บอกกล่าวเล่าเรื่อง บรรณาธิการ สวัสดีผู้อ่านทุกท่านที่สนับสนุนวรรณสารฉบับวันภาษาไทยแห่ง ชาติ มาอย่างต่อเนื่อง วรรณสาร ฉบับนี้มุ่งนาเสนอในประเด็น “ภาษาสื่อสาร จินตนาการผ่านวรรณศิลป์” เพื่อแสดงให้เห็นถึงความงามและ เสน่หข์ องภาษา ไม่ว่าจะเป็นการพูด การเขียน หรือการแต่งคาประพันธ์อย่างมีลีลาวรรณศิลป์ โดยยังคง นาเสนอผลงานเขียนของนักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทยทีม่ ีความหลากหลาย และเต็มไปด้วยอรรถรสเช่นเดิม วรรณสารฉบับนี้มีการปรับเปลี่ยนเพื่อความสะดวก และทันต่อการเผยแพร่เนื่องในงานภาษาไทยราลึก ของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ดังนั้นวรรณสารฉบับนี้จึงเป็นฉบับพิเศษ ฉบับที่ ๖๓ ประจาเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม ๒๕๖๓ เนื้อหาสาระของวรรณสารฉบับนี้ ประกอบด้วย คอลัมน์สืบเนื่องจากปก บทความสัมภาษณ์พิเศษ เสริมสร้างประสบการณ์กับโครงการดี ๆ ปลูกกล้านักวิจัย กด Like วรรณกรรม มุมคาร้องมองอย่าง นักวิจารณ์ ไขภาษากับไทยศิลปศาสตร์ ขวนชิมชวนเที่ย ว เจ้า บทเจ้า กลอน เกร็ด ความรู้ บัน ทึก ภาพ ในความทรงจา และข่าวประชาสัมพันธ์ เป็นการนาเสนอข้อมูลสาระ ความบันเทิงแก่ผู้อ่านที่สนใจ และ หวังว่าจะนาไปปรับใช้ หรือเติมเต็มให้เกิดประโยชน์ได้อย่างแท้จริง สุดท้ายนี้กองบรรณาธิการขอขอบคุณสมาชิก ผู้จัดทาวรรณสาร ที่ปรึกษาวรรณสาร รวมทั้งผู้อ่าน ทุกท่านที่ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดีเสมอมา แล้วพบกันใหม่ฉบับหน้า ขอบคุณค่ะ
ที่ปรึกษา ผศ.ดร.รุ่งรัตน์ ทองสกุล ผศ.ดร.วรพงศ์ ไชยฤกษ์ ผศ.จุฬารัตน์ เสงี่ยม อ.สุริยา ทองคา อ.ปรีดา สุวรรณจันทร์ อ.พัชราภรณ์ คชินทร์
พิสูจน์อักษร นางสาวพรนภัส เพ็งลา นางสาวนาราภัทร ชูเชิดรับ นางสาวนันทพร แทนพ่อ วรรณสารฉบับที่ ๖๓
บรรณาธิการ
จัดพิมพ์
นางสาวยวิษฐา กาเนิดทอง
นางสาวสิริยากร อ่อนศรีโรจน์ นางสาวศศิวิมล ประคีตวาทิน นางสาวติกานต์ การดี
กองบรรณาธิการ
ศิลปกรรมปก
นายปฏิวัติ ทองบุญยัง นางสาวอภิสรา คงแก้ว นางสาวภัณฑิรา ศรีแสง
นางสาวพิมภมร สามะเนี๊ยะ
สารบัญ
วรรณสารฉบับที่ ๖๓ ฉบับวันภาษาไทยแห่งชาติ เดือนมิถุนายน – กรกฎาคม ๒๕๖๓ ...................................................................................................................................... เรื่อง
หน้า
สืบเนือ่ งจากปก ราลึกบาทบพิตรอดิศร เสน่ห์ภาษา ลีลาวรรณศิลป์ ภูมิใจภาษาหลัก รู้รักษ์ภาษาไทย มองวิกฤตให้เป็นโอกาส : ในสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด – ๑๙ บทความสัมภาษณ์พิเศษ สื่อภาษาผ่านวรรณศิลป์ “อาจารย์สุริยา ทองคา” ผู้ปิดทองหลังพระ เปิดประสบการณ์ใหม่ ภาษาไทยศิลปศาสตร์ เรียนภาษาไทยได้อะไรมากกว่าที่คิด เสริมสร้างประสบการณ์กับโครงการดี ๆ เส้นทางสู่การเป็นพิธีกรมืออาชีพ กิจกรรมสร้างสรรค์ บริการสู่ชุมชน “บ้านเกาะหมากน้อย” สานสัมพันธ์น้องพี่ ทศศ. มรภ.ภูเก็ต เปิดบ้านต้อนรับ ค.บ.ภาษาไทย มรภ.กาญจนบุรี ปลูกกล้านักวิจัย การสื่ออารมณ์ “โกรธ” ในวรรณคดีเรื่อง “พระอภัยมณี” อุปลักษณ์เชิงมโนทัศน์ที่เป็นคาด่าในเพจ “จ๊อกจ๊อก” วรรณสารฉบับที่ ๖๓
๑ ๒ ๔ ๗
๑๑ ๑๕ ๑๘ ๒๑
๒๓ ๒๕ ๒๘
๓๐ ๔๐
สารบัญ (ต่อ) เรื่อง
หน้า กด Like วรรณกรรม ชนะใจ สามีสีทอง
๕๗ ๖๔
มุมคาร้องมองอย่างนักวิจารณ์ เพลินเพลงในดวงใจ
๖๙
ไขภาษากับไทยศิลปศาสตร์ คาศัพท์จอมยุ่ง ภาษาไทยน่ารู้
๗๓ ๗๖
ชวนชิมชวนเที่ยว พาเที่ยว พาชม ของดีตามคาขวัญจังหวัดภูเก็ต ชม เริน ย่า อาโป๊งแม่สุณี ของดีเมืองภูเก็ต ตามรอยได้แบบไม่เอ๊าต์ “๑๐ คาเฟ่ภูเก็ต” บรรยากาศน่านั่ง ถ่ายรุปปังทุกองศา
๗๙ ๘๒ ๘๔ ๘๖
เจ้าบทเจ้ากลอน คลื่นชีวิต เจ็บช้ารัก ความสาเร็จ ภาพจา รักของสองเรา เพลินพนา อรัญญิก อักษรสามหมู่
๙๑ ๙๑ ๙๒ ๙๒ ๙๓ ๙๓ ๙๔ ๙๔
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
สารบัญ (ต่อ) เรื่อง
หน้า เกร็ดความรู้ เกร็ดความรู้ คู่ภาษาไทย : คาเรียกฤดูกาล สารพันอาหารพื้นบ้าน เมนูสุขภาพของดีบ้านเรา ทางเลือกสาหรับคนรักสุขภาพ เผยผิวสวย คลายกังวลเรื่อง “รอยแผลเป็น”
๙๕ ๙๗ ๙๙ ๑๐๒
บันทึกภาพในความทรงจา คุณภาพคน ทศศ. กับ ผศ. ใหม่
๑๐๔
ข่าวประชาสัมพันธ์
๑๐๘
ผู้เรียบเรียง
๑๑๐
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
ราลึกบาทบพิตรอดิศร / เสน่ห์ภาษา ลีลาวรรณศิลป์ / ภูมิใจภาษาหลัก รู้รักษ์ภาษาไทย / มองวิกฤตให้เป็นโอกาส : ในสถานการณ์ การแพร่ระบาดไวรัสโควิด – ๑๙
สืบเนื่องจากปก
ราลึกบาทบพิตรอดิศร
ราชามหาอธิกษัตริย์
ธ บาบัดบารุงไทย
ท้าวเธอพระนามะอภิไธย
นวมินทราชา
พระภูมิพลอดุลยเดช
พระปกเกศนครา
นาไทยวิวัฒน์และพัฒนา
พระเกียรติเฟื่องขจรไกล
ทรงห่วงภาษามีพระดารัส
วรตรัสธารงไว้
จึ่งก่อกาเนิดวันภาษาไทย
ประดับอยู่คู่ธานี
ราษฎร์น้อมระลึกพระอธิคุณ
พระการุณย์กษัตริย์ศรี
นวมราชานฤบดี
พระสถิต ณ จิตนิรันดร์ สุริยา ทองคา ผู้ประพันธ์
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๑
เสน่ห์ภาษา ลีลาวรรณศิลป์ สิริยากร ราโชกาญจน์
การทุกอยางที่สามารถดําเนินไปได ลวนเป็นผลมาจากการกระทําของมนุษยแ อาวุธหรื อ เครื่องมือสําคัญชั้นหนึ่งของมนุษยแเพื่อขับเคลื่อนความสําเร็จ คือ “ภาษา” ซึ่งปฏิเสธไมไดวา “ภาษาดี เป็นศรีแกตน” ภาษาดีในที่นี้หมายถึง ภาษาที่ถายทอดออกมาจากผูที่มีทักษะทางความคิด รูจักเรียบ เรียงความคิด ทําใหสามารถสื่อสารความคิดดวยภาษาไดอยางสรางสรรคแ เมื่อกลาวถึงภาษา หลายคนคิดวาเกิดขึ้นเฉพาะภาษาพูดเทานั้น แตแทที่จริง แลว ภาษา คือ พฤติกรรมของมนุษยแที่ทําใหเกิดความเขาใจตรงกันทั้งในฐานะผูสงสารและผูรับสาร ดวยเหตุนี้จึงแบง ภาษาออกไดเป็น ๒ ประเภท ไดแก อวัจนภาษา และวัจนภาษา อวัจนภาษา หมายถึง การสื่อสารดวยการ แสดงออกทางพฤติกรรมหรือกิริยาทาทาง เชน การยิ้ม การพยักหนา การรองไห การโบกมือ เป็นตน สวนวัจนภาษา หมายถึง การสื่อสารกันดวยเสียง และสื่อสารดวยลายลักษณแอักษร การสื่อสารดวยลายลักษณแอักษร เป็นการรับรูเรื่องราวที่ผูเขียนหรือผูสงสารตองการถายทอดโดย ผานตัวอักษร และผูรับสารรับรูดวยการอาน ผูอานจะเขาใจงานเขียนไดมากนอยเพียงใดนั้นขึ้นอยูกับ ปัจจัยหลายประการ ประการที่สําคัญประการหนึ่ง คือ คุณภาพของงานเขียน ซึ่งงานเขียนที่มี คุณภาพ ย อ มเกิ ด จากตั ว ผู ส ร า งสรรคแ ง านเขี ย น ผู เ ขี ย นจึ ง จํ า เป็ น ต อ งมี ค วามรู ใ นเรื่ อ งที่ เ ขี ย น รวมถึ ง มี ความสามารถในการถายทอดงานเขียน “ความรู ” ที่ใชเป็นเนื้อหาสาระสําคัญในการเขียนเป็นสวนของเนื้อความหรือเหตุการณแของ เรื่องราวที่ผูเขียนตองการถายทอด อาจเป็นเรื่องราวภูมิหลัง ประสบการณแ เรื่องราวจากจินตนาการหรือ อื่น ๆ ที่ผูเขียนประสงคแบอกเลาผานตัวอักษร สวน “ความสามารถ” ในการเขียนนั้นเป็นการ “เลนกับ ภาษา” ซึ่งหมายถึง การรูจักใชลีลาภาษาในงานเขียน เพื่อใหผูอานเขาใจในงานเขียนอยางละเอียดออน แตทั้งนี้ควรคํานึงดวยวางานเขียนนั้นเป็นงานเขียนชนิดใด เชน งานเขียนทางวิชาการควรใชภาษา ทางการที่เป็นระเบียบแบบแผน งานเขียนนวนิยายควรใชภาษาที่สื่ออารมณแของตัวละครเพื่อใหผูอาน เกิดอารมณแคลอยตาม งานเขียนรอยกรองควรใชภาษาที่สละสลวย ซึ่งผูประพันธแตองมีคลังคําจํานวน มาก ตลอดจนสามารถเขาใจความหมายของคํานั้น ๆ เป็นอยางดี เป็นตน เมื่อผูเขียนสามารถเลนกับ ภาษาไดอยางสรางสรรคแยอมทําใหงานเขียนนาสนใจ และนาติดตามมากขึ้น งานเขียนที่มีค วามนาสนใจ ไม เพีย งเเคตอ งอาศั ยความรู เเตสิ่ง ที่สํา คัญ อี กประการ คื อ “จินตนาการ” จินตนาการเกิดจากการสรางภาพขึ้นในความคิด สิ่งที่นึกคิดอาจเป็นสิ่งที่มีอยูจริงหรือไมมี อยูจริงก็ไดโดยไมมีถูก และผิด ดังคํากลาวที่หลายคนไดยินเป็นอาจินตแวา “จินตนาการไมมีที่สิ้นสุด” วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๒
จากนั้นผูเ ขียนตองตระหนักวา จะเขียนอยางไรใหผูอานเกิ ดภาพในจิ นตนาการใกลเคียงกับตนที่สุ ด ผูเขียนจึงจําเป็นตองมีสุนทรียศาสตรแเพื่อใชในงานเขียน สุนทรียศาสตรแในงานเขียน คือ ศิลปะทางภาษาหรือความงามของภาษาในแขนงวิชาที่วาดวย การเขียน นับวาเป็นหลักที่นําไปใชไดกับงานเขียนทุกชนิดทั้งรอยแกว และรอยกรอง ซึ่งงานเขียนที่ทําให ผูอานเห็นถึงความงามของภาษาอยางเดนชัดนั่นก็คือ งานเขียนประเภทบทรอยกรอง ไดแก โคลง กาพยแ กลอน ราย และฉันทแ โดยจะยกตัวอยางบทประพันธแดังตอไปนี้ เอกาคณาจารยแ อบรมแนะทางทิศ ศาสตรแเเกรงประดุจเวท อาวุธประจํากาย
ปณิธานชโลมศิษยแ พระคุณาขจรจาย พละเดชจรัสฉาย มิมลายทวีแสน… เอกาอาจารยแ : นกขุม
บทประพันธแขางตนเป็น บทประพันธแประเภทอินทรวิเชียรฉันทแที่เป็นไปตามฉันทลักษณแ มีการใชคําไวพจนแแทนการใชคําทั่วไปที่คุนหู ซึ่ง คําไวพจนแก็คือ คําพองความหมาย เป็น การเปลี่ย น รูปอักษร แตความหมายยังคงเดิม เพื่อใหเกิดความไพเราะสละสลวยของถอยภาษา …เชิญทานฟังเชิญมาเชียรแชนรุนใหม นอมเคารพกติกาเพื่อปรองดอง
แรงดั่งไฟเราเสนอรอสนอง น้ําตานองใครสยบเดี๋ยวรูกัน รุนใหมไฟแรง : นกขุม
บทประพันธแขางตนเป็นงานเขียนประเภทกลอนสุภาพที่เป็นไปตามฉันทลักษณแ มีการใชคํา ธรรมดาที่คุนหู แตทําใหผูอานเกิดอรรถรสหรือเกิดอารมณแคลอยตามไดดวยการเลนน้ําหนักคํา เลนเสียง โดยสัมผัสสระ และสัมผัสอักษร นอกจากนี้ยังมีการใชภาษาในลักษณะอื่นอีกจํานวนมากที่ตองอาศัยเสนหแภาษาไทยเป็นหัวใจ หลัก เชน การแสดงลําตัด การแสดงฉอย การเป็นพิธีกร การกลาวสุนทรพจนแ การประพันธแเพลง เป็นตน จะเห็นวาการใชภาษาในการสื่อสารไมวาการเขียน หรือการพูดลวนตองใชความพิถีพิถัน และ ความประณี ตในการสร างสรรคแ และถา ยทอดสูผู รั บสาร ยิ่ ง การสื่อ สารมี การใชว รรณศิ ลป ไ ด อย า ง เหมาะสม ยอมเพิ่มคุณคา และมูลคาใหการสื่อสารครั้งนั้น ๆ มีคุณคายิ่งขึ้น
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๓
ภูมิใจภาษาหลัก รู้รักษ์ภาษาไทย นฤมล หงส์ศิริ
“เด็กไทยตองรูรักษแภาษาชาติ ภาษาไทยเอกราชแหงแผนดิน
มหาราชรามคําแหงสรางสรรคแศิลป ไทยทั่วถิ่นรวมรักษาภาษาไทย”
จากบทกลอนขางตนที่กลาวมานั้น ดิฉันรูสึกซาบซึ้งและประทับใจในเนื้อหาของกลอนบทนี้เป็น อยางยิ่ง เนื่องดวยสะทอนใหเห็นถึงคุณคาความสําคัญของภาษาไทย มุงเนนใหบุคลากรในประเทศทุก หมูเหลา โดยเฉพาะเยาวชนไทย ที่กําลังเรียนรูและเติบโตเป็นสวนหนึ่งในการพัฒนาประเทศ เกิดความ ภาคภูมิใจในภาษาชาติ รวมศึกษาสืบสานวัฒนธรรมทางภาษานี้ไ วแกยุวชนรุนหลัง เพื่อเป็นเกียรติ ประวัติแกไทยใหคงอยูสืบไป ภาษาไทย ถือกําเนิดขึ้นในสมัยสุโขทัย ดวยพระอั จฉริยภาพของพอขุนรามคําแหงมหาราช ทรงประดิษฐแอักษรไทยขึ้น ทําใหชาติไทยมีการบูรณาการความรูทางศิลปะวิชาการตาง ๆ เรียบเรียง บันทึกขึ้นเป็นตํารา เพื่อใชเป็นสื่อในการเรียนการสอน ถายทอดความรูตาง ๆ จากรุนสูรุนสืบมาชานาน สําหรับดิฉันคิดวาภาษาไทยมีความโดดเดนเป็นเอกลักษณแเฉพาะตัว ยากที่จะหาภาษาอื่นใดใน โลกเทียบได จึงขอยกตัวอยาง ทอนหนึ่งในบทกาพยแเหเรือ ซึ่งเป็นบทพระนิพนธแของเจาฟูาธรรมธิเบศร ความวา “สุวรรณหงสแทรงพูหอย งามชดชอยลอยหลังสินธุแ เพียงหงสแทรงพรหมินทรแ ลินลาสเลื่อนเตือน ตาชม” แทนที่จะอธิบายวา เรือสุวรรณหงสแมีพูหอยสวยงาม ลองลอยอยูบนสายน้ํา เหมือนหงสแที่เป็น พาหนะของพระพรหม แตกลับนํามาแตงเป็นบทประพันธแอันแฝงความหมายไพเราะยิ่งจนไดรับยกยอง ใหเป็นเอกแหงกาพยแเหเรือ ซึ่งเป็นบทเหเรือชมกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค กาพยแเหเรือบทนี้ นํามาใชเป็นบทอาขยานบทหลัก ในหลักสูตรวิชาภาษาไทยพื้นฐานมัธยมศึกษาปีที่ ๖ ซึ่ง นับเป็นบท ประพันธแที่เด็กไทยหลายยุคหลายสมัยรูจักเป็นอยางดี นอกจากนี้ ภ าษาไทยยั ง มี ร ะดั บ ภาษา ซึ่ ง ต อ งแยกแยะการใช ใ ห เ หมาะสมกั บ บุ ค คลและ สถานการณแนั้น ๆ ตามกาลเทศะ เชน ภาษาระดับพิ ธีการ ภาษาระดับทางการ ภาษาระดับ ไมเป็ น ทางการ ภาษาระดับกึ่งทางการ และภาษาระดับกันเอง เป็นตน นอกจากนี้ ยังมีการใชคําราชาศัพทแ ที่จะตองคํานึงถึงการนํามาใชอยูเสมอ โดยเฉพาะการใชภาษากับสถาบันพระมหากษัตริยแ ซึ่งจะเห็นไดว า ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่มีการบัญญัติคําราชาศัพทแขึ้นใชกับบุคคลระดับตาง ๆ เชน เมื่อตองการ กล า วถึ ง สถาบั น พระมหากษั ต ริ ยแ ก็ จ ะมี คํา ที่ ใ ช สํา หรั บ พระมหากษั ต ริ ยแ แ ละพระบรมวงศานุ ว งศแ เพื่อแสดงใหเห็นถึงความเคารพนอบนอมตอสถาบันอันเป็นที่รักยิ่ง ของคนไทยทั้ง ปร ะเทศ เป็นตน วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๔
สิ่ง เหลานี้ ลวนบงบอกถึงเอกลักษณแและเอกราชของความเป็นไทยทั้งสิ้น หากกลาววา “คนไทยโชคดีที่มีภาษาชาติเป็นของตน” ก็คงไมผิดนัก แตทวาความโชคดีที่ยิ่งกวา คือการที่คนไทยมีพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช มหาราชบรมนาถบพิตร พระองคแทรงเป็นแบบอยางที่ดีของการใชภาษาไทยอยางถูกตองมาโดยตลอด ทรงพระราชทานพระราช ดํารัสตาง ๆ เกี่ยวกับการนําภาษาไทยไปใชไดอยางถูกตอง มีจิตสํานึกรักและหวงแหนในภาษาชาติ ดว ยเหตุ นี้ค ณะรั ฐ มนตรี จึ ง มี มติ จั ด ตั้ ง ให วั น ที่ ๒๙ กรกฎาคม ของทุก ปี เ ป็ น วั นภาษาไทย แหงชาติ เพื่อนอมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองคแทาน และกระตุนใหคนไทยทั้งชาติ ตระหนัก ถึงคุณคาความสําคัญของภาษาไทย ตลอดจนสงเสริมอนุรักษแไวใหคงอยูคูชาติตอไป อีกหนึ่งบุคคลแหงราชวงศแจักรีที่มีความสําคัญตอวงการภาษาไทยเป็นอยางยิ่ง ก็คือ สมเด็จพระ กนิษฐาธิร าชเจา กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระองคแทรงมี พระปรีช า สามารถเป็นเลิศทางดานอักษรศาสตรแ ทรงพระราชนิพนธแวรรณกรรมตาง ๆ ไวมากกวา ๑๐๐ เลมทั้ง ประเภทรอยแกว และประเภทรอยกรอง พระองคแทรงเป็นผูดํารงรักษามาตรฐานความถูกตองในการใช ภาษาไทยไดอยางดียิ่ง กลาวคือทรงใชภาษาเรียบงาย ไมทรงนําคําภาษาตางประเทศ หรือคําศัพทแสแลง มาใชปะปนกับภาษาไทย ทําใหผูอานเขาใจงาย อีกทั้งทรงแสดงใหเห็นถึงความชํานาญในการประพันธแ ฉันทลักษณแทุกชนิด ทรงใชคําที่มีความหมายเหมาะสมสละสลวยไพเราะอยางยิ่ง จนเป็นที่ประจักษแแก สายตาชาวโลกโดยทั่วกัน นอกจากนี้พระองคแทรงมีพระราชดํารัส ทรงแสดงความหวงใยการใชภาษาไทยของเด็กและ เยาวชนที่อยูในวัยเรียน ในถิ่นทุรกันดาร เด็กที่รางกายบกพรองพิการ ตลอดจนกลุมคนที่อยูตามแนว ตะเข็บชายแดนไทย ที่ขาดโอกาสทางการศึกษา เป็นเหตุใหไมสามารถใชภาษาไทยในการสื่อสารไดอยาง มีประสิทธิภาพ สงผลใหเกิดอุปสรรคตอการพัฒนาชีวิตความเป็นอยูอยางยิ่ง พระองคแจึง ทรงจัดตั้ ง โครงการสงเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และปรารถนาอนุรักษแภาษาไทยใหดํารงอยูตลอดไป ถือเป็นพระ มหากรุณาธิคุณอยางหาที่สุดมิได ปัจจุบันดวยยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสโลกาภิวัตนแ เทคโนโลยีการสื่อสารตาง ๆ ไดเขา มามีบทบาทตอการดําเนินชีวิตของมนุษยแในสังคมไทยมากยิ่งขึ้น เป็นสาเหตุนํามาซึ่งการใชภาษาไทยใน รูปแบบผิด ๆ พบเห็นไดมากที่สุดโดยเฉพาะในกลุมวัยรุนและเยาวชนไทย ที่มักนิยมใชภาษาพูดแทน ภาษาเขียน ใหความสนใจกับการคิดคนคําศัพทแแปลกใหมอยูแทบทุกเวลา กลายเป็นคานิยมผิด ๆ แต ไดรับความสนใจ และนํามาปฏิบัติตามกันอยางแพรหลาย หากเราปลอยปละละเลย ไมรีบเรง หาแนว ทางการแกไขปัญหาเหลานี้ใหยุติลงไดโดยเร็ว สิ่งเหลานี้ลวนแลวแตจะทําใหมนตแเสนหแของภาษาไทย คอย ๆ เลือนหายไปในที่สุด แนวทางการปูองกันและแกไขที่ดีที่สุด ควรเริ่มจากสถาบันที่เล็กที่สุด แตมี ความสําคัญมากที่สุด คือ สถาบันครอบครัว ผูปกครองควรเป็นแบบอยางที่ดีในการใชภาษาไทยอยาง ถู ก ต อ ง และเหมาะสม เพื่ อ เป็ น แบบอย า งแก บุ ต รหลานได นํ า ไปปฏิ บั ติ ต ามสถาบั น ต อ มา คื อ สถาบันการศึกษา โดยมีคุณครูคอยใหคําแนะนําแกศิษยแ มุงตระหนักใหศิษยแมองเห็นถึงความโชคดีที่คน ไทยมีภาษาชาติเป็นของตน จัดกิจกรรมสงเสริมทักษะการใชภาษาไทยทุกแขนง เพื่อสานตอมรดกทาง วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๕
ภาษานี้ไวใหคงอยูสืบไปสถาบันสุดทาย คือสถาบันสื่อเทคโนโลยี การมีสวนรวมขององคแกรตาง ๆ ที่ใช สื่อ เป็นเครื่องมือในการเผยแพรขอมูลขาวสาร ผูใชสื่อควรมีจิตสํานึก คํานึงถึงการใชภาษาไทยอยาง ถูกตองและเหมาะสม ทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน ควรใชอยางระมัดระวัง เพื่อเป็นแบบอยางที่ดีของ สังคมไทยตอไป หากชาติไทย “ขาดภาษาไทย” นั่นหมายความวา “ความเป็นชาติสวนหนึ่ง ไดสูญสิ้นไปดวย” ฉะนั้นเราในฐานะประชาชนคนไทย ควรมีสวนรวมในการมุงทํานุบํารุง สงเสริมทักษะความรูความเขาใจ แกเยาวชนรุนหลัง เพื่อเป็นรากฐานที่เขมแข็งและมั่นคงในการใชภาษาไทยไดอยางถูกตอง พึงระลึกอยู เสมอวา การใชภาษาไทย ซึ่ ง จะเกิด ประสิท ธิภาพหรื อไมนั้น ขึ้นอยู กับการเลือกใช อยางชาญฉลาด เพราะเด็กในวันนี้คือผูใหญในวันหนา หากเด็กในวันนี้มีคุณคาผูใหญในวันหนายอมมีคุณภาพ
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๖
มองวิกฤตให้เป็นโอกาส : ในสถานการณ์ การแพร่ระบาดไวรัสโควิด – ๑๙ สุพัตรา ตั้งคา
เมื่ อ ปลายปี พุ ท ธศั กราช ๒๕๖๒ ได เ กิ ด การระบาดของเชื้ อไวรัส สายพั นธุแ ใ หม ห รื อเรีย กวา โรคโควิด - ๑๙ ในเมืองอูฮั่นที่ประเทศจีน สงผลใหประชาชนตางเกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับเชื้อไวรัส สายพันธุแนี้ เนื่องจากการระบาดของไวรัสสายพันธุแนี้สงผลกระทบในหลายดาน โดยเฉพาะการสูญเสียทั้ง ชีวิต และทรัพยแสิน กระทรวงสาธารณสุข (https://ddc.moph.go.th) ไดออกมาประกาศวา จากการระบาดของ เชื้อไวรัสนี้พบวา เชื้อไวรัสในตระกูลนี้เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยมาแลวจากโรคระบบทางเดินหายใจ เฉียบพลันรายแรงหรือโรคซารแส ซึ่งมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสโคโรนาเชนกัน และพบการระบาดมาจาก ประเทศจีน เชน เดีย วกัน โรคโควิด - ๑๙ คือ โรคทางเดิน หายใจที่ เ กิด จากไวรัส โคโรนาสายพัน ธุแ ใหม ซึ่งเป็นโรคติดตอที่สามารถแพรกระจายจากคนสูคนได โดยผานทางละอองของเหลวที่ออกมาจาก การไอ และจาม ผูที่ติดเชื้อจะมีอาการเริ่มแรก คือ มีไข ตามดวยอาการไอแหง หลั งจากนั้นประมาณ ๑ สัปดาหแจะมีปัญหาหายใจติดขัดหรือไมสะดวก ถาผูปุวยที่มีอาการหนักจะมีอาการปอดบวม อั ก เสบรว มดว ยหากอาการรุน แรงมากอาจจะสง ผล ใหอ วัย วะภายในเกิด การลม เหลวได https://www.bbc.com (๒๕๖๓) นอกจากวิกฤตในครั้งนี้จะสงผลใหมีผูติดเชื้อ และผูเสียชีวิตเป็นจํานวนมากแลว ยังสงผลใหผูคน เกิดความเครียด ที่เห็นไดชัดเจนคือมีผูคิดฆาตัวตายเนื่องจากไมมีเงิน ไมมีงานทํา สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จ พระสั ง ฆราช สกลมหาสัง ฆปริ ณ ายก จึง ประทานพระคติ ธ รรม เป็ น กํา ลั ง ใจในสถานการณแ การแพรระบาดของโรคโควิด - ๑๙ ความวา ไม่มีชีวิตใดประสบแต่ความเกษมสุข ปราศจากทุกข์ภัยไปได้ตลอด เมื่อเกิดมาแล้ว จึงจาเป็นต้องขวนขวายสั่งสม “สติ” และ “ปัญญา” สาหรับเป็นอุปกรณ์บาบัดความทุกข์ อยู่ทุกเมื่อ เพื่อให้สมกับที่ดารงอัตภาพแห่งมนุษย์ผู้มีศักยภาพต่อการพัฒนา ท่ามกลาง สถานการณ์โรคระบาดซึ่งก่อให้เกิดความหวาดหวั่นครั่นคร้ามกันทั่วหน้า ทุกคนมีหน้าที่ แสวงหาหนทางเพิ่มพูน “สติ” และ “ปัญญา” พร้อมทั้งแบ่งปันหยิบยื่นให้แก่เพื่อนร่วม สังคม อย่าปล่อยให้ความกลัวภัยและความหดหู่ท้อถอย คุกคามเข้าบั่นทอนความเข้มแข็ง ของจิตใจ ในอันที่จะอดทน พากเพียร เสียสละ และสามัคคี
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๗
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสัง ฆราช สกลมหาสัง ฆปริณายก ยัง ประทานธรรม ภาษิตบทหนึ่งในพระพุทธศาสนา เพื่อนํามาเตือนใจประชาชนความวา “เมื่อถึงยามคับขันประชาชน ตองการผูกลาหาญ, เมื่อถึงคราวปรึกษางาน ตองการผูที่ไมพูดพลาม, ยามมีขาวน้ํา ตองการผูเป็นที่รัก , ยามเกิดปัญหา ตองการบัณฑิต” ขอทุกทานจงเป็น “ผูกลาหาญ” ที่จะละความดื้อดานเห็นแกตัว ความเคยตัว และความไม ระมัดระวังตัว ขอจงเป็น “ผูที่ไมพูดพลาม” โดยปราศจากสาระ กอความราวฉานชิงชัง ในยามที่ สังคม ตองการสาระ คําปรึกษาหารือ และกําลังใจ แตจงประพฤติตนเป็น “บัณฑิต” ผูรูรักษากายใจของตัวให ปลอดจากโรคกายโรคใจ เป็นผูฉลาดศึกษา คนควา วางแผน ชี้แนะ และลงมือทํา ทั้งนี้ ถาแตละคนแม เพียงตั้งจิตไวในธรรมฝุายสุจริต ไมถลําลงสูความคิดชั่ว อันนําไปสูการพู ดชั่วและทําชั่วซ้ําเติม ก็นับวาได ชวยบรรเทาปัญหาของโลกแลว และยิ่งหากทานมีดวงจิตผองแผวดวยเมตตาการุณยธรรม นําความ ปรารถนาดีเผื่อแผไปสูทุกชีวิตอยางเสมอหนา ความทุกขแยากที่เราทั้งหลายตางเผชิญ ยอมจะคลี่คลายได ในไมชา
นอกจากนี้ ทานเจาคุณพระเมธีวชิโรดม หรือทาน ว.วชิรเมธี ผูชวยเจาอาวาสวัดพระสิงหแ พระนักคิด นักเขียน และนักพัฒนาสังคมชื่อดัง ไดเชิญชวนใหประชาชนลองคิดหาโอกาสจากวิกฤตในครั้งนี้ในมุมมอง อื่น ๆ ที่เป็นประโยชนแ ดังตอไปนี้ ๑. สหประชาชาติ นี่คือโอกาสที่องคแกรระดับโลกแหงนี้จะไดทําหน าที่เป็นสื่อกลางในการแสวงหา ความรวมมือจากผูนําประเทศ รัฐบาล องคแกรระดับโลก แพทยแ นักวิทยาศาสตรแ นักวิชาการ ปัญญาชน วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๘
ชั้น นํ า ทั่ วโลก เพื่ อ ร ว มกั น ศึ ก ษา ค น คว า วิ จัย เวชภัณ ฑแ ย า และแสวงหาทางออกที่ ยั่ ง ยื นมากกว า การเยียวยาปัญหาเฉพาะหนา ๒. รัฐบาลของทุกประเทศ นี่คือโอกาสที่ผูนํารัฐบาลของทุกประเทศจะไดแสดงออกซึ่งภาวะผูนํา ในการบริหารประเทศในยามวิกฤต ไมมีโอกาสไหนอีกแลวที่ทานจะแสดงใหประชาชนผูเลือกทานเขามา เป็นผูแทนของตนเองไดเห็นวาทาน มีฝีมือในการบริหารประเทศชาติบานเมืองเทาครั้งนี้ ๓. นักการเมืองทุกคนจากทุกพรรค นี่คือโอกาสที่ทานจะแสดงออกซึ่งวิสัยทัศนแในการรับใช ประชาชนของทานอยางสุดความสามารถ ทานควรวางมือจากความขัดแยงสวนตัว จากผลประโยชนแ เฉพาะกลุม และจากความรูสึกเชิงแบงแยกเป็นฝักเป็นฝุายทั้งหมด หันมาหลอมรวมใจใหเป็นหนึ่งเพื่อ นําเอาศักยภาพทางสติปัญญาออกมารับใชประชาชนใหดีที่สุดใหสมกับที่ประชาชนคาดหวังจากทาน ๔. มหาเศรษฐี นักธุรกิจ นักลงทุน ชนชั้นนําของประเทศ นี่คือโอกาสที่ทานจะแสดงออกซึ่ง ความรับผิดชอบตอสังคมของภาคธุรกิจของทาน พักความเป็นนักธุรกิจของทานไวชั่วคราว กาวออกมา สวมหัวใจแหงความเป็นมนุษยแที่รูรอนรูหนาวตอเพื่อนรวมโลก, ประเทศชาติ ประชาชน โรงพยาบาลทุก แหง ตองการศักยภาพในการแกปัญหาจากทานอยางยั่งยืนทั้งดานองคแความรู เงินทุน เทคโนโลยี และ บุคลากรมืออาชีพในองคแกรของทาน ๕. แพทยแ พยาบาล บุคลากรทางดานสาธารณสุข นี่คือโอกาสในการแสดงออกซึ่งความเป็นมือ อาชีพของผูชํานาญการเฉพาะดานที่ไดรับการฝึกหัดพัฒนามาอยางเป็นอยางดี คือนาทีทองของการรับใช ประชาชนดวยหัวใจที่เปี่ยมไปดวยจิตสํานึกสาธารณะ ๕. ศิลปิน ดารา ผูมีชื่อเสียง ผูทรงอิทธิพลที่มีตนทุนทางสังคมสูง นี่คือ โอกาสครั้งสําคัญที่ทาน จะไดคืนกําไรใหกับประชาชนผูนิยมชมชอบในตัวทาน ผูสนับสนุนทานผานผลงานการแสดง การรอง เพลง การสรางงานศิลปะ การติดตามความคิดความอานของทานมาอยางยาวนาน ดวยการลงแรง สรางสรรคแผลงาน หรือการสื่อสารผานสาธารณะ หรือดวยวิธีการอยางใดอยางหนึ่งตามที่ทานถนัด ๖. สื่อมวลชน ปัญญาชน นักคิด นักเขียน นี่คือโอกาสที่ทานจะแสดงออกซึ่งความเป็นมืออาชีพ ดานการสื่อสาร ดานการคิดวิเคราะหแหาทางออกใหกับสังคม ประเทศ และมนุษยชาติ ใชศักยภาพอัน แหลมคมของทานเพื่อรวมกันสื่อสารเชิงสรางสรรคแ ใหความรูที่ถูกตอง ตรง จริง เขาถึงประชาชนใหมาก ที่สุด ๗. ประชาชน มนุษยชาติ นี่คือโอกาสที่เราทุกคนจะแสดงออกซึ่งความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและ กันในฐานะที่เราทุกคนตางก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของโลกใบนี้ คํากลาวที่วา “โลกทั้งผองเป็นพี่นองกัน ” จะเป็นจริงไดก็ตอเมื่อเราทุกคนอยูรวมกันดวยเมตตาการุณยแ มีสุ ขรวมเสพ มีทุกขแรวมตาน ชวยเหลือ เกื้อกูลกัน ๘. ผูนําทางทางจิตวิญญาณ ศาสนิกของทุกศาสนา นี่คือโอกาสทองของการนําเอาคําสอนของ พระบรมศาสดาที่เราทุกคนเคารพนับถือออกมาสูการปฏิบัติในโลกของความเป็นจริง การมาถึงของไวรัส โควิด-๑๙ คือ การทาทายใหเราทุกคนในฐานะศาสนิกของทุกศาสนารวมกันนําเอาดานที่ดีที่สุด งดงาม ที่สุด ประเสริฐที่สุดจากทุกศาสนาที่เรานับถือออกมารวมกันเยียวยาวิกฤตใหผอนคลาย วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๙
๙. ปัจเจกบุคคล สถาบันครอบครัว ธรรมชาติ สิ่งแวดลอม แหลงทองเที่ยว ระบบอุตสาหกรรม ทุกชนิด นี่คือโอกาสของการฟื้นฟูตัวเองครั้งใหญที่สุดในประวัติศาสตรแของมนุษยชาติ ของสิ่งแวดลอม ของผืนดิน ผืนฟูา ผืนปุา ขุนเขา สายน้ํา อากาศ สถาบันครอบครัว เพราะนับแตกระบวนการตาง ๆ ถูกความจําเป็นจากไวรัสบังคับใหตองหยุดกิจการโดยอัตโนมัติตามแนวคิด “รวมกันเราตาย แยกยายกัน เรารอด” ธรรมชาติ สิ่งแวดลอม แหลงทองเที่ยว อากาศ สายน้ํา ก็ไดรับการฟื้นฟูทันที นอกจากนี้ทานยังฝากขอคิดใหประชาชนทุกคนไดคิดไตรตรอง และปรับเปลี่ยนมุมมองตัวเองที่ มีตอวิกฤตในครั้งนี้ใหกลายเป็นโอกาส ความวา เมื่อวิกฤตการณ์เกิดขึ้นมา หากเราเอาแต่ยอมจานน สิ่งที่จะตามมา ก็คือ ความสิ้นหวัง หมดกาลังใจ มองไม่เห็นหนทางที่จะก้าวไปข้างหน้า แต่หากเราเปลี่ยนท่าทีในการเผชิญกับ วิกฤตด้วยมุมมองเชิงสร้างสรรค์ เราจะเห็นโอกาสอยู่เต็มไปหมด ขอให้เราทุกคนมาเรียนรู้ที่ จะเปลี่ยนมุมมองต่อวิกฤตเสียใหม่ โดยเรียนรู้ที่จะมองเพื่อที่จะใช้ประโยชน์จากวิกฤตให้เป็น โอกาสสาหรับการนาพาตัวเององค์กร ประเทศ และมวลมนุษยชาติตลอดถึง โลกของเรา เพื่อก้าวไปสู่สันติภาพและสันติสุขร่วมกันเราเปลี่ยนสถานการณ์บางอย่างไม่ได้อย่างที่ใจต้องการ แต่เราเปลี่ยนมุมมองของเราต่อมันได้ และเปลี่ยนได้ทันที ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ ดอกบัวงอกงามขึ้นมา จากตมและน้าฉันใดมนุษยชาติก็อาจเติบโตและพัฒนาได้จากวิกฤตการณ์ฉันนั้น จากคํากลาวของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และ ทานเจาคุณพระเมธีวชิโรดม นอกจากมีใจความที่ใหกําลังใจประชาชนแลว ทานยังฝากแงคิดในเรื่องของ การมีสติ และปัญญา เพื่อนําไปใชในการบําบัดความทุกขแ พรอมทั้งใหรูจักการแบงปันใหแกเพื่อนรวม สังคม รูจักสามัคคีรวมมือรวมใจกัน และการมองหาโอกาสในวิกฤตครั้งนี้ โดยการปรับเปลี่ยนมุมมอง ความคิดของตนเอง เพื่อประโยชนแตอคนในสังคม อยางไรก็ตาม วิกฤตในครั้งนี้นอกจากสงผลกระทบใหเกิดการสูญเสียครั้งยิ่งใหญแลว ยังทําให เห็นถึงความรวมมือรวมใจของคนในสังคมที่รูจักชวยเหลือ แบงปัน และรูรักสามัคคีซึ่งจะสงผลใหเราผาน วิกฤตในครั้งนี้ไปได https://www.terrabkk.com (๒๕๖๓)
เอกสารอ้างอิง ศูนย์ข้อมูลข่าวสารด้านเวชภัณฑ์ กระทรวงสาธารณสุข. (๒๕๖๓). https://ddc.moph.go.th. เขาถึงเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๓. BBC NEWS. (๒๕๖๓). https://www.bbc.com. เขาถึงเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๓. TERRABKK.
