อิทธิพลของวัฒนธรรมอาหรับตอสังคมมลายูในจังหวัดปตตานี The Influences of Arab Culture on Malay Society in Pattani Province
มูหัมมัดมันซูร หมัดเราะ Muhammadmansour Madroh
วิทยานิพนธนี้สําหรับการศึกษาตามหลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร A Thesis Submitted in Fulfillment of the Requirements for the Degree of Master of Arts in Islamic Studies Prince of Songkla University
2551 ลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร
ดวยพระนามของอัลลอฮฺ ผูทรงกรุณาปรานี ผูทรงเมตตาเสมอ มวลการสรรเสริญเปนสิทธิ์ของเอกองคอัลลอฮฺ (สุบหานะฮุวะตะอาลา) ผูทรง อภิบาลแหงสากลโลก ขอพระองคทรงประทานพร และความสันติสุขแดทาน นบีมุฮัมมัด ผูประเสริฐสุดแหงบรรดานบีและเราะสูล ขอความจําเริญและ ความสันติสุขจงประสบแดครอบครัวของทานนบี ตลอดจนวงศวาน เศาะหาบะฮฺ และผูเจริญรอยตามแนวทางของทาน
ชื่อวิทยานิพนธ ผูเขียน สาขาวิชา
อิทธิพลของวัฒนธรรมอาหรับตอสังคมมลายูในจังหวัดปตตานี นายมูหัมมัดมันซูร หมัดเราะ อิสลามศึกษา
อาจารยที่ปรึกษาวิทยานิพนธหลัก
คณะกรรมการสอบ
……………………………………… (รองศาสตราจารยดลมนรรจน บากา) อาจารยที่ปรึกษาวิทยานิพนธรวม
………………………….ประธานกรรมการ (ดร.ซาฝอี อาดํา) ……………………………..กรรมการ (รองศาสตราจารยดลมนรรจน บากา)
……………………………………… (รองศาสตราจารยระวีวรรณ ชอุมพฤกษ)
……………………………..กรรมการ (รองศาสตราจารยระวีวรรณ ชอุมพฤกษ)
……………………………………… (ดร.อณัส อมาตยกุล)
…………………………….กรรมการ (ผูชวยศาสตราจารย ดร.อับดุลเลาะ การีนา) …………………………….กรรมการ (ผูชวยศาสตราจารย ดร.หะสัน หมัดหมาน)
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร อนุมัติใหนบั วิทยานิพนธฉบับนี้ สําหรับการศึกษา ตามหลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาอิสลามศึกษา
…………….…………………………. (รองศาสตราจารย ดร.เกริกชัย ทองหนู) คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย
(2)
ชื่อวิทยานิพนธ ผูเขียน สาขาวิชา ปการศึกษา
อิทธิพลของวัฒนธรรมอาหรับตอสังคมมลายูในจังหวัดปตตานี นายมูหัมมัดมันซูร หมัดเราะ อิสลามศึกษา 2551
บทคัดยอ การศึ ก ษาวิ จั ย เรื่ อ งอิ ท ธิ พ ลของวั ฒ นธรรมอาหรั บ ต อ สั ง คมมลายู ใ นจั ง หวั ด ปตตานี มีวัตถุประสงคเพื่อศึกษาประวัติความเปนมา และอิทธิพลของวัฒนธรรมอาหรับที่มีตอ สังคมมลายูในจังหวัดปตตานี โดยศึกษาจากเอกสาร วรรณกรรมที่เกี่ยวของ และขอมูลจากการ สัมภาษณบุคคล เพื่ออธิบายสภาพการณตาง ๆ แนวคิดที่ใชในการศึกษาประกอบดวย แนวคิด เกี่ยวกับวัฒนธรรม แนวคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม แนวคิดเกี่ยวกับคํา ยืม และแนวคิดเกี่ยวกับการแตงกาย เพื่อใชประกอบการศึกษาวัฒนธรรมดานภาษาและการแตง กาย จากการศึ กษาพบวา อิทธิพลของวัฒนธรรมอาหรับ ตอสังคมมลายู ในจังหวัด ปตตานีเริ่มขึ้นภายหลังจากสังคมมลายูในจังหวัดปตตานีเขารับนับถือศาสนาอิสลาม โดยเริ่มจาก วัฒนธรรมทางดานภาษา ประกอบดวย อักษรอาหรับ และคํายืม ตามดวยวัฒนธรรมดานการแตง กาย ประกอบดวย หมวกกป เ ยาะห ผา พั น ศี รษะ เสื้ อ โต บ และเสื้อคลุม นอกจากนี้ ยัง พบว า วัฒนธรรมดานการแตงกายแบบชาวอาหรับเปนเครื่องหมายของผูมีความรูทางศาสนาอิสลามหรือ อุละมาอ และปจจุบันยังมีความสําคัญทางดานเศรษฐกิจของชาวมลายูในจังหวัดปตตานีอีกดวย
(3)
Thesis Title Author Major Program Academic Year
The Influences of Arab Culture on Malay Society in Pattani Province Mr. Muhammadmansour Madroh Islamic Studies 2008 ABSTRACT
The objective of this research is to study the history and the influences of Arab culture on the Malay society in Pattani province. It is a documentary research which relies on relevant literatures, data based on interviews to reflect all different issues in question. The concepts adopted in the study are cultural and socio-cultural changes. The concepts related to loan words and dressing styles are also included in order to study the culture, language and dressing styles of Malay people in Pattani. The research found that the influences of the Arab culture on Pattani Malay society began to take root since the Malay people had converted to Islam. In the process they gradually started to learn and accept Arab culture such as Arabic orthography and some Arabic loan words. They later imitated Arab dressing culture for men such as head wear, Turban, robe, and cloak. In addition, the study found that in Pattani the Arab dressing style is mostly adopted by Muslim scholars and it plays an important role in the present time economic life of Pattani.
(4)
ﻣﻮﺿﻮﻉ ﺍﻟﺒﺤﺚ
ﺗﺄﺛﲑ ﺍﻟﺜﻘﺎﻓﺔ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﺘﻤﻊ ﺍﳌﻼﻳﻮﻱ ﰲ ﻭﻻﻳﺔ ﻓﻄﺎﱐ
ﺍﻟﺒﺎﺣﺚ
ﳏﻤﺪ ﻣﻨﺼﻮﺭ ﻣﺪﺭﺍﺀ
ﺍﻟﺘﺨﺼﺺ
ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ
ﺍﻟﻌﺎﻡ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﻲ
1428ﻫﺠﺮﻱ ﻣﺴﺘﺨﻠﺺ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﻳﻬﺪﻑ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﺇﱃ ﺩﺭﺍﺳﺔ ﺗﺎﺭﻳﺦ ﻭﺍﻟﺜﻘﺎﻓﺔ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ ﻭﺗﺄﺛﲑﻫﺎ ﻋﻠﻰ ﺍﺘﻤﻊ ﺍﳌﻼﻳﻮﻱ
ﰲ ﻭﻻﻳﺔ ﻓﻄﺎﱐ .ﻭﻳﻌﺘﻤﺪ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﻋﻠﻰ ﲨﻊ ﺍﳌﻌﻠﻮﻣﺎﺕ ﻋﻦ ﻃﺮﻳﻖ ﺩﺭﺍﺳﺔ ﺍﳌﺴﺘﻨﺪﺍﺕ ﻭﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﻟﱵ ﳍﺎ ﻋﻼﻗﺔ ﺑﺎﳌﻮﺿﻮﻉ .ﻭﻛﺬﺍﻟﻚ ﲟﺎ ﲢﺼﻞ ﻟﻠﺒﺎﺣﺚ ﻋﻦ ﻃﺮﻳﻖ ﻣﻘﺎﺑﻠﺔ ﺑﻌﺾ ﺍﻷﺷﺨﺎﺹ ﺫﻭﻯ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻭ ﺍﳌﻌﺮﻓﺔ ﰲ ﻫﺬﺍ ﺍﺎﻝ. ﻭﺍﳌﻔﺎﻫﻴﻢ ﺍﳌﻌﺘﻤﺪﺓ ﰲ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ﻣﻔﺎﻫﻴﻢ ﺛﻘﺎﻓﻴﺔ ﻭﻣﺎ ﻃﺮﺃ ﻋﻠﻰ ﻫﺬﻩ ﺍﳌﻔﺎﻫﻴﻢ ﺍﳌﺬﻛﻮﺭﺓ ﻣﻦ ﺗﻐﲑﺍﺕ ﺛﻘﺎﻓﻴﺔ ﻭﺍﺟﺘﻤﺎﻋﻴﺔ .ﻭﻛﺬﻟﻚ ﻳﺘﻀﻤﻦ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﺍﻟﻜﻠﻤﺎﺕ ﺍﳌﺴﺘﻌﺎﺭﺓ ﻣﻦ ﺍﻟﻠﻐﺔ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ ﺇﱃ ﺍﻟﻠﻐﺔ ﺍﳌﻼﻳﻮﻳﺔ ﻭﳕﻂ ﺍﻟﺰﻱ ﺍﻟﻌﺮﰊ ﻭﺗﺄﺛﲑﻩ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺰﻱ ﺍﳌﻼﻳﻮﻱ .ﻭﺍﻟﻐﺮﺽ ﻣﻦ ﻛﻞ ﺫﻟﻚ ﻫﻮ ﺩﺭﺍﺳﺔ ﺛﻘﺎﻓﺔ ﺍﳌﻼﻳﻮﻳﲔ ﻭﻟﻐﺘﻬﻢ ﻭﺯﻳﻬﻢ ﰲ ﻓﻄﺎﱐ ،ﻭﻣﺪﻯ ﺗﺄﺛﲑﺍﺕ ﺍﻟﺜﻘﺎﻓﺔ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ ﻋﻠﻰ ﺫﻟﻚ. ﻭﺩﻟﱠﺖ ﺍﻟﻨﺘﺎﺋﺞ ﺍﻟﱵ ﺗﻮﺻﻞ ﺇﻟﻴﻬﺎ ﺍﻟﺒﺎﺣﺚ ﻋﻠﻰ ﺃ ﹼﻥ ﺗﺄﺛﲑ ﺍﻟﺜﻘﺎﻓﺔ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﺘﻤﻊ ﺍﳌﻼﻳﻮﻱ ﺑﺪﺃ ﻣﻨﺬ ﺃﻥ ﺍﺳﺘﻮﻃﻦ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﰲ ﺍﻟﺸﻌﻮﺏ ﺍﳌﻼﻳﻮﻳﺔ ﺧﺎﺻﺔ ﰲ ﻓﻄﺎﱐ ،ﻓﻜﺎﻥ ﺍﻟﺘﺄﺛﲑ ﻭﺍﻟﺘﺄﺛﹼﺮ ﺃﻭ ﹰﻻ ﰲ ﺍﳉﺎﻧﺐ ﺍﻟﻠﻐﻮﻱ ،ﻭﺫﻟﻚ ﻋﻨﺪ ﻣﺎ ﺍﺳﺘﺨﺪ ﻣﻮﺍ ﺍﳊﺮﻑ ﺍﻟﻌﺮﰊ ﰲ ﻛﺘﺎﺑﺔ ﺍﻟﻠﻐﺔ ﺍﳌﻼﻳﻮﻳﺔ ،ﻳﻠﻴﻪ ﺍﳉﺎﻧﺐ ﺍﳌﺘﺼﻞ ﺑﻌﺎﺩﺍﺕ ﺍﻟﻠﺒﺎﺱ ﻭﺍﻟﺜﻘﺎﻓﺔ ﺍﳌﺮﺗﺒﻄﺔ ﺑﻪ .ﻓﻴﻠﺒﺴﻮﻥ ﺍﻟﻄﺎﻗﻴﺔ ﻭﺍﻟﻌﻤﺎﻣﺔ ﻭﺍﻟﺜﻮﺏ ﺍﻟﻌﺮﰊ ﻭﺍﻟﻌﺒﺎﺀﺓ ،ﻋﻠﻤﹰﺎ ﺑﺄ ﹼﻥ ﺍﻟﻠﺒﺎﺱ ﺍﻟﻌﺮﰊ ﺍﳌﺴﺘﺨﺪﻡ ﰲ ﻓﻄﺎﱐ ﳝﺜﹼﻞ ﻣﻈﻬﺮﹰﺍ ﻣﻦ ﺍﳌﻈﺎﻫﺮ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ،ﻳﻠﺒﺴﻪ ﺫﻭﻭ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺃﻭ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﻮﻥ ،ﻭﻳﻠﻌﺐ ﺩﻭﺭﹰﺍ ﻛﺒﲑﹰﺍ ﰲ ﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺩ ﺍﳌﻼﻳﻮﻱ ﺑﻔﻄﺎﱐ ﺇﱃ ﻳﻮﻣﻨﺎ ﻫﺬﺍ .
)(5
กิตติกรรมประกาศ อั ล ฮั ม ดุ ลิ ล ลาฮฺ ด ว ยความเมตตา และความโปรดปรานของพระองค ผู ท รง ทดสอบ ผูทรงประทานความสําเร็จแกบาวของพระองค ในการทําวิทยานิพนธฉบับนี้ใหสําเร็จ ลุลวงไปดวยดี ผู วิ จั ย ขอขอบคุ ณ รองศาสตราจารย ด ลมนรรจน บากา อาจารย ที่ ป รึ ก ษา วิท ยานิพ นธ หลั ก รองศาสตราจารย ร ะวีวรรณ ชอุม พฤกษ และอาจารย ดร.อณัส อมาตยกุ ล อาจารย ที่ ป รึ ก ษาวิ ท ยานิ พ นธ ร ว ม ที่ ใ ห ค วามกรุ ณ ากํ า กั บ ดู แ ล ให คํ า ปรึ ก ษาและคํ า แนะนํ า ตรวจสอบแก ไ ขข อ บกพร อ งให วิ ท ยานิ พ นธ ฉ บั บ นี้ ถู ก ต อ งและสมบู ร ณ พร อ มกั น นี้ ผู วิ จั ย ขอขอบคุ ณ อาจารย ดร.ซาฝ อี อาดํ า และคณะกรรมการสอบวิ ท ยานิ พ นธ ทุก ท า นที่ ก รุ ณ าให ขอเสนอแนะ และปรับปรุงแกไขเพื่อใหวิทยานิพนธฉบับนี้มีความสมบูรณมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ผูวิจัยขอขอบคุณคณาจารยแผนกวิชาภาษาอาหรับ แผนกวิชาภาษา มลายู และแผนกวิชามลายูศึกษาทุกทานที่ไดชวยเหลือ ชี้แนะใหวิทยานิพนธฉบับนี้สําเร็จลุลวง ดวยดี โดยเฉพาะ อาจารยอัสสมิง กาเซ็ง อาจารยนิอับดุลรากิบ บินนิฮัสซัน อาจารยซาวาวี ปะดา อามีน อาจารยชินทาโร ฮารา และอาจารยอัสมัน แตอาลี รวมถึงอาจารยทานอื่น ๆ ที่มิอาจเอย นามไดหมด ณ ที่นี้ พรอมกันนี้ผูวิจัยขอขอบคุณมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี ที่ ใหทุนอุดหนุนการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ผูวิจัยจะลืมเสียมิไดขอขอบคุณบิดา มารดา และคุณปตมาวาตี เฮ็งปยา ที่คอย ดูแล และใหกําลังใจมาโดยตลอด ขอเอกองคอัลลอฮฺทรงประทานความเมตตา และความดีงามแด ผูมีสวนรวมทุกทานดวยเทอญ อามีน มูหัมมัดมันซูร หมัดเราะ
(6)
สารบัญ หนา บทคัดยอ...............................................................................................................(3) ABSTRACT ........................................................................................................(4) ﻣﺴﺘﺨﻠﺺ اﻟﺒﺤﺚ.......................................................................................................(5) กิตติกรรมประกาศ..................................................................................................(6) สารบัญ..................................................................................................................(7) รายการตารางประกอบ..........................................................................................(12) รายการภาพประกอบ.............................................................................................(14) ตารางปริวรรตอักษรอาหรับ-ไทย............................................................................(16) ตารางปริวรรตอักษรอาหรับ-อังกฤษ.......................................................................(18) บทที่ 1 บทนํา..........................................................................................................1 1.1 ความเปนมาของปญหาและปญหา...............................................................1 1.2 อัลกุรอาน อัลหะดีษ เอกสารงานวิจยั ที่เกี่ยวของ.............................................5 1.3 วัตถุประสงค..........................................................................................12 1.4 ความสําคัญและประโยชนของการวิจัย.........................................................12 1.5 ขอบเขตของการวิจัย...............................................................................13 1.6 ขอตกลงเบื้องตน....................................................................................13 1.7 นิยามศัพทเฉพาะ....................................................................................14 1.8 วิธีดาํ เนินการวิจัย....................................................................................14 บทที่ 2 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวของ........................................................................17 2.1 แนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรม........................................................................17 2.1.1 คําจํากัดความของวัฒนธรรม............................................................17 2.1.2 ประเภทของวัฒนธรรม....................................................................20 2.1.3 ลักษณะของวัฒนธรรม....................................................................23 2.1.4 แนวคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม...................................24 2.1.5 แนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมอิสลาม.....................................................25 2.2 การแพรขยายของศาสนาอิสลามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต............................29
(7)
สารบัญ (ตอ) หนา 2.3 ทฤษฎีการเขามาของอิสลามสูภูมิภาคมลายู..................................................34 2.3.1 ทฤษฎีอิสลามมาจากอินเดีย..............................................................35 2.3.2 ทฤษฎีอิสลามมาจากจีน...................................................................35 2.3.3 ทฤษฎีอิสลามมาจากอาหรับ.............................................................36 2.4 องคประกอบของการเผยแผอิสลามในภูมภิ าคมลายู......................................37 2.4.1 องคประกอบดานการคา..................................................................37 2.4.2 องคประกอบการแตงงาน.................................................................38 2.4.3 องคประกอบการเผยแผอิสลาม.........................................................38 2.4.4 องคประกอบทางดานความพิเศษของคําสอนอิสลาม.............................39 2.5 แนวคิดเกี่ยวกับคํายืม..............................................................................41 2.5.1 ความหมายของการยืมภาษา.............................................................41 2.5.2 แนวคิดเรื่องการสัมผัสภาษา.............................................................41 2.6 ประเภทของคํายืม...................................................................................42 2.6.1 คํายืมทับศัพท (Loanwords)..........................................................42 2.6.2 คํายืมปน (Loanblends)................................................................42 2.6.3 คํายืมแปล (Loanshifts)................................................................43 2.7 ปจจัยที่กอใหเกิดการยืมคํา.......................................................................43 2.8 แนวคิดเกี่ยวกับการแตงกาย.....................................................................46 2.8.1 สภาพภูมิอากาศ.............................................................................46 2.8.2 ศัตรูทางธรรมชาติ..........................................................................47 2.8.3 หนาที่การงาน................................................................................47 2.8.4 วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณี.............................................48 2.8.5 ศาสนาและความเชื่อ.......................................................................49 2.8.6 ความดึงดูดใจในเพศตรงขาม...........................................................49 2.8.7 ฐานะทางเศรษฐกิจ.........................................................................49 บทที่ 3 ภูมิหลังชนชาติอาหรับและพื้นที่วิจัย................................................................51 3.1 สังเขปประวัติศาสตรชนชาติอาหรับ............................................................51
(8)
สารบัญ (ตอ)
หนา 3.1.1 ที่ตั้งทางภูมศิ าสตร..........................................................................53 3.1.2 ภูมิอากาศของคาบสมุทรอาหรับ........................................................59 3.1.3 ถิ่นฐานของชนเซมิติก......................................................................61 3.1.4 ชนชาติอาหรับ...............................................................................62 3.2 ความเชื่อและศาสนาของชาวอาหรับ...........................................................68 3.2.1 รูปเคารพของชาวอาหรับ.................................................................70 3.2.2 ลักษณะของเจว็ดและรูปปน ของชาวอาหรับ.........................................71 3.2.3 ลัทธิบูชาดวงดาว............................................................................73 3.2.4 ลัทธิบูชาไฟ...................................................................................74 3.2.5 คริสตและยูดาย.............................................................................74 3.3 วัฒนธรรมทองถิ่นอาหรับ.........................................................................75 3.3.1 ขนบธรรมเนียมอาหรับ....................................................................82 3.3.2 พฤติกรรมแบบอนุรักษนิยม.............................................................82 3.3.3 โครงสรางของครอบครัวอาหรับ........................................................83 3.3.4 หนาที่ทางสังคมของชาวอาหรับ.........................................................84 3.3.5 การตอนรับแขก.............................................................................85 3.3.6 หองรับแขก...................................................................................86 3.4 ภาษาอาหรับ..........................................................................................86 3.4.1 ตนกําเนิดอักษรโบราณ....................................................................89 3.4.2 อักษรอาหรับ.................................................................................90 3.5 ที่อยูอาศัยของชาวอาหรับ.......................................................................103 3.6 การใชชื่อ – สกุลของชาวอาหรับ..............................................................106 3.7 พัฒนาการดานการแตงกาย.....................................................................107 3.8 ขอมูลทั่วไปของจังหวัดปตตานี................................................................115 3.8.1 ที่ตั้งทางภูมศิ าสตร........................................................................115 3.8.2 ลักษณะภูมปิ ระเทศ......................................................................115 3.8.3 สภาพอากาศ...............................................................................117
(9)
สารบัญ (ตอ)
หนา 3.8.4 ประวัติความเปนมาของปตตานี.......................................................118 3.8.5 สังเขปประวัติชนชาติมลายู.............................................................125 3.8.6 ประวัติความเปนมาของชาวมลายู....................................................129 3.8.7 วัฒนธรรมมลายูปตตานี.................................................................132 3.8.8 สังคมมลายู.................................................................................134 3.8.8.1 บทบาทของครอบครัว.......................................................135 3.8.8.2 บทบาทของสมาชิกครอบครัว..............................................136 3.8.8.3 ความสัมพันธทางครอบครัว...............................................137 3.8.8.4 สังคมมลายูในจังหวัดชายแดนภาคใต...................................137 3.8.8.5 การจัดชนชั้นทางสังคมของชาวมลายู....................................139 3.8.8.6 การจัดชนชั้นในสังคมมลายูในภาคใต...................................140 3.9 ภาษามลายู..........................................................................................141 3.9.1 พัฒนาการของภาษามลายู..............................................................143 3.9.2 ภาษามลายูถิ่นปตตานี...................................................................145 3.9.2.1 ตระกูลภาษามลายูถิ่นปตตานี.............................................146 3.9.2.2 ลักษณะทั่วไปของภาษามลายูถิ่นปตตานี...............................147 3.10 ความเชื่อดั้งเดิมและศาสนาของชาวมลายู................................................149 3.10.1 วิญญาณนิยม.............................................................................149 3.10.2 การบูชาบรรพบุรุษ.....................................................................151 3.10.3 ผี............................................................................................152 3.10.4 ขวัญ........................................................................................152 3.10.5 การติดตอกับโลกลี้ลับ.................................................................154 3.10.6 ความเชื่อเกี่ยวกับการงดของตองหาม.............................................155 3.10.7 การถือฤกษ (วัน เดือน เวลา).......................................................157 3.11 ศาสนาฮินดู – พุทธในโลกมลายู.............................................................159 3.11.1 อิทธิพลศาสนาฮินดูตอความคิดของคนมลายู...................................160 3.11.2 ประเพณีการฝากทอง..................................................................161
(10)
สารบัญ (ตอ) หนา 3.11.3 ประเพณีเขาสุนัต........................................................................162 3.11.4 ประเพณีการตาย........................................................................163 3.12 การใชชื่อ-สกุลของชาวมลายูในจังหวัดปตตานี..........................................164 3.13 ลักษณะที่อยูอาศัยของชาวมลายูปตตานี...................................................167 3.14 การแตงกาย........................................................................................170 บทที่ 4 อิทธิพลของวัฒนธรรมอาหรับตอสังคมมลายูในจังหวัดปตตานี........................174 4.1 วัฒนธรรมดานภาษา.............................................................................174 4.1.1 อักษรอาหรับ.............................................................................174 4.1.2 คํายืม.......................................................................................178 4.2 วัฒนธรรมดานการแตงกาย....................................................................190 4.2.1 หมวกกปเยาะห.........................................................................190 4.2.2 ผาโพกศีรษะ.............................................................................192 4.2.3 เสื้อโตบ....................................................................................193 4.2.4 เสื้อคลุม...................................................................................194 บทที่ 5 สรุปผลการวิจัยและขอเสนอแนะ.................................................................195 5.1 สรุปผลการวิจัย...................................................................................197 5.2 การอภิปรายผล...................................................................................201 5.3 ขอเสนอแนะ.......................................................................................204 บรรณานุกรม.........................................................................................................205 ภาคผนวก.............................................................................................................217 ประวัติผูเขียน........................................................................................................227
(11)
รายการตาราง ตาราง
หนา
1. การเพิ่มอักษร ( )ي....................................................................................93 2. การเพิ่มอักษร ( )ا......................................................................................93 3. การเพิ่มอักษร ( )و.....................................................................................93 4. การตัดอักษร ( )ا........................................................................................94 5. การแทนอักษร............................................................................................95 6. เปรียบเทียบอักษรอาหรับโบราณที่ใชในคาบสมุทรอาหรับ..................................102 7. ปริมาณน้ําฝนและจํานวนวันที่ฝนตก...............................................................117 8. อุณหภูมิระหวางป 2542-2547....................................................................118 9. เปรียบเทียบอักษรยาวีกบั อักษรอาหรับและเปอรเซีย..........................................175 10. ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับการกระทํา ความคิด และความรูสึก..................................178 11. ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับชื่อเฉพาะ และชือ่ สถานที่.................................................180 12. ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม และขอบัญญัตติ าง ๆ .................................180 13. ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับการศึกษา.....................................................................182 14. ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับชื่อวันเดือนป เวลา และการคํานวณ...................................182 15. ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับสิ่งของ เครื่องมือเครื่องใช................................................184 16. ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับสังคม เครือญาติ และฐานะ..............................................184 17. ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับการเมือง การปกครองและการทหาร.................................185 18. ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับรางกาย และลักษณะนิสัย................................................186 19. ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับสํานวน คําพูด...............................................................186 20. ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับกฎหมายอิสลาม และศาลยุติธรรม....................................187 21. ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับเครื่องแตงกาย และเครื่องประดับ.....................................187 22. ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับสุขภาพ และการแพทย...................................................188 23. ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับอาหาร และผลไม..........................................................188 24. ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับประเพณี และการละเลน.................................................188 25. ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ การคา...........................................................189
(12)
26. ตัวอยางคําอื่น ๆ ......................................................................................189
(13)
รายการภาพประกอบ ภาพประกอบ
หนา
1. โครงสรางของวัฒนธรรมอิสลาม.............................................................................28 2. ที่ตั้งของคาบสมุทรอาหรับ....................................................................................54 3. คาบสมุทรอาหรับ................................................................................................55 4. ปริมาณน้ําฝนบนคาบสมุทรอาหรับ.........................................................................60 5. การตั้งถิ่นฐานของเผาตาง ๆ ในคาบสมุทรอาหรับ......................................................68 6. ภาษาในตระกูลเซมิติก..........................................................................................89 7. อักษรคูฟค.........................................................................................................96 8. อักษรแบบนัสคฺ...................................................................................................97 9. อักษรแบบมุหักก็อก.............................................................................................97 10. อักษรแบบร็อยหานีย..........................................................................................98 11. อักษรแบบรุกอะฮฺ..............................................................................................98 12. อักษรแบบษุลูษ.................................................................................................99 13. อักษรแบบมัฆรีบีย และอันดะลูซีย........................................................................100 14. อักษรแบบฟาริซีย.............................................................................................100 15. อักษรแบบตุฆรออ............................................................................................101 16. อักษรแบบดีวานีย.............................................................................................101 17. ลักษณะกระโจมของชาวอาหรับ............................................................................103 18. ลักษณะกระทอมของชาวอาหรับ...........................................................................104 19. ลักษณะอาคารบานเรือนในเยเมน.........................................................................105 20. อิกอล และหมวกกัฟฟยะฮฺ..................................................................................110 21. การใชอุปกรณปดหนาของสตรีชาวโอมาน..............................................................111 22. ผาโพกศีรษะฆุตเราะฮฺ และชุมาฆ..........................................................................112 23. การแตงกายของชาวโอมาน.................................................................................113 24. การแตงกายของชาวอาหรับในกลุมประเทศแถบอาวเปอรเซีย....................................114 25. การแตงกายของชาวเยเมน..................................................................................114 26. แผนที่จังหวัดปตตานี.........................................................................................116
(14)
รายการภาพประกอบ (ตอ) หนา 27. เสนทางการอพยพของชนมลายู............................................................................131 28. โครงสรางวัฒนธรรมมลายูปตตานี........................................................................134 29. แผนผังตระกูลภาษามลายูถิ่นปตตานี....................................................................146 30. ตัวอยางบานทรงมลายู........................................................................................168 31. ตัวอยางบานทรงปจจุบัน.....................................................................................170 32. การแตงกายของชาวมลายูปตตานีชวงตนรัตนโกสินทร..............................................172
(15)
บทที่ 1 บทนํา 1.1 ความเปนมาของปญหาและปญหา สังคมแตละสังคมยอมมีเอกลักษณ หรือลักษณะเฉพาะ ที่เรียกวาวัฒนธรรมเปนของ ตนเอง ซึ่งบางครั้งอาจเปนสิ่งที่สังคมนั้นๆ สรางขึ้นมาเอง แตบางวัฒนธรรมอาจเปนสิ่งที่นํามาจาก สังคมอื่น แลวนํามาผสมผสานเขาเปนวัฒนธรรมเดียวกัน เกิดเปนวัฒนธรรมใหมขึ้นมาอยางที่ปรากฏ มากมายในปจจุบัน จังหวัดปตตานีเปนจังหวัดที่ตั้งอยูทางภาคใตของประเทศไทย ซึ่งมีทําเลที่ตั้งอยูบน เสนทางที่มีการติดตอดานการคาระหวางเอเชียตะวันออกเฉียงใตกับภูมิภาคแถบเอเชียตะวันตกและ ตะวันออก รวมถึงยุโรปตั้งแตอดีต ทําใหดินแดนบริเวณนี้มีโอกาสปฏิสัมพันธกับวัฒนธรรมตางๆ ที่ เขามาติดตอคาขาย แลกเปลี่ยนสินคาระหวางกันอยางตอเนื่อง เปนผลทําใหวัฒนธรรมตางถิ่นจํานวน ไมนอยที่เขามาฝงรากหยั่งลึกลงบนดินแดนแหงนี้ โดยบางวัฒนธรรมถูกยอมรับและยึดถือเปนแบบ แผน ประเพณี และการดําเนินชีวิตของผูคนในสังคม บางวัฒนธรรมถูกปรับเปลี่ยนผสมกลมกลืนให เขากับวัฒนธรรมของทองถิ่นจนในที่สุดก็ถูกหลอมรวมเปนวัฒนธรรมมลายู ในบรรดาวัฒนธรรมที่เขามาติดตอปฏิสัมพันธและผสมผสานกับวัฒนธรรมมลายู วัฒนธรรมอาหรับดูเหมือนเปนวัฒนธรรมหนึ่งที่มีบทบาทมาตั้งแตอดีต ถึงแมวาหลักฐานและขอ พิสูจนที่กลาวถึงการเริ่มเขามาของวัฒนธรรมอาหรับสูดินแดนแถบนี้เมื่อใดยังไมเปนที่แนชัด ทวา กุสตาฟ เลอ บอง (Gustave Le Bon, n.d. : 553) ไดกลาวถึงเสนทางการคาของพอคาชาวอาหรับวา “พอคาชาวอาหรับจากเอเชียตะวันตกไดเดินเรือมาติดตอคาขายตามเมืองตางๆ ในแถบคาบสมุทร มลายูกอนการประสูติของศาสนทูตมุฮัมมัด โดยชาวอาหรับจะเดินเรือจากตอนใตของคาบสมุทร อาหรับ ผานอินเดีย มะละกา อาวไทย ไปจนถึงทะเลจีนใต” ในทางประวัติศาสตรยอนหลังไปในคริสตศตวรรษที่ 7 ระบบการเขียนภาษามลายู แตกตางจากที่ใชอยูในปจจุบัน หลักศิลาจารึกที่พบในเกาะสุมาตราและบังกาจารึกดวยตัวอักษรกวิของ อินเดีย ซึ่งแสดงถึงอิทธิพลของวัฒนธรรมฮินดู-พุทธสมัยนั้น หลังจากนั้นในคริสตศตวรรษที่ 13 เมื่อ ศาสนาอิสลามไดแผขยายเขามา ไดนําเอาหลักคําสอนในคัมภีรอัลกุรอานและภาษาอาหรับ ซึ่งใชเขียน พระคัมภีรเขามาดวย นับแตนั้นมาภาษาอินเดียโบราณในบริเวณนั้นก็ถูกแทนที่ดวยภาษาอาหรับ
1
2
ชาวมลายูจึงหันมาใชอักษรอาหรับเปนตัวเขียนโดยมีการปรับเปลี่ยนเพื่อใหสอดคลองกับโครงสราง ของภาษาทองถิ่น1 จุดเริ่มตนของการรับวัฒนธรรมอาหรับสูสังคมมลายู นาจะเปนผลมาจากการรับนับ ถือศาสนาอิสลามของชาวมลายู โดยชาวอาหรับที่เขามาทําการคาขายกับชาวเมืองก็เผยแผศาสนาไป ดวย ในขณะที่การแตงกายของชาวอาหรับก็แตกตางไปจากชาวมลายู อาจทําใหชาวมลายูคิดวานั่นคือ ชุดของมุสลิม กอปรกับชาวมลายูที่มีโอกาสเดินทางไปประกอบพิธีหัจญ2บางสวนก็ไดศึกษาหาความรู วิชาการทางดานศาสนาไปดวยพรอม ๆ กัน จากการที่ไดไปสัมผัส และใชชีวิตอยูทามกลางถิ่นกําเนิด ของศาสนาอิสลามและวัฒนธรรมอาหรับ เมื่อกลับมายังคาบสมุทรมลายูกลุมคนเหลานั้นก็นําเอา วัฒนธรรมอาหรับติดตัวกลับมาและเผยแพรตอ ๆ กันไป ดานการแตงกาย ของชาวมลายูในปจจุบันจะเห็นวามีลักษณะที่แตกตางกันไป บาง คนอาจสวมเสื้อเชิ้ต กางเกงขายาวแบบสมัยนิยม หรือบางคนอาจสวมเสื้อแบบมลายู หรือที่เรียกวา “ตื อโละบลางอ” ผาโสรง โดยมีการผสมผสานใหเขากับหมวก “กปเยาะห”3 เสื้อยาวสีขาว หรือ “ชุดโตบ” ผาซัรบั่น หรือ “อิมามะฮฺ4” เสมือนวาเปนเครื่องแตงกายที่ใชในการประกอบศาสนกิจ ทั้งๆที่ความเปน จริงชาวอาหรับสวมชุดโตบในฐานะชุดธรรมดาที่สามารถสวมใสไดทุกเวลา และสถานที่โดยไมได จําเพาะเพียงแคการประกอบศาสนกิจเหมือนในสังคมมลายู ดานสถาปตยกรรม จิตรกรรม ลวดลายตาง ๆ ก็เปนอีกอยางหนึ่งที่ไดรับการยอมรับ จากชาวมลายู โดยจะเห็นวาตั้งแตสมัยแรกๆแหงการรับนับถือศาสนาอิสลาม ศาสนสถานที่สรางขึ้นก็ จะใชสถาปตยกรรมอาหรับดังปรากฏอยูจวบจนปจจุบัน ดังเชนมัสยิดกรือเซะ และมัสยิดตันหยงดา โตะ ซึ่งเปนมัสยิดที่สรางดวยการกออิฐถือปูนตามรูปแบบสถาปตยกรรมอาหรับเปนครั้งแรกในเอเชีย อาคเนย (อารีฟน บินจิ และคณะ, 2543 : 12) รวมถึงงานศิลปกรรมลวดลายการแกะสลักตาง ๆ ที่ ใช ป ระดั บ ตกแต ง บ า นเรื อ น ซึ่ ง นิ ย มใช ศิ ล ปอั ก ษรอาหรั บ หรื อ ที่ เ รี ย กว า อั ก ษรประดิ ษ ฐ (Calligraphy)
เครื่องใชไมสอยภายในบาน จากการที่ปตตานีตั้งอยูในเขตที่มีอากาศรอนชื้น ทําให ในอดีตชาวบานสวนใหญจะใชเสื่อจักสานปูรองนั่ง นอน หรือรับแขก ซึ่งถือเปนวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ของชาวบาน ในปจจุบันบทบาทของเสื่อจักสานลดลงไมเหมือนกับในอดีต ทั้งนี้อาจจะเปนเพราะพรม สุเทพ สุนทรเภสัช, “ปอเนาะ มรดกสถาบันการศึกษากับบูรณาการทางศาสนาและสังคมของชาวมาเลยมุสลิมในจังหวัดภาคใตของ ประเทศไทย” , ศิลปวัฒนธรรม , 10 (สิงหาคม 2547) , 105 2 หัจญ หมายถึง การจาริกแสวงบุญ ณ นครมักกะฮฺ ประเทศซาอุดีอาระเบีย 3 กูปยะห (Kopiah) หรือ ปเยาะ หมายถึง หมวกที่ชายชาวมลายูนิยมใส โดยเฉพาะในชวงทําการละหมาด ซึ่งสวนใหญจะมีสีขาวและมี ลวดลายตามสมัยนิยม (“Ketayap” , Ensiklopedia Sejarah dan Kebudayaan Melayu. 2, 1233) 4 อิมามะฮฺ ( ) ﻋﻤﺎﻣﺔหรือ ซัรบั่น ( ) ﺳﺮﺑﺎﻝหมายถึง ผาที่ใชพันศีรษะ 1
3
ที่มีแหลงกําเนิดจากกลุมประเทศในแถบเอเชียตะวันตกและยุโรป เริ่มเขามามีบทบาทแทนที่เสื่อจัก สาน โดยเฉพาะสําหรับปูรองพื้นเวลาประกอบศาสนกิจ สวนใหญใช “สะญะดะฮฺ5” มาปูรองพื้น ซึ่งเดิม ทีหนาที่นี้เคยเปนของเสื่อจักสานผืนเล็ก ๆ ภาษาก็เปนอีกประการหนึ่งที่มีการผสมผสานกับวัฒนธรรมอื่นที่มาจากภายนอก ซึ่ง จะปรากฏอยูในรูปแบบของคํายืม ในภาษามลายูโดยเฉพาะภาษามลายูถิ่นปตตานีมีคํายืมที่มาจาก ภาษาอาหรับมากมายหลายรอยคํา จนสามารถแบงออกเปนหมวดตางๆ ดังเชน หมวดที่เกี่ยวกับ ศาสนา สังคม คําเรียกญาติ เครื่องแตงกาย และอื่นๆ แตที่นาสนใจยิ่งไปกวานั้นคําที่ยืมมานอกจากจะ ใชสื่อความหมายระหวางสมาชิกในสังคมแลว ภาษายังมีผลตอความคิดและทัศนคติของสมาชิกใน สังคมอีกดวย อิทธิพลของภาษาอาหรับไมเพียงแตจะมีบทบาทเฉพาะในดานการพูด และคํานับ ญาติ แตยังรวมไปถึงลักษณะของไวยากรณที่ใชในการเขียนตํารา กลาวคือ ถาหากสังเกตรูปแบบการ ใชภาษาในกีตาบยาวี6ตั้งแตอดีต จะพบวาผูแตงเขียนโดยใชไวยากรณอาหรับ สวนการใชเวลาในยามวางก็เชนเดียวกัน เดิมทีหลังจากการรับประทานอาหารบางคน อาจชอบที่จะนั่งดื่มชา หรือบางคนอาจใชวิธีการสูบบุหรี่ ใบจาก เพื่อเปนการพักผอนหยอนใจ ซึ่ง วัฒนธรรมดังกลาวอาจเหมือนกันในทุกๆสังคม แตหลังจากชาวมลายูไดมีการติดตอ ปฏิสัมพันธกับ ผูคนภายนอกโดยเฉพาะสังคมอาหรับ เราจะเห็นวาบางคนหันไปใชวิธีการสูบแบบชาวอาหรับ หรือใช อุปกรณที่เรียกวา “นารอญีละฮฺ”7 ซึ่งเปนอุปกรณที่ใชกันอยางแพรหลายในหมูชาวอาหรับ และใน ปจจุบันเราสามารถพบไดในสังคมมลายู ทวาเมื่อกลาวถึงวัฒนธรรมอาหรับ หลายคนกลับคิดวาหมายถึงวัฒนธรรมอิสลาม ทั้งๆ ที่ในความเปนจริงอาจเปนคนละสวนกัน เหตุผลอาจเนื่องมาจากวา ในเมื่อศาสนาอิสลามมีจุด กําเนิดบนคาบสมุทรอาหรับ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอยางที่มาจากอาหรับก็ตองเปนอิสลาม แตในความ เปนจริงอาจไมใชอยางที่หลายคนเขาใจ เนื่องจากวาวัฒนธรรมอิสลามเกิดจากบทบัญญัติ และคําสอน ที่เกี่ยวของกับศาสนาเปนหลัก แตวัฒนธรรมอาหรับเปนวิถีชีวิตของชาวอาหรับซึ่งอาจจะสอดคลองกับ หลักการของศาสนาหรือไมก็ได ดังนั้นเราจึงไมอาจกลาวไดวา “ชุดโตบ” เปนชุดของผูที่นับถือศาสนา อิสลามและเปนวัฒนธรรมอิสลาม ในขณะเดียวกันเราก็สามารถที่จะกลาวไดวา การละหมาด การถือ ศีลอด และการประกอบพิธีหัจญ เปนวัฒนธรรมอิสลาม เนื่องจากศาสนกิจดังกลาวมาจากบทบัญญัติ ของศาสนาอิสลาม 5
พรมผืนเล็กสําหรับใชปูละหมาด ตําราศาสนาที่เปนภาษามลายูซึ่งใชอักษรอาหรับในการเขียน ซึ่งตอมาเรียกวา อักษรยาวี 7 นารอญีละฮฺ หรืออีกชื่อหนึ่งคือ มอระกู ซึ่งหมายถึง หมอสูบยาของชาวอาหรับ (ราชบัณฑิตยสถาน, 2542 : 843) 6
4
วัฒนธรรมไมเพียงแตบงบอกลักษณะหรือเอกลักษณของกลุมชนในสังคม บางโอกาส วัฒนธรรมอาจบงบอกถึงฐานะทางเศรษฐกิจ อาชีพ สัญชาติ ศาสนา หรืออื่นๆ โดยเฉพาะวัฒนธรรม ทางดานการแตงกาย ดังจะเห็นไดจากผูที่เปนครูบาอาจารยจะแตงตัวสุภาพเรียบรอย นักธุรกิจจะแตง กายภูมิฐานดูนาเชื่อถือ ในบางครั้งเราสามารถทราบสัญชาติหรือศาสนาของผูคนไดโดยอาศัยการ สังเกตจากเครื่องแตงกาย ดังเชนสตรีชาวอินเดียมักจะสวมชุดสาหรี8 หรือหากเปนสตรีมุสลิมชาว มาเลยเซีย หรือบรูไนก็มักจะแตงกายดวยชุดกูรง9ที่มีลวดลายและสีสันฉูดฉาด เหลานี้ลวนแตเปน ปรากฏการณทางวัฒนธรรมทั้งสิ้น ปจจุบันเมื่อผูคนสามารถมองเห็น และสัมผัสกับสิ่งตางๆ ที่อยูทั่วทุกมุมโลกไดอยาง ไมมีขอจํากัด การหลั่งไหลของสินคาและผูคนจึงกลายเปนพลวัตหรือพลังขับเคลื่อนกระบวนการ เปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมจนกลายเปนรูปแบบของวัฒนธรรมสากล (เออรลา สวิงเกิล, 2547 : 110-127) ในที่สุดภาพของวัฒนธรรมตางแดนก็เขามาปรากฏอยูรอบๆ ตัวเราโดยเฉพาะสังคม มลายูในจังหวัดปตตานี จนทําใหบางครั้งอาจเขาใจวาวัฒนธรรมตางแดนเปนวัฒนธรรมดั้งเดิมของ ชาวมลายู ดังนั้นวัฒนธรรมอาหรับที่มีอยูในสังคมมลายูในจังหวัดปตตานี โดยเฉพาะวัฒนธรรม ทางดานภาษา และการแตงกาย ตลอดจนประวัติความเปนมาของวัฒนธรรมอาหรับในสังคมมลายู จังหวัดปตตานี อีกทั้งในปจจุบันไมมีใครปฏิเสธไดวาวัฒนธรรมอาหรับไมไดเกี่ยวของกับสังคมมลายู ทั้ ง นี้ เ นื่ อ งจากวั ฒ นธรรมอาหรั บ ได เ ข า มามี บ ทบาทในการสร า งงาน สร า งรายได ใ ห แ ก ช าวมลายู มากมายในแตละป และยังไดเขามาเปนสวนหนึ่งในวิถีชีวิตของชาวมลายู จากประเด็นดังกลาวผูวิจัย เห็นวาอิทธิพลของวัฒนธรรมอาหรับตอสังคมมลายูในจังหวัดปตตานีเปนเรื่องที่ตองทําการศึกษาวิจัย เปนอยางยิ่ง
8
สาหรี เปนเครื่องแตงกายสตรีอินเดียแบบหนึ่ง ประกอบดวยผาชิ้นยาวประมาณ 5-6 เมตร ใชเปนทั้งผานุงและผาหม สวนที่นุง ยาว กรอมสน พันรอบตัวและจีบขางหนาเหน็บไวที่เอว สวนผาหมใชชายผาที่เหลือพาดอกและสะพายบา โดยมากเปนบาซายหอยชายไปขาง หลัง ชายที่หอยดึงมาคลุมหัวก็ได (ราชบัณฑิตยสถาน, 2542 : 1186) 9 กูรง (Baju Kurong) เปนเครื่องแตงกายของของชาวมลายู สําหรับผูหญิงจะมีลักษณะเปนเสื้อแขนยาวคอกลมเล็ก และมีชายเสื้อยาว ถึงเขา (“Baju Kurong” , Ensiklopedia Sejarah dan Kebudayaan Melayu. 1, 392)
5
1.2 อัลกุรอาน อัลหะดีษ เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวของ 1.2.1 อัลกุรอานที่เกี่ยวของ คัมภีรอัลกุรอานเปนธรรมนูญชีวิตของมุสลิม ซึ่งประกอบไปดวยแนวทาง คําสอน และบทบัญญัติตาง ๆ ที่สมบูรณ ดังที่อัลลอฮฺ ไดตรัสไวในสวนหนึ่งของสูเราะฮฺอัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 3 ความวา àMŠÅÊu‘uρ ©ÉLyϑ÷èÏΡ öΝä3ø‹n=tæ àMôϑoÿøCr&uρ öΝä3sΨƒÏŠ öΝä3s9 àMù=yϑø.r& tΠöθu‹ø9$# ® 〈 4 $YΨƒÏŠ zΝ≈n=ó™M}$# ãΝä3s9
(3 : )ﺍﳌﺎﺋﺪﺓ ความวา “วันนี้ขาไดใหสมบูรณแกพวกเจาแลวซึ่งศาสนาของพวกเจา และขาไดใหครบถวนแกพวกเจาแลวซึ่งความเมตตากรุณาของขา และขาไดเลือกอิสลามใหเปนศาสนาแกพวกเจา” (อัลมาอิดะฮฺ : 3) จากการศึกษาอัลกุรอานที่เกี่ยวของกับวัฒนธรรม พบวาในคัมภีรอัลกุรอาน อัลลอฮฺ ไดตรัสถึงเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรมไวในสวนหนึ่งของสูเราะฮฺ อัลหุุร็อต อายะฮฺที่ 13 และในสูเราะฮฺ อัรรูม อายะฮฺที่ 22 อัลลอฮฺ ไดตรัสวา öΝä3≈sΨù=yèy_uρ 4©s\Ρé&uρ 9x.sŒ ⎯ÏiΒ /ä3≈sΨø)n=yz $¯ΡÎ) â¨$¨Ζ9$# $pκš‰r'¯≈tƒ ® 〈 4 (#ûθèùu‘$yètGÏ9 Ÿ≅Í←!$t7s%uρ $\/θãèä©
(13 : )ﺍﳊﺠﺮﺍﺕ
6
ความวา “โอมนุษยชาติทั้งหลาย แทจริงเราไดสรางพวกเจาจากเพศ ชายและเพศหญิง และเราไดให พ วกเจาแยกเป น เผาและตระกูล เพื่อพวกเจาจะไดทําความรูจักกัน” (อัลหุุร็อต : 13) ß#≈n=ÏG÷z$#uρ ÇÚö‘F{$#uρ ÏN¨uθ≈yϑ¡¡9$# ß,ù=yz ⎯ϵÏG≈tƒ#u™ ô⎯ÏΒuρ ® 〈 t⎦⎫ÏϑÏ=≈yèù=Ïj9 ;M≈tƒUψ y7Ï9¨sŒ ’Îû ¨βÎ) 4 ö/ä3ÏΡ¨uθø9r&uρ öΝà6ÏGsΨÅ¡ø9r&
(22 : )ﺍﻟﺮﻭﻡ ความวา “และหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของพระองค คือ การสราง ชั้นฟาทั้งหลายและแผนดิน และการแตกตางของภาษาของพวกเจา และผิ ว พรรณของพวกเจ า แท จ ริ ง ในการนี้ แน น อนย อ มเป น สัญญาณสําหรับบรรดาผูมีความรู” (อัรรูม : 22) จากอายะฮฺขางตนอัลลอฮฺ ไดตรัสถึงลักษณะการสรางมนุษย ที่มีความแตกตาง ทางดานเชื้อชาติ เผาพันธุ ภาษาพูด ผิวพรรณ และขนบธรรมเนียมประเพณี โดยมีเปาประสงคเพื่อ มนุษยชาติจะไดเรียนรูทําความรูจัก และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน ซึ่งอัลลอฮฺ และ ศาสนทูตมุฮัมมัด ก็ไมไดทรงยกยองและถือวาวัฒนธรรมหนึ่งมีศักดิ์ศรีเหนือกวาอีกวัฒนธรรม หนึ่ง ดังที่ไดตรัสไวในสวนหนึ่งของสูเราะฮฺ อัลหุุร็อต อายะฮฺที่ 13 ความวา 〈 ÖÎ7yz îΛ⎧Ï=tã ©!$# ¨βÎ) 4 öΝä39s)ø?r& «!$# y‰ΨÏã ö/ä3tΒuò2r& ¨βÎ) ®
(13 : )ﺍﳊﺠﺮﺍﺕ
7
ความวา “แทจริงผูมีเกียรติยิ่งในหมูพวกเจา ณ อัลลอฮฺนั้นคือ ผูที่มี ความเกรงกลัวยิ่งในหมูพวกเจา แทจริงอัลลอฮฺนั้นเปนผูทรงรอบรู อยางละเอียดถี่ถวน” (อัลหุุร็อต : 13) 1.2.2 อัลหะดีษที่เกี่ยวของ จากการศึกษาอัลหะดีษ ผูวิจัยพบว า ท านศาสนทู ตมุฮั ม มัด ได ก ลาวถึ งความ แตกตางทางวัฒ นธรรมของแต ล ะเผ าพัน ธุ ดั งเห็ น ได จากหะดี ษที่ 22391 ซึ่ ง บั น ทึ ก โดยอะหฺ มั ด (1991) ระบุวา ทานศาสนทูตมุฮัมมัด ไดกลาวในตอนหนึ่งของคุฏบะฮฺ10วันตัชรี๊ก11 ความวา
ﻀ ﹶﻞ ﺪ ﹶﺃﻟﹶﺎ ﻟﹶﺎ ﹶﻓ ﺣ ﺍﻢ ﻭ ﺎ ﹸﻛﻭﹺﺇﻥﱠ ﹶﺃﺑ ﺪ ﺣ ﺍﻢ ﻭ ﺑ ﹸﻜﺭ ﺱ ﹶﺃﻟﹶﺎ ﹺﺇﻥﱠ ﺎﺎ ﺍﻟﻨﻳﻬﺎ ﹶﺃ)) ﻳ ﺩ ﻮ ﺳ ﻋﻠﹶﻰ ﹶﺃ ﺮ ﻤ ﺣ ﻟﹶﺄ ﻭﻟﹶﺎ ﻲ ﺮﹺﺑ ﻋ ﻋﻠﹶﻰ ﻲ ﻤ ﺠ ﻌ ﻟ ﻭﻟﹶﺎ ﻲ ﻤ ﺠ ﻋ ﻋﻠﹶﻰ ﹶﺃ ﻲ ﺮﹺﺑ ﻌ ﻟ (( ﻯﺘ ﹾﻘﻮﺮ ﹺﺇﻟﱠﺎ ﺑﹺﺎﻟ ﻤ ﺣ ﻋﻠﹶﻰ ﹶﺃ ﺩ ﻮ ﺳ ﻭﻟﹶﺎ ﹶﺃ ความวา “โอประชาชาติทั้งหลาย พึงทราบเถิดวาพระผูอภิบาลของ พวกทา นมี อ งค เ ดี ย ว และบิ ดาของพวกท านก็ มีค นเดี ยว และพึ ง ทราบเถิดวาชาวอาหรับนั้นไมไดประเสริฐไปกวาผูที่ไมใชชาวอาหรับ และผูที่ไมใชชาวอาหรับก็ไมไดประเสริฐไปกวาชาวอาหรับ คนผิว แดงไมไดประเสริฐกวาคนผิวดํา และคนผิวดําก็ไมไดประเสริฐไป กวาคนผิวแดง นอกเสียจากวาดวยความยําเกรง” (บันทึกโดย Ahmad, 1991 : 22391) นอกจากนี้ทานศาสนทูตมุฮัมมัด วัฒนธรรมและชาติพันธุที่มีอยูในสังคมมนุษยวา
10 11
คุฏบะฮฺ หมายถึง การแสดงปาฐกถาธรรม วันที่ 11-13 ของเดือน ซุลฮิจญะฮฺ หรือเดือนที่ 12 ตามปฏิทินอิสลาม
ยังไดกลาวถึงลักษณะความแตกตางของ
8
ﺽ ﺭ ﹺ ﻴ ﹺﻊ ﺍﹾﻟﹶﺄﺟﻤ ﻦ ﻣ ﺎﻀﻬ ﺒﺔ ﹶﻗ ﻀ ﺒﻦ ﹶﻗ ﻣ ﻡ ﺩ ﻖ ﺁ ﺧﹶﻠ [ﻪ ]ﺗﻌﺎﱃ )) ﹺﺇﻥﱠ ﺍﻟﻠﱠ ﻴﺾﺑ ﺍﹾﻟﹶﺄ ﻭﻤﺮ ﺣ ﺍﹾﻟﹶﺄﻢﻨﻬﻣ ﺎ َﺀ ﹶﻓﺠ، ﺽ ﺭ ﹺ ﺪ ﹺﺭ ﺍﹾﻟﹶﺄ ﻋﻠﹶﻰ ﹶﻗ ﻡ ﺩ ﻮ ﺁﺑﻨ ﺎ َﺀﹶﻓﺠ ((ﺐﺍﻟ ﱠﻄﻴﺨﺒﹺﻴﺚﹸ ﻭ ﺍﹾﻟﺰﻥﹸ ﻭ ﺤ ﺍﹾﻟﻬ ﹸﻞ ﻭ ﺍﻟﺴ ﻭ، ﻚ ﻟﻦ ﹶﺫ ﻴﺑﻭ ﻮﺩ ﺳ ﺍﹾﻟﹶﺄﻭ ความวา “แทจริงอัลลอฮฺ ไดทรงสรางอาดัมจากดิน ซึ่งไดถูก รวบรวมมาจากสวนตาง ๆ ของโลก ฉะนั้นลั กษณะลู กหลานของ อาดัม (มนุษยทุกคน : ผูวิจัย) จึงขึ้นอยูกับลักษณะของแผนดิน ดวย เหตุดังกลาวบางคนในหมูพวกเขาจึงมีผิวแดง บางคนมีผิวขาว ผิว ดํา และระหวางทั้งสองนั้น (น้ําตาล : ผูวิจัย) และบางคนก็มีนิสัย เรียบงาย บางคนก็หยาบกระดาง บางคนก็เลว และบางคนก็ดี ” (บันทึกโดย al-Tirmīdhīy, 1983 : 2879) จากหะดีษขางตน แมวาจะเปนหะดีษที่กลาวถึงการสรางทานนบีอาดัม และบง บอกถึงพลานุภาพของอัลลอฮฺ แตอีกแงหนึ่งจะสังเกตเห็นการวางแนวคิดเกี่ยวกับสังคมวิทยาและ มานุษวิทยาของศาสนทูตมุฮัมมัด โดยทานไดระบุถึงความแตกตางของมนุษยทั้งดานชาติพันธุและ ลักษณะนิสัย ทั้งนี้เพื่อเปนแนวทางในการทําความเขาใจลักษณะอันซับซอนของสังคมและพฤติกรรม ของมนุ ษ ย ว า ทั้ ง สั ง คมและวั ฒ นธรรมของแต ล ะกลุ ม ชนนั้ น แตกต า งกั น โดยมี ป จ จั ย หลั ก คื อ สภาพแวดลอมทางภูมิศาสตร กลาวคือสังคมมนุษยที่ตั้งอยูในสภาพแวดลอมทางภูมิศาสตรแตกตาง กัน มีปญหาและความจําเปนในการดํารงชีวิตที่แตกตางกัน จึงทําใหวัฒนธรรม นิสัยใจคอ รวมถึง ลักษณะทางกายภาพของมนุษยในแตละสังคมแตกตางกันไปดวย 1.2.3 เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวของ จากการศึ ก ษาและค น คว า เอกสารที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ งานวิ จั ย ในประเด็ น ที่ เ กี่ ย วกั บ วัฒนธรรมมลายู และวัฒนธรรมอาหรับ รวมถึงการปฏิสัมพันธระหวางชาวอาหรับกับชาวมลายู สวน ใหญ พ บว า งานวิ จั ย และเอกสารที่ เ กี่ ย วข อ งจะมุ ง ประเด็ น อิ ท ธิ พ ลทางด า นภาษาเป น หลั ก ส ว น วั ฒ นธรรมด า นอื่ น ยั ง ไม ป รากฏชั ด เจน เอกสารและงานวิ จั ย ที่ เ กี่ ย วข อ งซึ่ ง ผู วิ จั ย ได ใ ช ป ระกอบ การศึกษาคนควา มีดังนี้
9
ครองชัย หัตถา (2548 : 3) เขียนในหนังสือ “ประวัติศาสตรปตตานีสมัยอาณาจักร โบราณถึงการปกครอง 7 หัวเมือง” วา ปตตานีมีบทบาททางการคาและการเมืองการปกครองมาเปน เวลานาน ปตตานีมีทําเลที่ตั้งที่เหมาะสมบนคาบสมุทรมลายู ซึ่งเปนศูนยกลางระหวางตะวันออกกับ ตะวันตก คือ จีนกับอินเดีย รวมทั้งอาหรับและเปอรเซีย ปตตานีเปนเมืองทาที่มีชื่อเสียงเปนที่รูจัก อยางกวางขวางมาตั้งแตสมัยลังกาสุกะ ชื่อ “ปะตานี” ปรากฎในเอกสารตางประเทศมากมาย ปตตานี ในระหว า งพุ ท ธศตวรรษที่ 21-23 ได รั บ การกล า วถึ ง ว า เป น ศู น ย ก ลางการค า และเป น เมื อ งท า นานาชาติแหงเอเชียตะวันออกเฉียงใต บันทึกของกัปตันชาวอังกฤษ ในป พ.ศ.2261ระบุวาทาเรือ ปตตานีเปนทาเรือที่ใหญที่สุดสําหรับการคาในยานทะเลแถบนี้ นอกจากนี้ยังเปนทาเรือคูคา (staple port) กับเมืองทาสุรัต มะละบาร กัว โคโรมันเดล และเปนทาเรือสองพี่นอง (sister port) กับทาเรือ ฮิราโดะของญี่ปุน ปตตานีในระยะนั้นมีการปกครองที่เขมแข็งมีการจัดเก็บภาษีที่เปนระบบและเปน ธรรมกับพอคาทุกชาติ มีการดําเนินการดานการทูตกับนานาประเทศ เมืองปตตานีในระหวางพุทธ ศตวรรษที่ 21-23 ไดชื่อวาเปนเมืองหลวง (Kota Raja) และเปนมหานคร (Metropolis) ของชาว มลายู นอกจากนั้นยังไดรับการกลาวถึงวาเปนระเบียงแหงเมกกะ(มักกะฮฺ : ผูวิจัย) และเปนศูนยกลาง การเผยแพรศาสนาอิสลามที่ดีที่สุดแหงหนึ่งในภูมิภาคมลายู (Nusantara) ดับเบิลยู เค เจะมาน (W. K. Che Man, 1989 : 114) เขียนใน “Islam in Contemporary Patani” วา ในชวงที่กษัตริยและขาราชการชั้นผูใหญในราชวังและพระบรมวงศานุ วงศเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม เมืองปตตานีประกอบดวยคนเชื้อสายตาง ๆ อาศัยอยูเปนจํานวน มาก อาทิ จีน อาหรับ อินเดีย สยาม และเขมร เปนตน ซึ่งสวนหนึ่งก็เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม ดวยเชนกัน ดวยเหตุนี้จึงพบวาผูที่นับถือศาสนาอิสลามในปตตานี นอกจากจะประกอบดวยชาวมลายู มุสลิมเปนสวนใหญแลว ยังมีมุสลิมเชื้อสายจีน อาหรับ และอื่น ๆ โดยเฉพาะที่กรือเซะ อันเปนชุมชน ที่ตั้งเมืองปตตานีดารุสลามในอดีตนั้นมีผูที่นับถือศาสนาอิสลาที่มีเชื้อสายจีนอยูเปนจํานวนมาก อุมัร ฟารูค บายูนิด (Omar Farouk Bajunid, 1996 : 102) ไดศึกษาเรื่อง “The Arabs in Southeast Asia : A Prelimitary Overview” พบวา ชาวอาหรับเขามาอาศัยอยูใน ดินแดนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใตเปนระยะเวลานานแลว โดยสามารถแบงลักษณะของการเขามา ออกเปน 2 ลักษณะ คือ 1) เขามาในชวงกอนยุคลาอาณานิคมหลายศตวรรษ โดยจะมีการปรับตัวให เขากับวัฒนธรรมและสังคมทองถิ่น ในระยะนี้ภาพแหงความเปนอาหรับจะยังไมปรากฏ เนื่องจาก พื้นที่ใหมมีสภาพทางสังคม วัฒนธรรม แตกตางไปจากพื้นที่ที่ตัวเองเคยอาศัยอยู 2) เขามาในยุคลา อาณานิคม ซึ่งภาพแหงความเปนอาหรับจะปรากฏเพิ่มมากขึ้น โดยสังเกตไดจากชุมชนอาหรับที่จะอยู คูกับการคา
10
กุสตาฟ เลอ บอง (Gustave Le Bon, n.d. : 553) เขียนในหนังสือ “Hadārah al‘Arab” วา การติ ดตอ ระหว างพอ ค าชาวอาหรั บกั บชนชาติ ในแถบคาบสมุทรมลายู เ กิดขึ้ นกอนการ ประสูติของทานศาสนทูตมุฮัมมัด โดยอาศัยเสนทางการเดินเรือจาก อินเดีย มะละกา อาวไทย ไป จนถึงทะเลจีนใต พี ร ยศ ราฮิ ม มู ล า (2543:11-12) ได เ ขี ย นใน “พั ฒ นาการประวั ติ ศ าสตร ราชอาณาจักรมลายูปตตานี ตั้งแต ค.ศ. 1350-1909 และการเขามาของศาสนาอิสลามในภูมิภาค ป ตตานี” ว า การติ ดตอระหว างประเทศอาหรั บกั บเอเชี ยตะวั น ออกเฉี ย งใตเ กิดขึ้ น อยางเร็ วที่ สุ ด ประมาณศตวรรษที่ 4 สว นการคาระหวางเปอรเ ซียและอาหรั บนั้น เกิดขึ้นอยางเร็วที่สุดประมาณ ศตวรรษที่ 9 และโดยทั่วไปแลวพอคาชาวเปอรเซียและอาหรับไมประสบผลสําเร็จในการปลูกฝง ประเพณีทางศาสนาของพวกเขา อิสมาอีล ฮามิด (2545 : 62) ไดเขียนไวในหนังสือ “การเผยแผอิสลามในเอเชียและ ภูมิภาคมลายู” ซึ่งแปลโดย อับดุลเลาะ อับรู วาความสัมพันธทางการคาระหวางประเทศอาหรับกับหมู เกาะมลายูปรากฏขึ้นกอนการเกิดขึ้นของศาสนาอิสลามในแผนดินอาหรับ แตความสัมพันธดังกลาว เกิดขึ้นผานการคาระหวางภูมิภาคมลายูกับประเทศอาหรับเทานั้น ในขณะเดียวกัน ชาวอาหรับไดตั้ง ชุมชนของตนเองขึ้นในภูมิภาคมลายูกอนที่ลมมรสุมจะพัดพาเรือพวกเขาลองกลับไปยังประเทศจีน หรือกลับไปยังประเทศอาหรับ อ. ลออแมน (2541 : 38) ไดเขียนใน “ลังกาสุกะ ปะตานีดารุสสลาม” โดยอางจาก “ตารีค ปะตานี" ของ ชัยคฺ ฟากิฮฺ อาลี ระบุวา ชาวอาหรับ และชาวเปอรเซียเขามาคาขายที่ปะตานี ตั้งแตพวกเขายังนับถือศาสนาดั้งเดิมอยู โดยมีทั้งศาสนาโซโรแอสเตอร ยูดาย และคริสต ฟลิป เค ฮิตติ (Philip K. Hitti, 1970 : 45-50) ไดเขียนใน “History of the Arabs” ว า ความสั ม พั น ธ ร ะหว า งชาวอาหรั บ กั บ ภู มิ ภ าคมลายู เ กิ ด ก อ นอิ ส ลามมานานแล ว ซึ่ ง ความสัมพันธนี้เกิดขึ้นกอนที่อิสลามจะมีขึ้นในโลกอาหรับดวยซ้ํา โดยชาวอาหรับทางตอนใตที่เรียกวา พวกซาเบียน (Sabean) ซึ่งเปนพวกที่มีวัฒนธรรมสูงสง พวกเขาไดสถาปนาการปกครองที่เขมแข็ง รัฐของพวกเขาก็เจริญรุงเรืองซึ่งเปนผลมาจากกิจกรรมทางการคาของคนภายในรัฐ คนอาหรับพวกซา เบียนมีความชํานาญพิเศษทางดานการเดินเรือ จนกระทั่งพวกเขาสามารถมีอิทธิพลทางการคาในแถบ มหาสมุทรอินเดีย จี อาร ทิบเบตต (G.R. Tibbetts, 1956 : 205-206) เขียนไวใน “Pre-Islamic Arabia and Southeast Asia” วา ชาวอาหรับไดมาถึงแหลมมลายูประมาณศตวรรษที่ 1-2 โดย อาศัยหลักฐานจากลูกปด ประมาณ 600 ชิ้นที่ถูกคนพบบนแหลมมลายู
11
อิบนุ คุรดาษฺบะฮฺ (’Ibn Khurdādhbah) ไดเขียนในหนังสือ “al-Masālik wa alMamālik” วา ระหวางเดินทางไปยังจีน พอคาชาวอาหรับแวะตามเมืองตาง ๆ ในคาบสมุทรมลายู อาทิ กาละฮฺ (เกดะห) ติยูมัน (ติโอมัน) ซาละฮัต ฟนซูร และรัมนี เปนตน นอกจากนั้นยังมีอาณาจักร ซาบิจญ (ศรีวิชัย) ซึ่งเปนอาณาจักรที่ยิ่งใหญและกษัตริยของอาณาจักรนี้มีชื่อวามหาราช12 มูฮัมมัด ตอยยิบ บิน อุสมาน (Mohd Taib Bin Osman, อางจาก อัสสมิง กาเซ็ง, 2544 : 20) ไดทําการวิจัยเกี่ยวกับคําศัพทภาษาตางประเทศในหนังสือพิมพภาษามลายูมาตรฐาน ในชวงป ค.ศ.1941 โดยในสวนของคําศัพทภาษาอาหรับนั้นเขาไดทําการวิจัยเฉพาะคําศัพทที่ไม เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม จากการวิจัยพบวา คําศัพทภาษาอาหรับสวนใหญถูกนํามาใชอางถึงสิ่งใหม ๆ ที่เขา มาในวั ฒ นธรรมมลายู เช น สิ่ ง ประดิ ษฐ ใ หม ๆ ศั พ ท วิช าการและการเมื อ งการปกครอง ซึ่ งศั พ ท เหลานั้นสวนใหญถูกยืมมาจากตะวันตกเขามายังภูมิภาคมลายูโดยผานภาษาอาหรับ โดยเฉพาะอยาง ยิ่ ง ประเทศอี ยิ ป ต แ ละตุ ร กี ทั้ ง นี้ เ นื่ อ งจากในช ว งเวลาดั ง กล าวทั้ ง สองประเทศมี ก ารติ ด ต อ และมี ความสัมพันธอยางใกลชิดกับโลกตะวันตก มูฮัมมัด อับดุลญับบาร เบก (Muhammad Abdul Jabbar Beg, 1983, Quoted in Hasan Madmarn, 2002 : 46-47) ไดทําการศึกษาคํายืมภาษาอาหรับในภาษามลายูมาตรฐานในแง ของอิทธิพลทางดานภาษา พบวา ภาษาอาหรับเปนวัฒนธรรมทางภาษาที่ยิ่งใหญ ภาษาอาหรับเปน ภาษาพิธีกรรมของศาสนาอิสลาม แหลงที่มาของศาสนาอิสลามคือคัมภีรอัลกุรอานและอัลหะดีษ13ก็ เขียนดวยภาษาอาหรับ คัมภีรอันเปนที่มาของศาสนาอิสลามดังกลาว ไมวาจะเปนชาวอาหรับหรือไมใช ชาวอาหรับทั่วโลกจะตองอานจากตนฉบับที่เปนภาษาอาหรับ ภาษาอาหรับเปนสื่อของศาสนาอิสลาม หรือกลาวอีกนัยหนึ่งภาษาอาหรับและศาสนาอิสลามมีความเกี่ยวของสัมพันธกันยากที่จะแยกออกจาก กันได คําที่ยืมมาจากภาษาอาหรับจะพบไดในภาษาจํานวนมากของทวีปเอเชีย แอฟริกา และยุโรป ภาษาในทวีปเอเชีย ไดแก เปอรเซีย ตุรกี เคอรติส อูรดู ฮินดี ออริยา ทมิฬ เบงกาลี ทิเบต และมลายู ฯลฯ อัสสมิง กาเซ็ง (2544 : ง) ไดศึกษาเกี่ยวกับคํายืมภาษาอาหรับในภาษามลายูถิ่น ปตตานี พบวา คํายืมภาษาอาหรับในภาษามลายูถิ่นปตตานีสวนใหญเปนคํายืมทับศัพทมิใชคํายืมปน และคํายืมแปล สวนใหญเปนคํานาม รองลงมาเปนคํากริยา คําคุณศัพท คําสันธาน และคําที่เปนทั้งได ทั้งคํากริยาและคํานาม ความหมายของคํายืมสวนใหญจะเกี่ยวกับการกระทํา ความคิดและความเชื่อ 12
al-Maktabah al-’Islāmīyah. 2007. al-Masālik wa al-Mamālik. (Online) Search from www.al-eman.com/islamlib/viewchp.asp?BID=223&CID=3 [6 April 2007]
อัลหะดีษ ตามทัศนะของปวงปราชญดานหะดีษ (มุหัดดิษูน) หมายถึง วัจนะ จริยวัตร และบุคลิกลักษณะของศาสนทูตมูฮัมมัด รวมถึงการกระทําอันเปนที่ยอมรับจากทาน (Abdullah Kārīnā al-Bandarīy, n.d. : 8-9) 13
12
ซึ่งคํายืมสวนใหญเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม และคํายืมทั้งหมดที่มีอยูในภาษามลายูถิ่นปตตานีมีทั้งหมด 586 คํา ดลมนรรจน บากา และคณะ (2529 : 5) ไดทําการวิจัยเรื่องสํารวจจิตรกรรมไทย มุสลิมในจังหวัดปตตานี ยะลา และนราธิวาส ซึ่งรวมศิลปอักษรอาหรับในรูปของอักษรประดิษฐอยู ดวย พบวา งานจิตรกรรมไทยมุสลิมมีหลายประเภท เชน อักษรประดิษฐ (Calligraphy) ลวดลายผา ปาเตะ ลวดลายบนถวยชามและเครื่องใช ลวดลายตกแตงบาน เครื่องทองเหลือง ปกหนังสือ และอื่น ๆ โดยจิตรกรรมไทยมุสลิมบางอยางนั้นจะปรากฏในสถานที่ตาง ๆ กัน เชน อักษรประดิษฐปรากฏทั้ง บนถวยชาม บนหลุมศพ และมัสยิด เปนตน อารีฟน บินจิ และคณะ (2543 : 12) ไดเขียนในหนังสือ “ปะตานี ดารุสสลาม” วา 14 มัสญิด กรือเซะและมัสญิดตันหยงดาโตะเปนมัสญิดสองหลังแรกที่สรางดวยการกออิฐถือปูนตาม รูปแบบสถาปตยกรรมอาหรับ จากเอกสารและงานวิจัยที่กลาวมาขางตนพอจะสรุปไดวา การปฏิสัมพันธระหวางชาว อาหรับกับชาวมลายูในจังหวัดปตตานีนั้น เกิดขึ้นกอนที่ศาสนาอิสลามจะถูกเผยแผในคาบสมุทรมลายู แตบทบาทของชาวอาหรับจํากัดเพียงแคการคาขาย ดวยเหตุดังกลาวจึงไมปรากฏวาชาวมลายูปตตานี ในชวงกอนการรับนับถือศาสนาอิสลามรับเอาวัฒนธรรมของชาวอาหรับ ครั้นเมื่อศาสนาอิสลาม เกิดขึน้ และถูกนํามาเผยแผในดินแดนแถบคาบสมุทรมลายู รองรอยของการรับวัฒนธรรมอาหรับซึ่งมี ทั้งดานภาษา ศิลปกรรม การแตงกาย และอาหารการกิน ก็เริ่มปรากฏชัดขึ้นเรื่อยมาจนถึงปจจุบัน 1.3 วัตถุประสงค 1. เพื่อศึกษาประวัติความเปนมาของวัฒนธรรมอาหรับในสังคมมลายูในจังหวัด ปตตานี 2. เพื่อศึกษาอิทธิพลวัฒนธรรมอาหรับในสังคมมลายูในจังหวัดปตตานี 1.4 ความสําคัญและประโยชนของการวิจัย 1. ทราบประวัติความเปนมาของวัฒนธรรมอาหรับในจังหวัดปตตานี 2. ทราบวัฒนธรรมอาหรับในสังคมมลายูในจังหวัดปตตานี
14
มัสยิด คือ สถานที่ซึ่งมุสลิมใชประกอบศาสนกิจรวมกัน
13
3. ผลการวิจัยสามารถใชเปนองคความรูในการเรียนการสอนวัฒนธรรมอาหรับและ วัฒนธรรมมลายู 4.
