707313 History of Eastern Art/2 by wutt b

Chapter II : Indus River Valley Civilization

Indus River Valley Civilization

Map of Asia

Asian Civilization Timeline

Indus Valley Civilization Timeline

Map of Indus River

Mohenjo-Daro Civilization 2600 B.C. One of The World most developed city-settlements Established in Indus Valley The city has the honor of being one of the few early regional settlements that took place around the whole world. MoenjoMoenjo-daro existed at the same time the ancient sites of Mesopotamia as well as the Crete in Egypt was going through the developmental phase in their civilizations.

Mohenjo-Daro Civilization 2600 B.C. One of The World most developed city-settlements

The cities of Harappa and Mohenjo-Daro 2600 B.C. The Indus Valley is one of the world's earliest urban civilizations, along with its contemporaries, Mesopotamia and Ancient Egypt. At its peak, the Indus Civilization may have had a population of well over five million. Inhabitants of the ancient Indus river valley, developed new techniques in metallurgy and handicraft (carneol products, seal carving), and produced copper, bronze, lead, and tin. The civilization is noted for its cities built of brick, roadside drainage system, and multistoried houses. The mature phase of this civilization is known as the Harappan Civilization, as the first of its cities to be unearthed was the one at Harappa.

The Cities of Harappa A sophisticated and technologically advanced urban culture is evident in the Indus Valley Civilization making them the first urban centers in the region. The quality of municipal town planning suggests the knowledge of urban planning and efficient municipal governments which placed a high priority on hygiene, or, alternatively, accessibility to the means of religious ritual.

The Cities of Harappa

Indus symbols and Writing System Indus symbols have been found on seals, small tablets, or ceramic pots and over a dozen other materials, including a "signboard" that apparently once hung over the gate of the inner citadel of the Indus city of Dholavira. Typical Indus inscriptions are no more than four or five characters in length, most of which (aside from the Dholavira "signboard") are tiny; the longest on a single surface, which is less than 1 inch square, is 17 signs long; the longest on any object (found on three different faces of a massmass-produced object) has a length of 26 symbols

Mohenjo-Daro Artifacts 2600 B.C.

Vedic Age 1500 B.C. : Indus Valley Civilization Timeline

Vedic Age 1500 B.C. The Vedic Period (or Vedic Age) is the period during which the Vedas were being composed, during the period of roughly 1500 BC to 500 BC. The associated culture, sometimes referred to as Vedic civilization, was centered in the northern and northwestern parts of the Indian subcontinent. Chronologically, its early phase overlaps with the Late Harappan period and its late phase with the rise of the Mahajanapadas (early IndoIndo-Aryan kingdoms in India). After the end of the Vedic period, the Mahajanapadas in turn gave way to the Maurya Empire (from ca. 320 BC), the golden age of classical Sanskrit literature. The Four Vedas 1.The Rigveda, containing hymns to be recited by the hotáš&#x203A;; 2.The Yajurveda, containing formulas to be recited by the adhvaryu or officiating priest 3.The Samaveda, containing formulas to be sung by the udgÄ táš&#x203A;. (priest) 4.The Atharvaveda, a collection of spells and incantations, apotropaic charms and speculative hymns

Rigvedic Period 1500 B.C. The origin of the Vedic civilization and its relation to the Indus Valley civilization, IndoIndoAryan migration and Gandhara Grave culture related cultures remains controversial and politically charged in Indian society, often leading to disputes on the history of Vedic culture. The Rigveda is primarily a collection of religious hymns, and allusions to, but not explanation of, various myths and stories, mainly in the younger books 1 and 10 10.. The oldest hymns, probably in books 2â&#x20AC;&#x201C;7, although some hold book 9, the Soma Mandala, to be even more ancient, contain many elements inherited from prepre-Vedic, common Indo Indo-Iranian society. Therefore, it is difficult to define the precise beginning of the "Rigvedic period", as it emerges seamlessly from the era preceding it. Also, due to the semisemi-nomadic nature of the society described, it cannot be easily localized, and in its earliest phase describes tribes that were essentially on the move.

Religion Practice The Vedic forms of belief are the precursor to modern Hinduism. Texts considered to date to the Vedic period are mainly the four Vedas, but the Brahmanas, Aranyakas and the older Upanishads as well as the oldest Shrautasutras are also considered to be Vedic. The Vedas record the liturgy connected with the rituals and sacrifices performed by the 16 or 17 Shrauta priests and the purohitas.

Society The concept of varna (class) and the rules of marriage were rigid as is evident from Vedic verses (RV 10 10..90 90,, W. Rau 1957). 1957). The status of the Brahmins and Kshatriyas was higher than that of the Vaishyas and Shudras. The Brahmins were specialized in creating poetry, preserving the sacred texts, and carrying out various types of rituals. Functioning as intellectual leadership, they also restricted social mobility between the varnas, as in the fields of science, war, literature, religion and the environment.

“Where did we come from?”

Origin of Man : Created or Evolved? มนุษย์เริ มต้ นจากจดุ ไหน : การสร้ าง หรื อ การพัฒนา

Did we come from monkey or amebas?

