“Nothing is our except time” “ไม่มีสิ่งใดเป็นของเรานอกจากเวลา” Goethe (Cr: พี่เรย์)
เช้าวันหนึ่งในเดือนมกราคม ระหว่างก�ำลังนั่งก้มหน้าก้มตาท�ำงาน ก็มีเสียงของน้องแจมดังขึ้นมาว่า “พี่ฝนถ้าไปลาวคนเดียวนี่ยากมั๊ย” “ห๋าาา แจมจะไปคนเดียวเนี่ยนะ “อือ ว่าจะไปตอนสงกรานต์” “ลาวเราไปแล้ว ไปทีอ่ นื่ ดิ เดีย๋ วเราไปด้วย” ...น้องแจมเงยหน้าขึน้ มาแล้วยิม้ เวลาผ่านไปเข็มยาวหมุนยังไม่ทันถึง 60 รอบ ฉันก�ำลังเดินเอางานไปส่ง เสียงเตือนของ โปรแกรม Line ดังขึ้น “ซี่ แพลนเที่ยวเรา ถ้าเมษา 5-6-7 ว่างป่ะ” “ว่างง” ...ฉันตอบไฮด์กลับไปอย่างรวดเร็ว แล้วทริปอันยาวนาน 9 วัน 2 ประเทศในเดือนเมษาก็เริ่มต้นขึ้นในเช้าวัน เดียวกันนั้นเอง...
P
E
N
A
N
G
ปีนัง Day 1:
เริ่มต้น พระอาทิตย์กำ� ลังจะลาลับขอบฟ้าฉัน ไฮด์และพีเ่ กด เราสามคนก�ำลังยืนรอรถบัสอยูด่ า้ นหน้า Penang International Airport เพื่อรอขึ้นรถหมายเลข 401E ระหว่าง รอเราได้พดู คุยกับผูห้ ญิงชาวจีนคนหนึง่ ซึง่ มารูจ้ กั ชือ่ เอา ทีหลัง ผู้หญิงคนนี้มีชื่อว่า Vivian เป็นผู้หญิงผิวขาว ผม ยาว ใส่แว่น อายุ 23 ปี ก�ำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี สุดท้ายที่เมืองจีน พูดภาษาอังกฤษได้คล่องปรื๋อ มาแบค แพคคนเดียวที่ไทย ไปเชียงคาน ไปถนนข้าวสาร บินแอร์ เอเชียมาปีนัง และมีแผนการจะไปเกาะลังกาวี ฮ่องกง แล้วจึงค่อยกลับประเทศ ทีน่ า่ ทึง่ คือทัง้ หมดนีท้ บี่ า้ นไม่มี ใครรู้ ทุกคนที่บ้านคิดว่า Vivian ออกมาเที่ยวแค่เมือง เฉินตูและยังคงอยู่ในประเทศจีน 0_0 รถบัสมาแล้ว เรา 3 คนและ Vivian เดินขึ้นรถมา อย่างงงๆ รถบัสที่นี่ไม่มีกระเป๋ารถเมล์ ไม่มีเงินทอน
D A Y 1
8 P E N A N G
ต้องเตรียมให้พอดีและต้องหยอดใส่ตู้ด้านข้างคนขับตอนเดินขึ้น ปัญหาเดียวคือ ไม่มีป้ายใดๆบอกว่าปลายทางของเรานั้นต้องจ่ายเท่าไหร่ อยากรู้ก็ต้องถามคน ขับตอนเดินขึ้นไป หลายครั้งเราจึงต้องยืนควานหาเหรียญตรงนั้น พร้อมความ รูส้ กึ กดดันจากคนข้างหลังทีต่ อ่ แถวรอขึน้ รถอยู่ (ต่อมาหน้าทีน่ ตี้ กเป็นของพีเ่ กด ตลอดการเดินทางในปีนัง :P) ภาพเมืองปีนังที่เห็นตรงหน้ามันช่างแตกต่างอย่างลิบลับกับที่ฉันเคย จินตนาการไว้ตึกสูง ห้างใหญ่ ถนนกว้าง ปีนังไม่ใช่เเค่เมืองเล็กๆที่มีแต่ก�ำแพง เก่าๆอย่างทีฉ่ นั เคยคิดเลย ตามข้อมูลรถหมายเลข 401E นัน้ จะพาเรามาส่งทีถ่ นน ใกล้ๆทีพ่ กั แล้วต้องเดินต่ออีกนิดหน่อย แต่นงั่ มาจนถึงสุดสายเราก็ยงั ไม่เจอถนน ที่มองหา จึงต้องจ�ำใจลงจากรสบัสหมายเลข 401E แล้วถามเจ้าหน้าที่ถึงสายรถ ที่จะสามารถพาเราไปที่พักได้ เจ้าหน้าที่บอกให้นั่งรอหมายเลข 203 สายนี้จะพา เราไปถึงถนนหน้าที่พักเลย กว่าเราจะมาถึง Old Penang Guesthouse ฟ้าก็กลายเป็นสีด�ำสนิท จาก ความหิวนิดหน่อยตอนลงจากเครือ่ งบินก็ กลายเป็นหิวมาก อาหารมือ้ แรกทีป่ นี งั ของเรา 3 คนและ Vivian คือ อาหารรถเข็น ที่ตั้งอยู่เยื้องๆกับปากซอยที่พัก มัน มีชอื่ ว่า Luksa เป็นอาหารประจ�ำชาติ คงคล้ายๆกับถ้ามาเมืองไทยต้องกินผัดไทย อะไรแบบนั้น Luksa ถูกยกมาในถ้วยสีเขียวที่มีเม็ดฝนเกาะเป็นจุดๆ ใช่แล้วเรา ก�ำลังนั่งกินกันใต้ชายคาตึก ท่ามกลางฝนที่ตกลงมาค่อนข้างหนักในถ้วยสีเขียว ใบนัน้ มีนำ�้ ซุปสีนำ�้ ตาลๆกลิน่ เหมือนกะปิ มีเส้นสีขาวๆเหมือนขนมจีนมีผกั สมุนไพร ไม่มเี นือ้ สัตว์เป็นชิน้ เป็นอัน หรือเพราะมันมืดก็ไม่รทู้ กุ อย่างในถ้วยนัน้ เลยดูเลือน ราง Vivian ลงมือกินเป็นคนแรกฉันถาม Vivian ว่า “Is it good?” Vivian ตอบว่า “It’s not bad” ฉันเลยหัวเราะและบอกว่า “not bad mean not good also” Vivian พยักหน้าแล้วข�ำ 555 ถึงตาฉันลองชิมเอง จริงอย่าง Vivian ว่า มันไม่แย่แต่มันก็ไม่อร่อย แต่ไม่อร่อยก็ไม่ได้แปลว่าฉันจะไม่ชอบ สุดท้ายฉันว่า ฉันชอบมันหละ วันก่อนกลับฉันก็ไปสั่งมันมากินอีกทีจากร้านที่ดูดีกว่าเดิม แต่ บอกตามตรงฉันคิดถึงรสชาติในถ้วยสีเขียววันแรกที่ร้านข้างทางท่ามกลางสาย ฝนมากกว่า คืนนั้นเราไม่ได้ท�ำอะไรกันมากนอกจากเดินไปส�ำรวจ 7 -11 ปีนัง เพื่อหา S a s i
S u e s i e
D A Y 1
9 P E N A N G
P E N A N G - S A P A
ซือ้ ปลัก๊ ซึง่ สุดท้ายฉันได้มาจากร้านของช�ำทีอ่ ยู่ใกล้ๆกัน ในราคา 30บาท เอามัน กลับมาที่ห้อง เสียบสายชาร์ตไอโฟน วางแผนเที่ยววันพรุ่งนี้ ไฮด์เปิดรายการ 48 ชั่วโมงของพี่เรย์แมคโดนัล และก็ได้ข้อสรุปว่าพรุ่งนี้เราจะไปขึ้น Cable car ที่ Penang Hill และไปดูเต่าทะเลตัวจิ๋วที่อุทยานแห่งชาติกัน! G
D A Y 1
11 P E N A N G
P E N A N G - S A P A
ปีนัง Day 2:
เต่าทะเลตัวจิ๋ว หายไปไหน?
