Sinapis_Special Edition_X'masTales

Page 1


ประวัติวันคริสต์มาส

คริสต์มาส คือการฉลองการบังเกิดของพระเยซูที่เราเฉลิมฉลอง กันในวันที่ 25 ธันวาคม คำว่า คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas ซึ่ง มาจากคำภาษาอั ง กฤษโบราณว่ า Christes Maesse ที่ แ ปลว่ า บู ช ามิ ส ซาของ พระคริสตเจ้า เพราะการร่วมพิธีมิสซา เป็นประเพณีสำคัญที่สุดที่ชาวคริสต์ถือปฏิบัติกันในวันคริสต์มาส คำว่า Christes Maesse พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษในปี 1038 และคำนี้ก็ได้แปรเปลี่ยนมาเป็น คำว่า Christmas ในภาษาไทย คริสต์มาส ก็มีความหมายเช่นกัน คำว่า มาส แปลว่า เดือน เทศกาลคริสต์มาส จึงเป็นเดือนที่เราระลึกถึงพระเยซูคริสตเจ้าเป็นพิเศษ อีกความหมายหนึ่งของคำว่า มาส คือ ดวงจันทร์ ฉะนั้น จึงตีความหมายเป็นภาษาไทยได้อีกอย่างหนึ่งคือ พระเยซูทรงเป็นความสว่างของโลก เหมือนดวงจันทร์เป็น ความสว่างในตอนกลางคืน คำทักทายที่เราได้ฟังบ่อยๆ ในเทศกาลนี้คือ Merry Christmas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุข และ ความสงบทางใจ เพราะฉะนั้น คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส (จากบทความเรื่อง คริสต์มาสและประเพณี โดย คุณพ่อมีเกล กาไรซาบาล)


การทำ “ถ้ำพระกุมาร”

ตามความในพระคัมภีร์ พระเยซูเกิดใน รางหญ้า (ลก 2:7) ซึง่ เราไม่แน่ใจว่าอยูต่ รงไหน แต่เนือ่ งจากในแถบเบธเลเฮม มี “ถ้ำ” ที่พวกดูแลฝูงแกะใช้เป็นที่พักของสัตว์ (รางหญ้า) และตัวเองอยู่ มากมาย เป็นความคิดของชาวคริสต์ธรรมดาว่า รางหญ้าที่พระวรสาร อ้างถึงนั้น คงอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งในเบธเลเฮม ประเพณีการทำถ้ำนั้นมาจากอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี เป็ น ผู้ เริ่ ม โดยในวั น คริ ส ต์ ม าส ปี ค.ศ.1223 นั ก บุ ญ ฟรั ง ซิ ส ชวนให้ ชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้านที่ Greccio ที่ท่านอยู่ร่วมแสดงละคร มีการเตรียมถ้ำพระกุมารและใช้สัตว์จริงๆ เช่น วัว และลา อยู่ในถ้ำด้วย (การที่ใช้วัวและลา เพราะเป็นสัตว์ที่ชาวบ้านใช้เป็นประจำ) จากนั้น ก็จุดเทียนมายืนรอบๆ ถ้ำที่ทำขึ้น ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าจนถึงสว่างและฟังมิสซาด้วยกัน ตั้งแต่นั้นมา ประเพณีทำถ้ำพระกุมารทั้ง

ในวัดและในบ้านก็แพร่หลายไปทั่วทุกหนแห่ง (จากบทความเรื่อง คริสต์มาสและประเพณี โดย คุณพ่อมีเกล กาไรซาบาล)


ต้นคริสต์มาส (1)

