาวชนที่สนใจในแหลํงเรียนรู๎ชุมชนปูททวดครูสิงห๑ ฤทธิเดช เฉพาะเวลากลางคืน 3. เด็กชายลิขิตชัย ธรรมวิชัย ครูจิตอาสาดนตรีพื้นบ๎านโปงลาง อายุ 14 ปี ทําหน๎าที่สอนโปงลาง ให๎เด็กและเยาวชนที่สนใจในแหลํงเรียนรู๎ชุมชนปูททวดครูสิงห๑ ฤทธิเดช เฉพาะเวลากลางคืน 4. นายศตวรรษ เศษภักดี ครูจิตอาสาดนตรีพื้นบ๎านโหวต อายุ 16 ปี ทําหน๎าที่สอนโหวตให๎เด็ก และเยาวชนที่สนใจในแหลํงเรียนรู๎ชุมชนปูททวดครูสิงห๑ ฤทธิเดช เฉพาะเวลากลางคืน ครูที่ปรึกษาพิเศษ ดร.ประสพสุข ฤทธิเดช นางสาวนภัทสร แกํนแก๎ว นายธนาพัฒน๑ เที่ยงภักดิ์
หัวหน๎าโครงการแหลํงเรียนรู๎ ฯ ผู๎อํานวยการแหลํงเรียนรู๎ ครูจิตอาสาในโครงการ
แหล่งเรียนรู้ของชุมชนจัดการศึกษานาร่องสัมมาอาชีพด้วยบริบทจริงในชุมชน เพื่อสุขภาวะของเด็ก และเยาวชนไทย ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นสายใยรักชุมชน จัดทาโดย เด็กและเยาวชนแหลํงเรียนรู๎ชุมชน “ปูททวดครูสิงห๑ ฤทธิเดช”
ครูที่ปรึกษาปราชญ์ชาวบ้าน นายสมบูรณ๑ ศรีเฮือง นางอํานวยพร สีดาพล นายหนูจี จําคาม นางแสงจันทร๑ งามใส
ครูที่ปรึกษาพิเศษ ดร.ประสพสุข ฤทธิเดช นางสาวนภัทสร แกํนแก๎ว นายธนาพัฒน๑ เที่ยงภักดิ์
สนับสนุนโดยสานักงานกองทุนสนับสนุนสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) และ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ร่วมกับแหล่งเรียนรู้ชุมชนปู่ทวดครูสิงห์ ฤทธิเดช
วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2554
คานา โครงการ ปศท.2 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย๑และสํานักงานกองทุนสนับสนุนสร๎างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได๎ให๎โอกาสแหลํงเรียนรู๎ชุมชนปูททวดครูสิงห๑ ฤทธิเดช เป็นเครือขํายเข๎ารํวมโครงการในกิจกรรม ของโครงการแหลํงเรียนรู๎ของชุมชนจัดการศึกษานํารํองสัมมาอาชีพด๎วยบริบทจริงในชุมชนเพื่อสุขภาวะของ เด็กและเยาวชนไทย ได๎จัดกิจกรรมการเรียนรู๎ประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่นสายใยรักชุมชน ใช๎วิธีการเรียนรู๎โดยใช๎ แหลํงเรียนรู๎ในชุมชน ประกอบด๎วยปราชญ๑ชาวบ๎านและสถานที่ในหมูํบ๎านได๎แกํ ลําห๎วยคําพุ รอยพระพุทธ บาทจําลอง วัด โรงเรีย นและประเพณีที่ สําคัญยังคงปฏิบัติรํวมกั น อยํ างไรก็ตามการเรีย นรู๎ในกิจกรรม ประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่นมีเด็กและเยาวชนในระดั บอายุที่แตกตํางกัน ทําให๎ได๎ชิ้นงานจดบันทึกคําบอกเลําได๎ ชัดเจน และจดบันทึกคําบอกเลําได๎ขาดข๎อความไมํเชื่อมโยงเรื่องราว แตํคณะทีมงานไมํได๎ปรับแก๎ไขใน ชิ้นงานที่เด็กและเยาวชนได๎ศึกษาด๎วยกระบวนการสร๎างความรู๎ด๎วยตนเองจากความสนใจประสบการณ๑จริงคือ มีผู๎เฒําผู๎แกํมาบอกเลําเรื่องราว เด็กและเยาวชนได๎ทําเอกสารเป็นผลงานของชาวบ๎านกุดแคนได๎ให๎คนหลาย ชํวงวัย เรียนรู๎ตํอไป คณะทีมงานขอขอบพระคุณ อาจารย๑พิณสุดา สิรินธรังศรี อาจารย๑บุญจันทร๑ บัวหุํงและอาจารย๑รอง ศาสตราจารย๑ ดร.อุทัย บุญประเสริฐ ที่ให๎คําปรึกษาแนะนําการทํางานของโครงการได๎บรรลุผลตาม วัตถุประสงค๑ของโครงการ และความรู๎เรื่องท๎องถิ่นของชาวบ๎านคงเกิดประโยชน๑กับการจัดการเรียนรู๎แบบ รํวมมือ โดยใช๎แหลํงเรียนรู๎ในท๎องถิ่นเข๎าไปสูํสถานศึกษาในโอกาสตํอไป
ประสพสุข ฤทธิเดช เด็กและเยาวชนแหลํงเรียนรู๎ชุมชนปูททวดครูสิงห๑ ฤทธิเดช และคณะครูจิตอาสา
สารบัญ เรื่อง 1 แนวคิดการเรียนรู๎ประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่นชาวบ๎านกุดแคน 2 ประวัตชิ ุมชนและห๎วยคําพุสถานที่สําคัญในบ๎านกุดแคน 3 ประเพณีชาวบ๎านกุดแคน 4 ภาพประกอบกิจกรรมการเรียนรู๎ประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่น 5 ความประทับใจของเด็กและเยาวชน 6 รายชื่อผู๎ให๎ข๎อมูล
หน้า 118 122 137 142 144 148
1 แนวคิดประวัติศาสตร์ท้องถิ่นชาวบ้านกุดแคน แนวคิดนี้ได๎จากการสังเคราะห๑เอกสารและคําบอกเลําชาวบ๎านกุดแคนได๎ให๎ข๎อคิดเห็นคณะทีมงาน สรุปกรอบแนวคิดดังนี้ ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นมองในมิติใดได้บ้าง ประวัติสถานที่/ โบราณสถาน
ประวัติ ชาติพันธุ๑ ประวัติ บุคคล ประวัติเหตุการณ๑/ ประเพณีสําคัญ
ประวัติศาสตร์ ท้องถิ่น
ประวัติการใช๎ชีวิต รํวมกันของชุมชน
ประวัติอาชีพ ประวัติสังคม/ เครือญาติ
ข๎อมูล เรื่องราว เรื่องเลําในอดีตที่อยูํในท๎องถิ่น สัมพันธ๑ชีวิตและสิ่งรอบตัวมีคําถาม สําคัญในหลักคิด ได๎แกํ มันเกิดอะไรขึ้นเมื่อ...นานมาแล๎ว เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไร เพราะอะไร ทําไมมันถึงเกิด หรือเป็นอยํางนั้น มันเกิดการเปลี่ยนแปลงอยํางไร ผลกระทบตํอเราและสิ่งที่แวดล๎อมเราเป็นอยํางไร อะไรคือจุดพลิกผัน มันมีความหมายหรือสํงผลอยํางไร ทําไมเรามาอยูํ ณ ที่ตรงนี้ได๎อยํางไร เพราะอะไร ทําไม แล๎วเราจะไปตํออยํางไร
ผลลัพธ์การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
