ภาพจิตรกรรมไทยบนฝาผนัง
วัดกลางธรรมสาคร จังหวัดอุตรดิตถ์
อธิษฐาน แก้วดี
ภาพจิตรกรรมไทยฝาผนัง
วัดกลางธรรมสาคร จังหวัดอุตรดิตถ์
อธิษฐาน แก้วดี
1
2
3
จิตรกรรมฝาผนังนัดอุโบสถวัดกลาง เป็นจิตรกรรมที่เขียนโดยช พระประธานเป็นผนังว่างเปล่าไม่มีภาพเขียน แต่เดิมมีภาพเขียนมารผ บรมธาตุทุ่งยั้ง ผนังด้านข้างส่วนล่างจากพื้นพระอุโบสถถึงขอบหน เหนือขอบหน้าต่างด้านบนขึ้นไปทางซ้ายมือเป็นภาพเขียนทศชาติชาดก ประทุมชาดก ซึ่งชาดกนี้เป็นที่นิยมกันในสมัยรัชกาลที่ 5-6
ถัดจากภาพชาดกขึ้นไปจะเป็นพื้นที่แบ่งออกเป็น 3 ชั้นชั้นล่างเขีย ตาลปัดพัดยศ ชั้นกลางเป็นภาพเทพชุมนุม นั่งหันหน้าไปทางพระประ อุโบสถ วิหาร บนผนังด้านเหนือหน้าต่างขึ้นไป แบ่งเป็น 3 แถว หรือ 4 เรียงรายไปทั้ง 3 แถว ระหว่างเทพคั่นด้วยเจดีย์หรือพัดยศแถวล่างสุดนิย ในอยุธยาตอนปลายเทพชุมนุมแถวล่างเขียนเป็นรูปหนุมาน สุครีพ ครุฑ
สมัยราชการที่ 4 เปลี่ยนความนิยม เลิกเขียนเทพชุมนุมบนผนังด้า เขียนเวสสันดรชาดก เทพชุมนุมเก่าที่สุดอยู่ที่วัดใหม่ประชุมพลนครหลว เพชรบุรี เขียนแบ่งผนังด้านข้างเป็น 4 ช่อง จนดูเต็มไปหมดทั้งผนัง เนื่อง
สำ�หรับเทพชุมนุมที่พระอุโบสถแห่งนี้ เขียนโดยชั้นบนสุดเป็นรูป พระประธานคั่นด้วยพัดยศ)ผนังด้านหลังพระประธานมีการทาสีทับและม หรือโพธิบัลลังก์ ซึ่งโพธิบัลลังก์มักเขียนเป็นรูปพุ่มใบโพธิ์ไว้เบื้องหลังพร อยู่ด้านหลัง คือรัศมีหกประการของพระพุทธเจ้า ช่างเขียนโบราณมักนิยม 4
ช่างนิรนาม ไม่ปรากฎชื่อผู้เขียนและวันเดือนปีที่เขียน ผนังด้านหน้า ผจญไว้ที่ผนังด้านหน้า เหมือนที่ปรากฏอยู่ที่ผนังด้านหน้าของวิหารวัด น้าต่างด้านบนทั้งสองด้านลบเลือนแต่ยังมีร่องรอยของภาพเขียนปรากฏ ก ตอนพระเวสสันดรสร้างบารมีทาน ผนังด้านขวามือเขียนภาพจุล-
ยนภาพฤๅษี นักสิทธิ์ วิทยาธร ยักษ์ นั่งหันหน้าไปทางพระประธานด้วย ะธานคั่นด้วยตาลปัตรพัดยศ ซึ่งสมัยอยุธยานิยมเขียนภาพเทพชุมที่ผนัง แถว สลับพื้นด้วยสีแดงชาด และสีม่วงแก่ หรือสีน้ำ�ตาล เขียนเทพชุมนั่ง ยมเขียนรูปเทพชั้นต่ำ� มีครุฑ ยักษ์ และเทวดาจัตุมหาราชิก ที่วัดช้างใหญ่ ฑสลับกันไป
านข้างเหนือหน้าต่างขึ้นไป หันมาเขียนเรื่องราวต่างๆ เช่น วัดทองนพคุณ วงอยุธยาสมัยพระเจ้าปราสาท-ทอง ส่วนเทพชุมนุมวัดใหญ่สุวรรณารามงจากที่นั่นไม่มีหน้าต่าง
ปอรหันต์สาวกหรือพระมาลัย(นั่งสะพายบาตรถือตาลปัตรหันหน้าไปทาง มีการเขียนภาพต่อเติมขึ้นมาใหม่ในชั้นหลังเขียนเป็นรูปซุ้มโพธิ์เรือนแก้ว ระพุทธรูปหรือเขียนพระพุทธรูปคติโบราณ และมีฉัพพรรณรังสีพวยพุ่ง มเขียนเป็นลายกนกเปลวสอดสลับหลายสี 5
ผนังด้านซ้าย เ
6
เวสสันดรชาดก
7
8
ส่วนแรกของผนังซ้าย กัณฑ์ที่ 1 กัณฑ์ทศพร เป็นตอน นางผุสดีเป็นมเหสีของพระอินทร์จะต้องมาจุติจากดาวดึงส์ลงมา เกิดในโลกมนุษย์ นางจึงขอพรพระอินทร์ 10 ประการ ซึ่งมีพรที่ สำ�คัญ 3 ประการ คือ ขอให้เกิดในปราสาทพระเจ้าสีวีราช ขอได้ นามว่าผุสดี และขอให้มีพระโอรสทรงมักในการทำ�ทาน
9
10
พระเวสสันดรทรงพระราชทานทรัพย์สินแก่บรรดา อาณาไพร่ราษฎร์
11
12
ส่วนที่ 2 ของผนังทางกลางเป็นภาพป่านีย้ าวติดต่อกับกัณฑ์ วนประเวศน์กนิ พืน้ ทีไ่ ปจนถึงพืน้ ทีผ่ นังกลาง ภาพกลางซ้ายเป็น ตอนทานกัณฑ์เมื่อขึ้นรถออกจากวังแล้วมีพราหมณ์มาขอม้าขอ รถไป เมือ่ พระเวสสันดรและนางมัทรีเดินทางผ่านเมืองต่างๆจนถึง เมืองเจตราษฎร์เชิญขึน้ ครองเมือง
13
14
ห้องภาพส่วนสุดท้ายเป็นภาพเกี่ยวกับตัวเมืองเจตราษฎร์
15
ผนังด้านขวาจ
16
จุลปทุมชาดก
17
18
ส่วนที่ 1 เป็นหมูป่ ราสาทราชวังตรงกลางมีกษัตริยป์ ระทับ นัง่ ว่าราชการอยู่ ในปราสาทเรือนยอด และมีนางกษัตริยน์ ง่ั อยูด่ า้ น ข้าง 2 นาง ทางซ้ายเป็นสนมนางในกำ�ลังแต่งตัวอยู่ ด้านล่างมีหนุม่ ๆ แอบมองชะเง้อดู ด้านขวาของปราสาทมีศาลาโถงคัน่ กลางด้วยรัว้ ไม้ ภายในมีกษัตริน์ ง่ั ว่าราชการอยูแ่ ละมีนางกษัตริยน์ ง่ั อยูด่ ว้ ย 3 นาง ด้านล่างมีฝงู ชนเฝ้า
19
20
ส่วนที่ 2 เป็นเรื่องราวในป่ามีผู้คนทำ�กิจกรรมต่างๆ เช่น เข้าป่าล่าสัตว์ เดินเที่ยวไปมา สำ�หรับป่าเต็มไปด้วยโขดหิน
21
22
ส่วนที่ 3 เป็นการจัดภาพเมือง
23
24
ส่วนที่ 4 เป็นภาพป่า กษัตริย์เดินทางออกจากเมืองมุ่งหน้า สู่ป่า มีชาวบ้านนำ� สัตว์มาเลี้ยงในภาพเป็นวัว บ้างก็ทำ�กิจกรรม ต่างๆตามแนวราวป่า บ้างก็ล่าสัตว์ ส่วนหนุ่มสาวก็ซุ่มอยู่ในราวป่า เป็นคู่ๆ อยู่ทางด้านบนภาพ
25
26
ส่วนที่ 5 เป็นเรื่องภายในตัวเมือง
27
28
เทพชุมนุม ภาพเทพชุมนุมเขียนไว้บนผนังเป็นส่วนที่ 3 ส่วนของผนังด้านทิศใต้ จิตรกรรมแบ่งออกเป็น 3 ชัน้ คือ ชัน้ ล่างสุดเป็นนักสิทธิ ( นักสิธเิ ป็นฤาษีประเภทหนึง่ ทีอ่ ยูใ่ นป่า หิมพานต์ เป็นผูม้ อี ทิ ธิฤทธิส์ ามารถเหาะเหินเดินอากาศได้) ชัน้ กลางเป็นภาพเทพชุมมุม ชัน้ บนสุดเป็นภาพพระอรหันต์สาวก หรือพระมาลัยเส้นลายหน้ากระดานทีค่ น่ั ระหว่างส่วนที่ 2 และ 3 เป็นลายพรรณพฤกษา และเครือเถา ส่วนที่ 3 ของผนังด้านทิศเหนือ ก็เป็นการเขียนภาพเทพ ชุมนุมเช่นเดียวกับผนังด้านทิศใต้ เส้นลายกระดานคัน่ ระหว่างส่วน ที่ 2 และส่วนที ่ 3 เป็นลายหน้ากระดานลูกฟัก สลับลายดอกซีก ส่วนแรกของส่วนที่ 3 เป็นรูปพญาครุฑสลับกับพญายักษ์ คัน่ ด้วยพัดยศ เทพชุมนุมอยูช่ น้ั ที่ 2 และพระอรหันต์สาวกหรือพระ มาลัยอยูช่ น้ั สุดท้าย
29
30
เทคนิคในการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนัง สำ�หรับพื้นดินและท้องฟ้า มีการซ่อมทับกันมาหลายครั้งสี พื้นดินและท้องฟ้าเดิมเป็นสีน้ำ�ตาลอ่อน แดงเสนอ่อนๆและแดง ชาดอ่อนๆ สังเกตสีเดิมตามจุดต่างๆได้ดังนี้
ผนังด้านทิศใต้
1. สีพน้ื ดินและท้องฟ้า บริเวณกัณฑ์แรก ตรงใต้ปราสาทที่ พระนางผุสดีนอนอยูเ่ ป็นสีพน้ื เดิมไม่มกี ารเขียนซ่อมหรือระบายทับ สีท้องฟ้าถูกระบายทับด้วยสีครามแต่ยังพอมองเห็นร่องรอยของสี เดิมได้เล็กน้อยคือสีน�ำ้ ตาลอ่อน 2.พืน้ ทีภ่ ายในตัวเมือง ผนังด้านทีต่ ดิ กับพระประธาน เป็นสี น้�ำ ตาลอ่อนซึง่ คือสีเดิม 3. ด้านบนของภาพตลอดทัง้ ผนังมีการระบายทับสีทอ้ งฟ้า ด้วยสีครามมอคราม บริเวณกัณฑ์แรกระบายทับเลยลงมาถึงกำ�แพง ใต้ และมีคนเดินอยูบ่ นท้องฟ้าซึง่ ผิดจากความเป็นจริงแสดงถึงผูไ้ ม่รู้ ในการซ่อม 4. ส่วนทีอ่ น่ื ๆถูกระบายทับให้เข้มขึน้ ด้วยสีน�ำ้ ตาลเข้มและ อ่อนบ้างเพื่อเน้นให้ภาพชัดขึ้นซึ่งทำ�ให้การเขียนภาพแบบอยุธยา หายไปอย่างน่าเสียดาย
31
32
ผนังด้านทิศเหนือ
1.สีพื้นและสีท้องฟ้าถูกระบายทับและถูกต่อเติม ซึ่งสีเดิมตอน บนบริเวณประตูระบายเป็นสีน้ำ�ตาลเข้มท้องฟ้าระบายเป็นสีมอคราม 2.ส่วนที่ 2 ไม่มีการระบายทับ เป็นสีเดิมตลอดแต่ไประบาย ทับที่อื่น 3. ส่วนที่ 3 พื้นด้านล่างระบายเป็นสีน้ำ�ตาลเข้มส่วนท้องฟ้า ระบายเป็นสีคราม 4. ส่วนที่ 4 ไม่มีการระบายสีทับ เป็นสีเดิมตลอดแต่ไประบาย ทับที่อื่น 5.ส่วนที่ 5 มีการระบายทับบางๆด้วยสีน้ำ�ตาลเข้มเป็นบาง แห่ง ด้านบนระบายทับด้วยสีคราม เป็นสีท้องฟ้า
33
34
เทคนิคการเขียนต้นไม้ และก้อนหิน
เทคนิคการเขียนภาพทีน่ ม่ี กี ารใช้สเี พียงไม่กส่ี คี อื สีเขม่า(ดำ�) สีฝนุ่ (ขาว) สีดนิ แดง สีชาดและเสนเพียง 4-5สีเท่านัน้ อาจมีสเี ขียว มาผสมบ้าง การเขี ย นภาพต้ น ไม้ บ นผนั ง ด้ า นทิ ศ ใต้ เ ขี ย นแบบต้ น ไม้ ประดิษฐ์ เป็นทีน่ ยิ มเขียนกันในสมัยรัชกาลที่ 2-4 คือเขียนแบบจีน แต่เป็นช่างไทยมาเน้นให้เป็นแบบตกแต่งมากขึ้นช่างได้ใช้สีแดง ลิน้ จี่ ขาว และแดงเสนเขียนลำ�ต้นส่วนใบไม้ใช้สดี � ำ เขียวเข้มมิ อครา มอและมอหมึก โดยใช้พกู่ นั เปลือกกระดังงากระทุง้ เป็นพุม่ ใบ บาง ทีเ่ ขียนเป็นใบๆแล้วตัดด้วยเส้น บางแห่งป้ายสีบางๆเป็นใบๆทับลง ไปบนต้นไม้ บางทีเ่ ขียนเลียนแบบเหมือนจริง สีทใ่ี ช้เขียนมีสขี าว เทา เสน น้�ำ ตาลเข้มแล้วตัดเส้นด้วย สีเสน น้�ำ ตาลเข้ม ดำ�
35
36
ใบไม้มกี ารเขียน 3 แบบ คือ การเขียนด้วยเปลือกกระดังงาที่ ถูกทุบ กระทุง้ ให้เป็นพุม่ ด้วยสีเขียวเข้ม แบบที่ 2 ลงสีพน้ื ด้วยสีเขียว เข้มตัดเป็นใบๆด้วยสีออ่ นๆ เช่นสีขาวเหลือง อ่อนเขียวอ่อนแล้วตัด เส้นด้วยสีด� ำ เป็นเทคนิคการเขียนทีส่ บื ทอดกันมาตัง้ แต่สมัยรัชกาล ที่ 1 แบบที่ 3 ใช้พกู่ นั เขียนตวัดปลายพูก่ นั ให้ใบไม้พริว้ ไหวอย่าง อิสระ บางจุดมีการแต้มสีขน้ึ ทับใหม่เป็นต้นหญ้าแซมอยูต่ ามจุด ต่างๆเล็กน้อย ส่วนก้อนหินเขียนเป็นแบบประดิษฐ์แบบจีนเหมือนต้นไม้ แทรกด้วยหมูม่ วลต้นไม้ใบไมดอกเป็นหย่อมๆ ตลอดทัง้ ห้อง ใช้การ ระบายสีบางๆและตัดด้วยเส้นหนัก และหนาเหมือนกับโครงสีเดิม เป็นสีออ่ นๆเช่น สีเทาอ่อน สีน�ำ้ ตาลอ่อน และสีเสนแล้วเน้นเหลีย่ ม สันหรือหยักโค้งด้วยสีทเ่ี ข้มกว่าสองสามชัน้ เป็นลักษณะการเขียน