ผลการวิจัยเปนประโยชนกับหนวยงานราชการในการพัฒนาจังหวัดชายแดน
ภาคใต 5. ผลการวิจัยสามารถใชเปนประโยชนในการศึกษาลูทางในการประกอบธุรกิจใน จังหวัดชายแดนภาคใตและจังหวัดใกลเคียง 1.5 ขอบเขตของการวิจยั 1. การศึกษาวัฒนธรรมอาหรับในการวิจัยนี้จะศึกษาเฉพาะวัฒนธรรมอาหรับในดาน ภาษา และการแตงกาย ที่มีอยูในจังหวัดปตตานีเทานั้น 2. การวิจัยครั้งนี้จะศึกษาเฉพาะวัฒนธรรมอาหรับที่ไมไดเปนบทบัญญัติของศาสนา อิสลาม 3. ในการวิจัยครั้งนี้ผูวิจัยจะทําการวิจัยอิทธิพลของวัฒนธรรมอาหรับดานภาษา และ การแตงกาย ที่มีอยูในปจจุบัน ณ ปที่ทําการศึกษาวิจัย คือ ป พ.ศ. 2547 4. วัฒนธรรมการแตงกายผูวิจัยไมรวมถึงการแตงกายของสตรี เนื่องจากรูปแบบ การแตงกายของสตรีนั้นเปนผลมาจากบทบัญญัติของศาสนาอิสลาม อาทิ การคลุมศีรษะ เปนตน 1.6 ขอตกลงเบื้องตน 1. ชื่อประเทศ รัฐ และเมืองตาง ๆ ผูวิจัยยึดตามรางประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี และประกาศราชบัณฑิตยสถาน เรื่อง กําหนดชื่อประเทศ ดินแดน เขตการปกครอง และเมืองหลวง 2542 2. ผูวิจัยจะใชวลีอักษรประดิษฐ ตอ ทายเมื่อกล าวถึง อัลลอฮฺ หมายถึง มหา บริสุทธิ์แดพระองคผูทรงสูงสง และ เมื่อกลาวถึงศาสนทูตมุฮัมมัด หมายถึง ขออัลลอฮฺทรงอํานวย พรแกทาน และ เมื่อกลาวถึงศาสนทูต หรือนบีทานอื่น หมายถึง ขอความสันติสขุ ประสบแดทาน 3. การแปลความหมายอายะฮฺ อั ลกุ ร อานเป น ภาษาไทย ผู วิ จั ย ยึ ดตามพระมหา คัมภีรอัลกุรอานพรอมความหมายภาษาไทยของสมาคมนักเรียนเกาอาหรับประเทศไทย จัดพิมพโดย ศูนยกษัตริยฟะฮัดเพื่อการพิมพอัลกุรอาน แหงนครมะดีนะฮฺ ฮ.ศ. 1419 โดยจะระบุชื่อสูเราะฮฺ และ ลําดับอายะฮฺไวในวงเล็บถัดจากความหมายของอายะฮฺนั้น ๆ
14
4. การเรี ย กชื่ อ ป ตตานี ผู วิ จั ย จะใช คํ าว า “ปะตานี ” หมายถึ ง ป ต ตานีก อนการ แบงเปน 7 หัวเมือง และคําวา “ปตตานี” หมายถึง ปตตานี หลังการแบงเปน 7 หัวเมือง 1.7 นิยามศัพทเฉพาะ เพื่อความเขาใจที่ตรงกัน ผูวิจัยไดกําหนดคํานิยาม ขอบเขต ความหมายของศัพท เฉพาะตาง ๆ ไวดังนี้ วัฒนธรรมอาหรับ หมายถึ ง วั ฒนธรรมทางด านภาษา และการแต งกายของชาว อาหรับที่ปรากฏในจังหวัดปตตานี สังคมมลายู หมายถึง สังคมชาวไทยเชื้อสายมลายูที่นับถือศาสนาอิสลาม พูดภาษา มลายู อาศัยอยูในจังหวัดปตตานี ยะลา และนราธิวาส รวมถึงพื้นที่อําเภอจะนะ เทพา นาทวี และ สะบายอย จังหวัดสงขลา ชาวมลายู หมายถึง ชาวไทยเชื้อสายมลายูที่นับถือศาสนาอิสลาม พูดภาษามลายู อาศัยอยูในจังหวัดปตตานี ยะลา และนราธิวาส รวมถึงพื้นที่อําเภอจะนะ เทพา นาทวี และสะบายอย จังหวัดสงขลาพูดภาษามลายูถิ่นปตตานีเปนภาษาแมในจังหวัดปตตานี อิทธิพล หมายถึง อิทธิพลทางดานภาษา และการแตงกาย 1.8 วิธีดําเนินการวิจัย การศึกษาวิจัยเรื่องอิทธิพลของวัฒนธรรมอาหรับตอสังคมมลายูในจังหวัดปตตานี เปนการวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) โดยการศึกษาคนควา รวบรวมขอมูล จาก หนังสือ เอกสารตางๆ ที่เกี่ยวของมาประมวล วิเคราะห และสรุปใหเห็นถึงลักษณะและสภาพความ เปนอยูของสังคม เปนการสํารวจประวัติความเปนมา และลักษณะของวัฒนธรรม โดยใชแหลงขอมูล ดังนี้ 1. ขอมูลปฐมภูมิ (Primary Sources) ไดแก 1.1 คัมภีรอัลกุรอาน และอัลหะดีษ 1.2 บันทึกประวัติศาสตรปตตานี จดหมายเหตุ เชน ตารีค ปะตานี ฉบับคัดลอก โดย ชัยคฺ ดาวูด บิน อับดุลเลาะฮฺ อัลฟะฏอนีย และ เซอญาเราะฮฺ ปะตานี ฉบับบันทึกบนหนังสัตว ไมระบุผูเขียน 1.3 ขอมูลจากการสัมภาษณบุคคลตางๆ ที่เกี่ยวของกับวัฒนธรรมอาหรับ เชน ประธานกลุมเย็บหมวกกปเยาะห โตะครู หรือ อุสตาส และบุคคลทั่วไป
15
1.4 รายการโทรทัศนเกี่ยวกับวัฒนธรรมอาหรับที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน ในกลุมประเทศอาหรับในชวงเดือนตุลาคม 2547 ถึง เดือนพฤษภาคม 2549 ไดแก 1.4.1 รายการอัลโอมานียาต (al-Omānīyāt) และรายการเทศกาลประจําป มัสกัต (Mahrajan Masqat) ซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศนชอง 1 ประเทศโอมาน 1.4.2 รายการนะวาฟษฺ (Nawāfidh) และรายการหะดีษ อัลบะรอรีย (Hadīth al-Barārīy) ซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศนอัชชาริเกาะห ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส 1.4.3 การถ า ยทอดสดรายการศิ ล ปวั ฒ นธรรมอั ล เญนาดรี ย ะห (alJinādrīyah) และรายการมุกัสสารอต (Mukassarāt) ซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศน ชอง 1 ประเทศซาอุดีอาระเบีย 1.4.4 รายการอัลบัยตฺ อัลอะรอบีย (al-Bait al-‘Arabīy) ซึ่งออกอากาศ ทางสถานีโทรทัศนประเทศเยเมน 2. ขอมูลทุติยภูมิ (Secondary Sources) ไดแก หนังสือ เอกสาร สิ่งพิมพ ที่ เกี่ยวของกับวัฒนธรรม ประวัติความเปนมาของชนชาติอาหรับ เชน หนังสือของ Gustave Le Bon เรื่อง Hadārah al-‘Arab และ Philip K. Hitti เรื่อง History of The Arab สวนวัฒนธรรม ประวัติ ความเปนมาของชนชาติมลายู เชน หนังสือของ Ismail Hamid เรื่อง Masyarakat dan Budaya Melayu และ Slamet Muljana เรื่อง Runtuhnya Kerajaan Hindu-Jawa dan Timbulnya Negara-negara Islam di Nusantara 3. ขอมูลตติยภูมิ (Tertiary
Sources)
ไดแก หนังสือสารานุกรม หนังสือรายป
พจนานุกรม เชน สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต ในการวิจัยครั้งนี้ผูวิจัยไดศึกษาคนควาจากแหลงขอมูล ดังนี้ 1. สํานักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี 2. หอจดหมายเหตุแหงชาติ ทาวาสุกรี กรุงเทพ ฯ 3. หองสมุดวิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี 4. หอสมุดแหงรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย 5. หอสมุดอิสลาม แหงรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย 6. หอสมุดมหาวิทยาลัยอิสลามนานาชาติ ประเทศมาเลเซีย โดยผูวิจัยมีวิธีการดําเนินการวิจัยดังนี้ 1. รวบรวม หนังสือ ตํารา บทสัมภาษณ สารคดี และเอกสารตาง ๆ ที่เกี่ยวของกับ วัฒนธรรมอาหรับ และมลายูทั้งโดยตรงและโดยออม 2. ศึกษาทฤษฎีและแนวคิดที่เกี่ยวของกับวัฒนธรรม 3. ศึกษาเกี่ยวกับประวัติความเปนมาของชนชาติอาหรับ และมลายู
16
4. ศึกษาลักษณะและประเภทของวัฒนธรรมอาหรับ และมลายู 5. ศึกษาภูมิหลังดานภูมิศาสตร วัฒนธรรมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต โดยเฉพาะจังหวัดปตตานี 6. ศึกษาการเขามาของศาสนาอิสลามในภูมิภาคมลายูโดยเฉพาะจังหวัดปตตานี 7. ศึกษาวัฒนธรรมอาหรับในสังคมมลายูในจังหวัดปตตานี 8. ศึกษาคํายืมภาษาอาหรับในภาษามลายูถิ่นปตตานี 9. จัดแบงหมวดหมูของขอมูลโดยการจําแนกตามหัวขอใหญและหัวขอยอย 10. วิเคราะหขอมูลตามหัวขอที่กําหนด โดยใชวิธีการวิเคราะหเนื้อหา และนําเสนอ เนื้อหาสาระโดยวิธีการพรรณนาความ 11. สรุปผล อภิปรายผล และขอเสนอแนะ 12. เขียนรายงาน
บทที่ 2 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวของ ในการศึ ก ษาอิ ท ธิ พ ลของวั ฒ นธรรมอาหรั บต อ สั ง คมมลายู ใ นจั ง หวั ดป ต ตานี นั้ น จํ าเป น ที่ จ ะต อ งทํ าความเข า ใจกั บ แนวคิ ด ทฤษฎี ต าง ๆ ที่ เ กี่ ย วกั บ วั ฒ นธรรม ความสั ม พั น ธ ท าง วัฒนธรรม และแนวคิดที่เกี่ยวกับภาษา โดยเฉพาะในเรื่องของคํายืมเพื่อเปนพื้นฐาน แนวทางใน การศึกษา และเพื่อใหไดองคความรูที่จะนํามาประยุกตใชกับงานวิจัยนี้ ในบทนี้ผูศึกษาจะขอนําเสนอแนวคิดและทฤษฎี วรรณกรรมที่เกี่ยวของกับวัฒนธรรม และความสัมพันธทางวัฒนธรรม รวมถึงภูมิหลังทางดานประวัติศาสตรการปฏิสัมพันธระหวางชาว อาหรับและชาวมลายูในจังหวัดปตตานี โดยสังเขปดังนี้ 2.1 แนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรม 2.1.1 คําจํากัดความของวัฒนธรรม พระยาอนุมานราชธน (2515 : 6) ไดกลาวถึงวัฒนธรรมวา วัฒนธรรมเปนเรื่อง เกี่ ย วกั บ พฤติ ก รรม วาจาท าทาง กิ จ กรรม และผลิ ต ผลของกิ จ กรรมที่ ม นุ ษย ใ นสั ง คมผลิ ต หรื อ ปรับปรุงขึ้นจากธรรมชาติ ในพระราชบัญญัติบํารุงวัฒนธรรมแหงชาติ พุทธศักราช 2483 หมายถึง ลักษณะที่แสดงความเจริญงอกงาม ความเปนระเบียบอันดีงาม ความกลมเกลียวกาวหนาของชาติ และศีลธรรมอันดีงามของประชาชน อารง สุทธาศาสน (2519 : 132-133) กลาววา วัฒนธรรมในความหมายโดยทั่วไป คือ แนวทางการดํารงชีวิตของสังคม หรือของกลุมแตละกลุมที่สืบทอดจากรุนหนึ่งไปอีกรุนหนึ่งอยาง ไมขาดสาย วัฒนธรรมเปนสิ่งที่แตละสังคมถือวาเปนสิ่งที่ดีงาม เปนแบบฉบับของชีวิตซึ่งคนสวนมาก หวงแหนและปกปองรักษา ดํารง ฐานดี (2520 : 30) ไดกลาวถึงความหมายของวัฒนธรรมวา ทุกสิ่งที่มนุษย สรางขึ้นมาเพื่อใชในการดํารงชีวิตรวมกันในสังคม เปนสิ่งที่คนสวนใหญในสังคมนั้นยอมรับนับถือ และปฏิบัติตาม รวมทั้งเก็บสะสมและถายทอดวิธีการประพฤติปฏิบัตินั้นตอไปยังลูกหลานดวย ระวีวรรณ ชอุมพฤกษ (2528 : 7) กลาววา วัฒนธรรม เปนชื่อรวมสําหรับแบบอยาง ของพฤติ ก รรมทั้ ง หลายที่ ไ ด ม าทางสั ง คม และที่ ถ า ยทอดกั น ไปทางสั ง คมโดยอาศั ย สั ญ ลั ก ษณ 17
18
วัฒนธรรมจึงเปนชื่อสําหรับสัมฤทธิ์ผลที่เดนชัดทั้งหมดของกลุมมนุษย รวมสิ่งทั้งหลายเหลานี้ เชน ภาษา การทําเครื่องมือ อุตสาหกรรม ศิลปะ วิทยาศาสตร กฎหมาย ศีลธรรมและศาสนา รวมถึง อุปกรณที่เปนวัตถุ หรือสิ่งประดิษฐ ซึ่งแสดงรูปแบบแหงสัมฤทธิผลทางวัฒนธรรม และทําใหลักษณะ วัฒนธรรมทางปญญาสามารถยังผลเปนประโยชนใชสอยได เชน อาคาร เครื่องมือ เครื่องจักรกล เครื่องมือสื่อสาร ศิลปวัตถุ ฯลฯ ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2546 : 1058) ไดนิยามคําวา วัฒนธรรม หมายถึง สิ่งที่ทําความเจริญงอกงามใหแกหมูคณะ นอกจากนี้งามพิศ สัตยสงวน (2543 : 21-22) ไดรวบรวมคํานิยามของวัฒนธรรม ที่สําคัญ ๆ ของนักมานุษยวิทยาที่มีชื่อเสียงไวดังนี้ เอ็ดเวิรด บี ไทเลอร (Edward B. Tylor) ไดนิยามคําวาวัฒนธรรมไวอยางชัดเจน เปนครั้งแรกวา “วัฒนธรรม คือสิ่งทั้งหมดที่มีลักษณะซับซอน ซึ่งรวมทั้งความรู ความเชื่อ ศิลปะ จริยธรรม ศีลธรรม กฎหมาย ประเพณีและความสามารถอื่น ๆ รวมทั้งอุปนิสัยตาง ๆ ที่มนุษยไดมา โดยการเรียนรูจากการเปนสมาชิกของสังคม” ไว ท ( White)ได ใ ห ค วามหมายไว ว า “วั ฒ นธรรม คื อ การจั ด ระเบี ย บของ ปรากฏการณตาง ๆ กลาวคือเปนการจัดระเบียบของการกระทําตางๆ หรือแบบแผนพฤติกรรมตางๆ การจัดระเบียบของความคิดตางๆ เชนความเชื่อความรูตางๆ และเปนการจัดระเบียบของความรูสึกที่ ผู ก พั น อยู กั บ สิ่ ง ต า งๆ เช น ทั ศ นคติ การจั ด ระเบี ย บดั ง กล า วขึ้ น อยู กั บ การใช ร ะบบสั ญ ลั ก ษณ วัฒนธรรมเริ่มมีขึ้นเมื่อมนุษยกลายเปนสัตวเลี้ยงลูกดวยนมที่มีการแสดงออกโดยใชระบบสัญลักษณ เพราะสัญลักษณสําคัญอันนี้ ทําใหวัฒนธรรมถายทอดจากคนๆ หนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งได” คูณ (Coon) นิยามวา “วัฒนธรรม คือ ผลรวมทั้งหมดของวิธีที่ทําใหมนุษยอยูได และมีการถายทอดจากชั่วชีวิตหนึ่งไปอีกชั่วชีวิตหนึ่งโดยการเรียนรู” เค็ลลี่ (Kelly) นิยามวัฒนธรรมวา คือ “ทุกสิ่งทุกอยางที่มนุษยสรางขึ้นมาเพื่อใชใน การดํารงชีวิตของมนุษย อาจเปนสิ่งมีเหตุผลหรือไมมีเหตุผลในชวงเวลาใดเวลาหนึ่ง เพื่อเปนแนว ทางการปฏิบัติ หรือพฤติกรรมของมนุษย” เฮอรสโกวิทส (Herskovits) ไดนิยามวัฒนธรรมไวอยางสั้นๆ วา “คือสิ่งแวดลอมที่ มนุษยสรางขึ้นมา” ลินตั้น (Linton) นิยามวัฒนธรรมวา คือ “กลุมคนที่จัดระเบียบแลว ที่มีแบบแผน พฤติกรรมตาง ๆ ที่เกิดจากการเรียนรูอันเปนลักษณะของสังคมที่เฉพาะของสังคมหนึ่ง” บิดนีย (Bidney) นิยามวัฒนธรรมวา “เปนสิ่งที่มนุษยไดมาโดยการเรียนรู หรือ เปนพฤติกรรมที่เกิดจากการอบรมสั่งสอน รวมทั้งความคิดของปจเจกชนตางๆ ภายในสังคมนั้น และ
19
ความเฉลียวฉลาด ศิลปะ ความคิดทางสังคมและสถาบันที่สมาชิกของสังคมมักยอมรับรวมกัน และที่ สมาชิกพยายามปฏิบัติตาม” คู เ บอร ( Cuber)ได นิ ย ามวั ฒ นธรรม ซึ่ ง เป น คํ า นิ ย ามที่ ใ ห ลั ก ษณะต า งๆ ของ วัฒนธรรมชัดเจนมากที่สุดวา “วัฒนธรรม คือ แบบแผนพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรูที่คอยๆ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ และยังรวมผลผลิตที่เกิดจากการเรียนรู เชน ทัศนคติ คานิยม สิ่งของตางๆ ที่ คนทําขึ้น และความรูที่มีอยูรวมกันในกลุมชนหนึ่ง ๆ และมีการถายทอดไปยังสมาชิกคนอื่นๆ ใน สังคม” โครเบอร (Kroeber) นิยามวัฒนธรรมวา “วัฒนธรรมประกอบไปดวยแบบแผน พฤติกรรมที่ไดมาโดยการเรียนรูและที่ถายทอดจากรุนหนึ่งไปยังอีกรุนหนึ่งโดยใชระบบสัญลักษณนั้น เปนผลสําเร็จที่แตกตางกันไปในกลุมชนตาง ๆ วัฒนธรรมยังรวมถึงเครื่องมือเครื่องใชที่มนุษยสราง ขึ้ น มา ส ว นประกอบสํ า คั ญ ของวั ฒ นธรรมยั ง ประกอบไปด ว ย ความคิ ด ตามประเพณี (ที่ มี ประวัติศาสตรและมีการเลือกมาจากหลายๆ อยาง) และคานิยมที่ติดตามมา ระบบวัฒนธรรมนั้นอาจ พิจารณาในแงหนึ่งวาเปนผลผลิตของการกระทํา และในอีกแงหนึ่ง มันเปนเงื่อนไขที่จะทําใหเกิดการ กระทําตอๆ ไป” สวนอมรา พงศาพิชญ (2547 : 25) นิยามวาวัฒนธรรม คือ สิ่งที่มนุษยสรางขึ้น กําหนดขึ้น มิใชสิ่งที่มนุษยทําตามสัญชาตญาณ อาจเปนการประดิษฐวัตถุสิ่งของขึ้นใช หรืออาจเปน การกําหนดพฤติกรรมหรือความคิด ตลอดจนวิธีการหรือระบบการทํางาน ฉะนั้นวัฒนธรรมก็คือ ระบบในสังคมมนุษยสรางขึ้นมิใชระบบที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติตามสัญชาตญาณ สําหรับวัฒนธรรมตามทรรศนะของอิสลามนั้น วัฒนธรรมเปนสวนหนึ่งของศาสนา ดังคํากลาวของริยาฎ นะอฺสาน อาฆอ (Riyād Na‘sān ’Āghā) ที่ไดใหนิยามของวัฒนธรรมวา วัฒนธรรมก็คือศาสนาที่ประกอบขึ้นดวยสวนประกอบสําคัญตางๆ1 ซึ่งเสาวนีย จิตตหมวด (2535 : 8-10) ไดอธิบายถึงสวนประกอบสําคัญนี้ก็คือ องคมิติ ซึ่งตั้งอยูบนพื้นฐานแหงความศรัทธา นั่นก็คือ การเชื่อวาอัลลอฮฺคือพระเจาองคเดียวเทานั้น และศาสดามูฮัมมัด คือศาสนทูตจากพระองค จากนิยามและคําจํากัดความขางตนหากไมรวมวัฒนธรรมตามทรรศนะอิสลามแลว สรุ ป ได ว า วั ฒ นธรรม หมายถึ ง ผลงานทั้ ง หมดที่ ม นุ ษ ย ส ร า งขึ้ น นอกเหนื อ จากธรรมชาติ ดั ง นั้ น วัฒนธรรมอาจเปนไดทั้งแนวคิด ทัศนคติ มโนคติ ความรู คานิยม ประเพณี ความเชื่อ ตลอดจนการ กระทําตาง ๆ ที่เกิดจากทั้งการเรียนรูของมนุษยและการถายทอดตอๆ กันมาของสังคม วัฒนธรรมจึง ไมเปนเพียงวัตถุ ฉะนั้นสังคมที่ตางกันยอมมีวัฒนธรรมที่ตางกัน บุคคลอยูในวัฒนธรรมใดก็จะปฏิบัติ 1
“Halab Durrat al-Mudun” (Online) Search from http://www.aleppo-cic.sy/acic/magz/modules /news/
print.php?storyid=54 [20 April 2007]
20
ตามวั ฒ นธรรมนั้ น วั ฒ นธรรมเป น วิ ถี ชี วิ ต หรื อ แบบแผนในการดํ า เนิ น ชี วิ ต ของมนุ ษ ย สั ง คม วัฒนธรรมจึงไมจําเปนตองเหมือนกันทุกประเทศและไมถือวาวัฒนธรรมของใครดีกวาของใคร อย า งไรก็ ต ามวั ฒ นธรรมที่ ป รากฏในแต ล ะสั ง คมมี ลั ก ษณะที่ สํ า คั ญ คื อ ความ หลากหลายทางวัฒนธรรม และเมื่อมีวัฒนธรรมที่แปลกปลอมเขามาสูสังคมหนึ่ง เอกลักษณทาง วั ฒ นธรรมของสั ง คมนั้ น ก็ อ าจเสื่ อ มถอยลงได ทั้ ง นี้ คุ ณ ค า ที่ สํ า คั ญ ของวั ฒ นธรรม ก็ คื อ ความ หลากหลายดังนั้นเมื่อมีแนวคิดในเรื่องความหลากหลายของวัฒนธรรมแลว แตละสังคมจําเปนตอง รักษาเอกลักษณของตนใหดํารงไว ในขณะเดียวกันก็ตองปรับปรุงพัฒนาวัฒนธรรมของตนเองให เจริญงอกงาม ดวยเหตุนี้จึงทําใหแตละสังคมตองมีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน ดังนั้น การส ง เสริ ม ความเจริ ญ ทางด า นวั ฒ นธรรมจึ ง ต อ งพยายามดํ า เนิ น ไปพร อ มกั บ การดํ า รงรั ก ษา วัฒนธรรมอันเปนเอกลักษณของสังคมเอาไวดวย 2.1.2 ประเภทของวัฒนธรรม วัฒนธรรมที่ปรากฏอยูในสังคมสามารถแบงออกไดเปน 2 ประเภทคือ 1. วัฒนธรรมทางวัตถุ (Material Culture) ซึ่งเกิดจากความคิดของมนุษย เชน อาคารบานเรือน สิ่งกอสรางตาง ๆ ศิลปกรรมประติมากรรม ตลอดจนสิ่งของเครื่องใชตาง ๆ ซึ่งใช เปนประจําทุกวัน 2. วัฒนธรรมทางจิตใจหรือที่ไมเกี่ยวกับวัตถุ (Non Material Culture) ไดแก วัฒนธรรมที่เปนสัญลักษณและจับตองไมได เชน ภาษาพูด ระบบความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี และกริยามารยาท ณรงค เส็งประชา (2524 : 23) ไดกลาววา วัฒนธรรมมี 2 ประเภท คือ ประการ แรก วัฒนธรรมที่เปนวัตถุ ไดแก สิ่งประดิษฐและเทคโนโลยีตาง ๆ เชน เครื่องใชในครัวเรือน อาคาร บานเรือน ยานพาหนะ ฯลฯ ประการที่สอง ไดแก วัฒนธรรมที่ไมใชวัตถุ หมายถึง แบบแผนในการ ดําเนินชีวิต ความคิด ความเชื่อ ภาษา ศีลธรรม วิถีการกระทํา ฯลฯ สวนประดิษฐ มัชฌิมา (2522 : 13) ไดแบงวัฒนธรรมออกเปน 3 ประเภท คือ วัฒนธรรมทางความคิด หรือความเชื่อถือ หมายถึง วัฒนธรรมที่เกี่ยวกับความคิดเห็น ความเชื่อถือ หรือความรูสึกนึกคิดของสังคม ซึ่งอาจจะถูกหรือผิดก็ได เชน ความจริงทางวิทยาศาสตร ความเชื่อ ทางศาสนา นิยายโบราณ วรรณคดี การเชื่อโชคลาง ภาษิต ฯลฯ วัฒนธรรมทางระเบียบประเพณี คือ ระเบียบแบบแผนหรือประเพณีที่บุคคลในสังคมยึดถือและปฏิบัติรวมกัน เชน ระเบียบประเพณี จารีต
21
กฎหมาย ฯลฯ วัฒนธรรมทางวัตถุ หมายถึง สิ่งของหรือเครื่องใชตาง ๆ ที่มนุษยคิดประดิษฐ มีหรือ ครอบครองเพื่อประโยชนของสังคม จุ ม พล หนิ ม พานิ ช (2526:140) ได อ ธิ บ ายเกี่ ย วกั บ วั ฒ นธรรมเพิ่ ม เติ ม ว า วัฒนธรรมทางวัตถุ หมายถึง สิ่งประดิษฐทั้งหลาย วัฒนธรรมทางสังคม เปนเรื่องที่เกี่ยวกับความ ประพฤติปฏิบัติตามมารยาททางสังคม วัฒนธรรมที่เกี่ยวกับกฎหมาย ซึ่งกอใหเกิดความเปนระเบียบ ในสังคม และวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับจิตใจและศีลธรรม ซึ่งเปนแนวทางในการดําเนินชีวิต วราคม ทีสุกะ (2524:33) ไดแบงวัฒนธรรมออกเปน 4 ประเภท คือ คติธรรมเปน วัฒนธรรมประเภทที่เกี่ยวกับหลักการดําเนินชีวิต ไดแก คติพจน คําสุภาษิต ตลอดจนศาสนสุภาษิต เนตติธรรม เปนวัฒนธรรมประเภทที่เกี่ยวกับกฎระเบียบปฏิบัติ ตัวบทกฎหมาย วัตถุธ รรม เปน วั ฒ นธรรมทางวั ต ถุ โบราณสถาน โบราณวั ต ถุ และสหธรรมเป น วั ฒ นธรรมประเภทที่ เ กี่ ย วกั บ หลักเกณฑ การปฏิบัติ การอยูรวมกัน เชน มารยาททางสังคม มารยาทในการรับประทานอาหาร มารยาทในการไปงานศพ มารยาทในการเขาฟงการปาฐกถา และการอภิปราย โดยในสวนของวัฒนธรรมที่ไมใชวัตถุหรือวัฒนธรรมทางจิตใจนั้น นักวิชาการอยาง งามพิศ สัตยสงวน (2543 : 53-54) ไดแบงวัฒนธรรมประเภทนี้ออกเปน 5 ประเภทยอย ไดแก 1. สถาบันสังคม อันไดแก สถาบันครอบครัว เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง การศึกษา ศาสนา การแพทยและสาธารณสุข เปนตน 2. วัฒนธรรมประเภทที่เกี่ยวกับการควบคุมทางสังคม คือวัฒนธรรมที่ชวยทําใหเกิด ระเบียบในสังคม ซึ่งบางอยางจะเปนการควบคุมอยางเปนทางการ และบางอยางไมเปนทางการ ซึ่ง สามารถแบงเปน 5 ประเภทยอย คือ 2.1 ศาสนา ซึ่งในหลักศาสนาจะมีขอหามตาง ๆ เชน การหามลักทรัพย หามดื่ม ของมึนเมา ศาสนาจึงชวยควบคุมทางสังคมได 2.2 ความเชื่อทางสังคม คือ ระบบความคิดเกี่ยวกับเรื่องตาง ๆ ที่เปนของคน จํานวนมากในสังคม เชนในสังคมไทยคนจํานวนมากเชื่อเรื่องนรก สวรรค บุญ บาป การทําบุญและ โลกหนา 2.3 คานิยม คือ มาตรฐานที่ใชวัดวาสิ่งใดมีคาในสังคมบาง เมื่อสิ่งใดมีคา คนก็ อยากมี อยากเปน อยากได ความเชื่อในคานิยมของสังคมทําใหสังคมเกิดความมีระเบียบขึ้นได 2.4 ประเพณีตาง ๆ แตละสังคมมีประเพณีตาง ๆ ที่ถือปฏิบัติสืบทอดกันมา เปนเวลาอันยาวนาน เมื่อคนทําตามประเพณี จะทําใหเกิดความเปนระเบียบในสังคมขึ้นได 2.5 กฎหมาย คือ การควบคุมสังคมโดยตรง และทําใหเกิดความมีระเบียบขึ้น ในสังคมไดเปนอยางดี
22
3. ศิลปะ มายถึง การสรางสรรคผลงานในดานตาง ๆ เชน จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปตยกรรม หัตถกรรม ดนตรี การละคร นาฏศิลปและวรรณกรรม เปนตน 4. ภาษา คือ ระบบสัญลักษณที่ใชสื่อสารติดตอกัน ทั้งภาษาพูด ภาษาเขียน รวมทั้ง กิริยาทาทางตาง ๆ 5. พิธีกรรม สวนอมรา พงศาพิชญ (2547 : 25-31) ไดแบงวัฒนธรรมออกเปน 2 ลักษณะ คือ 1. วัฒนธรรมในลักษณะขนบธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณี คือขอตกลงอยางไมเปนทางการรวมกันของสมาชิกในสังคม ซึ่งเปนที่ยอมรับกันโดยทั่วไป เกี่ยวกับพฤติกรรมที่ควรปฏิบัติและไมควรปฏิบัติ ทั้งในระดับบุคคลและระดับสังคม ซึ่งเปนสิ่งที่คน รุนหลังเรียนรูและสืบทอดมาจากคนรุนกอน เชนการถอดรองเทากอนเขาบาน การแสดงความเคารพ ตอผูอาวุโสกวา สวนความเชื่อ หมายถึง ความเชื่อทางศาสนา หรือความเชื่อในสิ่งที่มีอํานาจเหนือ มนุ ษ ย เช น สิ่ ง ศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ ต า ง ๆ ภู ต ผี ป ศ าจ เป น ต น ซึ่ ง ความเชื่ อ ดั ง กล า วมี ค วามสํ า คั ญ มากต อ วัฒนธรรม เพราะเปนสิ่งกําหนดขนบธรรมเนียมประเพณี และพฤติกรรมของสมาชิกในสังคม 2. วั ฒ นธรรมในลั ก ษณะสิ่ ง ประดิ ษ ฐ แ ละสถาป ต ยกรรม ทั้ ง วั ฒ นธรรมที่ ค น พบ สมัยกอนประวัติศาสตรและวัฒนธรรมที่เปนวัตถุตาง ๆ วัฒนธรรมเปนมรดกทางสังคมมนุษย ที่ไดจัดสรรขึ้นเพื่อใชในการดํารงอยู สามารถ จําแนกไดเปนวัฒนธรรมทางวัตถุ เปนวัฒนธรรมที่กอประโยชนในดานความสะดวกสบายทางกาย อัน ไดแก เครื่องมือ เครื่องใชตาง ๆ ที่อยูอาศัย เครื่องนุงหม เปนตน สวนวัฒนธรรมทางจิตใจ เปน เครื่องที่กอใหเกิด ความสุขทางใจ อันไดแก ความคิด ความเชื่อ ศาสนา คานิยม ศีลธรรม เปนตน ถึง อยางไรก็ตาม วัฒนธรรมทั้งสองประเภทนี้ตางก็เหลื่อมล้ํากันอยู แบงแยกไมขาดจากกัน และในสังคม หนึ่ง ๆ ก็จะมีวัฒนธรรมทั้งสองในลักษณะที่สมดุลกัน จากการแบงเนื้อหาของวัฒนธรรมดังที่กลาวมาขางตนนั้นไมวาจะอาศัยหลักการแบง ออกมาในรูปแบบใดก็ตามวัฒนธรรมที่ปรากฏอยูในสังคมสามารถแบงออกไดเปน 2 ประเภทหลัก ก็ คือ วัฒนธรรมทางวัตถุ ซึ่งเกิดจากความคิดของมนุษย เชน อาคารบานเรือน สิ่งกอสรางตาง ๆ ศิลปกรรมประติมากรรม ตลอดจนสิ่งของเครื่องใชตาง ๆ ซึ่งใชเปนประจําทุกวัน และวัฒนธรรมทาง จิตใจหรือที่ไมเกี่ยวกับวัตถุ ไดแก วัฒนธรรมที่เปนสัญลักษณและจับตองไมได เชน ภาษาพูด ระบบ ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี และกริยามารยาท
23
2.1.3 ลักษณะของวัฒนธรรม พระยาอนุมานราชธน (2515:73) กลาวถึงลักษณะของวัฒนธรรมมี 4 ประการดังนี้ ประการแรก จะตองมีการสะสม หมายถึง จะตองมีทุนเดิมอยูกอนแลว จะสะสมทุนนั้นใหเพิ่มขึ้น เรื่อง ๆ และประการที่สอง วัฒนธรรมตองมีการปรับปรุงหมายถึง ตองรูจักดัดแปลงและปรับปรุงสวน ที่บกพรองอยูใหเหมาะสมและถูกตอง ประการที่สาม จะตองมีการถายทอด คือ ทําใหวัฒนธรรมนั้น ๆ แพรหลายในวงกวาง ประการที่สี่ มีการอบรมสั่งสอนใหผูอื่น หรือชนรุนหลังไดสืบทอดตอกันไป อานนท อาภาภิรม (2516 : 43) ไดเห็นความเห็นวาลักษณะที่สําคัญของวัฒนธรรม คือ วัฒนธรรมเปนแนวทางแหงพฤติกรรม อันเกิดจากการเรียนรู คือ สามารถเรียนรูกันได (Learned Way of Behavior) มิใชเกิดขึ้นเองโดยปราศจากการเรียนรูมากอน เพราะมนุษยมีสมองอันทรง คุณภาพ จึงทําใหสามารถรูจักคิด ถายทอด และเรียนรู ขบวนการดังกลาว เกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลมี การติดตอกับบุคคลอื่น ในฐานะที่เปนสมาชิกของสังคม วัฒนธรรม มีลักษณะเปนมรดกแหงสังคม เปนผลของการถายทอดการเรียนรู และเปนเครื่องมือที่ใชในกระบวนการดังกลาวคือ การสื่อสารโดย ใชสัญลักษณ(Symbolic Communication) ไดแก การที่มนุษยมีการใชภาษาเปนเครื่องมือในการ ถายทอดวัฒนธรรม จากรุนกอนมายังคนรุนหลัง มีลักษณะเปนวิถีชีวิต (Way of Life) หรือแบบ แผนการดําเนินชีวิต (Design for Living) เปนสิ่งที่ไมคงที่ สามารถปรับเปลี่ยนไดตามสถานการณ ชุดา จิตพิทักษ (2528 : 145) ไดกลาวถึงลักษณะของวัฒนธรรมในลักษณะเดียวกัน วา วัฒนธรรมมีลักษณะเปนอนัตตา เนื่องจากไมอยูภายในกรอบของเอกัตบุคคล ไมพึงพาอาศัยบุคคล ใดโดยเฉพาะ ทั้ ง ไม คุ ม รู ป อยู ช นิ ด ตายตั ว ไม ว า จะรู ป แกนหรื อ รู ป เต็ ม ถ า เปรี ย บกั บ วั ต ถุ แ ล ว วัฒนธรรมไมใชธาตุแท แตเปนสารผสม ทรงตัวอยูไดดวยอาศัยเหตุปจจัยซึ่งหลั่งไหลถายเท และ เปลี่ยนแปลงได วัฒนธรรมเกาเสื่อมลง สูญไปสิ่งใหมก็เขามาแทนที่ ซึ่งยอมครอบคลุมไปถึงสิ่งเกาที่ เลาใหมดวย ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะมนุษยเราไมหยุดนิ่ง ยอมผลิตคิดคนทําสิ่งเกาใหแปลกใหมอยูเสมอ สิ่ง ใดที่สมอัธยาศัยของกลุมก็ยอมเปนที่ยอมรับ และถายทอดมรดกทางวัฒนธรรมตอไป ดังนั้นอาจกลาวไดวา วัฒนธรรมมีลักษณะที่ไดจากการเรียนรู และสั่งสมเปนเวลานาน ไมใชสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ พรอมกับมีการปรับปรุงใหดีขึ้นและถายทอดสูสังคมจนกลายเปน มรดกทางสังคม วัฒนธรรมเปนสิ่งที่มีอยูในสังคม และมีการถายทอดเปนแบบอยางในการดําเนินชีวิต ในขณะเดียวกันก็มีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงเพื่อใหเหมาะสมกับสถานการณและความเปลี่ยนแปลง ของแตละสังคมไดอีกดวย
24
2.1.4 แนวคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม เปนการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิต หรือจารีต กฎหมาย ศาสนา สิ่งที่ประดิษฐ และวัตถุอื่น ๆ ในวิถีชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะอยางยิ่งคานิยม จึงอาจกลาว ไดวาพื้นฐานของการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ขึ้นอยูกับการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ และพฤติกรรม ของปจเจกบุคคลซึ่งเปนสมาชิกของสังคมนั้น ๆ การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมสวนมาก เกิดจากการ ประดิษฐและการแพรกระจาย (ผองพันธุ มณีรัตน, 2521 : 14) การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม เปนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในดานตางๆ ที่มนุษย ประดิษฐและสรางขึ้น โดยการเปลี่ยนแปลงดังกลาวจะทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงทางดานคานิยม บรรทัดฐานและระบบสัญลักษณตางๆ ในสังคมนั้นๆ ซึ่ง สุริชัย หวันแกว (2547 : 157-158) ได แยกการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมออกเปนสองรูปแบบ ไดแก 1. การเปลี่ยนแปลงจากภายใน (Endogenous Change) อยางเชน จากการ ประดิษฐคิดคนวิธีการผลิตใหมขึ้นในสังคมนั้นเอง จากการตอสูขัดแยงระหวางกลุมและกระบวนการ ในสังคม จากการริเริ่มการเปลี่ยนแปลงจากชนชั้นนํา เปนตน 2. การเปลี่ยนแปลงจากภายนอก (Exogenous Change) อยางเชน การรับเอา เทคโนโลยีหรือสิ่งประดิษฐมาจากภายนอก การลาอาณานิคม ซึ่งบางกรณีการเปลี่ยนแปลงที่มาจาก ภายนอกอาจเกิดขึ้นโดยความสมัครใจ ของผูคนในสังคม หรือบางครั้งอาจโดยการใชกําลังบีบบังคับ พระยาอนุมานราชธน (2515 : 65) กลาววา การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม ไมวาจะใน แง ใ ดลั ก ษณะใด จะเป น ไปอย า งเชื่ อ งช า หรื อ รวดเร็ ว ก็ ขึ้ น อยู กั บ การสั ง สรรค วั ฒ นธรรม (Acculturation) คื อ การที่ วัฒนธรรมตา งสังคมมากระทบกั น ว าจะมีมากหรื อ นอย และมี ความ รุนแรงเพียงใด นอกจากนั้นในสังคมมนุษยอาจมีการรับวัฒนธรรมบางสวนมาจากสังคมขางเคียงได แตทั้งนี้บางสวนของวัฒนธรรมที่รับมานั้นไมขัดกับคานิยมหลักของสังคม และมีความสอดคลองกับ วัฒนธรรมเดิมที่มีอยู จนในที่สุดวัฒนธรรมที่รับมาจากสังคมอื่นกลายเปนวัฒนธรรมของสังคมนั้น การรับเอาวัฒนธรรมของสังคมอื่นมาในระยะแรก อาจเรียกวาเปนการยืมวัฒนธรรม แตเมื่อนาน ๆ ไปการยืมก็จะกลายเปนการรับ การยืมวัฒนธรรมและการรับวัฒนธรรมนั้นเปนจุดเริ่มตนของการ เปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมยังมีความเกี่ยวพันกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เปรียบ เสมือนกับเชือกสองเสนที่ถูกนํามาฟนเปนเกลียวคูกัน หรือเหรียญสองดาน ซึ่งเปนคนละสวน คนละดานกันแตก็มีการเกี่ยวพันกันอยางแนบแนน ดังที่โครเบอร (Kroeber, อางจาก ผองพันธุ มณี
25
รัตน, 2521 : 19) ไดกลาวไววา สังคมและวัฒนธรรมเปนสวนประกอบซึ่งกันและกัน เชนเดียวกับ กระดาษสองหนาของกระดาษแผนเดียว วัฒนธรรมแตละแหงยอมเกี่ยวของกับสังคมของตนโดย อัตโนมัติ ดังนั้นในการศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้น ก็จําเปนตองศึกษาทั้ง ดานสั งคมและวัฒนธรรม เพราะไม ใ ชแต เ พียงว าทั้ง สองเรื่ องมีอิ ท ธิ พลต อกัน และกัน เท านั้ น แต ความสัมพันธระหวางระบบทั้งสองก็ซับซอน การรวมแนวความคิดทางสังคมและวัฒนธรรมทั้งสอง อยางเขาไวดวยกัน จึงเปนเรื่องจําเปน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม รวมเอาการ เปลี่ยนแปลงในวิธีการที่มนุษยใชเพื่อใหบรรลุถึงความตองการของเขา การเปลี่ยนแปลงในดานหนึ่ง ยอมขึ้นอยูกับการเปลี่ยนแปลงในดานอื่น ๆ (ผองพันธุ มณีรัตน, 2521 : 20) 2.1.5 แนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมอิสลาม วัฒนธรรมอิสลามมิไดจํากัดตัวเองอยูกับชนิดของอาหาร เสื้อผา เครื่องนุงหม อาคาร บานเรือน หรือวิธีการติดตอสื่อสาร แตวัฒนธรรมอิสลามหมายรวมถึงการประพฤติปฏิบัติ ความสํานึก ทางจิตใจ และคานิยมทางศีลธรรม นอกจากนี้วัฒนธรรมอิสลามยังหมายรวมถึงความยุติธรรม ขันติ ธรรม การแสดงออกทางจิตใจที่เจริญแลว ตลอดจนศิลปะและวรรณกรรม (สุรพล ทรงวีระ, 2519 : 9) โดยทั่วไปศาสนามักจะแยกกิจกรรมของศาสนาออกจากกิจกรรมทางโลก หรือแยก ศาสนาออกจากวัฒนธรรมถึงแมวากิจกรรมบางอยางจะมีตนกําเนิดมาจากศาสนาก็ตาม แตสําหรับ วั ฒนธรรมอิ ส ลามแล ว ศาสนาเป น รากฐาน เป น ตั วกํ าหนดวั ฒนธรรมของผู นั บถื อ โดยสิ้ น เชิ ง ดั ง ความเห็นของนักวิชาการอิสลาม ซึ่งเห็นวา ศาสนาและวัฒนธรรมเปนสิ่งเดียวกันอยางแบงแยกมิได สําหรับคนมุสลิม วัฒนธรรมอิสลามชวยนิยามขอบเขตทางสังคมใหแกคนมุสลิม ศาสนาอิสลามนั้นมี ฐานะเปนดีน (วิถีชีวิต) ดังนั้นศาสนาอิสลามจึงรวมกิจการทุกอยางของมนุษยไว การเมืองก็เปนสวน หนึ่งที่แยกไมออกจากศาสนาอิสลาม (สุรินทร พิศสุวรรณ และ ชัยวัฒน สถาอนันท, ม.ป.ป. : 163) สุรพล ทรงวีระ (2519 : 10) กลาววา วัฒนธรรมอิสลามมีมาแตดั้งเดิม และผูกติด กับเสาหลักของอิสลาม นั่นคือ หลักการศรัทธาของอิสลามเปนรากฐานที่วัฒนธรรมอิสลามตั้งอยู โดย มีรากฐานที่สําคัญคือ อัลกุรอาน ดวยเหตุนี้ศาสนาอิสลามจึงแตกตางจากความเชื่ออื่น ๆ หลายประการ ที่สําคัญก็คือ ลักษณะอันรอบดานของศาสนานี้ กระทั่งครอบคลุมกิจการตาง ๆ ของมนุษยไวทั้งสิ้น จริงอยูเปนไป ไดที่จะสรางวิถีชีวิตอยางรอบดานสําหรับชาวพุทธ ชาวคริสตและชาวฮินดู โดยอาศัยศาสนาของแตละ
26
คน แตสําหรับชาวมุสลิม คัมภีรอัลกุรอานและจริยวัตรของศาสดาดังที่ปรากฏอยูในอัลหะดีษ เปน แนวทางที่ชัดเจน (สุรินทร พิศสุวรรณ และ ชัยวัฒน สถาอนันท, ม.ป.ป. : 119) บรรจง บินกาซัน (2522 : 161) ไดกลาวถึงศาสนาอิสลามวา อิสลามเปนแนวทางใน การดําเนินชีวิตสําหรับมนุษยทุกยางกาว ตลอดจนเปนทั้งกฎระเบียบของการอยูรวมกันในสังคม ซึ่ง ครอบคลุมถึงเรื่องเศรษฐกิจ การปกครอง กฎหมาย วัฒนธรรม จริยธรรม วิทยาการตาง ๆ ตลอดจน พฤติกรรมของมนุษยในทุกสาขา โดยมีคัมภีรอัลกุรอานและแบบอยางคําสอนของศาสดามุฮมั มัดเปน ธรรมนูญสูงสุด เสาวนีย จิตตหมวด (2535 : 8)กลาวถึงวัฒนธรรมอิสลามวา หมายถึงวิถีในการ ดําเนินชีวิต หรือรูปแบบแหงพฤติกรรมของมุสลิมตลอดจนสิ่งที่สรางสรรคขึ้นมาซึ่งตั้งอยูบนพื้นฐาน แหงความศรัทธาวา อัลลอฮฺ คือพระเจาเพียงองคเดียว และมุฮัมมัด คือศาสนทูตของพระองค มอรแกน (Morgan, 1985, อางถึงใน อุษา จารุภา, 2541 : 33) กลาวถึงวิถีชีวิต มุสลิมวา วิถีชีวิตประจําวันของมุสลิมถูกกําหนดโดยคําสอนบทบัญญัติที่ละเอียดออนของพระคัมภีรอัล กุรอานที่บัญญัติไวนานนับศตวรรษ และโดยจริยปฏิบัติของศาสดามุฮัมมัด สวนอารง สุทธาศาสน (2519:133) มีความเห็นวา วัฒนธรรมกับเรื่องศาสนาก็คือ เรื่องเดียวกัน แยกกันไมออก เพราะสวนหนึ่งของศาสนาอิสลาม คือ แนวทางการดํารงชีวิตที่สังคม มุสลิมถือวาถูกตอง ซึ่งถามองอีกแงหนึ่งก็คือ วัฒนธรรมของสังคมนั่นเอง โดยสุธิวงศ พงศไพบูลย (2547: 186) ไดกลาวเพิ่มเติมวา ในตัวศาสนาอิสลามยอมไมมีวัฒนธรรมทองถิ่น แตในความเปน มุสลิมของศาสนิกชนอิสลาม ยอมตองมีการรับเอาประเพณีทองถิ่นไวมากบางนอยบาง ตามภาวะและ กลุมชน และวิถีชีวิตของมุสลิมยอมอาศัย (1) ศาสนบัญญัติ (2) ขนบประเพณีที่ไมขัดกับศาสน บัญญัติ (3) ระเบียบของบานเมือง และ (4) ความเปนสากลนิยม ซึ่งสอดคลองกับคํากลาวของ อักบาร เอส. อาเหม็ด (Akbar S. Ahmed) นักมานุษยวิทยาชาวปากีสถานที่ไดเสนอวา ศาสนา อิสลามนั้นมีเพียงหนึ่ง แตความเปนมุสลิมนั้นมีหลากหลาย (สุเทพ สุนทรเภสัช, 2548 : 99) นอกจากนี้อะหฺมัด บัดรฺ หะสูน (’Ahmad Badr hasūn) กลาววา วัฒนธรรมอิสลาม เป น วั ฒ นธรรมที่ ส มบู รณ ที่สุ ด ของมนุ ษ ย เนื่อ งจากการผสมผสานระหว างอารยธรรมเก าแก กั บ กฏเกณฑของพระเจา ซึ่งริยาฎ นะอฺสาน อาฆอ (Riyād Na‘sān ’Āghā) กลาววา มันเปนวัฒนธรรม ที่พิเศษ เนื่องจากมันไดผสมผสานอารยธรรมตาง ๆ เขาไวดวยกัน และลักษณะสําคัญอีกประการหนึ่ง ก็คือวัฒนธรรมอิสลามไมไดเปนเพียงวัฒนธรรมของชาวมุสลิม หากแตยังสามารถเปนวัฒนธรรมของ ชนตางศาสนิกอีกดวย ดังคํากลาวของโยฮานา อิบรอฮีม (Yūhanā ’Ibrāhīm) บาทหลวงใหญแหง ซีเรีย ความวา “เราชาวคริสตถือวาวัฒนธรรมอิสลามนั้นคือวัฒนธรรมของเรา เนื่องจากวัฒนธรรม
27
ดังกลาวไดชวยหลอหลอมวิถีชีวิตของชาวคริสตดวยเชนกัน”2 จากความเห็นดังกลาวจะเห็นถึงลักษณะ พิเศษของวัฒนธรรมอิสลามที่มีความหลากหลาย ซึ่งจะขึ้นอยูกับกลุมของผูนับถือเปนหลัก แนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมอิสลามนั้นปรากฏในเนื้อหาหลักของอัลกุรอานที่เกี่ยวของ กับความสัมพันธระหวางอัลลอฮฺ และมนุษย ซึ่งหลักการพื้นฐานของวัฒนธรรมอิสลามที่ อัลกุรอานไดนิยามไวมีใจความดังนี้ Ìx6Ζßϑø9$# Ç⎯tã šχöθyγ÷Ψs?uρ Å∃ρã÷èyϑø9$$Î/ tβρâß∆ù's? 3 «!$$Î/ tβθãΖÏΒ÷σè?uρ
(110 : )ﺁﻝ ﻋﻤﺮﺍﻥ ความวา “พวกเจาใชใหปฏิบัติสิ่งที่ชอบ และหามมิใหปฏิบัติ สิ่งที่มิชอบ และมีศรัทธามั่นในอัลลอฮฺ” (อาละอิมรอน : 110) อิสมาอีล อัลฟารูกี (’Ismā‘īl al-Fārūqīy) อางถึงใน อรุณ วิทยานนท (2536 : 268) ไดอธิบายถึงพื้นฐานของวิถีชีวิตแบบอิสลามวา “หลักศรัทธา” ซึ่งเปนการยอมรับอยางมั่นใจ วาอัลลอฮฺเปนหนึ่งสมบูรณเปนผูสรางที่อยูเหนือธรรมชาติเปนพระเจาและเปนนายของทุกสิ่งนั้นเปน แกนแทของวัฒนธรรมอิสลาม เนื่องจาก“หลักศรัทธา” คือหลักการปูทางใหกับพื้นฐานชีวิตอิสลาม ความคิด พฤติกรรม รวมถึงวัฒนธรรมอิสลามยังเปนผลิตผลของการปฏิสัมพันธระหวางเรื่องราว หลากหลายทางประวัติศาสตร ศาสนา สังคม และการเมืองอันจะนําไปสูการผลิดอกออกผลอยาง งดงามของวั ฒ นธรรมและอารยธรรมอิ ส ลามอยา งที่ ป รากฏในป จ จุบั น ตามส วนต า ง ๆ ของโลก อยางเชน ซาอุดีอาระเบีย อียิปต อินโดนีเซีย มาเลเซีย และแทนซาเนีย รวมถึงประเทศที่มีมุสลิมเปน ชนกลุมนอย อยางเชน ประเทศไทย และสหรัฐอเมริกา เปนตน ดังนั้นหากพิจารณาประวัติศาสตรอิสลามที่แพรขยายออกไปในอาหรับจะเห็นไดวา หลักศรัทธา และบทบัญญัติทําหนาที่เปนพื้นฐานสําหรับการพัฒนารูปแบบวัฒนธรรมอิสลามของโลก สิ่งนี้เห็นไดเมื่อเราพูดถึงรูปธรรมทางวัฒนธรรม อยางเชนวัฒนธรรมมุสลิมของยุโรป หรือแมแต วัฒนธรรมมุสลิมอเมริกัน ทั้งหมดนี้เปนสวนสําคัญของวัฒนธรรมอิสลาม ความงดงามหลายอยางใน 2
“Halab Durrat al-Mudun” (Online) Search from http://www.aleppocic.sy/acic/magz/modules/news/ print.php?storyid=54 [20 April 2007]
28
วั ฒ นธรรมอิ ส ลามเห็ น ได จ ากแนวโน ม ความหลากหลายในความคิ ด อิ ส ลามในด า นวรรณกรรม ประวัติศาสตร ศิลปะ สถาปตยกรรม ดนตรี วิทยาศาสตร เทคโนโลยี การคา และการพาณิชย ซึ่ง ปรากฏขึ้นมาในโลกมุสลิมตั้งแต 1400 กวาปมาแลว และในฐานะที่เปนปรากฏการณทางวัฒนธรรมก็ จะมีสวนอนุเคราะหตอไปถึงวัฒนธรรมในอนาคต ดังนั้นความหลากหลายในวัฒนธรรมทางศาสนาจึง เปนผลิตผลแหงการปฏิสัมพันธกันระหวางโลกทรรศนทางศาสนา และสังคมที่หลากหลายของมนุษย ซึ่งสามารถแสดงเปนโครงสรางไดดังนี้ ภาพที่ 1 แสดงโครงสรางของวัฒนธรรมอิสลาม
จากโครงสรางขางตนแสดงใหเห็นวาวัฒนธรรมอิสลามเกิดจากการผสมผสานระหวาง หลักศรัทธา บทบัญญัติ และวิถีชีวิตของผูนับถือ ดวยเหตุนี้วัฒนธรรมอิสลามของแตละกลุมชนจึงมี ความแตตางกันขึ้นอยูกับความหลากหลายของผูนับถือ ซึ่งแตละกลุมตางก็พยายามปรับแตงใหเขาวิถี ชีวิตดั้งเดิมของตนเองไปพรอมกับความพยายามที่จะรักษาแกนแทของอิสลามเอาไวในเวลาเดียวกัน จากขางตนสรุปไดวา วัฒนธรรมอิสลามเปนวิถีในการดําเนินชีวิตของชาวมุสลิมซึ่ง ตั้งอยูบนพื้นฐานของหลักศรัทธา บทบัญญัติหรือคําสอนที่มาจากคัมภีรอัลกุรอานและสุนนะฮฺของทาน ศาสนทูตมุฮัมมัด ดังนั้นมุสลิมจึงไมสามารถแยกวิถีชีวิตของตนเองออกจากอิสลามได เนื่องจาก ศาสนาอิสลามมีลักษณะซึ่งครอบทุกดานของวิถีชีวิตมนุษย เปนทั้งตัวกําหนดและควบคุมสถาบัน สังคมและวัฒนธรรมที่เรียกวาวัฒนธรรมทางวัตถุและจิตใจใหเปนไปตามกรอบของอิสลาม ดังนั้นใน
29
ทุก ๆ แงมุมของวิถีชีวิตมุสลิมตั้งแต การเดิน การนั่ง การนอน ตลอดจนการเมื อง การปกครอง การศึกษา การแพทย เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม จะถูกกําหนดดวยคําวาอิสลามทั้งสิ้น 2.2 การแพรขยายของศาสนาอิสลามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต หลักฐานประวัติศาสตรชี้วาศาสนาอิสลามแพรขยายเขามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต โดยอาศั ย เส น ทางการค าทางทะเลซึ่ ง ดํ าเนิ น มาตั้ง แตยุค โบราณ โดยนั ก เผยแผ ศาสนาอิ ส ลามได เดินทางรวมไปกับพวกพอคา จากเมืองทาชายฝงทะเลอาหรับ ไปสูรัฐคุชราตทางชายฝงตะวันตก และ เมืองชายฝงของรัฐเบงกอล ดานตะวันออกของอินเดีย และเมืองทาที่สําคัญอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออก เฉียงใตโดยเริ่มจากเมือง เปอรลัก ปาไซและเมืองสมุทร จากนั้นตอไปยังเมืองตาง ๆ ตามบริเวณ ชายฝงของแหลมมลายู สภาพของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใตในขณะที่ศาสนาอิสลามแพรขยายเขาไปใน ระยะแรก ๆ จากหลักฐานทางโบราณคดี ประวัติศาสตร บันทึกการเดินทาง และตํานานพื้นเมือง อาจจะประมวลภาพกวาง ๆ ไดวา เมืองทาบริเวณชายฝงทะเลที่เปนศูนยกลางการคามีลักษณะเปน นครรัฐ ซึ่งมีขนาด ความสําคัญ และขอบเขตของอํานาจเหนือรัฐอื่น ๆ โครงสรางและเผาพันธุ ภายใตการปกครองของหัวหนาเผา การที่รัฐหนึ่งจะมีอํานาจเหนือรัฐอื่น ๆ ในระบบจักรวรรดิคงจะ พัฒนาขึ้นภายหลัง (D.G.E. Hall, 1976 : 305) ศาสตราจารยเบนดาไดกลาวถึงโครงสรางของระบบการเมืองหรือรัฐประศาสนโยบาย ( Polity) ที่ มี อ ยู ใ นดิ น แดนของเอเชี ย ตะวั น ออกเฉี ย งใต ใ นยุ ค “คลาสสิ ก ” ซึ่ ง อยู ใ นระหว า ง คริ ส ต ศ ตวรรษที่ 4-14 ที่ มี ค วามแตกต า งที่ เ ห็ น ได ชั ด ว า มี อ ยู 2 ระบบ คื อ ระบบการเมื อ ง เกษตรกรรมที่อาศัยพลังน้ําบริเวณแผนดินที่อยูภายใน (Inland-Agrian Hydraulic Protype) และ ระบบการเมืองการคาพาณิชย บริเวณชายฝงทะเล (Riparian or Coastal Commercial Prototype) (สุเทพ สุนทรเภสัช, 2548 : 100) สวนพื้นฐานทางดานศาสนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต ไมวาจะเปนในบริเวณหมู เกาะหรือแผนดินใหญ กอนที่ศาสนาอิสลามจะขยายเขามามีโครงสรางที่มีลักษณะงาย ๆ คือมีระบบ ความเชื่อในเรื่องคติเชื่อถือผีสางเทวดา (Animism) เกี่ยวกับธรรมชาตินิยม (Animatism) และ วิญญาณบรรพบุรุษ (Ancestor’s Spirit) องคกรทางศาสนายังไมแพรหลายในหมูประชากรสวนใหญ ในชนบท สําหรับชนชั้นปกครองที่อยูในบริเวณเมืองนั้น ตั้งแตในระยะตน ๆ ของคริสตศตวรรษ จะมี คติความเชื่อทางศาสนาและอุดุมการณที่มีความสัมพันธอยางลึกซึ้งกับชนชั้นปกครอง และมีโครงสราง ที่ซับซอน เนื่องจากการเผยแผศาสนาถูกจํากัดเพียงในราชวัง (สุเทพ สุนทรเภสัช, 2548 : 102)
30
ในดิน แดนที่ ไดรับอิทธิพ ลจากอินเดีย ระบบความเชื่อทางพุทธศาสนาจะปรับตั ว หรือไมก็เขาไปรวมกับความเชื่อของศาสนาพราหมณ อันเปนที่ยอมรับของชนชั้นนําที่อยูในราชสํานัก โดยรอบ กษั ต ริ ย ถื อ ว า เป น ตั ว แทนของเทพเจ า ตามคติ ค วามเชื่ อ ของฮิ น ดู หรื อ ไม ก็ ถื อ ว า เป น พระพุทธเจากลับชาติมาเกิดตามความเชื่อของพุทธศาสนา และที่สําคัญศาสนาพราหมณและพุทธ ศาสนาไดกลายเปนศาสนาของราชสํานัก ซึ่งตัวแทนของศาสนามักจะเขารวมกลุมกับผูมีอํานาจทาง การเมือง ดังนั้น ศาสนาที่เปนทางการอยางแทจริงก็คือศาสนาของราชสํานัก ซึ่งชาวบานถูกบีบ บังคับใหตองเขารวมพิธีกรรมทางศาสนาที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัว กษัตริยผูมีฐานะเปนเทวราช (GodKing) ในขณะที่ชาวนาซึ่งเปนประชากรสวนใหญก็ยังคงดําเนินชีวิตอยูบนพื้นฐานของความเชื่อผีและ วิญญาณตอไปในอาณาบริเวณที่อยูโดยรอบเมือง การขยายตัวของศาสนาอิสลาม ในเอเชียตะวันออกเฉียงใตนั้นเปนผลมาจากปจจัย ดานการคา และการปกครองเปนหลัก ดังจะเห็นไดในกรณีของรัฐสุลตานเปอรลักและรัฐสุลตาน สมุทราปาไซ ซึ่งเปนรัฐอิสลามสรางโดยพอคาตางชาติ จากอียิปต โมร็อกโก และคุชราต ซึ่งอาศัยอยู ในแถบนั้นและตอมาไดแตงงานกับหญิงชาวเมือง ซึ่งเปนบุตรีของมาราหเปอรลัก จากการแตงงาน ดังกลาว มีบุตรชายชื่อสัยยิด อับดุลอะซีซ เปนสุลตานองคแรกของเมืองเปอรลัก หลังจากถูกแตงตั้ง เปนสุลตานเปอรลัก ก็ทรงเปลี่ยนพระนามเปนอะลาอุดดีน ชาฮฺ พระองคเริ่มปกครองเมืองตั้งแตป ค.ศ. 1161 จนถึงป ค.ศ. 1186 ซึ่งกอนนั้นเมืองเปอรลักปกครองโดยราชาที่สมญานามวา มาราห3 ตอมาในภายหลังจากไดกอตั้งรัฐสุลตานเปอรลัก การมาเยือนของพอคาตางเมืองยังคงเปนไปอยาง ตอเนื่องนับตั้งแตป ค.ศ. 1028 เปนตนมา การแยงชิงอํานาจของราชวงศสัยยิด อับดุลอะซีซ และ ราชวงศมาราหเปนการแยงชิง อํานาจระหวางราชวงคตางเมืองกับราชวงศพื้นเมือง โดยมีจุดมุงหมายคือ ผลผลิตพริกที่สุลตานเปอร ลักครอบครองอยู และสงขายโดยผานเมืองเปอรลัก จากบันทึกของนักเดินทางชาวอาหรับและชาวจีน ระบุวา การปลูกพริกที่เมืองอาเจะหไดเปนที่รูจักมาตั้งแตศตวรรษที่ 9 เมืองนัมโปลี เปอรลัก ลามูลี และสมุทรา พริกเมืองอาเจะหนั้น เดิมทีนําเขาจากเมืองมาลากาสี ผลิตผลพริกจากเมืองมาลากาสีใช เปนสินคาสงออกโดยพอคาชาวอาหรับและเปอรเซียในตลอดริมชายฝงเอเชียและทวีปยุโรป ตอมา พอคาเปอรเซียและอาหรับไดนําสินคาพริกและทดลองปลูกในเมืองอาเจะห และเปอรลัก จากนั้นทั้ง สองเมืองดังกลาวจึงถูกใชสงออกพริกทําใหไดผลกําไรมหาศาล ทําใหบรรดาพอคาตางเมืองจากอียิปต เปอรเ ซียและคุชราต ที่มาจอดเทียบทาเมืองเปอรลัก ซึ่งกาลตอมาได ตั้งรกรากอยู ที่นั่น ตองการ ครอบครองผลผลิตพริกทั้งหมด 3
มาราห หมายถึง ราชา
31
นอกเหนือจากสุลตานเปอรลักที่ตั้งอยูชายฝงตะวันออกของสุมาตราเหนือแลว ยังมี รัฐสุลตานอื่น ๆ อีกซึ่งปกครองโดยแมทัพเรือจากราชวงศฟาฏิมิยะฮฺแหงเมืองอียิปต4 นั่นคือ รัฐ สุลตานปาไซ ซึ่งตั้งอยูบริเวณปากน้ําปาไซ ถูกสถาปนาขึ้นโดยราชวงศฟาฏิมียะฮฺแหงเมืองอียิปตในป ค.ศ. 1128 โดยการนําของแมทัพเรือ นาซีมุดดีน อัลกามิล สาเหตุที่ไดกอตั้งสุลตานปาไซแหงราชวงศ ฟาฏิมียะฮฺ นั่นก็คือ ราชวงศฟาฏิมียะฮฺ ตองการครอบครองเครื่องเทศที่อยูในแถบชายฝงสุมาตรา ตะวันออกทั้งหมด ราชวงศฟาฏิมียะฮฺจึงสงทหารมาตีเมืองทาเคมเบยที่แควนคุชราต เพื่อผานไปเปด เมืองทาปาไซ ในที่สุดสามารถเปดเมืองปาไซไดสําเร็จและไดยึดพื้นที่ปลูกพริก ในเมืองกัมปารกานัน กัมปากีรี และเมืองมีนังกาเบา เมืองทาปาไซนั้นถูกใชเปนเมืองทาสําคัญเพื่อสงออกพริก สวนเมือง คุชราตนั้นถูกใชเปนศูนยกลางการคาพริกที่สงมาจากแถบแมน้ํากัมปาร ซึ่งทํากําไรใหแกราชวงศฟาฏิ มียะฮฺอยางมากมายมหาศาล จนกระทั่งกลายเปนราชวงศที่ร่ํารวยในที่สุด ตอมาเมื่อราชวงศฟาฏิมียะฮฺลมสลาย ราชวงศมัมลูกเริ่มปกครองเมื่อป ค.ศ. 1285 ไปจนถึงป ค.ศ. 1522 อันที่จริงราชวงศมัมลูกเองก็ตองการครอบครองการคาเครื่องเทศเชนเดียวกับ ราชวงศฟาติมียะฮฺ ในป ค.ศ. 1284 ราชวงศมัมลูกไดสงชัยคฺอีสมาอีลมายังชายฝงตะวันออกเมือง สุมาตรา พรอมดวยฟากีร มุฮัมมัด ซึ่งเปนอุละมาอแถบชายฝงตะวันออกของอินเดีย เพื่อที่จะทําลาย อิทธิพลชีอะฮฺใหหมดไปพรอมทั้งถายโอนอํานาจจากเมืองทาปาไซ ในสมุทรปาไซ พวกเขาไดพบกับมา ราหซีลู ซึ่งไดแฝงตัวอยูกับกองทัพปาไซโดยใชชื่ออิสกันดารมาลิก ชัยคฺอิสมาอีล ประสบสําเร็จในการ เกลี้ยกลอมมาราหซีลพู รอมผูติดตามคือซิดดิกอาลี ชีอาตุดดีน และซิดดิก อาลี หะสะนุดดีน ใหนับถือ ศาสนาอิสลามมัซฮับชาฟอีย5 ในเวลานั้นมาราหซีลูเองสามารถอานคัมภีรอัลกรุอานไดแลวและไดเขา นับศาสนาอิสลามนิกายชีอะฮฺ ดังนั้นดวยความชวยเหลือจากราชวงศมัมลูกจากอียิปต ทําใหมาราหซีลู ถูก แต ง ตั้ ง เป น สุ ล ต านเมื อ งสมุ ท รา โดยชั ย คฺ อิ ส มาอี ล และมี ส มญานามใหม ว า มาลิ ก อั ศ ศอลิ หฺ นอกจากนั้นเมืองสมุทราซึ่งตั้งอยูบนปากแมน้ําปาไซแถบชายฝงตะวันออกของเมืองสุมาตรา หันสูชอง แคบมะละกายังเปนนครคูแขงสําคัญของอาณาจักรปาไซ และเปอรลัก ซึ่งนับถือศาสนาอิสลามนิกาย ชีอะฮฺอีกดวย (Slamet Mujana, 2006 : 134) สุลตานมาลิก อัศศอลิหฺ ถูกแตงตั้งโดยชัยคฺอิสมาอีล เปนสุลตานนครสมุทราปาไซ โดยใชชื่อชะรีฟ มักกะฮฺ ซึ่งถูกขับไล จากเมืองแบกแดด ไปยังอียิปต ตั้งแตป 1258 เนื่องจากการ โจมตีของกองทัพมองโกล การแตงตั้งมาราหซีลู โดยชัยคฺอิสมาอีลใหเปนสุลตานองคแรกแหงนคร 4
ราชวงศฟาฏิมียะฮฺถูกสถาปนาขึ้นโดยอุบัยดฺ บิน อับดิลลาฮฺ ในป ค.ศ. 976 ราชวงศนี้มีอํานาจปกครองไปจนถึงป ค.ศ. 1168 และ ภายหลังไดถูกพิชิตโดยกองทัพของเศาะลาหุดดีน อัลอัยยูบีย ซึ่งนับถือศาสนาอิสลามมัซฮับชาฟอีย จากการที่ราชวงศฟาฏิมียะฮฺแหง เมืองอียิปตลมสลาย ทําใหความสัมพันธระหวางสุลตานปาไซกับเมืองอียิปตสิ้นสุดลง ในปคริสตศักราชที่ 1168 ราชวงศปาไซถูก ปกครองโดยแมทัพเรือกัฟรอวี อัลกามิล 5 มัซฺฮับ หมายถึง สํานักคิดเกี่ยวกับขอบัญญัติทางศาสนาอิสลาม ซึ่งมีทั้งหมด 4 มัซฮับ ไดแก ชาฟอีย หะนาฟย มาลิกีย และฮันบาลีย
32
สมุทราปาไซ ที่นับถือศาสนาอิสลามสายชาฟอียนั้นตั้งอยูบนพื้นฐานสามประการคือ ประการแรก ราชวงศมัมลูกตองการผูที่เปนคนในพื้นที่ที่แข็งแกรงและนับถือศาสนาอิสลามสายชาฟอีย ประการที่ สอง ตามความเห็นของชัยคฺอิสมาอีลนั้น มาราหซีลู สามารถกําจัดอิทธิพลของนิกายชีอะฮฺใหหมดไป จากริ ม ฝ ง สุ ม าตราได ประการที่ ส าม ราชวงศ มั ม ลู ก หวั ง ว า มาราห ซี ลู สามารถคุ ม อํ านาจการค า เครื่องเทศโดยเฉพาะพริกซึ่งอยู ในอํานาจของพ อคาเปอร เซีย อาหรั บและคุชราตที่นั บถือศาสนา อิสลามนิกายชีอะฮฺได ตลอดเวลาที่สุลตานมาลิก อัศศอลิหฺ ครองอํานาจที่สมุทราปาไซนั้นชาวชีอะฮฺได ทยอยเขารับนับถือศาสนาอิสลามมัซฮับชาฟอียกันมากขึ้นเนื่องจากคํานึงถึงผลประโยชนเปนหลัก อนึ่งสมัยการปกครองของสุลตานมาลิก อัศศอลิหฺนั้น เมืองสมุทราปาไซไดรับการ เยือนจากมารโคโปโล เมื่อปคริสตศักราชที่ 1292 ในการเดินทางจากเมืองจีนสูเปอรเซีย ตอมาในสมัย การปกครองของสุลตานอะหฺมัด บาฮียัน ชาฮฺ มาลิก อัฏฏอฮิรฺ เมืองสมุทราปาไซไดรับการเยือนจาก อิบนุ บัฏฏเฏาะฮฺนักเดินทางชาวโมร็อกโก ในปคริสตศักราช 1345 ระหวางการเดินทางกลับจากจีน ครั้นในปคริสตศักราช 1339 ปลายสมัยปกครองของสุลตานอะหฺมัด บาฮียัน ชาฮฺ เมืองสมุทราปาไซถูกโจมตีโดยกองทัพมัชปาหิต ซึ่งนําโดยปาติห อามังกูบูมี ฆาญะฮฺ มาดา ถือเปนการ สิ้น สุ ดราชวงศ และสิ่ ง สํ า คั ญ อี ก ประการหนึ่ ง ที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ การแพร ข ยายของศาสนาอิ ส ลามบน คาบสมุทรมลายู คือ บุตรีของสุลตานซัยนุลอาบิดีน บาฮียัน ชาฮฺ ไดอภิเษกสมรสกับราชาปรเมศวร ซึ่งเปนผูสถาปณาอาณาจักรมะละกา ในป ค.ศ. 1404 ผลจากการอภิเษกครั้งนั้น ทําใหราชาปรเมศวร เขารับนับถือศาสนาอิสลามมัซฮับชาฟอีย ตอมาอาณาจักรมะละกาก็ไดกลายเปนศูนยกลางการเผยแผ ศาสนาอิสลามมัซฮับชาฟอียไปทั่วพื้นชายฝงทั้งตะวันตก และตะวันออกของคาบสมุทรมลายู นอกจากนี้เมื่อเขาสูคริสตศตวรรษที่ 14 และ 16 ศาสนาที่สําคัญของโลกสองศาสนา ไดแพรขยายเขามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต ไดแกศาสนาคริสตนิกายคาทอลิก ซึ่งถูกนํามาโดยชาว สเปนในบริเวณหมูเกาะฟลิปปนส และศาสนาอิสลามที่พวกพอคาและนักเดินทางชาวมุสลิมนําเขา มายังเมืองทาบริเวณริมฝงทะเลที่อยูตามเสนทางการคาของอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต ความ จริงในเมืองทาชายฝงทะเลจะประกอบดวยชนหลายชาติหลายภาษา ซึ่งนอกจากจะมีผูนับถือศาสนา อิ ส ลามทั้ ง นิ ก ายสุ น นี แ ละชี อ ะฮฺ แ ล ว ก็ ยั ง มี ศ าสนาคริ ส ต ทั้ ง นิ ก ายคาทอลิ ก และเนสตอเรี ย น (Nestorian) ศาสนาขงจื้อ ศาสนาจูดาย ศาสนาฮินดู รวมทั้งพุทธศาสนานิกายตาง ๆ ซึ่งเปนคติความ เชื่ อที่ แ พร ก ระจายเข ามาในหมู พอ ค า นั ก เดิ นทาง และประชาชนทั่ ว ไปตั้ งแต ใ นช ว งแรก ๆ ของ คริสตศตวรรษแลว แตคติความเชื่อของศาสนาฮินดูและพุทธศาสนานิกายมหายานดูจะเปนเรื่องที่ ยอมรับอยูในราชสํานัก พวกที่นับถือศาสนาอิสลามและศาสนาคริสตเมื่อเขามาในระยะแรก ๆ ไดรับ การยอมรับในฐานะชนกลุมนอยทางการคา โดยที่ผูปกครองเองก็ไมไดคาดหวังวาคนเหลานี้จะทําการ เผยแผศาสนาหรือชักจูงใหเขาศาสนาแตอยางใด แตเมื่อเวลาผานไปผูที่มีความรูทางศาสนาอิสลามก็ คอย ๆ ไดรับการยอมรับ และมีโอกาสไดเขาไปเปนที่ปรึกษาทางการเมืองและทางจิตวิญญาณของเจา
33
เมือง ตลอดจนพอคาและประชาชนโดยทั่วไป โดยคลิฟฟอรด เกียรตซ (Clifford Geertz) ไดตั้ง ขอสังเกตถึงการเขามาของศาสนาอิสลามในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใตวา มีลักษณะเชนเดียวกับ ในประเทศอินเดีย เปอรเซีย และโมร็อกโก กลาวคือ เนื่องจากศาสนาอิสลามเปนศาสนาที่เขามาทีหลัง สูดินแดนที่มิไดมีอารยธรรมแบบอาหรับแตเปนอาณาบริเวณที่ศาสนาฮินดูและพุทธศาสนาลงรากเปน ปกแผนมั่งคงอยูกอนแลว การแพรขยายของศาสนาอิสลามเขาไปในหมูคนพื้นเมืองจึงเปนไดดวย ความยากลําบากอยางชา ๆ และในที่สุดก็สามารถเขาแทนในความเชื่อดั้งเดิมไดเพียงบางสวนเทานั้น แม ว า ศาสนาอิ ส ลามจะแพร ข ยายเข า มาในเอเชี ย ตะวั น ออกเฉี ย งใต และเป น ที่ ย อมรั บ มาตั้ ง แต คริสตศตวรรษที่ 13 จนถึงคริสตศตวรรษที่ 16 แตความเชื่อดั้งเดิมที่มีอยูก็มิไดหมดไป หากยังคง หลงเหลืออยูโดยการเขาไปผสมผสานระบบความเชื่อที่เรียกรวม ๆ วา “อิสลาม” (สุเทพ สุนทรเภสัช, 2548 : 102-103) ความสําเร็จในการเผยแผศาสนาอิสลามบนแหลมมลายูเกิดขึ้นระหวางศตวรรษที่ 15-17 กลาวคือในศตวรรษที่ 15 มะละกาไดยอมรับนับถือศาสนาอิสลามและกลายเปนเมืองบน แหลมมลายูฝงตะวันออกของสุมาตรา ซึ่งเปนเสนทางการคาเครื่องเทศ จนถึงบริเวณตอนเหนือของ ชวาและมาลูกู และอีกเสนหนึ่งไปถึงแควนบรูไนและมะนิลา ในราว ค.ศ. 1527 แควนมัชปาหิตซึ่ง เปนแควนฮินดูในชวาไดตกอยูภายใตอิทธิพลของผูนับถือศาสนาอิสลาม รัฐอิสลามที่เปนปกแผนมี ความสําคัญของยุคนี้ไดแก อาเจะห ยะโฮร ปะตานี บานตัน และเตอรนาเต6 โดยศาสนาอิสลามได แพรขยายจากบริเวณชายฝงทะเลเขาไปสูบริเวณดินแดนภายใน นอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่แสดงวา บรรดารัฐที่นับถือศาสนาอิสลามไดใชภาษามลายูมาตั้งแต ค.ศ. 1590 ในตอนตนคริสตศตวรรษที่ 16 ตามตํานานพื้นเมือง ผูปกครองของเมืองปะตานีได ยอมรับนับถือศาสนาอิสลาม ตํานานไดบันทึกไววา “ผูปกครองไดเลิกนับถือเทวรูปและการบริโภคเนื้อ สุกร แตนอกจากนั้นแลวก็มิไดเลิกนิสัยของผูที่ไมไดนับถือศาสนา (อิสลาม) อื่น ๆ (Teeuw and D.K. Wyatt, 1970 : 75) ซึ่งเทวรูปในที่นี้นาจะหมายถึงเทวรูปตามความเชื่อของศาสนาฮินดูที่ชาว พื้นเมื องได รับอิทธิพลมาจากภายนอก เมื่อครั้ งที่ระบบความเชื่อของอินเดียแพรข ยายเขามา ใน ตํานานยังกลาวอีกวา ผูสืบเชื้อสายจากผูปกครองคนเดิมซึ่งเปนสตรีไดสรางมัสยิดขึ้นเปนแหงแรก และประชาชนสวนใหญไดพากันเลิกการบริโภคเนื้อสุกรและการบูชารูปเคารพ นอกจากนั้นแลวยังคงมี การเซนสรวงตนไมและภูตผีตาง ๆ อยูอยางเดิม เกี่ยวกับสภาพของการยอมรับนับถือศาสนาอิสลาม ของคนพื้นเมืองในยุคตน ๆ นี้ อาบู มาญิด ผูบุกเบิกศาสนาอิสลามที่มีชื่อเสียง ไดบันทึกไวดวยความ ไมพึงพอใจนักวา “พวกเขาชางไมมีวัฒนธรรมเสียเลย คนนอกศาสนาแตงงานกับผูหญิงมุสลิม ขณะที่ ผูชายมุสลิมก็เอาคนไมมีศาสนามาเปนภรรยา คนพวกนี้คือโจรมีการลักขโมยในพวกเดียวกันโดยไมมี 6
เตอรนาเต (Ternate) ชื่อเมืองทางตอนเหนือบนเกาะมาลูกู
34
ผูใดสนใจไยดี ชาวมุสลิมบริโภคเนื้อสุนัข เพราะไมมีขอหามในการบริโภคอาหาร พวกเขาพากันดื่ม เหลาในตลาด และไมถือวาการหยารางเปนเรื่องของศาสนา” อยางไรก็ตามเมื่อมาถึงตอนปลายคริสตศตวรรษที่ 16 ปรากฏหลักฐานที่บงชัดวาคน จํานวนมากทั้งในเมืองและชนบท รวมไปถึงบริเวณชายฝงและหมูเกาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใตได หันมายอมรับนับถือศาสนาอิสลาม ปฏิเสธที่จะมีชีวิตแบบดั้งเดิม เลิกบริโภคเนื้อสุกร ยอมรับเครื่อง แตงกายและแบบคารวะ ตลอดจนพิธีกรรมของศาสนาอิสลาม ที่สําคัญคนกลุมนี้ถือวาตนเปนสวน หนึ่งของประชาคมมุสลิม (’Ummah ’Islāmīyah) ฉะนั้นแนวคิดที่วา ศาสนาอิสลามมีความเปน ปกแผนมั่นคงเฉพาะในบริเวณเมืองทาชายทะเล และในบริเวณเมืองหลวงเทานั้นก็ไมเปนความจริงอีก ตอไป เพราะเมื่อมาถึงสมัยนี้ ตํานานพื้นเมืองของปตตานีเองก็ยังบันทึกไววา ในสมัยของสุลตานมุ ซอฟฟร ชาห ค.ศ. 1564 ศาสนาอิสลามไดแพรขยายเขาไปถึงบริเวณชนบทและเลยเขาไปถึงโกตา มะหลีฆัย ซึ่งอยูหางจากชายฝงทะเลออกไป 14 กิโลเมตร (Teeuw and D.K. Wyatt, 1970 : 7879) 2.3 ทฤษฎีการเขามาของอิสลามสูภูมิภาคมลายู7 สงครามระหว า งมั ช ปาหิ ต กั บศรี วิ ชั ย เป น สงครามที่ เ ต็ ม ไปด ว ยความทารุ ณ และ แมวามัชปาหิตจะเปนฝายชนะอยางสิ้นเชิง แตพืชแหงการรบราฆาฟนกันใหมก็ไดถูกเพาะหวานลงไป ดวย จากซากอันปรักหักพังแหงอํานาจของพวกไศเลนทร และรวมทั้งจากมูลเหตุอื่นดวย โดยเฉพาะก็ คือ เพราะพวกอาหรับและประชาชนที่หันไปนับถือศาสนาอิสลาม พวกมลายูไดมีอํานาจขึ้นในสุมาตรา และมะละกา อํานาจการควบคุมทะเลตะวันออก ซึ่งเคยอยูในกํามือของอินเดียใต หรือไมก็อยูในกํามือ ของอาณานิคมอินเดียมาเปนเวลาชานาน บัดนี้ไดตกอยูในมือของพวกอาหรับเสียแลวมะละกาไดมี ชื่อเสียงเดนขึ้นในฐานะเปนศูนยกลางการคาและเปนที่ตั้งของอํานาจทางการเมือง และโดยประการ ฉะนี้ ศาสนาอิสลามก็เริ่มแผไปตามแหลมมลายู และหมูเกาะใกลเคียง อํานาจใหมที่เกิดขึ้นนี้เอง ใน ที่สุดไดนําความสิ้นสุดมาสูมัชปาหิตในตอนปลายศตวรรษที่ 15 (ยวาหระลาล เนหรู, 2537 : 393394) การเขามาของอิสลามไดเปลี่ยนเข็มทิศของศูนยอารยธรรมมลายูไปยังเมืองตาง ๆ เชน มะละกา จัมบี อาเจะห และปะตานี บรรดานักวิชาการไดนําเสนอทฤษฎีตาง ๆ เพื่อเชื่อมโยงการ เขามาของอิสลามยังคาบสมุทร และหมูเกาะมลายู โดยมี 3 ทฤษฎีหลัก คือ ทฤษฎีที่มาจากอินเดีย จีน และอาหรับ 7
ภูมิภาคมลายู (Nusantara) ประกอบดวย แหลมมลายู และหมูเกาะมลายู
35
2.3.1 ทฤษฎีอิสลามมาจากอินเดีย ทฤษฎีการเขามาของอิสลามสูภูมิภาคมลายู โดยบรรดาพอคาชาวอินเดียไดเสนอโดย นักบูรพาคดีชาวตะวันตก เชน สนุก ฮอครอนเจ (Snouck Horgronje) และ เบรน แฮรริสัน (Brain Harrison) กลาววา สังคมในภูมิภาคมลายูเห็นวาอินเดียเปนแหลงที่สามารถจะใหความชวยเหลือและ ใหคําแนะนํา คําสั่งสอนชี้แนะปญหาทางศาสนาได จากที่ทั้งสองฝายมีการติดตอสัมพันธกันนั่นเอง ผูคนในภูมิภาคมลายูรูสึกสนใจและชอบศาสนาอิสลามที่พอคาชาวอินเดียนับถืออยู นักวิจัยบางทานอยางเชน แจสโซลิน เดน จอง (Jassolin Den Jong)นักบูรพาคดีได ระบุสถานที่เริ่มตนของการเผยแผอิสลามวา การเผยแผอิสลามเขาสูภูมิภาคมลายูกระทําโดยพอคาชาว คุชราต ทฤษฎีที่วาอิสลามมาจากคุชราตนี้ถูกนําเสนอขึ้นมาโดยอาศัยหลักฐานตาง ๆ ที่บงบอกถึง ความเหมือนกันของสังคม วัฒนธรรมของชาวมลายูกับสังคมวัฒนธรรมของชาวอินเดีย รวมถึงการ คนพบหินบนหลุมฝงศพ เชน หินบนหลุมฝงศพของสุลตานมาลิก อัซซอและห กษัตริยองคแรกแหง เมืองสมุทราปาไซ ซึ่งระบุป ค.ศ. 1297 หินบนหลุมฝงศพนี้ไดมีการอางวาเปนหินที่นํามาจากเมือง คุชราตเพราะหินทั้งสองแหงนี้มีรูปรางลักษณะเหมือนกัน (D.G.E. Hall, 1987 : 253) ซึ่งชวย สนับสนุนใหทฤษฎีนี้นาเชื่อถือมากยิ่งขึ้น โธมัส อารโนลด (Thomas Arnold) ไดกลาววาอิสลามที่ไดมาถึงเอเชียตะวันออก เฉียงใตเปนคําสอนในมัซฮับชาฟอีย เหมือนกับสังคมมุสลิมมาลาบารในอินเดีย และไดปฏิเสธแนวคิด ที่วาอิสลามมาจากเมืองคุชราต เพราะสังคมมุสลิมคุชราตเปนผูที่ปฎิบัติตามมัซฮับฮานาฟย อีกทั้ง ชวงเวลาที่คุชราตรับอิสลามชากวารัฐปาไซ กลาวคือ เอเชียตะวันออกเฉียงใตรับศาสนาอิสลามในป ค.ศ. 1042 สวนคุชราตรับอิสลามในยุคของสุลตานแหงเดลฮี ชวงป ค.ศ. 1302 (อิสมาอีล ฮามิด, 2545 : 69) อยางไรก็ตามทฤษฎีตาง ๆ เกี่ยวกับการเขามาของอิสลามในภูมิภาคมลายูจากอินเดีย นั้นปรากฏวามีขอ ขัดแยงกั บหลั กฐานที่ป รากฏตั้ งแต คริสตศตวรรษที่ 7 พิ สูจน ไดจากการค น พบ หลักฐานตาง ๆ ในระยะหลังทีแ่ สดงถึงความสัมพันธระหวางภูมิภาคมลายูกับโลกอาหรับไดมีมาตั้งแต กอนศาสนทูตมุฮัมมัด จะเผยแผศาสนาอิสลามบนคาบสมุทรอาหรับ 2.3.2 ทฤษฎีอิสลามมาจากจีน นอกจากทฤษฎีอิสลามเขาสูภูมิภาคมลายูโดยผานมาทางอินเดียแลวยังมีทฤษฎีที่วา อิสลามมาจากจีน ตามประวัติศาสตรพบวาอิสลามมาสูเมืองจีนในสมัยการปกครองราชวงศถัง นั่นคือ
36
ในราวป ค.ศ. 650 และมีนักวิชาการหลายทานที่สนับสนุนทฤษฎีอิสลามมาจากเมืองจีน เอ็มมานูเอล โฆดิญโญ เด อีวีเดียร (Emanuel Godinho De Evedia) เลาวาอิสลามมาสูภูมิภาคมลายูจากเมืองจีน โดยผานทางกวางตุงและไหหนานในคริสตศตวรรษที่ 9 (Institut Tadbiran Awam Negara, 1991 : 64-66) ทัศนะนี้เปนที่แพรหลายมากขึ้นหลังจากคนพบศิลาจารึกที่กัวลาเบอรัง รัฐตรังกานู ทางฝง ทะเลตะวันออกของแหลมมลายู ทฤษฎีนี้ไดรับการสนับสนุนจากหลักฐานทางประวัติศาสตรที่แสดงถึงความสัมพันธ ทางดานการคาระหวางชาวจีนกับบรรดาพอคามุสลิมจากเอเชียตะวันตก (อาหรับ–เปอรเชีย) มาตั้งแต ฮิจเราะฮฺศักราชที่ 3 หรือ คริสตศตวรรษที่ 9 หรืออาจจะกอนหนานั้นดวยซ้ํา คือ ตั้งแตฮิจเราะฮฺ ศักราชที่ 1 หรือคริสตศตวรรษที่ 7 เสียอีก ตามบันทึกของมัสอูดีย (Mas‘ūdīy) นักประวัติศาสตรชาว อาหรับที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง กลาววา ที่กวางตุงมีพอคามุสลิมราว 200,000 คน ซึ่งสวนใหญเปนพอคา มุสลิมจากคาบสมุทรอาหรับ และเปอรเซีย เอส จี ฟาตีมี (S.G. Fatimi) อธิบายวาอิสลามไดถูกนํามาจากกวางตุงของจีนใน ปลายศตวรรษที่ 9 ในราวป ค.ศ. 876 การอพยพเคลื่อนยายนี้เกิดขึ้นจากผลของสงครามซึ่งเปนเหตุ ใหมีคนมุสลิมตองสังเวยชีวิตไปเปนจํานวนมากกวาหนึ่งแสนคน คนมุสลิมที่เหลือไดหลบหนีไปยัง ภูมิภาคมลายูซึ่ง หะสัน อิบรอฮีม หะสัน (Hasan ’Ibrāhīm Hasan, 1964 : 2/331) กลาววา หลังจาก นั้นชาวอาหรับไดยายสถานีการคาจากกวางตุงมาตั้งที่เมืองกาละฮฺ (เกดะห) บนแหลมมลายู อยางไรก็ตามหลักฐานตาง ๆ ที่สนับสนุนสมมุติฐานของทฤษฎีนี้ยังสามารถโตแยงได อีกมาก เพราะการเขามาตั้งถิ่นฐานของชาวมุสลิมยังภูมิภาคมลายูมีมากอนระยะเวลาที่ปรากฏ ตาม ทฤษฎีนี้ รวมทั้งการคนพบหลักฐานใหม ๆ เกี่ยวกับการเขามาของอิสลามสูภูมิภาคมลายูที่ดูเหมือนจะ ขัดแยงกับหลักฐานที่ไดนําเสนอโดยทฤษฎีขางตน และสมมุติฐานดูจะเปราะบางเพราะหากอิสลาม มาถึงเมืองจีนโดยคนอาหรับแลว แนนอนเหลือเกินวาบรรดานักเผยแผชาวอาหรับเหลานั้นจะตองแวะ ที่ภูมิภาคมลายูกอนไปจีน เพราะภูมิภาคมลายูอยูระหวางเสนทางการคาขายระหวางเอเชียตะวันตกกับ เอเชียตะวันออกอยูแลว ดังนั้นดวยเหตุผลนี้จึงไมนาที่อิสลามจะไปยังจีนกอนแลวยอนกลับมายัง ภูมิภาคมลายูในภายหลัง 2.3.3 ทฤษฎีอิสลามมาจากอาหรับ ทฤษฎีการเขามาของอิสลามสูภูมิภาคมลายูโดยนักเผยแผศาสนาอิสลามบรรดาพอคา เศรษฐีชาวอาหรับ เปนทฤษฎีที่สอดคลองกับหลักฐานทางประวัติศาสตรตาง ๆ ที่ไดคนพบรวมทั้งจาก บันทึกของนักเดินเรือทั้งหลาย ซึ่งหากเรามองอยางผิวเผิน จะพบวาความสัมพันธระหวางประชาชนใน
37
ภูมิ ภาคมลายูกับชาวอาหรับนั้ น มีม านานแล ว คื อ ตั้ง แตก อนยุ คอิสลามเรื่อยมาจนถึงการเผยแผ อิสลามสูบริเวณนี้จนกระทั่งปจจุบัน จากเอกสารที่ไดมีการคนพบ มีการกลาวถึงชุมชนอาหรับมุสลิมในสุมาตราเหนือที่ เรียกวา “Tashih”8 ในป ค.ศ. 650 ชุมชนนี้มีชาวอาหรับที่เขามาในสุมาตราในคริสตศตวรรษที่ 7 อยู อาศัย นอกจากนี้ เอส เอ็ม นากิบ อัลอัตตัส (S.M. Naquib al- Attas) ไดยืนยันวาเนื้อหาของ วรรณกรรมมลายูอิสลามที่ประกอบดวยคําศัพทเฉพาะ และแนวคิดรวมทั้งระบบการเขียนอักษรยาวีที่ ใชกันอยูในภูมิภาคมลายู แสดงถึงแหลงที่มาของอาหรับหรือตะวันออกกลางเปนตนเหตุ (Hashim Musa, 2001 : 165) จากการวิเคราะหและการคนพบเหลานี้สามารถบอกไดวาการเขามาของอิสลาม ยังภูมิภาคมลายูไดเกิดขึ้นในคริสตศตวรรษที่ 7 โดยการนําเขามาของพอคาวาณิชและนักเผยแผ ศาสนาชาวอาหรับ โดยผานเสนทางการคาขายของเอเชียตะวันออกเฉียงใตเพื่อไปยังจีน นอกจากนี้ หลักฐานทางประวัติศาสตรระบุวาการรับศาสนาอิสลามของกษัตริยเปอรลัก และสมุทราปาไซเกิดจาก การชักชวนของนักเผยแผศาสนาชาวอาหรับ 2.4 องคประกอบของการเผยแผอิสลามในภูมิภาคมลายู การเผยแผอิสลามในสังคมมลายูดําเนินไปอยางสันติ ในประวัติศาสตรการขยายของ อิสลามสูภูมิภาคมลายู ไมปรากฏเอกสารหรือบันทึกใด ๆ ที่บงบอกถึงการบังคับใหสังคมมลายูทั้งใน คาบสมุทรมลายูและเอเชียตะวันออกเฉียงใตนับถือศาสนาอิสลามในขณะเดียวกันก็ไมไดเกิดจากการ สงครามเพื่อขยายดินแดน ซึ่งความสําเร็จของการเผยแผอิสลามในภูมิภาคมลายูมีพื้นฐานจากหลาย องคประกอบหลักดังนี้ 2.4.1 องคประกอบดานการคา การค า ขายเป น องค ป ระกอบที่ สํ า คั ญ ประการหนึ่ ง ในการเผยแผ ศ าสนาอิ ส ลาม นับตั้งแตกอนอิสลามจนถึงยุคการขยายของอิสลาม ชาวอาหรับเปนชนชาติที่ยึดครองกิจกรรมทางการ เดินเรือและการคาขายในละแวกนี้แตเพียงผูเดียว โดยเฉพาะหลังการลมสลายของอาณาจักรมัชปาหิต ในเวลาเดียวกันภูมิภาคมลายูก็เปนบริเวณที่อุดมไปดวยทรัพยากรที่สําคัญสําหรับการคาขายซึ่งเปนสิ่ง
8
Tashih เปนคําที่ชาวเปอรเซียใชเรียกชาวอาหรับ ในทํานองเหยียดหยาม
38
