รวยเรียบง่าย2

Page 1

รวยเรียบง่าย อย่าทำ�ให้ตัวเองกลายเป็นนักลงทุนสปา

ความลับของเรื่องการลงทุนก็คือ มันเรียบง่ายมาก มากซะจนมีใครสักคนหรือหลายคนรวมหัวกัน ทำ�ให้มันยากขึ้นจนเหมือนเส้นสปาเก็ตตี้



ความรวยคืออัลไลลลล สำ�นักไหนจะนิยาม “ความรวย” ไว้ยังไงไม่รู้ แต่ผมนิยามมันว่า “ความรวยคือ มีรายได้ มากกว่ารายจ่าย” จบ!! มีเท่านี้เลยสำ�หรับผม เมื่อคุณมีเงินรายได้รับเข้ามา แล้วลบออกด้วย รายจ่ายทุกอย่างแล้ว เงินยังมีเหลือ นั่นแหละ คุณก็คือคนรวยได้แล้ว แล้วรายรับคืออะไร นิยามผมก็คือ เงินที่วิ่งเข้า มาหาเราในทุกทาง ทุกๆทางเลยนะครับ ตั้งแต่ เงินเดือนประจำ� เงินจากการทำ�งานพิเศษ OT ก็นับ เงินจากการทำ�ธุรกิจส่วนตัว ควบคู่ไปกับ เงินเดือนก็นับ เงินที่พ่อแม่ให้ในวาระ โอกาส พิเศษต่างๆ เช่น เงินแต๊ะเอียวันตรุษจีน หรือ ได้รับในวันเกิด สอบได้คะแนนดี ปะป๊า มะม่า ให้เงินก็นับ เงินซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลก็นับว่า เป็นรายได้ (ถ้าโชคดีถูกอ่ะนะ) หรือแม้กระทั่ง เงินที่หล่นบนพื้นแล้ว เราเก็บ ขึ้นมา ได้ (ไม่มีเจ้าของเงินวิ่งกลับมาทวงคืน) และอื่นๆ ถ้ามันเป็นเงินที่เข้ามาหาเรา ถือว่าเป็นรายรับให้หมด

เลิกวิธีคิดแบบว่า รายได้เราคือเงินเดือนอย่าง เดียว ถ้ามีเงินจากที่อื่นบังเอิญได้มา ก็ถือว่าเป็น โบนัส ใช้ให้เกลี้ยง ถ้ายังคิดแบบนี้ โอกาสรวยยา กกกก บอกเลย เงินก็คือเงิน ซื้อข้าวกินได้เหมือน กันหมดนั่นแหละ

ไม่มีประโยชน์ที่จะถือร่มกันฝน ตราบใดรองเท้าที่คุณสวมใส่ยังมีรูอยู่ เพราะมันทำ�ให้คุณเปียกเหมือนเดิม



แล้วรายจ่ายล่ะ ก็คิดเหมือนรายได้เลย ง่ายๆ แต่มันอยู่ฟังตรงข้าม อะไรที่ทำ�ให้ เงินต้องวิ่งออกไปจากเรา นับเป็นราย จ่ายให้หมด นับให้หมดจริงๆนะ ซื้อขนม ลูกอม อะไรก็นับๆมันให้หมด แล้วเอา จำ�นวนเงิน 2 ทางนี้มาลบกัน เอาเงินขา เข้า ลบด้วยเงินขาออก ถ้ายังเหลือเงิน อยู่ ดีใจได้แล้ว คุณก็นับว่าเป็นคนรวย แล้วนะเนี่ย ส่วนจะรวยมากรวยน้อย ก็ ดูว่าเงินที่เหลือ มันเหลือมากหรือน้อย แต่จงดีใจได้แล้วว่า ฉันก็จัดอยู่ในกลุ่ม คนรวยได้แล้ว เย้ๆๆ หลายคนอาจคิดว่า ไม่จริงมั้ง คนรวยมัน ต้องมีเงินเหลือเป็นร้อยๆล้านไม่ใช่หรอ สำ�หรับผมขอพูดแบบนี้ว่า ทุกคนสามารถ เป็นคนรวยได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะกลายมา เป็นเศรษฐี !?!? งงกันมั่ยเนี่ย คืองี้นะ เมื่อ รายได้มากกว่ารายจ่ายได้แล้ว เงินส่วนที่ เหลือนั่นแหละ ที่จะเป็นตัวช่วยผลักดัน เราจากคนรวยไปเป็นเศรษฐีในอนาคต