(๒๕๖๓).
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
https://www.terrabkk.com. เขาถึงเมือ่ วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๖๓.
หน้า ๑๐
สื่อภาษาผ่านวรรณศิลป์ / “อาจารย์สุริยา ทองคา” ผู้ปิดทอง หลังพระ / เปิดประสบการณ์ใหม่ ภาษาไทยศิลปศาสตร์ / เรียนภาษาไทยได้อะไรมากกว่าที่คิด
บทความสัมภาษณ์พิเศษ พิมภมร สามะเนี๊ยะ
สื่อภาษาผ่านวรรณศิลป์
เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ นักเขียนรางวัลซีไรตแประจําปี ๒๕๔๗
วรรณศิลป คือ ศิลปะแหงการประพันธแ นับเป็นศิลปะทางวรรณกรรม การพิจารณาคุณคาดาน วรรณศิลป เป็นการพิจารณาการเลือกสรรคําในการสื่อความคิด ความเขาใจ ความรูสึก และอารมณแ โดยคํานึงถึงความงามดานเสียง โวหาร และรูปแบบคําประพันธแ รวมถึงการพิจารณาการเรียบเรียงคํา วา มีการจัดวางคําที่เลือกสรรแลวมาเรียงรอยกันอยางตอเนื่องตามจังหวะ ตามโครงสรางภาษา หรือตาม ฉันทลักษณแหรือไม ตลอดจนพิจารณาการใชโวหาร ซึ่ง เป็นการใชถอยคําเพื่อใหผูอานเกิดจินตภาพ ที่เรียกวา “ภาพพจนแ” ดวยเหตุนี้ ผูที่เป็นนักเขียนจึง ตองหมั่นคนควาและฝึกฝนใหเกิดความชํานาญ จนเกิดเป็นการสื่อสารผานวรรณศิลป นักเขียนจึงเป็นบุคคลสําคัญที่มีบทบาทในการนําภาษามาถายทอดผานวรรณศิลป ดังนั้นผูที่เป็น นักเขียนตองใชภาษาเป็นเครื่องมือในการสรางสรรคแพลังความหมายและพลังความไพเราะของงานเขียน วรรณสารฉบับนี้จึงมีบทสัมภาษณแนักเขียนกวีซีไรตแ “คุณเรวัตรแ พันธุแพิพัฒนแ” เจาของงานเขียนเรื่อง “แมน้ํารําลึก” ที่ไดรับรางวัลวรรณกรรมสรางสรรคแยอดเยี่ยมแหงอาเซียนหรือรางวัล ซีไ รตแ ประจําปี ๒๕๔๗ มาถายทอดประสบการณแในการเขียนงานใหผูอานและผูที่สนใจอยากจะเป็นนักเขียนไดทราบกัน
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๑๑
มองบทบาทของภาษาในฐานะการเป็นเครื่องมือในการสื่อสารอย่างไร มนุษยแตางใชภาษาเป็นเครื่องมือสื่อสารตั้งแตจําความไดกระทั่งวาระสุดทายของชีวิต สวนบทบาท ของภาษามีทั้งการชี้นํา การโนมนาว การโฆษณาชวนเชื่อ การสั่งสอน การกดขี่ การเรียนรู และการเป็น แรงบันดาลใจ
คุณคิดว่าคุณมีต้นทุนหรือพื้นฐานก่อนเริ่มเขียนงานอย่างไรบ้าง ผมมีตนทุนมาจากการอาน กอนที่จะลงมือเขียน เพราะการอานชวยใหผมมองเห็นความคิดของ ผูอื่น รวมทั้งไดรูจักกลวิธีการเขียนในรูปแบบตาง ๆ มองเห็นลีลาภาษาที่ไมเหมือนกันของแตละคน และ ยังไมนับรวมถึงการไดสั่งสมคํามากมายมหาศาลไวในคลังของตนเอง กอนที่ผมจะสรางงานเขียนสักเรื่อง ผมจะเริ่มดวยการเลือกเฟูนเรื่องที่จะเลา นั่นหมายถึงเรื่องที่กระทบใจผมในขณะนั้นมากที่สุด เลือก มุมมอง หากลวิธี สรางตัวละคร สรางฉากและบรรยากาศ และกําหนดสํานวนภาษาที่จะใช
แรงบันดาลใจ และอุปสรรคในการเขียนหนังสือแต่ละเล่มมีอะไรบ้าง และผ่านจุดนั้นมาได้ อย่างไร แรงบันดาลใจมาจากการอาน การฟัง การสังเกต และการเดินทางออกไปปะทะกับโลกภายนอก เพื่อไดรับและไดแลกเปลี่ยนประสบการณแ รวมทั้งเหตุการณแตาง ๆ ที่พุงเขามากระทบใหผมสะเทือนใจ รุนแรง สวนการเขียนที่เกิดอุปสรรคขึ้น นั่นหมายความวาตัวผูเขียนยังไมสุกงอมเพียงพอกับเรื่องราวที่ กําลังลงมือเขียน ดังนั้นควรบมไวขางในในเวลาที่เหมาะสม หรือไมก็ยังไมแจมชั ดเพียงพอตอเรื่องราวที่ จะดําเนินไปจนถึงจุดจบ
ผลงานเรื่องไหนของตัวเองที่ชื่นชอบมากที่สุดและมีเรื่องไหนที่อยากกลับไปแก้ไขผลงาน ไหม ชอบผลงานของตนเองทุกเลม เพราะงานแตละเลมลวนแลวแตแสดงใหเห็นถึง ความคิดและ อารมณแความรูสึกในแตละห วงขณะที่กําลัง ลงมือเขียนงานเลมนั้น ๆ ขึ้นมา ดังนั้นผมจึง ไมคิดที่จะ ยอนกลับไปแกไขงานที่ผานมาแลวของตนเอง เพื่อจะไดมองเห็นความบกพรองและภาวะตาง ๆ ที่เกิดขึ้น ในขณะนั้น ๆ
ข้อดีและข้อเสียของการเป็นนักเขียนคืออะไร ขอดีของการเป็นนักเขียน คือการไดตระหนักรูวาความคิดความอานที่แทจริงของตนเองเป็นเชนไร โดยผานกระบวนการเขียนนั่นเอง รวมทั้งงานเขียนยังชวยบําบัดเยียวชีวิตจิตใจไมแพตัวยาใด ๆ อีกดวย สวนขอเสียยังมองไมเห็น วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๑๒
สิ่งที่คิดว่าสาคัญที่สุดสาหรับการทางานเขียนคืออะไร และการเป็นนักเขียนต้องใช้ พรแสวงมากกว่าพรสวรรค์จริงไหม สิ่งที่สําคัญที่สุดสําหรับการทํางานเขียนคือ การไดขัดเกลาตนเองไปพรอมกับงานเขียน และ สามารถเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่ตนเองคิดและเขียนได นอกจากนี้การเป็นนักเขียนจริง แนนอนที่ตองใชพร แสวงมากกวาพรสวรรคแ ผมเขียนหนังสือมาราวสามสิบปีแลว แตทุก เชาของทุกวันนี้ผมก็ยังคงตื่นขึ้นมา ฝึกฝนการเขียนอยูดังเดิม
ในการเขีย นหนัง สือให้น่ าอ่ าน มี คุณ ค่า จนได้รั บรางวัล ซีไ รต์ มี ว รรณศิ ลป์ ในการแต่ ง อย่างไร สําหรับผม ผมเขียนงานทุกเลมออกมาจากหัวใจและความรัก สวนวรรณศิลปนั้นไดรับมาจาก การอานและการฝึกฝนเขียนทุกวันครับ
คิดอย่างไรกับประโยคที่ว่า “ความงดงามของกาพย์กลอนและบทกวี คนยุคนี้ไม่สนใจ เพราะมีความรู้สึกว่าภาษาที่สวยงามไม่เป็นประโยชน์” ผมก็ยังคงเห็นวาความงามเป็นสวนหนึ่งของชีวิต นอกจากความจริงและความดี รวมทั้งยังไดยิน ภาษาโฆษณาที่นําถอยคํากวีมีสัมผัสไปใชอยูเนือง ๆ และสามารถติดหูผูคนไดดีอีกดวย
มีโครงการจะเขียนหนังสือเรื่องใหม่ไหมคะ ถ้ามีจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร มีโครงการใหม ๆ อยูเสมอ ๆ ชวงนี้ไปพํานักอยูที่สังขละบุรี เมืองชายแดนตะวันตก จึงสนใจวิถี ชีวิตของกลุมคนชาติพันธุแผูเป็นคนชายขอบ จึงอยากจะเขียนถึงเรื่องราวของพวกเขาเป็นนวนิยายหรือ เรื่องสั้นสักเลม
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๑๓
ในอนาคตกวีสามารถเกิดหรืออยู่รอดได้ไหม และจะฝากอะไรถึงนักเขียนรุ่นหลังบ้าง ผมคิดวาในสถานการณแของโลกขณะนี้ที่ไมอาจคาดคะเนอะไรไดสักอยาง บทกวียังสามารถชวย เยียวยาจิตใจของผูคนไดเสมอ ๆ สวนการเกิดขึ้นของกวีและการอยูรอด เป็นสิ่งที่ผมไมอาจคาดคะเนได และอยากฝากถึงนอง ๆ นักเขียนรุนหลังวาทุมเทกับงานเขียนใหเต็มที่ และรักมันใหสุดชีวิต ทุกคนใชภาษาเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร มีการนําภาษามาใชในทางที่ถูกตองและไมถูกตอง บทบาทของภาษานอกจากจะใชในการสื่อสารแลวยัง นําไปสูการกําหนดวิธีคิด รูปแบบชีวิตของคนอีก ดวย ในมุมมองของนักเขียนเริ่มจากการอานกอนจะลงมือเขียน เพราะการอานชวยใหเห็นถึงความคิด ของผูอื่น นักเขียนแตละคนมีลีลาภาษาของการเขียนงานที่ไมเหมือนกันขึ้นอยูกับการนํากลวิธีการเขียน งานในรูปแบบตาง ๆ การสั่งสมคลังคําตาง ๆ มาใช กอนจะสรางงานเขียนสักเรื่องตองเริ่มดวยการเลือก เรื่องที่จะเลา เลือกมุมมอง หากลวิธีในการเขียน สรางตัวละคร ฉาก บรรยากาศ และกําหนดสํานวน ภาษาที่จะใช การเดินทางไปสถานที่ตาง ๆ นอกจากเราจะไดแลกเปลี่ยนประสบการณแจากการอาน ฟัง และการสังเกต อาจจะชวยเป็นแรงบันดาลใจใหเราอยากเขียนเลาประสบการณแใหผูอานไดทราบ งาน เขียนทุกเลมตองเขียนออกมาจากหัวใจและความรัก สวนวรรณศิลปนั้นไดมาจากการอานและฝึกฝน เขียนทุกวัน การเป็นนักเขียนชวยใหรูและเขาใจเกี่ยวกับความคิดของตนเองผานการเขียนงาน รวมไปทั้ง งานเขียนยังชวยบําบัดเยียวยาจิตใจ สิ่งสําคัญที่สุดสําหรับการเขียนงานคือ การไดขัดเกลาตัวเองและ สามารถเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่ตนเองคิดและเขียน โลกในปัจจุบันนี้ไมสามารถบอกไดวางานเขียนตาง ๆ จะเกิดหรืออยูรอด จึงอยากฝากใหนักเขียนรุนหลังทุมเทกับงานเขียนใหเต็มที่ และรักมันใหสุดชีวิต
สัมภาษณแ : นายเรวัตรแ พันธุแพิพัฒนแ ผูสัมภาษณแ : นางสาวพิมภมร สํามะเนี๊ยะ
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๑๔
“อาจารย์สุริยา ทองคา” ผู้ปิดทองหลัง พระ
ยวิษฐา กาเนิดทอง
หากพูดถึงสาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตรแและสังคมศาสตรแ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต สิ่งที่คนภายนอกมักพูดถึง คือ นักศึกษาสาขานี้มีความสามารถโดดเดนในเรื่องของการพูด โดยเฉพาะ การพูดสุนทรพจนแ ซึ่งสาขาวิชาภาษาไทยไดสงนักศึกษาเขารวมประกวดสุนทรพจนแมาอยางตอเนื่อง และ นักศึกษาเองก็สามารถควารางวัลมาไดหลายรายการ เชน นางสาวปวีณแนุช ออนแกว นักศึกษาชั้นปีที่ ๒ ได รั บ รางวัลชมเชยในการประกวดสุ นทรพจนแ “ถวายงานผ า นภาษา” ครั้ ง ที่ ๒ ประจํา ปี ๒๕๖๒ ณ มหาวิทยาลัยราชภั ฏภูเก็ต นางสาววรรณธิดา สามสี นักศึกษาชั้นปีที่ ๓ ไดรับรางวัลรองชนะเลิศ อันดับ ๒ การประกวดสุนทรพจนแภาษาไทยถิ่นใต ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทรแ วิทยาเขตหาดใหญ และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๑ การประกวดสุนทรพจนแเนื่องในวันพอแหง ชาติ และวันดินโลก ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
สุริยา ทองคา อาจารยแประจําสาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตรแและสังคมศาสตรแ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต
ความสําเร็จที่กลาวมาจะเกิดขึ้นไมไดหากขาดอาจารยแผูที่อยูเบื้องหลังการฝึกซอมของนักศึกษา ซึ่ง นอกเหนื อจาก ผศ.ดร.รุง รั ตนแ ทองสกุ ล ก็ ยัง มี อาจารยแ สุริ ยา ทองคํา อาจารยแป ระจํ า สาขาวิ ช า ภาษาไทย คณะมนุ ษ ยศาสตรแ แ ละสั ง คมศาสตรแ มหาวิ ท ยาลั ย ราชภั ฏ ภู เ ก็ ต ผู ที่ มี ค วามรู แ ละ ความสามารถรอบดานไมวาจะเป็นดานวิชาการหรือดานการแตง คําประพันธแ โดยเฉพาะอยางยิ่งฝีมือ การแนะนําแนวทางการเขียนบทสุนทรพจนแใหนักศึกษานําไปประกวดตั้งแตปี พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นตนมา ซึ่งถือเป็นความภูมิใจยิ่งของสาขาวิชาภาษาไทยที่มีบุคลากรคุณภาพเชนนี้ ดวยเหตุนี้วรรณสารฉบับนี้จึง สนใจที่จะสัมภาษณแอาจารยแสุริยา ทองคํา ในเรื่องของการเขียนบทสุนทรพจนแ วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๑๕
วิธีการเลือกใช้คา ประการแรกกอนเขียนบท ผูพูดสุนทรพจนแตองตีโจทยแใหแตกวาสุนทรพจนแที่ได รับมานั้นคือ หัวขออะไร ผูที่ตองการใหไปแข งขันตองการอะไรจากหัวขอนี้ หลังจากนั้นก็วางโครงเรื่อ งเหมือนกับ หลักการเขียนบทความทั่วไป แตนี่เป็นบทสั้น ๆ ความยาวประมาณ ๕ นาที เพราะฉะนั้นก็จะเริ่มจาก ความนํากอน จากนั้นเป็นเนื้อหา สุดทายเป็นสรุป แตโจทยแของสุนทรพจนแมันจะยากนิด หนึ่ง เนื่องจาก สุนทรพจนแสวนใหญจะเกี่ยวกับพระมหากษัตริยแ จึงตองตีโจทยแใหแตกแลววางโครงโดยใชภาษาธรรมดา กอน จากนั้นจึงเลือกเฟูนภาษา โดยคํานึงถึงความเหมาะสม พอดี และสุภาพ รวมไปถึงความสละสลวย สวนวิธีการเลือกใชคํา ตองเลือกใชคําราชาศัพทแ เพราะหัวขอใหญคือ “ถวายงานผานภาษาพระบรมราช จักรีวงศแ” ก็คือพระมหากษัตริยแราชจักรีวงศแทั้ง ๑๐ พระองคแไดสรางคุณูปการอยางไรแลวเราจะถวาย งานผานภาษาอยางไรเพื่อสนองงานนั้น ดังนั้นภาษาก็จะสูงตามไป เราจึงตองใชวิธีการเลือกเฟูนคํา สิ่งที่ ขาดไมไดเลย คือ การอุปมา การเปรียบเทียบ อุปลักษณแ การเปรียบเป็น รวมไปถึงนามนัย การกลาวสิ่ง หนึ่งถึงสิ่งหนึ่ง สิ่งเหลานี้ ตองใชแน ๆ ซึ่ง มันเป็นพื้นฐานที่จะตองรู หลักเกณฑแสําคัญในการเลือก คือ เลือกใหเหมาะกับบุคคล สุนทรพจนแ หมายถึง คําพูดดี ดังนั้น การเลือกใชคําจึงมีความสําคัญมาก
ความรู้สึกที่เป็นส่วนหนึ่งในความสาเร็จของการประกวด การประกวดสุนทรพจนแมีคะแนนอยูที่ ๕๐ คะแนน ในสวนของบทนั้นเป็น ๓๐ คะแนน สวนอีก ๒๐ คะแนน เป็นการใชน้ําเสียง ภาษา ทาทาง และบุคลิกของการพูด ก็จะรวมเป็น ๕๐ คะแนน ที่เหลือ ก็เป็นองคแประกอบอื่น ๆ แตตอใหบทดีเพียงใด หากผูกลาวสุนทรพจนแไมเป็นที่ประทับใจกรรมการก็อาจ ไมไดรับรางวัลเชนกัน แตหากบทดี ผูกลาวสุนทรพจนแดี ก็จะสงผลใหทุกอยางราบรื่น ก็รูสึกภูมิใจที่ไ ด เป็นสวนหนึ่ง เพราะในการถวายงานผานภาษานั้น คือ การทําใหผูอื่นไดทราบพระราชกรณียกิจของ พระมหากษัตริยแราชจักรีวงศแทุกพระองคแที่ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนอยใหญเพื่อพสกนิกรชาวไทย การที่นักศึกษาไดกลาวสุนทรพจนแถวายพระเกียรติพระเจาแผนดินทุก ๆ รัชกาลให สาธารณชนฟัง เป็น การเผยแพรพระเกียรติคุณ และเป็นการสรางแรงบันดาลใจใหผูฟังรูสึกอยากปฏิบัติตาม สุดทายแมวา นักศึกษาจะไดรับรางวัลหรือไมไดรั บรางวัลก็รูสึกภูมิใจที่ผม และนักศึกษาไดมีสวนรวมในการเผยแพร พระเกียรติคุณของพระมหากษัตริยแบรมราชจักรีวงศแทุกพระองคแ ผมถือวาผมได มีสวนรวมในการทํางาน สนองคุณชาติ ศาสนา พระมหากษัตริยแ เพียงเทานี้ผมก็รูสึกภูมิใจที่สุดแลว สุนทรพจนแ หมายถึง คําพูดดี ดังนั้ น การเลือกใชคําจึงมีความสําคัญ มาก หลักเกณฑแสําคัญใน การเลือกคือ เลือกใหเหมาะกับบุคคล โดยตองคํานึงถึงความเหมาะสม พอดี และสุภาพ รวมไปถึงความ สละสลวยดวย ลําดับแรกในการแตงบทสุนทรพจนแ คือ ตองตีโจทยแใหแตกกอน แลววางโครงโดยใช ภาษาพูดหรือภาษาปาก จากนั้นจึงเลือกเฟูนภาษาที่สละสลวย เหมาะสมกับหัวขอที่ไดรับมอบหมาย สวนเกณฑแการตัดสินของคณะกรรมการนั้นขึ้นอยูกับองคแประกอบหลายอยาง เชน การใชน้ําเสียง ภาษา ทาทาง บุคลิกของการพูดเป็นตน ดังนั้น ผูกลาวสุนทรพจนแจะตองมีคุณสมบัติดังกลาวครบถวนจะขาด อยางใดอยางหนึ่งไปไมได จึงจะสามารถสรางความประทับใจ และพิชิตใจคณะกรรมการได วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๑๖
ตัวอย่างนักศึกษาที่เข้าร่วมประกวดสุนทรพจน์
นางสาวปวีณแนุช ออนแกว นักศึกษาชั้นปีที่ ๒ สาขาวิชาภาษาไทย
นางสาววรรณธิดา สามสี นักศึกษาชั้นปีที่ ๓ สาขาวิชาภาษาไทย
นางสาวปวีณแนุช ออนแกว
นางสาววรรณธิดา สามสี
จากการพูดคุยขางตนจะเห็นไดวา การประกวดสุนทรพจนแนั้น ไมไดอาศัยแคทักษะการพูดของ ผูกลาวสุนทรพจนแเพียงอยางเดียว แตตองอาศัยทักษะการเลาเรื่อง และการใชภาษาที่สวยงามของผูที่อยู เบื้องหลังอยางอาจารยแสุริยา ทองคํา ที่คอยแนะแนวทางการเขีย นบทสุนทรพจนแดี ๆ ที่ทําใหผูฟังไดฟัง แล ว รู สึ ก ชื่ น ชมและประทั บ ใจ ซึ่ ง รางวั ล ที่ นั ก ศึ ก ษาได รั บ มาทั้ ง หมดนั้ น ถื อ เป็ น เครื่ อ งการั น ตี ว า การชวยเหลือซึ่งกันระหวางอาจารยแกับลูกศิษยแภายในสาขาวิชาเป็นเรื่องราวที่อบอุน และนาประทับใจยิ่ง สัมภาษณแ : นายสุริยา ทองคํา ผูสัมภาษณแ : นางสาวยวิษฐา กําเนิดทอง
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๑๗
เปิดประสบการณ์ใหม่ ภาษาไทยศิลปศาสตร์ ภัทราภรณ์ สุคนธากรณ์
สําหรับสาขาวิชาภาษาไทยในความคิดของใครหลาย ๆ คนอาจจะมีการตั้ง คําถามกอนเลือก เรียนวา เรียนไปทําไม และจบไปมีงานอะไรทํา เป็นคําถามที่สงผลตอการตัดสิ นใจเลือกเรียนสาขาวิชา ภาษาไทย เชนเดียวกับ นางสาวอารียา ดาวเรือง นักศึกษาชั้นปีที่ ๔ ที่ไดเลือกเรียนตอในรับอุดมศึกษา ที่สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตรแและสังคมศาสตรแ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต โดยไดใหเหตุผลใน การเลือกเรียนสาขาวิชาภาษาไทยไวเพียงสั้น ๆ คือ เรี ยนเพราะความชอบ ซึ่ง เป็นเพียงเหตุผลที่มาจาก ความรูสึกสวนตัวแตก็สามารถทําใหเธอเดินตามเสนทางที่เลือกไวไดอยางถูกทาง
อารียา ดาวเรือง ไดออกฝึกประสบการณแ ณ ทาอากาศยานนานาชาติภูเก็ต ในตําแหนงฝุายอํานวยการ
ปัจจุบันจบการศึกษาแลว แตปี ๔ เทอม ๒ นางสาวอารียา ดาวเรือง ไดออกฝึกประสบการณแ ณ ทาอากาศยานนานาชาติภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ในตําแหนงฝุายอํานวยการ ที่ถือวาเป็นสถานที่นักศึกษา สาขาวิชาภาษาไทยไมรูจักมักคุนกันสักเทาไร แตนักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทยก็สามารถเลือกที่จะออก ฝึกประสบการณแในสถานที่ใหม ๆ ตามความสนใจโดยไดรับความรวมมือและการใหความสนับสนุนจาก สาขาวิชาภาษาไทย ซึ่งนับวาเป็นการเปิดตลาดการฝึกประสบการณแใหแกนักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทยที่ มีความสนใจและอยากเปิดโลก เปิดโอกาสทําตามความฝัน พรอมทั้งเรียนรูในสิ่งใหม ๆ ใหกับตนเอง ทั้งนี้ นางสาวอารียา ดาวเรือง ยัง ไดบอกเลาประสบการณแในการออกฝึกงานตลอดระยะเวลา ๔ เดือน ผานคําถามและการใหสัมภาษณแดังตอไปนี้ วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๑๘
ทาไมถึ ง เลื อกที่ จ ะออกฝึกประสบการณ์ ที่ท่า อากาศยานนานาชาติ ภู เ ก็ ต และต้ องใช้ ความรู้อะไรในการฝึกงานครั้งนี้ ที่เลือกฝึกงานที่ทาอากาศยานนานาชาติภูเก็ตอันดับแรกเลย คือ ใกลบาน และอันดับที่สองที่ เลือก เพราะวา เป็นการเปิดประสบการณแใหมของตัวเองรวมทั้งเป็นการเปิดตลาดใหมในการฝึกงานของ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทยอีกดวย และการที่เราจะออกฝึกงานนั้นไมจําเป็นหรอก ที่เราจะตองมานั่ง คิดวา ถาเขาไปสถานที่นั้นแลวมันจะหนักเกินไปรึเปลา เราจะทําไดไหม แตใหเราคิดวาเราทําได ตอให หนักอยางไรก็ตาม และในการฝึกงานครั้งนี้ตองใชความรู เกี่ยวกับเรื่องของงานสารบรรณ งานเอกสาร ตาง ๆ รวมไปถึงการจัดเตรียมหองประชุม และงานเลขานุการตาง ๆ ซึ่ง งานตาง ๆ เหลานี้ ถือวาเป็นสิ่ง ที่ตอบโจทยแมากกับการที่เลือกสาขาวิชาภาษาไทย เพราะงานเหลานี้ที่เราไดทํา อาจารยแเคยสอนมาแลว และตรงกับที่เราเรียนมาทั้งนั้น นับวาเป็นประโยชนแอยางมากในการฝึกงานครั้งนี้คะ
ในการออกฝึกประสบการณ์ที่ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตทาหน้าที่อะไรบ้าง ในสวนของหนาที่หลัก ๆ ก็คือ การรับสงเอกสาร ในระบบสารบรรณทาอากาศยานของธุรการ ระบบสารบรรณทาอากาศยานของฝุายรองผูอํานวยการทาอากาศยาน ฝุายบํารุงรักษา และระบบงาน ของ สกล. หรือที่เรียกงาย ๆ ก็งานเลขานุการที่คอยอํานวยความสะดวก ซึ่งที่ทําอยูหลัก ๆ ก็ประมาณนี้คะ
สิ่งที่ได้รับจากการออกฝึกประสบการณ์ จากการไดออกฝึกประสบการณแในครั้งนี้ อันดับแรกเลยนะคะ ก็ ไดรับสัมพันธไมตรีที่ดีจากพี่ ๆ ที่ฝึกงาน และที่ไดรับมากกวานั้น คือ ประสบการณแจากการไดเรียนรูงานบางอยางที่เราไมเคยทําโดยตรง และไดล งมื อ ที่จ ะทํ า จริ ง ๆ เช น การประสานติด ต อ กั บแต ล ะฝุา ยในส ว นของการจองห อ งประชุ ม นอกจากนี้ ก็ไ ดเ ปิด ประสบการณแใ หม ๆ ใหกั บนั กศึ กษาในสาขาวิ ชาภาษาไทย ที่มี ความสนใจและ อยากจะมาฝึกประสบการณแที่นี้อีกดวยคะ เพราะวาหลายคนก็คิดไมถึงเหมือนกันวาทาอากาศยานการ บินภูเก็ตจะมีงานที่เกี่ยวกับสายภาษาไทยโดยตรง หากคิดเผิน ๆ หลายคนอาจมองวาภาษาที่ใชสวนใหญ คือ ภาษาอังกฤษเป็นหลักดวยชื่อทาอากาศยานมันมีคําวานานาชาติดวยแหละ เลยทําใหคนเขาใจตรงนี้ ผิ ด แต จ ริ ง ๆ ภาษาไทยของเราก็ สํ า คั ญ และจํ า เป็ น กว า อย า งยิ่ ง ในการติ ด ต อ สื่ อ สารกั น นะคะ เพราะผูใชบริการไมไดมีแคชาวตางชาติ แตคําวา “นานาชาติ” ในที่นี้ก็รวมชาวไทยไวดวยคะ
สุดท้ายนี้อยากฝากหรือประชาสัมพันธ์อะไรเกี่ยวกับการออกฝึกประสบการณ์ในครั้งนี้บ้าง สิ่งที่อยากจะฝากถึงนะคะ ก็คือการเรียนในสาขาภาษาไทยทําอะไรไดมากกวาที่หลายคนคิด หลาย ๆ คนไมมั่นใจวา ถาหากเลือกเรียนแลวจะประกอบอาชีพอะไร จะมีง านรองรับไหม ซึ่ง จริง ๆ มันไมไดขึ้นอยูกับสาขาวิชาภาษาไทยนะคะ แตมันขึ้นอยูกับความคิดของเราเป็นหลัก จะเลือกอะไร ทุก ๆ อยางหากเราตั้งใจที่จะทําผลที่ไดรับก็จะประสบความสําเร็จคะ มันอยูที่การตัดสินใจของเราเอง วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๑๙
ไมไดขึ้นอยูกับใครโดยตรง แลวก็อยากจะประชาสัมพันธแถึงนอง ๆ ที่สนใจในเรื่องของการฝึกงานในสวน ที่เกีย่ วกับงานเอกสารหรืองานอํานวยการ ก็อยากจะแนะนําวาใหมาฝึกงานที่ทาอากาศยานนานาชาติ ภูเ ก็ต กั นเยอะ ๆ นะคะ แต ก็ไ ม ได หมายความวา ที่ นี่จ ะดี ก วา ที่อื่ น นะ แต ที่ห มายถึง คื อ งานที่ ไ ด รั บ มอบหมายใหทําสวนใหญจะเป็นงานที่เราไดเรียนรูจากสาขาวิชาภาษาไทยมาแลวทั้งนั้น อีกทั้งยังไดรับ การตอนรับที่ดีดวย ไดเรียนรูงานใหม ๆ ซึ่งมี งานมาใหทําใหไดเรียนรูอยูทุกวัน อีกทั้ง ไดรับความเป็น กันเอง และบางครั้ งตัวเราเองก็อ าจจะไดรั บโอกาสสู ง ที่จ ะไดทํ างานที่นี่เ ลยก็ ไ ด คะ สุด ทายนี้ ก็ตอ ง ขอขอบคุ ณ สาขาวิ ช าภาษาไทย และอาจารยแ ป ระจํ า สาขาทุ ก ท า น ที่ ใ ห ค วามสนใจและมองเห็ น ความสําคัญในเรื่องของความฝันของนักศึกษา รวมทั้งใหการสนับสนุนและเล็งเห็นถึงประโยชนแในการ ออกฝึกประสบการณแในครั้งนี้ดวยคะ ขอบคุณคะ เรียนภาษาไทย ไมมีเกียรแ ไมมีเสื้อช็อปใหใส แตมีความภูมิใจกวาใคร ๆ แนนอน แมจะเป็น สาขาวิชาที่แอบซอนความยากไวพอตัว แตถาหากเรามุงมั่น ขยัน และเอาใจใสก็จะเป็นหนทางที่นําไปสู ความประสบความสําเร็จ เพราะความฝันคือที่ตองใฝุควา สาขาวิชาภาษาไทยจึงมุงเนนที่จะพัฒนาและ พรอมที่จะสนับสนุนความฝันของนักศึกษาเป็นสําคัญ การจัดการเรียนในสาขาวิชา จึง ไมได มุงเนนแค เพียงการเรียนการสอนภาษาไทยแตเพียงอยางเดียว แตยัง สอนในเรื่องที่นอกเหนือจากภาษาไทยที่ สามารถใชเป็นใบเบิกทางในการประกอบอาชีพสูความฝันที่นักศึกษาตั้งไวได
สัมภาษณแ : นางสาวอารียา ดาวเรือง ผูสัมภาษณแ : นางสาวภัทราภรณแ สุคนธากรณแ
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๒๐
เรียนภาษาไทยได้อะไรมากว่าที่คิด อรนิช ประทุมสุวรรณ์
เรียนสาขาวิชาภาษาไทยจบไปแลวทํางานอะไร คงจะเป็นคําถามที่หลาย ๆ คนสงสัย และคงจะ ไมมีใครตอบคําถามหรือบอกเลาประสบการณแไ ดดีเทากับตัวนักศึกษาที่สําเร็จ การศึกษาจากสาขาวิชา ภาษาไทยโดยตรง
นันทวรรณ พรหมศร ศิษยแเกาสาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตรแและสังคมศาสตรแ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต
นางสาวนันทวรรณ พรหมศร ศิษยแเกาสาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตรแและสังคมศาสตรแ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ตอนนี้เธอเป็นครูอยูที่โรงเรียนขจรเกียรติโคกกลอย จังหวัดพังงา เธอบอกเลา ประสบการณแโดยเริ่มจากการเรียนสาขาวิชาภาษาไทย ตั้งแตสาเหตุที่เธอเลือกเรียนสาขานี้ เพราะเธอชอบ และถนั ด มากกว า วิ ช าอื่ น ประกอบด ว ยแรกเริ่ ม คิ ด ว า จบไปอยากทํ า งานเกี่ ย วกั บ เอกสาร เช น งานเลขานุการ งานธุรการ เป็นตน จึงตัดสินใจที่จะเรียนสาขานี้ พี่ฝูาย หรือนางสาวนันทวรรณ พรหมศร บอกเลาวา การใชชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยเธอตอง ปรับ เปลี่ ยนหลายอย าง การเป็ นนัก ศึก ษาสาขาวิช าภาษาไทยตองเป็ น บุค คลที่ มีความขยัน มีค วาม ละเอียดรอบคอบในการทํางาน โดยสวนตัว ตนเองมี บุคลิกตรงขา มทั้ง หมด แตพอเขามาเรียนทําให พัฒนาตั วเองมากขึ้ น โดยเฉพาะสาขานี้ฝึ กความมานะอดทนที่ห าจากที่ไ หนไมไ ด ตอนแรกเธอคิ ด ตลอดเวลาวาทําไมตองเรียนหนักกวาสาขาอื่น คนอื่นไดหยุด ทําไมเราตอ งมานั่งทํางาน แตพอเราเรียน จบสิ่งที่ไดติดตัวมาคือความอดทน เธอสามารถอดทนกับแรงกดดันของหัวหนา อดทนกับแรงกดดันของ เพื่อนรวมงาน เมื่อเอาไปเทียบกับความอดทนในมหาวิทยาลัยนั้นยังไมไดครึ่งของการทํางานในชีวิตจริง สาขานี้สําหรับเธอจึงฝึกคนใหแข็งแกรงเพื่อไปสูกับการทํางาน และอุปสรรคตาง ๆ ในชีวิตจริงได
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๒๑
สุดทายเธออยากฝากถึงนอง ๆ ในฐานะที่เธอเป็นศิษยแเกาที่เคยผานประสบการณแมากอน และ เป็น ผูสํา เร็จ ทางการศึก ษาพรอ มทั้ง มีหน าที่ การงานที่ดี จึง อยากแนะนํ าให นอง ๆ ที่กํ าลัง คิดอยูว า อยากจะเรียนสาขาอะไร สาขาภาษาไทยถือเป็นทางเลือกหนึ่งใหนอง ๆ ได เพราะสาขาวิชาภาษาไทย สามารถประกอบอาชี พ ได หลายอย าง เช น เลขานุก าร งานเอกสาร ประชาสั มพั น ธแ ครู เป็น ต น หากนอง ๆ เขามาอยูในครอบครัวภาษาไทยแลว นอง ๆ จะไดรับประสบการณแกลับไปพัฒนาตนเองได ในหลาย ๆ ดานอยางแนนอน
จากความตั้งใจสูความสําเร็จ ผลผลิตที่งดงามซึ่งเกิดจากการบมเพาะและขัดเกลาของอาจารยแ สาขาวิชาภาษาไทย เพื่อสรางบัณฑิตที่มีคุณภาพสามารถประกอบอาชีพที่ถายทอดความรูใหแกบุคคลอื่นได นางสาวนันทวรรณ พรหมศร นับเป็นบัณฑิตที่สาขาวิชาภาษาไทยภาคภูมิใจที่รวมกันสรร คแสรางให กลายเป็นแมพิมพแที่ดีของนักเรียน
สัมภาษณแ : นางสาวนันทวรรณ พรหมศร ผูสัมภาษณแ : นางสาวอรนิช ประทุมสุวรรณแ
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๒๒
เส้นทางสู่การเป็นพิธีกรมืออาชีพ / กิจกรรมสร้างสรรค์ บริการสู่ชุมชน “บ้านเกาะหมากน้อย” / สานสัมพันธ์นอ้ งพี่ ทศศ. มรภ.ภูเก็ต เปิดบ้านต้อนรับ ค.บ.ภาษาไทย มรภ.กาญจนบุรี
เสริมสร้างประสบการณ์กับโครงการดี ๆ
ปนิตา ชูจิต
เส้นทางสู่การเป็นพิธีกรมืออาชีพ
เมื่อวันที่ ๖ – ๗ มีนาคม ๒๕๖๓ สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตรแและสังคมศาสตรแ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต รวมกั บสมาคมสื่อมวลชนภูเก็ต จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ “MC of HUSO” เสนทางสูการเป็นพิธีกรมืออาชีพ ณ หองประชุมแคแสด ๓ – ๔ อาคารเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัย ราชภัฏภูเก็ต
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๒๓