ถ้านิสิตคิดว่า คนเราเกิดมาจาก “การสร้ าง”

คําถามต่ อมาคือ

ใคร คือ “ผ้ สู ร้ าง”

•

จักรวาลวิทยา เป็ นการศึกษาเอกภพโดยรวม ซึ งนับว่ าเป็ นการศึกษาถึงสิ งที ย งิ ใหญ่ ท สี ุดและเป็ นพืน( ฐานที สุดในเวลาเดียวกัน จักรวาลวิทยามุ่งเน้ นที จะศึกษาถึงองค์ ประกอบและความสัมพันธ์ ของสรรพสิ งทัง( หลายในเอกภพ พร้ อมกับพยายามที จะอธิบาย ความเป็ นมาของเอกภพในอดีต และทํานายความเป็ นไปของเอกภพในอนาคต เอกภพเป็ นอย่ างไร เอกภพมีขอบเขตจํากัด หรื อไม่ เอกภพเกิดขึน( ได้ อย่ างไร เพราะเหตุใดเอกภพจึงมีรูปร่ างลักษณะอย่ างที เป็ นอยู่ในปั จจุบัน และอนาคตข้ างหน้ าเอกภพจะ เป็ นอย่ างไร ปั ญหาเหล่ านีค( ือสิ งที นักจักรวาลวิทยาทัง( หลายสนใจ

•

จักรวาลวิทยาในความหมายที กว้ างที สุด จะหมายถึงการทําความเข้ าใจเอกภพโดยอาศัยความรู้ จากหลายสาขาวิชา ไม่ ว่าจะเป็ น วิทยาศาสตร์ ปรั ชญา ศาสนา หรื อศิลปะ แต่ โดยทั วไปในปั จจุบัน จักรวาลวิทยาจะหมายถึงการศึกษาเอกภพโดยใช้ กระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่ างยิ งในด้ านฟิ สิกส์ และดาราศาสตร์ ซึ งถือว่ าเป็ นสองเครื องมือสําคัญในการใช้ ศึกษาเอกภพ เป็ นที ยอมรั บกันอย่ างหลีกเลี ยงไม่ ได้ ว่า ยิ งเรามีความรู้ ทางด้ านฟิ สิกส์ และดาราศาสตร์ มากขึน( เท่ าใด เราก็จะยิ งมีความเข้ าใจในเอกภพ มากขึน( เท่ านัน(

•

มโนทัศน์ เกี ยวกับเอกภพของมนุษย์ เปลี ยนแปลงไปตามยุคสมัย ชาวอียปิ ต์ โบราณเชื อว่ าเอกภพประกอบด้ วยโลกคือเทพเจ้ าเก็บ ซึ งถูกโอบล้ อมด้ วยท้ องฟ้าคือเทพเจ้ านัท ต่ อมาเมื อชาวกรี กโบราณศึกษาท้ องฟ้าและการโคจรของดวงดาวมากขึน( เขาก็สามารถ สร้ างแบบจําลองเอกภพที สอดคล้ องกับข้ อมูลที ได้ จากการศึกษานัน( โดยให้ โลกเป็ นจุดศูนย์ กลางของเอกภพ และมีพระจันทร์ พระอาทิตย์ รวมทัง( ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ ทงั ( หลาย โคจรอยู่รายล้ อม แบบจําลองโลกเป็ นศูนย์ กลาง (geocentric geocentric) geocentric นีเ( ป็ นที ยอมรั บกันมานับพันปี ก่ อนที โคเปอร์ นิคัสจะเสนอแบบจําลองใหม่ ท ใี ห้ ดวงอาทิตย์ เป็ นศูนย์ กลาง (heliocentric heliocentric) heliocentric ด้ วยเหตุผล ว่ าแบบจําลองนีใ( ช้ การคํานวณที ซับซ้ อนน้ อยกว่ า จะเห็นว่ าความรู้ ความเข้ าใจที เพิ มขึน( นัน( ทําให้ มนุษย์ มองโลกและเอกภพต่ าง ออกไป

•

การศึกษาเอกภพก้ าวหน้ าขึน( อย่ างรวดเร็วในช่ วงคริสต์ ศตวรรษที 20 เพราะในศตวรรษนีม( ีทฤษฎีใหม่ ท ใี ห้ ความรู้ เกี ยวกับ ธรรมชาติของเอกภพมากขึน( เช่ น ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั วไป และควอนตัมฟิ สิกส์ รวมทัง( มีการค้ นพบหลายสิ งที เป็ นประโยชน์ อย่ างมากต่ อวงการจักรวาลวิทยา เช่ น การค้ นพบว่ าเอกภพกําลังขยายตัว หรื อการค้ นพบการแผ่ รังสีคอสมิกไมโครเวฟเบือ( งหลัง (Cosmic Cosmic microwave background radiation) radiation เป็ นต้ น ทัง( ทฤษฎีและการค้ นพบใหม่ ๆ เหล่ านีท( าํ ให้ ภาพของ เอกภพในใจมนุษย์ นัน( กระจ่ างแจ่ มชัดและใกล้ เคียงความจริงยิ งขึน( อย่ างไรก็ตามก็ต้องยอมรั บว่ าสิ งที มนุษย์ ร้ ู เกี ยวกับเอกภพนัน( ยังน้ อยมาก และยังคงมีอีกหลายปั ญหาในทางจักรวาลวิทยาที ยังคงเป็ นปริ ศนาอยู่ในปั จจุบัน

•

มนุษย์ มักจะมีคาํ ถามคําถามหนึ งขึน( ในใจตัวเองอยู่เสมอว่ า เรามาจากไหน เราคือใคร และเรากําลังจะไปไหน[2 2] บางครั ง( บางที จักรวาลวิทยาอาจจะเป็ นกุญแจสําคัญดอกหนึ งที จะไขคําตอบของคําถามเหล่ านีใ( นระดับมหภาคก็เป็ นได้