1) เมื่อเด็กและเยาวชนเรียนรู๎ประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่นได๎ผลลัพธ๑อะไรบ๎าง เด็กและเยาวชนสามารถเลําเรื่องได๎วํา เกิดอะไร เป็นอยํางไร ที่ไหน เมื่อไร ใครกับใครที่เกี่ยวข๎อง แล๎วมีความหมายอะไร ทําไมจึงเป็นเชํนนั้น มันทําให๎เรารู๎สึกอยํางไรในวันนี้ (ความภาคภูมิใจ ความรักความ เอื้ออาทร เห็นคุณคํา) 2) สรุปความสําคัญของประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่น มีมากกวําข๎อมูลความรู๎ในอดีต แตํมีความหมายสัมพันธ๑กับพํอแมํปูทยําตายาย ตัวของเรา ชุมชนและ ท๎องถิ่นของเราจนมาถึงปัจจุบัน ทําให๎เรารู๎จักอดีต และเข๎าใจคนรุํนกํอนหน๎า/ชุมชนของเราได๎ดีขึ้น ทําให๎เราเข๎าใจตัวเราเองในปัจจุบัน ทําให๎เราตั้งหลักและตัดสินใจในวันข๎างหน๎าอยํางรู๎ตัวเอง กระบวนการเรียนรู๎ด๎วยการวิจัย และแบบประสบการณ๑ตรงจะเป็นเครื่องสร๎างความรู๎ความเข๎าใจ ในประวั ติศ าสตร๑ ท๎ องถิ่น นํ า ไปสูํ ความรู๎จัก ตัวเอง ท๎อ งถิ่น และเป็นการสร๎างภู มิ คุ๎ม กั นทาง วัฒนธรรม วิธีการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น คาสาคัญสามคา วิถีชีวิต ความสัมพันธ๑ ความเปลี่ยนแปลง ขั้นตอนกิจกรรมการเรียนรู้ 1) ข๎องใจ กําหนดหัวข๎อที่สนใจต๎องการเรียนรู๎ 2) หมายคําตอบ ตั้งสมมุติฐาน 3) สอบสวน เก็บรวบรวมข๎อมูล 4) ครวญใครํ วิเคราะห๑ข๎อมูล 5) ไขความจริง สรุปผลการเรียนรู๎ เทคนิคการบอกเล่าเรื่องราว จูงใจและจับใจจากเรื่องราวของผู๎เฒําผู๎แกํเลําให๎เด็กและเยาวชนฟัง ให๎เด็กและเยาวชนได๎ออกแบบการสืบสาว ค๎นหา เรื่องราว “เลําเรื่อง” เกีย่ วกับความรู๎จากโจทย๑ที่ เลือกและทําได๎ เน๎นวิธีการประวัติศาสตร๑บอกเลํา (Oral history)
ใช๎การสัมภาษณ๑เรื่องราวจากตัวบุคคลเป็นหลัก ใช๎รูปแบบกระบวนการกลุํมในการเรียนรู๎ และแลกเปลี่ยนเรียนรู๎รํวมกันอยํางสม่ําเสมอ เน๎นการ ตั้งข๎อสงสัย ข๎อสังเกต เพื่อให๎เกิดคําถามที่เกี่ยวข๎องเพื่อ “ย๎อนรอย” ไปหาคําตอบนั้นๆ ครูจิตอาสาคอยจัดระบบความรู๎ ตีความ และทบทวนความรู๎อยูํตลอด การวิเคราะห๑และสรุปองค๑ความรู๎ด๎วยตนเอง / ด๎วยกันทั้งกลุํม เน๎นการเสนองานอยํางมีความสุข และการประเมินที่ชิ้นงานตามศักยภาพของบุคคล ครูจิตอาสาหรือครูพี่เลี้ยง/ที่ปรึกษา และผู๎รํวมกระบวนการเรียนรู๎ให๎คําแนะนําหนุนเสริมการ เรียนรู๎ สร้างความจัดเจนในการเก็บข้อมูลให้เด็กและเยาวชน ให๎เด็กและเยาวชน รู๎จักวางแผนการเก็บข๎อมูลอยํางจริงจัง ใช๎ตารางคํอนข๎างมาก ในการให๎จัดระบบคิดตนเองวําจะเก็บข๎อมูลอะไรจากใครในรูป “ผังการเก็บ ข๎อมูล” ตามคําถามและการมีบันทึกปฏิทินการทํางาน ให๎เด็กและเยาวชน มีการบันทึกและจัดระเบียบข๎อมูลอยํางดี อาจใช๎เทคนิคงํายๆ บางอยํางชํวย เชํน การเขียนแผนที่ แบบบันทึกการสังเกต แบบบันทึกการ สัมภาษณ๑ แบบสอบถามงํายๆ ใช๎กระบวนการกลุํมชํวยกันตรวจสอบกันและกันดังตาราง
คาถาม
1)
ผู้ให้สัมภาษณ์
เล่าเรื่อง
สรุปเรื่องที่เล่า
2) เด็กและ ได้
เยาวชน 3)
วิเคราะห์ ให๎เด็กและเยาวชน มีกระบวนการวิเคราะห๑ข๎อมูลอยํางจริงจังเพื่อสร๎างข๎อสรุป เด็กและเยาวชนต๎องดึงข๎อมูลออกมาวิเคราะห๑อยํางเป็นระบบ มีการใช๎เทคนิคบางอยํางชํวย เชํน “ตารางสร้างข้อสรุป” เพื่อนําข๎อมูลเชิงคุณภาพมาวิเคราะห๑เปรียบเทียบ ให๎เด็กๆ สร๎างข๎อสรุปจากความรู๎ที่ได๎ เน๎นการเชื่อมโยง “ความเป็นเหตุเป็นผล” ของข๎อมูล เพื่อนชํวยตรวจสอบความหลากหลายและนําเชื่อถือของข๎อมูล อาจ “โต้แย้งอย่างสร้างสรรค์” ตํอ ข๎อมูลที่มานําเชื่อถือได๎ แนวทางการออกแบบการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น (เฉพาะประเด็นที่เด็กและเยาวชนมีความสนใจ) ออกแบบการเรียนรู๎ 5 ขั้นตอน (ข๎องใจ หมายคําตอบ สอบสวน ครวญใครํ ไขความจริง) แตํมี ความยืดหยุํนปรับลดหรือเพิ่มเติมได๎ การตั้งคําถามดีๆ และไตํหาความรูไ๎ ปเรื่อยๆ ตีความ หรือชี้แนะในประเด็นตํางๆ เน๎นการเข๎าถึงผู๎ใหญํ พํอแกํแมํเฒําหรือผู๎รู๎ในท๎องถิ่น การตั้งคําถามดีๆ พากลุํมให๎สนใจไปสืบค๎น หาความรู๎ และไตํหาความรู๎ไปเรื่อยๆ ตีความ หรือพยายามตั้งข๎อสงสัยในประเด็นตํางๆ ที่สืบค๎น เชื่อมมิติด๎านเวลา พื้นที่ กับเรื่องท๎องถิ่น และเรื่องชีวิตเด็กเยาวชนตามสภาพจริง สรุปกระบวนการเรียนรู้แนวคิดประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ข๎องใจ กาหนดปัญหาการวิจัย : กิจกรรม/กระบวนการเด็กได๎คิดคําถามที่อยากรู๎ (เมื่อไร ที่ไหน อยํางไร ใคร/ใครบ๎าง ทําไม ) หมายคําตอบ ตั้งสมมุติฐาน : กระบวนการที่ทําให๎เด็กได๎มีการวางแผนวําจะไปหาความรู๎อยํางไร จากใครบ๎าง สอบสวน เก็บข้อมูล : กระบวนการ/กิจกรรมที่ทําให๎เด็กได๎ลงเก็บรวบรวมข๎อมูล ตรวจสอบ ข๎อมูล เน๎นประสบการณ๑ตรง ได๎สัมผัสคนเฒําคนแกํ พื้นที่และชุมชน
ครวญใครํ วิเคราะห์ : มีกระบวนการสํงเสริมให๎มีการวิเคราะห๑ข๎อมูล : ตีความ หาคําอธิบาย ใน เรื่องนั้นๆ (ครูรํวมในกิจกรรมด๎วยเป็นระยะๆ) ไขความจริง สรุปและเสนอ กิจกรรมที่สํงเสริมการสรุปและเสนอผลการศึกษา เขียนเรื่อง/เลํา/ หรือการแสดงละคร/วาดภาพ/ประเมินผลตามชิ้นงาน การใช๎แนวคิดประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่นการเรียนรู๎ข องเด็กและเยาวชนในแหลํงเรียนรู๎ชุมชนปูททวดครู สิงห๑ ฤทธิเดช ได๎เรียนรู๎ในกิจกรรมที่สนใจ 3 เรื่องได๎แกํ ประวัติศาสตร๑การกํอตั้งถิ่นฐาน สถานที่สําคัญ และและประเพณีของชาวบ๎านกุดแคน โดยคณะทีมงานได๎จัดลําดับเนื้อหาของกลุํมเด็กและเยาวชนที่สามารถ เขียนบรรยายนําเสนอได๎ด๎วยเรื่องเลําถอดบทเรียนจากการสัมภาษณ๑คนเฒําคนแกํ ปรากฏรายละเอียดนําเสนอ ประเด็นที่ศึกษาดังนี้ 2 ประวัติชุมชนบ้านกุดแคนและลาห้วยคาพุ ประวัติความเป็นมาของบ้านกุดแคน คุณยายอํานวยพร สีดาพลเลําเรื่องประวัติความเป็นมาของบ๎านกุดแคนดังนี้ หมูํบ๎านกุดแคนมีอายุประมาณ 200 ปีผํานมา กํอนจะมาตั้งบ๎านเรือนขึ้นมีนายพรานมาลําสัตว๑ 5 คนมาจากหมูํ บ๎ า นเหลํา สิง ห๑หรือบ๎ า นเกํ า สิงห๑ใ คร จังหวัดร๎อยเอ็ด เจ็ดหัวเมืองและก็ พ บวําที่ตรงนี้อุดม สมบูรณ๑มากและตามหุบเขาลําเนาไพรตามห๎วย หนองน้ํา บึง คลอง กุด มีสัตว๑นานาชนิด และที่บริเวณนั้น มีวังน้ําทําปทาแซงและไปพบแหลํงน้ําอีกแหํงหนึ่งหํางจากทําปทาแซงประมาณ 6 เส๎น มีลักษณะเป็นกุดน้ําวน หรือวังน้ําวนในกุดมีน้ําขังตลอดปี มีสัตว๑บก สัตว๑น้ํา ต๎นไม๎เล็กใหญํพืชพันธุ๑นานาชนิดในถิ่นนั้น นายพราน จึงยิงสัตว๑ได๎พอสมควรจึงพากันกลับบ๎าน นายพรานทั้ง 5 กลับไปไมํนาน ก็เลยเลําให๎ญาติฟังวําพบเห็น สถานที่หนึ่งสมบูรณ๑เหมาะแกํการตั้งหมูํบ๎าน และหลังจากนั้นมีครอบครัวที่อพยพจากบ๎านเกําสิงห๑ใครมาตั้ง บ๎านเรือนอยูํที่วังทําปทาแซงมีครัวเรือนมาตั้งอยูํกํอนดังนี้ คือ (นายกอง นางลัด) (นายทองมา นางแก๎ว) (นาย สนิท นางลุน) (นายชู นางหอม) (นายดํา นางสิน) (นายอุทัย นางแสน) อีกสามครอบครัวหลักฐานไมํชัด และหลังจากนั้น ในปีตํอมาก็อพยพตามกันมาจึงพากันตั้งชื่อหมูํบ๎านขึ้นเรียกวํา “บ๎านทําปทาแซง” (ทํา หมายถึงทําน้ํา ปทาแซง หมายถึง ต๎นแซง) คนในอดีตเรี ยกตามธรรมชาติเพราะต๎นแซงขึ้นตามริมลําห๎วย หนองน้ํา กุด บึง ทุกวันนี้ต๎นแซงยังหลงเหลืออยูํ บ๎านทําปทาแซงที่มาตั้งใหมํนี้ถูกภัยธรรมชาติ บํอยครั้ง คือในฤดูฝน ฝนตกน้ําทํวมเกือบทุกปีบ๎านทํา ปทาแซงขึ้นอยูํกับ “ตาแสง ตากวนบ๎าน” จึงชํวยกันย๎ายจากบ๎านทําปทาแซงที่ราบลุํมที่ติดลําห๎วยทิศตะวันออก ของลําห๎วยชาวบ๎านก็ชํวยกันรื้อบ๎านเรือนขนข๎ามลําห๎วยขึ้นสูํเนินสูงเพื่อทําการปลูกสร๎างบ๎านเรือนตํอไปคือ หนีน้ําทํวมทุกวันนี้บ๎านทําปทาแซงจึงมีชาวบ๎านนิยมเรียกกันวํา “ทําบ๎านเกํา” มาเทําทุกวันนี้ พอย๎ายมาแล๎วจึง ตกลงกันวําจะตั้งชื่อหมูํบ๎านใหมํที่ชื่อวําบ๎านกุดแคนนี้ คําวํากุด คํานี้ไมํใชํด๎วน หรือ ขาด เป็นธรรมชาติที่
เกิดขึ้น กุดนี้กว๎าง 3 เส๎น 4 เส๎นลึกมาก มีน้ําตลอดปี และมีต๎นไม๎นานาชนิด ขึ้นตามริมฝั่งและมีต๎นแคน เล็กแคนใหญํล๎อมรอบกุดน้ําแหํงนั้น จึงเรียกวําหมูํบ๎าน “กุดแคน” หมูํ 4 ตําบลโคกกํอ ตํอมาใน พ.ศ. 2535 จึงได๎แยกหมูํบ๎านออกจากตําบลโคกกํอขึ้นสูํตําบลหนองโนตั้งใหมํเพราะมีพลเมืองมากขึ้น จึงได๎เรียกบ๎านกุด แคน หมูํ 6-2 มาจนถึงปัจจุบันนี้ (อํานวยพร สีดาพล. 2554 : สัมภาษณ๑)
คนบ้านกุดแคนกับการเรียกชื่อห้วยคาพุ ในยุคของความอุดมสมบูรณ๑ของต๎นไม๎ตามฝั่งห๎วยคําพุ คุณตาสมบูรณ๑ ศรีเฮืองได๎ กลําววํา “พํอ-แมํเลําให๎ฟังวําสมัยคนบํหลายบ๎านกุดแคนบํอึดบํยากไปห๎วยได๎ปลาไปทุํงนาได๎กบได๎เขียด บํได๎ ซื้อ บํได๎ขาย เพราะหาอยูํหากินตามธรรมชาติในลําห๎วยคําพุ ห๎วยนี้ได๎ชื่อวําห๎วยคําพุมีน้ําผุดขึ้นมาจากห๎วยนี้ เป็นเหมือนออกมาจากน้ําใต๎ดิน และในห๎วยแหํงนี้ในสมัยอดีตฤดูแล๎งน้ําจะงวดลงเป็นแหํง ๆ ชาวบ๎านจะไป จับปลาทําน้ําหลาย ๆ ทํา เรียกทําหวํางแซวคนมาหาปลามาสํงเสียงเรียกคุยกันแซว ๆ (เสียงดังจากคนจํานวน มาก) ทําโสกบักตู๎เพราะมีควายตายในลําห๎วยเป็นควายตัวผู๎โตมากเรียกทําน้ําวําโสกบักตู๎ เพราะทําน้ํามีความ ลึกของน้ํามากเป็นวังเป็นบวกน้ํา และมีคนพูดไมํชัดชื่อบักกืกไปเลํนน้ําในลําห๎วยตายน้ําเรียกชื่อทําน้ําวํา ทํา บักกืก ทีมเด็กและเยาวชนสอบถามวํา “ทําน้ํา” คือสถานที่ที่เป็นชื่อเรียกตามเหตุการณ๑ตําง ๆ ที่คนไปใช๎ลํา น้ําทําประโยชน๑ในลักษณะแตกตํางกัน ผู๎ให๎ข๎อมูลให๎คําตอบเชํนเดียวกับทีมเด็กและเยาวชนให๎ข๎อคิดเห็น ดังนั้นห๎วยคําพุจึงมีพื้นที่เป็นพื้นที่เป็นแหลํงน้ําตื้นเขินเวลาฤดูแล๎งมีทางเดินลงไปสูํลําห๎วยเป็นทําให๎คนได๎ไป พักหาอาหารธรรมชาติตามลําห๎วยสะดวกขึ้น (สมบูรณ๑ ศรีเฮือง. 2554 : สัมภาษณ๑) จากประวัติศาสตร๑ความเป็นมาห๎วยคําพุ ทําให๎ทีมเด็กและเยาวชนใช๎ปรากฏการณ๑แบํงยุคเกี่ยวกับคน กับห๎วยคําพุดังนี้ ยุคที่ 1 ชีวิตคนบ้านกุดแคนกับการพึ่งพาลาห้วยคาพุ ช่วงก่อนปี พ.ศ. 2490 ห๎วยคําพุมีชื่อเรียกหลาย ๆ ชื่อ ในลําห๎วยเพราะคนมีความสัมพันธ๑กับลําห๎วยไปจับปลา เก็บผัก ไป อาบน้ําในลําห๎วยในฤดูฝน แสดงถึงลําน้ําแห๎งนี้ได๎หลํอเลี้ยงชุมชนคนบ๎านกุดแคนและคนบ๎านอื่น ๆ เดินทาง มาจับปลาสํงเสียงเรียกกันแซว ๆ นอกจากใช๎ลําน้ําหาปลา หาหอย ใสํเบ็ดกบ เบ็ดปลา คนบ๎านกุดแคนใช๎ น้ําทําเกษตรกรรม ในฤดูแล๎งและในฤดูฝนที่คนมีที่นาตัดลําห๎วยจะปลูกผัก ปลูกยาสูบ ตามพื้นที่นาตนเองใกล๎ ลําห๎วย ทําแปลงปลูกผักไว๎กินในครัวเรือนให๎ญาติ ๆ เวลามีงานบุญเกิดขึ้น เวลานําพืชผักมากินบํได๎คิดมาก กลัวจะปทวยเป็นโรค เพราะการปลูกพืชผัก ใช๎น้ําสะอาดในลําห๎วยคนสมัยอดีต บํใช๎ยาฆําแมลงฉีดพืชผักที่ ปลูก เชํน ปัจจุบันนี้ คนอายุยืนกับอาหารปลอดสารพิษ เป็นการอาศัยลําน้ําห๎วยคําพุ ใช๎น้ําบํมีสารยาฆํา แมลงไหลลงสูํแมํน้ํา (อํานวยพร สีดาพล. 2554 : สัมภาษณ๑) ห้วยคาพุกับคนหลายหมู่บ้าน คนหลายหมูํบ๎านที่ห๎วยคําพุไหลผํานเวลาหน๎าแล๎งมีน้ํายังคงอยูํในวังน้ํา บวกน้ําลึก ๆ ในลําห๎วยคําพุ ทําให๎คนหลายหมูํบ๎านเดินทางมาจับปลาใช๎แหหลายผืนมาหาปลารํวมกันในฤดูฝนและฤดูแล๎งสํวนมากเป็น กลุํมคนที่เป็นญาติพี่น๎องกันระหวํางหมูํบ๎าน เชํน บ๎านหนองโนเป็นหมูํบ๎านขยายจากบ๎านกุดแคนจะเดินทาง มารวมกลุํมกับพี่น๎องบ๎านกุดแคน เรียกวํา “หาปลากินข๎าวปทา” เมื่อจับปลาในลําห๎วยคําพุได๎มากมีปลาขาวนา
ปลาชํอน ปลาเข็ก ปลาดุก ปลาหลด นําปลาทําเป็นอาหารและแบํงปันให๎คนในกลุํมหาปลามาด๎วยกัน (คํา นุรัตน๑. 2554 : สัมภาษณ๑) ชีวิตคนใกล๎เคียงลําห๎วยคําพุได๎พึ่งพาน้ําจากลําห๎วยผู๎ชายหาปลาแล๎วผู๎หญิงไปเก็บผักหาหนํอไม๎ปทา ตามลําห๎วย คุณยายอํานวยพร สีดาพล เลําวํา “หนํอไม๎ปทาตามห๎วยคําพุมากหลายในฤดูฝนเอามาเผามาทํา หนํอไม๎ดองไว๎เป็นอาหารยามทํานา อาหารจากหนํอไม๎บํมีผู๎ชอบอยากหา เพราะหาได๎งํายลงไปห๎วยคําพุ ต๎องได๎อาหารมาอยูํมากิน แตํปัจจุบันนี้คนไมํไปหาปลาคนไปโรงงานมีชัยทั้งคนหนุํมคนสาว (อํานวยพร สี ดาพล. 2554 : สัมภาษณ๑) จากการเก็บข๎อมูลของยุคชีวิตคนบ๎านกุดแคนกับการพึ่งพาลําห๎วยคําพุ ห๎วยคําพุยังอุดมสมบูรณ๑ด๎วย ต๎นไม๎ตามฝั่งลําห๎วยมีพืชผักหนํอไม๎ ปลา กบ เขียด เป็นแหลํงอาหารธรรมชาติที่ปลอดภัยของหลายหมูํบ๎าน มีบ๎านกุดแคน บ๎านหนองโน นานกเขียนได๎ พึ่งพาลําน้ํานี้ แสดงความสัมพันธ๑ของคนกับธรรมชาติ เวลา กํอตั้งชุมชนต๎องมีหนองน้ํามีปทา มีที่ลุํม ที่ราบที่เนินเพื่อคนปรับตัวได๎อยูํรอดโดยอาศัยประโยชน๑และรักษาน้ํา ให๎สะอาดเพื่อได๎อุปโภค บริโภค ยุคฝายทดน้ําในห๎วยคําพุ พ.ศ. 2490 – พ.