การจัดงานในครั้งนี้มีบุคลากร และนักศึกษาจากสาขาวิชาตาง ๆ ในคณะมนุษยศาสตรแและ สังคมศาสตรแ เขารวมอบรม โดยไดรับเกียรติจากผูชวยศาสตราจารยแ ดร.หิรัญ ประสารการ อธิการบดี มหาวิ ท ยาลั ย ราชภั ฏ ภู เ ก็ ต เป็ น ประธานในพิ ธี มี ค ณะวิ ท ยากรจากสมาคมสื่ อ มวลชนภู เ ก็ ต ผู มี ประสบการณแในดานการเป็นพิธีกร และนักสื่อสารมวลชนมืออาชีพ นําโดย นางสาววัชราพร ญาณโกมุท วิทยากรฝึกปฏิบัติการถายทอดเทคนิควิธีการเป็นพิธีกรในโอกาสตาง ๆ เชน การพัฒนาบุคลิกภาพ การใช น้ํ าเสี ยง โทนเสีย งสูง – ต่ํ า การเตรีย มบทพูด (สคริปตแ ) การใชไ มโครโฟน เป็ นตน และยัง มี การแขง ขัน เพื่อคนหาดาวเดนการเป็นพิธีกรมืออาชีพ ซึ่ง ผูเขาแขง ขันเป็นนักศึกษาสาขาวิชาตาง ๆ ที่เขารวมจัดอบรมในครั้งนี้ ผลการแขงขันปรากฏวา นางสาวปวีณแนุช ออนแกว นักศึกษาชั้นปีที่ ๒ สาขาวิชาภาษาไทย เป็นผูควารางวัลชนะเลิศการประกวด MC of HUSO เสนทางสูการเป็นพิธีกรมืออาชีพ โดยไดรับเกียรติ ในการมอบรางวัลจาก นายวงศกร นุนชูคันธแ รองผูวาราชการจังหวัดภูเก็ต
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๒๔
กิจกรรมสร้างสรรค์ บริการสู่ชุมชน “บ้านเกาะหมากน้อย” ภัณฑิรา ศรีแสง
ภูมิปัญญาสืบสาน บริการสู่ชุมชน เมื่อวันที่ ๙ – ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๓ ที่ผานมา สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุ ษยศาสตรแและ สังคมศาสตรแ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต นําโดยคณะอาจารยแ และนักศึก ษาสาขาวิชาภาษาไทย รวมจัด โครงการ “ภูมิปัญญาสืบสาน บริการสูชุมชน” ณ บานเกาะหมากนอย จังหวัดพังงา
กิจกรรมแรกเป็นการลงพื้นที่ในชุมชน เพื่อฝึกประสบการณแการทํางานในการลงพื้นที่ และเก็บ รวบรวมขอมูลภูมิปัญญาของชุมชนในหมูบานเกาะหมากนอยที่ยังคงลงเหลืออยูในชุมชน ไมวาจะเป็น ขอ มูล ที่เ กี่ ยวกับ วรรณกรรมท อ งถิ่ น อาชี พ – หั ต ถกรรม การละเล น พื้น บา น อาหารพื้น บ าน และ ประเพณี พิธีกรรม - ความเชื่อ เพื่อนําไปเผยแพร และรักษาความเป็นภูมิปัญญาของชุมชนใหยังคงดํารง อยู กิจกรรมในครั้งนี้มีอาจารยแประจําสาขาวิชาจํานวน ๖ ทาน และวิทยากรผูเชี่ยวชาญดานวัฒนธรรม นักวิชาการวัฒนธรรม ไดแก ผูชวยศาสตราจารยแสมหมาย ปิ่นพุทธศิลป ดร.อรุณรัตนแ สรรเพ็ ชร และ นายวิทวัส อันตาผล รวมเก็บขอมูล ใหคําปรึกษา และใหขอเสนอแนะในการจัดรวบรวมขอมูล วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๒๕
ค่ายรักษ์ภาษาไทย กิ จ กรรมที่ ส อง คณะอาจารยแ และนั ก ศึ ก ษาร ว มกั น จั ด กิ จ กรรม “ค า ยรั ก ษแ ภ าษาไทย” ณ โรงเรียนเกาะหมากนอย จังหวัดพังงา เป็นกิจกรรมบริการชุมชน เพื่อใหความรู แกนอง ๆ นักเรียน ระดับมัธยมศึกษาปีที่ ๑ – ๓ โดยแบงฐานการเรียนรูออกเป็น ๕ ฐาน ไดแก ฐานรวมความหลากหลาย ใหเป็นหนึ่ง ฐานซาบซึ้งรอยกรองของไทย ฐานเรียงรอยตามจินตนาการ ฐานอานออกบอกกลาวหรรษา และฐานพูดจาภาษาสุนทรพจนแ โดยกิจกรรมในครั้งนี้ไดรับความสนใจจากนอง ๆ นักเรียนเป็นอยางมาก
ฐานรวมความหลากหลายให้เป็นหนึ่ง
ฐานเรียงร้อยตามจินตนาการ
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
ฐานซาบซึ้งร้อยกรองของไทย
ฐานอ่านออกบอกกล่าวหรรษา
หน้า ๒๖
ฐานพูดจาภาษาสุนทรพจน์
ทั้งนี้ตลอดระยะเวลา ๓ วัน นอกจากไดความรูในการเก็บรวบรวมขอมูลภูมิปัญญาของชุมชน และการจัดคายรักษแภาษาไทยแลว ยังสรางความประทับใจใหแกนักศึกษาที่ไดเป็นสวนหนึ่งในการทํา กิจกรรมรวมกับชาวบานในชุมชน และนอง ๆ ในโรงเรียนดวย
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๒๗
สานสัมพันธ์น้องพี่ ทศศ. มรภ.ภูเก็ต เปิดบ้านต้อนรับ ค.บ.ภาษาไทย มรภ.กาญจนบุรี ประสุตา ส่งเสริม
เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๓ ที่ผานมา สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตรแและสังคมศาสตรแ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต จัดกิจกรรม “แลกเปลี่ ยนเรียนรูทางภาษาและวัฒนธรรม”ณ หองสัมมนา กิจ กรรมครั้ ง นี้ เ ป็ น การแลกเปลี่ ย นเรี ย นรูร ว มกั น กั บ คณาจารยแ และนัก ศึ ก ษาสาขาวิ ช าภาษาไทย คณะครุศาสตรแ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี
กิจกรรม “แลกเปลี่ยนเรียนรูทางภาษาและวัฒนธรรม” ในครั้งนี้ มีอาจารยแธีรพงษแ หนูไชยแกว คณบดีคณะมนุษยศาสตรแและสังคมศาสตรแ ผศ.ดร.วรพงศแ ไชยฤกษแ ประธานสาขาวิชาภาษาไทย และ อาจารยแประจําสาขาวิ ชาให การตอนรั บ ภายในงานมีก ารแลกเปลี่ยนเรียนรู ดานการเรี ยนการสอน วัฒนธรรม ความเป็นอยู ภาษา รวมไปถึงการใชชีวิตในการเรียน โดยมีการเสวนาพูดคุย ระหวางอาจารยแ และนักศึกษา ซึ่งจะพูดถึงการเรียนการสอนในรายวิชาตาง ๆ กิจกรรมตาง ๆ หรือโครงการดี ๆ ที่ทาง สาขาวิชาไดจัดใหนักศึกษา ซึ่งบรรยากาศเต็มไปดวยความเป็นกันเอง
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๒๘
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๒๙
การสื่ออารมณ์ “โกรธ” ในวรรณคดีเรื่อง “พระอภัยมณี” / อุปลักษณ์เชิงมโนทัศน์ที่เป็นคาด่าในเพจ “จ๊อกจ๊อก”
ปลูกกล้านักวิจัย ธนพจน์ กะเตื้องงาน
การสื่ออารมณ์ “โกรธ” ในวรรณคดีเรื่อง “พระอภัยมณี”
บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้มี วัตถุประสงคแเพื่ อศึกษาการสื่ออารมณแโ กรธในวรรณคดี เรื่องพระอภัยมณี โดยผู วิ จั ย รวบรวมบทที่ สื่ อ ถึ ง อารมณแ โ กรธในวรรณคดี เ รื่ อ ง พระอภั ย มณี ที่ แ ต ง โดย สุ น ทรภู จํานวน ๑,๔๒๔ หนา นําขอมูลทั้งหมดมาวิเคราะหแอารมณแโกรธตามประเด็นที่กําหนดไว ผลการศึกษาพบวา ๑) ดานวิภาวะ เป็นสาเหตุแหงความโกรธ พบสาเหตุของความโกรธทั้งหมด ๙ สาเหตุ ไดแก การดูถูกเหยียดหยาม การปกปิดอําพราง การโดนดาทอ ความแคน ความหวงแหน ความหวาดกลัว ความอิจฉาริษยา ความรําคาญ และความนอยใจ ๒) ดานอนุภาวะ เป็นการกระทํา ที่ เ กิ ด จากความโกรธ พบผลที่ ต ามมาจากความโกรธทั้ ง หมด ๙ สาเหตุ ได แ ก การรํ า พึ ง รํ า พั น การทํ า ลายข า วของและการทํ า ร า ยร า งกายผู อื่ น การฆ า ฟั น การด า ทอ การข ม ขู การเหน็ บ แนม การประชดประชัน การทํารายตัวเอง และการสาปแชง และ ๓) ดานสาตตวิกภาวะ เป็นกิริยาอาการ ที่ เ กิ ด ขึ้ น ตามธรรมชาติ ซึ่ ง มี ผ ลมาจากความโกรธ พบ ๘ สาเหตุ ได แ ก หน า แดง ตั ว สั่ น ชี้ ห น า น้ําตาไหล เป็นลม เหงื่อไหล น้ําเสียงเปลี่ยน และสีหนาเปลี่ยน คาสาคัญ : การสื่ออารมณแ, อารมณแโกรธ, พระอภัยมณี
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๓๐
บทนา มรดกทางอารยธรรมและวัฒนธรรมเป็นมรดกทางปัญญาที่มีการสงตอโดยคนในชาติจากรุนสูรุน ซึ่งสามารถแสดงถึงความเจริญของชาติทั้งดานวัฒนธรรม และดานอื่น ๆ ไดเป็นอยางดี หนึ่งในมรดก ที่ล้ําคาของชาติไทย คือ มรดกทางวรรณคดีและวรรณกรรมที่ไ ดรับการสง ตอจากอดีตจนถึง ปัจจุบัน เชน วรรณคดีเรื่อง ไตรภูมิพระรวง กาพยแเหเรือ พระอภัยมณี เป็นตน พระอภั ย มณี เ ป็ น วรรณคดี ชิ้ น เอกของสุ น ทรภู ที่ ค นไทยรู จั ก มาเป็ น เวลานาน ดั ง ที่ สุรียแ ติ่งสมบูรณแ (๒๕๔๓, น.๘ – ๙) กลาวถึงพระอภัยมณี วา คนไทยรู้จักเรื่อง “พระอภัยมณี ” มาเป็น เวลานานเท่ากับที่ รู้จักสุนทรภู่ เรื่อง พระอภั ย มณี นั บ ว่ า เป็ น วรรณคดี ที่ คู่ ชื่ อ กั บ สุ น ทรภู่ ดั ง ที่ ส มเด็ จ พระเจ้ า บรมวงศ์ เ ธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ ได้ทรงกล่าวไว้ในคาอธิบายว่าด้วยพระอภัยมณี ตอนหนึ่งว่า “เมื่อข้าพเจ้ายังเยาว์เป็นสมัยแรกที่มีหนัง สือเรื่องพระอภัยมณีพิมพ์ขาย ครั้ง นั้นเห็นคน ชั้นผู้ใหญ่ทั้งผู้ชายผู้หญิงชอบอ่านเรื่องพระอภัยมณีแพร่หลาย ถึงจากลอนในเรื่องพระอภัยมณี ไว้กล่าวเป็นสุภาษิตได้มากบ้างน้อยบ้างแทบจะไม่เว้นตัว” ความแพร่หลายนี้เป็นเพราะว่า พระอภัยมณีเป็นหนังสือเรื่องยาว ที่ได้รับการยอมรับว่า “แต่งดีทั้งกลอน ทั้งความคิดที่ผูกเรื่อง” วรรณคดีเ รื่ องพระอภั ย มณี นอกจากเป็ นวรรณคดีที่ ไ ด รั บการยอมรั บว า แต ง ดี ทั้ ง บทกลอน และความคิดแลว วรรณคดีเรื่องนี้ยังมีความโดดเดนในเรื่องของการสื่ออารมณแตาง ๆ ที่ชวยทําใหผูอาน เขาใจ และเขาถึงเรื่องราวตาง ๆ ไดชัดเจนมากขึ้น เชน อารมณแรัก เศรา โกรธ เป็นตน อารมณแโกรธ หรืออารมณแรุทธรส ตามประเภทของรสวรรณคดีแบบสันสกฤต หรือพิโรธวาทัง ตามประเภทของรสวรรณคดี แ บบไทย เป็ น อารมณแ ข องตั ว ละคร ที่ เ กิ ด จากภาวะต า ง ๆ กั น เช น ความหวงแหน การเย ยหยัน ดู หมิ่ นจากศั ตรู ความแคน ความหวาดกลัว ความผยอง เป็น ต น ภาวะเหลานี้ทําใหเกิดอาการตาง ๆ เชน ตาแดง คิ้วแดง คิ้วขมวด เมมริมฝีปาก หัวใจเตนแรง เป็นตน (สุภา ฟักของ ๒๕๓๐, น.๑๒) วรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี มีการนําเสนออารมณแโกรธของตัวละครไดนาสนใจดวยลักษณะ การใช คํ าที่ ทํ าให เ ห็น ภาพ และทํ าให เข า ใจอารมณแ ของตัว ละครไดอ ย างชั ดเจน เช น อารมณแโ กรธ ของผีเสื้ อสมุทรตอนางเงือก อารมณแโ กรธของพระอภัยมณีต อผีเสื้อสมุทร เป็นตน ดวยเหตุนี้ผูวิจั ย จึ ง เห็ น ความสํ า คั ญ ที่ จ ะศึ ก ษาเรื่ อ ง การสื่ อ อารมณแ “โกรธ” ในวรรณคดี เ รื่ อ ง “พระอภั ย มณี ” เพื่อใหทราบถึงกลวิธีการสื่ออารมณแโกรธที่ทําใหผูอานเขาใจอารมณแของตัวละคร และเขาใจเรื่องราว ที่อานไดชัดเจนมากขึ้น
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๓๑
วัตถุประสงค์การศึกษาค้นคว้า เพื่อศึกษาการสื่ออารมณแโกรธในวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี วิธีการศึกษา ผู วิ จั ย รวบรวมบทที่ สื่ อ ถึ ง อารมณแ โ กรธในวรรณคดี เ รื่ อ ง พระอภั ย มณี ผู แ ต ง คื อ สุ น ทรภู ผูจัดพิมพแคือ สํานักพิมพแไทยควอลิตี้บุ฿คสแ ปี ๒๕๕๕ จํานวน ๑,๔๒๔ หนา นําขอมูลทั้งหมดมาวิเคราะหแ อารมณแโกรธ โดยปรับกรอบแนวคิดจากงานวิจัยของ ภัสรธีรา ฉลองเดช (๒๕๔๘) เรื่อง “วิเคราะห รสวรรณคดีที่ปรากฏในนิทานเวตาล ฉบับพระนิพนธกรมหมื่นพิทยาลงกรณตามทฤษฎีรสวรรณคดี สันสกฤต” ตามประเด็นองคแประกอบของรสวรรณคดี ตอไปนี้ ๑. วิภาวะ ๒. อนุภาวะ ๓. สาตตวิกภาวะ ผลการศึกษา จากการศึ ก ษาเรื่ อ ง การสื่ อ อารมณแ “โกรธ” ในวรรณคดี เ รื่ อ ง “พระอภั ย มณี ” ผูวิจัยไดวิเคราะหแองคแประกอบดานวิภาวะ อนุภาวะ และสาตตวิกภาวะ ปรากฏผลดังตอไปนี้ ๑. ด้านวิภาวะ วิ ภ าวะ เป็ น สาเหตุ แ ห ง ความโกรธ จากวรรณคดี เ รื่ อ งพระอภั ย มณี พบสาเหตุ ของความโกรธทั้ งหมด ๙ สาเหตุ ได แ ก การดูถู กเหยีย ดหยาม การปกปิด อํา พราง การโดนดา ทอ ความแค น ความหวงแหน ความหวาดกลั ว ความอิ จ ฉาริ ษ ยา ความรํ า คาญ และความน อ ยใจ ดังตัวอยางตอไปนี้ การปกปิดอาพราง นางผีเสื้อเบื่อหูรูเทาถึง มาถึงนี่ชี้โนนเนื่องกันไป แลวนางยักษแหักขาฉีกสองแขน แลวกลับตามขามทางทองสินธู
จึงวามึงตอแหลมาแกไข แกลงจะใหหางผัวไมกลัวกู ไมหายแคนเคี้ยวกินสิ้นทั้งคู ออกวายวูแหวกน้ําดวยกําลังฯ (หนา ๒๒๕)
จากบทประพั น ธแ ข า งต น เป็ น ตอนที่ พ วกเงื อ กหลอกล อ ให น างผี เ สื้ อ ตามตนมา โดยโกหก วา จะพาไปหาพระอภัย มณี เมื่อ นางยั กษแ รูค วามจริง วา พวกเงือ กโกหกจึ ง โกรธมาก และตอ วา ดัง นี้ “มึง อีตอแหลมาชี้โนนชี้นี่ แกลงจะใหกูออกหางจากผัว ” จากนั้นนางยักษแจึง จับเงือกฉีกแขน ฉีกขา วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๓๒
แตยัง ไมหายแคน จึงเคี้ยวเงือกกินจนแหลกทั้งคู แลวจึง กลับไปยังฐานถิ่นของตนเอง ขอความขางตน กลาวถึงความโกรธดานวิภาวะที่มีสาเหตุมาจากการปกปิดอําพราง เป็นความโกรธของนางผีเสื้อสมุทร ที่มีตอพอแมของนางเงือก ที่พอแมของนางเงือกไมบอกที่ซอนตัวของพระอภัยมณี ทําใหนางยักษแโมโห จึงจับทั้งคูกินเป็นอาหาร ความแค้น สินสมุทรสุดแสนแคนสุหรั่ง ตัวเป็นกามาประสงคแซึ่งหงสแทอง
ขึ้นเสียงดังเดือดดาวาจองหอง จะไปถองเสียใหสมอารมณแมัน (หนา ๓๓๒)
จากบทประพันธแขางตน เป็นตอนที่นางสุวรรณมาลีมาบอกสินสมุทรใหรูถึงการกระทําของโจร สุหรั่ง ที่พยายามจะขืนใจตน ดวยความเคียดแคน สินสมุ ทรจึง ไดดา โจรสุ หรั่ง วาเป็ นไอพ วกจองหอง โรคจิตวิตถารบากาม ประสงคแจะขี่หงสแทองจึง จะทํารายรางกายใหสมอารมณแแคนที่ทํากับแมของตน ขอความขางตนกลาวถึงความโกรธดานวิภาวะที่มีสาเหตุมาจากความแคนที่สินสมุทร มีตอโจรสุ หรั่ง ที่พยายามขมเหง และจะกระทํามิดีมิรายแมของตน ความหวงแหน ระกําอกหมกมุนหุนพิโรธ ประหลาดใจใครหนอมากอการ ศิลานี้ที่มนุษยแจะเปิดนั้น ยักขินีผีสางหรืออยางไร พลางรําพึงถึงจะไปไมไกลนัก โมโหหุนผลุนออกนอกประตู กระโดดโครมโถมวายสายสมุทร ไมเห็นผัวควาไปไดแตปลา
กําลังโกรธกลับแรงกําแหงหาญ ชางคิดอานเอาคูของกูไป สักหมื่นพันก็ไมอาจจะหวาดไหว มาพาไปไมเกรงขมเหงกู จะตามหักคอกินเหมือนชิ้นหมู เที่ยวตามดูรอยลงในคงคา อุตลุดดําดนเที่ยวคนหา ควักลูกตาสูบเลือดดวยเดือดดาล (หนา ๒๔๙ - ๒๕๐)
จากบทประพันธแขางตน เป็นตอนที่นางผีเสื้อสมุทรโดนพระอภัยมณีหลอกลอใหไปจําศีลภาวนา บนเขาสูง จากนั้นพระอภัยมณี สินสมุทร และนางเงือกหลบหนีลงทะเลไป จนกระทั่ง นางผีเสื้อสมุทร กลับมาถึงถ้ําจึงพบวา พระอภัยมณี และลูกหนีไปแลว นางโมโหเป็นอยางมากจึ งตอวาผูที่พาพระอภัย มณีหนีไป หากตามเจอจะจับหักคอกินไมใหเหลือ เมื่อกลาวจบจบก็ออกมานอกถ้ํา กระโดดลงน้ําตามหา พยายามควานหาตัวพระอภัยมณีแตไมพบ พบแตปลา ดวยความโมโหจึง ควักลูกตาแลวสูบเลือดกิน วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๓๓
ข อ ความข า งต น กล า วถึ ง ความโกรธด า นวิ ภ าวะที่ มี ส าเหตุ ม าจากความหวงแหนของผี เ สื้ อ สมุ ท ร ตอพระอภัยมณีผูเป็นรัก เมื่อมีคนมาลักพาตัวพระอภัยมณีหนีไป ทําใหผีเสื้อสมุทรโกรธเป็นอยางมาก ๒. ด้านอนุภาวะ อนุ ภ าวะ เป็ น การกระทํ า ที่ เ กิ ด จากความโกรธ จากวรรณคดี เ รื่ อ งพระอภั ย มณี พ บผล ที่ตามมาจากความโกรธทั้งหมด ๙ สาเหตุ ไดแก การรําพึงรําพัน การทําลายขาวของและทํารา ยรางกาย ผู อื่ น การฆ า ฟั น การด า ทอ การข ม ขู การเหน็ บ แนม การประชดป ระชั น การทํ า ร า ยตั ว เอง และการสาปแชง ดังตัวอยางตอไปนี้ การทาลายข้าวของและทาร้ายร่างกายผู้อื่น ฝุายนารีศรีสุดามาถึงวัง เขาในหองตรองตรึกใหนึกอาย เสียแรงแตงแปูงขมิ้นสิ้นสักพอม ไหนจะสูทนเจ็บใหเก็บไร ผูชายไมชอบตาไมนาแตง ทุบตลับเล็กนอยตอยขวดเฟือง มิคลึงเคลาเลาโลมอยูแลวหรือ คิดจะใครไปฟูองก็ตองคาง หุนโมโหโกรธาทําหนาเงา นางกษัตริยแตรัสถามเป็นความใน
ยังกําลังดาลเดือดไมเหือดหาย โออกกูผูชายไมชอบใจ น้ํามันหอมน้ํามันดิบสักสิบไห คาตะไกรของเขาถึงสลึงเฟื้อง เอาเครื่องแปูงทิ้งขวางเสียงปรางเปรื่อง ใหแคนเคืองสามพราหมณแกับสามนาง สนุกมือแลวไมมีที่กีดขวาง จะอําพรางปิดงําไวทําไม เขาไปเฝูาพระธิดาอัชฌาสัย เป็นกระไรเร็วมากวาทุกวัน (หนา ๑๖๘)
จากบทประพันธแขางตน เป็นตอนที่สี่พี่เลี้ยงของนางเกษราแตงองคแผัดแปูงเพื่อไปเกี้ยวพราหมณแ ทั้งสาม โดยนางประภา นางอุบล และนางจงกล ตางคูกันกับพราหมณแทั้งสาม มีเพียงศรีสุดาเทานั้นที่ไรคู นางโมโหแลวรีบกลับไปยังวังทันที เมื่อกลับมาถึงนางก็ยังคงโกรธแคนไมหายจึงขวางปาทําลายขาวของ ควางปาเครื่องแปูง ทุบกระปุกเล็กกระปุกนอย ในใจก็ยังเคืองโทษโกรธแคนเจาพราหมณแและนางทั้งสาม อยู และคิดที่จะนําความนี้ไปแจงแกนางเกษราเพราะไมรูจะเก็บปกปิดไวทําไม วาแลวนางก็เดินเขาไป ในหองของนางเกษราดวยความโมโหโกรธาอยางสุดขีด เมื่อเขาไปในหองนางเกษรา นางเกษราก็ถาม ว า มี ก ระไรทํ า ไมวั น นี้ ม าเร็ ว กว า ทุ ก วั น และยั ง ถามต อ ว า พี่ อุ บ ล พี่ จ งกล และพี่ ป ระภาไปไหนเสี ย ศรี สุ ด านั้ น ก็ ทู ล ตอบว า นางทั้ ง สามไปติ ด พั น อยู กั บ พราหมณแ ทั้ ง สาม ไปตามกลั บ อย า งไรก็ ไ ม ย อม ชางนาขาย หนาจริง ๆ ขอความขางตนกลาวถึง ความโกรธดานอนุภาวะที่มีพฤติกรรม คือ การทําลาย ขาวของ ควางปาเครื่องแปูง ทุบกระปุกเล็กกระปุกนอยนั่นเอง วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๓๔
ด่าทอ ทาวสุทัศนแฟังอรรถโอรสราช โกรธกระทืบบาทาแลวพาที อันดนตรีปี่พาทยแตะโพนเพลง แตพวกกูผูหญิงที่ในวัง
บรมนาถขัดของใหหมองศรี อยาอวดดีเลยกูไมพอใจฟัง เป็นนักเลงเหลาโลนเลนโขนหนัง มันก็ยังเรียนร่ําไดชํานาญ
อันวิชาอาวุธแลโลเขน เป็นกษัตริยแจักรพรรดิพิสดาร ลูกกาลีมีแตจะขายหนา จะใหอยูเวียงวังก็จังไร ไปเที่ยวเลนเป็นปีแลวมิสา พระพิโรธโกรษตรัสดวยขัดเคือง
ชอบแตเกณฑแศึกเสื้อเชื้อทหาร มาเรียนการเชนนั้นดวยอันใด ชางชั่วชาทุจริตผิดวิสัย ชอบแตไสคอสงเสียจากเมือง มาพูดจาใหกูคันหูเหือง แลวยางเยื้องจากบัลลังกแเขาวังใน (หนา ๑๐๓)
จากบทประพันธแขางตน เป็นตอนที่ทาวสุ ทัศนแเจาเมืองรัตนาเมื่อไดฟัง โอรสทั้งสองพระองคแ คือ พระอภัย มณีผูเป็นพี่ และศรีสุวรรณผูเป็นนอง บอกถึง ศาสตรแวิชาที่ตนไดเดินทางไปร่ําเรียนมา โดยพระอภัยมณีผูเป็นพี่ไดร่ําเรียนวิชาดนตรีการเปุาปี่ และเครื่องดนตรีชนิดอื่น สวนศรีสุวรรณผูเป็น นองไดร่ําเรียนกลศึกและศาสตรากระบี่กระบอง ทาวสุทัศนแฟังเชนนั้นจึงโกรธมาก จึงดาวา วิชาดนตรี เปุาปีต่ ีตะโพนของพระอภัยมณีนั้นพวกผูหญิงในวังก็ร่ําเรียนใหชํานาญได สวนการเรียนกระบี่กระบอง ของศรีสุวรรณเป็นหนาที่ของพวกทหารเกณฑแ ลูกกษัตริยแไมจําเป็นตองเรียน มีลูกแบบนี้จะเป็นที่ขาย ขี้หนายิ่ง จะใหอยูวังก็ไมดีควรแกการไลออกจากเมือง และยังดาอีกวาออกจากเมืองไปเที่ยวเลนเป็นปี เมื่อกลับมาก็พูดจาไมเขาหู หลังจากทาวสุทัศนแสบถดาเสร็ จแลวนั้นก็ลุกออกจากบัลลังกแเดินเขาไปวังใน ดวยอารมณแไมพอใจ ขอความขางตนกลาวถึงความโกรธดานอนุภาวะที่มีพฤติกรรม คือ การตอวาดาทอ ตาง ๆ นานา รวมถึงมีอาการกระทืบเทาเพื่อแสดงอารมณแโกรธดวย การทาร้ายร่างกายตนเอง ยิ่งแคนขัดอัดอั้นตันอุรา คิดนาแคนตัวของตัวจนหัวหงอก จนฟุูงเฟื่องเลื่องลือออกอื้ออึง แกชกหัวตัวเองเสียงโกกโกก
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
ดังเลือดตาแกจะตกตีอกตึง เด็กมันหลอกลวงไดไมรูถึง ดูประหนึ่งโงเงาเหมือนเตาตาย กําเริบโรครากเลือดไมเหือดหาย (หนา ๙๔๖)
หน้า ๓๕
จากบทประพันธแขางตน เป็นตอนที่พระสังฆราชบาทหลวงลวงรูความจริงวาโดนละเวงวัณฬา ซึ่ง เป็น ลูก สาวของเจ าลั งกาหลอก ทั้ งนี้ ดว ยพระสัง ฆราชบาทหลวงวางแผนใหน างละเวงวั ณฬาฆ า พระอภัยเสีย ซึ่งนางละเวงวัณฬาก็มีโอกาสฆาหลายครั้งแตนางไมทํา มิหนําซ้ํายังเอาพระอภัยมณีมาเป็น สามี พระสังฆราชบาทหลวงจึงตีอกชกหัวตนเองดวยความโกรธที่รูวาพลาดทาไปหลงเชื่อละเวงวัณฬา ขอความขางตนเป็นการกลาวถึงความโกรธดานอนุภาวะที่แสดงออกดวยพฤติกรรม การทํารายรางกาย ตนเอง ๓. ด้านสาตตวิกภาวะ สาตตวิ ก ภาวะ เป็ น กิ ริ ย าอาการที่ เ กิ ด ขึ้ น ตามธรรมชาติ ซึ่ ง มี ผ ลมาจากความโกรธ จากวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณีพบกริยาอาการซึ่งเกิดขึ้นโดยธรรมชาติที่ตามมาจากความโกรธทั้งหมด ๘ สาเหตุ ไดแก หนาแดง ตัวสั่น ชี้หนา น้ําตาไหล เป็นลม เหงื่อไหล สีหนาเปลี่ยน และน้ําเสียงเปลี่ยน ดังตัวอยางตอไปนี้ เหงื่อไหล อุศเรนรูเรื่องใหเคืองขัด เหงื่อชโลมโซมหนาเอาผาเช็ด มึงเห็นตัวผัวมันหรือไมเลา ยิ่งโกรธาดาทอคอเป็นเอ็น
ดังใครตัดเศียรฟาดใหขาดเด็ด จะแกเผ็ดไพรีไมหนีเรน อํามาตยแวาขาพเจามิไดเห็น จะจับเป็นแลเนื้อเอาเกลือทา (หนา ๓๙๖)
จากบทประพันธแขางตน เป็นตอนที่พระเจาอุศเรนรูความจริงวา มีคนมาขัดขวางตนกับนางสุวรรณมาลี จึงโกรธอยางยิ่ง จึงกลาววาจะกลับไปแกแคน เมื่อสอบถามวามีใครเห็นพระอภัยมณีบางยิ่งทราบวาไมมี ผูใ ดเห็ น ก็ ยิ่ ง โกรธแค น มากขึ้น ข อ ความขา งต น กล า วถึ ง ความโกรธสัต ตวิ ก ภาวะที่ มีอ าการเกิ ด ขึ้ น คืออาการเหงื่อไหล ดังความวา “เหงื่อชโลมโซมหนาเอาผาเช็ด” สีหน้าเปลี่ยน พระโกรธกริ้วนิ่วหนาดานายดาน มึงจองหองลองกับกูดูเดี๋ยวนี้ แลวขับเสือเงื้อกระบองรองตวาด นายดานหันกันกระบองปูองปัดมา
อายเดรฉานชาติโกหกยกฤๅษี แมมึงดีใหเป็นเจาชาวพารา เขาตีพลาดพลิ้วกายทั้งซายขวา แกลงลอลาลวงใหเธอไลตาม (หนา ๑๑๔๙)
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๓๖
จากบทประพั น ธแ ข า งต น เป็ น ตอนที่ เ จ า เมื อ งวาหุ โ ลมต อ สู กั บ ราหู ซึ่ ง เดิ ม แล ว นั้ น ราหู เป็นนายดานของเมืองวาหุโลม แตไดทรยศไปอยูฝุายขบถ เจาเมืองวาหุโลมโกรธมาก ทําหนาตาขมวดคิ้ว แลวดาทอ บอกวาหากมีฝีมือดีจริงจะยกเมืองให พูดแลวก็ขับเสือเงื้อกระบองเขาตอสู ขอความขางตน กลาวถึงความโกรธสัตตวิกภาวะที่มีอาการเกิดขึ้น คือ สีหนาเปลี่ยนไปเพราะโกรธเคืองราหูที่ทรยศตน น้าเสียงเปลี่ยน ฝุายฝรั่งสังฆราชตวาดวา ถึงลูกสาวเจาลังกาจะฆากู แลวงกเงิ่นเดินมาเรียกมาใช ชวยลอลวงหนวงศึกเหมือนตรึกการ
มึงอยามาร่ําเรื่องใหเคืองหู ก็จะสูตายไปมิใชการ มาสอนใหพูดจาไปวาขาน จะคิดอานเอาชัยดังใจจง ฯ (หนา ๗๗๕)
จากบทประพันธแขางตน เป็นตอนที่พระสังฆราชบาทหลวงโกรธนางยุพาผกา และนางลําภา เนื่องจากทั้งสองไดมาตอวาตนวาประมาทในสงคราม ถาหากพิจารณาตามกฎหมายแลวพระสังฆราช บาทหลวงมีโทษถึงตาย แตดวยความเป็นอาจารยแจึงไดรับการใหอภัยไวชีวิต พระสังฆราชบาทหลวงโกรธ มากจึงตวาดวาดาทอไปวา ถึงลูกสาวเจาเมืองจะมาฆาก็ไมกลัวหลอก ขอความขางตนกลาวถึงความโกรธ สัตตวิกภาวะที่มีอาการเกิดขึ้น คือ น้ําเสียงเปลี่ยนไป เนื่องจากตวาดตอวาเพราะความโกรธ สรุปและอภิปรายผล จากการศึกษาเรื่อง การสื่ออารมณแ “โกรธ” ในวรรณคดีเรื่อง “พระอภัยมณี ” สามารถสรุป และอภิปรายผล ดังนี้ การสื่ อ อารมณแ “โกรธ” ในวรรณคดี เ รื่ อ ง “พระอภั ย มณี ” ๓ ด า น พบว า ด า นวิ ภ าวะ เป็นสาเหตุ แหง ความโกรธ ประกอบดวย การดูถูกเหยีย ดหยาม การปกปิดอํา พราง การโดนดาทอ ความแค น ความหวงแหน ความหวาดกลั ว ความอิ จ ฉาริ ษ ยา ความรํ า คาญ และความน อ ยใจ ดานอนุภาวะ เป็นการกระทําที่เกิดจากความโกรธ ประกอบดวย การรําพึงรําพัน การทําลายขาวของ และการทํ า ร า ยร า งกายผู อื่ น การฆ า ฟั น การด า ทอ การข ม ขู การเหน็ บ แนม การประชดประชั น การทํารายตัวเอง และการสาปแชง และดานสาตตวิกภาวะ เป็นกิริยาอาการที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งมีผลมาจากความโกรธ ประกอบดวย หนาแดง ตัวสั่น ชี้หนา น้ําตาไหล เป็นลม เหงื่อไหล น้ําเสียง เปลี่ยน และสีหนาเปลี่ยน ผลการศึ ก ษาดั ง กล า วเมื่ อ เปรี ย บเที ย บกั บ การศึ ก ษาของ ภั ส ร ธี ร า ฉลองเดช (๒๕๔๘) เรื่ อ ง “วิ เ คราะหแ ร สวรรณคดี ที่ ป รากฏในนิ ท านเวตาล ฉบั บ พระนิ พ นธ กรมหมื่ น พิ ท ยาลงกรณแ ตามทฤษฎีรสวรรณคดีสัน สกฤต”พบว ามีทั้ง สวนที่ สอดคลอง และแตกตางกัน จากการศึกษาครั้ง นี้ พบวา ดาน วิภาวะของความโกรธ ประกอบดวย การดูถูกเหยียดหยาม การปกปิดอําพราง การโดนดาทอ วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๓๗
ความแค น ความหวงแหน ความหวาดกลั ว ความอิ จ ฉาริ ษ ยา ความรํ า คาญ และความน อ ยใจ สวนการศึกษาของ ภัสรแธีรา ฉลองเดช พบวิภาวะของความโกรธ ประกอบดวย การพูดจาที่ทําใหเจ็บใจ การพู ด ดู ห มิ่ น การทะเลาะทุ มเถี ย งกั น ความอิ จ ฉาริ ษ ยา และอาฆาตจองเวร ด า นอนุ ภ าวะ ที่แสดงออกมา จากการศึกษาครั้งนี้พบวา อนุภาวะ ประกอบดวย การรําพึงรําพัน การทําลายขาวของ และการทํารายรางกายผูอื่น การฆาฟันการดาทอ การขมขู การเหน็บแนม การประชดประชัน การทํา รา ยตั ว เอง และการสาปแช ง สว นการศึ ก ษาของ ภั ส รแ ธี ร า ฉลองเดช พบอนุ ภ าวะที่ แ สดงออกมา ประกอบดวยการตวาด การสาปแชง การใชกําลังฉุดกระชาก หรือการขมขูใหสํานึก ดานสาตตวิกภาวะ จากการศึกษาครั้งนี้พบวา สาตตวิกภาวะ ประกอบดวย หนาแดง ตัวสั่น ชี้หนา น้ําตาไหล เป็นลม เหงื่อ ไหล น้ํ า เสีย งเปลี่ ย น และสี ห น า เปลี่ ย น ส วนการศึ ก ษาของ ภั ส รธี ร า ฉลองเดชพบสาตตวิ ก ภาวะ ประกอบด ว ย ภาวะตั ว สั่ น ภาวะสี ห น า และเสี ย งเปลี่ ย น ภาวะเหงื่ อ ออกและน้ํ า ตาไหล ซึ่งเกิดจากความโกรธแคน การดูหมิ่นและความกลัว และบางเหตุการณแไมปรากฏสาตตวิกภาวะ อารมณแโ กรธเป็น อารมณแที่ เกิ ด ขึ้น ได กับ ทุก คน ดั ง สาเหตุ พฤติก รรม และผลลั พธแ ที่เ กิด ขึ้ น ดังที่กลาวมาขางตน จากการศึกษาของผูวิจัยยังไมพบวามีการศึกษาการสื่ออารมณแโกรธเป็นการเฉพาะ แต มี ก ารศึ ก ษาอารมณแ โ กรธที่ ป รากฏอยู ใ นวรรณกรรมต า ง ๆ ที่ ส ง ผลกระทบต อ ความโกรธ เชน การศึกษาของกษมา สุรเดชา (๒๕๕๖) เรื่อง “กระบวนการเกิดบทพิโรธวาทังในบทละครในกับบท ละครนอก พระราชนิพนธแในพระบาทสมเด็จพระพุธเลิศหลานภาลัย ” ที่พบวา วรรณคดีเรื่อง อิเหนา ตอนที่ประสันตาไปตอนกมีเหตุใหทะเลาะวิวาทกับทหารของระตูบุศสิหนา เพราะพวกทหารพูดดาทอ ดูถูก และขับไล ทําใหประสันตาโกรธ และใชกริชสังหารทหารของระตูบุศสิหนาจนเป็นเหตุใหเกิดศึก ระหว า งอิ เ หนาและระตู บุ ศ สิ ห นาในภายหลั ง แสดงให เ ห็ น ว า ความโกรธทํ า ให เ กิ ด ศึ ก สงคราม ได สอดคลองกับการศึ กษาของ เบญจวรรณ สงสมบูรณแ (๒๕๔๐) เรื่อง “บทละครเสภาเรื่องขุนชาง ขุน แผน : การศึ ก ษาในเชิง วรรณคดี วิเ คราะหแ ” ที่ พ บว าเรื่ อง ขุน ชา ง - ขุ นแผน ในตอนที่ขุ น เพชร กับขุนรามดาทอถึงพอแมของขุนแผน ทําใหขุนแผนโกรธ จึงขาดความยับยั้งชั่งใจ สุดทายจึงไดตวัดดาบ ฆาทั้งสอง จากตัวอยางขางตนจะเห็นวาผลกระทบของความโกรธยอมสงผลดานลบมากกวาดานบวก ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะของการนาผลการศึกษาไปใช้ ๑. อารมณแโกรธเป็นอารมณแที่มีสาเหตุจากสิ่ง ใดสิ่งหนึ่ง จึงนําไปสูพฤติกรรมที่ไมพึง ประสงคแ ทําใหเกิดผลลัพธแในลั กษณะตาง ๆ โดยเฉพาะผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้นจากความโกรธ การวิจัยเรื่องนี้ จึงทําใหเขาใจอารมณแโกรธ อันจะนําไปสูการปรับใชเพื่อแกปัญหาเหตุการณแที่เกิดจากความโกรธได ๒. นํ า ความรู ไ ปใช ป ระโยชนแ ใ นการแต ง คํ า ประพั น ธแ ใ ห ส ามารถสื่ อ อารมณแ โ ก รธได อยางเขาถึงและมีสุนทรียภาพ