ดึงดูดพอคาชาวอาหรับใหเดินทางมาคาขายในภูมิภาคแหงนี้ โดยมีสินคาที่สําคัญ อาทิ พริกไทย ไม จันทน กํายาน การบูร ลูกจันทนเทศ ดีบุก และแกนกฤษณา เปนตน สิ่งของเหลานี้สวนใหญถูกใชเปนสวนผสมในการทําน้ําหอม ซึ่งใชอยางกวางขวาง ตั้งแตยุคของจักรพรรดิ์ยูเลียส ซีซาร และพระนางคลีโอพัตรา นั้นคือราว ๆ 2000 ป ก.ค.ศ. เมื่อ ดินแดนอาหรับรับอิสลามดังนั้นพอคาชาวอาหรับก็ไดนําอิสลามไปทั่วทุกแหงที่พวกเขาเดินทางไป คาขาย เพราะอิสลามเองเปนศาสนาแหงการเผยแผอยูแลวและการเผยแผศาสนาก็เปนหนาที่ของผูที่ นั บถือ อิ สลาม ดั งนั้ นจึง ไม ใ ช เ รื่ อ งแปลกหากสถานที่ แ รก ๆ ในภู มิภาคมลายู ที่ รับศาสนาอิส ลาม ประกอบดวยเมืองทาที่สําคัญ ๆ เชน เปอรลัก ปาไซ อาเจะห มะละกา รวมถึงปะตานี และเมืองอื่น ๆ 2.4.2 องคประกอบการแตงงาน การแต งงานของบรรดาพ อคาและนักเผยแผศาสนาอิสลามกับหญิ ง ชาวพื้ น เมื อ ง หลักฐานเรื่องนี้ไดจากการยืนยันของทอม ปเรส (Tom pires) ที่กลาววา การผสมผสานในหมูเกาะ มลายูเกิดขึ้นอยางสงบโดยบรรดาพอคาที่อยูในหลาย ๆ ที่ดวยการแตงงานกับหญิงทองถิ่น และสิ่งนี้ก็ ไดรับการเห็นดวย เอช เคิรน (H. Kern) ที่บอกวาพอคาที่รวยไดแตงงานกับธิดาของนครรัฐ ผูปกครองรัฐที่ตนเองอยูจนในที่สุดก็สามารถครอบงํารัฐตาง ๆ เหลานั้นไดดังการเกิดของรัฐสุลตาน เปอรลัก และกลายเปนอาณาจักรอิสลามของมะละกา ดังนั้นการแตงงานจึงถือเปนองคประกอบสําคัญ หนึ่งในการเผยแผอิสลามในภูมิภาคมลายู ผลจากการแตงงานก็ทําใหเกิดครอบครัวและสังคมที่นับถือ อิสลาม 2.4.3 องคประกอบการเผยแผอิสลาม โดยลักษณะของศาสนาอิสลามแลวดวยตัวของมันเองเปนศาสนาที่ตองเผยแผให มนุษยไดรับรูและเชิญชวนใหมาสูอิสลาม ดังเชนที่ทานศาสนทูตมุฮัมมัด ไดดําเนินการเผยแผ ขึ้นมา ในประวัติศาสตรการแพรขยายของศาสนาอิสลามในภูมิภาคมลายูนั้น บรรดาปราชญอิสลาม (อุละมาอ) และนักเผยแผอิสลาม (ดุอาต) ไดทํางานเพื่อศาสนานี้อยางจริงจังจนเราไมอาจลืมผลงาน แห ง ความอุ ต สาหะของท า นเหล า นั้ น รวมทั้ ง การอุ ทิ ศ ตนเองเป น ศู น ย ที่ ทํ า หน า ที่ เ ปลี่ ย นแปลง (Change Agent) และทําใหภูมิภาคมลายูไดรูจักหลักแหงการยึดมั่นตออัลลอฮฺ (อะกีดะฮฺ อิสลา มียะฮฺ) การยึดถือพระเจาเพียงองคเดียวคืออัลลอฮฺ บรรดานักปราชญและผูรูอิสลามแหงภูมิภาค มลายูสามารถเผยแผอิสลามไปทั่วทั้งภูมิภาคมลายูไดอยางงายดาย ทั้งนี้เพราะบุคลิกภาพที่ดีของ
39
บุคคลเหลานี้ อีกทั้งการยึดมั่นศรัทธาตออิสลามอยางแทจริงไดกลายเปนสวนสําคัญในการสงเสริม และสนับสนุนการสอนอิสลามของพวกเขาดวย ปรากฏการขางตนไดเปนรูปธรรมขึ้นมาอยางชัดเจน เมื่อปรากฏปราชญชั้นนําของภูมิภาคมลายูมาทําการเผยแผคําสอนของอิสลามขึ้น ดังเชน ชัยคฺ อิสมา อีล (Sheikh Ismail) ชัยคฺ อับดุลอะซีซ (Sheikh Abdul Aziz) เมาลานา ยูซุฟ (Maulana Yusuf) และซิดิ อาหรับ (Sidi Arab) แหงมะละกา ในขณะที่อาเจะหมีฮัมซะฮฺ ฟนซูรี (Hamzah Fansūrī) นู รุดดีน อัลรานีรี (Nūrudīn al-Rānīrīy) อับดุลรออูฟ ซิงเกล (Abdul Ra’ūf Singkel) เปนตน อีกทั้ง ปรากฏวาที่อาเจะหนั้นมีปราชญผูรูอิสลามจํานวน 22 คนที่เปนสมาชิกสภาการประชุมแหงรัฐในชวง การปกครองของสุลตานอิสกันดาร มูดา มะฮฺโกตา อาลัม (Iskandar Muda Mahkota Alam) 2.4.4 องคประกอบทางดานความพิเศษของคําสอนอิสลาม องคประกอบที่ชัดเจนที่สุดเกี่ยวกับการขยายตัวของอิสลามในภูมิภาคมลายูนาจะ ไดแกความพิเศษของคําสอนของอิสลามเอง อิสลามเขามาดวยการ เชิดชูความเชื่อในพระเจาองค เดียว (หลักเตาฮีด9) และการทําใหจรรยามารยาทของบุคคลใหสมบูรณและสูงสง ดังเชนหะดีษของ ทานศาสนทูตมุฮัมมัด ที่วา
(( ﻕ ﻼﹺ ﺧ ﹶ ﺢ ﺍﹾﻟﹶﺄ ﻟﺎﻢ ﺻ ﻤ ﺗﻟﺄﹸ ﻌﹾﺜﺖ ﺎ ﺑﻧﻤ)) ﹺﺇ ความวา “แทจริงฉันไดถูกสงมาเพื่อทําใหจรรยามารยาทสมบูรณ และสูงสง” (บันทึกโดย ’Ahmad, 1991:8595) นอกจากนี้ศาสนาอิสลามไมเคยบังคับใหปจเจกบุคคลหรือสังคมในภูมิภาคมลายูให เขารับนับถืออิสลาม อิสลามไมไดแพรกระจายในภูมิภาคมลายูดวยวิธีการสงครามและการลาอาณา นิคมตรงกันขามกลับมอบใหบุคคลหรือสังคม พิจารณาวาจะรับหรือไมรับศาสนาอิสลาม ดังตัวบท ของอัลกุรอานความวา
9
หลักการใหเอกภาพ 3 ประการคือ 1.ความเปนพระเจา 2. ความเปนพระผูอภิบาล 3. พระนามและคุณลักษณะอันสูงสงของพระองค
40
öàõ3tƒ ⎯yϑsù 4 Äc©xöø9$# z⎯ÏΒ ß‰ô©”9$# t⎦¨⎫t6¨? ‰s% ( È⎦⎪Ïe$!$# ’Îû oν#tø.Î) Iω ® 4’s+øOâθø9$# Íοuρóãèø9$$Î/ y7|¡ôϑtGó™$# ωs)sù «!$$Î/ -∅ÏΒ÷σãƒuρ ÏNθäó≈©Ü9$$Î/
〈 îΛ⎧Î=tæ ìì‹Ïÿxœ ª!$#uρ 3 $oλm; tΠ$|ÁÏΡ$# Ÿω (256 : )ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ ความวา “ไมมีการบังคับใด ๆ (ใหนับถือ) ในศาสนาอิสลาม10 แนนอนความถู กตองนั้นไดเ ปนที่กระจางแจงแล วจากความผิ ด11 ดังนั้นผูใดปฏิเสธศรัทธาตออัฏฏอฆูต12 และศรัทธาตออัลลอฮฺแลว แนนอนเขาไดยึดหวงมั่นคงไวแลว โดยไมมีการขาดใด ๆ เกิดขึ้นแก มันและอัลลอฮฺนั้นเปนผูทรงไดยินและผูทรงรอบรู” (อัลบะเกาะเราะฮฺ : 256) อิสลามไดกําเนิดขึ้นดวยการนําเสนอการใหเอกภาพตอพระผูเปนเจา นั้นคือ การ ศรัทธาตออัลลอฮฺเพียงพระองคเดียว ซึ่งสิ่งนี้เปนการเปลี่ยนแปลงความเชื่อของชาวภูมิภาคมลายูซึ่ง กอนหนานี้ไดนับถือศาสนาฮินดู – พุทธ รวมทั้งเชื่อตอพระเจาที่หลากหลาย โดยผานหลักความเชื่อตอ อิสลามนี้เองชาวภูมิภาคมลายูไดรับการสั่งสอนใหมีชีวิตที่เปนอิสระและปราศจากความเกรงกลัวตอสิ่ง ใดเวนแตอัลลอฮฺ เทานั้นดวยคุณลักษณะของอิสลามที่ยืดหยุนนี่เองจึงทําใหสามารถผสมผสานกับ วั ฒ นธรรมของสั ง คมมลายู ที่ ฝ ง อยู ใ นวิ ถี ชี วิ ต สั ง คมภู มิ ภ าคมลายู เ นิ่ น นานแล ว บรรดากฎหมาย กฎเกณฑ ขนบธรรมเนียมประเพณีและวิถีการดํารงชีวิตก็ไดถูกปรับใหสอดคลองกับทองที่ เวลา และ สถานที่และสถานการณความเหมาะสมเหลานี้สามารถดึงความสนใจของผูคนในภูมิภาคมลายูเพื่อให เขารับอิสลาม องคประกอบนี้ก็ไดรับการสนับสนุนจากลักษณะของอิสลามเองที่เปนสากลไมจํากัดกลุม ในภาษาอาหรับ คําวา “ดีน” หมายถึงทั้งความเชื่อและแนวทางแหงชีวิตที่วางอยูบนความเชื่อนั้น ในที่นี้หมายถึง ความเชื่อที่ไดกลาวไว ในอายะฮฺกอนหนานี้ อายะฮฺนี้หมายความวา ความเชื่อของอิสลามและแนวทางแหงชีวิตของอิสลามนั้นมิไดเปนสิ่งที่ถูกยัดเยียดใหแกใคร โดยใชกําลังความจริงแลวเรื่องนี้ไมสามารถที่จะบังคับผูใดได (เมาลานา ซัยยิด อบุล อะลา เมาดูดี, 2545 : 198) 11 ในอิสลามนั้นไดเปนที่กระจางแจงแลววา อะไรคือสิง่ ที่ถูกและอะไรคือสิง่ ที่ผิด ดวยเหตุนี้จึงไมมีการบังคับใหผูคนรับนับถือ (สมาคม นักเรียนเกาอาหรับ,1419 : 86) 12 หมายถึง ซาตาน, มารราย 10
41
ชน เชื้อชาติและพื้นที่ แตกลับมีลักษณะที่เปดและใจกวางตอศาสนาและวัฒนธรรมอื่นจึงทําใหเปน จุดเดนใหผูคนหันมายอมรับศาสนาอิสลามมากขึ้น ภายหลังการเขามาของอิสลามไดมีศูนยอารยธรรมมลายูอิสลามเกิดขึ้นหลายแหลง และเปนที่รูจักกันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต ศูนยตาง ๆ เหลานี้มีบทบาทสําคัญยิ่งตอการสนับสนุน การขยายตัวของศาสนาอิสลามในภูมิภาคมลายู ไดแก เมืองเปอรลัก ปาไซ และอาเจะห ที่สุมาตรา ปะ ตานี มะละกา บนคาบสมุทรมลายู ซูลู และมินดาเนา ที่ฟลิปนส ปนจาร มาตารัม ในเกาะชวา บันจาร ที่เกาะบอรเนียว จัมปา ที่อินโดจีน และอื่น ๆ 2.5 แนวคิดเกี่ยวกับคํายืม 2.5.1 ความหมายของการยืมภาษา การยืมภาษา คือการที่ภาษาหนึ่งรับเอาลักษณะใดก็ตามจากอีกภาษาหนึ่งเขามาใช จนกลายเป นลั กษณะของตนเอง ซึ่ง ลักษณะที่มีการยืม มีทั้ง ดานเสียง พยัญ ชนะ สระ วรรณยุก ต ทํา นองเสียง เสีย งเน นหนั ก คํ าทุ กประเภท โดยเฉพาะคํ าหลัก เช น นาม กริยา และลักษณะทาง ไวยากรณ เชน การแสดงพหูพจน การก และหนวยสรางตาง ๆ เชน ประโยค กรรมวาจก เปนตน (อมรา ประสิทธิ์รัฐสินธุ, 2532 : 23) คริสตัล (Crystal) ใหคําจํากัดความของการยืมภาษาวาหมายถึง การที่หนวยทาง ภาษา (Linguistic Unit) โดยสวนใหญแลวเปนคําของภาษาหนึ่งถูกใชในอีกภาษาหนึ่งหรือในภาษา ถิ่นหนึ่ง ซึ่งกอนหนานั้นไมไดเปนสวนหนึ่งของภาษานั้น ๆ (อัสสมิง กาเซ็ง, 2544 : 7) จากคําจํากัดความขางตนอาจกลาวไดวา การยืมภาษา หมายถึง การที่ภาษาหนึ่งรับ เอาลักษณะใดก็ตามจากอีกภาษาหนึ่งเขามาใชในภาษาของตน ซึ่งสวนใหญปรากฏในรูปของคํายืม สวนคํายืม หมายถึง คําภาษาตางประเทศที่นําเขามาใชในภาษา ซึ่งอาจยืมมาโดยตรง โดยการแปล หรือโดยการเลียนแบบแนวคิดที่มาจากภาษาอื่น (Hartman & Stork, 1972 : 134) 2.5.2 แนวคิดเรื่องการสัมผัสภาษา การยืมคํานั้นเกิดขึ้นภายใตสภาพแวดลอมของการสัมผัสทางภาษา ซึ่งมีแนวคิดดังนี้ อมรา ประสิทธิ์รัฐสินธุ, (2532 : 31-32) ไดนิยามการสัมผัสภาษาวาหมายถึง ปรากฏการณที่คนใดคนหนึ่งพูดไดหลายภาษาและสามารถใชภาษาเหลานั้นสลับกันไปมาได ทําให
42
ภาษาหลายภาษามี อิ ท ธิ พ ลซึ่ ง กั น และกั น และการยื ม ภาษาก็ เ ป น ปรากฏการณ ห นึ่ ง ในหลายๆ ปรากฏการณที่เกิดจากการสัมผัสภาษา คริ ส ตั ล (Crystal) ได อ ธิ บ ายเกี่ ย วกั บ การสั ม ผั ส ภาษาว า การสั ม ผั ส ภาษาเป น ปรากฏการณ ทางภาษาอยางหนึ่ งซึ่ งเปน สถานการณของความต อเนื่อ งทางภู มิศาสตร หรือความ ใกลชิดกันของกลุมสังคมระหวางภาษา หรือระหวางภาษาถิ่น สภาพที่ใกลชิดกันทั้งในแงภูมิศาสตร และในแงของสังคมทําใหภาษามีอิทธิพลตอกัน ผลของสถานการณการสัมผัสภาษาอาจปรากฏออกมา ในรู ป ของการเจริ ญ เติ บ โตของภาษา รู ป ของการยื ม รู ป แบบของการเปลี่ ย นแปลงทางเสี ย งและ วากยสัมพันธ เปนตน (อัสสมิง กาเซ็ง, 2544 : 8) จากแนวคิดขางตนจะเห็นไดวา การยืมคํานั้นเกิดขึ้นภายใตสภาวะของการสัมผัส ภาษา และการสัมผัสภาษา ซึ่งเกิดจากความตอเนื่องทางภูมิศาสตรหรือความใกลชิดของกลุมชนใน สังคมที่พูดภาษาตางกันและเริ่มตนในผูพูดทวิภาษา(Bilingual)หรือพหุภาษา (Multilingual) 2.6 ประเภทของคํายืม ฮิวเกน (Haugen, 1956 Quoted in Carmel Heah Lee Hsia, 1989 : 23-24) กลาววา คํายืมจะเปนชนิดใดก็ตามสามารถอธิบายไดในลักษณะของการปรับเปลี่ยนและการทดแทน ลักษณะเดิม คํายืมทุ กคําจะตกอยูในสองลักษณะ คือ ยังคงรู ปภาษาเดิม ทั้งเสียงและความหมาย (Complete Importation) และเกิดการเปลี่ยนแปลงและการทดแทนขึ้น (Complete Substitution) ซึ่งสามารถแบงออกเปน 3 ประเภทดังนี้ 2.6.1 คํายืมทับศัพท (Loanwords) คํายืมทับศัพท คือ คํายืมที่ยืมทั้งเสียงและความหมายพรอมกับมีการปรับเปลี่ยน ลักษณะทางเสียงของคํายืมใหเหมือนหรือคลายคลึงกับการออกเสียงคําทั่ว ๆ ไปในภาษา หรือไมมี การปรับเปลี่ยนลักษณะทางเสียงของคํายืมก็ได ซึ่งคํายืมสวนใหญจะเปนคํายืมลักษณะนี้ ดังพบไดใน ภาษามลายูซึ่งยืมคําจากภาษาอาหรับ เชน กุโบร อากา อาเรอนะ ดูนียอ เปนตน 2.6.2 คํายืมปน (Loanblends) คํายืมปน คือ คํายืมที่ยืมเขามาแลวใชผสมกับคําที่มีอยูในภาษาของผูรับ ดังพบไดใน ภาษามลายูซึ่งยืมคําจากภาษาอาหรับ เชน โตะอิแม โตะปาเก ตีแย มือนาฆอ กาเอ็งมาแน เปนตน ซึ่ง คําวา “โตะ” เปนคําภาษามลายูถิ่นปตตานี หมายถึง “ผูอาวุโส” สวนคําวา “อิแม” เปนคําภาษา
43
อาหรับ หมายถึง “ผูนําในการทําละหมาด” เมื่อคนมลายูปตตานียืมคํานี้มาใชก็ไดประกอบเขากับคํา วา “โตะ” เพื่อแสดงฐานะของผูนําละหมาดที่สูงสงกวาคนปกติทั่วไป 2.6.3 คํายืมแปล (Loanshifts) คํายืมแปล คือ คํายืมที่มีการยืมความหมายของคําในภาษาผูใหมาแปลและสรางคํา ใหมขึ้นในภาษาผูรับ ดังเชนคําวา มะฮ จือปุ ซึ่งคนมลายูปตตานีใชเรียกขนมทองหยอด เปนคํายืม จากภาษาไทย เปนตน 2.7 ปจจัยที่กอใหเกิดการยืมคํา คารเมล เฮียะ ลี เซียะ (Carmel Heah Lee Hsia, 1989 : 14-16) ไดแบงปจจัยที่ กอใหเกิดการยืมคําออกเปนปจจัยภายในและปจจัยภายนอกดังรายละเอียดตอไปนี้ 1. ปจจัยทางโครงสรางของตัวภาษา (Structural Factors) เปนปจจัยที่เกิดจากตัว ภาษาเอง ซึ่งสามารถสรุปไดดังนี้ 1.1 ความลงรอยกันระหวางสองภาษา (Structural Congruence) เปนความคลายคลึงกันและความลงรอยกันดานโครงสรางของภาษาสองภาษาที่เกิด การสัมผัสภาษา 1.2 ระดับความเปนอิสระของหนวยคํา (Degree of Boundness or Independence of Linguistic Item) ซึ่งหนวยคําอิสระจะเกิดการยืมมากกวาหนวยคําไมอิสระและคําเนื้อหา เชน คํานาม คํากริยา คําคุณศัพท จะถูกยืมมากกวาคําไวยากรณ เชน คําบุพบท คําสันธาน เปนตน 1.3 ความถี่ในการปรากฏของคํา (Word Frequency) คําศัพทที่มีความถี่ในการปรากฏสูงและมีการใชบอย จะมีการยืมไดงายกวา คําศัพทที่มีความถี่ในการปรากฏต่ํา ไมวาคําศัพทนั้นๆ จะเปนคําศัพทในภาษาของผูพูดเองหรือเปน คําที่ถูกยืมเขามา สวนคําศัพทที่มีการใชนอยมักจะถูกลืมและถูกแทนที่ดวยคําใหม ทั้งจากภาษาตาง ถิ่นในภาษาเดียวกันหรือจากภาษาอื่นที่ยืม 1.4 การพองรูปของคํา (Homonymy) ปรากฏการณพองรูปของคําเปนปจจัยหนึ่งที่กอใหเกิดการยืมคําในภาษา ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดการพองรูปของคําศัพทนั้นเอง ตัวอยางเชน ชาวพื้นเมืองเผา Vosges
44
patois
ในประเทศฝรั่งเศสยืมคําวา voiture และ viande จากภาษาฝรั่งเศสเพื่อหลีกเลี่ยงการใชคํา พองเสียง carrum “เกวียน” และ carnem “เนื้อ” ในภาษาของตน 1.5 การเลิกใชคําศัพท (Word Obsolescence) คําศัพทที่เปนคําโบราณมักจะถูกเลี่ยงและไมนิยมใช และมักจะถูกแทนที่ดวย คําศัพทใหม ๆ ซึ่งก็เปนอีกปจจัยหนึ่งที่ทําใหเกิดการยืมคํา 1.6 ความไมพอเพียงของการแยกใหเห็นความแตกตางทางความหมายในภาษา (Insufficiency of Semantic Differentiation) ปรากฏการณ นี้ มั ก เกิ ด กั บ ผู พู ด ทวิ ภ าษา( Bilingual)หรื อ ผู พู ด พหุ ภ าษา (Multilingual) ผูที่พูดไดสองภาษาหรือหลายภาษาเปนอยางดีบางครั้งจะรูสึกวาความหมายบางอยาง ไมอาจสื่อไดดวยภาษาของตน จึงหันมาใชคํายืมหรือคําในอีกภาษาหนึ่งที่ผูพูดรูสึกวาสามารถสื่อ ความหมายไดดีกวา (Weinreich, 1953 : 59) 2. ปจจัยทางสังคมและวัฒนธรรม (Socio-Cultural Factors) เปนปจจัยที่ นอกเหนือจากปจจัยของตัวภาษาเอง ซึ่งก็คือปจจัยทางดานสังคมและวัฒนธรรม ไดแก 2.1 สถานภาพของทั้งสองภาษาที่เกิดการสัมผัสกัน (The relative status of the two languages) นั้ น ก็ คื อ ศั ก ดิ์ ศ รี ข องทั้ ง สองภาษาที่ เ กิ ด การสั ม ผั ส กั น ซึ่ ง ประเด็ น นี้ นักภาษาศาสตรสวนใหญมี ความเห็น สอดคล อ งกั นว า ทิ ศทางของการยืมนั้นจะเกิ ดจากภาษาที่ มี ศักดิ์ศรีเหนือกวาไปยังภาษาที่มีศักดิ์ศรีดอยกวา อยางเชนในการศึกษาของบอลล (Ball) ระบุวา ใน อดีตนั้นภาษาอาหรับเคยเปนภาษาที่มีศักดิ์ศรีเหนือกวาภาษาสวาฮิลี ทําใหในภาษาสวาฮิลีมีคํายืม ภาษาอาหรับเปนจํานวนมาก แตในปจจุบันศักดิ์ศรีของภาษาอาหรับถูกแทนที่ดวยภาษาอังกฤษ ทําให ภาษาอาหรับเปนแหลงที่มาของคํายืมในภาษานี้เปนอันดับที่สองรองจากภาษาอังกฤษ (อัสสมิง กาเซ็ง , 2544 : 12) 2.2 การบัญญัติศัพทขึ้นใชที่ยังไมเพียงพอตอการใช (Designative Adequacy or Inadequacy of a Vocabulary) ในกรณีนี้ เวนรีช (Weinreich, 1953 : 56-57) ไดอธิบายวา ความตองการ ในการเรียกสิ่งใหม ๆ ไมวาจะเปนสิ่งประดิษฐ เทคนิค การคนพบ และมโนทัศนใหม ๆ เปนปจจัย หนึ่งที่ทําใหตองบัญญัติศัพทขึ้นมาใช และเปนปจจัยที่ทําใหเกิดการยืมคําเชนเดียวกัน 2.3 สภาพแวดลอมทางดานประวัติศาสตรของการสัมผัสภาษา (Historical Circumstances of Contact)
นั่นก็คือ ปจจัยทางการเมือง เชน สงคราม การลาอาณานิคม และการอพยพ ทําใหภาษาหนึ่งมีอํานาจเหนืออีกภาษาหนึ่ง และทําใหเกิดการยืมไดเชนเดียวกัน
45
2.4 ทัศนคติตอการยืมภาษา (Attitudes towards Borrowing) ทัศนคติที่มีตอภาษานับวาเปนอีกปจจัยหนึ่งที่ทําใหเกิด หรือไมทําใหเกิดการ ยืมคํา กลาวคือ ในกรณีแรกหากผูพูดมีความรูสึกหยิ่ง และภูมิใจในภาษาของตนก็จะไมทําใหเกิดการ ยืมคํา เนื่องจากมีความรูสึกไมยอมรับภาษาอื่น กรณีที่สอง หากผูพูดมีความรูสึกวาภาษาอื่นนาจะ ดี ก ว า สํ า หรั บ แทนความหมายบางความหมาย หรื อ เพื่ อ แสดงความรู ค วามสามารถในการใช ภาษาตางประเทศของตน ก็จะทําใหมีการยืมคําจากภาษาตางประเทศมาใช 2.5 ความไมลงรอยกันในทางวัฒนธรรม (Cultural Incompatibility) เมื่อเกิดการสัมผัสของวัฒนธรรมสองวัฒนธรรม ทําใหวัฒนธรรมหนึ่งเกิด การแพรกระจายไปสูอีกวัฒนธรรมหนึ่ง และมีการยืมเกิดขึ้น ซึ่งมีทั้งสิ่งที่เปนวัตถุและนามธรรมแตถึง กระนั้นก็ไมใชทั้งหมด ซึ่งอาจมีการยืมบางสิ่งและปฏิเสธบางสิ่ง โดยซอนกลิ่น และกิ่งแกว, (อางถึงใน สมทรง บุรุษพัฒน, 2543 : 5-6 ) กลาววา ชนชาติที่มีวัฒนธรรมสูงกวายอมถายทอดวัฒนธรรมของ ตนใหแกชาติที่มีวัฒนธรรมดอยกวา ทําใหเกิดการผสมทางวัฒนธรรม และกอใหเกิดการเปลี่ยนแปลง ภาษา เชน ภาษาบาลีและสันสกฤต เขามาในภาษาไทยทางศาสนาและวรรณคดี ภาษาชวาเขามาทาง วรรณคดี ยิ่งบานเมืองมีความเจริญกาวหนา การติดตอกันระหวางประเทศตางๆ ก็มีมากขึ้นและ สะดวกขึ้น ทําใหมีการรับเอาความกาวหนา เทคโนโลยีของประเทศอื่นเขามา และมีความจําเปนตอง สรางคําใหมขึ้นใชในภาษา มีการยืมคําในภาษาตางประเทศมาใชมากขึ้น สวนสุทธิวงศ พงศไพบูลย (2516 : 14-79, อางถึงใน ปรานี กายอรุณสุทธ, 2526 : 17-18) ไดกลาวถึงปจจัยที่กอใหเกิดการยืมซึ่งสรุปไดดังนี้คือ 1. ทางดานเชื้ อชาติ สั ญ ชาติห รือจากการแตงงาน การสมาคมติดต อและการได เกื้อกูล อุปการะกัน 2. ทางดานภูมิศาสตร คือ มีดินแดนใกลชิดกัน ซึ่งปจจุบัน การคมนาคม การสื่อสาร และสื่อมวลชนที่เจริญกาวหนา ทําใหคนในดินแดนที่อยูหางเหินกันมีโอกาสมาเกี่ยวของสัมพันธกันได โดยสะดวก 3. ทางดานธุรกิจการคา การคาระหวางชนตางชาติ ตองพูดจาตกลงกัน การโฆษณา สินคาตองใชภาษาเปนสําคัญ จึงเกิดการยืมคํากันขึ้นทั้งที่จงใจและไมรูตัว 4. ทางดานศาสนา การรับเอาศาสนาเขามาในประเทศ ยอมตองรับเอาภาษาที่ใชใน การสอนเขามาไวในภาษาดวยไมมากก็นอย เพราะผูที่ทําหนาที่เผยแผศาสนาจําเปนตองใชภาษาเปน สื่อในการสอนศาสนา 5. ทางดานเทคโนโลยีสมัยใหมทางการศึกษา วิทยาการและเครื่องมือ เครื่องใช กรณีนี้ภาษาผูใชมักจะตองเปนชนชาติที่เจริญกวาภาษาผูรับ ตัวอยางเชน การศึกษาในชั้นสูง มักจะใช
46
ตําราภาษาอังกฤษ มีการเรียนวิชาการวิชาการปกครองของอังกฤษและฝรั่งเศส วิชาการแพทย และ เครื่องกลของเยอรมัน วิชาการเกษตรของนิวซีแลนด เปนตน ดังนั้นจะเห็นวา ปจจัยที่กอใหเกิดการยืมนั้นประกอบดวยหลายปจจัย ทั้งปจจัยทาง โครงสรางของภาษาซึ่งก็คือปจจัยที่มาจากตัวภาษาเอง และปจจัยทางดานสังคม วัฒนธรรม แตปจจัย ที่ถือวาเปนปจจัยหลักที่กอใหเกิดการยืมคําก็คือ การบัญญัติศัพทที่มีไมเพียงพอตอการใช ทั้งนี้ก็ เนื่องมาจากความตองการเรียกสิ่งใหมๆ ไมวาจะเปนสิ่งประดิษฐ การคนพบ และมโนทัศนใหมๆ จึง จําเปนตองมีการยืมคําจากภาษาอื่นมาใช 2.8 แนวคิดเกี่ยวกับการแตงกาย เครื่องแตงกายเปนสิ่งที่มนุษยนํามาใชเปนเครื่องหอหุมรางกาย ในอดีตมนุษยไดแตง กายโดยใชเครื่องหอหุมรางกายจากสิ่งที่ไดมาจากธรรมชาติ เชนใบไม ใบหญา หนังสัตว ขนนก ดิน สี ฯลฯ มนุษยบางเผาพันธุ รูจักการใชสีจากพืชนํามาเขียนหรือสัก เพื่อเปนเครื่องตกแตงแทนการหอหุม รางกาย ตอมามนุษยเรียนรูวิธีที่จะดัดแปลงการใชเครื่องหอหุมรางกายจากธรรมชาติใหเหมาะสม และสะดวกตอการแตงกายตามลําดับ เชน ผูก มัด สาน ถัก ทอ อัด ฯลฯ มาจนถึงรูจักการใชวิธีตัด และเย็บ จนกลายเปนเทคโนโลยีในที่สุด ในทางกายภาพมนุ ษ ย เ ป น สิ่ ง ถู ก สร า งที่ อ อ นแอที่ สุ ด เพราะมี ภู มิ ต า นทานทาง ธรรมชาตินอยกวาสัตวอื่น ๆ และผิวหนังของมนุษยก็บอบบาง จึงจําเปนตองมีสิ่งปกปดรางกายเพื่อ ดํ ารงชี วิต อยู ได จ ากความจํ าเปน อั นนี้ เ ป น แรงกระตุ นที่ สําคั ญ ในอั นที่ จ ะแต งกายเพื่ อ สนองความ ตองการของสังคม และอื่น ๆ ประกอบกัน จึงทําใหเครื่องแตงกายมีรูปแบบแตกตางกันออกไปตาม ปจจัย และสิ่งแวดลอม ดังนี้ 2.8.1 สภาพภูมิอากาศ ภูมิประเทศและดินฟาอากาศที่แตกตางกัน การใชเสื้อผาเครื่องแตงกายแตกตางกัน ไปดวย ผูคนที่อาศัยอยูในเขตที่มีอากาศหนาวก็จําเปนตองใชผาหนาหรือเสื้อผาหลาย ๆ ชิ้น ผูที่อยูใน เขตที่มีอากาศรอนก็ใชเสื้อผาบางและนอยชิ้น เปนผลใหมีลักษณะของเครื่องแตงกายของแตละถิ่นมี รูปแบบที่แตกตางกันไป ทั้งในเรื่องของสีสันและลักษณะของใยผาวัสดุที่นํามาทอ อาทิ ชาวอียิปตรูจัก นําปาน ลินินมาทอเปนผาเพื่อใชเปนเครื่องนุงหม สวนชาวบาบิโลเนียและซีเรียมีการเลี้ยงสัตว จึงนํา
47
ขนสัตวเหลานั้นมาทอเปนผาขนสัตวสีตาง ๆ และผูคนที่อาศัยอยูในเขตอบอุนก็ใสผาโปรง บาง มีสีสัน สวยงามเปนตน (สวาท เสนาณรงค, ม.ม.ป. : 144) ชนเผาทัวเร็ก (Tuareg) ซึ่งมักเรียกวาพวกบลูเมน (Blue men) จะสวมเชือกเปน เครื่องแตงกาย เชือกนี้ยอมดวยสีน้ําเงิน สีก็มักจะตกติดเนื้อตัวดวย เพราะมักจะยอมสีเขม เพื่อชวย ปองกันความรอนจากดวงอาทิตย สวนในแอฟริกาเสื้อผาไมจําเปนในการปองกันสภาพอากาศ เขา กลับใชพวกเครื่องประดับตาง ๆ ที่ทําจากหิน แกวสีตาง ๆ ที่มีอยูในธรรมชาติมาตกแตง เพื่อปองกัน และยังถือวาเปนเครื่องรางปองกันผีรายอีกดวย ในบางกรณีมนุษยบางพวก เชน คนปาที่อยูในแถบตอนกลางของทวีปออสเตรเลีย ซึ่งสภาพภูมิอากาศ 17-125 องศา และในบางครั้งอาจต่ํากวา 0 องศา พวกเขาก็สามารถมีชีวิตอยูได โดยอาศั ย ความสามารถของร า งกายที่ ป รั บ ตั ว ให เ ข า กั บ อุ ณ หภู มิ ข องสภาพแวดล อ ม และอาศั ย ธรรมชาติจากเงาของภูเ ขาใหญปองกันแสงอาทิตย และใชคบเพลิงปองกันความหนาว สวนพวก อินเดียนในอเมริกาใตรูจักใชหนังสัตวปองกันในหนาหนาว แตพอหิมะละลายพวกชนเผานี้ก็จะไมสวม อะไรเลย ชารลส ดารวิน นักธรรมชาติวิทยา จึงแนะนําใหผาสีแดงแกพวกเขา แตก็ไมสามารถจะใชได เปน จึงเพียงแตฉีกเปนแถบ นําไปพันคอ สะโพก และขอเทา 2.8.2 ศัตรูทางธรรมชาติ ประเทศในแถบรอน มักจะไดรับผลกระทบจากพวกสัตว และแมลงตาง ๆ ผูคนใน แถบนี้จึงหาวิธีปองกันโดยพอกรางกายไวดวยโคลน กระโปรงทําดวยหญา เชน พวกฮาไวเอียน ที่อยู แถวทะเลแปซิฟค และพวกโมชันนิก เผาโซบี ซึ่งปจจุบันยังคงนุงกันอยู แมวากระโปรงหญาที่พวกเขา คิดวาจะปองกันแมลงจะกลับกลายเปนที่เก็บแมลงมากกวา หรือในกรณีของอุนุ หรือ ไอนุ ซึ่งเปนชาว พื้นเมืองของญี่ปุน รูจักใชกางเกงขายาวเพื่อปองกันสัตวและแมลงตาง ๆ เปนตน 2.8.3 หนาที่การงาน ในอดีตมนุษยใชหนังสัตว และใบไมเพื่อปองกันอันตรายจากการถูกหนามเกี่ยว และ แมลงสัตวกัดตอยในเวลาที่เขาปาเพื่อหาอาหาร ตอมาเมื่อสังคมเจริญขึ้นมนุษยก็สามารถนําใยจากตน แฟลกซมาทอเปนผืนผาที่รูจักกันดีในนามของผาลินิน เมื่อความเจริญทางดานวิทยาการมากขึ้น ผาที่ ผลิตก็มีเพิ่มขึ้นมากมายหลายชนิด และมีการประดิษฐเสื้อผาชนิดพิเศษซึ่งตรงกับความตองการของผู
48
สวมใส โดยเฉพาะคนงานประเภทตาง ๆ เชน คนงานเหมืองแร เกษตรกร คนงานอุตสาหกรรม ทหาร ตํารวจ พนักงานดับเพลิง ฯลฯ จากอันตรายตาง ๆ ที่เกิดขึ้นขณะปฏิบัติงานนี้เอง ทําใหความตองการของมนุษยใน ดานเสื้อผาเพิ่มขึ้น จนปจจุบันเสื้อผาที่ผลิตขึ้นมานั้น ไดมีการปรับปรุงตกแตงเปนพิเศษ ในแตละ อาชีพการงาน เชน การตกแตงใหทนตอสารเคมีตาง ๆ ทนตอพิษ อุณหภูมิ นอกจากนี้ก็ยังมีการ ตกแตงอื่น ๆ อีกเชน ทนตอการซัก ไมเปนสื่อไฟฟา ไมดูดซึมน้ํา และทนตอความรอน อยางเชน เทคโนโลยีนาโนที่ใชในปจจุบัน 2.8.4 วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณี การที่มนุษยอยูรวมกันเปนกลุมชน จําเปนตองมีระเบียบ และกฎเกณฑเพื่อที่จะอยู ดวยกันไดอยางสงบสุข การปฏิบัติสืบตอกันมานี้เองจึงไดกลายเปนขนบธรรมเนียมประเพณี และ วัฒนธรรมในที่สุด ในสมัยโบราณ มนุษยตองการฉลองประเพณีสําคัญ เชน การเกิด เริ่มโต การตาย การเก็บเกี่ยว หรื อเริ่มเขาสังคมกับกลุมอื่ น ๆ ซึ่ง ในการงานนี้พ วกเขาก็ จะแต งตัวประดับประดา รางกายดวยเครื่องประดับตาง ๆ เชน ขนนก หนังสัตว และการทาสีตามรางกาย การสัก เจาะ บางครั้ง ก็ทําลวดลายสวนตาง ๆ ของรางกาย เพื่อแสดงยศหรือตําแหนง ปจจุบันก็ยังคงมีอยูในกลุมชนเผา พื้นเมืองตามพื้นที่ตาง ๆ นอกจากนี้ปจจุบันเรายังไดนําเอาความคิดเหลานี้มาประยุกตใหเขากับโลก ปจจุบัน โดยผลิตเปนเครื่องสําอางชนิดตาง ๆ ดังที่นิยมใชกันอยูทุกวันนี้ เชน ลิปสติก อายแชโดว เปนตน การสักเปนการทําใหเกิดรอยบนรางกายซึ่งจะอยูไดนาน และในปจจุบันก็ยังคงเปน แฟชั่นของการแตงกายอยางหนึ่ง สําหรับการสักตามธรรมเนียมของหญิงสาว “เผามาดอนด” จะตอง สรางลวดลายขึ้นบนแผนหลัง ดวยวิธีใหผูชํานาญในการกรีดผิวหนังใหเกิดเปนรอง แลวอัดดวยดินผง ใหนูนขึ้นมา ทําใหเกิดเปนลวดลายเหมือนผืนผาที่ปกดวยเสนไหม ถือกันวาหญิงสาวที่มีลวดลายเชนนี้ เปนคนสวย และเปนที่พึงปรารถนาของหนุมที่จะไดไวเปนภรรยา หญิงใดที่ไรลวดลายจะถูกกลาวหา วาขี้เหรที่สุด และหมดโอกาสที่มีคูครองตลอดชีวิต การสักใบหนาใหมีลวดลายแปลก ๆ เปนประเพณีอยางหนึ่งของสาว ๆ เผามาดอนด เริ่ ม จากการสั ก เพื่ อ ให ดู น า เกลี ย ด ป อ งกั น ไม ใ ห พ วกค า ทาสที่ ก ลั ด มั น สนใจจั บ ตั ว ไปข ม ขื น จึ ง กลายเปนประเพณีที่เห็นวาสวยงามสําหรับชายเผาเดียวกัน ในภายหลังเพิ่มการเจาะริมฝปากบนและ ติ่งหูใสเครื่องประดับขึ้นอีกดวย
49
ดวยเหตุที่การแตงกายของมนุษยเราผิดแผกกันออกไปแลวแตสภาพของสิ่งแวดลอม และความจําเปนนี้เอง จึงกลายเปนขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมในการแตงกายของแตละ ชนชาติในที่สุด 2.8.5 ศาสนาและความเชื่อ ศาสนาและความเชื่อมีบทบาทสําคัญในการแตงกายเชนกัน จะเห็นไดจากรูปแบบ ของการแตงกายของสตรีมุสลิมที่มี การปกปดรางกายมิดชิ ด ซึ่ งเปน ผลมาจากคําสอนของศาสนา อิสลามที่บัญญั ติใหสตรี ตองสวมเสื้ อผ าปกป ดร างกายใหมิ ดชิด เว นไวแ ตเ พียงใบหนาและฝามื อ นอกจากนี้เสื้อผาที่สวมก็จะตองไมรัดรูปจนเห็นทรวดทรง หรือในกรณีของสตรีชาวฮินดูซึ่งเมื่อนาง เปนหมายก็จะตองไมเติมจุดบนหนาผาก และไมสวมเสื้อผาสีสันฉูดฉาด มิฉะนั้นนางจะถูกดาทอจาก สมาชิกในสังคม นอกจากนี้วัฒนธรรมการนุงผาใตสะดือของสตรีชาวอินเดียสามารถถายทอดความ เชื่อที่วา “สตรีใดตะโพกกวาง มีเนื้อมากและแผนลิ้นยาว สะดือลึกและกวาง มีรอยสะดือเวียนขวา สตรี ใดมีลักษณะอยางนี้ สตรีนั้นมีความสุข” ไดเปนอยางดี (ส.พลายนอย, 2534 : 182) 2.8.6 ความดึงดูดใจในเพศตรงกันขาม ความดึงดูดใจในเพศตรงขามเปนสาเหตุหนึ่งที่ทําใหมนุษยมีความตองการแตงตัว แตกตางกัน เชน เมื่อเริ่มเติบโตเขาวัยหนุมสาว มีความสมบูรณทางเพศ เปนธรรมชาติที่ตองทําตัวเอง ใหเปนที่ดึงดูดใจแกเพศตรงขามการแตงกายดีขึ้น รูจักรักสวยรักงาม มีการจับจายในเรื่องเสื้อผามาก ขึ้น ผูสนองความตองการเหลานี้ไดก็คือ นักออกแบบเสื้อผาที่มีชื่อเสียงตาง ๆ เกิดขึ้น ไดพยายาม ออกแบบเสื้อผาเครื่องแตงกายใหเหมาะกับลักษณะที่แตกตางกันออกไปตามระดับของสังคม 2.8.7 ฐานะทางเศรษฐกิจ ฐานะทางเศรษฐกิจของแตละบุคคลเปนอีกปจจัยในการกําหนดรูปแบบของการแตง กาย ดังจะเห็นไดจากสังคมทั่วไปที่ผูมีฐานะดีมักใชเสื้อผา เครื่องแตงกายที่ดีมีคุณภาพ และยี่หอดัง ซึ่งเสื้อผาประเภทนี้มักมีราคาสูง นอกจากเสื้อผาแลวเครื่องประดับตาง ๆ อาทิ เครื่องเพชร นาฬิกา สรอย แหวน เปนตน ก็เปนที่นิยมในคนกลุมนี้เฉกเชนเดียวกัน โดยมักสวมใสควบคูกับเสื้อผาที่
50
สวยงามและทันสมัย ซึ่งการแตงกายยังสามารถบงบอกชนชั้นของผูสวมใสไดอีกดวย เชน ชนชั้น เจานาย ชนชั้นผูใหญ ชาวบาน และชนชั้นกรรมกร เปนตน โดยรูปแบบของการแตงกายจะบงชัดวาผู แตงอยูในฐานะระดับอยางไร และยังบงถึงสภาพสังคมของคนเหลานี้อีกดวย
บทที่ 3 ภูมิหลังชนชาติอาหรับและพื้นที่วิจัย 3.1 สังเขปประวัติศาสตรชนชาติอาหรับ คํ า ว า อาหรั บ ในด า นภาษาศาสตร ห มายถึ ง “ทะเลทราย” และดิ น แดนที่ แ ห ง แล ง ปราศจากน้ําและพืชพันธุ คําวา “อาหรับ” เปนคําที่ใชเรียกคาบสมุทรอาหรับและผูคนที่อาศัยอยู ณ ดินแดนแหงนี้มาตั้งแตอดีตกาล (Hasan ’Ibrāhīm Hasan, 1964 : 1/1) ซึ่งเกี่ยวกับที่มาและ ความหมายของคําวา “อาหรับ” นักวิชาการหลายทานไดแสดงความเห็นที่แตกตางและสอดคลองกัน ดังนี้ อัลสัยยิด อับดุลอะซีซ สาเล็ม (al-Siayid Abd al-‘Azīz Sālim, n.d. : 43-44) ได กลาวถึงวิวัฒนาการดานความหมายของอาหรับ วา “คําวาอาหรับเริ่มมีปรากฏตั้งแตศตวรรษที่ 8 กอน คริสตกาลในรูปแบบตางๆ เชน Aribi, Urbi, Arbi ซึ่งหมายถึง พื้นที่ชนบท ที่ตั้งอยูทางทิศตะวันตก ของประเทศอิ รั ก หลั งจากนั้น ในป 530 ก อ นคริ ส ต ศัก ราชคํ า ๆ นี้ ห มายถึ ง พื้ น ที่ช นบทที่ ตั้ ง อยู ระหว า งประเทศอิ รั ก กั บ ซี เ รี ย และรวมไปถึ ง แหลมซี น าย ต อ มาในช ว งปลายศตวรรษที่ 5 ก อ น คริสตศักราช เฮโรโดตัส (Herodotus) ไดใชคําวาอาหรับในความหมายของประชาชนที่อาศัยอยูใน คาบสมุทรอาหรับทั้งหมด รวมถึงทะเลทรายทางตะวันออกของอียิปตซึ่งอยูระหวางแมน้ําไนลกับทะเล แดง แตในขณะเดียวกันชาวอาหรับเองก็ไมไดเรียกตัวเองวา “อาหรับ” โดยชาวอาหรับที่อาศัยอยูใน คาบสมุทรอาหรับจะเรียกตัวเองตามชื่อของเผา หรือสถานที่ซึ่งตัวเองอาศัยอยู อาทิเชน ชาวกุรอยช ชาวคอซร็อจ หรือชาวมักกะฮฺ ชาวมะดีนะฮฺ เปนตน โนลเดก (Noledeke) ไดใหความเห็นเกี่ยวกับความหมายของอาหรับ วา “คําวา อาหรับ หมายถึงทะเลทราย สวนคําวาอารเบีย หมายถึงดินแดนที่เปนทะเลทรายซึ่งตั้งอยูในประเทศ ซีเรีย คาบสมุทรอาหรับ และแหลมซีนาย” (Hasan ’Ibrāhīm Hasan, 1964 : 1/1) ฟลิป เค ฮิตติ (Philip K. Hitti, 1970 : 6) กลาววา “อาหรับ หมายถึงผูที่พูดภาษา อาหรับทั้งมวล และผูที่อาศัยอยูในคาบสมุทรอาหรับ” สวนแอลาสเดียร ดรายสเดล (Alasdair Drysdale) อางถึงใน จรัญ มะลูลีม (2541: 56) กลาววา “คําวาอาหรับนั้น ชาวอาหรับเองใชเรียกเฉพาะชาวเผาที่อาศัยอยูในคาบสมุทรอาหรับมา ตั้งแตแรก หรือผูที่มีความสัมพันธกับคนเผานั้นเทานั้น สําหรับผูที่ใชภาษาอาหรับนั้นไมจําเปนตอง
51
52
เปนชาวอาหรับเสมอไป แตทุกวันนี้คําวา “อาหรับ” กลับรวมเอาทุกคนที่พูดภาษาอาหรับ เปนผลให รวมเอาผูที่มีลักษณะรูปรางหนาตา และวัฒนธรรมในบางดานแตกตางไปจากชาวอาหรับดั้งเดิมใน คาบสมุทรอาหรับเปนอยางมากเขาไปดวย” เอช เอ อาร กิบบ (H. A. R. Gibb) ไดใหคํานิยามคําวาอาหรับที่รัดกุมมากกวา โดย ทานกลาววา "ชาวอาหรับคือบรรดาผูซึ่งเจริญรอยตามมุฮัมมัด และเปนผูที่เคยมีประวัติศาสตรแหง จักรวรรดิอันรุงโรจน นอกจากนี้พวกเขาทั้งหลายยังอนุรักษภาษาอาหรับ มรดกแหงวัฒนธรรมในฐานะ ที่เปนเจาของรวมกัน" ซึ่งเบอรนารด เลวิส (Bernard Lewis) ไดอธิบายเพิ่มเติมจากการสํารวจ วิวัฒนาการของคําวาอาหรับในมุมมองทางประวัติศาสตรและนิรุกติศาสตร ทานไดปรารภวา "ความ ภาคภูมิใจของชาวอาหรับทั้งหลายในความเปนอาหรับ และจิตสํานึกแหงสัมพันธภาพที่พันธนาการ พวกเขาทั้งหลายไวดวยกันทั้งในอดีตและปจจุบันนั้นมีความเขมขนอยางยิ่ง" และทานยังไดตั้ง ขอสังเกตจากการรวมตัวกันของบรรดาผูนําอาหรับเมื่อไมนานมานี้ ไดบงชี้ถึงความเปนอาหรับในมิติ ใหมดังนี้ "ผูใดก็ตามที่อาศัยอยูในแผนดินของเรา พูดภาษาของเรา เติบโตขึ้นในบรรยากาศแหง วัฒนธรรมของเรา และมีความภาคภูมิตอกิตติศักดิ์อันเกรียงไกรของเรา ถือวาเขาเปนบุคคลหนึ่งจาก ในหมูพวกเรา" (Omar Farouk Bajunid, 1996 : 24) สวน ปเตอร แมนสฟลด (Peter Mansfield) ซึ่งไมตางจากเบอรนารด เลวิส (Bernard Lewis) ในแงผลงานที่เกี่ยวกับอาหรับ ทานไดพยายามในลักษณะเดียวกันที่จะประเมิน ความเปนมา วิวัฒนาการ และพัฒนาการของคําวาอาหรับ ทานยอมรับวา ทุกวันนี้ชาวอาหรับคนหนึ่ง นั้น อาจจะมีผิวดําสนิท หรือสีแทน และมีตาสีฟา ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากการผสมกันระหวางเผาพันธุ เตอรก คอเคเซียน นิโกร เคอรด สเปน และเบอรเบอร ประชาชนเหลานี้อาศัยอยูในพรมแดนอันกวาง ใหญไพศาลภายในระบบการเมืองที่หลากหลาย สําหรับ ริชารด วี วีกส (Richard Wee Weeks) แลว คําจํากัดความของทานเกี่ยวกับอาหรับนั้น มีลักษณะคลายคลึงกับนิยามที่กลาวมาแลว โดยทานไดให ทัศนะที่แสดงใหเห็นถึงความเปนอาหรับนั่นก็คือ ลักษณะรวมตาง ๆ ซึ่งทําใหความหมายแคบและ ชัดเจนยิ่งขึ้นวาคน ๆ นั้นเปนอาหรับหรือไม กลาวคือ คนผูนั้นจะตองรูสึกวาเขาเปนอาหรับ พูดภาษา อาหรับ ไมวาจะสําเนียงใดก็ตาม ยิ่งไปกวานั้นเขามีความผูกพันธกับมรดกแหงประชาชาติอาหรับ คุณคาและความใฝฝนทางวัฒนธรรมอันเลิศล้ําของชาวอาหรับ ไมวาเขาจะเปนชาวโมร็อกโกหรือซีเรีย เปนคริสเตียนหรือมุสลิม เปนชาวนาหรือนักธุรกิจ (Omar Farouk Bajunid, 1996 : 25) จากนิยามความหมายของคํ าวาอาหรับข างตนจะพบว าความหมายของอาหรับจะ จํากัดขอบเขตเฉพาะผูที่อาศัยอยูในคาบสมุทรอาหรับ และพื้นที่ทางตะวันออกของประเทศอียิปต เท า นั้ น ซึ่ ง อั น ที่ จ ริ ง ในป จ จุ บั น ชาวอาหรั บ มี อ ยู ก ระจั ด กระจายตามพื้ น ที่ ต า ง ๆ นอกเหนื อ จาก คาบสมุทรอาหรับ อาทิเชน แอฟริกาเหนือ และหมูเกาะโคโมโรสในมหาสมุทรอินเดีย เปนตน ซึ่งเปน
53
ผลมาจากการขยายดินแดนของราชวงศตาง ๆ ในอดีต ฉะนั้นในปจจุบันคําวาอาหรับ จึงหมายถึง ผูที่ ใชภาษาอาหรับเปนภาษาแม มีสํานึกในความเปนอาหรับ ไมวาจะอาศัยอยูที่ใดก็ตาม จากความหลากหลายของกลุมคนที่อาศัยอยูในภูมิภาคนี้ทําใหรูปรางลักษณะของคน กลุ ม นี้ แ ตกต า งกั น ไป แต รู ป ร า งและลั ก ษณะเด น ที่ ป รากฏอยู แ ละสามารถสั ง เกตได ซึ่ ง มาร เ ชล (Marcel) ไดแบงลักษณะของชาวอาหรับออกเปนสองกลุมดวยกัน คือ กลุมแรกจะมีรูปรางขนาดปาน กลาง กลามเนื้อกระชับ ขอเล็ก มีใบหนายาวเหลี่ยมตอนปลาย คางมีขนาดเล็กและยื่นออกเล็กนอย ปากเล็ก ฟนขาวและเรียบเสมอ ริมฝปากบาง จมูกเล็กโดง นัยนตาสีดํา ดวงตากวางสวยงาม คิ้วโกง บาง และศีรษะยาว สวนกลุมที่สองไดแกกลุมที่มีรูปรางสูงใหญ ใบหนากวาง กรามและคางใหญ ปาก จะกวางกวากลุมแรก ริมฝปากหนา จมูกโดงโต คิ้วตอกันและหนา ตาโตและมีสีดํา หนาผากแคบ (Gustave Le Bon, n.d. : 65)
โดยลักษณะแรกในขางตนจะพบไดในกลุมของชาวซีเรีย และชาวอียิปตทั้งในอดีต และปจจุบัน สวนลักษณะที่สองจะพบไดในกลุมของชาวอัสซีเรียน ชาวยิว ชาวอาหรับภาคใต และชาว อียิปตที่มีเชื้อสายแอฟริกา 3.1.1 ที่ตั้งทางภูมิศาสตร คาบสมุทรอาหรับตั้งอยูระหวางละติจูด 12 องศา 41 ลิปดา 35 ฟลิปดาเหนือ ถึง ละติ จู ด 32 องศา 22 ลิ ป ดา 07 ฟ ลิป ดาเหนื อ และลองจิจู ด 34 องศา 31 ลิ ป ดา 02 ฟ ลิ ป ดา ตะวันออก ถึงลองจิจูด 59 องศา 51 ลิปดา 37 ฟลิปดาตะวันออก อาณาเขตของคาบสมุทรอาหรับ ทางทิศตะวันตกติดกับทะเลแดงและแหลมซีนาย ทิศตะวันออกติดกับอาวเปอรเซียและพื้นที่ทางตอน ใตของประเทศอิรัก ทิศใตติดกับทะเลอาหรับซึ่งเปนทางออกสูมหาสมุทรอินเดีย สวนทางดานทิศ เหนือติดกับซีเรียและพื้นที่บางสวนของประเทศอิรัก โดยมีพื้นที่ทั้งหมด 1,000,000-1,300,000 ตารางไมล ซึ่งปจจุบันประกอบดวยประเทศตาง ๆ 9 ประเทศ ไดแก ซาอุดีอาระเบีย เยเมน โอมาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส กาตาร บาหเรน คูเวต อิรัก และจอรแดน คาบสมุทรอาหรับตั้งอยูบนพื้นที่ที่มีความสําคัญและเหมาะสมเปนอยางยิ่งทั้งทางดาน ภูมิศาสตรและธรรมชาติแวดลอม กลาวคือ คาบสมุทรอาหรับถูกหอมลอมโดยทะเลทรายและภูเขาซึ่ง เปรียบเสมือนปอมปราการที่คอยปองกันการรุกรานของศัตรูจากภายนอก ทําใหเมื่อครั้งอดีตกาลชาว อาหรับใชชีวิตอยูอยางอิสระไมตกอยูภายใตอํานาจการปกครองของมหาอํานาจใด ทั้ง ๆ ที่มีดินแดน ติดกับจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ อีกดานหนึ่งคาบสมุทรอาหรับตั้งอยูบนรอยตอของทวีปตาง ๆ ซึ่งสามารถ ติ ด ต อ ได ทั้ ง ทางบกและทางน้ํ า ทิ ศ ตะวั น ตกเฉี ย งเหนื อ เป น ประตู สู ท วี ป แอฟริ ก า ทิ ศ ตะวันออกเฉียงเหนือเปนประตูสูทวีปยุโรป สวนทิศตะวันออกก็เปนประตูสูเอเชียใต มุงสูประเทศ
54
อินเดีย จีน รวมถึงดินแดนในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต และจากการที่คาบสมุทรอาหรับมีพื้นที่ เกือบทุกดานติดกับทะเลจึงทําใหมีกองเรือจํานวนมาก ตางมุงสูทาเรืออาหรับ คาบสมุทรอาหรับจึง กลายเปนศูนยกลางของประชากรหลากหลายเชื้อชาติจนกอใหเกิดการผสมผสานระหวางเชื้อชาติอยาง หลีกเลี่ยงไมได ภาพที่ 2 แสดงที่ตั้งของคาบสมุทรอาหรับ
ที่มา: Muir, 1924 : 1
55
ภาพที่ 3 แสดงคาบสมุทรอาหรับซึ่งเปนที่ตั้งของประเทศตาง ๆ ในปจจุบัน
ที่มา: http://www.reisenett.no/map_collection/middle_east_and_asia/Arab_pennisula.GIF [5 February 2007]
สําหรับสภาพของคาบสมุทรอาหรับจะขึ้นอยูกับพื้นที่ในคาบสมุทรเองโดยพื้นที่สวน ใหญจะเปนทะเลทรายที่ปราศจากแหลงน้ํา สวนพื้นที่บริเวณชายขอบจะเปนพื้นที่อุดมสมบูรณ จาก
56
สภาพดังกลาวเปนผลทําใหผูคนที่อาศัยในพื้นที่นี้แบงออกเปน 2 กลุมคือ กลุมชาวเผาเรรอน กับ กลุมชาวเมือง ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม คาขาย และหัตถกรรม นั ก วิ ช าการชาวกรี ก และโรมั น ได แ บ ง คาบสมุ ท รอาหรั บ ออกเป น 3 ส ว น (Hasan ’Ibrāhīm Hasan, 1964 : 1/4) ไดแก 1. เขตโขดเขา (Arabia Petraea) หรือ Arabia Petrix มีสภาพเปนเทือกเขา ที่ราบ สูง เปนพื้นที่ระหวางแควนฮิญาซกับทะเลสาบเดดซี ซึ่งเปนที่ตั้งนครเพทราเมืองหลวงของอาณาจักร นาบาเทียน รวมถึงพื้นที่บริเวณแหลมซีนาย 2. เขตอุดมสมบูรณ (Arabia Felix) เปนพื้นที่อุดมสมบูรณมีอาณาเขตตั้งแต ตอนกลางจนถึ งตอนใต ข องคาบสมุ ทรอาหรั บ รวมถึ ง ภู มิ ภ าคแถบทะเลแดง อ าวเปอร เ ซี ย และ มหาสมุ ทรอิน เดี ย คือรวมแคว น ฮิญ าซ ยะมามะฮฺ นั จด เยเมน หะเฎาะเราะเมาว ต โอมาน และ บาหเรนดวย (ดิเรก กุลสิริสวัสดิ์, 2521 : 7) 3. เขตทะเลทราย (Arabia Deserta) มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่เปนทะเลทราย ทั้งหมด ซึ่งเปนที่อยูอาศัยของชาวชนบทและเนื่องจากเปนพื้นที่ ๆ ใหญ ยากูต (Yāqūt, 1955 : 245) จึงแบงเขตออกเปน 3 เขต คือ 3.1 เขตที่มีภูเขาสีดํา ซึ่งเกิดจากการกระทําของภูเขาไฟ ซึ่งเปนลักษณะทาง ภูมิศาสตรสวนใหญในคาบสมุทรอาหรับ โดยเริ่มจากเมืองเหารอนไปจนถึงมะดีนะฮฺ มีจํานวน 29 ลูก 3.2 เขตทะเลทราย อั ล อะฮฺ ก อฟ ทางตอนเหนือ ของเมื อ งสะมาวะฮฺ ไ ปจนถึ ง หะเฎาะเราะเมาวต ทางตอนใต และจากเยเมนถึงโอมาน รวมพื้นที่กวางกวา 50,000 ตารางไมล ในพื้นที่ดังกลาวนั้นมีลักษณะเปนภูเขาทราย ซึ่งพื้นที่ทางตอนใตจะเรียกวา รุบอุลคอลีย สวนทางทิศ ตะวันตกในเขต ดะฮฺนาอ เรียกวา อัลอะฮฺกอฟ 3.3 เขตทะเลทราย อัลนุฟูดทางตอนเหนือของคาบสมุทรอาหรับ มีพื้นที่เปน ภูเขาทรายละเอียดซึ่งยากลําบากตอการเดินทาง โดยภูเขาบางลูกอาจสูงถึง 150 เมตร รวมพื้นที่ ทั้งหมดของทะเลทรายอัลนุฟูด ยาว 450 กิโลเมตร กวาง 250 กิโลเมตร แมวาพื้นที่ของคาบสมุทรอาหรับสวนใหญเปนทะเลทรายดังที่ไดกลาวมาแลวขางตน แต ก็ ไ ม ไ ด ห มายความว า เป น ทะเลทรายที่ ป ราศจากน้ํ า หรื อ การเพาะปลู ก เพราะสิ่ ง ที่ ส ามารถ สังเกตเห็นก็คือจะมีพื้นที่ราบลุมสลับกับหุบเขาอยู ซึ่งเปนพื้นที่ ๆ เหมาะสําหรับการเกษตร เลี้ยงปศุ สัตว และการตั้งถิ่นฐาน นอกจากนี้ อัลฮะมะดานีย (al-Hamadānīy, 1953 : 47) ไดแบงคาบสมุทรอาหรับ โดยยึดตามลักษณะทางภูมิศาสตร ออกเปน 5 แควน คือ
57
1. ติฮามะฮฺ เปนพื้นที่กวางซึ่งทอดยาวไปตามชายฝงทะเลแดง โดยเริ่มจาก ยันบูอฺ ไปจนถึงนัจรอนในเยเมน สาเหตุ ที่ใชชื่อนี้เ นื่องมาจาก ดิ นแดนสวนนี้มีอากาศรอนจัดและไม มี กระแสลมพัดผาน โดยนํามาจากคําวา “al-Tahamu” ซึ่งหมายถึง “รอนจัดไมมีกระแสลม” หรือ บางทีก็เรียกวา “al-Ghawr” หมายถึง “ถ้ํา, ที่ลุม” เนื่องจากพื้นที่สวนนี้จะต่ํากวาพื้นที่ในแควนนัจด 2. อัลฮิญาซ เปนแควนที่ตั้งอยูทางทิศเหนือของเยเมนและทิศตะวันออกของติฮา มะฮฺ เปนดินแดนที่มีธารน้ําหลายสายและทิวเขาที่ทอดยาวจากซีเรียไปจนถึงแควนนัจรอนในเยเมน โดยกุสตาฟ เลอ บอง ไดเลาถึงลักษณะของแควนฮิญาซ วา “เปนแควนที่เต็มไปดวยภูเขาทราย ซึ่ง เปนที่ตั้งของเมืองสําคัญสองเมืองคือ มักกะฮฺและมะดีนะฮฺ” สาเหตุที่เรียกแควนนี้วาฮิญาซเนื่องจาก เปนแควนที่ขั้นกลางระหวางติฮามะฮฺกับนัจด (Hasan ’Ibrāhīm Hasan, 1964 : 1/4) 3. นัจด เปนแควนที่ตั้งอยูระหวางเยเมนตอนใตกับตอนเหนือของแถบทะเลทราย สะมาวะฮฺ แควนอุรูดและดินแดนบางสวนของอิรัก สาเหตุที่เรียกวานัจดเนื่องจากเขตดังกลาวนี้เปน พื้นที่ราบสูง โดยมีความสูงประมาณ 3,000-4,000 ฟุต 4. อั ล ยะมั น (เยเมน) เป น ดิ น แดนที่ ถั ด ไปจากแควน นั จ ด ตั้ ง อยู ท างทิ ศ ใต ข อง มหาสมุทรอินเดีย ทิศตะวันตกติดกับทะเลแดง ทิศตะวันออกติดกับหะเฎาะเราะเมาวต อัชชิหร และ โอมาน 5. อั ล อุ รู ด เป น ดิ น แดนกว า งมี อ าณาเขตครอบคลุ ม อั ล ยะมามะฮฺ โอมานและ บาหเรน สาเหตุที่ใชชื่อนี้เนื่องจากดินแดนดังกลาวเปนพื้นที่ที่ตั้งอยูระหวางเยเมน นัจดและอิรัก สวน โอมานและบาหเรนนั้นจะมีลักษณะที่แตกตางจากดินแดนสวนอื่น ๆ ของอาหรับ 2 ลักษณะคือ 5.1 ลั กษณะทางธรรมชาติ ในดิน แดนสวนนี้จะมีพื้นที่แหงแลง ที่มีความกวาง มากกวาดินแดนอื่นของอาหรับ 5.2 ลักษณะทางการเมือง ดินแดนสวนนี้ตกอยูภายใตการปกครองของเปอรเซีย หากจะแบงพื้นที่ราบของคาบสมุทรอาหรับโดยยึดตามความอุดมสมบูรณแลว พื้นที่ ทางทิศตะวันตกเฉียงใตของเยเมนนั้น ชาวโบราณไดขนานนามวา “พื้นที่สีเขียว” สวนทางตอนใตของ หะเฎาะเราะเมาวตเคยเปนดินแดนที่เต็มไปดวยกํายานซึ่งมีการใชกันอยางแพรหลายในสมัยโบราณ ทางทิ ศ ตะวั น ออกแถบอ า วเปอร เ ซี ย ก็ มี เ มื อ งอะฮฺ ซ าอ (อั ล ฮาซา ในป จ จุ บั น ) ที่ อุ ด มสมบู ร ณ อ ยู ดินแดนทั้งหมดเหลานี้ลวนแลวแตเปนดินแดนที่เหมาะสําหรับการเพาะปลูกเปนอยางยิ่ง จะมีก็สวน นอยที่ไมสามารถทําการเพาะปลูกได สวนพื้นที่ลาดทางทิศตะวันตกเปนดินแดนทุรกันดารอยางยิ่ง เต็มไปดวยภูเขาหิน และทราย แตเหมาะสําหรับการใชเปนทุงหญาเลี้ยงสัตว ในอดีตนั้นพื้นที่แถบนี้มีความอุดมสมบูรณ กวาปจจุบันมาก ดินแดนอาหรับตอนกลางนั้นจะเปนดินแดนที่ราบสูงซึ่งเปนที่ตั้งของแควนนัจด
58
ดินแดนแหงนี้เต็มไปดวยภูเขาสูงและธารน้ํายาวหลายสาย ซึ่งสามารถใชเปนสถานที่เลี้ยงมาอาหรับ พันธุดีได สวนแควนอัลยะมามะฮฺซึ่งตั้งอยูทางทิศตะวันออกเฉียงใตนั้น เปนแควนที่คอยหลอเลี้ยง ชีพของชาวอาหรับดวยการผลิตขาวสาลี ขาวฟางและพืชพันธุอื่น ๆ ซึ่งในความเปนจริงแลวเมื่อ คริสตศตวรรษที่ 6-7 ดินแดนทั้งสองนี้ไมไดมีความอุดมสมบูรณดอยไปกวาพื้นที่ของยุโรปในปจจุบัน นี้เลยบางทีมันอาจจะดีกวายุโรปดวยซ้ําไป ซึ่งเฮลล (Hell) ไดกลาวไววา “ความเชื่อที่วาดินแดน อาหรับนั้นเปนทะเลทรายที่แหงแลงปราศจากการเพาะปลูก และน้ําไดสูญสิ้นไป เมื่อเราไดพบวา ดินแดนอาหรับนั้นไมใชดินแดนที่เต็มไปดวยทะเลทรายที่แหงแลง หากแตเมื่อหลายพันปกอนเปน ดินแดนที่อุดมสมบูรณที่สุด มีการเพาะปลูก มีหมูบานและประชากรมากมาย” (Hasan ’Ibrāhīm Hasan, 1964 : 1/5)
ดินแดนสวนกลางของคาบสมุทรนั้นประกอบไปดวยพื้นที่ราบทะเลทรายที่แหงแลง ซึ่งตั้งอยูทางทิศใต สวนทางเหนือถึงแมจะเปนดินแดนที่เต็มไปดวยภูเขาหินแตก็ยังมีตาน้ําหลายสาย ที่ประชาชนในแถบนั้นสามารถนํามาใชประโยชนในการเพาะปลูกได ดินแดนแหงนี้มีหมูบานตั้งอยู มากมายเหมือนกับทะเลทรายในแถบแอฟริกา แมวาคาบสมุทรอาหรับจะเปนพื้นที่ที่เต็มไปดวยภูเขาที่ปกคลุมไปดวยหินที่เกิดจาก การกระทําของภูเขาไฟและทะเลทรายอันกวางใหญไพศาล แตกระนั้นก็ยังมีธารน้ําอยูตามหุบเขาใน บริเวณพื้นที่ที่อุดมสมบูรณจะมีชาวชนบทมาตั้งถิ่นฐานอยู โดยอาศัยความอุดมสมบูรณนี้ เลี้ยงชีพ และปศุสัตวของพวกเขา เพราะในพื้นที่ดังกลาวนี้มีน้ําซึ่งถือไดวาเปนปจจัยหลักในการเลี้ยงชีพ สวน พื้นที่ที่อยูหางออกไปจากธารนัจดจะเปนพื้นที่แหงแลงไมเหมาะแกการตั้งถิ่นฐานและการเพาะปลูก ธารน้ําสายใหญที่สุดของคาบสมุทรอาหรับคือ อัดดะฮฺนาอ ในยามที่ธ ารน้ําแหงนี้ สมบูรณจะนําเอาความเขียวขจีของพืชพันธุ แตเมื่อธารน้ําเหือดแหงไป ก็จะนําความแหงแลงมาแทนที่ ฉะนั้นวิธีที่จะเอาชนะความแหงแลงได ก็โดยใชวิธีการดานวิศวกรรม ซึ่งก็คือการสรางเขื่อน แตวิธีการ ดั ง กล า วไม มี ช าวอาหรั บกลุ ม ใดมี ค วามรู ใ นด า นนี้ ดี พ อนอกจากในเยเมน โดยในพื้ น ที่ ดั ง กล า ว ประชาชนสามารถที่จะรักษาน้ําในลําธารเอาไวไดโดยการสรางเขื่อนและจัดระบบชลประทานเพื่อจาย น้ําไปยังพื้นที่เพาะปลูก ทําใหพื้นที่ในบริเวณนั้นกลายเปนพื้นที่ ๆ มีความอุดมสมบูรณมากกวาพื้นที่ สวนอื่นของคาบสมุทรอาหรับ ซึ่งเปนพื้นที่ลุมมีหุบเขาลอมรอบ มีโอเอซิสที่อุดมสมบูรณ มีการทํา การเพาะปลูกอยางมากมายและสามารถตั้งเปนถิ่นที่อยูอาศัยได ลักษณะทางธรรมชาติเชนนี้ทําให ประชาชนในแถบนั้นมีความกระตือรือรน โดยเฉพาะอยางยิ่งชาวชนบทซึ่งสวนใหญจะไมยึดติดกับ การเกษตร พวกเขาจะหันไปยึดการเลี้ยงสัตว โดยเฉพาะอยางยิ่งอูฐ แพะ และแกะ ซึ่งพวกเขา สามารถที่ จะนํ า เนื้ อของมั น มารับประทาน นําน้ํานมมาดื่ ม นําขนมาใชป ระโยชน แ ละใช บรรทุก สัมภาระในยามที่พวกเขาโยกยายเพื่อเสาะแสวงหาแหลงน้ําแหงใหมหรือในยามที่ออกเดินทางไป คาขาย นอกจากนี้แลวภูมิอากาศและปริมาณน้ําฝนอันนอยนิด หรือไมมีเลยนั้นเปนตัวที่จะคอยหลอ
59
หลอมผูคนที่อาศัยอยูในแถบนี้ใหมีความแข็งแกรง อดทนตอความยากลําบากเพื่อใหสามารถใชชีวิต ในสภาพแวดลอมที่แหงแลง ทุรกันดารไดดี 3.1.2 ภูมิอากาศของคาบสมุทรอาหรับ พื้นที่สวนใหญของคาบสมุทรอาหรับเปนทะเลทราย ลักษณะของภูมิอากาศโดยทั่วไป จะมีอากาศแหง ฝนตกนาน ๆ ครั้ง ในยามที่ฝนตกจะทําใหเกิดธารน้ําหลายสาย ซึ่งธารน้ําทั้งหมดจะ ไหลลงทะเลแดง และทะเลอาหรับ สวนภูมิอากาศทางตอนเหนือจะมีฝนตกในชวงฤดูหนาวและฤดู ใบไมรวง สวนเยเมนจะมีฝนตกในฤดูรอน ในเขตทะเลทรายเมื่อฝนตกก็จะทําใหพืชพันธุออกดอก ขึ้นมาอยางรวดเร็วและตายไปภายในเวลาไมกี่เดือน ดวยเหตุนี้จึงทําใหวิถีชีวิตชาวอาหรับจึงตอง เรรอนไปตามเสนทางที่ ๆ มีความอุดมสมบูรณอยูตลอดเวลา คาบสมุทรอาหรับ มีลักษณะภูมิอากาศ แหงแลงมีฝนตกนอย ไดรับอิทธิพลจากลมมรสุมบาง สวนใหญไดรับปริมาณน้ําฝนนอยกวา 250 มิ ล ลิ เ มตร และระหว า ง 350-760 มิ ล ลิ เ มตร ในตอนเหนื อ ของทะเลอาหรั บ จึ ง มี อ ากาศแบบ ทะเลทราย และทุงหญาเขตรอน สวนดินแดนตอนกลางสวนใหญของคาบสมุทรอาหรับ หรือประเทศ ซาอุดีอาระเบีย และชายฝงทะเลแดงดานตะวันออก มีลักษณะภูมิอากาศทะเลทรายเขตรอน (Desert Climate) ปริมาณน้ําฝนนอยกวา 250 มิลลิเมตร ฤดูรอนไดรับลมมรสุมบาง สวนใหญอากาศรอน และแหงแลง สํ า หรั บ ในคาบสมุ ท รอาหรั บ นั้ น พื้ น ที่ เ กื อ บทั้ ง หมดเป น ทะเลทรายไม มี น้ํ า เลย นอกจากธารน้ําที่มีน้ําไหลเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ภูมิอากาศของคาบสมุทรอาหรับมี 3 ประเภท ดังนี้ 1. ภูมิ อากาศทะเลทรายแบบร อน มีลักษณะอากาศร อนและแหงแล งมาก ได แ ก บริเวณคาบสมุทรอาหรับเกือบทั้งหมด ซึ่งเปนอาณาเขตของซาอุดีอาระเบีย เยเมน และจอรแดน ทะเลทรายเหลานี้ ไดแก ทะเลทรายอัลนุฟูด ทะเลทรายซีเรีย ทะเลทรายรุบอุลคอลีย 2. ภูมิอากาศทุงหญากึ่งทะเลทรายทั้งแถบรอนและแถบอบอุน มีลักษณะไมแหงแลง มากเหมือนทะเลทราย มีฝนตกนอย เขตอากาศทุงหญากึ่งทะเลทรายแถบรอน ไดแกเขตที่อยูติดตอ กับทะเลทรายในคาบสมุทรอาหรับ 3. ภูมิอากาศแบบภูเขา ลักษณะอากาศเปนไดตั้งแตเย็นจัด จนถึงรอนเปนปาดงดิบ ทั้งนี้ขึ้นอยูกับความสูงของภูมิประเทศไดแก เยเมน
60
ภาพที่ 4 แสดงปริมาณน้ําฝนบนคาบสมุทรอาหรับ
ที่มา: ดนัย ไชยโยธา, 2548 : 128 นอกจากนี้ อัลมัสอูดีย (al-Mas‘ūdīy, 1958 : 2/233) ยังไดแบงลักษณะลมมรสุมที่ พัดผานบริเวณคาบสมุทรอาหรับออกเปน 4 ลักษณะดวยกัน คือ 1. อัลกอบูล (al-Qabūl) เปนกระแสลมจากตะวันออกของคาบสมุทรอาหรับ ซึ่งจะ นําพาเมฆฝนมาดวย สวนใหญจะตกในเขตแควนนัจด ถือเปนสายลมแหงความอุดมสมบูรณ 2. อัดดะบูร (al-Dabūr) เปนกระแสลมที่พัดมาจากทะเลแดงทางทิศตะวันตกของ คาบสมุทรอาหรับ ซึ่งจะพัดพาเมฆฝนมา ในบางครั้งชาวอาหรับอาจจะเรียกวาอัษฺษฺาริยาต และอัล มุ อฺ ศิ ร อต แต บ างช ว งจะเป น ลมร อ นซึ่ ง ก็ จ ะนํ า เอาความแห ง แล ง กลั บ มาสู ค าบสมุ ท รอาหรั บ อี ก เชนเดียวกัน และชาวอาหรับยังเรียกในชื่อตาง ๆ อาทิ อัสสะมูม อัลไฮฟ และอัสสะฮาม1 เปนตน 3. อัลญะนูบ (al-Janūb) เปนกระแสลมที่พัดมาจากมหาสมุทรอินเดียทางทิศใตของ คาบสมุทรอาหรับ 4. อัชชะมาล (al-Shamāl) เปนกระแสลมหนาวที่พัดมาจากที่ราบสูงอานาโตเลีย ผานซีเรีย หรือรูจักในอีกชื่อหนึ่ง คือ ชามียะฮฺ และอัลฮัดวาอ เปนกระแสลมที่จะนําความอุดมสมบูรณ ไปจากคาบสมุทรอาหรับ กลาวคือกระแสลมจะพัดพาเอาเมฆฝนหาย และกระแสลมนี้ยังมีสวนทําให 1
ชื่อทั้ง 3 นี้ หมายถึงลมรอนที่ทําใหสัตวอดอยาก
61
ชาวอาหรั บเกิ ด นิ สั ย เอื้ อ เฟ อ เผื่อ แผ ต อ ผู อื่ น โดยช ว งนี้ ช าวอาหรั บ จะเป ดบ า นต อ นรับ แขกที่ เ ดิ น ทางผานไปมา 3.1.3 ถิ่นฐานของชนเซมิติก2 เซมิติกเปนคําที่ใชเรียกกลุมชนที่อาศัยอยูในสวนตาง ๆ ของคาบสมุทรอาหรับ ซึ่งแต ละกลุมมีความสัมพันธทางดานภาษาที่เกิดจากการวิวัฒนาการมาจากภาษาเดียวกัน และมีถิ่นฐานเดิม เดียวกัน ซึ่งนักวิชาการทั้งทางดานภาษาศาสตรและประวัติศาสตรกลาวถึงถิ่นฐานเดิมของชนเซมิติก ไวแตกตางกันดังตอไปนี้ นักวิชาการบางทานมีความเห็นวาเดิมทีนั้นชนเซมิติกอยูในเอธิโ อเปย ตอมาก็ได อพยพมายังพื้นที่ทางตอนใตของคาบสมุทรอาหรับโดยผานทางชองแคบมันเดบ จากนั้นก็แยกยาย ออกไปตั้งถิ่นฐานตามพื้นที่ตาง ๆ ในคาบสมุทรอาหรับ แตบางทานก็กลาววาถิ่นฐานเดิมของชนเซ มิติกนั้นอยูทางตอนเหนือของแอฟริกา จากนั้นก็ไดอพยพไปยังเอเชียโดยผานคลองซุเอซ ถึงกระนั้นก็ ยังมีนักวิชาการบางกลุมกลับมีความเห็นวาเมืองคานาอานคือถิ่นฐานเดิมของชนเซมิติก เนื่องจากใน ยุคโบราณนั้นชนเซมิติกเคยตั้งถิ่นฐานกระจัดกระจายอยูในพื้นที่แถบซีเรียดังปรากฏหลักฐานทาง โบราณคดีมากมายในพื้นที่ดังกลาว (‘Alīy Abd al-Wāhid Wāfīy, n.d. : 10-11) นอกจากนี้ เรนาน (Renan) และโนลเดก (Noldeke) มีทัศนะที่ตรงกันวาถิ่นฐาน เดิมของชนเซมิติกอยูในอารเมเนียใกลกับเขตแดนเคอรดิสถานปจจุบัน ซึ่งเปนถิ่นฐานเดียวกับกลุม อินโด-ยูโรเปยน จากนั้นก็ไดอพยพไปยังที่ตาง ๆ โดยอาศัยหลักฐานจากเรื่องเลาของชาวยิวและ เรื่องราวที่ปรากฏอยูในพันธสัญญาเกาบทเยเนซิส (‘Abd al-Hamīd Muhammad ’Abū Sikkīn, 1977 : 58)
สวนคูอิดี (Guidi) มีความเห็นวาถิ่นกําเนิดของชนเซมิติกอยูทางตอนใตของอิรัก เนื่องจากมีคําที่ใชเรียกสิ่งกอสราง สัตว และพืชจํานวนมากในภาษาตระกูลเซมิติกที่มีความหมาย ใกลเคียงและสัมพันธอยางมากกับภาษาที่ใชอยูทางตอนใตของอิรัก (‘Alīy Abd al-Wāhid Wāfīy, n.d. : 11)
อย า งไรก็ ต าม แนวคิ ด ดั ง กล า วข า งต น ก็ ยั ง ถู ก ปฏิ เ สธโดยนั ก วิ ช าการอย า ง ไรท ( Wright) ชเรเดอร (Schrader) เซส ( Sayce) ชเปรนเจอร ( Sprenger) และเด โกเฌอร ( De Goeje) ซึ่งตางก็มีความเห็นสอดคลองกันวา ถิ่นฐานของชนเซมิติกนั้นอยูในคาบสมุทรอาหรับ แต 2
เซมิติก หรือ เซไมท เปนคําที่นักวิชาการนํามาใชกับคนหลายชนชาติและเผาพันธุที่อาศัยอยูในอาระเบีย โดยเชื่อวาคนเหลานี้เปน ลูกหลานของเชม หรือ ซาม บุตรของนบีนูห (โนอา) ดังปรากฏในพันธสัญญาเกา ซามเปนหนึ่งในบุตรเพียงไมกี่คนที่ศรัทธากับคํา เทศนาของนบีนูห (โนอา) และยอมโดยสารเรือไปดวย เมื่อรอดชีวิตจากน้ําทวมใหญลูกหลานที่สืบทอดมาจากซาม คือพวกซามียะฮฺ หรือเซมิติกนั่นเอง
62
เนื่องจากความแหงแลงจึงทําใหเกิดการอพยพไปยังสวนตาง ๆ ที่อยูรอบคาบสมุทรอาหรับอยางเชน อิรัก ซีเรีย และเยเมน (‘Abd al-Hamīd Muhammad ’Abū Sikkīn, 1977 : 60) โดยกลุมแรกที่ อพยพ ไดแก พวกอัคคาเดียน (บาบีโลเนียน- อัสสิเรียน) โดยอพยพจากคาบสมุทรอาหรับขึ้นไปยัง อิรักในชวง 4,000 ปกอนคริสตศักราช ไปอยูภายใตการปกครองของชาวสุเมเรียน และรับเอาภาษา ศาสนา ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวซูเมเรียน จนกระทั่งป 2,350 กอนคริสตศักราช พวกอัคคาเดียนก็ไดสถาปนาการปกครองของตัวเองขึ้นมาครอบคลุมพื้นที่อิรัก และซีเรีย จากนั้นเมื่อ อาณาจักรอัคคัดลมสลายลงก็เกิดรัฐเล็ก ๆ ขึ้นหลายรัฐที่สําคัญไดแก บาบิโลนในป 2,000 กอน คริ ส ต ศั ก ราช โดยมี ก ษั ต ริ ย อ งค สํ า คั ญ ได แ ก ฮั ม มู ร าบี ขึ้ น ครองราชย ใ นศตวรรษที่ 18 ก อ น คริสตศักราช กลุมที่ 2 พวกคานาอาน ซึ่งไดเริ่มอพยพในชวงตนป 2,000 กอนคริสตศักราช โดยอพยพไปยังแถบซีเรีย และพื้นที่ราบชายฝงทะเลเมดิเตอรเรเนียน และไดกอตั้งสถานีการคาขึ้นที่ เมือง ไซดา ไทร ุไบล และเบรุต ซึ่งชาวกรีกเรียกชนกลุมนี้วา ฟนีเชียน โดยกลุมดังกลาวมี เมืองขึ้นมากมายในแถบแอฟริกา เอเชียนอยและอันดาลูเซีย ที่สําคัญก็คือ ชนกลุมนี้เปนผูประดิษฐ อักษรลิ่มที่ใชกันอยูทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีพวก โอจีริต ที่อพยพไปยังตอนเหนือของซีเรีย และพวก โมอาบ ทางตะวันออกของจอรแดน ซึ่งสถาปนารัฐของตัวเองขึ้นในศตวรรษที่ 10 กอนคริสตศักราช เชนเดียวกันกับพวกฮิบรู ซึ่งอพยพสูปาเลสไตน ตั้งแตศตวรรษที่ 13 กอนคริสตศักราช กลุมตอมาไดแกพวกอาราเมียน กลางป 2,000 กอนคริสตศักราช ซึ่งกลุมนี้นาจะ เปนชาวชนบทที่เรรอนไปสูตอนเหนือของทะเลทรายอัลนุฟูด แถบชนบทของซีเรียและอิรักไปจนถึง อาวอะเกาะบะฮฺ สวนกลุมสุดทาย คือ กลุมของอาหรับทางตอนใตซึ่งเริ่มขึ้นในชวงปลายป 2,000 กอนคริสตศักราช มุงหนาไปสูทางตอนใตและชายฝงมหาสมุทรอินเดีย และบางกลุมที่อาศัยอยูในติ ฮามะฮฺของเยเมนก็อพยพขามทะเลแดงโดยผานทางชองแคบมันเดบไปยังดินแดนแถบชายฝงของ แอฟริกาเพื่อตั้งสถานีการคา 3.1.4 ชนชาติอาหรับ นักประวัติศาสตรอาหรับไดแบงชนชาติอาหรับออกเปน 2 กลุมใหญ เชากีย อบูเคาะ ลีล (Shawqīy ’Abū Khalīl, 2003 : 43) ไดแก 1. อาหรับ อัลบาอิดะฮฺ ชนกลุมนี้เปนชนชาติที่สูญสิ้นไปแลว จะมีก็เพียงแตรองรอย ที่เกี่ยวกับชนกลุมนี้เทานั้นที่ยังคงหลงเหลืออยู สวนเรื่องราวของกลุมชนเหลานี้ไมมีผูใดสามารถที่จะรู ได จะมีก็เพียงแตเรื่องราวที่ปรากฏอยูในคัมภีรอัลกุรอาน และบทกวีของชาวอาหรับ ดังเชนเรื่องราว
63
ของชนเผาอาด ษะมูด ชนเผาที่มีชื่อเสียงของชนชาตินี้ไดแก อาด ษะมูด ฏอมส ยะดีซ และุรฮุมรุน แรก ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ อาด คือ กลุมของ นบีฮูด ซึ่งนักวิชาการถือวาเปนชนชาติอาหรับที่เกาแกที่สุดมีถิ่น ฐานอยู ในเขตอะฮฺ กอฟซึ่ง ตั้งอยู ระหว างประเทศเยเมน กับ โอมาน แถบหะเฎาะเราะเมาวตและ เมืองอัชชิหร เมื่อไมกี่ปที่ผานมา มีการขุดพบโครงกระดูกที่มีสภาพสมบูรณ วัดความยาวของขนาด สวนสูงได 10 เมตร นักวิชาการเชื่อวาเปนโครงกระดูกของพวกอาดที่ระบุไวในคัมภีรอัลกุรอาน ษะมูด คือกลุมชนของ นบีศอลิหฺ มีถิ่นฐานอยูที่เมืองฮิจร และวาดีกุรอ ซึ่ง ตั้งอยูระหวางแควนฮิญาซ กับ ชาม โดยไพลนี (Pliny) อางถึงใน ฮารูน ยะหฺยา, (2548 : 124) ได บันทึกไววาโดมัทธา3และเฮ็กรา4 คือถิ่นฐานที่ชาวษะมูดอยูอาศัย สวน Ptolemy กลาววาใกลกับถิ่นที่ อยูของพวกอาด ในเขตที่ราบสูงฮิญาซ แตสิ่งที่นาสังเกตคือเมืองฮิจร เคยเปนศูนยกลางดานการคาที่ สําคัญระหวางเยเมน กับ ชาม และอียิปต กับ อิรัก ฉะนั้นถิ่นฐานของพวกษะมูด จึงนาจะอยูที่เมืองนี้ กอรปกับปจจุบันนักวิชาการไดขุดพบหลักฐานสําคัญซึ่งเปนศิลาจารึกของชนกลุมนี้ไดในเขต ตะบูก มะดาอินศอลิหฺ ไตมาอ ภูเขารอม และในฏออิฟไดหลายชิ้น ฏอมส และยะดีซ เปนชนเผาอาหรับโบราณซึ่งถูกกลาวถึงในประวัติศาสตรอาหรับมี ถิ่นที่อยูในบริเวณแควนยะมามะฮฺ และบาหเรน ซึ่งถือเปนเขตอุดมสมบูรณที่เต็มไปดวยพืชพันธุนานา ชนิด ในปจจุบันยังคงปรากฏปอมปราการอยูหลายแหงในเขตนัจรอน บาหเรน และยะมามะฮฺ อุไมม และอะบีล อาศัยอยูในบริเวณทะเลทรายระหวางยะมามะฮฺ กับ อัชชิหร แตมี นักประวัติศาสตรบางทานกลาววาอยูในเปอรเซีย ซึ่งชาวเปอรเซียถือวาชนกลุมนี้เปนกลุมแรกที่รูจัก การสรางบานแบบมีเพดาน สวนอะบีล อาศัยอยูที่เมืองยัษริบ5 ซึ่งเปนชื่อของ ยัษริบ บิน มาอิละฮฺ บิน มุอัลฮิล บิน อะบีล ชนกลุมนี้อาศัยอยูจนถึงยุคของอิมลีก สวนเมืองของกลุมชนนี้สูญหายไปเนื่องจาก เกิดน้ําทวมและกระแสน้ําไดพัดลงสูทะเลจนหมดสิ้น ุรฮุม อาศัยอยูในเยเมน ตอมาเกิดภาวะแหงแลง จึงยายไปยังฮิญาซ และไดอาศัย อยูที่เมืองมักกะฮฺ จนกระทั่งอิสมาอีล6มาถึงและไดแตงงานกับหญิงสาวในเผา ซึ่งตอมาไดรับหนาที่ ดูแลอัลกะอฺบะฮฺ จากนั้นเผาคุซาอะฮฺและกินานะฮฺเขามารุกราน จึงทําใหเผาุรฮุมตองหนีไปอาศัยอยู ระหวางมักกะฮฺ กับยัษริบ จนตอมาก็เกิดโรคระบาดอยางหนักทําใหชนกลุมนี้สูญหายในที่สุด 3
เดามะตุลญัลดัล เมืองฮิจร 5 เมืองมะดีนะฮฺในปจจุบัน 6 อิสมาอีล บุตรของอิบรอฮีม (ประมาณป 1781-1638 กอนคริสตศักราช) เปนศาสนทูตคนที่ 8 ในศาสนาอิสลาม และเปนตนตระกูล ของชาวอาหรับเหนือ (กลุมอัดนานียะฮฺ) ซึ่งเชื้อสายของศาสนทูตมุฮัมมัด ก็มาจากศาสนทูตอิสมาอีล เชนเดียวกัน (ดูเพิ่มเติม ใน Sīrah ’ibn Hishām, 1977 : 17-18) 4
64
นอกจากเผาตาง ๆ ที่กลาวมาแลว ยังมีเผาอับดุลฎ็อค บิน อิรอมซึ่งอาศัยอยูที่ฏออิฟ และถูกทําลายเนื่องจากความผิด โดยนักประวัติศาสตรเชื่อวาเปนกลุมแรกที่ประดิษฐอักษรอาหรับ และเผาบนูดาซิม กับฮุดูรอ 2. อาหรับ อัลบากียะฮฺ ซึ่งจะมีชนชาติแบงออกเปน 2 กลุม ไดแก 2.1 อาหรับอัลอาริบะฮฺ ชนกลุมนี้เปนชาวเกาะฮฺฏอนที่อาศัยอยูในเยเมน เผาที่มี ชื่อเสียงของชนชาตินี้ไดแก ุรฮุม และยะอฺรุบ จากเผายะอฺรุบไดกระจายออกเปนเผาใหญสองเผา คือ กะฮฺลาล และฮิมยัร จากเผาฮิมยัร ก็ไดแตกกระจายออกเปนเผาตาง ๆ มากมายที่มีชื่อเสียงไดแก เผา กุฎออะฮฺ จากกุฎออะฮฺ แตกสาขาออกเปนเผาบะลีย เผาุฮัยนะฮฺ เผากัลบ เผาบะฮฺเราะฮฺ เผาบนู นะฮด และเผาญะร็อม เผาที่มีชื่อเสียงของสาขากะฮฺลาลไดแก เผาอัลอัซด ซึ่งจากเผานี้ไดแตก ออกเป น เผาเอาซ เผ าคอซร็อจ และลู กหลานของญั ฟ นะฮฺ นั่ นก็ คื อเผ าฆอสาสี นะฮฺซึ่งได เ ขาไป ปกครองดินแดนชาม เผาฏอย ซึ่งแตกออกมาเปน ุดัยละฮฺ นับฮาน บุหตัร ซุบัยด และษะอฺละบะฮฺ ตอมาเมื่อชาวเยเมนเริ่มรูถึงอารยธรรมความเจริญพวกเขาก็ไดสถาปนาอาณาจักรตาง ๆ ขึ้นอยางเชน มะอีน7 สะบาอ8 ฮิมยัร9และกอตบาน10 กษัตริยสะบาอบางองคพยายามที่จะนําน้ําฝน จํานวนมากมาใชประโยชน ดังนั้นพวกเขาจึงไดสรางเขื่อนมาเพื่อกักเก็บน้ํา โดยใหชื่อวา “อัลอะริม” จากการจัดระบบน้ําดังกลาวทําใหดินแดนของพวกเขาไดเปลี่ยนไปเปนดินแดนที่อุดมสมบูรณซึ่ง เปรียบดังสวนสวรรค แตเมื่อกาลเวลาผานไปประชาชนก็เริ่มที่จะละเลยการดูแลเอาใจใสและซอมแซม ตัวเขื่อน ซึ่งชนรุนกอนไดสรางเอาไว ในที่สุดตัวเขื่อนก็ไดพังทลายลงมาทําใหน้ําไหลเขาทวมนครของ พวกเขาจนจมลงสูใตน้ํา จากนั้นพวกเขาไดอพยพออกไปสูดินแดนตางๆทั่วคาบสมุทรอาหรับ โดย กลุมษะอฺละบะฮฺ บิน อัมร ไดเดินทางไปสูแควนฮิญาซและเขาไปยังเมืองมะดีนะฮฺ และตอมาก็ สามารถเอาชนะชาวเมืองมะดีนะฮฺซึ่งสวนใหญเปนชาวยิวไดและตั้งถิ่นฐาน ณ ที่แหงนั้น สวนกลุมหาริษะฮฺ บิน อัมร (คุซาอะฮฺ) ไดเขาไปบุกยึดเมืองมักกะฮฺจนสามารถเขา ไปมีบทบาทในเมืองดังกลาวแทนที่พลเมืองเดิมคือ เผาุรฮุมรุนที่สอง ซึ่งเปนเผาเกาะฮฺฏอนโบรา 7
ชวงป 1300-650 กอนคริสตศักราช มีศูนยกลางอยูที่อัลเญาฟ ซึ่งตั้งอยูระหวางนัจรอนกับหะเฎาะเราะเมาวต ในศตวรรษที่ 12 กอน คริสตศักราชอาณาจักรนี้ไดขยายอํานาจเหนืออาณาจักรกอตบานและหะเฎาะเราะเมาวต เปนผลทําใหอาณาจักรมะอีนสามารถควบคุม เสนทางการคาทั้งทางเหนือและทางใตเอาไวได (Shawkīy Dayf, 1960 : 27) 8 ชวงป 800-115 กอนคริสตศักราช มีศูนยกลางอยูที่มะอริบในเยเมน เปนเมืองที่มีบทบาทสําคัญทางการคาในยุคโบราณระหวาง เอธิโอเปยกับอินเดีย และชามกับอียิปต โดยมีสินคาสําคัญไดแก เครื่องหอม เครื่องเทศ อัญมณี และแรทองคํา (เยเรมีย 6 : 20, พงศ กษัตริยฉบับที่หนึ่ง 10 : 1-2, เอเสเคียล 27 : 22) 9 ชวงป 115 กอนคริสตศักราช ถึง คริสตศักราช 525 มีศูนยกลางเดียวกับรัฐสะบาอ 10 เปนรัฐที่ตั้งอยูใกลชายฝงทางทิศเหนือของเอเดน และทางตะวันตกเฉียงใตของสะบาอ มีศูนยกลางอยูที่ติมนะอฺ คาดวาอยูรวมสมัยกับ รัฐสะบาอ แตเนื่องจากสงครามระหวางเผาจึงทําใหตองรวมกับเผาสะบาอ
65
ที่มาจากเยเมน ดานกลุมอิมรอน บิน อัมร นั้นก็ไดเดินทางสูโอมานและไดตั้งถิ่นฐานสถาปนารัฐขึ้น โดยมีชื่อเรียกวา “อัซดโอมาน” ญัฟนะฮฺ บิน อัมร ไดเดินทางสูซีเรียและไดตั้งถิ่นฐาน ณ ดินแดนที่มี แหลงน้ําแหงหนึ่งซึ่งมีชื่อวา “ฆอสสาน” จากนั้นก็ไดสถาปนาอาณาจักร “อัลฆอสสาสีนะฮฺ” ขึ้นโดยยึด ตามชื่อแหลงน้ําดังกลาว สวน ลัคม บิน อะดีย ไดเดินทางสูอัลฮีเราะฮฺและไดตั้งถิ่นฐาน ณ ดินแดน แหงนั้นโดยมี นะศ็อร บิน เราะบีอะฮฺ เปนผูสถาปนาอาณาจักรขึ้นมามีชื่อวา “อัลมะนาษิเราะฮฺ” หลัง จากอัซด ฏอยก็เดินทางไปสูดินแดนทางเหนือและไดตั้งถิ่นฐานในหุบเขา ซึ่งตั้งอยูทางทิศตะวันออก เฉียงใตของเมืองมะดีนะฮฺหลังจากที่พวกเขาพบวาดินแดนแหงนั้นเปนดินแดนที่อุดมสมบูรณมีลําธาร อัดดะฮฺนาอไหลผาน กัลบ บิน วับเราะฮฺ ซึ่งมาจากเผากุฎออะฮฺไดเดินทางยังแถบชนบทของอัสสะมาวะฮฺ ซึ่งเปนเขตดินแดนของอิรักติดกับชายแดนทางตอนเหนือของแควนนัจด และมีลําธารอัดดะฮฺนาอไหล ผานพวกเขาจึงไดตั้งถิ่นฐาน ณ ที่แหงนั้น 2.2 อาหรับ อัลมุสตะอฺเราะบะฮฺ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งวา อาหรับ อัลมุตะอัรริบะฮฺ สาเหตุ ที่ เ รี ย กชื่ อ นี้ ก็ เ พราะว า ท า นนบี อิ ส มาอี ล นั้ น เป น คนที่ พู ด ภาษาฮิ บ รู ห รื อ ภาษาอั ส ซี เ รี ย น (Shawqīy ’Abū Khalīl, 2003 : 44) ตอมาเมื่อทานพรอมกับมารดาไดอาศัยอยูกับเผาุรฮุมที่ เมืองมักกะฮฺ และไดแตงงานกับผูหญิงจากเผานี้ จึงทําใหทานและลูกหลานของทานไดเรียนรูภาษา อาหรั บ ด ว ยเหตุ นี้เ องจึ งเรี ย กชนกลุ มนี้ วา “อั ล อาหรั บ อั ลมุ สตะอฺเ ราะบะฮฺ ” หมายถึง กลุ มชนที่ กลายเปนชาวอาหรับ ซึ่งชนกลุมนี้เปนกลุมที่อาศัยอยูในพื้นที่ทางตอนกลางของคาบสมุทรอาหรับ จากแควนฮิญาซไปจนถึงดินแดนเขตทะเลทรายของซีเรีย ในขณะเดียวกันก็เขาไปอาศัยอยูรวมกับชาว เยเมนที่อพยพเขามาอาศัยหลังจากเกิดน้ําทวม โดยชาวอาหรับสวนใหญถือวากลุมชนดังกลาวเปน บรรพบุรุษของตน หะสัน อิบรอฮีม หะสัน (Hasan ’Ibrāhīm Hasan, 1964 : 1/11) ใหทัศนะวา เชื้อ สายรวมทั้งชื่อของหัวหนาเผาที่อยูระหวางอิสมาอีล กับ อัดนานของชนกลุมนี้นั้นยังเปนเรื่องที่มีการ ขัดแยงกัน สวนคํากลาวของศาสนทูตมุฮัมมัด ที่วา “พวกเขาเปนบรรพบุรุษของทาน” นั้น หมายถึงเชื้อสายที่อยูระหวางอัดนานกับอับดุลมุฏเฏาะลิบเทานั้น สวนที่อยูเหนือจากอัดนานขึ้นไปนั้น ยังเปนเรื่องที่มีการขัดแยงกันอยางกวางขวางในหมูนักวิชาการดานประวัติศาสตร โดยเฉพาะในเรื่อง ของชื่อและจํานวนของบรรพบุรุษของพวกเขาซึ่งมันเปนเรื่องปกติ เพราะวาชนชาวอาหรับนั้นเปนกลุม ชนที่ไมมีความสามารถดานการอานและการเขียน ดวยเหตุนี้จึงทําใหชาวอาหรับไมไดบันทึกเชื้อสาย วงศตระกูลของพวกเขาไวตามหนังสือหรือแผนจารึกตาง ๆ แตพวกเขาจะใชวิธีการเลาสืบตอกันมา และคําพูดที่ถูกกลาวออกมาจากปากนั้นก็ยอมที่จะมีขอผิดพลาดและการเปลี่ยนแปลงอยางแนนอน
66
ทานอิบนุ กุฏอยบะฮฺ (’Ibn Qutaybah, 1934 : 29) ไดกลาวถึงความเห็นเกี่ยวกับ ความแตกตางในเรื่องของชื่อและจํานวนของเชื้อสายและวงศตระกูล โดยอางถึงคําพูดของนิกสัน (Nickson) ที่ไดไวกลาววา “ไมมีขอโตแยงเลย หากเราจะพูดวาเชื้อสายวงศตระกูลนั้นเปนเรื่องที่ไม ถูกตอง เพราะเชื้อสายของอัดนานที่สืบตอไปยังอิสมาอีลนั้นยังคงมีขอสงสัยอยูมากมาย ถึงแมวาชาว อาหรับเกือบทั้งหมดจะอางวาเปนผูสืบเชื้อสายมาจากลูกหลานของอิสมาอีล ดังที่จะเห็นไดจากความ นิยมในเผาหรือในเชื้อสายที่จะแฝงอยูในหมูชนเหลานี้ แตถึงกระนั้นมันก็เปนการดี สําหรับเราที่จะ กลาวถึงในสิ่งที่ชนชาวอาหรับยึดและนํามาเปนพื้นฐานสําหรับระบบสังคม รองรอยทางประวัติศาสตร และวรรณคดีของพวกเขาโดยไมคํานึงถึงการวิพากษวิจารณและอธิบายวามันเปนสิ่งที่ถูกหรือผิด” อยางไรก็ตามเรื่องราวทางประวัติศาสตรอาหรับที่ปรากฏอยูนั้นก็คือ อิบรอฮีม11ได อพยพมายังเมืองมักกะฮฺพรอมกับลูกและภรรยาของทานซึ่งก็คืออิสมาอีลและนางฮะญัร ตอมาอิสมา อีลและนางฮะญัรก็ไดอาศัยอยูกับเผาุรฮุม ซึ่งเปนกลุมที่สืบเชื้อสายมาจากเกาะฮฺฏอน และไดเติบโต ณ ที่แหงนั้น สวนภาษาที่ชาวุรฮุมไดใชก็เปนภาษาอาหรับ อิสมาอีลจึงไดเรียนรูภาษาอาหรับจาก ชนเผานี้ จากนั้นก็ไดแตงงานและมีลูก 12 คน จากลูก ๆ ทั้ง 12 คน ก็ไดแตกออกเปนเผาตาง ๆ มากมายและกระจัดกระจายอยูตามพื้นที่ในสวนตาง ๆ ของคาบสมุทรอาหรับ กอนการประสูตของศาสนทูตมุฮัมมัด (ค.ศ. 571) ชาวอารเบียแยกกันอยูเปนกลุม ตามเผาพันธุ บางกลุมอยูประจําที่ (เพาะปลูก) บางกลุมเรรอน (คาขาย เลี้ยงสัตว) ไปตามทะเลทราย ที่พอมีแหลงน้ํา การเดินทางไปทะเลทรายตองรวบรวมกันเปนกองคาราวานใหญเพื่อปองกันโจรปลน ระหวางทางโดยใชอูฐเปนพาหนะและบรรทุกสินคา อูฐเปนสัตวที่อดทนมีโครงสรางสามารถเก็บน้ําไว ในรางกายปริมาณมาก สามารถเดินทางหลายสิบวันโดยไมตองกินน้ํา จึงมีการตั้งชื่ออูฐเปน “นาวาแหง ทะเลทราย” อาจพูดวาทะเลทรายอารเบียยอมเหมาะสําหรับชาวอาหรับกับอูฐเทานั้น คนและสัตวพันธุ อื่น ๆ ยากที่จะมีชีวิตอยูในทะเลทรายได (สุรินทร หิรัญบูรณะ, 2550 : 139-140) ประชากรในอารเบีย (สถิติเมื่อ ค.ศ. 1937) ประมาณ 8 ลานคนอาศัยในพื้นที่ตาง ๆ หนึ่งลานคนอยูในแควนฮิญาซ (al-Hijāz) ซึ่งอยูทางภาคตะวันตกติดทะเลแดง ปจจุบันเปนสวน หนึ่งของประเทศซาอุดีอาระเบีย พื้นที่สวนใหญเปนทุงหญาสําหรับเลี้ยงสัตว 1.5 ลานคนอยูในแควน เยเมน ( Yaman) ทางตะวั น ตกเฉี ยงใต ติ ด อ าวเอเดน พื้ น ที่ ส ว นใหญ เ พาะปลู ก ได แ ละมี ทุ ง หญ า ปจจุบันเปนประเทศเยเมน 2.5 ลานคนอยูในแควนนัจด (Najd) และอัล ฮาซา (al-Hasa’) อยูทาง ตะวันออกติดอาวเปอรเซีย ปจจุบันปนประเทศบาหเรนและกาตารซึ่งเปนทุงหญา 1.5 ลานคนอยูใน แควนอะสีร (‘Asīr) ทางทะเลแดงใตเมืองมักกะฮฺ และ 7.5 แสนคนอยูในแควนอุมาน (‘Umān) ปจจุบันเปนประเทศโอมาน ปจจุบันจากการสํารวจของ United States Census Bureau เมื่อกลางป 11
อิบรอฮีม (อับราฮัม) บุตรอาซัร (ประมาณป 1861-1686 กอนคริสตศักราช) เปนศาสนทูตคนที่ 6 ในศาสนาอิสลาม
67
ค.ศ. 2007 ประชากรบนคาบสมุทรอาหรับมีจํานวน 93,307,765 คน โดยกระจายอยูตามประเทศ ตาง ๆ ไดแก ซาอุดีอาระเบีย 27,601,038 คน เยเมน 22,211,743 คน โอมาน 3,102,229 คน สหรั ฐ อาหรั บ เอมิ เ รตส 2,602,713 คน กาตาร 885,359 คน บาห เ รน 698,585 คน คู เ วต 2,800,000 คน อิรัก 27,499,638 คน และจอรแดน 5,906,760 คน12 สํา หรั บ ประชากรเบดูอิ น มี ป ระมาณ 13 ล า นคน โดยตั้ง ถิ่ น ฐานอยู ตามพื้ น ที่ ต าง ๆ ใน คาบสมุทรอาหรับ ไดแก ในซีเรีย 925,000 คน ในซาอุดีอาระเบีย 551,000 คน และในจอรแดน 256,000 คน สวนที่เหลือเปนกลุมที่อาศัยอยูตามประเทศตาง ๆ ในทวีปแอฟริกา ไดแก อียิปต แอลจีเรีย ลิเบีย มอริเตเนีย และโมร็อกโก13
12
Countries and Areas Ranked by Population : 2008. (Online). Search from http://www.census.gov/cgibin/ipc/idbrank.pl [9 May 2008] 13 Cooperative Baptist Fellowship. 2007. Bedouin. (Online). Search from http://www.thefellowship.info/Global%20Missions/UPG/Bedouin.icm [17 May 2007]
68
ภาพที่ 5 การตั้งถิ่นฐานของเผาตาง ๆ ในคาบสมุทรอาหรับศตวรรษที่ 7
ที่มา: D.S. Margoliouth, 1905 : 483 3.2 ความเชื่อและศาสนาของชาวอาหรับ ความเชื่อของชาวอาหรับเริ่มแรกกอนการนับถือศาสนาอิสลามนั้นเปนความเชื่อแบบ สัญลักษณนิยม (Totemism) คือการใชสัตว พืช หรือ วัตถุ เปนสัญลักษณประจําเผา พรอมกับเคารพ นับถือสิ่งเหลานั้น และเชื่อวามันจะปกปองคุมครองและใหความชวยเหลือพวกเขาไดในยามที่ประสบ ความทุกขยากหรือภัยพิบัติ ซึ่งหากสัญลักษณประจําเผาเปนสัตว พวกเขาจะปลอยและไมยุงเกี่ยวกับ มัน และหากเปนพืชพวกเขาก็จะไมตัดหรือนํามาเปนอาหาร นอกจากจะประสบภัยแลงอยางหนัก (Muhammad Abd al-Mu‘īd Khan, Quoted in al-Sayyid Abd al-‘Azīz Sālim, n.d. : 405)
จากความเชื่อขางตนสามารถสังเกตไดจากสังคมอาหรับไดหลายประการดังนี้
69
1. ชาวอาหรับมักตั้งชื่อเผาของตัวเองโดยใชชื่อของสัตวประเภทตางๆ เชน สัตวปา บนูอะสัด (สิงโต) บนูฟะฮด (เสือชีตาร เสือดาว) บนูเฎาะบีอะฮฺ (หมาไน) บนูกัลบ (สุนัข) สัตว บก เชน เซาร (วัว) กิรด (ลิง) ซิอบ (สุนัขปา) ซิบยาน (กวาง) กุนฟุซ (เมน) สัตวปก เชน อุกอบ นัสร (นกอินทรีย) สัตวน้ํา เชน กุรอยช (ปลาฉลาม) พืช เชน หัลเซฺาะละฮฺ (ขี้กาเทศ) นับต (พืช) วัตถุ เชน ซ็อคร ฟฮร (หิน) และสัตวเลื้อยคลาน เชน หัยยะฮฺ หะนัช (งู) เปนตน ซึ่งนอกจาก จะนําชื่อตาง ๆ ขางตนมาเปนชื่อเผาแลว ชาวอาหรับยังนิยมนําชื่อเหลานี้มาตั้งเปนชื่อลูก ๆ ดวย เชนกัน ซึ่งแสดงถึงความเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของสัตวและพืช 2. ชาวอาหรับเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของสัตวตาง ๆ โดยจะเคารพบูชาเหมือนลัทธิ สัญลักษณนิยม (Totemism) อื่น ๆ แตที่แตกตางก็คือชาวอาหรับจะเคารพเพื่อความเปนสิริมงคลใน ชีวิต 3. ชาวอาหรับเชื่อวารูปสลักสัญลักษณประจําเผาสามารถปกปองสมาชิกของเผาจาก ภยันตรายและจะนําโชคและชัยชนะในยามสงครามดวย ดังเชน ในสงครามอุหุด อบูซุฟยาน ไดนํารูป สลักอัลลาตและอุซซาไปทําสงครามดวย ในเรื่องของความเชื่อเกี่ยวกับลางดีและลางรายก็เชนเดียวกัน ชาวอาหรับเชื่อวาการปรากฏของนกบางชนิด เชน นกเขา นกพิราบ เปนลางดี สวนอีกาเปนลางราย เปนตน 4. การหามสัมผัสหรือเอยนามของสัตวสัญลักษณประจําเผาโดยตรงดวยเหตุนี้ทําให ชาวอาหรั บ ต อ งใช ชื่ อ อื่ น เรี ย กแทนชื่ อ จริ ง ของสั ต ว นั้ น ๆ เช น เรี ย ก มั จ ลั ม แทน นะอามะฮฺ (นกกระจอกเทศ) อบู อัลหาริษ แทน อัลอะสัด (สิงโต) อิบนุ อาวา แทน อัษษะอฺละบะฮฺ (หมาไน) และเรียกอุมมุอามิร แทน อัดเฎาะบุอฺ (สุนัขปา) เปนตน 5. เมื่อสัตวที่เปนสัญลักษณประจําเผาตายลง ชาวอาหรับเผานั้น ๆ จะจัดพิธีฝงศพ และไวอาลัยใหกับสัตวอันเปนสัญลักษณ ดังเชน เมื่อ บนู อัลหาริษ พบกวางตายพวกเขาจะนําผามา คลุมและหอซากของมันไวแลวนําไปฝง หลังจากนั้นก็จะไวอาลัยใหมันเปนเวลา 6 วัน หรือเมื่อพวก เขาพบงู พวกเขาก็จะไมทํารายหรือฆามัน เนื่องจากเชื่อวา เมื่อฆามันแลวจะมีปศาจมาลางแคน เปน ตน นอกจากความเชื่อขางตนแลว ชาวอาหรับชนบท และพวกเบดูอินยังมีความเชื่อใน พลังลี้ลับและวิญญาณที่ซอนอยูในสิ่งตาง ๆ เชน นก พืช และวัตถุตาง ๆ รวมถึงดวงดาว ซึ่งมีผลตอ ความเปนไปของโลกและมนุษย ตอมาไดพัฒนาไปสูการเคารพบูชาแผนหินที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะ เชน มีสีขาว อยางเชน รูปเคารพ ญัลซัด ที่หะเฎาะเราะเมาวต ซึ่งเปนแผนหินสีขาวมองดูเผิน ๆ คลาย ใบหนาคน หรือ รูปเคารพ ซุลคุละเซฺาะฮฺ ที่ตะบาละฮฺ มีลักษณะคลายมงกุฎ หรือ ษฺาติอันวาต ที่เปน ต น ไม ใ หญ เ ขี ยวขจี ซึ่ งทุ ก ๆ ป ช าวอาหรับจะไปทํ าพิ ธี บูช าโดยนํ าอาวุธ ไปแขวน นํ าสั ตว ไปเชื อ ด
70
นอกจากนี้ที่มักกะฮฺยังมีตนไมอีก 3 ตน ซึ่งชาวอาหรับใชเปนฐานสําหรับวางรูปเคารพอุซซา และของ เซนไหวตาง ๆ นอกจากนี้ยังมีการนําผามาพันรอบบอน้ํา ตนไม และวาดรูปตามจินตนาการของพวก เขาไวตามกอนหินที่ไดมาจากธารน้ํา รูปลักษณที่ปรากฏขึ้นทั้งหมดลวนมาจากจินตนาการของพวกเขา อยางเชน กอนหิน 2 กอน ที่ตั้งระหวางภูเขาเศาะฟา กับภูเขามัรวะฮฺที่พวกเขาจินตนาการวามันเปนคู ชายหญิงที่ถูกสาปใหเปนหิน เชนเดียวกับหิน 2 กอน ซึ่งตั้งอยูที่บอน้ําซัมซัม โดยใหชื่อวาอิสาฟ กับนาอิละฮฺ ถึงกระนั้นการบูชารูปสัญลักษณของชาวอาหรับก็ไมไดถือวาเปนการบูชารูปสัญลักษณ ในฐานะเทพเจาผูทรงสรางสรรพสิ่งและมวลมนุษยชาติ เนื่องจากในบางครั้งชาวอาหรับอาจสาบานกับ สิ่งที่ตัวเองนับถือ แตบางครั้งก็ดาทอ บางครั้งก็นํามาเปนอาหารในยามที่จําเปน ในชวงศตวรรษที่ 6 กอนคริสตศักราช ชาวอาหรับไดรับอิทธิพลเรื่องศาสนาจากอารย ธรรมใกลเคียง เชน บาบิโลน โรมัน และเยเมน โดยเฉพาะลัทธิบูชาเทพเจาของเยเมนมีอิทธิพลอยาง มากตอลัทธิบูชาเทพเจาของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย และการนับถือดวงดาวซึ่งมีแหลงกําเนิดจาก พวกศอบีอะฮฺ และพวกกิลมาน ซึ่งชาวอาหรับเหนือก็ไดรับเอาความเชื่อนี้มาจากชาวเยเมน ความเชื่อ ดังกลาวมีตรีเทพเปนพื้นฐานหลักโดยตรีเทพนั้นประกอบดวย พระจันทร พระอาทิตย และพระศุกร ซึ่งจะเหมือนกับความเชื่อของชาวบาบิโลเนียน ที่นับถือพระจันทรเปนเทพซีน พระอาทิตยเปนเทพ ซัมซ และพระศุกรเปนอัชตัร โดยพวกเขาถือวา เทพซีน เปนเทพสุงสุดมีฐานะเปนบิดาของเทพซัมซ สัญลักษณของเทพซีนเปนจันทรเสี้ยว ในขณะที่เทพอัชตัร ซึ่งเปนเทพเจาลําดับสามใชสัญลักษณเปน ดาวศุกร ตามความเชื่อของชาวเยเมน ดวงจันทรจะเปนเทพสูงสุด ตอมาเปนพระอาทิตย ซึ่งก็ คื อ ลาต และถื อ ว า เป น ชายาของพระจั น ทร ส ว นพระศุ ก ร ก็ คื อ บุ ต รของทั้ ง สอง ชาวมาอี น เรี ย ก พระจันทรวา วัด สวนชาวสะบาอ เรียกวา วัรค ซีน ฮุบัส อัลมะเกาะฮฺชะฮฺ กะฮล และอะบิม โดยพวก เขาถือวาเป นเทพดั้งเดิ มและเกาแกมากกวาเทพอื่น เนื่องจากพระจันทรนั้นเปนเข็มทิศใหแกค น เดินทางและกองคาราวาน ดวยเหตุนี้ชื่อของดวงจันทรจะมีมากมาย เชน อัลอาดิล อัลกุดดูส อัลหะกีม อัลมุอีร อัลมุบาร็อก และอัลหามีย ตอมาเมื่อถึงยุคอิสลามชื่อตาง ๆ เหลานี้ก็ไดเปลี่ยนมาเปนพระ นามของอัลลอฮฺแตเพียงองคเดียว 3.2.1 รูปเคารพของชาวอาหรับ รูปเคารพของชาวอาหรับมี 2 ชนิดดวยกัน คือ อัสนามและเอาซาน อัสนาม หมายถึง ทุกสิ่งทุกอยางที่เปนที่เคารพนับถือนอกเหนือจากอัลลอฮฺ อาทิเชน ภูเขา ตนไม กอนหิน ฯลฯ และ
71
เอาษาน หมายถึง รูปแกะสลักเปนสัญลักษณแทนเทพเจา อาทิเชน อัลลาต มะนาต ฯลฯ ซึ่งฮิชาม บิน มุฮัมมัด อัลกัลบีย (Hishām bin Muhammad al-Kalbīy) อธิบายวา “เศาะนัมนั้นเปนรูปแกะสลักที่ มีลักษณะเหมือนมนุษยและทํามาจากไม ทองคํา และเงิน สวน วะษัน (เอาษาน) นั้นจะทํามาจากหิน” (al-Sayyid ’Abd al-‘Azīz Sālim, n.d. : 412)
โดยทั่วไปชาวอาหรับจะนํารูปเคารพของพวกเขามาประดิษฐานไวในวิหาร หรือ โบสถ เพื่อใชเปนสื่อกลางในการติดตอกับเทพเจาในการขอพร ในยามที่เจ็บไขไดปวย หรือ ในยามประสบ ปญหาตาง ๆ เพื่อใหเทพเจาชวยดลบันดาลใหแคลวคลาดจากปญหาหรือโรคภัยไขเจ็บ และยังไว สํ า หรั บ บนบานอี ก ด ว ย ส ว นเอาษานซึ่ ง เป น รู ป เคารพที่ ส ลั ก ในก อ นหิ น หรื อ ภู เ ขาหิ น เพื่ อ เป น สัญลักษณแทนเทพเจานั้นชาวอาหรับจะไวสําหรับบูชายัญ เพื่อแสดงความใกลชิดกับเทพเจา ซึ่งสัตวที่ ถูกนํามาเชือดก็จะวางไวบนแทนหินพิธีที่เรียกวา “นุศุบ” ทําจากแผนหิน ที่ตั้งเปนแทนสูงจากพื้นดิน เมื่อกาลเวลาผานไปแทนพิธีก็กลายสภาพเปนรูปเคารพที่ประชาชน บูชานับถือจนในที่สุดก็จะทําพิธี เปลือยกายและวนรอบแทนพิธีเหลานั้น สวนรูปแบบของพิธีเคารพบูชาเทวรูป หรือรูปแกะสลักของชาวอาหรับนั้น ศอฟย อัร เราะมาน อัลมะบาร กาฟูรีย (Safīy al-Rahmān al-Mabār Kafūrīy, 1988 : 27-29) ไดอธิบายวา พิธีกรรมสวนใหญนั้น อัมร บิน ลุไฮยเปนผูริเริ่ม ซึ่งชาวอาหรับเองก็มองวามันเปนความคิดนอกรีตที่ นากระทํา (บิดอะฮฺ หาสานะฮฺ) และไมถือวาเปนการเปลี่ยนแปลงแนวทางของศาสนทูตอิบรอฮีม แตอยางใด ซึ่งมีพิธีการดังนี้ 1. พวกอาหรั บ จะอุ ทิ ศ ตั ว เอง และขอความช ว ยเหลื อ จากเทวรู ป โดยเชื่ อ ว า จะ สามารถตอบสนองสิ่งที่พวกเขาตองการได 2. พวกอาหรับจะไปชุมนุม เดินรอบเทวรูป กมกราบ และแสดงความถอมตัวตอหนา เทวรูป 3. พวกอาหรับจะแสดงความใกล ชิดต อเทวรู ป ดวยการเชื อดสั ตว พ ลี ใ นนามของ เทวรูปนั้น ๆ 3.2.2 ลักษณะของเจว็ดและรูปปนของชาวอาหรับ รูปเคารพของชาวอาหรับมีลักษณะที่แตกตางกันไป บางก็เปนรูปคน บางก็เปนรูป สัตว สวนวัสดุที่นํามาทําเปนรูปเคารพก็มีหลากหลาย เชน ไม หิน หรือสินแรอื่นๆ บางครั้งรูปเคารพ อาจเปนเพียงหินกอนเดียวที่ไดรับสืบทอดตอ ๆ กันมาจากบรรพบุรุษ บุคคลแรกที่ริเริ่มการบูชานับ ถือรูปเคารพ คือ ฮูซัยล บิน มุดเราะกะฮฺ บิน ฮัลยัซ บิน มุฎ็อร ซึ่งไดนําเทวรูป สุวาอฺ จากเมือง ยันบุอฺ
72
สวน กัลบ บิน วับเราะฮฺ จากเผา กุฎออะฮฺ ไดนําเทวรูป วุด มาประดิษฐานไวที่ตําบล เดามาตุลญัลดัล ในขณะที่ อัชอัม จากเผา กัยซ และชาวญะรอจ จากเผา มัซหัจ ไดนําเอาเทวรูป ยะฆูษ มาประดิษฐาน ไว ที่ ตํ า บล ญะรอจ และกลุ ม คั ย วาน ซึ่ ง เป น เผ า สาขาของฮามาดาน ได นํ า ยะอู ก จากเยเมนมา ประดิษฐานในที่ตั้งของเผาฮามาดาน และกลุมสุดทายไดแก ษุลกะลาอ จาก หิมยัร ไดนําเอา นัสร มา ประดิษฐานในที่ตั้งของเผาหิมยัร ยากูต (Yāqūt, 1955 : 367) เลาวา “เดิมทีนั้นเทวรูปทั้ง 5 องค เปนคนดี มีศีลธรรม เมื่อพวกเขาเสียชีวิตลง ญาติ ๆ ตางพากันโศกเศราเสียใจเปนอยางยิ่ง จนในที่สุดก็มีชายคนหนึ่งที่มา จากเผากอบีล มายื่นขอเสนอใหแกบรรดาญาติของผูเสียชีวิตวา “ฉันจะทํารูปเหมือน (รูปปน) ของ พวกเขาใหพวกทานจะเอาหรือไม ?” บรรดาญาติก็ตอบตกลง ชายคนดังกลาวก็ไดแกะสลักรูปเหมือน ของทั้ง 5 คนจนเปนที่เรียบรอย และเชิญบรรดาญาติ ๆ เคารพบูชา จากนั้นประเพณีนี้ก็ไดรับการ ปฏิบัติสืบตอกันมา” นอกจากนี้ยังมีเรื่องเลาอีกวา “ครั้งหนึ่ง อัมร บิน ลุหัย ปวยหนัก เขาจึงเดินทางไปยัง เมืองโมอาบเพื่อรักษาตัว เมื่อไปถึงก็พบวาพวกเขาเหลานั้นตางพากันกราบไหวรูปเคารพ อัมร ก็ถาม พวกเขาวา มันคืออะไร ? พวกเขาตอบวา พวกเราขอใหมันประทานฝน และขอใหพวกเราไดรับชัย ชนะในสมรภูมิรบ” (al-Sayyid ’Abd al-‘Azīz Sālim, n.d. : 414) รู ป เคารพที่ เ ก า แก ที่ สุ ด ของพวกอาหรั บ ได แ ก มะนาต ซึ่ ง ถู ก ประดิ ษ ฐานไว ณ หมูบานแหงหนึ่งแถบทะเลแดง ซึ่งตั้งอยูระหวางเมืองมะดีนะฮฺ กับ มักกะฮฺ รูปเคารพดังกลาวเปนที่ เคารพบูชาของชาวอาหรับสวนใหญ โดยเฉพาะเผาเอาซฺ กับเผาคอซรอจ ดังสังเกตไดจากชวงพิธีฮัจญ ซึ่งพวกเขาจะไมปลงผม จนกวาจะเดินทางกลับไปถึงที่ประดิษฐานของมะนาต มะนาต มีลักษณะเปนแทนหิน คําวา มะนาต หมายถึง ความตาย หรือ เคราะหกรรม ตามความเชื่อของชาวบาบิโลนนั้น มะนาต คือ เทพเจาแหงความตายและเคราะหกรรม ซึ่งพวกเขาจะ เรียกเทพเจาองคนี้วา “มา มานาโต” นอกจากนี้แลว มะนาต ยังเปนรูปเคารพหนึ่งของพวกนาบาเทียน ซึ่งปรากฏบนหลักศิลาจารึกโบราณ รูปเคารพองคตอมาไดแก อัลลาต ถือเปนเทพธิดาแหงฤดูรอน เชนเดียวกับความเชื่อ ของชาวบาบิโลน ในนามของเทพธิดา “ลาโต” สวนชาวนาบาเทียนเชื่อวาเปนเทพเจาแหงดวงอาทิตย โดยลักษณะของ อัลลาต เปนหินสี่เหลี่ยมสีขาว อัลลาต เปนรูปเคารพซึ่ง อัมร บิน ลุหัย ไดนํามาจากพวกนาบาเทียน เพื่อใหเปนรูป เคารพของชาวอาหรับ เดิมที ลาต นั้นเปนชายคนหนึ่งจากเผาษะกีฟ ซึ่งจะรับผิดชอบทําหนาที่โมแปง ใหกับผูที่มาประกอบพิธีฮัจญ ซึ่งเวลาโม ลาต จะโมบนแผนหิน โดยผูคนทั่วไปจะเรียกแผนหินนี้วา “แผนหินของลาต” ตอมาเมื่อชายคนนี้ไดตายลง อัมร บิน ลุหัย ก็ไดบอกกับผูคนวา “ลาต ยังไมตาย
73
แตเขาหายตัวเขาไปอยูในหินกอนนี้” จากนั้น อัมร ก็ไดสั่งใหผูคนเคารพหินกอนนั้น และพวกเขาก็ได สรางอาคารคลุมหินกอนนั้น เญาวาด อลี ใหทัศนะวา “เดิมที ลาต เปนแทนหินสําหรับวางสิ่งบูชายัญ แตเมื่อเวลา ผานไป ผูคนก็ตางพากันเขาใจวาเปนรูปเคารพ” อัลลาต เปนรูปเคารพประจําเผาษะกีฟ เรื่อยมาจวบ จนเผานี้รับนับถือศาสนาอิสลาม (al-Sayyid ’Abd al-‘Azīz Sālim, n.d. : 420) อุซซา เปนรูปเคารพอีกองคหนึ่งของชาวอาหรับ เดิมทีนั้น อุซซา เปนตนไมที่ขึ้นอยู ณ ตําบล นัคละฮฺ โดยตามความเชื่อของชาวอาหรับ เชื่อวา ตนไมดังกลาวไดลอยขึ้นสูทองฟาในรูป ของหญิงงามและกลายเปนดาวศุกร ซึ่งตอมาเผาฆอฏฟาน ใหการเคารพบูชา จากนั้นก็กลายมาเปนที่ แพรหลายในหมูชาวอาหรับ อุซซา เปนเทพธิดาแหงฤดูหนาว และความอุดมสมบูรณ เชนเดียวกับ ความเชื่อของชาวบาบิโลน อาหรับใต และกรีก นอกจากนี้ชาวอาหรับยังถือวา “อัชตาร” เปนเทพธิดา แหงความรักอีกดวย ซึ่งจะมีความเกี่ยวของกับการแตงงาน โดยหากหญิงสาวคนใดตองการแตงงาน ในตอนกลางคืนกอนที่ดาวรุงจะปรากฏ เธอจะตองปลอยผมขางหนึ่ง ทาขอบตาขางหนึ่ง และเดินเขยง เทา ซึ่งหมายถึงการขอพรใหพบเนื้อคู นอกจากนี้เผากุรอยช ยังนับถือ อุซซา เปนรูปเคารพที่สําคัญ และจะมีการมอบสิ่ง บูชามากมาย พรอมกันนี้ พวกเขาจะเอยนามของรูปเคารพตาง ๆ ขางตนในขณะวนรอบกะอฺบะฮฺ สวน ฮูบัล ก็เปนเทวรูปที่สําคัญอีกองคหนึ่งของเผากุรอยช โดยเทวรูปองคนี้แกะสลัก จากโกเมน มีรูปรางเปนมนุษย แขนขวาขาด ตอมาชาวกุรอยชไดนําทองคํามาหลอเปนแขน แลวนําไป ประกอบใหสมบูรณเหมือนเดิม ซึ่งเทวรูปองคนี้ถูกประดิษฐานไวใน กะอฺบะฮฺ และชาวอาหรับมักจะมา เสี่ยงทายการกระทําตาง ๆ ตอหนาเทวรูปองคนี้ ไมวาจะเรื่องแตงงาน คลอดบุตร การเดินทาง การทํา สงคราม ฯลฯ และชาวอาหรับจะถือเปนเทพแหงความอุดมสมบูรณ นอกจากนี้ยังมีรูปเคารพอื่น ๆ อีก เชน อีซาฟ กับ นาอิละฮฺ ซึ่งประดิษฐานอยูดานขาง กะอฺบะฮฺ และบอน้ําซัมซัม ษุลกาฟน อัลก็อย ศ็อร นะฮมุน อาอิม สะอีร ฯลฯ 3.2.3 ลัทธิบูชาดวงดาว ดังที่เคยกลาวมาแลวในตอนตน ชาวอาหรับหลายเผายึดถือลัทธิบูชาดวงดาว อาทิ เชน บูชาดวงอาทิตย ดวงจันทร และ ดาวพระศุกร ยังมีดวงดาวอื่นอีกหลายดวงที่ชาวอาหรับนับถือ เชน เผากินานะฮฺนับถือดวงจันทรและดาวตาวัว (Aldebaran) เผาุรฮุม นับถือดาวพฤหัส เผาฎอย นับถือดาวลูกไก และดาวคาโนปส (canopus) เผาตามีม นับถือดาวตาวัว (Aldebaran) เผาลัคมีย คูซาอะฮฺ และกุรอยชนับถือดาวซีรีอุส (ดิเรก กุลสิริสวัสดิ์, 2521 : 25)
74
นอกจากนี้ ยั ง มี ก ลุ ม อื่ น ที่ บู ช าดวงดาวเหมื อ นชาวอาหรั บ ได แ ก พ วกศอบี อ ะฮฺ ซึ่งอัลอลูซีย (al-’Alūsīy, 1924 : 2/225, quoted in al-Sayyid ’Abd al-‘Azīz Sālim, n.d. : 427) แบงออกเปน 2 กลุมไดแก 1. กลุมที่เชื่อในพระเจาองคเดียว 2. กลุมที่เชื่อในพระเจาหลายองค โดยกลุมที่เชื่อในพระเจาหลายองคจะเคารพนับถือดาวเคราะหทั้งเกาดวงและราศีทั้ง 12 ราศี ซึ่งพวกเขาจะสรางวิหารเฉพาะสําหรับบูชา อาทิเชน วิหารพระอาทิตย วิหารพระจันทร วิหารพระศุกร ฯลฯ โดยนําแนวคิดมาจากจุดเดนหรือขอดีของศาสนาตางๆ ดวยเหตุนี้พวกเขาจึง ไดรับสมญานามวา “ศอบีอี” หมายถึง พวกมิจฉาทิฐิหรือพวกนอกศาสนา ซึ่งลัทธิดังกลาวอาจไดรับ อิทธิพลจากอัสซีเรียนับถือพระเจาหลายองคและเชื่อในดวงดาวโหราศาสตร เวทมนตรคาถา พระเจา องคใหญที่นับถือศาสนาคือ ชิน (พระจันทร) และเรียงไปตามลําดับคือ คามัค (พระอาทิตย) นานี กาล (พระอังคาร-สิงโต) เนโบ (พระพุธ-เจาแหงศิลปะวิทยาการทั้งปวง) มัรดุก (พระศุกรไมมี มี แตอัชตารคือเทพเจาสงครามและความรัก รามันคือเทพเจาแหงทองฟา เทพเจาทุกองคมีกษัตริยซีเรีย เปนผูแทนพระองคทําการตาง ๆ 3.2.4 ลัทธิบูชาไฟ (Zoroaster) ชาวอาหรับบางกลุมยังมีความเชื่อในลัทธิบูชาไฟ ซึ่งไดรับอิทธิพลจากชาวเปอรเซียใน แควนฮีเราะฮฺ เยเมน และบาหเรน ไดแก ลูกเผาตะมีมบางคน เชน สะรอเราะฮฺ บิน อาดัส อัตตะมี มีย กับ ฮาญิบ บิน สะรอเราะฮฺ บุตร อัลอักเราะอฺ และ อบู อัลอัสวัด เปนตน ในขณะเดียวกันซันดาเกาะฮฺ ซึ่งเปนความเชื่อใหมก็เริ่มขยายจากแควนฮีเราะฮฺเขาสู ชาวอาหรับเผากุรอยชโดยผานเสนทางการคากับเปอรเซีย ซึ่งมีความเชื่อหลักสองรูปแบบไดแก แสง สวางกับความมืดและเชื่อในเรื่องของกาลเวลา ปฏิเสธพระเจาผูทรงสรางและการฟนคืนชีพหลังความ ตาย 3.2.5 คริสตและยูดาย คริสตศาสนาเริ่มขยายตัวบนคาบสมุทรอาหรับในชวงคริสตศตวรรษที่ 3 ทั้งนี้สืบ เนื่องจากศูนยกลางของคริสตศาสนาในซีเรีย อิรัก เอธิโอเปย และตอนใตของคาบสมุทรอาหรับ
75
สงผลใหชาวอาหรับที่อาศัยอยูในแถบดังกลาวนับถือศาสนาคริสต เชน เผาตัฆลุบ เผาบักร และ เผาฎอย ซึ่งไดสรางโบสถที่มีชื่อวา “ดิยาร บักร” ดังปรากฏมาจนถึงปจจุบันในเขตเดามาตุลญันดัล สวนศาสนายูดายไดขยายตัวในเขตทางตอนใต โดยเฉพาะที่เยเมนซึ่งเปนผลมาจาก การติดตอคาขายของกษัตริยฮิมยัร กับ ชาวยิว ในเมืองมะดีนะฮฺ ที่กระจายตัวอยูตามพื้นที่ตางๆ ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากเมื่อครั้งที่อาณาจักรโรมันไดบุกทําลายเมืองเยรูซาเล็มในปคริสตศักราชที่ 70 สงผลใหชาวยิวตองหนีเอาตัวรอดไปอาศัยอยูตามเมืองตาง ๆ ในตอนกลางของคาบสมุทรอาหรับ เชน ไคบัร มะดีนะฮฺ วาดียอัลกุรอ ฟะดักและไตมาอ ถึงแมวาชาวยิวจะดําเนินชีวิตอยูรวมกันกับชาวอาหรับ แตพวกเขาก็ไมอาจที่จะประสบความสําเร็จในการเผยแผศาสนาของตนเองไปสูชนชาวอาหรับได เนื่องจากอุปนิสัยบางอยางของชาวยิว เชน การผิดสัญญา และการคดโกง เปนตน นอกจากลัทธิความเชื่อ และศาสนาดังที่กลาวมาขางตนแลว ยังมีหลักธรรมหะนีฟยะฮฺ (Hanīfīyah) ซึ่งเปนหลักธรรมที่ยึดถือในพระเจาองคเดียวตามแนวทางของทานศาสนทูตอิบรอฮีม และไมถือวาหลักธรรมดังกลาวเปนศาสนาใหมดังเชนศาสนาคริสต ยูดาย และอิสลาม (Jawwād ‘Alīy, 1959 : 5/370, quoted in al-Sayyid ‘Abd al-‘Azīz Sālim, n.d. : 435) โดยหลักธรรมนี้ ไดรับการยึดถือ และปฏิบัติในหมูชาวอาหรับกอนการเผยแผของศาสนาอิสลาม และมีสวนสําคัญใน การลบลางความเชื่อที่บูชาเทวรูป กลุมผูยึดถือหลักธรรมนี้ ไดแก ซัยด บิน อัมร บิน เนาฟล ซูวัยด บิน อามิร อัลมุศเฏาะลากีย ซุฮัยร บิน อบีสุลมา และอุษมาน บิน อัลหาริษ เปนตน 3.3 วัฒนธรรมทองถิ่นอาหรับ สภาพของคาบสมุทรอาหรับ มีพื้นที่สวนใหญเปนทะเลทราย ปราศจากแหลงน้ํา สวน พื้นที่บริเวณชายขอบจะเปนพื้นที่อุดมสมบูรณ จากสภาพดังกลาวเปนผลทําใหผูคนที่อาศัยอยูในพื้นที่ แบงออกเปน 2 กลุม คือ กลุม ชาวเผาเรรอนหรือพวกเบดูอิน และกลุมชาวเมืองที่ประกอบอาชีพ เกษตรกรรม คาขาย และหัตถกรรม โดยกลุมนี้จะมีที่อยูอาศัยและพื้นที่ทํากินที่มั่นคง ถาวร พวกเซมิติกที่ยังคงเหลืออยูในปจจุบันสองพวกคือพวกอาหรับและฮิบรู พวกยิวกระ จายออกไปทั่ว ตางกับพวกอาหรับในอารเบีย โดยเฉพาะพวกเบดูอิน ถือเปนทายาทตัวจริงของเซมิติก ยังคงรักษาสภาพทั้งทางชาติพันธุแลทางสังคมจิตวิทยา ภาษาพูด อยูไดจนถึงทุกวันนี้เพราะดินแดน อารเบียลอมรอบดวยทะเลและทะลทราย ทําใหคงความบริสุทธิ์ของเผาพันธุอาหรับ ดั่งที่ชาวอาหรับ กลาวถึงตนเองวา “เกาะของชาวอาหรับคือเกาะที่ลอมรอบดวยน้ําสามดาน และลอมดวยทะเลทราย เปนดานที่สี่” ดินแดนนี้จึงสามารถรักษาสภาพความสัมพันธระหวางมนุษยกับแผนดินไวไดโดยไมถูก รบกวนจากป จจัยภายนอก อาจจะมีค นเผาพั นธุ อื่ นผ านเขามาในดิ นแดนทะเลทรายบาง แตก็ไม
76
ปรากฏวาเอาชนะทะเลทรายสามารถตั้งถิ่นฐานบนดินแดนนี้ได มีเพียงชาวอาหรับเทานั้นที่เปนผูรักษา สถิติอาศัยอยูได (สุรินทร หิรัญบูรณะ, 2550 : 138-139) วัฒนธรรมอาหรับดั้งเดิมนั้นจะปรากฏอยูในวิถีชีวิตของชาวเบดูอิน ซึ่งมีลักษณะเรียบ งาย ไมซับซอน ทั้งในเรื่องของการแตงกาย อาหารการกิน และวิถีชีวิตความเปนอยู จะเห็นไดวาชาว เบดูอินยังคงรักษาวัฒนธรรมดังกลาวไวอยางเหนียวแนน แมวาวิถีชีวิตของชาวอาหรับ สวนใหญจะ เปลี่ยนแปลงไปก็ตาม สําหรับวัฒนธรรมของชาวเมืองนั้ น เนื่ องจากวิถี ชีวิตของชาวเมือ งเปลี่ ยนไปตาม สภาพของการเมือง โดยเริ่มจากชุมชนเล็ก ๆ และขยายไปเปนชุมชนใหญ พรอมกับมีการติดตอกับ วัฒนธรรมจากภายนอก จึงเปนผลใหวิถีชีวิตเปลี่ยนไป โดยเฉพาะเมื่อชาวอาหรับประสบความสําเร็จ ในดานการปกครอง ซึ่งสามารถพิชิตดินแดนตาง ๆ ไดที่สําคัญคือ เปอรเซีย และโรมัน ทําใหเกิดการ เปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมขึ้น กลาวคือ เดิมทีชาวอาหรับมีวิถีชีวิตที่เรียบงาย ไมหรูหรา ก็หันไปใช ชีวิตที่หรูหรา เนนความสะดวกสบายอยางโรมัน และเปอรเซีย ดังจะพบไดจากวิถีชีวิตของเคาะลีฟะฮฺ และเจาขุนมูลนาย ทั้งมีการนําเอาระบบ “นางใน” หรือ ฮาเร็ม จากไบแซนไทน เขามาในดานการแตง กาย ชาวอาหรับไดนําการแตงกายจากเปอรเซีย ทั้งเสื้อคลุม หมวก และรองเทา โดยเฉพาะในสมัย ราชวงศอับบาสียะฮฺ จะปรากฏวัฒนธรรมของชาวเปอรเซียมากที่สุด ดังนั้นจึงกลาวไดวาวัฒนธรรม อาหรับนั้นไมไดเปนวัฒนธรรมที่หยุดนิ่ง หากแตมีการพัฒนาอยูตลอดเวลา โดยเปลี่ยนไปตามระบบ การเมือง การปกครองเปนหลัก โดยเฉพาะในชวงเวลาแหงการขยายดินแดน การปกครอง บรรดานักปราชญในศาสนาอิสลามมักจะเขาใจผิดคิดวา อดีตของชาวอาหรับกอนที่ ศาสนาอิสลามจะอุบัติขึ้น เปนระยะเวลาหนึ่ง “Jahiliyat” หรืออีกนัยหนึ่งคือเปนยุคมืด คือเปนยุคมืด แหงความโงเขลาและงมงาย อันที่จริงแลวอารยธรรมอาหรับก็เชนเดียวกันกับอารยธรรมแขนงอื่น กลาวคือมีอดีตความเปนมาอันยาวนาน อารยธรรมอาหรับสัมพันธอยางใกลชิดกับการวิวัฒนพัฒนา ของชนเผาเซไมต ฟนีเชียน ครีต คัลเดียน และฮิบรู ทั่ ว ราชอาณาจั ก รอั น เป น ของชนเผ า เซไมต นี้ ต า งก็ มี ก ารติ ด ต อ และแลกเปลี่ ย น วัฒนธรรมความคิดเห็นซึ่งกันและกัน อาจกลาวไดวา ชนเผาเหลานี้มีพื้นหลังเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน อยูไมนอยอารยธรรมของชาวอาหรับในสวนที่เกิดขึ้นกอนยุคอิสลามนั้น ไดเติบโตขึ้นในดินแดนเยเมน เปน สวนใหญ ชาวอาหรับไดข ามน้ํ าขามทะเลไปไกลเพื่อการค า แมในสมัยกอนศาสนาอิสลาม ก็ ปรากฏวามีนิคมของชาวอาหรับอยูสวนหนึ่งในประเทศจีนตอนใตใกลนครกวางตุง วัฒนธรรมที่ชาวอาหรับนําติดตัวไปดวยยังดินแดนไกลตาง ๆ ที่ตนบุกไปถึงนั้น อันที่ จริงแลวก็มีสภาพแปรเปลี่ยนและวิวัฒนพัฒนาอยูในตัวไปเรื่อย ๆ วัฒนธรรมนี้มีรอยประทับอยาง หนักแนนดวยมโนคติใหม ๆ แหงศาสนาอิสลาม แตออกจะเปนการผิดพลาดและสับสนอยูสักหนอย
77
หากเราจะขนานนามมันวาเปนอารยธรรมอิสลาม เมื่อไดปกหลักโดยตั้งเมืองหลวงที่นครดามัสกัส เรี ย บร อ ยแล ว ชาวอาหรั บก็ เ ลิ ก ละวิ ถี ชี วิ ต ง า ย ๆ อั น เป น ของเดิ ม ของตน แล ว หั น ไปมี ชี วิ ต และ วัฒนธรรมแบบหรูหราสํารวย ยุคนี้อาจจะเรียกไดวาเปนยุคอารยธรรมอาหรับ – ซีเรีย ชาวอาหรับ ไดรับอิทธิพลจากวัฒนธรรมไบเซนไทนดวย แตที่สําคัญที่สุด ในเมื่อไดเคลื่อนที่ไปถึงนครแบกแดด นั้น ชาวอาหรับไดรับไวซึ่งอิทธิพลแหงประเพณีนิยมของประเทศอิหรานโบราณ และไดพัฒนาอารย ธรรมอาหรับ – เปอรเซียขึ้น ซึ่งตอมาไดครอบคลุมไปทั่วดินแดนอันกวางไกลไพศาลที่ชาวอาหรับเขา ไปมีอํานาจครอบครอง (ยวาหระลาล เนหรู, 2537 : 437-438) วัฒนธรรมทองถิ่น จารีตประเพณีและคานิยมตาง ๆ จึงคงลักษณะดั้งเดิมโดยไมถูก ครอบงําหรื อรั บอิ ทธิ พลใด ๆ จากวัฒนธรรมต างชาติ คนพื้น เมื องของภู มิ ภาคนี้ แ บงออกเป น 3 ประเภทคือ ชาวเมือง และชนชั้นสูงที่อยูในเมือง ชาวนา ชาวบานที่อาศัยอยูในชนบทหรือตามโอเอซิส (Oasis) และชาวเบดูอินที่มีอาชีพเลี้ยงสัตว ไมมีที่อยูอาศัยเปนหลักแหลง แตเดินทางเรรอนไปใน ทะเลทรายเพื่อหาแหลงน้ําและทุงหญาใหแกฝูงสัตวของตน วิถีการดํารงชีวิตของประชาชนตั้งแตครั้ง โบราณจนถึงปจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไมมากนัก ถึงแมประเทศมีการพัฒนาไปสูความทันสมัย วิถี ชีวิตของชนทั้ง สามประเภท มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธกันอยางไมเหนียวแนนแตก็ตองอาศัยพึ่งพาซึ่ง กันและกัน วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของชนพื้นเมืองทองถิ่น สามารถอธิบายไดจากวิถีการดําเนินชีวิตและ การประกอบอาชีพที่สําคัญ ชาวเมือง คือ ผูที่อาศัยอยูในชุมชนเมืองที่ประกอบดวยผูมีอาชีพหลากหลาย เปนผูมี อํานาจในการปกครอง ขาราชการ พอคา นักธุรกิจ ชางฝมือ เจาหนาที่ทางกฎหมายเปนชนชั้นสูงที่มี วัฒนธรรมแตกตางจากชาวเรรอน และชาวบาน หรือชาวไร ชาวนา คนชั้นกลางที่เปนพอคา ชางฝมือ ผูชํานาญทางอาชีพดานใดดานหนึ่ง และเจาหนาที่ชั้นผูนอย ผูที่เปนชนชั้นลาง คือ พอคาเร กรรมกร และชาวเบดูอิน เมืองเปนศูนยกลางการคาขาย มีตลาดเปนที่แลกเปลี่ยนสินคาของเกษตรกร ชาวนาชาวไรประกอบอาชีพกสิกรรม อาศัยอยูในหมูบาน ตามโอเอซิส ซึ่งมีแหลงน้ํา ที่ ส ามารถทํ า การเพาะปลู ก ได ความสั ม พั น ธ กั บ ชาวเมื อ ง คื อ การเสี ย ภาษี ใ ห แ ก ผู ค รองในเมื อ ง ชาวบานชาวนาเปนเจาของที่ดินเล็ก ๆ แตละหมูบานเปนครอบครัวที่เปนญาติเกี่ยวโยงกัน แตละ ครอบครัวมีผูนําที่มีอาวุโสจากครอบครัวที่มีอิทธิพลสูงสุดในตระกูลที่แบงอํานาจในการปกครองของ หมูบานรวมกับหัวหนาตระกูลอื่น ๆ ชาวนาเหมือนชาวเรรอนที่มีชีวิตอยูอยางสงบ ชาวบานปฏิบัติตน เปนที่พอใจผูมีอํานาจ ไมเชื่อถือสิ่งตาง ๆ ที่มาจากสังคมภายนอกหมูบาน หรือแมแตเพื่อนบานของ ตนเอง และมีทัศนคติทางลบตอการเปลี่ยนแปลงสถานะในสังคมของชาวนาไมมีใครปรารถนา เปนที่ดู ถูกของชาวเมืองและชาวเรรอนวาเปนทาสของแผนดิน ในขณะที่ชาวนาชาวไรเปนผูผลิตอาหารเลี้ยงดู ประชากรทั้ง 2 กลุม
78
ชาวเรรอนเบดูอินเดินทางเรรอนไปในทะเลทรายในคาบสมุทรอาระเบีย เพื่อหาแหลง น้ําและทุงหญาใหแกฝูงสัตวของตนโดยไมมีที่พักพิงเปนหลักแหลง ชาวเบดูอินเลี้ยงสัตวเพื่อขายใหแก ชาวเมือง ชาวนา และแลกเปลี่ยนสินคาที่ตองการ เชน อาหาร เสื้อผา ชาวเบดูอิ นจะอาศัยอยูใ น กระโจมที่ทําดวยขนแกะหรือขนมา มีทรัพยสมบัติเทาที่สามารถบรรทุกไปบนหลังสัตวเทานั้น กระโจม แบงออกเปน 2 สวน สวนแรกเปนที่อยูของผูชาย อีกสวนหนึ่งเปนของผูหญิง เด็ก และขาวของที่ จําเปน ชาวเบดูอินจะอยูรวมกันเปนกลุม สวนที่เล็กที่สุดคือครอบครัว (Family) แตละครอบครัวจะ รวมกั น เป น ตระกู ล ( Clan) ซึ่ ง มี ค วามเกี่ ย วพั น กั น ทางสายเลื อ ด และรวมหลายตระกู ล เป น เผ า (Tribe) มีผูอาวุโสที่สุดเปนหัวหนาเผาเรียกวาชัยคฺ (Shaykh) และใชชื่อบรรพบุรุษไวหนาชื่อรวมกัน (Philip K. Hitti, 1970 : 26)
เต็นทที่พักและเครื่องไมเครื่องมือตาง ๆ ที่เรียบงายของครอบครัวนั้นเปนทรัพยสิน สวนตัว แตแหลงน้ํา ทุงหญาเลี้ยงสัตว และพื้นที่เพาะปลูกถือเปนทรัพยสินสวนรวมของเผานั้น ๆ หากสมาชิกคนใดกระทําผิดตอคนในตระกูลเดียวกัน จะไมมีใครชวยปกปองใหพนผิด ในกรณีที่เขาได หลบหนีก็ ก ลายเป น คนนอกกฎหมาย แต หากว าการฆาตกรรมเปนการกระทํ ากับตระกู ลอื่ น การ พยายามแกแคน ก็ยอมจะเกิดขึ้น ซึ่งถือวาเปนที่ยอมรับโดยทั่วไปหลีกเลี่ยงไมได และสมาชิกใน ตระกูลเดียวกันอาจจะตองจายคาชดเชยแทน แมกระทั่งดวยชีวิต ความกลาหาญเปนสิ่งสําคัญและจําเปน เบดูอินจําเปนตองปองกันตัวเองใหรอดชีวิต จากการโจมตีของศัตรู ทั้งหมดนี้จะตองไดรับความชวยเหลือสนับสนุนจากครอบครัว การมีชีวิตอยู รอดขึ้นอยูกับการเกาะกลุมกับครอบครัวเปนหนึ่งเดียว การจะไดรับความชวยเหลือสนับสนุนเบดูอิน ตองยอมรับกฎและคานิยมของครอบครัว โดยการรวมผลประโยชนของครอบครัว มีความซื่อสัตยและ จงรักภักดีตอครอบครัว ผูชายเปนหัวหนาครอบครัว และกลุมคนในครอบครัวที่เกี่ยวดองเปนญาติจะ ถูกปกครองโดยชายที่เปนหัวหนาของตระกูล ผูชายจะตอสู ลาสัตว เลี้ยงสัตว และมีสังคมกับผูชายของ ครอบครัวอื่น ๆ ผูหญิงอยูรวมกันอยางใกลชิด ขณะที่ผูชายออกไปหาเลี้ยงสัตว ผูหญิงจะซอมแซม กระโจม เก็บฟน เตรียมอาหาร และเลี้ยงดูเด็ก ทอผาดวยขนสัตว ทําพรม เด็กชายจะถูกเลี้ยงและ ไดรับการเอาใจใสอยางดีเพื่อสืบตระกูลของครอบครัว ถาครอบครัวมีลูกผูหญิงพอแลวทารกหญิงที่ เกิดใหมจะถูกฝงทั้งเปน ครอบครัวขยายเปนหลายครอบครัวและเปนตระกูลในหลายอายุคน เมื่อ หัวหนาตระกูลตายลูกชายแตละคนที่แตงงานแลวจะเปนผูนําของครอบครัวใหมและเริ่มตระกูลใหม แตละตระกูลจะตั้งชื่อจากบรรพบุรุษ ตระกูลหลายตระกูลรวมกันเปนเผา เมื่อมีการแยกเผาจะมีเผาที่ คงเหลืออยูเพื่อสืบเชื้อสายบรรพบุรุษโดยใชชื่อตระกูลเดิม เผาที่แยกออกไปจะตั้งชื่อใหม ดังนั้นทุก เผาจะประกอบดวยเชื้อสายตระกูลเปนเครือญาติกัน หัวหนาเผาหรือชัยคฺ (Shaykh) จะถูกคัดเลือกโดยตระกูลที่เปนเชื้อสายเดียวกันของ เผา จะเปนผูที่มีอายุมากที่สุด หรือเปนสมาชิกคนสําคัญที่ถูกเลือกมาจากญาติที่ใกลชิดและไดรับความ
79
เห็นชอบจากทุกตระกูลในเผา หัวหนาเผาปกครองดวยความยินยอมของตระกูลตาง ๆ ในเผา และ รักษาตําแหนงดวยบุคลิกลักษณะที่เขมแข็ง ตัดสินปญหาขอขัดแยงดวยความฉลาด ถาเมื่อใดสมาชิก ในเผาไมใหความยินยอม หัวหนาเผาก็ตองออกจากตําแหนง หัวหนาเผาใชอิทธิพลเหนือคนในเผา ทํา หนาที่เปนหัวหนาหรือผูนําในที่ประชุม (Majlis) จะเปดโอกาสใหมีการพูดคุยถกเถียงปญหาที่สําคัญ ทุกวัน และรับเรื่องราวรองทุกขหรือขอหารือจากสมาชิกของเผาในเรื่องสวนตัวหรือเรื่องของสาธารณะ เป น หน า ที่ ข องที่ ป ระชุ ม ที่ จ ะแก ป ญ หายุ ติ ข อ ขั ด แย ง และตั ด สิ น ใจเรื่ อ งเกี่ ย วกั บ เผ า ที่ ป ระชุ ม จะ ประกอบดวยผูชายจากทุกครอบครัว แตผูมีอาวุโสจะไดรับความนับถือและมีอิทธิพลมากกวา หัวหน จะตองไดรับความเห็นชอบโดยเอกฉันทจากสมาชิกในการตัดสินปญหา เมื่อขัดแยงไมสามารถหาขอ ยุติไดในตระกูล ตองนําเรื่องเขาสูที่ประชุมซึ่งจะประกอบดวยผูแทนจากทุกหนวยครอบครัว (Philip K. Hitti, 1970 : 28)
ความขั ดแย ง ภายในเผ าจะมี ก ารประนี ประนอมโดยบุ ค คลที่ มี ความเกี่ ยวพั น ทาง สายเลือดกับคูกรณี แตความขัดแยงระหวางเผาอาจไมสามารถยุติไดดวยการเจรจาตอรอง แตจะเปน ความอาฆาตระหวางตระกูล ที่จะตองตอสูแกแคนดวยสายเลือดโดยคณะ 5 บุคคล ซึ่งก็คือญาติที่มี ความเกี่ยวดองกัน 5 ระดับ รวมทั้งญาติที่หางออกไป เชน ลูกพี่ลูกนองชั้นที่ 2 ถาเปนผูชายถูกฆาตาย ญาติที่เกี่ยวดองกัน 5 ระดับ จะเปนผูกระทําตอบ หรือแกแคนสมาชิกในตระกูลของผูกระทําผิดที่อยู ในความเกี่ยวดองกันจะตองรวมรับผิดชอบในการกระทําผิดของสมาชิก และมีความชอบธรรมที่จะถูก ฆาในการแกแคนนั้นดวย โดยปกติผูกระทําผิดจะหนีไปหาที่หลบภัยอยูกับเผาที่หางไกลออกไป และ พยายามตอรองคาเสียหาย และกลับมาเจรจาหลังจากญาติผูเสียหายที่เปนสมาชิกทั้ง 5 ระดับ ลด ความโกรธแคนลง หากการเจรจาตอรองระหวางสองเผาไมเปนผลตองใชผูอาวุโส (ชัยคฺ) จากเผาที่ เป น กลางมาช วยเจรจา ซึ่ งจะจบลงด วยการจ ายค าทดแทนให แ ก เ ผ าที่สูญ เสี ย (บะชี ร มะฮดี อลี (สัมภาษณ), 20 พฤษภาคม 2550) แตละเผาจะตอสูเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของเผา และแกแคนแกผูทํา รายสมาชิกของเผา อันถือเปนหนาที่ผูกพันที่จะแกแคนแกเผาที่เปนผูกระทํา ไมใชตอบุคคลคูกรณีซึ่ง จะลางแคนดวยความอาฆาตสืบตอหลายชั่วอายุคน จนบางครั้งสูญสลายไปทั้งเผา (Adams, 1991 : 492)
พวกเบดู อิ น จะอ างสิ ท ธิ ใ นอาณาเขตที่มี ทุ ง หญ า และบอ น้ํ าที่ ได ใ ช อ ยูเ ป น ประจํ า ครอบครัวที่สืบเชื้อสายของตระกูลแตละเผาจะเปนเจาของบอน้ํา หรือโอเอซิสที่สมาชิกของเชื้อสาย ปลูกตนอินทผลัมและพืชผัก พื้นที่อาณาเขตของเผาอาจใหแกเพื่อนของเผาและครอบครัว เผาตาง ๆ จึงพยายามรักษาความเปนเพื่อนระหวางครอบครัวหรือเผาใหกวางขวางออกไป เพื่อที่จะไดมีแหลง ทรัพยากรที่ตองการเมื่อตองอยูในภาวะจําเปน ชาวเบดูอินจะถือประโยชนของเผาเปนสําคัญ เมื่อ ผลประโยชนของเผาขัดกัน จึงมีการตอสูทําสงครามระหวางเผาอยูเสมอ การปลนสะดมก็เปนสวนหนึ่ง ของการดํารงชีพนอกเหนือจากการเลี้ยงสัตว กลอนโบราณของอาหรับกลาววา “เปนหนาที่ของเราใน
80
การปลนสะดมศัตรู หรือเพื่อนบาน หรือพี่นองของเราเอง ถาไมมีผูใดใหเราปลนได” (ประจักษ ชวย ไล, 2521 : 4) การปลนสะดมหรือการรุกรานจะใชเวลาหลายเดือนและกินระยะทางไกลเพื่อมิใหผูถูก รุกรานตามแกแคนไดงาย ทรัพยสินที่ยึดมาไดจะถูกแบงปนในระหวางการเลี้ยงฉลองจะมีการรองรํา ทําเพลง ซึ่งกลายเปนตํานานในความกลาหาญของผูรุกราน การรุกรานหรือปลนสะดม หรือสงครามระ หวาเผามีกฎพื้นฐานวาตองมีความยุติธรรมจะทําไดหลังการประกาศสงคราม และกับผูเทาเทียมกันซึ่ง สามารถจะตอสูหรือโตตอบไดเทานั้น การรุกรานจะไมทําระหวางเที่ยงคืนถึงพระอาทิตยขึ้น เนื่องจาก เชื่อวาวิญญาณของมนุษยไดลองลอยออกจากรางกายขณะนอนหลับ เบดูอินจะหนีเมื่อศัตรูมีจํานวน มากกวา จะไมฆาผูที่ไดรับบาดเจ็บหรือนักโทษ (อุษา จารุภา, 2541 : 51-52) อะเศาะบียะฮฺ (‘Asabīyah) หรือจิตวิญญาณของตระกูลซึ่งเปนอัตลักษณที่สําคัญของ อาหรับ บงชี้ถึงความซื่อ สัตยอยางไรขอบเขต และปราศจากเงื่อนไขตอเพื่อนรวมตระกูล และใน ความหมายกวาง ๆ อาจจะสอดคลองกับลัทธิรักชาติที่มีรูปแบบคลั่งไคลและอคติ บทกาพยตอนหนึ่ง ไดรําพันไววา “จงซื่อสัตยตอเผาพันธุของสูเจา” ซึ่งเสียงเรียกรองดังกลาวนี้ มั่นคงพอที่จะโนมนาว เหลาสามีจนทอดทิ้งภรรยาอันเปนที่รักไดอยางงายดาย ลักษณะพิเศษเฉพาะซึ่งขจัดมิไดของตระกูล ซึ่งเปนบุคลิกภาพของปจเจกสมาชิกตระกูลที่ขยายใหญ เชื่อวาตระกูลหรือเผาพันธุ อยางใดอยางหนึ่ง นั้นเปนหนวยทางสังคมที่สมบูรณในตัวเอง พึ่งพาตนเองได และมีลักษณะตายตัวแนนอนและมองวา ตระกูลหรือเผาพันธุอื่น ๆ นั้น คือเหยื่อที่ชอบธรรมของตนเอง และเปนเปาหมายของการปลนสะดม และการฆาตกรรมได อิสลามในระยะแรก ไดใชประโยชนจากระบบเผาเพื่อวัตถุประสงคทางดานการทหาร อยางเต็มที่ กองทัพมุสลิมไดถูกจัดแบงหนวยรบตาง ๆ เหมือนกับการแบงเผา สามารถแกปญหา ใหแกประชาชนในดินแดนที่ถูกบุกเบิกใหมไปตามสภาพของแตละเผา และได ปฏิบัติตอ ผูเขารั บ อิสลามใหมจากเผาตาง ๆ ฉันทพี่นอง ลักษณะที่ไมเปนมิตรของลัทธิความคลั่งไคลในตัวเองนี้ ไมเคย ที่จะถูกครอบงําได โดยบุคลิกภาพอาหรับแบบใหมที่ไดเริ่มพัฒนาและเปดโฉมหนาขึ้นหลังจากการ กําเนิดของอิสลาม และความคลั่งไคลดังกลาวจึงกลายเปนปจจัยสําคัญอยางยิ่งยวดที่นําไปสูการขาด เสถียรภาพและการลมสลายในบั้นปลายของรัฐอิสลามในยุคตาง ๆ ในขณะเดียวกันชาวอาหรับก็มี คุณลักษณะที่ตรงขามกับที่กลาวมาขางตน คือ มีความมีมรรยาท มีไมตรี ความออนโยน และใจกวาง เมื่อเปนเจาภาพผูถูกรับเชิญจะถูกคาดหมายวาจะรับคําเชิญและรับของขวัญ การตอนรับแขกดวย อัธยาศัยไมตรีเปนหนาที่ที่ตองปฏิบัติ ตองแสดงความใจกวาง ทั้งที่อาจจะตองฆาอูฐตัวสุดทาย เพื่อ เปนอาหารเลี้ยงแขก ถาคนแปลกหนาหรือแมแตศัตรูตอบรับเชิญมางานกินเลี้ยง ชาวเบดูอินจะถือวา เปนหนาที่ที่จะตองปกปองชีวิตของผูมาเยือนไวดวยชีวิตของตัวเอง
81
ชาวเบดูอินจะเปนที่นับถือและหวาดกลัวของชาวไรชาวนา คานิยมของชาวเบดูอิน ไดรับการยอมรับวาเปนอุดมคติของคนทั่วไปทั้งคาบสมุทร คานิยมนี้แสดงผานสุภาษิตเชน “ยอมตาย อยางมีศักดิ์ศรีดีกวาอยูอยางต่ําตอย” หรือ “ไมมีสิ่งใดทําใหผูชายมีความต่ําตอยมากไปกวาการตกอยู ในอํานาจของผูอื่น” (Lindsay, 1991 : 49) เปนตนกําเนิดของความรูสึกที่มีอํานาจเหนือ ความรูสึก รุนแรงและซับซอน ความมีเกียรติยศ ศักดิ์ศรีคือการแสดงความจงรักภักดีตอครอบครัว มีความกลา หาญ เข ม แข็ ง การป อ งกั น ตนเองมี ม ารยาท มี อั ธ ยาศั ย ไมตรี ต อ นรั บ มี จิ ต ใจกว า งขวาง เอื้อเฟอเผื่อแผ ไมมีงานที่ต่ําตอย เชน ทํานา ทําฟารม หรืองานที่ทําใหมือสกปรก งานใชแรงงาน วิถี ชีวิตของประชาชนในทองถิ่นสะทอนใหเห็นถึงความนับถือเกียรติยศ ความภาคภูมิในสายเลือดบริสุทธิ์ ไมเชื่อถือไววางใจบุคคลที่มาจากภายนอกสังคมที่มิใชพี่นอง เพื่อน ชนเผาเดียวกัน ตอตานสิ่งแปลก ใหม ความทันสมัย ประเพณีที่แตกตาง คานิยมและวัฒนธรรมทองถิ่นโดยเฉพาะชาวเบดูอินเปน รากฐานสําคัญของสังคมอาหรับ สําหรับสถานภาพของสตรีชาวเบดูอิน เอส เอ็ม ซเวเมอร (S.M. Zwemer, 1900 : 268-269) ไดรวบรวมทรรศนะของนักวิชาการหลายทานไวดังนี้ เบอรคฮารด (Burckhardt) ซึ่งเปนนักเขียนเกี่ยวกับอาหรับที่ไดรับการยอมรับมาชา นาน บันทึกวา “ชาวเบดูอินนั้นจะรูสึกอิจฉาสตรีของพวกเขา แตก็ไมไดหามปรามนางทั้งหลายสนทนา พูดคุยกับคนแปลกหนา (ผูชาย) เหตุการณทุบตีหรือลงโทษภรรยาไมคอยปรากฏใหเห็นในวิถีชีวิต หรือสังคมทะเลทราย ถาหากเขาลงโทษภรรยาแลว เธอจะรองตะโกนขอความชวยเหลือจากญาติ อาวุโสผูซึ่งจะทําหนาที่ไกลเกลี่ยสามีและตักเตือนสามีใหรับฟงเหตุผล โดยทั่วไปแลวภรรยาและลูกสาวจะปฏิบัติกิจการตาง ๆ ภายในครัวเรือนพวกนางจะ บดขาวโพดดวยโมหินหรือตําดวยครก จัดเตรียมอาหารเชา และเย็นนวดแปง ปงขนมปง เตรียมเนย น้ํา จากนั้นนางยังตองทําหนาที่ปนดายและทอผา ซอมแซมกระโจม กลาวไดวาพวกนางมีชีวิตที่ตอง ตรากตรําเหน็ดเหนื่อย ในขณะที่สามีหรือญาติฝายชายนั่งสูบมอระกูอยางสบายอารมณอยูดานหนา กระโจม เลดี แอนน บลุนต (Lady Ann Blunt) นักวิชาการที่ทองเที่ยวและใชชีวิตอยู ทามกลางอาหรับเผาตาง ๆ แถบที่ราบลุมแมน้ํายูเ ฟรติสกับสามีของเธอ โดยเธอไดตั้งขอสังเกต เกี่ยวกับสตรีชาวเบดูอินวา “คําบรรยายสั้น ๆ ก็นาจะเพียงพอแลวในการบรรยายสภาพสตรีเผาเบดู อิน กลาวคือ ขณะที่เปนเด็กพวกเธอทั้งหลายจะดูนารักไรเดียงสา และมักจะมีใบหนาที่ยิ้มแยมแจมใส และราเริง นอกจากนี้พวกเธอยังมีรางกายที่แข็งแกรง และทํางานหนักตลอดเวลาอันเปนงานที่อยู ละแวกกระโจม พวกเธอจะอยูอาศัยแยกจากผูชายแตไมมีการปดกั้นหรือแยกตางหาก และมิไดตกอยู
82
ภายใตการบีบบังคับใด ๆ ในตอนเชาสตรีจะออกไปเก็บฟนเพื่อใชตลอดทั้งวัน อยางไรก็ตามการที่ พวกเธอไดรับมอบหมายใหปฏิบัติหนาที่เชนนั้น พวกเธอจะรูสึกเปนเกียรติอยางยิ่ง” ในแงของความรูสึก กลาวไดวา สตรีในสังคมทะเลทรายมีฐานะต่ํากวาบรรดาบุรุษ มาก วิสัยทัศนของสตรีนั้นไมเปดกวางมากนัก สตรีสวนนอยเทานั้นที่มีอิทธิพลเหนือสามี ในบางครั้ง สตรีสามารถใชอิทธิพลเหนือสามีในกิจการของเผาได ซึ่งมีครอบครัวไมนอยที่สตรีไดมีสวนในการชวย คลี่คลายปญหาการเมืองภายในเผา นอกจากนี้ทั้งกอนและหลังยุคอิสลามสตรีเบดูอินยังไดรับสิทธิ เสรีภาพซึ่งสตรีชาวเมืองอาจไมเคยไดรับ นั่นคือแมวาสตรีเบดูอินจะอาศัยอยูในครอบครัวที่นิยมการมี ภรรยาหลายคน และอยูภายใตระบบการแตงงานแบบบาอัล (Ba‘al) ซึ่งบุรุษเปนผูนําครอบครัว แต อยางไรก็ตามสตรีเบดูอินก็ยังมีเสรีภาพที่จะเลือกคูครอง และหยาราง หากวาสามีปฏิบัติตอเธออยาง โหดรายทารุณ (Philip K. Hitti, 1970 : 28) 3.3.1 ขนบธรรมเนียมอาหรับ สิ่งแวดลอมมักเปนปจจัยในการหลอหลอมพฤติกรรม ลักษณะ นิสัยตลอดจนวิถีการ ดําเนินชีวิต ความเปนอยูของชาวอาหรับก็เชนกัน สภาพแวดลอมที่เปนทะเลทรายกวางใหญไพศาล เวิ้งวาง และเต็มไปดวยภัยอันตรายนานับประการ ชวยหลอหลอมใหชาวอาหรับเปนคนใจกวาง ชอบ ช ว ยเหลื อ มี ค วามซื่ อ สั ต ย ยึ ด มั่ น ในคุ ณ ธรรมมากกว า วั ต ถุ และมั ก ให ค วามสํ า คั ญ กั บ เรื่ อ ง ความสัมพันธระหวางเพื่อนมนุษยเปนหลัก นอกจากนั้นทะเลทรายยังชวยใหภาษาอาหรับกลายเปน ภาษาที่ร่ํารวยคําศัพท และยังชวยสรางนักกวีที่เกงกาจมานานนับศตวรรษ อยางไรก็ตามกระแสความเปลี่ยนแปลงทางดานวัฒนธรรมที่กําลังแพรสะพัดอยูทั่ว โลกในขณะนี้ไมเวนแมแตสังคมแนวอนุรักษนิยมในกลุมประเทศอาหรับบางประเทศที่ตองปรับวิถีชีวิต ของตัวเองใหสอดคลองกับกระแสแหงความเปลี่ยนแปลงที่กําลังเผชิญ แตถึงกระนั้นขนบธรรมเนียม ประเพณีที่แสดงถึงความเปนอาหรับก็ยังสามารถแทรกซึมผานกระแสความเปลี่ยนแปลงไปไดอยางนา ทึ่ง ดังจะเห็นไดจากแงมุมตางๆ ดังนี้ 3.3.2 พฤติกรรมแบบอนุรกั ษนิยม โดยทั่วไปแลวการแสดงความรักระหวางสามีภรรยาในที่สาธารณะหรือตามสถานที่ เป ด เผยต างๆ เป น เรื่ องที่ ไมเ หมาะสมอย างยิ่ ง ในวั ฒนธรรมของชาวอาหรั บ การแสดงความรั ก ระหวางคูสามีภรรยาจะไมแสดงออกตอหนาสาธารณชน เนื่องจากการกระทําดังกลาวถือเปนเรื่อง
83
สวนตัวที่ผูอื่นจะไมสามารถรับรูได ดังนั้นภาพของหญิงชายเดินกอดคอ หรือจูงมือถือแขนตามสถานที่ สาธารณะจึงไมปรากฏในสังคมอาหรับ ไม เ พี ย งแต ก ารแสดงความรั ก การพู ด ตลกขบขั น สรวลเสเฮฮา หรื อ แม แ ต การ ถกเถียงกันในสถานที่สาธารณะก็เปนสิ่งที่พบไดนอยในสังคมอาหรับเชนกัน นั่นเปนเพราะชาวอาหรับ ชอบที่จะใชชีวิตแบบสวนตัวไมชอบเปดเผยใหใครรู และสิ่งดังกลาวอาจสังเกตไดจากบานเรือนของ ชาวอาหรับซึ่งจะมีกําแพงสูงลอมรอบอยางมิดชิด ทั้งนี้เพื่อปกปดจากสายตาที่มาจากภายนอกซึ่ง อาจจะเปนเพื่อนบานหรือแมแตผูที่สัญจรไปมาบนทองถนน หรือบางครั้งอาจสังเกตไดจากเวลาไป เยี่ยมบานของชาวอาหรับซึ่งแขกที่ไปเยี่ยมนั้นจะยืนรออยูหนาประตู ทั้งนี้เพื่อแขกจะไดไมมีโอกาสมอง เขาไปภายในบาน และเชนเดียวแขกก็ไมสามารถเขาไปในบานไดจนกวาเจาของบานจะยกมือขึ้นมา พรอมแบมือออกและพูดวา “ตะฟฎฎอล” ในความหมายที่วา “เชิญครับ” การทักทายก็เชนกันโดยเฉพาะกับผูหญิง หากเปนวัฒนธรรมตะวันตกรูปแบบของ การทักทายอาจอยูในรูปแบบของการจับมือหรือการจูบ แตสําหรับวัฒนธรรมอาหรับการทักทายใน แบบดังกลาวเปนสิ่งตองหาม เวนเสียแตวาผูหญิงจะยื่นมือมากอนจึงจะสามารถจับได แตโดยทั่วไปจะ ใชวิธีการทักทายดวยคําพูดมากกวา 3.3.3 โครงสรางของครอบครัวอาหรับ ในครอบครัวอาหรับเพศเเละวัยมีบทบาทในการกําหนดโครงสรางหลักของครอบครัว พอเปนหัวหนาครอบครัวที่มีหนาที่หลักในการดูเเลคาใชจายในครอบครัว แมก็มีหนาที่ดูเเลความ เรี ย บร อ ยภายในบ า นไปพร อ มกั บ อบรมดู เ เลลู ก ๆ ส ว นอํ า นาจตั ด สิ น ใจทั้ ง หมดจะเป น ของพ อ ในขณะที่ลูก ๆ ก็ถูกอบรมอบรบสั่งสอนใหสืบทอดขนบธรรมเนียมประเพณี เเละมอบหมายหนาที่ ๆ เหมาะกับเพศเเละวัย ลูกชายจะถูกสอนใหปกปองดูเเลพี่สาว หรือนองสาว เเละชวยพอทํางานตาง ๆ ทั้งใน เเละนอกบาน สวนลูกสาวก็จะถูกสอนใหสรางความสบายใจแกครอบครัว เเละชวยเหลือเเบงเบา ภาระหนาที่ของแมในการดูเเลบาน แตกระแสของความเปลี่ยนแปลงที่ ประสบกับสังคมอาหรั บซึ่งยัง คงดําเนิ นอยูใ น ปจจุบันไมไดเกิดจากสภาพเศรษฐกิจ หากแตเกิดจากปจจัยทางดานการศึกษา เนื่องจากกฎหมายของ แต ล ะประเทศบั ง คั บ ให มี ก ารศึ ก ษาตั้ ง แต ร ะดั บ อนุ บ าลไปจนถึ ง มหาวิ ท ยาลั ย โดยรั ฐ บาลเป น ผู รั บ ผิ ด ชอบค า ใช จ า ยทั้ ง หมด ฉะนั้ น ประชาชนทุ ก คนไม ว า จะหญิ ง หรื อ ชายจะต อ งปฏิ บั ติ ต าม
84
กฎระเบียบอันนี้ ยกเวนชนเผาเรรอนที่ไมเคยสนใจกับกฎระเบียบของทางการ ดังเชนชาวเบดูอินใน ประเทศซาอุดีอาระเบีย เเมวาอิสลามจะเนนบทบาทของสตรีในการดูเเลครอบครัวเปนหลัก แตสิ่งที่ปรากฏ ในสังคมอาหรับตั้งแตอดีตจนปจจุบันคือ ความสําเร็จของสตรีหลายตอหลายคน ทั้งในดานการเมือง การศึกษา เเละอื่น ๆ ดังจะเห็นไดจากประเทศอาหรับในแถบอาวเปอรเซียหลายประเทศมีสตรีดํารง ตําแหนงเปนรัฐมนตรี แมวาวัฒนธรรมจะบังคับใหสตรีอยูแตในบาน แตวัฒนธรรมก็ไมไดหามใหพวก นางทํางาน ซึ่งสามารถชวยเหลือ และแบงเบาภาระของสามีในการหารายไดมาสูครอบครัวไดอีกทาง หนึ่ง ดวยเหตุนี้สตรีจํานวนมากยึดบานของตัวเองตางสํานักงานเพื่อทํางานที่ตัวเองชอบ ซึ่งเปนสิ่งที่ไม เปดเผยเหมือนในอดีต ปจจุบันสภาพของชีวิตในเมืองและการทํางานนอกบานมีผลกระทบบางประการตอ ชีวิตครอบครัวและตําแหนงแหงที่ของสตรีในหมูบาน การอพยพของแรงงานชายหมายถึงวาภรรยา ตองรับผิดชอบตอครอบครัวมากขึ้น และอาจจะตองทําการตัดสินใจหลายอยางซึ่งแตเดิมตกอยูกับ สามี ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากความจําเปนทางเศรษฐกิจ การศึกษาและการทํางาน ในสังคมอาหรับปจจุบัน การแยกกันระหวางหญิงชายทั้งบนทองถนนและที่ทํางานไดถูกทําลายลงไปอยางไมอาจหลีกเลี่ยงได ไมเฉพาะแตวาการคลุมหนาจะมีนอยกวาที่เคยเปนเทานั้น แตรูปแบบอื่น ๆ ของการแยกบุรุษและ สตรีออกจากกันก็หมดไปดวยเชนกัน ในซาอุดิอาระเบียมีความพยายามที่จะปองกันสิ่งนี้ การคลุมหนา ยังมีทั่วไปอยูตามทองถนน การศึกษาไดแยกออกจากกันอยางชัดเจน และมีการกําหนดการแยกแวด วงของงาน พวกเธอสามารถทํางานเปนครูหรือในคลินิกของสตรี แตไมใชในที่ทํางานของรัฐบาลหรือที่ อื่น ๆ ที่พวกเธอตองปะปนกับพวกผูชาย (อัลเบิรต ฮูรานี, 2550 : 664-665) 3.3.4 หนาที่ทางสังคมของชาวอาหรับ การใชชีวิตอยูรวมกันในสังคมอาหรับทุกคนมีหนาที่ๆจะตองปฏิบัติตามธรรมเนียม แบบอาหรับวิถี กลาวคือ เมื่อมีใครกลับจากเดินทางก็เปนหนาที่สําหรับญาติพี่นอง เพื่อนบาน เเละ เพื่อนฝูงที่จะตองไปเยี่ยมพรอมกลาวอวยพรแกผูเดินทางคนนั้นและหากมีใครสักคนปวยไมวาจะอยูที่ บานหรือโรงพยาบาลทุกคนที่ทราบขาวก็จะตองไปเยี่ยมใหกําลังใจกับผูปวยพูดคุยสอบถามขาวคราว เพื่อใหผูปวยเกิดความสบายใจ โดยทั่ ว ไปแล ว เวลาไปเยี่ ยมผูป วย ผู ม าเยี่ ยมมั ก จะนํ าของติด ไมติ ดมื อ ไปด ว ยซึ่ ง บางครั้งอาจเปนอาหาร ช็อกโกเเลต ผลไม หรือดอกไม เมื่อไปถึงก็จะมีลูกหลาน ญาติสนิท เเละเพื่อน
85
ฝูงของผูปวยที่มากอนแลวคอยใหการตอนรับ เเละใหบริการเเขกผูมาเยี่ยมโดยการยกเครื่องดื่มซึ่ง อาจจะเปนกาเเฟอาหรับ ชา ช็อกโกเเลต หรืออื่น ๆ เมื่อมีการแตงงานบรรดาญาติพี่นองเเละเพื่อนฝูงก็จะนําของขวัญมาให ซึ่งสวนใหญ จะอยูในรูปของเงิน หรือสิ่งของอื่น ๆ ที่คูบาวสาวสามารถนําไปใชประโยชนในการสรางครอบครัวใหม ได ในโอกาสที่สมาชิกใหมเกิดขึ้นในครอบครัวก็เชนเดียวกัน จะมีบรรดาเพื่อนฝูง เพื่อน บาน รวมถึงญาติพี่นองมาเยี่ยม และเเสดงความยินดีพรอมของขวัญเล็ก ๆ นอย ๆ โดยเฉพาะกับเเม เเละพอของเด็ก ตามประเพณีอาหรับหลังคลอดบุตร ผูหญิงจะกลับไปอยูบานกับพอแมของนางเปน เวลา 40 วัน ซึ่งในระหวางนั้นก็จะมีแมเเละพี่นองชวยกันดูเเลเปนอยางดี 3.3.5 การตอนรับแเขก วัฒนธรรมอาหรับใหความสําคัญอยางมากในการตอนรับแขก เจาบานจะตองให ความพยายามอยางมากที่สุดเพื่อที่จะไดเกิดความสบายใจ เเละพวกเขาจะยกอาหารมากพอสําหรับ แขก เเละตองแนใจวาแขกจะรับประทานอยางเต็มที่เเละเพียงพอ ปรกติเจาบานกับลูกชายจะทานนั่งทานไปพรอมกับแขก ทั้งนี้เพื่อไมใหแขกเกิดความ เกรงใจที่จะรับประทาน เเละจะคอยเติมอาหารแกแขกตลอดเวลาเพื่อใหแนใจวาเเขกที่มาไดรับการ บริการอยางเต็มที่และสมบูรณ ในการเปนแขกของชาวอาหรับ แขกหรือผูที่ไดรับเชิญไมตองเตรียมอาหาร เครื่องดื่ม หรือของขวัญใด ๆ เมื่อไปถึงแขกก็ตองสังเกตที่หนาประตูวามีรองเทาวางอยูหรือไม หากไมมีก็แสดง วาสามารถสวมรองเทาเขาไปได เมื่อถึงหองรับแขกผูที่มาใหมก็จะตองทักทายผูที่อยูในหองโดยการ กลาวคําทักทายตามธรรมเนียมอาหรับ จากนั้นทุกคนก็จะมาจับมือโดยเเขกที่มาใหมจะตองเริ่มจาก ขวามือหรือคนที่ใกลที่สุดกอนเปนอันดับแรก ในกรณีที่เปนเเขกครั้งแรกหรือแขกอาวุโสเจาภาพจะจัดใหเเขกนั่งที่ ๆ ถือวาดีที่สุด โดยบานบางหลังอาจมีโตะ หรือโซฟาไวสําหรับรับแขก แตตามประเพณีดั้งเดิมแลวแขกจะนั่งบนพื้น ซึ่งจะมีการปูพรมเเละมีหมอนวางไวเพื่อเเขกพิง เเละเอนหลัง สวนรูปแบบของการจัดสถานที่ แขกทุกคนจะนั่งหันหนาเขาหากันเปนวง เเละจะไมมี การนั่งยืดขาไปหาผูที่นั่งอยูตรงกันขาม นอกจากนี้ ในการตอนรับแขกทุกครั้ง หลังเสร็จจากอาหารคาว เจาภาพจะยกกาเเฟอาหรับซึ่งปรกติจะไมมีนมเเละน้ําตาล เมื่อแขกดื่มจนเปนที่พอใจแลวตามธรรม เนียมจะตองเขยาถวยชาเบา ๆ ซึ่งเปนสัญลักษณที่สื่อถึง “อิ่มแลว ขอบคุณครับ” หรืออาจจะทําโดย
86
การใชมือปดบนแกวก็ได เเละที่สําคัญแขกจะตองดื่มอยางนอยที่สุดหนึ่งถวยเพื่อเเสดงความใหเกียรติ แกเจาภาพ เนื่องจากในวัฒนธรรมอาหรับนั้นถือวาผูที่ปฏิเสธคําเชิญเปนผูที่ไมใหเกียรติกับผูอื่น 3.3.6 หองรับแขก (Dīwānīyah) บานทุกหลังของชาวอาหรับจะมีหองโถงสําหรับแขกจํานวนมาก โดยหองโถงดังกลาว นิยมสรางเปนหองไวเฉพาะสําหรับแขกที่เปนชายซึ่งปรกติจะอยูติดกับประตูทางเขาและจะมีการแยก ออกจากสวนอื่น ๆ ของบาน สวนหองรับแขกผูหญิงจะอยูดานในของตัวบานและจะมีทางเขาเฉพาะ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงจากการปะปนกับผูชาย ในกรณีที่จําเปนจะตองใชหองโถงสําหรับตอนรับแขกจํานวนมาก ๆ พรอมกันทั้ง หญิงและชายเจาภาพก็จะมีการจัดสัดสวนของหองเพื่อไมใหเกิดการปะปนกันระหวางหญิงชาย ยกเวน กรณีของคูสามีภรรยาและพี่นอง สําหรับบางบานจะมีการเปดตอนรับแขกทุกวัน แตบางบานก็จะเปดอาทิตยละครั้ง โดยมีวัตถุประสงคเพื่อเปดโอกาสใหหมูเครือญาติ หรือเพื่อนฝูงไดมีการแลกเปลี่ยนขาวคราว ความรู ระหวางกันควบคูไปกับการจิบชา กาแฟ และอาหารวางนานาชนิดตามแบบฉบับของชาวอาหรับไป พรอม ๆ กัน ซึ่งถือเปนปรากฏการณทางดานสังคมอีกอยางหนึ่ง วัฒนธรรมอาหรับคอนขางที่จะใหรายละเอียด เเละความสําคัญกับจริยธรรม รวมถึง พฤติกรรมทางสังคม ซึ่งเปนที่คาดหวัง อยางเชน ความใจกวาง การใหเกียรติ เเละการดูเเลคนอื่น ซึ่ง สิ่งตาง ๆ เหลานี้คือหนาที่ทางสังคมที่ปรากฏอยูจริงในวัฒนธรรมของชาวอาหรับไมไดเปนเพียงนิยาม เหมือนอยางวัฒนธรรมอื่นบางวัฒนธรรม 3.4 ภาษาอาหรับ ภาษาอาหรับ เปนหนึ่งในหกภาษาแรกของโลกที่มีผูใชกันอยูทั่วไป ภาษาอาหรับมี ความสําคัญเปนพิเศษตอชาวมุสลิมทั้งหมดไมวาภาษาเดิมของพวกเขาจะเปนภาษาใด เพราะพระผู เปนเจาไดสงสาสนของพระองคตอศาสนทูตมุฮัมมัด ซึ่งเปนชาวอาหรับ ดังนั้นภาษาอาหรับจึงเปน ภาษาที่วิวรณลงมาสําหรับชาวมุสลิม ดํารัสจากพระผูเปนเจานั้นมีความสมบูรณไมมีวันเปลี่ยนแปลง ดังนั้นการแปลคําภีรอัลกุรอาน จากภาษาอาหรับเปนภาษาอื่นเพื่อเขาแทนที่ภาษาอาหรับ จึงไมไดรับ การยอมรับยกเวนเพื่อสื่อความหมาย ชาวมุสลิมที่ไมไดเปนอาหรับจํานวนมากอานอัลกุรอานและ ละหมาดโดยใชภาษาอาหรับโดยไมรูความหมายของอัลกุรอานทั้งหมด คําในภาษาอาหรับไดเขาไปอยู
87
ในภาษาอื่ น ๆ จํ านวนมากโดยผ านศาสนาอิ สลาม อั น เป นผลมาจากการพานิ ช ย และปฏิ สัม พั นธ ทางการเมือง อักขระของภาษาอาหรับนั้นเปนพื้นฐานของภาษาเปอรเชี่ยน ปชหตู (Pastu) อุรดู และ อักขระในภาษาอื่น ๆ อีกเปนจํานวนมาก (จรัญ มะลูลีม, 2534 : 29) ภาษาอาหรับเปนภาษาในตระกูลภาษาเซเมติก (Semitic) หรื อแอฟโรเอเซียติก (Afroasiatic) เปนภาษาที่มีผูพูดมากที่สุดภาษาหนึ่งของโลก คือ ประมาณกวา 206 ลานคน ภาษา อาหรับเปนภาษาหนึ่งของชนกลุมใหญในโลกอาหรับ คือ ประเทศตาง ๆ ในตะวันออกกลาง นอกจาก จะเปนภาษาของคนสวนใหญของประเทศอาหรับแลวยังเปนภาษาของชนกลุมนอยในอีกหลาย ๆ ประเทศในแอฟริกา เชน ในประเทศไนจีเรีย ชาด หมูเกาะโคโมโรส และอีกหลายประเทศในเอเชีย เชน ประเทศอิหราน ประเทศตาง ๆ ในอดีต สหภาพโซเวียต นอกจากนี้แลวภาษาอาหรับยังเปนภาษา ของชาวมุสลิมทั่วโลกอีกดวย ทั้งนี้เนื่องจากมาจากภาษาอาหรับเปนภาษาคัมภีรอัลกุรอาน ซึ่งเปน คัมภีรของชาวมุสลิมที่ทุกคนตองอานและทําความเขาใจและยึดเปนหลักในการดําเนินชีวิต (อัสสมิง กาเซ็ง, 2544 : 32) ภาษาอาหรับมีทั้งภาษาที่ใชในการพูดและการเขียน ภาษาเขียน เปนภาษาที่ใชใน ศาสนาและในวรรณกรรมสมัยใหม ซึ่งใชโดยไมแตกตางกันในโลกอาหรับและถือวาเปนภาษาแหงการ สื่อประสานระหวางชาวอาหรับทั้งมวล หนังสือและหนังสือพิมพทั้งหมดเขียนโดยภาษาอาหรับตาม มาตรฐานนี้ ซึ่งเขาใจกันเปนอยางดีในหมูชาวอาหรับผูมีการศึกษา สวนภาษาพูดที่ไดมาตรฐานนั้นใช ในการกระจายขาว ใชในการพูดทางการเมือง ในโรงภาพยนตร และโรงละคร สวนภาษาที่ใชพูดโดย ทั่ว ๆ ไป นั้นตางกันไปตามแตละแหง ในระดับภูมิภาค ปจจุ บั นภาษาอาหรั บเป นสื่อกลางแสดงความรู สึกออกมาเป น คําพูดสํ าหรั บผู ค น ประมาณ 600 ลานคน เปนเวลาหลายศตวรรษนับแตสมัยกลาง ภาษาอาหรับถูกใชสําหรับเรียนรู วั ฒ นธรรมและความคิ ด ก า วหน า ในชาติ ที่ เ จริ ญ แล ว ระหว า งศตวรรษที่ 9-12 ตํ า ราแพทย ประวัติศาสตร ศาสนศาสตร ดาราศาสตร ภูมิศาสตร ผลิตขึ้นโดยใชภาษาอาหรับมากกวาภาษาอื่น ภาษาของชาติตะวันตกหลายภาษาไดขอยืมคําในภาษาอาหรับไปใช ดังเชนคําวา magazine, cotton, arsenal ในภาษาอังกฤษ นอกจากนี้อักษรอาหรับยังถูกใชทั่วโลกเปนที่สองรองจากภาษาละติน นอกจากภาษากลางที่ใชในการสื่อสารแลวยังมีภาษาถิ่นซึ่งแบงตามพื้นที่ของผูพูดอีก 5 กลุม โดย อลี อับดุลวาเฮด วาฟย (‘Alīy Abd al-Wāhid Wāfīy, n.d. : 149) ไดแบงออกเปน สําเนียงถิ่นตาง ๆ ดังนี้ 1. ภาษาอาหรับถิ่นฮิญาซและนัจด รวมถึงภาษาถิ่นยอยที่ใชพูดในฮิญาซ นัจดและ เยเมน
88
2. ภาษาอาหรับถิ่นซีเรีย รวมถึงภาษาถิ่นยอยที่ใชพูดในซีเรีย เลบานอน ปาเลสไตน และภาคตะวันออกของจอรแดน 3. ภาษาอาหรับถิ่นอิรัก รวมถึงภาษาถิ่นยอยตาง ๆ ที่ใชพูดในอิรัก 4. ภาษาอาหรับถิ่นอียิปต รวมถึงภาษาถิ่นยอยที่ใชพูดในอียิปตกับซูดาน 5. ภาษาอาหรับถิ่นโมร็อกโก รวมถึงภาษาถิ่นยอยที่ใชพูดในทางตอนเหนือของทวีป แอฟริกา โดยภาษาอาหรับถิ่นในแตละกลุมจะมีภาษาถิ่นยอยอีกหลายภาษา อยางเชน ภาษา ถิ่นอียิปตก็จะมีภาษาถิ่นยอยอีกหลายรอยภาษาซึ่งจะแตกตางกันตามพื้นที่ที่ผูพูดอาศัยอยู ซึ่งบางครั้ง อาจจะพบวา หมูบาน 2 แหงที่ตั้งอยูใกลเคียงกัน มีภาษาถิ่นยอยที่แตกตางกันทั้งในดานการออกเสียง คําศัพ ทและสํานวนการใช แตถึงแมวาภาษาถิ่นจะมีความแตกตางกันแต ผูพูดในแตละภาษาก็จะ สามารถสื่อสารเขาใจกันได ทั้งนี้เนื่องจากศัพทแตละคําลวนมาจากรากศัพทคําเดียวกันจึงทําใหผูพูด สามารถเดาความหมายของคํานั้น ๆ ได รวมถึงการแพรขยายดานการติดตอสื่อสารในปจจุบัน ก็ได กอใหเกิดการปฏิสัมพันธมากขึ้นในรูปของการทองเที่ยวและการอพยพของคนงาน การขยายตัวใน ด านการรู ห นัง สื อ ทํ าให ช าวอาหรั บคุ น เคยภาษาถิ่ น ย อ ยของกั นและกั น ฉะนั้ น แตเ ดิ มชาวอาหรั บ ตะวันออกอาจจะมีความยากลําบากในการที่จะเขาใจภาษาอาหรับถิ่นของชาวโมร็อกโก และแอลจีเรีย แตในปจจุบันคนทั้งสองสามารถสื่อสารเขาใจกันไดเปนอยางดี
89
ภาพที่ 6 แผนภูมิแสดงภาษาในตระกูลเซมิติก
ที่มา : Zwemer S.M., 1900 : 241 3.4.1 ตนกําเนิดอักษรโบราณ อักษรลิ่ม (Cunieform) ของพวกอัคคาเดียนถือเปนอักษรเกาแกที่สุด แตอักษร ดั ง กล า วเป น อั ก ษรภาพ (Ideography) ซึ่ ง เป น ลัก ษณะเดี ย วกั บ อั ก ษร Hieroglyphic ของอี ยิ ป ต โบราณที่ถูกประดิษฐขึ้นเพื่อใชภาพในการสื่อความหมาย เชน ภาพดวงดาว หมายถึง ทองฟา หรือ ดวงดาว เปนตน อักษรทั้งสองแบบมิไดถูกประดิษฐขึ้นมาเพื่อเปนสัญลักษณแทนเสียง ซึ่งถือเปน ลักษณะของอักษรในภาษาตาง ๆ ที่ใชกนั อยูในปจจุบัน อักษรแรกสุดของโลกที่ถูกประดิษฐเพื่อใชเปนสัญลักษณแทนเสียงพูดคืออักษรอูการิ ติก (Ugaritic) ของพวกโฟนีเชียน ซึ่งถือเปนกลุมแรกที่ประดิษฐอักษรเซเมติกเปนสัญลักษณแทน เสียง ซึ่งตางจากอักษรลิ่ม (Cunieform) หรื ออักษรภาพ (Hieroglyphic) ของอียิปตดังกลาวมา ขางตน จากนั้นอักษรอูการิติก หรือทั่วไปเรียกวา อักษรฟนีเชียน ไดกลายมาเปนอักษรตนแบบใหแก อักษรในภาษาตาง ๆ ที่ใชกันอยูทั่วโลกทั้งโดยตรงและโดยออม ซึ่งจะกลาวโดยสรุปดังนี้
90
อักษรฟนีเชียน ไดถูกพัฒนาไปเปนอักษรฮิบรูโบราณและพัฒนาตอมาเปนอักษรฮิบรู คลาสสิก ซึ่งใชอยูในปจจุบันและถูกพัฒนาตอเปนอักษรปาลไมราอิกและนาบาเทียน จากอักษรปาลไม ราอิ ก ได ถู ก พั ฒ นาต อ เป น อั ก ษรซี เ รอิ ก และจากอั ก ษรซี เ รอิ ก ก็ ถู ก ใช เ ป น อั ก ษรมองโกลและ แมนจูเรียน สวนอักษรนาบาเทียน-ซีเรอิกก็ถูกพัฒนาตอเปนอักษรอารบิก นอกจากนั้ น อั ก ษรฟ นี เ ชี ย น ยั ง เป น ต น แบบของอั ก ษรอาราเมอิ ก ซึ่ ง ต อ มาได กลายเปนตนแบบของอักษร อินโด-บัคเตอเรียน (Indo - bacteriens) หรืออักษรตาง ๆ ที่ใชในชมพู ททวีป และจากอักษรดังกลาวไดกลายมาเปนอักษรที่ใชกันในประเทศอินเดีย ไทย กัมพูชา และมลายู ในสวนของอักษรไทยนั้น ศาสตราจารย ยอรช เซเดส ไดกลาวถึงที่มาของอักษรไทยวา “อักษรเกาที่สุด คือ อักษรพราหมีของพระเจาอโศก เมื่อประมาณ พ.ศ. 300 โดยไดแบบอยางมาจากอักษรฟนีเชียน ที่อยูทะเลเมดิเตอรเรเนียน อันเปนตนเคาของอักษรกรีก ละติน รวมทั้งอินเดีย และตัวอักษรฟนีเชียน เปนตนสกุลของตัวอักษร ซึ่งใชในสยามประเทศกับทั้งประเทศใกลเคียงดวย (พจนานุกรม ฉบับมติ ชน, 2547 : 1003-1004) สําหรับแอฟริกาอักษรฟนีเชียน ถือเปนตนแบบของอักษรในตระกูล ฮาเมโต – เซเม ติก ซึ่งถูกพัฒนาผานอักษรซาเบียนหรือยามานิก สวนอักษรในยุโรปตางก็ถูกพัฒนามาจากอักษรฟนี เชียนเชนกัน โดยผานอักษรกรีก จากนั้นพัฒนาตอกลายเปนอักษรละติน และจากอักษรกรีก-ละติน ไดกลายเปนอักษรตาง ๆ ที่ใชกันในทวีปยุโรป 3.4.2 อักษรอาหรับ ประวั ติ แ ละการกํ า เนิ ด ตั ว เขี ย นในภาษาอาหรั บ พั ฒ นามาจากอั ก ษรรู ป ภาพ (Ideography) เพื่อสื่อความหมาย ลําดับตอมาเปนสัญลักษณแทนความหมายซึ่งเชื่อกันวาจุดเริ่มตน ของอักษรอาหรับในยุคแรกนั้นมาจากเครื่องหมายหรือสัญลักษณ (Wasms) ที่ถูกทําขึ้นโดยพวกเบดู อินเพื่อเปนสัญลักษณของเผาเบดูอิน14 นักวิชาการคาดวาภาษาเขียนของพวกเซไมตดั้งเดิมนั้นอยูที่โม อาบ15 จากการคนพบจารึกบริเวณคาบสมุทรซีนาย ในชวงป ค.ศ. 1900 ไดมีการคนพบจารึกที่เขียน ดวยอักษรที่มีลักษณะใกลเคียงกับอักษรฟนีเชียนอยางมาก ซึ่งอายุของอักษรนี้อยูระหวางศตวรรษที่ 20-15 กอนคริสตศักราช ตอมาในป ค.ศ. 1923 นักโบราณคดีไดคนพบจารึกที่เขียนดวยอักษรเซ มิติก มีอายุราว 1300 ป กอนคริสตศักราช โดยจารึกดังกลาว มีความเกี่ยวของกับสุสานของกษัตริย
14 15
ดูภาพแสดงเครื่องหมายประจําเผาอาหรับเบดูอิน ในภาคผนวก เปนเมืองโบราณตั้งอยูทางทิศตะวันออกเฉียงใต ของทะเลสาบเดดซี
91
อาฮีรอม (Ahiram) ของุไบล ซึ่งเปนเมืองสําคัญของชาวฟนีเชียนเมืองหนึ่ง จากหลักฐานที่คนพบ บงชี้วา อักษรเซมิติกนั้นถูกใชอยางแพรหลายมาตั้งแตกอนศตวรรษที่ 10 กอนคริสตศักราช อักษรอาหรับโบราณที่เกาแกสุดซึ่งถูกคนพบ ไดแกอักษรที่ใชกันในแถบตอนเหนือ ของฮิญาซในคาบสมุทรอาหรับ ที่ตําบลไตมาอ ฮิจร และอัลอุลา ซึ่งอักษรดังกลาวมีพัฒนาการมาจาก อักษรมุสนัดของพวกมะอีนในอาหรับตอนใตที่พัฒนามาจากอักษรอูการิติก (Ugaritic) ของพวกโฟนี เชียน อักษรลิหยาไนต (Lihyanite) มีรูปแบบใกลเคียงกันกับอักษรมุสนัด และจะเขียน จากขวาไปซาย อักษรษะมูดิก (Thamudic) เปนอักษรที่พัฒนามาจากอักษรมุสนัดเชนเดียวกันแต จะมีระบบการเขียนและความสวยงามนอยกวาอักษรลิหยาไนตโดยสังเกตไดจากรูปแบบการเขียนที่ไม แนนอน ซึ่งสวนมากจะเขียนจากบนลงลาง อักษรซาเฟยติก (Safaitic) มีรูปแบบใกลเคียงกันมากกับอักษรลิหยาไนต แตจะมี ระบบการเขียนที่แตกตางกัน คือ ในบางครั้งจะเขียนจากขวาไปซายและในบางครั้งจะเขียนจากซายไป ขวา โดยทั้ ง สามอั ก ษรจะมี รู ป แบบการเขี ย นอั ก ษรเหมื อ นกั น คื อ อั ก ษรตั ว เดี ย วจะมี รูปแบบการเขียนหลายแบบ มีรูปแบบใสเครื่องหมายของอักษรที่เปนตัวสะกดของคํา แตไมมีระบบ สระเสียงสั้น ยาว และไมมีการใสจุด เพื่อแยกอักษรที่เขียนเหมือนกันแตออกเสียงตางกัน ดังเชน อักษรอาหรับในปจจุบัน อาทิ ﻱ ﻥ ﺏ ﺙ ﺕเปนตน ครั้ น ในยุ ค ที่ อ าณาจั ก รนาบาเที ย นเรื อ งอํ า นาจและมี อิ ท ธิ พ ลครอบคลุ ม พื้ น ที่ คาบสมุ ทรอาหรั บทั้ งหมดทางตอนเหนื อ ตัว อั กษรอาหรับก็ ได พั ฒนาไปใช รูป แบบการเขีย นของ ตัวอักษรนาบาเทียน ซึ่งพัฒนามาจากอักษรอาราเมอิก จากจารึกนัมมาเราะฮฺ (Nemer)16 จะพบ รูปแบบการเชื่อมตอของตัวอักษรในการเขียน ซึ่งจะตางจากยุคแรกที่เขียนอักษรแยกจากกัน ตอมาใน ค.ศ. 512 อักษรอาหรับไดพัฒนารูปแบบอักษรตอจากนาบาเทียนชวงแรก ซึ่งอาจเรียกอักษรดังกลาวไดวาอักษรนาบาเทียน ชวงที่สอง และจากจารึกซะบัด (Zabad)17
16
จารึก Nemer ถูกคนพบในปอมโบราณของโรมัน ตั้งอยูใกลกับเมืองดามัสกัต ทางทิศใตเขตอัศเศาะฟา ประเทศ ซีเรีย ซึ่งจากจารึก ทราบวาเปนสุสานของกษัตริยอิมรุอุลกอยซ บิน อัมร ของอาณาจักร อัลฮีเราะฮฺ ที่ตั้งอยูทางตอนเหนือของคาบสมุทรอาหรับ โดยจารึกนี้ ถูกเขียนดวยอักษรนาบาทิค ระบุป คริสตศักราช 328 17 จารึก Zabad ถูกคนพบบนเนินเขาอัลมิสมาตในเมืองซาบัด ซึ่งตั้งอยูทางทิศตะวันออกเฉียงใตของเมืองอาเลปโป ประเทศซีเรีย โดยจารึกนี้เขียนดวยอักษรที่พัฒนาจากอักษรนาบาทิค ซึ่งมีลักษณะอักษรคลายคลึงกับอักษรอาหรับในยุคแรก ๆ ระบุปคริสตศักราช 512 – 513
92