ท้องฟ้าเช้านี้ไม่มีฝนแล้ว แต่ยังมีเมฆมากและฟ้า ยังเป็นสีหม่นๆ อากาศก�ำลังเย็นสบาย เราสามคนเริ่ม วันใหม่ด้วยการเดินไปกินติ่มซ�ำตามพิกัดที่กากบาทเอา ไว้ในแผนที่เมื่อคืนนี้ ระหว่างทางพวกเราเดินผ่านก�ำแพงที่มีลวดดัดสี ด�ำลายการ์ตูนและตัวอักษรบรรยายภาพ เพื่อเล่าเรื่อง ราวตามมุมต่างๆของเมืองปีนัง ลวดดัดเหล่านี้สามารถ พบเห็นได้ทั่วไปตามท้องถนนและตรอกซอกซอย โดย ไม่มีอันไหนซ�้ำกัน ตามข้อมูลจากแผนที่ท่องเที่ยวบอก ว่ามันมี ถึง 51 จุด ทั่วทั้งเมือง เรื่องเล่าจากลวดดัด : “สามีฉนั อยูไ่ หน?”..คนจีนท้องถิน่ กล่าวว่าผูช้ ายรวยๆ ที่ อาศัยอยู่ที่ Muntri Street จะให้ภรรยาลับๆ มาอาศัย
D A Y 2
14 P E N A N G
อยู่ที่ถนนเส้นนี้ ดังนั้นถนนสายนี้จึงมีชื่อว่า Love Lane (ซอยที่พักเรานี่เอง 55) บนโต๊ะกลมหน้าร้าน Tho Yuen Restaurant มีจิ๊กโฉ่ว ซอสพริก ถ้วยน�้ำ จิม้ วางเอาไว้ นักท่องเทีย่ วมีเพียงพวกเราสามคน นอกจากนัน้ คือ เหล่าอากง อาม่ า อาป๊า อาม๊าและหลานๆ ไฮด์ตงั้ ข้อสังเกตไว้วา่ ถ้าร้านไหนมีคนแก่มากินเยอะๆ แสดงว่าร้านนั้นต้องอร่อย ฉันว่าฉันเห็นด้วย :) กาน�้ำชา พร้อมถ้วยชาแช่ในน�้ำร้อน จาน ตะเกียบ ถูกยกมาวาง อาโกว หน้าตาจีนจีน ผมสั้นๆดัดหยิกๆ เข็นรถเข็นที่ใส่เข่งติ๋มซ�ำมาให้เลือก อาโกวพูด เป็นภาษาจีน ที่ฉันฟังไม่เข้าใจ ถึงเราไม่เข้าใจ แต่เราก็คุยกันผ่านรอยยิ้ม เมื่อ ฉัยยกกล้องขึ้นมา อาโกวก็หันมา ยิ้มแหยๆ แบบฉีกยิ้มให้กล้อง ตลกดี ^^ พวกเราเลือกกันไปเป็น 10 เข่ง เข่งที่ฉันชอบมากที่สุดคือขนมจีบ รสชาติ ของมันท�ำให้ฉนั นึกถึงขนมจีบทีเ่ คยกินในวัยเด็ก ขนมจีบในมินมิ าร์มของปัม๊ Esso แถวบ้านทีฉ่ นั กับน้องชอบมาก จนแม่ตอ้ งไปขอซือ้ มาแบบถุงใหญ่ๆแล้วเอามาแช่ ช่องฟรีซไว้ หลังจากปั๊ม Esso ปิดไป ฉันพยายามตามหาขนมจีบที่มีรสชาติและ กลิ่นแบบนั้น ฉันเจอขนมจีบที่อร่อยหลายครั้ง แต่ไม่เคยกินแล้วท�ำให้รู้สึกว่ามัน ใช่ จนมาเจอร้านนี้ถ้ามาคราวหน้าฉันตั้งใจว่า ฉันจะมากินแต่ขนมจีบ ; ) บนรถบัสสาย 204 แอร์เย็นฉ�่ำ ก�ำลังพาพวกเรามุ่งหน้าไป Penang Hill สถานทีท่ อ่ งเทีย่ วทีน่ บั ได้วา่ ต้องไปส�ำหรับการมาเทีย่ วปีนงั ข้างทางฉันเห็นฮวงซุย้ เยอะมากไกลสุดลูกหูลูกตา เห็นเจ้าแม่กวนอิมอยู่บนภูเขาสูง และเห็นตลาดสด ยามสาย Penang Hill เป็นภูเขาสูงชัน มีทางรถไฟยาวขึ้นไปตามความชันของภูเขา มองจากข้างล่างมันสูงมาก ตอนนั่ง Cabin Car ขึ้นไปถึงกับหูอื้อต้องคอยกลืน น�้ำลาย เด็กน้อยข้างๆถึงกับเอามือกุมหัวใจไว้ คงจะหวาดเสียว จากข้างบนนั้น เมื่อมองลงมาภาพที่เห็นควรจะเป็นภาพเมืองปีนังทั้งเมือง แต่วนั นีม้ เี มฆมาก ภาพทีเ่ ห็นข้างหน้าเลยเป็นต้นสนสูงใหญ่ ภูเขา ต้นไม้ชนิดอืน่ ๆ เรียงล�ำดับลดหลัน่ กันไป โดยมีฉากหลังเป็นปุยเมฆ เหมือนอยูบ่ นสวรรค์เลย สวย กว่าภาพที่ควรจะเห็นอีก : ) S a s i
S u e s i e
D A Y 2
22 P E N A N G
บน Penang Hill มีจดุ ให้เดินไปเทีย่ วกว้างไกลมาก นักท่องเทีย่ วจ�ำนวนหนึง่ จึงเหมารถกอล์ฟให้ขับพาไป แต่เรา 3 คนนั้นเดิน เราเดินไปพิพิธภัณฑ์นกฮูก เพื่อไปดูของสะสมจากทั่วโลกที่มีแต่นกฮูก เวลามันอยู่ด้วยกันเยอะๆ มันน่ารัก มาก จนฉันคิดในใจว่าจะเริ่มสะสมนกฮูกตั้งแต่ตอนนี้! หลังจากนัน้ ก็เดินขึน้ ไปบนมัสยิดด้านบนอีกนิดหน่อย (บนนัน้ ฉันเจอมดปีนงั ตัวใหญ่ มากกก ฉันถ่ายรูปมันมาด้วย) แล้วก็ตดั สินใจกลับลงไปข้างล่าง เพือ่ ต่อ รถไป National Park ไปหาเต่าทะเลตัวจิ๋ว เย้ๆ จาก Penang Hill พวกเราต้องนั่งรถบัสหมายเลข 204 กลับมาต่อรถที่ KOMTAR ท่ารถใหญ่ในเมืองที่เดิมซึ่งเราเดินมาขึ้นรถเมื่อเช้านี้ ฉันหลับสนิท เกือบตลอดทาง เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่าเข้าเขตเมือง คงใกล้ถึงที่หมายแล้ว ฉัน มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างง่วงๆ แล้วก็เจอภาพที่ท�ำให้ตื่นตาตื่นใจ หายง่วง แทบจะทันที แสงแดดตอนเที่ยงวันก�ำลังส่องลงมา สองข้างทางเป็นตึกทรง โบราณไม่สูงเท่าไหร่นัก อาคารต่างๆ ทาสีสดใส บางตึกก็เป็นสีโทนพาสเทล มี โรงแรมใหญ่สีขาวสะอาดตั้งอยู่ ถัดไปเป็นภาพเรือท่องเที่ยวล�ำใหญ่มากจอดอยู่ ใกล้ฝง่ั ตรงหัวมุมนัน้ มีโรงเรียนคอนแวนต์รมิ ทะเล มันท�ำให้ฉนั นึกถึงละครโปรด สมัยเด็กๆ ละครเรื่อง นางอาย นางเอกมาใช้ชีวิตเป็นนักเรียนประจ�ำที่ปีนัง