ซึ่งก็คือการมีความรู้ และวิธีคิดที่ถูกต้องต่อการนำ�เงิน ไปลงทุนต่อนั่นเอง ใช้เงินต่อเงินอ่ะ เคยได้ยินปะล่ะ ซึ่ง มันก็ไม่ใช่เป็นเรื่องยากเย็น หรือสลับซับซ้อนอะไรเลย จริงๆ ผมพูดจริ๊งงงงงง และหนังสือเล่มนี้ก็คือความ ตั้งใจที่อยากช่วยให้ทุกคนที่มีรายได้ ได้มีวิธีคิดที่ถูก ต้องต่อเงิน ดูแลมันให้อยู่กับเรามากขึ้น เมื่อคุณมีเงิน เหลือ คุณเป็นคนรวย ต่อไปก็พัฒนาจากคนรวยไปเป็น เศรษฐีนั่นเอง ค่อยๆ ใจเย็นๆ อย่ารีบ อย่าร้น แล้วเราจะรวย แบบง่ายๆไปพร้อมๆกัน อ้อ ก่อนจะไปต่อ หยุดอ่าน ปิดหนังสือ แล้วหยิบ กระดาษมาเขียนสิว่า ตัวคุณมีรายได้จากอะไรบ้าง มี เงินขาเข้ากี่ทาง กี่บาท จดออกมาให้หมดเลยนะ เขียน ไว้ฝั่งซ้าย ส่วนฝั่งขวาก็จดรายการรายจ่าย จดมันทุก อย่างที่คุณจะคิดได้ จดแบบอย่าโกหกตัวเอง ถ้าจดไป แล้วเงินขาออกมากกว่าเงินขาเข้าอย่าพึ่งหยุดจด หรือ ใจเสีย จดให้เกลี้ยง อย่างน้อยนี่คือจุดเริ่มต้นให้ตัวเอง รู้ได้ว่า เราใช้เงินติดลบไปแต่ละเดือนๆมากแค่ไหน แล้ว เห็นตัวเลขติดลบเยอะๆ อาจจะช่วยให้คุณตกตะ ลึก แล้วฉุกคิด เปลี่ยนนิสัยการใช้จ่ายก็ได้นะ ส่วนใคร ลบกันแล้วยังมีเงินเหลือ ก็ยินดีด้วยยยยย ไปจดได้ล่ะ แล้วค่อยไปอ่านบทต่อไป



Rule 1. Never lost money Rule 2. Never forgot rule no.1

ทำ�ไมคนรวย ทำ�ไมคนจน (Part1) นั่นดิ แปลกมั้ย ทำ�ไมบางคนรวยไม่หยุดทั้งที่ เราคิดว่าเราทำ�งานหนักมากกกกกกว่าไม่รู้กี่ เท่า นั่นไงๆๆๆ นั่นงายยยย แค่เริ่มก็ผิดแล้ว ววว อ่าว ผิดไรว๊าาา คนจะรวยเนี่ย มันไม่ ได้ขึ้นอยู่กับการทำ�งานหนักเท่านั้นน่ะครัชชช ถ้าคุณ คิดว่า ทำ�งานหนักเท่านั้นถึงจะรวย งี้ กรรมกรคงต้อง เป็นกลุ่มคนที่รวยนรกแตกไปแล้วสิ แล้วที่เราเห็นคือ ยังไงละ ก็เปล่าเลย กรรมการก็ยังจนอยู่อย่างงนั้น แล้ว อะไรล่ะที่ทำ�ให้คนเรารวย หรือคนเราจน ฟันธงไม่กลัวหน้าแหกว่า ขึ้นอยู่ที่ “วิธีคิด” เอ้อ ออ วิธีคิดต่างหากทำ�ให้คนนั้นรวย หรือจน ลูกคนรวย พอพ่อแม่ตาย ทิ้งสมบัติไว้ให้ ถ้าคิดไม่เป็น ผ่านไปไม่กี่ ปี ถังแตกหมดตัว มีมั้ย ก็มีเยอะ ไอ้ที่เห็นรวยๆ มันรวย หนี้สินก็มากมาย หรือคนหาเช้ากินค่ำ�ที่คิดได้คิดเป็น มองเห็นอะไรบางอย่างที่คนอื่นมองไม่เห็น ก็สามารถ ผลักดันตัวเองไม่กี่ปี ก็กลายเป็นเศรษฐีได้ มีมั้ย ก็เห็น กันอยู่เยอะแยะใช่ปะ วิธีคิดครับ วิธีคิดสำ�คัญที่สุด วิธี คิดคือตัวชี้ขาดความรวยความจน

แล้ววิธีคิดคืออะไร อันนี้ก็แอบอธิบาย ยากเหมือนกันนะ มันคือหลักกว้างๆของ การมองการกระทำ�ที่ตัวเอง กระทำ�อยู่ ซึ่งมีผลเชื่อมโยงกับเรื่องอาชีพ รายได้ ขั้น ตอนการทำ�งาน และโอกาสต่างๆที่จะเข้า มาหาตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราขาย สินค้า สิ่งที่เราทำ�คือ วิ่งหาของมาขาย เอาเงินไปจ่ายค่าวัตถุ ซื้อมากได้ลดมาก แล้วก็เอามาลุ้นต่อเองว่า สิ่งของที่เราซื้อ มาขายจะขายออกมั้ย



ในขณะที่คุณลุ้นตัวโกงว่าจะขายได้หรือ ไม่ได้ จะขายดีหรือไม่ดี คนที่รวยไปแล้ว คือใครครับ เอ้ออออ ใช่เลย ก็คนที่เราไป เหมาของเขามาขายนั่นไง เราต้องมาลุ้น ขายของ แต่คนนั้นรวยไปแล้ว เราขาย ปลีก เขาขายส่ง กำ�ไรต่อชิ้นน้อย แต่บัง คับขายจำ�นวนมาก กำ�ไรก็มากตาม เรา เอามาขายปลีก ก็ต้องแข่งกับรายอื่นอีก มากมาย เพราะเขาก็ไม่ได้ขายให้เราเจ้า เดียวใช่ปะล่ะ เราอยากขายได้เร็ว เราก็ ต้องลดราคา กำ�ไรที่ว่าน้อย ก็น้อยยยย ลงไปอีก ทำ�งานหนัก กลับไม่ได้อะไรเลย เป็นชิ้นเป็นอัน นี่ก็ตัวอย่าคร่าวๆ แบบ หนึ่ง

บางคนเริ่มคิดได้ว่า เฮ้ย ตายห่าแบบนี้ขายไปก็ไม่ได้ เป็นกอบเป็นกำ� ขายกินไปวันๆ หรือเรามาเปิดเว็บ ไซต์ให้บริการขายของให้กับคนที่อยากขายของดี กว่ามั้ยเนี่ย เริ่มเปลี่ยนตัวเองจากผู้ค้าขายปายทาง มาเป็นผู้ค้าขายต้นทาง แทนที่จะเอาเงินไปลงทุนซื้อ ของมาขายเอง ก็เปลี่ยนเงินจำ�นวนเดิมมาลงทุน สร้างเวบไซต์เปิดให้บริการแก่คนที่อยากมีร้านขาย ของตัวเองสักร้าน มาเปิดขายบนเว็บไซต์เรา เราก็ เก็บค่าเช่าจากผู้ขายแทน ทำ�เว็บไซต์ดีๆ ก็มีคน อยากมาเปิดร้านที่เรา ทุกร้านที่มาเปิดก็ต้องจ่ายค่า เช่าร้านให้เรา จะขายอะไรก็ขายไปเราไม่เกี่ยว ขาย ดีขายไม่ดี เราไม่เกี่ยว เพราะเราเก็บค่าเช่าแทนบาง แห่ง ให้มาขายฟรีเลยด้วยซ้ำ� แล้วขอเก็บค่าส่วน แบ่งยอดขายจากทุกร้านแทน เอ้ออ ก็เป็นวิธีทำ�เงิน ไปอีกแบบ ลงทุนทีเดียว แล้วเก็บกินยาว แถมเราไม่ ต้องขาย มีคนอื่นมากมาย มาช่วยขายของทำ�เงินให้ เราอีกต่างหาก เห็นมะๆ เราเริ่มเปลี่ยนวิธีคิด เส้น ทางทำ�เงินก็เปลี่ยน



คิดเล็กก็ได้เงินเล็ก คิดใหญ่ก็ได้เงินใหญ่ ส่วน ใครที่บอกว่า โหยยไม่กล้าอะ ขอทำ�เล็กๆก็พอ ก็ไม่ได้ว่าอะไร ถ้าแฮปปี้เอนจอยแบบนั้น นั่นก็ คิดทางของคุณ แต่อย่ามาบ่นว่า โอ้ยยย อยาก รวยยยย โอ้ย เหนื่อยยยย เมื่อไหร่จะมีตังค์ เยอะๆสักทีว้าาา พอเลย ก็ในเมื่อไม่กล้าคิดใหญ่ ไม่กล้าฝันใหญ่ แล้วจะเอาอะไรเยอะๆ มากๆ ใหญ่ๆ ได้ไงเล่า เอ้ออ แปลกคนจิง คนพวกนี้ โลกเรามันแฟร์แต่เราไม่รู้

อยากได้กำ�ไรเยอะ คุณก็ต้องกล้าทำ�อะไรที่ กว้างใหญ่ไพศาลขึ้น ผมไม่ได้หมายความว่า ต้องลงทุนเปนพันๆล้านเลยนะ แต่หมายถึง คุณต้องมีวิธีคิดแบบที่กล้ามองภาพใหญ่ ถ้า คุณขายของให้คนในหมู่บ้าน ในซอยตัวเอง กับขายให้คนทั่งโลก คุณว่าใครมีโอกาสรวย กว่า ก็แน่นอน คนหลังใช่มั้ยล่ะครับ มันอยู่ที่ วิธีคิด ของแบบนี้สอนกันยากเหมือนกัน ต้อง อาศัยการสังเกตุ ประสบการณ์ ความกล้า และต้องมีความฝันด้วย อ่านจบบทนี้ ลองมองย้อนกลับเข้าตัวเอง ว่า เราเป็นคนที่มีวิธีคิดแบบไหน นั่นแหละ คือสาเหตุว่าทำ�ไมชีวิตเราถึงอยู่ในสภาวะ ปัจจุบันเช่นนี้ จะดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่ที่วิธีคิด ของคุณเอง



Buy business not stocks Don’t think about “stock in the short term” Think about “business in the long term”

ทำ�ไมคนรวย ทำ�ไมคนจน (Part2) ขอต่ออีกสักหน่อย ผมเอาหลักการแบบทั่วๆไปที่แบ่งแยก ความแตกต่างของคน 2 ฝั่ง นี้ มาให้คุณได้ใช้เป็นไกด์ไลน์ อยากเป็นคนฝั่งไหน ก็ทำ�ตามฝั่งนั้น ง่ายๆแต่นี้แหละ อ่าวก็มันง่ายจริงๆ แค่คุณคิด เลือก แล้วก็ลงมือทำ� แค่เนี่ย ไปดูเลย

คนจน

คนรวย

- หาเงินได้เท่าไหร่ ใช้จ่ายมันหมดจะทั้งตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตาม - รู้จักแต่การเก็บเงิน แต่เก็บไว้เฉยๆไปเรื่อยๆ จนเงินลดมูลค่าลง ตามอัตราเงินเฟ้อ - แคร์คนอื่นไปหมด - กล้วผิดพลาด - รอโอกาสวิ่งเข้ามาหา - ใช้เวลาไปกับสิ่งอันใดก็ไม่รู้ - เจอเสียงดูถูกแล้วทิ้งตัวร้องไห้ - ชอบอยู่แบบสบายๆ ปลอดภัย (Save Zone)

- ทุกสิ่งเกิดขึ้นย่อมดีแล้ว ลุยต่อไปข้างหน้า ดีกว่า - หาเงินได้เท่าไหร่ กันส่วนหนึ่งเป็นเงินเก็บ ออม - ก่อนเลยทันที เก็บก่อนใช้ทีหลังรู้จักหาช่อง ทางเอาเงินที่เก็บออมไว้ไปลงทุนต่อ - ไม่เก็บไว้เฉยๆ ใช้เงินทำ�งาน เอาเงินไปต่อเงิน - ช่างหัวแม่ง นี่มันเรื่องของเรา ชีวิตของเราลุย ไปเลย - กลัวไม่ได้ทำ� ผิดได้ แต่ต้องไม่พลาดโอกาส ได้ทำ�



- มีความรู้เท่าไหร่ก็ใช้เท่านั้น - ทำ�เพราะเงินล้วนๆ (แล้วเงินก็มัก จะไม่มาหรือมาก็ยากๆ มาน้อยๆ) - คิดเล็กๆ - มักใช้แรงงานหาเงิน (ขายแรง) - คิดถึงการประหยัดแรง และใช้แรง อย่างมีประสิทธิภาพ - ทำ�เองคนเดียวทุกอย่าง (1 วัน มี แค่ 24 ชั่วโมง ต่อให้ไม่นอน ก็มี เวลาเท่านี้) - ไม่รู้เลยไม่ทำ�ซะเลย - พูด พูด พูด และพูดไม่หยุด - เมื่อมีฝัน มักคิดว่าพอเถอะ เพ้อ เจอ ไร้สาระ

-

สร้างโอกาสขึ้นมาเองเลยดิ๊ ใช้เวลาทุกนาที สร้างชีวิตให้ดีขึ้นให้ได้ เจอเสียงดูถูกเอามาใช้เป็นพลังเทอร์โบพุ่งไปข้างหน้า ชอบออกไปเผชิญโลกกว้าง (RedZone) มีความรู้เท่านี้ ไม่พออะ อยากรู้อีกกกก ทำ�เพราะอยากทำ� สนุก เดี๋ยวเงินมาเอง (แล้วเงินก็มัก จะวิ่งมาอย่างมากมาย มาจากไหนก็ไม่รู้) คิดใหญ่บึ้มมมมม มักใช้สมองหาเงิน (ขายสมอง) คิดถึงการประหยัดเวลา และใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด รู้จักวิธีใช้คนอื่นช่วยทำ�งานให้ (มีคนอื่นมา ช่วย เวลา ใน 1 วันจะยิ่งมีเพิ่มขึ้น) ไม่รู้เลยอยากลองทำ� (แบบมีสติ)



- ความอดทนต่ำ� ขี้เบื่อ โลเล ไม่แน่นอน ชอบตัดพ้อต่อว่าตัวเอง - คิดไปเรื่อยเปื่อย ฟุ้งกระจาย - บุคลิกไม่น่าสนใจ อยู่ด้วยแล้วเสียเวลา - ชอบพูดทำ�ลายความฝันคนอื่น - กลัวความลำ�บาก ไม่สู้ อยู่ที่เดิมได้ถ้า สบาย - หวงแหน - ทำ�แค่นี้พอแล้ว - กลัวเหนื่อย - ไม่รู้จักตัวเอง - กลัวการมีปัญหา เลี่ยงได้เลี่ยงเลย - สะสมทรัพย์สิน - ทำ�เรื่องปกติที่ทุกคนเขาก็ทำ�กัน

- ทำ� ทำ� ทำ� และ ทำ�ไม่หยุด - โคตรเชื่อมั่นในตัวเอง (คิดว่าเราสู้ได้ เราต้องลุย ไม่ใช่หยิ่งยโสโอหังนะ) - เมื่อมีฝัน จะรักษา และหาทางทำ�ให้เป็นจริงให้ได้ - ความอดทนสูง จนคนส่วนใหญ่คิดว่าผิดปกติ - มีวิธีให้กำ�ลังใจตัวเอง - จับจดจับจ้อง เพ่งไปที่เป้าหมาย - บุคลิกน่าดึงดูด น่าอยู่ด้วย น่าคุยด้วย - ชอบให้กำ�ลังใจผู้อื่น - ลำ�บากไม่กลัว แต่กลัวหยุดอยู่กับที่ - แบ่งปัน - ทำ�อะไรได้อีกบ้าง - เหนื่อยแล้วไง นอนสักงีบ ตื่นมาก็หายละ - รู้จักตัวเอง นำ�จุดดี จุดเด่นมาทำ�มาหากินได้ - ชอบกระโดดพุ่งเข้าชนกับปัญหา มันส์ดี - สะสมสินทรัพย์ - ทำ�สิ่งที่คนอื่นมักบอกว่า “จะบ้าหรอ”