และเฮารอน (Hauran)18 จะพบวารูปแบบตัวอักษรที่ใชเขียนมีลักษณะใกลเคียงกับอักษรอาหรับ ปจจุบันในระดับหนึ่ง แตถึงกระนั้นทั้งอักษรนาบาเทียนชวงแรกและชวงที่สองก็ยังไมมีการพัฒนาดาน การใชตัวสะกดและการใสจุดแตอยางใด โดยนักวิชาการสวนใหญเห็นวาในชวงนี้มีพัฒนาการดาน รูปแบบตัวอักษรอยางกวางขวาง แตอยางไรก็ตามยังไมมีการคนพบหลักฐานยืนยันความเห็นดังกลาว หลังจากนั้นอักษรอาหรับก็ไดรับอิทธิพลจากอักษรซีเรอิก ตั้งแต คริสตศตวรรษที่ 7 เปนตนมา อักษรอาหรับก็ไดถูกพัฒนาเรื่อยมา โดยเริ่ม จากการเปลี่ยนรูปแบบอักษรจากเดิมที่ใชเฉพาะจารึกประวัติศาสตรหรือเรื่องราวตาง ๆ บนแผนหิน มาเปนอักษรหวัดที่ใชสื่อสารระหวางกันและไดเพิ่มเสียงที่ไมมีในภาษาเซมิติกเหนืออีก 5 เสียง คือ ﻍ ﻅ ﺽ ﺫ ﺙซึ่งไมเคยปรากฏในระบบของอักษรเซมิติกโบราณ และเริ่มใชระบบการเติมจุดเพื่อ แยกอักษรที่มีลักษณะเหมือนกัน แตอานออกเสียงตางกัน อาทิ ﻱ ﻥ ﺕ ﺏ ﺵ ﺱ ﺥ ﺡ ﺝเปนตน แตกระนั้นก็ยังไมมีการใชสัญลักษณที่บงบอกตัวสะกด และการซ้ําอักษร จนกระทั่งปลายศตวรรษที่ 7 ไดเริ่มมีการใชอักษร ﻭ ﻱ ﺀเปนสัญลักษณแทนสระเสียงยาว และเครื่องหมาย “จุด” แทนสระเสียง สั้น ซึ่งจะคลายคลึงกับระบบการเขียนของภาษาซีเรอิกตะวันออก แตอยางไรก็ตามระบบการเขียนใน แบบดังกลาวถูกใชเพียงระยะเวลาสั้น ๆ เทานั้น ตอมาประมาณศตวรรษที่ 8 อบู อัลอัสวัด อัดดุอะลีย (’Abū al-’Aswad alDu’alīy) ไดวางระบบการใชสัญลักษณแทนสระเสียงสั้นและการซ้ําเสียงในแตละอักษร (Tashdīd) ซึ่งระบบนี้ไดถูกใชเรื่อยมาจวบจนปจจุบัน กลาวคือ ทานไดกําหนดใหอักษรอลีฟ ( ) ﺍแทนเสียง อะ โดยเขียนในแนวนอนบนตัวอักษร ( ) ﹷกําหนดใหอักษรยาอ ( ) ﻱแทนเสียง อิ โดยเขียนกลับ หลังลางตัวอักษร ( ) ﹻกําหนดใหอักษรวาว ( ) ﻭแทนเสียง อุ โดยเขียนไวบนตัวอักษร ( ) ﹹและ กําหนดใหอักษรฮาอ ( ) ﻫـเปนเครื่องหมายแทนตัวสะกด (ไมออกเสียง) โดยเขียนไวบนตัวอักษร ( ) ﹿส ว นสั ญ ลั ก ษณ แ ทนการซ้ํ า เสี ย ง ท า นได ใ ช ล ายหยั ก ตรงส ว นหั ว อั ก ษรสี น ( ℜ ) เป น เครื่องหมายบงบอกถึงอักษรที่เปนทั้งตัวสะกดและอานออกเสียง โดยจะเขียนไวบนตัวอักษร ( ) ﹽ ซึ่งวิธีการดังกลาวคลายคลึงกับระบบการเขียนในภาษาซีเรอิกตะวันตก แมวาพัฒนาการดานอัขรวิธีจะอยูในรูปแบบที่สมบูรณ แตในความเปนจริงการเขียน ในแบบที่กลาวมาก็ยังไมใชกันอยางแพรหลายในยุคนั้น ดังจะเห็นไดจากการบันทึกอัลกุรอานของ เศาะหาบะฮฺหรืออัครสาวกของทานศาสนทูตมุฮัมมัด ที่ไมไดใชวิธีการเขียนตามที่ไดพัฒนาขึ้นมา 18
จารึก Hauran ถูกคนพบที่จังหวัดเฮารอนทางตอนใตของเมืองดามัสกัต ประเทศซีเรีย โดยจารึกดังกลาวถุกเขียนไวบนแผนหินเหนือ ซุมประตูโบสถ มีเนื้อหาบอกถึงวัน เวลา และผูสรางโบสถ ระบุป คริสตศักราช 468
93
ในการบันทึกคัมภีรอัลกุรอาน ทั้งนี้เนื่องจากบรรดาเศาะฮาบะฮฺเห็นวาการเพิ่มเครื่องหมายตาง ๆ ลง ในตัวบทของอัลกุรอานเปนเรื่องไมเหมาะสม ดังนั้นจึงทําใหอัลกุรอานที่ถูกบันทึกในยุคแรก ๆ นั้น ปราศจากเครื่องหมายใด ๆ ที่บงบอกถึงวิธีการอาน นอกจากนี้ยังมีการเพิ่ม ตัด และเปลี่ยนอักษร รวมไปถึงการใชอักษรที่มีเสียงใกลเคียงมาเขียนแทนกัน ซึ่งแสดงถึงพัฒนาการดานอักขรวิธี โดยผูวิจัย ขอเสนอตัวอยางเปนกรณี พรอมเปรียบเทียบอักขรวิธีที่พัฒนาขึ้นโดยอบู อัลอัสวัด อัดดุอะลีย (’Abū al-’Aswad al-Du’alīy) กับอักขรวิธีในอัลกุรอานฉบับปจจุบัน ซึ่งยังคงรักษาอักขรวิธีในแบบดั้งเดิม เอาไว ดังตารางตอไปนี้ ตารางที่ 1 แสดงการเพิ่มอักษรยาอ ( )يในคําตอไปนี้ สูเราะฮฺอัซซาริยาต อายะฮฺที่ 47 และ สูเราะฮฺอัลเกาะลัม อายะฮฺที่ 6 อักขรวิธีของอบู อัลอัสวัด
อักขรวิธีในอัลกุรอาน
7‰'ƒr'Î/
7‰&‹÷ƒr'Î/
Νä3Íhƒr 'Î/
Νä3Íh‹ƒr'Î/
ตารางที่ 2 แสดงการเพิ่มอักษรอลีฟ ( ♣ ) ในคําตอไปนี้ สูเราะฮฺ อันนัมลฺ อายะฮฺที่ 21 อักขรวิธีของอบู อัลอัสวัด
อักขรวิธีในอัลกุรอาน
…絨Ψutr2øŒ{
…絨Ψutr2øŒ(#{
ตารางที่ 3 แสดงการเพิ่มอักษรวาว ( ™ ) ในคําตอไปนี้ สูเราะฮฺ อัลหัชรฺ อายะฮฺที่ 17 อักขรวิธีของอบู อัลอัสวัด
อักขรวิธีในอัลกุรอาน
⎦⎫ÏϑÏ9%©à9$#ß ™#y“y_
⎦⎫ÏϑÏ=≈©à9$# #äτ¨u“y_
94
ตารางที่ 4 แสดงการตัดอักษรอลีฟ ( ♣ ) ในหลายคํา ดังตัวอยางตอไปนี้ อักขรวิธีของอบู อัลอัสวัด
อักขรวิธีในอัลกุรอาน
Çβ$uΗ÷q§9$#
Ç⎯≈uΗ÷q§9$#
N#u™%yϑ¡¡9$#
N¨uθ≈yϑ¡¡9$#
Νà6tΡθè=Ï?%s)ãƒ
Νà6tΡθè=ÏG≈s)ãƒ
⎦⎪ÍÏù%s3ù=Ï9
⎦⎪ÍÏ≈s3ù=Ï9
/ä3s%%sV‹ÏΒ
/ä3s)≈sV‹ÏΒ
⎦⎫ÏϑÏ9%©à9$$Î/
⎦⎫ÏϑÏ=≈©à9$$Î/
#θãã%sÜtGó™$#
#θãè≈sÜtGó™$#
(#ρ߉yδ$y_uρ (#ρãy_$yδuρ
(#ρ߉yγ≈y_uρ #ρãy_$yδuρ
Ĩ$¨Ζ=Ï9 ßìÏù$oΨtΒuρ
Ĩ$¨Ζ=Ï9 ßìÏ≈oΨtΒuρ
’qΒ$tGuŠø9$#
’yϑ≈tGuŠø9$#
⎦⎫ÏFÏΡ$s%
⎦⎫ÏFÏΨ≈s%
95
ตารางที่ 5 แสดงการใชอักษรตาอมัฟตูหะฮฺ ( ∝ ) แทนอักษรตาอมัรบูเฏาะฮฺ ( ≥ ) ตัวอยางใน บรรทัดแรก และการใชอักษรที่มีเสียงใกลเคียงกันมาเขียนแทน ตัวอยางในบรรทัดที่ 2 แสดงการ ใชอักษรศอด ( ∩ ) เขียนแทนอักษรสีน ( ℘ ) อักขรวิธีของอบู อัลอัสวัด
อักขรวิธีในอัลกุรอาน
«!$# ÏΕyϑ÷èÏΖÎ/ uρ
«!$# ÏMyϑ÷èÏΖÎ/ uρ
äÝßΤö6tƒuρ âÙÎ6ø)tƒ ª!$#uρ
äÝ+Áö6tƒuρ âÙÎ6ø)tƒ ª!$#uρ
จากตัวอยางขางตนจะเห็นวามีคําในอายะฮฺอัลกุรอานหลายคําที่ไมไดถูกเขียนตาม อักขรวิธีในแบบที่พัฒนาขึ้นมา ดวยเหตุผลเพื่อใหเกียรติแกนักบันทึกรุนแรก(เศาะหาบะฮฺ) ในแง หนึ่ง แตอีกแงหนึ่งเปนหลักฐานแสดงวิวัฒนาการดานอักขรวิธีในภาษาอาหรับ การบันทึกอัลกุรอานนอกจากจะเปนหลักฐานที่แสดงถึงพัฒนาการดานอักขรวิธีแลว ยังมีสวนสําคัญในการพัฒนารูปแบบอักษรอาหรับ เดิมทีอายะฮฺตาง ๆ ของอัลกุรอานจะถูกบันทึกใน สองรู ป แบบด ว ยกั น คื อ การท อ งจํ า และการบั นทึ กตามวั สดุ ต าง ๆ เชน แผ น หนั ง กระดู ก ทาง อินทผลัม เศษภาชนะ แผนหิน และเศษไม ลักษณะหรือรูปแบบอักษรที่ใชเขียนจึงถูกจํากัด ตอมา สมัยอับบาสียะฮฺ ชาวอาหรับไดนําเขากระดาษจากดามัสกัสและไดใชกันอยางแพรหลายจนถึงยุคกลาง และเปลี่ยนมาใชกระดาษที่นําเขามาจากตะวันตก จึงไดเริ่มมีการบันทึกอัลกุรอานลงบนกระดาษ เมื่อเริ่มมีการรวบรวมและบันทึกอัลกุรอานลงบนกระดาษ อักษรอาหรับแบบแรกที่ใช เขียน คือ อักษรคูฟค (Kufic) ซึ่งมีลักษณะเปนเหลี่ยม โดยอักษรนี้ถูกกําหนดใหใชเปนอักษรเฉพาะ สําหรับบันทึกอายะฮฺอัลกุรอาน จนกระทั่งศตวรรษที่ 12 เมื่ออิสลามไดขยายตัวออกไปยังดินแดนตาง ๆ นักบันทึกอัลกุรอานจึงไดประดิษฐอักษรอาหรับขึ้นอีกหลายรูปแบบซึ่งแตละแบบจะมีลายเสนที่ ออนชอย สวยงาม แตกตางกันไปตามจินตนาการของศิลปนหรือนักเขียน จนบางครั้งอาจเปนรูปสัตว คน และภาชนะ
96
ภาพที่ 7 อักษรคูฟค
ที่มา:
D.S. Margoliouth, 1905 : 219
ตัวอักษรประดิษฐ (Calligraphy) ไดกลายเปนงานศิลปะที่สามารถใชไดทุกแห ง อยางรวดเร็วโดยเฉพาะบนตัวอาคาร และเครื่องตกแตง เพราะอิสลามหามใชภาพสิ่งที่มีชีวิต ภายใน แบบคูฟคก็มีแบบพื้นเมืองอยางที่เปนตัวเอียงอยางแบบเปอรเซีย หรือแบบที่ใชในสเปนและแอฟริกา ตะวันออกเฉียงเหนือ จึงเกิดตัวอักษรแบบมัฆรีบียขึ้น เมื่อชาวอาหรับรับเอาการผลิตกระดาษจากจีน ผานเอเชียกลางในศตวรรษที่ 8 มาใช พัฒนาการประดิษฐตัวอักษรก็มีเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการใช กระดาษในงานเขียนประจําวัน โดยเฉพาะงานดานอักษรศาสตรในศตวรรษที่ 12 มีการใชกระดาษกัน มาก ในที่สุดตัวอักษรคูฟคซึ่งถือวามีไวสําหรับเขียนคัมภีรถูกเลิก และไดมีการนําเอาอักษรใหม 3 แบบที่อิบนุมุกละฮฺรวบรวมไวมาใชเขียนกุรอานแทน คือ ตัวอักษรแบบนัสคฺ มุหักก็อก และร็อยหานีย สวนอีก 3 แบบที่เหลือเก็บไวใชในงานสํานักงาน การเขียนจดหมายและอื่น ๆ สํ า หรั บ ตั ว อั ก ษร ที่ ใ ช เ ขี ย นในงานธุ ร กิ จ การบริ ห าร การค า วั ฒ นธรรม และ วิทยาศาสตร รวมทั้งการตอบโตจดหมาย เปนตัวอักษร หกแบบ ซึ่ง อิบนุมุกละฮฺ (’Ibn Muqlah) ได ประดิษฐขึ้นในตอนตนศตวรรษที่ 10 ใชเปนแบบสําหรับเขียนตัวอักษรประดิษฐของอิสลามมาจนทุก วันนี้ โดยอักษรแตละแบบก็ไดพัฒนาไปอีกมาก คือ มีตัวอักษรแบบ นัสคฺ มุหักก็อก ร็อยหานีย เตากี รุกอะฮฺ ษุลูษ และมัฆรีบีย ซึ่งแตละรูปแบบมีลักษณะโดยสรุปดังตอไปนี้ อักษรแบบนัสคฺ (Naskh) เปนอักษรที่มีความงดงามที่สุดในบรรดาอักษรที่ใชเขียน บัน ทึ กประจําวั นโดยเฉพาะอย างยิ่ ง เป นแบบที่ เหมาะกับการเขียนบนกระดาษมีลักษณะโค งแบบ
97
เรขาคณิต ไมมีโครงสรางที่ซับซอน และยังเขียนงายมีมาตรฐาน จังหวะชองไฟและแบบอักษรยัง สวยงามอีกดวย ดวยเหตุนี้นักคัดลอกจึงนิยมใชอักษรนี้คัดลอกคัมภีร อัลกุรอานและตําราอื่น ๆ ภาพที่ 8 อักษรแบบนัสคฺ
อักษรแบบมูหักก็อก (Muhaqqaq) เปนชื่อเรียกตัวอักษรในยุคแรกที่มีลักษณะเปน เหลี่ยมมุมนอยกวา แบบคูฟคมีจังหวะชองไฟงดงามและมีความประณีตในแบบเปนลักษณะการเขียน ที่มีรายละเอียดมากมายภายหลังจากการคนพบวิธี ผลิตกระดาษในป ค.ศ. 750 อักษรแบบมูหักก็อก จึงไดรับความนิยมสูงขึ้น เพราะสามารถเขียนรายละเอียดสะดวกขึ้นในระหวางสมัยเคาะลีฟะฮฺมะอมูน ไดมีการดัดแปลงรูปแบบมูหักก็อกใหมีสวนโคงมากขึ้น ซึ่งไดพัฒนาตามกฏเกณฑของอิบนิ มุกละฮฺ แตยังคงรักษารูปแบบของรายละเอียดเดิมอยู ลักษณะสําคัญอีกอยางคือ เปนอักษรที่มีสวนเสนตั้งยาว และแทบจะไมมีเสนล้ําใตบรรทัด อิบนุ อัลเบาวาบไดพัฒนาการเขียนอักษรมุหักก็อกไดแบบที่สมบูรณ ที่สุด ซึ่งมีลักษณะเสนโคงถางตื้นและเพิ่มความสูงของเสนแนวตั้งมากขึ้น และแบบอักษรที่ไดรับความ นิยมถึงสี่ศตวรรษที่ใชคัดลอกอัลกุรอาน โดยเฉพาะกลุมอิสลามซีกตะวันออกระหวางศตวรรษที่ 13 และ 14 อียิปตในสมัยราชวงศมัมลูก (Mamlūk) ในอิรักและเปอรเซีย ในราชวงศโมกุล
ภาพที่ 9 อักษรแบบมุหักก็อก
อั ก ษรแบบร็ อ ยหานี ย ( Rayhānīy) เป น รู ป แบบอั ก ษรที่ พั ฒ นาและผสมผสาน ระหว างแบบนัสคฺ (Naskh) และแบบษุลูษ (Thuluth) และมี ลักษณะใกลเ คียงกับแบบมุหักก็อ ก
98
( Muhaqqaq) แต มี ลั ก ษณะเส น เล็ ก ขอบบางกว า ซึ่ ง นิ ย มจารึ ก ด ว ยปากกา ปากตั ด ขนาดกว า ง
ครึ่งหนึ่งของแบบมุหักก็อก สันนิษฐานวาอาจมาจากชื่อของผูประดิษฐแบบอักษรคนแรก คือ อลี อิบนุ อุบัยดะฮฺ อัลร็อยหานีย (‘Alīy ’Ibn ‘Ubaydah al-Rayhānīy) แตอัลกุรอานที่คัดลอกดวยอักษร แบบร็อยหานีย ที่สวยงามที่สุด ซึ่งยังคงอยูในปจจุบันนั้น จารึกโดยลายมือของยากูต อัลมุสตะอฺศิมีย ภาพที่ 10 อักษรแบบร็อยหานีย
อักษรแบบเตากี (Tawqīy) เปนแบบอักษรที่พัฒนามาจากลายมือของสุลตานแหง ราชวงศอับบาสียะฮฺ มีลักษณะใกลเคียงกับอักษรในแบบษุลูษ (Thuluth) แตมีเสนหนาโคงมากกวา และใหความรูสึกหนักแนกวา บางครั้งจึงนิยมใชประดับสวนสําคัญของอัลกุรอาน อักษรแบบเตากีได พัฒนาสมบูรณแบบในปลายศตวรรษ 11 โดยอิบนุ อัลกอเส็ม (’Ibn al-Qāsim) ซึ่งเปนศิษยของ อิบนุ อัลเบาวาบ (’Ibn al-Bawwab) ระหวางปลายศตวรรษ 15 เตากีเปนแบบที่นิยมแพรหลายกัน มากในตุรกี และไดพัฒนาแบบเกิดความหลากหลายมากที่สุดในประเทศนี้ แตไมไดรับความนิยมใน หมูชาวอาหรับ อั ก ษรแบบรุ ก อะฮฺ ( Ruq‘ah) ซึ่ ง เป น แบบแยกย อ ยมาจากแบบนั ส คฺ แ ละษุ ลู ษ ลักษณะรูปทรงคอนไปทางเรขาคณิตและจะเลนตวัดหางสวนปลายของอักษรใกลเคียงกับแบบษุลูษ มาก เปนตัวหนังสือที่ใชเปนสื่อในชีวิตประจําวัน นิยมกันมากในกลุมนักประดิษฐอักษรชาวออตโต มาน (Ottoman) พัฒนาสมบูรณแบบโดย ชัยคฺ หะมะดุลลอฮฺ อัลอะมาสีย (Shaykh Hamadullah al-’Amāsīy) และไดรับความนิยมอยางแพรหลาย ป จจุบันกลายเปนแบบอักษรที่ชาวอาหรับนิยม เขียนในชีวิตประจําวันมากที่สุด ภาพที่ 11 อักษรแบบรุกอะฮฺ
99
อักษรแบบษุลูษ (Thuluth) มีลักษณะแข็ง นิ่ง ขาดลีลาการเคลื่อนไหว ใชสําหรับการ ประดับตกแตง ทั้งในตําราและจารึกบนวัสดุอื่น ๆ แบบษุลูษที่ในการประดับตกแตงไดรับการพัฒนา โดยอิบนุ อัลเบาวาบ และยากูต เปนรูปแบบอักษรที่นิยมใชตกแตงคัมภีรอัลกุรอาน และคัมภีรทาง ศาสนาโดยจะใชตกแตงหัวเรื่อง ชื่อบท และสวนประดับอื่น ๆ แตไมนิยมใชอักษรษุลูษลอกทั้งหมด เนื่องจากยากตอการเขียนและใชเวลานาน ภาพที่ 12 อักษรแบบษุลูษ
อักษรแบบมัฆรีบีย หรืออันดะลูซีย (Maghrībīy or ’Andalūsīy)19 ไดกลาวถึงแบบ ตัวอักษรแบบโคง แบบตาง ๆ มาแลว ทั้งหมดลวนแตเปนแบบที่พัฒนาในประเทศมุสลิมซีกตะวันตก ซึ่งในขณะนั้น จีนนิยมแบบอักษรคูฟคแบบตาง ๆ ซึ่งมีลักษณะเสนตรง ทั้งแนวตั้งและแนวนอนทําให เกิดเปนมุมสัน และใหความรูสึกสงบนิ่ง ขอเสียของคูฟค คือตองบรรจงเขียนไมคลองแคลวที่จะเขียน เพื่อเปนสื่อการเขียนประจําวัน ดังนั้นอักษรแบบคูฟค จึงมีผูพยายามดัดแปลง ปรับปรุงใหมีลักษรณะ โคง เพื่อสะดวกในการใหแพรหลายในประเทศมุสลิมซีกตะวันตก ดวยเหตุนี้เองจึงเกิดเปนแบบอักษร ที่มีลักษณะเสนโคง เรียกวา มัฆรีบีย (Maghrībīy) ซึ่งหมายถึงตะวันตก ภายหลังไดแพรหลายสู ประเทศตาง ๆ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของแอฟริกา และสเปน ลักษณะที่สังเกตไดงายคือ มุมของ อักษรมีลักษณะมน สวนหางของตัวอักษรที่ลากลงลาง มีสวนโคงลึกจรดอักษรบรรทัดลางมีลักษณะ การลากเสนคอนขางอิสระ เสนอักษรแนวตั้งสวนปลายบนโคงไปทางซายเล็กนอย นับวาเปนแบบ อักษรโคงซีกตะวันตก ซึ่งมีลักษณะเปนเอกลักษณอีกแบบหนึ่ง ซึ่งแตกตางจากแบบตะวันออกดังที่ กลาวมาแลว (ดลมนรรจน บากา และคณะ, 2529 : 35)
19
พัฒนาจากอักษรคูฟค ประมาณศตวรรษที่ 10 ในเมืองก็อยเราะวาน (Qairawān) ประเทศตูนีเซีย ดวยเหตุนี้บางครั้งจึงเรียกวา แบบ ก็อยเราะวานีย (Qairawānīy)
100
ภาพที่ 13 อักษรแบบมัฆรีบีย (ภาพขวา) อักษรแบบอันดะลูซีย (ภาพซาย)
อักษรแบบฟาริซีย (Fārisīy) มีการพัฒนาตัวอักษรแบบนัสตะอฺลีกฺ เปนอักษรที่มี รูปแบบสวยที่สุด มีลายเสนออนชอย ดวยเหตุผลดังกลาวจึงไดรับความนิยมจากศิลปน เนื่องจาก สามารถทําใหศิลปนจินตนาการถายทอดอารมณ ความรูสึก ผานตัวอักษรออกมาเปนภาพตาง ๆ ได อยางเต็มที่ จนบางครั้งปรากฏเปนภาพคน สัตว และสิ่งของ โดยเปนแบบที่ใชกันมากในขอความที่ เปนภาษาเปอรเซีย ซึ่งเอาตัวอักษรอาหรับไปใชในภาษาของตน และไดสรางแบบอยางการเขียนของ ตนขึ้นและยังคงใชอยูจวบจนปจจุบัน ภาพที่ 14 อักษรแบบฟาริซีย
อักษรแบบตุฆรออ หรือ ตุฆรอ (Tughra) เปนอักษรที่มีรูปแบบเฉพาะมีลักษณะ ผสมระหวางแบบดีวานีย กับแบบษุลูษ ซึ่งรูปแบบในการเขียนไดพัฒนามาจากรอยกําปนของสุลตาน ตีมูริดแหงราชวงศมองโกลในสาสนประกาศสงครามที่สงถึงสุลตานบายะซีด แหงราชวงศออตโตมาน ตอมาถูกพัฒนาจนกลายมาเปนตราประจําราชสํานักของสุลตานใชประทับพระราชโองการ หรือเหรียญ กษาปณ สําหรับคําวาตุฆรอ มาจากภาษาตารตารที่ใชเรียกสุลตาน โดยผูที่นําคํานี้มาใชเปนคนแรก คือ สุลตานมุรอด ที่ 1 (Murād I) แหงราชวงศออตโตมาน
101
ภาพที่ 15 อักษรแบบตุฆรออ
นอกเหนือจากอักษรประดิษฐในแบบตาง ๆ ดังที่กลาวมาขางตนแลว ยังมีอักษรแบบ ดีวานีย (Dīwānīy) ซึ่งนักประดิษฐตัวอักษรในราชอาณาจักรออตโตมานประดิษฐขึ้นเพื่อใชเฉพาะใน ราชสํานัก ดวยเหตุนี้จึงเรียกอักษรในแบบนี้วาดีวานีย อันหมายถึง ราชสํานัก ตอมาก็ถูกใชกันอยาง แพรหลายจากการใชอักษรในแบบดังกลาวทําใหเอกสารที่เขียนขึ้นมีลักษณะเปนเอกลักษณแตกตาง จากเอกสารอื่น ๆ กลาวคือมีลักษณะการเขียนที่พอดีกับเสนบรรทัด และมีการใสเครื่องหมายจุด และ สระในทุกตัวอักษร นอกจากนี้ยังมีแบบอักษรในแบบอื่น ๆ อีก ซึ่งใชกันไมคอยแพรหลายนัก ไดแก ฆุบาร (Ghubar) แบบทุมาร (Tumar) แบบตะอฺลีกฺ (Ta‘līq) และแบบนัสตะอฺลีกฺ (Nasta‘līq) ภาพที่ 16 อักษรแบบดีวานีย
นอกจากอัลกุรอานแลวสาสนของทานศาสนทูตมูฮัมมัด ที่สงถึงกษัตริยอัลมุเกฺา กิสแหงอียิปตในป ฮ.ศ. 6 ตรงกับ ค.ศ. 628 และจารึกในแผนหินบนหลุมศพที่ถูกพบในอียิปตระบุป ฮ.ศ. 31 ตรงกับ ค.ศ. 652 รวมถึงจารึกบนผนังปราสาท ปอมปราการ และหอคอย ซึ่งถูกคนพบตาม สถานที่สําคัญทางประวัติศาสตรบนคาบสมุทรอาหรับ ก็ถือเปนหลักฐานสําคัญที่บงบอกถึงพัฒนาการ ของอักษรอาหรับในชวงคริสตศตวรรษที่ 7 หรือยุคแหงอิสลาม (Islamic Period)
102
ในปจจุบันนอกจากอักษรอาหรับจะใชเปนภาษาเขียนของกลุมประเทศอาหรับแลวยัง เปนอักษรที่ใชเขียนในภาษาอื่น ๆ อีกหลายภาษาไดแก ภาษาเปอรเซีย ภาษาตุรกีกอนที่จะมีการ ปริวรรตอักษรมาใชอักษรโรมาไนซ ภาษาซาวาฮีลี ภาษามาดากัสการ ภาษาซันซีบารและภาษาอุรดู เปนตน นอกจากนี้ ‘Alīy Abd al-Wāhid Wāfīy, (n.d. : 257) พบวาอักษรอาหรับยังถูกใชเปน ตัว เขี ยนในภาษาของชาวสเปนที่ สืบเชื้อสายมาจากชาวอาหรับโดยมีชื่ อ เรี ยกวา ภาษาอั ลฆาเนี ยร หรืออัลฆาเมียรโด ตารางที่ 6 เปรียบเทียบอักษรอาหรับโบราณที่ใชในคาบสมุทรอาหรับ
ที่มา : http://www.mnh.si.edu/epigraphy/e_pre-islamic/fig02_comparativechart.htm [4 June 2007]
103
3.5 ที่อยูอาศัยของชาวอาหรับ ความแตกตางทางภูมิศาสตรสิ่งแวดลอมและวิถีชีวิตรวมถึงอิทธิพลจากภายนอก เปน ตัวกําหนดลักษณะที่อยูอาศัยของชาวอาหรับ ดวยเหตุนี้จะเห็นวารูปแบบที่อยูอาศัยซึ่งปรากฏบน คาบสมุทรอาหรับนั้นมีสามลักษณะดวยกัน คือ กระโจมของชาวเบดูอิน กระทอมของชาวชนบท และ บานปูนของชาวเมือง กระโจมหรือเตนทเปนที่พักอาศัยของชาวเบดูอินหรือพวกเรรอนซึ่งจะประกอบดวย เสา 9 ตน แตละตนสูงประมาณ 5-7ฟุต และคลุมดวยหนังแกะที่ถูกนํามาเย็บติดกันเปนผืนขนาด ใหญ โดยกระโจมแตละหลังจะมีขนาดยาว 20-30 ฟุต และกวางไมเกิน 10 ฟุต พื้นที่ภายในจะถูก แบงออกเปน 2 สวน คือ ดานซายใชเปนที่พักสําหรับผูชาย สวนดานขวาเปนที่พักสําหรับผูหญิงและ เด็ก ซึ่งจะมีการแบงสัดสวนชัดเจนโดยใชพรมที่ทอจากขนสัตวขึงกั้นไว เนื่องจากชาวเบดูอินใชชีวิตแบบเรรอน ฉะนั้นเครื่องใชตาง ๆ ก็จะมีเพียงไมกี่ชิ้น ไดแก เครื่องใชในครัว หีบสําหรับใสของ พรม ถุงใสน้ํา ขาวสาลี และโมหิน ซึ่งเครื่องใชทั้งหมด สามารถเคลื่อนยาย หรือนําติดตัวไปไดในยามที่ยายที่อยูใหม ภาพที่ 17 แสดงลักษณะกระโจมของชาวอาหรับ
ที่มา : Zwemer S.M., 1900 : 267
104
กระทอมเปนที่อยูอาศัยของชาวชนบทโดยทั่วไปจะมีรูปแบบที่แตกตางกันไป ตาม ความแตกตางของพื้นที่ในฮีญาซและเยเมน กระทอมจะถูกสรางใหมีรูปแบบ 6 เหลี่ยม คลายรังผึ้ง ผนั งทํ าจากดิ น เหนี ยว มี ห ลั งคารู ปดอกเห็ ด มุงดวยใบอิ นทผลัมหรื อกก ส วนทางตะวั น ออกของ คาบสมุทรอาหรับ มีรูปทรงสี่เหลี่ยม หลังคาแหลมฝากระทอมทําจากตนกก ใบจาก หรือใบอินทผลัม นํามาสานเขาดวยกันอยางแนนหนา และสามารถตานทานแรงลมและพายุฝนได นอกจากนี้ ในบริเวณ ที่เปนหนองบึงทางภาคใตของประเทศอิรักจะมีลักษณะกระทอมอีกประเภทหนึ่งคือ จะนิยมปลูกบาน โดยใช พ งอ อ มั ด เป น รู ป โค ง ๆ ทํ า เป น บ า นพั ก อาศั ย ใช เ สื่ อ กกเป น หลั ง คาและกั้ น ฝาทุ ก ด า น (Nawāfidh : Madinah Kalbā’(รายการโทรทัศน), 2550) ภาพที่ 18 แสดงลักษณะกระทอมของชาวอาหรับ
ที่มา : Nawāfidh : Bayt ’Arabīy, 2007 บาน อาคารแบบกออิฐถือปูน เปนที่อยูอาศัยของชาวอาหรับในเมืองหรือเขตที่เจริญ ซึ่งจะมีรูปแบบที่แตกตางกัน ในดานสถาปตยกรรม วัสดุที่ใชกอสราง จะขึ้นอยูกับสภาพแวดลอม และ คานิยม ในเยเมนจะพบอาคารขนาดใหญลักษณะเหมือนปราสาท ถูกสรางอยูบนภูเขา โดยใชหินเปน สวนประกอบหลักในการกอสรางซึ่งเปนรูปแบบทางสถาปตยกรรมอันเกาแกที่ไดรับการสืบทอดมา จากบรรพบุรุษ คือ พวกฮิมยาไรต สวนในเมืองแบกแดด บัสเราะฮฺ และทางตะวันออกของคาบสมุทร อาหรับ มักใชสถาปตยกรรมแบบเปอรเซียในการกอสราง ซึ่งลักษณะของบานที่อยูอาศัยจะมีสวน เหมือนและสวนตางไปตามพื้นที่ดังนี้ บานของชาวอิรักจะสรางแบบหลังคาแบน ๆ เปนรูปสี่เหลี่ยมผืนผา โดยจะถูกใชเปน ที่สําหรับเจาของบานและสมาชิกในครอบครัวขึ้นมานอนเลนรับลม ในคืนที่มีอากาศรอน บานของชาว
105
อิรักโดยทั่วไปจะนิยมปลูกอยูรวมกันเปนกลุม สําหรับบานที่อยูในยานที่เจริญแลวของตัวเมือง มักจะ ปลูกเปนแบบตะวันตก บ า นของชาวโอมานจะมี ล านบ า นเป นศู น ย ก ลางสํ า หรั บ ใช ทํ ากิ จ กรรมต าง ๆ ใน ครอบครัว แบงออกเปนหองโดยรอบ สรางดวยอิฐหรือหินเปนกําแพงหนา ปดทึบ มีหนาตางนอยบาน ทั้งนี้เพื่อเปนการปองกันความรอนและความหนาวเย็นของอากาศ รวมทั้งกันลมที่จะพัดพาทรายเขามา ในตัวบานดวย และมีการแบงแยกระหวางบริเวณของสมาชิกในครอบครัวกับสวนที่ใชรับแขก ซึ่งเปน สวนที่ผูชายใชพบปะพูดคุยกัน (Wizārat al-‘Ilām Sultanat ‘Umān, 2001 : 376-377) ภาพที่ 19 แสดงลักษณะอาคารบานเรือนในเยเมน
ที่มา : Nawāfidh : Bayt ’Arabīy, 2007 ที่อยูอาศัยของชาวจอรแดนมักกอสรางดวยดิน อิฐ หรือ หิน เปนทรงสี่เหลี่ยมทึบ หลังคาเรียบ มีประตูและหนาตางนอย ประตูทําเปนซุมโคง กําแพงบานจะมีความหนาเพื่อปองกัน ความรอนและเก็บอากาศภายในบานใหมีความเย็นมักสรางรวมกลุมกันเปนชุมชนทําใหเพิ่มความ แข็งแรง ชาวสหรัฐอาหรับเอมิเรตสจะเลือกใชวัสดุไดเหมาะสมกับการดําเนินชีวิตของผูคน และสภาพแวดลอม ในฤดูหนาวพวกเรรอนอาศัยในเต็นทที่สะดวกในการเคลื่อนยาย และในฤดูรอน สรางที่พักดวยใบปาลมเพื่อใหมีอากาศถายเท ซึ่งเปนวัสดุที่คนอาศัยแถบชายฝงใชสรางเปนที่พัก
106
เชนกัน ในบริเวณตอนในของประเทศ สรางเปนบานถาวร โดยสรางดวยดิน อิฐ หรือดินตากแหง เชื่อมดวยปูนขาวที่ทําจากเปลือกหอยแลวผสมกับดิน มีชานบานเปนศูนยกลางไปสูหองตาง ๆ มีหอง สําหรับใชพบปะสังสรรคของผูชายซึ่งแยกจากสวนใชงานอื่น ๆ ของครอบครัว (Nawāfidh : al-Bait fī al-’Imārāt, 2007)
ชาวคูเวตจะปลูกสรางโดยใหมีลานบาน โดยมีหองอยูรอบ ๆ ตกแตงดวยการทาสี หรื อ ประดั บ โมเสกมี ห อ งพิ เ ศษหรื อ เต็ น ท สํ า หรั บ เป น ที่ พ บปะสั ง สรรค ใ นหมู ผู ช าย รู ป แบบ สถาปตยกรรมที่โดดเดนของคูเวตมีลักษณะเปนหอคอยที่มี 3 ยอดบนฐานเดียวกัน มีโดมบนสวนยอด กาตารมักกอสรางอาคารเปนตึกหลายชั้น กอดวยดินหรืออิฐ มีสวนปลูกตนไมเพื่อลด ความรอน บานจะแบงเปนสัดสวน โดยแบงสวนของครอบครัวออกจากบริเวณที่รับแขกที่เรียกวา มัจ ลิส (Majlis) เปนที่พบปะสังสรรคของผูชาย ซึ่งในการรับแขกมักนั่งกับพื้นหรือเบาะ สวนบานเรือนที่อาศัยของชาวบาหเรนมักสรางเปนทรงสี่เหลี่ยมหลังคาเรียบแบน กอ ผนังสูงและหนาดวยอิฐหรือหิน ฉาบดวยปูน มีหนาตางนอยเพื่อปองกันความรอนจากอากาศและลม พายุภายในแบงเปนสัดสวน มีลานบานเปนศูนยกลางรวมกันเปนชุมชนใหญ 3.6 การใชชื่อ – สกุลของชาวอาหรับ ธรรมเนียมการใชชื่อ นามสกุลเปนวัฒนธรรมที่สะทอนถึงการสืบสายเลือดและวงศ ตระกูล สําหรับชาวอาหรับมีจารีตการใชชื่อที่มีสวนประกอบ 2 – 4 สวน ซึ่งอยูกับพื้นที่หรือประเทศ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. ชื่อ-สกุลที่มี 2 สวน ประกอบดวย ชื่อตัว และบิดา เชน อะหมัด หุเซน, ตอฮา หุเซน, ญะมาล อับดุลนาซิร มักพบในประเทศอียิปต สวนในประเทศเยเมนพบวามักมีการใชชื่อสกุลมี 2 สวน เชนเดียวกัน แตชื่อแรกจะเปนชื่อตัว สวนนามสกุลจะเปนชื่อเผาหรือตระกูล เชน มุฮัมมัด อัลอะรีฟย, สุไลมาน อัซซิฮารีย, เตาฟก อัลฮาลาบีย, และหะสัน อัลกาฟ เปนตน ซึ่งการใชชื่อใน ลักษณะนี้ยังพบไดในกลุมประเทศอาหรับ ในทวีปแอฟริกาเหนือ เชน ลิเบีย ตูนีเซีย แอลจีเรียและ โมร็อกโก เปนตน 2. ชื่อ-สกุลที่มี 3 สวน ประกอบดวย สวนของชื่อตัว คําวา “บิน”20 หรือ “บินตี”21 และชื่อบิดา เชน หุเส็น บิน เฏาะลาล, อัลดุลเลาะ บิน อัลหุสัยนฺ และอีกธรรมเนียมหนึ่งที่พบไดใน ประเทศคูเวต คือการใชชื่อที่มี 3 สวน เชนเดียวกับกรณีแรก แตมีสวนประกอบที่แตกตางกันคือ สวน 20 21
บิน หมายถึง บุตรชาย บินตี หมายถึง บุตรสาว
107
แรกเปนชื่อตัว สวนที่ 2 เปนชื่อบิดา และสวนที่ 3 เปนชื่อปู โดยไมมีการใชคําวา “บิน” คั่นกลาง เชน อับดุลเลาะ อัสสาเล็ม อัศเศาะบาหฺ, อะหฺมัด ญาบิร อัศเศาะบาหฺ เปนตน 3. ชื่อ-สกุลที่มี 4 สวน ประกอบดวย ชื่อตัว คําวาบิน หรือ บินตี ชื่อบิดา และชื่อเผา หรือตระกูล เชน มุฮัมมัด บิน เคาะมีส อัลฟาริซีย, ฮามิด บิน ซุไฮล อัลมะอฺชานีย, ยะมาล บิน ซาเล็ม อัลไกลานีย, คอลิด บิน ซุอูด อัลยะกูบีย, รอชิด บิน หุไมด อัลนุไอมีย และเศาะก็อร บิน มุฮัมมัด อัลกอสิมีย เปนตน โดยการใชชื่อแบบดังกลาวนี้พบไดในประเทศโอมาน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส สําหรับธรรมเนียมการตั้งชื่อแมวาชาวอาหรับเกือบทั้งหมดจะนับถือศาสนาอิสลาม อาจแตกตางกันดานนิกายที่นับถือ แตธรรมเนียมการตั้งชื่อยังยึดธรรมเนียมแบบดั้งเดิมโดยเฉพาะ ชาวอาหรับในชนบทและเผาเรรอนหรือเบดูอิน ซึ่ง เอส เอ็ม ซเวเมอร (S. M. Zwemer, 1900 : 265-266) กลาววา ชาวเบดูอินมักตั้งชื่อลูกโดยใชชื่อของกลุมดาว นก หรือสัตวที่อาศัยอยูใน ทะเลทราย เชน มะฮา (กวางอาหรับ) และในบางครั้งอาจใชสิ่งที่แมประทับใจ เหตุการณสําคัญ หรือ ลักษณะเดนที่มีอยูในตัวเด็กมาตั้ง ดวยเหตุนี้การตั้งชื่อโดยใชนามของศาสนทูตคนตาง ๆ หรือนาม ของเศาะหาบะฮฺผูใกลชิดจึงพบไดนอยมาก ซึ่งตางกับชาวเมืองที่มีการตั้งชื่อโดยใชธรรมเนียมแบบ อิสลามมากกวา จากการใชชื่อสกุลขางตน แสดงถึงการจัดระเบียบสังคมจากระบบเครือญาติ วงศ ตระกูล การใชชื่อ สกุลเดียวกัน หมายถึง ความเปนคนกลุมเดียวกันหรือเผาเดียวกัน ซึ่งชาวอาหรับยัง ยึดถืออยูอยางมั่นคงแมวาปจจุบันวิถีของชาวอาหรับกําลังเผชิญอยูกับกระแสของความเปลี่ยนแปลง เพื่อยกระดับความเปนอยูของประชาชนใหดียิ่งขึ้นก็ตาม 3.7 พัฒนาการดานการแตงกาย การแตงกายของชาวอาหรับมีพัฒนาการตามการเปลี่ยนแปลงของราชวงศตาง ๆ ที่ สําคัญไดแก ราชวงศอุมัยยะฮฺ และอับบาสียะฮฺ อาจกลาวไดวาเปนยุคแรกที่ชาวอาหรับไดรับเอา วัฒนธรรมจากภายนอก ซึ่งกอใหเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยางมากมายในสังคมอาหรับ ในยุคแรกแหงอิสลาม การแตงกายของชาวอาหรับ เปนไปอยางเรียบงาย ดังจะเห็น ไดจากการแตงกายของทานศาสนทูตมุฮัมมัด รวมทั้งเคาะลีฟะฮฺทั้งสี่ทาน ตางก็ใชชีวิตอยางสมถะ และซื่อสัตย จนบางคนกลาววาทานเหมือนผูทรงศีล ที่อยูอาศัยของทานก็ไมไดเปนปราสาทราชวัง ใหญโต สถานที่ประชุมก็ไมไดสรางอยางวิจิตรพิสดาร ทานอยูในกระทอมอยางภาคภูมิใจและทํามา หาเลี้ยงชีพดวยตนเอง ทํางานดวยมือของตัวเอง ไมมีองครักษคอยพิทักษเพื่อความปลอดภัยสวนตัว ประตูบานของทานเปดอยูเสมอสําหรับคนจนและทานคอยสดับฟงคํารองทุกขของประชาชนดวยตัว
108
ทานเอง โดยแตละทานจะสวมเครื่องแตงกายประกอบดวย เสื้อยาวผาดานหนาโดยตลอด (Qabā’) และคาดดวยเข็มขัดหนัง เสื้อคลุมทําจากขนอูฐ (’Abā’ah) สําหรับสวมทับดานนอกสุด กางเกงขนาด พอดี ตั วยาวประมาณหน าแข ง ส ว นเครื่ อ งต างกายสํ า หรับศี รษะประกอบด วย หมวก ( Tāqīyah) สําหรับสวมกอนพันทับดวยผา และผาพันศีรษะ (‘Imāmah) โดยขนาดของผาจะขึ้นอยูกับคุณวุฒิและ วัยวุฒิ กลาวคือ ผูอาวุโสหรือนักการศาสนาจะสวมผาโพกศีรษะที่มีขนาดใหญ และหนากวาบุคคล ทั่วไป การแตงกายของสตรีอาหรับ ประกอบดวย กางเกงยาว เสื้อแขนยาวผาคอ แลวสวม ทับดวยเสื้อยาว (Ridā’) และเสื้อคลุมยาว (Hibrah) สําหรับสวมทับเวลาออกนอกบาน เพื่อปองกัน ฝุน ดิน ไมใหเปอนเสื้อผา และผาคลุมไวสําหรับพันศีรษะเหลือไวสวนของใบหนา และใชชายผาที่ เหลือพันรอบตนคอ จะไมใชผาคลุมศีรษะแบบสวมเหมือนอยางที่ปรากฏในสังคมมุสลิมไทย โดยการ แตงกายดังที่กลาวมายังคงมีการใชอยูจวบจนปจจุบัน ครั้นสมัยสุไลมาน บิน อับดุลมาลิก เคาะลีฟะฮฺทานที่ 7 ในราชวงศอุมัยยะฮฺ (ค.ศ. 715-717) ไดเริ่มมีการประดับเครื่องตางกาย ซึ่งเปนรูปแบบที่รับมาจากเมืองตาง ๆ เชน เยเมน กูฟะฮฺ และอเล็กซานเดรีย ประชาชนในยุคนั้นมีการประดับประดาเสื้อคลุม กางเกง ผาพันศีรษะและ หมวก (al-Mas‘ūdīy, 1346 : 2/162) นอกเหนือจากการประดับแลว รูปแบบของการแตงกายสวน ใหญยังคงลักษณะของวัฒนธรรมอาหรับแบบดั้งเดิม จนกระทั้ งในยุ คของราชวงศ อั บบาสีย ะฮฺ ช วงที่ 1 (ค.ศ.750-847) ซึ่ งเป นยุ ค ที่ กระแสของวัฒนธรรมเปอรเซีย เขามามีบทบาทเหนือวัฒนธรรมอาหรับ โดยเฉพาะในราชสํานัก ยุคนี้ เครื่องแตงกายแบบเปอรเซียไดกลายมาเปนชุดประจําราชสํานักของราชวงศอับบาสียะฮฺ ซึ่ง อัลเฟรด ฟอน เครเมอร (Alfred Von Kremer) กลาววา “อิทธิพลวัฒนธรรมเปอรเซียตอราชสํานักอับบาสี ยะฮฺ มีมากที่สุดในสมัยของเคาะลีฟะฮฺ อัลฮาดี ฮารูน อัรเราะชีด และอัลมะอมูน เนื่องจาก เคาะลีฟะฮฺ ทั้งสามทานมีที่ปรึกษา หรือคณะบริหารระดับสูงเปนชาวเปอรเซีย” (Hasan ’Ibrāhīm Hasan, 1965 : 3/427)
ในสมัยของอบูญะอฺฟร อัลมันซูร เคาะลีฟะฮฺทานที่ 2 แหงราชวงศอับบาสียะฮฺ (ค.ศ. 754-775) ไดมีการกําหนดใหใ ชหมวกเปอร เซี ย ( Qalansuwah) มีลักษณะยาว ส วนปลายเป น รูปทรงกรวย และมีสีดํา พรอมกับเริ่มมีการตกแตงประดับประดา เครื่องตางกายดวยดิ้นทอง ซึ่งการ แตงกายลักษณะนี้จะจํากัดเฉพาะเคาะลีฟะฮฺเทานั้น ดังภาพของเคาะลีฟะฮฺอัลมุตะวักกิลบนเหรียญ สําหรับเครื่องแตงกายของชนชั้นสูง ประกอบดวย กางเกงตัวใหญ เสื้อเชิรต เสื้อผายาวผาดานหนามัก ทําจากขนสัตว (Midra‘ah) เสื้อคลุมยาว (Sutrah) เข็มขัด และรองเทา ซึ่งทั้งหมดเปนรูปแบบการ แตงกายตามวัฒนธรรมเปอรเซีย สวนสีที่นิยมแตง คือ สีขาว ทั้งนี้เปนอิทธิพลจากคํากลาวของศาสน ทูตมุฮัมมัด ที่มีใจความวา “อัลลอฮฺทรงสรางสวนสวรรคเปนสีขาว และเครื่องแตงกายที่ดีที่พวก
109
ทานจะสวมใสมันในขณะที่ยังมีชีวิต และเสียชีวิต22 คือสีขาว” ซึ่งคํากลาวนี้แมจะไมทราบที่มาชัดเจน แตผูวิจัยพบตัวบทที่มีเนื้อหาคลายคลึงกับคํากลาวขางตน ดังปรากฏในสุนัน อัตติรมีซีย (1983) กีตาบ อัลญะนาอิซ หะดีษที่ 915 และกีตาบ อัลอาดาบ หะดีษที่ 2734 โดยทานศาสนทูตมุฮัมมัด ไดกลาววา
ﻢ ﻴﺎﹺﺑﻜﹸﻴ ﹺﺮ ﺛﺧ ﻬﺎ ﻣﻦﺽ ﻓﺈﻧ ﻴﺎ ﹺ ﺍﻟﺒﻴﺎﹺﺑﻜﹸﻢﻮﺍ ﻣﻦ ﺛﺒﺴ)) ﺍﻟ (( ﻢ ﺗﺎ ﹸﻛﻣﻮ ﻮﺍ ﻓﻴﻬﺎﻭ ﹶﻛ ﱢﻔﻨ ความวา “พวกทานจงสวมใสเครื่องแตงกายสีขาวเถิด เพราะสีขาว นั้นเปนเครื่องแตงกายที่ดีอยางหนึ่งของพวกทาน และพวกทานจง หอศพดวยผาสีขาวเถิด” (บันทึกโดย al-Tirmīdhīy, 1983 : 915)
(( ﻢ ﺗﺎ ﹸﻛﻣﻮ ﻮﺍ ﻓﻴﻬﺎ ﻭ ﹶﻛ ﱢﻔﻨﻴﺐ ﻭﹶﺃ ﹾﻃﻬﺮ ﻬﺎ ﹶﺃ ﹾﻃﺽ ﻓﺈﻧ ﻴﺎﻮﺍ ﺍﻟﺒﺒﺴ)) ﺍﻟ ความวา “พวกทานจงสวมใสสีขาวเถิด เพราะสีขาวนั้นเปนสีที่สะอาด เรียบรอยและบริสุทธิ์ที่สุด และพวกทานจงใชมันหอศพเถิด” (บันทึกโดย al-Tirmīdhīy, 1983 : 2734) วัฒนธรรมการพันศีรษะนั้น ชาวอาหรับไดถือปฏิบัติสืบทอดมาจากบรรพบุรุษตั้งแต ยุ ค ก อ นอิ ส ลาม ( Pre-Islamic Period) เพื่ อ รั ก ษาวั ฒ นธรรมดั ง กล า วในสั ง คมเมื อ ง ช ว ง คริสตศตวรรษที่ 11 สังคมอาหรับโดยเฉพาะในอิรักไดมีการประกาศหามไมใหถอดผาพันศีรษะหรืออิ มามะฮฺ นอกจากในชวงประกอบพิธีฮัจญ ซึ่งนโยบายนี้คลายกับการประกาศใชรัฐนิยมของไทยในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม และมีการกําหนดใหใชผาพันศีรษะสีดําในงานพิธีและงานฉลองตาง ๆ ที่มี เคาะลีฟะฮฺเขารวม เนื่องจากสีดําเปนสีประจําราชวงศอับบาสียะฮฺ ดังนั้นในการแตงกายเคาะลีฟะฮฺจะ สวมหมวก (Qalansuwah) และพันทับดวยผา (‘Imāmah) สีดํา
22
หอดวยผาสีขาว
110
ในสมัยเคาะลีฟะฮฺอัลมุสตะอีน (ค.ศ. 862-866) ไดมีคําสั่งใหปรับปรุงแบบเครื่อง แตงกายบางประเภท โดยเฉพาะหมวก (Qalansuwah) ซึ่งเดิมนั้นมีรูปทรงคลายกรวยยาว ใหเล็กลง และมีขนาดพอดีกับศีรษะ และยังสั่งใหมีการขยายแขนเสื้อใหกวางขึ้นอีกสามคืบ เพื่อใชเปนที่เก็บ สิ่งของแกผูสวมใส เชน เงิน หนังสือ หรือเอกสารอื่น ๆ ซึ่งอาดัม เม็ตซ อธิบายวา “วิศวกรใชกระเปา ที่แขนเสื้อสําหรับเก็บอุปกรณ ชางตัดเย็บใชเก็บอุปกรณสําหรับตัดเย็บ นักเขียนใชเก็บตนฉบับ สวน กอฎี23 ใชเก็บคําพิพากษาสําหรับประกาศหลังละหมาดวันศุกร” (Hasan ’Ibrāhīm Hasan, 1965 : 3/444)
ปจจุบันแมวาชาวอาหรับที่อยูตามประเทศตาง ๆ บนคาบสมุทรอาหรับ จะมีวิถีชีวิต ความเปนอยูที่ดีขึ้น แตสําหรับการแตงกายชาวอาหรับยังคงรักษารูปแบบดั้งเดิมไว แมจะมีความ แตกตางจากในอดีตบางตรงวัสดุที่ใชตัดเย็บและรูปแบบที่เปลี่ยนไปตามสมัยนิยม การแตงกายของ ชาวอาหรับมีความหลากหลาย ซึ่งเปนผลมาจากวัฒนธรรมตางถิ่น เราจะพบวัฒนธรรมแบบตุรกีใน พื้นที่ ๆ ที่เคยอยูภายใตการปกครองของอาณาจักรออตโตมาน วัฒนธรรมแบบเปอรเซียน-อินเดีย ในประเทศโอมาน และบาหเรน อยางเชน การสวมหมวกตุรกี (Fez) และผาโพกศีรษะ (Turban) ซึ่ง เปนวัฒนธรรมตุรกีและการนุงผาโสรงในหมูบานชาวประมง ตามชายฝงของประเทศเยเมน โอมาน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส ซึ่งเปนวัฒนธรรมแบบอินเดีย สําหรับเครื่องแตงกายของชาวเบดูอินซึ่ง เปนการแตงกายแบบดั้งเดิม ประกอบดวย เสื้อเชิ้ตที่ทํามาจากผาฝายเนื้อหยาบ สวมทับดวยเสื้อคลุม ไมมีแขน (’Abba) สวนศีรษะจะคลุมดวยกูฟยะฮฺ (Kūfīyah)24 ซึ่งหมายถึงผาเหลี่ยมพับมุมดาน ตรงกันขามเขาหากันใหเปนรูปสามเหลี่ยมคลุมศีรษะ แลวรัดดวยเสวียนเชือก (‘Iqāl) สําหรับสีและ การประดับเครื่ องแต งกายมีความแตกตางกันไปตามพื้นที่ เชน เดียวกับการใชเ ข็มขัดและมีดพก (Khinjar) การใชรองเทาหุมสนและรองเทาบูทในพื้นที่แถบชายฝงก็เปนสิ่งที่แสดงถึงวัฒนธรรมตาง ถิ่น ภาพที่ 20 อิกอลสําหรับคาดศีรษะ (ภาพซาย) และหมวกกัฟฟยะฮฺ (ภาพขวา)
23 24
กอฎี หมายถึง ผูพิพากษา ในภาษาอาหรับสําเนียงถิ่นเรียกวากัฟฟยะฮฺ (Keffīyeh) หรือ กปเยาะห ในภาษามลายูถิ่น
111
การแตงกายของสตรีชาวเบดูอินประกอบดวย เสื้อคลุมใหญเปดดานขางทํามาจาก ฝาย และมักนิยมใชชุดสีนําเงินเขม หรือสีทึบ สวนผาคลุมที่ใชมีหลากหลายรูปแบบ ในประเทศโอมาน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส มีประเพณีการใชผาปดเฉพาะหนาสวนบน (จมูก) ซึ่งมีลักษณะคลาย หนากากเหลือไวเฉพาะสวนดวงตาและปาก เรียกวา บุรกุอฺ (Burqu‘) สําหรับพื้นที่ทางตะวันออกของ คาบสมุทรอาหรับซึ่งเคยอยูภายใตการปกครองของตุรกี มีธรรมเนียมการใชผาบาง ๆ สีดําปดสวน ของใบหนาทั้งหมด สวนเครื่องประดับอื่น ๆ ที่นิยมใชไดแก ตางหู และมีการเพนท สวนตาง ๆ ของ รางกายดวยเฮนนา25 รวมถึงการใชแรพลวง (’Ithmid) ทาขอบตา และขนตา ซึ่งจะชวยถนอมสายตา และชวยใหสายตาดีขึ้น ภาพที่ 21 แสดงการใชอุปกรณสําหรับปดหนาของสตรีโอมาน
ที่มา : http://www.omanet.om/english/culture/women_dress.asp?cat=cult [28 July 2007] สําหรับการแตงกายของชาวเมืองไมมีความแตกตางกับชาวเบดูอินมากนัก ผูชายแตง กายดวยเสื้อคลุมยาว (Thōb or Thāwb) สวนใหญนิยมสีขาว ในประเทศโอมานมักนิยมคอกลมแบบ ปดมีพูหอยดานขาง สวนในประเทศเยเมน ซาอุดีอาระเบีย คูเวต และสหรับอาหรับเอมิเรตส มักนิยม คอปก และสวมหมวกแนบศีรษะแลวคลุมทับดวยผาตาหมากรุกที่พับมุมเขาหากันเปนรูปสามเหลี่ยม 25
เฮนนา ไทยเรียก ตนเทียน เปนพืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง นิยมใชใบบดเปนผงผสมกับน้ําอุน หรือน้ํามะนาว ยอมผม เครา และเล็บ หรือ เพนท มือ เทา บางแหงนํามาทาบนศีรษะเด็กออนหลังโกนผมไฟ
112
และคาดดวยเสวียนสีดําที่ทําจากไหม (‘Iqāl) เพื่อตรึงผาใหอยูกับที่ ซึ่งในประเทศสหรัฐอาหรับเอ มิเรตสนิยมแบบมีพูหอยยาวลงมาดานหลัง อนึ่งผาที่ใชคลุมศีรษะมีสองสี คือลายแดงสลับขาวเรียกวา ชุมาฆ (Shumāgh) และสีขาวลวนเรียกวา ฆุตเราะฮฺ (Ghutrah) ในเอมิเรตสมักนิยมสีขาวมากกวาสี แดง สวนในประเทศโอมานและเยเมน ไมนิยมใชหวงคาดบนผาแตจะใชพันศีรษะแทน เรียกวาตุรบัน (Turban) และคาดเข็มขัดหนัง หรือเงินกะทัดรัดและมีกริชรูปโคง (Khinjar) เหน็บที่เอวตามแบบ ประเพณีนิยม ซึ่งมักพบในรูปแบบการแตงกายของผูอาวุโส และในการแตงกายแบบเปนทางการตาม ธรรมเนี ย มดั้ ง เดิ ม ของชาวอาหรั บ และการแต ง กายลั ก ษณะนี้ ยัง พบได ใ นบางพื้ น ที่ ข องประเทศ ซาอุดีอาระเบีย สวนเด็ก ๆ มักสวมหมวกซึ่งมีลักษณะที่แตกตางกัน โดยขึ้นอยูกับพื้นที่และความนิยม แทนการใชผาพันศีรษะ ทั้งนี้เด็กผูชายอาหรับจะเปลี่ยนจากการสวมหมวกไปใชผาคลุม และเสวียน พันรอบศีรษะก็ตอเมื่อเขาสูวัยแตงงาน สําหรับชาวอาหรับในเมืองใหญ ๆ จะสามารถพบเห็นการแตง กายตามแบบสากลนิยมไดทั่วไป โดยเฉพาะการแตงกายของสตรีเวลาอยูกับบาน หรือสถานที่ ๆ ไมมี ผูชายปะปน ภาพที่ 22 ผาโพกศีรษะฆุตเราะฮฺ (ภาพขวา) และชุมาฆ (ภาพซาย)
ที่มา: http://www.saudiembassy.or.jp/DiscoverSA/traditionalcostumes.htm# Mens_Costumes [6 April 2007]
113
ภาพที่ 23 การแตงกายของชาวโอมาน
ที่มา: http://www.7is7.com/otto/travel/photos/20051019/oman_traditional_dress.html [28 July 2007]
114
ภาพที่ 24 การแตงกายของชาวอาหรับในกลุมประเทศแถบอาวเปอรเซียยกเวนประเทศโอมาน
ที่มา: ประเสริฐ บินรัตแกว, 15 เมษายน 2550 ภาพที่ 25 การแตงกายของชาวเยเมน
ที่มา: http://www.traveladventures.org/continents/asia/yemenipeople02.shtml [28 July 2007]
115
3.8 ขอมูลทั่วไปของจังหวัดปตตานี 3.8.1 ที่ตั้งทางภูมิศาสตร จังหวัดปตตานีเปนหนึ่งในกลุมจังหวัดชายแดนภาคใต อันประกอบดวย ปตตานี ยะลาและนราธิวาส โดยเปนจังหวัดเดียวที่ไมมีอาณาเขตติดตอกับประเทศเพื่อนบานทางบก มีพื้นที่ ประมาณ 1.2 ลานไร หรือ 1,940 ตารางกิโลเมตร ประชากร 6 แสนกวาคน รอยละ 85.47 นับถือ ศาสนาอิสลาม มีผลิตภัณฑมวลรวมในป 2548 มูลคา 35,361 ลานบาท ประชากรมีรายไดเฉลี่ยตอ หัวตอคนตอป 62,860 บาท สูงเปนอันดับ 11 ของภาค และอันดับที่ 35 ของประเทศ (สํานักงาน จังหวัดปตตานี, 2550 : 25) จังหวัดปตตานี ตั้งอยูริมฝงทะเลดานตะวันออกของภาคใตติดตอกับอาวไทย มีพื้นที่ อยูระหวางละติจูด 06 องศา 32 ลิปดา 48 ฟลิปดาเหนือ ถึงละติจูด 06 องศา 56 ลิปดา 48 ฟลิปดา เหนือ และลองจิจูด 101 องศา 01 ลิปดา 18 ฟลิปดาตะวันออก ถึงลองจิจูด 101 องศา 45 ลิปดา 15 ฟลิปดาตะวันออก มีเนื้อที่ 1,940,356 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 1,212,723 ไร คิดเปน รอยละ 2.7 ของพื้นที่ภาคใต และรอยละ 0.37 ของพื้นที่ประเทศไทย (ครองชัย หัตถา, 2542:3) โดยอยูหางจากกรุงเทพฯ 1,055 กิโลเมตร มีอาณาเขตดานเหนือ และทิศตะวันออกติดกับอาวไทย ทิศใตติดกับอําเภอเมือง อําเภอรามัน จังหวัดยะลา และอําเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส สวนทิศ ตะวันตกติดกับอําเภอเทพา และอําเภอสะบายอย จังหวัดสงขลา 3.8.2 ลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะภูมิประเทศของจังหวัดปตตานีแบงเปน 3 ลักษณะ ประกอบดวย พื้นราบ ชายฝงทะเล ซึ่งเปนพื้นที่สวนใหญ ประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นที่จังหวัด ไดแก ทางตอนเหนือและทาง ตะวันออกของจังหวัด มีหาดทรายยาว และเปนที่ราบชายฝงกวางประมาณ 10-30 กิโลเมตร พื้นที่ ราบลุมในบริเวณตอนกลาง และตอนใตของจังหวัด มีแมน้ําปตตานี และสายบุรีไหลผาน ที่ดินมีความ เหมาะสมในการเกษตรกรรม และพื้นที่ภูเขา ซึ่งเปนพื้นที่สวนนอยอยูทางตอนใตของอําเภอโคกโพธิ์ อําเภอกะพอ และทางตะวันออกของอําเภอสายบุรี
ภาพที่ 26 แผนที่จังหวัดปตตานี
ที่มา : สํานักสถิติแหงชาติ, 2543 : 230
117
3.8.3 สภาพอากาศ ปริมาณน้ําฝนของจังหวัดปตตานี ระหวางป 2542 ถึง 2547 จะอยูในชวง 1,281.1 มม. ถึง 2,568.3 มม. ฝนตกมากที่สุดในป 2543 วัดไดถึง 2568.3 มม. จํานวนวันฝนตก 164 วัน สวนฝนตกนอยที่สุดในป 2547 วัดได 1,281.1 มม. จํานวนวันฝนตก 140 วัน ตารางที่ 7 แสดงปริมาณน้ําฝนและจํานวนวันที่ฝนตก ระหวางป 2541-2547 มิลลิลติ ร 3000
2526.8 2568.3
2500
2161.7 1885.1
2000
1528.2
1281.1
1500
" ! # ! ้ง"$ป ! ปริมาณน้ํา ฝนรวมทั จํานวนวัน!ที#!่มีฝ"! !นตก#
1000 500
170
164
125
172
149
140
0
ป พ.ศ.
2542
2543
2544
2545
2546
2547
ที่มา : สํานักงานจังหวัดปตตานี, 2548 : 15 ในชวงระหวางป 2542 ถึง 2547 จังหวัดปตตานีมีอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปอยูในชวง 27.11 ถึง 28.17 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ําสุดอยูในชวง 20.06-21.98 องศาเซลเซียส และ อุณหภูมิต่ําสุดวัดได 20.06 องศาเซลเซียส เมื่อป 2544 อุณหภูมิสูงสุดอยูในชวง 33.67 ถึง 34.70 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิสูงสุดวัดได 34.70 องศาเซลเซียส ในป 2545 ป 2547 มี อุ ณ หภู มิ สู ง สุ ด 34.50 องศาเซลเซี ย ส อุ ณ หภู มิ ต่ํ า สุ ด 21.90 องศา เซลเซียส และมีอุณหภูมิเฉลี่ย 27.30 องศาเซลเซียส
118
ตารางที่ 8 แสดงอุณหภูมิระหวางป 2542-2547
20
34.5 27.3
21.9
34.18 27.27
21.98
27.51
21.83
27.3
34.7
34.18 20.06
25
33.67 27.11
30
22.19
35
21.9
40
33.76 28.17
องศาเซลเซียส
อุณหภูมิต ่ําสุด อุณหภูมิสูงสุด อุณหภูมิเฉลี่ย
15 10 5 0
ป พ.ศ. 2542
2543
2544
2545
2546
2547
ที่มา : สํานักงานจังหวัดปตตานี, 2548 : 16 3.8.4 ประวัติความเปนมาของปตตานี ชื่อของเมืองปตตานี นั้นเดิมชื่อ “ตานี” ซึ่งมีชื่อปรากฏมายาวนานแลวเมื่อครั้งสมัย มารโคโปโล ออกเดินทางสํารวจดินแดนทางแถบมหาสมุทรอินเดียและทะเลจีนไปอิตาลีเมื่อ พ.ศ. 1833เมื่อถึงที่แหงใดก็เขียนชื่อสถานที่นั้นไว ปตตานีหรือตานี จึงถูกเขียนไว สวนจะมีพื้นฐานที่มา ของการเรียกชื่อนี้มาจากชื่อใดนั้น รัตติยา สาและ, (2544 : 25-27) ไดสรุปไวดังนี้ 1. ทราบวา “ปตานี” กลายเสียงมาจากคําวา “ปะ ตานี” (Pak Tani =พอเฒาตานี) ซึ่งเปนชื่อเรียกพอเฒาหัวหนาชาวประมงในหมูบานแถบชายทะเลแหงหนึ่ง 2. ทราบวา “ปตานี” กลายเสียงมาจากคําวา “ปนไตอีนี” หรือ “ชายหาดแหงนี้”(ปน ไต= ชายหาด, อีนี = นี่, นี้ ) เลากันวาเปนบริเวณที่กระจงขาวโดนสุนัขไลลาเนื้อของสุลตานอิสมาแอล ชาห (พญาตูนักปา) ไลจับแตกระจงตัวนั้นสาบสูญที่ชายหาดแหงนี้ หรือ “ปาตา นิง” 3. กลาววา เปนเอกสารมลายูพงศาวดาร ปตานีที่เกาแกที่สุดเทาที่พบในปจจุบันนี้ และคาดวาเปนเอกสารที่เขียนตั้งแตกอนคริสตศตวรรษที่ 15 หนังสือนี้ระบุวา เมื่อ ค.ศ.750 (พ.ศ. 1293) “มีราชาองคหนึ่งชื่อ สัง ฌายา บังสา (Sang Jaya Bangsa) จากเมืองปาเล็มบัง บนเกาะสุ มาตรา ซึ่งปนศูนยกลางอาณาจักรศรีวิชัยขณะนั้น ไดเขายึดครองอาณาจักรลังกาสุกะจากราฌามาหา
119
บังสา (Raja Mahabangsa) จากนั้นกลาวตอไปอีกวา สังฌายา บังสา ไดเลือกหมูบานซึ่งมีทําเลดี สําหรับสรางเมืองใหมและตั้งชื่อเมืองนั้นตามพอเฒาที่ทําการเกษตรอยูที่นั่น คือ โตะ ตานี (Tok Tani) เนื่องจากชาวบานเรียกทานวา เปาะ ตานี (Pak Tani) จึงทําใหการออกเสียงชื่อนี้กลายเสียง เปน “ปตานี” (Patani) ในระยะตอ ๆ มา 4. คําวา “ปตานี” ใกลเคียงกับคํา “Fathoni” ในภาษาอาหรับที่แปลวา นักปราชญ หรือ ผูทรงความรู คํานี้มักปรากฏทายชื่อปราชญมุสลิมผูมีชื่อเสียงของปตานีในอดีตหลายทาน เชน Sheikh Daud bin Abdullah al-Fathoni (พ.ศ. 2312-2390) Sheikh Wan Ahmad bin Mohamad Zain al-Fathoni (พ.ศ. 2393-2451) หรืออยางทานปูของทานหะยีสุหลง อับดุลกอ เดร คือ Sheikh Zainal Abidin bin Muhamad al-Fathoni ประการที่สอง คือ วัฒนธรรมในการตั้ง ชื่อบานนามเมืองในอดีตมักเปนชื่อ “พืชพันธุ” หรือเปนลักษณะเดนที่เปนปรากฏการณสําคัญของ สถานที่ นั้ น ๆ การใช “นามบุ ค คล” เป น “หมู บ า น” พอจะพบได บ า งแต ค งไม ใ ช น ามของ “ราชอาณาจักร” อยาง “ปตานี” ซึ่งถาเปนนามบุคคลก็คงเปนพระนามของพระมหากษัตริย หรือ “สาย ตระกูล” มากกวา ประการสุดทาย “ฟาฏอนี” เปนสัญลักษณที่บงบอกความหมาย และยืนยันความเปน ราชอาณาจักรอิสลามไดอยางเหมาะสมที่สุด ดังนั้นจึงสรุปไดวา คําวา ปตานี กลายเสียงจากคําวา “ฟาฏอนี” ที่แปลวา “ปราชญ” ข อ สรุ ป ดั ง กล า วอาจไม ต รงกั บ เหตุ ก ารณ ใ นประวั ติ ศ าสตร ทั้ ง นี้ เ นื่ อ งจากคํ า ว า “ฟะฏอนี ย” เพิ่งจะเกิดขึ้น เมื่ อประมาณปลายศตวรรษที่ 18 ในขณะที่ คําวาปะตานีนั้น มีม าตั้ง แต ศตวรรษที่ 14-15 โดยชัยคฺ วัน อะหฺมัด บิน มูฮัมมัด เซน กลาวคือทานไดเปลี่ยนการสะกดตัวอักษร ยาวีของคําวา “ปะตานี” ( ) ﻓﺘﺎﱐเปน “ฟะฏอนีย” ( ) ﻓﻄﺎﱐเนื่องจากในภาษาอาหรับเมื่อสะกดตามชื่อ เดิมแลวมีความหมายไมด26ี นอกจากนี้เหตุผลอีกประการหนึ่ง คือหากสังเกตใน ตารีค ปะตานี ฉบับที่ คัดลอกโดย ชัยคฺ ดาวูด บิน อับดุลเลาะ อัลฟะฏอนียเอง ทานใชวิธีการสะกดแบบเดิมคือ ( ) ﻓﺘﺎﱐ โดยยังไมมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ สวนในกรณีของคําวา “อัลฟะฏอนีย” ที่ปรากฏอยูหลังชื่อของนักปราชญ อยางเชน ชัยคฺ ดาวุด บิน อับดุลเลาะ อัลฟะฏอนีย หรือ ชัยคฺ วัน อะหฺมัด บิน มูฮัมมัด เซน อัลฟะฏอนีย และ นักปราชญทานอื่น ๆ นั้น เปนการใชชื่อสกุลตามแบบวัฒนธรรมอาหรับ ซึ่งนิยมใชชื่อของบรรพบุรุษ อาชีพ และสถานที่ หรือเมืองที่เกิดเปนสกุลตอทาย ฉะนั้นในเมื่อทั้ง ชัยคฺ ดาวุด และชัยคฺ วันอะหฺมัด รวมถึงนักปราชญทานอื่นตางก็เปนชาวปตตานี ทานจึงใชชื่อสกุล “อัลฟะฏอนีย” ตอทาย ในขณะที่ 26
คําวา ฟะตานี ( ) ﻓﺘﺎﱐหมายถึง ผูกอหายนะ สวนคําวา ฟะฏอนี ( ) ﻓﻄﺎﱐหมายถึง ผูทรงความรู หรือปราชญ
120
ชัยคฺ อิสมาแอล บิน หะยีมุฮัมมัด อัสสัมลาวีย เอง แมวาทานจะเปนชาวปตตานีแตกลับใชชื่อสกุล ตอทายเปน “อัสสัมลาวีย” หมายถึงชาวสะมือลา แทน นอกจากนี้ในกรณีของโตะครู หะยีวันอิดริส บิน หะยีวันอาลี หรือบาบอเยะห ทานก็เคยถูกตั้งชื่อเลนวา “อัลค็อยยาต” หมายถึง ชางตัดเย็บ เนื่องจาก ในขณะที่ทานศึกษาอยู ณ นครมักกะฮฺ ทานไดถือโอกาสในชวงกลางคืนเย็บหมวกกปเยาะหขาย เพื่อ เปนรายไดเลี้ยงดูครอบครัว ดังนั้นจากขอมูลดังกลาวจึงสรุปไดวา ปตตานี ไมไดกลายเสียงมาจาก ฟะฏอนีย ใน ภาษาอาหรับ ตรงกันขาม ฟะฏอนีย กลายเสียงมาจาก ปะตานี ในภาษามลายู ดังเหตุผลที่กลาวมา ขางตน ซึ่งสอดคลองกับบันทึกของ ชัยคฺ ฟากิฮฺ อาลี ที่ระบุวา ปะตานีในสมัยนั้นชาวอาหรับเรียกวา “ฟะฏอนีย” และสิ่งที่นาสนใจอีกประการหนึ่งก็คือ การใชคํานําหนา และวลีตอทายพระนามของ กษัตริย จากเดิม “พญาตูนักปา” เปน “สุลตาน อิสมาอีล ชาห ซิลลุลลอฮฺ ฟล อาลัม” แสดงถึงอิทธิพล ของความเชื่อเกี่ยวกับกษัตริยเปนเสมือนสมมติเทพ ซึ่งเปนแนวคิดที่แพรหลายในเปอรเซียในยุคของ ราชวงศซาซานิด โดยภายหลังราชวงศฟาฏิมียะฮฺไดรับเอาแนวคิดนี้มาและเปลี่ยนแปลงความเชื่อเปน อิหมาม27หรือผูนําสูงสุดนั้นเปนผูศักดิ์สิทธิ์28 พรอมกันนี้ก็ไดพยายามเผยแพรแนวคิดผานการจัดตั้ง สถาบัน และจากความพยายามดังกลาวสงผลใหแนวคิดนี้แพรกระจายออกไปยังดินแดนตาง ๆ ที่นับ ถือศาสนาอิสลาม เชน อียิปต เยเมน เปอรเซีย และอินเดีย เปนตน สําหรับประชาชนทั่วไปอีหมามซึ่ง เปนผูนําสูงสุดจึงกลายเปน “เงาของอัลลอฮฺบนพื้นพิภพ” และในขณะเดียวกันก็เปนบุคคลศักดิ์สิทธิ์ที่ รับคําบัญชาโดยตรงจากพระเจาดวยวิธีการเปดเผย หรือวิวรณ (วะหฺยุ) ดังนั้นผูที่ขัดขืน ตอตาน และ ไมปฏิบัติตามคําสั่งของผูนําสูงสุดจะตองรับโทษตาย เพราะถือวาขัดขืนคําสั่งของพระเจา สําหรับคํานํา หนาที่นิยมใช ไดแก อิหมาม ศอฮิบุซซะมาน สุลตาน อัชชะรีฟ อัลกอฎี เปนตน (Hasan ’Ibrāhīm Hasan, 1965 : 3/252)
ครั้นศาสนาอิสลามไดถูกนํามาเผยแผในเมืองเปอรลักบนเกาะสุมาตราโดยนักเผยแผ ชาวอาหรับที่นับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะฮฺแนวคิดนี้จึงถูกเผยแพรไปพรอม ๆ กับศาสนาอิสลาม เชนกัน แมวาในภายหลังนิกายนี้จะถูกกวาดลางไป แตรองรอยของแนวคิดก็ยังคงปรากฏอยูในวลี ตอทายพระนามของกษัตริย รวมถึงการเปลี่ยนไปรับศาสนาอิสลามนิกายชีอะฮฺของอับดุลลอฮฺ โอรส องคที่ 2 ในสุลตานมาลิก อัศศอลิหฺ ซึ่งตอมาภายหลังไดกอตั้งอาณาจักรอารูบารูมุน และไดรับสมญา นามเปนมาลิก อัลมันซูร (Slamet Muljana, 2006 : 137) ก็เปนการฟนฟูและอุปถัมภความเชื่อใน นิกายนี้ไดอีกทางหนึ่ง อิหมาม ตามความเชื่อของกลุมชีอะฮฺนิกายอิมามียะฮฺ มีตําแหนงเทากับทานศาสนทูตมุฮัมมัด และมีตําแหนงเหนือกวาบรรดานบี และสิ่งที่ถูกบังเกิดอื่น ๆ (มุหัมมัด มันซูร นุอฺมานีย, 2531 : 89) 28 คลายกับเทวราช (King-God) 27
121
นอกจากนี้เกี่ยวกับที่มาของชื่อปตตานีนักวิชาการอยาง ประพนธ เรืองณรงค, อางถึง ใน สุ จิ ต ต วงษ เ ทศ, (2547:336-337) มี ค วามเห็ น ว า ป ต ตานี มาจากคํ า มลายู ว า เปอตานี (Pertani) หมายถึงชาวนา หรือชาวสวน อีกคําหนึ่งคือ ตานี (Tani) หมายถึงทํานา หรือทําสวน ปตตานีคงเปนแหลงกสิกรรมมาตั้งแตอดีต หรืออาจมาจากปตตานีจากคํามลายูอีกคําหนึ่งวาปนตัยอินี (Pantai ini) หมายถึง ชายหาดนี้ ตามตํ า นานไทรบุ รี เ ล า ถึ ง พระธิ ด าเจ า เมื อ งไทรบุ รี (หรื อ รั ฐ เกดะห ข องประเทศ มาเลเซียปจจุบัน) ทรงชางนําขบวนไปสรางบานแปลงเมือง ณ ฝงทะเลตะวันออก ปรากฏนิมิตมงคล คือกระจงเผือกวิ่งตัดหนาขบวนพระที่นั่ง พระธิดาถามวามันวิ่งหายไปไหนแลว ทหารทูลเปนภาษา มลายูวาปนตัยอินี (ปนตัน=ชายหาด, อินี = นี้) หมายถึงกระจงเผือกวิ่งหายไปตรงหาดนี้ เมื่อสราง เมืองตรงที่เกิดนิมิตดังกลาว จึงตั้งชื่อเมืองวาปนตัยอินีตอมากลายเสียงเปนปะตานี นอกจากนี้ในหนังสือตารีค ปะตานี (Tarikh Petani) ซึ่งเขียนโดยชัยคฺ ฟากิฮฺ อาลี ระบุวา “เมืองของกษัตริยแหงราชวงคมหาวังศาแหงลังกาสุกะออนแอกวากษัตริยแหงศรีวิชัย กษัตริย แหงศรีวิชัยเดิมมาจากปาเล็มบัง คนปาเล็มบังชํานาญในการรบทั้งในทะเลและขามฟากทั่วทุกแหงที่ พวกเขาตองการ เพราะความชํานาญในการรบนี้เอง คนมลายูในเมืองลังกาสุกะจึงกลัวพวกเขา กษัตริย แหงศรีวิชัยมีพระนามวา ซังชัยวงศ ในป ค.ศ. 750 กษัตริยองคนี้ไดมาโจมตีเมืองตาง ๆ ในอาณาจักร ลังกาสุกะทุกเมืองจนอาณาจักรลังกาสุกะปราชัย ขณะนั้นเมืองปะตานีเพิ่งจะมีชื่อวาปะตานี” เมื่อกษัตริยองคนี้รบชนะแลว พระองคจะหาสถานที่ท่ีอุดมสมบูรณเพื่อสรางราชวัง ผูคนแถบนั้นมีอาชีพสองอยาง คือ จับปลาในทะเลอยางหนึ่งและอีกอยางหนึ่งคือ เพาะปลูก มีโตะตานี เปนหัวหนาคนในหมูบานนั้น ดังนั้นจึงมีการเขาเผากราบทูลพระองควา สถานที่ของโตะตานีนั้นดิน อุด มสมบู รณ เหมาะที่ จะสรางราชวั ง พระองคจึงสร างราชวัง ในหมู บานของโตะตานี แต ช าวบ าน เรียกวา “ปะตานี” ตอมาเมืองนั้นจึงมีชื่อวา “ปะตานี” นี่คือความเปนมาของปะตานี (อ.ลออแมน และ อารีฟน บินจิ, 2541 : 34) อยางไรก็ตามประชาชนสวนใหญเห็นวา ปตตานี หรือ ปะตานี นั้นมาจากชื่อของพอ เฒาที่อาศัยอยูที่ชายทะเล ซึ่งสอดคลองกับตํานานปะตานี (Hikayat Patani) ที่ระบุวา ผูกอสรางเมือง ปตตานีคือ พญาตูนักพา (Phyatu Nakpa) ผูเปนบุตรของพญาตูกรุบมหายานา (Phyatu krub Mahajana) ซึ่งปกครองเมือง “โกตามะหลีฆัย “ เพราะโกตามะหลีฆัยตั้งอยูไกลจากฝงทะเล ดังนั้นจึง เปนการลําบากตอบรรดาพอคาในการแวะจอด การคาขายภายในรัฐจึงเสื่อมลง และเกิดการขาดแคลน สถานการณเชนนี้เปนเหตุใหประชาชนภายในรัฐออกไปดํารงชีวิตอยูภายนอกเมืองมีผลทําใหประชากร ของโกตามะหลีฆัยมีจํานวนลดลงมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันที่บริเวณชายฝงทะเล นั้นคือบริเวณเหลา
122
หมูบานที่บุกเบิกโดยคนมลายูจากสุมาตรา29 มีสถานภาพที่ตรงขามกัน คือ ยิ่งเจริญและมีผูคนเขามา อาศัยเพิ่มขึ้น ตามหนังสือประวัติราชอาณาจักรมลายูปตตานี ซึ่งเขียนโดยอิบรอฮีม ชุกรี ยังกลาว อีกวาหมูบานปะตานี ตั้งอยูในภูมิประเทศที่สวยงามพื้นดินเปนที่ราบ แตสูง และปลอดภัยจากภัยน้ํา ทวม ฝงทะเลนั้นมีรูปรางเปนอาวที่กวาง มีแหลมหนึ่งที่ยาวเหยียดตั้งอยูดานหนาสามารถเปนทาเทียบ เรือที่ดี ดวยความปลอดภัยจากภัยของคลื่นและลมพายุ นอกจากนั้นยังมีแมน้ําสายหนึ่งที่เปนทาง คมนาคมไปมาจากทะเลสู ทางบก โดยในหนั งสื อ ประวัติ ราชอาณาจั กรมลายู ป ตตานี ยังระบุ อี กว า หมูบานปะตานีนี้ตั้งอยูบริเวณกรือเซะในปจจุบัน ดังนั้นจากหลักฐานและคําบอกเลาขางตนผูวิจัยมี ความเห็นวาปะตานี หรือปตตานีนั้นนาจะมาจากคําวา “ปะตานี” ซึ่งมาจากชื่อของผูเฒาที่อาศัยอยู บริเวณชายหาดแหงนั้น ราชอาณาจักรมลายูปตตานีไดสืบทอดมาจากราชอาณาจักรลังกาสุกะ (Langkasuka) ซึ่ ง เป น ราชอาณาจั ก รเดิ ม ก อ นป ต ตานี ( Wheatley P.,1961:19) เป น ที่ ย อมรั บ กั น ทั่ ว ไปว า ราชอาณาจักรศรีวิชัยเปนบรรพบุรุษของราชอาณาจักรมลายูแหงแรกในภูมิภาคชองแคบมะละกา และ ได ข ยายอํ า นาจครอบคลุ ม ถึ ง ราชอาณาจั ก รลั ง กาสุ ก ะในศตวรรษที่ 8 และ 9 ซึ่ ง ถื อ เป น การนํ า ราชอาณาจักรลังกาสุกะมาสูราชอาณาจักรของโลกมลายู (Wheatley P., 1961 : 263-264) ใน ศตวรรษที่ 11 ภายหลังจากที่อาณาจักรศรีวิชัยไดเสื่อมลง บรรดาราชอาณาจักรในภูมิภาคคอคอดกระ สามารถสถาปนาความเป น รั ฐ อิ ส ระของตนได อ ย า งไม ต อ งเกรงกลั ว แต เ ป น การท า ทาย ราชอาณาจักรมัชปาหิตและสุโขทัย โดยเฉพาะอยางยิ่งในศตวรรษที่ 14 การแขงขันดานการคาและ การแผขยายของศาสนาอิสลามในภูมิภาคนี้เริ่มมีผลกระทบตอการแขงขันและกลุมดั้งเดิมที่อยูในแนว รวมเดียวกัน เปนที่เชื่อกันทั่วไปวาราชอาณาจักรมลายูปตตานีไดกอตั้งขึ้นในราวกลางศตวรรษที่ 14 และ 15 ซึ่งเจริญรุงเรืองขึ้นตามเหตุผลทางการเมืองและสภาพแวดลอมทางการคา (Teeuw and D.K. Wyatt, 1970 : 3)
ปตตานีเปนเมืองเกาแกเมืองหนึ่งในแหลมมลายู ในสมัยกลางกรุงศรีอยุธยา โดยมี ศูนยกลางการปกครองอยูบริเวณตําบลบานาและตําบลตันหยงลูโละ เปนเมืองทาที่มีการคาขายติดตอ กับนานาประเทศทั้งในกลุมตะวันออกและตะวันตก ดังจะเห็นไดจากสมญาตาง ๆ ที่ไดรับ อาทิ เมือง ทาพี่นองกับเมืองฮิราโด (Hirado) ของญี่ปุน หรือ แหลงรวมสินคาผาไหมชั้นนํา นอกเหนือจาก กวางตุง (อนันต วัฒนานิกร, 2529 : 2820) เอนเดอรสัน (Anderson) กลาววาความเจริญรุงเรืองของปตตานีโดยพื้นฐานแลว ขึ้นอยูกับการคา โดยเฉพาะในตนศตวรรษที่ 16 ปตตานีไดกลายเปนศูนยกลางทางการคาที่ยิ่งใหญ 29
อยูระหวางประตูชางกับสะพานกือดี (Siti Hawa, 1992 : 3)
123
ตอมาทาเรือปตตานีไดกลายเปนที่จอดเรือจากสุรัต (Surat) กัว (Goa) และอาวโคโรมันเดล (Mandel Coast) และเรือสําเภาจากญี่ปุนและจีนก็เขาเทียบทาเชนกัน สวนมันเดสโล (Mandelslo) กลาววา ชาวพื้นเมืองปตตานีมีผลไมรับประทานแตละเดือนนานาชนิด และไกไดวางไขวันละสองฟอง ดวยเหตุผลดังกลาวเมืองปตตานีมีความอุดมสมบูรณมีพืชพันธธัญญาหารมากมาย เชน ขาว เนื้อวัว แพะ หาน เปด ไก กวาง นกยูง ไกงวง กระตายปา สัตวปกและเนื้อกวางปา โดยเฉพาะอยางยิ่งผลไมมี เปนรอยชนิด (พีรยศ ราฮิมมูลา, 2543 : 3) ราชอาณาจักรมลายูปะตานี อันประกอบดวย จังหวัดปตตานี ยะลา และนราธิวาส มี ประวัติศาสตรเปนมายาวนาน ซึ่งบางครั้งมีสภาพเปนรัฐอิสระและบางครั้งมีสภาพที่ตกอยูภายใตการ ยึ ด ครองของอาณาจั ก รอื่ น ๆ สลั บ กั น ไปมา ซึ่ ง ในที่ นี้ ผู วิ จั ย จะกล า วถึ ง ประวั ติ ค วามเป น มาของ ราชอาณาจักรมลายูปะตานีตั้งแตการปกครองของราชวงศศรีวังศาจนถึงการเปลี่ยนเขามาเปนสาม จังหวัดของประเทศไทยโดยสรุป หลังจากที่พญาตูนักพาไดกอตั้งเมืองปะตานี ตอมาเมื่อพระองคสิ้นพระชนม โอรส ของพระองคซึ่งก็คือราชาอินทิราไดเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม ปะตานีก็กลายเปนรัฐอิสลามโดยมี ชื่อวา “ปะตานี ดารุสสลาม” การเขามาของศาสนาอิสลามกอใหเกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมมลายู ทั้งทางดานความเชื่อ ประเพณี การศึกษา และการเมืองการปกครอง (Mohd. Zamberi A. Malek, 1994 : 13)
พญาอินทิรา หลังจากเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามแลว ไดเปลี่ยนพระนาม เปน สุลตาน อิสมาอีล ชาห ซิลลุลลอฮฺ ฟล อาลัม (Sultan Isma’il Syah Zillulah Fil A’lam) พระองค ทรงมีโอรสธิดารวม 3 พระองค องคโต เปนโอรสชื่อ เกอรุป พิชัย ไปหนา (Kerub Phicai Paina) องคกลางเปนธิดา ชื่อ ตนกู มหาชัย (Tunku Mahacai) องคเล็กเปนบุตรชาย ชื่อมหาชัย ไปหลัง (Mahacai Pailan) โอรสของสุลตานทั้ง 2 พระองค ไดเปนกษัตริยของปตตานีในเวลาตอมา คือ เกอ รุป พิชัย ไปหนา ไดเปนสุลตาน มูซอฟฟร ชาห และองคสุดทอง คือ มหาชัยไปหลังไดเปนสุลตาน มันซูร ชาห (Teeuw and Wyatt, 1970 : 148, 152) สวนธิดา คือ ตนกู มหาชัย เปลี่ยนพระนามเปน ซีตี อาอิชะห (Siti Aisyah) ซึ่งตอมาพระองคไดเปนมเหสีของสุลตานญาลาล แหงเมืองสาย (สาย บุรี) (Teeuw and Wyatt, 1970 : 11) สุลตานมูซอฟฟร ชาห มีโอรส 2 พระองค คือสุลตานปาติค สยาม (Sultan Patik Siam) และราชาบัมบัง (Raja Bambang) สวนสุลตาน มันซูร ชาห มีโอรส และธิดา รวม 6 พระองค 3 พระองคแรกเปนธิดา ซึ่งตอมาไดเปนกษัตรียปตตานี ไดแก กษัตรียฮิเยา (Raja Hijau) กษัตรียบีรู (Raja Biru) กษัตรียอูงู (Raja Ungu) องคที่ 4 เปนโอรส ชื่อราชาบีมา (Raja Bima) องคที่ 5 รา ชามัส กรันจัง (Raja Emas Kerancan) และองคที่ 6 ชื่อ สุลตาน บาฮาดู ชาห (Sultan Bahadu Syah) ซึ่งไดเปนกษัตริยปตตานี ตั้งแตยังทรงพระเยาว ระหวางป พ.ศ. 2116-2127 กอนกษัตรีย
124
ฮิ เ ยาจะขึ้ น ครองราชย ส ว นกษั ตรี ย กู นิ ง ธิ ด าของกษั ต รี ย อู งู เป น กษั ต รี ย อ งค สุด ท า ยของตระกู ล กษัตริยบูกิต ซิฆุนตัง (Bukit Siguntan) ราชวงศศรีวังสา ซึ่งเปนสายเลือดปตตานีอยางแทจริง (Abdul Halim Bashah, 1994 : 113) หลังจากนั้นกษัตริยปตตานีเปนของราชวงศกลันตันตั้งแตป พ.ศ. 2194 เปนตนมา ในป พ.ศ. 2329 ปตตานีตกอยูภายใตอํานาจของสยาม กษัตริยเชื้อสายกลัน ตันยังคงไดรับแตงตั้งใหเปนเจาเมืองปตตานีตอมาอีกหลายพระองค ครั้นสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟาจุฬาโลก เมื่อป พ.ศ. 2351 ไดมีพระบรม ราโชบายโปรดเกลา ฯ ใหแบงเมืองปตตานีเปนเจ็ดหัวเมืองดังตอไปนี้ 1. เมืองปตตานี 2. เมืองยะลา (ปจจุบันเปนจังหวัดยะลา) 3. เมืองยะหริ่ง (ปจจุบันเปนอําเภอหนึง่ ในจังหวัดปตตานี) 4. เมืองระแงะ (ปจจุบันเปนอําเภอหนึ่งในจังหวัดนราธิวาส) 5. เมืองรามัน (ปจจุบันเปนอําเภอหนึ่งในจังหวัดยะลา) 6. เมืองสายบุรี (ปจจุบันเปนอําเภอหนึง่ ในจังหวัดปตตานี) 7. เมืองหนองจิก (ปจจุบันเปนอําเภอหนึง่ ในจังหวัดปตตานี) โดยใหแตละเมืองมีฐานะเปนเมืองระดับสาม ซึ่งตองขึ้นกับเมืองสงขลา และเจาเมือง ตองไดรับการแตงตั้งโดยตรงจากรัฐบาลสยามที่กรุงเทพฯ เมืองใดที่ประชากรสวนใหญเปนชาวพุทธก็ สงเจาเมืองที่นับถือพุทธศาสนาไปปกครอง และเมืองที่ประชากรสวนใหญเปนมุสลิมก็ใชผูปกครองที่ เปนมุสลิม (รัตติยา สาและ, 2544 : 51) จนกระทั่ง พ.ศ. 2444 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัวไดทรงพระกรุณา โปรดเกลาฯใหยกเลิกการปกครองแบบเกาที่ใหเจาเมืองมีอํานาจเด็ดขาดในการปกครอง มาเปนการ ปกครองแบบ “มณฑลเทศาภิบาล” แตยังทรงแตงตั้ง “ราชา” หรือ “สุลตาน” ที่เคยมีอํานาจปกครอง เมืองตาง ๆ ทางแหลมมลายูเหลานั้นใหการปกครองตอไป โดยทรงพระกรุณาโปรดเกลาฯ ใหบุตรเจา เมืองรับราชการอยูเปนเจาเมืองตอไปคลายกับการสืบสกุลวงศ ในระยะแรก ๆ บริเวณเจ็ดหัวเมืองขึ้น ตอขาหลวงใหญมณฑลนครศรีธรรมราช ตอมาในป พ.ศ. 2449 ไดมีการประกาศจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นมาอีกมณฑล หนึ่ง เรียกวา “มณฑลปตตานี” (ราชกิจจานุเบกษา, เลม 23 ร.ศ. 125 : 399) มีลักษณะการ ปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลเชนเดียวกับมณฑลอื่น ๆ ของราชอาณาจักรสยามในเวลานั้น ทั้งนี้ได ปรับปรุงอาณาเขตเสียใหม โดยปรับ 7 หัวเมืองใหเหลือเปน 4 หัวเมือง ไดแก 1. เมืองปตตานี : ประกอบดวย หนองจิก และยะหริ่งเดิม 2. เมืองยะลา : ประกอบดวย ยะลา และรามัน
125
3. เมืองสายบุรี 4. เมืองระแงะ ในป พ.ศ.2459 ไดยกเลิก “เมือง” เปลี่ยนมาใช “จังหวัด” ไดแก จังหวัดปตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดสายบุรี และจังหวัดนราธิวาส (จากเดิมคือเมืองระแงะ) ตอมาไดยกเลิกจังหวัด สายบุรีเหลือเปนอําเภอ และในป พ.ศ. 2476 รัฐบาลไดประกาศใชพระราชบัญญัติวาดวยระเบียบ ราชการแห งราชอาณาจั กรสยาม ให จั งหวั ด ทั้ง สาม คื อ ป ต ตานี ยะลา และนราธิ ว าส ขึ้ นตรงต อ กระทรวงมหาดไทย บริหารการปกครองโดยผูวาราชการจังหวัด ที่กระทรวงมหาดไทยแตงตั้งขึ้น สืบเนื่องมาจนถึงปจจุบัน โดยแตละจังหวัดมีการแบงอํานาจหนาที่ลดหลั่นกันไป เชนในสวนภูมิภาค เปนระดับอําเภอ กิ่งอําเภอ ตําบล และหมูบาน ซึ่งมีนายอําเภอ กํานัน และผูใหญบานเปนผูปกครอง ดูแล ตามลําดับ ตั้งแต พ.ศ. 2542 มีการแบงอํานาจหนาที่ในสวนนี้เปนสวนทองถิ่นดวย คือแบงเปน เทศบาล (รวมสุ ข าภิ บ าลเก า ) องค ก ารบริ ห ารส ว นจั ง หวั ด องค ก ารบริ ห ารส ว นตํ า บล โดยมี นายกเทศมนตรี นายกองคการบริหารสวนจังหวัด และประธานกรรมการบริหารองคการบริหารสวน ตําบล ดูแลตามลําดับ ปจจุบันปตตานีมีเขตการปกครอง 12 อําเภอ คือ อําเภอเมือง อําเภอยะหริ่ง อําเภอ ยะรัง อําเภอปะนาเระ อําเภอสายบุรี อําเภอมายอ อําเภอหนองจิก อําเภอโคกโพธิ์ อําเภอแมลาน อําเภอทุงยางแดง อําเภอกะพอ และอําเภอไมแกน 3.8.5 สังเขปประวัติชนชาติมลายู นักวิชาการไดใหทัศนะที่หลากหลายเกี่ยวกับความหมายในทางภาษาศาสตรของคําวา “มลายู” เวิรนดลี่ (Werndly) ใหความเห็นวา “Melayu” นั้นมาจากคําวา “Melaju” คํานี้มาจากราก คําของคําวา “laju” ที่มีความหมายวา “เร็ว วองไว กระฉับกระเฉง” จากคําดังกลาว สามารถที่จะให ความหมายวาชาวมลายูนั้น มีบุคคลิกลักษณะที่ฉับไวและเกงกาจ การกระทําทุกอยางของพวกเขา รวดเร็วและวองไว (Ismail Hamid, 1991 : 1) ฟาน เดอร ทูก (Van der Tuuk) มีความเห็นวาคําวา “Melayu” นั้นมีความหมาย วา การขามฝง ดวยความเขาใจหรือเหตุผลที่วาชาวมลายูนั้นขามฝงหรือเปลี่ยนศาสนาจากฮินดู-พุทธ มาสู อิ ส ลามซึ่ ง เป น ความเห็ น ที่ ต รงข า มกั บ ความเห็ น ของ ฮอลแลนเดอร ( Hollander) ซึ่ ง ได ใ ห คําอธิบายของคําวา “มลายู” วาหมายถึงผูพเนจรรอนเร เนื่องจากวาชาวมลายูนั้นชอบการพเนจรหรือ การทองเที่ยวไปจากที่หนึ่งสูอีกที่หนึ่ง ดังเชนการเดินทางที่ไปตามเสนทางทะเล ยังสถานที่ตาง ๆ เชน
126
ประเทศฟลิปปนส เกาะกิวชูเหนือ และเกาะกวม พรอมทั้งเกาะตะวันออกไปจนถึงหมูเกาะไมโครนีเซีย เมลานีเซีย เสนทางใตนั้นพวกเขาไดอพยพไปยังเกาะบอรเนียว สุมาตรา ชวา แหลมมลายู รวมทั้งเกาะ มาลากาสี สวนฮารูน อามีนุรรอชีด (Harun Aminurrashid, 1966 : 4) กลาววา คําวามลายูนั้น มาจากคํ า ภาษาสั น สกฤต คื อ คํ า ว า “มลายู ” หรื อ ไม ก็ ม าจากคํ า ว า “มาลั ย ” ในภาษาทมิ ฬ ซึ่ ง มี ความหมายวาภูเขาหรือเนินสูง คนโปรตุเกสออกเสียงเปน “มาลาโย” โอมาร อามิร ฮูเซน (Omar Amir Husin, 1962 : 189) กลาววา คําวามลายูนั้นเปน ชื่อเรียกสถานที่หนึ่งในประเทศเปอรเซียที่มีชื่อวา “Mahaluyah” ชาวมฮาลูยาฮฺ ไดพเนจรไปทาง เอเชียตะวันออกเฉียงใต และไดตั้งหลักแหลงที่สุมาตราและเกาะบริเวณรอบ ๆ ชนเผามฮาลูยาฮฺ นั้นเองที่ไดนําอิทธิพลเหลานั้นเขามาในวรรณคดีมลายู เขายังไดอธิบายตอไปอีกวาคําวามลายูอาจจะ มาจากบรรดาชื่อของครูซึ่ งไดรับการขนานนามวา “Mulaya” ซึ่ งครูเหลานั้นกลาวกันวาเปน ผูที่ มี บทบาทในการทําใหวัฒนธรรมมลายูเจริญเติบโต ในขณะที่ดารุส อะหมัด (Darus Ahmad, 1967 : 1) มีทัศนะวา คําวามลายูเอามา จากชื่อของตนฆาฮารู (Gaharu) ซึ่งเปนตนไมชนิดหนึ่งที่มีกลิ่นหอม คนอินเดียในสมัยโบราณเคย เรียกแหลมมลายูวา เมืองฆาฮารู ซึ่งสอดคลองกับคําวา Mo-lo-yeu หรือ Mo-lo-you ก็ที่ไดมีการพูด ถึงกัน โดยหลวงจีน อี้ ชิง (I-Tsing) ในบันทึกของทานมาตั้งแตคริสตศตวรรษที่ 7 คํามลายูอาจใช เรียกเผาตาง ๆ ที่กระจัดกระจายตามที่ตาง ๆ ในภูมิภาคมลายู และสุมาตรา ตอมาคําวามลายูนี้เปน ที่รูจักเมื่อรัฐมลายูที่สุมาตรามีชัยเหนือรัฐศรีวิชัยในคริสตศตวรรษที่ 13 จากความเห็นขางตน มลายู เปนชื่อเฉพาะสําหรับกลุมชนชาติหนึ่งในบริเวณหมูเกาะ มลายู หรื อ เป น ชื่ อ ทั่ ว ไปสํ าหรั บ กลุ ม ต า ง ๆ ที่ ใ ช ภ าษาเดี ย วกั น ในตระกู ล ภาษามลายู โพลี นี เ ซี ย (ออสโตรนีเซีย) ในฐานะที่เปนชื่อเฉพาะ กลุมชนชาตินี้อาศัยในบริเวณแหลมมลายู สิงคโปร ภาคใต ของประเทศไทย ชายฝงเกาะสุมาตราตะวันออก ชายฝงเกาะบอรเนียวและในบริเวณอื่น ๆ ในหมูเกาะ มลายู (นูซันตารา) และบริเวณที่พวกมลายูอพยพซึ่งพบไดในทั่วโลก ความหมายทางดานภาษาศาสตร มลายูเปนกลุมคนที่พูดภาษาซึ่งพบไดในทั่วไปใน หมูเกาะเอเชียตะวันออกเฉียงใตไปจนถึงเกาะกวม และตอนเหนือประเทศไตหวัน เวียดนามใตและ กัมพูชาในทวีปเอเชีย เกาะมาลากาซีในทะเลอินเดียและอิหรานตะวันออก นอกจากนี้ความหมายของคําวา “มลายู” นั้นยังมีการพัฒนาตามยุคสมัย และการ เปลี่ ย นแปลงทางการเมื อ งอี ก ด วย ดั งจะเห็น ได ว าบางครั้ งคํ าว า “มลายู ” จะหมายถึ งภาษามลายู บางครั้งจะหมายถึงเชื้อชาติ และบางครั้งจะหมายถึงชนเผา (sukubangsa) และตอมายังจะหมายถึงผู
127