ศ. 2512 ลําห๎วยคําพุในชํวงนี้ประสบกับภัยแล๎งฝนทิ้งชํวงปริมาณน้ําในลําห๎วยน๎อย คนในหมูํบ๎านจํานวน มากเริ่มขยายพื้นที่ทํากินจับจองที่ดินที่ติดผืนนาตนเองเป็นสวนตามลําห๎วย กอไผํถูกถางเผาไฟเริ่มลดลงเหลือ จํานวนไมํมาก ใช๎เสาไม๎บอกเขตที่ดินจั บจองไว๎เป็นเจ๎าของตามที่นาของทุนคนที่เรียกวํามีนาห๎วยคําพุ เริ่ม ปลูกยาสูบพื้นบ๎าน ปลูกข๎าวโพด พริก ผักจํานวนมากเข๎าสูํการขายในชุมชน และคนได๎รับการศึกษาเรียนรู๎ เมื่อน้ําในลําห๎วยมีน๎อยที่นาใครอยูํใกล๎เคียงกับเพื่อนบ๎านหลาย ๆ คนรวมกลุํมกันฟื้นฟูน้ําในลําห๎ว ย เรียกวํา ทําฝายทดน้ําไว๎ใช๎รดผักให๎วัวควายได๎นอนน้ํา ลําห๎วยจึงถูกแบํงเป็นชํวง ๆ น้ําเริ่มเป็นสัดสํวนเฉพาะการใช๎ ประโยชน๑ของเจ๎าของนาห๎วย ชาวบ๎านมีนาโนน (นาที่สูง) ไมํกล๎าไปใช๎น้ําในลําห๎วยกลัวการทะเลาะวิวาท ยุคนี้คนในชุมนเริ่มเห็นแกํตัวปรับตัวเอาตัวรอดโดยประกาศวําน้ําในลําห๎วยมีเจ๎าของใช๎เป็นสํวน ๆ กลุํม ๆ การหาปลา หาหนํอไม๎ เริ่มหาอยูํหากินเฉพาะเขตพื้นที่นาตรงกับพื้นที่ห๎วยคําพุ (ทองใบ วิวัฒนากร. 2554 : สัมภาษณ๑) ยุคขุดลอกห๎วยคําพุ พ.ศ. 2512 – พ.ศ. 2535 หาอยูํหากินในตลาด หลังจากห๎วยคําพุมีปริมาณน้ําไมํมากเฉพาะฝนแล๎งได๎มีนโยบายรัฐพัฒนาภาคอีสานเรื่องการสร๎าง อํางเก็บน้ํา ชลประทานตามหมูํบ๎านตําง ๆ บ๎านกุดแคนเป็นพื้นที่สํวนหนึ่งที่อยูํในเขตปกครอง ตําบลโคกกํอ ในชํวงนี้ บ๎านโนนมี้บ๎านโคกกํอ เป็นบ๎านต๎นน้ําห๎วยคําพุ รัฐได๎ให๎งบประมาณมาสร๎างอํางเก็บน้ําโคกกํอเพื่อ กักเก็บน้ําฝนไว๎ให๎มากแล๎วสํงน้ํามาตามลําห๎วยคําพุให๎มีน้ําใช๎ตลอดปี ทําให๎ชาวบ๎านกุดแคนบ๎านหัวช๎าง นา นกเขียน โคกสี เดินทางมาประชุมรํวมกับชาวบ๎านโคกกํอได๎มีการขุดลอกห๎วยมีเจ๎าหน๎าที่ชลประทานดูแล ไมํให๎กั้นคูน้ําเป็นฝายทดน้ําเล็ก ๆ เอาไว๎เฉพาะใช๎กับที่ นาห๎วย จากข๎อยุติของกลุํมชาวบ๎านหลายหมูํบ๎าน ชาวบ๎านกุดแคนได๎ปฏิบัติตามนโยบายรัฐเป็นแรงงานรับจ๎างขุดลอกห๎วยตามการสร๎างงานในชุมชนโครงการ เงินผันของพํอใหญํคึกฤทธิ์ ปราโมช เริ่มตั้งแตํ พ.ศ. 2516 – พ.ศ. 2517 ลําห๎วยคําพุไมํตื้นเขิน แตํริมฝั่ง
ห๎วยมี ก องดิน เหนียว ดินทรายเป็ นเขตแดนของทางเดินตามลําน้ําเกิดขึ้นผัก พื้นบ๎าน ผัก แวํน ผัก ตํานิน หายไปกลับเป็นทางเดิน ต๎นไผํหายไป เพราะถางโคํนได๎เป็นทางเดินของคนตามลําห๎วย และมีป้ายประกาศ บอกไว๎วําการขุดลอกคูคลองน้ําด๎วยงบประมาณของรัฐ ทําให๎ชาวบ๎านมองวําห๎วยคําพุมีเจ๎าหน๎ าที่เข๎ามาดูแล ไมํใชํคนในหมูํบ๎านเป็นเจ๎าของ เวลาน้ําไมํมีในลําห๎วยเดินทางไปขอน้ําใช๎ที่ชลประทานอํางเก็บน้ําโคกกํอ คนหลายหมูํบ๎านเริ่มปลูกมะเขือเทศ แตงโมใช๎ยาปราบศัตรูพืช ใช๎ปุ๋ยเคมี สํงพืชผักขายในระบบตลาดมี แมํค๎าคนกลางรับซื้อผักมารับซื้อถึงในหมูํบ๎านชาวบ๎ านปรับที่นาหลังฤดูทํานา ทําอาชีพเสริมปลูกข๎าวโพด หลายร๎อยไรํ แขํงขันกันปลูกกันขาย ไมํมีเวลาหาอาหารธรรมชาติ ขายผักนําเงินซื้ออาหารมีรถเรํขายเสื้อผ๎า ขายปลา ขายเห็ดมาให๎ซื้อถึงในหมูํบ๎าน เจ๎าของรถยนต๑ นายพันธ๑ กลําววํา “รถยนต๑ของผมไมํเคยไปตลาด เช๎าต๎องไปตลาดเช๎าเพราะมีคนบ๎านเราเอาสินค๎าเกษตรไปขายตลาดสารคาม บ๎านกุดแคนผู๎ชายผู๎หญิงขาย สินค๎าเกํงหมด” (พันธุ๑ พุํมประเสริฐ. 2554 : สัมภาษณ๑) ผู๎ชายที่หาปลาในฤดูแล๎งไมํหาปลามาทําสวนมะเขือเทศ สวนข๎าวโพด สูบน้ําเข๎าแปลงสวนอยูํกับนา กับสวนดูแลพืชผัก เรํงฉีดสารเคมีได๎เก็บผลผลิตได๎ทันตามแมํค๎าต๎องการ ฝนตกหน๎าน้ําจะทํวมนาระบายน้ํา ลงห๎วยคําพุน้ําเคยใสสะอาดอาบดื่มกินได๎กลายเป็นสีเขียวเดินลงลุยน้ําบํอยครั้งเท๎าเปื่อย เป็นคัน เป็นตุํม ผู๎คนหลายหมูํบ๎านหํางเหินจากลําห๎วยคําพุ เข๎าสูํชีวิตซื้ออาหารในระบบตลาดไมํจับปลา หาหนํอไม๎ ในยุคนี้การพัฒนาจากรัฐทําให๎คนกับห๎วยคําพุหํางเหินกับในการหาอาหารธรรมชาติ แตํพึ่งน้ําจาก ห๎วยคําพุทําอาชีพ เกษตรกรรม หลังการทํานาอยํางเป็นรูปธรรมซื้อขายในระบบตลาดเกิดแมํค๎าในท๎องถิ่น เป็ นคนกลางมาชื้ อสินค๎ า ความสัม พั นธ๑ทางสังคมแบบเครือญาติเปลี่ย นเป็นชํว ยกันทําสวน ไมํชํวยกั น รวมกลุํมตึกแห (ทอดแห) เพราะพัฒนาห๎วยคําพุตามนโยบายรัฐห๎วยคึกฤทธิ์และห๎วยคําพุอีสานเขียวของพํอ ใหญํจิ๋ว (พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ) ยุคลําห๎วยคําพุพัฒนา พ.ศ. 2535 – ถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2555.) รัฐมีบทบาทโดยสร๎างฝายเปิดปิดน้ําในลําห๎วยที่บ๎านกุ ดแคนเพื่อกักเก็บน้ําไว๎ไมํให๎ลงสูํห๎วยคะคางที่ บ๎านทําแรํอยํางรวดเร็ว ทําให๎ชาวบ๎านกุดแคนมีฝายทดน้ําขนาดกลางมีประโยชน๑ในลักษณะน้ําในลําห๎วยคําพุ มีปริมาณน๎อยชาวบ๎านจะเปิดน้ําที่กักเก็บไว๎จากฝายทดน้ําลงสูํลําห๎วยแล๎วปริมาณน้ําจะมีตลอดปีและมีคูคลอง น้ําระบบชลประทานเกิดขึ้นตามโครงการอีสานเขียวมารองรับให๎ชาวบ๎านเอาน้ําจากฝายทดน้ําไปตามคลองน้ํา เข๎านาได๎ตลอดปี ทํานาปี นาปรัง เลี้ยงปลาในนา เลี้ยงกบ ปลูกสวนพริกเต็มพื้นที่นาตลอดฤดู ไมํต๎องทํานา สําหรับผู๎มีที่นามาก ชาวบ๎านกุดแคนมีอาชีพทํานาคูํการทําสวนพริกในยุคน้ําห๎วยคําพุไมํขาดแคลน แตํไมํมี ชาวบ๎านคนใดจะรักษาน้ําให๎สะอาดในลําห๎วยได๎แตํรวมกลุํมกันทําพิธีกรรมลอยกระทงในลําน้ําห๎วยคําพุ มี ทั้งโฟมและใบตองลอยตามลําห๎วย ทีมเด็กและเยาวชนสอบถามความคิดเห็นของชาวบ๎านวํา “ไมํคิดจะทําให๎ น้ําใสสะอาดแล๎วทําเป็นที่ปลูกดอกไม๎สวยงามเดินเลํนยามเย็น ๆ หรือ พื้นที่บ๎านของเราเหมาะสม” ชาวบ๎าน มองวํา ห๎วยคํ าพุ เป็นแหลํง ระบายน้ําไปสูํห๎วยคะคางสารพิษ ตกค๎างก็ ไ หลไปตามน้ําแล๎ว ” (พันธ๑ พุํ ม ประเสริฐ. 2554 : สัมภาษณ๑)