ในคัมภีร์ ปุราณะ (Sacred Puranic) เชื อว่ าจักรวาลมีสัณฐานเช่ นทีเ ห็นในภาพนี% โดยมีเขาสิ เนรุ เป็ นศูนย์กลาง และมีแผ่ นดิน นํา% และลม ลดหลัน ลงมาเป็ นชั%นๆ ภายใต้ แผ่ นดิน ถูกหนุนด้ วยช้ างทีย นื อยู่บนหลังเต่ า โดยมีพระพรหมเป็ นผู้สร้ างสรรพชีวิตขึน% มีพระวิษณุ เป็ นผู้ดูแลรักษาและมีพระศิวะเป็ นผู้ทําลายเมือ ถึงเวลาเสื อโทรม วนเวียนเป็ นวัฎจักรเช่ นนี% เรื อยมาตามความเชื อในศาสนาพราหมณ์ -ฮินดู

เริ มต้มมาจากไฟ

เริ มต้ นมาจาก “ไฟ”

Divided to Three Highest God.. “Trimurti”

Lord Brahma

พระพรหม (อักษรโรมัน Brahmā; อักษรเทวนาครี मा) เป็ นเทพเจ้ าในศาสนาพราหมณ์ ฮินดู ถือว่าเป็ นผู้สร้ าง จักรวาล และเป็ นหนึ งในตรีมูรติ อันประกอบด้ วยพระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ ต่ างจาก พรหมัน อันเป็ นเป้ าสู งสุ ดของ ปรัชญาฮินดู แต่ มีรากศัพท์ เดียวกัน โดยที พรหมันนั%นเป็ นนาม นปุงสกลิงก์ คือไม่ มีเพศ ขณะที พระพรหม เป็ นปุลลิงก์ หรือ บุรุษเพศ ตามคัมภีร์พระเวท ถือว่ าพระพรหมมีชายา คือพระนางปชาบดี มีหงส์ เป็ นพาหนะ มี 4 พระพักตร์ เป็ นเทพแห่ ง การสร้ างและการให้ พร ที เรียกว่ า "พรหมพร" ถือเป็ นเทพเจ้ าแห่ งความเมตตา

Lord Shiva

พระอิศวร หรือ พระศิวะ (สั นสกฤต: शव Śiva) มีพาหนะ คือ โคเผือก ชื อว่า อุศุภราช พระอิศวรเป็ นมหาเทพแห่ งการ ทําลาย มีกายสี ขาว แต่ พระศอเป็ นสี ดาํ เพราะเมื อตอนที พระนารายณ์ และเหล่ าเทวดา อสู ร ทําพิธีกวนสมุทรโดยใช้ พญานาคเป็ นตัว ฉุดเขาพระสุ เมรุ น% ัน ใช้ เวลากวนนานมาก พญานาคจึงคลายพิษออกมาปกคลุมไปทั วโลก พระศิวะ จึงว่าเกรงจะเป็ นภัยต่ อมนุษย์ และสิ งมีชีวติ ในโลกจึงได้ สูบเอาพิษเหล่ านั%นไว้ จงึ ทําให้ คอของพระศิวะเป็ นสี ดาํ นั%นเอง มีพระเนตรถึง 3 ดวง ดวงที 3 อยู่กลาง พระนลาฏ ซึ งตามปกติจะหลับอยู่ เนื องจากพระเนตรดวงที 3 นี% มีอานุภาพร้ ายแรงมาก หากลืมขึน% เมือ ใดจะเผาผลาญทุกอย่ างให้ มอดไหม้ ประทับอยู่ ณ เขาไกรลาส อันเป็ นศู นย์ กลางแห่ งจักรวาล มีมเหสี คอื พระแม่ อุมา รู ปลักษณ์ของพระอิศวร โดยมากจะ ปรากฏให้ เห็นเป็ นชายผมยาว มีพระจันทร์ เป็ นปิ นปักผม มีลกู ประคําหรือกะโหลกมนุษย์ เป็ นสังวาล มีงูเห่ าพันรอบพระศอ นุ่งห่ ม หนังเสื ออันเป็ นเครื องนุ่งห่ มของฤๅษี การบูชาพระอิศวรจะกระทําได้ โดยการบูชาต่อศิวลึงค์อนั เป็ นสัญลักษณ์ แทนตัวพระองค์ นั นเอง

Tales of Lord Shiva, Drinking Poison with Smile and Mt.Kailash

Shiva Nataraja พระอิศวรมีท่าร่ ายรําอันเป็ นการร่ ายรําของเทพเจ้ า เรียกว่ า "ปางนาฏราช"(nataraja) เมือ แปลงกายลง ไปปราบฤๅษีทไี ม่ ประพฤติตนอยู่ในเพศดาบส ซึ งต่ อมาชาวฮินดูได้ ถือเอาท่ าร่ ายรํานีเ% ป็ นต้ นแบบของการร่ าย รําต่ าง ๆ มาตราบจนปัจจุบนั

Lord Vishnu พระวิษณุ (อังกฤษ: Vishnu , อักษร เทวนาครี : व ण)ु หรือเรียกอีกอย่ างว่ า พระนารายณ์ เป็ น1 ใน 3 มหาเทพ มี หน้ าทีค ุ้มครองแลดูแลรักษาทั%ง 3 โลกตาม ความเชื อของชาวฮินดู จากคัมภีร์ พราหมณ์ รู ปร่ างลักษณะมีพระวรกายจะมี สี ทเี ปลีย นไปตามยุค ฉลองพระองค์ ดงั กษัตริย์ มีมงกุฎทอง อาภรณ์ สีเหลือง มี 4 กร ถือ สั งข์ จักร ตรี คทา แต่ ทจี ะพบเห็น ได้ บ่อยทีส ุ ดคือถือ จักร์ สั งข์ คทา ส่ วนอีก กรจะถือ ดอกบัวบ้ าง หรือ ไม่ ถืออะไรเลย บ้ าง (โดยจะอยู่ในลักษณะ"ประทานพร")