รวมศาสนาอิสลามอีกดวย คนมลายูอาศัยอยูในภาคใตของประเทศไทย มาเลเซีย สิงคโปร บรูไน อินโดนีเซีย บางสวนของประเทศศรีลังกา ประเทศออสเตรเลีย ซาอุดีอาระเบีย และแอฟริกาใต หากมองยอนกลับไปในประวัติศาสตรของดินแดนบนคาบสมุทรมลายู เราจะพบวามี ความแตกตางระหวาง ความหมายของคําวา “ชาวมลายู” ในอดีตกับปจจุบัน กลาวอีกนัยหนึ่ง ความ เขาใจหรือการใชคําวา “ชาวมลายู”นั้นมีพัฒนาการไปตามกาลเวลาในประวัติศาสตรดวย ใน Sejarah Melayu ไดกลาวถึงคําวา “มลายู” วาเปนชื่อของแมน้ําที่ไหลผานภูเขา ซีฆุนตัง(Bukit Siguntang) ซึ่งเปนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของชาวปาเล็มบัง (Palembang) แหงอาณาจักรศรีวิชัย ตามตํานานซึ่งบันทึกไวในประวัติศาสตรมลายู กลาวไววาเจาชายเชื้อสายของ อเล็กซานเดอรมหาราช (Raja Iskandar Zulkarnain) สามองคไดปรากฏกายขึ้นโดยเหตุอัศจรรย ณ ภูเขาลูกนี้ ตอมาเจาชายทั้งสามองคก็ถูกเชิญไปปกครองเมืองตาง ๆ บนเกาะสุมาตรา โดยองคสุดทาย พระนามวาสังอุตระ (Sang Utara) ซึ่งตอมาเปลี่ยนชื่อเปนศรีตรีบูวานา (Sri Tri Buana) ไดปกครอง ดินแดนปาเล็มบัง ราชาองคสุดทายซึ่งครอบครองปาเล็มบังนี้เองที่ประวัติศาสตรมลายู บันทึกไววา เป น ต น ราชวงศ แ ห ง อาณาจั ก รมะละกาบนคาบสมุ ท รมลายู ดั ง นั้ น คํ า ว า “มลายู ” ที่ ป รากฏใน ประวัติศาสตรมลายู จึงเปนคําที่มีความหมายเฉพาะ กลาวคือใชเพื่อบงบอกเอกลักษณของกลุมชน ดังกลาว ต อ มาเมื่ อ คนกลุ ม นี้ เ ข า มาปกครองมะละกา ด ว ยความรู ค วามสามารถในด า น เศรษฐกิจและความสามารถในการจัดหาทรัพยากรของพื้นที่ จึงทําใหกลุมชนพื้นเมืองเดิมของมะละกา ซึ่งประกอบดวยกลุมชาวเล (Orang Laut) และชาวพื้นเมือง (Orang Asli) เกิดการยอมรับ ผูปกครองคนใหมที่มาจากภูเขาซีฆุนตัง (Bukit Siguntang) ซึ่งมีความเหนือกวาทั้งในแงเชื้อสายและ วัฒนธรรมซึ่งสะทอนถึงการถายทอดวัฒนธรรมที่เหนือกวาของผูอพยพสูกลุมชนพื้นเมือง ทําใหมะละ กา กลายเป น ดิ น แดนที่ มี วั ฒ นธรรมที่ แ ตกต า งจากบริ เ วณโดยรอบ คํ า ว า “มลายู ” จึ ง เริ่ ม พั ฒนา ความหมายครอบคลุมสังคมในดินแดนใหมซึ่งประกอบดวยกลุมชาวเลและชาวพื้นเมือง ซึ่งถูกดึงเขา มาเปนสวนหนึ่งของมะละกา หลังจากที่กลุมผูอพยพจากสุมาตราสามารถตั้งหลักแหลงที่มั่นคงที่มะละกาไดแลว การปรับเปลี่ยนแบบแผนทางวัฒนธรรมที่สําคัญไดเกิดขึ้นอีกครั้งนั่นคือ การนับถือศาสนาอิสลาม หลั ง จากที่ ศ าสนาอิ ส ลามได ตั้ ง มั่ น ในมะละกาแล ว ความเป น มุ ส ลิ ม จึ ง กลายเป น เอกลั ก ษณ ท าง วัฒนธรรมอีกอยางหนึ่งของชุมชน “มลายู” แหงมะละกา ดังนั้นการรับอิสลามของมะละกาไดสงผลให ความหมายของคําวา “มลายู” ครอบคลุมผูอพยพมาจากภูเขาซีฆุนตัง (Bukit Si guntang) และกลุม ชนพื้น เมื องของมะละกา และยังรวมไปถึงการนับถือศาสนาอิสลามดวย ฉะนั้ นการนับถื อศาสนา อิสลามจึงกลายเปนปจจัยสําคัญของการเปน “ชาวมลายู” ซึ่งในสังคมมะละกาถือการเปนมุสลิมวาเปน
128
การ “Masuk Melayu” หรือ “การเขาสูความเปนมลายู” เชนเดียวกับสังคมมลายูในสามจังหวัด ชายแดนภาคใต ดัง นั้ น ความเป น “มลายู ” ซึ่ งรวมถึง การเปนมุ สลิมส งผลใหคํ าวา “มลายู” มี ความหมายกวางขึ้นและเอื้ออํานวยใหกลุมชนและดินแดนที่หลากหลายสามารถนําตัวเองเขาเปนสวน หนึ่งของอาณาจักรแหงนี้ จากขอมูลในขางตนแสดงถึงพัฒนาการของคําวามลายูชวงตาง ๆ ซึ่งสามารถกลาว สรุปไดดังนี้ 1. คําวา “มลายู” มาจากชื่อรัฐมลายูโบราณ จากบันทึกของจีนสมัยราชวงศถัง ไดเขียนถึงชื่อของรัฐที่ตั้งอยูในเกาะสุมาตราวา โมโล-ยู (Mo-Lo-Yue) อยูในระหวางป ค.ศ. 644-645 และนักบวชจีนที่ชื่อวา อี้ชิง ไดบันทึกวา การ เดินทางไปยังประเทศอินเดียของเขานั้น ไดแวะที่ศรีวิชัยเปนเวลา 6 เดือน เพื่อศึกษาภาษาสันสกฤต และจากศรีวิชัย เขาไดเดินทางไปยังมลายู (Mo-Lo-Yue) และพักที่นั่นเปนเวลาอีก 6 เดือน นั่น หมายความวา เดิมทีนั้นมลายูเปนชื่อของอาณาจักรโบราณบนเกาะสุมาตรา 2. คําวา “มลายู” ในฐานะเปนชื่อของ “ชนเชื้อชาติมลายู” ในคริ ส ต ศ ตวรรษที่ 18 เมื่ อ ชาวตะวั น ตกโดยเฉพาะชาวฮอลั น ดาได เ ริ่ ม เข า มา เคลื่อนไหวในภูมิภาคมลายู (Nusantara) ดวยชนพื้นเมืองมีลักษณะผิวและรูปรางที่คลายกัน และ พวกเขายังสามารถพูดภาษามลายูเปนภาษากลางในการสื่อสารระหวางกัน ดังนั้นชนพื้นเมืองดังกลาว จึงถูกชาวตะวันตกเรียกรวมกันวา ชนชาวมลายู (Bangsa Melayu) 3. ความหมายของ “มลายู” หลังป ค.ศ.1400 ที่เกี่ยวของกับศาสนาอิสลาม เมื่อมี การสถาปนาอาณาจั กรมะละกาขึ้ น ในป ค.ศ. 1404 และการเปลี่ยนมานับถื อ ศาสนาอิ ส ลามของ ปรเมศวร การเผยแผศาสนาอิสลามจึงกระจายไปทั่วภูมิภาคมลายู เปนการเผยแผโดยผานการคาขาย การแตงงานกับบุตรีเจาเมือง ไมเพียงแตมีการกอรางของสังคมมุสลิมเทานั้น แตยังเปนการกําเนิด ของวัฒนธรรมมลายูอีกดวย จนเราสามารถเห็นถึงการจัดตั้งรัฐในบริเวณชายฝงทะเล ทั้งในเกาะสุ มาตรา เกาะกาลิมันตัน และภาคใตของประเทศไทยโดยเฉพาะที่ ปตตานี นับตั้งแตนั้นความหมาย ของคําว า “มลายู ” จึ งไม ไดผู กมัดอยูกับความสัมพั นธทางเชื้อชาติ เทานั้น แต ยังเปน การรวมเอา ความสัมพันธทางวัฒนธรรมเดียวกันเขาไปดวย นั้นคือ การนับถือศาสนาอิสลาม พูดภาษามลายู และ ยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณีมลายู (Adat-istiadat Melayu) สรุปแลวคําวาชนชาวมลายู หากมองในแงสังคมและวัฒนธรรมในความหมายกวาง แลวจึงหมายรวมถึงคนที่อาศัยอยูในแหลมมลายูและหมูเกาะตาง ๆ ในภูมิภาคมลายู ดวยเหตุนี้กลุม เชื้อชาติมลายูในโลกจึงเปนกลุมคนที่มีจํานวนมากกลุมหนึ่ง อยางไรก็ตามดวยนโยบายของนักลา
129
อาณานิคมซึ่งชอบแยกชาวมลายูใหเปนกลุมเล็กกลุมนอยเพื่อความสะดวกในการปกครอง ดังนั้น อาณาเขตของบรรดาประเทศมลายูจึงถูกกําหนดไวเพียงแคประเทศมาเลเซียเทานั้น ในขณะที่คน มลายูในอินโดนีเซีย และในฟลิปปนส นั้นกลับถูกเรียกวาเชื้อชาติอินโดนีเซียและเชื้อชาติฟลิปปนส 3.8.6 ประวัติความเปนมาของชาวมลายู มีหลักฐานตาง ๆ ที่แสดงวาบริเวณโลกมลายูไดมีมนุษยอาศัยอยูตั้งแตยุคน้ําแข็ง (Pleistosen) อี ดูบัวส (E.Dubois) นักวิชาการชาวฮอลันดาไดพบซากกะโหลก ฟนและกระดูกขา สวนบนที่เขตชนบทชานเมืองเบอกาวัน โซโล (Bekawan Solo) และเขามีทัศนะวาเกาะชวาเปน บริเวณที่มีมนุษยยุคเกาแกที่สุดอาศัยอยู เรียกวา “มนุษยวานร” ซึ่งถนัดเดินดวยเทาที่เชื่อกันวาเปน บรรพบุรุษของมนุษยปจจุบัน กอนสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหวางป ค.ศ.1931 ถึง 1934 ไดมีการพบ ซากมนุษยวานรใกลกับหมูบานงันดง (Ngandong) บริเวณที่ลุมของเมืองเบอกาวัน โซโล มากกวา 20 ซาก การพบซากมนุษยครั้งนี้เปนที่รูกันอยางกวางขวาง และซากเหลานั้นก็ถูกนําไปศึกษาวิจัยใน เชิงลึกอยางละเอียด ซากนี้จึงมีชื่อเรียกวา “มนุษยโซโล” ซากเหลานี้ถูกคนพบในชั้นดินที่นักธรณีวิทยา เรียกวาชั้น ไพลสโตชีน (Pleistosen) ยุคกลาง ซึ่งมีอายุระหวาง 200,000 ป ถึง 800,000 ป (Ismail Hamid, 1991 : 5-6)
ในป 1936 มีการพบซากมนุษยอีก 2 ซาก ที่หมูบานเปอรนิง (Perning) ใกลกับ เมืองมาญาเกอรตา (Majakerta) และหมูบานซารีงัน (Sangiran) ซากเหลานี้พบในสวนของชั้นไพลส โตซีน ยุคแรก ซึ่งเกาแกมาก (Lower Pleistocene) มีอายุราว 2,000,000 ป ซากเหลานี้มีชื่อ เรียกวา “มนุษยมาญาเกอรตา” ในป 1941 G.H.R. von Konigngsald ไดพบซากมนุษยซึ่งโบราณ ที่สุดในชั้นดินเกาแก ซึ่งซากนี้เรียกวามนุษยใหญจากชวายุคโบราณ (Paleojavanicus) ซากมนุษยที่ ถูกคนพบหลังสุด ก็คือการคนพบในป ค.ศ. 1973 ที่หมูบานซัมบุงมาจัน (Sambungmacan) จนถึง ขณะนี้ซากมนุษยโบราณที่คนพบที่ชวาจํานวนทั้งสิ้น 41 ซาก ตามทัศนะของโกอินฌารานิงรัต (Koentjaraningrat) มนุษยวานร ซึ่งรวมทั้งมนุษย ใหญจากชาวยุคโบราณนั้นนักวิชาการ ถือวาเปนมนุษยยุคแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใตซึ่ง นาจะมีชีวิตอยูในราว 2,000,000 ถึง 200,000 ป กอนคริสตศักราช บรรดานักวิชาการเห็นวาแม มนุษยซึ่งเกาแกที่สุดนี้ยังไมสามารถประดิษฐภาษาของตนขึ้นมา แตก็ไดมีการใชเครื่องมือซึ่งทําดวย หินหรือไม นักวิชาการหลายคน ไดทําการศึกษาถึงบรรพบุรุษของมนุษยยุคแรกที่สุดที่อาศัยใน มาเลเซีย ทอม แฮรริสัน (Tom Harrison, 1972 : 1-3) กลาววามนุษยพวกหนึ่งซึ่งเรียกวา “โฮโม ซา
130
เปยน” (Homo Sapien) ซึ่งตอมาไดกลายมาเปนบรรพบุรุษของชนหลาย ๆ เชื้อชาติ กอนนี้มนุษยโฮ โมซาเปยนนั้นถือวามีอยูเฉพาะในตะวันออกกลางและที่อื่น ๆ เทานั้น โดยไมรวมเอเชียตะวันออก เฉียงใต แตจากการศึกษาวิจัยลาสุดที่เ ปอลาวัน (Pelawan) ประเทศฟลิปปนสและพื้นที่ทาง ตะวันออกของประเทศมาเลเซียของทอม แฮริสัน พบหลักฐานตาง ๆ ของมนุษยเชื้อสายโฮโม ซา เปยน ซึ่งไดอาศัยอยูตามที่ตางๆ ของบริเวณนี้ในสมัยโบราณ โฮโมซาเปยน เปนมนุษยยุคแรก ๆ พวกหนึ่งซึ่งมีรูปรางคลายลิงและเปนที่รูจักกันวาเปนคนชวาโบราณ มนุษยพวกนี้พบวาอาศัยอยูใน มาเลเซียตะวันออก แหลมมลายู มาเลเซียแผนดินใหญ เกาะชวาและฟลิปปนส หลักฐานสวนหนึ่งที่ แสดงวาคนพวกนี้ไดอยูในบริเวณดังกลาวก็คือการคนพบอุปกรณ เครื่องมือที่ใชตัดสิ่งของที่ทําขึ้นจาก หินซึ่งมีอายุเกาแกมาก เครื่องมือเหลานี้มนุษยโฮโมซาเปยน ไดเคยใชมาแลวซึ่งถูกคนพบที่เมืองโกตา ตัมปน รัฐเปรัค และที่อุโมงคเหมืองแรที่เซอมาตัง รัฐซาราวัก ประวัติเกาแกที่สุดของมนุษยที่อาศัยอยูในคาบสมุทรมลายู สามารถยืนยันไดโดย อาศัยหลักฐานของการคนพบสิ่งตาง ๆ ที่ถ้ํานีอะหซาราวัก (Gua Niah Sarawak) ทอม แฮริสัน พรอมคณะจากพิพิธภัณฑซาราวักไดทําการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับหลักฐานการดํารงชีวิตของมนุษยยุค โบราณที่ถ้ําดังกลาวไดพบกะโหลกมนุษยโฮโมซาเปยน และจากการศึกษาปรากฏวากะโหลกมนุษย ถานไมและกระดูกสัตวตาง ๆ นั้นมีอายุราว 40,000 ป ในขณะเดียวกัน โรเบิรต ฟอกซ (Robert Fox) จากพิพิธภัณฑแหงชาติ ประเทศฟลิปปนสไดคนพบกะโหลกที่คลายกันในถ้ําแหงหนึ่งที่เปอลา วัน ทางตอนใตข องประเทศฟ ลิป ปน ส เนื่ องจากกอ นยุ คน้ํ าแข็ ง เมืองเปอลาวั น เป น ส วนหนึ่ง ของ แผนดินใหญที่รวมอยูกับบอรเนียว ดังนั้นจึงอาจกลาวไดวามนุษยโฮโมซาเปยน ซึ่งคนพบที่ถ้ํานีอะห ซาราวัก ไดพเนจรรอนเรไปถึงเปอลาวัน ประเทศฟลิปปนสดวย (Ismail Hamid, 1991 :7) จากการศึกษาชั้นดินในถ้ํานีอะหของนักธรณีวิทยาไดคนพบกระบวนการเปลี่ยนแปลง ของยุคสมัย และในชั้นดินใตสุดพบเครื่องมือที่ทําจากหินอยางหยาบ ๆ สวนในชั้นดินถัดขึ้นมาก็ได พบเครื่องมือที่สวยงามกวาซึ่งทําขึ้นจากดินเขี้ยวหนุมานหรือหินควอไซท เกี่ยวกับประวัติดั้งเดิมของเชื้อชาติมลายูนั้น นักวิชาการมีทัศนะที่แตกตางกัน ฟาน รองเกล (Van Ronkel) มีความเห็นวาเชื้อชาติมลายูไดแกคนพูดภาษามลายูที่อาศัยอยูในดินแดน แหลมมลายู หมูเกาะเรียวลิงกา และบริเวณตาง ๆ ในสุมาตราโดยเฉพาะอยางยิ่งที่ปาเล็มบัง สวนโรบิ กวิน (Robiquin) ใหคําอธิบายเชื้อชาติมลายูอยางกวาง ๆ วา ผูอาศัยอยูในภูมิภาคมลายู สิงคโปร อินโดนีเซีย และฟลิปปนส แตไมรวมนิวกีนี และหมูเกาะเมลานีเซีย (Ismail Hamid, 1991 : 2) Encyclopedia Britannica (CD-ROM), 2003 ใหคําจํากัดความเชื้อชาติมลายูวา เปนผูที่อาศัยอยูในเอเชียตะวันออกเฉียงใตและในหมูเกาะตาง ๆ ในบริเวณใกลเคียง บรรพบุรุษของ พวกเขามาจากกลุมชาติพันธุ ออสโตรนีเซีย โปรโตมลายู มองโกลอยด อินโดนีเซียหรือมลายัน ชาติ พันธุนี้เปนที่เชื่อกันวาแหลงดั้งเดิมอยูที่มลฑลยูนนาน ทางตอนใตของประเทศจีน คนเหลานี้เรรอน
131
มาทางตอนใตลุมน้ําแมโขงในราว ๆ 2,500 ถึง 1,500 ป กอนคริสตศักราช ตอมาพวกเขาไดอาศัย อยูในบริเวณคาบสมุทรมลายู หมูเกาะอินโดนีเซีย มาดากัสการและหมูเกาะติมอร นอกจากนี้ เฮนดริก เคิรน (Hendrik Kern) และฟอน ไฮน-เกลเดิรน (Von Heine-Geldern) กล า วถึ ง ที่ ม าไว ว า มี ก ลุ ม ผู เ ร ร อ นจากยู น นานที่ ไ ด ม าถึ ง หมู เ กาะมลายู ร ะหว างป 2500 และ 1500 กอนคริสตศักราช กลุมแรกเรียกวา มลายูโปรโต (Melayu Proto) และกลุมที่สอง เรียกวา มลายู ดิวโทร (Melayu Deutro) เมื่อกลุมที่สอง คือกลุมดิวโทรมาถึงเอเชียตะวันออกเฉียง ใต ก็ไดรุกไลกลุมคนมลายูโปรโตใหเขาไปในปาเขา กลุมคนโปรโตไดสรางสังคมตนเองขึ้นในพื้นที่ลึก ๆ ในปาอันเปนที่รูจักกันในนาม ญากุน (Jakun) มะหเมอรี (Mahmeri) ญาฮุต (Jahut) เตอมวน (Temuan) และบีดวนดา (Biduanda) ในขณะที่คนมลายูดิวโทร นั้น วากันวาเปนบรรพบุรุษของคน มลายูในปจจุบัน (Abdullah Hassan, 1980 : 23-25) ภาพที่ 27 เสนทางการอพยพของชนมลายู
ที่มา : ดัดแปลงจาก Mahmūd Shākir, 1991 : 45 สวนเอ เอช คีน (A. H. Kean) ซึ่งเปนนักมานุษยวิทยา มีทัศนะวา เชื้อชาติมลายูมี การผสมกันระหวางเชื้อชาติคอเคซอยดกับเชื้อชาติมองโกลอยด (Ismail Hamid, 1991 : 3) ทัศนะนี้
132
เปนทัศนะที่ตั้งอยูบนทฤษฎีที่วา ชาวมลายูมีที่มาดั้งเดิมจากทางตอนเหนือของเอเชียตะวันออกเฉียง ใตดังไดกลาวแลวขางตน และสอดคลองกับแนวคิดในศาสนาอิสลามที่ไดกลาวถึงกลุมชนตาง ๆ วา ลวนแตมีที่มาเดียวกัน นั่นก็คือจากลุมแมน้ําไทกริส-ยูเฟรติส จากนั้นก็ไดกระจายออกไปตั้งถิ่นฐาน ตามที่ตาง ๆ สําหรับเชื้อชาติมลายูเปนกลุมที่เดิมทีตั้งถิ่นฐานอยูในทิเบตแตหลังจากพื้นที่ดังกลาวมี ประชากรเริ่มหนาแนน รวมถึงภัยจากสงครามภายในและความแหงแลงจึงทําใหประชากรบางกลุม ตัดสินใจอพยพยลงทางใตสูคาบสมุทรมลายู และหมูเกาะตาง ๆ ในคาบสมุทรมลายู (Mahmūd Shākir, 1991 : 42-44) ดังแผนที่ซึ่งแสดงไวขางตน 3.8.7 วัฒนธรรมมลายูปตตานี กระบวนการวิ วั ฒ นาการของวั ฒ นธรรมตั้ ง แต ยุ ค สมั ย ก อ นประวั ติ ศ าสตร ซึ่ ง มี อาณาจักรฮินดู – พุทธ และตลอดมาจนถึงยุคอิสลามไดมีการสืบทอดประเพณีที่ทรงคุณคาพรอมกับ ขอคิดซึ่งไดกลายเปนวิถีชีวิตของชนชาติมลายูในปจจุบัน หลังจากที่อิทธิพลของตะวันตกไดเขามาใน ดินแดนมลายูพรอมกับการตั้งถิ่นฐานของชาวอินเดียและชาวจีนในดินแดนแหงนี้ไดกลายเปนพลัง ขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลง ทางวัฒนธรรมใหเกิดขึ้น แมวาปตตานีจะไดชื่อวาศูนยกลางแหงศาสนา อิสลามก็ตาม เริ่มแรกนั้นวัฒนธรรมตั้งอยูบนพื้นฐานของความเชื่อในเรื่องวิญญาณนิยม (Animism) แตหลังจากวัฒนธรรมภายนอกไดซึมซับเขาไปในสังคมมลายู และวัฒนธรรมใดที่ชาวมลายูคิดวามี ความเหมาะสมก็นํามาใชในวิถีชีวิตของตนเองตามการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลา วัฒนธรรมมลายูได สรางความเจริญใหกับสังคมแตในขณะเดียวกันชาวมลายูมีระบบการปกครอง เศรษฐกิจและศาสนา ของตนเองทําใหความซับซอนทางวัฒนธรรมมีมากขึ้น ในยุคนั้น คนฮินดูใดนําเทวรูป (Berhala) มาขายใหกับคนลังกาสุกะและคนฮินดูได เผยแผศาสนาพุทธที่เคารพรูปปน เมื่อใดที่คนฮินดูเขามาเผยแผศาสนาจะมีคนมลายูจํานวนมากเขา ไปหอมลอม และคนฮินดูจะอยูภายในวงลอมของคนมลายู คนฮินดูจะแสดงมายากลใหดู และจะรักษา โรคใหจนเปนที่แปลกใจแกคนมลายู ในสมัยนั้นคนมลายูเปนจํานวนมากเชื่อถือและศรัทธาในศาสนา ฮินดู แมแตราชาเองก็บูชาเทวรูป ลังกาสุกะในสมัยนั้นจึงมีการกอสรางศาสนสถานและเทวรูปมากมาย ประมาณตนศตวรรษที่ 10 ศาสนาพุทธไดแพรเขามายังลังกาสุกะ ชาวฮินดูในลังกาสุ กะหันมาเขารับนับถือพุทธศาสนามากขึ้นเปนลําดับ นอกจากนั้นชาวจีนในลังกาสุกะก็รับนับถือพุทธ ศาสนากันมาก ชาวเมืองลังกาสุกะสวนใหญจึงนับถือพุทธศาสนา ขณะเดียวกันความเชื่อและประเพณี ตาง ๆ ตามแบบของฮินดูก็ยังปฏิบัติกันตอ ๆ มา เอกสารหลายแหลงจึงระบุวา ชาวลังกาสุกะนับถือ ฮินดู-พุทธ พุทธศาสนาที่ลังกาสุกะรุงเรืองมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ 19 ก็ถึงจุดเสื่อมไปพรอมกับ อาณาจักรศรีวิชัย ตอจากนั้นอาณาจักรมัชปาหิตเขามามีอํานาจแทนที่ ตอมาเมื่อพระเจาปรเมศวรแหง
133
มะละกาไดละทิ้งพุทธศาสนาหันไปนับถือศาสนาอิสลามกองทัพมะละกาไดเขามารุกรานลังกาสุกะ และ ทําลายศาสนสถานจนเกือบหมดสิ้น อยางไรก็ตามความเจริญสูงสุดดานวัฒนธรรมที่แทจริงของสังคมมลายูปตตานีคือ การเกิดขึ้นของวัฒนธรรมประเพณีมลายูสมัยใหมที่มีความเกี่ยวโยงกับศาสนาอิสลาม ถึงแมวาอิสลาม เพิ่งจะแพรหลายในโลกมลายูแตความสัมพันธระหวางวัฒนธรรมมลายูและวัฒนธรรมอาหรับไดเกิด แลวเมื่อกอนศตวรรษที่สอง จึงเปนที่ชัดเจนวาอารยธรรมมลายูเปนการสะทอนความเจริญของอารย ธรรมอิสลามดังปรากฏอยูในรูปปราสาทหิน เครื่องมือเครื่องใช รูปแบบการกอสราง เชน พระราชวัง มัสยิด เครื่องปนดินเผา ศิลปะการตกแตงและที่สําคัญที่สุดคือตนฉบับของหนังสือที่เขียนดวยอักษร ยาวี ซึ่งสามารถพบเห็นไดในพิพิธภัณฑตาง ๆ วัฒนธรรมฮินดูเปนองคประกอบสําคัญของวัฒนธรรมมลายูซึ่งเปนผลมาจากการ แพรหลายของวัฒนธรรม เมื่อหลายศตวรรษที่ผานมากอนการเขามาของอิสลาม การเขามาของอิสลาม ในภูมิภาคนี้ไดกอใหเกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงอยางมากมาย นักวิชาการตะวันตกซึ่งไดศึกษาวิจัย เกี่ยวกับวัฒนธรรมมลายูไดใหความเห็นวาสวนประกอบของอิสลามในวัฒนธรรมมลายูมีนอยมาก ดังที่อาร โอ วินสเต็ด (R.O. Winstedt) ไดกลาวไววา “จนถึงศตวรรษที่ 19 การสรางวัฒนธรรมของ ชาวมลายูรวมทั้งศาสนายังคงมีแรงดลใจที่มาจากอินเดีย” ซึ่งสอดคลองกับคําปรารภของเอส เอ็ม นา กิบ อัลอัตตัส (S.M. Naquib al-Attas) เกี่ยวกับมโนภาพของอิสลามในวัฒนธรรมมลายูวา “เปน เวลาพันกวาปที่อิทธิพลของวัฒนธรรมฮินดูไดครอบงําโลกมลายูตั้งแตคริสตวรรษที่ 1 จนถึงคริสต วรรษที่ 13 ซึ่งทําใหวัฒนธรรมมลายูไดเปลี่ยนแปลงไป วัฒนธรรมที่เกิดขึ้นจากอิทธิพลของศาสนา ฮินดู ดังกลาวไดกลายเปนวิถีชีวิตของสังคมมลายูเกาแกและเปลี่ยนจากอารยธรรมที่มีรูปแบบงาย ๆ กลายเปนสังคมที่มีความซับซอน หลังจากการเขามาของอิสลามไดทําใหสังคมมลายูเปลี่ยนแปลง ความคิ ด ที่ มี ต อ วั ฒ นธรรม หลั ก การศาสนาได ก ลายเป น อุ ด มการณ แ ละวิ ถี ชี วิ ต อุ ด มการณ ที่ มี ความสําคัญที่สุดไดแก หลักเตาฮีด (Akidat al-Tauhid) นั้นก็คือความเชื่อในความเปนเอกภาพของ เอกองคอัลลอฮฺ” (มูฮัมหมัดซัมบรี อับดุลมาลิก, 2543 : 87-88) ซึ่งสามารถแสดงโครงสรางจาก องคประกอบตาง ๆ ไดดังแผนภูมิตอไปนี้
134
ภาพที่ 28 โครงสรางวัฒนธรรมมลายูปตตานี
ในสมัยที่วัฒนธรรมมลายูในยุคลังกาสุกะมีความเจริญรุงเรืองอยูนั้น ปตตานีถือวา เป น รั ฐ ต น แบบของวั ฒ นธรรมชนชาติ ม ลายู ทั้ ง หมด แต ป จ จุ บั น สิ่ ง ดั ง กล า วยากที่ จ ะพบเห็ น ซึ่ ง นักวิชาการและผูเชี่ยวชาญดานวัฒนธรรมมลายูเชื่อวาปตตานีเปนศูนยของวัฒนธรรมมลายู นอกจากนี้ ยังมีคํากลาวอื่น ๆ อีกมากมาย เชน มีบันทึกกลาววาราชอาณาจักรปตตานีมีความเจริญทางดาน เศรษฐกิจและเปนรัฐที่มีความสุนทรียภาพและความเดนเปนเวลาหลายรอยปจึงไมเปนที่แปลกใจวา ทําไมปตตานีจึงไดกลายเปนศูนยกลางทางวัฒนธรรมมลายู จากความปรีชาสามารถของกษัตริยที่ ปกครองปตตานีเปนเวลายาวนานทําใหศิลปะการดนตรี การฟอนรํา การละคร งานเหมืองแร งานสิ่ง ทอ และงานแกะสลักประสบกับความเฟองฟูเทียบไดกับศิลปะของประเทศกัมพูชา แตสิ่งเหลานี้ก็ได เปลี่ยนแปลงไปเมื่อดินแดนที่เคยมีความเจริญแหงนี้ไดถูกตัดขาดจากรัฐมลายูอื่น ๆ และในที่สุด ความเจริญทั้งหมดไดหดหายไปภายใตการปกครองของชนชาติอื่น (Sheppard M. C., 1972 : 10) 3.8.8 สังคมมลายู สังคมมลายูประกอบดวยชาวมลายูที่รวมตัวกันจากความสัมพันธทางการแตงงาน ดวยสายเลือด และความสัมพันธดวยการอุปถัมภ (Ikantan Angkat) โครงสรางทางครอบครัวของ สังคมมลายูสามารถเห็นไดจากระบบเครือญาติและลูกหลานความเปนสมาชิกและบานเรือน อํานาจ และสิทธิการควบคุมและการแตงงาน
135
ครอบครัวของสังคมมลายูสามารถแบงระบบเครือญาติและลูกหลานออกเปน 2 สวน คือครอบครัวที่ยึดถือสายมารดา (Nasab Ibu) ซึ่งเปนชนชาวมลายูที่ยึดถือระบบสังคมผูหญิงเปนใหญ (Adat Perpatih) ที่รัฐเนกรีเซมบีลัน นานิง (Naning) ในรัฐมะละกา รวมทั้งชุมชนมินังกาเบา (Minangkabau) ในเกาะสุมาตรา และครอบครัวที่ยึดถือสายบิดา (Nasab Bapa) ซึ่งเปนชนชาว มลายูสวนใหญที่อยูนอกเหนือจากพื้นที่ของรัฐเนกรีเซมบีลัน นานิง และ มินังกาเบาในเกาะสุมาตรา โดยพื้นฐานแลวสังคมมลายูทั้งสองสวนนี้มีความแตกตางคอนขางมาก โดยเฉพาะอยางยิ่งโครงสราง ขององคกรทางสังคม แตดวยสังคมมลายูภายใตระบบโครงสรางที่ถูกกําหนดโดยศาสนาอิสลาม ทําให สังคมมลายูของทั้งสองสวนยังคงมีความเหมือนกันอยูในบางสวน 3.8.8.1 บทบาทของครอบครัว บทบาทที่สําคัญของครอบครัวนั้นมีทั้งบทบาทในทางเศรษฐกิจ การศึกษา ศาสนา และการปกครอง โดยทั่วไปสังคมมลายูเปนสังคมการเกษตร ผลผลิตในสังคมการเกษตรนั้นแรงงาน ในครอบครัวมีความสําคัญ ดังนั้นครอบครัวมลายูจึงสามารถถือไดวาเปนหนวยผลิตแหงหนึ่งทาง เศรษฐกิจ ทุกคนที่เปนสมาชิกในครอบครัวสามารถออกแรงงานในการผลิตสวนดังกลาว คนมลายูที่ อาศัยนอกเมืองมักไมจําเปนตองพึ่งพาสถาบันหรือหนวยงานที่พวกเขาตองการ เชน ดานเศรษฐกิจไม วาจะเปนการผลิตอาหาร อบรมสั่งสอนบุตร ซักผา และดูแลบานเรือน และกิจการอื่น ๆ ภายใตกรอบ ของครอบครัว ดังนั้นครอบครัวในสถานะที่ผลิตสิ่งที่สมาชิกครอบครัวตองการ ถึงสามารถกลาวไดวา ครอบครัวมลายูเปนผูมีบทบาททางเศรษฐกิจโดยรวม บทบาทดานการศึกษา ครอบครัวไดสรางจริยธรรมและนิสัยสวนตัวของลูก ๆ สังคม มลายูใหความสําคัญในการอบรมสั่งสอนบุตรหลาน ไมวาจะดวยการอาศัยหลักการของศาสนาอิสลาม กฎหมายประเพณี สํานวนตาง ๆ อยางเชน สํานวนที่วา Kalau hendak Melentur biarlah Semasa rebung (ไมออนดัดงาย ไมแกดัดยาก) Sayangkan anak pukul-pukulkan (รักลูกใหตี) Bapa borek anak rintik (ลูกไมหลนไมไกลตน) สังคมมลายูจะสอนลูกตั้งแตเด็ก ๆ โดยบิดามารดาตาม ความเหมาะสมของงาน ในบานเรือนนั้น ลูก ๆ ที่เปนผูหญิงจะถูกอบรมเพื่อเตรียมการเปนภรรยา และเปนผูนําในบานเรือนตอไป สังคมมลายูไมอาจยอมรับลูกผูหญิงที่ไมสามารถดูแลบานเรือน สวน บทบาทด านศาสนานั้ น ครอบครั วมลายู มี บทบาทในการอบรมสั่ งสอนด านศาสนาแกสมาชิ ก ของ ครอบครัว เชน การละหมาด การถือศีลอด การละหมาดรวมกันภายในครอบครัว ดังนั้นครอบครัว มลายูจึงเปนหนวยหนึ่งของกิจการทางศาสนาอิสลาม
136
ครอบครัวถือเปนหนวยแรกที่ทําหนาที่เปนผูปกปอง ชวยเหลือในยามเจ็บไขไดปวย รวมถึงการชวยเหลือสมาชิกของครอบครัวในขณะที่มีความลําบาก ทุกขยากเปนสิ่งที่ศาสนาอิสลามให ปฏิบัติ คนมลายูใหความสําคัญตอความปลอดภัยและสวัสดิภาพของสมาชิกครอบครัว ในสังคมที่ยึดถือเชื้อสายมารดานั้นเมื่อสมาชิกของครอบครัวถูกขมขืนหรือถูกทําราย เปนหนาที่ของครอบครัวคนที่ถูกขมขืนหรือถูกทํารายตองปกปองหรือเรียกคาเสียหาย ดังปรากฏใน สํานวนที่วา “Cincang pampas, bunuh beri balas” (เลือดตองลางดวยเลือด) คุณลักษณะบางอยางของความเปนครอบครัวของคนมลายูไดสะทอนผานสํานวน ตาง ๆ อาทิ “Cubit paha kanan paha kiri terasa” และ “Sebusuk-busuk daging, dibasuh” นั้น หมายความวา ถาสมาชิกในครอบครัวเจ็บ สมาชิกคนอื่น ๆ ก็จะเจ็บดวย หรือถึงจะมีตําหนิอยางไรเขา ก็เปนสมาชิกของครอบครัว ครอบครัวยินดีตอนรับเสมอ 3.8.8.2 บทบาทของสมาชิกครอบครัว บทบาทของสามีภรรยาในครอบครัวมลายูนั้นไดมีการกําหนดโดยศาสนาอิสลามและ ขนบธรรม ประเพณี โดยทั่วไปแลวอํานาจจะอยูกับสามีหรือบิดา ดังนั้นสามีหรือบิดามีฐานะเปน หัวหนาครอบครัว ดังนั้นการที่สามีมีสถานะเปน “di bawah telunjuk isteri” (อยูภายใตอํานาจของ สตรี) จึงเปนสิ่งที่นาอับอายสําหรับสังคมมลายู และเปนการดูถูกสถานะของสามีในฐานะผูนํา ครอบครัว นอกจากนั้นหัวหนาครอบครัวมีหนาที่รับผิดชอบดานคาใชจาย และดูแลความสุขและความ ทุกขของครอบครัว ซึ่งหากหัวหนาครอบครัวไมสนใจความเปนอยูของสมาชิกในครอบครัว สถานะ ทางสังคมของหัวหนาครอบครัวจะตกต่ําในสายตาของสังคมมลายู ในสั ง คมมลายู โ ดยเฉพาะสั ง คมมลายู ใ นชนบทได มี ก ารแบ ง กรอบหน า ที่ ภ ายใน ครอบครัวอยางชัดเจน โดยสามีหรือบิดาตองรับทําหนาที่ในงานที่หนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ดังนั้น สัง คมมลายู จะพบสามีห รื อ บิด าเข าครัว ทํ าอาหาร ซั กผ า หรื อ ดู แ ลบานเรื อนได นอยมาก ใน ขณะเดียวกัน ภรรยาเองก็จะถูกมองวาไมควรทํางานหนักเหมือนกับผูชาย สตรีชาวมลายูไมมีความเปนอิสระเมื่อเปรียบเทียบกับผูชาย โดยสตรีมลายูมักจะใช เวลาสวนใหญหมดไปกับการทํางานบาน เมื่อสตรีชาวมลายูแตงงาน หนาที่พื้นฐานของเธอคือดูแลสามี อบรมสั่ งสอนบุ ตร และดู แ ลบ า นเรื อ น ซึ่ ง เปน สิ่ งที่ เ หมาะสมกั บ การเรี ยกสตรีช าวมลายูว า “Ibu rumah” หรือ “Orang rumah” (แมศรีเรือน) นอกจากนี้ภรรยาในสังคมมลายูยังมีฐานะเปนที่ปรึกษา ของสามี ซึ่งการตัดสินใจในเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัวสวนใหญจะเปนการตัดสินใจรวมกันทั้งสามีและ ภรรยา
137
3.8.8.3 ความสัมพันธทางครอบครัว ความสัมพันธเปนหลักสําคัญของครอบครัวคือความสัมพันธระหวางภรรยาและสามี ในสังคมมลายูนั้น ภรรยาและสามีมักไมแสดงความรักตอกันในที่สาธารณะเพราะการแสดงความรัก ในที่สาธารณะสําหรับชาวมลายูนั้นถือวาเปนสิ่งที่ไมสมควรหรือที่เรียกวา “Tidak Manis” (ไมเหมาะ ไมควร) ความสัมพันธระหวางบิดากับลูก ๆ นั้นตั้งอยูบนพื้นฐานของการ “เคารพเชื่อฟง” หรือ “taat dan hormat” สังคมมลายูไมยอมรับการที่ลูกไมเชื่อฟงคําพูดของบิดามารดา ไมเคารพ บิดามารดา และไมสนใจดูแลบิดามารดาในยามเจ็บปวยหรือแกเฒา ในสังคมมลายูการเคารพเชื่อฟง บิดามารดาไดเกิดขึ้นในหลายวิธีการ รวมทั้งการพูดสุภาพ ไพเราะ มีความประพฤติเรียบรอย และไม สรางความอับอายแกบิดามารดา ลูก ๆ จะไมไดรับอนุญาตเขารวมกิจการของผูใหญไมวาจะเปนการ หารือพูดคุยหรืออื่น ๆ ซึ่งลูก ๆ ถูกมองวายังออนอยู (Mentah) ในขณะที่ผูใหญนั้นถือวาตนเปน ผูใหญ “Lebih awal makan garam” หรือ “อาบน้ํารอนมากอน” แตความสัมพันธระหวางบิดา มารดากับลูกที่โตแลว โดยเฉพาะที่แตงงานมีครอบครัวแลวจะมีสถานะที่คอนขางเสมอภาพเพราะถือ วาลูกที่แตงงานแลวมีประสบการณ ความสัมพันธระหวางญาติพี่นอง โดยทั่วไปแลวตั้งอยูบนพื้นฐานของอายุและชั้นรุน ของบุคคล เพราะในสังคมมลายูนั้นมีหลักอยูวา “Orang-Orang muda dikehendaki menghormati orang tua” (ผูมีอายุนอยกวาตองเคารพผูอาวุโส) 3.8.8.4 สังคมมลายูในจังหวัดชายแดนภาคใต ประชาชนชาวมลายูในจังหวัดชายแดนภาคใตมีอยูหลายกลุม ซึ่งสามารถแบงกลุม ประชาชนชาวมลายูดังกลาวออกเปนไดดังนี้ 1. ชาวมลายูทองถิ่น ชาวมลายู ก ลุ ม นี้ เ ป น ชาวมลายู ที่ ตั้ ง ถิ่ น ฐานอยู ใ นจั ง หวั ด ชายแดนภาคใต ม าเป น เวลานานนับตั้งแตบรรพบุรุษ สวนใหญของชาวมลายูกลุมนี้จะอาศัยอยูในจังหวัดปตตานี ยะลา นราธิวาสและบางอําเภอของจังหวัดสงขลา เชน จะนะ เทพา สะบายอย นาทวี และสะเดา (เฉพาะ ต. ปริก) 2. ชาวมลายูที่เดิมเปนชาวมลายูภายใตการปกครองของอังกฤษ
138
ชาวมลายู กลุ มนี้มีอ ยู 3 กลุม กลุ มแรกนั้ นคือชาวมลายูที่ อาศั ยอยูในจั งหวั ดสตูล ดวยเดิมนั้นจังหวัดสตูลเปนสวนหนึ่งของรัฐเคดะห สําหรับกลุมที่สองคือ อําเภอสะเดา (ยกเวน ต. ปริก) เดิมนั้นพื้นที่สวนนี้เปนสวนหนึ่งของรัฐเคดะห แตไดมอบดินแดนสวนนี้แกประเทศไทย ตาม สนธิสัญญา Anglo-Siam 1909 กลุมที่สามคือดินแดนบริเวณที่เรียกวา a small corner in the Northeast of kelantan ซึ่งเปนดินแดนของรัฐกลันตันที่ไดทําการแลกเปลี่ยนกับเมืองระแงะ โดย ดินแดนดังกลาวในปจจุบัน ซึ่งนิโมฮาเหม็ด บิน นิมูฮัมมัด ซอและห (Nik Mohamed bin Nik Mohd. Salleh, 1974 : 55) กลาววา พื้นที่รัฐกลันตันมอบแกไทยนั้นประกอบดวยบานเขาตันหยง (Bukit Tanjung) บานเจะเห (Che’hel) บานบลาวันหรือไพรวัน บานตาบา และบานสุไหงโกลก รวมทั้งพื้นที่ที่เปนเสนทางผานของแมน้ําสุไหงโก-ลก แมน้ําบางนรา แมน้ําลายาร (Sungai Layar) แมน้ํากายูคละ แมน้ําสุไหงปาดี และแมน้ําเอลอง (Sungai Elong) เมื่อดินแดนเหลานี้ รวมทั้งพื้นที่ บางสวนของอําเภอสะเดาถูกมอบแกไทยแลว ทางรัฐบาลไทยจึงไดประกาศตั้งอําเภอตากใบและ อําเภอสะเดา ตามประกาศจัดตั้งอําเภอสะเดาและอําเภอตากใบ ในราชกิจจานุเบกษา เลม 26 ลงวันที่ 22 สิงหาคม ร.ศ. 128 ชาวมลายูกลุมนี้นอกจากดังที่กลาวมาแลว การอพยพของชาวมลายูใน มาเลเซียก อนได รับเอกราชก็เป นสวนหนึ่งของประชาชนกลุมนี้ เชนการอพยพของชาวมลายูจาก หมูบานตุยุห (Tujuh) ในอําเภอตุมปต รัฐกลันตัน เพื่อตั้งถิ่นฐานในหมูบานตุยุห อ.เมือง จ.นราธิวาส การอพยพแรงงานจากมาเลเซียเขามาประกอบอาชีพในจังหวัดชายแดนภาคใตกอนมาเลเซียจะไดรับ เอกราช ซึ่งลูกหลานของกลุมประชาชนเหลานี้ก็ยังคงมีอยูในจังหวัดชายแดนภาคใต เชน ใน ต.บูกิต อ.เจาะไอรอง จ.นราธิวาส อําเภอจะแนะ จังหวัดนราธิวาส หรือแมแตหมูบานกําปงบารู ต.ปะลุรู อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส (นิอับดุลรากิบ บินนิฮัสซัน, (สัมภาษณ) 20 มิถุนายน 2548) 3. ชาวมลายูที่มีเชื้อสายมาจากอินโดนีเซีย ชาวมลายูที่มีเชื้อสายมาจากชวานั้น มีเปนจํานวนหนึ่ง เนื้อหาของ Hikayat Pattani ไดกลาวถึงการเขามาตั้งถิ่นฐานของกลุมชาวชวาในอดีต นั้นแสดงวาชาวชวานั้นอาศัยอยูในจังหวัด ชายแดนใตมาเปนเวลานานแลว แตดวยกลุมชาวชวาเหลานี้มีความเหมือนในดานชาติพันธุกับคน มลายูทองถิ่น ทําใหพวกเขาถูกกลืนจนกลายเปนสวนหนึ่งของชาวมลายูทองถิ่น ซึ่งรองรอยของความ เปนชวาของกลุมประชาชนดังกลาวไดสูญหายไป ถึงอยางไรก็ตาม ชาวมลายูในจังหวัดชายแดนภาคใต สวนหนึ่งก็ยังมีที่ยอมรับวาบรรพบุรุษตนเองมาจากอินโดนีเซีย ดังเชนกรณีของ ซิดิก ชาริฟ อดีต รัฐมนตรีชวยกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเปนนาชายของนายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ สมาชิกสภาผูแทนราษฎร ระบบสัดสวน เขต 8 โดยบิดาของทานอพยพมาจากเกาะสุมาตราในประเทศอินโดนีเซีย และไดเขามา ตั้งรกรากที่อําเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส นอกจากนี้พีรยศ ราฮิมมูลา, (2543 : 20) ไดใ ห ขอสังเกตวาจากชื่อของหมูบานในจังหวัดปตตานีจํานวนมากที่มีชื่อซ้ําหรือคลายกับชื่อสถานที่ใ น
139
อินโดนีเซีย เชน หมูบานปาเสยาวอ (Paser- Java) ในอําเภอสายบุรี จังหวัดปตตานีปจจุบัน หมูบาน “ตะลุบัน” (Teluban) ในอําเภอสายบุรี จังหวัดปตตานีเชนกัน ซึ่งเสียงคลาย ๆ กับสถานที่ในชวา “ชวา” เรียกวา “ตูบัน” (Tuban) และอีกสองหมูบานเรียกวา “หมูบานจัมบี” (Kampung Jambi) แหง หนึ่งอยูที่อําเภอเมืองจังหวัดนราธิวาส และอีกแหงหนึ่งอยูที่อําเภอหนองจิก จังหวัดปตตานี ชาวบาน ผูสูงอายุในหมูบานดังกลาว โดยเฉพาะผูนําศาสนาไดใหคําตอบที่นาสนใจวา บรรพบุรุษของเขามาจาก สุมาตราหรือชวา 4. กลุมประชาชนที่มีรากเหงามาจากปากีสถาน อินเดีย และอาหรับ ดวยประชาชนกลุมนี้นับถือศาสนาอิสลามเฉกเชนเดียวกันกับชาวมลายูในจังหวัด ชายแดนภาคใต และแมวาขนบธรรมเนียมประเพณีจะแตกตางจากชาวมลายู รวมทั้งภาษาพูดโดย ภาคใตและแมวาขนบธรรมเนียมประเพณีแตกตางจากชาวมลายู รวมทั้งภาษาพูดโดยบางกลุมพูด ภาษาไทย แตบางกลุมจะใชภาษามลายูทองถิ่น ดังนั้นสังคมมลายูทองถิ่นรับกลุมประชาชนเหลานี้วา เปนสวนหนึ่งของสังคมมลายูดวย ดังเชน สกุลอัลยุฟรี ซึ่งสาเหะอับดุลเลาะห อัลยุฟรี (สัมภาษณ, 19 กุมภาพันธ 2550) ไดเลาวาปูของทานอพยพมาจากเมืองหะเฎาะเราะเมาวต ในประเทศเยเมน ยัง เกาะสุมาตรา ในอินโดนีเซียโดยประกอบอาชีพคาขาย ตอมาก็ไดยายมาตั้งรกรากที่สิงคโปร จากนั้น บิดาของทานก็อพยพมาและตั้งรกรากที่ปตตานี นอกจากสกุลอัลยุฟรีแลวยังมีสกุลอื่น ๆ อีกหลาย สกุลที่ตางก็อพยพมาจากประเทศอาหรับ อาทิ อัลฮาลาบี อัลกาฟ อัลอิดรุส เปนตน 3.8.8.5 การจัดชนชั้นทางสังคมของชาวมลายู สั ง คมมลายู ไ ด มี ร ะบบการจั ด ชนชั้ น ทางสั ง คม โดยตั ร ญั น ฮาดี ญ าญา (Tarjan Hadidjaja, 1964 : 112) ไดกลาวถึงการจัดชนชั้นของสังคมมลายูในอดีตวามีดังตอไปนี้ 1. ชั้น Raja ผูชายที่อยูในชั้น Raja เมื่อแตงงานกับสตรีชั้น Raja ดวยกัน บุตรที่ ไดมาจะมีฐานะเปนชั้น Raja เชนกัน 2. ชั้น Biduanda สตรีที่อยูในชั้น Raja เมื่อแตงงานกับผูชายชั้นขุนนาง (Menteri) บุตรที่ไดมาจะมีฐานะเปนชั้น Biduanda 3. ชั้น Ceteria สตรีที่อยูในชั้น Raja เมื่อแตงงานกับผูชายทั่วไป บุตรที่ไดมาจะมี ฐานะเปนชั้น Ceteria 4. ชั้น Perwara สตรีที่อยูในชั้น Ceteria เมื่อแตงงานกับผูชายทั่วไปบุตรที่ไดมาจะ มีฐานะเปนชั้น Ceteria
140
5. ชั้น Sida สตรีที่อยูในชั้น
Perwara
ฐานะเปนชั้น Sida 6. ชั้น Hulubalang สตรีที่อยูในชั้น จะมีฐานะเปนชั้น Hulubalang
เมื่อแตงงานกับผูชายทั่วไปบุตรที่ไดมาจะมี
Sida
เมื่อแตงงานกับผูชายทั่วไป บุตรที่ไดมา
3.8.8.6 การจัดชนชั้นในสังคมมลายูในภาคใต สํ า หรั บ การจั ด ชนชั้ น ทางสั ง คมของสั ง คมมลายู ใ นจั ง หวั ด ชายแดนภาคใต นั้ น มี ดังตอไปนี้ 1. ชั้น Raja, Tengku ผูชายที่มีชั้นเปน Raja, Tengku เมื่อแตงงานกับสตรีที่มีชน ชั้นใดก็ตาม บุตรที่ไดจะเปนชั้น Raja, Tengku และ Tuanku 2. ชั้น Nik (นิ, หนิ) สตรีที่มีชั้นเปน Raja, Tengku เมื่อแตงงานกับผูชายทั่วไป หรือผูชายที่มีชนชั้นต่ํากวา บุตรที่ไดจะเปนชั้น Nik 3. ชั้น Wan (แว, วัน, หวัน) สตรีที่มีชั้นเปน Nik เมื่อแตงงานกับผูชายทั่วไปหรือ ผูชายที่มีชนชั้นต่ํากวา บุตรที่ไดจะเปนชั้น Wan 4. ชั้น Che’ (เจะ) สตรีที่มีชั้นเปน Wan เมื่อแตงงานกับผูชายทั่วไปหรือผูชายที่มี ชนชั้นต่ํากวา บุตรที่ไดจะเปนชั้น Che’ 5. ชั้นบุคคลทั่วไป สตรีที่มีฐานะอยูในชั้น Che’ เมื่อแตงงานกับผูชายทั่วไป บุตรที่ ได จะมี ฐานะเปน บุคคลทั่วไป ไม มีคํานํา หนาใด ๆ (นิอั บดุลรากิ บ บิ น นิฮั สซัน, (สั ม ภาษณ) 20 มิถุนายน 2548) อยางไรก็ตาม บางครั้ งในสั งคมมลายูจั งหวัดชายแดนภาคใต อาจตั้ งชื่อบุ ตรของ ตนเองดวยคํานําหนาชื่อวา นิ แว หรือ นิ โดยที่ตนเองไมไดอยูในชั้นของชื่อที่ตั้งไว อาจดวยเปนการ แกเคล็ดตามความเชื่อของบุคคลดังกลาว ซึ่งบางครั้งเกิดจากการเจ็บไขของบุตร หรือการตั้งเพื่อให พนเคราะหบางอยาง นอกจากนั้นสังคมมลายูยังมีการใชชื่อนําหนาอีกหลายอยางเชน Syed, Sayyed เปน คํ าที่ใ ช นําหน าชื่ อ บุ ค คลที่ มีเ ชื้อสายมาจากท านศาสนทู ต มุ ฮั ม มั ด บางส ว นจะใช คํ าว า Habib, Syarif, Sharif แทนคําวา Syed, Sayyed บุคคลที่ใชคํานําหนาดังกลาวสวนใหญมักจะตามดวย นามสกุลอันเปนที่มาของตระกูลตนเอง เชน อัลยุฟรี อัลอิดรุส อัลอัตตัส เปนตน เชนเดียวกันกับคําวา Sharifah, Habibah เปนคําที่ใชนําหนาชื่อสตรีที่มีเชื้อสายมาจากทานศาสนทูตมุฮัมมัด บุคคลที่ใช
141
คํานําหนาดังกลาวสวนใหญมักจะตามดวยนามสกุลอันเปนที่มาของตระกูลตนเอง เชน อัลยุฟรี อัลอิด รุส อัลอัตตัส เชนเดียวกันกับ Syed, Sayyed เปนตน 3.9 ภาษามลายู ภาษาเป นวัฒนธรรมอยางหนึ่งของมนุษย ด วยเหตุนี้มันจึ งมีประวัติศาสตร ความ เปนมาของมันเองโดยเฉพาะประวัติของภาษาใดภาษาหนึ่ง ก็จะบอกถึงที่มาหรือการเกิดขึ้นมาของ ภาษา ตลอดจนพัฒนาการในดานการเขียนภาษาใดภาษานั้น ๆ ประวัติการเริ่มตนการใชภาษาเขียนที่ เกาแกที่สดุ จนเกิดขึ้นกับภาษาอียิปตโบราณและภาษาจีน คือประมาณ 5,000 ปที่ผานมา การจะกลาวอยางชัดเจนถึงการกําเนิดของแตละภาษาเปนเรื่องยาก เพราะปญหานี้ได มีการพูดคุยและถกเถียงกันอยางกวางขวางมาตั้งแตในอดีต บรรดานักปราชญและนักวิชาการตางมี ทัศนะและสมมุติฐานแตกตางกัน ดังเชน ปานนีนี (Panini) ซึ่งมีชีวิตอยูในชวงศตวรรษที่ 5 กอน คริสตศักราช โสเครติส (Socrates) พลาโต (Plato) อริสโตเติล (Aristotle) เจ จี แวน เฮนเดอร (J.G. Van Hender) เอฟ แวน ชเลเจล (F.VanSchlegel) และตลอดจนบรรดานักปราชญใน ศตวรรษที่ 20 เดอ คอนดิแลค (De Condilac) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสผูหนึ่งมีทัศนะวาภาษาเกิดจาก เสียงรองตาง ๆ และการเคลื่อนไหวของรางกายที่มีลักษณะเปนธรรมชาติที่ถูกกระตุนใหเกิดขึ้นโดย ความรูสึกที่รุนแรง ตอมาเสียงรองของอารมณตาง ๆ เหลานี้เปลี่ยนเปนเสียงตาง ๆ ที่มีความหมาย แวน เฮนเดอร มีความเห็นวาภาษานั้น เกิดจากการเลียนเสียงสิ่งแวดลอมรอบ ๆ ตัว ทั ศ นะของนั ก ภาษาศาสตร เ ชิ ง ประวั ติ บ อกว า ภาษามลายู มี ที่ ม าดั้ ง เดิ ม จากภาษา ออสโตรนีเซีย (Austronesia) ซึ่งเปนที่รูจักในชื่อของภาษามาเลยโปลีนีเซีย (Malay poli-nesia) ตระกู ลของภาษาออสโตรนีเ ซียนั้ นแบ งเป นกลุ มใหญ ๆ ไดแก กลุ ม นูซั น ตารา ( Nusantara) อั น ประกอบดวย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟลิปปนส บรูไน และมาดากัสการ กลุมเมลานีเซีย (Melanesia: อีเรียน คาโรลีนาและซีลมอน) และกลุมโปลีนีเซีย (Polynesia : เมารี ฮาวาย และอื่น ๆ) ภาษามลายู จัดอยูในกลุมภาษานูซันตารา กลุมภาษานูซันตารานี้ก็แบงออกไปอีกเปน 2 ตระกูล ไดแกกลุมภาษานู ซันตาราตะวันตก ไดแก ภาษามาเลเซีย อาเจะห มลายู ซุนดา คายัค ตากาล็อก และอื่น ๆ เปนตน ส ว นกลุ ม ภาษานู ซั น ตาราตะวั น ออกประกอบด ว ยภาษาโซโล โรติ ซี ก า และอื่ น ๆ 30 (Abdulloh Hassan, 1980 : 26-27)
ชนเชื้อสายอิน โด-มลายู (Indo-Melayu) หรื อออสโตรนี เ ซีย ซึ่งเขามาสูภูมิภาค มลายูในยุคแรก ๆ นั้นพูดภาษาเดียวกัน คือ ภาษามลายูโปรโต (Melayu Proto) หรือภาษามลายู 30
ดูแผนผังตระกูลภาษามลายู หนา 146
142
ตนแบบ แตเนื่องจากการแยกยายกันอยูและถูกกั้นดวยทะเลหรือมหาสมุทรตลอดจนหุบเขาตาง ๆ จึง ทําใหไมสามารถจะไปมาหาสูกันได ดังนั้นนาน ๆ เขาก็ทําใหขาดความสัมพันธกันในที่สุด ภาษาซึ่งมี มาจากตนแบบเดียวกัน ก็เริ่มพัฒนาไปตามสิ่งแวดลอมของตนเองในแตละแหง สงผลใหเกิดเปน ภาษาทองถิ่นและตอมาก็ไดพัฒนากลายเปนภาษาตาง ๆ ดังที่กลาวมาซึ่งหากสังเกตจะพบความ เหมือนกันระหวางคําในภาษาหนึ่งกับอีกภาษาหนึ่ง ซึ่งแสดงถึงแหลงที่มาอันเดียวกัน นั่นคือภาษา มลายูโปรโต ปจจุบันภาษามลายูโปรโต ไดแตกสาขากระจายออกไปเปนภาษาตาง ๆ ไมนอยกวา 150 ภาษายอย นักประวัติศาสตรไมสามารถใหคําอธิบายที่ชัดเจนไดเกี่ยวกับประวัติของภาษามลายู โบราณซึ่งมาจากกลุมภาษานูซันตารา แตมีการคาดกันวาการเจริญเติบโตของภาษามลายูเกี่ยวของกับ การกําเนิดของรัฐมลายูจัมบี (Jambi) เนื่องจากในบันทึกของจีนเลาวารัฐมลายูจัมบีเคยสงคณะผูแทน ไปยังเมืองจีนในราวป ค.ศ. 644 ดังนั้นหากรัฐมลายูนี้มีความสัมพันธทางการทูตกับนานาชาติแลว ยอมชี้ใหเห็นวารัฐมลายูเกาแกนี้ไดมีวัฒนธรรมที่สูงสงและมีภาษาที่เจริญแลว อาณาจักรศรีวิชัยไดเปนที่รูจักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต ในฐานะศูนยกลางทาง วิชาการตนศาสนาพุทธมาตั้งแต คริสตศตวรรษที่ 7 โดยหลวงจีน อี้ ชิง (I-Ising) ซึ่งไดเดินทางมาที่ ศรีวิชัย ในระหวางการเดินทางไปยังอินเดีย ไดบันทึกวา ภาษามลายูโบราณไดถูกนําไปเปนภาษาที่ใช สอนตามศูนยการศึกษาพุทธศาสนาที่ศรีวิชัย นอกจากนี้ภาษามลายูยังใชเปนภาษากลางในการสอน ภาษาสันสกฤต และพุทธปรัชญาอีกดวย (A.Teeuw, qouted in Ismail Hamid, 1991:18) ในวรรณคดีจีนไดมีการกลาวถึงลักษณะของภาษาหนึ่งที่ใชกันในภูมิภาคมลายู โดย นักเดินทางชาวจีนที่เดินทางมายังเมืองใหญ ในภูมิภาคมลายูไดบันทึกไววา ภาษาที่คนในโลกมลายูใช พูดกันในสมัยกอนนั้นมีชื่อเรียกวา ภาษากวุน ลุน (Kw‘un Lun) เชื่อกันวาภาษานี้เปนภาษาเดียวกับ ที่หลวงจีนอี้ชิง ไดศึกษาตอนที่เขาเรียนอยูที่สํานักสงฆพุทธศาสนาชั้นสูงที่ศรีวิชัย และเปนภาษาที่พบ ในศิลาจารึกตามเมืองตาง ๆ ในบริเวณนั้น นอกจากนี้ยังเชื่อกันวาภาษาที่ชาวจีนเรียกวาภาษากวุน ลุน ก็ คือภาษามลายูโบราณนั้นเอง การเขามาของอิทธิพลฮินดูประกอบกับการกําเนิดของบรรดารัฐฮินดูในภูมิภาคมลายู ทําใหภาษาสันสกฤตเริ่มเขาไปแทนที่ทุกแขนงของภาษาตระกูล ออสโตรนีเซีย อยางมั่นคง โดยเฉพาะ อยางยิ่งภาษามลายูโบราณ ภาษาสันสกฤตเปนภาษาของคัมภีรพระเวท และเปนภาษาของบรรดาชน ชั้นสูง ซึ่งเปนลักษณะเดียวกันกับในอินเดีย (Ismail Hussein, 1966 : 8) ในอดีตบรรดาชนชั้นสูงและกลุมผูที่ไดรับการศึกษาในโลกมลายูก็ใชภาษาสันสกฤต ในการสนทนา ตอมาภาษาสันสกฤตก็มีอิทธิพลเหนือภาษามลายูโบราณ โดยเฉพาะอยางยิ่งคําศัพท ตาง ๆ ที่เกี่ยวกับศาสนาและวรรณคดี อาร โอ วินสเต็ด (R.O. Winstedt, 1961 : 139) กลาววาใน
143
ยุคฮินดู ภาษามลายูถูกนําไปเขียนดวยพยัญชนะในสองรูปแบบ ซึ่งพัฒนามาจากอักษรปลลวะ คือ ใช อักษรกวิ และเทวนาครี ผลจากอิ ท ธิ พ ลของภาษาสั น สกฤตก็ ทํ า ให ภ าษามลายู โ บราณต อ งประสบกั บ กระบวนการเปลี่ยนแปลง โดยเปนการเปลี่ยนแปลงที่ครอบคลุมในทุกดานของการดํารงชีวิตของชาว มลายู หลักฐานที่แสดงถึงอิทธิพลของภาษาสันสกฤตพบเห็นอยางชัดเจนคือศิลาจารึกที่ถูกคนพบ ตามที่ตางๆ ในประเทศอินโดนีเซีย ดังตอไปนี้ 1. ศิลาจารึกตาลัง ตูโว (Talang Tuwo) ป ค.ศ. 684 2. หลักศิลาจารึกเตอลาฆา บาตู (Telaga Batu) และเกอดูกันบูกิต (Kedukan BuKit) ใกลปาเล็มบัง (Palembang) ป ค.ศ. 683 3. หลักศิลาจารึก บาราฮี (Karang Barahi) สุไหงเมอรางิน (Sungai Merangin) ทางใตแมน้ําจัมบี (Sungai Jambi) และ ศิลาจารึกโกตา การโปร (Kota kapur) ที่บังกา (Bangka) ป ค.ศ. 686 4. ศิลาจารึกเกอรตานาฆารา (Kertanagara) ป ค.ศ. 1285 5. ศิลาจารึกปาฆาร รูยง (Pagar Ruyong) และศิลาจารึก ซูรัวซา (Suroasa) หรือ ซูราวาซา (Surawasa) ทางใตของแมน้ําบาตัง ฮารี (Sungai Batang) ป ค.ศ. 1375 3.9.1 พัฒนาการของภาษามลายู นักภาษาศาสตรไดแบงการพัฒนาการของภาษามลายูออกเปน 3 ชวง คือ 1. ภาษามลายูโบราณ (Bahasa Melayu Kuno) 2. ภาษามลายูคลาสสิค (Bahasa Melayu Klasik) 3. ภาษามลายูสมัยใหม (Bahasa Melayu Moden) ภาษามลายูโบราณเปนหนึ่งในภาษานูซันตารา มีการใชตั้งแตศตวรรษที่ 7 จนถึง ศตวรรษที่ 13 ในสมัยอาณาจักรศรีวิชัย เปนภาษาที่ใชในการติดตอสื่อสารระหวางกัน และเปนภาษาที่ ใชในการปกครอง ผูที่พูดภาษามลายูโบราณ สวนใหญจะอยูในแหลมมลายู หมูเกาะเรียว และสุมาตรา ภาษามลายูโบราณกลายเปนภาษาที่ใชติดตอสื่อสาร และภาษาที่ใชในการปกครองเนื่องจาก 1) มี ลักษณะเรียบงาย และงายตอการรับอิทธิพลจากภายนอก 2) ไมมีการผูกติดกับความแตกตางทางชน ชั้นของสังคม 3) มีระบบที่งายกวาเมื่อเปรียบเทียบกับภาษาชวา เนื่องจากภาษาชวาคอนขางจะยาก ต อ การสื่ อ สาร เช น หากผูพู ดมี ส ถานะทางชนชั้ น ที่ แ ตกต างกั น หรื อ มีวั ย ที่ แ ตกต างกั น จะใชคํ า ที่ แตกตางกันตามสถานะหรือวัยของผูพูด
144
นอกจากนั้นภาษามลายูโบราณไดรับอิทธิพลจากระบบของภาษาสันสฤตมีการใชคํา สันสฤตในการสรางคําที่เปนศัพทเฉพาะ สําหรับสาเหตุที่ทําใหภาษามลายูงายตอการรับอิทธิพลของ ภาษาสันสฤตเนื่องจาก อิทธิพลของศาสนาฮินดู และภาษาสันสฤตอยูในสถานะของภาษาของชนชั้น ขุนนางและมีสถานะทางสังคมที่คอนขางสูง ซึ่งจะสังเกตลักษณะของภาษามลายูโบราณสังเกตไดดังนี้ 1. ประกอบดวยคําที่ยมื มาจากภาษาสันสกฤต 2. โครงสรางประโยคเปนลักษณะของภาษามลายู 3. เสียง /b/ จะเปนเสียง /w/ ในภาษามลายูโบราณ เชน Bulan เปน Wulan 4. เสียง อือไมมี เชน Dengan เปน Dangan 5. คําเติมหนานาม Ber จะเปน Mar เชน berlepas เปน marlapas 6. คําวา Di จะเปน Ni เชน diperbuat เปน niparwuat 7. พยัญชนะ h จะไมปรากฏในภาษามลายูสมัยใหม เชน คําวา Semua คําเดิมคือ samuha และ Saya คําเดิมคือ Sahaya หลังจากศาสนาอิสลามเริ่มมั่นคงในเอเชียตะวันออกเฉียงใตตั้งแตศตวรรษที่ 13 ภาษามลายูโบราณเกิดการเปลี่ยนแปลงสูภาษามลายูคลาสสิคทั้งในดานโครงสรางและระบบการเขียน ดังปรากฏบนหลักศิลาจารึก 3 หลัก ไดแก 1. หลักศิลาจารึกปาฆาร รูยง (Pagar Ruyung) ที่มีนังกาเบา (ค.ศ. 1356) - เขียนดวยอักษรเทวนาครี - มีคํามลายูโบราณ และมีคํากลอนภาษาสันสกฤต - มีความแตกตางเล็กนอยจากภาษาที่ใชในหลักศิลาจารึกในศตวรรษที่ 7 2. หลักศิลาจารึกมีเญ ตูยุห (Minye Tujuh) ที่อาเจะห (ค.ศ. 1380) - ยังคงเขียนดวยอักษรเทวนาครี - เริ่มมีการใชคําภาษาอาหรับ เชน คําวา Nabi, Allah และ Rahmat 3. หลักศิลาจารึกกัวลาเบอรัง (Kuala Berang) ที่ตรังกานู (ค.ศ. 1303) - เขียนดวยอักษรอาหรับ - เปนหลักฐานวาในศตวรรษดังกลาวเริ่มมีการใชอักษรอาหรับเขียนภาษามลายู ศิลาจารึกทั้งสามหลักเปนหลักฐานเกาแกสุดที่แสดงถึงพัฒนาการของภาษามลายู เพราะหลังจากศตวรรษที่ 14 เปนตนมา ก็เริ่มเกิดวรรณกรรมมลายูในรูปแบบของการเขียนที่ใชภาษา มลายูคลาสสิก โดยจะสังเกตลักษณะของภาษามลายูคลาสสิคไดดังนี้ 1. ประโยคจะยาว ซ้ํา ๆ และซับซอน 2. ใชภาษาราชาศัพท
145
3. มักใชคําวา Sebermula, alkisah, hatta, adapun และคําวา pun และ lah ซึ่งมี นักเขียนที่มีชื่อเสียงคือ Hamzah Fansuri, Syamsuddin al-Sumatrani, Syeikh Nuruddin alRaniry และ Abdul Rauf Singkel 3.9.2 ภาษามลายูถิ่นปตตานี ภาษามลายู ถิ่ น ป ต ตานี หรื อ มลายู ป ต ตานี (เรี ย กในภาษาอั ง กฤษ ว า “Pattani Malay”) เปนภาษากลุมออสโตรนีเซียน ที่พูดโดยชาวไทยเชื้อสายมลายูในจังหวัดปตตานี นราธิวาส ยะลา และอําเภอจะนะ อําเภอเทพา และอําเภอสะบายอย จังหวัดสงขลา ภาษามลายูถิ่นปตตานีเปน ภาษาทองถิ่นที่ประชาชนใชสื่อสารกันในชีวิตประจําวัน โดยมีประชากรที่พูดประมาณ 2-3 ลานคน31 แวมายิ ปารามัล (Waemaji Paramal, 1991: 33) กลาววาภาษามลายูถิ่นที่ใชกันอยู หลายถิ่น เชน ภาษามลายูถิ่นสตูล ภาษามลายูนครศรีธรรมราช และภาษามลายูถิ่นปตตานี ภาษา มลายูถิ่นที่มีผูพูดมากที่สุดและแพรหลายที่สุดคือภาษามลายูถิ่นปตตานี นอกจากนี้ยังพบวามีการใช ภาษามลายูถิ่นปตตานีพูดกันในชุมชนชานเมืองกรุงเทพมหานคร อันไดแก บานคลองหนึ่งแกวนิมิต บานสวนพริกไทย บานบางโพ จังหวัดปทุมธานี และบานทาอิฐ จังหวัดนนทบุรี เปนภาษาถิ่นยอยของ ภาษามลายูถิ่นปตตานี ทั้งนี้สืบเนื่องจากการอพยพขึ้นมาของชาวมลายูจากหัวเมืองประเทศราชทางภาคใต เนื่องจากหัวเมืองมลายูซึ่งเคยเปนเมืองขึ้นของไทยมาตั้งแตสมัยอยุธยาตอนตนเปนอิสระ จึงไดเชิญ พระกระแสรับสั่งใหหัวเมืองมลายูออนนอมยอมเปนเมืองขึ้นของไทยดังเดิม แตพระยาตานีไมยอม จึง มีพระกระแสรับสั่งใหพระยากลาโหม และบรรดาแมทัพนายกองยกทัพไปตีเมืองปตตานีใน พ.ศ. 2329 จึงสามารถเขายึดเมืองปตตานีได เมื่อจัดการแตงตั้งผูดูแลเมืองปตตานีเปนที่เรียบรอยแลว กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทจึงใหบรรดาแมทัพนายกกองยกทัพกลับกรุงเทพฯ พรอมทั้งนํา เชลยปตตานีและอาวุธปนใหญ เชลยที่นําขึ้นมาดวยในครั้งนี้นั้นเปนจํานวนมาก และไดแยกใหอาศัย อยู ต ามที่ ตา ง ๆ หลายแห ง ส ว นใหญ จ ะอยู บริ เ วณรอบ ๆ ชานกรุ งเทพฯ คื อ บริ เ วณทุ ง ครุ พระ ประแดง บางคอแหลม มหานคร (พระนคร) พระโขนง คลองตัน มีนบุรี หนองจอก ภาคกลางที่ จังหวัดนครนายก ฉะเชิงเทรา เพชรบุรี อยุธยา จังหวัดนนทบุรี ที่ตําบลทาอิฐ (อนุสรณงานเมาลิด กลางแหงประเทศไทย ฮ.ศ. 1424, ม.ป.ป. : 67-68)
31
Cooperative Baptist Fellowship. 2007. Pattani Malay. (Online) Search from http://www.thefellowship.info/Global%20Missions/UPG/Pattani%20Malay.icm [17 May 2007]
146
นอกจากนี้ยังพบการใชภาษามลายูถิ่นปตตานีในตอนกลางของรัฐเกดะห และทาง ตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐเประ ประเทศมาเลเซีย โดยชาวปตตานีที่อพยพเขาไปตั้งถิ่นฐาน (Farid, 1980 : 72, qouted in Waemaji Paramal, 1991 : 33)
3.9.2.1 ตระกูลภาษามลายูถิ่นปตตานี ภาษามลายูถิ่นปตตานีจัดเปนภาษาถิ่นของภาษามลายู สวนภาษามลายูเปนภาษาหนึ่ง ที่จัดอยูในแขนงภาษาหมูเกาะมลายูตะวันออก (Eastern Nusantara) ซึ่งอยูในสาขาภาษาหมูเกาะ มลายู สาขาหมูเกาะมลายูเปนสาขาหนึ่งในตระกูลออสโตรนีเซียหรือมาลาโยโปลิเนเซียน ภาพที่ 29 แผนผังตระกูลภาษามลายูถิ่นปตตานี
ที่มา: Ismail Hussein, 1992 : 4 อิสมาอีล ฮูเซ็น (Ismail Hussein) กลาววา ภาษามลายูถิ่นในแหลมมลายูแบงเปน 2 กลุมใหญ ๆ ไดแก กลุมซึ่งแผขยายจากปตตานี และกลุมซึ่งแผขยายจากรัฐยะโฮร ภาษามลายูถิ่น ปตตานี มีความคลายคลึง กับภาษามลายูถิ่นกลันตันมาก ไมวาจะเปนดานเสียง คําและโครงสราง ประโยค ดวยเหตุน้จี ึงทําใหชาวกลันตันกับชาวมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต (ปตตานี นราธิวาส ยะลา) สามารถสื่อสารเขาใจกันไดเกือบทั้งหมด แตระยะหลัง ๆ ภาษามลายูถิ่นปตตานียืมคําในภาษาไทยไป ใชมากขึ้น จึงทําใหความแตกตางในเรื่องของคําศัพทมีมากขึ้น (1973, qouted in Weamaji Paramal, 1991:34)
147
หากพิจารณาอยางละเอียดโดยยึดหลักเสียงนาสิกในทายพยางค /N/ แลวจะเห็นวา ภาษามลายูถิ่นปตตานีมีความใกลเคียงกับภาษามลายูถิ่นตรังกานู มากกวาภาษามลายูถิ่นกลันตัน แต อยางไรก็ตามนักภาษาศาสตรหลายทานรวมถึงชาวปตตานีเองตางก็เห็นวาภาษามลายูถิ่นปตตานีนั้นมี ความใกลเคียงกับภาษามลายูถิ่นกลันตันมากกวาภาษามลายูถิ่นตรังกานู (Weamaji Paramal, 1991 : 34-35)
3.9.2.2 ลักษณะทั่วไปของภาษามลายูถิ่นปตตานี ภาษามลายูถิ่นปตตานีเปนภาษาที่มีแตภาษาพูด ไมมีภาษาเขียน ดังนั้นเวลาเขียนจึง ตองใชภาษามาลายูมาตรฐาน ซึ่งใชเปนตัวอักษรโรมัน หรือตัวอักษรยาวีที่เปนตัวอักษรอาหรับ คําใน ภาษามลายู ถิ่ น ป ต ตานี ส ว นใหญ เ ป น คํ า สองพยางค ไม มี ว รรณยุ ก ต มี ห น ว ยเติ ม ศั พ ท แต ไ ม มี ความสําคัญเทาภาษามลายูมาตรฐาน หนวยเติมหนาศัพทมักจะถูกแทนที่ดวยพยัญชนะเสียงยาว สระ ในพยางคปดจะสั้นกวาสระในพยางคเปด พยัญชนะที่เปนพยัญชนะทายมีเพียงสามหนวยเสียง คือ /N /, /h/ และ /// ในภาษามลายูถิ่นปตตานีจะมีคํายืมมาก คํายืมเหลานั้นมาจากภาษาบาลีสันสกฤต อาหรับ ไทย และอังกฤษ (อัสสมิง กาเซ็ง, 2544 :29) ลักษณะเดนของภาษามลายูถิ่นปตตานีอีกประการคือ เปนภาษาที่มีความใกลชิดกับ ภาษามลายูถิ่นกลันตันเปนอยางมาก ดังที่ มุฮัมมัด ตอยยิบ อุสมาน (Mohd Taib Osman) ไดให ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้วา ภาษามลายูถิ่นกลันตันนั้นมีความเหมือนกันอยางมากกับภาษามลายูถิ่น ปตตานี ซึ่งก็สอดคลองกับความเห็นนักภาษาศาสตรอยาง เจมส โทมัส คอลลินส (James Thomas Collins) และฮูเซ็น ดลลาฮฺ (Husin Dollah) โดยทั้งสองทานกลาววาหากสังเกตรูปแบบการใชคําใน การพูดของคนมลายูในกลันตันและปตตานีแลวเราจะเห็นความเหมือนกันมากหรืออาจกลาวไดวา ภาษาถิ่นทั้งสองมีความสัมพันธกันอยางมาก และภาษาถิ่นทั้งสองอยูในเครือขายเดียวกัน (Abdul Hamid Mahmood, 1994 : 6)
ภาษามลายูถิ่นกลันตันไมไดพูดแคเพียงในรัฐกลันตันเพียงรัฐเดียว แตยังมีประชากร ที่พูดภาษาถิ่นนี้อีกหลายพื้นที่ เชน กลุมประชากรที่อาศัยอยูในรัฐกลันตันที่มีเขตแดนติดกับรัฐตรัง กานู ปะหัง และเประ รวมถึงหลาย ๆ อําเภอในจังหวัดทางภาคใตของประเทศไทย เชน สุไหงโก-ลก ตากใบ และอําเภอเมืองนราธิวาส ทั้งนี้เนื่องจากความตอเนื่องทางภาษาทองถิ่นนั้นไดขามพรมแดน ทางการเมือง และไดเชื่อมสังคมของผูพูดมลายูในภาคใตของประเทศไทยกับสังคมมลายูในเประ เกดะห และ กลันตัน โดยผานสถานีวิทยุกระจายเสียงในจังหวัดนราธิวาส ซึ่งประชาชนในสังคมมลายูที่ อาศัยอยูทางฝงประเทศมาเลเซียที่สามารถรับคลื่นกระจายเสียงไดก็จะเขาใจเปนอยางดี และจากที่ตั้ง ทางภูมิศาสตรทําใหรัฐกลันตันมีความสัมพันธยางตอเนื่องกับสยามและมีถิ่นฐานของคนสยามหลาย
148
แหงตั้งอยูในเมืองโกตาบารู ทําใหความสัมพันธนั้นยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น โดยครุยซีเนียร (Cruisinier) ได เสริมวาความสัมพันธนี้ไดมีอิทธิพลตอการใชคําศัพทเฉพาะ ที่เกี่ยวของกับอํานาจเรนลับ สิ่งเรนลับ และการเลือกใชคําศัพทในพิธีกรรมเซนไหวตอสิ่งดังกลาวนั้น หากวิเคราะหใหลึกซึ้งแลวก็จะพบวาทั้ง สองวั ฒ นธรรมดั งกล าวเกิ ด จากที่ มาเดี ยวกั น และมี อิ ท ธิพ ลต อ กั นและกั น (Abdul Hamid Mahmood, 1994 : 6-7)
นอกจากนี้โมฮัมมัด ยูโซฟ อิสมาอีล (Mohamed Yusoff Ismail, 1989 : 42-43) ยังไดอธิบายเพิ่มเติมอีกวา ประวัติทางการเมืองของรัฐกลันตันซึ่งมีความสัมพันธใกลชิดกัน 2 อยาง กับสยามคือ การขยายอํานาจของสยามและการปกครองตอรัฐหรือเมืองตอนเหนือของคาบสมุทร มลายูทําใหเกิดการ กระทบกระทั่งทางวัฒนธรรมไทยกับวัฒนธรรมมลายูทองถิ่น การกระทบกระทั่งนี้ สงผลใหเกิดลักษณะของวัฒนธรรมลูกผสมที่นาสนใจ หนึ่งในนั้นเห็นไดในการใชศัพทตาง ๆ ในภาษา มลายู ถิ่น กลั นตั น ถ า เที ยบกั บภาษามลายู มาตรฐานแล วภาษามลายู ถิ่ น กลัน ตั นไดรั บอิ ท ธิ พ ลจาก ภาษาไทย ซึ่งถือ เปนเอกลักษณเฉพาะอีกอยางหนึ่งของภาษามลายูถิ่นปตตานี ภาษามลายูถิ่นปตตานียังยืมคําจากภาษาอื่นมาใชมากมาย โดยสี่ภาษาหลักที่เปน แหลงคํายืมของภาษามลายูถิ่นปตตานี ไดแก ภาษาบาลีสันสกฤต ภาษาอาหรับ ภาษาอังกฤษ และ ภาษาไทย ดังตัวอยางคํายืมตอไปนี้ คํายืมภาษาสันสกฤต
เชน
คํายืมภาษาอาหรับ
เชน
คํายืมภาษาอังกฤษ
เชน
นาฆอ ฤาฌอ แดวอ ฆาเญาะฮ ซูฆอ ฤาเอะ ซือดือเกาะฮ วอกะฮ โบะ บือซีกา ซือกอเลาะฮ แลเซ็ง
นาค ราช เทว คช ﻋﺎﺷﻮﺭﺍﺀ ﻏﺎﺋﺐ ﺻﺪﻗﺔ ﻭﻗﻒ book bicycle school licence
149
คํายืมภาษาไทย
เชน
มะงา โทราทะ เราะ กือมือแน
มักงาย โทรทัศน รอบ กํานัน
3.10 ความเชื่อดั้งเดิมและศาสนาของชาวมลายู 3.10.1 วิญญาณนิยม (Animism) คนมลายู ใ นยุ ค โบราณก็ มี ค วามอยากรู อ ยากเห็ น เช น กั น แต ค นโบราณไม เ ข า ใจ เหตุ ก ารณ หรื อ ปรากฏการณ ท างธรรมชาติ ที่ เ กิ ด ขึ้ น บนโลก ดั ง นั้ น เขาก็ เ ข า ใจหรื อ ให คํ า อธิ บ าย ปรากฏการณตามความเขาใจของเขาเอง เจมส จี เฟรเซอร (James G. Frazer) กลาววา เมื่อมนุษย โบราณไมสามารถอธิบายเหตุและผลที่เกิดขึ้นตามปรากฏการณทางธรรมชาติ เขาก็จะบอกวามันมี สาเหตุจากอํานาจทางไสยศาสตร แตเมื่ออํานาจดังกลาวไมสามารถพิสูจนได เขาก็จะบอกวาในโลกนี้ จะมีวิญญาณเล็ก ๆ ไดประสบกับความฝน จินตนาการและการตาย ทําใหเกิดคําถามใหคิดและเชื่อวา มีวิญญาณในตัวมนุษย หรือที่ไทเลอร (Taylor) ไดเรียกวา “Animism” (Ismail Hamid, 1991 : 28)
ความเชื่อวิญญาณนิยม Animism ถูกบัญญัติโดย เอ็ดวารด บี ไทเลอร (Edward B. Taylor) มาจากคําวา Anima ในภาษาละตินหมายถึง “ความเชื่อในวิญญาณ” (Spiritual Being) ความเชื่อในเรื่องของวิญญาณเปนความเชื่อหลักของศาสนาในยุคแรก ๆ ในความคิดของมนุษยยุค แรก นอกจากนี้ยังเปนแบบอยางสากลของวัฒนธรรม (Cultural Universals) ที่มีอยูในสังคมยุค โบราณ และในสังคมที่กําลังพัฒนาอยางมลายู ความเชื่อนี้ยังคงปรากฏอยูโดยเฉพาะสังคมชนบท แมวาจะมีกระบวนการพัฒนาในยุคอิสลามแลวก็ตาม เพราะอิสลามไดตอตานความเชื่อแบบเกา ๆ นี้ วาเปนความเชื่อที่หลงผิดและอุปโลกนขึ้นมา (Evans Pritchard, 1965 : 24-25) ในสังคมมลายูจะมีคําที่ใหความหมายเหมือนกับวิญญาณนิยม (Animism) อยูคือคํา วา nyawa (ญาวอ) หรือที่รูจักในอีกชื่อคือ Roh (โรห) ซึ่งเปนคําที่เกิดขึ้นหลังจากอิสลามเขามา คน มลายูเชื่อวาวิญญาณนั้นจะมีอยูในสิ่งมีชีวิต ซึ่งโดยปรกติคนมลายูจะใชในความหมายของชีวิต ซึ่งจะไม มี ใ นต น ไม แ ละก อ นหิ น ส ว นความเชื่ อ ของพวกซาไกและยากุ น เชื่ อ ว า วิ ญ ญาณของญาติ พี่ น อ งที่ เสียชีวิตจะกลับมาสูโลกนี้อีกครั้งหนึ่งและกลับมาทํารายมนุษย สําหรับชนพื้นเมืองและคนมลายูแลว จะเชื่อวาการตายเปนสิ่งที่นากลัว เพราะวิญญาณของคนที่ตายจะกลับมาสูโลกในรูปของผี ดังจะเห็นได จากวิถีชีวิตของชนพื้นเมือง กลาวคือ เมื่อมีการตายเกิดขึ้นพวกชนพื้นเมืองจะทําลายที่อยูอาศัยแลว
150
หนีไปที่อื่น โดยทิ้งศพของผูตายไว เพราะกลัววาวิญญาณของผูตายจะปรากฏในรูปของผีที่นากลัว โดย จะมีชนิดตาง ๆ เชน ผีผาหอศพ ผีเลี้ยง พรายทะเล เปนตน แอลนัลดัล (Annandale) ยังอธิบายตออีกวา คําวา ญาวอ (ลมหายใจ) ในภาษา มลายู ยืมมาจากภาษาสันสฤต ชาวปตตานีมีความเชื่อวาลมหายใจ ทําใหมนุษยสามารถมีชีวิตอยูและ ลมหายใจจะสิ้นสุดลงจากการเสียชีวิต หมอตําแยจากหมูบานยาลอ คนหนึ่งไดอธิบายวา ลมหายใจจะ ซึมซับเขาไปในรางกายของมนุษยตั้งแตอยูในครรภมารดาไดหกเดือน นอกจากนี้ยังมีความเชื่อของ ชาวมลายูที่วาลมหายใจของมนุษยที่ตายไปแลวจะแปรสภาพเปนผีชนิดตาง ๆ และจะสงผลใหมนุษย ประสบกับโรครายตาง ๆ (มูฮัมหมัดซัมบรี อับดุลมาลิก, 2543 : 142) สวนคําวา โรห (วิญญาณ) เปนคําที่ยืมมาจากภาษาอาหรับ ชาวมลายูมีความเชื่อวา ในขณะที่เราหลับอยูวิญญาณจะออกจากรางกายเพื่อเดินทางไปยังที่ตาง ๆ ถาหากวาจิตวิญญาณนั้นไม กลั บมา เจาของร างคนนั้ นจะเสี ยชี วิตทั น ที มี เ รื่ องเล ามากมายเกี่ ยวกั บคนตายในขณะที่ นอนอยู อยางเชน มีเด็กชายคนหนึ่งนอนหลับที่มัสยิดแหงหนึ่งที่กัวลาเบอกะห (Kuala Bekah)32จนเวลาผาน ไปเด็กคนนั้นก็ยังไมตื่น เนื่องจากใบหนาของเด็กคนนั้นเปอนโคลน แตหลังจากไดที่ทําความสะอาด ใบหนาแลว เด็กคนดังกลาวจึงตื่นขึ้นมา เปนที่เชื่อกันวาจิตวิญญาณที่ออกไปจากรางกายไปนั้นไม สามารถจําหนาเจาของได เลยเดินเตร็ดเตรไปมา เชนเดียวกับการทําใหคนที่กําลังนอนหลับอยูตอง ตกใจกับเหตุการณที่ไมเคยคาดคิดมากอน อาจทําใหจิตวิญญาณไมสามารถเขาสูรางได หรืออาจจะทํา ใหเขาคนนั้นปวยลงอยางกะทันหัน (มูฮัมหมัดซัมบรี อับดุลมาลิก, 2543 : 142) นอกจากนี้ โรคภัยตาง ๆ ก็เปนสิ่งที่เกิดจากผีเปนผูกระทํา ชาวเมินตาวี (Mentawi) ในเกาะสุมาตราตะวันตก ประเทศอินโดนีเซียจะเชื่อวาความเจ็บปวยเกิดขึ้นเพราะวิญญาณในตัว ออนแอ เมื่อคน ๆ หนึ่งฝน วิญญาณก็ไดออกเดินทางและหากวิญญาณไมกลับมาคน ๆ นั้นก็จะตาย ดังนั้นหากจะปลุกคนที่นอนอยู ก็ตองระวัง ไมปลุกอยางรุนแรง อาจทําใหวิญญาณหลงกลับบานไมถูก หรืออาจทําใหวิญญาณเขารางไมสมบูรณก็จะทําใหเกิดอาการเจ็บไขได และหากวิญญาณเขาไมถูกก็จะ ทําใหเสียชีวิต ซึ่งเปนความเชื่อเดียวกับคนมลายูปตตานี ผูคนในนูซันตารา เชื่อวา วิญญาณของผูตายอาจเขาไปสิงอยูในสัตวได เชน เผาเนียส ในเกาะใกลกับสุมาตราตะวันตก มีความเชื่อวาหนูที่เขาออกในบานคน เปนวิญญาณของคนตายทั้ง กลม บางครั้งวิญญาณพวกนี้อาจเขาไปสิงในหมูปา เสือ และเชื่อวาสัตว เหลานั้นจะไปรบกวนคนที่เคย เปนศัตรูกับผูตายเมื่อครั้งยังมีชีวิต คนมลายูจะเชื่อวาคนที่ถูกฆาตายจะปรากฏตัวในรูปของผีและจะมาหลอกหลอน และ เช น เดี ย วกั น กั บ ในอิ น โดนี เ ซี ย การฝ ง ศพหญิ ง ตายทั้ ง กลมจะต อ งกระทํ า โดยวิ ธี ก ารเฉพาะและ 32
ปจจุบันอยูที่บริเวณตําบลปากน้ํา อ.เมืองปตตานี
151
ระมัดระวัง เพราะเชื่อวาวิญญาณของผูหญิงที่ตายไปนั้นจะกลายเปน Pontianak (ผีดูดเลือด) ซึ่ง ความเชื่อเชนเดียวกันนี้ก็จะพบไดในสังคมมลายูทั่วไป โดยเชื่อวาผีดูดเลือด จะชอบดูดเลือดหญิงที่ เพิ่ ง คลอดลู ก ด ว ยเหตุ นี้ ใ ต ถุ น บา นคนที่ ค ลอดลู ก มั ก จะนํ า หนามมาวางไว ใ ต ถุ น บ า น บางเผ าใน อินโดนีเซีย จะนําเข็มมาเสียบไวใตเล็บของศพที่ตายทั้งกลม ทั้งนี้เพื่อใหผีบาดเจ็บ เมื่อผีตัวนั้นจะมา ดูดเลือดหรือทําอันตราย 3.10.2 การบูชาบรรพบุรุษ (Ancestor Worship) นักมานุษยวิทยา กลาววา ยากที่จะแยกความแตกตางของคําวา โรห (Roh) และ ผี (Hantu) เนื่องจากทั้งสองสิ่งนี้ตางก็มาจากคนที่ตายไปแลว (ตามความเชื่อของคนมลายู) ซึ่งผูคนก็จะ กลัวกัน เพราะสิ่งทั้งสองจะนําพาความเสียหาย หายนะ บางครั้งก็สามารถชวยเหลือมนุษยได และ นํามาทําพิธีบูชายัญได นอกจากนี้ยังมีขอแตกตางของผีกับวิญญาณของบรรพบุรุษ แมวาทั้งคูจะมาจาก วิ ญ ญาณ แต วิ ญ ญาณของบรรพบุ รุ ษ จะมี ค วามใกล ชิ ด ผู ก พั น กั บ ครอบครั ว หรื อ เผ า นั้ น ๆ จาก การศึกษาของนักมานุษยวิทยาเกี่ยวกับชนเผาดั้งเดิม พบวาพวกที่ไมเชื่อเรื่องพระเจา จะกราบไหว วิญญาณบรรพบุรุษเพื่อขอสิ่งที่ตองการตาง ๆ (Ismail Hamid, 1991:31) การกราบไหวบูชาวิญญาณบรรพบุรุษเกิดจากความรูสึกกลัว ถึงแมวาความกลัวนั้นจะ ไมเทาผีก็ตามเนื่องจากวิญญาณเหลานั้นใกลชิดมากกวา ความสัมพันธระหวาคนมีชีวิตกับวิญญาณ บรรพบุรุษจะหางเหิน เมื่อชื่อของบรรพบุรุษไมไดถูกบูชา การบูชาวิญญาณบรรพบุรุษ เปนพิธีกรรมของคนมลายูบางกลุม โดยจะมีของเซนไหว ตั้งไวตลอดเวลา ดวยหวังวาวิญญาณเหลานั้นจะนําความสุขสวัสดีมาสูครอบครัว และถาหากลืมของ เซนไหววิญญาณเหลานั้นก็จะมารบกวนครอบครัวซึ่งเครื่องเซนไหวนั้นประกอบดวย ขาวเหนียวเหลือง ขาวพอง ไขไกและอื่น ๆ เครื่องเซนไหวนั้นก็จะนํามาเลี้ยงเพื่อนบานสวนหนึ่ง สวนที่เหลือก็นําไปเซน ไหวบรรพบุรุษ สวนสถานที่ ๆ จะวางเครื่องเซนไหว ไดแกสุสานบรรพบุรุษ ใตตนไมใหญ และภูเขา กลางปา และสถานที่ ๆ นากลัว หรือบางครั้งที่เสาเอกของบาน สําหรับการบูชาก็จะมีหมอผีเปนผูนํา ในการทําพิธี ซึ่งหมอผีนั้นสามารถที่จะจัดการกับวิญญาณรายได ดวยการติดตอกับวิญญาณทําไดโดย ผ า นพิ ธีก รรมและการเข าทรง ซึ่ ง วิ ญ ญาณเหลา นั้ นก็ จะบอกเรื่ อ งราวหรื อ สิ่ ง ต าง ๆ ที่ บ รรพบุ รุ ษ ตองการ สวนวิธีที่สองกระทําโดยผานคนกลางในการสนทนากับรางทรง เพราะบางครั้งวิญญาณบรรพ บุรุษจะเขาทรงในรางของสมาชิกในครอบครัว และคน ๆ นั้นก็ไมรูสึกตัว และจะพูดสิ่งตาง ๆ ออกมา ตามความตองการวิญญาณบรรพบุรุษนั้น ในอินโดนีเซียมักจัดในสุสานของบรรพบุรุษโดยมีชื่อเรียกวา พิธีญาดรัน (Nyadran)
152
ตามความเชื่อนี้ หากใครฝนวาบรรพบุรุษหิว สมาชิกในครอบครัวก็จะจัดเลี้ยง และ หาก วาสมาชิกทําเปนไมสนใจ วิญญาณบรรพบุรุษก็จะมารังควานสมาชิกโดยการเขาสิง หรือปรากฏ ตัวในรูปของผีเพื่อมาหลอกหลอนผูคนทั่วไป 3.10.3 ผี ตามพจนานุ ก รมศั พ ท สั ง คมวิ ท ยา (2532:378) ได ก ล า วถึ ง คํ า ว า ผี หมายถึ ง วิญญาณที่ไมมีรางกาย หรือ วิญญาณของคนที่ตายไปแลว ผีจะมีชีวิตอยูในโลกลี้ลับ หรือบางทีจะ อาศัยอยูรวมกับมนุษยแตมนุษยมองไมเห็น โดยความเชื่อนี้วากันวา มาจากความเชื่อเรื่องอมตภาพ (Immortality)
คนมลายู เชื่อวาผีสามารถชวยเหลือเจาบานของมันได โดยทั่วไปจะเปนคําสั่งใหไปทํา รายคนอื่นมากกวา อยางเชน Toyol จะถูกสั่งใหไปขโมยของ ๆ ผูอื่น Pelesit ที่ผูหญิงเลี้ยงไวเพื่อทํา ใหสามีหรือผูชายที่เขาหลงรัก สวน Hantu Roya ก็ถูกเลี้ยงเพื่อเฝาทรัพยสิน และทํารายผูอื่น ซึ่ง โดยทั่วไปคนมลายูจะเชื่อวาผีเปนสิ่งเลวรายที่สามารถรังควาน และบังเกิดโรคตาง ๆ แกมนุษยได ซึ่ง ผีตามความเชื่อของคนมลายูนั้นมีมากกวา 20 ชนิด ในพิพิธภัณฑสถานแหงชาติมาเลเซียมีการจัดนิ ทัศกาลผีในทุก ๆ ป โดยจะนําผีชนิดตาง ๆ ตามความเชื่อของชาวมลายูมาจัดแสดง สังคมมลายูปตตานีขึ้นชื่อวาเปนสังคมที่มีความศรัทธาอยางแรงกลาตอหลักความเชื่อ ในพระผูเปนเจา อยางไรก็ตามมีความเชื่อตาง ๆ ที่มีอิทธิพลตอวิถีชีวิตซึ่งแอลนัลดัล (Annandale N.) นักมานุษยวิทยาดานวัฒนธรรมจากมหาวิทยาลัยอีเดนเบิรก ไดทําการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับความ เชื่อของคนมลายูปตตานี ซึ่งสรุปออกมาวา มีจิตวิญญาณสี่ชนิดและผีหลายชนิดพรอม ๆ กับอํานาจ ของสิ่งเรนลับตาง ๆ ที่มีความเกี่ยวพันกับชีวิตของมนุษย 3.10.4 ขวัญ นอกจากเรื่ อ งของวิ ญ ญาณแล ว ชาวมลายู ยั ง มี ค วามเชื่ อ ในเรื่ อ งของขวั ญ (Semangat) อี กด วย Semangat จะแตกต างจาก Nyawa เนื่องจาก Semangat ไมไดมาจาก วิญญาณของมนุษยที่ตายไป แตมันเปนพลังลี้ลับที่ไมมีตัวตน สามารถมีอิทธิพลตอชีวิตมนุษย แตใน บางกรณีขวัญก็อาจจะถูกตีความเหมือนกับวิญญาณไดเชนเดียวกัน ตามความเชื่อของคนมลายู ขวัญไมไดมีอยูแตในเฉพาะสิ่งของแตจะมีอยูในตัวของ มนุ ษย ด ว ย ซึ่ ง ส ว นใหญ จ ะมี อ ยู ต ามส ว นต า ง ๆ ในร า งกายมนุ ษย ตามทั ศ นของวิ น สเต็ ด (R.O.