ชาวบ้านมองห้วยคาพุ ห๎วยคําพุสายน้ําคูํชีวิตของคนหลายหมูํบ๎าน จากทีมเด็กและเยาวชนได๎ศึกษาพบวํา ห๎ว ยคําพุคือห๎วย น้ําธรรมชาติที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติมีต๎นน้ําจากบ๎านโนนมี้ไหลผํานหลายหมูํบ๎าน โดยเฉพาะคนจากหลาย หมูํบ๎านจากบ๎านนานกเขียน บ๎านโคกกํอ บ๎านหนองโนบ๎านกุดแคน ชาวบ๎านกุดแคนมองวําห๎วยคําพุสําคัญ ในเรื่องการใช๎ประโยชน๑นําน้ํามาใช๎ทําอาชีพเกษตรกรรมแตํไมํได๎มองวําห๎วยคําพุมีชีวิตต๎องดูแลรักษา เพราะ ทุกพื้นที่ทําเกษตรกรรมปลํอยน้ําสารพิษลงลําห๎วยคําพุ ไมํมีปัญหาในหมูํบ๎านแตํมีปัญหาที่อํางเก็บน้ําแกํงเลิง จานจะบรรจุน้ําสารพิษตําง ๆ จากสารเคมีปราบศัตรูพืช สัตว๑ที่หมูํบ๎านเอาไว๎ในอํางแกํงเลิงจาน เป็นปัญหาที่ ต๎องมี ก ลไกควบคุ ม ให๎ ช าวบ๎ า นาเห็น วํา ห๎ วยคําพุ เป็ นสิ่ง มีจิ ตวิญ ญาณคูํกั บชี วิตของชาวบ๎า น (พั นธ๑ พุํ ม ประเสริฐ. 2554 : สัมภาษณ๑) สรุปผลการศึกษาของเรื่องนี้ ชาวบ๎านกุดแคนได๎ใช๎ห๎วยคําพุพึ่งพาการสร๎างอาหารตามธรรมชาติและ การสร๎างอาหารแบบเคมีเกิดขึ้นเพราะชาวบ๎านกุดแคนทําให๎น้ําในห๎วยคําพุไมํสะอาด ปลาไมํอาศัยอยูํกบเขียด หนีหายไป วัว ควายไมํ ลงอาบน้ําในห๎วยเพราะที่นาของชาวบ๎านมีสระน้ําในนาตนเอง ในยุคตั้งหมูํบ๎าน ยุค มีฝายทดน้ํา ห๎วยคําพุมีน้ําสะอาด ปลา อุดมสมบูรณ๑ อาหารปลอดภัย แตํน้ําห๎วยคําพุในยุคพัฒนามีน้ําใช๎ตอ ลดปี เพราะรัฐกัก เก็บน้ําไว๎ที่อํางเก็บน้ําโคกกํอ ฝายทดน้ําในหมูํบ๎านสํารองน้ําไว๎ใช๎ตลอดปี ห๎วยคําพุใน มุมมองชาวบ๎านเป็นห๎วยของรัฐเข๎ามาพัฒนาแตํไมํรักษาน้ํามีคุณภาพ เป็นปัญหาที่ชาวบ๎านกุดแคนไมํให๎ความ สนใจ จะหาแนวทางรํวมกัน จะใช๎ประโยชน๑จากน้ําแตํไมํทําให๎สิ่งแวดล๎อมในพื้นที่ลํา ห๎วยใช๎ประโยชน๑เป็น ที่ พั ก ผํ อ น ชี วิ ต คนบ๎ า นกุ ด แคนมี อาชี พ ทํ า นาสองครั้ ง แตํไ มํ ทํา ประมงเพราะขายสิ นค๎ า พื ช ผั ก เป็ นผู๎ ใ ช๎ ประโยชน๑จากน้ําไมํพึ่งพาน้ําเป็นแหลํงอาหาร คนจับปลาแทบไมํมีเพราะมีปลาในสระนาของตนเอง ปลํอย ให๎ น้ํ า ห๎ ว ยคํ า พุ เ ป็ น เพี ย งห๎ ว ยที่ น้ํ า จากอํ า งโคกกํ อ ระบายน้ํ า ลงสูํ อํ า งเก็ บ น้ํ า แกํ ง เลิ ง จาน และใช๎ ไ ปทํ า เกษตรกรรมแบบสารเคมี แนวทางการแก้ไขลาห้วยคาพุให้ปลอดมลพิษ แนวทางการพัฒนาและอนุรักษ๑ลําห๎วยลําพุจะจัดแสดงละครจากเยาวชนในเครือขํายของเด็กและ เยาวชนจากโรงเรียนบ๎านกุดแคนได๎ ฝึกซ๎อมละครหรรษา เรื่อง “ลําห๎วยคําพุกับวิถีชีวิตของคนบ๎านกุดแคน ที่จัดแสดงละครเพราะเป็นสื่อบุคคลที่เกิดจากความรํวมมือระหวํางคนในชุมชนและผู๎ใช๎ลําห๎วยคําพุ หลาย หมูํบ๎านได๎มาชมกิจกรรมรํวมกัน จะปลูกจิตสํานึกให๎เกิดความตระหนักเรื่อง ป้องกันน้ําไมํให๎มีสารเคมีใน แหลํงน้ําแหํงนี้ โดยเยาวชนที่แสดงเป็นบุตรหลานของพํอ-แมํ จากบ๎านกุดแคน เมื่อได๎ดูการแสดงละครของ เยาวชนในวันปี ใหมํ วันแมํ วันเด็ก จะทําให๎ผู๎ปกครอง กลับไปถามตนเองให๎คิดถึงความสัมพั นธ๑ของ ธรรมชาติที่ เคยพึ่ ง พากํ า ลัง จะกลายเป็ นลําห๎วยมลพิ ษ ถ๎าดูล ะครหรรษาซ้ําบํอย ๆ สิ่งเหลํานี้คงเตือนสติ ชาวบ๎านกุดแคน บ๎านหนองโน บ๎านนานกเขียน ในโอกาสตํอไป นอกจากนี้การแก๎ไขปัญหาลําห๎วยคําพุ มี น้ําสกปรกเป็นมลพิษต๎องมีกฎหมายหมูํบ๎านควบคุม เป็นกติกาป้ายประกาศบอกไว๎ไมํให๎ระบายน้ําลงในห๎วย คําพุ โดยเป็นข๎อตกลงระหวํางหมูํบ๎านให๎เกิดขึ้นตํอไป ในอนาคต (คํา นุรัตน๑. 2554 : สัมภาษณ๑)
มีสื่อละครหรรษาและกฎหมายชาวบ๎านแล๎วต๎องชี้ให๎เห็นวําแตํละคุ๎งน้ํามีผีน้ําคุ๎มครองเชํนกรณี โสก บักกืก คนที่ตายไปต๎องดูแลแหลํงน้ํา ต๎องใช๎สื่ออํานาจผีควบคุมรํวมกับกฎหมายชาวบ๎านด๎วยจะทําให๎คน เกรงกลัวไมํทิ้งของสกปรกและระบายน้ําสารเคมีไปสูํห๎วยคําพุ ด๎วยการฟื้นฟูความเชื่ ออํานาจผี ให๎มีพลัง อํานาจจะเป็นสื่อให๎คนหลายหมูํบ๎านไมํละเมิดกฎกติกาของการใช๎น้ําในลําห๎วยคําพุ (อํานวยพร สีดาพล. 2554 : สัมภาษณ๑) 3 สถานที่สาคัญในบ้านกุดแคน : รอยพระพุทธบาทจาลอง จากข๎อมูลคําบอกเลําของคุณยายอํานวยพร สีดาพล คุณตาสมบูรณ๑ ศรีเฮือง และคุณตาทองใบ วิวัฒนา กลําวถึงการกํอสร๎างรอยพระพุทธบาทจําลองดังนี้ ในปี พ.ศ. 2487 เป็นปีที่เกิดภัยภิบัติในหมูํบ๎านถูกลมพัดบ๎านเรือนพังไปหลายหลังคาเรือน เนื่องจาก ฝนตกหนักกํอนฤดูการทํานา ด๎วยความเชื่อวําอํานาจผีปูทตาในหมูํบ๎านที่อัญเชิญไปอยูํที่ศาลดอนยาคูมีผีปูทตา พร๎อมกั บ การสร๎า งชุ ม ชนแล๎วชาวบ๎ า นได๎บู ชา อ๎อนวอนขอให๎ คุ๎มครองคน สัตว๑ สิ่งของในหมูํบ๎านให๎ ปลอดภัย ไมํมีโรคระบาด ไมํมีโจรผู๎ร๎าย ได๎ทํานาข๎าวกล๎าอุดมสมบูรณ๑และไมํให๎เกิดมีภัยจากไฟไหม๎ ฟ้าผํา น้ําทํวม ลมพัดบ๎านเรือน ภัยร๎ายเหลํานี้ไมํเข๎ามาในหมูํบ๎าน (อํานวยพร สีดาพล , สมบูรณ๑ ศรีเฮือง และทองใบ วิวัฒนาการ : 2554 : สัมภาษณ๑) ผลจากการบ๐าและร๎อง ขอไมํบรรลุผลตามความปรารถนารํวมกันของชาวบ๎าน ทําให๎พระครูหนูได๎ประชุมชาวบ๎านอธิบายเรื่องความ เชื่อของตนเองมีผลเป็นจริงตามขอหรือไมํแตํชาวบ๎านได๎รับภัยพิบัติ ความเชื่ออํานาจผีมีทั้งให๎คุณและให๎โทษแตํจากสิ่งที่ชาวบ๎านได๎รับจากการมีศาลผีปูทตาบันดาลให๎ ชาวบ๎านพบแตํความทุกข๑เกิดเหตุลมพัด โรคระบาดในบ๎านกุดแคน พระครูหนูได๎เกิดข๎อคิดวํา ถ๎ามานับถือ คุณพระหรือพระพุทธเจ๎า ที่เป็นศาสดาของศาสนาพุทธ มีสัญลักษณ๑แทนพระองค๑หลายอยํางเชํน เอกสารคํา สอน พระพุทธรูป ภาพถําย รอยเท๎าของพระองค๑ทําน ชาวบ๎านควรนําไปคิดพิจารณา การนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ควรนับถือผีที่มองเห็นตัวตนหรือผีที่มีแตํวิญญาณ ไมํให๎คุณกับชาวบ๎านเรื่องคําร๎องขอนาน ๆ จะเกิดความสุข สักครั้ง (สมบูรณ๑ ศรีเฮือง. 2554 : สัมภาษณ๑) ผลจากการเปลี่ยนแปลงของหมูํบ๎านและผลจากการประชาคมให๎ชาวบ๎านนับถือ พระพุทธเจ๎า ทําให๎ ผู๎ใหญํบ๎านกุดแคนในสมัยปี พ.ศ. 2487 คือ ให๎ชาวบ๎านเลิกนับถือผีดอนปูทตา ที่ดอนยาคูแล๎วให๎ชาวบ๎านขยาย ครอบครัวสร๎างบ๎านในที่ดินสาธารณะได๎ ถ๎าชาวบ๎านคนใดไปสร๎างที่อยูํ อาศัยหรือเข๎าไปถางที่ปทาดอนยาคูให๎ เป็นที่พักกันได๎ จากประวัติเหตุการณ๑สร๎างรอยพระพุทธบาทจําลอง และการทําพิธี ทีมเด็กและเยาวชนได๎สรุปมิติเวลา หลังการศึกษาตามเหตุการณ๑ที่ชาวบ๎านได๎บอกเลําและการเปลี่ยนแปลงของการทําพิธีกรรมบูชารอยพระพุทธ บาทจําลองตามการปรับตัวของคนในชุมชนดังนี้ 1. ยุครอยพระพุทธบาทจําลองหาชํางฝีมือมากํอสร๎าง พ.ศ.2487 – พ.ศ.2490 2. ยุคการบูชารอยพระพุทธบาทจําลองแทนการบูชาผีปูทตา พ.ศ. 2490 – พ.ศ. 2507