ในสมัยโบราณต้นคริสต์มาสหมายถึงต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวา ไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาปไม่เชื่อฟังพระเจ้า (ปฐก 3:1-6) ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์แสดงละครที่หน้าวัด ถึงความหมายของคริสต์มาส และเอาต้นไม้ต้นหนึ่ง วางไว้ตรงกลางเพื่อประดับฉาก แสดงถึงบาปกำเนิดของอาดัมและเอวา ต้นไม้ที่ใช้ เป็นต้นสนเนื่องจากเป็นต้นไม้ที่หาง่ายที่สุดในประเทศเหล่านั้น การแสดงละครคริ ส ต์ ม าสแบบนี้ มี ม าเป็ น เวลาช้ า นานหลายร้ อ ยปี จนถึ ง ศตวรรษที่ 15 พระสังฆราชหลายแห่งได้ห้ามแสดงเนื่องจากการแสดงนั้นกลายเป็นการ เล่นเหมือนลิเกล้อชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมืองและศาสนา ซึ่งไม่ตรงกับบรรยากาศ ของการฉลอง ชาวบ้านรู้สึกเสียดายที่ไม่มีโอกาสดูละครสนุกๆ แบบนั้นอีก จึงไปสนุก กันที่บ้านของตน โดยเอาต้นไม้มาไว้ที่บ้าน เพราะต้นไม้เป็นจุดเด่นในลานวัดที่เขาเคย ร่วมสนุกสนานกัน หลังจากนั้นก็เริ่มมีการแขวนลูกแอปเปิ้ล และแขวนแผ่นขนมปังเพื่อ ระลึกถึงศีลมหาสนิท ซึ่งก็มีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็กลายเป็น ขนมและของขวัญอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้


ต้นคริสต์มาส (2)

นอกจากนั้น ชาวเยอรมันยังมีประเพณีอีกอย่างหนึ่งคือ มีการจุดเทียนหลายเล่ม เป็นรูปปิรามิดไว้ตลอดคืนคริสต์มาส โดยมีดาวของดาวิดอยู่ที่ยอดปิรามิด ซึ่งประเพณีที่จะ แขวนของขวัญและขนมก็ได้รวมกับประเพณีของชาวเยอรมันนี้มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 โดย เอาเทียนมาไว้ที่ต้นไม้เป็นรูปทรงปิรามิด นี่เป็นที่มาของประเพณีปัจจุบัน ที่มีการ แขวนของขวัญและไฟกระพริบไว้ที่ต้นคริสต์มาส และมีดาวของดาวิดไว้สุดยอด ประเพณีนี้เป็นที่นิยมชมชอบของชาวตะวันตกอยู่มาก แม้ว่าประเพณีการตั้งต้นคริสต์มาสมีความเป็นมาดังกล่าว ชาวคริสต์ใน สมัยนี้ก็ยังนิยมทำกันอยู่ เพราะเห็นว่ามีความหมายถึงพระเยซูผู้เปรียบเสมือน ต้นไม้แห่งชีวิต (ปฐก 2:9) ที่เขียวสดเสมอในทุกฤดูกาล ซึ่งหมายถึงนิรันดรภาพ ของพระเยซู และนอกจากนั้นยังหมายถึงความสว่างของพระองค์ เสมือน แสงเทียนที่ส่องในความมืด ทั้งยังหมายถึงความชื่นชมยินดีและความสามัคคีที่ พระเยซูประทานให้ เพราะต้นไม้นั้นเป็นจุดรวมของครอบครัวในเทศกาลนั้น (จากบทความเรื่อง คริสต์มาสและประเพณี โดย คุณพ่อมีเกล กาไรซาบาล)


ซานตาคลอส

ซานตาคลอส เป็นจุดเด่นหรือสัญลักษณ์ที่เด็กและผู้คน นิ ย มมากที่ สุ ด ในเทศกาลคริ ส ต์ ม าส แต่ แ ท้ ที่ จ ริ ง แล้ ว ซานตาคลอสแทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เลย ชื่อ ซานตาคลอส มาจากนักบุญนิโคลาส ซึ่งเป็นนักบุญที่ชาวฮอล์แลนด์นับถือ เป็น นักบุญองค์อุปถัมภ์ของเด็กๆ นักบุญองค์นี้เป็นสังฆราชของไมรา (อยู่ในประเทศตุรกี ปัจจุบัน) มีชีวิตอยู่ในราวศตวรรษที่ 4 เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็ยังรักษาประเพณีนี้ไว้ คือฉลองนักบุญ นิโคลาสในวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งหมายถึงนักบุญองค์นี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้ เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลาน ของชาวฮอล์แลนด์ที่อพยพมา ก็รู้สึกอยากมีส่วนร่วมในประเพณีแบบนี้บ้างเพื่อรับของขวัญ ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จัก และแพร่หลายไปในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างคือ ชื่อนักบุญนิโคลาสก็เปลี่ยนมาเป็นซานตาคลอส และ แทนที่จะเป็นสังฆราชซึ่งเป็นนักบุญองค์นั้น ก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วน ใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็น พาหนะ มีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟของบ้าน เพื่อ เอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้นตามความประพฤติของเขา ลักษณะภายนอกของซานตาคลอสที่ถูกสมมติขึ้นนี้ เหมือนกับจะลอกเลียนแบบมาจาก Thor ซึ่งเป็นเทพเจ้า ในนิยายโบราณของเยอรมัน และลอกเลียนแบบนักบุญนิโคลาสที่นำของขวัญมาแจกเด็กๆ อันที่จริง ซานตาคลอสเป็น รูปแบบที่น่ารัก เหมาะสำหรับเป็นนิยายให้เด็กๆ เชื่อ แต่อาจจะทำให้คนทั่วไปหันมาสนใจ ให้ความสำคัญในตัวนิยายนี้ แทนการบังเกิดของพระเยซู ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของเทศกาลคริสต์มาสนี ้ (จากบทความเรื่อง คริสต์มาสและประเพณี โดย คุณพ่อมีเกล กาไรซาบาล)


