เรื่ อง การใช้ ยา
เป้าหมายการใช้ ยา 1.ใช้ ในการรักษาโรคให้ หายขาด 2.ใช้ ในการควบคุมโรคหรื อบรรเทาอาการ 3.ใช้ ในการป้องกันโรค ความหมายความเสี่ ยงต่ อการใช้ ยา ความเสี่ ยงต่ อการใช้ ยา หมายถึง โอกาสทีอ่ าจเกิดขึน้ ได้ กบั ผู้ที่ใช้ ยา แต่ เกิดอาการอื่นๆ ทีอ่ าจเป็ นอันตรายต่ อร่ างกายผู้ใช้ ยา อาการเหล่านี้ เรียกว่ า อาการอันไม่ พงึ ประสงค์ หรื อ ผลข้ างเคียงของยา เช่ น คลื่นไส้ อาเจียน นอนไม่ หลับ อาการผื่นลมพิษ แน่ นหน้ าอก
หายใจไม่ ออก ช็อก(shock)หรื อหมดสติ ซึ่งพฤติกรรมการใช้ ยาที่ไม่ ถูกต้ อง อาจมาจากการ ขาดความรู้ ความเข้ าใจเรื่ องการใช้ ยา แนวปฏิบัติในการใช้ ยาทีถ่ ูกต้ อง 1. ใช้ ยาให้ ถูกโรค 2. ใช้ ยาให้ ถูกขนาด ขนาดของยามักกาหนดไม่ แน่ นอน ขึน้ อยู่กบั อายุ นา้ หนักตัว ความ รุ นแรงของโรค ภาวการณ์ ดือ้ ยาของผู้ป่วย ปัญหาการใช้ ยาไม่ ถูกขนาด มักจะเป็ นยานา้ ที่ 1 ช้อนชา 5 มิลลิลิตร (ประมาณ) กาหนดให้ รับประทานเป็ นช้ อนชา หรื อ ช้ อนโต๊ ะ ชาวบ้ านมักเข้ าใจว่ าช้ อนชา หมายถึง =
1 ช้อนแกง = 10 มิลลิลิตร (ประมาณ) 1 ช้อนโต๊ะ = 15 มิลลิลิตร (ประมาณ)
ช้ อนที่คนกาแฟหรื อชา ส่ วนช้ อนโต๊ ะ หมายถึง ช้ อนที่ใช้ ตักข้ ารับประทาน ซึ่งที่จริง ช้ อน ชาและช้ อนโต๊ ะ มีมาตรฐานขนาดเทียบกับมาตราตวงวัดดังนี้ 3. ใช้ ยาให้ ถูกเวลา + ยาก่ อนอาหาร ควรทานก่ อนอาหารอย่ างน้ อย 30 นาที เพราะยาจะถูกดูดซึมได้ ดขี ณะ ท้ องว่ าง ถ้ าลืมรับประทานยา ให้ กนิ เมื่อผ่านมือ้ อาหารนั้นไปแล้วอย่างน้ อย 2 ชั่วโมง + ยาหลังอาหาร ให้ รับประทายหลังอาหารทันที หรื อประมาณ 15-20 นาที + ยาก่ อนนอน ให้ รับประทานหลังจากรับประทานอาหารเย็นไม่ ต่ากว่ า 4 ชั่วโมง
4. ใช้ ยาให้ ถูกบุคคล หมายถึง การใช้ ยาจะต้ องให้ เหมาะสมกับสภาวะของผู้ป่วยแต่ ละคน เนื่องจากยาชนิดเดียวกันอาจมีฤทธิ์ทที่ าให้ เกิดผลแตกต่ างกัน และผู้ป่วยแต่ ละคนมีการ ตอบสนองต่ อยาแตกต่ างกัน 5. ใช้ ยาให้ ถูกทางและวิธี + ยาอม ไม่ ควรเคีย้ วหรื อกลืนเพราะยาอมจะออกฤทธิ์อย่างช้ าๆได้ ดใี นช่ องปาก + ยาอมใต้ ลนิ้ เป็ นยาทีจ่ ะถูกดูดซึมในปาก เพื่อให้ ผลในทันที หากกลืนลงไปจะไม่ ได้ ผล เช่ น ยาไนโตรกลีเซอรีนที่ใช้ รักษาโรคหัวใจขาดเลือด