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๓๘
ข้อเสนอแนะในการศึกษาครั้งต่อไป ๑. ควรมีการศึกษาเปรียบเทียบการใชคําที่สื่ออารมณแโกรธจากวรรณคดีไทยในยุคสมัยตาง ๆ ๒. ควรมีการศึกษารสวรรณคดีทั้งไทย และสันสกฤตในวรรณคดีเรื่องอื่น ๆ ตอไป เอกสารอ้างอิง กษมา สุรเดชา. (๒๕๕๖). กระบวนการเกิดบทพิโรธวาทังในบทละครในกับบบทละครนอกพระราช นิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุธเลิศหล้านภาลัย. วิทยานิพนธแอักษรศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศิลปากร. เบญจวรรณ สงสมบูรณแ. (๒๕๔๐). บทละครเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน : การศึกษาในเชิงวรรณคดี วิเคราะห์. วิทยานิพนธแการศึกษามหาบัณฑิตมหาวิทยาลัยบูรพา. ภัสรแธีรา ฉลองเดช. (๒๕๔๘). วิเคราะห์รสวรรณคดีที่ปรากฏในนิทานเวตาล ฉบับพระนิพนธ์ กรมหมื่นพิทยาลงกร ตามทฤษฎีรสวรรณคดีสันสกฤต. วิทยานิพนธแการศึกษามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยทักษิณ. สุนทรภู. (๒๕๕๕). พระอภัยมณี. กรุงเทพฯ : ดีการพิมพแ จํากัด. สุภา ฟักของ. (๒๕๓๐). วรรณคดีไทยก่อนได้รับอิทธิพลจากตะวันตก. กรุงเทพฯ : กรมฝึกหัดครู. สุรียแ ติ่งสมบูรณแ. (๒๕๔๓). พระอภัยมณีพระเอกนักดนตรี. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพแชางทอง. -----------------------------------บทความวิจัยเรื่องนี้ผานการคัดเลือกใหนําเสนอในงาน การประชุมวิชาการระดับปริญญาตรี ด า นมนุ ษ ยศาสตรแ แ ละสั ง คมศาสตรแ ร ะดั บ แห ง ชาติ ค รั้ ง ที่ ๑ ขอบฟู า แห ง การเรี ย นรู ที่ ไ ม มี ที่ สิ้ น สุ ด ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรคแ
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๓๙
อุปลักษณ์เชิงมโนทัศน์ที่เป็นคาด่าในเพจ “จ๊อกจ๊อก” กิตติภพ อ่อนชาติ
บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงคแเพื่อศึกษา อุปลักษณแเชิงมโนทัศนแที่เป็นคําดาในเพจ “จ฿อกจ฿อก” โดยนํ าเนื้ อ หาจากการแสดงความคิ ดเห็ น ในเพจจํา นวน ๘๐ คอมเมนตแ มาวิ เ คราะหแต ามประเด็ น ที่กําหนดไว ผลการวิจัย อุปลักษณแเชิงมโนทัศนแที่เป็นคําดาในเพจ “จ฿อกจ฿อก” พบทั้งหมด ๑๓ ประเด็น ประเด็นที่พบมากที่สุด ไดแก คําดาที่เกี่ยวกับรูปลักษณแ พบจํานวน ๑๗ คอมเมนตแ รองลงมาคือ คําดา ที่เกี่ยวกับอวัยวะ ทุกสวนในรางกาย พบจํานวน ๑๐ คอมเมนตแ คําดาที่เกี่ยวกับชาติพันธุแและชาติกําเนิด พบจํ า นวน ๙ คอมเมนตแ ส ว นคํ า ด า ที่ เ กี่ ย วกั บ ลั ก ษณะนิ สั ย และความประพฤติ แ ละคํ า ด า ที่ เ กี่ ย วกั บ เรื่ อ งเพศและอวั ย วะเพศ พบจํ า นวนเท า กั น คื อ ๘ คอมเมนตแ คํ า ด า ที่ เ กี่ ย วกั บ สั ต วแ พบจํานวน ๖ คอมเมนตแ คําดาที่เกี่ยวกับสิ่งสกปรกและของเสียที่ไมเป็นที่ตองการ และคําดาที่เกี่ยวกับ โรค และอาการของโรค พบจํานวนเทากันคือ ๕ คอมเมนตแ คําดาที่เกี่ยวกับความผิดปกติทางสมอง คําดาบุคคล และคําดาที่เกี่ยวกับพืชพรรณ พบจํานวนเทากันคือ ๓ คอมเมนตแ คําดาที่เกี่ยวกับความเชื่อ ทางศาสนาและภูตผี พบจํานวน ๒ คอมเมนตแ และที่พบจํานวนนอยที่สุดคือ คําดาที่เกี่ยวกับอาวุธ พบจํ า นวน ๑ คอมเมนตแ โดยอุ ป ลั ก ษณแ คํ า ด า ที่ พ บมากที่ สุ ด คื อ คํ า ด า เกี่ ย วกั บ รู ป ลั ก ษณแ ทั้ง นี้อ าจเนื่ องมาจากเพจ “จ฿อ กจ฿ อก” เป็ นเพจที่ส รา งขึ้ นเพื่อ นํา ภาพ และรู ปร างหน าตาของผูค น ที่อยูในสังคมมาโพสตแลอเลียนอยางสนุกสนาน และผูที่ติดตามเพจสวนหนึ่งก็ไดเขาไปแสดงความคิดเห็น ในลักษณะของการดาทอเป็นจํานวนมาก ดังนั้น จึงมักพบการใชอุปลักษณแคําดาเกี่ยวกับ รูปลักษณแมาก ที่สุดนั่นเอง คาสาคัญ : อุปลักษณแ มโนทัศนแ เพจ คําดา
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๔๐
บทนา อิ น เทอรแ เ น็ ต ถื อ ว า เป็ น ช อ งทางการสื่ อ สารประเภทหนึ่ ง ที่ มี ค วามสํ า คั ญ ในชี วิ ต ประจํ า วั น ของมนุษยแ ทั้งดานการติดตอสื่อสาร การรับรูขาวสารตาง ๆ อีกทั้งยังสามารถเขาถึงผูคนไดทุกเพศทุกวัย ซึ่งอินเทอรแเน็ตมีหลากหลายชองทางทั้ง อินสตาแกรม ไลนแ ทวิตเตอรแ และเฟซบุ฿ก โดยเฉพาะเฟซบุ฿ก (facebook) เป็น โซเชีย ลเน็ต เวิร แก ที ่ม ีผูค นใชบ ริก ารเป็น จํ า นวนมากในยุค ปัจ จุบ ัน นอกจากนี้ ยังสามารถนําไปใชเสนอแนวคิดหรือ ประชาสัมพันธแขอมูลขาวสาร สินคา หรือการบริการ โดยผูใชงาน มีโอกาสนําเสนอไดทั้งในหนาเฟซบุ฿กโปรแไฟลแ และเฟซบุ฿กแฟนเพจ สําหรับเฟซบุ฿กแฟนเพจ หรือแฟนเพจ หรือเพจ เป็นคุณสมบัติหนึ่งของเฟซบุ฿ก มีไว เพื่อชวยให ผูใชงานไดพื้นที่สําหรับการแสดงความคิดเห็น หรือรวมผูที่ชอบในเรื่องตาง ๆ ที่คลายกัน เฟซบุ฿กแฟนเพจ จะสรางเป็นหนาเพจใหม เมื่อผูใชงานหรือผูสรางเพจโพสตแ สิ่งใดลงไป ผูใชง านที่ติดตามก็จะเห็นทันที ซึ่งปัจจุบันในประเทศไทยมีเฟซบุ฿กแฟนเพจจํานวนมาก ตามความชื่นชอบของคนในสังคม เชน เพจดาน การศึกษา เพจการเมืองการปกครอง เพจขายของ เพจดารา เป็นตน เพจ “จ฿อกจ฿อก” มีการกอตั้งเพจขึ้นเมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๒ เป็นเพจที่มีคนถูกใจ (Like) และมีคนติดตามจํานวน ๔๗,๓๕๓ คน (ขอมูล ณ วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๒) มีลักษณะเป็นเพจกลุม ปิด ที่สมาชิกตองสงคําขอเขารวม และไดรับการกดยอมรับจากแอดมินกอน จึงจะเขามาติดตามเนื้อหา ในเพจได จํานวนผูติดตามจึงมีเพียง ๔๗,๓๕๓ คน โดยมี เรื่องราว บุคลิก หรือรูปรางหนาตาของบุคคล ตาง ๆ ในสั งคมไทยทั้ง มีชื่ อเสีย งและไม มีชื่ อเสีย งมานํา เสนอในเชิ ง กลา วล อ เลีย น เพื่ อใหผู ติด ตาม เกิดความสนุกสนาน ซึ่งผูติดตามจํานวนหนึ่งไดเขาไปแสดงความคิดเห็น (คอมเมนตแ) ในลัก ษณะของ การดาทอบุคคลที่เพจนํามาโพสตแลอเลียนดวย เชน
ที่มา : เพจจ฿อกจ฿อก (๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๗) วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๔๑
ความโดดเดนในดานการใชภาษาแสดงความคิด เห็นในเพจ “จ฿อกจ฿อก” ที่มีก ารนํา เสนอ ในเชิง ดาทอบุคคลตาง ๆ นั้น พบวามีการใชถอยคํา หรือขอความ และอาจจะมีการตัด ตอคํา หรื อ เปลี่ยนคํา เพื่อใหไดคําที่แปลกใหม และเป็นที่จดจําของผูติดตาม ซึ่งขอความ โพสตแ หรือขอความสั้น ๆ มาจากบทเพลง เหตุ ก ารณแ บ า นเมื อ ง หรื อ บุ ค คลที่ มี ชื่ อ เสี ย งหรื อ ที่ กํ า ลั ง มี ก ระแสไปในทางที่ ล บ จนทําใหเพจนี้กลายเป็นเพจที่มีผูคนจํานวนหนึ่งใหความสนใจ ดวยเหตุนี้ผูวิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาเรื่อง อุปลักษณแเชิงมโนทัศนแที่เป็นคําดาในเพจ “จ฿อกจ฿อก” จํา นวน ๑๒๙ โพสตแ โดยผู วิจั ยจะศึก ษาเฉพาะโพสตแ เดี่ ย ว ในเพจ “จ฿ อกจ฿อ ก” ที่มี ก ารเผยแพร ในเดือนตุลาคม ๒๕๖๒ โดยเลือกโพสตแที่มีจํานวนยอดถูกใจ ๑๐๐ ขึ้นไป ผูวิจัยรวบรวมโพสตแไดทั้งสิ้น ๑๒๙ โพสตแ แล วนํ า มาคัด เลื อ กการแสดงความคิ ด เห็ น (คอมเมนตแ ) ที่ป รากฏเป็น คํา ดา ในรู ปแบบ ของอุปลักษณแ วัตถุประสงค์ในการศึกษา การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงคแเพื่อศึกษาอุปลักษณแเชิงมโนทัศนแที่เป็นคําดาในเพจ “จ฿อกจ฿อก” วิธีการศึกษา ผูวิจัยศึกษาคนควาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของ โดยแบงเป็น ๔ ลักษณะคือ ๑) เอกสาร ที่เกี่ยวของกับสื่อสังคมออนไลนแและ ๒) เอกสารที่เกี่ยวของการใชอุปลักษณแคําดา ๓) เอกสารที่เกี่ยวของ กับมโนทัศนแ และ ๔) งานวิจัยที่ เกี่ยวข องในประเด็ นที่เกี่ ยวกับอุ ปลักษณแและคํ าดา หลัง จากศึกษา เอกสารและงานวิ จัย ที่เกี่ ยวของแล วเก็ บรวบรวมคอมเมนตแจ ากโพสตแที่ ปรากฏในเพจ “จ฿อ กจ฿ อก” ศึกษาคอมเมนตแ แลวแยกคอมเมนตแตามประเด็นที่กําหนดไว แลวนําขอมูลที่ไ ดทั้งหมดมาวิเคราะหแ ตามประเด็นที่กําหนดไวในขอบเขตเนื้อหา และจึงเขียนรายงานผลการศึกษาคนคว าโดยวิธีพรรณนา วิเคราะหแ แลวนําผลการศึกษาที่ไดไปเปรียบเทียบกับการศึกษาเรื่อง “อุปลักษณแเชิงมโนทัศนแของคําดา ในภาษาไทย” ของ อรทัย ชินอัครพงศแ (๒๕๕๗) ที่ผูวิจัยนํามาใชเป็นกรอบในการวิจัย สวนนิยามศัพทแ เฉพาะจึงจะยกตัวอยางบางสวนเพื่อใหผูอานเขาใจชัดเจนขึ้น ๑. อุปลักษณแ ในการศึกษาครั้งนี้หมายถึง คือการเปรียบสิ่ง หนึ่ง เป็นอีกสิ่ง หนึ่ง หรือยกสิ่ง ใด สิ่งหนึ่งมาเปรียบเทียบ ๒. คําดา ในการศึกษาครั้งนี้หมายถึง ถอยคําที่ใชดาทอวาคนอื่นเพื่อใหดูต่ํากวาจากที่เขาเป็นอยู ทําใหผูฟังไดรับความเจ็บปวดหรือเสื่อมเสียและเกิดผลกระทบทางอารมณแ ๓. มโนทัศนแ ในการศึกษาครั้งนี้หมายถึง ความคิดและความเขาใจของมนุษยแ ที่สะทอนผาน การใช รู ป ภาษา แสดงประสบการณแ ที่ มี ต อ โลกตามความคิ ด ของมนุ ษ ยแ เ ป็ น การคิ ด รวบยอด สรางกรอบ
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๔๒
ความคิดใหชัดเจน ซึ่งเป็นภาพที่เกิดในใจซึ่งเป็นตัวแทนของสิ่งหลายสิ่งตางกัน แตมีลักษณะบางอยาง คลายกัน สว นข อตกลงเบื้ องต น ในการศึก ษาครั้ง นี้ผู วิ จัย จะคงการเขี ยนคํ าด าในรูป แบบเดิ มเอาไว เพื่อใหผูคนเขาใจถึงสิ่งที่ตองการสื่อความหมายจากคําดานั้น ๆ มากขึ้น ผลการศึกษา การศึ ก ษา อุ ป ลั ก ษณแ เ ชิ ง มโนทั ศ นแ ที่ เ ป็ น คํ า ด า ในเพจ “จ฿ อ กจ฿ อ ก” ผลการศึ ก ษา ปรากฏวาสามารถจําแนกตามประเด็นได ๑๓ ประเด็นดังตอไปนี้ ๑. คาด่าที่เกี่ยวกับอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย คําดาที่เกี่ยวกับอวัยวะทุกสวนในรางกาย ในการศึกษาครั้ง นี้หมายถึง ลักษณะของอวัยวะ ในรางกายทุกสวน เชน ใบหนา ปาก หู ตา จมูก มาใชเปรียบเทียบ จากการศึกษาพบอุปลักษณแคําดา ที่ เ กี่ ย วกั บ อวั ย วะทุ ก ส ว นในร า งกาย อาทิ หน า ไม อ าย หน า ตั ว เมี ย ส น ตี น โดยปรากฏ จํานวน ๑๐ คอมเมนตแ ไดแ ก หนาเหมือ นหมา, ปากดี ปากกระโถนจิง ๆ , หนา ริดสี ดวง อีห นาหี , ปากเหม็ น เหมื อ นบ อ ขี้ ไ ม ไ ด ดู ด , อี เ พชปากปลาร า , หน า เลื อ ดอี เ บี ย , ปากหมา, พวกปากตลาด, หนาสนตีน, อีหนาหนาปูนสรางบานกูยังยอมแพมึงอะ ดังตัวอยางตอไปนี้
ภาพที่ ๑ พวกปากตลาด ที่มา : เพจจ฿อกจ฿อก (๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๒) จากคําวา “พวกปากตลาด” จัดอยูในคําดาประเภทอวัยวะทุกสวนในรางกาย ซึ่งคําวา ปากตลาด ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๕๖ (๒๕๕๖,หนา ๗๓๘) หมายถึง (๑) น. ถอยคําที่โจษหรือ เลาลือกัน เชน ปากตลาดเขาวากันมาอยางนี้ (๒) ว. ปากจัด ซึ่งคําวาปากตลาดในที่นี้จะใชดาพวกกลุมคน ที่มีลักษณะนิสัยปากจัด ปากไมดี หรืออีกความหมายหนึ่ง ก็จะหมายถึง การนินทากันของพ อคาแมคา ในตลาด โดยคําวา ปากตลาดนั้น ลวนไดมาจากมโนทัศนแ ของคนในสังคมกลุมหนึ่งที่เชื่อวา แมคาในตลาด ลวนมีลักษณะเดนในการใชวาจา เชน พูดจาเสียงดัง ใชถอยคํารุนแรง ชอบนินทาคนอื่น จึงทําใหคํา ๆ นี้ กลายเป็นคําดามาตั้งแตในอดีต โดยปัจจุบันคํานี้ก็ยังปรากฏใหเห็นและไดยินตามสื่อตาง ๆ อยูบอยครั้ง นอกจากนี้คําเปรียบเปรียบขางตนยังสะทอนใหเห็นคานิยมของคนในสังคมวา คําพูดเหลานี้ลวนอาจมาจาก ปัจจัยตาง ๆ ที่ทําใหเกิดคําและวลี โดยอาจจะมาจากนิสัยสวนตัว สภาพแวดลอมที่คน ๆ นั้นไดอาศัยอยู หรือแมกระทั่งการเลี้ยงดู โดยทุกอยางลวน มีสวนชวยเสริมสรางบุคลิกในแตละบุคคลได
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๔๓
๒. คาด่าที่เกี่ยวกับสัตว์ คําดาที่เกี่ยวกับสัตวแ ในการศึกษาครั้ง นี้ หมายถึง ลักษณะของการนําชื่อสัตวแชนิดตาง ๆ มาด า เพื่ อใช เปรี ย บเที ยบ จากการศึ ก ษาพบอุป ลั กษณแ คํ าด า ที่เ กี่ ย วกั บ สั ตวแ อาทิ หมา ควาย เหี้ ย โดยปรากฏจํานวน ๖ คอมเมนตแ ไดแก อีควาย, อีคิง คองพลาตาแหม , แรดดเนอะ, รําคานทําตั ว เหมือนชะนีรองหาผัว, แมงกุเกลียอีวอกนี่จัง, อีสมองหมาปัญญาควาย ดังตัวอยางตอไปนี้
ภาพที่ ๒ อีควาย ที่มา : เพจจ฿อกจ฿อก (๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๒) จากคํ า ว า “อี ค วาย” จั ด อยู ใ นคํ า ด า ประเภทสั ต วแ คํ า ว า ควาย ตามพจนานุ ก รมฉบั บ ราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๕๔ (๒๕๕๖,หนา ๒๔๓) หมายถึง น. ชื่อสัตวแ เลี้ยงลูกดวยนมชนิด Bubalus bubalis Linn. ในวงศแ Bovidae เป็นสัตวแเคี้ยวเอื้องขนาดใหญกีบคู ลําตัวสีดําหรือเทา เขาโคงยาว ไมผลัดเขา ครึ่งลางของขาทั้งสี่มีขนสีขาวหรือขาวอมเทา โดยปริยายมักหมายความวา คนโง คนเซอ หรือคนตัวใหญ แตไมฉลาด คําวา “ควาย” เป็นคําไทยแทที่ใชกันมาตั้งแตดั้งเดิม คนไทยสวนใหญมักพูด คําวา “ควาย” กันในความหมายแบบที่สอง คือใชพูดเปรียบเทียบถึงความโง มากกวาการพูดถึงตัวสัตวแ ที่เป็นควายจริง ๆ ซึ่งการดาวา “อีควาย” ในปัจจุบัน ถูกดา กลาวคือคําวา “โง” มีความหมายยอยอัน เกิ ด จากมโนทั ศ นแ ข องชาวไทยซึ่ ง มี ต อ ควาย โดยน า จะเกิ ด จากการสั ง เกตและสรุ ป ข อ สั ง เกต โดยมองวา ควายยอมทําตามคํา สั่งของมนุษ ยแโดยไมขั ดขืน ยอมถู กเฆี่ย นตี ยอมใหมนุษ ยแเจาะจมู ก แล ว ลากจู ง แม ต อ งลากคั น ไถหนั ก ๆ แต ก็ ไ ม เ คยหนี ขั ด ขื น หรื อ แสดงความต อ งการของตน ยอมอยู นิ่ง ๆ และทําตามคําสั่งโดยไมมีเงื่อนไข ซึ่งพฤติกรรมเหลานี้ถูกตีความหรือใหความหมายวาเป็น พฤติกรรมโง ๆ จึงไมใชเรื่องแปลกที่คนไทยหลาย ๆ คนจะมองวา ควายไมใชสัตวแที่ฉลาด จึงไดนําคํา ๆ นี้ มาใชดาทอคนที่เขาคิดวาอยูต่ํากวาตนเอง ๓. คาด่าที่เกี่ยวกับลักษณะนิสัยและความประพฤติ คํ า ด า ที่ เ กี่ ย วกั บ ลั ก ษณะนิ สั ย และความประพฤติ ในการศึ ก ษาครั้ ง นี้ ห มายถึ ง เป็นลักษณะนิสัยของคนที่มีการประพฤติตัวไมดีมาใชเปรียบเทียบ จากการศึกษาพบอุปลักษณแคําดา ที่เกี่ยวกับลักษณะนิสัยและความประพฤติ อาทิ สันดาน จัญไร เลว โดยปรากฏจํานวน ๘ คอมเมนตแ ต อ ไปนี้ ได แ ก คบไม ไ ด อี งู เ ห า ,หน า หม อ ไอ ดิ้ ว , ทํ า ตั ว เองให ต่ํ า ตมยิ่ ง กว า พวกขี้ ย า, ดั ด ฟั น แล ว ก็ควรดัดสันดานมึงดวย, นิสัยเหมือนเห็บหมาอะชอบดูดเลือดดูดเนื้ออีตัวนี้, ไอหนาตัวเมีย, ตอแหลมาก เหมือนอีนาธานเลย, ทําตัวเหมือนไมมีใครสอนอีจันไร ดังตัวอยางตอไปนี้ วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๔๔
ภาพที่ ๓ ไอหนาตัวเมีย ที่มา : เพจจ฿อกจ฿อก (๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๒) จากคํ า ว า “ไอ ห น า ตั ว เมี ย ” จั ด อยู ใ นคํ า ด า ประเภทลั ก ษณะนิ สั ย และความประพฤติ คํ า ว า หน า ตั ว เมี ย ตามพจนานุ ก รมฉบั บ ราชบั ณ ฑิ ต ยสถาน ๒๕๕๔ (๒๕๕๖,หน า ๑๓๔๕) หมายถึง น. ลักษณะหนาตาทาทางคลายผูหญิง, โดยปริยายหมายความวา ใจเสาะ, ขี้ขลาด, (มักพูดเป็นเชิง เหยี ยดหยามผูช าย) แตใ นที่นี้ คํา วาไอห นาตั วเมียนั้ นไดกลายเป็น คํา ดาซึ่ ง ก็ หมายถึ ง พวกผูชายที่ มี ลักษณะนิสัยที่ขี้ขลาดตาขาว ไมสูคน ปอดแหก หรือ ใชเรียกผูชายที่ทําตัวถอย ๆ ตอผูหญิงหรือเพศ ที่ออนแอกวา เชน ทํารายรางกายผูหญิง ดูถูกผูหญิงและเหยียดหยาม แตที่จริงคําวา “หนาตัวเมีย” ไดมี อะไรเกี่ยวของกับคนเลยทั้งสิ้น หากแตเป็นถอยคําที่เกิดจากมโนทัศนแของผูพูดหรือชาวไทยบางกลุมที่ เชื่อวาอุปนิสัยหรือสัญชาตญาณของสัตวแเพศเมียจะไมชอบการตอสู และจะไมตอสูกับสัตวแใด ๆ เชน ในการชนไก ไกที่จับมาชนก็จะมีเพียงไกตัวผูเทานั้น หรือในการกัดปลา ปลากัดที่มนุษยแนํามากัดกันก็จะ มีเพียงปลากัดตัวผู รวมทั้งในภาคใตที่นิยม ชนวัว ก็จะมี เพียงวัวตัวผูเชนเดียวกัน ดวยเหตุนี้คนไทย สมัยกอนที่คุนอยูกับการตีไก กัดปลา ชนวัว ฯลฯ จึงคุนกับอุปนิสัยของสัตวแเหลานี้ และทราบดีวาตัวผู เทานั้นที่จะสูหรือกัด ในขณะที่ตัวเมียจะไมสูไมกัดใด ๆ เลย จึง เกิดคําเปรียบเปรยมาถึงมนุษยแผูชาย บางคนที่ไมสูคน หรือขี้ขลาดตาขาววาทําตัวเหมือนสัตวแตัวเมีย จึงเป็นที่มาของคําวา “หนาตัวเมีย” ทั้งนี้ คานิยมในปัจจุบันไดมีการนําคํานี้มาใชเป็นคําดาที่มีความหมายอื่นเพิ่มเติมดวย คือ นอกจากจะหมายถึง สัตวแตัวเมียที่ไมกลาตอสูแลว ยังหมายรวมถึงเพศแมหรือผูหญิงดวย ดังนั้นเมื่อนํามาใชเป็นคําดาจึงทําให ผูชายคนที่ถูกตอวารูสึกไมพอใจอยางมาก ๔. คาด่าที่เกี่ยวกับชาติพันธุ์/ชาติกาเนิด คําดาที่เกี่ยวกับชาติพันธุแ /ชาติกําเนิด ในการศึกษาครั้ง นี้หมายถึง ลักษณะของคําที่ใชดูถูก การเกิ ด ผู ใ ห กํ า เนิ ด ถิ่ น ที่ อ ยู ที่ กํ า เนิ ด โดยในที่ นี่ ห มายรวมถึ ง อาชี พ และการทํ า งานด ว ย จากการศึ กษาพบอุป ลัก ษณแคํ าด า คํา ดา ที่ เกี่ ยวกั บชาติ พั นธุแ / ชาติกํ าเนิ ด อาทิ ต่ํ า ชาติ ชั่ว ชาติห มา ลูกกะหรี่ โดยปรากฏจํานวน ๙ คอมเมนตแ ไดแก อีกะหรี่แถวหนามหลวง, ทําตัวเหมือนไพร, อีสัตวแอีชิง หมาเกิด, อีลูกกระหรี่, หนาเหมือนโรฮิงญาหนีเขาเมือง, หนาเหมือนลาวมาก, เหมือนพวกแมงดา, มั่นมากกกจาอีลูกกะหรี่, เหมือนสก฿อยงานวัดแจง ดังตัวอยางตอไปนี้
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๔๕
ภาพที่ ๔ อีกะหรี่แถวหนามหลวง ที่มา : เพจจ฿อกจ฿อก (๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๖) จากคํ า ว า “อี ก ะหรี่ แ ถวหนามหลวง” จั ด อยู ใ นคํ า ด า ประเภทชาติ พั น ธุแ แ ละชาติ กํ า เนิ ด คําวากะหรี่ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๕๔ (๒๕๕๖,หนา ๑๐๐) หมายถึง น. โสเภณี (กรอนมาจาก คําวา ช็อกการี ซึ่งเพี้ยนมาจากคําในภาษาฮินดี chokri เด็กผูหญิง) สวนคําวา สนามหลวง เป็นคํานามที่เป็นชื่อเฉพาะของสถานที่ อันหมายถึง เป็นสนามขนาดใหญ ตั้ง อยูดานหนาวัดมหาธาตุ ยุ ว ราชรั ง สฤษฎิ์ ระหว า งพระบรมมหาราชวั ง กั บ พระราชวั ง บวรสถานมงคล เขตพระนคร กรุง เทพมหานคร ปั จจุบันเป็น พื้นที่สาธารณะที่มีก ารใชจัดพิ ธีกรรมตามประเพณี ง านเทศกาล และ กิจกรรมตาง ๆ ของประเทศ แตในที่นี้ คําวาสนามหลวง เป็นพื้นที่ที่ถูกกลาวหาถึง บุคคลที่ทําอาชีพ ขายบริการนิ ยม ไปรวมตัวกันบริเวณนั้นในยามค่ําคืน ดังนั้นเหตุที่ผูคนนําคํา ๒ คํานี้มาเป็นคําดาวา อีกะหรี่แถวสนามหลวง จึงใหความหมายอุปลักษณแ คือ การดาผูหญิงโดยนําผูหญิงคนนั้นไปเปรียบเทียบ วาเป็นโสเภณีที่ขายบริการทางเพศ หรือ กะหรี่และไมไดดากะหรี่เพียงอยางเดียว แตยังหมายถึง กะหรี่ ชั้นต่ํา หรือกะหรี่ราคาถูกที่ตองแลกเงินเพียงไมกี่บาท เพราะคนกลุมนี้ตองมาขายบริการทางเพศขาง นอก ตางจากอีกกลุมที่ขายบริการอยูภายในหองแอรแ เหมือนกับวาเป็นการดูถูก ในเรื่องของชนชั้นของ ความเป็นกะหรี่ดวย เนื่องจากคานิยมของสัง คมไทย ยังไมยอมรับอาชีพขายบริการทางเพศ เพราะวา เนื่องจากเป็นอาชีพที่นามีความนาอับอายและโดนดูถูกเหยียดหยามเป็น อยางมาก เพราะคนที่มีอาชีพนี้ เหมือนไมรักศักดิ์ศรีของตนเอง ไมมีความรักนวลสงวนตัว ซึ่งเป็นคุณสมบัติของผูหญิงที่สังคมยอมรับ ๕. คาด่าที่เกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนา/ภูตผี คําดาที่เกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนา/ภูตผี ในการศึกษาครั้งนี้หมายถึง เป็นการนําลักษณะ ที่เกี่ยวกับคานิยมความเชื่อ ทั้งในทางศาสนาและภูตผีปีศาจมาใชในการเปรียบเทียบ จากการศึกษา พบอุปลักษณแคําดาที่เกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนา/ภูตผี อาทิ เปรต หา เวร โดยปรากฏจํานวน ๒ คอมเมนตแ ไดแก ทําตัวเหมือนสัตวแนรก, สวยเหมือนเปรตเลยอีสัสนี่ ดังตัวอยางตอไปนี้
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๔๖
ภาพที่ ๕ ทําตัวเหมือนสัตวแนรก ที่มา : เพจจ฿อกจ฿อก (๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๒) จากคํ าว า “ทํา ตั วเหมื อนสัต วแ นรก” จัด อยู ในคํ าด าประเภทความเชื่ อทางศาสนาและภู ต ผี คําวาสัตวแ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๕๔ (๒๕๕๖,หนา ๑๐๒๕ ) หมายถึง น. สิ่งมีชีวิต ซึ่ง แตกตางไปจากพรรณไม สวนมากมีความรูสึกและเคลื่อนไหวยายที่ไ ปไดเอง ความหมายที่ใชกั น เป็นสามัญหมายถึง สัตวแที่ไมใชคน, เดรัจฉาน สวนคําวานรก ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๕๔ (๒๕๕๖,หนา ๖๐๗ ) หมายถึง น. แดนหรือภูมิที่เชื่อกันวาผูทําบาปจะตองไปเกิดและถูกลงโทษ โดยปริ ย ายหมายถึ ง แดนที่ มี แ ต ค วามทุ ก ขแ ท รมาน ซึ่ ง เมื่ อ นํ า มารวมกั น จึ ง หมายถึ ง สั ต วแ เ ดรั จ ฉาน ที่อ ยูใ นนรก คํา วา สั ตวแ ในที่ นี้มิ ได ห มายถึ ง สัต วแเ ดรั จฉาน แตห มายถึง สิ่ ง มี ชีวิ ตที่ เวี ยนวา ยตาย เกิดในสังสารวัฏ สวนนรกเป็นชื่อของภูมิที่ต่ําที่สุด เป็นแดนสําหรับลงทัณฑแมนุษยแที่ไดกอกรรมทําชั่วไว ในครั้งที่มีชีวิตเป็นมนุษยแ การตกนรกชั้นต่ําที่สุดจึงเหมาะกับคนจําพวกนี้ คนไทยซึ่งนับถือพุทธศาสนา กันมาอยางชานาน ยอมมีความเชื่อวาเมื่อสัตวแนรกชดใชกรรมของตนในนรกหมดแลว ก็จะจุติจากนรก ไปบังเกิดในภูมิที่สูงขึ้น แตโดยมากก็จะกลับมาเกิดเป็นมนุษยแใหมเพื่อมาชดใชกรรมบนโลกมนุษยแตอ ในสั ง คมไทยปั จจุ บัน สัต วแน รก เป็ นคํ าที่ใ ชเ ปรี ยบเทีย บผู ที่ทํา ชั่ว อย างรุ นแรงเหี้ย มโหดไรคุ ณธรรม โดยเฉพาะอยางยิ่งผูที่ทําชั่ว ตอพระศาสนา เชน ลักลอบตัดเศียรพระพุทธรูป ฆาพระภิกษุ ทําราย ร า งกายหรื อ ฆ า บุ พ การี เด็ ก สตรี และคนชรา ผู ที่ ใ ช คํ า ว า สั ต วแ น รก เรี ย กผู อื่ น ส ว นมากจะเป็ น ผูถูกกระทํามากอนหรือผูที่รูสึกโกรธแคน อยางที่สุดจนตองระบายออกมาอยางรุนแรง เพื่อใหสาสม กับสิ่งที่คน ๆ นั้นไดทํา ๖. คาด่าที่เกี่ยวกับสิ่งสกปรก/ของเสียที่ไม่เป็นที่ต้องการ คํ า ด า ที่ เ กี่ ย วกั บ สิ่ ง สกปรก/ของเสี ย ที่ ไ ม เ ป็ น ที่ ต อ งการ ในการศึ ก ษาครั้ ง นี้ หมายถึ ง เป็นลักษณะเกี่ยวกับ การดากลุมคนจําพวกหนึ่ง ที่ไ มเป็นที่ตองการของสัง คม ประชาชนรัง เกียจจาก การศึกษาพบอุปลักษณแคําดาที่เกี่ยวกับสิ่ งสกปรก/ของเสียที่ไมเป็นที่ตองการ อาทิ เสนียด ขยะสังคม โดยปรากฏจํานวน ๕ คอมเมนตแ ไดแก ขายไมไดก็เพราะมึงแหละอีตัวเสนียดประจําราน, เหมือนขยะ เปียก, อีพวกเศษสวะ, แมลงสาบยังสะอาดกวามึง อีเหี้ย , กรุณาอยาทําตัวเป็นขยะสังคม ดัง ตัวอยาง ตอไปนี้
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๔๗
ภาพที่ ๖ เหมือนขยะเปียก ที่มา : เพจจ฿อกจ฿อก (๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๒) คํ า ว า “เหมื อ นขยะเปี ย ก” จั ด อยู ใ นคํ า ด า ประเภทสิ่ ง สกปรก หรื อ ของเสี ย ที่ ไ ม เ ป็ น ที่ ต อ งการคํ า ว า ขยะ ตามพจนานุ ก รมฉบั บ ราชบั ณ ฑิ ต ยสถาน ๒๕๕๔ (๒๕๕๖,หน า ๑๗๑) หมายถึง น. มูลฝอยของที่ตองการทิ้ง ดังนั้นการดาวา เหมือนขยะเปียก จึงใหความหมายอุปลักษณแ วาคือ การนําคน ๆ หนึ่งไปเปรียบเทียบกับของที่คนไมตองการนั่นก็คือขยะ ซึ่งขยะเปียกจะเป็นขยะ ที่ ส กปรกมาก และส ง กลิ่ น เหม็ น เน า ไปทั่ ว โดยการใช คํ า ว า ขยะเปี ย กมาเปรี ย บเที ย บกั บ คน ๆ นี้ ซึ่ ง เป็ น การแสดงมโนทั ศ นแ ข องผู ส ง สารว า คนที่ มี ร า งกายที่ ส กปรก ไม อ าบน้ํ า ไม ดู แ ลตั ว เอง และมีกลิ่นเหม็น เหมือนกับขยะเปียก ๗. คาด่าที่เกี่ยวกับความผิดปกติทางสมอง คํ า ด า ที่ เ กี่ ย วกั บ ความผิ ด ปกติ ท างสมอง ในการศึ ก ษาครั้ ง นี้ ห มายถึ ง เป็ น ลั ก ษณะ ของความผิ ดปกติ ที ่เ กิด จากการกระทบกระเทือ น สง ผลไปยัง สมองมาใชใ นการเปรีย บเทีย บ จากการศึก ษาพบอุป ลัก ษณแ คํ า ด า ที่ เ กี่ ย วกั บ ความผิ ด ปกติ ท างสมอง อาทิ โง ปั ญ ญาอ อ น บ า โดยปรากฏจํานวน ๓ คอมเมนตแ ไดแก เหมือนเด็กปัญญาออน อีบาเหมือนคนเป็นประสาท โงระวังนก เอี้ยงมาเกาะนะอีเหี้ยยย ดังตัวอยางตอไปนี้
ภาพที่ ๗ โงระวังนกเอี้ยงมาเกาะนะอีเหี้ยยย ที่มา : เพจจ฿อกจ฿อก (๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๒) จากคําวา “โงระวังนกเอี้ยงมาเกาะนะอีเหี้ยยย” จัดอยูในคําดาประเภทความผิดปกติทางสมอง คําวาโง ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๕๔ (๒๕๕๖,หนา ๗๑๓) หมายถึง ว. เขลา, ไม ฉ ลาด, ไม รู ซึ่ ง เหตุ ที่ ผู ศึ ก ษาไม ไ ด จั ด คํ า นี้ อ ยู ใ นคํ า ด า สั ต วแ เนื่ อ งจากเป็ น การเปรี ย บเปรย ซึ่ง มีความหมายซอนเรน ไมกลาวโดยตรง ในที่นี้คําวาระวัง นกเอี้ยงมาเกาะจะเป็ นความหมายนัย ๆ วาบุคคลผูนั้น โงเหมือนควาย ตามคํากลาวที่เคยไดยินวา นกเอี้ยงเอเยมาเลี้ยงควายเฒา ควายกินขาวนก วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๔๘