Lord Vishnu At Milky Ocean

Vishnu Avatars • • •

• • • •

• •

•

ปางที 1 มัตสยาวตาร (อวตารเป็ นปลา) เพื อช่วยเหลือมวลมนุษย์และสัตว์ให้พน้ จากนํ+าท่วมโลก ปางที 2 กูรมาวตาร (อวตารเป็ นเต่า) เพื อช่วยเหล่าเทวะและอสูรกวน เกษียรสมุทร ปางที 3 วราหาวตาร (อวตารเป็ นหมูป่า) มีสองตํานานหลักๆคือ 1) เพื อปราบ อสูรนาม"หิ รัณยากษะ"ซึ งลักเอาแผ่นธรณี ไปโดยการม้วนแล้วเหน็บไว้ที ขา้ ง กาย และ 2) เพื อยุติการประลองพลังอํานาจกันระหว่าง พระศิวะ และ พระ พรหม ปางที 4 นรสิ งหาวตาร (อวตารเป็ นครึ งสิ งห์) เพื อปราบอสูรนาม "หิ รัณยกศิปุ" ผูเ้ ป็ นน้องชายของ "หิ รัณยากษะ" ปางที 5 วามนาวตาร (อวตารเป็ นพราหมณ์เตี+ย) เพื อปราบอสูรนาม "พาลี" ผู ้ เป็ นเหลนของ "หิ รัณยกศิปุ" ปางที 6 ปรศุรามาวตาร (อวตารเป็ นพราหม์ผใู ้ ช้ขวานเป็ นอาวุธ) เพื อปราบ กษัตริ ย ์ (ผูเ้ ป็ นมนุษย์) นาม "พระเจ้าอรชุน" หรื อ "พระเจ้าสหัสอรชุน" ผูม้ ี ใบหน้า 1พันหน้า ผูก้ ่อยุคเข็ญและทําลายล้างศาสนา ปางที 7 รามาวตาร หรื อ รามจันทราวตาร (อวตารเป็ นพระราม กษัตริ ยแ์ ห่งอ โยธยา) เพื อปราบอสูรนาม "ราวณะ" หรื อ "ราพณ์" หรื อที คนไทยรู ้จกั กันดีใน นาม "ทศกัณฐ์" กษํตริ ย ์ แห่งกรุ งลงกา - ปางนี+เป็ นหลักในการจัด จารี ต และ ขนบธรรมเนียม ประเพณี ของสังคมอินเดีย ปางที 8 กฤษณาวตาร (อวตารเป็ นพระกฤษณะ) เพื อขับรถม้าให้ "พระอรชุน" และสอนวิถี และวิธีการดําเนินชีวิต ให้แก่พระอรชุน ปางที 9 พุทธาวตาร (อวตารเป็ นพระพุทธเจ้า) ชาวฮินดูมีความเชื อว่าพระ นารายณ์อวตารในปางนี+เพื อหลอกลวงให้พวกนอกรี ตที ไม่นบั ถือวรรณะแยก ออกไปจากศาสนาพราหมณ์ ; ในบางแห่งเชื อว่าปางที เก้านี+คือ พลรามาวตาร (อวตารเป็ นพลราม) หรื อพระพลรามซึ งเป็ นพี ชายของพระกฤษณะ เป็ นการ อวตารคู่กบั พระกฤษณะ ปางที 10 กัลกยาวตาร หรื อ กัลกิยาวตาร (อวตารเป็ นมนุษย์ผขู ้ ี มา้ ขาว หรื อ กัลกี) เป็ นอวตารที ยงั ไม่เกิดขึ+น แต่เป็ นการทํานายอนาคตไว้วา่ ในยามที เป็ น ปลายแห่งกลียคุ ที ที เมื อผูค้ นไม่รู้จกั ธรรมะ ไม่รู้ผิดชอบชัว ดีอีกต่อไป โลกทั+ง โลกต้องเผชิ ญกับยุคเข็ญไปทุกหย่อมหญ้า จะมีบุรุษขี มา้ ปรากฏตัวขึ+นเพื อปัด เป่ าความทุกข์ยาก และนําธรรมะกลับมาสู่มวลมนุษย์อีกครั+งหนึ ง

Matsyavatar • ปางที 1 มัตสยาวตาร (อวตาร เป็ นปลา) เพื อช่วยเหลือมวล มนุษย์และสัตว์ให้พน้ จากนํ+า ท่วมโลก

Vishnu Kurmavataram тАв р╕Ыр╕▓р╕Зр╕Чр╕╡ 2 р╕Бр╕╣р╕гр╕бр╕▓р╕зр╕Хр╕▓р╕г (р╕нр╕зр╕Хр╕▓р╕г р╣Ар╕Ыр╣З р╕Щр╣Ар╕Хр╣И р╕▓) р╣Ар╕Юр╕╖ р╕нр╕Кр╣И р╕зр╕вр╣Ар╕лр╕ер╣И р╕▓р╣Ар╕Чр╕зр╕░ р╣Бр╕ер╕░р╕нр╕кр╕╣ р╕гр╕Бр╕зр╕Щр╣Ар╕Бр╕йр╕╡р╕вр╕гр╕кр╕бр╕╕р╕Чр╕г

Vishnu Varaha Avatar • ปางที 3 วราหาวตาร (อวตาร เป็ นหมูป่า) มีสองตํานาน หลักๆคือ 1) เพื อปราบอสูร นาม"หิ รัณยากษะ"ซึ งลักเอา แผ่นธรณี ไปโดยการม้วน แล้วเหน็บไว้ที ขา้ งกาย และ 2) เพื อยุติการประลองพลัง อํานาจกันระหว่าง พระศิวะ และ พระพรหม

Vishnu Narsingh Avatar • ปางที 4 นรสิ งหาวตาร (อวตารเป็ นครึ งสิ งห์) เพื อ ปราบอสู รนาม "หิ รัณยกศิ ปุ" ผูเ้ ป็ นน้องชายของ "หิ รัณยากษะ"

Vishnu Vamana Avatar

• ปางที 5 วามนาวตาร (อวตารเป็ น พราหมณ์เตี+ย) เพื อปราบอสู รนาม "พาลี" ผูเ้ ป็ นเหลนของ "หิ รัณยกศิ ปุ"

Parshuram Avatar • ปางที 6 ปรศุรามาวตาร (อวตาร เป็ นพราหม์ผใู ้ ช้ขวานเป็ นอาวุธ) เพื อปราบกษัตริ ย ์ (ผูเ้ ป็ นมนุษย์) นาม "พระเจ้าอรชุน" หรื อ "พระ เจ้าสหัสอรชุน" ผูม้ ีใบหน้า 1พัน หน้า ผูก้ ่อยุคเข็ญและทําลายล้าง ศาสนา

Ramavatar - Ramchandra Avatar • ปางที 7 รามาวตาร หรื อ ราม จันทราวตาร (อวตารเป็ น พระราม กษัตริ ยแ์ ห่ งอโยธยา) เพื อปราบอสู รนาม "ราวณะ" หรื อ "ราพณ์" หรื อที คนไทยรู ้จกั กันดีในนาม "ทศกัณฐ์" กษัตริ ย ์ แห่ งกรุ งลงกา - ปางนี+เป็ นหลัก ในการจัด จารี ต และ ขนบธรรมเนียม ประเพณี ของ สังคมอินเดีย

Ramayana

http://www.youtube.com/watch?v=Zs03zXUUURs

รามายณะ (สันสกฤต: रामायण) เปนวรรณคดี ประเภทมหากาพยของอินเดีย เชื่อวาเปนนิทานที่เลาสืบ ตอกันมายาวนานในหลากหลายพื้นที่ของชมพูทวีป แต ผูไดรวบรวมแตงใหเปนระเบียบครั้งแรก คือ มหาฤๅษี วาลมีกิ เมื่อกวา 2,400 ปมาแลว โดยประพันธไวเปน บทรอยกรองประเภทฉันทภาษาสันสกฤต เรียกวา โศลก จํานวน 24,000 โศลกดวยกัน โดยแบงเปน 7 ภาค (กาณฑ หรือ กัณฑ) ดังนี้ 1.พาลกาณฑ 2.อโยธยากาณฑ 3.อรัณยกาณฑ 4.กีษกินธกาณฑ 5.สุนทรกาณฑ 6.ยุทธกาณฑ 7.อุตตรกาณฑ รามายณะเปนวรรณคดีที่มีการดัดแปลง เลาใหม และแพรหลายไปในหลายภูมิภาคของเอเชีย โดยมี เนื้อหาแตกตางกันไป และอาจเรียกชื่อแตกตางกันไป ดวย เปนเรื่องราวเกี่ยวกับการทําศึกสงครามระหวาง ฝาย พระราม กับ ฝาย ทศกัณฐ (ยักษ) โดยพระรามจะ มาชิงตัว นางสีดา (มเหสีของพระราม) ซึ่งถูกทศกัณฑ ลักพาตัวมา ทางฝายพระรามมีนองชาย ชื่อ พระ ลักษมณ และ หนุมาน (ลิงเผือก) เปนทหารเอกชวยใน การทําศึก รบกันอยูนานทายที่สุดฝายยักษก็ปราชัย รามายณะเมื่อแพรหลายในหมูชาวไทย คนไทย ไดนํามาแตงใหมก็เรียกวา รามเกียรติ์ ซึ่งมีหลายฉบับ ดวยกัน สวนในหมูชาวลาวนั้น เรียกวา พะลักพะลาม (พระลักษมณพระราม)

Krishna Avatar

• ปางที 8 กฤษณาวตาร (อวตารเป็ น พระกฤษณะ) เพื อขับรถม้าให้ "พระอรชุน" และสอนวิถี และวิธีการดําเนินชีวติ ให้แก่ พระอรชุน บทสนทนานั นเป็ นทีม าของบท Bhagavad Gita (ภัคว คีตา)คําสอนสําคัญในศาสนา Hindu

Mahabharata มหาภารตะเป็ นมหากาพย์ชิ+นเอกชิ+นหนึ งของโลก และ เป็ นหนึ งในสองมหากาพย์ที สาํ คัญที สุดของชนชาวอินเดีย เรื อง แรกคือ มหากาพย์รามายณะ หรื อรามเกียรติ?และเรื องที สองคือ มหากาพย์มหาภารตะนัน เอง มหาภารตะเป็ นเรื องราวที กล่าวถึงขนบธรรมเนียม ประเพณี วิถีชีวิต ศาสนา การเมือง ศิลปะหลายแขนง อีกทั+ง ประวัติความเป็ นมาของวงศ์ตระกูล และธรรมเนียมประเพณีการ รบการสงครามของอินเดียยุคโบราณ เนื+ อหาสาระของมหาภา รตะโดยหลักๆ ที รับรู้กนั ทัว ไปคือ เป็ นเรื องราวความขัดแย้งของ พี นอ้ งสองตระกูล ระหว่างตระกูลเการพ และ ตระกูลปาณฑพ ซึ งทั+งสองต่างก็สืบเชื+อสายมาจากบรรพบุรุษคนเดียวกัน นัน ก็ คือ ท้าวภรตแห่งกรุ งหัสตินาปุระ ผูเ้ กรี ยงไกรและเป็ นผู้ วางรากฐานการเมืองการปกครองให้กบั ดินแดนแคว้นแห่ งนี+ สื บ ต่อกันมาจนถึงลูกหลานแห่ งสองตระกูลคือ เการพ และปาณฑพ มหาภารตะยังเป็ นเรื องของการทํามหาสงครามที ยิง ใหญ่ ณ ทุ่งราบกุรุเกษตร ของพันธมิตรฝ่ ายเการพ และ พันธมิตรฝ่ ายปาณฑพ กล่าวกันว่านี คือการต่อสูร้ ะหว่างธรรมะ และฝ่ ายอธรรม ความดีและความชัว http://www.youtube.com/watch?v=wPWSGiXKDS8 At mins : 12

Buddha Avatar • ปางที 9 พุทธาวตาร (อวตารเป็ น พระพุทธเจ้า) ชาวฮินดูมีความ เชื อว่าพระนารายณ์อวตารในปาง นี+เพื อหลอกลวงให้พวกนอกรี ตที ไม่นบั ถือวรรณะแยกออกไปจาก ศาสนาพราหมณ์ ; ในบางแห่ ง เชื อว่าปางที เก้านี+คือ พลรามาว ตาร (อวตารเป็ นพลราม) หรื อ พระพลรามซึ งเป็ นพี ชายของ พระกฤษณะ เป็ นการอวตารคู่กบั พระกฤษณะ

Kalki Avatar • ปางที 10 กัลกยาวตาร หรื อ กัลกิยาวตาร (อวตารเป็ น มนุษย์ผขู้ ี มา้ ขาว หรื อ กัลกี) เป็ นอวตารที ยงั ไม่เกิดขึ+น แต่ เป็ นการทํานายอนาคตไว้วา่ ในยามที เป็ นปลายแห่ งกลียคุ ที ที เมื อผูค้ นไม่รู้จกั ธรรมะ ไม่ รู้ผิดชอบชัว ดีอีกต่อไป โลก ทั+งโลกต้องเผชิญกับยุคเข็ญ ไปทุกหย่อมหญ้า จะมีบุรุษขี ม้าปรากฏตัวขึ+นเพื อปั ดเป่ า ความทุกข์ยาก และนําธรรมะ กลับมาสู่มวลมนุษย์อีกครั+ง หนึ ง

Alexanderâ&#x20AC;&#x2122;s Invasion 327 B.C. : Indus Valley Civilization Timeline

Map of Alexanderâ&#x20AC;&#x2122;s Invasion and Conquest

Greco-Bactrian Kingdom 256 -125 BC.

The Greco Greco--Bactrian Kingdom was (along with the IndoIndo-Greek kingdom) the easternmost part of the Hellenistic world, covering Bactria and Sogdiana in Central Asia from 250 to 125 BC. The expansion of the Greco Greco--Bactrians into northern India from 180 BC established the IndoIndo-Greek Kingdom, which was to last until around 10 AD.

Demetrius I : The Expansion into India (after 180 BC)

Demetrius, the son of Euthydemus, started an invasion of India from 180 BC, a few years after the Mauryan empire had been overthrown by the Sunga dynasty. Historians differ on the motivations behind the invasion. Some historians suggest that the invasion of India was intended to show their support for the Mauryan empire, and to protect the Buddhist faith from the religious persecutions of the Sungas as alleged by Buddhist scriptures (Tarn). Other historians have argued however that the accounts of these persecutions have been exaggerated .

Greco-Bactrian Art 256 -125 BC.

Greco-Bactrian Art : Contact with China 256 -125 BC.

To the north, Euthydemus also ruled Sogdiana and Ferghana, and there are indications that from Alexandria Eschate the Greco-Bactrians may have led expeditions as far as Kashgar and Ă&#x153;rĂźmqi in Chinese Turkestan, leading to the first known contacts between China and the West around 220 BC

Greco-Bactrian Art : Greek culture in Bactria 256 -125 BC. The GrecoGreco-Bactrians were known for their high level of Hellenistic sophistication, and kept regular contact with both the Mediterranean and neighbouring India. They were on friendly terms with India and exchanged ambassadors.

Kushan Empire 1st Century The Kushan Empire (BHS GuṣāṇaGuṣāṇa-vaṃśa, Parthian Kušanxšaθr) originally formed in the early 1st century AD under Kujula Kadphises in the territories of ancient Bactria on either side of the middle course of the Oxus (or Amu Darya) in what is now northern Afghanistan, northern Pakistan, and southern Tajikistan and Uzbekistan. During the 1st and early 2nd centuries AD the Kushans expanded rapidly across the northern part of the Indian subcontinent at least as far as Saketa and Sarnath near Varanasi (Benares) where inscriptions have been found dated to the first few years of era of the most famous Kushan ruler, Kanishka which apparently began about 127 AD.

Kushan Empire 1st Century

The Qila Mubarak fort at Bathinda

Kushan Empire 1st Century

Offerings found in Bodh Gaya under the Enlightenment Throne of the Buddha... with a decorated coin of the Kushan emperor Huvishka 3rd century AD. British Museum.

Sculpture of a spear-throwing foreign soldier, Later Han, Three Kingdoms 3rd century AD, China.

A Buddhist devotee in Kushan dress, Mathura 2nd Century. Mathura

Kushan Empire 1st Century The Kushans adopted elements of the Hellenistic culture of Bactria. They adopted the Greek alphabet to suit their own language (with the additional development of the letter Ă&#x17E; "sh", as in "Kushan") and soon began minting

coinage on the Greek model. On their coins they used Greek language legends combined with Pali legends (in the Kharoshthi script), until the first few years of the reign of Kanishka. After that date, they used Kushan language legends (in an adapted Greek script), combined with legends in Greek (Greek script) and legends in Pali (Kharoshthi script).

Tetradrachm of Kujula. Kadphises (30â&#x20AC;&#x201C;80 AD) in the style of Hermaeus.

Kushan Empire 1st Century

Silver tetradrachm of the first known self-declared Kushan. Kossano on his coins, ruler Heraios..AD 1–30

Coin of Kanishka I

Tetradrachm of Kujula Kadphises (30–80 AD) in the style of Hermaeus.

Vasudeva Coin

Vima Kadphises Coin

Kushan Deities The Kushans are believed to have been predominantly Zoroastrian.However, from the time of Vima Takto, many Kushans started adopting aspects of Buddhist culture. Like the Egyptians, they absorbed the strong remnants of the Greek Culture of the Hellenistic Kingdoms, becoming at least partly Hellenised. The great Kushan emperor Vima Kadphises may have embraced Saivism, as surmised by coins minted during the period. The following Kushan emperors represented a wide variety of faiths including Zoroastrianism, Buddhism, and possibly Saivism (a sect of Hinduism).

Kushan Deities

Kushan and Buddhist Cultural exchanges also flourished, encouraging the development of GrecoGreco-Buddhism, a fusion of Hellenistic and Buddhist cultural elements, that was to expand into central and northern Asia. Kanishka is renowned in Buddhist tradition for having convened a great Buddhist council in Kashmir. Kanishka also had the original Gandhari vernacular, or Prakrit, Buddhist texts translated into the language of Hybrid Sanskrit. Along with the Indian emperors Ashoka and Harsha Vardhana and the Indo--Greek king Menander I (Milinda), Kanishka is considered by Buddhism Indo one of its greatest

Kushan and Buddhist

Kingdom of Gandhara 1 -11 st

CE.

The Kingdom of Gandhara lasted from early 1st millennium BC to the 11 11th th century AD. It attained its height from the 1st century to the 5th century under the Buddhist Kushan Kings. The Hindu Shahi, a term used by history writer AlAl-Biruni to refer to the ruling Hindu dynasty that took over from the Turki Shahi and ruled the region during the period prior to Muslim conquests of the 10 10th th and 11 11th th centuries. After it was conquered by Mahmud of Ghazni in 1021 CE, the name Gandhara disappeared. During the Muslim period the area was administered from Lahore or from Kabul. During Mughal times the area was part of Kabul province. The Parthian dynasty fell about 75 to another group from Central Asia. The Kushans, known as Yuezhi in China (although ethnically Asii) moved from Central Asia to Bactria, where they stayed for a century. Around 75, one of their tribes, the Kushan (Kusana), under the leadership of Kujula Kadphises gained control of Gandhara and other parts of what is now Pakistan. The Kushan period is considered the Golden Period of Gandhara. Peshawar Valley and Taxila are littered with ruins of stupas and monasteries of this period. Gandharan art flourished and produced some of the best pieces of Indian sculpture. Many monuments were created to commemorate the Jataka tales.

Gandhara : From Mohenjo-Daro to the Hellenistic Style The decline of the Empire left the subsub-continent open to the inroads by the GrecoGreco-Bactrians. Southern Afghanistan was absorbed by Demetrius I of Bactria in 180 BC. Around about 185 BC, Demetrius invaded and conquered Gandhara and the Punjab. Later, wars between different groups of Bactrian Greeks resulted in the independence of Gandhara from Bactria and the formation of the IndoIndo-Greek kingdom. Menander was its most famous king. He ruled from Taxila and later from Sagala (Sialkot). He rebuilt Taxila (Sirkap) and Pushkalavati. He became a Buddhist and is remembered in Buddhists records due to his discussions with a great Buddhist philosopher, NÄ NÄ gasena, in the book Milinda Panha.

Gandhara : Bactrians, Sakas, and Indo-Parthians : Hellenistic Style

Gandhara :The Golden Age of Kushan Rule The Gandhara civilization peaked during the reign of the great Kushan king Kanishka (128 (128â&#x20AC;&#x201C;â&#x20AC;&#x201C;151 151).). The cities of Taxila (Takshasila) at Sirsukh and Peshawar were built. Peshawar became the capital of a great empire stretching from Bengal to Central Asia. Kanishka was a great patron of the Buddhist faith; Buddhism spread to Central Asia and the Far East across Bactria and Sogdia, where his empire met the Han Empire of China. Buddhist art spread from Gandhara to other parts of Asia. Under Kanishka, Gandhara became a holy land of Buddhism and attracted Chinese pilgrim to see monuments associated with many Jataka tales. In Gandhara, Mahayana Buddhism flourished and Buddha was represented in human form. Under the Kushans new Buddhists stupas were built and old ones were enlarged. Huge statues of the Buddha were erected in monasteries and carved into the hillsides. Kanishka also built a great tower to a height of 400 feet at Peshawar. This tower was reported by Faxian ([Fa ([Fa-hsien]), Songyun (Sung(Sung-yun) and Xuanzang ([Hsuan ([Hsuan--tsang]). This structure was destroyed and rebuilt many times until it was finally destroyed by Mahmud of Ghazni in the 11 11th th century.