การร้องเพลงคริสต์มาส

เพลงคริสต์มาสเริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 ซึ่งในสมัยนี้มีทั้งพระสงฆ์และ ฆราวาสเป็นผู้แต่ง ร้องเป็นภาษาละติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึง ความหมายของการเสด็จมาของพระเยซู แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีวิวัฒนาการใหม่ ในด้านเพลงนี้ เริ่มในประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้มี ส่วนในการสนับสนุนให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่ ซึ่งชาวบ้านชอบคือมีท่วงทำนอนที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความ ชื่นชมยินดีในโอกาสคริสต์มาสนี้ เพลงเหล่านี้เป็นภาษาละติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบันคือเพลง “ขอเชิญท่านผู้วางใจ” O Come, all ye faithful หรือในภาษาละตินว่า “Adeste Fideles”) เพลงคริสต์มาสที่เรานิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมันและ ประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ Silent Night, Holy Night เป็นภาษาไทยว่า “ราตรี สวัสดิ์ ราตรีสงัด” ความเป็นมาของเพลงนี้คือ วันก่อนวันฉลองคริสต์มาสของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อ Joseph Mohr เจ้าอาวาสวัดที่ Oberndorf ประเทศออสเตรเลียได้ข่าวออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับไม่สามารถร้องเพลงตามที่ ซ้อมไว้ได้ คุณพ่อเองตั้งใจจะแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ หลังจากแต่งเสร็จก็เอาไปให้เพื่อนคนหนึ่งชื่อ Franz Gruber ที่อยู่หมู่บ้านใกล้เคียงใส่ทำนองในคืนวันที่ 24 นั้นเอง สัตบุรุษวัดนี้ก็ได้ฟังเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดย เล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก (จากบทความเรื่อง คริสต์มาสและประเพณี โดย คุณพ่อมีเกล กาไรซาบาล)


เทียน และ พวงมาลัย

ในสมัยก่อน มีกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในเยอรมัน ได้เอากิ่งไม้มาประกอบ เป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้น ใน ตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเตรียมรับเสด็จฯ ทุกคนในครอบครัว จะมารวมกัน ดับไฟ แล้วจุดเทียนเล่มหนึ่ง สวดภาวนาและร้องเพลงคริสต์มาส ร่วมกัน เขาจะทำดังนี้ทุกอาทิตย์จนครบ 4 อาทิตย์ก่อนคริสต์มาส ประเพณีนี้ เป็นที่นิยมและแพร่หลายในที่หลายแห่ง โดนเฉพาะที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งต่อมามีการเพิ่ม โดยเอาพวงมาลัยพร้อมกับ เทียนที่จุดไว้ตรงกลาง 1 เล่ม ไปแขวนไว้ที่หน้าต่าง เพื่อช่วยให้คนที่ผ่านไปมาได้ระลึกถึงการเตรียมตัวรับวัน คริสต์มาสที่ใกล้เข้ามา และพวงมาลัยนั้นยังเป็นสัญลักษณ์ที่คนโบราณใช้หมายถึงชัยชนะ แต่ในที่นี้หมายถึง การที่ พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างครบบริบูรณ์ตามแผนการของพระเป็นเจ้า (จากบทความเรื่อง คริสต์มาสและประเพณี โดย คุณพ่อมีเกล กาไรซาบาล)


การทำมิสซาเที่ยงคืน

เมื่อพระสันตะปาปาจูลีอัส ที่ 1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคม เป็นวัน ฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส) แล้ว ในปีนั้นเองพระองค์และสัตบุรุษได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮม ยังถ้ำทีพ่ ระเยซูเจ้าประสูติ พอไปถึงก็เป็นเวลาเทีย่ งคืน พระสันตะปาปาก็ ทรงถวายบูชามิสซา ณ ที่นั้น เมื่อเสร็จแล้วก็กลับมาที่พักเป็นเวลาเช้ามืดราวๆ ตี 3 พระองค์ก็ถวาย บู ช ามิ ส ซาอี ก ครั้ ง หนึ่ ง และสั ต บุ รุ ษ เหล่ า นั้ น ก็ พ ากั น กลั บ แต่ ก็ ยั ง มี สั ต บุ รุ ษ หลายคนที่ ไ ม่ ไ ด้ ไ ป พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อสัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เอง พระสันตะปาปาจึงทรงอนุญาตให้พระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้งในวันคริสต์มาส เหมือนกับการ ปฏิบตั ขิ องพระองค์ ตัง้ แต่นน้ั เป็นต้นมาจึงมีธรรมเนียมถวายมิสซาเทีย่ งคืนในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็ สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซาในโอกาสวันคริสต์มาสเช่นเดียวกัน (จากบทความเรื่อง คริสต์มาสและประเพณี โดย คุณพ่อมีเกล กาไรซาบาล)


ความสำคัญของวันคริสต์มาส

เราจะเห็นได้ว่า วันคริสต์มาสเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง เนื่องจากเป็นการ ระลึกถึงวันที่พระบุตรของพระเจ้ามาบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์เป็นพระเจ้า ที่จะอยู่กับเราตลอดไป เป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์เป็่นพี่หัวปีที่จะนำมนุษย์ทั้งมวลไปสู่พระบิดาเจ้า พระองค์เป็นความสำเร็จบริบูรณ์ตามคำสัญญาของพระเจ้าที่จะดูแลป้องกันรักษาเราผู้เป็นประชากรของพระองค์ เราเป็นเหมือนลูกแกะที่หายไป แต่พระเยซูเป็นชุมพาบาลใจดีที่ตามหาเราจนพบและจะไม่มีอะไรที่จะ แยกเรากับพระองค์ได้อีกเลย มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเป็นชนชาติไหน จะรวยจะจน คนศรัทธาหรือคนบาป ล้วนมีความสำคัญต่อหน้า พระเจ้าเสมอ เพราะตั้งแต่การเสด็จมาบังเกิดของพระเยซูนั้น พระเป็นเจ้าพระบิดาทรงเห็นพระฉายาลักษณ์ของ พระบุตรในมนุษย์ทุกคน เราก็เช่นเดียวกันเราต้องรักซึ่งกันและกันเหมือนอย่างที่เรารักพระเจ้า นั่นหมายถึงเราต้อง เคารพศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นคนยากจน คนต่างชาติ หรือคนที่วางตัวเป็นศัตรูกับเรา “เขาจะรักพระเจ้าที่เขามองไม่เห็นได้อย่างไร ถ้าเขาไม่รักพี่น้องที่มองเห็นได้ นี่แหละเป็นพระดำรัสที่พระเยซู เจ้าประทานแก่เรา คนที่รักพระเจ้าต้องรักพี่น้องของตนด้วย” (1ยน.20-21) ประเพณีของการฉลองคริสต์มาสที่มีความเป็นมาดังกล่าวนี้ควรเป็นสิ่งที่ชักจูงเราให้เปี่ยมไปด้วยความ รักที่พร้อมที่จะรับใช้ผู้อื่นอย่างเต็มที ่ (จากบทความเรื่อง คริสต์มาสและประเพณี โดย คุณพ่อมีเกล กาไรซาบาล)



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.