+ ยาเหน็บ เช่ น เหน็บทีช่ ่ องคลอดหรื อทวารหนัก หากนาไปกิน หรื อเหน็บผิดช่ องทางก็จะ ไม่ ได้ ผล + ยาทา เช่ น ยาหม่ องเป็ นยาทีใ่ ช้ ทาภายนอก แต่ บางคนนาไปใช้ รับประทานแก้ ปวดท้ องซึ่ง ไม่ ใช่ วธิ ีการรักษาทีถ่ ูกต้ อง + อื่นๆ เช่ น ยาที่ใช้ พ่นหรื อหยอด ควรใช้ ให้ ถูกวิธีตามทีแ่ พทย์ สั่งเท่ านั้น คาแนะนาในการใช้ ยาบางประเภท
1. ยาปฏิชีวนะหรื อยาแก้อกั เสบ (Antibiotics) มีระยะเวลาของการใช้ ยาที่ต่อเนื่องแม้ ว่า อาการของโรคจะทุเลาหรื อหายแล้ วก็ตาม จะต้ องรับประทานยาต่ อไปอีกจนครบ ระยะเวลาตามที่แพทย์สั่ง 2. ไม่ ควรรับประทานยาปฏิชีวนะประเภทเตตราซัยคลีน (Tetracycline)พร้ อมกับนมอาหาร ทีท่ าจากนม หรื ออาหารทีม่ แี ร่ ธาตุๆสู ง เนื่องจากนยจะจับกับธาตุแคลเซียมและธาตุอื่นๆใน นมและอาหาร ทาให้ ยาถูกดูดซึมน้ อยลง จึงควรรับประทานยานีก้ ่ อนอาหาร 1 ชั่วโมง หรื อ หลังอาหาร 1 ชั่วโมง
3. ยาซัลฟา(Sulfonamide)ชนิดต่ างๆ จะถูกขับถ่ ายทางปัสสาวะได้ ดเี มื่อปัสสาวะมีความเป็ น ด่ าง จึงควรดื่มมนา้ ตามมากๆ ห้ ามดื่มเครื่ องดื่มที่ทาให้ ปัสสาวะเป็ นกรดเช่ น นา้ ส้ ม นา้ มะนาว 3.1 ยาหยอดหู เช่ น ยาหยอดหูไนโตรฟูราโซน ใช้ รักษาหูอกั เสบ ควรเช็หนองให้ แห้ งก่ อน แล้วหยอดยา 2-3 หยด วันละ 3-4 ครั้ง 3.2 ยาแก้ ผดผื่นคัน เช่ น คาลาไมน์ โลชั่น ใช้ บรรเทาอาการผดผื่นคัน ลมพิษ การใช้ ต้อง เขย่าขวดก่อนใช้ ทาบริเวณทีต่ ้ องการ
3.3 ครีมเพรดนิโซโลน ใช้ ทาแก้ผดผื่นคัน แพ้ ยุงหรื อแมลง ถูกแมงกุพรุ นไฟ บรรเทา อาการปวดแสบปวดร้ อนจากไฟไหม้ นา้ ร้ อนลวก ทาวันละ 2-3 ครึ้ง 3.4 ครีมไมโคนาโซล ใช้ รักษากลากเกลือ้ น ทาบริเวณทีเ่ ป็ น วันละ 2-3 ครั้ง นาน 3-4 สั ปดาห์ ยานีอ้ าจจะระคายผิวหนังและแพ้ได้ 3.5 นา้ ยาโพวิโดนไอโอดี ใช้ ใส่ แผลถลอก หรื อแผลสด 3.6 นา้ เกลือ ใช้ ล้างแผล 3.7 ไฮโดรเจนเพอร์ ออกไซด์ ใช้ ชะล้างแผลมีหนอง 3.8 แอลกอฮอล์ ใช้ เช็ดล้างรอบแผล ฆ่ าเชื้อโรค
3.9 ครีมนา้ มันระกา ใช้ ทาแก้ ปวด บวม เคล็ด ยอก อาการอันไม่ พงึ ประสงค์ จากการใช้ ยา การใช้ ยาในแต่ ละครั้ง นอกเหนือจากผลของการรักษาที่เราต้ องการแล้ว ยาแต่ ละอย่าง ยังอาจส่ งผลให้ เกิดอาการอันไม่ พงึ ประสงค์ จากการใช้ ยาด้ วย ซึ่งมีสาเหตุมาจากหลาย ปัจจัย เช่ น - การรับยาติดต่ อกันเป็ นเวลานาน เป็ นอาการที่ไม่ พงึ ประสงค์ ซึ่งเป็ นผลสื บเนื่องมาจาก
การที่ผ้ ูป่วยได้ รับยาติดต่ อกันมาเป็ นเวลานาน ลักษณะอาการอาจแตกต่ างจาก
ผลข้ างเคียงจากการใช้ ยาและพิษของยา เช่ น ยากลุ่มสเตียรอยด์ อาจทาให้ เกิดความ ผิดปกติทางจิตใจ หรื อทาให้ กล้ ามเนื้อลีบ และกระดูกผุ - การดือ้ ยา เป็ นการทีใ่ ช้ ยาแล้ วไม่ สามารถทาลายเชื้อโรคได้ เนื่องจากเชื้อโรคดือ้ ยา ทีพ ่ บ
มากทีส่ ุ ดมักเนื่องมาจากการใช้ ยาปฏิชีวนะไม่ ตรงกับชนิดของเชื้อโรค ใช้ ไม่ ถูกขนาด หรื อใช้ ในระยะเวลาที่น้อยไป หรื อไม่ เพียงพอต่ อการทาลายเชื้อโรค - การติดยา ยาบางชนิดถ้ าใช้ ไม่ ถูกต้ อง หรื อใช้ ต่อเนื่องกันไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง จะทาให้
ติดยาชนิดนั้นได้ เช่ น มอร์ ฟีน ยากล่อมประสาท ยาแก้ไอบางชนิด เป็ นต้ น - อันตรายจากพิษของยา มักเกิดจากการใช้ ยาเกินขนาดโดยอาจรู้ เท่ าไม่ ถึงการณ์ หรื อ
รับประทานเกินขนาดด้ วยความตั้งใจ เมื่อพบเห็นต้ องรีบนาส่ งแพทย์ทันที
- การเสื่ อมและการหมดอายุของยา ยาทุกชนิดจะมีการเสื่ อมและหมดอายุได้ การ
เสื่ อมสภาพของยาอาจเกิดก่ อนการหมดอายุของยา ซึ่งโดยมากมักเกิดจากการเก็บยาไม่ ถูกวิธี เช่ น ถูกความร้ อน ความชื้น หรื อแสงแดดทาให้ ยามีลกั ษณะทีเ่ ปลีย่ นไปจากเดิม เช่ น ยาเม็ดจะแตกร่ วน หรื อสี เปลีย่ นไป ยานา้ จะตกตะกอนแน่ นเขย่าไม่ กระจาย หรื อ แยกชั้น สี กลิน่ และรสเปลีย่ น ยาแคปซู ลจะมีลกั ษณะเยิม้ หรื อขึน้ รา ยาที่มลี กั ษณะ เช่ นนีไ้ ม่ ควรนามาใช้ เพราะอาจทาให้ เกิดอันตรายจนถึงตายได้ ตามปกติแล้ วยาทีม่ อี ายุส้ั นหรื อเสื่ อมสภาพง่ าย กฎหมายจะกาหนดให้ บอกวันหมดอายุ ไว้ บนภาชนะบรรจุ เช่ น กล่ อง หรื อหลอด โดยใช้ คาว่ า Expiry Date หรื อ Expiration Date หรื อใช้ ย่อว่ า Exp. หรื อใช้ คาว่ า Used before แล้ วตามด้ วยวันเดือนปี ทีห่ มดอายุ
สาหรับยาทีม่ อี ายุยาว หรื อเสื่ อมสภาพช้ า แม้ ว่ากฎหมายจะไม่ บังคับให้ บอกวันหมดอายุ ไว้ กไ็ ม่ ควรเก็บไว้ นานเกิน5ปี นับจากวันที่ผลิต ซึ่งมักจะเขียนต่ อท้ ายคาว่ า Manufacturing Date หรื อใช้ ย่อว่ า Mfg. Date หรื อ Mfd. เพราะยาจะเสื่ อมคุณภาพ และต้ องดูลกั ษณะของสี
กลิน่ รส ประกอบด้ วยว่ าเปลีย่ นแปลงไปจากเดิมหรื อไม่ ความหมายของการแพ้ ยา และผลข้ างเคียงของยา การแพ้ ยา การแพ้ ยาเป็ นอาการที่ไม่ พงึ ประสงค์ จากการใช้ ยาในลักษณะหนึ่ง ทีไ่ ม่ สามารถ คาดการณ์ ได้ ว่าผู้ใช้ ยาคนใดจะเกิดอาการเหล่ านีข้ นึ้ และอาการเหล่ านีพ้ บในผู้ใช้ ยาบางราย
เท่ านั้น ไม่ ใช่ ทุกรายที่ใช้ ยาดังกล่ าว ซึ่งส่ วนใหญ่ แล้ วมักเกิดจากการที่ตวั ยาไปกระตุ้นภูมิ ต้ านทานของร่ างกาย ทาให้ เกิดปฏิกริ ิยาตอบสนองเป็ นอาการแพ้ โดยอาการเหล่านีม้ ี ระดับความรุ นแรงแตกต่ างกันไป บางอย่ างมีความแรงมาก เช่ น ทาให้ ผ้ ใู ช้ ยาถึงขั้นช็อก หายใจไม่ ออก ในขณะทีอ่ าการแพ้ ยาบางชนิดอาจไม่ รุนแรงมากนัก เช่ น อาการผื่นคันที่ ผิวหนังหรื ออาการอื่น ๆ นอกจากนีร้ ะยะเวลาแพ้ ยาบางครั้งเกิดอาการอย่างรวดเร็ ว ภายหลังการได้ รับยาทันที แต่ บางรายอาการแพ้ยาภายหลังการได้ รับยาเป็ นเวลานานหลาย สั ปดาห์ หรื อเป็ นเดือน ผลข้ างเคียงของยา
ผลข้ างเคียงของยา เป็ นอาการทีไ่ ม่ พงึ ประสงค์ จากการใช้ ยาอีกลักษณะหนึ่ง ที่ สามารถระบุได้ ชัดเจนว่ าอาจจะเกิดขึน้ กับผู้ใช้ ยานีไ้ ด้ ทุกวัน เพราะเป็ นอาการทีเ่ กิดขึน้ จาก กลไกการออกฤทธิ์ของยาปกติ เช่ น ยาคลอร์ เฟนิรามีน ทาให้ เกิดอาการง่ วงซึม ยาแก้ปวด แอสไพริน ทาให้ เลือดแข็งตัวช้ า หูอือ้ ยาเตตราซัยคลิน ทาให้ เกิดอาการคลื่นไส้ อย่ างไรก็ตามอาการผลข้ างเคียงของยามีระดับความรุ นแรงแตกต่ างกัน ขึน้ อยู่กบั การ ตอบสนองของยากับผู้ใช้ ยาแต่ ละคน บางคนอาจตอบสนองต่ อยามากทาให้ เกิดอาการ ข้ างเคียงเหล่ านีไ้ ด้ มากและอาจรุ นแรงจนผู้ป่วยไม่ สามารถยอมรับการใช้ ยานั้นได้ อกี กลุ่มทีม่ คี วามเสี่ ยงต่ อการแพ้ ยา หรื อผลข้ างเคียงของยา
อาการตอบสนองของยาขึน้ อยู่กบั ธรรมชาติของสภาวะร่ างกาย เพศ โรคหรื ออาการ ของผู้ป่วย พันธุกรรม หรื อปัจจัยอื่นๆ กลุ่มทีเ่ สี่ ยงต่ อการเกิดอาการแพ้ ยา - ผู้ตดิ เชื้อเอชไอวี - ผู้ป่วยทีม ่ ีการติดเชื้อไวรัสร่ วมด้ วย - ผู้ป่วยทีม ่ ีประวัตกิ ารแพ้ ยาทีม่ ีโครงสร้ างทางเคมีแบบเดียวกันมาก่ อน - ผู้ป่วยโรคหืดหอบ - ผู้ป่วยทีม ่ หี น่ วยพันธุกรรม หรื อยีน(gene) เฉพาะบางชนิด
- ผู้ป่วยโรคลูปัส หรื อเอสแอลอี (SLE)
กลุ่มทีเ่ สี่ ยงต่ อการเกิดอาการผลข้ างเคียงของยา - ผู้ที่มกี ารเจ็บป่ วยทีร่ ุ นแรง - ผู้ป่วยทีม ่ ีการทางานของไตน้ อยกว่ าปกติ เป็ นโรคตับ - ผู้ป่วยทีม ่ ีการใช้ ยาหลายชนิดร่ วมกัน - ผู้ตดิ เชื้อเอชไอวี - ผู้ตดิ เชื้อเฮอร์ ปีส (Herpes Infection) - ผู้ทตี่ ดิ แอลกอฮอล์
- ผู้ป่วยโรคเอสแอลอี(SLE)
แนวปฏิบัติเมื่อเกิดการแพ้ยา 1.
เมื่อเกิดการแพ้ ยาอย่ างรุ นแรง ผู้ป่วยควรหยุดการใช้ ยาแล้ วแจ้ งแพทย์ ทันทีเพื่อ ตรวจสอบ และรับการแก้ไขอาการที่เกิดจากการใช้ ยาที่เกิดขึน้ ซึ่งหากพบว่ าเป็ นการ แพ้ยาจนเกิดอาการผิดปกติรุนแรงจริง ก็ไม่ ควรใช้ ยานั้นอีกเด็ดขาดตลอดชีวิต
2.
เมื่อเกิดการแพ้ ยาอย่ างไม่ รุนแรง ผู้ป่วยควรสั งเกตดูว่าอาการนั้น เกิดจากการแพ้ ยา หรื อไม่ และต้ องมีการเฝ้าระวังเนื่องจากอาการดังกล่ าวอาจเกิดความรุ นแรงเพิม่ ขึน้ ได้ และควรแจ้ งให้ เภสั ชกรหรื อแพทย์ให้ ตรวจสอบ
แนวปฏิบัติเมื่อเกิดผลข้ างเคียงของยา 1.
เมื่อเกิดผลข้ างเคียงของยาที่มอี าการรุ นแรง โดยทัว่ ไปแพทย์ หรื อเภสั ชกรจะต้ องแจ้ ง ผลข้ างเคียงของยาให้ ผ้ ูป่วยทราบโดยให้ ข้อมูลไว้ บนฉลากยาทีจ่ ่ ายให้ ผ้ ูป่วยเพื่อเตือน ให้ ผ้ ปู ่ วยระมัดระวังตนเอง พร้ อมแนะนาวิธีปฏิบัตติ นทีจ่ ะช่ วยลดอาการข้ างเคียง เหล่านั้น
2.
เมื่อเกิดผลข้ างเคียงของยาทีม่ ีอาการไม่ รุนแรง โดยทัว่ ไปผลข้ างเคียงทีไ่ ม่ รุนแรง มักจะไม่ เป็ นปัญหาใด กับการใช้ ยา ซึ่งหากอาการข้ างเคียงนั้น ผู้ป่วยสามารถทนได้ โดยไม่ รบกวนการใช้ ชีวิตประจาวันของผู้ป่วยก็มิต้องดาเนินการใด ๆ แต่ หากอาการ นั้นมีการพัฒนาความรุ นแรงมากขึน้ หรื อเกิดอาการอย่างต่ อเนื่องจนรบกวนการใช้
ชีวติ ปกติ ผู้ทใี่ ช้ ยาก็อาจขอคาปรึกษาจากเภสั ชกรหรื อแพทย์ ให้ แนะนาวิธีการปฏิบัติ ตัวที่จะสามารถลดอาการข้ างเคียงได้
แนวทางปฏิบัติตนเพื่อการใช้ ยาอย่างปลอดภัย การใช้ ยาอย่างปลอดภัย หมายถึง การทาให้ ความเสี่ ยงจากการใช้ ยาลดลง และได้ รับ ประโยชน์ จากยาสู งสุ ด หรื อลดอันตรายจากการใช้ ยาลง 1. คุยกับแพทย์ หรื อเภสั ชกร โดยบอกรายละเอียดเกีย่ วกับผู้ป่วยในเรื่ องทีเ่ กีย่ วข้ องกับ อาการป่ วยให้ มากทีส่ ุ ด ในประเด็นต่ อไปนี้
1.1 ประวัตกิ ารแพ้ ยาของผู้ป่วย 1.2 ข้ อจากัดของผู้ป่วยบางประการต่ อการใช้ ยา เช่ น ปัญหาการกลืนยา 1.3 ภาวะของร่ างกายในขณะนั้น เช่ น อยู่ในระหว่ างการตั้งครรภ์ หรื อให้ นมเด็ก 1.4 สอบถามข้ อสงสั ยอย่างละเอียดเพื่อหลีกเลีย่ งการใช้ ยาอย่างผิด ๆ 2. ทาความรู้ จักยาทีใ่ ช้ ทั้งยาทีแ่ พทย์สั่งจ่ าย หรื อซื้อเองจากร้ านขายยา เช่ น 2.1 ชื่ อสามัญทางยา เพื่อหลีกเลีย่ งการใช้ ยาซ้าซ้ อน หรื อได้ รับยาเกินขนาด 2.2 ชื่ อทางการค้ าของยา 2.3 ลักษณะทางกายภาพของยา เมื่อสภาพของยาเปลีย่ นแปลงไปอาจก่อให้ เกิด
อันตรายต่ อร่ างกายได้ 2.4 ข้ อกาหนดการใช้ ยา 2.5 ข้ อจากัดของยาภายใต้ สถานการณ์ ต่างๆ ที่กาหนดให้ หยุดใช้ ยาทันที 2.6 ผลข้ างเคียงของยาหรื อปฏิกริ ิยาของยาที่ควรระมัดระวัง 3. อ่านฉลากยาและปฏิบัติตามอย่างเคร่ งครัด 3.1 ทาความเข้ าใจรายละเอียดเกีย่ วกับยาจากฉลากยาให้ ชัดเจน 3.2 เก็บยาในเหมาะสมตามทีร่ ะบุในฉลากยา 3.3 ไม่ ควรเก็บยาต่ างชนิดกันในภาชนะเดียวกัน และไม่ ควรเก็บยาสาหรับใช้ ภายนอก และยาสาหรับใช้ ภายในไว้ ใกล้เคียงกัน
4. หลีกเลีย่ งการเพิม่ ความเสี่ ยงต่ อการเกิดปฏิกริ ิยาระหว่ างยา 4.1 ระลึกถึงและหลีกเลีย่ งอย่างเคร่ งครัดต่ อการรับประทานยา อาหาร หรื อเครื่ องดื่ม ทีท่ าให้ เกิดปฏิกริ ิยากับยาทีร่ ับประทาน 4.2 ทุกครั้งที่ผ้ ปู ่ วยจะต้ องรับยาใหม่ เพิม่ เติม ควรนายาเดิมทีร่ ับประทานอยู่ไปแสดง ให้ แพทย์ หรื อเภสั ชกรได้ ตรวจสอบด้ วยว่ ามียาใดทีซ่ ้าซ้ อน 5. สั งเกตตัวเองต่ อผลของยาและอาการข้ างเคียงจากการใช้ ยา 5.1 สั งเกตตนเองหรื อผู้ป่วยว่ าผลของการใช้ ยาเป็ นไปตามแผนการใช้ ยาหรื อไม่ หาก ไม่ เป็ นเช่ นนั้น ควรไปพบแพทย์ หรื อเภสั ชกรอีกครั้ง
5.2 ให้ ความสาคัญกับอาการต่ างๆ ของร่ างกายผู้ป่วย หากพบสิ่ งผิดปกติ ควรรีบ ปรึกษาแพทย์ทันที 5.3 สอบถามแพทย์ หรื อเภสั ชกรล่วงหน้ าว่ า ควรปฏิบัติตนอย่างไรเมื่อเกิดอาการ ข้ างเคียงทีอ่ าจเกิดขึน้ ได้ หลังการใช้ ยา ทีส่ าคัญคือผู้ป่วย หรื อญาติผ้ ูป่วยควรระลึกอยู่เสมอว่ า การใช้ ยาอาจก่ อให้ เกิด อันตรายต่ อร่ างกายได้ ดังนั้นการมีส่วนร่ วมกับแพทย์ หรื อเภสั ชกร และผู้เชี่ยวชาญในการ ปฏิบัติตามวิธีการใช้ ยาอย่ างถูกต้ องเหมาะสมกับตัวท่ านเอง หรื อผู้ป่วย จะทาให้ ความ ปลอดภัยจากการใช้ ยามากขึน้
กิจกรรมการมีส่วนร่ วมป้องกันความเสี่ ยงต่ อการใช้ ยา 1.
อ่ านฉลากยาทุกครั้งก่ อนใช้ และใช้ ยาตามทีแ่ พทย์ สั่งอย่ างเคร่ งครัด หากมีข้อสงสั ย ให้ ปรึกษาเภสั ชกร หรื อแพทย์ ก่อนใช้ ทุกครั้ง
2.
ดูแลให้ คนในครอบครัวใช้ ยาตามทีแ่ พทย์ สั่งอย่ างเคร่ งครัด ถ้ าเกิดผู้ใช้ ยามีอาการแพ้ ยา หรื ออาการผิดปกติให้ นาส่ งแพทย์ทันที
3.
เข้ าร่ วมกิจกรรมการประชาสั มพันธ์ เรื่ องเกีย่ วกับยา เพื่อลดความเสี่ ยงทีเ่ กิดขึน้ จาก การใช้ ยา ซึ่งจัดโดยหน่ วยงานทางสาธารณสุ ขในท้ องถิ่น
4.
ร่ วมมือกับเพื่อนนักเรียนจัดกิจกรรมกลุ่มอาสาสมัครทั้งในสถานศึกษา และในชุ มชน เพื่อรณรงค์ การใช้ ยาให้ ถูกต้ อง