เอี้ยงหัวโต หัวโต ๆ กิโลหาบาท หัวขาด ๆ กิโลบาทเดียว คําดังกลาวมุงจี้ความหมายวาผูที่ถูกกลาวถึง กําลังจะเป็นควาย โดยจากการสังเกตจะพบวา คําเสียดสีของไทยมักมีคําที่เกี่ยวของกับควายอยูไมนอย ทั้ง ที่ใ นความเป็ นจริง ควายเป็ น สัต วแที่ ฉ ลาดมาก สอนใหทํ า อะไรก็ เรี ย นรู จ ดจํ า ได รวดเร็ ว โดยคํ า นี้ สื่อ ถึ ง การเกาะเกี่ยวเก็ บ ผลประโยชนแ บนการทํ างานของผูอื่น เปรียบเทีย บกับ ภาพที่ คนไทยชินตา คือ ไมวาควายจะเดินไปทางไหน ก็มักจะเห็น นกเอี้ยงเกาะอยูบนหลัง ควายอยูเสมอ ซึ่ง จะสื่อถึง คน เห็ น แก ตั ว รั ก ความสบาย ให ผู อื่ น ทํา งานให ตั ว เองรอรั บ แค ผ ลประโยชนแ แต ใ นอี ก ด า นจะสื่ อ ถึ ง ความผลประโยชนแที่ไดกันทั้งสองฝุาย เพราะวาการที่นกเอี้ยงเกาะอยูบนหลังควายนั้นก็ถือวาเป็นหุนสวน ที่ผลประโยชนแสมกันอยางลงตัว เพราะนกเอี้ยงจะคอยชวยจิกกินตัวแมลงเล็ก ๆ ที่คอยบินมาตอมตาม ลูกนัยนแตาของควาย อันเป็นสาเหตุที่ทําใหควายเป็นโรคตาแดงตาช้ํา ไมใหมารบกวนนัยนแตาของควายได อีกตอไป แถมการจิกกินแมลงที่เกาะตามผิวหนังของควายยังชวยใหควาย มีผิวหนังดําขลับสวยงาม และ เป็นการชวยเกาแกคันใหควายไปในตัวดวย ๘. คาด่าที่เกี่ยวกับเรื่องที่เกี่ยวกับเพศ/อวัยวะเพศ คําดาที่เกี่ยวกับเรื่องที่เกี่ยวกับเพศ/อวัยวะเพศ ในการศึกษาครั้ง นี้หมายถึง เป็นลักษณะ เกี่ยวกับกิจกรรมทางเพศหรื อการรวมเพศมาใชในการเปรียบเทียบ จากการศึกษาพบอุปลักษณแคําดา ที่ เ กี่ ย วกั บ เรื่ อ งที่ เ กี่ ย วกั บ เพศ/อวั ย วะเพศ อาทิ คํ า ที่ เ กี่ ย วกั บ กิ จ กรรมทางเพศหรื อ การร ว มเพศ โดยปรากฏจํานวน ๘ คอมเมนตแ ไดแก เยดแม, ควยเล็กกวานิ้วกอยกูอีกแลวทําโม , เงี่ยนเหรออีสัส ทําตัวเหมือนหมาเดือนสิบสอง, เหมือนสวยอะอีหอย, อีชางเย็ด, รานนนเหมือนอีหนึ่งในสองนรี, หมอยกู ยังยาวกวามึงอีกอีกะเทย, ถาคันมากก็ใชซีมาราดนะ ดังตัวอยางตอไปนี้
ภาพที่ ๘ เงี่ยนเหรออีสัส ทําตัวเหมือนหมาเดือนสิบสอง ที่มา : เพจจ฿อกจ฿อก (๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๒) จากคํ า ว า “เงี่ ย นเหรออี สั ส ทํ า ตั ว เหมื อ นหมาเดื อ นสิ บ สอง” จั ด อยู ใ นคํ า ด า ประเภท เรื่ อ งที่ เ กี่ ย วกั บ เพศและอวั ย วะเพศ คํ า ว า เงี่ ย น ตามพจนานุ ก รมฉบั บ ราชบั ณ ฑิ ต ยสถาน ๒๕๕๔ (๒๕๕๖,หนา ๒๙๔ ) หมายถึง ก. อยากจัด , กระหายจัด, มีความรูสึกอยากหรือกระหายเป็นกําลัง , (โดยมากใชเฉพาะของเสพติดและกามคุณ) จากคําในขางตนจึงตองการสื่อเพื่อดาคน ๆ นั้นวา อยาทําตัว เหมื อ นหมาเดื อ นสิ บ สอง เพราะในเดื อ นนี้ ห มาจะมี ค วามต อ งการเป็ น พิ เ ศษที่ ต อ งการผสมพั น ธุแ โดยธรรมชาติของหมาตัวเมียจะมีกลิ่นเฉพาะเดนชัด กลิ่นจะโชยไปตามลมในรัศมีเป็นกิโลเมตร เมื่อหมา ตัวผูไ ดกลิ่ น ก็จะคึกคะนองและมีความต องการทางเพศขึ้นมา ละทิ้ง ทุกอย างเดินทางตามหาตนตอ วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๔๙
ของกลิ่นซึ่งก็เหมือนคน ที่ถูกเปรียบเทียบวามักมากในกาม ไมมียางอาย ละทิ้งทุกอยางเพื่อใหไดตาม ความตองการในกามตัณหาของตนเอง เป็นการเปรียบในเชิงแดกดันวา รานในการประเวณีหรือรวมเพศ เชน ผูหญิง ออกไปเที่ยวหาผูชาย ทํา ราวกับหมาเดือนสิบสอง สํานวนนี้มาจากการสัง เกตธรรมชาติ ของหมาวา มักจะติดสั ตวแ ผสมพันธุแกันในเดือนสิบสอง ดัง นั้น จึง นํามาเปรียบกับผูที่ชอบไปมาหาสู กับเพศตรงขามอยางขาดไมไดวามีอาการเหมือนหมาเดือนสิบสอง ซึ่งใชวาไดทั้งหญิงและชาย ๙. คาด่าที่เกี่ยวกับโรค/อาการของโรค คําดาที่เกี่ยวกับโรค/อาการของโรค ในการศึกษาครั้ง นี้หมายถึง ลักษณะเกี่ยวกับโรคราย ชนิด ตาง ๆ ที่เกิดขึ้นกับผูคนในปัจจุบันมาใชในการเปรียบเทียบ จากการศึกษาพบอุปลักษณแคําดา ที่เกี่ยวกับโรค/อาการของโรค อาทิ เนื้องอก ฝีใกลแตก โรคเรื้อน โดยปรากฏจํานวน ๕ คอมเมนตแ ไดแก อะไรของมึงอีหา, อีขี้เรื้อน, อีมะเร็ง, เดินอยางกะคนเป็นเบาหวานเปียก, เป็นเอดปุะผอมขนาดนี้ ดังตัวอยางตอไปนี้
ภาพที่ ๙ อีมะเร็ง ที่มา : เพจจ฿อกจ฿อก (๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๒) จากคํ า ว า “อี ม ะเร็ ง ” จั ด อยู ใ นคํ า ด า ประเภทโรคและอาการของโรค คํ า ว า มะเร็ ง ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๕๖ (๒๕๕๖,หนา ๘๙๔) หมายถึง น. เนื้องอกชนิดราย เกิดขึ้นเพราะเซลลแแบงตัวอยางรวดเร็ว ควบคุมไมได แลวแทรกไปตามเนื้อเยื่อข างเคียง และสามารถ หลุดจากแหล งเริ่ม ตนไปแบงตัว เพิ่มจํ านวนที่ บริเวณอื่น ๆ ได รักษาไมคอ ยหาย ในที่นี้ คําวา มะเร็ ง หรือเนื้องอก เป็นเนื้อเยื่อที่เจริญเติบโตผิดปกติ อาจจะเป็นเนื้อราย หรือเป็นผลมาจากสาเหตุอื่นเชนเชื้อ โรค การกํ า จัด มะเร็ ง จึง ต องจั ดการด ว ยการผา ตั ด หรือ รั บ ประทานเพื่ อ ให เ นื้ องอกยุ บ ลงหรือ หยุ ด การเจริญเติบโต มะเร็งจึงกลายเป็นคําดาที่ใหความหมายอุปลักษณแถึงคนหรือหรือสิ่งที่ไมเป็นที่ตองการ หรือเป็นสวนเกิน เชน พวกผูชายที่ชอบเกาะผูหญิง ใหผูหญิงเลี้ยง ก็เหมือนกับเนื้องอกที่ไมมีประโยชนแ ดัง นั้ นคํา ๆ นี้จึ งใช ดา พวกคนที่ ทํา ตัวไมเป็ นประโยชนแ อะไร ไมรู จัก ทํามาหากิน อยู นิ่ง เฉยไปวั น ๆ ก็เหมือนกับเนื้องอกที่ตองตัดทิ้ง เพราะเกะกะและแถมยังไมมีประโยชนแ
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๕๐
๑๐. คาด่าที่เกี่ยวกับพืชพรรณ คําดาที่ เกี่ยวกับพืชพรรณ ในการศึกษาครั้ง นี้ หมายถึ ง เป็ นลักษณะเกี่ย วกับนํ าชื่อพื ช พรรณชนิด ตาง ๆ รวมไปถึงพืชผักและปุาไมมาใชในการเปรียบเทียบ จากการศึกษาพบอุปลักษณแคําดา ที่เกี่ยวกับพืชพรรณ อาทิ ดอกทอง ดอก ทุเรียน โดยปรากฏจํานวน ๓ คอมเมนตแ ไดแก อีดอกทองหนาหี, อีเห็ดสดกูยอมมึง, นิสัยบานนอกมากอีดอก ดังตัวอยางตอไปนี้
ภาพที่ ๑๐ อีเห็ดสดกูยอมมึง ที่มา : เพจจ฿อกจ฿อก (๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๖) จากคําวา “อีเห็ดสดกูยอมมึง ” จัดอยูในคําดาประเภทพืชพรรณ คําวาเห็ด ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๕๔ (๒๕๕๖,หนา ๑๔๑๗) หมายถึง น. สวนของเชื้อราหมวดหนึ่งที่ออก เป็นดอก แบงเป็น ๒ พวก พวกหนึ่งไมมีพิษ กินได เชน เห็ดโคน เห็ดฟาง อีกพวกหนึ่งมีพิษ บางชนิดกิน แลวถึงตาย เชน เห็ดระโงกหิน แตอีกบริบทหนึ่งคําวาเห็ดกลายมาเป็นอีเห็ดสด เป็นคําดาของกะเทย ที่ดากันเองซะสวนใหญ เพราะกะเทยก็ยังมีอวัยวะเพศชายอยู เมื่อใช คํานี้ดากะเทยก็จะเป็นคําที่เสียด แทงมาก เพราะวากะเทยไมอยากมี อวัยวะเพศอันนั้น เพราะใครจะอยากใหรัง ไขออกมานอกมดลูก หรือในอีกความหมายหนึ่ง อี เป็นคําหยาบใชเรียกผูหญิงชั้นต่ํา สวน เห็ด เป็นตระกูลพืชจําพวกเชื้อรา เกิ ด จากการหมั ก หมมของ ซาก พื ช ในที่ อั บ ชื้ น คื อ เกิ ด ขึ้ น ใหม ยั ง ไม เ หี่ ย วเฉา อี เ ห็ ด สด ความหมายคือ ผูหญิงสาวชั้นต่ําที่ชอบทําตัวหมักหมมอยูในที่อับ ๆ หรืออาจจะหมายถึง พวกชั้นต่ํา ไมมียศ เหมือนเห็ด ที่เจริญเติบโตในดิน จึงใชเป็นคําดา คําดูถูก โดยคนที่ไดฟังอาจจะรูสึกวาเป็นคําตลก แตหากทราบความหมายที่แทจริงแลวอาจไมพอใจได ๑๑. คาด่าที่เกี่ยวกับบุคคล คํ า ด า ที่ เ กี่ ย วกั บ บุ ค คล ในการศึ ก ษาครั้ ง นี้ ห มายถึ ง เป็ น ลั ก ษณะเกี่ ย วกั บ ตั ว ละคร ที่ ม าจากในวรรณคดี ห รื อ จากในละครมาใช เ พื่ อ เปรี ย บเที ย บ จากการศึ ก ษาพบอุ ป ลั ก ษณแ คํ า ด า ที่เกี่ยวกับบุคคล อาทิ แกวหนามา อีตัว โดยปรากฏจํานวน ๓ คอมเมนตแ ไดแก อีอุทัยเทวี, อีวันทอง, อีพันทุรัต ดังตัวอยางตอไปนี้
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๕๑
ภาพที่ ๑๑ อีอุทัยเทวี ที่มา : เพจจ฿อกจ฿อก (๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๒) จากคํา ว า “อี อุทั ย เทวี ” จั ด อยู ใ นคํ า ดา ประเภทบุ คคล ยั ง ไม ป รากฏความหมาย แต ในที่ นี้ คํ า ว า อุ ทั ย เทวี นั้ น มาจากนิ ท านพื้ น บ า น ซึ่ ง อุ ทั ย เทวี เ ป็ น คางคกที่ มี รู ป ร า งหน า เกลี ย ดหน ากลั ว ดังนั้น คําวา ที่ดา อีอุทัยเทวีในขางตน จึงใหความหมายอุปลักษณแวาหมายถึง คนที่มีรูปรางอวนทวม หรื อ อาจจะมี รู ป ร า งอั ป ลั ก ษณแ ใ นบางส ว น เพราะจะมี ลั ก ษณะคล า ยกั บ ตั ว ของคางคก คํ า ด า คํ า นี้ จึงมีความรุนแรง ในเรื่องของ การเหยียดรูปรางหนาตาของผูอื่น เพราะเป็นการนําคนไปเปรียบเทียบ กับคางคก ซึ่งคน ๆ นั้นอาจจะมีลักษณะรูปรางอวน ผิวคล้ําเป็นมันเมือกเชนเดียวกับคางคก ซึ่งคนทั่วไป มั ก มองดู ว า สกปรกไม ส ะอาด ดั ง นั้ น จึ ง แสดงให เ ห็ น ถึ ง ค า นิ ย มควา มคิ ด ของคนในสมั ย นี้ ว า หากใครที่ มี ลั ก ษณะรู ป ร า งหน า ตาที่ ไ ม ดี อ ว น ดํ า หรื อ อื่ น ๆ ก็ มั ก จะถู ก กล า วหาหรื อ ด า ทอ เพื่อไปเปรียบเทียบกับสิ่งนั้น ๆ ใหเขารูสึกอับอาย ๑๒. คาด่าที่เกี่ยวกับรูปลักษณ์ คําด าที่เ กี่ยวกับ รู ปลั กษณแ ในการศึก ษาครั้ง นี้หมายถึ ง ลักษณะทางร างกายภายนอก ที่เห็นได อยางชัดเจนและเป็นจุดเดนมาใชเพื่อเปรียบเทียบกับสิ่งตาง ๆ จากการศึกษาพบอุปลักษณแ คําดา ที่เกี่ยวกับรูปลักษณแอาทิ อวน ดํา เตี้ย โดยปรากฏจํานวน ๑๗ คอมเมนตแ ไดแก หุนเหมือนควาย ออกลู ก , หน า ยั ง กะปลาบู ช นเขื่ อ น, หน า หั ก ยั ง กับ หมาปั้ ก , ควนนอนหน ายั ง กั บ ซอมบี้ จ ะแดกคน, ผอมยังกับหมาแดกแฟูบอะอีนี่ , เหมือนแมหมูหลังคลอด, อีหนาปลวก, หุนยังกะฮิปโปตั้งทอง, โถอีดํา ควรพักงามขากูยังขาวกวาอีก, นั้นฟันเหรอนึกวาเล็บตีนหมา, แหวะหนาเหมือนปลวกอะขยะแขยงมาก, ดั้งหักมากแมเหมือนลาวแถวบาน, หนาเหมือนตัวเหี้ยแดกศพ, ขาสั้นเหมือนหมากระเปา, อีกะเทยหนา เหี้ย, สูงตายหาละอีเตี้ย, หนาบานมากแมเหมือนจานดาวเทียม ดังตัวอยางตอไปนี้
ภาพที่ ๑๒ หุนยังกะฮิปโปตั้งทอง
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๕๒
จากคําวา “หุนยังกะฮิปโปตั้งทอง” จัดอยูในคําดาประเภทรูปลักษณแ คําวา ฮิปโป ตามพจนานุกรม ฉบั บ ราชบั ณ ฑิ ต ยสถาน ๒๕๕๔ (๒๕๕๖,หน า ๑๔๔๕) หมายถึ ง น. ชื่ อ สั ต วแ เ ลี้ ย งลู ก ด ว ยนมชนิ ด Hippopotamus amphibius Linn. ในวงศแ Hippopotamidae หนังหนาสีนํ้าตาล มีขนนิ่มกระจาย หาง ๆ ริมฝีปากหนามีขนแข็งยาว ฟันหนาและเขี้ยวยาวมาก จมูก หู และตาอยูตอนบนของหัวเพื่อชวย ในการมองและหายใจขณะอยูในน้ําไดดี หางแบน หูและปลายหางดานขางมีขนแข็งยาว เหงื่อสีแดงเรื่อ ๆ หนักประมาณ ๒,๐๐๐ กิโลกรัม ใชชีวิตสวนใหญอยูในน้ํามากกวาบนบก ถิ่นกําเนิดอยูในทวีปแอฟริกา เนื่องจากลักษณะรูปรางของฮิปโปที่มีขนาดใหญอยูแลว เมื่อตอนกําลังตั้งทอง จึงทําใหขนาดตัวของมัน ทวีคูณความใหญขึ้นมาอีกหลายเทา ดวยเหตุนี้ผูคนจึงจับประเด็น เอาตอนที่ฮิปโปกําลังตั้งทองมาใช ดาคนในเชิงอุปลักษณแ โดยเปรียบวาคน ๆ นั้นมีรูปลักษณแที่ผิดปกติ ทําใหรูปร างใหญโต อวน และลงพุง ซึ่งมีลักษณะคลายกับฮิปโปตอนกําลังตั้งทองนั่นเอง ๑๓. คาด่าที่เกี่ยวกับอาวุธ คํ า ด า ที่ เ กี่ ย วกั บ อาวุ ธ ในการศึ ก ษาครั้ ง นี้ ห มายถึ ง ลั ก ษณะเกี่ ย วกั บ สิ่ ง ของที่ ใ ช ต อ สู หรื อ เพื่ อ ล า สั ต วแ ซึ่ ง ถู ก นํ า มาใช เ ปรี ย บเที ย บ จากการศึ ก ษาพบอุ ปลั ก ษณแ คํ า ด า ที่ เ กี่ ย วกั บ อาวุ ธ อาทิ หอกหอกหัก โดยปรากฏจํานวน ๑ คอมเมนตแ ไดแก ไอหอกหัก ดังตัวอยางตอไปนี้
ภาพที่ ๑๓ ไอหอกหัก ที่มา : เพจจ฿อกจ฿อก (๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๒) จากคําวา “ไอหอกหัก ” คําวาหอก จัดอยูในคําดาประเภทอาวุธ คําวาหอก ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๕๖ (๒๕๕๖, หนา ๑๓๒๐) หมายถึง น. อาวุธสําหรับแทงชนิดหนึ่ง ทําดวย โลหะ มีดามยาว แตในที่นี้คําวาหอกหัก เป็นคําที่แสดงความไมพอใจ มีนัยวาเป็นการแชง ให “หอก” ซึ่ง เป็น อาวุธ ที่ ใ ชใ นการต อสู หั ก แต เ มื่อ นํ า มาเปรีย บเที ย บใช ใ นคํา ด า คํ า วา หอกหั ก ในความหมาย อุปลักษณแ จึงกลายเป็นอาวุธประจํากายแสนรักของผูชาย นั่นก็คืออวัยวะเพศ ที่ถือวาเป็น สวนสําคัญ ในการใชชีวิตของผูชาย และเมื่อใชคําวา “หัก” มาตอทายจึงสื่อความหมายวา ผูชายคนนั้นไมสามารถ ทําใหผูหญิงมีความสุขได หรือดาใหแรงขึ้นก็คือพวกผูชายที่นกเขาไมขัน คํานี้ถูกนํามาเพื่อใชดาผูชาย ที่ไมมีน้ํายา
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๕๓
ไมรูจักพอ เพราะคานิยมในสังคมที่มีมาตั้ง แตสมัยอดีตวาผูชายจะตองเป็นใหญ จะตองมีลูกสืบสกุล จนมาถึงปัจจุบันทําใหผูชายหลายคนโดนลอตาง ๆ นานา เกี่ยวกับอวัยวะเพศของเขาทําใหเกิดความอับ อาย และถู ก ด า ว า ไม น้ํ า ยา ไม ส ามารถมี ลู ก ได คํ า ๆ นี้ จึ ง ถื อ เป็ น คํ า ด า ที่ แ รงสํ า หรั บ ผู ช าย เพราะนอกจากจะทําใหอายแลว ยังทําใหเสียความรูสึกอีกดวย สรุปและอภิปรายผล การศึกษา อุปลักษณแเชิงมโนทัศนแที่เป็นคําดาในเพจ “จ฿อกจ฿อก” สามารถสรุป และอภิปรายผล ดังตอไปนี้ จากการศึกษาพบวามีการใชอุปลักษณแเชิงมโนทัศนแของคําดาครบทั้ง ๑๓ ประเด็น ประเด็นที่พบ มากที่สุดไดแก คําดาที่เกี่ยวกับรูปลักษณแ พบจํา นวน ๑๗ คอมเมนตแ รองลงมาคือ คําดาที่เกี่ยวกับ อวัยวะในรางกาย พบจํานวน ๑๐ คอมเมนตแ คําดาที่เกี่ยวกับชาติพันธุแและชาติกําเนิด พบจํานวน ๙ คอมเมนตแ ส ว นคํ า ด า ที่ เ กี่ ย วกั บ ลั ก ษณะนิ สั ย และความประพฤติ แ ละคํ า ด า ที่ เ กี่ ย วกั บ เรื่ อ งเพศ และอวัยวะเพศ พบจํานวนเทากันคือ ๘ คอมเมนตแ คําดาที่เกี่ยวกับสัตวแ พบจํานวน ๖ คอมเมนตแ คําดา ที่ เ กี่ ย วกั บ สิ่ ง สกปรกและของเสี ย ที่ ไ ม เ ป็ น ที่ ต อ งการ และคํ า ด า ที่ เ กี่ ย วกั บ โรคและอาการของโรค พบจํ านวนเทา กัน คื อ ๕ คอมเมนตแ คํา ดา ที่เ กี่ย วกับ ความผิดปกติ ทางสอง คํา ดา บุค คล และคํ าด า ที่เกี่ยวกับพืชพรรณ พบจํานวนเทากันคือ ๓ คอมเมนตแ คําดาที่เกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนาและภูตผี พบจํานวน ๒ คอมเมนตแ และที่พบจํานวนนอยที่สุดคือ คําดาที่เกี่ยวกับอาวุธ พบจํานวน ๑ คอมเมนตแ เมื่อนําผลการศึกษาที่ได ไปเปรียบเทียบกับการศึกษาเรื่อง “อุปลักษณแเชิงมโนทัศนแของคําดา ในภาษาไทย” ของ อรทั ย ชิ น อั ค รพงศแ (๒๕๕๗) ที่ ผู วิ จั ย นํ า มาใช เ ป็ น กรอบในการวิ จั ย พบว า มีผลการศึก ษาสอดคล องกั น พบการใชคํา ดาที่เ กี่ยวกับอวั ยวะในรา งกายมากที่สุด จํานวน ๓๖ คํ า สว นในการศึ กษาครั้ ง นี้ พบคํ า ด า ที่ เ กี่ ย วกับ รู ป ลั ก ษณแ ม ากที่ สุ ด จํ า นวน ๑๗ คอมเมนตแ โดยคํ า ด า ที่เกี่ ยวกับ อวั ยวะในรา งกายนั้น พบจํา นวน ๑๐ คอมเมนตแ ทั้ง นี้อาจเนื่อ งมาจากเพจ “จ฿อ กจ฿ อก” นั้ น เป็ น เพจที่ ถู ก สร า งขึ้ น เพื่ อ นํ า ภาพและรู ป ร า งหน า ตาของผู ค นที่ อ ยู ใ นสั ง คมมากล า วล อ เลี ย น อยางสนุกสนาน ดังนั้นจึงทําใหพบการใชอุปลักษณแคําดาเกี่ยวกับรูปลักษณแมากที่สุด สวนอุปลักษณแคํา ดาเกี่ยวกับอวัยวะในรางกายแมจะเจอในการศึกษาครั้ง นี้เ พียง ๑๐ คอมเมนตแ แตก็จัดอยูในอันดั บ ที่ ๒ ซึ่งสอดคลองกับงานวิจัยของ อรทัย ชินอัครพงศแ (๒๕๕๗) กลาวคือ อุปลักษณแคําดาที่ใชอวัยวะ ในรางกาย เป็นคําดาที่เห็นไดชัดเจนและเป็นรูปธรรม จึงมักถูกนํามาใชเปรียบเทียบหรือดาทอรูปลักษณแ ของผูอื่น ในขณะที่คําดาเกี่ยวกับชาติพันธุแและชาติกําเนิดนั้น ในการศึกษาครั้งนี้พบจํานวน ๙ คอมเมนตแ อยูในอันดับที่ ๓ สวนงานวิจัยของ อรทัย ชินอัค รพงศแ (๒๕๕๗) จัดอยูในอันดับที่ ๔ ซึ่ง พบจํานวน มากกวาคือ ๒๓ คํา ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากคนไทยมีความผูกพันกับครอบครัวและพอแม ซึ่ง หลายคน มักแสดงออกมา คือ การที่ไมยอมใหใครมาดูถูกครอบครัวของตนเอง ดังนั้นการนําพอแมหรือชาติกําเนิด มากล า วเป็ น คํ า ด า จึ ง เป็ น การแสดงออกถึ ง การดู ถู ก อย า งรุ น แรง ส ว นคํ า ด า ที่ พ บน อ ยที่ สุ ด วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๕๔
คือ คําดาที่เกี่ยวกับอาวุธนั้น ในการศึกษาครั้งนี้พบจํานวน ๑ คอมเมนตแ ซึ่ง สอดคลองกับงานวิ จัย ของ อรทัย ชินอัครพงศแ (๒๕๕๗) ที่ปรากฏนอยสุดเชนกัน โดยพบเพียง ๒ คํา ทั้งนี้อาจจะเนื่องมาจาก เพจ “จ฿อกจ฿อก” เป็นเพจที่สรางขึ้นเพื่อนําภาพและรูปรางหนาตาของผูคนที่อยูในสัง คมมานําเสนอ ในด า นลบ การแสดงความคิ ด เห็ น โดยใช อุ ป ลั ก ษณแ คํ า ด า เกี่ ย วกั บ อาวุ ธ เป็ น คํ า ด า ที่ ไ ม เ ห็ น ภาพ และไมเป็นรูปธรรมอยางชัดเจน ดังนั้นจึงพบนอยที่สุด กลาวโดยสรุป จากผลการศึกษาและขอสังเกตที่ไดจากงานวิจัยที่เกี่ยวของ พบวา อุปลักษณแ คํ า ด า ที่ ป รากฏนั้ น จะมี ค วามแตกต า งกั น ออกไป โดยคํ า ด า บางคํ า สามารถจั ด ได ม ากกว า ๑ กลุ ม เช น คํ า ว า “โง ร ะวั ง นะนกเอี้ ย งจะมาเกาะ” ในที่ นี้ จ ะจั ด อยู ใ นคํ า ด า ที่ มี ค วามผิ ด ปกติ ท างสมอง ก็ คื อ จะไปเน น ตรงคํ า ว า โง ทั้ ง นี้ ผู อ า นก็ ยั ง สามารถแปลได อี ก ความหมายนั่ น ก็ คื อ ด า ว า ควาย โดยไมปรากฏเป็นคําตรง ๆ แตจะใหความหมายโดยนัย ใหผูรับสารเขาใจเองวากําลังถูกเปรี ยบเทียบ กับควาย ซึ่งในงานวิจัยของ อรทัย ชินอัครพงศแ (๒๕๕๗) ศึกษาเรื่อง “อุปลักษณแเชิงมโนทัศนแของคําดา ในภาษาไทย” นั้ น จะไมป รากฏความหมายโดยนั ยแบบนี้ แตมั ก จะกล า ว ตรงตั ว คื อ ด า ดว ยคํ า วา ควาย จากการอภิปรายขางตนจะเห็นไดวาการศึกษาเรื่อง อุปลักษณแคําดาเชิงมโนทัศนแที่เป็นคําดา ในเพจ “จ฿อกจ฿อก” ผลการศึกษาที่มีครบทุกประเด็นปรากฏแคงานวิจัยเรื่องเดียว คือ อุปลักษณแเชิง มโนทัศนแ ของคําดาในภาษาไทย ซึ่งมีความใกลเคียงกันมากที่สุด ถึงแม จะพบเพียง บางประเด็นเทานั้น ที่มีความแตกตางกันในการใชคําอุปลักษณแ เพราะเนื่องจากเพจจ฿อกจ฿อก เป็นเพจที่มีความแตกตาง จากการใชเว็บบอรแดและมีความแตกตางจากแหลงขอมูลอื่น ๆ เพราะจะเนนไปในดานการใชคําด า ฉะนั้นจึงทําใหแหลงขอมูลมีความผิดแผกกันออกไปบางบางประเด็น ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะสาหรับการนาไปใช้ประโยชน์ ๑. ผลการศึ ก ษาเรื่ อ ง อุ ป ลั ก ษณแ เ ชิ ง มโนทั ศ นแ ที่ เ ป็ น คํ า ด า ในเพจ “จ฿ อ กจ฿ อ ก” ในครั้ ง นี้ สามารถนําไปใชเป็นความรูเกี่ยวกับการใชอุปลักษณแในเพจอื่น ๆ หรือใชศึกษาคําอุปลักษณแในนิตยสาร หรือสื่ออื่น ๆ ๒. ผลการศึ ก ษาในครั้ ง นี้ สามารถนํ าไปใช เ พื่ อเป็ น ความรู ใ นการเรี ย น หรื อ ศึ ก ษาเพิ่ ม เติ ม เกี่ยวกับการใชอุปลักษณแเพื่อใหมีเนื้อหาที่แนนมากขึ้น ข้อเสนอแนะสาหรับการศึกษาต่อไป ๑. ควรมีการศึกษาอุปลักษณแเชิง มโนทัศนแที่เป็นคําดา จากแหลง อื่น ๆ เชน หนัง สือนวนิยาย จากบทเพลง ภาพยนตรแ ซิทคอม เป็นตน
๒ . ควรมี ก ารเปรี ย บเที ย บการใช อุ ป ลั ก ษณแ เ ชิ ง มโนทั ศ นแ ที่ เป็ น คํ า ด า ในเพจอื่ น
ๆ
กับ เพจ “จ฿อกจ฿อก” วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๕๕
เอกสารอ้างอิง อรทัย ชินอัครพงศแ. (๒๕๕๗). อุปลักษณแเชิงมโนทัศนแของคําดาในภาษาไทย. วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร. ๑๑(๒), ๕๗ – ๗๖. -----------------------------------บทความวิจัยเรื่องนี้ผานการคัดเลือกใหนําเสนอในงาน การประชุมวิชาการระดับปริญญาตรี ดานมนุษยศาสตรแและสังคมศาสตรแระดับแหงชาติครั้งที่ ๔ ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทรแ วิทยาเขต หาดใหญ
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๕๖
ชนะใจ / สามีสีทอง
ภัณฑิรา ศรีแสง แสงสส ส
กด Like วรรณกรรม
สง งงแแแแสง
สง
ชนะใจ
สุ ด แต ใ จจะไขว ค ว า เป็ น นวนิ ย ายที่ ป ระพั น ธแ โ ดย โบตั๋ น นามปากกาของ สุ ภ า สิ ริ สิ ง หแ นักเขียนนวนิยายที่มี ชื่อเสียงโดงดังในช วง พ.ศ. ๒๕๐๙ เริ่มมีชื่อเสี ยงจากนวนิยาย “จดหมายจาก เมื อ งไทย” ได รั บ รางวั ลวรรณกรรมดี เ ด น ประจํ า ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ จากองคแ ก าร ส.ป.อ. (องคแ ก าร สนธิสัญ ญาปูองกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต) โบตั๋นมีผลงานการประพันธแ ที่นาสนใจหลายเรื่อง อาทิ ผูหญิงคนนั้นชื่อบุญรอด ตะวันชิงพลบ ไผตองลม ทองเนื้อเกา เกิดแตตม ตราไวในดวงจิต นวลนาง ขางเขียง ดวยสองมือแมนี้ที่สรางโลก เป็นตน เรื่องสุดแตใจจะไขวาควา เป็นนวนิยายที่เคยไดรับรางวัล เมขลา และโทรทัศนแทองคํา นอกจากนี้ยังไดนํามาสรางเป็นละครโทรทัศนแทางไทยทีวีสีชอง ๓ ถึง ๔ ครั้ง ดวยกัน คือ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๒ ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ปี พ.ศ. ๒๕๕๑ และปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ออกอากาศทางชอง ๘ ละครโทรทัศนแเรื่องนี้เป็นละครไทยแนวสะทอนชีวิตสรางสรรคแสังคม นวนิยายเรื่องนี้สะทอนชีวิตของเด็กผูชายคนหนึ่งที่ชื่อวา พัด ชีวิตของพัดเหมือนถูกโดชชะตา กลั่น แกล ง เพราะเกิด มาเป็น ลูก ที่พอ เกลียดชัง ไม วา พัดจะทํ าอะไรก็ดูผิ ดไปหมดในสายตาของพ อ แตดวยความมานะบากบั่น และความขยันของพัดที่ตอสูชีวิตมาตลอด ในที่สุดก็เป็นที่ยอมรับของพอ นวนิ ย ายเรื่ อ งนี้ เ ป็ น วรรณกรรมที่ มี ค วามน า สนใจ เพราะมี อ งคแ ป ระกอบครบถ ว น ไมวาจะเป็นโครงเรื่อง ตัวละคร แกนเรื่อง บทสนทนา น้ําเสียงที่ผูประพันธแใ ชในการแตง รวมไปถึงฉาก ในการศึกษาวรรณกรรมเรื่องนี้ ผูศึกษาจะไดนําเสนอประเด็นดังที่ไดกลาวมาตามลําดับ ดังนี้
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๕๗
๑. โครงเรื่อง มีการลําดับเหตุการณแตั้งแตตนจนจบไดเป็นอยางดี ตัวละครในการดําเนินเรื่องมีทั้งหมด ๗ ตัว แตมีตัวละครเอกเพียง ๒ ตัว ซึ่งตัวละครเอกทั้ง ๒ ตัว คือ พัด และพอพล โดยเนื้อเรื่องมีการสะทอน ใหเห็นถึงปัญหาของพอลูกซึ่งมองชีวิตไมเหมือนกัน พอฝันใหลูกไดเป็นเจาคนนายคน แตทางเดินชีวิตที่ ลูกเลือกนั้นเป็นคนละเสนทางกับความฝันของผูเป็นพอ จึงเกิดเป็นความขัดแยงขึ้นภายในครอบครัว ๑.๑ การเปิดเรื่อง มีการเปิดเรื่องโดยการมุงประเด็นหลักไปที่ตัวละคร คือ พัด และพอพล โดยผูเขียนตองการ สื่อใหผูอานเขาใจถึงความขัดแยงระหวางพัด และพอพล ดังตัวอยาง “มันมัวทําอะไรของมันอยูนะ ไอนี่มันบาทําของเลน ไมเขาเรื่องเขาราว ทีหนังสือหนังหาไมคอยไดเรื่องเลย แคไดสอบ เกือบตกทุกที” พอถอนหายใจ (หนา ๓) ขอความขางตน สะทอนใหเห็นถึงอารมณแความรูสึกของพอที่ไมชอบพัด รูสึกขัดอกขัดใจไปเสีย ทุกเรื่อง เพราะพัดเรียนหนังสือไมเกง หลายครั้งที่พอมองขามความดีของพั ดไป พอไมพอใจอยางมากที่ พัดไมเรียนหนังสือตอ และออกมาทําอูซอมรถ เพราะพอมองวาเป็นอาชีพที่ต่ําตอย ไมมีอนาคต แตพัดก็ ยังทําตอไปโดยมีแมใหความชวยเหลือ และคอยสนับสนุน ๑.๒ การดาเนินเรื่อง ผูเขียนดําเนินเรื่องโดยมุงสูประเด็นสําคัญ ดวยการสรางโครงเรื่องใหเกิดความขัดแยงขึ้น ระหวางตัวละครเอกของเรื่อง นั่นก็คือ พัด และพอพล พัดเป็นคนที่เรียนไมเกง และดื้อกับพออยางมาก ทําใหพอเกลียดชัง ไมวาพั ดจะทําอะไรก็ดูผิดไปทุกอยางในสายตาของพอ ดัง ตัวอยางที่ไ ดกลาวมา ขางตน มีการดําเนินไปอยางเขมขนรุนแรงในชวงกลางเรื่อง ซึ่งเป็นความขัดแยงระหวางพัดกับพอ จนถึง จุดแตกหักที่พอไมยอมสงเสียใหพัดเรียนตอชางยนตแตามที่พัดตองการ ในขณะที่สงเสียลูกคนอื่นใหไ ด เรียนตามที่ตองการ ความขัดแยงที่เกิดขึ้นดําเนินมาเรื่อย ๆ จนถึงตอนทายของเรื่องที่พัดมีฐานะมั่นคง จากกิจการเปิดอูซอมรถจนประสบความสําเร็จ ทําใหพอยอมรับพัดมากขึ้น และเขาใจทุกอยางที่เกิดขึ้น เพราะพัดเป็นลูกที่ประสบความสําเร็จในหนาที่การงานมากกวาลูกคนอื่น ๆ ๑.๓ การปิดเรื่อง เป็นการปิดเรื่องแบบสุขนาฏกรรม คือ พอพลไดเห็นถึงความมานะ อดทน ความพยายาม ของพั ดที่ตอสูชีวิต และความดีที่พั ดไดกระทําตอพี่นองและพอแม เชน พอใหสิ่ง ที่ดีที่สุดกับพงษแแลว สุดแตใจเขาจะไขวควาสิ่งนั้นไวหรือไม ในขณะที่พอใหลูก ๆ คนอื่นนอยกวา แตลูก ๆ เหลานั้นกลับ วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๕๘
ไขวควาสิ่งที่ดีมาใสตัวไดมากกวา พัดจึงเป็นลูกที่ประสบความสําเร็จมากกวาลูกคนอื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่ เป็นลูก ซึ่งพอไมไดสนับสนุนหรือสงเสริมใหเรียนตั้งแตแรก แตดวยความขยันมานะบากบั่น และความอดทนของ พัดทําใหชนะใจพอไดในที่สุด ตอนทายของเรื่องนี้จึง จบลงอยางมีความสุข ทุกคนเขาใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะพอที่เขาใจลูกทุกคนมากขึ้น