153
Winstedt, 1961 : 19)
แลว คนมลายูจะเชื่อวาขวัญจะมีอยูในรกและสวนตาง ๆ ของรางกาย อาทิ น้ําลาย เหงื่อ เศษผมและเล็บ เงา ชื่อคน น้ําอสุจิ และรอยเทาของมนุษยและสัตว นอกจากนั้นยังมีอยู ในพืชพันธุ ลูกเปด ดิน และเหล็ก เปนตน หากวาขวัญไดหายไปจากตัวมนุษยหรือสิ่งของที่เจาของ ครอบครอง ก็จะทําใหเกิดความหายนะ แกผูเปนเจาของ หรือสิ่งของนั้น ๆ ดังนั้นเพื่อใหขวัญกลับคืน มา จะตองเชิญหมอผีมีพิธีกรรมเพื่อเรียกขวัญกลับสูเจาของ ซึ่งพิธีกรรมดังกลาวควรกระทําอยาง ตอเนื่อง และในชวงเวลาเฉพาะและหากวาไมมีการประกอบพิธีกรรมแลว จะทําใหขวัญนั้นหายไป ดวยเหตุนี้จะเห็นวา เมื่อขาวในทุงนา ไรสุกเปนสีเหลือง เจาของที่นา ไร ก็จะเรียกหมอผีมาทําพิธีผูก ขาว เพราะเชื่อวา หากไมมีพิธีดังกลาว ก็จะทําใหผลผลิตไมดีในปตอไป นอกจากนี้ในมุขปาฐะของคนมลายู มีอยูวา “มีคนนําขาวไปตากไวบนเกาะแลวลืม นํากลับ ตกกลางคืนผูคนก็จะไดยินเสียงรองเหมือนของเด็ก เมื่อสืบดูก็พบวาเปนเสียงของขาวที่ถูก นําไปตากทิ้งไว” และยังมีความเชื่ออีกวาขาวที่หุงสุกแลว และขาวกนหมอจะเอาไปทิ้งขวางไมไดจะตอง รับประทานใหหมดไมสุรุยสุราย เพราะนิสัยสุรุยสุรายจะทําใหผลผลิตจะไมดี ขวัญในรางกายของมนุษยจะอยูที่ศีรษะ ฉะนั้นจึงมีการหามเลนหัว เพราะศีรษะเปน ที่ตั้งของขวัญซึ่งเจาของจะตองดูแลอยางดี และรวมถึงหมอนก็จะตองดูแลรักษาอยางดีดวย หาก ไมเชนนั้นจะทําใหไดรับผลรายตาง ๆ อาทิ เกิดการเจ็บไขไดปวย เปนตน ขวัญตามความเชื่อของคนมลายูมี 2 ชนิด คือ ขวัญที่ดี อาทิ ขวัญขาว เนื่องจากมี ความสัมพันธกับมนุษย เพราะจะทําใหผลผลิตไดมากมาย ขวัญนบียูซุฟ จะทําใหคนมีลักษณะ ออนหวาน ดูงดงาม นารักนาเอ็นดู ฯลฯ ในการรับหรือเรียกขวัญ หมอขวัญจะเปนผูเรียกโดยใชคาถา ตอไปนี้ Yahu Allah Allah Yahu, Asalku Nabi Yusuf, Duduk ke merucuk,……. (Ismail Hamid, 1991 : 39)
สวนขวัญรายซึ่งจะทําใหมนุษยเกิดการเจ็บไขไดปวย หมอขวัญก็จะใชคาถาเรียกขวัญกลับคืนมา ดังนี้ Bismillah hir Rahman nir Rahim, Aku tahu asal sirih, cahaya pada engkau. Aku tahu asal gambir, darah merah….. (Ismail Hamid, 1991 : 39)
154
3.10.5 การติดตอกับโลกลี้ลับ คนมลายูในยุคโบราณเชื่อวาโลกลี้ลับเปนสิ่งเหนือธรรมชาติและมีอํานาจเหนือมนุษย ดวย ความเชื่อเชนนี้จึงทําใหมนุษยเกิดความรูสึกกลัวเกรงเคารพและรักตออํานาจที่เชื่อวามีอยูในโลก ลี้ลับ ซึ่งไมสามารถมองเห็นได ดังนั้นเพื่อติดตอกับสรรพสิ่งในโลกนี้ดังกลาว คนมลายูจึงพยายามสื่อ โดยการประกอบพิธีกรรมตาง ๆ ดังตอไปนี้ 1. ประกอบพิธีในสถานที่เฉพาะ โดยปกติการประกอบพิธีติดตอกับสิ่งเรนลับนั้น จะกระทําในสถานที่ ๆ คนทั่วไปไม สามารถเขาไปยุงเกี่ยวได และถือเปนสถานที่หวงหาม ยกเวนในกรณีท่ีจะประกอบพิธีเทานั้น ซึ่งมักจะ อยูตรงจุดศูนยกลางของบานโดยถือวาเปนศูนยกลางของพลังลี้ลับ และใชเปนสถานที่อัญเชิญวิญญาณ หรือติดตอกับบรรพบุรุษ ในพื้นที่ชนบทบางแหงจะมีสถานที่เฉพาะสําหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ซึ่งถือ วาเปนศูนยของสากลโลก และเปนสถานสําหรับติดตอกับสิ่งลี้ลับ นอกจากนี้สสุ านก็เปนอีกสถานที่หนึ่ง ที่ใชสําหรับติดตอกับคนที่ตายไปแลวเพราะถือ วาสถานที่ดังกลาวเปนสถานที่บริสุทธิ์ หรือบางทีอาจใชเรือกสวนไรนาในปาเขาลําเนาไพร และตนไม ใหญที่ดูนากลัว ซึ่งทั้งหมดถือเปนสถานที่สามารถใชประกอบพิธีกรรมในการติดตอกับสิ่งลี้ลับ เพื่อขอ ความคุมครองหรืออํานวยความสุขสวัสดีใหแกผูคน ซึ่งสถานที่เหลานี้ทุกคนตองใหความเคารพหาก ไมอยางนั้นเขาก็จะไดรับอันตรายหรือจะเกิดขึ้นไมดีไมงามตาง ๆ ขึ้น 2. ประกอบพิธีในเวลาที่เฉพาะแนนอน ชวงเวลาที่จะใชติดตอกับโลกลี้ลับนั้นตองใชเวลาในชวงเวลาวิกฤติโดยจะขึ้นอยูกับ สิ่งแวดลอมของโลก เชน ในชวงค่ําหรือในเวลาที่ดวงอาทิตยขึ้น ซึ่งเชื่อกันวาในชวงเวลาดังกลาว คน สามารถติ ด ต อ กั บ โลกลี้ ลั บ หรื อ วิ ญ ญาณบรรพบุ รุ ษ ได และในช ว งแปรเดื อ น หรื อ ช ว งที่ มี ก าร เปลี่ยนแปลงครั้งสําคัญในตัวของมนุษย ซึ่งในทางมานุษยวิทยาถือวาเปนชวงการเปลี่ยนแปลงของ อายุ (The rites of passage) อยางเชน ชวงแตงงาน ระยะตั้งครรภ และตอนเสียชีวิต ซึ่งในชวงการ เปลี่ยนแปลงนั้นจะมีการทําพิธีบุพกิจหรือพิธีแรกรับ (Initiation) นอกจากนี้ ยังมีชวงเวลาหนาสิ่วหนาขวาน เชน เวลาที่เกิดโรคระบาด หรือภัยพิบัติ แผนดินไหว ภูเขาไฟระเบิด น้ําทวม พายุ ฯลฯ ที่เชื่อวาเปนชวงเวลาสําคัญที่เกิดขึ้นเนื่องจากอํานาจลี้ ลับ โกรธ ดวยเหตุนี้พิธีกรรมตาง ๆ จึงมีขึ้นเพื่อปองกันและปดเปาอันตรายจากภัยพิบัติเหลานั้น จาก การสัมภาษณหมอพื้นบานที่ใชการรักษาโดยการปดเปาเลาวา จะไมทําพิธีในชวงเที่ยงของวัน และเวลา ที่ดีที่สุดคือชวงพลบค่ํา เนื่องจากเปนชวงเวลาของพวกวิญญาณ (รอมละห อาแว (สัมภาษณ), 15 ตุลาคม 2549)
155
3.10.6 ความเชื่อเกี่ยวกับการงดของตองหาม คนมลายูเชื่อวานอกจากมนุษยแลวในโลกนี้ยังมีวิญญาณ (ผี) กลาวคือ หากมนุษย กระทําผิดพลาดหรือกระทําการอยางหนึ่งอยางใดโดยพลการ โดยปราศจากการเคารพกฎเกณฑการ กระทําเหลานั้นก็จะทําใหวิญญาณเกิดความโกรธกริ้ว และจะสงผลใหมนุษยเกิดการเจ็บไขไดปวย ดัง นั้ น เพื่ อ ให เ กิดความสั มพัน ธ อันดี ระหวางมนุ ษย กั บวิ ญญาณ ก็เลยทํ าให มีการงดของตอ งห าม (Pantang Larang)
การงดของตองหามเปนอีกความเชื่อหนึ่งที่จะชวยมนุษยรอดพนจากความเจ็บปวย และเคราะหราย ที่มาที่ไปของความเชื่อนี้ ก็เชนเดียวกับความเชื่อ taboo ของคนโปลินีเซียน ซึ่งความ ชื่อนี้เกิดจากความเชื่อของพวกเขาที่มีตอพลังอํานาจเหนือธรรมชาติ ที่มีผลตอคนหรือสังคมนั้น ๆ คํา วา taboo เปนคําโปลิเซียน ที่ใชเรียกการงดสิ่งตองหาม ซึ่งกลุมโปลิเซียนทุกคนจะตองถือปฏิบัติสิ่งนี้ หากผู ใ ดไม ทํ า ตามก็ จ ะได รั บ ผลเคราะห ก รรม การงดสิ่ ง ต อ งห า ม ในสั ง คมมลายู ก็ มี บ ทบาท เชนเดียวกัน เมื่อพูดถึงขอหามตามธรรมเนียมมลายู ก็จะหมายถึงสิ่งที่หามกระทํา หามกิน หรือหาม พูดเปนตน (Robert H. Lowie, 1970 : 78-81) การงดสิ่งตองหามในสังคมมลายูพบไดมากมาย อยางเชน คนมลายูจะเชื่อเรื่องขวัญ ขาว หากใครรูจักดูแลขาวแลว ขวัญนั้นก็จะอยูกับเขาและทําใหเขามีปจจัยยังชีพอยางมากมาย ในทาง ตรงกันขาม หากขวัญขาวหนีไปจากบาน ก็จะทําใหเจาของบานอาภัพ ดวยความเชื่อนี้เองจึงทําให การ งดสิ่งตองหามที่เกี่ยวของกับขวัญขาวเกิดขึ้น กลาวคือ ในชวงเวลาปลูกขาว หามคนในบานใหขาวแก ไกและเปด หรือสีขาว เพราะกลัววาการกระทําดังกลาวจะทําใหขวัญขาวหนีไป ตอมาเมื่อขาวตั้งทอง เจาของตองไมเผากะลามะพราว เพราะเชื่อวาหนูจะมากินขาวในนา และหามเปาปเพราะเสียงปจะทํา ใหขาวลีบ เมื่อถือกระดิ่งหามเขาใกลถังขาวสารเพราะเชื่อวาขวัญขาวจะหนี เมื่อจะเกี่ยวขาวตองทําการ ผูกขวัญขาว มิฉะนั้นรวงขาวจะหนีมือ ในขณะเดียวกันเวลาทานก็หามไมใหเม็ดขาวตกหลน มิเชนนั้นจะทําใหขวัญขาวหนี และเมื่อมีกากขาวสารก็จะตองเก็บไวหามทิ้ง จากนั้นหากครบ 40 วันหลังเกี่ยวขาว อนุญาตใหเจาของ นําไปขาย หรือยายที่ได ฉะนั้นก็จะมีการแยกเก็บระหวางขาวเกากับขาวใหม นอกจากนี้ยังมีขอหามอื่น ๆ ที่แยกระหวางผูชาย ผูหญิง เด็กและทั่วไป ซึ่งสาหัด เวาะหลี (สัมภาษณ), 23 สิงหาคม 2549 ได ยกตัวอยางไวดังนี้ ตัวอยางขอหามสําหรับผูชาย - เวลาออกจากบ า นไมใ ห กา วเท าซา ยออกแต ให ก าวเทา ขวา (ทํ า งาน หรื อ เดิ น ทางไกล) เชื่อวาจะทําใหพนจากภัยอันตราย - หากปรากฏวามีตะกวดตัดหนา ก็จะตองกลับบาน ถือวานั่นเปนลางราย
156
- เมื่อเดินออกจากบานแลวหามหันกลับ เชื่อวาจะไดรับอันตาย - หามดื่มน้ํามะพราวในกะลา เชื่อวาจะทําใหผูอื่นเกลียดชัง ตัวอยางขอหามสําหรับผูหญิง - หามรองเพลงในขณะประกอบอาหาร เพราะเชื่อวาจะไดสามีสูงอายุ - หามนั่งขวางประตู จะเชื่อวาจะทําใหคนไมมาสูขอ - หามกินขาวในกระทะ เชื่อวาจะทําใหใบหนาช้ําในวันแตงงาน - เมื่อผูหญิงตั้งทอง หามสามีทํารายหรือ ฆาสัตว - หามผูหญิงทองนั่งขวางประตู เพราะจะทําใหคลอดยาก - หามผูหญิงทองนั่งบนดิน เชื่อวาเวลาคลอดจะทําใหรกติด - เมื่อคลอดลูกหัวป หามซักผาหรืออาบน้ํ าในลําคลอง เชื่อวาจระเขจะมาทําราย เพราะจระเขจะชอบผูหญิงที่คลอดลูกหัวปเปนพิเศษ - หญิงเพิ่งคลอด หามเกลาผมและปกปนปกผม เชื่อวาวิญญาณรายจะมารบกวน - หามนั่งยอง ๆ หามเติมขาว หามกินขาวราดแกง หามกินเนื้อ หรือไข ตัวอยางขอหามสําหรับเด็ก - จะตองดูแลสายสะดือของเด็กเพิ่งคลอดใหดี เมื่อสายสะดือหลุดจะตองเก็บไวหาม ทิ้ง หากทิ้งจะทําใหเมื่อโตขึ้นจะหางไกลกับพี่นอง - ทารกที่เพิ่งคลอดจะตองเปดปากดวยน้ําผึ้ง เชื่อวาจะเปนคนปากหวาน - หามนําเด็กเล็ก ๆ มาเดินเลนยามโพลเพล เชื่อวาวิญญาณรายจะรบกวน - หามทิ้งเด็กทารกไวในเปลคนเดียว วิญญาณจะรบกวน - หามนํารมสีดํามากางใหเด็ก เชื่อวาจะทําใหเด็กชัก - หามเด็กเลนกระจกเงา เชื่อวาจะทําใหจมน้ําตาย - หามจูบมือเด็ก เชื่อวาจะทําใหเปนคนชอบของผูอื่น ตัวอยางขอหามอื่น ๆ นอกจากนี้ ยั ง มี ข อ ห า มอื่ น ๆ ที่ ผู ค นในสั ง คมจะต อ งให ค วามเคารพถื อ ปฏิ บั ติ อยางเชน หามนําลูกมะพราวที่แตกหนอแลวมาปลูกหนาบาน เพราะจะทําใหคนในบานมีอันจะตอง จากบานไป และยังมีขอหามอื่นที่เกี่ยวของกับปรากฏการณอื่น ๆ อีกเชน หามนั่งบนหมอน เชื่อวาจะ เปนฝที่กน หามผิวปากในบาน เชื่อวาจะไดรับเคราะหราย หามชี้รุงกินน้ํา เชื่อวาจะทําใหนิ้วกุด และ หามตีกับไมกวาด เชื่อวาจะทําใหผูที่ถูกตีไดรบั เคราะห
157
การงดสิ่งตองหามของคนมลายูถือเปนความเชื่อที่ไดรับสืบทอดตอ ๆ กันมา แตเมื่อ อิสลามถูกเผยแผก็ทําใหความเชื่อเหลานี้หมดไป หรือออนแอลง ตางจากสังคมโปลิเซียนอื่น เชน ชาวเลหรือชาวบาหลี แตอยางไรก็ตามความเชื่อดังกลาวยังคงถือปฏิบัติในกลุมคนบางกลุม 3.10.7 การถือฤกษ (วัน เดือน เวลา) สังคมมลายูยังมีการถือฤกษ ดังสังเกตไดจากเมื่อตองการกระทํากิจกรรมหนึ่ง ๆ โดยเฉพาะกิจกรรมที่มีความสําคัญในชีวิต อาทิ ปลูกบาน แตงงาน ขึ้นบานใหม ซื้อรถ และการลง เรื อ นเพื่ อ เดิ น ทางไปประกอบพิ ธี หั จ ญ ผู ก ระทํ า หรื อ เจ า ของบ า นจะต อ งไปหาฤกษ จ ากผู รู เ ช น โตะอิหมาม หรือหมอดู เพื่อเลือกวันที่จะเปนมงคลในการจะเริ่มประกอบกิจกรรม ซึ่งในการดูวันจะมี วิธีการปฏิบัติหลายวิธี แตที่นิยมปฏิบัติกันทั่วไป คือ การนับธาตุทั้ง 4 ธาตุ ทั้ง 4 ที่ชาวมลายูถือปฏิบัติ คือ ดิน น้ํา ไฟ ลม โดยเขต รัตนจรณะ และคณะ (2537 : 27) ไดอธิบายความหมายของธาตุทั้ง 4 เอาไวดังนี้ ดิน หมายถึง การทํางานลาชา อาจจะพบกับปญหาและอุปสรรค น้ํา หมายถึง การทํางานอยูในสภาพเยือกเย็นไดรับการชวยเหลือจากผูอื่น ไฟ หมายถึง การทํางานอยูในสภาพอารมณรอน การทํางานจะมีปญหาและขัดแยง ทะเลาะเบาะแวงในเครือญาติหรือพรรคพวกรวมงาน ลม หมายถึง การทํางานเปนไปอยางรวดเร็ว ไมคอยจะมีปญหา ราบรื่น โชคดี มีลาภ และอารมณเย็น โดยเสกสรร ศรีระเดน กลาววาการนับวัน วันไหนจะตกตรงกับธาตุดิน น้ํา ไฟ ลม จะตองนับตามวันที่จันทรคติ ดังตารางตอไปนี้ ดิน น้ํา ไฟ ลม ขึ้น 1 ค่ํา ขึ้น 2 ค่ํา ขึ้น 3 ค่ํา ขึ้น 4ค่ํา 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 แรม 1 ค่ํา แรม 2 ค่ํา แรม 3 ค่ํา แรม 4 ค่ํา แรม 5 ค่ํา 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15
158
สําหรับตารางขางบน เปนตัวอยางแสดงการนับวันตามจันทรคติที่ตรงกับแตละธาตุ ของธาตุทั้งสี่ครบ 30 วัน แตบางเดือนมีเพียง 29 วัน ตองใชการคํานวณ (2529 : 102, อางถึงใน เขต รัตนจรณะ และคณะ, 2537 : 27-28) อนันต วัฒนานิกร (2529 : 93) กลาวถึงวันปลูกสรางบานเรือนวาไมกําหนดวันดี วันรายเฉพาะวันไว หากวันใดตรงกับดวงจันทรขึ้นแรมตอไปนี้ถือวาเปนชั่วราย วันอัปมงคล หามการ ปลูกสรางบานเรือน หรือประกอบกิจการมงคลตาง ๆ ดังนี้ วัน 4 ค่ํา 14 ค่ํา เดือนรอบิอุลอาวัล (มีนาคม) วัน 8 ค่ํา เดือนมูฮัรรอม (มกราคม) รอบิอุลอาเคร (เมษายน) วัน 10 ค่ํา เดือนซอฟาร (กุมภาพันธ) วัน 12 ค่ํา เดือนรายับ (กรกฏาคม) วัน 20 ค่ํา เดือนยามาดิลอาเคร (มิถุนายน) วัน 22 ค่ํา เดือนยามาดิลอาวัล (พฤษภาคม) วัน 27 ค่ํา เดือนรอมฎอน (กันยายน) วัน 28 ค่ํา เดือน ซุลกีฮเี ดาะห (พฤษจิกายน) วัน 29 ค่ํา เดือนยามาดีลอาเคร (มิถุนายน) เดือนซะบัน (สิงหาคม เดือน ซาวัล (ตุลาคม) อนึ่งสําหรับการเทียบเดือนอาหรับซึ่งเปนเดือนที่นับตามจันทรคติกับเดือนไทยซึ่งนับ ตามสุริยคตินั้นจะเทียบกันไมได เนื่องจากจะมีการเหลื่อมล้ํา และเปลี่ยนแปลงตลอดทุกป สําหรับกฤษในการลงเรือนจะมีวิธีนับจากวันที่ตรงกับขึ้น 1 ค่ําของในแตละเดือนเพือ่ ดูวาฤกษที่ไมดีจะตรงกับวันใด ซึ่งอับดลขาหรีม หมัดสู (สัมภาษณ), 2 เมษายน 2550 เลาถึงวิธีการ นับวามีดังนี้ ขึ้น 1 ค่ํา ตรงกับ วันอาทิตย ฤกษไมดีตรงกับ วันอังคาร ขึ้น 1 ค่ํา ตรงกับ วันจันทร ฤกษไมดีตรงกับ วันจันทร ขึ้น 1 ค่ํา ตรงกับ วันอังคาร ฤกษไมดีตรงกับ วันอาทิตย ขึ้น 1 ค่ํา ตรงกับ วันพุธ ฤกษไมดีตรงกับ วันเสาร ขึ้น 1 ค่ํา ตรงกับ วันเสาร ฤกษไมดีตรงกับ วันพุธ ขึ้น 1 ค่ํา ตรงกับ วันพฤหัสบดี ฤกษไมดีตรงกับ วันศุกร ขึ้น 1 ค่ํา ตรงกับ วันศุกร ฤกษไมดีตรงกับ วันพฤษหัสบดี และมีขอยกเวนสําหรับเดือนสาม จะถือวาเปนเดือนที่ฤกษไมดี นอกจากนี้ยังมี รายละเอียดปลีกยอยอีกมากมายขึ้นอยูกับกิจกรรมที่จะกระทํา
159
3.11 ศาสนาฮินดู-พุทธในโลกมลายู ก อ นศาสนาฮิ น ดู แ ละพุ ท ธจะมาสู โ ลกมลายู ผู ค นมี ค วามเชื่ อ แบบวิ ญ ญาณนิ ย ม ศาสนาฮินดูถูกเผยแผจากอินเดียและประสบความสําเร็จในการเผยแผสูชนชั้นปกครอง เชน ราชา แต แมวาผูนับถือศาสนานี้จะจํากัดเฉพาะชนชั้นสู ง การบูช าสุสานบรรพบุรุษโดยกษัตริยฮิ นดูก็ ยังถื อ ปฏิบัติอยู ศาสนาฮินดูถูกผสมผสานกับความเชื่อดั้งเดิม เชน ความเชื่อเกี่ยวกับเทวดาตาง ๆ ในฮิ น ดู ก็ ถู ก นํ า มารวมกั บ ความเชื่ อ ต อ สิ่ ง ลี้ ลั บ ที่ มี อ ยู ใ นความเชื่ อ เดิ ม จึ ง ก อ ให เ กิ ด กรบวนการ ผสมผสานระหวางความเชื่อฮินดูกับภูมิบุตร และความเชื่อฮินดูลัทธิพระเวทเองก็ไมแตกตางจาก ความเชื่อเดิมของคนมลายูมากนัก หลังจากนั้นในชวงคริสตศตวรรษที่ 5 คุนาวรมัน (Gunavarman) กษัตริยแหงแควน แคชเมียรในอินเดียไดนําศาสนาพุทธนิกายหินยานเขามาเผยแผสูโลกมลายู ตอมาในคริสตศตวรรษที่ 7 ก็ไดมีนักเผยแผจากนิกายมหายาน ชื่อดรามา (Dharama) โดยนิกายหลังนี้จะเนนคําสอนในเรื่อง โยคะ และใหความสําคัญในการปฏิบัติโยคะและรายมนตราเปนหลัก ศาสนาฮินดูและพุทธในภูมิภาคนี้ก็สามารถผสมผสานเขาดวยกันแมวาในอินเดียจะ ไมสามารถรวมกันได ตัวอยางของการผสมผสานคือ พระพุทธเจา กับ พระวิษณุ ทั้ง ๆ ที่วิษณุ คือ หนึ่งในเทพเจาตามหลักความเชื่อตรีมูรติ (Trimurati) ของฮินดู ความเชื่อแนวนี้ทําใหมองเห็นภาพ ของศาสนาฮินดูในเกาะบาหลี ซึ่งไดรับเอาสถานะนักพรตพุทธเขามาไวในพิธีกรรม นอกจากนี้การ รวมกันของทั้งสองศาสนานี้ยังจะเห็นไดอีกจากการแกะสลักในเจดียบุโรบุโด บนเกาะชวากลาง และ เจดียจาโก ที่เมืองมาลัง บนเกาะชวาตะวันออก ที่ไดอธิบายถึงความรวมมือระหวางพระศิวะและ พระพุทธเจา และในบางครั้งอาจเรียกวา พระศิวะหรือพระพุทธเจา และคําวาศิวพุทธยังถูกใชเรียกชื่อ กษัตริยฮินดูที่เกาะชวา ในปจจุบันการผสมผสานกันระหวาง ฮินดู – พุทธ ยังปรากฏอยูในพิธีกรรมของชาว บาหลี เชนพิธีกรรมขับไลวิญญาณรายและพิธีฌาปนกิจ โดยพระหรือนักบวชจากทั้งสองศาสนาก็จะมา ทําพิธีรวมกัน และมีการใชมนตราของทั้งสองศาสนา นักพรตฮินดูไวษณพนิกาย ซึ่งจะมีชื่อเรียกวา มหาเทวะ มหาศิว รุทธ สังคระ สัมภูและ อิศวร สวนนักบวชในศาสนาพุทธจะเรียกวา รัตนสัมภว ศรี อโมฆะสิทถี และวิโรจนะ (Mata Rantai : Bali (รายการโทรทัศน), 2007) ขอแตกตางของนักบวชจากทั้งสองศาสนาจะสังเกตไดจากเครื่องแตงกาย แตผูรวม พิธีก็ไมไดใหความสําคัญกับขอแตกตางนี้ ในสวนของผูนับถือทั้งสองศาสนาตามเทพที่ตัวเองนับถือ เชน นับถือพระศิวะก็ไหวรูปปนศิวลึงค หากนับถือพุทธก็จะไหวรูปปนพระโพธิสัตว
160
ศาสนาฮินดูเขามาสูโลกมลายูกอนโดยมีกระบวนการเผยแผความเชื่อหลักเรื่อง ตริมูร ตี โดยไวษณพนิกายถูกเผยแผในเกาะชวามากที่สุด จากนั้นศาสนาพุทธจากอินเดียก็ถูกเผยแผแทนที่ โดยอยูในกลุมชนชั้นสูงและไดถูกนํามาเปนศาสนาประจําชาติในที่สุด สวนฮินดูไวษณพนิกายที่เดิม เคยมีอยูก็เขาไปมีบทบาทในชนชั้นลางตอ (ชาวบาน) อยางไรก็ตามทั้งสองศาสนาที่ไดรวมเปนศาสนา ใหมที่แตกตางไปจากรูปแบบเดิมเหมือนที่ปรากฏอยูในอินเดีย 3.11.1 อิทธิพลศาสนาฮินดูตอความคิดของคนมลายู กอนฮินดูเขามาในสังคมมลายู คนมลายูมีความเชื่อแบบวิญญาณนิยม (Animism) ซึ่งเปนความเชื่อที่ไดรับมาจากยุคโบราณ ความเชื่อนี้มีลักษณะที่เปนความเชื่อเกี่ยวกับขวัญ การบูชา วิญญาณบรรพบุรุษและสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ ซึ่งมีความซับซอนอยางมาก โดยความเชื่อดังกลาวได จัดระเบียบพฤติกรรมของมนุษยตอสิ่งแวดลอมรอบตัว เพราะมนุษยจะเชื่อวาแตจะปรากฏการณที่ เกิดขึ้นบนโลกนี้ลวนมีพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติหรือเจาที่อยูเบื้องหลัง เมื่ อ ศาสนาฮิ น ดู เ ข า มาสู โ ลกมลายู แ ละเกิ ด การแพร ก ระจายอย า งรวดเร็ ว ในช ว ง คริสตศตวรรษที่ 4-5 ความคิดของคนมลายูก็ไมไดเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก ขณะเดียวกันศาสนา ฮินดูลัทธิพระเวท ซึ่งเชื่อตออํานาจของเทพเจาองคตาง ๆ ไดเขามาแทนที่ ความเชื่อเกี่ยวกับเจาที่และ วิญญาณลี้ลับ และเติมเต็มความเชื่อตอเจาที่และอํานาจลี้ลับ ซึ่งคนมลายูเชื่อวามีอยู อาทิ ฝน พายุ ภูเขา ทะเล ปา ฯลฯ เชน พระอินทร คือเทพแหงสงครามและพายุ เทพวรุณ เปนผูดูแลกฎหมายของ โลก รุทธา เทพเจาแหงฟารอง ฟาผา อัคนี เทพแหงไฟ สุริยะ เทพแหงดวงอาทิตย วายุ เทพแหงลม สาวิตรี เทพแหงอวกาศ อุษา เทพแหงรุงอรุณ เปนตน (Ismail Hamid, 1991 : 53-54) อิทธิพลความคิดฮินดูไดปรากฏอยูในมนต คาถา ตัวอยางเชนการใชคําวาโอม (OM) ในเวทมนตคาถา ซึ่งตายิบ ออสมาน (Taib Osman, 1967 : 14) กลาววา โอมเปนสัญลักษณของเทพ เจาฮินดู คือ พระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ ซึ่งเปนแนวคิดตรีมูรติในศาสนาฮินดู โดยศรีสัตยา ศรัย (Srisatya Sai) ไดใหรายละเอียดวา “โอม” จัดเปนคําศักดิ์สิทธิ์สําหรับชาวฮินดู เปนคําระบุ รวมถึงเทพเจาทั้งที่มีตัวตน (personal) และมิไดมีตัวตน (impersonal) คําวา โอม เปนคําที่เปลง ออกมาจากการรวมกันของอักษร 3 ตัว คือ อะ อุ มะ มีคําอธิบายในเชิงปรัชญาวา ในเบื้องตนอัน กําหนดเวลาไมได มีแตพรหมันอันเปนภาวะสงบนิ่งยิ่งใหญ (supreme silence) จากพรหมันนั้นเอง ไดกําหนดพลังที่ฉายเปลงออกมาเปนพลังเสียงแรกสุด (primeval sound) นั่นคือ “โอม” อาศัย ถอยคํานี้ไดกอกําเนิดสิ่งสรางสรรคตาง ๆ อันประกอบดวยธาตุ 5 อยางคือ อากาศธาตุ วาโยธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และปฐวีธาตุ พลังของพรหมันที่แสดงออกมาโดยผานโอม จึงไดซึมแทรกเขาไปใน
161
สรรพสิ่ง และเปนตัวการควบคุมสรรพสิ่งไว ดังนั้นจึงมีคําเรียกอีกอยางวา “ปราณวะ” หมายถึง ไหล ผานปราณหรือชีวิตทั้งมวล (ประสาร สมพงษ, 2544 : 30) ตัวอยางการใชคําวาโอมในมนตรามลายู เชน OM…Mujarrablah azimat ini…. จะเห็นไดชัดวาในมนตรามลายูปรากฏในรูปของชื่อเทพเจาตาง ๆ ดังที่กลาวมาเชน ความคิดเห็นของ ตายิบ ออสมาน (Taib Osman) ตอมาเมื่อมีการถายทอดตอ ๆ กันจากรุนสูรุน ชื่อของเทพเจาตาง ๆ ก็เพี้ยนไป อิทธิพลฮินดูในขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวมลายูในสังคมมลายูเริ่มตั้งแตมารดา ตั้งครรภจนถึงคลอดออกมา คนมลายูจะมีขนบธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติมากมาย เชน พิธีการคลึงทอง ตอนตั้งครรภ พิธีเปดปาก (ใชน้ําผสมเกลือ) พิธีเหยียบธรณี เจาะหู (ในเประ หากลูกชายหนาเหมือน พอ ตองเจาะหู) และพิธีกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการแตงงานและการตาย ซึ่งเดิมทีพิธีกรรมดังกลาว กระทําขึ้นเพื่อ ขอใหเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธชวยดลบันดาลความสุขแกลูก ๆ และสมาชิกในครอบครัว (นิอับดุลรากิบ บินนิฮัสซัน, (สัมภาษณ) 15 มิถุนายน 2549) ถึงแมวาสังคมมลายูไดเขารับนับถืออิสลามเปนเวลานานมาแลว แตการปฏิบัติและ ลักษณะของวัฒนธรรมที่มีผลมาจากอิทธิพลของฮินดู-พุทธยังคงหลงเหลืออยูในหมูชาวมลายูปตตานี ตลอดจนชาวมลายูในรัฐมลายูอื่น ๆ ยังคงปฏิบัติวัฒนธรรมประเพณีดังกลาว จนกระทั่งวาในบางครั้ง ไมสามารถแยกแยะไดวาการกระทําใดเปนจารีตประเพณี หรือเปนหนาที่ในทางศาสนา อยางไรก็ตาม ความสํานึกในอิสลามและความศรัทธาตอพระผูเปนเจาไดกอใหเกิดการเปลี่ยนแปลงและปรับเปลี่ยน ในดานการปฏิบัติและความศรัทธาที่ไมขัดกับหลักการศาสนาที่แทจริง ซึ่งผูวิจัยจะเสนอตัวอยางใน บางประเพณี ดังนี้ 3.11.2 ประเพณีการฝากทอง ประเพณี ก ารฝากท อ งจะกระทํ า ต อ ผู เ ป น ภรรยาที่ กํ า ลั ง ตั้ ง ครรภ เ จ็ ด เดื อ น โดย จุดประสงคเพื่อใหเกิดความงายในการคลอดและปดเปาภยันตรายตาง ๆ ที่จะเกิดขึ้น มีเครื่องมือ อุปกรณหลายอยางที่จําเปนตองใชในพิธีกรรรมของประเพณีนี้ ไดแก ผาขาวจํานวนหาหลา ผาขาวมา เจ็ดผืน ขาวสารหนึ่งถวย ไขไกหนึ่งฟอง ใบตอง มะพราวและลูกหมากอยางละหนึ่งผล มีดโกนหนึ่ง เลม หวี ชอน กระชอน น้ํามันและเข็มหนึ่งเลม นอกจากนี้ยังมีอุปกรณสําหรับการอาบ เชน ดายหนึ่ง กอน ขาวสารหนึ่งลิตร มะพราวหนึ่งผล ดอกหมากหนึ่งพวง เทียนสองเลม ใบมะพราว ผาขาวและ ขี้เถาของรูป มะนาวและน้ําอาบจากเจ็ดบอ กลีบดอกผสม และเหรียญกษาปณจํานวนหนึ่ง พิธีกรรมของประเพณีการฝากทอง ผูหญิงที่ตั้งครรภจะตองนอนบนผาขาวมาจํานวน เจ็ดผืน หลังจากนั้นหมอตําแยจะดึงผาดังกลาวทีละผืนจนหมด ไขไกหนึ่งฟองที่ปลุกเสกเรียบรอยจะ
162
ถูกกลิ้งไปมาบนทองพรอม ๆ กับมีดโกนเสมือนหนึ่งวาตองการขจัดอุปสรรคตาง ๆ ที่จะขัดขวางการ เกิดของเด็ก เสร็จแลวหมอตําแยจะทําการผูกทอง เพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติ สวนที่ใชกระชอนเพื่อตัก ตวงใหไดมาซึ่งรายได และปจจัยที่ยังชีพอื่น ๆ สวนใบตองหมากและมะพราวเอาไวใชขับไลผีหา ซาตาน โดยนํามะพราวที่ปอกแลวกลิ้งบนทองไปมาจากบนลงลางจํานวนเจ็ดครั้ง และครั้งสุดทายจะ ปลอยใหมะพราวกลิ้งเปนอิสระ เมื่อลูกมะพราวหยุดหมอตําแยก็จะสังเกตดูทิศทาง หากวาหนาของลูก มะพราวหันไปดานบน แสดงวาลูกในครรภจะเปนเพศชาย แตหากหันมาดานลางก็จะเปนเพศหญิง ตอจากนั้นผูหญิงดังกลาวจะถูกอาบดวยน้ําดอกไมที่ถูกแชในน้ําที่เอามาจากเจ็ดบอและพิธีกรรมยังมี อีกหลายขั้นตอนจนกวาจะเสร็จพิธี 3.11.3 ประเพณีเขาสุนัต (ขลิบอวัยวะเพศชาย) กลุ ม เด็ ก ชายที่ มี อายุ ร าว ๆ ห า ป จนถึ งอายุ สิบ ป จ ะรวมกลุ ม กั น โดยที่ ผู ป กครอง เห็นชอบเพื่อเขาสุนัตหมู กอนที่จะเขาพิธีสุนัตเด็ก ๆ เหลานี้จะถูกแหรอบ ๆ หมูบานโดยถูกอุมขึ้นบา แตถาเด็ก ๆ ที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะก็จะถูกแหโดยขี่ชาง ซึ่งอาร โอ วินสเต็ด (R.O. Winstedt, 1961 : 111 -114) กลาววา การกระทําดังกลาวไดรับอิทธิพลจากศาสนาฮินดูที่ทําการแหแหนรูปปน พระวิษณุดวยการวางบนหลังชาง เด็ก ๆ เหลานี้จะถูกทาเล็บดวยใบเทียน หลังจากนั้นพวกเขาจะนั่ง บนเกาอี้ที่ถูกประดับอยางสวยงาม และไดรับการดูแลเปนพิเศษเหมือนกับเจาบาว ตอดวยการปอน ขาวเหนียวเหลืองและขาวที่ไดรับการเสกจากผูที่จะทําการขลิบอวัยวะเพศ (โตะมูเด็ม) ทั้งนี้เพื่อเรียก ขวัญใหกลับมา โดยมีอุปกรณสําหรับทําพิธีสุนัตมีดังนี้ 1. ผาขาวยาวหาศอก 2. ไกตัวผูหนึ่งตัว (บางแหงไมใช) 3. ภาชนะกลวง (Buyung) ที่มีน้ํา 4. ตนกลวย 5. ขันหมาก 6. เงิ น ค า ทํ า ขวั ญ ซึ่ ง พ อ แม จ ะมอบให แ ก ผู จ ะทํ า การขลิ บ อวั ย วะเพศของเด็ ก (โตะมูเด็ม) หลังจากพิธีเขาสุนัตเสร็จเรียบรอยแลว ชวงระยะเวลาแหงการงดเวนสิ่งตองหามก็เริ่ม ขึ้นเรื่องอาหารการกิน ผูเขาสุนัตจะตองงดเวนอาหารที่มีความรอน นอกจากนั้นหามเดินเที่ยวเตรไป มา เพราะกลัววาจะเดินขามบางสิ่งบางอยางที่จะทําใหแผลบวม หรือหายชา ผูทําการขลิบอวัยวะเพศ (โตะมูเด็ม) จะหมั่นดูอาการของแผลตลอดระยะเวลาสามวันหลังทําการขลิบ สําหรับในปจจุบันมัก
163
นิยมทําเปนหมู โดยแพทยเปนผูขลิบ และบางแหงอาจยังใชโตะมูเด็มเปนผูขลิบ แตไมมีพิธีรีตรอง มากเหมือนในอดีต 3.11.4 ประเพณีการตาย แมวาพิธีกรรมฮินดูที่เกี่ยวกับการตาย คนมลายูไมถือปฏิบัติเนื่องจากขัดหลักการของ ศาสนาอิสลาม แตความเชื่อของฮินดูก็จะคงมีอยูเชน ในการจัดเลี้ยงการตาย 3 วัน 7 วัน 40 วัน 100 วัน ก็ยังคงมีใหเห็นอยูในสังคมมลายู หลังจากที่อิสลามเขามาสูอาณาจักรมัชปาหิต งานเลี้ยงซราดาที่ใชกราบไหวบรรพ บุ รุษนั้น ยั งคงดํ า เนิน ต อไป ในภาษาชวา งานเลี้ ยงซราดา เรี ย กว า ยาดรั น ( Nyadran) งานเลี้ ย ง ดังกลาวถูกจัดขึ้นที่สุสานบรรพบุรุษในเดือนอัรวะฮฺ (Bulan arwah) หรือรูวะฮฺ (Ruwah) หมายถึง เดื อ นชะอฺ บาน ต อ นรั บ การมาของเดื อ นถื อ ศี ล อดหรื อ รอมฎอน ชาวบ า นจะพาอาหารมาที่ กู โ บร (สุสาน) หรือเลี้ยงอาหารเพื่อรําลึกถึงและกราบไหววิญญาณบรรพบุรุษ และทําพิธีสวดสงดอกไมไปให วิญญาณบรรพบุรุษ (Penye Karam) โดยดอกไมนานาชนิดจะถูกโปรยลงบนไมนีซัน33บนหลุมศพ บรรพบุรุษ พรอม ๆ ไปกับการเผากํายานและสวดมนต เชนเดียวกับพิธีเซอลามัตตัน (Selamatan) ซึ่งจะถูกจัดขึ้นหลังจากที่คน ๆ หนึ่งไดเสียชีวิตลง 3 วัน 7 วัน 40 วัน 100 วัน 1 ป 2 ป และ 1 พัน วันหลังการตาย พิธีเซอลามัตตัน (Selamatan) เปนการรําลึกถึงวิญญาณผูตาย ซึ่งแทจริงก็คือ การ กราบไหววิญญาณบรรพบุรุษนั้นเอง ซึ่งเปนประเพณีที่ยังถือปฏิบัติอยูทั้งในสังคมของชาวชวาที่นับถือ ศาสนาอิสลามและศาสนิกอื่น (Slamet Muljana, 2006 : 252) การกราบไหววิญญาณบรรพบุรุษสวนใหญจะกระทําในเดือนชะอฺบาน แตจะถูกใชชื่อ อื่นเรียกแทน นั้นคือ เดือนรูวะฮฺ หมายถึงวิญญาณ การเปลี่ยนคําเรียกนี้ เปนการใชเฉพาะเพื่อการ กราบไหววิญญาณบรรพบุรุษในเดือนนี้ ผูคนจะนําพวงมาลัย มาวางบนไมนีซันบรรพบุรุษและทําพิธี สวดขอความสงบสุข ในวันที่ 20 หรือ 21 นั้นคือ เดือนแหงการเยี่ยมหลุมฝงศพ หรือสุสานของบรรพ บุรุษ นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรมอื่น ๆ อีก เชน พิธีเนเนป (Nenepi) ซึ่งหมายถึง การนั่งสมาธิในสุสาน บรรพบุรุษ โดยในสุสานที่ศักดิ์สิทธิ์บางแหงจะมีผูคนมากมายแหเขามานั่งสมาธิ จนในที่สุดสถานที่ ดังกลาวกลายเปนสถานที่เยี่ยมเยียนสําหรับสวดวอนขอตอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อใหวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ชวย ใหความตองการของพวกเขาเปนจริงได การกระทําเชนนี้เกี่ยวโยงถึงการบูชาบรรพบุรุษและเยี่ยม สุสานบรรพบุรุษ สังคมมุสลิมนิกายชีอะฮฺไมไดหามการบูชาบรรพบุรุษและเยี่ยมสุสานบรรพบุรุษ ดัง เห็นไดจากในสังคมอิสลามนิกายชีอะฮฺมีการฉลองวันคลายวันสิ้นชีวิตของหะสันและหุเส็นซึ่งเปนหลาน 33
นีซัน กลายเสียงมาจากคําวา นีชาน ( )ﻧﻴﺸﺎنในภาษาเปอรเซีย หมายถึง ไมที่ใชปกเพื่อเปนเครื่องหมายบนหลุมศพ
164
ของทานศาสนทูตมูฮัมมัด อยางเอิกเกริกและใชหลุมศพของทานทั้งสองเปนสถานที่สําหรับแสวง บุ ญ ซึ่ ง มี ค วามเหมื อ นกั น ในเชิ ง พิ ธี ก รรมระหว า งสั ง คมฮิ น ดู กั บ ชวามุ ส ลิ ม นิ ก ายชี อ ะฮฺ ( Slamet Muljana, 2006 : 253)
สําหรับสังคมมลายูปจจุบันยังสามารถพบเห็นพิธีทําบุญ 7 วัน หรือ 40 วัน เพื่ออุทิศ สวนกุศลแกผูตาย ซึ่งเชื่อวาพัฒนามาจากความเชื่อที่เกี่ยวของกับการบูชาบรรพบุรุษ แมวาจะมีความ แตกตางกันในรายละเอียดและวิธีการก็ตาม 3.12 การใชชื่อ-สกุลของชาวมลายูในจังหวัดปตตานี ในอดีตชาวมลายูปตตานีนิยมตั้งโดยใชชื่อของผลไม ดอกไม พืชผัก สี และรสชาด ซึ่งในปจจุบันยังสามารถพบชื่อตาง ๆ เหลานี้ไดโดยเฉพาะในกลุมผูสูงอายุแตก็มีจํานวนนอยมาก อยางเชน บูงอ มือลอ ตีมุง และมานิฮ เปนตน หลังจากการเขารับนับถือศาสนาอิสลามผูคนไดหันไปใชชื่อในภาษาอาหรับแทน โดย ชื่อที่นิยมตั้ง ไดแก ชื่อที่มาจากคุณลักษณะของพระผูเปนเจาซึ่งจะใชคําวา “อับดุล” นําหนาเสมอ เชน อับดุลลอฮฺ อับดุลเราะมาน อับดุลรอชีด เปนตน ชื่อของบรรดาศาสนทูต มุฮัมมัด ยูซฟุ ยะกูบ สุไลมาน และชื่อของเศาะหาบะฮฺหรือบุคคลในครอบครัวของทานศาสนาทูตมุฮัมมัด อยางเชน อบู บักรอุ สมาน อลี อาอีช ะฮฺ เคาะดี ญะฮฺ เปนต น นอกจากนี้ยังมีการใชคําที่ มีความหมายดีในภาษา อาหรับ เชน นูรุดดีน นูรีมาน กอมารุดดีน34 เปนตน (Waemaji Paramal, 1991 : 20) เนื่ อ งจากคนมุ ส ลิม ส ว นใหญเ ลือ กที่ จะตั้ ง ชื่ อ บุต รหลานของตนเป น ภาษาอาหรั บ โดยเฉพาะชื่อบรรดาศาสนทูตและบรรดาเศาะหาบะฮฺ ดังนั้นชื่อคนสวนใหญจะเปนชื่อภาษาอาหรับ ทั้งนี้เพื่อเปนสิริมงคลแกลูกหลานของตน แตเมื่อชื่อตาง ๆ เหลานี้ไดถูกนํามาใชในภาษามลายูถิ่น ปตตานีแลว เกิดการเปลี่ยนแปลงมาก เชน ชื่อมุฮัมมัด ในภาษามลายูถิ่นปตตานีจะเปน มูฮามะ, มา ฮามะ, มาหามะ, ฮามะ, มามะ, มะ เปนตน นอกจากนี้ยังมีการใชชื่อนี้นําหนาชื่ออื่นอีกดวย เชน มะ+ ชื่อผูชาย เชน มะนาเซร, มะรอนิง, มะดาโอะ, มะยูนุ, มะรอเซะ เปนตน (อัสสมิง กาเซ็ง, 2542 : 93-94) และชื่อของบรรดาศาสทูตอื่น เชน ยะอฺกูบ เปนยะโกะ,ยาโกะ,ยะโกบ ยูซุฟ เปน ยูโซฟ, ยูโซะ, โซะ อิดริส เปน ดือเระ ยูนุส เปน ยูนุ อิบรอฮิม เปน อิบรอเฮ็ง, รอเฮ็ง, บรอเฮ็ง เหลานี้เปน ตน
34
นูรุดดีน หมายถึง รัสมีแหงศาสนา (นูร-รัสมี ดีน-ศาสนา) นูรีมาน หมายถึง รัสมีแหงศรัทธา (นูร-รัสมี อีมาน-ศรัทธา) และ กอมารุดดีน หมายถึง ดวงจันทรแหงศาสนา (กอมัร-ดวงจันทร ดีน-ศาสนา)
165
อนึ่งในการตั้งชื่อบุตรนั้น บิดาหรือญาติพี่นองมักจะใหผูรูทางศาสนาตั้ง ซึ่งผูรูจะตั้ง โดยใชคําในภาษาอาหรับ โดยยึดตามคําสอนของทานศาสนทูตมุฮัมมัด ซึ่งไดกลาวไววา
ﺍﷲﺒﺪﻋ ﺟﻞﱠ ﺰ ﻭ ﻋ ﺎ ِﺀ ﺇﱃ ﺍﷲﺳﻤ ﺐ ﺍﻷ ﺣ )) ﺃ (( ﻤﻦﺮﺣ ﺍﻟﺒﺪﻋ ﻭ ความวา “ชื่อที่เปนที่รักยิ่ง ณ อัลลอฮฺ คือ อับดุลลอฮฺ และ อับดุลเราะมาน” (บันทึกโดย ’Ibn Mājah, 1987 : 3718)
ﻤﺎ ِﺀ ﺇﱃ ﺍﷲﺐ ﺍﻷﺳ ﺣ ﻧﺒﹺﻴﺎ ِﺀ ﻭ ﺃﻤﺎ ِﺀ ﺍﻷﻮﹾﺍ ﹺﺑﹶﺄﺳﺴﻤ ﺗ )) ﻡ ﺎﻫﻤ ﺙ ﻭ ﺪﻗﹸﻬﺎ ﺣﺎ ﹺﺭ ﹲ ﺻ ﻤﻦ ﻭﺃﺮﺣ ﺪ ﺍﻟ ﺒﻋ ﺍﷲ ﻭﺒﺪﻋ (( ﹸﺓﻣﺮ ﺏ ﻭ ﺮ ﺣ ﻬﺎﺒﺤﻭﺃ ﹾﻗ ความวา “พวกทานจงตั้งชื่อตัวโดยใชชื่อของบรรดา ศาสนทูต และชื่อทีเ่ ปนที่รักยิ่ง ณ อัลลอฮฺ คือ อับดุลลอฮฺ และอับดุลเราะมานและชื่อที่ดียิ่ง คือ หาริษ และฮัมมาม และ ชื่อที่นารังเกียจยิ่ง คือฮัรบฺ35 และมุรเราะฮฺ”36 (บันทึกโดย ’Abu Dāwūd, 1988 : 4299) เดิมนั้นชาวมลายูในจังหวัดชายแดนภาคใตจะใชคําวา “บิน” (Bin) หมายถึงบุตรชาย ของ ตอทายชือ่ ตนเอง เชน อาหมัด บิน อับดุลลอฮฺ หมายถึง อาหมัด บุตรชายของอับดุลลอฮฺ สวน ผูหญิงจะใชคําวา “บินตี” (Binti) หมายถึง บุตรสาวของ เชนฟาตีมะห บินตีอับดุลลอฮฺ หมายถึง ฟา ตีมะหเปนบุตรสาวของอับดุลลอฮฺ ในสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อทางรัฐบาลไดออกกฎหมายบังคับการมีชื่อ และนามสกุล เมื่อ 1 กรกฎาคม 1913 ทําใหชาวมลายูในจังหวัดชายแดนภาคใตมีนามสกุลที่เพี้ยน 35 36
หมายถึง สงคราม การฆาฟน หมายถึง ความขมขื่น
166
จากธรรมเนียมเดิมของชาวมลายูที่ใชคําวา “บิน” และ “บินตี” ไมไดมีตามหลักการที่ถูกตองอีกตอไป และที่แปลกคือ “บินตี” ไดหายสาบสูญไปจาก ธรรมเนียมของชาวมลายูในจังหวัดชายแดนภาคใต บางสวนจะใชคําวา “บิน” แต “บิน” ในทีน่ ี้อาจไมใชหมายถึงผูชายหรือผูหญิงคนนัน้ เปนบุตรของคนที่ เปนนามสกุล เชน อาหมัด บินอับดุลลอฮฺ อาจไมไดหมายความวา อาหมัด เปนบุตรชายของอับดุล ลอฮฺ เพราะอับดุลลอฮฺในที่นี้อาจเปนชื่อปูหรือปูทวด หรือชื่อของบรรพบุรุษที่ไมใชสายเลือดตรง สวน ผูหญิงก็จะเปน ฟาตีมะห บินอับดุลลอฮฺ ยอมไมใชวาฟาตีมะหจะเปนบุตรสาวของอับดุลลอฮฺ ซึ่งอับ ดุลลอฮฺอาจเปนชื่อปูหรือปูทวด หรือชื่อของบรรพบุรุษไมใชสายเลือดตรงก็ได โดยรัตติยา สาและ (2547 : 259) ไดอธิบายเพิ่มเติมวาเมื่อเริ่มมีการใชนามสกุล มุสลิม 3 จังหวัดชายแดนภาคใตเขาใจ คําวา นามสกุลในความหมาย “บิน” (บุตรของ) หรือ “บินตี” (บุตรีของ) จึงใชชื่อบิดาเปนชือ่ สกุล ตามธรรมเนียมของวัฒนธรรมอิสลามที่ใหความสําคัญกับชื่อบิดา และนี่เปนเหตุผลหนึ่งที่ทําใหมุสลิม ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต ในปจจุบันมีนามสกุลเดียวกันโดยไมไดเปนญาติกัน นอกจากนั้นชาวมลายูบางกลุมอาจไมใชคําวา “บิน” เปนคํานําหนานามสกุล แตจะใช เพียงชื่อบุคคลอยางเดียว เชน อาหมัด อับดุลลอฮฺ และอับดุลลอฮฺในที่นี้อาจไมใชชื่อบิดาของนายอา หมัด แตอับดุลลอฮฺ อาจเปนชื่อปู ปูทวด หรือชื่อของบรรพบุรุษที่ไมใชสายเลือดตรงก็ได นอกจากนั้น ชาวมลายูในจังหวัดชายแดนภาคใต ยังมีนามสกุลที่แปลก ๆ โดยอาศัยพื้นฐานตาง ๆ เชน ชื่ออาชีพ : นามสกุล ตูแกบือซี, ตาแนแม, อูแล ชื่อพืชพันธุ : นามสกุล ลีมา , อูบี, กูโน ชื่อหมูบาน : นามสกุล แคและ ชื่อสี : นามสกุล บีรู, ฮียา, กูนิง , แมเราะ ชื่อสิ่งของ : นามสกุล ปาแย ชื่อเผา : นามสกุล มลายู ชื่อดินแดน : นามสกุล มาลายา ชื่อบุคคล + คําเรียก : นามสกุล อาลีบาเดาะ ชื่อบุคคล + บุคคล นามสกุล เลาะเฮง (อับดุลลอฮฺ + อิบรอฮิม) ชื่อที่ไมรูที่มาที่ไป : นามสกุล อูเม็ง ชื่อทีเ่ กิดจากความเขาใจผิด : นามสกุล สารีงะ (มาจากตะอีงะ) ดังนั้นการที่ชาวมลายูในจังหวัดชายแดนภาคใตใชนามสกุลที่คอนขางจะสับสนและไม มีกฎระเบียบที่แนนอน จึงเปนการทําลายอัตลักษณของตนเองไปในตัว
167
3.13 ลักษณะที่อยูอาศัยของชาวมลายูปตตานี สภาพภูมิอากาศของภาคใตเปนอาณาบริเวณที่มีอากาศรอนฝนตกชุก ความชื้นสูง มี 2 ฤดู ไดแก ฤดูรอนและฝน ในฤดูรอนอากาศจะไมรอนจัดเหมือนภาคอื่น เนื่องจากไดรับการถายเท ความรอนจากลมบกลมทะเลที่พัดผานอยูตลอดเวลา ในฤดูจะตกชุกมากกวาภาคอื่น ทั้งนี้เพราะไดรับ มรสุมตะวันออเฉียงเหนือ และลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต ลั ก ษณะทางภู มิ ศ าสตร แ ละภู มิ อ ากาศดั ง กล า วนี้ มี อิ ท ธิ พ ลสํ า คั ญ ต อ การกํ า หนด รูปแบบเรือนพักอาศัยของประชาชนในภาคใต เชน การออกแบบรูปทรงหลังคาใหลาดเอียงมาก เพื่อ ระบายน้ําฝนจากหลังคาการใชตอมอหรือฐานเสาแทนที่จะฝงเสาเรือนลงไปในดิน ฯลฯ บานเรือนนับเปนปจจัยพื้นฐานที่สําคัญของมนุษย เพื่อปองกันอันตรายจากลมฟา อากาศและสัตวรายซึ่งตองเหมาะสมกับลักษณะภูมิประเทศ ดินฟาอากาศ ตลอดจนจารีตประเพณีทาง สังคม และรูปแบการดําเนินชีวิต สําหรับเรือนมลายู นอกจากจะสรางขึ้นเพื่อตอบสนองความตองการ พื้นฐานของมนุษยดังกลาวแลว ยังสะทอนใหเห็นอิทธิพลของศาสนาอิสลามที่มีตอการสรางบานเรือน อยางอยางแทจริง ทั้งรูปแบบการใชพื้นที่ การอยูอาศัย การประกอบกิจกรรมในการดําเนินชีวิต และ การประดับตกแตงเรือนใหงดงาม สําหรับบานในจังหวัดปตตานีแบงไดเปน 2 รูปแบบ ไดแก บาน ทรงมลายู และบานทรงสมัยใหม โดยทั่วไปบานทรงมลายูมักเปนเรือนแฝด และสามารถตอขยายตอไปไดตามลักษณะ ของครอบครัวขยาย โดยมีชานเชื่อมตอกัน และมีการเลนระดับพื้นเรือนใหลดหลั่นกันไป เชน พื้น บริเวณเฉลียงดานบันไดหนาแลวยกพื้นไปเปนระเบียง จากพื้นระเบียงเฉลียงบันไดหนาแลวยกพื้นไป เปนระเบียง จากพื้นระเบียงจะยกระดับไปเปนพื้นตัวเรือนจากตัวเรือนจะลดระดับไปเปนพื้นครัว จาก พื้นครัวจะลดระดับเปนพื้นที่ซักลาง ซึ่งอยูติดกับบันไดหลัง การลดระดับพื้นจะเห็นไดชัดวา มีการแยกสัดสวนจากกันในการประกอบกิจกรรม ตาง ๆ บางตัวเรือนเมื่อมีการสรางหลักเสร็จแลว ยังยังตองกําหนดพื้นที่ใหเปนบริเวณที่ใชทําพิธี ละหมาด ซึ่งเปนกิจวัตรที่ตองกระทําวันละ 5 เวลา สวนการกั้นหองเพื่อเปนสัดสวน เรือนมลายูจะกั้น แตที่จําเปน นอกนั้นจะปลอยพื้นที่เอนกประสงค อาทิ ใชเปนที่นอนของแขก ใชเปนที่สําหรับเลี้ยง อาหาร และใชเปนที่สําหรับสอนอัลกุรอานแกเด็ก ๆ เปนตน สวนหองที่กั้นไวจะใชเปนหองนอนของ ลูกสาว หรือคูบาวสาวเวลาแตงงาน และใชสําหรับเก็บทรัพยสินของมีคา หรืออาวุธ นอกจากนี้ยังใช เปนหองนอนสําหรับแขกที่เปนผูหญิงที่ตองมานอนคางคืนอีกดวย และการที่ตัวเรือนยกพื้นสูงผูอาศัย จึงสามารถใชใตถุนประกอบกิจกรรมตาง ๆ เชน ใชเปนบริเวณประกอบอาชีพเสริม อาทิ ทํากรงนก สานเสื่อกระจูด หรืออาจใชวางแครเพื่อพักผอน บางบานอาจกั้นเปนคอกสัตว เปนตน
168
เนื่องจากประเพณีความเปนอยูของชาวมุสลิมจะแยกกิจกรรมของชายและหญิงอยาง ชัดเจน ตัวเรือนจึงนิยมมีบันไดไวทั้งทางขึ้นหนาบานและทางขึ้นครัว โดยทั่วไปผูชายจะใชบันไดหนา สวนผูหญิงบันไดหลังบาน รวมทั้งเปนการไมรบกวนแขกในการเดินผานไปมาอีกดวย ลั ก ษณะเด น ทางสถาป ต ยกรรมของเรื อ นมลายู คื อ การสร างเรื อ นโดยการผลิ ต สวนประกอบของเรือนกอน แลวจึงนําสวนตาง ๆ เหลานั้นขึ้นประกอบกันเปนตัวเรือนอีกทีหนึ่ง ขณะเดียวกัน เมื่อตองการยายไปประกอบในที่อื่น ๆ ตัวเรือนก็สามารถแยกออกไดเปนสวน ๆ ได เสา เรือนจะไมฝงลงดิน แตจะเชื่อยึดกับตอมอหรือฐานเสาเพื่อปองกันปลวก เนื่องจากมีความชื้นสูงมาก นอกจากนี้เรือนมลายูปตตานียังแยกสวนแมเรือนออกจากครัว โดยใชเฉลียงเชื่อมตอ กัน ทั้งนี้เพราะเชื่อวาบริเวณแมเรือนเปนบริเวณที่สะอาด สวนบริเวณครัวนั้นจะเกิดการสกปรกไดงาย การแยกจึงชวยใหทําความสะอาดไดงายขึ้น และหากเกิดเพลิงไหมบริเวณครัวยังสามารถดับเพลงได สะดวกอีกดวย ภาพที่ 30 ตัวอยางบานทรงมลายู
ที่มา: เขต รัตนจรณะ และคณะ, 2537 : 91 บานทรงมลายูสามารถสังเกตไดที่สวนที่สรางขึ้นมาโดยที่ไดรับอิทธิพลของวัฒนธรรม มลายู วิถีของชาวมลายูตั้งแตสมัยบรรพบุรุษไดมีอิทธิพลตอสถาปตยกรรมดังเห็นไดจากการตกแตง สวนประกอบของอาคารบานเรือน ชาวมลายูไดรับอิทธิพลของประเพณี และความเชื่อที่หลากหลาย
169
ไมวาจะเปนความเชื่อที่สืบทอดตั้งแตสมัยยุคหินที่เชื่อในเรื่องของวิญญาณ หลังจากนั้นชาวมลายูไดรับ อิ ท ธิ พ ลของวั ฒ นธรรมของฮิ น ดู อิ ส ลาม สยามและตะวั น ตก ซึ่ ง มี อิ ท ธิ พ ลต อ ความเจริ ญ ของ สถาปตยกรรม รวมถึงปจจัยทางดานวัตถุและจิตวิทยาซึ่งเปนสาเหตุทําใหอาคารบานเรือนมีรูปแบบที่ หลากหลายมากยิ่งขึ้น บ า นทรงมลายู ส ว นใหญ ใ นสมั ยก อ นจะมี ห ลั งคายาว โดยช างมั ก แสดงให เ ห็ น ถึ ง ความคิดสรางสรรคในการคิดคนรูปทรงของบานและหลังคาที่แสดงถึงเอกลักษณดั้งเดิมที่ไดรับสืบ ทอดมาตั้งแตบรรพบุรุษ เริ่มแรกสุดหลังคาบานทรงมลายูจะมุงดวยจาก ตอมาเปลี่ยนเปนหลังคา กระเบื้องดินเผาที่เกี่ยวติดกับไมระแนง ซึ่งเปนที่นิยมเปนอยางมากในหมูชาวมลายูปตตานี สวน เพดานทํ า ด ว ยไม สั ก โดยตั้ ง ให ยื น และทั บ ด ว ยไม อี ก ครั้ ง หนึ่ ง ลั ก ษณะเช น นี้ เ รี ย กว า เพดานพอง (Dinding Kembung) หรืออาจทํามาจากไมไผสาน ในสมัยกอนวัสดุที่ใชสําหรับทําเพดานนอกจากจะ ทําดวยไมไผแลวอาจจะทําดวยวัสดุอื่นอีก อาทิ จาก เปนตน การสานไมเพื่อทําเพดานถือเปนงาน หัตถกรรมเกาแกที่มีความงดงาม บานบางหลังอาจจะทําเพดานดวยแผนไมที่ทําใหเรียบ เพดานจึงถือ วามีบทบาทที่สําคัญ ในดานสถาป ตยกรรมและการปองกันความร อน วัสดุที่ ใช สําหรับกอสร างใน สมัยกอน ไดแก ไมไผ หมาก และอื่น ๆ ตามความเหมาะสมของงานที่จะสราง มูบีน เชปปารด (Mubin Sheppard, 1973 : 425-431) ใหความเห็นวาปตตานีมี ทรงบาน 2 ชนิดที่สําคัญ ไดแก บานเดี่ยว (Rumah Bujang) ซึ่งประกอบดวยเสาหกตนและเรือน แฝด (Rumah Serambi) หรือบานเสาสิบสองตน (Rumah tiang dua belas) บานทั้ง 2 ชนิดนี้จะมี การตอเติมอาจจะเปนดานซายหรือขวา ถาสวนที่ตอเติมมีหลังคาและมีความยาวเทากับบานจะเรียกวา Selesar แต ถ า หากไม มี ห ลั ง คาและสร างต อ เนื่ อ งไปยั ง ประตู พ ร อ มกั น นั้ น มีบั น ไดลั กษณะเช นนี้ จ ะ เรียกวา Lambu ความแตกตางของบานทั้ง 2 ชนิดนี้จะเห็นไดจากเชิงชายที่ยาวและแกะสลักลวดลาย อยางสวยงาม ซึ่งภาษามลายูปตตานีเรียกวาเปอรเมอลิส (Pemelis) โดยสถาปตยกรรมของบานทั้ง 2 แบบนี้มีอิทธิพลตอรูปแบบของบานและราชวังในรัฐกลันตันและตรังกานู เชนเดียวกันกับศิลปะ รูปแบบการแกะสลักที่แพรหลายไปทั่วแหลมลายูไดรับอิทธิพลจากชางแกะสลักชาว ปตตานีที่อพยพไปยังสถานที่ตาง ๆ เนื่องมาจากสงคราม สวนที่รัฐเปรักอิทธิพลของสถาปตยกรรม ทรงบานปตตานีที่เกาแกไดหมดไปโดยมีอิทธิพลทรงบานในพื้นที่ไปแทนที่ เชน บานทรงหาหลังคา (Rumah perabung lima) บานทรงหลังคายาว (Rumah perabung Panjang) บานทรงกลวยหนึ่ง หวี (Pisang Sesikat) บานทรงหลังคาหนาจั่ว (Limas) และอื่น ๆ อีกมากมาย บานทรงมลายูที่ เกาแกที่อยูในแหลมมลายูทั้งหมดจะทําดวยไมและมีหลังคาที่ลาดชันและมีเชิงชายยาว (มูฮัมหมัด ซัมบรี อับดุลมาลิก, 2543 : 91) ปจจุบันนิยมสรางเปนบานสมัยใหมซึ่งไมมีลักษณะของมลายูหลงเหลืออยู โดยเสา บานจะหลอด วยปูน โครงสรางสวนบน หนาตาง ประตูสวนใชไม สวนฝากั้นใชอิฐบลอกโบกดวย
170
ปูนซีเมนต หลังคาใชกระเบื้อง สําหรับขนาด และรูปแบบแตกตางกันไปตามฐานะเจาของบาน และ จํานวนของสมาชิกภายในบาน สามารถพบเห็นไดทั่วไปและรูปแบบบานไมแตกตางจากสวนอื่น ๆ ของประเทศ ภาพที่ 31 ตัวอยางบานทรงปจจุบัน
ที่มา: อับดุลขาหรีม หมัดสู, 20 เมษายน 2549 3.14 การแตงกาย โดยปกติชาวภาคใตทั่วไปนิยมสวมเสื้อผาบาง ๆ นุงหลวม ๆ สําหรั บอยูกับบาน เพราะสภาพอากาศใกลศูนยสูตร คอนขางรอน ความรอนแตละฤดูกาลไมแตกตางกันนัก จึงใชเสื้อผา ลัก ษณะเดี ยวกั น ได ต ลอดทั้ งป ส ว นชุ ด ทํ างานผู ช ายมั ก มี ผ า โพกศี ร ษะเพื่ อ กั น แดดกั น ฝนหรื อ ใช ประโยชนอื่น ๆ เชน ซับเหงื่อ หรือคาดเอว นิยมปกปดเฉพาะสวนที่จําเปน สวนใหญนิยมนุงผาโสรง ผูหญิงนิยมนุงผาซิ่น หญิงมีอายุนิยมนุงผาถุงพิมพลาย หรือผาโจงกระเบน สวนผูหญิงในภาคใต ตอนลางและภาคใตฝงตะวันตกนิยมนุงผาพิมพลายที่เรียกวา ผาปาเตะตามแบบวัฒนธรรม ชวา – มลายู และนิยมพิมพลายเพื่อใชเองกันอยางแพรหลาย (สุธวิ งศ พงศไพบูลย และคณะ, 2543 :197) ในสมัยโบราณ ชายชาวมลายูนิยมแตงกายดวยชุดปูฌอปอตอง ซึ่งปจจุบันไมนิยม แลว ประกอบดวย เสื้อคอกลมสีขาว ผาหนายาวพอสมควร สวมทางศีรษะได ติดกระดุมสามเม็ด แขน สั้น สวนผาที่นุงมีลักษณะเหมือนผาขาวมา ทําดวยสีสันคอนขางฉูดฉาด มักเย็บเปนถุง ใชนุงทับบน
171
เสื้อ เวลานุงตองใหชายทั้งสองขางหอยอยูตรงกลางเปนมุมแหลม(ลักษณะเชนนี้เรียกวาปูฌอ ปอ ตอง) มีผายือแฆ ซึ่งเปนผาจากเมืองจีนคลายผาแพรดอกในตัวหรือผาไหม เปนผาที่มีขนาดเล็กกวา นุงทับบนผาปูฌอปอตองอีกชั้นหนึ่ง เสร็จแลวเหน็บกริชหรือหอกดวยก็ได การแตงกายแบบนี้นิยมใช ผาโพกศีรษะ (สตาแง) (จิตติมา ระเดนอาหมัด, 2529 : 39) นอกจากนี้ผาที่เคยนิยมกันมากอีกชนิด หนึ่ง คือ ผาลีมา เปนลายมัดยอม ผาทอพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงเปนพิเศษคือผาทอลายจวนตานี มักเรียก กันวา “ผาจวนตานี” เปนลายสอดเสริมที่สวยงามและกลายเปนผาเกาแกที่หายากราคาแพงเปนที่ ตองการของนักสะสม (สุธิวงศ พงศไพบูลย และคณะ, 2543 : 197) ครั้นศาสนาอิสลามเขามาสูภาคใตตอนลาง ตามศาสนบัญญัติเปนหลักกวาง ๆ วาชาย มุสลิมตองปดอวัยวะของรางกายที่อยูระหวางสะดือกับหัวเขา หญิงมุสลิมตองปดทั้งรางกายเวนใบหนา และฝามือ ขณะที่มีผูอื่นรวมอยูดวย ยกเวนผูที่ศาสนาหามแตงงานดวย ถาเปดถือเปนบาปหญิงมุสลิม จึงนิยมใชผาคลุมหัวที่บางเบา เปนผาแพรมีสีพื้น หรือลายดอกไมตามรสนิยม สวนการแตงกายของ ผูชาย ใน Tarikh Petani กลาวถึงลักษณะการแตงกายของชายมลายูปตตานีในยุคแรก ๆ วา คน มลายูอิสลามมักจะนุงผาและถือขวานหรือเหน็บกริช สวนคนมลายูพุทธจะผูกเชือกแขวนรูปเคารพที่ ทําดวยทองเหลือง ทองแดง หรือเหล็ก (ครองชัย หัตถา, 2548 : 36) ขณะที่โคลงจารึกวัดโพธิ์ ซึ่งเขาใจวาจารึกในสมัยพระนั่งเกลาเจาอยูหัว ประมาณป พ.ศ. 2374-2390 กลาวถึงภาพการแตงกายของชาวมลายูไววา ใสเสื้อชนิดนอยโพก ชาติแขกมลายูหลาย เคียนคาดปนเหนงกฤช กุมหอกคูเคื้อเงื้อ เขาสุเหราขอนอกแทบ อานมุหลุดลํานํา ยะหริ่งแปะไหรไทร เพลงประพฤติรองตอง
37
ผาตบิด37 เหลาเชื้อ เหน็บแนม เอวแฮ งารํา ขอดใจ สอดคลอง มุหงิด ก็ดี อยางกัน กรมหมื่นไกรสรวิชิต
ผาตบิด หมายถึง ผาโพกศีรษะ เรียกเพี้ยนตามภาษาชาวบานวา สาระบัน ซึ่งเปนคําที่มาจากภาษาเปอรเซียวา เสรบันด (เสร-ศีรษะ บันด- พัน โพก) ในภาษาอังกฤษเรียก Turban ( ดิเรก กุลสิริสวัสดิ์, 2545 : 109)
172
จากโคลงขางตนแสดงใหเห็นวาชาวมลายูและชวาลวนมีขนบธรรมเนียม ภาษา และ วรรณคดีคลายคลึงกัน ทั้งนี้เนื่องจากเคยอยูภายใตการปกครองของอาณาจักรศรีวิชัยมากอน และ ยิ่งกวานั้นคือ มาจากเชื้อชาติเดียวกัน ตอมาเมื่อนับถือศาสนาอิสลามเคาขนบธรรมเนียมเดิมก็ยังคงมี อยู ในการแตงกายจะนุงโสรง สวมเสื้อบางแบบกุยเฮง โพกศีรษะ เหน็บกริช มีหอกเปนอาวุธ ภาพที่ 32 การแตงกายของชาวมลายูปตตานีชวงตนรัตนโกสินทร
ที่มา: สุธิวงศ พงศไพบูลย และคณะ, 2543 : 94 ในสมัยรัตนโกสินทรตอนตน ชนชั้นปกครองและขาราชการนิยมใชผาโพกศีรษะเมื่อ แตงกายดวยชุดทองถิ่นและชุดเครื่องแบบขาราชการ จนกระทั่งสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา เจาอยูหัวเริ่มมีการแตงกายดวยชุดสากลนิยมและชุดขาราชการมักใชหมวกซอเกาะ สวนประชาชนสวม เสื้อแขนสั้น นุงผาตาหมากรุกและโพกศีรษะ ในอดีต หมวกซอเกาะทําดวยผากํามะหยี่สีดํา มีทั้งที่ทํา ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต และสั่งซื้อจากอินโดนีเซีย นิยมใชทั่วไปเวลาออกนอกบาน รวมทั้งไป ละหมาดที่มัสยิด (จุรีรัตน บัวแกว และคณะ, 2549 : 13) นอกจากนี้ยังมีภาพวาดขณะกษัตรีฮิเญาเสด็จประพาส พรอมไพรพลที่แตงกายโดยมี ผ า โพกศี รษะ ในขณะเดี ย วกั น จากภาพถ ายเจา เมื องของ 7 หั ว เมื องในสมั ยพระบาทสมเด็จ พระ จุลจอมเกลาเจาอยูหัว สะทอนใหเห็นการใชหมวกรูปทรงตาง ๆ โดยเฉพาะหมวกซอเกาะมีปรากฏให เห็น ในรั ช สมั ย พระบาทสมเด็ จ พระปกเกล าเจ าอยู หั ว ได พ บหลั ก ฐานเป น ภาพถ า ยที่ ชาวเมืองปตตานีจัดขบวนบุหงาสิเระเพื่อทูลเกลา ฯ ถวายพระองค ประชาชนแตงกายดวยเสื้อตือ
173
โละบลางอ โพกผาที่ศีรษะ สวนขาราชการสวมเสื้อคอปดแขนยาว สวมหมวกซอเกาะ ซึ่งสวนใหญจะ นิยมสีดํา อยางไรก็ตามเมื่อประมาณรอยกวาปมาแลวความนิยมใชหมวกกปเยาะหสีขาวเริ่มปรากฏให เห็น ซึ่งชาวไทยมุสลิมจะใชเวลาไปทําพิธีละหมาดกับเวลาไปศึกษาหาความรูทางศาสนาอิสลาม การแตงกายของชาวมลายูปตตานีเหมือนกับการแตงกายของชาวมลายูในประเทศ มาเลเซียโดยเฉพาะอยางยิ่งชาวมลายูในรัฐกลันตัน ของประเทศมาเลเซีย โดยผูชายจะนุงผาโสรงเปอ ลีกัตและสวมเสื้อเชิ้ต สวนผูหญิงจะนุงปาเตะ สวมเสื้อแขนยาวและใชผาคลุมศีรษะและไหล หากเปน ชวงเทศกาลพิ ธี ท างศาสนาอย า งเชน ในการละหมาดวั นศุ กร วัน อี ดิลฟฏ รฺ38 อี ดิ ลอัฎหา39 และพิ ธี แตงงาน ผูชายก็จะแตงกายดวยเสื้อตือโละบลางอ สวนผูหญิงก็จะแตงกายดวยชุดกุรง40 และชุดบันดง การแต งกายในป จ จุ บั น ส ว นมากปรั บไปตามสมั ยนิ ย มในส ว นที่ ไ ม ขั ด กั บ ศาสนา บัญญัติ จึงมีทั้งที่แตงตามศาสนบัญญัติ ทองถิ่นนิยมและสากลนิยม ในขณะเดียวกันการแตงกายซึ่ง เปนวัฒนธรรมตางถิ่นก็สามารถพบเห็นไดทั่วไป ไมวาจะเปนการสวมหมวกกปเยาะห การใชผาพัน ศีรษะหรือผาซัรบัน และการสวมเสื้อคลุมยาวหรือเสื้อโตบ ในการแตงกายของผูชายและการสวมชุดอา บาญะห การคลุมหนาในชุดแตงกายของสตรี โดยจะมีการสวมใสกันมากเปนพิเศษในเทศกาลและพิธี ทางศาสนา เชน พิธีละหมาดและในวันรายอปอซอ และรายอฮัจญี เปนตน และเปนที่นาสังเกตวาใน การไปรวมงานพิธีตาง ๆ ผูหญิงมักแตงกายดวยชุดกูรงสีสันสวยงาม เหมือนชาวมลายูในประเทศ มาเลเซีย รวมถึงการแตงกายตามสมัยนิยมแบบตะวันตกในกลุมของวัยรุน คนวัยทํางานในพื้น ที่ ตางๆ สามารถพบไดโดยทั่วไปเหมือนกับพื้นที่ในสวนอื่น ๆ ของประเทศ
38
เทศกาลเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสสิ้นสุดเดือนถือศีลอด ตรงกับวันที่ 1 เดือนเชาวาลของทุกป หรือเดือนที่ 10 ตามปฏิทินอิสลาม เทศกาลเฉลิมฉลองเนื่องในพิธีฮัจญ ตรงกับวันที่ 10 เดือนซุลฮิจญะฮฺของทุกป หรือเดือนที่ 12 ตามปฏิทินอิสลาม 40 มีลักษณะเปนเสื้อคอกลมแขนยาว มีชายเสื้อยาวถึงเขา สวมคูกับกระโปรงยาว 39
174
บทที่ 4 อิทธิพลของวัฒนธรรมอาหรับตอสังคมมลายูในจังหวัดปตตานี วัฒนธรรมอาหรับเปนวัฒนธรรมที่มีแหลงกําเนิดจากคาบสมุทรอาหรับ ภายใต สภาพภูมิอากาศที่เปนทะเลทราย รอนและแหงแลง ดังนั้นการที่วัฒนธรรมอาหรับจะมีอิทธิพลตอ สังคมอื่นจึงเปนเรื่องที่เปนไปไมได โดยเฉพาะกับสังคมมลายูที่อาศัยอยูทามกลางสภาพแวดลอม ที่แ ตกตา งกั น อย า งสิ้ นเชิ ง อยา งไรก็ ต ามเมื่อ ศาสนาอิสลามไดถูกนํ ามาเผยแผใ นสั งคมมลายู วัฒนธรรมอาหรับซึ่งมาพรอมกับศาสนาอิสลามจึงไดถูกยอมรับโดยชาวมลายู โดยวัฒนธรรม อาหรับคอย ๆ ถูกนํามาผสมผสานกับวัฒนธรรมดั้งเดิม ที่เดนชัดไดแกวัฒนธรรมทางดานภาษา จากนั้นตั้งแตศตวรรษที่ 17 เปนตนมาชาวมลายูจากจังหวัดปตตานีไดไปศึกษาหาความรูทางดาน ศาสนาอิสลามในประเทศอาหรับ โดยเฉพาะประเทศซาอุดีอาระเบีย ซึ่งผูศึกษาตองใชเวลานาน หลายป จึงมีเวลามากพอที่จะซึมซับเอาวัฒนธรรมทองถิ่นเอาไว โดยเฉพาะวัฒนธรรมทางดาน ภาษา และการแตงกาย ครั้นเมื่อบุคคลเหลานี้กลับสูสังคมของตนเองก็นําวัฒนธรรมตางถิ่นเขามา ดวย ซึ่งถือเปนจุดเริ่มของการแพรกระจายวัฒนธรรมสูสังคมมลายูในจังหวัดปตตานี สํา หรับอิ ทธิพลของวัฒนธรรมอาหรับ ที่ มีตอสังคมมลายูในจั งหวัด ปตตานี มี ดังตอไปนี้ 4.1 วัฒนธรรมดานภาษา 4.1.1 อักษรอาหรับ กอนศาสนาอิสลามจะถูกเผยแผ ภาษามลายูไดรับอิทธิพลจากภาษาสันสกฤตและ ภาษาชวากูโน ตามความเห็นของวินสเต็ด (R.O. Winstedt, 1961 : 139) ที่ไดกลาวถึงภาษาใน สมัยฮินดูวา ภาษามลายูไดใชอักษรกวิและเทวนาครีเปนตัวเขียน แตหลังจากที่ศาสนาอิสลามถูก เผยแผภาษาอาหรับในฐานะที่เปนภาษาแหงคําสอนของศาสนาอิสลามก็เริ่มเขามามีบทบาทแทนที่ ภาษาสันสกฤตในหมูชาวมลายู จากนั้นอักษรอาหรับก็ไดถูกนํามาใชเปนตัวเขียนในภาษามลายู โดยเรียกวา อักษรยาวี คําวา ยาวี เปนคําที่มาจาก ยว ทวีป หมายถึง เกาะขาวเดือยตามความเห็น ของยวาหระลาล เนหรู (2537 : 386) สวนความหมายที่สองนั้นคําวา ยาวี เปนคําที่ชาวอาหรับใช เรียกผูคนที่อาศัยอยูในเกาะสุมาตราที่นับถือศาสนาอิสลามและใชภาษามลายู ยาวี ในปจจุบันเปนคําที่ใชเรียกอักษรอาหรับที่ใชเขียนภาษามลายู มาจากคําวา “ญาวะฮฺ” ซึ่งชาวอาหรับใชเรียกเกาะสุมาตรารวมทั้งคาบสมุทรมลายูดังปรากฏในตําราอาหรับ หลายเลม อาทิ มุอฺญัม อัลบุลดาน (Mu‘jam al-Buldān) ของทานยากูต ตักวีม อัลบุลดาน
174
175
ของทานอบู อัลฟดาอ และอัรริหฺละฮฺ (al-Rihlah) ของอิบนุ บัฏฏเฏาะฮฺ เปนตน จากคําดังกลาวชาวอาหรับไดใชเรียกคนที่อาศัยอยูในเกาะสุมาตราที่นับถือศาสนาอิสลาม และใชภาษามลายู และหมายรวมถึงผูที่มีสีผิวเปลือกละมุดก็ถือวาเปนชาวชวาเชนเดียวกัน ดังนั้น ทุกสิ่งที่เกี่ยวของกับชวาชาวอาหรับจะเรียกยาวีทั้งหมด ไมวาจะเปนผูคนหรืออื่น ๆ เชน คนยาวี ภาษายาวี อักษรยาวี และกีตาบยาวี เปนตน ซึ่งชาวอาหรับไดใชคําวา ยาวี ในความหมายของผูคน และภาษาที่ ก ลุ ม ชนดั ง กล า วใช โดยจะเรี ย กรวม ๆ ว า คนยาวี ซึ่ ง หมายถึ ง คนอิ น โดนี เ ซี ย ฟลิปปนส มาเลเซีย และไทยมาจวบจนปจจุบัน โดยเฉพาะชาวอาหรับในประเทศซาอุดีอาระเบีย อักษรอาหรับถูกประดิษฐขึ้นเพื่อเปนสัญลักษณแทนเสียงในภาษาอาหรับ ดังนั้น ในการนําอักษรดังกลาวมาใชเปนสัญลักษณแทนเสียงในภาษาอื่น อยางเชน เปอรเซีย อุรดู ตุรกี อาเซอรไบจาน และมลายู จึงไมสามารถแทนเสียงที่มีอยูไดทั้งหมด ดวยเหตุนี้ผูประดิษฐอักษรจึง ตองมีการดั ดแปลงอั กษรอาหรั บ เพิ่มเพื่ อแทนเสียงที่ข าดหายไป ซึ่งจากการศึก ษาพบว า การ ดัดแปลงอักษรในแตละภาษาไดใชวิธีการเดียวกัน คือ การเพิ่มจํานวนจุดหรือขีดอยางเชน ﭺถูก ดั ด แปลงมาจาก جและ ¢) ดั ด แปลงจาก كเป น ต น โดยสั น นิ ษ ฐานว า ชาวเปอร เ ซี ย เป น ผู ดัดแปลงเปนภาษาแรกจากนั้นภาษาอื่นก็ไดยึดแนวทางเดียวกันนี้ไปประยุกตใชกับภาษาของตน สําหรับภาษามลายูไดใชวิธีการสองแบบ คือ 1. ยืมอักษรเปอรเซียที่มีเสียงเหมือนกับภาษามลายู 2. ดัดแปลงอักษรใหมโดยการเพิ่มจุด (ดูตารางที่ 9) แมวาเอสเอ็ม นากิบ อัลอัตตัส (S. M. Naquib al-Attas,1969 : 27) กลาววา คนมลายูไดคิดคนอักษรใหมขึ้นมาอีก 5 อักษร คือ `)))¢) ){))))ڤW สวนฮัมดาน อับดุลเราะหมาน (Hamdan Abdul Rahman, 1999 : 4) มีความดิดเห็นวา อักษร )))ﭺ¢)))))ڤW นั้นยืมมาจาก เปอรเซีย สวน {) คนมลายูเปนผูคิดคนขึ้นมาใหม แตจากการศึกษาพบวาอักษร ﭺและ ¢) เปน อักษรที่ยืมมาจากอักษรเปอรเซีย เนื่องจากเปนเสียงเดียวกับที่มีในภาษามลายู สวนอักษร {) )กับ W เปนอักษรที่คนมลายูดัดแปลงมาจากอักษรอาหรับ โดยการเพิ่มจุด กลาวคือ {) ดัดแปลงมาจาก غ และ W ดัดแปลงมาจาก نซึ่งวิธีการนี้ยังพบไดในภาษาอื่น ๆ ที่ใชอักษรอาหรับเปนตัวเขียน อาทิ ภาษาอุ รดู อาเซอรไ บจาน ตุ รกี เคิ รด หรือแม แตภ าษาเชี่ยวเออจิ ง (Xiaoérjing) และอุยฆุร (Uighur) ในตะวั น ตกเฉี ย งเหนื อ ของประเทศจี น ซึ่ ง สอดคล อ งกั บ ความเห็ น ของโอมาร อาวั ง (Taqwīm al-Buldān)
(Omar Awang, 1978 : 3)
ตารางที่ 9 เปรียบเทียบอักษรยาวีกับอักษรอาหรับ และเปอรเซีย ลําดับ 1 2
อักษรยาวี
ชื่ออักษร
อักษรเปอรเซีย
อักษรอาหรับ
ﺍ
alif
ا
ا
ﺏ
ba
ب
ب
176
3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32
-
-
ﭖ
-
ﺕ
ta
ت
ت
ﺙ
tha
ث
ث
ﺝ
jim
ج
ج
ﺡ
ha
ح
ح
ﺥ
kha
ﭺ
ca
خ ﭺ
خ -
د
dal
د
د
ذ
dhal
ذ
ذ
ر
ra
ر
ر
ز -
zai -
ز ﮊ
ز -
س
sin
س
س
ش
shin
ش
ش
ص
sad
ص
ص
ض
dad
ض
ض
ط
ta
ط
ط
ظ
za
ظ
ظ
ع
‘ain
ع
ع
غ
ghain
غ -
ف
nga
غ -
pa
ف
( فfa)
ق
qaf
ق
ق
ك
kaf
) )¢ ل
ga
ك ﮒ
ك -
lam
ل
ل
م
mim
م
م
ن
nun
ن
ن
و
wau
و
و
ﻩ
ha
ﻻ
lam-alif
ﻩ -
ﻩ -
ء
hamzah
-
ء
177
33 34
ي
ya
) )W
nya
ي -
ي -
อักษรยาวีเปนอักษรที่ถูกดัดแปลงมาจากอักษรอาหรับ ซึ่งเริ่มเขาสูคาบสมุทร มลายูตั้งแตเริ่มแรกของการเผยแผศาสนาอิสลาม แมวาอิสลามเริ่มถูกเผยแผครั้งแรกเมื่อใดยังไม สามารถหาขอสรุปได แตมีความเปนไปไดวาอิสลามนาจะถูกเผยแผครั้งแรกในปฮิจเราะฮฺที่ 440 ซึ่งตรงกับคริสตศักราช 1104 อยางไรก็ตามในสวนของอักษรยาวีนั้นเชื่อวาถูกนํามาใชในภาษา มลายูหลังปฮิจเราะฮฺ ที่ 700 หรือประมาณศตวรรษที่ 14 ทั้งนี้อาศัยหลักฐานจากจารึกตรังกานู1 ที่ระบุวาจารึกเมื่อคริสตศักราช 1303 โดยจากจารึกสังเกตไดวาอักษรที่ใชเขียนยังไมมีการเติมจุด แตประการใด ซึ่งเหมือนกับระบบการเขียนในภาษาอาหรับยุคแรก ๆ หลังจากศตวรรษที่ 17 เปน ตนมา ระบบการเขียนอักษรยาวีก็ไดรับการพัฒนาอยางตอเนื่องจนกลายมาเปนระบบการเขียน ดังที่ปรากฏในปจจุบัน สําหรับจังหวัดปตตานีอักษรยาวีถูกใชเปนครั้งแรกเมื่อใดไมสามารถที่จะระบุ อยางชัดเจนได แตจากหลักฐานที่เกาแกที่สุดซึ่งแสดงใหเห็นวามีการใชอักษรอาหรับ ไดแกจารึก บนหินหลุมศพของสุลตานอิสมาอีล ชาห (ค.ศ. 1530-1564) ถึงกระนั้นหลักฐานดังกลาวก็ ไมไดระบุปที่ชัดเจนแตอยางใด สวนหลักฐานอื่น เชน เหรียญที่ใชในราชอาณาจักรปะตานี และ จารึกประวัติศาสตรปะตานี ตางก็ถูกผลิต และจารึกในชวงศตวรรษที่ 18 จึงสันนิษฐานไดวามีการ ใชอักษรอาหรับมาตั้งแตหลังจากการรับนับถือศาสนาอิสลามไมนาน และผลจากการเรียนการสอน ศาสนาอิสลามที่ปฏิบัติสืบตอกันมา ซึ่งประกอบไปดวย การฝกอานคัมภีรอัลกุรอาน การเรียนรู ภาษาอาหรับ รวมถึงคําสอนตาง ๆ โดยอาศัยกระบวนการคัดลอกดวยลายมือ จึงทําใหผูเรียนได ฝกการเขียนไปดวย และการฝกฝนการเขียน การสะกดภาษาอาหรับนี้เองไดถูกนํามาใชเปนอักษร ยาวี ซึ่งใชทั้งทางศาสนาและในชีวิตประจําวันจวบจนปจจุบัน และจากการที่อักษรยาวีถูกใชบันทึก ตําราศาสนาชาวมลายูจึงมักถือวาอักษรยาวีเปนอักษรที่ขลังและมีสิริมงคลซึ่งจะชวยปกปองจากสิ่ง ชั่วรายตาง ๆ ไดในอดีตจึงนิยมใชเปนลวดลายตกแตงอาคารบานเรือนใหมีความสวยงาม แต ปจจุบันนิยมใชอักษรประดิษฐเปนขอความที่คัดลอกมาจากคัมภีรอัลกุรอานแทน ปจจุบันอักษรยาวียังคงถูกใชกันอยางกวางขวางในสังคมมลายูปตตานี ทั้งในดาน ศาสนา การศึกษา การคา และการประชาสัมพันธ ซึ่งแตกตางจากสังคมมลายูในประเทศมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ที่การใชอักษรยาวีเกือบที่จะสูญหายไปแลวเนื่องจากอิทธิพลของอักษรโรมัน แมวาในสังคมมลายูปตตานีจะมีการใชอักษรยาวีกันอยางแพรหลายมาเปนเวลายาวนาน แตก็ยัง พบวาระบบการเขียนยังไมเปนมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งสอดคลองกับความเห็นของอับดุลเราะมัน เจะอารง (สัมภาษณ, 25 กุมภาพันธ 2549) ที่กลาววา วิธีการสะกดนั้นมีหลายรูปแบบ แตละคน จะเขียนไมเหมือนกันขึ้นอยูกับวาใครจะมีวิธีการสะกดอยางไร 1
ดูภาพในภาคผนวก
178
4.1.2 คํายืม ในดานคําศัพท คําหลายคําในภาษามลายูถูกแทนที่ดวยภาษาอาหรับและภาษา เปอรเซีย เนื่องจากภาษาอาหรับเปนแหลงขอมูลทางวิชาการทางดานศาสนา และองคความรูดาน อื่น ๆ ที่สําคัญในภูมิภาคมลายู ในยุคอิสลามนั้นคําศัพทเฉพาะดานในสาขาวิชาตาง ๆ ไดถูก บัญญัติและเขียนในภาษามลายูเปนผลทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงทางดานคําศัพทอยางรวดเร็ว ดวยการยืมคําศัพทในสาขาวิชาตาง ๆ มาจากอาหรับ อาทิ ศาสนศาสตร ปรัชญา จริยธรรม เปน ตน ซึ่งสงผลใหภาษามลายูมีคําศัพทมากขึ้น ในชวงเวลาตั้งแตศตวรรษที่ 13 เปนตนมา คําศัพทภาษาอาหรับหลายคําไดถูก ยืมมาใชในภาษามลายูโดยมีการปรับเปลี่ยนเสียงเพื่อใหเขากับเสียงในภาษามลายู จากการศึกษา คํายืมภาษาอาหรับในภาษามลายูถิ่นปตตานีพบวามีคําภาษาอาหรับจํานวนหลายคําที่ถูกใชในวิถี ชีวิตประจําวัน โดยผูใชมักไมทราบวาคํา ๆ นั้นเปนภาษาอาหรับ โดยเฉพาะผูที่ไมไดเรียนภาษา อาหรับ เนื่องจากคําศัพทไดถูกปรับเสียงใหเขากับระบบเสียงในภาษามลายูถิ่นปตตานี โดย กระบวนการยืมคําเริ่มจากการสอนศาสนาตามสถานที่ตาง ๆ ซึ่งผูสอนเปนผูที่มีความรูทางดาน ภาษาอาหรับ และวิชาการศาสนาเปนอยางดี เมื่อสอนก็จะใชวิธีการกลาวถึงตัวบทที่เปนภาษา อาหรับแลวอธิบายดวยภาษามลายูถิ่น2 เมื่อกระบวนการนี้เกิดขึ้นซ้ํา ๆ ทําใหผูเรียนจดจําคําศัพท นั้น ๆ ได และเมื่อตองการใชคําเดิมในเวลาตอมาก็ไมตองอธิบายความหมายอีก จากนั้นผูเรียนก็ จะนําคํา ๆ นั้นไปใชในวงกวางตอไป3 ดังกลุมคําในตัวอยางตอไปนี้ ตารางที่ 10 ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับการกระทํา ความคิด และความรูสึก ภาษามลายูถนิ่ ภาษาอาหรับ บาเซ ﺗﺒﺬﻳﺮ เบอซอบะ ﺻﺤﺎﺑﺔ
2 3
ความหมาย ฟุมเฟอย คบเพื่อน
ตะเว
ﺗﺄﻭﻳﻞ
แยง
ตะเบ
ﺗﻌﺒﲑ
ทํานายฝน
บาฮะฮ
ﲝﺚ
โตเถียง คัดคาน
เบอซอระ
ﻣﺸﺎﻭﺭﺓ
ประชุม
ตออะ
ﻃﺎﻋﺔ
ภักดี
ตอเลาะ
ﻃﻼﻕ
ผลัก,หยาราง
สังเกตจากวิธีการสอนศาสนา ทีม ่ ัสญิดกลางประจําจังหวัดปตตานี สัมภาษณริดวาน มะแซ 19 เมษายน 2550
179
ญาฮาแน
ﺟﻬﻨﻢ
ฉิบหาย,นรก
นาตีเญาะ
ﻧﺘﻴﺠﺔ
ผลสอบ
ปเก
ﻓﻜﺮ
ความคิด
กอซะ
ﻗﺼﺪ
คิดไวในใจ
อีเกอละ
ﺇﺧﻼﺹ
สุจริตใจ
กอยา
ﺧﻴﺎﻝ
จินตนาการ
นียะ
ﻧﻴﺔ
ตั้งใจ,เจตนา
บาเตน
ﺑﺎﻃﻦ
จิตใจ
อากา
ﻋﻘﻞ
สติปญญา
นาป
ﻧﻔﻲ
ปฏิเสธ ไมยอมรับ
นาฮะ
ﳓﺲ
เคราะหราย
นูุง, นุญม
ﳒﻮﻡ
ดูหมอ
ฮีกือมะ
ﺣﻜﻤﺔ
อภินิหาร
อาซีมะ
ﻋﺰﳝﺔ
ผายันต
นาเซะ
ﻧﺼﻴﺐ
โชคชะตา
ฮาแกกะ
ﺣﻘﻴﻘﺔ
ความจริง
รือแซ
ﺭﺳﻢ
ความดีที่สืบทอดจากบรรพบุรษุ
เซาะ
ﺷﻚ
สงสัย
กือวาเต
ﺧﻮﺍﻃﺮ
เปนหวง
นัฟซู
ﻧﻔﺲ
ตัณหา,อารมณ
ลาซะ
ﻟﺬﺓ
รูสึกซาบซานถึงใจ, อรอย
ดาซะ
ﺩﻫﺸﺔ
สังเวช
แฮแฆ
ﺣﲑﺍﻥ
สงสัย
ยาเก็ง
ﻳﻘﲔ
แนใจ
ชาฮาวะ
ﺷﻬﻮﺓ
อารมณใคร
วาซูวะ
ﻭﺳﻮﺍﺱ
ลังเลใจ
180
ตารางที่ 11 ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับชื่อเฉพาะ และชื่อสถานที่ ภาษามลายูถนิ่ ภาษาอาหรับ ดือเฆะ ﺍﺩﺭﻳﺲ แอเซาะ ﻋﺎﺋﺸﺔ
ความหมาย ชื่อนบีอิดรีส ชื่อภรรยาของทานนบีมุฮัมมัด
ญิง
ﻦ ﺟ
ปศาจ
ดอแมะ,ดอแม,ดอรอแม
ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ
บาวของผูทรงเมตตา
ไซตง
ﺯﻳﺘﻮﻥ
ชื่อสําหรับผูหญิง, มะกอก
กีบะฮ
ﻛﺒﺎﺵ
แกะ
ปาเลสเตง
ﻓﻠﺴﻄﲔ
ปาเลสไตน
บัยตุลเลาะฮ
ﺑﻴﺖ ﺍﷲ
หินดํากะอฺบะฮฺ
แมแด
ﻣﻴﺪﺍﻥ
สนาม
มะกือตะ
ﻣﻜﺘﺐ
สํานักงาน
วอกะ
ﻭﻗﻒ
ศาลา
คอแด
ﺧﺎﺩﻡ
ทาษ, คนใช
กูโบ
ﻗﺒﻮﺭ
สุสาน
มัสเญะ
ﻣﺴﺠﺪ
มัสยิด
ซูโตะฮ
ﺳﻄﺢ
ดาดฟาของตึก
วาดี,วอดี
ﻭﺍﺩﻱ
โอเอซิส
ดาโอะ
ﺩﺍﻭﻭﺩ
ชื่อสําหรับผูชายมาจากชื่อนบีดาวูด
ตารางที่ 12 ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม และขอบัญญัติตาง ๆ ภาษามลายูถนิ่ ภาษาอาหรับ ความหมาย บือรือกะ เปนมงคล ﺑﺮﻛﺔ ตักวา ความยําเกรงตอพระเจา ﺗﻘﻮﻯ ตอบะ
ﺗﻮﺑﺔ
ขออภัยโทษตอพระเจา
อาญา
ﺃﺟﻞ
เวลาตายที่พระเจาลิขิตไว
อาเค-ระ
ﺁﺧﺮﺓ
ภพหนา
ซาฟาอะ
ﺷﻔﺎﻋﺔ
ความชวยเหลือจากศาสดา
181
ฆออิบ
ﻏﻴﺐ
สิ่งเรนลับ
ชาฮาดะ
ﺷﻬﺎﺩﺓ
การกลาวปฏิญาณ
เราะมะ
ﺭﲪﺔ
สรรพสิ่งอํานวยความสะดวกตางๆ
วาฮี, วาฮยู
ﻭﺣﻲ
วิวรณจากพระเจา
วูยุ
ﻭﺟﻮﺩ
การมี
ซีเกร
ﺫﻛﺮ
กลาวสรรเสริญ
เตาเฮด, ตอเฮะ
ﺗﻮﺣﻴﺪ
เอกภาพ
อาเกเดาะ
ﻋﻘﻴﺪﺓ
หลักการศรัทธา
อารัช
ﻋﺮﺵ
บัลลังกของพระเจา
อีแม
ﺇﳝﺎﻥ
ความศรัทธา
ปาฆือดู
ﻓﺮﺽ
ศาสนกิจภาคบังคับ
มาซาฮับ
ﻣﺬﻫﺐ
นิกายในศาสนา
ชารีอะ
ﺷﺮﻳﻌﺔ
บัญญัตศิ าสนา
เซาะ
ﺻﺢ
ถูกตองตามหลักศาสนา
บือดือเอาะ,บีดะอะฮ
ﺑﺪﻋﺔ
อุตริ
ตากือลิ
ﺗﻘﻠﻴﺪ
เชื่ออยางไมมีเหตุผล
วอยิ
ﻭﺍﺟﺐ
สิ่งที่ตองทําในทางศาสนา
วูดุ
ﻭﺿﻮﺀ
อาบน้าํ ละหมาด
บาตา
ﺑﻄﻞ
การปฏิบัติศาสนากิจเปนโมฆะ
อามา
ﻋﻤﻞ
การปฏิบัตศิ าสนกิจ
มากือโรฮ
ﻣﻜﺮﻭﻩ
สิ่งที่ควรละเวน
มูรือตะ
ﻣﺮﺗﺪ
ออกนอกศาสนา
ชาระ
ﺷﺮﻁ
กฏบัญญัติ
ฮายี
ﺣﺞ
พิธีฮัจญ
182
ตารางที่ 13 ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับการศึกษา ภาษามลายูถนิ่ ภาษาอาหรับ แปเกาะฮ ﻓﻘﻪ ตาูวิ, ตาจวิ, ุวิ ﲡﻮﻳﺪ
ความหมาย วิชาหลักกฏหมายอิสลาม วิชาวาดวยการอานอัลกุรอาน
ตะเระ
ﺗﻌﺮﻳﻒ
คําจํากัดความ
กีตะ
ﻛﺘﺎﺏ
ตําราศาสนา
อีญาซะฮ
ﺇﺟﺎﺯﺓ
ใบประกาศนียบัตร
ปารอเอะ
ﻓﺮﺍﺋﺾ
วิชาวาดวยการแบงมรดก
ตาปอเซ, ปอเซ
ﺗﻔﺴﲑ
การอรรถาธิบายอัลกุรอาน
บะ
ﺑﺎﺏ
บท, เรื่อง, บรรพ
ตาแระ
ﺗﺎﺭﻳﺦ
ประวัติ, วิชาประวัติศาสตร
อีลือมุง
ﻋﻠﻢ
ความรู, วิชาความรู
กอแต
ﺧﺘﻢ
จบจากการเรียนอัลกุรอาน
ปาเลาะ
ﻓﻠﻚ
วิชาดาราศาสตร
ซอระ
ﺻﺮﻑ
วิชาอักขระวิธี
กอซีเดาะฮ
ﻗﺼﻴﺪﺓ
บทกลอน,รอยกรอง
เบอซะแอ
ﺷﻌﺮ
รายโคลง
รีวายะฮ
ﺭﻭﺍﻳﺔ
เรื่องราวที่เลาสูกันมา, นิยาย
มืองาปา, งาปา
ﺣﻔﻆ
ทองจํา
ฮีกายะฮ
ﺣﻜﺎﻳﺔ
พงศาวดาร, ตํานาน
ตารางที่ 14 ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับชื่อวันเดือนป เวลา และการคํานวน ภาษามลายูถนิ่ ภาษาอาหรับ ยือมาอะ ﺍﳉﻤﻌﺔ อาฮะ ﺍﻷﺣﺪ
ความหมาย วันศุกร วันอาทิตย
ซือนา
ﺍﻹﺛﻨﲔ
วันจันทร
ซือลาซอ
ﺍﻟﺜﻼﺛﺎﺀ
วันอังคาร
รฺาบู
ﺍﻷﺭﺑﻌﺎﺀ
วันพุธ
183
กอมิฮ
ﺍﳋﻤﻴﺲ
วันพฤหัสบดี
ซะตู
ﺍﻟﺴﺒﺖ
วันเสาร
มูฮาแร
ﳏﺮﻡ
เดือนแรกของปฏิทินอาหรับ
ซอปา
ﺻﻔﺮ
เดือนที่สองของปฏิทินอาหรับ
รอบิอุลอาวา
ﺭﺑﻴﻊ ﺍﻷﻭﻝ
เดือนที่สามของปฏิทินอาหรับ
รอบิอุลอาเค
ﺭﺑﻴﻊ ﺍﻵﺧﺮ
เดือนที่สี่ของปฏิทินอาหรับ
ยามาดิลอาวา
ﲨﺎﺩﻯ ﺍﻷﻭﱃ
เดือนที่หาของปฏิทินอาหรับ
ยามาดิลอาเค
ﲨﺎﺩﻯ ﺍﻵﺧﺮﺓ
เดือนที่หกของปฏิทินอาหรับ
ราญะ,รอญะ
ﺭﺟﺐ
เดือนที่เจ็ดของปฏิทินอาหรับ
ซะแบ
ﺷﻌﺒﺎﻥ
เดือนที่แปดของปฏิทินอาหรับ
รอมาดอน, รอมแด
ﺭﻣﻀﺎﻥ
เดือนที่เกาของปฏิทินอาหรับ
ซาวา
ﺷﻮﺍﻝ
เดือนที่สิบของปฏิทินอาหรับ
ซุลแกะเดาะฮ
ﺫﻭ ﺍﻟﻘﻌﺪﺓ
เดือนที่สิบเอ็ดของปฏิทินอาหรับ
ซุลฮิเญาะฮ
ﺫﻭ ﺍﳊﺠﺔ
เดือนที่สิบสองของปฏิทินอาหรับ
ฮียือเราะฮ
ﻫﺠﺮﺓ
ศักราชอิสลาม
อาเค
ﺃﺧﲑ
สาย, สุดทาย
อาวา
ﺃﻭﻝ
ตน, เดิมที
ซาแม
ﺯﻣﺎﻥ
สมัย
อาซัลลี
ﺃﺯﻝ
แรกเริ่มเดิมที, บรรพกาล
ออมอ
ﻋﻤﺮ
อายุ, ระยะเวลา
วากือตู
ﻭﻗﺖ
เวลา, สมัย
ดอระ
ﺿﺮﺏ
คูณ
ญือมือเลาะฮ
ﲨﻠﺔ
รวมทั้งหมด
บากี
ﺑﺎﻗﻲ
แบง, จํานวนที่เหลือ
ญาดูวา
ﺟﺪﻭﻝ
ตาราง, กําหนดการ
ฮีซะ
ﺣﺴﺎﺏ
คํานวณ
184
ตารางที่ 15 ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับสิ่งของ เครื่องมือเครื่องใช ภาษามลายูถนิ่ ภาษาอาหรับ แคเมาะฮ ﺧﻴﻤﺔ กาแล ﻗﻠﻢ
ความหมาย เต็นท ดินสอ
ดาวะ
ﺩﻭﺍﺓ
หมึก
กีซี
ﻛﺮﺳﻲ
เกาอี้
รฺาฮา
ﺭﺣﺎﻝ
ที่วางอัลกุรอาน
มอโฮ
ﻣﻬﻮﺭ
ตราประทับ
บูเวาะฮ ซือแบะฮ
ﺳﺒﺤﺔ
ลูกประคํา
ซอเละ
ﺻﻠﻴﺐ
ไมกางเขน
อาลามะ
ﻋﻼﻣﺔ
เครื่องหมาย
อาละ
ﺁﻟﺔ
เครื่องมือ,อุปกรณ
ซือยฺาเดาะฮ
ﺳﺠﺎﺩﺓ
พรมปูละหมาด
บาตู มารือมา
ﻣﺮﻣﺮ
หินออน
ฮาวอ
ﻫﻮﺍﺀ
อากาศ
โละฮ
ﻟﻮﺡ
กระดานชนวน
ตารางที่ 16 ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับสังคม เครือญาติ และฐานะ ภาษามลายูถนิ่ ภาษาอาหรับ อาดะ ﺃﺩﺏ อาคือละ ﺃﺧﻼﻕ
ความหมาย มารยาท จริยธรรม
ยีแร
ﺟﲑﺍﻥ
เพื่อนบาน
นีเกาะฮ
ﻧﻜﺎﺡ
แตงงาน
มารูเวาะฮ
ﻣﺮﻭﺀﺓ
ศักดิศ์ รี, เกียรติ
กา-อง
ﻗﻮﻡ
กลุม, พวก
วอลีเมาะ
ﻭﻟﻴﻤﺔ
งานแตงงาน
อาอิ
ﻋﻴﺐ
อับอาย, นาละอาย
คอลี
ﺧﺎﱄ
ลุง, อา
185
ซูรีญะ
ﺫﺭﻳﺔ
ทายาท
อาฮาลี, อะฮลี
ﺃﻫﻞ
นัก, ผูเชี่ยวชาญ, สมาชิก
กือรอบะ,กือราบะ
ﻗﺮﺍﺑﺔ
ญาติ
วอเฆะ
ﻭﺍﺭﺙ
ญาติพี่นอง
นาปอเกาะฮ
ﻧﻔﻘﺔ
คาเลี้ยงดู
ปาเก
ﻓﻘﲑ
คนยากไร
อาแว
ﻋﻮﺍﻡ
สามัญชน
มะรูฮ
ﻣﻌﺮﻭﻑ
มีชื่อเสียง, ความดี
ตาระฮ
ﺗﺮﻑ
ฐานะ, ยศ, คนมีฐานะ
มือซือเกง
ﻣﺴﻜﲔ
คนยากจน
ซอโฮ
ﻣﺸﻬﻮﺭ
มีชื่อเสียง, โดงดัง
ตารางที่ 17 ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับการเมือง การปกครองและการทหาร ภาษามลายูถนิ่ ภาษาอาหรับ ความหมาย ตาดือเบ ปกครอง, บริหาร ﺗﺪﺑﲑ ฎอละ รุงโรจน, ราชวงศ ﺩﻭﻟﺔ อาเด
ﻋﺎﺩﻝ
ยุติธรรม
มูเกง
ﻣﻘﻴﻢ
หมูบาน
ซูลือแต, ซือแต,ซืลแต
ﺳﻠﻄﺎﻥ
สุลตาน
ดาอีเฆาะ, แดะเฆาะ
ﺩﺍﺋﺮﺓ
อําเภอ
กอลีเปาะฮ
ﺧﻠﻴﻔﺔ
เจาผูครองนคร, กาหลิบ
อาแม
ﺃﻣﺎﻥ
สันติสุข
ซียฺาซะ
ﺳﻴﺎﺳﺔ
สืบสวน
ฆะยะ
ﺭﻋﻴﺔ
ราษฎร
วีลายะฮ
ﻭﻻﻳﺔ
จังหวัด, รัฐ, มลรัฐ
ญีฮะ
ﺟﻬﺎﺩ
การตอสูในหนทางศาสนา
วอเก
ﻭﻛﻴﻞ
ผูแทน
186
อาซือกา
ﻋﺴﻜﺮ
ตารางที่ 18 ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับรางกาย และลักษณะนิสัย ภาษามลายูถนิ่ ภาษาอาหรับ บาแด ﺑﺪﻥ นาปะ ﻧﻔﺲ
ทหาร
ความหมาย รางกาย, หนวยงาน ลมหายใจ
ซีปะ
ﺻﻔﺔ
ลักษณะ
โระฮ
ﺭﻭﺡ
วิญญาณ
บาเค
ﲞﻴﻞ
ขี้เหนียว
กูวะ
ﻗﻮﺓ
แข็งแรง
มาญือนุง
ﳎﻨﻮﻥ
บา, เจาอารมณ
ญาซะ
ﺟﺴﺪ
รางกาย
ฮาลือกง, ลลือกง
ﺣﻠﻘﻮﻡ
ลูกกระเดือก
ฮาญะ
ﺣﻴﺎﺓ
ชีวิต
วาเญาะ
ﻭﺟﻪ
หนา
ดอแอะ
ﺿﻌﻴﻒ
ออนแอ
อามานะฮ
ﺃﻣﺎﻧﺔ
ความนาเชื่อถือ
แฮบะ
ﻫﻴﺒﺔ
สงางาม
ตารางที่ 19 ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับสํานวน คําพูด ภาษามลายูถนิ่ ภาษาอาหรับ ปาแซะฮ ﻓﺼﻴﺢ กือลีเมาะฮ ﻛﻠﻤﺔ
ความหมาย พูดคลอง คํา, วลี,ประโยค
รอบบี
ﺭﰊ
พระเจาของขา
ลาปา
ﻟﻔﻆ
กลาวคํา
วาลา
ﻭﻟﻮ
ถึงแมวา, แมกระนั้น
บาลาเฆาะฮ
ﺑﻼﻏﺔ
วาทศิลป
มีซา
ﻣﺜﺎﻝ
สมมุติ, ตัวอยาง
187
ลีละ, ลิลเลาะฮ
ﷲ
ดวยพระเจา
ลอรฺะ
ﻟﻐﺔ
ภาษาถิน่
ยะนิง
ﻳﻌﲏ
คือวา
ตารางที่ 20 ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับกฏหมายอิสลาม และศาลยุติธรรม ภาษามลายูถนิ่ ภาษาอาหรับ ปาเซาะฮ ﻓﺴﺦ ดะวอ ﺩﻋﻮﻯ
ความหมาย ฟองหยาสามี เรียกรอง, อาง
กอดี
ﻗﺎﺿﻲ
ผูพิพากษา
ปอตูวอ
ﻓﺘﻮﻯ
คําวินิจฉัยชี้ขาด
มะฮกามะฮ
ﳏﻜﻤﺔ
ศาลพิพากษา
ฮาเก็ง
ﺣﺎﻛﻢ
ผูพิพากษา
รือแญ
ﺭﺟﻢ
การลงโทษผูกระทําผิดประเวณี
ซือฮาเก็ง
ﺣﺎﻛﻢ
ศาล
ฮูกงแม
ﺣﻜﻢ
คําพิพากษา
วาซียะ
ﻭﺻﻴﺔ
พินัยกรรม, คําสั่งเสีย
ตารางที่ 21 ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับเสื้อผา เครื่องแตงกาย และเครื่องประดับ ภาษามลายูถนิ่ ภาษาอาหรับ ความหมาย ฮีญะ ผาคลุมผมของสตรีมุสลิม ﺣﺠﺎﺏ ตือรือบุ
ﻃﺮﺑﻮﺵ
หมวกแดงที่มีพู
กือปเยาะฮ
ﻗﻔﻴﺔ، ﻛﻮﻓﻴﺔ
หมวกขาวของชายชาวมุสลิม
ยูเบาะฮ
ﺟﺒﺔ
เสื้อคลุม,เสื้อครุย
ซือฆือแบ
ﺳﺮﺑﺎﻝ
ผาขาวที่ใชโพกหัวของชายมุสลิม
แอกฺา
ﻋﻘﺎﻝ
เสวียนคาดศีรษะ
บายู โตะ
ﺛﻮﺏ
เสื้อคลุมยาว
ดูวาเราะฮ
ﺩﻭﺍﺭﺓ
ผาคลุมสตรีมุสลิม
ซือลูวา
ﺳﺮﻭﺍﻝ
กางเกง
188
กาเองมาเน
ﻣﻨﺪﻳﻞ
ตารางที่ 22 ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับสุขภาพ และการแพทย ภาษามลายูถนิ่ ภาษาอาหรับ มือนารฺะ, ฎอระ ﻣﻀﺮﺓ แซฮะ ﺻﺤﺔ
ผาเช็ดหนา
ความหมาย ลุกลาม สุขภาพสมบูรณ
มายฺง
ﻣﻌﺠﻮﻥ
ยาแผนโบราณ
วาบะ
ﻭﺑﺎﺀ
โรคราย
กอซียะ
ﺧﺎﺻﻴﺔ
สรรพคุณ
มูญาระ
ﳎﺮﺏ
แกโรคไดชงัก
วอเซ
ﺑﻮﺍﺳﲑ
โรคริดสีดวงทวาร
ตา-อุง
ﻃﺎﻋﻮﻥ
อหิวาตกโรค
ตารางที่ 23 ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับอาหาร และผลไม ภาษามลายูถนิ่ ภาษาอาหรับ บูเวาะฮ ตามา ﲤﺮ บูเวาะฮ ตอเปาะฮ ﺗﻔﺎﺡ
ความหมาย อินทผลัม ลูกแอปเปล
บูเวาะฮ ซาเบะ
ﺯﺑﻴﺐ
องุน
บูเวาะฮ ไซตง
ﺯﻳﺘﻮﻥ
ลูกมะกอก
ซูรฺอ
ﻋﺎﺷﻮﺭﺍﺀ
บูเวาะฮ กุลดี
ﺷﺠﺮﺓ ﺍﳋﻠﺪ
ชื่อขนมหวานมักทําในชวงเดือน แรกของปอิสลาม ผลไมที่นบีอาดัมกลืนเขาไป
ตารางที่ 24 ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับประเพณี และการละเลน ภาษามลายูถนิ่ ภาษาอาหรับ อีดิลฟตรี ﻋﻴﺪ ﺍﻟﻔﻄﺮ อีดิลอัดฮา ﻋﻴﺪ ﺍﻷﺿﺤﻲ
ความหมาย วันตรุษหลังจากการถือศีลอด วันตรุษหลังจาประกอบพิธฮี จั ญ
เมาะโละ
ﻣﻮﻟﻮﺩ
เมาลิด
นาเซะ
ﻧﺸﻴﺪ
การขับรองประสานเสียง
189
อาดะ
ﻋﺎﺩﺓ
ประเพณี,ธรรมเนียม
ดีเก
ﺫﻛﺮ
การขับรองหมู, ลิเก
ตารางที่ 25 ตัวอยางคําที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ การคา ภาษามลายูถนิ่ ภาษาอาหรับ อาเซ ﺣﺎﺻﻞ แรบอ ﺭﺑﺎ
ความหมาย ภาษี ดอกเบี้ย
ﺷﺮﻛﺔ
บริษัท,หางหุน สวน
ภาษาอาหรับ ﺟﻨﺲ
ความหมาย ชนิด
คูซุฮ
ﺧﺼﻮﺹ
เฉพาะ
มะนอ
ﻣﻌﲎ
ความหมาย
มาซาอาเลาะฮ
ﻣﺴﺄﻟﺔ
ปญหา,ประเด็น
นาเด
ﻧﺎﺩﺭ
นอยราย,หายาก
ซอแฮะฮ
ﺻﺤﻴﺢ
แนชัด
กอบา, คอบา, กาบา
ﺧﱪ
ขาวคราว
อาซะฮ
ﺃﺳﺎﺱ
ฐาน
มากือซุ
ﻣﻘﺼﻮﺩ
จุดประสงค
มูเก็ง
ﳑﻜﻦ
เปนไปได
มูซือแลฮะ
ﻣﺼﻠﺤﺔ
ประโยชน, นโยบาย
ซาบะ, ซาเบะ, ซือบะ
ﺳﺒﺐ
เพราะ,สาเหตุ
ฮา
ﺣﺎﻝ
เรื่อง,เรื่องราว
มูซือตาเฮ
ﻣﺴﺘﺤﻴﻞ
เปนไปไมได
ซือแรกะ ตารางที่ 26 ตัวอยางคําอื่น ๆ ภาษามลายูถนื่ ยือนิฮ
190
4.2 วัฒนธรรมดานการแตงกาย การแตงกายของชาวมลายูในจังหวัดปตตานีกอนไดรับอิทธิพลจากวัฒนธรรม อาหรับนั้น ผูชายนิยมแตงกายดวยชุดปูฌอปอตอง ประกอบดวย เสื้อคอกลมสีขาว ผาหนายาว พอสมควร ติดกระดุมสามเม็ด แขนสั้น สวนผาที่นุงมีลักษณะเหมือนผาขาวมา มีสีสันคอนขาง ฉูดฉาด มักเย็บเปนถุง ใชนุงทับบนเสื้อ โดยเวลานุงตองใหชายทั้งสองขางหอยอยูตรงกลางเปนมุม แหลม (ลักษณะเชนนี้เรียกวาปูฌอปอตอง) มีผายือแฆ เปนผาจากเมืองจีนคลายแพรดอกในตัว หรือไหม เปนผาที่มีขนาดเล็กกวานุงทับบนผาปูฌอปอตองอีกชั้นหนึ่ง เสร็จแลวเหน็บกริชหรือ หอกดวยก็ได การแตงกายแบบนี้นิยมใชผาสตาแงโพกศีรษะเปนรูปตาง ๆ ซึ่งการแตงกายใน ลักษณะนี้ปจจุบันยังเห็นไดในสังคมอินโดนีเซีย นอกจากนี้ยังมีภาพวาดขบวนเสด็จประพาสของ ราชินีฮิเยา เปนรูปชายแตงกายโดยใชผาโพกศีรษะ ซึ่งในสมัยนั้นอาจจะยังไมนิยมสวมหมวกกป เยาะห ในขณะเดี ย วกั น จากภาพถ า ยเจ า เมื อ งของ 7 หั ว เมื อ งในสมั ย พระบาทสมเด็ จ พระ จุลจอมเกลาเจาอยูหัว สะทอนใหเห็นการใชหมวกรูปทรงตาง ๆ โดยเฉพาะหมวกซอเกาะเริ่ม ปรากฏใหเห็นแลว4 ในสมัยรัตนโกสินทรตอนตน ชนชั้นปกครองและขาราชการนิยมใชผาโพกศีรษะ เมื่อแตงกายดวยชุดทองถิ่นและชุดเครื่องแบบขาราชการ จนกระทั่งสมัยพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกลาเจาอยูหัวเริ่มมีการแตงกายดวยชุดสากลนิยมและชุดขาราชการมักใชหมวกซอเกาะ ซึ่ง ทําดวยผากํามะหยี่สีดํา สวนประชาชนสวมเสื้อแขนสั้น นุงผาตาหมากรุกและโพกศีรษะ หรือสวม หมวกซอเกาะ โดยนิยมใชเวลาออกนอกบาน รวมทั้งไปละหมาดที่มัสยิด ตอมาความนิยมลดลง เนื่องจากหมวกกปเยาะหเริ่มเปนที่แพรหลายมากขึ้น เดิมหมวกกปเยาะหใชในกลุมโตะครูและโตะ ปาแก5 และคอย ๆ ขยายไปสูบุคคลทั่วไป 4.2.1 หมวกกปเยาะห กปเยาะหเปนคําที่กลายเสียงมาจากคําวา กูฟยะฮฺ ในภาษาอาหรับ ซึ่งหมายถึง เมืองกูฟะฮฺ ในประเทศอิรัก ซึ่งถือเปนแหลงผลิตหมวกที่ดีที่สุดในสมัยราชวงศอับบาสียะฮฺ โดย ชาวเมืองดังกลาวไดใชคําวากูฟยะฮฺในความหมายของสิ่งที่ครอบบนศีรษะหรือหมวกนั่นเอง และ จากหลักฐานซึ่งเปนรูปแกะสลักในสมัยอัสสิเรียนไดแสดงใหเห็นวาชาวอาหรับนั้นมีการสวมกป เยาะหและใชเสวียนคาดศีรษะเชนเดียวกับที่ปรากฏในปจจุบัน อนึ่งสําหรับชื่อที่ใชสําหรับเรียกหมวกของชาวอาหรับจะมีอยูหลายคําดวยกันโดย จะขึ้นอยูกับพื้นที่ อาทิ ในอิรักเรียกวากูฟยะฮฺ ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตสเรียกวาเกาะหฟยะฮฺ ใน 4 5
ดูภาพที่ 8, 9 ในภาคผนวก นักศึกษาศาสนาตามปอเนาะ
191
โอมานเรี ยกวา กุ มมะฮฺ และในซาอุดีอาระเบี ย เรียกวา กัฟฟ ยะฮฺ เป น ต น สํ า หรั บ กป เยาะห ใ น สําเนียงของมลายูปตตานีเปนคําที่มาจากกัฟฟยะฮฺในสําเนียงของชาวซาอุดีอาระเบีย สําหรับการใชหมวกกปเยาะหนั้นมีเหตุผล 2 ประการดวยกัน ประการแรก ชาว อาหรับใชกปเยาะหครอบศีรษะเพื่อปองกันความรอนโดยเฉพาะในฤดูรอน ความเย็นในฤดูหนาว และปองกันฝุนผงโดยใชรวมกับผาโพกศีรษะ ซึ่งเปนเหตุผลทางสภาพอากาศ สําหรับปจจุบันชาว อาหรับจําเปนตองใชเครื่องสวมศีรษะเวลาที่ออกจากบาน ฉะนั้นกปเยาะหจึงถูกใชสวมเพื่อจัดให ผมเปนระเบียบเพื่อที่จะคลุมทับดวยฆุตเราะฮฺ หรือชุมาฆ แลวคาดดวยเสวียน หรือใชผาพันทับ ทั้งนี้เพื่อไมใหผาที่สวมทับดังกลาวหลุดออกจากศีรษะ ซึ่งชาวอาหรับเองไดใชรูปแบบตาง ๆ นี้มา เปนระยะเวลายาวนาน ประการที่ 2 เปนเหตุผลทางดานศาสนาเนื่องจากมุสลิมสวนใหญนิยมสวมใสกป เยาะหในขณะละหมาดโดยเฉพาะในกลุมของมุสลิมอินเดีย ปากีสถาน ที่ถือวาในขณะละหมาดนั้น จะตองสวมหมวกเสมอ หมวกกปเยาะหที่ใชมีหลายรูปแบบดวยกัน ดังนี้ 1. กปเยาะหที่ทํามาจากผา ธรรมดาสีขาวและไมมีการตกแตงใด ๆ 2. กปเยาะหผาแบบหนาและมีการปกลวดลาย เปน หมวกที่มีลักษณะเดียวกับที่พบในจังหวัดปตตานีหรือจังหวัดอื่น ๆ โดยทั่วไป 3. กปเยาะหแบบ โอมานซึ่งมีใชกันมากในกลุมของชาวโอมาน ซันซีบา และแอฟริกาตะวันออก โดยกปเยาะหแบบ ผาจะมีสวนประกอบ 2 สวนคือ สวนฐาน และสวนบน หรือสวนหัว 4. กปเยาะหแบบถัก ซึ่งจะมีสี และลวดลายขึ้นอยูกับดายที่ใชถักและความตองการของผูใช 5. กปเยาะหแบบแฟชั่น เปนหมวกที่ เนนสีสัน และลวดลายที่สวยงาม (ประเสริฐ บินรัตแกว, (สัมภาษณ) 20 มิถุนายน 2550) การใชหมวกกปเยาะหของชาวมลายูในจังหวัดปตตานีนั้นสวนใหญจะใชเนื่อง ดวยเหตุผลทางดานศาสนาเปนหลัก โดยเฉพาะในการละหมาดเนื่องจากเวลาสุยุด (กมกราบ) หากเสนผมมาปดหนาผากแมเพียงเล็กนอย ก็ทําใหการละหมาดเปนโมฆะ ดังนั้น กปเยาะหจึงถูก ใชสําหรับรวบผมเอาไวไมใหปรกลงมาปดหนาผาก เพื่อทําใหการละหมาดนั้นสมบูรณ และเหตุผล อีกประการก็คือเชื่อวาใสแลวไดบุญ เนื่องจากเปนการปฏิบัติตามสุนนะฮฺ (แบบฉบับ) ของทาน ศาสนทูตมูฮัมมัด ซึ่งสอดคลองกับงานวิจัยของจุรีรัตน บัวแกว และคณะ,(2549 : 33) และ ความเขาใจของชาวบานทั่วไปที่มักมองวาการสวมหมวกเปนเงื่อนไขที่ตองกระทําเวลาละหมาด ซึ่ง ก็สอดคลองกับคํากลาวของเจะอับดุลลาห หลังปูเตะ อดีตรัฐมนตรีชวยวาการกระทรวงสาธารณสุข และรัฐมนตรีสั่งราชการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเฉลิมเกียรติ ขุนทองเพชร, (2547 : 33) ไดเขียน ไววา “...เรื่องสมาหยังก็ตองใชหมวกกูเปยะห หมวกแกปใช ไม ไ ด เพราะอะไรล ะ ? ก็ ท ราบไม ถึ ง นี่ เ ป น เครื่ อ ง ประกอบศาสนาผูกลับจากเมกกะใหม ๆ...”