และ พบรักกับทูตไทยประจ�ำปีนัง ไม่รู้จะใช่โรงเรียนนี้รึเปล่า :P ในทีส่ ดุ รถก็เลีย้ วเข้ามาจอดสุดสายที่ JETTY ... มันคือท่ารถทีเ่ ราหลงมาเมือ่ คืนนี้นี่เอง! แล้วตอนนี้เราก็หลงมาอีกรอบ KOMTAR ที่ตั้งใจจะมาลงแต่แรกอยู่ ไหนไม่รู้ 55555 รถบัสหมายเลข 101 ก�ำลังพาเรา 3 คนมุ่งหน้าไป National Park เมื่อนั่ง ไปสักพัก วิวทิวทัศน์ 2 ข้างทางก็เริ่มเปลี่ยนเป็นต้นไม้ เป็นภูเขา เป็นทะเล บรรยากาศเหมือนแถบกระบี่ หรือ ภูเก็ตยังไงอย่างนั้น เราลงตรงสุดสาย ... ว้า ว ทะเลอยู่ตรงหน้านี่เอง! พวกเราเหมาเรือกันนั่งไปเกาะ ในราคา 180 MYR เพื่อไป Turtle Sanctury หรือน่าจะแปลเป็นไทยได้ว่าศูนย์อนุบาลเต่าทะเล รึจะแปลว่าโรงเรียน อนุบาลของเต่าก็น่าจะได้ อิอิ กัปตันของเราเป็นชายจีน วัยกลางคน รูปร่างไม่ S a s i
S u e s i e
ผอมไม่อว้ น ใส่แว่น มองแล้วให้ความรูส้ กึ เหมือนเป็นญาติผใู้ หญ่สกั คน เรือขนาด 6 ทีน่ งั่ พาเราเดินทางข้ามท้องทะเลไปยังทีห่ มาย ท่ามกลางท้องฟ้าครึม้ ๆและคลืน่ แรง ไม่นานนักเรือก็เริ่มปะทะคลื่นลูกใหญ่และโคลงเคลงไปมา ลอยขึ้นๆลงๆ ตามคลื่น น�้ำทะเลสาดเข้ามาให้ตัวเปียกเป็นระยะ มือถือและกล้องที่หยิบออ กมาลัลล้าถ่ายรูป ถ่ายวิดิโอตอนเเรก ถูกเก็บไปอยู่ในกระเป๋าอย่างมิดชิด และ ระหว่างนั้นเพลงของพี่ตูน บอดี้แสลม ก็ดังขึ้นมาในหัว “จะออกไปแตะขอบฟ้า สุดท้ายแม้โชคชะตาไม่เข้าใจ มองไปไม่มีหนทาง แต่รู้ว่าฉันต้องไปต่อไป ตรงเส้นขอบฟ้าสีคราม ความหวังยังน�ำทางฉันใช่หรือไม่ ค�ำตอบอยู่กลางคลื่นลม ชีวิตแม้ต้องล้มลงตรงไหน แต่ฉันก็ยังยืนยันที่จะไป...”
D A Y 2
23 P E N A N G
P E N A N G - S A P A
ใช่สิต้องไป จ่ายเงินแล้ว 55555 จริงๆ มันสนุกมากนะ เหมือนเล่นโต้คลื่น ฉันและไฮด์สนุกสนานดี แต่ฉันเพิ่งรู้ว่า พี่เกดกลัวทะเล!! หรือจริงๆ พี่เกดน่าจะ เคยบอกฉันแล้วแต่ฉันลืม >< ระหว่างทางเลยมีเสียงพี่เกดร้องฮือๆ ด้วยความ กลัวตลอดทาง ฉันได้แต่ยิ้มให้ และขอโทษอยู่ในใจเพราะรู้สึกผิด TT พื้นที่ของศูนย์อนุบาลเต่า กินบริเวณไม่กว้างขวางมากนัก ตัวอาคารเป็นไม้ ชั้นเดียวตั้งอยู่บนผืนทราย มีต้นไม้ร่มรื่น เงียบสงบ วันนี้ไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่น เมื่อถามถึงเต่าทะเล เจ้าหน้าที่ชี้ให้เราเดินไปที่บ่อขนาดไม่ใหญ่มาก 2 บ่อ ซึ่งอยู่ ข้างหน้าตัวอาคาร เมื่อชะโงกไปดูก็พบว่าในนั้นมีเต่าทะเลตัวไม่เล็กไม่ใหญ่ว่าย อยู่อย่างเหงาๆ บ่อละตัว D A Y 2
24 P E N A N G
S a s i
S u e s i e
เต่าทะเลตัวจิ๋วหายไปไหนหมด? ไม่เห็นมีเต่าทะเลจิ๋วเยอะแยะเหมือนที่พี่ เรย์ให้เราดูเมื่อคืนนี้เลย TT แต่ว่ามีสิ่งบางอย่างที่แปลกตาอยู่ใกล้ๆ แถวนั้นนะ มันคือ ผืนลวดทรงสีเ่ หลีย่ ม และวงกลมทีถ่ กู ปักอยูบ่ นทราย ในนัน้ ปักป้ายทีเ่ ขียน รายละเอียดเป็นตัวเลขไว้และมีหน่วยเป็น Pcs. พวกเราเลยเดาว่า คงเป็นจ�ำนวน ไข่ทฝี่ งั อยู่ใต้ผนื ทรายนี้ และคงขึงลวดเพือ่ ป้องกันสัตว์บางอย่างมากิน อีกไม่นาน เมื่อไข่ฟัก โรงเรียนอนุบาลคงมีลูกเต่าทะเลตัวจิ๋วเต็มไปหมด เรามาช้าไปส�ำหรับเต่ารุ่นที่แล้ว และเร็วไปส�ำหรับเต่ารุ่นใหม่ แบบนี้สินะที่เค้า เรียกกันว่า ถูกที่แต่ไม่ถูกเวลา เราเลยยังไม่ได้เจอเต่าทะเลตัวจิ๋ว .. คราวหน้า นะ จะมาให้ถูกเวลา :P จากเกาะเล็กที่มีเต่า ลุงกัปตันเรือ ก็พาเรานั่งเรือย้อนกลับมาทางเดิม โต้ คลื่นเช่นเดิม และมีเสียงพี่เกดร้องฮือๆ เป็นระยะเช่นเดิม คุณลุงชี้ ให้เราดูนก อินทรีทะเลที่บินอยู่บนภูเขาสูง เท่มากเลย แต่อดถ่ายรูป กลัวกล้องเปียก >< มองขึ้นไปดีๆ เหนือยอดเขา มีให้เห็นอีกเป็นฝูง อยากรู้จังบินอยู่บนนั้นเจ้าเห็น อะไรบ้าง แล้วเราก็มาถึง monkey island เกาะลิงที่มีลิงอยู่มุมเล็กๆใต้ต้นมะพร้าว ตอนนั้นเป็นเวลา 4 โมงกว่า บอกตามตรงฉันสนใจของกินมากกว่าลิง เพราะ ตัง้ แต่กนิ ติม่ ซ�ำเมือ่ เช้านีก้ ย็ งั ไม่มอี ะไรตกมาถึงท้องพวกเรา 3 คนเลยนอกจากน�ำ้ เปล่า เราเดินเล่นชายหาดกันเล็กน้อย เดินทัว่ พร้อมแวะถ่ายรูปใช้เวลาประมาณ 10 นาที --” บนเกาะเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นเกาะส่วนตัว มีแต่คนท้องถื่น แล้ว นักท่องเที่ยวชาวมาเล 1 ครอบครัว และฝรั่งต่างชาติอีกประมาณ 3-4 คน นี่เรา ได้มาในที่ที่แม้แต่คนปีนังยังไม่ค่อยมา Unseen สุดๆ อิอิ สุดท้ายเราก็มานั่งกินบาร์บีคิว กุ้ง แกะ ไก่ และปลาย่าง โรยผงขมิ้น 1 จาน และผัดก๋วยเตี๋ยวอีก 1 จาน โดยมีบรรยากาศข้างหน้าเป็นทะเล ลมเย็น อากาศ ดี เงยหน้ามองขึน้ ไปทางซ้ายเจอภูเขาสูงทีม่ ตี น้ ไม้สเี ขียวเต็มไปหมด เสียดายพระ อาทิตย์ไมได้ตกตรงข้างหน้าเรา .. แล้วก็แปลกดีนะ ทะเลที่นี่คือทะเลอันดามัน แต่สวยสู้เมืองไทยไม่ได้เลย สวยสู้ทะเลฝั่งอ่าวไทยบางที่ไม่ได้ด้วยซ�้ำ ถ้าอยาก เที่ยวทะเลสวยๆ เที่ยวบ้านเราดีกว่า ; ) P E N A N G - S A P A