๒. ตัวละคร นวนิยาย เรื่อง สุดแตใจจะไขวควาตัวละครมีลักษณะเดนที่แตกตางกันออกไปดวยอุปนิสัยและ บุคลิ กภาพ ลั กษณะของตั วละครแตละตัว ทั้ง นี้ตัว ละครที่มี บทบาทเดน ๆ และเป็ นตัว ดําเนินเรื่อ ง ที่สําคัญ ไดแก ๒.๑ พอพล เป็นพอที่รักพงษแมากวาลูกทุกคน เพราะพงษแเป็นคนเรียนหนังสือเก งจึงสนับสนุน ใหไดเรียน เพื่อชดเชยความผิดหวังของพอในอดีตที่ไ มไดรับราชการ พอพลมีอุปนิสัยที่ลําเอียง รักลูก ไมเทากัน และไมยุติธรรมกับลูก ๆ ดังตัวอยาง “อายุก็ไมนอยแลวนะไอพัด เอ็งดูพี่เอ็งสิ อีกหนอยจะไดเป็นเจาคนนายคน เป็น นายอําเภอ เป็นผูวา เป็นเจาเมือง แลวอยาเอ็งไมเรียนหนังสือ แลวจะเป็นอะไร” (หนา ๙) ๒.๒ แมบุญสง เป็นตัวละครที่มีอุปนิสัยเป็นคนดี รักลูกทุกคนเทากัน มีความยุติธรรม เป็นคนที่ มีเหตุผล คอยชวยขัดขวางพอในทุก ๆ เรื่องที่เห็นวาพอไมยุติธรรมกับลูก ๆ และยังเป็นแมศรีเรือนที่ดูแล ลูก ๆ และครอบครัวเป็นอยางดี เรื่องในครัวไมเคยขาดตกบกพรอง ดังตัวอยาง “เอา พรอมกันยัง มากินขาวไดแลว” แมมองทุกคนในครอบครัวเหมือนจะสํารวจ (หนา ๒๖) ๒.๓ พงษแ เป็นลูกชายคนโตของครอบครัว เป็นลูกที่พอรักที่สุด พงษแมีอุปนิสัยที่ชอบทําตัวอวด รวย ติดหรู ทําตัวเสเพลไปวัน ๆ ไมเอาการเอางาน เอาแตใจเพราะมีพอตามใจในทุก ๆ เรื่อง พงษแเป็น คนเรียนเกง มีผลการเรียนที่ดี แตเป็นคนที่ชอบดูถูกคนอื่น ๆ รวมไปถึงนอง ๆ ดังตัวอยาง “เอา มีแตคนถามฉันวาทําไมพี่เรียนดี แตนองแตละคนทําไมมันโงเงาขนาดนี้ แลวทําไมฉันไมชวยติวใหแกฉลาดกวานี้บาง” (หนา ๒)
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๕๙
๒.๔ พัด เป็นลูกชายคนที่สอง พัดมีอุปนิสัยดี มีความพยายาม มานะ บากบั่น ชอบชวยเหลือพี่ นอง พัดเป็นลูกที่พอเกลียดชัง เพราะเป็นคนเรียนไมเกง พอไมพอใจที่พัดไมเรียนตอ และมาทําอูซอมรถ เพราะมองวาเป็นอาชีพที่ต่ําตอย และไมมีอนาคต ทุกครั้งที่ทะเลาะกับพอพัดมักจะโมโห และพูดในสิ่งที่ ตัวเองไมทันไดคิดเสมอ ดังตัวอยาง “พ อครั บ พั ดไมไ ด คิด อยา งนั้ น จริ ง ๆ นะครั บ พ อ คิด ไปเองอ ะ พอ ก็ กลั ว อยู อย า งเดี ยวอ ะ กลัววาคนเขาจะนินทาบานเรา พอยังจะหวงอะไรอะครับ ก็ดูสิบานเรามันจนจริง ๆ” (หนา ๒๓) ๒.๕ พุดจีบ เป็นลูกสาวคนโตที่มีความตั้งใจที่จะเรียนพยาบาล แตตองสละสิทธิ์ เนื่องจากพอไม ยอมสงเสียใหเรียน ทําใหพุดจีบตองไปเรียนตัดเสื้อกับอาวรรณี นองสาวของพอ พุดจีบมีอุปนิสัยดี เป็น คนอดทน เสียสละ ชอบชวยเหลือพี่นอง พุดจีบเป็นคนรักครอบครัว ทุกครั้งที่ครอบครัวมีปัญหา พุดจีบ จะเป็นคนที่ชวยพูดไกลเกลี่ยอยูเสมอ ดังตัวอยาง “ขอโทษแทนพอกับพงษแดวยนะคะ เขาพูดไปเขาอาจจะไมไดมีเจตนาอะไรก็ไดนะคะ” พุดจีบพูดกับทูล (หนา ๑๗) ๒.๖ พิณรมยแ เป็นลูกสาวคนรองที่ไดเรียนพยาบาลสมใจจากเงินของพุดจีบ และพัด พิณรมยแ เป็นคนที่มีอุปนิสัยดี มองโลกในแงดี รักครอบครัว และเป็นคนคอยใหกําลัง ใจคนในครอบครัวเสมอ ดังตัวอยาง “พี่พัดเป็นคนดี มีน้ําใจ ขยันและก็อดทน แคนั้นก็พอแลว” พิณรมยแพูดกับพัด (หนา ๓๘) ๒.๗ พุ ฒิ เป็ นน องชายคนสุด ท อ ง เป็ นคนที่ มีอุป นิสั ยที่ ดี เชื่ อฟั ง พ อแม มาโดยตลอด พุฒิ มี พรสวรรคแทางศิลปะตองการเรียนชางศิลป แตพอก็ขัดขวาง เพราะไมอยากใหพุฒิเรียน ทุกครั้งที่พุฒิขอ ไปวาดรูปพอก็จะทําสีหนาไมพอใจตลอด เพราะพอมองวาเป็นอาชีพที่ต่ําตอย ดังตัวอยาง “พอครับ เดี๋ยวผมขอไปวาดรูปกอนนะครับ” พุฒิขอกับพอ “อืม” สีหนาพอไมคอยพอใจ (หนา ๘) วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๖๐
๒.๘ วันแรม เป็นลูกสาวคนโตของลุงกํานัน ผูเป็นเพื่อนบาน เป็นพี่สาวของวันสวาง มีอุปนิสัย ที่ชอบทําตัวเป็นคุณหนูไฮโซ ใสซื่อแตที่จริงเจาเลหแรายลึก ทะเยอทะยาน คบแตคนรวย หลอกใชพงษแ กับ พัด เป็น เครื่ อ งมื อ พู ดจาหวานออดอ อนเพื่อ ใหไ ด สิ่ง ที่ ตอ งการ ซึ่ ง พั ด และพงษแ ต างก็ ชอบ และ หมายปองวันแรม ดังตัวอยาง “พงษแไปนั่งรอกอนเถอะ เดี๋ยวมื้อนี้แรมเลี้ยงเอง” วันแรมพูดกับพงษแ “จริงนะ” พงษแยิ้ม “เลี้ยงใหคนที่เกงที่สุดของโรงเรียนไง” (หนา ๒) ๒.๙ วันสวาง เป็นคนที่มีอุปนิสัยหาว ๆ คลายผูชาย คลองแคลววองไว พูดจาโผงผางกลาพูด กลาลุย ทันคน แตลึก ๆ แลวเป็นคนออนโยน มีน้ําใจ ชอบชวยเหลือคนอื่น แอบรักพัดมาตลอดแตพัดไม รู เวลาพัดมีปัญหาอะไรก็จะคอยอยูขาง ๆ เสมือนเป็นกําลังใจใหเขา ถึงแมวาจะรูว าเขาไมไดชอบ แตก็ ทําใหเขาดวยความเต็มใจ ดังตัวอยาง “ไอเรื่องนั้นอะ พี่ไมตองเป็นหวงหรอก แลวไงอะเดี๋ยวฉันจะชวยพูดใหอีกคนนึง” สวางพูดกับพัดเรื่องพิณรมยแ “สวางขอบใจมากนะ” พัดยิ้มแลวพูดกับสวาง (หนา ๑๑๒) จากตัวอยางขางตน ทําใหเห็นวาผู เขียนมีการสมมติใหตัวละครมีบทบาทที่แตกตางกันออกไป โดยจะเห็นไดชัดเจนจากบุคลิกภาพของตัวละครแตละตัวที่มีอุปนิสัยที่ตางกัน แตอาจจะมีบางตัวที่มี ลักษณะที่ใกลเคียงกัน คือ พุดจีบ และพิณรมยแ ซึ่งลักษณะและอุปนิสัยของตัวละครที่กลาวมาขางตนนั้น มีอยูจริงในสังคมปัจจุบัน
๓. แก่นเรื่อง ผูเขียนตองการใหตัวละครสะทอนชีวิตใหกับสังคม โดยเฉพาะการเลี้ยงลูกในสังคมปัจจุบันนั้น ไมควรที่จะเลี้ยงลูกดวยการเอาแตใจพอแมมากนัก ควรเปิดอิสระใหลูกเลือกทางเดินที่เขาชอบ และพอ แมควรรักลูกใหเทา ๆ กัน มิเชนนั้นคนที่จะเสียใจมากที่สุดก็คือพอ และแม ดัง เชน พอพลที่รักพงษแ มากกวาลูกคนอื่น ๆ แตทายที่สุดแลวคนที่ทําใหเสียใจมากที่สุดนั้นก็คือ พงษแ เพราะพอตามใจพงษแ จนกลายเป็นคนที่เอาแตใจ และเห็นแกตัว กลับกันกับพัดลูกที่พอเกลียดชัง เรียนไมเกง แตดวยความ พยายามและความมานะ บากบั่น ความดีที่พัดไดกระทํา ทําใหในที่สุดพอก็เห็นในความดีของพัดจึงมอง พัดในสายตา ที่เป็นธรรมมากขึ้น วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๖๑
๔. บทสนทนา บทสนทนาในเรื่องสุดแตใจจะไขวควา ผูเขียนแสดงการโตตอบกันของตัวละคร เพื่ออธิบายถึง ลักษณะนิสัย รวมทั้งแนวคิด และพฤติกรรมของตัวละคร เพราะตัวละครจะแสดงความรูสึก และเปิดเผย ตัวตนที่แทจริงผานบทสนทนา ดังตัวอยาง “เอา พรอมกันยัง มากินขาวไดแลว” แมมองทุกคนในครอบครัวเหมือนจะสํารวจ “ลงมือเหอะ หิวแลว เดี๋ยวค่ํามากยุงก็ออกหรอก” พงษแบนนั่งขัดสมาธิ “ไอพัดไปไหน ไมมีใครรูเลยเรอะ” แมถามซ้ํา “พิณจะไปดูให” พิณตอบ พิณลุกขึ้นทันที “มันมัวทําอะไรของมันอยูนะ ไอนี่มันบาทําของเลน ไมเขาเรื่องเขาราว ทีหนังสือหนัง หาเรียนไมคอยไดเรื่องเลย แคสอบได เกือบตดทุกที” พอถอนหายใจ (หนา ๒๖ – ๒๗) จากตั ว อย า งเป็ น บทสนทนาครอบครั ว ของพ อ พลในขณะที่ จ ะรั บ ประทานอาหารนั้ น แม สังเกตเห็นวาในขณะนั้นพัดไมไดอยูจึงถามหาพัดและไดมีการใหนอง ๆ ไปตามพัดมารับประทานอาหาร ดวยความที่พอเกลียดชังพัดจึงบนขึ้นมา แตพัดดวยความรักนองสาวคนรองมากจึงไดนั่งทําตุ฿กตาจากดิน เหนียวใหนอง “ครูเขารับซอมเครื่องไฟฟูา ผมก็เลยไปชวยงาน ครูเลยแบงรายไดใหผมบางสวนครับพอ” “เจริญแหละทีนี้ หนังสือหนังหาไมตองเรียนกัน ไอครูเอ็งก็ฉลาดเหมือนกันนะ หลอกให เอ็งไปซอมเครื่องไฟฟูาให ไอพัดขาใหเองไปเรียนหนังสือนะ ไมไดไปฝึกเป็นลูกจางคน” พอพูดดวยน้ําเสียงที่โมโห “พอตองไปดูที่โรงเรียน วัน ๆ มันขลุกแตในหองชาง หนัง สือหนัง หามันไมเรียนหรอกพอ ” พงษแพูดขึ้นมาหลังจากพอพูดจบ “แยจริงพัด เอ็งไมเรียนหนังสือแบบนี้โตขึ้นจะไปเป็นอาชีพอะไร” พอพูด (หนา ๔๕) จากตัวอยางขางตนเป็นบทสนทนาครอบครัวของพอพลในขณะที่ทุกคนนั่งกันพรอมหนาพรอมตา พอจึงเอยถามเรื่องใบเกรดจากพัด แตพิณรมยแดันพูดเรื่องที่พัดไปชวยครูเรื่องซอมไฟฟูาขึ้นมา ทําใหพอ ไมพอใจ และกลาวหาวาพัดไมไปเรียนหนังสือ มัวแตไปชวยงานครู ทําใหพงษแลูกรักของพอพูดใสรายพัด อีกตาง ๆ นานา หาวาพัดไมยอมเรียนหนังสือเอาแตไปอยูในหองชาง จากบทสนทนาขางตนนี้ ผูเขียนไดเปิดเผยตัวจริงของทุกคนวาแทจริงแลวเป็นคนที่มีอุปนิสัย ที่แตกตางกันออกไปอยางไร วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๖๒
๕. น้าเสียงในการแต่ง น้ําเสียงของนวนิยาย เรื่อง สุดแตจะใจไขวควา ผูเขียนถายทอดความคิดเห็น เรื่องความเทา เทียมของพอ และแมที่มีใหแกลูก คนที่เป็นพอแมไ มควรรักลูกคนใดคนหนึ่ง มากไปกวาลูกคนอื่น ๆ ถึง แม ว าลู ก คนนั้ นจะมี ผลการเรี ยนที่ ดีก็ ตาม พ อ และแม ค วรรัก ลู กทุ ก คนเทา กั น ๆ ไมค วรลํ า เอี ย ง เพราะจะทําใหลูกคนอื่น ๆ นอยเนื้อต่ําใจ
๖. ฉาก ฉากในเรื่องสุดแตใจจะไขวควา ผูแตง ไดมีการบรรยายรายละเอีย ดในแตละฉาก โดยเฉพาะ การบรรยายอากัปกิริยาของพัด และนองสาวที่บรรยายแทบทุกอิริยาบถ การบรรยายรายละเอียดเชนนี้ ทําใหผูอานจินตนาการไดชัดเจนทั้งภาพ และเสียง ผูแตงไมเพียงบรรยายถึงสิ่งที่เราสามารถรับรูไดดวย การสัมผัส หรือการมองเห็น แตยังบรรยายกระทั่ ง ความรูสึกของพัดที่มีตอนองสาว ดัง ตัวอยางฉาก ตอไปนี้ พัดถอนหายใจโลงอก รับยามาใสกระเปาเสื้อไว บอกลานองสาวเดินมาขึ้นรถกระบะเกา ๆ ของตน ขับไปบานพี่สาว ฟูาเพิ่งสวางสลัว ๆ เห็นแสงเงินจาง ๆ ที่ขอบฟูา แตอาสะใภของเขาตื่นนอน แลว กําลังหุงขาวเตรียมตักบาตร นางชะโงกหนาออกมามองรถ คิ้วขมวดมุนแปลกใจที่มีคนมาหาแตเชา มืดอยางนี้ (หนา ๑๓๓) การบรรยายฉากอยางละเอียดหรือ บรรยายใหผูอานเห็นภาพ และจินตนาการตามไปดวยนั้น ความรูสึกเชนนี้ทําใหผูอานคลอยตามตัวละครไดงายขึ้น และทําใหผูอานมีความสนใจที่จะติดตามนวนิยาย เรื่องนี้ตอไป นวนิยายเรื่อง สุดแตใจจะไขวควา นี้ถือเป็นนวนิยายที่สะทอนใหเห็นถึงสุขนาฏกรรม ที่เกิดจาก ความมานะ บากบั่น ความพยายามที่จะสูเพื่อใหเห็นถึงผลลัพธแ เพราะหากคนเราทําดีก็จะไดสิ่งที่ดีตอบ แทน เสมือนกับพัดที่ลดทิฐิลง และตัดสินใจกลับมาหาพอทําใหพอขาใจ และมองเห็นถึงความดีของพัด ซึ่งสิ่งที่พัดตัดสินใจ และกระทําลงไปนั้นจึงทําให “ชนะใจ” คนเป็นพอ
เอกสารอ้างอิง โบตั๋น. (๒๕๒๙). สุดแต่ใจจะไขว่คว้า. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาสแน.
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๖๓
สามีสที อง อรนิช ประทุมสุวรรณ์
ปัญหาหลายอยางที่เกิดขึ้นในสังคม สวนหนึ่งเกิดจากสถาบันครอบครัวที่ไมแข็งแรง ดังจะเห็น ไดจากขาวสารตาง ๆ ทางหนาหนังสือพิมพแ หรือขาวทางโทรทัศนแ เชน ขาวสามีมีภรรยานอย หรือ ภรรยามีชู หรือขาวที่ลูกถูกพอทําราย เป็นตน ตัวอยางของขาวทํานองนี้มักจบลงดวยความรุนแรง แตวา ปัญ หาเชนนี้ไมไดถูกถายทอดเพียงแคขาวจากหนัง สือพิมพแ หรือทางโทรทัศนแเทานั้นยังถูกถายทอดสู ผลงานวรรณกรรมดวย เชน งานเขียนของกฤษณา อโศกสิน ที่โดดเดนในเรื่องของการสะทอนสถาบัน ครอบครัว เชน เมียหลวง น้ําเซาะทราย ภมร เป็นตน วรรณกรรมเรื่อง ภมร เป็นนวนิยายที่ไดรับรางวัลชมเชยจากคณะกรรมการการพัฒนาหนังสือ ในงานสัปดาหแหนังสือแหงชาติในปี พ.ศ. ๒๕๓๑ เป็นนวนิยายที่สะทอนภาพของสามครอบครัวที่มีพอ เป็นตัวจักรใหญ ทุกขแหรือสุขของผูหญิงหรือเด็กขึ้นอยูกับพฤติกรรมของผูชาย ผูไ ดชื่อวา “พอ” เมื่อพอ สรางปัญหาครอบครัวขึ้นคราใด ผูรับเคราะหแยอมมิใชใครอื่น นอกจากภรรยา และบุตรหญิงชายของเขา นั่นเอง ดังนั้นผูศึกษาจึงเลือกศึกษา นวนิยายเรื่อง ภมร โดยใชทฤษฎีโครงสราง ในประเด็นของแกนเรื่อง โครงเรื่อง การเปิดเรื่อง การดําเนินเรื่อง การปิดเรื่อง และบทสนทนา เทานั้น ซึ่งมีลักษณะดังนี้
แก่นเรื่อง นวนิยายเรื่อง ภมร ของกฤษณา อโศกศิลป ผูเขียนตองการจะสะทอนใหเห็นถึง ปัญ หาของ สถาบันครอบครัวในเรื่องของความรัก และเรื่องของการใหอิสรภาพแกกัน เมื่อผูที่เป็นพอหรือเป็นสามี เป็นตัวจักรใหญที่คอยสรางปัญหานําความทุกขแรอนใจมาใหคนในครอบครัวโดยไมเวนแตละวัน จนทําให ปัญหาที่เขาสรางสงผลกระทบไปยังจิตใจอันบอบบางของลูก และภรรยา อีกทั้งสงผลกระทบมายังการ อยูรวมกันของคนในครอบครัว เมื่อคนเป็นพอหรือเป็นสามีไดสรางบาดแผลที่เกินจะเยียวยา ความรัก ความนับถือที่เคยมีตอกันก็จะเริ่มเสื่อมลงจนทําใหครอบครัวอยูอยางไมสงบสุข
โครงเรื่อง โครงเรื่อง หมายถึง เหตุการณแตาง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในเรื่อง ซึ่งมีความสัมพันธแตอเนื่องเป็นเหตุ เป็นผลกัน ในนวนิยายเรื่อง ภมร ผูเขียนไดวางโครงเรื่องโดยมีการจัดลําดับเรื่องราว และเหตุการณแไดดี ซึ่งผูเขียนไดกลาวถึง การเปิดเรื่อง การดําเนินเรื่อง และการปิดเรื่อง ไวดังนี้ วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๖๔
๑. การเปิดเรื่อง มีการเปิดเรื่องโดยในฉากแรกเริ่มของเรื่องนั้นผูเขียนไดบรรยายใหเห็นถึงความสวยงามของ ฉาก ซึ่งเป็นฉากที่เป็นหองโถงแหงหนึ่งที่มีความกวางใหญ มีทางเดินเปิดโลง ปูดวยพื้นกระเบื้องเคลือบสี แผนโต ภายในหองโถงจะประกอบดวยเกาอี้หมู และโซฟาที่วางเป็นแนวยาวไปตลอดพื้นอยางเป็น ระเบียบ รวมไปถึงสระน้ําใหญในสโมสรที่กลาวกันวาเป็นสระน้ําที่ไดมาตรฐานที่สุดของประเทศวางเดน เป็นสงาอยูภายในหองโถงนั้น ดังขอความที่ปรากฏในเรื่องวา จากห อ งโถงยาวกว า ง ทางเดิน เปิ ด โล ง มี เ กา อี้ ห มู และโซฟาวางเป็ น แนวยาวไปตลอดพื้ น ซึ่ง ปู กระเบื้อ งเคลือ บสีเ นื้อแผน โตนั้ นแลเห็ นสระน้ํา ใหญ ของสโมสร ซึ่ ง กล าวกั นวา เป็ นสระน้ํา ที่ไ ด มาตรฐานที่สุดของประเทศวางเดนเป็นสงาอยูถัดไป (หนา ๑) จากขอความขางตนจะเห็นไดวา ผูเขียนเปิดเรื่องดวยการบรรยายฉากที่เป็นสโมสร ซึ่ง เป็น การเปิดเรื่องที่มีความนาตื่นตาตื่นใจ จนทําใหผูอานอยากรูวาสโมสรแหงนี้จะมีความสําคัญอยางไรภายในเรื่อง ๒. การดาเนินเรื่อง มี ก ารดํ า เนิ น เรื่ อ งด ว ยตั ว ละครหลั ก ทั้ ง หมด ๖ ตั ว คื อ ตั ว ละครที่ เ ป็ น สามี ภ รรยาจาก ๓ ครอบครัวโดยการดําเนินเรื่องจะนําเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัว ๓ ครอบครัวที่เป็นเพื่อนสนิทกัน แตแตกตางกันทั้งนิสัยใจคอ ความสัมพันธแในครอบครัว และชีวิตการครองเรื อน เสนทางชีวิต และ โชคชะตาของทั้ง ๓ ครอบครัวจึงแตกตางกัน ดังขอความที่ปรากฏในเรื่องวา ครอบครัวแรกสามีมีเมียนอย ดังตัวอยางตอไปนี้ นีรา : มวงเมื่อเชาคุณผูชายจะเอาอะไรหรือ ไดยินเสียงแวว ๆ ลืมถามไป มว ง : อเ อ คุณ ผู ชายเอากลอ งจานชามในห องเก็ บ ของไปกล องนึ ง ค ะ แล ว ก็ก ลอ ง ถว ยแก ว กลองนึง นีราพยักพเยิดกับตนเอง ริอานขโมยของลําเลียงไปบานเมียนอยแลวหรือนี่หลอนนึกออกชัดเจน ถึง ทายรถที่ปิดกุญแจทําใหหญิงสาวคอตกนอยใจยลยิ่ง นัก ขนาดที่น้ําตาแลนขึ้นขังเต็มขอบพลางปิด ประตูหองเดิมไวดังเดิม เดินผานหนาคนครัวขึ้นตึกเงียบ ๆ เดินใจลอยขึ้นหองนอนหดหูเจ็บปวด ความ เจ็บนั้นซานลงไปตามขุมขนลึกลงไปในเนื้อในตัวทั่วสรรพางคแ หลอนนั่งลงเงียบ ๆ ตรงขอบเตียงไมไดตั้ง คําถามอีกตอไปวา เพราะอะไรเขาจึงมีเมียนอยหากถามใหมวา เพราะอะไรเขาจึงทําสิ่งที่เป็นศัตรูตอ หลอนถึงเพียงนี้ (หนา ๑๘๗)
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๖๕
จากขอความขางตนจะเห็นไดวา ยลสามีของนีรามีภรรยาอีกคนหนึ่งที่เลาขานกันวา มีเมียนอย จนกอใหเกิดปัญหาที่ตามมาของครอบครัวนี้ก็คือ ทําใหความสัมพันธแในครอบครัวราวฉาน มีการทะเลาะ เบาะแวง จนแทบจะไมเหลือความรักความอบอุนภายในครอบครัวเลย ครอบครัวที่สองสามีเป็นคนเจาชู ดังตัวอยางตอไปนี้ ทองพัน : ฉันจะหยาแลวนะคุณเภา ชักทนไมไ หวกับความเจาชูของอีตาหลวงแลว ลูกสองคน ฉันเลี้ยงได ไมเอาแลวพอดีพอรายเราเองจะตองตายเพราะความหึง หัวใจวายตายเพราะหึงสุดขีด ยังไมทันจบคําลิเภาก็ไดยินเสียงฝุายนั้นรองไห (หนา ๒๑) จากขอความขางตนจะเห็นไดวา คําหลวงสามีของทองพัน เป็นคนเจาชู จนกอใหเกิดปัญ หา ที่ตามมาของครอบครัวนี้ก็คือ ทําใหภรรยาตองทนทุกขแรอนใจกับการกระทําของผูเป็นสามี จนทําให ครอบครัวอยูกันอยางหวาดระแวงไมมีความสงบสุข ครอบครัวที่สามสามีไมใหอิสระกับการทํางานหรือประกอบอาชีพของภรรยา เขาจะกําหนดให ภรรยาทํางานบาน และคอยปรนนิบัติเขาเยี่ยงทาส ดังตัวอยางตอไปนี้ ลิเภาหลอนจะตองปฏิบัติกับยลอยางทาสแท ๆ เจียดไมยอมกระดิกตัวทําอะไรเลย ตั้งแตศีรษะ จรดเทาเชียวแหละ มีหลอนเป็นคนจัดสรร เสื้อ กางเกง หากมีการผูกไท หลอนก็ตองชวยผูก ผูกไมดีก็ถูก เอ็ดเสียงเขียว ถุงเทาตองชวยใส รองเทาหรือ ก็ตองสอดชอนรองเทาใหเสร็จ โชคดีอยูนิดตรงที่ชอน รองเทาของเจียดนั้นเป็นของดี คําหลวงไปนอกหนหนึ่งจึงซื้อมาฝาก อยางชนิดที่มีดามยาวเหมือนคันรม เลยไมตองกมเนื้อกมตัวใหลําบากยากเย็นเป็นที่ทุกขเวทนา (หนา ๓๕) จากขอความขางตนจะเห็นไดวา เจียดสามีของลิเภาเขาไมใหอิสรภาพในการประกอบอาชีพของ ภรรยา เขากําหนดใหเธอทํางานบานอีกทั้งตองปรนนิบัติเขาเยี่ยงทาส จนกอใหเกิดปัญหาที่ตามมาของ ครอบครัวนี้ก็คือ ทําใหภรรยารูสึกเอือมระอาตอการปฏิบัติหนาที่ของตัวเอง จนทําใหสภาพครอบครัวอยู รวมกันอยางไมมีความสุข เพราะผูเป็นสามีคอยบังคับใหเธออยูในขอบเขตที่เขากําหนด
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๖๖
๓. การปิดเรื่อง ตอนสุดท ายของนวนิ ยายเรื่ อง ภมร ใชการปิ ดเรื่ องโดยการทิ้ง ปั ญ หาเอาไว ให ผูอา นหา คําตอบเอง ซึ่ง เป็น การจบที่ไม สมบูรณแ แบบ โดยไมไ ด บอกในตอนจบวาเรื่องราวจะดําเนิน อยา งไร ดังขอความที่ปรากฏในเรื่องวา ผูชายเป็นแมลงผูแมลงผึ้งซึ่งมีสิทธิ์ดูดดื่มน้ําหวานจากดอกไมโทรมเหลือแตซาก เขาหยุดฟัง ดอกไมบางไหม เขาเสียดายและเสียใจไหม ที่ทิ้งความรูสึกสิ้นเยื่อใยไวกับดอกไมไดถึงเพียงนี้ (หนา ๘๑๙) จากขอความขางตนจะเห็นไดวา การปิดเรื่องมีลักษณะทิ้งปริศนา ทําใหผูอานตองใชความคิด หรือจินตนาการตอ ไปวาเรื่อ งหลังจากนี้จะเป็ นอยางไร เป็นการทําใหผู อานเกิดความรูสึก คางคาใจ เนื่องจากผูเขียนไดทิ้ง ปมบางอยางไวใหผูอานไดคิดเอง หรืออาจจะมีภาคตอ ผูเขียนจึงใชวิธีการตัดจบ เพื่อใหเรื่องภาคจบอยางมีปมแลวยังคงติดตามตอวาบทสรุปจริง ๆ แลวของเรื่องนี้จะเป็นอยางไร
บทสนทนา บทสนทนาภายในเรื่องสามารถบงบอกพฤติกรรม หรือความรูสึกนึกคิดของตัวละครได อีกทั้ ง สามารถบอกบุคลิก หรือเจตนาที่ซอนไวไดอีกดวย ซึ่งเป็นจุดที่โดดเดน และมีความนาสนใจ ทําใหผูอาน เกิดจินตนาการ และเขาถึงบทสนทนาของตัวละครไดดียิ่งขึ้น ซึ่งบทสนทนานี้จะเป็นบทสนทนาที่โตตอบ กันระหวางนีรากับยลดังตัวอยางเหตุการณแตอไปนี้ นีรา : ยลคะ ตื่นแลวเหรอ ไมมีคําตอบ แตสักครู นีราก็ไดยินเสียงปิดทายรถดังปัง พักใหญ ๆ เขาก็ ก า วเข ามาในห อ งแพนทรี ซึ่ ง หล อ นกํา ลั ง ทํ า เครื่ องดื่ ม อยู นั้ น ทํ าไมตื่ น เช า คะ พยายามไม ใ ห บรรยากาศของวันใหมสูญเสียไป เมื่อคืนกลับตั้งตีสามแหนะ ยล : เอ฿ะ จะตื่นเชาตื่นสายก็ทําไมจะตองเป็นกฎเกณฑแดวยละ เขาถามพลางชะโงกดูสิ่งของใน หมอ แลวกลับออกไป นีราไมตอบเพราะไมอยากหาเรื่องหรือทําเรื่องเล็ก ๆ นอย ๆ ใหกลายเป็นเรื่องใหญ (หนา ๑๖๑) จากขอความขางตน จะเห็นไดวาเป็นการสนทนาระหวางยลกับนีรา ซึ่งจากบทสนทนาสะทอน ใหเห็นถึงอารมณแของผูพูด จะเห็นไดวานีรากับยลมีลักษณะนิสัยที่แตกตางกันอยางสิ้นเชิง นีรามีลักษณะ นิสัยเป็นคนที่ใจเย็น พูดจาไพเราะ แมในขณะที่โกรธหรือไมพอใจก็สามารถที่จะควบคุมอารมณแของ ตัวเองได แตทางกลับกันยลมีลักษณะนิสัยเป็นคนที่ใจรอน พูดจาโดยไมคิดถึงจิตใจของผูฟัง จึงทําใหเห็น วาทั้งสองคนเติบโตมาในแบบที่ตางกัน วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๖๗
ภมร เป็นนวนิยายที่สะทอนถึงสถาบันครอบครัว ที่มีผูชาย ผูที่เป็นพอ หรือสามีเป็นตนเหตุของ เรื่องราวทั้งหมด เมื่อพอหรือสามีสรางปัญ หาขึ้นคราใดคนที่ตองทุกขแรอนใจ และรับผลกระทบจาก การกระทําของเขาก็มิใชใครอื่นนอกจากลูก และภรรยา ที่ตองคอยรับรูปัญหาที่พอสรางขึ้น โดยผูสราง ไมคิดจะแกปมหรือแกไขปัญหาที่สรางไวจึงทําใหครอบครัวอยูอยางไมสงบสุข นวนิยายเรื่องนี้มีเนื้อหา และการดําเนินเรื่องเป็นไปตามลําดับ ไมซับซอน และยังมีแงคิดคําสอนตาง ๆ ที่สอดแทรกอยูภายใน เรื่อง มีเนื้อเรื่องที่นาอาน และนาติดตามอยางตอเนื่อง ซึ่งผูเขียนสามารถถายทอดผลผลงานออกมาไดดี ทําใหผูอานเขาถึงแกนเรื่องที่แทจริง
เอกสารอ้างอิง กฤษณา อโศกสิน. (๒๕๓๔). ภมร. กรุงเทพฯ : เฉลิมชัยการพิมพแ.
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๖๘
เพลินเพลงในดวงใจ
ปฏิวัติ ทองบุญยัง
มุมคาร้องมองอย่างนักวิจารณ์ วิจารณ์ เพลินเพลงในดวงใจ
บทเพลงเป็นสื่อประเภทบันเทิงคดีที่ชวยสรางความสุข ความเพลิดเพลินใหแกผูฟัง ผูฟังแตละคน อาจเลือกฟังเพลงที่แตกตางกัน เชน เพลงรัก เพลงสนุกสนาน เพลงเศรา เป็นตน ดังเชนเรื่องราวของ การเลือกฟังเพลง และบทเพลงที่จะนําเสนอตอไปนี้
เพลง : ซอนกลิ่น ศิลปิน : อีฟ ปานเจริญ (ปาลแมมี่)
หากพูดถึงคําวา ซอนกลิ่น หลายอาจจะนึกถึงการซอนของกลิ่นอะไรบางอยางเพื่อไมใหผูอื่น ได รับ รูถึ ง กลิ่ นนั้ น เชน กลิ่ นตั ว กลิ่น ปาก เป็ นต น แตซ อนกลิ่น ในที่ นี้ คือ ชื่ อดอกไม นั่น ก็ คือ ดอก ซอนกลิ่น มีลักษณะเป็นกอเล็ก ๆ มีหัวใต ดิน ใบสีเขียวนวลหนาและเรีย วยาว รู ปแถบปลายแหลม มีดอกสีขาว กลิ่นหอม กลิ่น ของดอกซอนกลิ่นเป็นกลิ่นที่หอมแรงและหอมยาวนาน
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๖๙
ในวรรณคดีเรื่องขุนชาง ขุนแผน บรรยายถึงกลิ่นหอมของดอกซอนกลิ่นไวอยางไพเราะยิ่ง ดังนี้ ซอนชูชูชออรชร เหมือนเราซอนเป็นชูคูแฉลม ซอนกลิ่นสงกลิ่นประทิ่นแกม เหมือนกลิ่นแกมโฉมยงเมื่อสงตัว เพลงซ่อนกลิ่นเนื้อร้องความว่า ลมออนพัดโชยมา คลุงไปกับความเหงา ยังหอมรัญจวนชวนใหฝัน ใตเงาของแสงจันทรแ ตรงสุดลึกดวงใจ ที่ไมเคยเลือนลา ทิ้งไวเพียงอดีต เจาดอกไมซอนกลิ่น ทุกคราวตองหวั่นไหว เพื่อคงกลิ่นหอมไวอยางนัน้ ยังหอมดังวันเกา ที่ไมเคยหวนมา ซอนเธอไวในใจ ซอนเธอไวในใจ
น้ําตาก็ไหลริน รักยังไมจางไป เคยแอบแนบเคียงกาย เยายวนไมเลือนหาย ถนอมเธออยูในนั้น ยังหอมดังวันเกา ที่ไมเคยหวนมา หอมบาดลึกเกินใคร รอยเก็บเจามาลัย คงไวไดแคกลิ่น ยามเมื่อลมโชยมา ซอนเธอไวในใจ ทิ้งไวเพียงอดีต
เหลือเพียงกลิ่นหัวใจ ตรึงติดชิดดวงใจ อิงแอบมิรูคลาย ซอนเก็บไวขางใน คงไวไดแคกลิ่น ยามเมื่อลมโชยมา ซอนเธอไวในใจ หอมเกินหักหามใจ ทัดเธอไวในใจ ที่ไมเคยเลือนลา ทิ้งไวเพียงอดีต เคยแอบแนบเคียงกาย ที่ไมเคยหวนมา
๑. ลักษณะทั่วไป ๑.๑ ความเป็นมาของเพลง บทเพลงนี้ อี ฟ ปานเจริ ญ แต ง ขึ้ น เพื่ อ ให ค นที่ กํ า ลั ง มี ค วามรั ก ครั้ ง ใหม ฟั ง บทเพลงนี้ แ ล ว อาจยอนนึกถึงความทรงจําที่หอมหวนของความรักครั้งเกาได บทเพลงนี้มีชื่อวา ซอนกลิ่น ที่มาของชื่อ เพลงนี้ก็คือ สมัยกอนผูห ญิงจะพกดอกซอนกลิ่นไว ในผาเช็ดหนา เหมือนเป็นน้ํา หอมจากธรรมชาติ อีฟ ปานเจริญ ก็คิดวาทําไมตองใชชื่อวาซอนกลิ่นทั้ง ๆ ที่กลิ่นแรงมาก อีฟ ปานเจริญก็นึกถึงความรูสึก ที่พยายามจะซอนไวแตมันซอนไวไมมิด ความรัก ความทรงจํายังคงหอมหวนและตราตรึงอยูในใจของ คน ๆ หนึ่งอยู แมเวลาจะลวงเลยไปขนาดไหนความรูสึกนั้นมันไมเคยจะเลือนหายไป
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๗๐
๑.๒ ความหมายของเนื้อเพลง เนื้อเพลงนี้อุปมาโวหารถึงดอกซอนกลิ่นที่มีกลิ่นหอมรัญจวนซอนอยูในใจ หอมจนติดตราตรึง ดวงใจ เปรียบกับความรักความหลังครั้งหวานชื่นในอดีตที่ไดแตเก็บไวลึกสุดดวงใจไมลบเลือนไปจาก ความทรงจํา ไมอาจรื้ อฟื้นความสุขนั้นใหหวนกลับมาและยิ่งนึกถึงทีไรก็ตองอดใจไมใหหวั่นไหว ไดแต ขมใจตัวเองใหเก็บเรื่องราวนั้นไวในใจ เจาดอกไมซอนกลิ่น หอมเกินหักหามใจ รอยเก็บเจามาลัย เพื่อคงกลิ่นหอมไวอยางนั้น
หอมบาดลึกเกินใคร ทุกคราวตองหวั่นไหว ทัดเธอไวในใจ
๒. คาร้อง บทเพลง ซ อนกลิ่น เป็ นคํา ประพัน ธแประเภทร าย ที่มีท วงทํานองไพเราะ เพราะมีก ารสั มผั ส ระหวางบท อีกทั้งยังมีสัมผัสใน เชน วรรคที่ ๕ คําวา ไม – ไป วรรคที่ ๖ คําวา ติด – ชิด วรรคที่ ๗ คํา วา จวน – ชวน วรรคที่ ๘ คําวา แอบ – แนบ วรรคที่ ๑๑ คําวา เยา – ยวน เป็นตน
๓. การใช้ภาษา เพลงซอนกลิ่น มีการใชภาษาเพื่อสื่ออารมณแของเพลง สื่อความรูสึกที่ทําใหนึกถึงเรื่องราวดี ๆ กับคนอันเป็นที่รัก ที่ผานเขามาในชีวิตแลวเดินจากไปแตยังความรูสึกดี ๆ ที่มีใหกันอยู ดังเนื้อรองวา คงไวไดแคกลิ่นที่ไมเคยเลือนลา ยังหอมดังวันเกา ยามเมื่อลมโชยมา ทิ้งไวเพียงอดีต ทีไ่ มเคยหวนมา ซอนเธอไวในใจ จากเนื้อรองขางตน คือ คนอันเป็นที่รักจากเมื่อกอนที่รักกันอยางหวานชื่นแตตอนนี้ไดเดินจากกัน ไปแตยังคงความทรงจําที่ไมอาจจะลบเลือนไดยังคงนึกถึงแตวันเกา ๆ ยามที่ลมพัดมาก็นึกถึงแตอดีตไมมี วันกลับคืนมาไดแตเก็บเธอไวในใจ
๔. ภาพสะท้อน ภาพสะทอนในบทเพลงนี้มีความนาสนใจที่ทําใหผูฟังเพลงเห็นถึงความโศกเศราของคน ๆ หนึ่ง ที่ยังคงคิดถึงคนอันเป็นที่รักของเขาอยู ถึงแมจะไมไดอยูดวยกันแตความทรงจําทุกอย างก็ยังคงตราตรึง อยูในใจไมอาจลบเลือนไปได และคนอันเป็นที่รักคนนั้นยัง ไมไ ปไหนยัง คงอยูในใจของเขาเสมอ
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๗๑
จากการวิเคราะหแเพลงซอนกลิ่นขางตน จะเห็นไดถึง ความงามของการใชภาษา และความหมายของ บทเพลงที่กินใจ ทําใหเกิดสุนทรียภาพที่สามารถทําใหผูฟัง เกิดอารมณแรูสึกเศราใจ อีกทั้ง การนําชื่อ ดอกไมมาตั้งเป็นชื่อเพลง และยังอุปมาดอกซอนกลิ่นดั่งคนรักเกาที่จากไปคงไวไดแคกลิ่นที่ไมเคยเลือนลา จึงไมนาแปลกเพลินเพลงในดวงใจของผมคือเพลงซอนกลิ่น จากการวิ เ คราะหแ เ พลงซ อ นกลิ่ น ข า งต น จะเห็ น ได ถึ ง ความงาม ความโดดเด น ของภาษา และความหมายที่กินใจ กอใหเกิดสุนทรียภาพที่ทําใหผูฟังเกิดจินตนาการคลอยไปกับเนื้อเพลง แสดงให เห็นถึงความสามารถของผูประพันธแ จึงไมนาแปลกใจที่บทเพลงนี้ยังคงเป็นที่ประทับใจของใครหลายคน
เอกสารอ้างอิง เพลงซอนกลิ่น https://meemodel.com. เขาถึงเมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๖๓.