3. ยุคการเปลี่ยนแปลงพิธีกรรมบูชารอยพระพุทธบาทจําลอง พ.ศ. 2507 – พ.ศ. 2535 4. ยุคการสร๎างเครือขํายการบูชารอยพระพุทธบาทจําลอง พ.ศ. 2535 – ปัจจุบัน จากการแบํงยุคการศึกษารอยพระพุทธบาทจําลองบ๎านกุดแคนมีรายละเอียดแตํละยุคดังนี้ 1. ยุครอยพระพุทธบาทจาลองหาช่างฝีมือก่อสร้าง พ.ศ. 2487 – พ.ศ. 2490 หนูจี จําคาม อายุ 58 ปี รองประธานองค๑การบริหารสํวนตําบลหนองโนได๎เลําถึงอดีตที่ได๎ เห็นชาวบ๎านกํอสร๎างรอยพระพุทธบาทจําลองวํา “ การเริ่มกํอสร๎างรอยพระพุทธบาทจําลองพระครูหนูหรือหลวงปูทหนูให๎ชาวบ๎านมาประชุมกันทั้งชาย และหญิงภายในหมูํบ๎านหลายหลังคาเรือนในชํวงปี พ.ศ. 2487 มีชาวบ๎านจํานวนยังไมํมากแล๎วสอบถามหา ชํางฝีมือในหมูํบ๎านและชํางฝีมือจากหมูํบ๎านใกล๎เคียงมารับจ๎างกํอสร๎าง ปรากฏไมํมีชํางฝีมือตอบตกลงจะ รับจ๎างสร๎างรอยพระพุทธบาทจําลอง วิธีตํอมา พระครูหนูได๎ให๎ชาวบ๎านทุกคนเป็นชํางกํอสร๎าง ให๎ตัวแทน ครอบครัวที่เป็นผู๎ชายเดินทางไปดูรอยพระพุทธบาทจําลองที่สระบุรี ใช๎เวลาเดิ นทางหลายวัน ทําอยํางนี้ หลาย ๆ ครั้งแล๎วมาประชุมกันวําสิ่งที่ทุกคนได๎เห็นที่เรียกวํารอยพระพุทธบาทจําลองมีลักษณะอยํางไร ถือ เป็นกลอุบายที่พระครูหนูให๎ความรู๎สาขาชํางกับชาวบ๎านด๎วยการให๎ไปเที่ยวดูความรู๎จากที่มีรอยพระพุทธบาท ของพระพุทธเจ๎าจากจังหวัดสระบุรี (หนูจี จําคาม. 2554 : สัมภาษณ๑) ความรักสามัคคีของคนในชุมชนในการสร้างรอยพระพุทธบาทจาลอง สมบูรณ๑ ศรีเฮือง ผู๎นําพิธีกรรมของหมูํบ๎านกุดแคนอธิบายวํา “ ชาวบ๎านกุดแคนไมํได๎แบํงงานกันใน การสร๎างรอยพระพุทธบาทจําลองทําวําผู๎ชายหรือผู๎หญิงเพราะทุกคนต๎องเดินทางไปขนดินเหนียวที่หมูํบ๎าน ใกล๎เขตเมืองมหาสารคาม เรียกวําบ๎านหม๎อ ที่มีดินเหนียวใช๎ปั้นหม๎อได๎ เพื่อนําดินมาทําอิฐมอญ (อิฐแดง ด๎วยการทําด๎วยตนเอง เพื่อกํอสร๎างตัวเจดีย๑) การใช๎แรงงานเพื่อให๎ได๎อิฐมอญก๎อนเล็กจากดินเหนียวใช๎เวลา ตั้งแตํปี พ.ศ. 2487 – พ.ศ. 2490 ได๎สําเร็จเป็นสถูปเจดีย๑ตั้งไว๎ที่ดอนหนองสิม ที่เรียกดอนหนองสิม เพราะ ที่ตั้งบริเวณรอยพระพุทธบาทจําลองมีหนองน้ําขนาดใหญํอยูํใกล๎ ๆ พื้นที่ดินปทาไม๎สาธารณะของหมูํบ๎าน ชาวบ๎านเรียกหนองสิม หนองสิมมีน้ําใช๎ตลอดปี ซึ่งในเวลาจัดงานประเพณีบูชารอยพระพุทธบาทจําลอง ชาวบ๎านกุดแคนจะมาพัฒนาหนองสิมไมํให๎มีจอก แหน ในหนองสิมเพื่อผู๎มาชมงานได๎เดินดูสิ่งแวดล๎อมรอบ ๆ ที่ตั้งรอยพระพุทธบาทจําลอง เดินดูคูน้ําหนองสิม ชมปลา ในหนองสิมด๎วย หลังจากสร๎างสถูปเจดีย๑ที่ทําด๎วยอิฐมอญแล๎ว พระครูหนูได๎ให๎ชาวบ๎านบริจาคเงินรวมกันเก็บไว๎เพื่อ ซื้อโลหะเหล็กมาจําลองภายในรอยพระพุทธบาทจําลอง เป็นลักษณะแผํนสี่เหลี่ยมผืนผ๎า กว๎าง 1 เมตร ยาว 1 เมตร ยกไปครอบฐานที่กํอให๎เป็นแทํนที่ตั้งรอยพระพุทธบาทจําลองไว๎การจานเหล็กเป็นรูปรํางสวยงาม อาศัย ชํา งฝีมื อจากบ๎ านเหลําสิง ห๑ใ ครในอําเภอสุวรรณภูมิมาชํวยทําลวดลายให๎สวยงามแล๎วปิดด๎วยยางรักสีดํา (สมบูรณ๑ ศรีเฮือง. 2554 : สัมภาณณ๑) การสร๎างรอยพระพุทธบาทจําลองได๎ชี้ให๎เห็นความรํวมมือของชาวบ๎านกุดแคนทั้งชายและหญิงทําอิฐ มอญชํวยกันเป็นวัสดุกํอสร๎างใช๎เวลาหลายปีและชาวบ๎านเหลําสิงห๑ใครเป็นชํางฝีมือทําลวดลายเหล็กที่เป็น
รอยพระพุทธบาทจําลอง ซึ่งเป็นบ๎านเดิมของคนบ๎านกุดแคนได๎มาชํวยเหลือไปการสร๎างแสดงให๎เห็นวํา การ สร๎างรอยพระพุทธบาทจําลองได๎มีการกลําวถึงความสัมพันธ๑ของคนกับคนหลายแหํงเกิดขึ้นตั้งแตํการเดินทาง ไปเอาดินเหนียวของคนบ๎านกุดแคน บ๎านหม๎อมาทําอิฐมอญ การขอความชํวยเหลือให๎ชํางมาชํวยทํา ลวดลาย รอยพระพุทธบาทจําลองให๎งดงาม ถือวําโบราณสถานที่สําคัญของชาวบ๎านกุดแคนได๎สร๎างความเชื่อศรัทธา ให๎เกิดขึ้นจากคนในชุมชนและคนภายนอกชุมชน มีความสามัคคี รํวมมือชํวยเหลือกันไมํใชํคนในตระกูล เดียวกัน 2. ยุคการบูชารอยพระพุทธบาทจาลองแทนการบูชาผีปู่ตา พ.ศ. 2490 – พ.ศ. 2507 เด็กและเยาวชนได๎สัมภาษณ๑ชาวบ๎านหลายคนมีแสง งามใสและหนูไพร งามใสกลําวถึงพิธีกรรมที่ บูชารอยพระพุทธบาทจําลอง เกิดความเชื่อจากที่หลวงพํอหนู หรือพระครูหนูได๎ให๎ข๎อคิดเห็นวําควรนับถือสิ่ง ที่มองเห็น พระพุทธรูปเป็นตัวแทนพระพุทธเจ๎าสอนให๎ทําความดีล ะเว๎นความชั่ว โดยชาวบ๎านกุดแคนไมํมี ดอนปูทตาและผีปูทตาได๎ถูกขับไลํออกจากหมูํบ๎านกํอนสร๎างรอยพระพุทธบาทจําลอง การนับถือบูชาความเชื่อ เกิดจากการอบรมสั่งสอนในเรื่องพุทธศาสนาเป็นความเชื่อนับถือสืบตํอกันมาถึงปัจจุบันของชาวบ๎าน พิธีบูชามีการนําพิธีเดือนสามของทุกปี วันทําพิธีให๎ถือเอาวันธงชัย จะไมํทําพิธีในวันอังคาร ถือวํา วันอังคารเป็นวันไมํเป็นมงคล ถ๎าทําวันอังคารจะเกิดการทะเลาะวิวาทไมํสงบสุข ในพิธีกรรมมีคนคอยทําร๎าย เชื่อกันวําเป็นวันแข็ง ครั้งแรกไมํมีการประกาศวิทยุกระจายเสียงทําพิธี 1 วัน ชํวงเช๎าทําบุญตักบาตรแล๎ ว ผู๎นําพิธีกรรนําชาวบ๎านไปที่สถูปเจดีย๑รอยพระพุทธบาทจําลอง โดยชาวบ๎านมีเครื่องบูชา ขั้นธ๑ 5 คือ ดอกไม๎ 5 คูํ เทียน 5 คูํ ปัจจัยเงินถวายทานขึ้นกับความศรัทธาของแตํละบุคคลจะบริจาคทานสํวนมาก คน ละ 1 – 10 บาท ผู๎นําพิธีกรรมกลําวคําบูชาอัญเชิญเทวดาและกลําวร๎องขออ๎อนวอนให๎ พระพุทธเจ๎ามา ปกป้องชุมชน ชาวบ๎านทุกคนปลอดภัยไมํมีโจรผู๎ร๎าย ให๎ฝนตกตามฤดูกาลได๎ข๎าวกล๎าอุดมสมบูรณ๑ สํวนพิธี บูชาสํวนบุคคลแล๎วแตํใครจะอธิษฐานอะไร เมื่อได๎ผลสัมฤทธิ์ จากคําขอจะทําบุญด๎วยการบริจาคเงินใสํตู๎ บริจาค ไมํมีมหรสพงัน มีเฉพาะการทําบุญตักบาตร เครื่องบูชา ดอกไม๎ ธูปเทียน การบูชารอยพระพุทธบาทในยุคนี้ทํากันในชุมชน โดยไมํมีการประกาศเชิญชวนหมูํบ๎านใกล๎เคียง มารํวมทําบุญ ความเชื่อศรัทธายังไมํแพรํกระจายไปสูํหมูํบ๎านในพื้นที่ของจังหวัดมหาสารคาม (แสงจันทร๑ งามใส. 