192
คําพูดดังกลาวแมวาจะเปนคําพูดที่นานมาแลว แตก็แสดงถึงความเขาใจของ บุคคลทั่วไปในเริ่มแรกที่มีการใชหมวกกปเยาะห ซึ่งตอมาความเขาใจเดียวกันนี้ไดรับการสืบทอด ตอมาจวบจนปจจุบันวาหมวกกปเยาะหเปนเครื่องแตงกายอยางหนึ่งสําหรับการละหมาดจะไม สวมไมได ขณะเดียวกันจะใชหมวกอื่นสวมแทนก็ไมไดเชนเดียวกัน ซึ่งในกรณีนี้ผูวิจัยก็เคยประสบ กับตัวเองในพื่นที่อําเภอมายอ โดยระหวางที่ขอทําการละหมาด เจาของบานก็นําผาโสรงพรอม หมวกกปเยาะหมาให ผูวิจัยบอกวาไมเปนไรเพราะกางเกงยังสะอาดอยู และปรกติผูจัยก็ไมสวม หมวกอยูแลว แตเจาของบานก็ยังบอกในความหมายที่วา ไมสวมไมไดเดี๋ยวการละหมาดจะไม สมบูรณ ซึ่งความเขาใจของผูคนทั่วไปก็ยังคงเปนเชนนี้ จากการศึกษาลักษณะการแตงกายของทานศาสนทูต โดยรวมพบวา ทาน มักจะสวมเสื้อคลุมและเสื้อผาธรรมดา ซึ่งจากแนวทางดังกลาวแสดงถึงการแตงกายที่เกิดจาก เหตุผลทางดานภูมิอากาศเปนหลัก เนื่องจากวิธีการใชเสื้อผาของทานถือเอาสิ่งที่เปนประโยชนตอ รางกายมากที่สุด โดยลักษณะของเสื้อผาที่ใชมีความพอดีกับรางกายไมยาวหรือสั้นจนเกินไป ทั้งนี้ เพื่อไมใหโดนความรอนหรือความเย็นตออากาศภายนอกมากเกินไป สําหรับผาโพกศีรษะ (อิมา มะฮฺ) ก็มีขนาดพอดีสําหรับปองกันอันตรายจากความรอนหรือความหนาวเย็นภายนอก และทาน จะนําปลายหนึ่งมาพันใตคางของทานซึ่งการกระทําเชนนั้นมีประโยชนหลายประการคือ เปนการ ปดกั้นไมใหความรอนหรือความเย็นมากระทบกับบริเวณตนคอ ทําใหผาโพกศีรษะแนนหนามาก ขึ้น โดยเฉพาะอยางยิ่งเวลาขี่อูฐ ขี่มาหรือลา หรือบางครั้งทานเคยนุงผาโสรง ที่ไมไดเย็บเปนถุง ซึ่งก็เปนลักษณะการแตงกายของชาวอาหรับโดยทั่วไป รวมทั้งในปจจุบันหากสังเกตในมัสญิดอัล หะรอม นครมักกะฮฺ ก็จะพบวาตํารวจที่คอยรักษาความปลอดภัยใหแกอิหมาม และพนักงานทํา ความสะอาดมัสญิด บุคคลเหลานั้นทําการละหมาดในชุดทํางานของตัวเอง เพียงแตหมุนหมวก แกปที่ตัวเองครอบจากดานหนาไปไวดานหลัง ฉะนั้นจะเห็นไดวาการสวมหมวกกปเยาะหเปน เพียงวัฒนธรรมการแตงกายอยางหนึ่งของชาวอาหรับ ซึ่งผูวิจัยเองเห็นวาการสวมหมวกกปเยาะห เปนประเพณีการแตงกายที่ไมเกี่ยวของกับบทบัญญัติหรือคําสอนของศาสนาอิสลามแตอยางใด 4.2.2 ผาโพกศีรษะ ผาโพกศีรษะ มีลักษณะเปนผาสี่เหลี่ยมดานเทา มีขนาด 1.3 เมตร ใชสําหรับ คลุม หรือพันศีรษะ โดยมีรูปแบบการคลุมที่หลากหลายซึ่งจะขึ้นอยูกับพื้นที่ และลักษณะงานของ ผูใช อาทิ กลุมชาวประมง และชางฝมือ เปนตน กลุมเหลานี้นิยมคลุมโดยใชชายผาสวนที่เหลือพัน รอบศีรษะ ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการทํางานที่ตองการความคลองตัว โดยเรียกลักษณะการพัน ในแบบนี้วาตุรบันด (Turban) หรือสัรบานในภาษาไทยและภาษามลายูถิ่น สําหรับพนักงานบริษัท และบุคคลทั่วไป นิยมคลุมโดยการพับมุมผาเขาหากันเปนรูปสามเหลี่ยมแลวคลุมศีรษะจากนั้น คาดดวยเสวียนเชือกสีดํา (‘Iqāl) ทั้งนี้มีชื่อเรียกแตกตางกัน คือ ผาสีขาว เรียกวา “ฆุตเราะฮฺ”
193
สวนผาลายขาวสลับแดง เรียกวา “ชุมาฆ” (Shumāgh) หรือ “หัฏเฏาะฮฺ” (Hattah) นอกจากลายขาวสลั บ แดง แล ว ยั ง มี ล ายขาวสลั บ ดํ า ซึ่ ง นิ ย มใช กั น ในหมู ช าวปาเลสไตน จน กลายเปนสัญลักษณของขบวนการปลดปลอยปาเลสไตน (Palestine Liberation Organization) และสัญลักษณทางการเมืองของชาวปาเลสไตน นอกจากนี้ยังพบการใชผาลายดังกลาวในกลุมของ ชาวอิรักอีกดวย โดยสรุปการใชผาคลุม และพันศีรษะนั้นเปนที่นิยมในกลุมประเทศอาหรับแถบ อาวเปอรเซีย และคาบสมุทรอาหรับ การโพกศีรษะนิยมกันมากในประเทศโอมาน เยเมน และบางพื้นที่ของประเทศ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส โดยจะเรียกการโพกศีรษะวา “อิมามะฮฺ” หรือ “อิมามะฮฺ หะมะดานียะฮฺ” สําหรับจังหวัดปตตานีผาพันศีรษะจะเรียกวา “ซือฆือแบ” มาจากคําวา ซิรบาน ซึ่งชาวอาหรับใชเรียกการโพกศีรษะแบบเปอรเซีย สังเกตุไดวาชื่อที่ชาวมลายูใชเรียกแตกตางไป จากชาวอาหรับ ที่โดยทั่วไปจะเรียกการโพกศีรษะวา “อิมามะฮฺ” หรือ “อิมามะฮฺ หะมะดานียะฮฺ” โดยการพันศีรษะเปนเครื่องหมายแสดงวาเปนหะยี หรือผานการประกอบพิธีหัจญมาแลว ซึ่งจะ พบไดทั่วไปในกลุมของโตะครู และผูนําศาสนา สําหรับรูปแบบในการพันมีความคลายคลึงกับ รูปแบบของชาวเยเมน นอกจากนี้ยังมีการใชผาฆุตเราะฮฺคลุมศีรษะซึ่งเหมือนกับวิธีการคลุมของ อุละมาอในประเทศซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส และคูเวต แตพบไดนอยมาก (Ghutrah)
4.2.3 เสื้อโตบ เสื้อโตบ มีลักษณะเปนเสื้อยาวกรอมเทา แขนยาวทรงกระบอก มีทั้งคอกลม และ คอปก ผาดานหนาประมาณ 1 ฟุต หรือบางแบบอาจผาตลอด ทําจากผาฝายสีขาว และผาขนสัตว บางประเทศอาจมีพูหอยไวสําหรับพรมน้ําหอม ในประเทศอาหรับเรียกเสื้อชนิดนี้วา “ดิชดาชะฮฺ” (Dishdāshah) หรือ “โษบ” (Thowb) ซึ่งเปนที่นิยมของชาวอาหรับสวนใหญในกลุมประเทศบน คาบสมุทรอาหรับ ซึ่งประกอบดวย ซาอุดีอาระเบีย คูเวต บาหเรน กาตาร สหรัฐอาหรับเอมิเรตส โอมาน และเยเมน เนื่องจากตัวเสื้อแบบนี้ชวยปองกันผิวหนังจากอากาศที่รอนไดดี และในฤดู หนาวชาวอาหรับก็นิยมสวมเสื้อโตบหนาที่ทําจากขนสัตวเพื่อชวยสรางความอบอุนใหแกรางกาย ในจังหวัดปตตานีเรียกเสื้อชนิดนี้วา “โตบ” ซึ่งเรียกตามสําเนียงของชาวอียิปต เปนเสื้อที่โตะครู อุสตาส ที่สําเร็จการศึกษาจากประเทศอาหรับนิยมสวมใส โดยสวมเขาชุดกับ หมวกกปเยาะห และผาเซอเฆอแบ ในกรณีบุคคลทั่วไปนิยมสวมใสเฉพาะเวลาละหมาดเนื่องใน วันอีดฟตร อีดอัฎฮา และอาจมีการสวมใสบางในละหมาดวันศุกร
194
4.2.4 เสื้อคลุม บิชต (Bisht) เปนคําที่ชาวอาหรับใชกันอยางแพรหลายเพื่อเรียกเสื้อคลุม คําวา (Bisht) มาจาก (Busht) ในภาษาเปอรเซียหมายถึง ขางหลัง, ดานหลัง หรือสิ่งที่นํามาคลุมหลัง โดยปริยายหมายถึง เสื้อคลุม นอกจากนี้ยังมีบางทัศนะเห็นวา คําวา (Bisht) มาจากชื่อของเผา ปุชตในอัฟกานิสถาน เนื่องจากมีลักษณะเดนตรงที่ชนเผานี้ชอบสวมเสื้อคลุม แตอยางไรก็ตาม หากพิจารณาถึงการติดตอทางดานการคาระหวางอาหรับกับเปอรเซียที่มีมาอยางยาวนานแลวสรุป ไดวาคําดังกลาวเปนคําเปอรเซีย นอกจากนี้ยังมีคําศัพทในภาษาเปอรเซียอีกมากมายที่อาหรับยืม ไปใชในภาษาของตน นอกจากนี้ยังมีชื่อเรียกอื่นอีกคือ มิชละหฺ (Mishlah) ซึ่งนิยมเรียกกันใน ประเทศซาอุดีอาระเบีย สวนภาษากลางเรียกวา “อะบาอะฮฺ” (‘Abā ’ah) บิชต หรือ มิชละหฺ เปนเสื้อคลุมยาวผาหนาตลอด ตัดเย็บโดยไมมีแขนแตจะใช วิธีเปดดานขางเอาไวสําหรับสอดมือออกเวลาสวมใส โดยจะสวมเขาชุดกับฆุตเราะฮฺ หรือ ชุมาฆ และเสวียนคาดศีรษะ หรืออาจไมใชเสวียนก็ได สําหรับการสวมใสชาวอาหรับเบดูอินจะสวมเสื้อ คลุมนี้อยูตลอดเวลาโดยเฉพาะชวงเดินทาง ทั้งนี้เนื่องจากสําหรับผูที่เดินทางในทะเลทรายนั้นเสื้อ คลุ ม สามารถเป น เครื่ อ งป อ งกั น ความร อ นจากแสงแดดได เ ป น อย า งดี และในยามพั ก ผ อ นก็ สามารถใชปูเปนเสื่อสําหรับรองนั่ง และตอนกลางคืนก็ยังสามารถใชเปนผาหม ยิ่งไปกวานั้นบาง คนยังใชเสื้อคลุมกางเปนเตนทที่พักสวนตัวระหวางเดินทางในตอนกลางวัน รวมถึงยังใชเปน เครื่องปองกันอันตรายที่เกิดจากพายุทรายใหชาวอาหรับเบดูอินไดอีกดวย สวนชาวอาหรับเมือง ในอดีตเสื้อชนิดนี้ผูคนทั่วไปไมวาจะเปนเด็กหรือผูใหญ นิยมสวมกันอยางแพรหลาย แตในปจจุบันเสื้อคลุมชนิดนี้ไดกลายเปนเสื้อคลุมที่ใชเฉพาะสําหรับ ผูมีตําแหนงหนาที่ในสังคม อาทิ กษัตริย รัฐมนตรี คณะทูต และนักการศาสนา เปนตน ซึ่งเสื้อ คลุมเปนเครื่องแสดงถึงฐานะทางสังคม แตสําหรับประชาชนทั่วไปมีการสวมเสื้อคลุมเฉพาะในชวง เทศกาลสํ า คั ญ เท า นั้ น อาทิ วั น อี ด พิ ธี แ ต ง งาน เป น ต น ทั้ ง นี้ เ ป น ที่ นิ ย มเฉพาะประเทศบน คาบสมุทรอาหรับ เชน ซาอุดีอาระเบีย โอมาน คูเวต กาตาร บาหเรน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส เทานั้น สวนประเทศอาหรับอื่น ๆ พบไดในกลุมนักการศาสนา จัง หวั ด ป ต ตานี เรี ย กว า “ุ เ บาะฮฺ ” ซึ่ ง เป น การเรี ย กตามแบบชาวอี ยิ ป ต ใน จังหวัดปตตานีพบเสื้อคลุมชนิดนี้ไดนอยมาก มีเพียงบางมัสยิดที่นํามาใชสําหรับคอเต็บสวมเวลา ขึ้นกลาวคุฏบะฮฺในวันศุกร วันอีดฟตร และอีดอัฎฮา ซึ่งสาเหตุที่ไมไดรับความนิยมอาจเนื่องจาก เสื้อดังกลาวมีราคาสูงซึ่งจะขึ้นอยูกับเนื้อผา ลายปก และสี โดยทั่วไปราคาอยูระหวาง 2-7 หมื่น บาท ซึ่งแตกตางจากเครื่องแตงกายชนิดอื่นที่มีราคาถูกกวามาก รวมถึงบางชนิดยังสามารถผลิต ไดเองในทองถิ่น อาทิ หมวกกปเยาะห และเสื้อโตบ เปนตน
195
บทที่ 5 สรุปผลการวิจัยและขอเสนอแนะ การวิจัยครั้งนี้ผูวิจัยไดกําหนดวัตถุประสงคของการวิจัย วิธีดําเนินการวิจัย การวิเคราะห ขอมูล สรุปผล การอภิปรายผลการวิจัยและขอเสนอแนะดังนี้ วัตถุประสงค 1. เพื่อศึกษาประวัติความเปนมาของวัฒนธรรมอาหรับในสังคมมลายูในจังหวัด ปตตานี 2. เพื่อศึกษาอิทธิพลวัฒนธรรมอาหรับในสังคมมลายูในจังหวัดปตตานี ความสําคัญและประโยชนของการวิจยั 1. ทราบประวัติความเปนมาของวัฒนธรรมอาหรับในจังหวัดปตตานี 2. ทราบอิทธิพลของวัฒนธรรมอาหรับในสังคมมลายูในจังหวัดปตตานี 3. ผลการวิจัยสามารถใชเปนองคความรูในการเรียนการสอนวัฒนธรรมอาหรับและ วัฒนธรรมมลายู 4.
ผลการวิจัยเปนประโยชนกับหนวยงานราชการในการพัฒนาจังหวัดชายแดน
ภาคใต 5. ผลการวิจัยสามารถใชเปนประโยชนในการศึกษาลูทางในการประกอบธุรกิจใน จังหวัดชายแดนภาคใตและจังหวัดใกลเคียง ขอบเขตของการวิจัย 1. การศึกษาวัฒนธรรมอาหรับในการวิจัยนี้จะศึกษาเฉพาะวัฒนธรรมอาหรับในดาน ภาษา และการแตงกาย ที่มีอยูในจังหวัดปตตานีเทานั้น 2. การวิจัยครั้งนี้จะศึกษาเฉพาะวัฒนธรรมอาหรับที่ไมไดเปนบทบัญญัติของศาสนา อิสลาม
195
196
3. ในการวิจัยครั้งนี้ผูวิจัยจะทําการวิจัยอิทธิพลของวัฒนธรรมอาหรับดานภาษา และ การแตงกาย ที่มีอยูในปจจุบัน ณ ปที่ทําการศึกษาวิจัย คือ ป พ.ศ. 2547-2549 4. วัฒนธรรมการแตงกายผูวิจัยไมรวมถึงการแตงกายของสตรี เนื่องจากรูปแบบ การแตงกายของสตรีนั้นเปนผลมาจากบทบัญญัติของศาสนาอิสลาม อาทิ การคลุมศีรษะ เปนตน วิธีการวิจัย การศึกษาวิจัยเรื่องอิทธิพลของวัฒนธรรมอาหรับตอสังคมมลายูในจังหวัดปตตานี เปนการวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) โดยการศึกษาคนควา รวบรวมขอมูล จาก หนังสือ เอกสารตางๆ ที่เกี่ยวของมาประมวล วิเคราะห และสรุปใหเห็นถึงลักษณะและสภาพความ เปนอยูของสังคม เปนการสํารวจประวัติความเปนมา และลักษณะของวัฒนธรรม โดยใชแหลงขอมูล ดังนี้ 1. ขอมูลปฐมภูมิ (Primary Sources) ไดแก 1.1 คัมภีรอัลกุรอาน และอัลหะดีษ 1.2 บันทึกประวัติศาสตรปตตานี จดหมายเหตุ 1.3 ขอมูลจากการสัมภาษณบุคคลตางๆ ที่เกี่ยวของกับวัฒนธรรมอาหรับ เชน ประธานกลุมเย็บหมวกกปเยาะห โตะครู หรือ อุสตาส และบุคคลทั่วไป 1.4 รายการโทรทัศนเกี่ยวกับวัฒนธรรมอาหรับที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน ในกลุมประเทศอาหรับในชวงเดือนตุลาคม 2547 ถึง เดือนพฤษภาคม 2549 ไดแก 1.4.1 รายการอัลโอมานียาต (al-Omānīyāt) และรายการเทศกาลประจําป มัสกัต (Mahrajan Masqat) ซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศนชอง 1 ประเทศโอมาน 1.4.2 รายการนะวาฟษฺ (Nawāfidh) และรายการหะดีษ อัลบะรอรีย (Hadīth al-Barārīy) ซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศนอัชชาริเกาะห ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส 1.4.3 การถ า ยทอดสดรายการศิ ล ปวั ฒ นธรรมอั ล เจนาดรี ย ะห (alJinādrīyah) และรายการมุกัสซารอต (Mukassarāt) ซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศน ชอง 1 ประเทศซาอุดีอาระเบีย 1.4.4 รายการอัลบัยตฺ อัลอะรอบีย (al-Bayt al-‘Arabīy) ซึ่งออกอากาศ ทางสถานีโทรทัศนประเทศเยเมน 2. ขอมูลทุติยภูมิ (Secondary Sources) ไดแก หนังสือ เอกสาร สิ่งพิมพ ที่ เกี่ยวของกับวัฒนธรรม ประวัติความเปนมาของชนชาติอาหรับ เชน หนังสือของ Gustave Le Bon เรื่อง Hadārah al-‘Arab และ Philip K. Hitti เรื่อง History of The Arab สวนวัฒนธรรม ประวัติ
197
ความเปนมาของชนชาติมลายู เชน หนังสือของ Ismail Hamid เรื่อง Masyarakat dan Budaya Melayu และ Slamet Muljana เรื่อง Runtuhnya Kerajaan Hindu-Jawa dan Timbulnya Negara-negara Islam di Nusantara 3. ขอมูลตติยภูมิ (Tertiary
Sources)
ไดแก หนังสือสารานุกรม หนังสือรายป
พจนานุกรม เชน สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต โดยผูวิจัยมีวิธีการดําเนินการตามขั้นตอนดังนี้ 1. รวบรวม หนังสือ ตํารา บทสัมภาษณ สารคดี และเอกสารตาง ๆ ที่เกี่ยวของกับ วัฒนธรรมอาหรับ และมลายูทั้งโดยตรงและโดยออม 2. ศึกษาทฤษฎีและแนวคิดที่เกี่ยวของกับวัฒนธรรม 3. ศึกษาเกี่ยวกับประวัติความเปนมาของชนชาติอาหรับ และมลายู 4. ศึกษาลักษณะและประเภทของวัฒนธรรมอาหรับ และมลายู 5. ศึกษาภูมิหลังดานภูมิศาสตร วัฒนธรรมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต โดยเฉพาะจังหวัดปตตานี 6. ศึกษาการเขามาของศาสนาอิสลามในภูมิภาคมลายูโดยเฉพาะจังหวัดปตตานี 7. ศึกษาวัฒนธรรมอาหรับในสังคมมลายูในจังหวัดปตตานี 8. ศึกษาคํายืมภาษาอาหรับในภาษามลายูถิ่นปตตานี 9. จัดแบงหมวดหมูของขอมูลโดยการจําแนกตามหัวขอใหญและหัวขอยอย 10. วิเคราะหขอมูลตามหัวขอที่กําหนด โดยใชวิธีการวิเคราะหเนื้อหา และนําเสนอ เนื้อหาสาระโดยวิธีการพรรณนาความ 5.1 สรุปผลการวิจัย จากการศึกษาเรื่องอิทธิพลของวัฒนธรรมอาหรับตอสังคมมลายูในจังหวัดปตตานี สามารถสรุปผลการวิจัยไดดังนี้ 1. วัฒนธรรมดานภาษา อิทธิพลของวัฒนธรรมอาหรับทางดานภาษาสามารถแบงออกเปน 2 ประเภท คือ 1.1 อักษร ยาวี เปนคําที่ใชเรียกอักษรภาษามลายูที่เขียนดวยอักษรอาหรับ มาจากคํา วา “ญาวะฮฺ” ซึ่งชาวอาหรับใชเรียกเกาะสุมาตรารวมทั้งคาบสมุทรมลายูดังปรากฏในตําราอาหรับ หลายเลม อาทิ มุอฺญัม อัลบุ ลดาน (Mu‘jam al-Buldān) ของท านยากู ต ตั ก วี ม อั ล บุ ล ดาน
198
(Taqwīm al-Buldān)
ของทานอบู อัลฟดาอ และอัรริหฺละฮฺ (al-Rihlah) ของอิบนุ บัฏฏเฏาะฮฺ เปน ตน จากคําดังกลาวชาวอาหรับไดใชเรียกคนที่อาศัยอยูในเกาะสุมาตราที่นับถือศาสนาอิสลามและใช ภาษามลายู และหมายรวมถึงผูที่มีสีผิวเปลือกละมุดก็ถือวาเปนชาวชวาเชนเดียวกัน ดังนั้นอะไรก็ ตามที่เกี่ยวกับชวาชาวอาหรับจะเรียกยาวีท้ังหมด ดังเชน คนยาวี ภาษายาวี อักษรยาวี และกีตาบยาวี เปนตน ซึ่งชาวอาหรับไดใชคํา ๆ นี้ ในความหมายของผูคน และภาษาที่กลุมชนดังกลาวใช โดยจะ เรียกรวม ๆ วา คนยาวี ซึ่งหมายถึง คนอินโดนีเซีย ฟลิปปนส มาเลเซีย และไทยมาจวบจนปจจุบัน โดยเฉพาะชาวอาหรับในประเทศซาอุดีอาระเบีย กอนศาสนาอิสลามจะถูกเผยแผ ภาษามลายูไดใชอักษรกวิและเทวนาครี เปนตัวเขียน แตหลังจากที่ศาสนาอิสลามถูกเผยแผภาษาอาหรับในฐานะที่เปนภาษาแหงคําสอนของ ศาสนาอิสลาม อักษรอาหรับก็ไดถูกนํามาดัดแปลงเพื่อใชเปนตัวเขียนในภาษามลายู โดยเรียกวา อักษรยาวี โดยใชวิธีการสองแบบ คือ 1. ยืมอักษรเปอรเซียที่มีเสียงเหมือนกับภาษามลายู 2. ดัดแปลงอักษรใหมโดยการเพิ่มจุด ซึ่งอักษรที่ถูกดัดแปลงทั้งหมดมี 5 อักษร คือ `) ))))¢) )){)))))ڤW โดยอักษร `) และ ¢ ยืมจากเปอรเซีย สวน { ڤและ W ดัดแปลงจากอักษรอาหรับ 1.2 คํายืม ในดานคําศัพท คําหลายคําในภาษามลายูถูกแทนที่ดวยภาษาอาหรับและ ภาษาเปอรเซีย เนื่องจากภาษาอาหรับเปนแหลงขอมูลทางวิชาการทางดานศาสนา และองคความรูดาน อื่น ๆ ที่สําคัญในภูมิภาคมลายู ในยุคอิสลามนั้นคําศัพทเฉพาะดานในสาขาวิชาตาง ๆ ไดถูกบัญญัติ และเขียนในภาษามลายูเปนผลทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงทางดานคําศัพทอยางรวดเร็วดวยการยืม คําศัพทในสาขาวิชาตาง ๆ มาจากอาหรับ อาทิ ศาสนศาสตร ปรัชญา จริยธรรม เปนตน ดังนั้นในชวง เวลาตั้งแตศตวรรษที่ 13 เปนตนมา คําศัพทภาษาอาหรับหลายคําไดถูกยืมมาใชในภาษามลายูโดยมี การปรับเปลี่ยนเสียงเพื่อใหเขากับเสียงในภาษามลายู จากการศึกษาคํายืมภาษาอาหรับในภาษามลายู ถิ่นปตตานีพบวามีคําภาษาอาหรับจํานวนหลายคําที่ถูกใชในวิถีชีวิตประจําวัน โดยผูใชมักไมทราบวา คํา ๆ นั้นเปนภาษาอาหรับ โดยเฉพาะผูที่ไมไดเรียนภาษาอาหรับ เนื่องจากคําศัพทไดถูกปรับเสียงให เขากับระบบเสียงในภาษามลายูถิ่นปตตานี ดังหมวดหมูตอไปนี้ 1. คําที่เกี่ยวกับการกระทํา ความคิด และความรูสึก 2. คําที่เกี่ยวกับชื่อเฉพาะ และชื่อสถานที่ 3. คําที่เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม และขอบัญญัติตาง ๆ 4. คําที่เกี่ยวกับการศึกษา 5. คําที่เกี่ยวกับชื่อวันเดือนป เวลา และการคํานวณ
199
6. คําที่เกี่ยวกับสิ่งของ เครื่องมือเครื่องใช 7. คําที่เกี่ยวกับสังคม เครือญาติ และฐานะ 8. คําที่เกี่ยวกับการเมือง การปกครองและการทหาร 9. คําที่เกี่ยวกับรางกาย และลักษณะนิสัย 10. คําที่เกี่ยวกับสํานวน คําพูด 11. คําที่เกี่ยวกับกฏหมายอิสลาม และศาลยุติธรรม 12. คําที่เกี่ยวกับเสื้อผา เครื่องแตงกาย และเครื่องประดับ 13. คําที่เกี่ยวกับสุขภาพ และการแพทย 14. คําที่เกี่ยวกับอาหาร และผลไม 15. คําที่เกี่ยวกับประเพณี และการละเลน 16. คําที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ การคา 2. วัฒนธรรมดานการแตงกาย อิทธิพลของวัฒนธรรมอาหรับทางดานการแตงกายสามารถแบงออกเปน 4 ประเภท คือ 2.1 หมวกกปเยาะห กปเยาะหเปนคําที่กลายเสียงมาจากคําวา กูฟยะฮฺ ซึ่งหมายถึงเมืองกูฟะฮฺ ในประเทศอิรัก ซึ่งเมืองดังกลาวนี้เปนแหลงผลิตหมวกที่ดีที่สุดในสมัยอับบาสียะฮฺ โดยชาวเมือง ดังกลาวไดใชคําวากูฟยะฮฺในความหมายของสิ่งที่ครอบบนศีรษะหรือหมวกนั่นเอง และจากหลักฐาน ซึ่งเปนรูปแกะสลักในสมัยอัสสิเรียนไดแสดงใหเห็นวาชาวอาหรับนั้นมีการสวมกปเยาะหและใชเสวียน คาดศีรษะเชนเดียวกับที่ปรากฏในปจจุบัน อนึ่ ง สํ า หรั บชื่ อ ที่ ใ ช สํ าหรั บ เรี ย กหมวกของชาวอาหรั บ จะมี อ ยู ห ลายคํ า ดวยกันโดยจะขึ้นอยูกับพื้นที่ อาทิ ในอิรักเรียกวากูฟยะฮฺ ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตสเรียกวาเกาะหฺฟ ยะฮฺ ในโอมานเรียกวากุมมะฮฺ และในซาอุดีอาระเบียเรียกวากัฟฟยะฮฺ เปนตน สําหรับกปเยาะหใน สําเนียงของมลายูปตตานีเปนคําที่มาจากกัฟฟยะฮฺในสําเนียงของชาวซาอุดีอาระเบีย สํ าหรั บเหตุ ผ ลในการใช ห มวกมี 2 ประการด ว ยกั น ประการแรก ชาว อาหรับใชกปเยาะหครอบศีรษะเพื่อปองกันความรอนโดยเฉพาะในฤดูรอน ความเย็นในฤดูหนาว และ ปองกันฝุนผงโดยใชรวมกับผาโพกศีรษะ ซึ่งเปนเหตุผลทางสภาพอากาศ ประการที่ 2 เปนเหตุผลทางดานศาสนาเนื่องจากมุสลิมสวนใหญนิยมสวม ใสกปเยาะหในขณะละหมาดโดยเฉพาะในกลุมของมุสลิมอินเดีย ปากีสถาน ที่ถือวาในขณะละหมาด นั้นจะตองสวมหมวกเสมอ
200
โดยหมวกกปเยาะหที่ใชมี 5 รูปแบบดวยกัน ดังนี้ 1. กปเยาะหที่ทํามาจากผาธรรมดาสีขาวและไมมีการตกแตงใด ๆ 2. กปเ ยาะห ผาแบบหนาและมี การปกลวดลาย เปน หมวกที่มี ลัก ษณะ เดียวกับที่พบในจังหวัดปตตานีหรือจังหวัดอื่น ๆ โดยทั่วไป 3. กปเยาะหแบบโอมานซึ่งมีใชกันมากในกลุมของชาวโอมาน ซันซีบา และแอฟริกาตะวันออก 4. กปเยาะหแบบแฟชั่น เปนหมวกที่เนนสีสัน และลวดลายที่สวยงามโดย กปเยาะหแบบผาจะมีสวนประกอบ 2 สวนคือ สวนฐาน และสวนบน หรือสวนหัว 5. กปเยาะหแบบถัก ซึ่งจะมีสีและลวดลายขึ้นอยูกับดายที่ใชถักและความ ตองการของผูใช การใชหมวกกปเยาะหของชาวมลายูในจังหวัดปตตานีนั้นสวนใหญจะใช เนื่องดวยเหตุผลทางดานศาสนาเปนหลัก โดยเฉพาะในการละหมาดเนื่องจากเวลาสุยุด (กมกราบ) หากเสนผมมาปดหนาผากแมเพียงเล็กนอย ก็จะทําใหการละหมาดเปนโมฆะ ดังนั้น กปเยาะหจึงถูก ใชสําหรับรวบผมเอาไวไมใหปรกลงมาปดหนาผาก เพื่อทําใหการละหมาดนั้นสมบูรณ และเหตุผลอีก ประการก็คือเชื่อวาใสแลวไดบุญ เนื่องจากเปนการปฏิบัติตามแบบฉบับของทานศาสนทูตมูฮัมมัด ซึ่งความเปนจริงแลวการสวมหมวกกปเยาะฮฺเปนเพียงวัฒนธรรมการแตงกายของชาวอาหรับ และการ สวมหมวกกปเยาะหเปนประเพณีการแตงกายที่ไมเกี่ยวของกับบทบัญญัติหรือคําสอนของศาสนา อิสลามแตอยางใด 2.2 ผาโพกศีรษะ ผาโพกศี รษะ มี ลักษณะเป นผาสี่เ หลี่ ยมด านเท า มี ขนาด 1.3 เมตร ใช สําหรับคลุม หรือพันศี รษะ ในจัง หวั ดปตตานีผาพันศีรษะจะเรี ยกวา “เซอเฆอแบ” มาจากคํ าว า ซิรบาน ซึ่งชาวอาหรับใชเรียกการโพกศีรษะแบบเปอรเซีย สังเกตไดวาชื่อที่ชาวมลายูใชเรียกแตกตาง ไปจากชาวอาหรับ ที่โดยทั่วไปจะเรียกการโพกศีรษะวา “อิมามะฮฺ” หรือ “อิมามะฮฺ หะมะดานียะฮฺ” โดยการพันศีรษะเปนเครื่องหมายแสดงวาเปนหะยี หรือผานการประกอบพิธีหัจญมาแลว ซึ่งจะพบได ทั่วไปในกลุมของโตะครู และผูนําศาสนา สําหรับรูปแบบในการพันมีความคลายคลึงกับรูปแบบของ ชาวเยเมน นอกจากนี้ยังมีการใชผาฆุตเราะฮฺคลุมศีรษะซึ่งเหมือนกับวิธีการคลุมของอุละมาอในกลุม ประเทศอาหรับแถบอาวเปอรเซีย เชน ประเทศซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส และคูเวตอีก ดวย แตก็พบไดนอยมาก
201
การโพกศี ร ษะนิ ย มกั น มากในประเทศโอมาน เยเมน และบางพื้ น ที่ ข อง ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส โดยจะเรียกการโพกศีรษะวา “อิมามะฮฺ” หรือ “อิมามะฮฺ หะมะดานี ยะฮฺ” 2.3 เสื้อโตบ โตบ มีลักษณะเปนเสื้อยาว มีทั้งคอกลม และคอปก ผาดานหนาประมาณ 1 ฟุต หรือบางแบบอาจฝาตลอด ทําจากผาฝายสีขาว และผาขนสัตว ในประเทศอาหรับเรียกเสื้อชนิด นี้วา “ดิชดาชะฮฺ” (Dishdāshah) หรือ “โษบ” (Thowb) สวนจังหวัดปตตานีเรียกเสื้อชนิดนี้วา “โต บ ” ซึ่ ง เป น การเรี ย กตามสํ าเนี ย งของชาวอี ยิป ต เป น เสื้ อ ที่ โต ะครู อุ ส ตาส ส ว นใหญ ที่ สํ า เร็ จ การศึกษาจากประเทศอาหรับนิยมสวมใส โดยสวมเขาชุดกับหมวกกปเยาะห และผาเซอเฆอแบ ใน กรณีบุคคลทั่วไปนิยมสวมใสเฉพาะเวลาละหมาดเนื่องในวันอีดฟตร อีดอัฎฮา และอาจมีการสวมใส บางในละหมาดวันศุกร 2.4 เสื้อคลุม บิชต หรือ มิชละหฺ เปนเสื้อคลุมยาวผาดานหนาตัดเย็บโดยไมมีแขนแตจะ ใชวิธีเปดดานขางเอาไวสําหรับสอดมือออกเวลาสวมใส โดยจะสวมเขาชุดกับฆุตเราะฮฺ หรือ ชุมาฆ และเสวียนคาดศีรษะ และในบางครั้งอาจไมใชเสวียนก็ได ในประเทศอาหรับเสื้อคลุมชนิดนี้เปน เครื่องแสดงถึงสถานภาพทางสังคม ฉะนั้นผูสวมใสเปนประจําจึงมีเฉพาะผูมีตําแหนงหนาที่ในสังคม อาทิ กษัตริย รัฐมนตรี คณะทูต และนักการศาสนา เปนตน สําหรับประชาชนทั่วไปมีการสวมเสื้อคลุม เฉพาะในชวงเทศกาลสําคัญเทานั้น อาทิ วันอีด พิธีแตงงาน เปนตน ทั้งนี้เปนที่นิยมเฉพาะประเทศบน คาบสมุทรอาหรับ เชน ซาอุดีอาระเบีย โอมาน คูเวต กาตาร บาหเรน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส เปนตน ในจังหวัดปตตานีจะพบเสื้อคลุมชนิดนี้ไดนอยมาก มีเพียงบางมัสยิดที่ นํามาใชสําหรับคอเต็บสวมเวลาขึ้นกลาวคุฏบะฮฺในวันศุกร วันอีดฟตร และอีดอัฎฮา ซึ่งสาเหตุที่ไมได รับความนิยมอาจเนื่องจากเสื้อดังกลาวมีราคาสูงซึ่งจะขึ้นอยูกับเนื้อผา ลายปก และสี โดยทั่วไปราคา อยูระหวาง 2-7 หมื่นบาท ซึ่งแตกตางกับเครื่องแตงกายชนิดอื่นที่มีราคาถูกกวามาก รวมถึงบางชนิด ยังสามารถผลิตไดเองในทองถิ่น อาทิ หมวกกปเยาะห และเสื้อโตบ เปนตน 5.2 การอภิปรายผล จากการวิจัยเรื่องอิทธิพลของวัฒนธรรมอาหรับตอสังคมมลายูในจังหวัดปตตานี มี ขอสังเกตดังตอไปนี้
202
1. ลักษณะการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมบางสวนของชาวมลายูในจังหวัดปตตานี เปนการเปลี่ยนความหมายของวัฒนธรรมอาหรับ ดังเชน วัฒนธรรมการแตงกายของชาวอาหรับเกิด จากปจจัยของสภาพภูมิอากาศที่ผูคนที่อาศัยอยูบนคาบสมุทรอาหรับตองแตงกายมิดชิด เพื่อปองกัน รางกายจากอันตรายของแสงอาทิตย และฝุนทรายตาง ๆ แตหลังจากสภาพสังคมเปลี่ยนไปการพัฒนา ประเทศกาวหนาชาวอาหรับก็มีการปรับการแตงกายของตนในรูปแบบที่ทันสมัยมากขึ้น ดังนั้นไมวา บุคคลทั่วไป หรือนักการศาสนาอิสลาม ก็แตงกายเหมือนกัน แตสําหรับจังหวัดปตตานี การแตงกาย แบบชาวอาหรับ เปนเครื่องหมายของผูมีความรูทางศาสนา หรืออุละมาอ การใชหมวกกปเยาะหเปน เครื่องหมายทางศาสนา และการใชผาพันศีรษะเปนเครื่องหมายของผูผานการประกอบพิธีหัจญ และ ลักษณะการยอมรับวัฒนธรรมอาหรับของสังคมมลายูในจังหวัดปตตานี เปนการรับเอาวัฒนธรรมของ ชาวอาหรับมาใชโดยตรง ดังเชน การรับเอาหมวกกปเยาะห เสื้อโตบ ซึ่งสอดคลองกับคํากลาวของเจะ อั บ ดุ ล ลาห หลั ง ปู เ ต ะ อดี ต รั ฐ มนตรี ช ว ยว า การกระทรวงสาธารณสุ ข และรั ฐ มนตรี สั่ ง ราชการ กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเฉลิมเกียรติ ขุนทองเพชร, (2547 : 33) ไดเขียนไววา “...เรื่องสมาหยังก็ตองใชหมวกกูเปยะห หมวกแกปใชไมได เพราะอะไรละ? ก็ทราบไมถึง นี่เปนเครื่องประกอบศาสนาผู กลับจากเมกกะใหม ๆ...” 2. ลักษณะการยืมคําซึ่งจัดเปนวัฒนธรรมทางภาษา เกิดขึ้นภายใตบรรยากาศของ การสั มผัสภาษาซึ่งมาจากคนหนึ่ งคนใดพู ดภาษาไดสองภาษาขึ้ น ไป และสามารถใชภาษาทั้ งสอง สลับกันไปมาได เชน กรณีของผูที่เดินทางไปศึกษาที่ประเทศอาหรับและใชชีวิตอยูเปนเวลานาน สามารถใชภาษามลายูถิ่น และภาษาอาหรับสลับไปมาได สวนปจจัยที่กอใหเกิดคํายืมมีทั้งปจจัยจาก ตัวภาษาเองและปจจัยทางสังคม ซึ่งสอดคลองกับแนวคิดเกี่ยวกับปจจัยในการยืมคําของคารเมล เฮียะ ลี เซียะ (Carmel Heah Lee Hsia, 1989 : 14-16) ที่ไดแบงปจจัยที่กอใหเกิดการยืมคํา วามีทั้ง ปจจัยที่เกิดจากตัวภาษา และปจจัยทางสังคม โดยปจจัยจากตัวภาษานั้นเกิดจากความถี่ในการปรากฏ ของคํา ซึ่ ง คํ าศั พ ท ที่ มี ค วามถี่ ใ นการปรากฏสู ง และมี การใช บ อ ยจะมี ก ารยื มได งา ย ดัง พบได จ าก กระบวนการสอน หรือบรรยายวิชาการศาสนาตามมัสยิด หรือสถานศึกษาตางๆ ที่ผูสอนมักใชคําศัพท ในภาษาอาหรับซ้ํา ๆ กัน สําหรับปจจัยทางสังคมซึ่งเปนปจจัยที่อยูนอกเหนือจากปจจัยของตัวภาษา เกิดจาก ศักดิ์ศรีของทั้งสองภาษาที่เกิดการสัมผัสกัน นั่นคือภาษาอาหรับมีศักดิ์ศรีเหนือกวาภาษามลายูถิ่น ปตตานี เนื่องจากเปนภาษาของอัลกุรอาน และเปนภาษาที่ใชเขียนตําราศาสนา จึงทําใหภาษามลายู
203
ถิ่ น ป ต ตานี ยื ม คํ า จากภาษาอาหรั บ มาใช นอกจากนี้ ทั ศ นคติ ที่ มี ต อ ภาษายั ง เป น อี ก สาเหตุ ห นึ่ ง ที่ กอใหเ กิดการยืมคํา เชน ความรูสึกวาภาษาอาหรับนาจะดีกวาภาษามลายูถิ่นปตตานีสําหรับแทน ความหมายบางอยาง หรือแสดงความรูความสามารถในการใชภาษาตางประเทศของตน ซึ่งในกรณีนี้ ผูวิจัยสังเกตเห็นวาผูที่สําเร็จการศึกษาจากประเทศอาหรับมักใชคําภาษาอาหรับในการสนทนากัน มากกวาบุคคลทั่วไป เชนมักใชคําสรรพนามบุรุษที่ 1 และ 2 อะนา (ผม) และอันตา (คุณ) บอยครั้ง 3. กระบวนการยอมรับวัฒนธรรมอาหรับเกิดขึ้นโดยมีโตะครูหรือผูรูทางดานศาสนา อิสลามเปนแรงบันดาลใจ เนื่องจากโตะครูเปนผูนําทางจิตวิญญาณของสังคม ซึ่งสอดคลองกับผอง พันธุ มณีรัตน (2521 : 131) ที่กลาววา อิทธิพลของบุคคลเปนปจจัยสําคัญในการตัดสินใจยอมรับ วัฒนธรรม โดยเฉพาะบุคคลที่มีตําแหนงสูงจะมีความสําคัญมาก ดังนั้นโตะครู หรือผูรูทางดานศาสนา อิสลามจึงมีผลอยางยิ่งตอการตัดสินใจยอมรับ กอปรกับลักษณะของวัฒนธรรมอาหรับในสังคมมลายู เปนวัฒนธรรมเนื่องดวยศาสนาอิสลามจึงไมกอใหเกิดการตอตานทางวัฒนธรรม ดังเชน การใชหมวก กปเยาะหของชาวมลายูในจังหวัดปตตานีนั้นสวนใหญจะใชเนื่องดวยเหตุผลทางดานศาสนาเปนหลัก โดยเฉพาะในการละหมาดเพื่อไมใหเสนผมปดหนาผากเวลาสุูด ซึ่งจะทําใหการละหมาดเปนโมฆะ นอกจากนี้ยังเชื่อวาใสแลวไดบุญ เนื่องจากเปนการปฏิบัติตามสุนนะฮฺของทานศาสนทูตมูฮัมมัด ซึ่งสอดคลองกับงานวิจัยของจุรีรัตน บัวแกว และคณะ,(2549 : 33) นอกจากนี้ชาวบานทั่ว ๆ ไปมัก เข า ใจว า ผู ที่ แ ต ง กายด ว ยชุ ดโต บ และพั น ศี ร ษะมั ก เป น ผู มี ค วามรู ด า นศาสนาอิ ส ลามและเป น ผู เคร งครั ดในหลักการศาสนาอิ สลาม ดั งคํ า บอกเล าของมุฮํ าหมั ด เจ ะหะ(สัม ภาษณ, 24 มี น าคม 2549) วา คนในหมูบานมักไปสอบถามปญหาศาสนาจากผูที่นิยมแตงกายดวยชุดอาหรับ ทั้ง ๆ ที่คน ๆ นั้นไมไดเปนผูรูดานศาสนาอิสลามเลย 4. วัฒนธรรมการแตงกายแบบอาหรับ มีสวนสําคัญในการสรางคานิยมในดานการ แตงกายของกลุมผูนําศาสนาสวนใหญโดยเฉพาะกรรมการอิสลามประจําจังหวัดตาง ๆ มักนิยมสวม เสื้อสูททับเสื้อโตบแทนการสวมมิชละหฺ ซึ่งเปนการแตงกายในแบบของชาวเยเมน ปจจุบันการแตง กายในลักษณะนี้ไดกลายเปนเครื่องแบบของผูนําศาสนา และสรางความนาเชื่อถือในแงของศาสนา อิสลามอีกดวย 5. การยอมรับวัฒนธรรมอาหรับของชาวมลายูในจังหวัดปตตานี ถือเปนการยอมรับ อารยธรรมเซเมติกสวนหนึ่งเขามาในสังคม เปนผลทําใหอารยธรรมอินเดีย จีน ที่เคยมีอยูในสังคม มลายูลดลง แตกระนั้นการรับวัฒนธรรมอาหรับในสังคมมลายูเปนการรับเพียงบางสวน โดยเฉพาะ วัฒนธรรมที่เกี่ยวของกับศาสนาอิสลาม ดังจะเห็นไดวาชาวมลายูไมไดรับวัฒนธรรมที่เกี่ยวของกับที่อยู อาศัย กฎหมาย และระบบครอบครัวแบบอาหรับ ดวยเหตุนี้ครอบครัวมลายูที่ลูกสาวแตงงานกับชาว อาหรับจะมีระบบครอบครัว และความสัมพันธทางเครือญาติที่เปลี่ยนไป พอ แม จะพบปะกับลูกสาว
204
ไดยากขึ้น เนื่องจากสามีจะควบคุมดูแลอยางใกลชิด ซึ่งจะแตกตางจากระบบครอบครัวของชาวมลายู โดยสิ้นเชิง 6. วั ฒ นธรรมอาหรั บ ในสั ง คมมลายู เ ปน วั ฒ นธรรมอั น เนื่ อ งด ว ยศาสนาอิส ลาม โดยเฉพาะวัฒนธรรมการแตงกาย ซึ่งสงผลตอการสรางงานใหแกคนในพื้นที่ ดังจะเห็นไดวาปจจุบันมี กลุมตัดเย็บหมวกกปเยาะห เสื้อโตบ เพิ่มขึ้นหลายกลุมจากเดิมซึ่งมีเพียงไมกี่กลุม ปรากฏการณ ดังกลาวนอกจากจะเปนแหลงที่มาของรายไดแลวยังมีสวนชวยอนุรักษ และแพรกระจายวัฒนธรรม อาหรับไปสูวงกวางไดอีกดวย 5.3 ขอเสนอแนะ จากการทําวิจัยเรื่องอิทธิพลของวัฒนธรรมอาหรับตอสังคมมลายูในจังหวัดปตตานี ผูวิจัยเห็นวามีประเด็นบางอยางที่ควรแกการศึกษา และทําการวิจัย ซึ่งจะขอเสนอแนะดังตอไปนี้ 1. การปฏิสัมพันธระหวางชาวอาหรับกับชาวมลายูเ กิดขึ้นมาชานาน ซึ่งนอกจาก ภาษาอาหรับจะมีอิทธิพลตอภาษามลายูแลว ภาษามลายูยังกลายเปนคํายืมในภาษาอาหรับอีกดวย เชน ภาษาอาหรับสําเนียงมักกะฮฺมีการใชคําวา ตูตุ (นั่ง) อุนดุร (ถอยหลัง) และสําเนียงเยเมน เชน คําวา ลาลู (ขอทาง) อีแก (ปลา) จึงเห็นวานาจะทําวิจัยในเรื่องนี้ดวยเชนกัน 2. สังคมมลายูในจังหวัดปตตานีมีการยืมคําจากภาษาเปอรเซีย ดังเชน ชาห บานา ฟรมัน ตะฮ กือฆือตะฮ และอิทธิพลความเชื่อเกี่ยวกับกษัตริยถูกถายทอดจากเปอรเซีย ดังเชน กรณี ของการใชคํานําหนาพระนามของกษัตริยวา สุลตานพรอมกับคําวา ชาห อิทธิพลวัฒนธรรมเปอรเซีย เปนอีกวัฒนธรรมที่มีอิทธิพลตอสังคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต โดยเฉพาะตอสังคมมลายู รวมถึง สังคมไทย ซึ่งควรทําการศึกษาวิจัย 3. ควรมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับพัฒนาการดานเขียนอักษรยาวีในสังคมมลายูปะตานี เพื่อศึกษาความเปนมา และพัฒนาการในสมัยตาง ๆ โดยละเอียด 4. จากการที่ ช าวมลายู ใ นจั ง หวั ด ป ต ตานี มี ก ารแต ง กายแบบอาหรั บ ควรมี ก าร ศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเพื่อกําหนดรูปแบบของวัฒนธรรมการแตงกายวาเปนวัฒนธรรมจากอาหรับพื้นที่ ใด รวมถึงการเริ่มตนของการรับวัฒนธรรมอาหรับวาเกิดขึ้นตั้งแตเมื่อใด นอกจากนี้ในวัฒนธรรมการ แตงกายยังปรากฏวัฒนธรรมอินเดีย และปากีสถานผสมอยูดวย ซึ่งควรศึกษาดวยเชนกัน 5. รู ป แบบทางด า นสถาป ต ยกรรมของมั ส ยิ ด ที่ ป รากฏในสั ง คมไทยมี ค วาม หลากหลาย ดวยเหตุนี้ควรทําการศึกษาวิจัยวัฒนธรรมจากตางถิ่นที่มีอิทธิพลตอสถาปตยกรรมที่ใช สรางมัสยิดดวยเชนกัน
ภาคผนวก
218
ภาพที่ 1 สาสนของทานนบีมุฮัมมัด ถึงกษัตริยมุเกากิส ที่มา: หนังสือ Mohammed the Rise of Islam หนา 365 คําอาน
ﺑﺴﻢ ﺍﷲ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺍﻟﺮﺣﻴﻢ ﻣﻦ ﳏﻤﺪ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﻭﺭﺳﻮﻟﻪ ﺇﱃ ﺍﳌﻘﻮﻗﺲ ﻋﻈﻴﻢ ﺍﻟﻘﺒﻂ .ﺳﻼﻡ ﻋﻠﻰ ﻣﻦ ﺍﺗﺒﻊ ﺍﳍﺪﻯ ﺃﻣﺎ ﺑﻌﺪ ،ﻓﺈﱐ ﺃﺩﻋﻮﻙ ﺑﺪﻋﺎﻳﺔ ﺍﻹﺳﻼﻡ ،ﻓﺄﺳﻠﻢ ﺗﺴﻠﻢ ﻭﺃﺳﻠﻢ ﻳﺆﺗﻚ ﺍﷲ ﺃﺟﺮﻙ ﻣﺮﺗﲔ ﻗﻞ ﻳﺎ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﻜﺘﺎﺏ ﺗﻌﺎﻟﻮﺍ ﺇﱃ ﻛﻠﻤﺔ ﺳﻮﺍﺀ ﺑﻴﻨﻨﺎ ﻭﺑﻴﻨﻜﻢ ﺃﻻ ﻧﻌﺒﺪ ﺇﻻ ﺍﷲ ﻭﻻ ﻧﺸﺮﻙ ﺑﻪ ﺷﻴﺌﺎ ﻭﻻ ﻳﺘﺨﺬ ﺑﻌﻀﻨﺎ ﺑﻌﻀﺎ ﺃﺭﺑﺎﺑﺎ ﻣﻦ ﺩﻭﻥ ﺍﷲ ﻓﺈﻥ ﺗﻮﻟﻮﺍ ﻓﻘﻮﻟﻮﺍ ﺍﺷﻬﺪﻭﺍ ﺑﺄﻧﺎ ﻣﺴﻠﻤﻮﻥ
219
ภาพที่ 2 เหรียญที่ใชในราชอาณาจักรปะตานี ที่มา: นิอับดุลรากิบ บินนิฮัสซัน
220
ภาพที่ 3 สัญลักษณประจําเผาเบดูอิน ที่มา: หนังสือ Arabia: The Cradle of Islam หนา 279
221
ภาพที่ 4 ศิลาจารึก ตรังกานู เขียนเมื่อฮิจเราะฮศักราช 702 ตรงกับ คริสตศักราช 1303 ที่มา: หอสมุดแหงชาติมาเลเซีย กัวลาลัมเปอร
222
ภาพที่ 5 หนังสือประวัติศาสตรปาตานี เขียนเมื่อฮิจเราะฮศักราช 1202 ตรงกับ คริสตศักราช 1787 ที่มา: หอสมุดแหงชาติมาเลเซีย กัวลาลัมเปอร
223
ภาพที่ 6 หนังสือรายงานของพระยาสาย เขียนเมื่อฮิจเราะฮศักราช 1309 ที่มา: หอจดหมายเหตุแหงชาติ ทาวาสุกรี กรุงเทพฯ
224
ภาพที่ 7 การแตงกายของอุละมาอปตตานีในอดีต เปนภาพของหะยีสุหลง อับดุลกาเดร ที่มา: หนังสือหะยีสุหลง อับดุลกาเดร กบฏ หรือวีรบุรุษแหงสี่จังหวัดภาคใต หนา 218
ภาพที่ 8 ประชาชนเฝารับเสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกลาเจาอยูห ัว ที่มา: หอจดหมายเหตุแหงชาติ ทาวาสุกรี กรุงเทพฯ
ภาพที่ 9 ขบวนแหรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกลาเจาอยูหัว ที่มา: หอจดหมายเหตุแหงชาติ ทาวาสุกรี กรุงเทพฯ
ตารางปริวรรตอักษรอาหรับ-ไทย วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร คําอาน พยัญชนะไทย พยัญชนะอาหรับ อลีฟ อ ﺍ ﺏ
บาอ
บ
ﺀ
ฮัมซะฮฺ
อ (ในกรณีเปนตัวสะกด อ)
ﺕ
ตาอ
ต
ﺙ
ษาอ
ษ
ﺝ
ญีม
ญ (จญในกรณีเปนตัวสะกด)
ﺡ
หาอ
ห (ยกเวน รอฮีม, เตาฮีด, มุฮัมมัด)
ﺥ
คออ
ค
ﺩ
ดาล
ด
ﺫ
ษฺาล
ษฺ
ﺭ
รออ
ร
ﺯ
ซาล
ซ
ﺱ
สีน
ส (ยกเวน มูซา, อีซา)
ﺵ
ชีน
ช
ﺹ
ศอด
ศ
ﺽ
ฎอด
ฎ
ﻁ
ฏออ
ฏ
ﻅ
ซฺออ
ซฺ
ﻉ
อัยนฺ
อฺ
ﻍ
ฆอยนฺ
ฆ
ﻑ
ฟาอ
ฟ
ﻕ
กอฟ
กฺ
ﻙ
กาฟ
ก
ﻝ
ลาม
ล
(16)
ﻡ
มีม
ม
ﻥ
นูน
น
ﻫـ
ฮาอ
ฮ
ﻭ
วาว
ว
ﻱ
ยาอ
ย
-()ﺍﻟﻔﺘﺤﺔ ﺍﻟﻜﺴﺮﺓ
ั (ในกรณีมีตัวสะกด เชน มัรวาน อาดัมฯ) ะ , เ-าะ (ในกรณีมีตัวสะกด) ละสระใน บางกรณี เชน อลี บนีฯ) ิ
()ﺍﻟﻀﻤﺔ ุ
()ﺍﻟﻔﺘﺤﺔ ﺍﳌﻤﺪﻭﺩﺓ
า (อ ในกรณีมีตัวสะกด เชน อัลฟารอบฯ)
()ﺍﻟﻜﺴﺮﺓ ﺍﳌﻤﺪﻭﺩﺓ ี
()ﺍﻟﻀﻤﺔ ﺍﳌﻤﺪﻭﺩﺓ ู
ﺍﻟﺸﻤﺴﻴﺔ-ﺍﻝ
อัล-ตามดวยพยัญชนะตัวแรกของคําตอไป เชน อัดดีน อัฏฏีนฯ อัล ตามดวยคําตอไปโดยไมตองเวนวรรค เชน อัลกุรอาน อัลลอฮฺ อัลอิสลาม ฯ
ﺍﻟﻘﻤﺮﻳﺔ-ﺍﻝ
(17)
ตารางปริวรรตอักษรอาหรับ-อังกฤษ สมาพันธหอสมุดรัฐสภาแหงประเทศสหรัฐอเมริกา พยัญชนะอาหรับ คําอาน พยัญชนะอังกฤษ a อลีฟ ﺍ ﺀ
ฮัมซะฮฺ
’a, ’i, ’u
ﺏ
บาอ
b
ﺕ
ตาอ
t
ﺙ
ษาอ
th
ﺝ
ญีม
j
ﺡ
หาอ
h
ﺥ
คออ
kh
ﺩ
ดาล
d
ﺫ
ษฺาล
dh
ﺭ
รออ
r
ﺯ
ซาล
z
ﺱ
สีน
s
ﺵ
ชีน
sh
ﺹ
ศอด
s
ﺽ
ฎอด
d
ﻁ
ฏออ
t
ﻅ
ซฺออ
z
ﻉ
อัยนฺ
‘a, ‘i, ‘u
ﻍ
ฆอยนฺ
gh
ﻑ
ฟาอ
f
ﻕ
กอฟ
q
ﻙ
กาฟ
k
ﻝ
ลาม
l
(18)
ﻡ
มีม
m
ﻥ
นูน
n
ﺓ، ﻫـ
ฮาอ
h
ﻭ
วาว
w
ﻱ
ยาอ
y
เสียงสระ -َ
ะ
a
-ُ ุ
u
-ِ ิ
i
َﺍ-
-า
ā
َﻯ-
-า
á
ﻭ -ُ ู
ū
ﻱ -ِ ี
ī
ﻭ -َ
เ-า
aw
ﻱ -َ
ัย
ay
(19)
205
บรรณานุกรม หนังสือ เขต รัตนจรณะ และคณะ. 2537. เรือนไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต. กรุงเทพฯ : อมรินทร พริน้ ติ้ง แอนด พับลิชชิ่ง. คณะกรรมการจัดงานเมาลิดกลาง. 2545. หนังสืออนุสรณงานเมาลิดกลางแหงประเทศไทย ฮ.ศ.1423. กรุงเทพฯ : ออฟเซ็ท เพรส. ครองชัย หัตถา. 2548. ประวัติศาสตรปตตานีสมัยอาณาจักรโบราณถึงการปกครอง 7 หัวเมือง. ปตตานี : ฝายเทคโนโลยีทางการศึกษา สํานักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร. ___________. บรรณาธิการ. 2543. วัฒนธรรม พัฒนาการทางวัฒนธรรม เอกลักษณ และภูมิปญญาจังหวัดปตตานี. กรุงเทพฯ : ครุสภา. คณาจารยภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา. 2547. สังคมและวัฒนธรรม. พิมพครั้งที่ 9. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. งามพิศ สัตยสงวน. 2543. หลักมานุษยวิทยาวัฒนธรรม. พิมพครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : รามา การพิมพ. จรัญ มะลูลีม. 2541. เอเชียตะวันตกศึกษา: ภาพรวมทางสังคมศาสตรและมนุษยศาสตร. กรุงเทพฯ : กูดวิล เพลส. จุรีรัตน บัวแกว และคณะ. 2549. การจัดทําฐานขอมูลและขอเสนอยุทธศาสตรเบื้องตน ในการพัฒนากลุมผลิตผาคลุมผมสตรีและกลุมกปเยาะห ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต. ปตตานี : หนวยประสานงานวิจัยเพือ่ ทองถิ่นภาคใตตอนลาง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี. จุมพล หนิมพานิช. 2526. วัฒนธรรม. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. เฉลิมเกียรติ ขุนทองเพชร. 2547. หะยีสุหลงอับดุลกาเดร กบฏ หรือวีรบุรุษแหงสี่จังหวัดภาคใต. พิมพครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : มติชน.
206
ชุดา จิตพิทักษ. 2528. สังคมวิทยาและวัฒนธรรมไทย. กรุงเทพฯ : สารมวลชน. ณรงค เส็งประชา. 2524. สังคมวิทยา. กรุงเทพฯ : กรุงสยามการพิมพ. ดนัย ไชยโยธา และคณะ. 2548. ภูมิศาสตรทวีปเอเชีย. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร. ดลมนรรจ บากา และคณะ. 2529. การสํารวจจิตรกรรมไทยมุสลิมในจังหวัดปตตานี ยะลา และนราธิวาส. ปตตานี : มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร. ดิเรก กุลสิริสวัสดิ์. 2521. สีเราะตุน นบี. กรุงเทพฯ : อักษรสมัย. . 2545. ความสัมพันธของมุสลิมทางประวัติศาสตรและวรรณคดีไทย. พิมพครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : มติชน. ดํารงค ฐานดี. 2520. มานุษยวิทยาและวัฒนธรรม. กรุงเทพฯ : ม.ป.พ. บรรจง บินกาซัน. 2522. อิหรานจากบัลลังกกษัตริยสูรัฐอิสลาม. กรุงเทพฯ : วุฒิชัยการพิมพ. ประจักษ ชวยไล. 2521. โลกอิสลาม. กรุงเทพฯ : เซาทพับลิเคชัน่ . ประดิษฐ มัชฌิมา. 2522. สังคมวิทยาชนบท. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร. ประสาร สมพงษ. 2544. ศาสนาเปรียบเทียบ : พุทธ-ฮินดู. นครราชสีมา : สถาบันเทคโนโลยี ราชมงคล วิทยาเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นครราชสีมา. ผองพันธุ มณีรัตน. 2521. การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร. รัตติยา สาและ. 2544. การปฏิสัมพันธระหวางศาสนิกที่ปรากฏในจังหวัดปตตานี ยะลา และนราธิวาส. กรุงเทพฯ : สํานักงานกองทุนสนับสนุนงานวิจัย. ระวีวรรณ ชอุมพฤกษ. 2528. มานุษยวิทยาวัฒนธรรม. ปตตานี : โครงการจัดตั้งสํานักเทคโนโลยี การศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร. ราชบัณฑิตยสถาน. 2546. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพฯ : นานมีบุคส พับลิเคชั่นส.
207
วราคม ทีสุกะ. 2524. มนุษยกับสังคม. กรุงเทพฯ : อักษรบัณฑิต. สมทรง บุรุษพัฒน. 2543. ภูมิศาสตรภาษาถิ่น. กรุงเทพฯ : สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อ พัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล. สุจิตต วงษเทศ, บรรณาธิการ. 2547. รัฐปตตานีในศรีวิชัย. กรุงเทพฯ : มติชน. สุเทพ สุนทรเภสัช. 2548. ชาติพันธุสัมพันธ : แนวคิดพื้นฐานทางมานุษยวิทยาในการศึกษา อัตลักษณกลุมชาติพันธุ ประชาชาติ และการจัดองคกรความสัมพันธทางชาติพันธุ. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ. สุธิวงศ พงศไพบูลย. 2547. ทางสายวัฒนธรรม. กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ. สุธิวงศ พงศไพบูลย และคณะ. 2543. กะเทาะสนิมกริช : แลวิถีชีวติ ชาวใตตอนลาง. กรุงเทพฯ : สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย. ส. พลายนอย. 2534. เกร็ดโบราณคดีประวัติศาสตรไทย. กรุงเทพฯ : อักษรพิทยา. สุรินทร พิศสุวรรณ และ ชัยวัฒน สถาอานันท. ม.ป.ป. สี่จังหวัดภาคใตกับปญหาสิทธิมนุษยชน. กรุงเทพฯ : สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร. สุรินทร หิรัญบูรณะ. 2550. สมรภูมิศรัทธา. กรุงเทพฯ : มติชน. สวาท เสนาณรงค. ม.ม.ป. ภูมิศาสตรวัฒนธรรม. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน. สํานักพิมพมติชน. 2547. พจนานุกรมฉบับมติชน. กรุงเทพฯ : มติชน. อ. ลออแมน. 2541. ลังกาสุกะ ปาตานีดารุสสลาม. ยะลา : เจริญผล. อมรา ประสิทธิ์รัฐสินธุ. 2532. คําจํากัดความศัพทในภาษาศาสตรสังคม. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ มหาวิทยาลัย. อนุมานราชธน, พระยา. 2515. วัฒนธรรมเบื้องตน. พิมพครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ : การศาสนา.
208
อนันต วัฒนานิกร. 2528. แลหลังเมืองปตตานี. ปตตานี : ศูนยศึกษาเกี่ยวกับภาคใต มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร. อรุณ วิทยานนท. 2536. หนังสืออนุสรณเมาลิดกลางแหงประเทศไทย ฮิจเราะฮฺศักราช 1414. กรุงเทพฯ : ม.ป.พ. อานนท อาภาภิรม. 2516. สังคมวิทยา. กรุงเทพฯ : แพรวิทยาอินเตอรแนชั่นแนล. อารง สุทธาศาสน. 2519. ปญหาความขัดแยงในสี่จังหวัดภาคใต. กรุงเทพฯ : ประชาพิทักษ. อารีฟน บินจิ และคณะ. 2543. ปาตานี ดารุสสลาม. ยะลา : มุสลิมนิวส. al-Attas, S.M. Naquib. 1969. Preliminary Statemant On A General Theory of The Islamization of the Malay-Indonesian Archipelago, Kuala Lumpur : Dewan Bahasa. Brown, C.C. 1983. Sejarah Melayu : Malay Annals. Kuala Lumpur : O.U.P. Carmel Heah Lee Hsia. 1989. The Influence of English on The Lexical Expansion of Bahasa Malaysia. Kuala Lumpur: Dewan Bahasa dan Pustaka. Hartman, P.R.K. & Stork, F.C. 1972. Dictionary of Language and Linguistics. London : Applied Science Publishers. Hasan Madmarn. 2002. The Pondok and Madrasah in Patani. Kuala Lumpur : Bangi. Lindsey, Gene. 1992. Saudi Arabia. New York : Hippocrene Book Inc. Margoliouth, D.S. 1905. Mohammed and the Rise of Islam. New York: The Knickerbocker Press. Muir, William Temple. 1924. The Caliphate: Its Rise, Decline and Fall. London: Nik Mohamed Bin Nik Mohd. Salleh. 1974. “Kelantan in Tradition : 1891-1910”, Kelantan Relegion, Society and Politics in a Malay State. Kuala Lumpur : Oxford University Press.
209
Phillip K. Hitti. 1970. History of the Arabs. London: Macmillan. Sheppard, M. C. 1972. Taman Indera : Malay Decorative Arts and Passtimes. Kuala Lumpur : Oxford University Press. Teeuw, A. and Wyaat D.K.1970. Hikayat Patani: the Story of Pattani. Vol. I. The Hague: Martinus Nijhoff. Weinreich, U. 1953. Languages in Contact. New York : Linguistics Circle of New York. Wheatley, P. 1961. The Golden Khersonese : Studies in the Historical Geography of the Malay Peninsula before A.D. 1500. Kuala Lumpur : The University of Malaya Press. Winstedt, R.O. 1961. The Malay : A Cultural History. London : Routledge & Kegan. Zwermer, S.M. 1900. Arabia: The Cradle of Islam. New York: Evangelical Literature. Abdul Hamid Mahmood. 1994. Sintaksis Dialek Kelantan. Kuala Lumpur : Dewan Bahasa dan Pustaka. Abdullah Hassan. 1980. Linguistik Am Untuk Guru Bahasa Malaysia. Kuala Lumpur : Fajar Bakti. Darus Ahmad. 1967. Pancharan Melayu. Penang : Sinaran Bras. Dewan Bahasa dan Pustaka. 1999. Ensiklopedia Sejarah dan Kebudayaan Melayu. Kuala Lumpur : Dewan Bahasa dan Pustaka. Hall, D.G.E. 1987. Sejarah Asia Tenggara. Kuala Lumpur : Dewan Bahasa dan Pustaka. Hamdan Abdul Rahman. 1999. Panduan Menulis dan Mengeja Jawi. Kuala Lumpur : Dewan Bahasa dan Pustaka.
210
Harun Aminurrashid. 1966. Kajian Sejarah Perkembangan Bahasa Melayu. Singapura : Pustaka Melayu. Hashim Musa. 1999. Sejarah Perkembangan Tulisan Jawi. Kuala Lumpur : Dewan Bahasa dan Pustaka. Institut Tadbiran Awam Negara. 1991. Malaysia Kita. Kuala Lumpur : INTAN. Ismail Hamid. 1991. Masyarakat dan Budaya Melayu. Kuala Lumpur : Dewan Bahasa dan Pustaka. Mohd. Taib Osman. 1967. Indigenious Hindu and Islamic Elements in Malay Folk Belief, Ann anbor : Univ. Microfilm, Inc. Mohd. Yusof Hasan. 1991. Dunia Melayu. Kuala Lumpur : Dewan Bahasa dan Pustaka. Mohd. Zamberi A. Malek. 1994. Patani Dalam Tamadun Melayu. Kuala Lumpur : Dewan Bahasa dan Pustaka. Nik Mohamed bin Mohd. Salleh. 1974. Kelantan Religion Society and Polities in a Malay State. Kuala Lumpur : Dewan Bahasa dan Pustaka. Omar Amin Husin. 1962. Seajarah Bangsa dan Bahasa Melayu. Kuala Lumpur : Pustaka Antara. Omar Awang. 1978. “Kesan Pengaruh Agama Islam dan Bahasa Arab Dalam Bahasa Melayu”, Kertas Kerja Seminar Pengajian Melayu 25 Tahun, Universiti Malaya. Sheppard, M. C. 1973. “Seni bina Asli yang Terdapat di Tanah Semenanjung”. Asas Kebudayaan Kebangsaan. Kuala Lumpur : Kementerian Kebudayaan dan Sukan. Siti Hawa Haji Salleh. 1992. Hikayat Patani. Kuala Lumpur : Dewan Bahasa dan Pustaka.
211
Slamet Muljana. 2006. Runtuhnya Kerajaan Hindu-Jawa dan Timbulnya Negara- negara Islam di Nusantara. Cetakan III . Jakarta: LKiS Tom Harrissan. 1972. “Zaman Batu di Malaysia”. Sejarah Malaysia Sepintas Lalu. Kuala Lumpur : Dewan Bahasa dan Pustaka. ‘Abd al-Hamīd Muhammad ‘abū Sikkīn. 1982. Fiqh al-Lughah()ﻓﻘﻪ اﻟﻠﻐﺔ. al- Madīnah al-Munawwarah : al-Jāmi‘ah al-Islāmīyah bi al- Madīnah al-Munawwarah. ‘Abdullah Kārīnā al-Bandarīy. n.d. Madhkal al-Hadīth al-Nabawīy ()ﻣﺪﺧﻞ اﻟﺤﺪﻳﺚ اﻟﻨﺒﻮي. Fatānīy : Kulliyat al-Dirāsāt al-’Islāmīyah Jāmi‘at al-’Amīr Sunklā Far‘u Fatānīy. ‘Alīy ‘Abd al-Wāhid Wāfīy. n.d. Fiqh al-Lughah ()ﻓﻘﻪ اﻟﻠﻐﺔ. al-Qāhirah : Dār Nahdah Misr. al-Hāfidh ’abīy Abdullāh Muhammad bin Yazīd al-Qazwaynīy. 1987. Sunan ibn Mājah ( )ﺳﻨﻦ اﺑﻦ ﻣﺎﺟﻪ. Bayrūt : Dār ’Ihyā’ al-Kutub al-‘Arabīyah. al-Hamadānīy. 1953. Sifat Jazīrat al-‘Arab ()ﺻﻔﺔ ﺟﺰﻳﺮة اﻟﻌﺮب. al-Qāhirah : s.n. Hasan ’Ibrāhīm Hasan. 1964. Tārīkh al-’Islām al-Siyāsīy wa al-Dīnīy wa al-Thaqāfīy wa al-’Ijtimā‘īy ()ﺗﺎرﻳﺦ اﻹﺳﻼم اﻟﺴﻴﺎﺳﻲ واﻟﺪﻳﻨﻲ واﻟﺜﻘﺎﻓﻲ. 1 ed. al-Qāhirah : Maktabat al-Nahdah al-Misrīyah. Hasan ’Ibrāhīm Hasan. 1965. Tārīkh al-’Islām al-Siyāsīy wa al-Dīnīy wa al-Thaqāfīy wa al-’Ijtimā‘īy ()ﺗﺎرﻳﺦ اﻹﺳﻼم اﻟﺴﻴﺎﺳﻲ واﻟﺪﻳﻨﻲ واﻟﺜﻘﺎﻓﻲ. 3 ed. al-Qāhirah : Maktabat al-Nahdah al-Misrīyah. al-’Imām ’Ahmad bin Hanbal. 1991. al-Musnad ()اﻟﻤﺴﻨﺪ. Bayrūt : Dār al-Fikr. ’abū ‘Īsā Muhammad bin ‘Īsā bin Sūrah al-Tirmīdhīy. 1983. Sunan al-Tirmīdhīy ()ﺳﻨﻦ اﻟﺘﺮﻣﺬي. Bayrūt : al-Maktabah al-’Islāmīyah. Mahmūd Shākir. 1991. al-Tārīkh al-’Islamīy ()اﻟﺘﺎرﻳﺦ اﻹﺳﻼﻣﻲ. Bayrūt : al-Maktabah al-’Islāmīyah.
212
al-Mas‘ūdīy. 1346. Murūj al-Dhahab wa Ma‘ādin al-Jawhar ()ﻣﺮوج اﻟﺬهﺐ وﻣﻌﺎدن اﻟﺠﻮهﺮ. al-Qāhirah : s.n. Muhammad Nāsīr al-Dīn al-’Albānīy. 1988. Sahīh Sunan abī Dāwūd ()ﺻﺤﻴﺢ ﺳﻨﻦ أﺑﻲ داوود. al-Riyād : Maktabat al-Tarbīyah al-‘Arabīyah li Duwal al-Khalīj. al-Nasā’īy. 1986. Sunan al-Nasā’īy ()ﺳﻨﻦ اﻟﻨﺴﺎﺋﻲ. Bayrūt : Dār al-Bashā’ir al-’Islāmīyah. Raaūf Shalabī. 1982. Tasauwurāt fī al-Da‘wah wa al-Thaqāfah al-Islāmīyah. al-Kuwait : Dār al-Qalam. Safīy al-Rahmān al-Mabār Kafūrīy. 1988. al-Rahīq al-Makhtūm ()اﻟﺮﺣﻴﻖ اﻟﻤﺨﺘﻮم. Bayrūt : Dār al-Kutub al-’Ilmīyah. Shawqīy ’Abu Khalīl. 2003. ’Atlas al-Qur’ān ()أﻃﻠﺲ اﻟﻘﺮﺁن. Dimshiq : Dār al-Fikr. Shawqīy Dayf. n.d. Tārīkh al-Adab al-‘Arabīy ()ﺗﺎرﻳﺦ اﻷدب اﻟﻌﺮﺑﻲ. al-Qāhirah : Dār al-Ma‘ārif. al- Sayyid ‘Abd al-‘Azīz Sālim. n.d. Dirāsāh fī Tārīkh al-‘Arab : Tārīkh al-‘Arab Qabla al-’Islām ()دراﺳﺔ ﻓﻲ ﺗﺎرﻳﺦ اﻟﻌﺮب ؛ ﺗﺎرﻳﺦ اﻟﻌﺮب ﻗﺒﻞ اﻹﺳﻼم. al-’Iskandarīyah : Mu’assasat Shabāb al-Jāmi‘ah. Wizārat al-’I‘lām Sultanat ‘Umān. 2001. Masīrat al-Khayr ()ﻣﺴﻴﺮة اﻟﺨﻴﺮ. Sultanat ‘Uman : Mu’assasat ‘Umān li Assahāfah wa al-’Ambā’ wa al-Nashr wa al-’I‘lām. Yahyā Sālim Sālih. 1992. Hadir al-‘Ālam al-Islāmīy ()ﺣﺎﺿﺮ اﻟﻌﺎﻟﻢ اﻹﺳﻼﻣﻲ. s.l. : Matba‘at Kamāl al-Suwīsīy. Yāqūt al-Hamawīy. 1955. Mu‘jam al-Buldān ()ﻣﻌﺠﻢ اﻟﺒﻠﺪان. Bayrūt : Dār al-Kutub.
213
หนังสือแปล มุหัมมัด มันซูร นุอมานีย. 2531. การปฏิวัติของอีหราน ทานอิมามโคมัยนีย และนิกายชีอะฮ. แปลจาก The Iranian Revolution Imam Khomaini and Shi‘ism โดย ดิเรก กุลสิริสวัสดิ์. กรุงเทพฯ : ฟนนี่พบั บลิชชิ่ง. มูฮัมหมัดซัมบรี อับดุลมาลิก. 2543. ปตตานีในอารยธรรมมลายู. แปลจาก Patani Dalam Tamadun Melayu. โดย มาหะมะซากี เจะหะ. ปตตานี : โครงการจัดตั้งสถาบันสมุทรรัฐเอเชีย ตะวันออกเฉียงใตศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร. ยวาหระลาล เนหรู. 2537. พบถิ่นอินเดีย. แปลจาก The Discovery of India โดย กรุณา กุศลาสัย. พิมพครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : ศยาม. สมาคมนักเรียนเกาอาหรับไทย, ผูแ ปล. 1998. พระคัมภีรอัลกุรอานพรอมความหมายภาษาไทย. อัลมาดีนะห อัลมูเนาวาเราะห : ศูนยกษัตริยฟาฮัด เพื่อการพิมพอัลกุรอาน. อัลเบิรต ฮูรานี. 2550. ประวัติศาสตรของชนชาติอาหรับ. แปลจาก A History of the Arab Peoples โดย จรัญ มะลูลีม. กรุงเทพฯ : โครงการตําราและสิ่งพิมพ คณะรัฐศาสตร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร. อิสมาอีล ฮามิด. 2545. การเผยแผอิสลามในเอเชียและโลกมลายู. แปลจาก Perkembangan Islam di Asia dan Alam Melayu โดย อับดุลเลาะ อับรู. ปตตานี : โครงการจัดตั้งสถาบัน สมุทรรัฐเอเชียตะวันออกเฉียงใตศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร. ฮารูน ยะหฺยา. 2548. ประชาชาติที่ถูกทําลาย. แปลจาก Perished Nations โดย ซากี เริงสมุทร และกอมารียะฮ อิสมาแอล. กรุงเทพฯ : ศูนยหนังสืออิสลาม. Gustave Lebon. (translated by ‘Ādil Zu‘aytar). n.d. Ḥaḍārat al-‘Arab ()ﺣﻀﺎرة اﻟﻌﺮب. s.l. : ‘Īsā al-Bābīy al-Halabī wa Sharikah.
หนังสือรวมเรือ่ ง รัตติยา สาและ. 2547. “ปตานี ดารุสสะลาม (มลายู-อิสลาม ปตานี) สูความเปนจังหวัดปตตานี ยะลา และนราธิวาส”, ใน รัฐปตตานีในศรีวิชัยเกาแกกวารัฐสุโขทัยในประวัติศาสตร, 259. สุจิตต วงษเทศ. พิมพครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : มติชน.
214
บทความจากวารสาร จิตติมา ระเดนอาหมัด. 2529. “การแตงกายของชาวมลายู”, วารสารรูสะมิแล. 3 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2529), 39. สุรพล ทรงวีระ. 2519. “วัฒนธรรมอิสลามคืออะไร”, อัล-ญิฮาด. 85 (พฤษภาคม 2519), 9-13. เออรลา สวิงเกิล. 2547. “สูวัฒนธรรมสากล”, 110-127.
National Geographic.
34 (พฤษภาคม 2547),
Omar Farouk Bajunid. 1996. “The Arabs in Southeast Asia: A Prelimitary Overview”, Hiroshima Journal of International Studies. 2 (March 1996), 21-36.
บทความจากสารานุกรม อนันต วัฒนานิกร. 2529. “เมืองปตตานี”, สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต. เลมที่ 7, 2820. เอกสารของทางราชการ “ประกาศจัดตั้งอําเภอสะเดาและอําเภอตากใบ.” ราชกิจจานุเบกษา, เลมที่ 26, ลงวันที่ 22 สิงหาคม ร.ศ. 128. เอกสารที่ไมไดพิมพเผยแพร พีรยศ ราฮิมมูลา. 2543. พัฒนาการประวัติศาสตรราชอาณาจักรมลายูปตตานีตั้งแต ค.ศ. 1350-1909 และการเขามาของศาสนาอิสลามในภูมิภาคปตตานี. ปตตานี : แผนกวิชา รัฐศาสตร คณะมนุษยศาสตรและสังคมศาสตร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี. (สําเนา) วิทยานิพนธ ปราณี กายอรุณสุทธิ์. 2526. “คํายืมภาษาจีนในภาษาไทยปจจุบัน”, วิทยานิพนธปริญญา มหาบัณฑิต ภาควิชาภาษาศาสตร คณะอักษรศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. (สําเนา) อัสสมิง กาเซ็ง. 2544. “คํายืมภาษาอาหรับในภาษามลายูถิ่นปตตานี”, วิทยานิพนธปริญญา อักษรศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาภาษาศาสตร คณะอักษรศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. (สําเนา)
215
อุษา จารุภา. 2541. “อิทธิพลของวัฒนธรรมอิสลามตอการสื่อสารในประเทศซาอุดิอาระเบีย”, วิทยานิพนธปริญญาวารสารศาสตรมหาบัณฑิต คณะวารสารศาสตรและสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร. (สําเนา) Weamaji Paramal. 1991. “Long Consonants in Pattani Malay the Result of Word and Phrase Shortening”, A Thesis Submitted in Partial Fulfillment of The Requirements for The Degree of Master of Arts (Linguistics) Faculty of Graduate Studies Mahidol University. (Unpublished)
โสตทัศนวัสดุ Britannica Inc. 2002. Encyclopaedia Britannica 2003 : Ultimate Reference Suit. (CD-ROM) s.l. : Britannica Inc.
การสัมภาษณ นิอับดุลรากิบ บินนิฮัสซัน. 2548. อาจารยแผนกวิชามลายูศึกษา. 20 มิถุนายน 2548. ______________________ 2549. อาจารยแผนกวิชามลายูศึกษา. 15 มิถุนายน 2549. บะชีร มะฮดี อลี. 2550. อาจารยชาวตางประเทศ ภาควิชาอิสลามศึกษา. 20 พฤษภาคม 2550. ประเสริฐ บินรัตแกว. 2550. ประธานกลุมเย็บหมวกกปเยาะหมาู. 20 มิถุนายน 2550. มุฮําหมัด เจะหะ. 2549. ชาวบาน ต.ปตุมุดี อ.ยะรัง จ. ปตตานี. 24 มีนาคม 2549. รอมละห อาแว. 2549. หมอพื้นบาน. 15 ตุลาคม 2549. ริดวาน มะแซ. 2550. ครูใหญโรงเรียนอิตซิ อม. 19 เมษายน 2550. สาหัด เวาะหลี. 2549. หมอพื้นบาน. 23 สิงหาคม 2549. สาเหะอับดุลเลาะห อัลยุฟรี. 2550. ขาราชการบํานาญ. 19 กุมภาพันธ 2550. อับดุลขาหรีม หมัดสู. 2550. แพทยแผนไทย. 2 เมษายน 2550. อับดุลเราะมัน เจะอารง. 2549 อาจารยแผนกวิชาอิสลามศึกษา. 25 กุมภาพันธ 2549.
216
รายการทางโทรทัศน ‘Alīy al-Sharīf. 2007. Nawāfidh. Sharjah TV UAE, 2 February 2007. Ariana Herawaty. 2007. Mata Rantai. antv Indonesia, 15 May 2007.
227
ประวัติผูเขียน ชื่อ สกุล รหัสประจําตัวนักศึกษา วุฒิการศึกษา วุฒิ ศิลปศาสตรบัณฑิต (ภาษาอาหรับ)
นายมูหัมมัดมันซูร หมัดเราะ 4767008 ชื่อสถาบัน มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร
ปที่สําเร็จการศึกษา 2543
ทุนการศึกษา (ที่ไดรับในระหวางการศึกษา) ทุนอุดหนุนการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี ตําแหนงและสถานที่ทํางาน อาจารย ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตรและสังคมศาสตร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี การตีพิมพเผยแพรผลงาน มูหัมมัดมันซูร หมัดเราะ, ดลมนรรจน บากา. 2551. “อิทธิพลของวัฒนธรรมอาหรับตอสังคม มลายูในจังหวัดปตตานี” การสัมมนาเสนอผลงานทางวิชาการ ระดับบัณฑิตศึกษา ในงาน มอ.วิชาการ ประจําป 2551 20 สิงหาคม 2551 ณ วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี