บทที่ 4 รู ปแบบการเชื่อมโยงเครือข่ าย และเครือข่ ายท้ องถิ่น จุดประสงค์ เชิงพฤติกรรม 1. แสดงความรู ้เกี่ยวกับการเชื่อมต่อเครื อข่ายแบบจุดต่อจุดและแบบหลายจุด 2. อธิบายการเชื่อมโยงเครื อข่ายในรู ปแบบบัส แบบดาว และแบบวงแหวนได้ 3. เห็นความสาคัญต่อโครงการ 802 ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อกาหนดมาตรฐานเครื อข่ายท้องิิ่น 3. แสดงความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีเครื อข่ายท้องิิ่น ทั้งอีเทอร์เน็ต ไอบีเอ็มโทเก้นริ ง และเอฟดีดีไอ
การเชื่อมต่ อเครือข่ าย 1. การเชื่อมต่ อแบบจุดต่ อจุด (Point-to-Point) เป็ นการเชื่ อ มต่ อ ระหว่างอุ ป กรณ์ ส องตัว ช่ อ งทางการสื่ อ สารจะิูก จับจอง ให้กบั อุปกรณ์ท้ งั สองเพื่อการสื่ อสารระหว่างกันโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม กรณี โหนด คู่ใดคู่หนึ่งไม่ได้เชื่อมิึงกัน ก็สามาริสื่ อสารผ่านโหนดที่อยูต่ ิดกัน เพื่อ ส่ งทอดไปยังโหนดปลายทางได้ พิจารณาจากรู ป โหนด A สามาริสื่ อสาร โดยตรงกับโหนด B และ C แต่ิา้ ต้องการสื่ อสารกับโหนด D จึงต้องพึ่งพาลิงก์ C เพื่อส่ งทอดข้อมูลไปยังโหนด D
ข้อดีและข้อเสี ยของการเชื่อมต่อแบบจุดต่อจุด ข้อดี 1. สามาริใช้ความเร็ วในการสื่ อสารระหว่างกันได้อย่างเต็มที่ เหมาะกับการ ส่ ง2. ข้อมูลคราวละมากๆ แบบต่อเนื่องกันไป 3. เนื่องจากมีการสื่ อสารระหว่างโหนด จึงมีความปลอดภัยในข้อมูล ข้อเสี ย 1. หากเครื อข่ายมีจานวนโหนดมากขึ้น ก็จะต้องใช้สายสื่ อสารมากขึ้น 2. ไม่เหมาะกับเครื อข่ายขนาดใหญ่
การเชื่อมต่ อแบบหลายจุด (Multi-Point) เป็ นการเชื่อมต่อโดยใช้เส้นทางลาเลียงข้อมูลเพื่อการสื่ อสารร่ วมกัน กล่าวคือ โหนดหรื ออุปกรณ์ใดๆ บนเครื อข่ายสามาริใช้สายสื่ อสารเส้นเดียวกันนี้ ใน การรั บ ส่ งข้อมู ลร่ วมกัน ดังนั้น การเชื่ อ มต่ อ ในรู ป แบบนี้ จึ งประหยัดสาย สื่ อสารกว่าแบบแรก และโดยส่ วนใหญ่แล้ว เครื อข่ายคอมพิวเตอร์ ทวั่ ไป มัก ใช้วิธีการเชื่อมโยงแบบหลายจุด
ข้อดีและข้อเสี ยของการเชื่อมต่อแบบหลายจุด ข้อดี 1. ประหยัดสายส่ งข้อมูล 2. การเพิม่ โหนด สามาริเพิม่ ได้ทนั ทีดว้ ยการเชื่อมต่อเข้ากับสายส่ งที่ใช้งาน ร่ วมกัน ข้อเสี ย 1. หากสายสื่ อสารขาด จะส่ งผลกระทบต่อเครื อข่ายโดยรวม 2. เนื่องจากใช้สายส่ งข้อมูลร่ วมกัน ดังนั้นต้องมีกลไกควบคุมการส่ งข้อมูล 3. ไม่เหมาะกับการส่ งข้อมูลแบบต่อเนื่อง ที่ส่งข้อมูลคราวละมากๆ
รู ปแบบการเชื่อมโยงเครือข่ าย โทโพโลยีแบบบัส (Bus Topology) เป็ นรู ปแบบการเชื่อมโยงเครื อข่ายแบบแรกที่ิกู นามาใช้บนเครื อข่ายท้องิิ่น โทโพโลยีแบบบัสนั้น จะมีสายเคเบิลเส้นหนึ่ง ทาหน้าที่เป็ นสายแกนหลัก โดย โหนดต่างๆ จะเชื่อมเข้ากับสายแกนหลักเส้นเดียวกันนี้
รู ป แบบการเชื่ อ มโยงเครื อ ข่ า ยแบบบัส นั้น เมื่ อ ต้องการเชื่อมโหนดใดๆ เข้ากับสายเคเบิล จะต้อง มีอุปกรณ์ชนิ ดหนึ่ งที่เรี ยกว่าแท็ป (Tap) เพื่อนาไป ประกอบเข้ากับคอนเน็กเตอร์ ของการ์ ดเครื อข่าย โดยแท็ปในที่ น้ ี ก็คือ ตัว T-Connector ที่ ใช้บน เครื อข่ายท้องิิ่นแบบ 10Base2 นัน่ เอง ส่ วนปลายสายเคเบิ ลทั้งสองฝั่ ง จ าเป็ นต้องมี อุปกรณ์ที่เรี ยกว่า Terminator ปิ ดไว้ที่ปลาย สาย ซึ่ งอุปกรณ์น้ ี จะช่วยดูดซับสัญญาณ ไม่ให้ เกิ ด การสะท้ อ นกลั บ ของสั ญ ญาณ (Echo) ภายในสายส่ ง กรณี ที่สัญญาณวิ่งมาิึงจุดปลาย ของสายเคเบิล
ข้อดีและข้อเสี ยของโทโพโลยีแบบบัส ข้อดี 1. รู ปแบบโครงสร้างไม่ซบั ซ้อน ติดตั้งง่าย 2. การเพิม่ โหนด สามาริเชื่อมต่อเข้ากับสายแกนหลักได้ทนั ที 3. ประหยัดสายส่ งข้อมูล เนื่องจากแชร์ ใช้งานสายเส้นเดียวกันทั้งเครื อข่าย ข้อเสี ย 1. หากสายแกนหลักขาดหรื อเสี ยหาย เครื อข่ายทั้งระบบจะหยุดทางาน 2. กรณี เครื อข่ายมีปัญหาและเชื่อมต่อไม่ได้ จะตรวจสอบจุดเสี ยค่อนข้างยาก 3. แต่ละโหนดที่เชื่อมต่อบนเครื อข่าย จะต้องอยูห่ ่างกันตามข้อกาหนด
โทโพโลยีแบบดาว (Star Topology) การเชื่ อมโยงเครื อข่ายตามมาตรฐานโทโพโลยีแบบดาว จะมีอุปกรณ์สาคัญ ชิ้ นหนึ่ งที่ เรี ยกว่าฮับ (Hub) โดยทุกๆ โหนดบนเครื อข่ายจะต้องเชื่ อมโยง สายสัญญาณเข้ากับศูนย์กลางฮับแห่ งนี้
ข้อดีและข้อเสี ยของโทโพโลยีแบบดาว ข้อดี 1. มีความคงทนสู งกว่าแบบบัส หากสายเคเบิลบางโหนดเสี ยหายจะไม่กระทบ ต่อโหนดอื่นๆ 2. การวิเคราะห์จุดเสี ยบนเครื อข่ายทาได้ง่ายกว่า เนื่องจากมีฮบั เป็ นศูนย์กลาง ข้อเสี ย 1. สิ้ นเปลืองสายเคเบิล เนื่องจากทุกๆ โหนดต้องมีสายเคเบิลเชื่อมโยงเข้ากับฮับ 2. พอร์ ตเชื่อมต่อบนฮับมีจากัด ิ้าใช้จนเต็ม สามาริเชื่อมโยงฮับตัวที่สองได้ แต่นนั่ หมายิึงต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม 3. หากอุปกรณ์ฮบั เสี ยหาย เครื อข่ายจะหยุดทางานทันที
โทโพโลยีแบบวงแหวน (Ring Topology) โทโพโลยีแบบวงแหวนนั้น โหนดแรกและโหนดสุ ดท้ายจะเชื่ อมโยงิึ งกัน ก่อให้เกิ ดมุ มมองทางกายภาพเป็ นรู ปวงกลมขึ้นมา โหนดต่างๆ บนเครื อข่าย แบบวงแหวนนั้น จะทาหน้าที่ส่งทอดสัญญาณไปในทิศทางเดียวกัน ด้วยการส่ ง ทอดไปยังทีละโหนดิัดไปเรื่ อยๆ นัน่ หมายความว่าแต่ละโหนดบนเครื อข่าย จะทาหน้าที่เป็ นเครื่ องทวนสัญญาณไปในตัวนัน่ เอง
ข้อดีและข้อเสี ยของโทโพโลยีแบบวงแหวน ข้อดี 1. โพรโทคอลที่ใช้ควบคุมการสื่ อสารในเครื อข่าย จะไม่มีการชนกันของกลุ่ม ข้อมูล 2. ประหยัดสายเคเบิล 3. การติดตั้งไม่ยงุ่ ยาก รวมิึงการเพิม่ หรื อลดโหนดก็ทาได้ง่าย
ข้อเสี ย 1. สายเคเบิลที่ใช้เป็ นวงแหวน หากเกิดชารุ ดเสี ยหาย เครื อข่ายจะหยุดทางาน 2. หากมีบางโหนดบนเครื อข่ายเกิดข้อขัดข้อง จะยากต่อการตรวจสอบและค้นหา โหนดที่เสี ย
โครงการหมายเลข 802 ในปี ค.ศ. 1985 ทางสิาบัน IEEE ได้ริเริ่ มโครงการสาคัญโครงการหนึ่ ง โดยตั้งชื่อโครงการนี้ วา่ โครงการหมายเลข 802 หรื อ Project 802 โดย โครงการดังกล่าวจัดตั้งขึ้นเพื่อต้องการให้ผลิตภัณฑ์อุปกรณ์สื่อสารที่มาจาก แหล่ ง ผูผ้ ลิ ต ต่ า ง ๆ สามาริสื่ อ สารให้เป็ นไปตามมาตรฐานเดี ย วกัน มี วัติุประสงค์เพื่อกาหนดหน้าที่และรายละเอียดของชั้นสื่ อสารทางกายภาพ ชั้นสื่ อสารเชื่อมต่อข้อมูล และส่ วนขยายเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ที่มุ่งใช้งานบน เครื อข่ายท้องิิ่นเป็ นสาคัญ
รายละเอียดย่อยของโครงการ 802 IEEE 802.1 (Higher Layer LAN Protocols) มาตรฐานการกาหนด ควบคุม และจัดการระบบเครื อข่าย IEEE 802.2 (Logical Link Control) มาตรฐานเกี่ยวข้องกับฟังก์ชนั และโพรโทคอล LLC บนเครื อข่ายท้องิิ่น IEEE 802.3 (CSMA/CD : Ethernet) มาตรฐานข้อกาหนดด้านคุณสมบัติของโพรโทคอลอีเทอร์เน็ต IEEE 802.3u (Fast Ethernet) มาตรฐานข้อกาหนดของอีเทอร์เน็ตความเร็ วสูง
IEEE 802.3z (Gigabit Ethernet) มาตรฐานข้อกาหนดของกิกะบิตอีเทอร์เน็ต IEEE 802.3ae (10 Gigabit Ethernet) มาตรฐานข้อกาหนดของ 10 กิกะบิตอีเทอร์เน็ต IEEE 802.4 (Token Bus) มาตรฐานของโทเก้นบัส วิธีการส่ งข้อมูลบนสาย และสื่ อกลางที่ใช้ส่งข้อมูล IEEE 802.5 (Token Ring) มาตรฐานเครื อข่ายโทเก้นริ ง ที่ใช้โพรโทคอล Token-Passing IEEE 802.6 (MAN : Metropolitan Area Network) มาตรฐานเครื อข่ายระดับเมือง
IEEE 802.7 (Broadband Local Area Networks) มาตรฐานเครื อข่ายท้องิิ่นแบบบรอดแบนด์
IEEE 802.8 (Fiber Optics) มาตรฐานการใช้สายส่ งข้อมูลแบบไฟเบอร์ออปติค IEEE 802.9 (Integrate Voice and Data) มาตรฐานการส่ งข้อมูลและเสี ยงร่ วมกัน บนสื่ อกลางเดียวกัน IEEE 802.10 (LAN/MAN Security) มาตรฐานระบบความปลอดภัยของเครื อข่ายท้องิิ่นและเครื อข่ายระดับเมือง IEEE 802.11 (Wireless LAN) มาตรฐานของเครื อข่ายท้องิิ่นแบบไร้สาย
ระบบเครือข่ ายท้ องถิ่น ระบบเครื อข่ายท้องิิ่นหรื อเครื อข่ายแลน ในที่น้ ี จะขอกล่าว 3 ชนิดด้วยกัน อันได้แก่
1. อีเทอร์เน็ต 2. ไอบีเอ็มโทเก้นริ ง 3. เอฟดีดีไอ
อีเทอร์เน็ต (Ethernet) เครื อข่ายอี เทอร์ เน็ต จัดเป็ นเครื อข่ายท้องิิ่ นชนิ ดแรกที่ นามาใช้ในแวดวง ธุ รกิจในราวปี ค.ศ. 1979 และนับจากนั้นเป็ นต้นมาจนิึงปั จจุบนั อีเทอร์ เน็ต ก็เ ป็ นเครื อ ข่ า ยที่ มี ค วามนิ ย มสู ง สุ ด รู ป แบบการเชื่ อ มต่ อ ของเครื อ ข่ า ย อีเทอร์ เน็ตตั้งอยูบ่ นพื้นฐานเครื อข่ายแบบบัสตามมาตรฐาน IEEE 802.3 โดย ใช้โพรโทคอล CSMA/CD เป็ นตัวควบคุมจัดการการเข้าิึงสื่ อกลาง สาหรับ มาตรฐาน 802.3 แบบดั้งเดิมได้กาหนดรู ปแบบการเชื่อมต่อไว้ 3 รู ปแบบ ด้วยกัน คือ 10Base5, 10Base2 และ 10BaseT ที่ส่งข้อมูลบนความเร็ ว 10 เม กะบิตต่อวินาที (10 Mbps)
10Base5 เป็ นมาตรฐานแรกของเครื อข่ายอีเทอร์ เน็ต โดยคาว่า Base ในที่น้ ี หมายิึงการส่ งสัญญาณแบบเบสแบนด์ดว้ ยการเข้ารหัสแมนเชสเตอร์ สาหรับ สัญญาณเบสแบนด์ก็คือสัญญาณดิจิตอลที่ส่งบนสื่ อกลางที่มีเพียงแิบความิี่ เแชนแนลเดียว ส่ วนหมายเลข 10 ในที่น้ ี คือ 10Mbps คือมีความเร็ วในการส่ ง ข้อมูลที่ 10 เมกะบิตต่อวินาที ในขณะที่หมายเลข 5 จะหมายิึงความยาวสู งสุ ด ของสายเคเบิลต่อหนึ่งเซกเม็นต์ ซึ่ งเท่ากับ 500 เมตร
บทสรุ ปข้อกาหนดตามมาตรฐานอีเทอร์เน็ตแบบ 10Base5 1. ส่ งข้อมูลแบบเบสแบนด์ 2. ความเร็ วในการส่ งข้อมูล 10 เมกะบิตต่อวินาที 3. ใช้สายโคแอกเชียลแบบหนา รหัส RG-8 4. ระยะไกลสุ ดในการเชื่อมโยงต่อหนึ่ งเซกเม็นต์คือ 500 เมตร 5. แต่ละโหนดที่ติดตั้งบนสาย ต้องห่างกัน 2.5 เมตร 6. ภายในหนึ่งเซกเม็นต์ เชื่อมต่อโหนดได้ไม่เกิน 100 เครื่ อง และหากใช้รีพีต เตอร์ เพื่อเพิ่มระยะทางก็จะสามาริขยายได้สูงสุ ด 5 เซกเม็นต์ รวมเป็ นระยะทาง 2,500 เมตร 7. ใช้การ์ ดเครื อข่ายที่มีซ็อกเก็ตแบบ AUI 8. ใช้เทอร์มิเนเตอร์ แบบ N-Series ที่มีความต้านทานทางไฟฟ้ า 50 โอห์ม
10Base2 มีชื่อเรี ยกอีกชื่อหนึ่ งว่า Thinnet เนื่องจากใช้สายโคแอกเชียลแบบ บางนัน่ เอง โดยมีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 0.25 นิ้ ว รายละเอียดของ 10Base2 จะคล้ายคลึงกับ 10Base5 คือส่ งข้อมูลแบบเบสแบนด์ ด้วยความเร็ ว 10 เมกะ บิตต่อวินาที ส่ วนหมายเลข 2 หมายิึงความยาวสู งสุ ดของสายเคเบิลต่อหนึ่ง เซกเม็นต์ ซึ่ งแท้จริ งแล้วมิ ใช่ 200 เมตรแต่อย่างใด แต่ให้ิือว่าเป็ นที่ รู้ๆ กัน คือ 185 เมตร (เพราะหากตั้งชื่อว่า 10Base185 จะแลดูแปลกและไม่เหมาะสม นัก) ข้อกาหนดของ 10Base2 จะใช้สายโคแอกเชียลแบบบาง รหัส RG-58 A/U ระยะห่ างของแต่ ละโหนดที่ เชื่ อมโยงกันต้อ งมี ระยะห่ างกันไม่ ต่ ากว่า 0.5 เมตร ส่ วนการ์ ดเครื อข่ายจะมีหวั เชื่อมต่อแบบ BNC และเมื่อเชื่อมต่อเข้ากับ โหนดต้องใช้อุปกรณ์แท็ปที่เรี ยกว่าทีคอนเน็กเตอร์ โดยใช้เทอร์ มิเนเตอร์ ที่มี ความต้านทานทางไฟฟ้ า 50 โอห์ม ปิ ดปลายสายเคเบิลทั้งสองฝั่ง
บทสรุ ปข้อกาหนดตามมาตรฐานอีเทอร์เน็ตแบบ 10Base2 1. ส่ งข้อมูลแบบเบสแบนด์ 2. ความเร็ วในการส่ งข้อมูล 10 เมกะบิตต่อวินาที 3. ใช้สายโคแอกเชียลแบบบาง รหัส RG-58 A/U 4. ระยะไกลสุ ดในการเชื่อมโยงต่อหนึ่ งเซกเม็นต์คือ 185 เมตร 5. แต่ละโหนดที่ติดตั้งต้องห่ างกันอย่างน้อย 0.5 เมตร 6. ภายในหนึ่งเซกเม็นต์ เชื่อมต่อโหนดได้ไม่เกิน 30 เครื่ อง และหากใช้รีพีต เตอร์ เพื่อเพิม่ ระยะทางก็จะสามาริขยายได้สูงสุ ด 5 เซกเม็นต์ รวมระยะทาง ประมาณ 1,000 เมตร 7. ใช้การ์ ดเครื อข่ายที่มีซ็อกเก็ตแบบ BNC 8. ใช้เทอร์มิเนเตอร์ ที่มีความต้านทานทางไฟฟ้ า 50 โอห์ม
10BaseT เป็ นมาตรฐานเครื อข่าย 802.3 ที่ได้รับความนิ ยมสู งสุ ด (ปั จจุบนั มีการนาเทคโนโลยีน้ ี ไปพัฒนาให้ส่งข้อมูลด้วยความเร็ ว สู งขึ้น) ใช้สาย UTP แทนสายโคแอกเชียล และเชื่อมต่อเครื อข่าย ในรู ปแบบดาว โดยมีอุปกรณ์ฮบั เป็ นศูนย์กลางของสายส่ งข้อมูล รู ปแบบการเชื่ อมต่อเครื อข่ายแบบ 10BaseT สามาริเรี ยกอีกชื่ อ หนึ่งว่า Twisted-Pair Ethernet ใช้สาย UTP และหัวเชื่อมต่อ RJ-45 ส่ งข้อมูลแบบเบสแบนด์ดว้ ยความเร็ ว 10 เมกะบิตต่อวินาที ความ ยาวสู งสุ ด ของสายสัญญาณที่ เ ชื่ อมต่อระหว่างฮับกับโหนด จะมี ความยาวได้ไม่เกิน 100 เมตร สาหรับข้อกาหนดเดิมของมาตรฐาน 10BaseT จะใช้สาย UTP รหัส CAT-3 หรื อ CAT-5 ใช้การ์ ด เครื อข่ายที่มีซ็อกเก็ตแบบ RJ-45
บทสรุ ปข้อกาหนดตามมาตรฐานอีเทอร์เน็ตแบบ 10BaseT 1. ส่ งข้อมูลแบบเบสแบนด์ 2. ความเร็ วในการส่ งข้อมูล 10 เมกะบิตต่อวินาที 3. ใช้สายเคเบิลชนิดยูทีพี รหัส CAT-3 หรื อ CAT-5 4. มีอุปกรณ์ฮบั เป็ นศูนย์กลางรับส่ งข้อมูลบนเครื อข่าย 5. ระยะไกลสุ ดในการเชื่อมโยงต่อหนึ่ งเซกเม็นต์ หรื อจากฮับไปยังโหนดยาวได้ ไม่เกิน 100 เมตร 6. ภายในหนึ่งเซกเม็นต์ เชื่อมต่อโหนดได้หลายร้อยเครื่ อง ทั้งนี้จะต้องติดตั้ง สแตกฮับที่เชื่อมต่อฮับหลายตัวเข้าด้วยกัน 7. ใช้การ์ ดเครื อข่ายที่มีซ็อกเก็ตแบบ RJ-45
มาตรฐาน 10BaseT ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทาให้สามาริ รับส่ งข้อมูลได้เร็ วขึ้น ซึ่งประกอบด้วยเทคโนโลยีต่อไปนี้ สวิตช์ อเี ทอร์ เน็ต (Switched Ethernet) เป็ นเครื อข่าย 10BaseT แบบเดิม เพียงแต่ใช้อุปกรณ์สวิตช์แทนฮับ อีเทอร์ เน็ตความเร็วสู ง (Fast Ethernet) เป็ นเครื อข่ายที่พฒั นาความเร็ วมาเป็ น 100 เมกะบิตต่อวินาที ด้วยการ ใช้การ์ดเครื อข่ายแบบ 100 เมกะบิต หรื อแบบ 10/100 เมกะบิต และใช้ สวิตช์แทนฮับ
กิกะบิตอีเทอร์ เน็ต (Gigabit Ethernet) เป็ นเครื อข่ายที่พฒั นาความเร็ วมาเป็ น 1,000 เมกะบิตต่อวินาที หรื อ 1 กิกะบิต (Gbps) ต่อวินาที ด้วยการใช้การ์ดเครื อข่ายแบบกิกะบิต กิกะบิตสวิตช์ รวมิึงสายเคเบิลแบบใยแก้วนาแสง
ไอบีเอ็มโทเก้นริ ง (IBM Token Ring) โพรโทคอล CSMA/CD ที่ใช้งานบนเครื อข่ายอีเทอร์ เน็ต เป็ นกลไกการส่ งข้อมูลบนเครื อข่ายที่มีโอกาสเกิดการชนกัน ของกลุ่มข้อมูลสู งเมื่อการจราจรบนเครื อข่ายหนาแน่ น ใน ขณะเดียวกันโพรโทคอล Token Passing ที่ใช้งานบน เครื อข่ายโทเก้นริ งนั้น จะไม่ก่อให้เกิ ดการชนกันของกลุ่ม ข้อมูลเลย
เอฟดีดีไอ (FDDI) หน่วยงาน ANSI ได้กาหนดโพรโทคอลที่ใช้งานบนเครื อข่ายท้องิิ่น โดยมี การควบคุมแบบโทเก้นริ ง ส่ งข้อมูลด้วยความเร็ ว 100 เมกะบิตต่อวินาทีบน สายเคเบิ ลใยแก้วนาแสง กลไกการส่ งข้อ มูลบนเครื อ ข่ายเอฟดี ดีไอจะใช้ Token Passing เช่นเดียวกับไอบีเอ็มโทเก้นริ ง แต่เอฟดีดีไอจะทางานด้วย ความเร็ วสู งกว่า ประกอบกับ เครื อ ข่ ายเอฟดี ดีไอยังสามาริออกแบบเพื่ อ รองรั บความเสี ยหายของระบบได้ ด้วยการเพิ่มวงแหวนในเครื อข่ายเพิ่มอีก รวมเป็ น 2 วงแหวนด้วยกัน ซึ่ งประกอบด้วยวงแหวนปฐมภูมิ และวงแหวน ทุติยภูมิ
วงแหวนปฐมภูมิ (Primary Ring) คือวงแหวนหลักด้านนอก ซึ่ งใช้เป็ น สายส่ ง ข้อ มู ลหลัก ภายในเครื อ ข่ า ย โดยรหัส โทเก้น จะวิ่ ง รอบวงแหวน ทิศทางใดทิศทางหนึ่ง วงแหวนทุติยภูมิ (Secondary Ring) คือวงแหวนสารองที่อยูด่ า้ นใน โดย โทเก้นที่ อยู่วงแหวนด้านในจะวิ่งสวนในทิ ศทางตรงกันข้ามกับวงแหวน ด้านนอก วงแหวนทุ ติยภูมิจะิูกใช้งานเมื่ อวงแหวนปฐมภูมิเกิ ดปั ญหา เช่น สายเคเบิ ลที่ วงแหวนปฐมภูมิขาด และเมื่ อเหตุการณ์ดงั กล่าวเกิ ดขึ้น วงจรภายในวงแหวนทุ ติ ย ภูมิ ก็จ ะเริ่ ม ท างานด้ว ยการเชื่ อ มต่ อ เข้า กับ วง แหวนปฐมภูมิทนั ที ทาให้สามาริประคับประคองระบบให้ยงั คงทางาน ต่อไปได้ โดยโทเก้นก็ยงั คงสามาริวิ่งรอบภายในรอบวงแหวนได้เช่นเดิม ทาให้เครื อข่ายสามาริดาเนิ นการได้ตามปกติ