D A Y 2
25 P E N A N G
ส�ำหรับอาหารมื้อนี้ ถามว่าอิ่มมั๊ย ฉันไม่อิ่ม แต่พอถามพี่เกดกับไฮด์ก็พยัก หน้าว่าอิ่มกันนะ 5555 เราสามคนกลับมาถึงที่พักด้วยรถบัสสาย 101 ฉันแวะ 7-11 ซื้อขนมถุงที่ คล้ายฮานามิถุงใหญ่กินไปต่อ :P .. นั่งคุยกับ Vivian .. เข้าสู่โลกออนไลน์ .. ชาร์ตแบตไอโฟน .. ชาร์ตแบตกล้อง เตรียมพร้อมส�ำหรับวันพรุ่งนี้ วันที่เหนื่อย กว่าเดิม ร้อนกว่าเดิม แต่ท�ำให้หลงรักปีนังมากขึ้นกว่าเดิม “ภาพศิลปะบนก�ำแพงก�ำลังรอเราอยู่” G
D A Y 2
27 P E N A N G
P E N A N G - S A P A
ปีนัง Day 3 :
ก�ำแพงมีชีวิต
วันนีท้ อ้ งฟ้าแจ่มใสผิดกับปีนงั สองวันทีผ่ า่ นมา ถือ เป็นเรื่องดีต่อแผนการเที่ยววันนี้จริงๆ เช้านี้ของเราเริ่มต้นด้วยคาเฟ่น่ารักๆที่ไฮด์หาเจอ จากในอินเทอร์เนต เป็นร้านที่ใส่ของกินอย่างน�้ำและโย เกิร์ตลงไปในถ้วย Mug ร้านนี้มีชื่อว่า “The Mugshot cafe” เมือ่ คืนเรานัง่ ไล่หาทีต่ งั้ ของร้านจากแผนทีก่ นั อยู่ นานพอสมควรและสุดท้ายก็พบว่ามันตัง้ อยู่ในปากซอย ที่พักนี่เอง! โถ่! 55 คาเฟ่ ในตึกแถวห้องเดียวมีคนนั่งอยู่ข้างนอกร้าน ประปราย แสงสีส้มภายในร้านท� ำให้ร้านดูอบอุ่น ภายในร้านมีตู้กระจกซึ่งมีโยเกิร์ตรสชาติต่างๆในแก้ว มัควางเรียงรายกันอยู่ ถัดไปเป็นโต๊ะกว้าง มีพนักงาน ผู้หญิงก�ำลังเอาแป้งเบเกิ้ลเข้าไปอบในเตาถ่านรูปโดม เหมือนเตา พิซซ่า การอบแบบคลาสิคอย่างนี้ยิ่งท�ำให้รู้ สึกว่าเบเกิ้ลที่นี่น่าอร่อยขึ้นอีกหลายเท่า
D A Y 3
30 P
เมื่อเราสั่งอาหารกันเรียบร้อย เราก็เดินลึกเข้าไปอีกห้อง ชั้นที่สองนี้มีโต๊ะ เก้าอี้ ไม้ 2 ชุดใหญ่ๆ วางไว้ ข้างบนโปร่งโล่งไปจนถึงข้างบน จึงมีแสงแดด ธรรมชาติส่องลงมา เราเลือกนั่งกันตรงนี้ ระหว่างรอฉันก็เดินไปดูหอ้ งทีส่ าม ซึง่ เป็นห้องค่อนข้างมืดมีมมุ เล็กๆให้ถา่ ย รูป มีเคาน์เตอร์ขายสปาเกตตี้ที่ยังไม่เปิดอยู่ด้านซ้ายมือ คิดว่าคงจะเปิดเมื่อถึง มื้อกลางวัน ชั้นที่สี่ห้องสุดท้าย มีเคาเตอร์ขายน�้ำ ข้างหน้าเคาน์เตอร์ มีต้นไม้ เล็กๆสีเขียววางเรียงรายอยูบ่ นชัน้ ไม้ และมีผา้ สีแดงห้อยระโยงระยางอยูด่ า้ นบน ช่างเป็นร้านที่ออกแบบได้หลากหลายและน่าสนใจทุกส่วนจริงๆ ในที่สุด เบเกิ้ลเบคอนไข่ของฉันและพี่เกด เบเกิ้ลแซลมอนรมควันของไฮด์ ก็ถกู ยกมาพร้อมกับโยเกิรต์ กีวนี่ ำ�้ ผึง้ ในแก้วมัคใสๆ และน�ำ้ ชา น่ากินทุกอย่างเลย ยย.....เบเกิ้ลที่อบมาจากเตาถ่านถูกโรยด้วยอะไรสักอย่าง สีด�ำๆ ที่ไม่มีรสไม่มี กลิน่ ตรงกลางคือไข่หนาๆ ทีร่ าดครีมสีขาว และห่อด้วยเบคอนทีเ่ กรียมนิดๆส่วน โยเกิร์ตกี่วี่น�้ำผึ้งในถ้วย MUG นั้น เมื่อชิมไป 1 ค�ำ ก็พบว่ารสชาติมันเข้มข้น มี กลิ่นหอมและรสหวานของน�ำ้ ผึ้ง ออกซ่าๆ เล็กน้อยกินพร้อมกีวี่ที่ทำ� ให้รู้สดชื่น อื้มมมมม ทีนี้หละ หยุดกินไม่ได้ 55555
E N A N G
S a s i
S u e s i e
D A Y 3
31 P E N A N G
P E N A N G - S A P A
D A Y 3
32 P E N A N G
เราเดิน เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ลัดเลาะไปมา หาก�ำแพง สักพักก็เริ่มเห็นนัก ท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน “เดินมาถูกที่แน่ๆ” ฉันคิด แล้วพวกเรา ก็เริ่มไล่เดินดูภาพศิลปะบนก�ำแพงตามจุดต่างๆ ที่บอกไว้ในแผนที่ท่องเที่ยว ท่ามกลางแดดตอนสายๆ ที่สว่างจ้า รูปศิลปะบางรูปก็อยู่ตามทางเดิน บางรูปก็อยู่ในซอกหลืบ บางรูปก็อยู่บน ประตูบ้าน แต่ที่มีอยู่ทุกที่คือฝูงชนคนเยอะๆ จริงๆ ต้องต่อแถวกันถ่ายรูปเลยทีเดียว... เดินไล่ไปเรือ่ ยๆก็ผา่ นซอยเล็กซอยหนึง่ คนมุงเต็มเลย เอ๊ะมีอะไร มองดีๆ อ๋อ มัน คือ เสาเตี้ยๆ ที่เพ้นท์เป็นรูปมินเนี่ยนยืนต่อตัวกัน 2 ตัว เด็กน้อยชาวจีนก�ำลัง เกาะไหลยืนต่อๆกันถัดจากมินเนี่ยนน่ารักมาก รูปบนก�ำแพงที่นี่ส่วนใหญ่เป็น 3 มิติ คือ มีวัตถุจริงๆ ที่เชื่อมโยงกับเรื่อง ราวในรูปวางไว้ดว้ ย อย่าง รูปเพ้นท์เด็กชายใส่หมวกกันน็อค ทีม่ มี อเตอร์ไซด์วาง อยู่ด้านหน้าท�ำให้ดูเหมือนเด็กก�ำลังขี่มอเตอร์ไซด์ จริงๆ หรือ ชิงช้าที่ถูกวางอยู่ หน้าเด็ก 2คน ท�ำให้ดูเหมือนเด็กก�ำลังยืนเล่นชิงช้ากัน และเราก็สามารถเข้าไป นั่งเล่นที่ชิงช้าข้างๆ ได้ด้วย แต่ทฉี่ นั อินทีส่ ดุ คือ รูปมินเนีย่ นถือโทรโข่งเหมือนก�ำลังเตือนให้ระวังท่อน�ำ้ สีแดงทีต่ งั้ อยูข่ า้ งหน้า... ฉันเข้าไปถ่ายรูปโดยไม่ได้สนใจเรือ่ งราวอะไรในภาพ แค่ อยากถือโทรโข่งถ่ายกับมินเนี่ยนบ้าง ถ่ายเสร็จเดินออกมา และก็พบว่าตัวฉันมี สีแดง!! ทั้งที่กางเกงและกระเป๋า... ท�ำไมฉันไม่เชื่อมินเนี่ยน ท�ำไมฉันไม่เชื่อ มินเนีย่ น TT ...... “นีร่ ฐั บาลเค้าต้องมาทาสีแดงทุกเช้าเพือ่ ให้สมจริงหรออออ” ใคร ซักคนพูดขึ้น มาตอนฉันก�ำลังเช็ดสีแดงออกจากกระเป๋า 5555 และจนถึงตอนนี้ กางเกงฉันยังซักไม่ออกเลย!!! ท่ามกลาง แดดร้อนแผดเผา และความหิวกระหายน�้ำ อยู่ดีๆก็เหมือเจอ โอเอซิสในทะเลทราย มีกลิ่นหอมของขนมลอยมาแตะจมูก เมื่อมองตามกลิ่น เข้าไป โอ้ววว มันคือร้านขายทาร์ตและพาย ชื่อ Ming Xiang Tai เป็น ร้านมืดๆ แสงสลัวๆ ตกแต่งแบบบ้านสมัยเก่า ที่ก�ำแพงด้านนอกมีภาพเพ้นท์เด็กหญิงชาย ก�ำลังเอื้อมมือมาหยิบซาลาเปาที่วาง อยู่หลังจักรยาน เเทบไม่ต้องคิดว่าจะเดินต่อ หรือเข้าไปนั่งพักในร้าน ภายในร้านพ่อครัว S a s i
S u e s i e
D A Y 3
33 P E N A N G
P E N A N G - S A P A
D A Y 3
38 P E N A N G
ก�ำลังเอาทาร์ตไข่ออกมาจากเตาอบแป้งพายลูกกลมๆ มีคสั ตาร์ดสีเหลืองๆ เรียง รายกันเป็นแถว น่ากินเป็นที่สุด เมื่อชิมก็พบว่ารสชาติใช้ได้ แต่ ณ ตอนนั้นบอก เลยว่าเหนื่อยจนกินอะไรไม่ค่อยลงนั่ง ซักพักเราก็ออกเดินไปยังเป้าหมายต่อไป นัน่ คือภาพเพ้นท์บนฝาบ้านทีท่ า่ เรือ เมือ่ ฉันดูแผนทีก่ น็ กึ คิดมาได้วา่ แทนทีจ่ ะเดิน ไปตามถนนใหญ่เราน่าจะสามารถ เดินลัดเลาะผ่านหมู่บ้านริมทะเลอีกแห่งที่อยู่ ไม่ไกลกันนักได้ หมู่บ้าน ที่ตัดสินใจเดินผ่านไปนั้นเงียบสงบไม่มีนักท่องเที่ยว มี ทางเดินปูนไม่กว้างมาก ทอดยาวไปสู่ทะเล ด้านขวาเป็นบ้านเรือนที่สร้างด้วยไม้ เดินเข้าไปไม่ไกลนักก็เห็นธูปทีถ่ กู จุดแล้วปักอยู่ในแจกันเล็กๆ สีแดง เหมือนเป็น ทางเข้าอะไรซักอย่าง ไม่รอู้ ะไรดลมาดลใจให้เรา 3 คน เดินแยกเข้าไปจนสุดทาง แล้วเราก็พบกับศาลเจ้าเล็กๆ ริมทะเล ศาลเจ้านีม้ รี ะเบียงและท่าขึน้ เรือซึง่ สร้าง ด้วยไม้ยื่นออกไป เงียบสงบไร้ผู้คน มีลมเย็น ลมทะเลโชยมาตลอดเวลา ภายใน ศาลเจ้ามีเทียนที่ถูกจุดทิ้งไว้ ท�ำให้รู้ว่าศาลเจ้านี้มีคนดูแลเพียงแต่ตอนนี้เขาไป ไหนไม่รู้ ฉันนั่งลงที่พื้น ถ่ายรูป เขียนไดอารี่ นั่งรับลมและนั่งมองภาพท้องทะเล ท้องฟ้าสีสดใส เบื้องหน้า สบายจริงๆ อยากจะนอนอยู่ตรงนี้ Zzz พี่เกดและไฮด์ ก็ไม่ต่างกัน เรา 3 คนจึงนั่งกันอยู่นานสองนาน ก่อนจะออกเดินต่อไป สุดท้ายเราก็เจอภาพเพ้นท์ที่เป็นจุดมุ่งหมายของเราแต่เดิม แต่ส�ำหรับฉัน มันไม่น่าสนใจเท่าเดิม ศาลเจ้าอันแสนสงบที่ไปนั่งพักมาเมื่อกี้ทำ� ให้ฉันประทับ ใจมากกว่าร้านขายของ ที่ระลึกและนักท่องเที่ยวเยอะแยะที่เดินไปมาเป็นไหนๆ บ่ายสองกว่าแล้ว ท้องเริ่มร้องหาของกิน เราเดินไปที่ Tofu Cafe Beds and Bikes ร้านคาเฟ่และเกสต์เฮ้าส์นา่ รักอีกแห่งของปีนงั แต่เมือ่ ไปถึงก็พบป้าย เขียนไว้หน้าร้านว่า “ขอเวลาชาร์ตแบต” ซึ่งนั่นก็แปลว่าวันนี้ที่นี่ปิดนั่นเอง ท�ำ อะไรไม่ได้ได้ก็ต้องออกเดินต่อเดินผ่านชุมชนอิสลาม ที่บรรยากาศวังเวงและ เงียบเหงาชอบกล จนมาทะลุถนนใกล้ๆกับทีพ่ กั แล้วเราก็เจอร้านคาเฟ่ Yeahhhh มีที่ ให้นั่งพักแล้ว เราสั่งสลัด ข้าวผัดกิมจิ น�้ำปั่น แล้วก็นั่งรออาหารกันเงียบๆ ด้วยความเหน็ดเหนื่อย ไม่นาน ก็มีนักท่องเที่ยวเดินเข้ามากลุ่มใหญ่ ฉันนั่งหันหลังให้พวกเขา ไม่ ได้สนใจอะไร จนกระทั่งมีเสียงเล็กๆ ร้องขึ้นมาว่า “บานานา บานานานา” ใคร S a s i
S u e s i e
เคยดู Despicable me คงจะนึกถึงความน่ารักของตัวมินเนี่ยนตอนร้องเพลงนี้ ได้ เหมือนทุกสิ่งหยุดลงชั่วขณะ ทุกคนในร้านหันไปสนใจเด็กน้อยเป็นสายตา เดียว แล้วก็มีเสียงหัวเราะดังลั่นตามมาหลังจากนั้น เด็กน้อยท�ำให้โลกนี้สดใส ท�ำให้คนแปลกหน้ายิ้มให้กันง่ายขึ้น : ) รถ บัสหมายเลข 101 ก�ำลังพาเราไปที่ชายหาดอีกฝั่งของเมือง ถนนเส้นนี้ ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ขึ้นตรงกลางถนน เรากดกริ่งลงที่วัดไทย ซึ่งตั้ง