การตั้งคำ�ถามที่ดี สำ�คัญกว่าการพยายามหาแต่คำ�ตอบ ทรัพย์สนิ หรือ สินทรัพย์ เอ้อออ!! งงมะ เคยคิดมั้ยว่า 2 อย่างนี้ มัน คืออะไร และต่างกันยังไง หลายคนคิดในใจ ตรูไม่ได้ว่างขนาดนั้นนะจะได้มากคิดเรื่อง นี้ 555 เอาหน่า ไหนๆอ่านมาถึงนี่แล้ว มาคุ ยกัยเรื่องนี้เลยละกัน เขียนก็คล้ากัน ออกเสียงก็ใกล้กัน แต่ความต่างมัน มากเลยหล่ะ หันมองสิ่งที่อยู่ในชีวิตเราว่าเรามีอะไร มากกว่ากัน ถ้ามีทรัพย์สินมาก อาจไม่เรียกว่ารวย แต่ ถ้าอยากรวยต้องมี สินทรัพย์เยอะๆนะเออ ที่อยากแชร์ก็ เพื่อจะได้ให้คุณใช้เป็นเกณฑ์กว้างๆในการการจับจ่ายซื้อ ของต่างๆ ได้พิจารณาก่อนเสียตังค์ว่าเรากำ�ลังซื้ออะไร อยู่กันแน่

ทรัพย์สิน ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูป ของวัตถุสิ่งของ และอะไรก็ตามที่ เราช้อปปิ้งมาใช้ในชีวิตประจำ�วัน ก็ คือทรัพย์สินทั้งนั้น ถ้าพูดให้ง่ายมัน ก็คือ สมบัติบ้านั่นแหละ โดยเฉพาะ สินค้าแฟชั่นนี่ตัวดีเลย แหล่งก่อ กำ�เนิด ทรัพย์สินให้เรา มองเข้าไปใน ห้องนอนสิ นั่นละ ส่วนใหญ่ก็จะเป็น ที่อยู่ของทรัพย์สินกองโต นานวันเข้า มูลค่าก็ลดลง เราเป็นเจ้าของก็จริง แต่ไม่ได้ช่วยเพิ่มมูลค่าให้ตัวเรา ซื้อ มาใช้สนองตัณหาไปเรื่อยๆ



สินทรัพย์ Asset ก็คือสิ่งที่เราซื้อมาเหมือน กันครับ แต่มักจะมีมูลค่าเพิ่มเมื่อราคาผ่าน ไป หรือถ้าไม่เพิ่มมูลค่าก็จะไม่ลด สามารถ รักษามูลค่าความมั่งคั่งของเราไว้ได้ มันจึง มักจะเป็นสิ่งใหญ่ๆ เช่น เราซื้อที่ดิน เราซื้อ บ้าน เราซื้อนาฬิกาบางรุ่น เราซื้องานศิลปะ บางรุ่น ซื้อทองคำ�เก้บไว้ หรือซื้อหุ้นเก็บไว้ ถ้าเราซื้อจำ�พวกนี้ ผมมักจะถือว่าเสียเงินให้ กับสินทรัพทย์ ซื้อเก็บไว้รักษาความมั่งคั่ง ของตัวเอง รวมถึงสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเอง ในอนาคตได้ ถ้าเกิดเหตุจำ�เป็นต้นใช้เงิน หรือสมมุติ ใครจะมาเอาเงินจากเรา ถ้าเรามีสินทรัพย์ มันจะแปลงเป็นมูลค่าเงินใช้หนี้สินได้ แต่ถ้า เราไม่มีสินทรัพย์ แต่มีทรัพย์สินเต็มไปหดม พวกนั้นช่วยเราไม่ค่อยได้นะครับ เช่น

ติดหนี้ธนาคาร ส่วนใหญ่ก็จะยึดรถ ยึดบ้าน ยึด คอนโด ยึดที่ดิน หรืออะไรที่มีมูลค่าในตัวมันเอง ไป แต่ถ้าเราเช่าคอนโดอยู่ คอนโดก็เป็นของคน อื่น แต่มีตู้เสื้อผ้า 10 ตู้ เสื้อผ้าเป็นพันๆชุด อัด แน่นอยู่ในนั้น พวกนี้ธนาคารไม่มองนะครับ ตี ค่าเป็น 0 บาท ยกเว้นคุณจะรีบเอาไปเปิดท้าย ขายเสื้อมือสอง แปลงวัตถุเป็นเงินด้วยตัวคุณเอง แบบนี้ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่โดยธรรมาชาติตัวมันเอง ไม่จัดเป็นสินทรัพย์ เวลาจะไปกู้เงินธนาคาร ถ้าอยากรู้ว่าสิ่งนั้น เป็นสินทรัพย์มั้ย ก็ลองเอาไปเสนอให้ใช้เป็นหลัก ทรัพย์ค้ำ�ประกันดูก็ได้ว่า เขาจะรับไว้พิจารณา มั้ย เช่น พี่ค่ะ หนูมีนาฬิกา SWATCH 200 เรือน เอา มาค้ำ�ประกันเงินกู้นะครัเอ่มมม... หนูมีเสื้อของ UNIQLO เป็นร้อยตัวเลย เอามาเป็นหลักทรัพย์ ได้ปะ เอ่มมมม....ผมมี iPhone ตั้งแต่ รุ่น 1 ถึง รุ่น 6 Plus เลยนะครับ จะเอามาค้ำ�ประกันขอกู้ เงิน ได้มั้ยพี่ เอ่มมมมม....



พอเห็นภาพเนอะ ต่อไปนี้ คิดดีๆก่อนควักออก มาจ่ายว่า สิ่งที่กำ�ลังจะดึงเงินที่เราหามานั่น มัน คือพวกไหน ทรัพย์สิน หรือสินทรัพย์ ถ้าซื้อสิน ทรัพย์ เงินคุณก็ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่เปลี่ยน รูปลักษณะเท่านั้นเอง พวกคนมีเงิน คนรวย เศรษฐี เขาชอบซื้อสินทรพย์มาเก็บไว้ เพราะมัน เพิ่มมูลค่าได้ ไม่ต้องทำ�ไร เงินก็งอยเงยทับถม กันไปเรื่อยๆ แต่ถ้าซื้อเป็นทรัพย์สิน มันคือการ แปลงสภาพ ซึ่งเงินคุณก็จะหายไปจริงๆ แล้วได้ บางสิ่งมาเท่านั้นเองนะจ๊ะ อย่าดราม่า ไม่ได้ให้เลิกซื้อทรัพย์สิน แหม มม เราก็ต้องช้อปปิ้ง ก็มันสนุกนี่นา เพียงแต่ เริ่มคิดให้เยอะขึ้น พิจารณาให้ดีขึ้น มีอะไร เยอะแล้วลดลงบ้าง หันไปซื้อที่ยังไม่มี หรือ ทรัพย์สินมีท่วมบ้านแล้ว ก็เอาเงินไปซื้อ สินทรัพย์ซะบ้าง



เส้นทางยาวไกลหมื่นลี้ ก็เริ่มต้นด้วยก้าวแรกเสมอ

รวยเรียบง่าย กับ รวยมักง่าย มันคนละเรือ่ ง!! ทำ�ไมเวลาเห็นคำ�ว่า ง่าย มักจะตีความ ว่าคือความเร็วกันจัง ซึ่งจริงๆแล้ว ง่าย มันคือความหมายว่า ไม่ยุ่งยาก ไม่ซับ ซ้อน ทำ�ให้เข้าใจได้ดี ส่วนความเร็วมัน ค่อยตามมาในสเต็ปถัดไป ในเมื่อ ไม่ยุ่ง ไม่หลาย ขั้น มันก็เลยอาจจะส่งผลถึงความเร็วได้ แต่โดยพื้น ฐายความเร็วไม่ใช่ประเด็นแรก อันนี้เข้าใจตรงกัน ก่อน พอพูดถึงความรวย แล้วบอกว่ารวยง่าย ทีนี้ละ โอ้โหหหห กะว่าจะเป็นคนรวยกันภายใน 3 วัน 7 วัน รวดเร็วยิ่งกว่าครีมหน้าเด้งหน้าใสซะอีก ตื่นๆ นี่โลกความจริง ไม่ใช่ Alice in Wonderland พอ คนเรามีความเข้าใจประเด็นผิด มันก็พาลให้ตีความ ทุกอย่างผิดที่ผิดทางไปด้วยกันหมด เข้าทำ�นอง ติด กระดุมเม็ดบนสุดผิด เม็ดต่อไปมันก็พลอยผิดไป ด้วยโดยไม่ต้องสงสัย

ถ้าคุณอยากรวย คุณทำ�ตามที่คนรวยเขา ทำ�กัน เดี๋ยวความรวยมันก็จะเริ่มก่อร่าง สร้างตัวขึ้นมาให้คุณเอง แต่มันจะเป็น แบบค่อยๆมาให้เห็น (เงินครับเงิน ไม่ใช่ อย่างอื่น อย่าผิดประเด็นอีก) ถ้าลืมว่า คนรวยเขาเป็นไงกัน ก็กลับไปอ่านบทที่ 2-3 อีกทีเพื่อรื้อฟื้นความจำ�



มันไม่มีหรอกที่ว่า รวยปุบปับ คือมันก็มีแหละ พวก ซื้อสลากกินแบ่งแล้ว ตู้มมม 72 ล้าน รางวัลที่หนึ่ง เป็นสิบๆใบ หรือเข้าบ่อนหยอดเหรียญโยกเครื่องส ตอตแมชชีน ตูมมมม แจ๊กพอต เหรียญไหลท่วมพื้น แต่นั่นมันอีกเรื่อง มันจะโชคดี จะดวงเฮง จะบุญเก่า มาให้คืนอะไรก็ว่าไป แต่นี่เรากำ�ลังพูดถึงชีวิตความเป็นจริง การที่ อยากรวยไม่เหนื่อยเลย รวยติดสปีด รวยไม่ต้องทำ� อะไรเนี่ย มันไม่ใช่รวยเรียบง่าย แต่มันคือรวยมักง่าย เอาแต่ได้ เอาเร็วเข้าว่า หลักกงหลักการไม่ต้อง อยาก เร็วขนาดนั้นอาจจะต้องใช้หลักโกงช่วยคงพอได้อยู่มั้ง ซึ่งมันไม่ดีหรอก

รวยเรียบง่าย คือการที่เราเข้าใจหลัก การกว้างๆของความรวยว่ามายังไง จะ สร้างความร่ำ�รวยได้อย่างไร มันมีส เต็ป ขั้นตอน อะไรยังไงบ้าง ก็เริ่มต้น ทำ�ไปเรื่อยๆ เริ่มจาก 1 ไป 2 จาก 2 ไป 3 สะสมไปไม่หยุด ความรวยไม่มี อะไรซับซ้อน ศึกษาจริงๆ มันก็ไม่มีสูตร ลับ ลวง พลางอะไรทั้งสิ้น เริ่มต้นจากมี ความฝัน มีความตั้งใจ วางแผน ทำ�ตาม แผน อดทน พยายาม มุ่งมั่น และลุยไป จนกว่าจะถึงฝั่งฝัน มันก็มีแค่เนี่ยเอง มันซับซ้อนตรง ไหน ไม่มีเลย มันเข้าใจยากตรงไหน ไม่มีเลย มันสับสนตรงไหน ก็ไม่มีเช่น กัน นี่แหละคือวิธีการรวยเรียบง่าย



เศรษฐีหลายคนกว่าจะมีวันที่ร่ำ�รวยเงินทอง ใช้ไม่หมด มีชื่อเสียงโด่งดัง เราเคยเห็นตอน เขาลำ�บากสุดๆมั้ยล่ะ ก็ไม่เคย ตอนเขาอด มื้อกินมื้อเป็นสิบๆปี เราเห็นมั้ยล่ะก็ไม่เคย ตอนที่เขาเดินทางไกลๆ แบกของหนักๆ ไม่มี ที่นอน เราก็ไม่เคยเห็น แต่เราเห็นตอนทุก อย่างมันดีแล้ว เราจึงเผลอคิดไปว่า คนนั้นเขา รวยง่ายดีเนอะ

คนเรามักมองแค่ 1% ของความสำ�เร็จ และ ชื่นชนแค่ 1% บนยอดสุดเท่านั้น แต่ลืมก้ม มองลงไปอีก 99% ที่เป็นฐานใหญ่บันไดให้ เขาปีนไต่ขึ้นมาพิชิตความสำ�เร็จ โทมัส อัลวา เอดิสัน ก็เคยกล่าวไว้ว่า “ความ สำ�เร็จ อาจได้มาจากความอัจฉริยะ 1% แต่ที่ เหลืออีก 99% คือความพยายามล้วนๆ” “ถ้าคุณมัวเอาแต่เวลาเร็วๆ สั้นๆ ไวๆ เป็นตัวชี้วัดสำ�คัญ คุณกำ�ลังคิดแบบรวยมักง่ายอยู่โดยไม่รู้ตัว”


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.