ของช่างในรัชกาลที่ 1 การเขียนภาพต้นไม้และก้อนหินบนผนังด้านทิศเหนือ เดิม มีการเขียนภาพต้นไม้อยูไ่ ม่กต่ี น้ และเขียนใบไม้ดว้ ยวิธกี ระทุง้ ด้วย เปลือกกระดังงาเป็นหย่อมๆแต่ถูกระบายสีและเขียนทับเป็นต้น ไม้เล็กๆด้วยสีขาว และสีเสนเต็มไปหมดเช่นเดียวกับก้อนหินทีถ่ กู ระบายสีและเขียนตัดเส้นใหม่หมด
37
38
การเขียนภาพสัตว์
ผนังด้านทิศใต้ เป็นการเขียนภาพสัตว์แบบเหมือนจริง เขียนแบบง่ายๆได้อารมณ์ และมีชีวิตชีวาเป็นอย่างดี มีเสือโคร่ง ระบายสีตัวเป็นสีน้ำ�ตาลอ่อน ท้องและหนวดเป็นสีขาว ตัดเส้นลาย ด้วยสีดำ� เป็นสีที่มาแต่เดิม ส่วนเก้งที่เดินอยู่ก็เขียนเช่นเดียวกัน กับเสือ สัตว์ที่มีมากที่สุดคือนกชนิดต่างๆ เขียนด้วยสีขาว สีดำ� สี น้ำ�ตาล ทั้งตัวเล็กตัวใหญ่มีหลายขนาดลายพันธ์เช่น นกแก้ว นก แซงแซว และนกพันธุ์อื่นๆอีก ส่วนสัตว์หิมพานต์ที่พบได้แก่ตัว อรหัน 2 ตัว ตัวผู้ กับตัวเมีย ซึ่งไม่ใช่กินรีกับกินนรเพราะส่วนบน เป็นคนเหมือนกันแต่ส่วนล่างมีหางเหมือนนก ผนังด้านทิศเหนือมีเสือเขียนแบบด้านทิศใต้ ส่วนเก้งถูก ระบายทับด้วยสีคราม สัตว์ที่มีเพิ่มเข้ามาได้แก่ช้าง ส่วนสัตว์เลี้ยง ได้แก่วัวด้วยสีเสน ตัดเส้นด้วยสีตาล
39
40
การเขียนภาพคน การเขี ย นภาพกษั ต ริ ย์ แ ละพระราชวงศ์ เ ครื่ อ งทรงและ เครื่องประดับปิดทอง และตัดเส้นด้วยสีแดงและสีน้ำ�ตาลทุกองค์ ในเมืองกษัตริย์จะประทับนั่ง ออกว่าราชการอยู่ในปราสาทเรือน ยอดส่วนพระมเหสีจะประทับนั่งอยู่ด้านหลังหรือด้านข้างซ้ายขวา หรือศาลาโถง เว้นแต่บนผนังด้านทิศเหนือส่วนที่ 5 พระมเหสี ออกออกมาเดินข้างๆวังภายในกำ�แพงเมือง วั ฒ นธรรมการแต่ ง กายของผู้ ค นหรื อ ชาวบ้ า นทั่ ว ทั่ ว ไป นุ่งโจงกระเบนทั้งชายและหญิง เดิมภาพเขียน ผ้าโจงกระเบนจะ ระบายเป็นสีพื้น เช่น สีเขียว สีเสน สีน้ำ�ตาล สีน้ำ�ตาลอ่อน สีขาว ไม่มีการเขียนยกลาย หรือยกดอก เพราะเป็นผ้าของชนชั้นสูง การ เขียนยกลายเขียนลงสีและตัดเส้นใหม่ทั้งหมดชั้นหลังด้วยความ ไม่รู้ระเบียบกติกา ผู้ชายไม่ใส่เสื้อ บางคนมีผ้าพาดไหล่ ยกเว้น บรรดาข้าราชบริพารใส่เสื้อคอกลมแขนกระบอกมีผ้าเคียนเอวไว้ ปมทรงมหาดไทยหรือหลักแจว ที่บริเวณภายนอกกำ�แพงเมืองใน ภาพเขียนบนผนังด้านทิศใต้ส่วนที่ 5 มีภาพชายใส่เสื้อคอกลม แขนกระบอกยาวสีเสน ส่วนหญิงห่มผ้าแถบมีทั้งห่มเฉียงและห่ม ตะเบ็งมาน หรือพลาดคอไว้เฉยๆ สีเช่นเดียวกับโจงกระเบนสีเช่น เดียวกับโจงกระเบน เขียนลงสีและตัดเส้นใหม่หมดในชั้นหลัง แต่ยังมีผ้าพื้นเดิมเหลือให้เห็นอยู่แทรกๆทั่วไปทั้งสองผนัง เช่น เดียวกันทรงผมไว้ปีกที่บริเวณประตูกำ�แพงเมืองในภาพเขียนบน ผนังด้านทิศใต้ 41
42
ส่วนที่ติดกับพระประธาน มีผู้หญิงชาวเหนือนุ่งผ้าซิ่นไว้ผม ยาว มือขวาถือผ้าพาดบ่า แปลกไปจากคนอื่น เกล้ามวย มีปิ่นปัก ผม นับเป็นวัฒนธรรมการแต่งกายของผู้คนที่อยู่ในสังคมเดียวกัน ส่วนเด็กจะใส่เสื้อคอกลมแขนกระบอกยาว บางคนไม่ใส่เสื้อ จะไว้ ผมหลายแบบ คือ จุก แกละ และผมเปีย แสดงถึงวัฒนธรรมการไว้ ผมของเด็กสมัยก่อนเป็นอย่างดี การเขียนใบหน้าและท่าทางของตัวพระตัวนางไม่ได้เขียน แบบมาตรฐานภาพเขียนไทยโบราณ คือมีการเขียนแสดงความ รู้สึกของใบหน้าด้วย เช่นยิ้มแย้มเป็นต้น สัดส่วนของตัวพระ และ ตัวนาง จะผอมสูงอรชร ท่านั่งของตัวนางจะนั่งพับเพียบท้าวแขน ข้างหนึ่งด้วยแขนอีกข้างหนึ่ง ส่วนแขนอีกข้างนั้นจะทำ�กริยา อาการต่างๆ ส่วนกษัตริย์จะนั่งชันเข่าข้างหนึ่ง หรือนั่งขัดสมาธิ หรือมือข้างหนึ่งถือพระขรรค์ มืออีกข้างทำ�กริยาต่างๆ ส่วนเหล่า สนม กำ�นัล ข้าราชบริพาร และไพร่ฟ้า ช่างเขียนได้เขียนอย่าง มีชีวิตชีวาแทบทุกอิริยาบถจะยืน เดิน นั่ง หมอบ คลาน พูดคุยห ยอกล้อกัน รวมถึงการทำ�กิจวัตรประจำ�วัน ตามวิถีธรรมชาติของ คนทั่วๆไปสัดส่วนของคนทั่วๆไปมีทุกขนาดไม่ว่าอ้วน ผอมสูง ่ำ� ดำ�ขาว มีทุกผิวพรรณ แสดงถึงวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกันของผู้คน หลายเชื้อชาติ
43
44
สิ่งของเครื่องใช้ สิ่งของเครื่องใช้ที่ปรากฏในภาพเขียนมีอยู่มาก ช่างมุ่งเขียน แต่เกี่ยวกับภาพชาดก เครื่องประดับ และสิ่งของเครื่องใช้ที่พบ ได้แก่ เครื่องดนตรีของวงมโหรี ที่ปรากฏในกัณฑ์แรก ผนังด้านทิศ ใต้ ได้แก่ พิณ ซอด้วง รำ�มะนาโทน อันเป็นเครื่องดนตรีที่พบใน จิตรกรรมมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ซึ่งมีของใช้ได้แก่ พานทำ�ด้วยทองคำ�ที่เวสสันดรใช้ใส่สิงของ บริจาคทานแก่ อาณาประชาราษฎร์ ปรากฏในกัณฑ์แรก ผนังด้านทิศใต้ หมอนอิงที่ปรากฏในผนังด้านทิศใต้ที่ติดกับพระประธาน เป็นรูปสามเหลี่ยมหุ้มด้วยฝ้ายกลายเส้นทอง ร่มที่ปรากฏในกัณฑ์แรกบนผนังทางทิศใต้ เป็นร่มผ้าสีขาว รูปทรงคล้ายร่มทางยุโรป เพราะมีความโค้งมาก ร่มทางเหนือสมัย ก่อนจะทำ�ด้วยกระดาษสาทาน้ำ�มัน และโค้งลาดเอียงน้อย พัดขนาดเล็ก มีขนาดเล็กคงใช้พัดไม่ได้ที่นางกำ�นัลถือคอย ถวายงาน ด้ามทำ�ด้วยทองคำ� ตัวพัดทำ�ด้วยไม้ไผ่สาน พัดโบก ด้ามลงรักสีแดงตัวพัดทำ�ด้วยทองคำ� ทำ�ด้วยผ้าที่มี สำ�หรับนางกำ�นัลถือ คอยถวายงาน กระบุงที่ผู้หญิงถือ และผู้ชายเดินหาบกระบุงด้วยไม้คาน อยู่ นอกกำ�แพงเมือง ที่ปรากฏในผนังด้านทิศใต้ที่ติดกับพระประธาน มีขนาดเล็ก ทำ�ด้วยไม้ไผ่สาน ลงรักสีดำ�ส่วนไม้คาน ทำ�ด้วยไม้ไผ่ ดัดส่วนปลายให้งอโค้งเชิดขึ้น อย่างสวยงาม 45
46
กำ�ปั่น กำ�ปั่นใส่ของที่ปรากฏในกัณฑ์แรกบนผนังทางด้าน ทิศใต้ เป็นลังสี่เหลี่ยมลงรักสีแดง ใช้สาแหรกสอด และมีคานหาม ส่วนกำ�ปั่นขนาดเล็กทำ�ด้วยไม้ลงรักสีแดงใช้มือเดียวถือได้ ไม้พายที่ผู้หญิงถือเดินอยู่นอกกำ�แพงเมืองปรากฏในผนัง ทางด้านทิศเหนือ ส่วนแรกทำ�ด้วยไม้ ย่ามที่ปรากฏในกัณฑ์แรกบนผนังด้านทิศใต้เป็นย่ามผ้าสี ขาว และสีน้ำ�ตาลอ่อน ส่วนสีครามระบายทับในชั้นหลัง เครื่องประดับ ที่ปรากฏมีปิ่นปักผม กำ�ไลคอ กำ�ไลแขน ของสาวชาวเหนือ ที่ปรากฏในผนังทางด้านทิศใต้ ที่ติดกับพระ ประธานไม่ทราบว่าทำ�ด้วยโลหะชนิดใด เพราะว่าเขียนเส้นไว้ เฉยๆไม่ได้ระบายสี ปืนแก๊ป หรือปืนคาบศิลาที่ปรากฏบนผนัง ทางด้านทิศใต้ ตอนกลางที่พรานใช้ล่าสัตว์ มีใช้กันตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนกลาง หอก ที่พรานใช้ล่าสัตว์เป็นอาวุธที่มีใช้กันตั้งแต่สมัยโบราณ
47
48
การเขียนภาพสถาปัตยกรรม
การเขี ย นภาพสถาปั ต ยกรรมในจิ ต รกรรมฝาผนั ง ทั้ ง หมดที่ นี่ เป็นการเขียนภาพเมืองที่มีแต่ปราสาทราชวัง กำ�แพงและป้อม ประตูเมือง ไม่ปรากฏอาคารหรือสิ่งก่อสร้างที่เป็นบ้านคน แผนผัง การเขียนภาพหมู่อาคารเป็นการเขียนแบบอยุธยา คือจัดวางบัง ซ้อนเหลื่อมกัน เป็นทัศนียภาพทางขนานมีปราสาทเรือนยอด อยู่ ตรงกลางมีตำ�หนัก และศาลาโถงอยู่ด้านหน้า ด้านข้าง หรือด้าน หลังสลับกันในแต่ละตอน สีเดิมของฐานปัทม์ ผนัง และวงกบหน้าต่างเป็นสีขาวและ สีน้ำ�ตาลอ่อน ฐานปัทม์เขียนลาย และตัดเส้นด้วยบัวรวน ด้วยสี น้ำ�ตาลแดง และสีดำ� การตัดเส้นสีคราม น่าจะเขียนขึ้นมาใหม่ใน ชั้นหลัง สีเดิมของผนังส่วนที่ติดใต้หลังคา เป็นสีเสนอ่อนๆ สังเกตที่ ปราสาทบริเวณกัณฑ์แรก ผนังทางทิศใต้ และส่วนที่ 1 ผนังทางทิศ เหนือเป็นสีเดิม ส่วนสีของฉากหลัง หรือส่วนที่เป็นภายในปราสาท และหน้าน่าจะเป็นสีเดียวกับสีของผนัง คือสีเสนผสมแดงชาด
49
50
เสาส่วนปลายเขียนบัวจงกลตัวเสาเขียนเป็นรักร้อย โคน เสามีกาบพรหมศร ลายเสาเดิม บริเวณกัณฑ์แรกผนังทางด้านทิศ ใต้ และส่วนที่ 1 ผนังทางด้านทิศเหนือนอกนั้นลงสี และตัดเส้น ใหม่หมด ผนังทางด้านทิศใต้ ส่วนอื่นนั้นลงสี และตัดเส้นใหม่หมด ในชั้นหลัง เรือนยอดหรือหลังคามุงกระเบือ้ งเกล็ดสีชาดอ่อนๆและสีเสน ตัดเส้นด้วยสีน�ำ้ ตาลแดง และสีด� ำ สีเขียวของบางส่วนเป็นสีเดิม ส่วน หลังคาศาลาโถงแบบเก๋งจีน และหลังคาซุม้ ประตูเมืองมุงกระเบือ้ ง ลอน ระบายทับด้วยสีครามในชัน้ หลัง ซุม้ ประตูเมืองเป็นแบบไทย บ้าง จีนบ้างฝรัง่ บ้าง ป้อมกำ�แพงเป็นแบบยุโรป ตัดเส้นสีครามทับ ในชัน้ หลัง
51
จิตรกรรมฝาผนังของพระอุโบสถในวัดกลางแห่งน ของพระอุโบสถทั้งซ้ายขวาและผนังหุ้มกลองด้านหน้าเด เพียงร่องรอยของสีและเส้นปรากฏอยู่รางๆบางแห่งเท่าน
52
นี้เมื่อสมัยอดีตราวๆ 40 กว่าปีมาแล้วผนังด้านล่าง ดิมมีภาพจิตรกรรมฝาผนังอยู่เต็มไปหมด ปัจจุบันมี นั้น
53
ภาพจิตรกรรมไทยฝาผนัง วัดกลางธรรมสาคร จังหวัดอุตรดิตถ์ อธิษฐาน แก้วดี 530310144 ภาษาไทย © 2556 ภาควิชาศิลปะไทย คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สงวนลิขสิทธิ์ พิมพ์ครั้งแรก กรกฎาคม พ.ศ. 2556 จัดพิมพ์โดย ภาควิชาศิลปะไทย คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ออกแบบโดย อธิษฐาน
54
55