D A Y 3
40 P E N A N G
S a s i
S u e s i e
อยูบ่ นถนน Lorong Bangkok เป็นครัง้ แรกในชีวติ ที่ได้เข้าไปวัดไทยในต่างเมือง เข้ามาแล้วได้อ่านป้ายเชิญชวนมางานสงกรานต์ ได้ฟังภาษาไทยจากพระที่ จ�ำวัดอยู่นั่น ได้เจอคนไทย แล้วฉันก็เพิ่งเข้าใจวัดไทยที่อยู่ในต่างประเทศนั้น ส�ำคัญแค่ไหน มันเป็นมากกว่าศาสนสถานให้คนมากราบไหว้ มันท�ำให้คนที่อยู่ ไกลบ้านเมือง รู้สึกอบอุ่นเสมือนได้กลับบ้าน จากวัดไทย ก็เดินไปวัดพม่าที่อยู่ตรงข้าม แล้วเดินเลาะเรียบชายหาดไป Gurney Drive ศูนย์รวมอาหาร บรรยากาศแถวนั้นคล้ายๆหัวหินบ้านเรา มีโรง เเรมใหญ่ มีห้างใหญ่ มี Paragon ด้วย แต่เปลี่ยนชื่อจาก Siam Paragon เป็น Gurney Paragon เมื่อเดินไปจนสุดหาดแล้ว เราก็เจอ Gurney Drive ที่นี่ยิ่งที่ ให้คดิ ถึงตลาดโต้รงุ่ หัวหินเข้าไปใหญ่ ร้านค้าเรียงราย มีโต๊ะให้นงั่ ตรงกลาง เดิน ซื้อร้านไหนก็ได้แล้วเอามานั่งกิน ที่นี่แหละที่ท�ำให้ฉันคิดถึงรสชาติของ Luksa ท่ามกลางสายฝนในวันแรก เมนูที่ติดใจ คือ Char Kway Teow ที่มีเส้นเหมือน ผัดไทย เอาไปผัดไข่กับไข่และกุ้ง ใส่ถั่วงอก มีรสชาติเค็มๆคล้ายผัดไทยรวมร่าง กับผัดมาม่า ของอร่อยจานละร้อยเอ้ง 0_o และอีกอย่างก็คือปลาหมึกกรอบกับ แมงกระพรุนวางอยู่ข้างบนผักบุ้งลวก ราดน�้ำหวานสีออกแดงๆ ข้นๆ และโรยถั่ว ปิดท้ายมื้อเย็นด้วยมะพร้าวเผาคนละลูก มื้อนั้นฉันกินน�้ำไปประมาณ 5 แก้ว ดู เราสามคนจะโหยหาน�้ำมากกว่าอาหาร ขากลับเราแวะ Paragon เพื่อไปซื้อ White Coffee ยี่ห้อ Nescafe กาแฟ ชื่อดังที่ ใครๆ ก็ต่างบอกว่าอร่อย และมันยังไม่มีขายในเมืองไทย ฉันกับพี่เกดซื้อ คนละถุง แต่ไฮด์ซื้อกลับไปหลายถุง เมื่อจ่ายเงินก็พบว่าที่นี่ไม่มีถุงพลาสติกใส่ ของให้ ไม่เหมือนเมืองไทยทีม่ ีให้จนเหลือเฝือแถมใส่แยกให้ตามประเภทของอีก ต่างหาก ฉันและพี่เกดเอาใส่กระเป๋าสะพายได้ แต่ไฮด์ต้องเอากาแฟไปคืนบาง ส่วนและซื้อกระเป๋าผ้ามาใส่ ฉันว่าดีเหมือนกันนะ ถ้าเมืองไทยไม่ใช้ถุงพลาสติกในซุปเปอร์มาร์เก็ตคง ช่วยโลกนี้ได้อีกเยอะ ท้องฟ้ามืดแล้ว เมื่อเรากลับมาถึงที่พัก ฉันนั่งใช้ WIFI ข้างล่างสักพัก ก่อน เดินขึ้นไปอาบน�้ำ และ ล้มตัวลงนอน P E N A N G - S A P A
D A Y 3
41 P E N A N G
พรุ่งนี้ฉันจะต้องโบกมือลาปีนังแล้ว ยังเหลือที่ที่อยากไปอีก 2 ที่ คือ Camera Museum และ Little India แล้วพรุ่งนี้เราจะไป !! แล้วฉันก็หลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้..... G
D A Y 3
43 P E N A N G
P E N A N G - S A P A
ปีนัง Day 4 :
บอกลา (ก่อน) กลับมาอีกครั้ง “เมือ่ คืนฝนตกหนัก ฟ้าร้องเสียงดังมาก” ไฮด์บอก ฉันเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา ให้ตายเถอะ ฉันหลับไม่รู้เรื่อง เลย --” แต่เมือ่ มองออกไปนอกหน้าต่างท้องฟ้าเช้านีส้ ดใส ไม่เหลือเค้าของเมฆฝนเมื่อคืนเเล้ว Yeah !! เช้าวันนี้เราไม่ได้รีบร้อนไปไหน วางแผนเอาไว้ว่า จะเดินไปเยี่ยมชม Camera Museum ซึ่งห่างจากที่พัก ไม่เกิน 5 นาที แล้วมือ้ กลางวันคงไปหาอะไรกินที่ Little Indian ก่อนต่อรถบัสไปสนามบิน มื้อเช้าของเราวันนี้จึงเป็นอาหารง่ายๆ ที่ถูกตั้งไว้
L A S T D A Y
มุมเล็กๆ ชั้นล่างใต้บันไดของเกสเฮ้าส์ อย่างขนมปังปิ้ง น�้ำชา และผลไม้ แถว ขนมปังทีพ่ วกเราหยิบมาปิง้ นัน้ ถูกบรรจุอยู่ในถุงยีห่ อ้ “การ์ดเี นีย” ซึง่ ตัง้ แต่มาถึง ปีนังฉันเห็นรถกระบะวิ่งส่งหลายคัน ฉันเลยคิดเอาเองว่ายี่ห้อนี้คงเป็นที่นิยม ส�ำหรับคนที่นี่ ในขณะที่ยี่ห้อนี้หายไปจากเมืองไทยได้ซักพักแล้ว หลังจากล้างถ้วยล้างชามเรียบร้อยก็ได้เวลาเดินไป Camera Museum ระหว่างทางเจอภาพเด็กยักษ์หนีออกจากบ้านภาพศิลปะบนก�ำแพงอีกรูปที่เห็น บ่อยๆ ตามโปสเตอร์ อยู่ใกล้ๆ ตรงนี้นี่เอง Camera Museum เป็นมิวเซียมที่ เล็กที่สุดแห่งหนึ่งที่ฉันเคยเห็น มันตั้งอยู่ในตึกแถว 1 คูหา2 ชั้น เมื่อเดินเข้าไป เราก็พบกับโมเดลกล้องถ่ายรูปอันใหญ่ ซึ่งมันท�ำให้ฉันก็หวนคิดถึงสมัยเด็กๆ ... เวลาทีต่ อ้ งไปถ่ายรูปติดบัตร ฉันจ�ำได้วา่ เวลาไปถ่าย ต้องเดินเข้าไปอีกห้องหนึง่ ของร้าน ซึ่งจะมีห้องเล็กๆ ที่มีกระจก หวี แป้งวางเอาไว้ให้ลูกค้าเข้าไปท�ำตัวเอง ให้ดดู ี ก่อนออกมายืนหน้ากล้องใหญ่ทมี่ ชี า่ งภาพมุดอยูข่ า้ งหลังและมีผา้ สีด�ำคลุม ตัวไว้ เขาจะคอยยืนบอกให้ฉันเอียงซ้าย เอียงขวา และกดถ่ายเพียงเเชะเดียว ไม่มกี ารแก้ไม่มกี ารถ่ายอีกรอบ ออกมาแย่แค่ไหนก็ตอ้ งเอาไปใช้ ไม่เหมือนเดีย๋ ว