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๗๒
คาศัพท์จอมยุ่ง / ภาษาไทยน่ารู้
ไขภาษากับไทยศิลปศาสตร์
นาราภัทร ชูเชิดรับ
คาศัพท์จอมยุ่ง
การเขีย นคํา ในภาษาไทยใหถูก ตอ งตรงตามแบบแผนนั้น นับ เป็น สิ่ง ที่ตอ งใหค วามสํา คัญ อยา งยิ่ง การเขียนคําในภาษาไทยไดถูกตองถือเป็นการแสดงถึงความเขาใจ และใหความสําคัญอยาง ลึกซึ้งกับภาษาซึ่งเป็นมรดกล้ําคาของไทยอีกทั้ง ภาษาไทยเป็นภาษาที่ง ดงามซับ ซอ น มีตัว พยัญ ชนะ ถึง ๔๔ ตัว มีคําพองรูป พองเสียงมากมาย จึงทําใหเกิดความสับสนในการสะกดคําบางคํา นานวันเข า จึงมีคําที่มักเขียนผิดมากมาย ในปัจจุบันไมนาเชื่อวา เดี๋ยวนี้ “ภาษาไทย” ของคนไทยที่มีภาษาเป็นของตัวเองไมแข็ง แรง เอาเสียเลย โดยเฉพาะเด็กรุนใหมที่มักจะเขียนภาษาไทยกันอยางผิด ๆ แมแตบางคําที่ไมนาจะเขียนผิด แตเพราะความเคยชิน จึงทําใหเขียนภาษาไทยผิด ซึ่ ง บางครั้ง เราอาจจะไมไ ดตั้ง ใจเขียนผิด แตเป็น เพราะพบเจอหรือ เห็นปูายประกาศตามสถานที่ตาง ๆ จนคุนตา ทําใหเราเขาใจวา คําดัง กลาวเขียน ถูกตอง นําไปสูการจดจําที่ผิดโดยไมรูตัวนั่นเอง ผูเขียนจึงไดหยิบยกตัวตัวอยางคําที่มักเขียนผิดโดยอาศัย การสังเกตจากรานคาหรือปูายประกาศตาง ๆ ทั้งในมหาวิทยาลัยเเละรอบ ๆ มหาวิทยาลัยมาเป็นตัวอยาง ดังตอไปนี้
เครื่องสําอางคแ เครื่องสําอาง✔
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๗๓
ราชภัฎ ราชภัฏ ✔
นะคะ นะคะ✔
ผัดไท ผัดไทย ✔
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๗๔
ยอมเยาวแ ยอมเยา✔
เทศการ เทศกาล ✔
สาธารนะ สาธารณะ ✔
ในการเขียนรายงานหรือบทความตาง ๆ เราควรคํานึง ถึง การใชคําศัพทแเ ป็นสําคัญ รวมถึง การเขียนสะกดคําใหถูกตองตามหลักเกณฑแ เพราะคําบางคําเมื่อเขียนผิดอาจจะทําใหความหมายเปลี่ยนไปได เชนกัน ดังนั้นควรตรวจสอบคําเขียนใหถูกตองทุกครั้ง
อ้างอิง ราชบัณฑิตยสถาน. (๒๕๕๖). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๖. กรุงเทพฯ : นามมีบุ฿คสแพับบลิเคชั่น. วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๗๕
ภาษาไทยน่ารู้ ฉัตฑริกา กิจผดุง
การปกครองในประเทศไทยแบ ง การปกครองโดยแบ ง ออกเป็ น ๔ ยุ ค สมั ย ด ว ยกั น ได แ ก สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา สมัยกรุงธนบุรี และสมัยรัตนโกสินทรแ โดยสมัยสุโขทัยมีแนวคิดการปกครอง แบบพอปกครองลูก สมัยอยุธยามีแนวคิดการปกครองแบบเทวราชา คือ ผูปกครองแผนดินเปรียบเสมือน เทวดา จนต อ มาในสมัย รั ต นโกสิ นทรแ ปี พ.ศ.๒๔๗๕ ได มี ก ารเปลี่ ย นแปลงจากการปกครองแบบ สมบูรณาญาสิทธิราชเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริยแทรงเป็นประมุข ประเทศไทยปกครองโดยมีพระมหากษัตริยแทรงเป็นประมุขมีภาษาที่เป็นเอกลักษณแเป็นภาษา ประจํ า ชาติ ไ ทย โดยพ อ ขุ น รามคํ า แหงมหาราชได ท รงประดิ ษ ฐแ อั ก ษรไทยขึ้ น เมื่ อ ปี พ.ศ.๑๘๒๖ โดยดัดแปลงภาษามาจากภาษาบาลี -สันสกฤต ภาษาขอม และภาษามอญ และมีวิวัฒนาการมาจนถึง ปัจจุบัน ทั้งนี้กอใหเกิดระดับของภาษาที่มีแบบแผน การใชภาษาที่เหมาะสมเรียกวา คําราชาศัพทแ ซึ่ง เป็นคําที่ใชในพระมหากษัตริยแ พระบรมวงศานุวงศแ พระภิกษุ สงฆแ ตลอดจนขาราชการชั้นผูใหญ ดังตัวอยางตอไปนี้ คาราชาศัพท์สาหรับพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ คาศัพท์ ตาย
พระมหากษัตริย์ สวรรคต
พระบรมวงศานุวงศ์ สิ้นพระชนมแ
สั่ง
มีพระบรมราชโองการเหนือเกลา
มีพระราชบัญชาสั่ง
เกิด ลงชื่อ โอวาท
ทรงพระราชสมภพ พระปรมาภิไธย พระบรมราโชวาท
ประสูติ ลงพระนามาภิไธย พระราโชวาท
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๗๖
คาราชาศัพท์ทั่วไป คาศัพท์ หนา นิ้วมือ แกม เงา คอ หลัง
คาราชาศัพท์ พระพักตรแ พระองคุลี พระปราง พระฉายา พระศอ,พระกัณฐา พระปฤษฎางคแ คาราชาศัพท์สาหรับพระภิกษุสงฆ์
คาศัพท์ คําพูดแทนตัวเอง คนทั่วไป ให มอบให อาหารเชา กิน ไหว หมจีวร ผาหม ผาพาดบา ผานุง อาบน้ํา โกนผม นอน เงิน
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
พระภิกษุสงฆ์ อาตมา โยม ถวาย จังหัน ฉัน นมัสการ ครองจีวร ผาจีวร สังฆาฏิ สบง สรงน้ํา ปลงผม จําวัตร ปัจจัย
หน้า ๗๗
คาราชาศัพท์สาหรับหมวดคาสุภาพ คาศัพท์ ผักบุง ผักกระเฉด ผักตบ ตนสลิด ดอกนมแมว ดอกยี่หุบ ถั่วงอก แตงโม ไสเดือน กลวยบวชชี
คาสุภาพ ผักทอดยอด ผักรูนอน ผักสามหาว ตนขจร ดอกถันวิฬารแ ดอกมณฑาขาว ถั่วเพาะ ผลอุลิด รากดิน นารีจําศีล
ดังนั้น คําราชาศัพทแถือเป็นคําที่เป็นเอกลักษณแอยางหนึ่งในภาษาไทย ที่บงบอกถึงระดับบุคคล ซึ่งมีการใชกันมาอยางยาวนาน หลายยุค หลายสมัย ควรแกการสืบทอดตอไป
อ้างอิง คาราชาศัพท์. (๒๕๖๓). www.wikitionary.org. เขาถึงเมือ่ วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๖๓. เรียนภาษาไทยน่ารู้กับครูปิยะฤกษ์. (๒๕๖๒). www.krupiyarerk.wordpress.com. เขาถึงเมื่อ วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๖๓.
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๗๘
พาเที่ยว พาชม ของดีตามคาขวัญจังหวัดภูเก็ต / ชม เริน ย่า / อาโป๊งแม่สุณี ของดีเมืองภูเก็ต / ตามรอยได้แบบไม่เอ๊าต์ “๑๐ คาเฟ่ภูเก็ต” บรรยากาศน่านั่ง ถ่ายรูปปังทุกองศา
ชวนชิมชวนเที่ยว วานิสา คาวิจิตร
พาเที่ยว พาชม ของดีตามคาขวัญจังหวัดภูเก็ต
“ภู เก็ต” เป็ นจั งหวั ดหนึ่ งในภาคใต ของประเทศไทย มี ลั กษณะเป็ นเกาะติ ดกับจั งหวั ดพั ง งา โดยเสนทางที่ใชในการเดินทางเขาออกจะมีเพียงเสนทางเดียว คือ ขามสะพานทาวเทพกระษัตรี ซึ่งเป็น สะพานคู ขนานกั บสะพานสารสิ น ขามชองปากพระระหว างจั งหวั ดพั งงา กั บจั งหวั ดภู เก็ ต เพื่อเข าสู ตัวจังหวัดภูเก็ต
จังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดหัวเมืองการทองเที่ยวของภาคใตที่นักทองเที่ยวใหความสนใจ และ อยากแวะเวียนเขามาเยี่ยมเยือน เพราะมีสถานที่ทองเที่ยวอั นสวยงาม อาหารการกินที่หลากหลาย อีกทั้งยัง เต็มไปดวยประวัติศาสตรแ วัฒนธรรมประเพณีอันงดงามที่บงบอกถึงความเป็น เอกลักษณแของ เมืองเกาที่นาประทับใจ สิ่งเหลานั้นลวนเป็นของดีจังหวัดภูเก็ต และปรากฏในคําขวัญประจําจังหวัดวา “ไข่มุกอันดามัน สวรรค์เมืองใต้ หาดทรายสีทอง สองวีรสตรี บารมีหลวงพ่อแช่ม” จากความนาสนใจที่กลาวในขางตน บทความฉบับนี้จึง ไดรวบรวมสิ่ง ตาง ๆ ตามคําขวัญ ของ จังหวัดภูเก็ต เพื่อพิสูจนแวาของดีที่มีในคําขวัญจังหวัดนั้นมีอยูจริง ? คําขวัญของจังหวัดภูเก็ตวรรคแรก คือ “ไข่มุกอันดามัน” ซึ่งอาจจะไดมาจากการขนานนาม ของนักทองเที่ยวที่เขามาเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต และอาจจะไดมาเพราะวาจังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดที่ขึ้นชื่อ วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๗๙
เรื่องไขมุก โดยที่สวนมากเมื่อใครมาจังหวัดภูเก็ตก็มักจะหาซื้อมุก หรือสรอยมุกกลับไปเป็นของฝาก เพราะจังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดที่มีทะเลลอมรอบ ดังนั้นจึงไมแปลกที่ จัง หวัดภูเก็ตจะมี สมบัติอันล้ําคา ทางทะเลอยางไขมุกอยูมากจนเป็นที่ขึ้นชื่อของจังหวัด
คําขวัญของจังหวัดภูเก็ตวรรคที่ ๒ คือ “สวรรค์เมืองใต้” ซึ่งแนนอนวาจังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัด ในพื้นที่ภาคใตฝั่งทะเลอันดามัน อันมีความงดงามของทรัพยากรธรรมชาติ และเป็นพื้นที่ที่มีการผสมผสาน เสนหแของวัฒนธรรมตาง ๆ มากมาย ทั้งดานสถาปัตยกรรม วิถีชีวิต และอาหารหลากหลายประเภท
คําขวัญของจังหวัดภูเก็ตวรรคที่ ๓ คือ “หาดทรายสีทอง” เมื่อจังหวัดภูเก็ตรายลอมไปดวย ทะเล ดัง นั้นจึงมีสถานที่ทองเที่ยวประเภทหาดทรายอยูหลายแหง โดยหาดทรายแตละแหง ก็ลวนมี ความสวยงามแตกตางกัน เชน หาดปุาตอง หาดไมขาว หาดกะรน หาดทรายแกว เป็นตน หาดทราย เหลานี้เมื่อตองกับแสงอาทิตยแทั้งในยามเชาและยาวเย็นก็จะมองเห็นเป็นหาดทรายสีทองสวยสดงดงาม คําขวัญของจังหวัดภูเก็ตวรรคที่ ๔ คือ “สองวีรสตรี” ในวรรคนี้ เป็นการกลาวถึงประวัติศาสตรแ ของจังหวัดภูเก็ตที่มี ๒ วีรสตรี คือ ทาวเทพกระษัตรี และทาวศรีสุนทร หรือยาจัน และยามุก ที่ชวย ปกปูองบานเมืองในคราวศึกสงคราม ๙ ทัพ จนสามารถเอาชนะกองทัพของพมาที่ตองการเขายึดเมืองได ซึ่งจังหวัดภูเก็ตไดจัดสรางอนุสาวรียแ “ทาวเทพกระษัตรี ทาวศรีสุนทร” ตั้งอยูกลางวงเวียนสี่แยกทาเรือ เพื่อแสดงออกถึงความยกยองและศรัทธา รวมถึงเปิดโอกาสใหผูคนที่มาเยือนไดกราบไหว “ยาจันยามุก” ดวย
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๘๐
สวนคําขวัญของจังหวัดภูเก็ตวรรคสุดทายนั้นก็คือ “บารมีหลวงพ่อแช่ม” ซึ่งหลวงพอแชมนั้น เป็นที่เคารพบูชาของคนจังหวัดภูเก็ตมาชานาน ตั้งแตเมื่อครั้งในปีพุทธศักราช ๒๔๑๙ สมัยราชการที่ ๕ ชาวอั้งยี่ในจังหวัดภูเก็ตไดกอเหตุวุนวายหวังเขายึดปกครองจังหวัดเป็นของตนเองชาวอั้งยี่กอเหตุวุนวาย หนั ก ขึ้น เรื่ อย ๆ โดยเฉพาะในตํา บลฉลอง จนทางราชการในสมัย นั้ น ไม อ าจปราบปรามให สงบได จนชาวบานตําบลฉลองหลบหนี เขาปุา เขาวัด ทิ้งบานเรือนปลอยใหชาวอั้งยี่เผา จนเกิดเป็นชื่อเรียกวา “หมู่บ้านไฟไหม้ ” ในสวนของชาวบ านที่หลบหนีเขาวัดไดนําขาวไปบอกกลาวแกหลวงพอแชมเพื่อ นิมนตแหลวงพอแชมหลบหนีไปดวยกัน แตกลับไดคําปฏิเสธจากหลวงพอแชม โดยที่ ทานนั้นใหเหตุผลวา ทานอยูที่วัดนี้ตั้งแตเป็นเด็กจนกระทั่งบวชเป็นพระ และไดเป็นเจาวัดแลวจะใหทานนั้นหนีทิ้งวัดไปได อยางไร ในเมื่อทานไมหนีชาวบานก็ไมหนี ชาวบานไดมีขวัญ กําลัง ใจกลับมาอีกครั้งจากคําพูดและผา ประเจียดจากหลวงพอแชมไวเพื่อปูองกันตัว เมื่อชาวอั้งยี่บุกทัพเขามาถึงในวัดก็เจอกับชาวบานที่พรอมสู เพื่อปกปูองพี่นองและบานเมืองของตน จนชาวอั้ง ยี่พายใหแกชาวบานโดยที่ชาวบานไมมีใครบาดเจ็บ จากการสู รบเลยซึ่ง ชาวบานต างเชื่อวา เป็นเพราะผาประเจียดของหลวงพอแช มที่ทําใหแ คลวคลาด ปลอดภัยจากชาวอั้งยี่ จนทานนั้นเป็นที่เคารพบูชาและเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของชาวบานในยุคนั้น จนมาถึงยุคปัจจุบันนี้ที่เคารพทานอยางเลื่อมใสจากใจแท
ดังนั้น สิ่งที่ปรากฏในคําขวัญของจังหวัดภูเก็ตนั้นลวนแตเป็นสิ่งที่ปรากฏใหอยางชัดเจน และมี ความเป็นมาที่นาสนใจ โดยมีทั้ง สิ่ง ที่ม นุษ ยแส รา งและสิ่ง ที่ธ รรมชาติส รา ง ซึ่ง ทั้ง หมดลว นแสดงถึง ความเชื่อ การเคารพสักการะ และความภาคภูมิใจที่ลูกหลานชาวภูเก็ตมีตอจังหวัดของตนเอง อีกทั้ง ยังคงรักษาไวใหคงอยูสืบตอกันมา จังหวัดภูเก็ตจึงถือเป็นจัง หวัดหนึ่ง ที่เปรียบเสมือนเกาะสวรรคแ ที่มี ความอุดมสมบูรณแครบครันที่ควรคาตอการเยี่ยมเยือน วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๘๑
ชม เริน ย่า ฉัตฑริกา กิจผดุง
การทาสงครามระหว่างไทยกับพม่า มีมาอยางชานานหลายยุคหลายสมัย ตั้งแตกรุงศรีอยุธยา จนถึงกรุงรัตนโกสินทรแ ในสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟูาจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ไดเกิดสงครามเกาทัพ ระหวางไทยกับพมา กอใหเกิดวีรสตรีชื่อดังแหงเมืองถลาง คือ ทาวเทพกระษัตรีและทาวศรีสุนทร หรือ ที่รูจักในนามยาจันยามุก สองพี่นองผูกลาหาญและเสียสละตอแผนดิน
ทางเทศบาลตาบลเทพกระษัตรี จึงมีความประสงคแที่จะสรางบานจําลองทาวเทพกระษัตรี ทาวศรีสุนทร หรือยาจันยามุก เพื่อประจักษแถึงคุณงามความดีของยาจันยามุกที่ครั้งหนึ่งเคยปกปูองเมือง ถลางจากขาศึกที่มารุกราน อีกทั้งยังเป็นแหลงเรียนรูเชิงประวัติศาสตรแและวัฒนธรรม ซึ่งมีนายบุญสง เชื้อนาคา และ ด.ต.ลาภ เชื้อนาคา ไดอุทิศที่ดินในการสรางบานจําลองแหงนี้ ตอมามีการพบในภายหลังวา แตเดิมที่ตรงนี้เป็นจวน (บาน) ของจอมรั้งบานเคียน ผูรั้งเมืองถลางในสมัยสมเด็จพระเจาอยูหัวบรมโกศ ซึ่งกอนหนานี้เดิมบานจําลองทาวเทพกระษัตรี-ทาวศรีสุนทร เป็นแคศาลขนาดเล็ก ทางเทศบาลตําบลเทพ กระษัตรีจึงไดสรางบานจําลองทาวเทพกระษัตรี - ทาวศรีสุนทรหลังปัจจุบัน โดยตั้งอยูที่ ม.๑ ต.เทพกระษัตรี อ.ถลาง จ.ภูเก็ต
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๘๒
ลักษณะการสรางบานจําลองมีลักษณะเป็นบานไมเรือนไทยในภาคใต โดยเป็นบานไมชั้นเดียว มีใตถุนบาน ขางในมีประติมากรรมทาวเทพกระษัตรี -ทาวศรีสุนทร ซึ่ง เป็นรูปหลอในอากัปกิริยาทานั่ง มีสิ่งของเครื่องใชตาง ๆ ที่สะทอนใหเห็นถึงอดีตและวิถีชีวิตในยุคสมัยนั้น โดยสามารถดึงดูดใหใครหลายคน รูสึกเสมือนวาไดยอนไปในอดีตและอาศัยอยูในบานหลังนี้ดวย
บรรยากาศภายในบ้ า นเย็ น สงบ เนื่ อ งจากมี อ ากาศถ า ยเทได ส ะดวก ทํ า ให มี ล มพั ด อยู ตลอดเวลา แมวาอากาศภายนอกจะรอน แตเมื่อเขาในตัวบานแลวจะรูสึกเย็นสบาย
เวลาการเขาชม เปิดทุกวัน เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๗.๐๐ น.
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๘๓
อาโป๊งแม่สณ ุ ี ของดีเมืองภูเก็ต ไซนูญ โต๊ะมิ๊
อาโป๊งเป็นขนมโบราณของชาวภูเก็ต ที่ไดรับอิทธิพลจากประเทศมาเลเซีย แถบปีนัง อาโปฺงเป็น ขนมที่ขึ้นชื่อ และคุนเคยกันของชาวภูเก็ต ผูคนไดรูจักขนมโบราณภูเก็ต เพราะปัจจุบันมีรานคาตาง ๆ ไดเปิดกิจการขายขนมอาโปฺงเป็นจํานวนมาก แตถาพูดถึงรานอาโปฺงเจาเด็ด ตองไมพลาดรานอาโปฺงแมสุณี
บรรยากาศหน้าร้านอาโป๊ง แม่สุณี วันนี้ดิฉันไดมีโอกาสพูดคุยกับพี่เปิ้ล และพี่ปุย เจาของกิจการขายขนมอาโปฺง ทั้ง สองเลาถึง แรงบันดาลใจในการเปิดกิจการรานขนมโบราณแหง นี้วา “เมื่อกอนขนมอาโปฺ ง ไมคอยมีคนพูดถึง ” เหตุผลนี้เป็นจุดประกายหลักที่ทําใหทั้งสองเริ่มคิดเปิดกิจการขายขนมอาโปฺง เพราะตองการใหผูคนได รูจักขนมโบราณของชาวภูเก็ตมากขึ้น ซึ่งแรกเริ่มกิจการยังขายไมคอยได บางวันแปูงเหลือก็ตองเททิ้ง เพราะทั้งสองทานเนนขนมที่ตองมีความสดใหมทุกวัน แตเมื่อผานไปสักระยะ กิจการก็เริ่มดีขึ้น ขนมขายได มากขึ้น มีผูคนใหความสนใจจนกลายเป็นลูกคาประจํา และขายดีเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โดยพี่ปุยบอกวา “บางครั้งก็มีลูกคามาตอคิวยาว รอถึง ๒ ชั่วโมง”
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๘๔
นอกจากนี้พี่ปุย ไดเผยอีกวา สูตรขนมอาโปฺงที่นํามาขายนั้นเป็นสูตรเด็ดจากคุณแมของพี่ปุยเอง ชื่อ “แมสุณี” ซึ่งเป็นสูตรลับที่มีมากกวา ๕๐ ปี โดยแรกเริ่มแมสุณีไดรับจางทอดขนมจนไดสูตรขนมอาโปฺง จากนั้นก็นํามาปรับเป็นสูตรของตนเอง แลวถายทอดสูรุนลูก ซึ่งพี่ปุยเป็นผูรับถายทอดสูตรขนมดังกลาว และนํามาทําขายในปัจจุบันโดยไมมีการปรุงแตง ไมใสผงฟู ใชวิธีการทําแบบโบราณตามสูตรดั้งเดิมแท สําหรับสวนประกอบหลักที่สําคัญที่ใชในการทําขนมอาโปฺง คือ แปูงขาวเจา และน้ํากะทิเขมขน ซึ่งรานอาโปฺงแมสุณีจะทําสดใหมทุกวัน เพื่อตองการใหขนมมีคุณภาพ ลูกคาทานแลวรู สึกประทับใจ โดยขนมจะยางบนกระทะที่กอไฟดวยเตาถาน พอแปูงสุกก็นําขนมมามวนลักษณะคลายขนมทองมวน รสชาติของขนมมีความหอมหวาน เนื้อสัมผัสแปูงมีความกรอบนอกนุมใน และไดกลิ่นกะทิเขมขน
อาโป๊งขนมพื้นเมืองโบราณของชาวภูเก็ต ปัจจุบันผูคนรูจักกันอยางแพรหลาย และเป็นขนม พื้นเมืองที่มีเอกลักษณแอยางโดดเดน รานอาโปฺง แมสุณีอีกเจาที่โดงดัง และเปิดขายมานานกวา ๑๙ ปี ตั้งอยูยานเมืองเกา ในซอยสุนอุทิศ ซึ่งรานเปิดขายตั้งแต ๙ โมงเชา และปิดบาย ๒ หรือถามีคิวยาวหนอย ก็ปิด ๔ โมงเย็น เรียกวาหากใครแวะเมืองภูเก็ตตองลองหาโอกาสมาลองชิมขนมอาโปฺงแมสุณี รานอาโปฺง เจาเด็ดคูใจชาวภูเก็ตมาอยางยาวนาน
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๘๕
ตามรอยได้แบบไม่เอ๊าต์ “๑๐ คาเฟ่ภูเก็ต” บรรยากาศน่านั่ง ถ่ายรูปปังทุกองศา ประสุตา ส่งเสริม
เมื่อพูดถึงภูเก็ต สิ่งที่ทุกคนนึกถึงคงจะเป็นทะเลแนนอน แตภูเก็ตนั้นไมไดมีดีแคทะเล เราจะพา ทุกคนไปเปลี่ยนบรรยากาศ นั่งจิบกาแฟชิล ๆ และทานขนม ชวยเพิ่มความผ อนคลาย สบายทั้งกายใจ ไปกับบรรยากาศแสนสงบสุข และรมรื่น หรือจะหยิบกลองตัวโปรดมาขึ้นมาถายเซลฟี่ ตามสไตลแของ แตละคน หากใครกําลังเบื่อ ๆ อยากหาแรงบรรดาลใจในการทํางาน หรือ Restart พลังชีวิตตัวเอง รับรองวาไปนั่งแลวจะตองปิ๊งไอเดียดี ๆ แนนอน ตามรอยไดแบบไมเอ฿ าตแ “๑๐ คาเฟุภูเก็ต” บรรยากาศนานั่ง ถายรูปปัง ทุกองศา แตละราน ที่รวบรวมมาอาจจะทําใหวันพิเศษของเพื่อน ๆ หรือคนที่สนใจ ฟินยิ่งขึ้นได แตจะมีรานไหนโดนใจกันบาง ตามไปปักหมุดกันไดเลย ๑. Cafe Kantary (คาเฟา แคนทารี) รานนั่งชิล บรรยากาศดี รมรื่นเต็มไปดวยตนไมมองออกไป เห็นวิวทะเล และพระอาทิตยแตกในตอนเย็น แถมที่นั่งก็เยอะมีหลายโซน ถายรูปมุมไหนก็สวยแนนอน พิกัด : ตั้งอยูที่ ๓๑/๑๑ ม.๘ ถ.ศักดิเดช (ทางไปอาวมะขาม กอนถึงพิพิธภัณฑแสัตวแน้ํา) อ.เมือง จ.ภูเก็ต เปิดบริการทุกวัน ๐๘.๐๐ – ๒๓.๐๐ น.
๒. Refresh. tropicalcafe เป็นรานที่บรรยากาศการตกแตงที่เต็มไปดวยตนไม ดอกไม และสระน้ํา เล็ก ๆ ใหเราไดถายรูปเกเ ๆ มีทั้งน้ําผลไมปั่น กาแฟ และอีกมากมาย ที่รับรองดื่มแลวเฟรชกลับไปแนนอน พิกัด : ตั้งอยูที่ ๒/๒๓ limelight avenue phuket ตลาดใหญ อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต เปิดบริการทุกวัน ๑๐.๐๐ – ๑๙.๓๐ น.
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๘๖
๓. SEA CALM Cafe&Bistro คาเฟุเล็ก ๆ นารัก ๆ เหมาะสําหรับแวะมานั่งพักผอนชิล ๆ ดานนอก ตกแตงเป็นสวนนอย ๆ สไตลแอังกฤษมีตนไมใหความรมรื่น สามารถถายรูปไดยาว ๆ เลย พิกัด : ตั้งอยูที่ทางหลวงชนบทภูเก็ ต ๔๐๒๗ (รานอยูซอยในยาง ๑๖ เขาซอยมา ๔๐๐ เมตร อยูทางซายมือ ใกลสนามบินภูเก็ต) ต.ไมขาว อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เปิดบริการทุกวัน ๐๙.๐๐ – ๒๑.๐๐ น.
๔. Simply ‘ism คาเฟุภูเก็ตบรรยากาศดี รานอยูทามกลางตนไมใหญที่รูสึกใกลชิดธรรมชาติ ตัวรานตกแตงเนนโทนขาว ใหความรูสึกอบอุนผอนคลาย และไมวาจะถายรูปมุมไหนของรานก็ออกมาปัง แนนอน พิกัด : ตั้งอยูที่ soi namtokkathu, Kathu (๑๐๐เมตรกอนถึงน้ําตกกะทู อยูขวามือ ทางเขา เดียวกับเฮิรแบอบสมุนไพร) ต.กะทู อ.กะทู จ.ภูเก็ต เวลาเปิดบริการ จันทรแ – อังคาร ๐๙.๐๐ - ๑๙.๐๐ น. พฤหัสบดี - อาทิตยแ : ๐๙.๐๐ - ๑๙.๐๐ น.
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๘๗
๕. Isara boutique hotel&cafe เป็นรานคาเฟุที่นารักกึ่งโฮเทลโทนชมพูเขียว สวยหวานเกเไกเ ผสมผสานสไตลแเปอรานากันกับยุค ๘๐ อยางลงตัวตกแตงรานสวยทุกโซน พิกัด : (รานอยูตรงขามศูนยแไตเทียม) ถ.กระบี่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต เปิดบริการทุกวัน ๑๐.๓๐ - ๑๙.๓๐ น.
๖. Ma Doo Bua (มา ดู บัว) จุดขายที่นี่ก็คือสระบัวกระดงสวยงาม เหมาะที่จะมาถายรูป ดูบัว กระดง เพราะจะหาดูไดยาก แถมยังนั่งชิล ๆ ชมบรรยากาศ ทานอาหารที่เป็นอาหารพื้นเมืองของภูเก็ตอีกดวย พิกัด : ๓๑๐/๕๑ ม.๑ (อยูในโรงแรมแอทพันตาภูเก็ต) อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เปิดบริการทุกวัน ๑๐.๐๐ - ๒๒.๐๐ น.
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๘๘
๗. Good cafe เป็นรานคาเฟุที่แอบอยูในซอยเล็ก ๆ แตคนเยอะมาก เป็นรานที่เหมาะกับมานั่ง ทํางาน อานหนังสือหรือผอนคลาย เบเกอรี่เยอะมาก ถายรูปมุมไหนก็ดูชิคสุด ๆ พิกัด : ซอยศรีสุชาติ ๑๓ อ.เมือง จ. ภูเก็ต เปิดบริการทุกวัน ๐๘.๐๐ - ๑๗.๐๐ น.
๘. Ngor Kah Kee (หงอคาขี่) เป็นคาเฟุเล็ก ๆ เหมาะสําหรับคนที่รักการถายรูป ใครอยากได มุมสวย วินเทจหนอย ๆ ตองมาที่นี่เลย พิกัด : ๑๑๗ ถ.ถลาง อ.เมือง จ.ภูเก็ต เปิดบริการทุกวัน ๐๘.๐๐ - ๒๐.๐๐ น.
๙. Tin&Tonic cafe and bistro เป็นรานลับในยานเมืองเกา ที่ภายในรานตกแตงสไตลแอินดัช เตรี ย ลลอฟ มี แ ค สี ดํ า กั บ สี เ หลื อ ง จะดู เ ท ๆ มี ส ไตลแ ที่ ไ ม ว า จะถ า ยรู ป มุ ม ไหนรู ป ก็ จ ะดู เ ท แ น น อน พิกัด : ถ.ดีบุก อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต (รานอยูในโครงการ ChimJae walking street ชั้น ๒ อยูฝั่งถนนดีบุก) เปิดบริการทุกวัน ๐๙.๐๐ - ๑๘.๐๐ น.
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๘๙
๑๐. The feelsion Cafe ฟีลฉัน เป็นรานที่มีความฟีลชั่นผสมผสานหลาย ๆ อยางไดอยางลงตัว บรรยากาศ อาหาร เครื่องดื่ม มุมถายรูปเยอะ ตกแตงรานไดสวยงาม พิกัด : ถ.ภูเก็ต (อยูหลังรานนายเหมือง บางเหนียว ทางไปสะพานหิน) เปิดบริการทุกวัน จันทรแ – พฤหัสบดี ๑๐.๐๐ - ๒๒.๐๐ น. ศุกรแ – อาทิตยแ ๑๐.๐๐ - ๒๓.๕๙ น.
นี่ก็คือ ๑๐ คาเฟุภูเก็ต ที่บรรยากาศนานั่ง ถายรูปมุมไหนก็ปังทุกองศา ที่ใครหลายคนตางให ความสนใจ โดยการถายรูปในคาเฟุนี้ ทั้งไดรูปที่สวยงาม ยังไดนั่งพักผอน นั่งทํางาน นั่งเลนชิล ๆ และ ไดทานขนม เครื่องดื่มที่อรอยอีกดวย
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๙๐
คลื่นชีวิต / เจ็บช้ารัก / ความสาเร็จ / ภาพจา / รักของสองเรา / เพลินพนา / อรัญญิก / อักษรสามหมู่
เจ้าบทเจ้ากลอน
คลื่นชีวิต
กลิ่นไออุนกรุน อวล แสงบุหลันสองกระทบ ระยิบยับเวหา เอนพลิ้วไหวทิวสน สูงกลางหาวไกลโพน นาเควงควางตังเก ยามค่ําคืนอุปสรรค
ทั้งหมูมวลมืดมิด เงียบสงบโชยหนาว ฝูงบินหลาลอคลื่น ไดยินยลจิตชื่น ดูออนโยนวาววับ กลางทะเลลอยลอง ไมยากนักมุงมัน่
ลมเปลี่ยนทิศแปรผัน ดาวพรางพราวประดับ แผนทรายผืนกวางใหญ อยากเอื้อมยื่นหยิบดาว อนันตแนับอางวาง เจาจักตองฝุาคลื่น แมเงียบงันไรแสง (นี้แฮ) สิริยากร ราโชกาญจน์
เจ็บช้ารัก
ฉันนั่งเหมอมองฟูาคราใจเหงา เหลือเพียงแครองรอยเป็นตํานาน ในใจหมนมัวหมองระทมเศรา เคยรวมสุขรวมทุกขแใครหนอทํา จากวันนั้นจนวันนี้ไมมีแลว เราคลาดแคลวพลัดพรากจากกันไกล
ยอนวันเกาที่เพิ่งจะพนผาน ไวเลาขานย้ําเตือนความทรงจํา นึกถึงเขาคนเคยเคียงทุกเชาค่ํา ตองเจ็บช้ํารวดราวพาเศราใจ นวลนองแกวที่เคยรักเคยชิดใกล ช้ําฤทัยช้ํารักอกหักเอย คณะสาวสยาม
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๙๑
ความสาเร็จ
เพิ่มพูนความรู ตองตั้งใจมั่น
วันนี้มาเรียน เติมเต็มเนื้อหา ลองถูกลองผิด ทําตามขั้นตอน
ฝึกหัดฝึกเขียน สงเสริมปัญญา ฝึกคนฝึกคิด อยาดวนรีบรอน
พากเพียรวิชา ทุกคํากลาวสอน ดวยตัวเองกอน สําเร็จแนเอย ชุตินันท์ ไพชานาญ
ภาพจา
แสงจันทรแอรามตา สีสันระยับพราว เหมอมองนภากวาง ภาพจําก็ตรึงใจ ถึงครานภาซอน อาทิตยแจะเบิกฟูา มองเห็นพนมเนิน อีกสายละหลั่งริน เมฆขาวกระจางไซร แสงทองสวางกาล สายลมระลิ่วรื่น ปักษาก็บินไป
พสุธาสวางวาว จะเพราะดาวสกาวไกล สิบสางบจางไป ศิวิไลซแเจริญตา ศศิธรคลอยลับลา สกุณาจะโบยบิน ฐิติเกินจะปีนสิ้น ดุจะแสนพิสุทธแใส ประโลมใจใหเบิกบาน ชลธารอุนอวลใจ ประดุจมื่นชื่นหลั่งไหล ณ พงไพรทั่วธาตรี จิราภรณ์ และคณะ
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๙๒
รักของสองเรา
ยามใดใจออนลา ยามหมนหมองสับสน ใจนองสุดอับจน ตัวพี่กลาวคํางอ ฟังนองฟังพี่แจง รักเจ็บช้ําทรวงใน แกวตาอยาอาลัย จิตพี่ใหขวัญแกว
เกินทน พี่เอย ทดทอ หดหู ยิ่งแล เชื่อไดเยี่ยงใด จับใจ ยิ่งแลว ผูกเจ็บ อยูแฮ ชั่วฟูาธาตรี ศรัณย์ และคณะ
เพลินพนา
ยามดั่งตะวันสอง มีภาณุเจิดแจง มองเห็นพะยอมจันทรแ สวยสดกระดังงา ผืนปุาพนาลี แทธรรมชาตินั้น แสงทอง ณ ขอบฟูา แสงออนจะริบหรี่
รวิทองประกายแสง สุริเปลงจะนําพา มะลิวัลยแประดับตา ณ พนาผกาพลัน ชุขจีก็มากพันธแ พิศพรรณสภาพดี สกุณาระพงพี บมิชาก็จากไป นาดีญา และคณะ
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๙๓
อรัญญิก
พงไพรมหันตแยิ่ง คงคาบตองยล บรรพตตระการโข วาโยก็โชยกัน โสภณนภาใส ชีวาจะไมสิ้น ไพรวันก็บรรเจิด พงพีจะเฉิดฉาย
ก็เพราะมิ่งธราดล ปทุมาก็บานทัน ดรุโผลสลับพลัน สกุณาถลาบิน หฤทัยก็ยลยิน รพสูมิทําลาย ชุติเกิดฤดีงาย สุริยานําพาไป ปฏิวัติ และคณะ
อักษรสามหมู่
ดัดแปลงทํานองเพลง : ขอใจเธอแลกเบอรแโทร ศิลปิน : หญิงลี ศรีจุมพล แวบเดียวแคดู อยากบอกเหลือเกินวามันจํางายแคไหน อักษรกลางนั้น ไกจิกเด็กตาย บนปากโองเธอนะ อักษรอื่น ก็ยังมีอีกหลากหลาย อักษรต่ํา ก็ยังมีทั้งเดี่ยวและคู งูใหญนอน อยู ณ ริมวัดโมฬีโลกจําไวหนา คือพอคาฟันทองนั้นซื้อชางฮอ และมีอีกหมู อักษรสูงนั้น มีสิบเอ็ดตัวรูไหม
อักษรสามหมูมันเป็นยังไงรูไ หม อยาคิดมากไปถาไมเขาใจไมพรือ จงจําใหมั่นวามี ๙ ตัว นะเออ จําไวเสมอ จะไดเขาใจเนื้อหา แบบ แบบ แบบ วาใหจํา เธอรูไหมอักษรเดี่ยวมันยังมีตงั้ อีกสิบตัว อีกสิบสี่ตัวนั้นก็คืออักษรต่ําควรรักษา ทองจําไว โอ฿ะ โอ฿ะ โอย อยากใหเธอรูคืออักษรสูงนั่นไง มีผีฝากถุงขาวสารเอาไวใหฉัน สิริยากร และคณะ
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๙๔
เกร็ดความรู้ คู่ภาษาไทย : คาเรียกฤดูกาล / สารพันอาหารพื้นบ้าน เมนูสุขภาพของดีบ้านเรา / ทางเลือกสาหรับคนรักสุขภาพ / เผยผิวสวย คลายกังวลเรื่องรอยแผลเป็น
เกร็ดความรู้ ปภัศรา คีรีพันธุ์
เกร็ดความรู้ คู่ภาษาไทย : คาเรียกฤดูกาล
คํ า เรี ย กขานฤดู ก าลที่ เ ราเลื อ กใช ส ว นใหญ คื อ คํ า ว า ฤดู ร อ น ฤดู ฝ น ฤดู ห นาว เท า นั้ น แต สํ า หรับ ภาษาไทยเรานั้น มี ชื่ อ เรี ย กฤดู กาลที่ ไ พเราะมากกว า คํ า เหล า นั้ น ดั ง นั้ นเพื่ อ ความเข า ใจ ในภาษาไทยมากยิ่งขึ้น คอลัมนแเกร็ดความรูในฉบับนี้จึงขอนําเสนอเรื่องราวคําเรียกฤดูกาลในภาษาไทย คํ า ว า ฤดู ก าล เป็ น คํ า เรี ย กช ว งเวลาในแต ล ะปี ที่ แ บ ง ตามสภาพอากาศที่ เ ปลี่ ย นแปลงไป โดยเกิดขึ้นจากการที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตยแ จึงทําใหในแตละชวงของปี แตละบริเวณจะไดรับแสงแดด ไม เท ากั น ทํา ให มีอุ ณหภูมิ ตา งกั น และเกิด เป็ นฤดูก าลตา ง ๆ ขึ้น ในที่ นี้ข อยกตั วอยา งการแบ ง ฤดู ในประเทศอินเดียวามีความแตกตางจากประเทศไทยอยางไร ฤดูในประเทศอินเดียมีความแตกตางจากการแบง ฤดูกาลในประเทศไทย เนื่องจากลักษณะ ภูมิอากาศไมเหมือนกัน ฤดูกาลในประเทศอินเดียแบงออกเป็น ๒ แบบ คือ แบบแรกเป็นการแบงฤดู ตามลักษณะภูมิอากาศของประเทศอินเดียทางภาคตะวันออกและภาคใต แบงไดเป็น ๓ ฤดู ฤดูละ ๔ เดือน ไดแก ๑. เหมนฺต (เหมันตแ) = ฤดูหนาว ๒. คิมฺหาน (คิมหันตแ) = ฤดูรอน ๓. วสฺสาน (วัสสานะ) = ฤดูฝน สวนแบบที่ ๒ เป็นการแบงฤดูตามลักษณะภูมิอากาศของประเทศอินเดียทางภาคเหนือ แบง ไดเป็น ๖ ฤดู ฤดูละ ๒ เดือน ไดแก ๑. เหมนฺต (เหมันตแ) = ฤดูหนาว ๒. สิสิร (สิสิระ) = ฤดูหมอกหรือน้ําคาง ๓. วสนฺต (วสันตแ) = ฤดูใบไมผลิ ๔. คิมฺหาน (คิมหันตแ) = ฤดูร อน ๕. วสฺสาน (วัส สานะ) = ฤดูฝ น ๖. สรท (สารท) = ฤดูใบไมรวง สําหรับประเทศไทย ซึ่งตั้งอยูใกลเสนศูนยแสูตรและเป็นประเทศในเขตรอน ทําใหลักษณะของ ภู มิ อ ากาศในประเทศมี เ พี ย ง ๓ ฤดู คื อ ฤดู ร อ น (คิ ม หั น ตฤดู ) ฤดู ฝ น (วั ส สานฤดู ) และฤดู ห นาว (เหมันตฤดู) ดวยเหตุนี้หากสังเกตจะพบวา คําเรียกฤดูกาลจะมีทั้ง สิ้น ๖ ฤดู โดยคําที่ใชในภาษาไทย รับเอามาจากภาษาบาลี - สันสกฤต มีคําอานดังตอไปนี้ วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๙๕
เหมันตฤดู สิสิรฤดู วสันตฤดู คิมหันตฤดู วัสสานฤดู สารทฤดู
อานวา อานวา อานวา อานวา อานวา อานวา
เห – มัน – ตะ – รึ - ดู สิ – สิ – ระ – รึ - ดู วะ – สัน – ตะ – รึ - ดู คิม – หัน – ตะ – รึ - ดู วัด – สา – นะ – รึ - ดู สา – ระ – ทะ – รึ - ดู
ขอสังเกตที่นาสนใจอีกประการหนึ่ง คือ หลายคนมักเขาใจวาคําวา “วสันตฤดู” หมายถึง ฤดูฝน ซึ่งแทจริง แลวไมใช “วสันตแ” เป็นคําบาลี และสันสกฤต หมายถึง ฤดูใบไมผลิ สวน “วัสสานะ” เป็น คําบาลี ตรงกับคําสัน สกฤตวา “วรรษ” (อา นวา วัด หรือ วัด -สะ) แลวไทยแผลงตัว ว เป็นตัว พ กลายเป็น “พรรษ” (หรือ “พรรษา”) หมายถึง ฤดูฝน เพราะฉะนั้นฤดูฝน จึงตองใช คําวา “วัสสานฤดู” ไมใชวสันตฤดู ทราบอยางนี้แลวใครที่เคยเรียกชื่อฤดูฝนผิด ก็ควรจะเรียกใหมใหถูกตอง เพราะแมจะออกเสียง คลายกัน แตความหมายของคํากลับแตกตางกันคนละฤดูกาล และทั้งหมดนี้ คือ เกร็ดความรู คูภาษาไทย ที่ผูเขียนหยิบยกขึ้นมาบอกกลาวใหผูอานทั้งหลายไดทราบกัน ฉบับหนามีเรื่องราวอะไรที่นาสนใจอี กนั้น ตองรอติดตามกันนะคะ
อ้างอิง สํานักงานราชบัณฑิตยสภา. (๒๕๖๒). คาเรียกชื่อฤดูต่าง ๆ. http://www.royin.go.th/?knowledges. เขาถึงเมื่อ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๒.
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๙๖
สารพันอาหารพื้นบ้าน เมนูสุขภาพของดีบา้ นเรา อาริยา แซ่ด่าน
“คุณเคยมีความรูสึกแบบเราบางไหม ? ตอนเราเล็ก ๆ เปรียบเสมือนลูกนกที่อยูแตในรัง เฝูารอ คอยแมนกที่คอยปูอนอาหารใหถึงรัง จนถึงวันที่เจาลูกนกมีขนเต็มตัว มีปีกที่แกรง กลาเฝูารอวันที่ จะ โผบินดวยปีกของมันเอง ซึ่งลูกนกตัวนี้คลายดั่ง ตัวเราเมื่อเราถึง จุดที่อิ่มตัวทําใหเราเลือกเผชิญ หนา เพื่อทําในสิ่งที่ใฝุฝัน” เมื่อตองจากถิ่นฐานไปอยู ตางถิ่น เรามักนึกถึงกับขาวฝีมือของคนในครอบครัวที่ทําใหเรากิน ตอนเด็ก ๆ แมเป็นกับขาวธรรมดาแตมันมักมีความพิเศษเสมอ แม่เฒ่า เป็นคําภาษาใตที่มีความหมายวา ยาย ซึ่งเราโตมากับกับขาวฝีมือของยาย ในการทํา อาหารแตละครั้งของยาย มักมีผักอาหารพื้นบานที่หาไดตามทองถิ่นพื้นบานของเราเอง ไมวาจะเป็น พืชผักริมรั้ว ริมคลอง หรือจะเป็นพืชผักสวนครัวที่ปลูกกินเอง เชน ใบเหลียง หัวปลี ผักกูด เป็นตน ผักเหลานี้นํามาทํามาปรุงอาหารไดหลากหลายเมนู ดังเมนูตอไปนี้ ทอดมันหัวปลี
กอนจะไปดูขั้นตอนการทํา แมเฒาบอกวิธีการปอกเปลือกหัวปลีว า ตองแกะเปลือกหัวปลีออก ใหเหลือแตสีขาว จากนั้นผาครึ่งตามแนวยาวแลวหั่นตามขวางให มีขนาดเล็ก ๆ เทากัน แมเฒาบอกวา ตอ งนํ า ไปแชน้ํ า เกลือ หรือ น้ํ าส ม สายชู เ พื่อ ไมใ ห เป็ นสี ดํ า จากนั้ นจึ ง ใส ไ ข เครื่ องแกงพริ ก ซี อิ๊ วขาว คลุกเคลาใหเขากัน ตามดวยใบมะกรูดหั่นฝอย และหัวปลี นํามาคลุกเคลากับแปูงใหเขากันเพื่อใหหัวปลี เกาะตัว ตั้งกระทะที่มีน้ํามันบนไฟกลางจนน้ํามันรอนตักหัวปลีลงทอดจนสุก ตักขึ้น ใหสะเด็ดน้ํามัน ทานกับน้ําจิ้มรสเด็ด ถือเป็นเมนูอรอยที่ลืมไมลง วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๙๗
หัวปลี ยังสามารถนํามาทําอาหารไดหลากหลาย ไมวาจะเป็นตม ยําทําแกง เชน ตมกะทิหัวปลี ยําหัวปลี เป็นตน ตัวอยางดังตอไปนี้ ยาหัวปลี
เมนูนี้ เป็นของเมนูโบราณที่แมเฒาเคยทําใหทานตอนเล็ก ๆ เรามาดูวิธีกันทํากันดีกวาวาจะมี ขั้นตอนกันทําอยางไร ขั้นตอนแรกหั่นหัวปลีแบบซอย แชน้ําสมสายชูเพื่อไมใหดํา นํามะพราวขูดใส กะทะคั่วใหเหลือง กรอบแลวพักไวใหเย็น นําภาชนะขนาดกลางมาใสหัวปลีที่ซอยไว ตามดวยใสพริกหั่นซอย หอมแดงซอย และมะพราวคั่ว ปรุงรสดวยน้ําปลา น้ําตาล น้ํามะนาว และคลุกใหมีน้ําขลุกขลิกใหทุกอยางเขากัน ชิมรสใหไดเปรี้ยว หวาน เค็ม และมันตามที่ตองการ การทําอาหารก็เปรียบกับ ความรัก เพราะการทําอาหารจานหนึ่ ง ก็ตองปรุง แตง อาหารให มี ความสมบูรณแแบบมากที่สุด แลวคุณละ คิดวาการทําอาหารเปรียบเหมือนกับอะไร…
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๙๘
ทางเลือกสาหรับคนรักสุขภาพ สุพัตรา ตั้งคา
ปัจจุบันผูคนสวนใหญหันมารักสุขภาพกันมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงกับการเป็นโรคอวนหรือ การเกิดโรคแทรกซ อนตาง ๆ โดยสาเหตุหลัก ๆ ที่ทําใหเกิดโรคอวนก็มีหลายสาเหตุ ไมวาจะเป็นทาง กรรมพันธุแ การไมออกกําลังกาย การรับประทานอาหารที่พลังงานสูงเป็นประจํา ระบบขับถายไมดีหรือ รางกายมีการเผาผลาญพลังงานนอย เป็นตน ดังนั้น จึงตองหาวิธีในการดูแลตัวเอง ทั้งการออกกําลังกาย และการเลือกรับประทานอาหาร ซึ่งถือวาเป็นสวนสําคัญอีกประการหนึ่งในการดูแลตัวเอง การเลือกซื้ออาหารเพื่อสุขภาพสามารถหาซื้อไดตามทองตลาดทั่วไป ซึ่งตลาดเหลานี้มีอาหาร เพื่อสุขภาพใหเลือกมากมาย เชน สลัดผัก สลัดโรล ผักตมกับน้ําพริก เมี่ยงปลาทู น้ําสับปะรดปั่ น น้ําฝรั่ง มะละกอ แกวมังกร ผักพื้นบาน ผักเรดโอ฿ค กรีนโอ฿ค ผักกาดหอม ตนออนทานตะวัน เป็นตน อาหารเพื่อสุขภาพดังกลาวมีประโยชนแมากมาย เชน สลัดผัก มีสวนประกอบของ มะเขือเทศ ฟักทอง ตนออนทานตะวัน แกวมังกร ขาวโพด กะหล่ําปลี สีมวง ถั่วลันเตา แครอท ผักกาดหอม ปูอัด และทู นา โดยมะเขื อเทศนั้ นมี ประโยชนแ ช วยปู องกัน การเกิ ดโรคมะเร็ง ฟัก ทอง ช วยบํา รุ ง สายตา ชวยตานการเกิดโรคมะเร็ง ปูองกันการเกิดโรคนิ่ว และชวยในการลดน้ําหนัก ตนออนทานตะวัน ชวยลด ความดันในเลือด แกวมังกร ชวยตานการเกิดโรคมะเร็ง และชวยในการควบคุมน้ําตาล ขาวโพด ชวยใน การส ง เสริ ม การทํ า งานของระบบขั บ ถ า ย และปูอ งกั น การเกิ ด หลอดเลื อ ดหั ว ใจ กะหล่ํ า ปลี สี ม ว ง ชวยปูองกันการเกิดโรคเลือดออกตามไรฟัน ถั่วลันเตา ชวยแกปัญหาทองผูก และชวยในการลดน้ําหนัก แครอท ช ว ยลดความเสี่ ย งการเกิ ด มะเร็ ง เต า นม และกระตุ น การทํ า งานของระบบย อ ยอาหาร ผักกาดหอม ชวยในการขับถาย และบรรเทาอาการทองผูก ปูอัด ชวยใหโปรตีนแกรางกาย ทูนา ชวยลด ความดันโลหิต ลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง และชวยลดน้ําหนัก จากที่กลาวมาถึงประโยชนแของผัก และผลไมขางตนนั้น เราขอนําเสนอเมนูสําหรับคนรักสุขภาพ ๓ เมนู ดังนี้
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๙๙
สสัดโรล
สํา หรับ คนที่ เ พิ่ง เริ่ม รั บ ประทานอาหารเพื่อ สุ ข ภาพ สลั ดโรลถื อ วา เป็ นอาหารที่ต อบโจทยแ ไดอยางดี เนื่องจากสสัดโรลมีรสชาติที่อรอย และสามารถหาซื้อไดงายตามทองตลาดทั่ว ๆ ไป โดยมี สวนประกอบของแครอทที่ชวยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเตานม และกระตุนการทํางานของระบบ ยอยอาหาร ผักกาดหอม ชวยในการขับถาย และบรรเทาอาการทองผูก ปูอัด ใหโปรตีนแกรางกาย งาขาว และงาดํา ชวยเสริมสุขภาพการยอยอาหาร และปลาแซลมอน ชวยรักษาสุขภาพหัวใจ ระบบ หลอดเลือด รักษาสายตา และปูองกันโรคประสาทจอตาเสื่อม น้าสับปะรดปั่น
นอกจากอาหารที่เป็นมื้อหลักแลวบางคนอาจชอบดื่มน้ําอัดลม หรือน้ําหวาน ในขณะที่กําลังทํา กิจกรรมตา ง ๆ แตสํา หรับ คนที่รัก สุข ภาพควรหัน ไปดื่ มน้ํ าที่มี ประโยชนแ ตอร างกายแทน อยางเช น น้ําสับปะรดปั่น และที่สําคัญตองเป็นน้ําสับปะรดที่ใชสับปะรดแท เพื่อใหไดความหวานจากตัวสับปะรด ไมใชความหวานจากน้ําตาลที่มาจากน้ําสับปะรดขวด เหมาะสําหรับคนที่รักสุขภาพ และชอบดื่มน้ํา วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๑๐๐
ที่ทําใหรูสึกสดชื่น ซึ่งน้ําสับปะรดปั่นมีประโยชนแตอรางกายทั้งในเรื่องของการชวยปูองกันอันตรายจาก อนุมูลอิสระ ที่จะทําลายเซลลแของรางกาย ชวยยอยโปรตีน ทําใหรางกายสามารถดูดซึมไดดีขึ้น ชวยลด อาการบวม และการอักเสบจากอาการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อ ชวยในการเสริมสรางความแข็ง แรงใหกับ กระดูกและฟัน นอกจากอาหารที่กลาวมาขางตน ก็ยังมีอาหารอีกมากมายที่มีประโยชนแตอ สุขภาพ หนึ่งในนั้น ก็คื อ น้ํ า ฝรั่ ง ซึ่ ง มี ป ระโยชนแ ทั้ ง ช ว ยลดไขมั น ในเลื อ ด ช ว ยปู อ งกั น และลดความเสี่ ย งจากการเกิ ด โรคมะเร็ง ชวยรัก ษาโรคความดันโลหิ ตสูง ชว ยรัก ษาโรคเบาหวาน และเป็น ผลไมที่เ หมาะสํา หรั บ ผูที่ตองการลดความอวน ลดน้ําหนัก หรือควบคุมน้ําหนัก อยางไรก็ตามการมีสุขภาพที่ดีสงผลดีสําหรับรางกาย ดัง นั้น ทุกคนควรใสใจสุขภาพ โดยหมั่น ออกกําลัง กาย และเลือกรับประทานอาหารที่เป็นโยชนแตอรางกาย ซึ่งอาหารที่กลาวมาขางตนก็เป็น อีกหนึ่งทางเลือกสําหรับคนรักสุขภาพ
อ้างอิง Pothao. (๒๕๕๕). ประโยชน์ของน้าผักและผลไม้. http://juicehealthbenefits.blogspot.com. เขาถึงเมื่อ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๓. Campus Star. (๒๕๖๐). ผักแต่ละชนิดมีคุณประโยชน์อะไรบ้าง. https://health.campus-star.com/general/๔๙๔๕.html. เขาถึงเมื่อ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๓.
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๑๐๑
เผยผิวสวย คลายกังวลเรื่องรอยแผลเป็น
พรนภัส เพ็งลา
รอยแผลเป็น เป็นเรื่องที่นากังวลใจอยางมาก โดยเฉพาะผูหญิงยุคใหมที่การเขาสังคมถือเป็น สวนหนึ่ง ในชีวิต เพราะรอยแผลเป็นเป็นอีกหนึ่ง ตัวการที่คอยทําลายความมั่นใจของทุกคน การหา ทางออกให กั บ รอยแผลเป็ น จึ ง เป็ น ส ว นสํ า คั ญ ที่ จ ะช ว ยให คุ ณ ใช ชี วิ ต ในสั ง คมได อ ย า งมั่ น ใจ แผลเป็นที่เกิดจากบาดเจ็บหรือการผาตัด โดยมีการสรางเนื้อเยื่อขึ้นมาแทนของเดิมที่ถูกทําลาย ประสิทธิภาพ กระบวนการซอมแซมนี้ ขึ้นอยูกับความรุนแรงบริเวณของแผล อายุผูปุวย พันธุกรรม ปัจจัยภายนอก และภายในอื่น ๆ ทําใหเกิดรอยแผลเป็นชนิดตาง ๆ ไดแก แผลเป็นชนิดนูน แผลเป็น ชนิดหลุม รอยแผลเป็นที่มีการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสี และรอยแผลเป็นชนิดเสนลาย ที่พบในคนอวน หรื อ สตรี ภ ายหลั ง การตั้ ง ครรภแ ซึ่ ง วั น นี้ เราก็ มี ข อ มู ล การรั ก ษารอยแผลเป็ น นู น จากคลิ นิ ก Laser Premium Clinic Phuket โดย แพทยแหญิงปนัดดา อัศวเนตรมณี มาฝากใหทุก ๆ คนไดรับ ความรู สวนจะมีวิธีการหาทางออกใหกับรอยแผลเป็นเป็นอยางไรนั้น เรามาลองดูกันเลย วิธีรักษารอยแผลเป็นนูน ๑. แผลเป็ น นู น อั น ดั บ แรกจะใช วิ ธี ท ายาก อ น เพื่ อ ให แ ผลได ค อ ย ๆ หายเจ็ บ โดยแพทยแ จะแนะนําเป็นตัวยาเจลชื่อวา Strataderm gel เพราะตัวยาชนิดนี้เป็นซิลิโคนเจลที่แหงเร็ว ไมเหนียว เหนอะหนะ โปรงแสง สามารถใชทาไดบนผิวหนังทุกบริเวณ รวมถึงใบหนา คอ และขอตาง ๆ จะชวยทํา ใหแผลเป็นออนนุม และแบนราบ บรรเทาอาการคัน อีกทั้งยังชวยลดรอยแดง ๒. ฉีดยา (ยาฉีดเฉพาะ) จะฉีดยาใหแผลที่นูนยุบลงกอน ใหแผลมีความนุมลง - แผลเรียบกับผิว ๓. ทําเลเซอรแ เมื่อแผลนูนของเราเริ่มยุบลง และแผลเริ่มเรียบกับผิวแลว เราก็จะทําเลเซอรแปรับ สีผิว หรืออีกอยางคือ ฉีดยาตัวนาโนที่ปรับสีผิวของแผลใหสีมีความสม่ําเสมอ
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๑๐๒
ภาพจาก : Laser Premium Clinic Phuket
ผลลัพธ์ที่ได้จากวิธีการรักษาข้างต้น แผลเป็นบางชนิดมันสามารถเรียบได กลืนกวาเกาไดเยอะ แตบางชนิดมันก็อาจจะหลงเหลือ รอยแผลอยูบาง ผิวจะไมไดเกลี้ยงแบบเดิมรอยเปอรแเซ็นตแ แตก็คอนขางจะกลืนกับผิวหนาไดในระดับ หนึ่ง เคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ กลบรอยแผลเป็นชั่วคราว เราสามารถเมคอัพแตงหนาเพื่อปกปิดรอยแผลเป็นได จะชวยเพิ่มความมั่นใจใหกับตัวเองมากยิ่งขึ้น สําหรับแผลเป็นนูน แพทยแก็มักจะบอกคนไขวา แผลจะไมไ ดหายเกลี้ยงรอยเปอรแเซ็นตแ ทําไดแคดีขึ้น แตวาถาไมดูแล ทําใหแผลอักเสบ แผลก็อาจจะนูนขึ้นไดอีก อยางไรก็ตาม การรักษาแผลเป็นนั้นขึ้นอยูกับ การรักษาอยางถูกตองเหมาะสม อย า งไรก็ ต ามการดู แ ลรั ก ษาแผลอย า งดี ก็ ใ ช ว า จะช ว ยปู อ งกั น แผลเป็ น ได ร อ ยเปอรแ เ ซ็ น ตแ เนื่องจากแนวโน มของการเกิดแผลเป็นของแตล ะคน และแตละบริเวณของรางกายนั้นแตกตางกั น แตเพื่อความถูกตองและปลอดภั ยใหรีบปรึกษาแพทยแผิวหนังไดเลยแมการรักษาจะไมทําใหแผลเป็น หายไปไดอยางเกลี้ยงเกลา แตก็สามารถชวยใหดีขึ้นไดมากจนคุณสามารถเผยผิวเรียบเนียนไดอยาง มั่นใจขึ้นแนนอน
สัมภาษณแ : แพทยแหญิงปนัดดา อัศวเนตรมณี ผูสัมภาษณแ : นางสาวพรนภัส เพ็งลํา วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๑๐๓
คุณภาพคน ทศศ. กับ ผศ.ใหม่
ยวิษฐา กําเนิดทอง
บันทึกภาพในความทรงจา
คุณภาพคน ทศศ. กับ ผศ.ใหม่
ความก า วหน า ในสายอาชี พ ครู ห รื อ อาจารยแ นั้ น ต อ งอาศั ย การผลิ ต ผลงานทางวิ ช าการ อยางตอเนื่อง เพื่อเป็นสิ่งสะทอนการปฏิบัติงานสิ่งหนึ่งของอาจารยแที่ไดสรางสรรคแขึ้น แสดงใหเห็นถึง ความกาวหนาทางวิชาการ และการพัฒนาองคแความรูอยูเสมอ ตลอดจนสามารถนําไปประยุ กตแใชใน การบริการวิชาการสังคม และพัฒนาการจัดการเรียนการสอนใหกับผูเรียนได โดยสาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุ ษยศาสตรแและสังคมศาสตรแ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเ ก็ต ไดมีขาวดีในช วงที่ผา นมาไมนานนี้ เนื่ อ งจากอาจารยแใ นสาขาได รับ การแตง ตั้ ง เป็ นผู ช วยศาสตราจารยแ จํ า นวน ๒ ทา นดว ยกัน ได แ ก ผูชวยศาสตราจารยแ ดร.วรพงศแ ไชยฤกษแ และผูชวยศาสตราจารยแ จุฬารัตนแ เสงี่ยม ดวยเหตุนี้ จึงไมพลาด ที่จะขอสัมภาษณแทั้ง ๒ ทานถึงการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วรพงศ์ ไชยฤกษ์
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
แรงบันดาลใจ เนื่ อ งจากเราทํ า งานอยู ใ นสายอาชี พ นี้ ซึ่ ง สายอาชี พ นี้ มี เ ส น ทางในการพั ฒ นาความรู ความสามารถ ก็ คื อ การทํ า ตํ า แหน ง ทางวิ ช าการ ดั ง นั้ น การอยากเติ บ โตในสายอาชี พ นี้ จึ ง เป็ น แรงบันดาลใจใหเราทําผลงานทางวิชาการ เพื่อเขาสู ตําแหนงผู ชวยศาสตราจารยแ และแรงบันดาลใจที่สอง คือ ผูชวยศาสตราจารยแ ดร.รุงรัตนแ ทองสกุล ที่เปรียบ เสมือนรุนพี่ อาจารยแ และเป็นแบบอยางที่ดี ในการพัฒนา ตนเองเขาสูตําแหนง ทางวิชาการ เลยอยากเดินตาม ทางของทาน หน้า ๑๐๔
เงื่อนไข และขั้นตอน เงื่อนไขจะเป็นตัวกรอบทั้งหมด เงื่อนไขหลัก คือ เวลาในการทําผลงานทางวิชาการ เงื่อนไข ที่สอง คือ ในการขอตําแหนงทางวิชาการ เราตองใชเอกสารประกอบการสอน ๑ เลม กับหนังสือหรือ ตํา ราอี ก ๑ เล ม และจะต อ งมี การสอบสอนด ว ย โดยทั้ ง หมดนี้ มี เวลาเพี ย ง ๔ เดื อ น ส ว นขั้ น ตอน ในการทํา คือ ตองมีการวางแผนวา จะใชเวลาในการทําเอกสารประกอบการสอนกี่เดือน จะทําตํารา หรือหนังสือกี่เดือน หลังจากทําเสร็จแลวก็สง ตามกระบวนการ รอคณะกรรมการพิจารณาตรวจสอบ และทางมหาวิทยาลัยจะมีการสอบสอนเรา โดยตั้ง คณะกรรมการมาสอบสอนเรา โดยใหเราถายวิดีโอ ในขณะสอนสงใหกับเขา กระบวนการของเรามีเพียงเทานี้ หลัง จากนั้นเขาก็จะแตง ตั้งคณะกรรมการ อีก ๑ ชุด เพื่ออา นงานเราทั้ง หมด และดูวิ ดีโอประกอบควบคู กันไป แลว นําเขา สูที่ประชุม และรอ ประกาศผลประมาณ ๑ ปี ปัญหาหรืออุปสรรค เนื่ อ งจากเราเรี ย นจบปริ ญ ญาเอกแล ว จึ ง มาสอน ประกอบกั บมี เ วลาน อ ย ทํ า ให ข าด ประสบการณแและเวลาในการเขียนงาน ในชวงแรกเราจึง ตองอานหนังสือ อานงานวิจัย และฝึกเขียน เยอะ ทําใหเสียเวลาในการเขียนงาน นอกจากนี้ยังมีอุปสรรค คือ ในเรื่องของการบริหารจัดการเวลา เพราะกลางวันเราตองสอนนักศึกษา รวมถึงในตอนนั้นเป็นประธานสาขาด วย จึงมีหนาที่ตองรับผิดชอบ งานบริหารหลายอยาง ทําใหเวลาเขียนงานเรามีเพียงชวงกลางคืนหรือวันหยุดเทานั้น ความรู้สึกหลังจากได้รับตาแหน่ง ความรูสึกแรก คือ ดีใจมาก เพราะมันคือสิ่งที่เราตั้งใจทํา และทุมเทมากในชวงระยะเวลานั้น มันคือ เปูาหมายที่เราตั้งไวว าจะทําใหสําเร็จ และมันก็สําเร็จอยางรวดเร็ว เรามาทํางานปีนี้เป็นปีที่ ๔ เมื่อครบกําหนดในการขอตําแหนงทางวิชาการ เราก็รีบวางแผนแลวลงมือทําทันที ความรูสึกตอมา คือ ภูมิใจที่เราสามารถทําไดดังที่เราวางแผนไว เป็น ผศ. แล้ว ชีวิตต่างจากเดิมไหม หลังจากที่ได รับตําแหนงผู ชวยศาสตราจารยแ สัง คมขางนอกคาดหวัง กับการทํ างานของเรา มากขึ้น และหนวยงานภายนอกเรียกใชง านมากขึ้น เราจึง คิดวาเราตองทํางานใหดียิ่ง ขึ้นไปกวาเดิม สวนดานชีวิตก็ไมตางจากเดิม ยังคงทํางานปกติเหมือนเดิม เป้าหมายหลังจากนี้คืออะไร หลังจากนี้วางแผนวาจะหาประสบการณแ และทําวิจัยเพิ่ม ยังไมไดวางแผนเรื่องการขอตําแหนง รศ. ขอพักผอนและใชชีวิตอยางสบาย ๆ กอน แตหากวันหนึ่งรูสึกพรอมก็คงจะขอตําแหนงทางวิชาการ เพื่อพัฒนาตนเองในสายอาชีพนี้ตอไป
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๑๐๕
ผู้ช่วยศาสตราจารย์จุฬารัตน์ เสงี่ยม
แรงบันดาลใจ แรงบันดาลใจสวนหนึ่งมาจากนักศึกษา เนื่องจาก สาขาของเราเป็นอันดับตน ๆ ของมหาวิทยาลัยแหง นี้ เราจึงอยากใหสาขาของเรามีอาจารยแที่มีตําแหนงทาง วิชาการเพิ่มขึ้น มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น จึงผลักดันตนเอง ใหทําผลงานทางวิชาการเพื่อขอตําแหนงทางวิชาการ อี ก ส ว นหนึ่ ง คื อ ระยะเวลา ที่ ต อ งทํ า ผลงานทาง วิชาการมันก็มาถึงแลว เพราะทํางานมาหลายปีแลว ถึง เกณฑแที่จะตองขอตําแหนง ทางวิชาการแลว
เงื่อนไขและขั้นตอน ในช ว งนั้ น ทางมหาวิ ท ยาลั ย ประกาศว า หากไม ส ง ผลงานภายในเวลาที่ กํ า หนดในปี นั้ น จะกําหนดเกณฑแใหมในการพิจารณาตําแหนงทางวิชาการ อาจารยแจึงตัดสินใจที่จะใชเกณฑแเกาในการขอ ตําแหนงทางวิชาการ ก็เรงทําในเวลาจํากัด แตดวยเราไดสั่งสมประสบการณแมาพอสมควรจึงทําใหเขียน และเรียบเรียงงานได คอนขางเร็ว นอกจากนี้ตอ งขอขอบคุณผูชวยศาสตราจารยแ ดร.รุงรัตนแ ทองสกุล ที่เป็นพี่เลี้ยงคอยชี้แนะ ใหกําลังใจ ชวยวางโครงเรื่อง บอกวิธีการเขียนตาง ๆ ตลอดระยะเวลาที่ทํา ผลงาน และขอบคุณอาจารยแและนักศึกษาในสาขาทุกคนที่ใหกําลังใจเสมอมา ในสวนของขั้นตอนนั้น หลังจากสงผลงานทางวิชาการ ก็สอบสอนโดยเราเลือกใชวิธีการถายวิดีโอในขณะสอนนักศึกษาสงใหแก คณะกรรมการพิจารณา แลวรอประกาศผล ปัญหาหรืออุปสรรค อุปสรรคใหญเลย คือ เวลา เพราะคอนขางมีเวลาในการสงผลงานทางวิชาการที่จํากัด กลางวัน มีหนาที่ตองรับผิดชอบสอนนักศึกษา จึงตองเขียนงานในเวลากลางคืน และตองเรงทําใหทันเวลา ความรู้สึกหลังจากได้รับตาแหน่ง ดีใจมาก ๆ เมื่อสงผลงานทางวิชาการไปแลวก็ทําใจ คิดวาเราไดทําหนาที่ของเราดีที่สุดแลว ตอไปนี้ก็เป็นหนาที่ของผูทรงคุณวุฒิที่พิจารณาผลงาน แลวเราก็รอรับฟังผล เมื่อประกาศผลออกมาวา ผาน สิ่งแรกที่คิดหลังจากไดรับตําแหนง คือ ตองไปแกบนที่ไหนบาง เพราะบนไวหลายที่เลย แตสวนใหญ จะเป็นที่ที่เราไปทําบุญอยูเป็นประจํา (หัวเราะ) เป็น ผศ. แล้ว ชีวิตต่างจากเดิมไหม ถาเป็นในเรื่องของวิถีชีวิต ภาระงาน หรือความรูสึกไมตางจากเดิ มเลย แตที่ตางก็คือ ในเวลา ที่เราออกสังคม จะทําใหเรามีความอุนใจและมั่นใจในตนเองมากขึ้น
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๑๐๖
เป้าหมายหลังจากนี้คืออะไร คิดวาโดยปกติแลวชีวิตคนเราตองกาวไปขางหนา ตองพัฒนาตนเองอยูแลว แตในเวลาอันใกลนี้ คงเป็นไปไมได ตอนนี้ยังไมไดคิดถึงเรื่องการขอตําแหนง รศ. เลย เพราะตองสั่งสมประสบการณแเพื่อให ตนเองมีฐานความรูที่แนนขึ้น เพื่อนําไปใชในการเขียนตําราในระดับที่สูงขึ้นได คงตองใชเวลาอีกนาน พอสมควร จากการสัมภาษณแในขางตนจะเห็นไดวา อาจารยแทั้งสองทานตางก็ไมหยุดนิ่งที่จะพัฒนาตนเอง เพื่อความกาวหนาในสายอาชีพ และแรงบันดาลใจอีกสวนหนึ่งของทั้งสองทานคือ ตองการเพิ่มศักยภาพ ฐานความรู ความสามารถใหแกตนเอง เพื่อนํามาใชสอนนักศึกษาใหอยางมีคุณภาพยิ่งขึ้น จะเห็นไดวา กวาทานจะมายืนอยูจุดนี้ได เสนทางนั้นไมงายเลย ทั้ง ยัง มีขั้นตอนที่คอนขางยากลําบา ก แตในที่สุด ทานก็สามารถฟันฝุาปัญหาและอุปสรรคทุกอยางมาไดดวยดี เนื่องดวยเพราะมีความมุงมั่น ตั้งใจ และ มีการบริหารจัดการเวลาที่ดี จึงทําใหบรรลุความสําเร็จดังกลาว
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๑๐๗
ข่าวประชาสัมพันธ์ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๓ สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตรแและสังคมศาสตรแ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ดําเนินการ ฉีดพนน้ํายาฆาเชื้อโรคเพื่อปูองกันและลดการแพรระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (ครั้งที่ ๒) ภายใน หองพักอาจารยแสาขาภาษาไทย (หอง ๓๑๔ ตึก ๓) โดยเป็นสวนหนึ่งของการเตรียมความพรอมกอนเปิด ภาคเรียนปีการศึกษา ๑/๒๕๖๓ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๓ สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตรแและสังคมศาสตรแ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต จัดประชุม ผู ป กครองและปฐมนิ เ ทศนั ก ศึ ก ษาใหม ประจํา ปี ก ารศึ ก ษา ๒๕๖๓ ผ า นช อ งทางออนไลนแ ณ หองปฏิบัติการภาษาไทย (๗๔๔) โดยมี ผศ.ดร.วรพงศแ ไชยฤกษแ ประธานสาขาวิชาภาษาไทย และ ผศ.ดร.รุงรัตนแ ทองสกุล รวมถึงคณาจารยแประจําสาขาวิชาทุกทานและตัวแทนนักศึกษาแตละชั้นปีทุกคน กลาวตอนรับผูปกครองและนักศึกษาใหมกาวเขาสูครอบครัว ทศศ. ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๓ สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตรแและสังคมศาสตรแ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต มีความหวงใย ในสุขภาพของนักศึกษาและเพื่อเสริมสรางความมั่นใจใหกับผูปกครอง จึงไดเตรียมมาตรการและอุปกรณแ สําหรับปูองกันการแพรระบาดในเบื้องตนใหแกนักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทยทุกคน ไดแก หนากาก อนามัยมีตราสาขาวิชาภาษาไทย จํานวนคนละ ๒ ชิ้น หนากากปกปูองใบหนาจากละอองฝอยเชื้อ โรค (Face Shield) จํานวนคนละ ๑ ชิ้น และจุดบริการเจลแอลกอฮอลแสําหรับลางมือประจําหองสาขาวิชา ภาษาไทย (๓๑๔) และหองปฏิบัติการภาษาไทย (๗๔๔) รวมทั้งมีการจัดระเบียบการเขา หอ งเรีย น โดยนักศึกษาทุกคนจะตองสวมหนากากอนามัย เวนระยะหาง ตรวจวัดอุณหภูมิ และใชเจลลางมือกอน เขาหองเรียนทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ นอกจากนี้ยังไดจัดตั้งตูปันสุข “ทศศ. รวมแบงปัน” ใหแกนักศึกษาทุกคน ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๓ สาขาวิ ช าภาษาไทย คณะมนุ ษ ยศาสตรแ แ ละสั ง คมศาสตรแ มหาวิ ท ยาลั ย ราชภั ฏ ภู เ ก็ ต จัด โครงการ “เสริม สรา งคุณ ธรรมนัก ศึก ษาไทยศิล ปศาสตรแ ” ณ สํ า นัก ศิล ปะและวัฒ นธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ภายใตมาตรการปูองกันโควิด - ๑๙ อยางเครงครัด โดยมีจุดคัดกรองที่ทุกคน วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๑๐๘
ต อ งตรวจวั ด อุ ณ หภู มิ ก อ นเข า ร ว มกิ จ กรรม ระหว า งทํ า กิ จ กรรมทุ ก คนต อ งสวมหน า กากอนามั ย หรือหนากากปกปูองใบหนาจากละอองฝอยเชื้อโรค (Face Shield) จัดตั้งเจลแอลกอฮอลแลางมือทั่วทุก บริ เวณ และเวนระยะห างระหว างกัน เพื่ อความปลอดภั ยและลดความเสี่ย งในการติ ด เชื้ อ สํ าหรั บ โครงการครั้งนี้มีกิจกรรมมากมาย เชน เสวนาแลกเปลี่ยนความรูอาจารยแ - นักศึกษา เขียนจดหมาย ถึง แม จุดธูปไหวพระประธาน ฝากตัวเป็นศิษยแ กิจกรรมฐาน ๔ ฐาน ทําแบบทดสอบกิจกรรมฐาน กิจกรรมพี่พบนอง กิจกรรมบายศรีสูขวัญ เป็นตน
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๑๐๙
ผู้เรียบเรียง นายธนพจนแ กะเตื้องงาน นายกิตติภพ ออนชาติ นางสาวอรนิช ประทุมสุวรรณแ นางสาวภัทราภรณแ สุคนธากรณแ นางสาวชุตินันทแ ไพชํานาญ นางสาวประสุตา สงเสริม นาวสาวปภัศรา คีรีพันธุแ นายปฏิวัติ ทองบุญยัง นางสาวยวิษฐา กําเนิดทอง นางสาวพิมภมร สํามะเนี๊ยะ นางสาวพรนภัส เพ็งลํา นางสาวอภิสรา คงแกว นางสาวสิริยากร ราโชกาญจนแ นางสาวสุพัตรา ตั้งคํา นางสาวภัณฑิรา ศรีแสง นางสาวปนิตา ชูจิต นางสาวติกานตแ การดี นางสาวศศิวิมล ประคีตวาทิน นางสาววานิสา คาวิจิตร นางสาวนาราภัทร ชูเชิดรับ นางสาวฉัตฑริกา กิจผดุง นางสาวไซนูญ โต฿ะมิ๊ นางสาวนันทพร แทนพอ นางสาวอาริยา แซดาน นางสาวสิริยากร ออนศรีโรจนแ นางสาวนาดีญา แมฮะ นางสาวซูรีตา มะยี นายศรัณยแ นะนวน วรรณสารฉบับที่ ๖๓
นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๐ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๐ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๐ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๐ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๐ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๐ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๐ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๑ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๑ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๑ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๑ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๑ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๑ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๑ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๑ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๑ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๑ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๑ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๑ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๑ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๑ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๑ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๑ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๑ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๑ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๑ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๑ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๒ หน้า ๑๑๐
นางสาวอาทิตยา กาหรีมการ นางสาวรัตนแติยา ง฿ะสมัน นางสาวชมพูพันธุแทิพยแ สุทธิโพธิ์ นางสาวจิราภรณแ คลองแคลว นางสาวสโรชา สมมาต
นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๒ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๒ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๒ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๒ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๒
ปรัชญาของสาขาวิชา การสื่อสารภาษาไทย สมสมัย สร้างสรรค์ สร้างอาชีพ คุณลักษณะพฤติกรรมนักศึกษาของสาขาวิชา บุคลิกภาพดี มีคุณธรรม มุ่งมั่นใฝ่รู้ สู้งาน
วรรณสารฉบับที่ ๖๓
หน้า ๑๑๑