Gandhara

:The Scene of the Buddha Life

2nd-3rd CE.

Gandhara

:The Scene of the Buddha Life

2nd-3rd CE.

Gandhara School : The Buddha and Bodhisattva Images

Buddhist Influence Amaravati Dynasty Maurya & Shunga Dynasty Gandhara Dynasty Gupta & Post Gupta Dynasty Pallava Dynasty Pala-Sena Dynasty

Amaravati Stupas

Maurya Empire 220 BC. : King Ashoka “The Great” 269-232 BC.

Ashoka Pillar Ashoka the Great, was an Indian emperor of the Maurya Dynasty who ruled almost all of the Indian subcontinent from (ca. 269 BC to 232 BC) One of India's greatest emperors, Ashoka reigned over most of present-day India after a number of military conquests. His empire stretched from present-day Pakistan, Afghanistan and eastern parts of Iran in the west, to the presentday Bangladesh and the Indian state of Assam in the east, and as far south as northern Kerala and Andhra Pradesh. He conquered the kingdom named Kalinga, which no one in his dynasty had conquered starting from Chandragupta Maurya.

Ashoka Pillar

“Dhamek Stupa” The OldestOldest-known stupa at Sarnath

The Buddha Image at Dhamek Stupa “the First Sermon Gusture” (Gupta Style)

The Great Stupa at Sanchi ( CE. 3rd BC. BC.--12th Century)

Sanchi is a small village in Raisen District of the state of Madhya Pradesh, India, it is located 46 km north east of Bhopal, and 10 km from Besnagar and Vidisha in the central part of the state of Madhya Pradesh. It is the location of several Buddhist monuments dating from the 3rd century BCE to the 12th century CE and is one of the important places of Buddhist pilgrimage. It is a nagar panchayat in Raisen district in the Indian state of Madhya Pradesh. Toranas surround the Stupa and they each represent love, peace, trust, and courage. The 'Great Stupa' at Sanchi was originally commissioned by the emperor Ashoka the Great in the 3rd century BCE. Its nucleus was a simple hemispherical brick structure built over the relics of the Buddha. It was crowned by the chatra, a parasol-like structure symbolizing high rank, which was intended to honor and shelter the relics

The Great Stupa at Sanchi (50 AD.)

Torana and Stone Carving Decorative at Sanchi

Mahavir The Founder of Jainism (500 B.C.) : Indus Valley Civilization Timeline

Gupta Empire : The Golden Age of India 320-550 AD.

Nalanda : The Oldest Buddhist University (6

Some historical studies suggest that the University of Nalanda was established during the reign of a king called Śakrāditya. Both Xuanzang and Prajñavarman cite him as the founder, as does a seal discovered at the site. As historian Sukumar Dutt describes it, the history of Nalanda university "falls into two main divisions-first, one of growth, development and fruition from the sixth century to the ninth, when it was dominated by the liberal cultural traditions inherited from the Gupta age; the second, one of gradual decline and final dissolution from the ninth century to the thirteen--a period when the tantric developments of Buddhism became most pronounced in eastern India.

Century – 1196) 1196)

Xuanzangâ&#x20AC;&#x2122;s Pilgrim to India (Journey to the west)

Nalanda : The Oldest Buddhist University (6

Century â&#x20AC;&#x201C; 1196) 1196)

Nalanda : The Oldest Buddhist University (6

Century â&#x20AC;&#x201C; 1196) 1196)

Nalanda : The Oldest Buddhist University (6

Century â&#x20AC;&#x201C; 1196) 1196)

Nalanda : Sariputta Stupa (6

th Century â&#x20AC;&#x201C;

1196) 1196)

Nalanda : The Oldest Buddhist University (6

Century â&#x20AC;&#x201C; 1196) 1196)

“Ajanta & Ellora” The most delicate Rock-cut Monastery (300-700 AD.)

“Ajanta” The most delicate Rock-cut Monastery (300-700 AD.)

“Ellora” The most delicate Rock-cut Monastery (300-700 AD.)

Pallava Kingdom of Southern India

275 CE - 350 CE

Pallava Kingdom of Southern India

275 CE - 350 CE

The Pallava dynasty was a Tamil dynasty of South India which ruled the northern Tamil Nadu region and the southern Andhra Pradesh region with their capital at Kanchipuram, the largest capital of the sovereign nation Tondai Nadu of Tamilakkam. They had established themselves as a notable rising power in the region between 275 CE - 350 CE The Pallavas traced their origin to sage Aswatthaman , the son of gallant drona who was a seer in the line of sage Bharadwaja who is credited with documenting one compendium of the Rig Veda. Almost all available Pallavan and Cholan literature introduce Pallavas, as having stemmed from the warrior sage, Aswatthaman who once while penancing at a hermitage was wed to the celestial nymph, Menaka. The Pallava epigraphs credit them with being virtuous, pious, devoted and of being excellent warriors. The inscriptions of pallavas also mention this tale by referring to them as samkirana jati or mixed castes of brahma kshatras.