46 P E N A N G
S a s i
S u e s i e
L A S T D A Y
47 P E N A N G
P E N A N G - S A P A
L A S T D A Y
48 P E N A N G
นี้ ไม่ต้องถ่ายรูปใหม่ยังได้ แค่ตัดหัวจากรูปนึงไปใส่ชุดของคนอื่น (ฉันท�ำบ่อย :P) ท�ำให้สวยอย่างที่ต้องการได้สบาย ปริ้นเองได้ แถมราคาถูกอีกต่างหาก .... 10 กว่าปีผ่านไป เรื่องการถ่ายรูปเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเยอะเลย สะดวกมาก ขึ้น แต่ก็มีรายละเอียดให้จดจ�ำน้อยลง และที่ Camera Museum คือ ที่ที่รวม วัตถุที่เป็นหลักฐานของการเปลี่ยนแปลง บางชิ้นเกิดก่อนฉันด้วยซ�้ำไป แต่! ยังไม่ทันได้ก้าวขาขึ้นบันไดไปชั้นสองซึ่งเป็นที่แสดงงาน เจ้าหน้าที่คน หนึ่งก็เดินมาบอกว่า “ขอโทษด้วย มีผนังบางส่วนที่จ�ำเป็นต้องได้รับการแก้ไข ลองกลับมาอีกทีบ่ายๆ ได้มั้ย น่าจะเสร็จเรียบร้อยดี” แม้จะอยากเดินขึ้นแค่ไหน ก็ต้องจ�ำใจเดินออกมา ด้วยเหตุนี้ฉันจึงขอพักเรื่อง Camera Museum ไว้ก่อน จนกว่ามันจะซ่อมแซมเสร็จในตอนบ่าย และขอมาเล่าถึง ร้านน่าสนใจอีก 2 ร้าน ที่ตั้งอยู่ขนาบข้างแทน ร้านที่ตั้งอยู่ทางขวามือของ Camera Museum เป็นร้าน ขายโปสการ์ดน่ารักๆ มีตู้ไปรษณีย์อ้วนกลมสีแดงตั้งอยู่ด้านหน้าร้าน ชื่อว่า “Moontree47” ภายในร้านมีโปสการ์ดสวยๆ มากมาย ซึ่งดูๆแล้วน่าจะถ่ายเอง ท�ำเอง และขายเองวางอยู่เรียงรายตามชั้น หรือ ตามกล่องบนโต๊ะ ตรงกลาง โต๊ะมีตราปั๊มทั้งที่เป็นรูปภาพ ลวดลาย และตัวหนังสือค�ำคมต่างๆ วางเอาไว้ ให้ เลือกปัม๊ ลงไปในโปสการ์ดตามสบายไม่คดิ เงินเพิม่ นอกจากจะขายโปสการ์ดแล้ว ยังมีคาเฟ่อยู่ด้านหลัง แต่เราเพิ่งทานอาหารเช้ามา จึงได้แต่อุดหนุนโปสการ์ด และแสตมป์ ก่อนถือมันเดินกลับไปยังที่พักเพื่อเขียนและน�ำกลับมาหย่อนใส่ตู้สี แดงอ้วนกลมด้านหน้า เมื่อเราเดินกลับมาอีกครั้ง หลังจากนอนเกลือกกลิง้ บนทีน่ อน เก็บกระเป๋า เชคเอ้าท์ ฝากกระเป๋า เสร็จ เรียบร้อยก็เป็นเวลา 11 โมงกว่า แล้วเราก็เดินกลับไปทางเดิมอีกครัง้ คราวนีเ้ รา เลือกเข้าร้านด้านซ้ายมือ มันคือคาเฟ่แมว ชือ่ ว่า “Purr-Fect Cat Cafe” ก�ำแพง และเพดานทาด้วยสีขาว มีแสงไฟ สีเหลืองนวลๆท�ำให้รา้ นดูสะอาดตา มีของเกีย่ ว กับแมวขายเยอะแยะไปหมด ตรงกลางมีตู้เค้กและอาหารวางไว้ให้เราเลือกก่อน ขึน้ ไปเล่นกับแมวชัน้ บน รูส้ กึ ตืน่ เต้นยังไงชอบกล ได้ยนิ มานานคาเฟ่ทมี่ แี มว เพิง่ จะได้ลองเข้าเป็นครั้งแรกที่ปีนัง ชั้น 2 ของร้านแบ่งเป็น 2 ห้องใหญ่ๆ คือห้อง แมวและห้องคน เมื่อเดินขึ้นบันไดไปก็จะเจอกับห้องกระจก ที่มีแมวอยู่ตามมุม ต่างๆ บางตัวก็นอนอยู่บนโต๊ะ บางตัวก็เดินอยู่บนชั้นหนังสือ บางตัวก็นอนหลับ ปุ๋ย แล้วเรา 3 คน ก็กระจายตัวไปหาพวกมันกันอย่างรวดเร็ว มีอยู่ตัวหนึ่งแทนที่ S a s i
S u e s i e
จะเล่นของเล่นมันกลับมาเล่นทีห่ อ้ ยกระเป๋าของไฮด์ แถมไม่ยอมปล่อยอีกตัง่ หาก น่ารัก ฉันชอบตัวที่หลับตานอนนิ่งที่สุด ตัวมันนิ้มมมนิ่มมมม และจริงๆ แล้วฉัน กลัวตาแมว แล้วก็ขนลุกทุกครัง้ เวลามีแมวเอาหางมาป้วนเปีย้ นทีข่ า --” ฉันเลย ชอบที่มันหลับตา และไม่เดินไปมารอบๆ ตัว 5555 ฉันเดินออกมาจากห้องนั้นเป็นคนแรก มานั่งเล่น WiFi รอพิซซ่ากับน�้ำปั่น ที่สั่งไว้ก่อนหน้า และนั่นก็หมายความว่า Little India เราคงไม่ได้เจอกันในทริ ปนี้ L A S T D A Y
49 P E N A N G
P E N A N G - S A P A
D A Y 1
50 P E N A N G
S a s i
S u e s i e
D A Y 1
51 P E N A N G
P E N A N G - S A P A
D A Y 1
52 P E N A N G
S a s i
S u e s i e
D A Y 1
53 P E N A N G
P E N A N G - S A P A