2554 : สัมภาษณ๑) 3. ยุดการเปลี่ยนแปลงพิธีกรรมบูชารอยพระพุทธบาทจาลอง พ.ศ. 2507 – พ.ศ. 2535 การทําพิธีกรรมบูชารอยพระพุทธบาทจําลองได๎ขยายวงกว๎างจากคําบอกเลําของชาวบ๎านกุดแคนที่ไป แตํงงานกับคนหมูํบ๎านใกล๎เคียงและชายหนุํมหมูํบ๎านอื่นมาแตํงงานกับสาวชาวบ๎านกุดแคน ได๎อธิบายถึง ความศักดิ์สิทธิ์ของอํานาจพระพุทธเจ๎าดลบันดาล ตามคําขออ๎อนวอนตามคําขอทุกเรื่อง หรือเจ็บปทวยเป็นโรค ปวดหัวข๎างเดียว (ทองใบ วิวัฒนาการ.2554 : สัมภาษณ๑) อํานาจความเชื่อจึงถูกกลําวไปหมูํบ๎านหนองโน บ๎าน หนองอีดํา บ๎านโคกศรี และบ๎านหินลาด ทําให๎พิธีบูชารอยพระพุทธบาทจํา ลอง เปลี่ยนจากกการทําเฉพาะ คนในหมูํบ๎าน มีคนหมูํบ๎านอื่น ๆ เข๎ามาบนบานร๎องขอจากการบูชารอยพระพุทธบาทจําลอง ที่ดอนหนองสิม มีขึ้นตลอดปีไมํได๎รํวมพิธีในเดือนสามที่เป็นพิธีสํวนรวมของชาวบ๎านทํารํวมกัน แตํมีคนมาบูชากลําวขอบ๐า
บนด๎วยเรื่องตําง ๆ เกิดขึ้น เชํน เรื่ อง การย๎ายถิ่น ทํางานตามหัวเมืองใหญํ ๆ ไปสอบแขํงขันเข๎าเรียน สอบ บรรจุทํางาน เข๎าคัดเลือกเป็นทหารไมํถูกคัดเลือกเป็นทหารจากคําบอกกลําว แสงจันทร๑ งามใสวํา “ลูกชายชื่อ เบ๎น อายุ 21 ปี ไปคัดเลือกทหารเกณฑ๑ไมํถูกใบแดง เพราะไปบ๐ารอยพระพุทธบาทจําลองไว๎ ” ซึ่งหลังจาก ไมํได๎เป็นทหารเกณฑ๑ขอบคุณพระด๎วยการปิดองคําเปลวในเดือนสาม (แสงจันทร๑ งามใส. 2552 : สัมภาษณ๑) ผู๎นําชุมชนในชํวงปี พ.ศ. 2535 มีผู๎ใหญํบ๎านนายอ๎ม คํารินทร๑ เป็นผู๎นํานักพัฒนาได๎รวมพลังปัญญา และรวมเงินศรัทธาจากการนําของบูชารอยพระพุทธบาททุก นําเงินที่สะสมไว๎ สร๎างพระพุทธรูปองค๑เล็ก ๆ เป็นพระพุ ทธรูป ประจํา วันเรียกวํา พระพุ ทธรูปเสี่ย งทาย คูํกั บรอยพระพุทธบาทจําลอง โดยการประชุม ชาวบ๎านเปลี่ยนแปลงพิธีกรรมพิธีบูชารอยพระพุทธบาทจําลอง มีการออกใบปลิวโฆษณาไปปิดประกาศไว๎ ตามหมูํบ๎านใกล๎เคียงจากที่บูชาด๎วยดอกไม๎ธูปเทียน ทําบุ ญและตักบาตร ได๎วําจ๎างมหรสพมางัน มีหมอลํา หมูํ ตีมวย หมอลํา กลอน ภาพยนต๑มาแสดงในงานบูชารอยพระพุ ทธบาทจําลองจากการบูชา 1 วัน ปรับเปลี่ยนทําพิธีกรรม 2 วัน พิธีกรรมมีการเอาบุญกุ๎มข๎าวใหญํข๎าวเปลือกมารวมกันถวายทานบูชา พระพุทธเจ๎าและเสี่ยงทายพระพุทธรูป จัดดอกไม๎ธูปเทียน ทองคําเปลวไว๎ขายให๎คนที่มาเที่ยวงาน เรียกวํา ขายทอง งานที่จัดขึ้นได๎สื่อพุทธศาสนาและความเชื่อเป็นเครื่องเชื่อมโยงให๎ผู๎คนในตําบลโคกกํอมาชมงาน การจัดมหรสพและการทําพิธีถึง 2 วัน ถือเป็นงานใหญํโตมากในทัศนคติของชาวบ๎าน ทําให๎ชาวบ๎านกุด แคนได๎ข๎อคิดวํา งานที่บูชารอยพระพุทธบาทจําลอง เป็นงานยิ่งใหญํมาก มีการลงทุนสูงเอาแตํหมอลําคณะที่ มีชื่อเสียงมาแสดงให๎คนมาเที่ยวงานได๎ดูชมและได๎เงินจากการจัดงานเอามาสร๎างถนน สร๎างที่พักคนเดินทาง พัฒนาชุมชนเจริญขึ้นมาก (หนูไพร งานใส. 2554 : สัมภาษณ๑) 4. ยุคการสร้างเครือข่ายการบูชาพระพุทธบาทจาลอง พ.ศ. 2535 – ถึงปัจจุบัน (พ.ศ.2555) จากคําบอกเลําของชาวบ๎านกุดแคนและคุณตาสมบูรณ๑ ศรีเฮือง ผู๎นําพิธีกรรมได๎มีพิธีบูชารอยพระ พุทธบาทจําลองด๎วยการรวมบุญเดือนสี่ เข๎าไปด๎วยในบุญเดือนสามนี้ ปกติวันทําพิธีบูชาครั้งแรกมี 1 วัน มี พิ ธีเฉพาะคนในชุ ม ชน ตํอ มามี ก ารบนร๎องขออํ านาจพระพุ ทธเจ๎าให๎ ชํวยเหลือ หลาย ๆ ประการ ความ ศักดิ์สิทธิ์ของอํานาจความเชื่อพุทธศาสนาและได๎มีพิธีบูชา 2 วัน ผนวกเอาวันพิธีบุญเดือนสี่ จี่ข๎าวถวายทาน ตามตําราความเชื่อวํา “ ในกาลครั้งหนึ่ง นางปุณณตาสีได๎ทําข๎าวจี่ถวายสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ๎า และถวายพระอานนท๑ แตํนางปุ ณณทาสีคิดวําพระองค๑ค งไมํเสวยอาจเอาทิ้งเอาให๎สุนัขกิน เพราะแป้งข๎าวจี่ของนางไมํสวยงาม ประณีต เมื่อพระพุทธเจ๎าทรงทราบจิตใจของนาง จึงรับสั่งให๎พระอานนท๑ประทับนั่งฉันข๎าวจี่ของนางปุณณ ทาสี เป็นผลให๎นางได๎ยินดีเป็นที่สุด และเมื่อนางได๎ฟังพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ๎าแสดง ก็บรรลุโสตาผล ด๎วยถวายข๎าวจี่ ชาวอีสานได๎ทราบตํานานข๎าวจี่ถวายพระพุทธเจ๎าจึงพากันทําข๎าวจี่ถวายทานแดํพระสงฆ๑สืบ มา” (สมบูรณ๑ ศรีเฮือง. 2554 : สัมภาษณ๑) ในปัจจุบันการทําพิธีบูชารอยพระพุทธบาทจําลองจึ งมีพิธีสําคัญ 3 พิธีรวมกันใน 2 วัน คือวันที่ 1 เอาบุญเดือนสามจี่ข๎าวถวายพระสงฆ๑ บูชารอยพระพุทธบาทจําลอง และเสี่ยงทายพระ มีมหรสพงันหลาย ๆ อยํางมีการออกร๎านเหมือนงานบุญเบิกฟ้า ในจังหวัดมหาสารคาม การทําพิธีบูชารอยพระพุทธบาทจําลอง
ตอนกลางคืน เวียนเทียนถื อเป็นวันมาฆบูชาด๎วย สํวนการเสี่ยงทายพระปัจจุบันจะเสี่ยงทายได๎เฉพาะในพิธี วันงานบูชารอยพระพุทธบาทจําลอง เนื่องจากความศักดิ์สิทธิ์ของพระเสี่ยงทายมีความร่ําลือวําศักดิ์สิทธิ์มาก ทํ า ให๎ผู๎นํา ชุ ม ชนและชาวบ๎ า นได๎เก็ บ รัก ษาพระพุ ทธรูปองค๑เสี่ย งทายไว๎อยํ างดีใ นวั ดบ๎านกุ ดแคน จะนํ า พระพุทธรูปเสี่ยงทายให๎เห็นเฉพาะงานพิธีบูชารอยพระพุทธบาทจําลอง ที่มีงานพิธีรํวมทําบุญเดือนสี่จี่ข๎าวมา รวมด๎วย การทํ า พิ ธีบู ช ารอยพระพุ ท ธบาทจําลองถือเป็น ประเพณีประจําหมูํบ๎านกุ ดแคนในยุ คปัจจุบันได๎ เผยแพรํผํานสื่อวิทยุชุมชน สื่อสารคดีของเคเบิลทีวีสกายไลน๑จังหวัดมหาสารคาม และสื่อการพูดสนทนาของ ผู๎คนที่เคยเข๎ารํวมพิธีบุญผ๎าปทาประกอบขึ้นมาในพิธีบูชารอยพระพุทธบาทจําลอง ทําให๎มีเงินหมุนเวียนใน เทศกาลบูชารอยพระพุทธบาทจําลอง เปลี่ยนแปลงไปจากไมํมีการลงทุนจ๎างมหรสพมาแสดงในงานและ เตรียมอาหารไว๎เลี้ยงคนที่นําผ๎าปทามาจากกรุงเทพฯ นครราชสีมา และคณะผ๎าปทาของชาวบ๎านที่จัดทําขึ้น เพื่อ บูชาพระพุทธเจ๎าตามความเชื่อของชาวบ๎านวําไมํมีผีปูทตา แตํมีพระพุทธรูปแทนพระพุทธเจ๎า การสร๎างเครือขํายบูชารอยพระพุทธบาทจําลองของชาวบ๎านกุดแคน จากคําบอกเลําข๎ อมูล ความรู๎ภาคสนามที่ทีมเด็ก และเยาวชนได๎นําเสนอวํา พิธีก รรมของ ท๎องถิ่นได๎เชื่อมโยงให๎ผู๎คนที่ศรัทธาพุทธศาสนามารํวมกันทําพิธีบูชารอยพระพุทธบาทจําลองในเดือนสาม รํวมกัน ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนพิธีกรรมหลาย ๆ พิธีของชาวอีสานที่ศรัทธาพระพุทธศาสนา มารวมกันเป็น พิธีบูชาพระพุทธเจ๎า เกิดขึ้นเพราะนโยบายผู๎นําชุมชนต๎องการหาเงินเข๎ามาในหมูํบ๎าน เพื่อเป็นเงินทุนการ พัฒนาหมูํบ๎าน โดยการขายทองคําเปลว ดอกไม๎ธูปเทียน บูชารอยพระพุทธบาทจําลองสร๎างความสนุกสนาน ให๎ผู๎มาเที่ยวงานได๎ชมหมอลํา ชมดนตรี ดูการตีมวยแขํงขัน และมีการทําพิธีสํวนตนร๎องขอปิดทองคําเปลว รอยพระพุทธบาทจําลอง และเสี่ยงทายพระพุทธรูปองค๑ศักดิ์สิทธิ์ พิธีกรรมเหลํานี้มีผู๎คนจากทุกหมูํบ๎านใน ตําบลหนองโน และตําบลโคกกํอได๎รํวมกับคนตํางจังหวัดมารํวมในพิธีเป็นประเพณีประจําท๎องถิ่น ที่คน มารํวมพิธีด๎วยความเชื่อในพุทธศาสนายังคงอยูํในสังคมไทยและสังคมอีสาน นอกจากนี้ก ารสร๎างเครือขํายของประเพณีท๎องถิ่นเกิดขึ้นจากการใช๎พัฒนาการของสื่อ เริ่มจากสื่อ บุคคลกลําวขานพูดจาในวงเพื่อนญาติ หมูํบ๎านใกล๎เคียง พัฒนาสูํสื่อวิทยุชุมชน ออกแผํนปลิวโฆษณาและสื่อ โทรทัศน๑แสดงถึงการเคลื่อนไหวการสร๎างแหลํงเรียนรู๎ทางวัฒนธรรมด๎านความเชื่อเข๎าไปสูํพื้นที่สาธารณะได๎ สังคมได๎รับรู๎วําบ๎านกุดแคนมีประเพณีที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษที่ไมํนับถือผีปูทตาเหมือนชาวอีสานหลาย ๆ ที่ แตํเป็ นความเชื่ ออํา นาจสิ่ง ศั ก ดิ์สิท ธิ์ตามตํานานการเกิ ดพุ ทธศาสนา ทําให๎เกิ ดผู๎นําพั ฒนาชุมชนเป็น พระสงฆ๑และชาวบ๎านตําแหนํงผู๎ใหญํบ๎าน เป็นคนนําชุมชนให๎พึ่งตนเองและพึ่งพากันเองเพื่อพัฒนาชุมชน โดยนําวัฒนธรรมให๎มีพื้นที่สาธารณะเกิดขึ้นผํานสื่อหลากหลายรูปแบบ เผยแพรํยังคงดํารงอยูํหมูํบ๎านกุดแคน สรุปผลการเก็บข๎อมูลประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่นรอยพระพุทธบาทจําลอง ชาวบ๎านกุดแคนได๎ข๎อค๎นพบเรื่องการอนุรัก ษ๑ประเพณีบูชารอยพระพุทธบาทจําลอง ด๎วย แนวทางการรวมพิธีกรรมหลาย ๆ พิธีเกี่ยวกับความเชื่อพระพุทธเจ๎ามาไว๎ในพิธีรอยพระพุทธบาทจําลอง แล๎ว
ขยายวันทําพิธีเพิ่มมากขึ้น มีปัจจัยเสริมการวําจ๎างมหรสพหลายชนิดมาเสพงันมีเงินทุนเข๎ามาเกี่ยวข๎อง แตํมี เงินทุนมาด๎วยการระดมทุนทําผ๎าปทามาสมทบการลงทุนทําพิธี มีประโยชน๑โดยตรงได๎บูชาพระพุทธรูป พิธี รอยพระพุทธบาทจําลอง (รอยพระพุทธเจ๎า) และหนุํมสาวได๎ปลดปลํอยพบปะกัน มีปฏิสัมพันธ๑กันบางคน อาจได๎เป็นคูํรักกันแตํงงานกัน และประโยชน๑โดยอ๎อมเป็นกองทุนสวัสดิการพัฒนาหมูํบ๎าน ได๎สร๎างวัด สร๎าง ถนน สร๎างที่พักคนเดินทาง และเก็บเงินทุนไว๎ทําบุญพิธีบูชารอยพระพุทธบาทจําลองในปีตํอไป โดยไมํพึ่ง รัฐบาล ตั้งแตํเริ่มกํอสร๎างมาถึงการมีวัตถุในชุมชน เพราะเงินของพิธีกรรมมาเสริมสร๎างชุมชนให๎เข๎มแข็ง ชาวบ๎านรักสามัคคี ชาวบ๎านมีเครือขํายการทํางานจากหมูํบ๎านใกล๎เคียง บ๎านหนองโน บ๎านหนองอีดํา บ๎าน นานกเขียน บ๎านโคกกํอ จังหวัดมหาสารคามและกรุงเทพมหานคร แสดงวําพิธีบูชารอยพระพุทธบาทจําลอง มี ค วามเป็ นท๎ อ งถิ่นเดีย วกั น (ประสพสุ ข ฤทธิ เดชและผู๎ นําชุ มชนการพู ดคุย ถอดบทเรีย น เมื่ อวัน ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2554)
ตอนที่ 4 ประเพณี
4 ภาพประกอบกิจกรรมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
เด็กและเยาวชนสอบถามข้อมูลจากผู้เฒ่าผู้แก่
แหล่งน้าลาห้วยคาพุ
เด็กและเยาวชนเก็บข้อมูล ณ รอยพระพุทธบาทจาลอง
เด็กและเยาวชนสรุปบทเรียนประวัติศาสตร์ท้องถิ่นร่วมกัน 5 ความประทับใจของเด็กและเยาวชน
6 รายชื่อผู้ให้ข้อมูล 1. นายสมบูรณ๑ ศรีเฮือง อายุ 72 ปี บ๎านเลขที่ 90 หมูํ 6 บ๎านกุดแคน ตําบลนองโน อําเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ให๎สัมภาษณ๑ทีมเด็กและเยาวชน วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2554 2. นายทองใบ วิวัฒนาการ อายุ 80 ปี บ๎านเลขที่ 18 หมูํ 2 บ๎านกุดแคน ตําบลนองโน อําเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ให๎สัมภาษณ๑ทีมเด็กและเยาวชนวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2554 3. นายหนูจี จําคาม อายุ 65 ปี บ๎านเลขที่ 85 หมูํ 6 บ๎านกุดแคน ตําบลนองโน อําเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ให๎สัมภาษณ๑ทีมเด็กและเยาวชนวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2554 4. นายหนูไพร งามใส อายุ 61 ปี บ๎านเลขที่ 25 หมูํ 6 บ๎านกุดแคน ตําบลนองโน อําเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ให๎สัมภาษณ๑ทีมเด็กและเยาวชนวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2554 5. นางหมู ใบบ๎ง อายุ 40 ปี บ๎านเลขที่ 26 หมูํ 6 บ๎านกุดแคน ตําบลหนองโน อําเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ให๎สัมภาษณ๑ทีมเด็กและเยาวชนวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554 6. นางแสงจันทร๑ งามใส อายุ 58 ปี บ๎านเลขที่ 25 หมูํ 6 บ๎านกุดแคน ตําบลนองโน อําเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ให๎สัมภาษณ๑ทีมเด็กและเยาวชนวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2554 7. นางอํานวยพร สีดาพล อายุ 80 ปี บ๎านเลขที่ 10 หมูํ 6 บ๎านกุดแคน ตําบลนองโน อําเภอ เมือง จังหวัดมหาสารคาม ให๎สัมภาษณ๑ทีมเด็กและเยาวชนวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554