Camera Museum คือ ที่ที่รวมวัตถุที่เป็นหลักฐานของการเปลี่ยนแปลง บางชิ้นเกิดก่อนฉันด้วยซ�้ำไป... บ่ายกว่าราเดินกลับมาที่เดิมอีกครั้ง ดีใจจัง ผนัง ซ่อมเสร็จแล้ว ชัน้ 2 ของ Camera Museum ต้อนรับเราด้วยกล้องมากมายหลาย รุ่น ตั้งแต่ยุคแรกจนถึงยุคปัจจุบัน บางชิ้นเราสามารถหยิบขึ้นมาถ่ายรูปเล่นได้ ด้วย... หนักเอาการนะกล้องเก่าๆ เนีย่ ทางเดินทีเ่ ชือ่ มไปห้องต่อไป มีบานหน้าต่าง เปิดไว้เพื่อให้แสงแดดส่องเข้ามา ตรงบ้านหน้าต่างนั้นตกแต่งด้วยฟิล์มเล็กๆ ซึ่ง พอมีแสงลอดมาเราก็จะเห็นรูปภาพทีถ่ กบักทึกไว้บนฟิลม์ นัน้ น่ารักเป็นบ้าาา ห้อง ถัดมามีแสงสปอร์ตไลท์ ส่องลงมาทีช่ ดุ โต๊ะ แจกัน เก้าอี้ และผนังลายดอก เหมือน เตรียมจัดไว้ให้คนไปนั่งถ่ายรูป ตรงกันข้ามกันนั้น มีวัตถุท�ำจากไม้ชิ้นใหญ่ วาง อยู่บนโต๊ะ ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นเจ้าของกล้องทั้งหมดในมิวเซียมนี้ รีบวิ่งมา อธิบายว่ามันคือกล้อง Obscura ซึง่ ฉันคิดว่าน่าจะเป็นจุดเริม่ ต้นของประวัตศิ าสตร์ กล้องเลย กล้องนีม้ กี ระบวนการท�ำงานง่ายๆ คือ เมือ่ มีแบบมานัง่ ข้างหน้า กระจก
ในกล้องจะหักเหแสงให้ตกกระทบมาบนกระจกขุ่นๆ อีกแผ่นที่อยู่ตรงหน้าตา กล้อง ปรากฏเป็นรูปเสมือนจริง ซึง่ หากเราจะเรียกตากล้องสมัยนัน้ ว่า จิตรกร ก็คงไม่ผิดนักเพราะเขาต้องลอกลาย ด้วยการลงดินสอ ลงสี ลงไปบนแผ่นกระ จกขุน่ ๆ นัน้ เพือ่ ให้ออกมาเป็นภาพเหมือนของบุคคลทีน่ งั่ อยูต่ รงหน้า... เจ้าของ บอกเราว่าแบบต้องนั่งท่าเดิมเป็นวันๆ ก่อนรูปจะเสร็จ สุดยอดแห่งความ พยายามเลย!! ถัดจากห้องนั้น เราเดินไล่ตามก�ำแพงที่เพ้น ท์บอก Timeline ของ ประวัติศาสตร์การถ่ายรูป จนมาเจอห้องมืดๆ ที่เจาะช่องแสงไว้ด้านหลังของ ห้อง และเมื่อแสงนั้นตกกระทบกับก�ำแพงอีกฝั่งก็จะปรากฏเป็นภาพความ เคลื่อนไหวของคนด้านนอก ซึ่งเป็นภาพกลับหัวฉันไม่รู้กลไกการท�ำงานของมัน เจ้าของไม่ได้เดินมาอธิบายให้เราฟังเหมือนห้องทีแ่ ล้วแต่ฉนั ก็วา่ มันเจ๋งดี ได้แอบ ดูชาวบ้าน อิอิ
L A S T D A Y
56 P E N A N G
S a s i
S u e s i e
L A S T D A Y
57 P E N A N G
P E N A N G - S A P A
L A S T D A Y
58 P E N A N G
ถึงเวลาโบกมือลาทีพ่ กั สวยๆ “Old Penang Guest House” ทีย่ งั คงรูปแบบ ของบ้านสมัยเก่าในปีนัง ที่ให้เรานอนอย่างสบาย ห้องน�้ำสะอาด มี Free-Wifi มีสิ่งอ�ำนวยความสะดวกมากเพียงพอที่เราจ�ำเป็นต้องใช้ในราคาห้องเพียงคืนละ ประมาณ 300 บาท/คน I will come back here again! คือประโยคสุดท้ายทีฉ่ นั หันไปบอกพนักงาน เฝ้าเกสเฮ้าส์ ก่อนจะไปขึ้นรถบัสสาย 101 พร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าไปลงก่อนถึงท่า รถนิดหน่อย เพื่อมาตามหา Mission สุดท้าย มันคือ ลอดช่อง หรือเรียกที่เมือง ปีนังเรียกว่า “Chendul” Teochew Chendul คือ ชื่อของร้าน ร้านนี้ต้องดูให้ ดี ดูไม่ดีจะเข้าผิด จุดเด่น คือ “ร้านนี้ไม่มีที่นั่ง” ทุกคนต้องยืนกินรอบๆ คนขาย คนเยอะแยะเต็มไปหมด และคนขายก็ตักขนมน�้ำแข็งส่งให้ลูกค้าอย่างรวดเร็ว ขนมของเรา 3 คน คือ ลอดช่อง ซึ่งโปะด้วยน�้ำแข็งป่นสีน�้ำตาล ใส่ถั่วแดง และ ราดด้วยน�้ำซึ่งน่าจะมีนมข้นจืดเป็นส่วนประกอบหลัก ฉันยังอิ่มอยู่เลยบอกพี่เก ดกับไฮด์ว่าฉันไม่สั่ง จะขอแย่งชิมก็พอ สุดท้ายฉันมีลอดช่องถ้วยหนึ่งอยู่ในมือ ฉันว่าฉันไม่ได้สั่งนะ ใครเอามาใส่มือฉัน ใครบังคับฉันกิน 555 ไม่มีหรอก ไฮด์ อิ่ม เลยเอามาให้ฉัน และฉันก็กินจนเกือบหมด TT ลอดช่อง ถั่วแดงต้มเปื่อย น�้ำ รสชาติหวานน้อยๆ มันๆ ท่ามกลางอากาศร้อนๆ อร่อยนี่นา อิอิ เริม่ มีเสียงคนไทยดังขึน้ มาให้ได้ยนิ เป็นระยะหลังจากตลอดการเทีย่ วในปีนงั เจอคนไทยน้อยมาก อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งๆ ที่เป็นวันหยุดยาวของไทย และปีนังก็ ไม่ไกลจากประเทศไทยเลย Airasia ประกาศว่าเครื่องบินจะดีเลย์เกือบชั่วโมง พวกเราก็ต้องนั่งรอ ดีที่ มี Wifi Free ของสนามบินให้ใช้ และเพราะเครื่องดีเลย์ ขณะที่เครื่องบินก�ำลัง ทะยานขึ้นฟ้า จึงเป็นเวลาที่พระอาทิตย์ตกพอดี ท้องฟ้าข้างนอกเป็นสีส้ม สีฟ้า ไล่ระดับกันสวยงาม สวยมาก มากจริงๆ เป็นการปิดท้ายการเที่ยวปีนังได้อย่าง สวยงาม ฉันมองลงไปข้างล่างพร้อมคิดในใจ “แล้วฉันจะมาอีกนะปีนัง” G
S a s i
S u e s i e
D A Y 1
60 P E N A N G
S a s i
S u e s i e
D A Y 1
61 P E N A N G
P E N A N G - S A P A
D
ในที่สุดฉันก็กลับถึงบ้านก่อนจะออกเดินทางอีกครั้งในอีก 3 วันข้างหน้า พร้อมอาการเจ็บคอ ที่ดูเหมือนจะเป็นหนักขึ้นเรื่อยๆ
A Y 1
62 P E
ฮานอยเมืองแห่งเสียงแตร ซาปาเมืองแห่งสายหมอก ฉันก�ำลังจะไปหา....
N A N G
S a s i
S u e s i e
V
I
E
T
N
A
M
T
O B
E C
O
N
T
I
N
U
E