บทนำ เกียวโต, ยุคเฮอัน รัชสมัยจักรพรรดิโทบะ
เสียงฝีเท้า กระทบพื้นไม้ดังตามจังหวะการย่างก้าว ผ่านระเบียงไม้ที่
ทอดยาวไปสู่สวนหลังพระราชสำนัก บ่อน้ำที่ห้อมล้อมด้วยหินอ่อนสีขาวดูวังเวง และน่าขนลุก ความสวยงามที่เคยมีเลือนหายไปเมื่อบรรยากาศทะมึนเข้าปกคลุม ยามนี้ทั่วบริเวณคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่ดูตื่นตระหนก ทุกคนล้วนสาละวน อยู่กับภารกิจที่ตนได้รับมอบหมายและรีบเร่งจนไม่ทันสังเกตเห็นชายหนุ่มในชุด นักพรตสีขาวยาวกรอมเท้าที่กำลังสาวเท้าแหวกฝูงชนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เสียงท้องฟ้าคำรามราวกับสัตว์รา้ ยเรียกนัยน์ตาดำเข้มให้ตวัดไปมอง ใบหน้า ฉายรอยเคร่งเครียดทันใดยามพินิจนภาสีแดงฉานประหนึ่งถูกย้อมไว้ด้วยเลือด ‘ท้องฟ้าสีแดง’ ‘สัญญาณของลางร้าย’ ร่างสูงลอบกลืนน้ำลาย ประสาทสัมผัสที่ไวกว่าคนทั่วไปจับได้ถึงกลิ่นคาว คละคลุ้งที่ลอยตามสายลมมาไม่ขาดสาย ไม่ต้องเดาเลยว่าต้นทางของมันมาจาก ‘สงคราม’ ที่ ก ำลั ง คุ ก รุ่ น ณ ลานกว้ า งซึ่ ง ห่ า งจากตำหนั ก หลวงแห่ ง นี้ ไ ปไม่ ไ กล เท่าไหร่นัก ‘ต้องรีบแล้ว’ ‘สถานการณ์เลวร้ายลงทุกขณะ’ คิดได้ดงั นัน้ จึงกระชับกล่องไม้ขนาดเล็กในมือก่อนออกเดินต่อไปยังจุดหมาย 1
Senorita-P
ปลายทางที่ตั้งมั่นเอาไว้ พยายามไม่แสดงสีหน้าให้คนรอบข้างจับพิรุธใด ๆ ได้ ครั้นเมื่อใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ ชายหนุ่มก็มาถึงห้องเก็บสมบัติที่อยู่ในส่วน ลึกสุดของตำหนักหลวง มือหนาสะเดาะกลอนประตูด้วยความเงียบเชียบ หันซ้าย แลขวาเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าการบุกรุกโดยพลการในครั้งนี้มิได้ไปสะดุดสายตา ของใครเข้า จากนั้นเมื่อเห็นทางสะดวก ร่างสูงก็หายวับเข้าไปในห้องดังกล่าว จัดการ หาที่ซ่อนกล่องไม้ในมือตามคำสั่งของ ‘ท่านผู้นั้น’ ด้วยความรวดเร็ว ดวงตาสีดำเข้มมองสำรวจไปทั่ว พยายามมองหาจุดที่เหมาะสมที่สุด จุด ที่จะไม่สะดุดตาและเป็นที่สนใจ จุดที่ใคร ๆ ก็คงไม่คิดว่าสิ่งของสำคัญล้ำค่าจะไป หลบซ่อนอยู่ได้ แล้วในที่สุดเขาก็เจอมัน...มุมอับบนชั้นวางตำราที่ไม่มีใครหยิบออกมาอ่าน นานแรมปี มือหนาจัดการซุกวัตถุในมือไว้ที่ช่องแคบนั้น แล้วเลือกสรรหนังสือที่มี ฝุ่นเขรอะมากมายมาอำพรางอีกชั้น ก่อนจะถอยออกมามองผลงานตัวเองด้วย สีหน้าพึงพอใจ มั่นใจว่าจะไม่มีใครพบเห็นวัตถุชิ้นนี้จนกว่าจะถึงเวลาอันเหมาะสม ทว่ า ทั น ใดนั้ น เอง หู ที่ มี ป ระสาทสั ม ผั ส ไวกว่ า ปกติ ก็ จั บ ได้ ถึ ง เสี ย งฝี เ ท้ า ของผู้ ม าเยื อ นซึ่ ง เข้ า ใกล้ ห้ อ งเก็ บ ของแห่ ง นี้ ม ากขึ้ น ทุ ก ขณะ ชายหนุ่ ม ชั ก สี ห น้ า เคร่งเครียด เร่งมองสำรวจความเรียบร้อยอีกรอบ จากนั้นจึงเดินออกจากห้อง แล้วลงกลอนประตู ทำประหนึ่งว่าห้องนี้ไม่เคยมีใครเปิดออกมาก่อนอย่างแนบเนียน “หืม ฮายาโตะงั้นหรือ เจ้ามาทำอะไรตรงนี้เล่า ด้านนอกวุ่นวายกันใหญ่ แล้ว” ผู้มาใหม่เอ่ยถาม มุ่นคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นเพื่อนนักพรตร่วมรุ่นอยู่ผิดที่ ผิดทาง โดยตัวเขานั้นกำลังรวบรวมอุปกรณ์ต่าง ๆ ตามที่ได้รับมอบหมายเพื่อนำ ออกไปช่วยเหลือทหารผู้บาดเจ็บจากสงครามด้านนอก “มาตามหาหมอหลวงน่ะ แต่ดูท่าว่าท่านจะไม่ได้อยู่แถวนี้” ฮายาโตะ บุตรชายคนโตแห่งตระกูลอิเคดะตอบกลับเสียงเรียบ 2
Erika No Nikki เอริกะกับปริศนาซากุระ
ได้ยินเช่นนั้นอีกฝ่ายจึงพยักหน้ารับอย่างไม่ติดใจสงสัย แต่จู่ ๆ ก็ชะงักไป เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ ร่างสูงสาวเท้ามาประชิดทันใด หันซ้ายแลขวาราวกับ กลัวใครมาได้ยินเรื่องที่กำลังจะพูด “เจ้ามาจากด้านนอกสินะ ได้ข่าวอะไรบ้างหรือไม่” นั ก พรตหนุ่ ม ร่ ว มรุ่ น นามโทยะยิ งคำถามเสี ย งแผ่ ว มองออกว่ า ต้ อ งการ ทราบข่าวคราวของสงคราม แต่ไม่อยากพูดจาโจ่งแจ้งเกินไปนัก เพราะกลัวจะไป สร้างความตื่นตระหนกให้คนที่ผ่านไปมา เห็นดังนั้นฮายาโตะจึงลอบระบายลมหายใจ ตัดสินใจตอบกลับด้วยคำตอบ ที่พอจะให้ได้ “ไม่รู้อะไรมากไปกว่าเจ้าหรอก แต่ถ้ามันยังดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ...ก็คงต้าน ไว้ได้ไม่เกินคืนนี้” ‘คนเจ็บมีมาก...และคนตายก็เยอะเกินไป’ คำตอบมาพร้อมสีหน้าเศร้าหมอง ยามนึกย้อนไปถึงภาพการนองเลือด บนสนามรบ ผืนดินที่เคยเขียวชอุ่มถูกย้อมด้วยสีแดงฉาน กลิ่นคาวเลือดลอย กลมกลืนกับอากาศ กลบความหอมหวานของมวลบุปผาทีป่ ลูกไว้รอบวังหลวงแห่งนี้ ไปเสียสิ้น ทว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่การรบราฆ่าฟัน ไม่ใช่สมรภูมิสีแดงที่มีเปลวเพลิง ลามเลียไปทั่ว ไม่ใช่ศพมากมายที่นอนก่ายกองจนไม่อาจนับจำนวนได้ แต่เป็นศัตรูต่างหาก...‘สิ่งมีชีวิต’ ที่เป็นต้นเหตุแห่งโศกนาฏกรรมครั้งนี้ “งั้นหรือ...ย่ำแย่ถึงเพียงนั้นเชียว” โทยะทวนคำ ท่าทางของเพื่อนร่วมรุ่นทำให้อดเคร่งเครียดไม่ได้ ตัวเขานั้น รู้ดีว่าฮายาโตะเป็นนักพรตที่มีความสามารถแค่ไหน และมีสติรอบคอบในการ ประเมินสถานการณ์มากเพียงไร ดังนั้นถ้าคนตรงหน้าบอกว่ากำลังจะเพลี่ยงพล้ำ...นั่นก็แปลว่าเวลากำลัง นับถอยหลังจริง ๆ ระหว่างที่ทั้งสองนิ่งเงียบและตกอยู่ในบรรยากาศแห่งความตึงเครียด เสียง ฝีเท้าคู่ที่สามก็ดังขึ้น มันเป็นฝีเท้าที่เร่งรีบ จนเรียกสายตานักพรตหนุ่มทั้งสอง 3
Senorita-P
ให้ตวัดไปมองอย่างช่วยไม่ได้ “พะ...พวกเจ้า!” คำร้องเรียกจากบุคคลผู้มาใหม่มาพร้อมกับสีหน้าปีติยินดี ซึ่งไม่เข้ากับ สถานการณ์ที่กำลังดำเนินไปในปัจจุบันแม้แต่น้อย ส่งผลให้คนมองต้องยิงคำถาม สวนด้วยความสงสัย “มีอะไรงั้นหรือโอตะ ด้านนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น” เป็นฮายาโตะที่ชิงถามขึ้นมาก่อน นัยน์ตาหรี่ลง รอฟังคำตอบจากเพื่อน ร่วมรุ่นอีกคนที่มีอาการหอบเล็กน้อยอันเนื่องมาจากการออกแรงวิ่ง กระนั้นก็ยังมี รอยยิ้มกว้างประดับอยู่บนใบหน้าที่ชุ่มโชกไปด้วยเม็ดเหงื่อ “พวกมันไปแล้ว...พวก ปีศาจ ไปจากที่นี่หมดแล้ว!” คนถูกถามเอ่ยตอบพร้อมขยับยิ้มร่า ทันใดนั้นเสียงพลุไฟและเสียงโห่ร้อง ด้วยความยินดีก็ดังมาจากด้านนอก ช่วยสนับสนุนข่าวสารที่เพิ่งมาถึงได้เป็นอย่างดี ดูเหมือนว่ายามนี้สถานที่ซึ่งเคยปกคลุมไปด้วยความเศร้าหมองและทุกข์ระทม จนแปรเปลี่ยนเป็นอีกอย่างราวหน้ามือกับหลังมือ “ว่าอย่างไรนะ! ไปหมดแล้ว ได้เช่นไรกัน ก็ก่อนหน้านี้...” ‘พวกเราเป็นฝ่ายถูกไล่ฆา่ จนแทบจะต้านไว้ไม่อยู’่ คือคำพูดทีเ่ กือบหลุดปาก ออกไป แต่ก็ยั้งไว้ได้ทัน “ข้าเองก็ไม่รู้รายละเอียดมากนักหรอก รู้แค่ว่าพวกเราเป็นฝ่ายชนะ และ สงครามก็จบลงแล้ว” โอตะตอบกลับ ก่อนจะหันไปหาโทยะที่มีสีหน้าโล่งใจและยินดีในชัยชนะ ครั้งนี้เช่นกัน ซึ่งมันควรจะเป็นอาการที่ปรากฏในบุคคลทั่วไปยามได้รับข่าวดีเช่นนี้ เพราะ นั่นหมายความว่าภัยพิบัติที่ยื้อยุดมานานกว่าครึ่งปีจบลงแล้ว ทว่าฮายาโตะกลับไม่ได้เป็นเช่นนัน้ เพราะแทนทีจ่ ะฉีกยิม้ หรือโล่งใจ ใบหน้า ของนักพรตหนุ่มกลับฉายรอยสงสัยและครุ่นคิดในคราวเดียวกัน จนในที่สุดหลังชั่งใจอยู่นานก็ตัดสินใจถามข้อสงสัยออกไป “ตอนนี้ท่านองเมียวจิ๑อยู่ที่ใด” 4
Erika No Nikki เอริกะกับปริศนาซากุระ
คำถามที่แทรกขึ้นกลางวงทำให้เพื่อนอีกสองคนหันมามองด้วยความฉงน เล็กน้อย ก่อนโอตะที่เป็นคนนำข่าวดีเรื่องนี้มาบอกจะเป็นคนให้คำตอบ “ได้ยินว่าตอนนี้กำลังเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิอยู่ เจ้ามีธุระอะไรงั้นหรือ” ชายหนุ่มถามกลับพร้อมจับจ้องเพื่อนร่วมรุน่ ที่แสดงสีหน้าแปลกตา เป็นเหตุ ให้โทยะต้องหันมามองด้วยความประหลาดใจเช่นกัน “มีอะไรหรือฮายาโตะ สีหน้าเจ้าดูไม่ดีเลยนะ” นาทีนั้นคนถูกถามจึงรู้ตัวว่าเผลอแสดงอาการมีพิรุธออกไป รีบส่ายหน้า ปฏิ เ สธพลางขยั บ ยิ้ ม แม้ ว่ า ที่ จ ริ ง แล้ ว ในใจจะมี ข้ อ สงสั ย มากมายลอยวนเวี ย น เต็มไปหมดก็ตาม “สงครามยุติลงเช่นนี้ ต่อไปคงจะมีงานฉลองใหญ่ตามมาเป็นแน่” โทยะสันนิษฐาน ยกมือขึ้นปรบกลางอากาศด้วยความชอบใจ แต่นั่นกลับ เรียกสายตาดุดันของฮายาโตะให้ตวัดไปมองทันใด “เจ้ายังมีแก่ใจจะมาฉลองอีกหรือ ด้านนอกนั่นมีศพกองพะเนินเป็นภูเขา ทหารหลายนายเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ต้องหาเลี้ยงภรรยา เป็นบิดาของบุตรที่บัดนี้ ต้องกำพร้า การตายของคนเหล่านั้นมีอะไรให้น่าฉลองกัน” เสียงทุ้มเอ่ยตำหนิเยียบเย็น ใบหน้าเครียดขรึมส่งผลให้คนฟังถึงกับนิ่งค้าง ใบหน้าที่ยิ้มค้างอยู่ค่อย ๆ หุบลงทันควันก่อนจะแทนที่ด้วยความสำนึกผิด “ขอโทษด้วย...ข้าเองไม่ทันนึก” โทยะกล่าวเสียงแผ่ว ลอบระบายลมหายใจเหยียดยาวในคราวเดียวกัน “เอาน่ะ ๆ อย่าทะเลาะกันเลย อย่างไรเสียการที่สงครามสงบลงแล้วก็เป็น เรื่องน่ายินดีอยู่ดี เพียงแต่ข้าก็เห็นด้วยกับฮายาโตะ...คงไม่มีงานรื่นเริงเกิดขึ้น ในเร็ววันนี้หรอก” ๑ องเมียวจิ (陰陽師) เป็นผู้ศึกษาหลักการของวิถีองเมียว (องเมียวโด) จนเชี่ยวชาญ ทั้งในด้าน เวทมนตร์คาถาและโหราศาสตร์ หน้าที่หลักขององเมียวจิคือ การสร้างความสมดุลของบ้านเมืองโดยอาศัย ปฏิทินทางดาราศาสตร์คล้าย ๆ กับพวกโหรพยากรณ์ และคุ้มครองบ้านเมืองให้พ้นจากสิ่งชั่วร้าย นอกจากนี้ ยังสามารถทำนายทายทัก เสริมความเจริญรุ่งเรือง ให้คำแนะนำในการย้ายเมืองหลวง และยังควบคุมภูตผี วิญญาณได้อีกด้วย
5
Senorita-P
เป็นโอตะที่แทรกขึ้นบ้าง และท้ายประโยคนั้นก็เรียกความสงสัยให้ปรากฏ ต่อคนฟังทันใด “สีหน้านั่นมันอะไรกัน มีเรื่องอะไรที่เจ้ารู้มาอีกงั้นหรือ” โทยะยิงคำถาม หรี่ตามองคู่สนทนาที่อมพะนำความลับบางอย่างเอาไว้ เห็นเช่นนั้นคนถูกถามจึงปั้นหน้าเครียด กวักมือเรียกคนอยากรู้ให้เข้ามา ใกล้ก่อนจะกระซิบตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “ได้ยินมาว่า...มีเชื้อพระวงศ์สิ้นพระชนม์ในสนามรบด้วยน่ะสิ” คำตอบนัน้ ทำเอาคนรอฟังถลึงตามอง อ้าปากค้างด้วยความตกใจ ไม่คดิ ฝัน มาก่อนว่าจะมีเรื่องร้ายแรงเช่นนั้นเกิดขึ้นท่ามกลางข่าวดี “เชื้อพระวงศ์! ท่านใดกัน” และโดยไม่มีใครสังเกต ยามนี้ฮายาโตะเบือนสายตาไปจากการสนทนา ตรงหน้า เพ่งมองไปยังประตูไม้ของห้องเก็บของที่ตนเพิ่งละจากมาเมื่อครู่ “ฮิเมะมิโกะ๒” โอตะกระซิบตอบ ความเศร้าหมองฉาบบนดวงหน้าอย่าง เห็นได้ชัด “ฮิเมะมิโกะงั้นรึ เจ้าหมายถึงท่านหญิงฮินะ...” “ชู่ว! อย่าเสียงดังไป เรื่องนี้ภายในพยายามเก็บเป็นความลับอยู่ ข้าเอง ก็ได้ยินมาจากพวกองครักษ์ในราชสำนักอีกที” ได้ยินดังนั้นโทยะก็สะอึก กลืนชื่อที่กำลังจะหลุดจากปากลงคอโดยไม่ต้อง สัง่ ซ้ำ กระนัน้ ก็ไม่อาจสะกดกลัน้ ความอยากรูอ้ ยากเห็นของตัวเองไว้ได้ จึงตัดสินใจ ถามคำถามใหม่ขึ้นมา “จะเก็บเป็นความลับได้อย่างไร เรือ่ งใหญ่ถงึ เพียงนี้ ไหนจะพิธพี ระราชทาน เพลิงพระศพ...” เป็นอีกครั้งที่นักพรตหนุ่มโดนขัดเมื่อเห็นเพื่อนผู้เป็นกระจอกข่าวส่ายหน้า ปฏิเสธ “คงไม่มีการจัดพิธีหรอก”
6
๒
ฮิเมะมิโกะ (皇女) หรือไนชินโน (内親王) เป็นตำแหน่งยศ หมายถึง เจ้าหญิง
Erika No Nikki เอริกะกับปริศนาซากุระ
“จะไม่มีได้อย่างไร องค์หญิงเชียวนะ” คำถามดังกล่าวเรียกอากัปกิริยาถอนใจเหยียดยาวแก่คนฟัง ก่อนโอตะ จะกวักมือเรียกคู่สนทนาเข้ามาใกล้อีกรอบแล้วเอ่ยตอบสิ่งที่รู้มา “เรือ่ งการสิน้ พระชนม์ขององค์หญิง ข้าได้ยนิ มาว่าท่านองเมียวจิเป็นคนกล่าว รายงานต่อองค์จักรพรรดิด้วยตนเอง เพราะท่านเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์และเห็นเอง กับตา ส่วนที่บอกว่าคงไม่มีพิธีน่ะ...” คนพูดเว้นวรรคไปเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยจบประโยคด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “เพราะว่าไม่มีศพน่ะสิ...วงในลือกันว่าพระศพองค์หญิงหายไปจากสนามรบ” สิ้นประโยคนั้นโทยะก็ถลึงตามองอีกรอบ คำถามมากมายพรั่งพรูออกจาก ปาก รีบลากโอตะมาเพื่อสนทนาถึงเรื่องนี้อย่างออกรส ซึ่งคนถูกถามแม้จะทำเป็น ไม่อยากเล่า แต่ก็เล่าเสียจนหมดเปลือก จะมีก็แต่ฮายาโตะเท่านั้นที่ยืนนิ่ง ไม่มีอาการตื่นเต้นใด ๆ ต่อข่าวสารที่ได้รับ และนั่นอาจเป็นเพราะว่าชายหนุ่มรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว ดวงตาดำเข้มตวัดมองไปยังประตูหอ้ งเก็บของอีกรอบ ครุน่ คิดไปถึงกล่องไม้ ที่ตนแอบซ่อนไว้ตามคำสั่ง กระนั้นสายตาเฉียบคมก็ไม่อาจมองทะลุไปถึงในห้องได้ ชายหนุม่ จึงมิอาจรูเ้ ลยว่า...วัตถุสำคัญซึง่ หลบซ่อนตัวอยูภ่ ายในห้องทีป่ ดิ ตาย และไม่มีแม้หน้าต่างระบายอากาศสักบานตรงหน้านั้น ยามนี้ถูกห้อมล้อมด้วย สายลมอ่อน ๆ ที่มีเศษเสี้ยวของกลีบซากุระลอยล่องอยู่ ก่อนกล่องดังกล่าวจะหายวับไปในอากาศ ราวกับถูกสายลมลักพาตัวไป ก็ไม่ปาน
7
บทที่ ๑ โทคิซาวะ เอริกะ มัธยมปลายโอคายาซึ, โตเกียว ปัจจุบัน, ๑๑.๕๓ น.
ถ้าความน่าเบื่อ สามารถวัดออกมาเป็นตัวเลขได้ หญิงสาวก็มั่นใจว่า
นี่คงเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบปี เสียงอาจารย์ประจำวิชาประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ลอยเอื่อยผ่านหู แต่เหมือนมีม่านบาง ๆ กั้นไว้จนทำให้ถ้อยคำเหล่านั้นไม่อาจทะลุ เข้าสู่โสตประสาทหรือจับใจความใด ๆ ได้ ร่างบางในชุดนักเรียนจัดแจงท่าทางที่สบายตัวที่สุด เมื่อหาตำแหน่งที่พอใจ ได้แล้วจึงฟุบลงกับโต๊ะ ปล่อยให้สติสมั ปชัญญะค่อย ๆ ลอยหายไปพร้อมกับสายลม อ่อนบางที่พัดมาจากทางหน้าต่าง นี่เป็นช่วงกลางเดือนเมษายน ทว่าอากาศกลับอบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ เส้นผม สีดำสนิทที่ตกเคลียใบหน้านวลสวยพลิ้วไหวน้อย ๆ นัยน์ตาสีดำรับกับสีผมหรี่ลง เรือ่ ย ๆ บ่งบอกว่าหญิงสาวพร้อมทีจ่ ะทิง้ โลกแห่งความเป็นจริงไว้เบือ้ งหลังแล้วจมสู่ ห้วงนิทราเต็มที สายลมเอือ่ ยอ่อนทีก่ ระทบผ่านหน้าทำหน้าทีข่ บั กล่อมได้เป็นอย่างดี ทั้งยังมีกลิ่นหอมจาง ๆ ลอยมาตามลม ‘อะไรน่ะ’ ‘กลิ่นเหมือนดอกไม้’ พลันสัมผัสอ่อนเบาก็ตกกระทบลงบนแขน สังเกตเห็นได้ว่าเป็นกลีบซากุระ สีขาวอมชมพูที่คงลอยมาตามลมเมื่อครู่ ส่งผลให้คนมองที่แทบจะฟุบหลับอยู่แล้ว เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ 8
Erika No Nikki เอริกะกับปริศนาซากุระ
‘ซากุระงั้นเหรอ’ “...ซาวะ” “โทคิซาวะ” “โทคิซาวะ เอริกะ!” หลังสิน้ เสียงกร้าว หญิงสาวก็เงยหน้าขึน้ มาเล็กน้อยพร้อมมุน่ หัวคิว้ ก่อนจะ พบว่าเป็นอาจารย์นั่นเองที่ตะโกนเรียกชื่อ ยามนี้สายตาคนทั้งห้องจับจ้องมาที่เธอ เป็นจุดเดียว “ไหนช่วยสรุปที่ฉันเพิ่งพูดไปเมื่อกี้ให้ฟังหน่อยสิ โทคิซาวะซัง” คำสั่งเสียงเฉียบมาพร้อมกับสายตาคมกริบบ่งบอกความไม่พอใจ ส่งผลให้เอริกะต้องจำใจยกตัวขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ พลางนั่งทบทวนว่า พอจะมีเศษเสี้ยวไหนของเนื้อหาที่อาจารย์เพิ่งพูดตกค้างอยู่ในหัวบ้าง...แต่ก็เหมือน จะว่างเปล่า ที่ น่ั ง อยู่ ด้ า นหน้ า คื อ ชิ บ าตะ ซากุ ร ะ หนึ่ ง ในเพื่ อ นไม่ ก่ี ค นของเธอ ซึ่ ง พยายามส่งสายตาช่วยเหลือสุดฤทธิ์ พลางแอบชี้โน้ตในสมุดให้ดูหวังจะช่วยให้ คำตอบ แต่มันก็ตัวเล็กเกินกว่าจะอ่านออกได้ ทันใดนั้นเสียงกริ่งบอกหมดเวลา ก็ดังช่วยชีวิตไว้ได้ทันท่วงที แม้ไม่ได้รับคำตอบและยังหงุดหงิดอยู่ ทว่าอาจารย์ก็จำเป็นต้องปล่อยให้ ชั้นเรียนเลิก เนื่องจากเป็นเวลาพักกลางวัน หากปล่อยช้าก็คงจะได้รับสายตา ประท้วงจากนักเรียนคนอื่นในห้องเป็นแน่ “เอาละ สำหรับวันนี้พอแค่นี้ ส่วนคุณโทคิซาวะ...” พูดพลางปรายสายตา มามอง “ไปสรุปคำตอบของคำถามเมื่อกี้แล้วเอามาส่งในคาบหน้าด้วย” จากนั้นผู้สูงวัยกว่าก็สาวเท้าออกจากห้องเรียนไป “เอริจังนี่น้า กล้าหลับในคาบของอาจารย์โมริยามะสุดโหดได้ เกือบไปแล้ว มั้ยล่ะ” ซากุระว่าพร้อมกับทำตาโต ทันทีทีจ่ บคาบเรียนเธอก็หนั มาหาเพือ่ นสาวอย่าง รวดเร็ว เจ้าตัวเป็นสาวน้อยน่ารักทีม่ คี าแร็คเตอร์เหมือนหลุดออกมาจากการ์ตนู ญีป่ นุ่ 9
Senorita-P
สักเรื่อง ผมสั้นสีน้ำตาลตัดหน้าม้าดัดเป็นลอนประบ่า ตื่นตูมง่ายและขี้อาย เป็น สาวน้อยแบบที่เรียกได้ว่าแฟนสาวในฝันของผู้ชายหลายคนในโรงเรียน “ก็ไม่ใช่ว่าหลับไปเพราะอยากจะท้าทายสักหน่อย” ‘แค่มันน่าเบื่อมากจนง่วงหลับไปเองต่างหากล่ะ’ เอริกะตอบกลับเสียงเรียบ เริ่มลงมือเก็บหนังสือที่เปิดกางไว้บนโต๊ะลง กระเป๋า ได้ยินดังนั้นซากุระจึงผ่อนลมหายใจเล็กน้อย ก่อนเหลือบมองเพื่อนสาว ของตน อดนึกเสียดายในใจไม่ได้ ทั้งที่คนตรงหน้ามีหน้าตาสะสวย ผมยาวสลวยสีดำเป็นธรรมชาติ รูปร่าง สมส่วน เป็นผู้หญิงที่ดูเป็นสาวญี่ปุ่นขนานแท้และให้บรรยากาศแบบผู้ใหญ่ หาก อัธยาศัยดีกว่านี้ก็น่าจะเป็นที่นิยมได้ไม่ยากเลยแท้ ๆ แต่เจ้าตัวดันชอบทำหน้านิ่ง ทั้งยังไม่ค่อยพูดจนคนอื่นไม่กล้าเข้าใกล้เสียอย่างนั้น “ช่วยไม่ได้นี่นะ ช่วงนี้คงมีคนแวะเวียนไปอธิษฐานขอพรที่ศาลเจ้าเยอะ ละสิ” เสียงที่สามเป็นของโคกิ อายาเนะ เพื่อนสมัยเด็กที่โตมาพร้อมกับเอริกะ เธอกล่าวพร้อมกับขยับแว่นและทำสีหน้าเข้าอกเข้าใจเป็นอย่างดี เมื่อเทียบกับ เพื่อนอีกสองคนแล้วอายาเนะดูค่อนข้างธรรมดากว่ามาก ทว่าก็เป็นเลิศทางด้าน การเรียนและยังเป็นถึงกรรมการนักเรียนอีกด้วย คำกล่าวนั้นทำให้เจ้าของเรือนผมสีดำพยักหน้าเล็กน้อย บ้านของเธอเป็น ศาลเจ้าประจำเมืองที่เลื่องชื่อเรื่องการทำให้สมปรารถนา ยิ่งช่วงสอบหรือปีใหม่ ก็จะมีคนแวะเวียนไปอธิษฐานขอพรมากเป็นพิเศษ ซึ่งหน้าที่หลักของเธอก็คือ การดูแลทำความสะอาด รวมถึงทำหน้าที่เป็นมิโกะ ‘มิโกะ’ ถ้าจะว่ากันตามความหมายแล้วก็คือหญิงสาวบริสุทธิ์ที่ทำหน้าที่ เหมือนคนทรง เป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์และเทพเจ้า กระนั้นนั่นก็เป็นเพียง บทบาทในอดีตที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์และความเชื่อเท่านั้น ถึงแม้เอริกะจะเติบโตมาในศาลเจ้า แต่ก็ใช่ว่าเธอจะมีพลังอำนาจในการ ทำเรื่องเหนือธรรมชาติหรืออะไรแบบนั้นได้ แค่ใส่ชุดมิโกะเพื่อเป็นสัญลักษณ์หรือ 10
Erika No Nikki เอริกะกับปริศนาซากุระ
เป็นเครื่องหมายการค้าเพียงเท่านั้น “แล้วคุณลุงล่ะเอริจัง ช่วงนี้สบายดีรึเปล่า เดาว่าคงยุ่ง ๆ สินะ” ซากุระถาม ‘คุณลุง’ ที่ว่าก็คือพ่อของเอริกะ ผู้สืบทอดและมีหน้าที่ดูแลศาลเจ้าอันเป็น มรดกตกทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ ทั้งยังดำรงตำแหน่งนักบวชคนสำคัญอีกด้วย “อืม จะว่ายุ่งก็ยุ่งละ แต่ก็ยังทำตัวเรื่อยเปื่อยได้เหมือนเดิม” คนถูกถาม ตอบเสียงเนือย แม้วา่ ผูเ้ ป็นพ่อจะมีอายุเกือบห้าสิบปีแล้ว ทว่าหน้าตาดูออ่ นเยาว์กว่าอายุมาก ทั้งยังอัธยาศัยดีจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นบุพการีแท้ ๆ ของเอริกะที่เป็นคนขี้รำคาญและ ไม่ชอบเข้าสังคมเป็นที่สุด ทั้งคู่อาศัยอยู่ในบ้านซึ่งปลูกขึ้นบริเวณพื้นที่ของศาลเจ้า และพ่อก็ทำหน้าที่ดูแลเธออย่างดีมาโดยตลอด ตั้งแต่แม่เสียไปตอนหญิงสาวอายุ ได้สิบขวบ ถึงกระนั้นก็ต้องยอมรับว่าพ่อเธอเป็นมนุษย์ที่มีนิสัยแปลกประหลาดอยู่ พอสมควร...โดยเฉพาะความร่าเริงที่ไม่รู้ว่ามีแหล่งพลังงานมาจากไหน จนบางครั้ง ก็ชวนให้รู้สึกเหนื่อยใจอยู่บ้าง “จะว่าไปพวกเราก็อยู่ ม.ปลาย ปีสามกันแล้วเนอะ เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ ฉันยังไม่รู้เลยว่าเรียนจบแล้วจะทำยังไงต่อ น่าจะต้องไปเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ตามที่ทางบ้านต้องการนั่นละนะ” ซากุระถอนหายใจเมื่อคิดถึงอนาคตหลังจบการศึกษาของตัวเอง ก่อนจะ หันไปหาเพื่อนผู้คงแก่เรียน “อายาเนะคงไปสอบโทได๓ อยู่แล้วละสิ ก็เรียนเก่งระดับท็อปขนาดนี้” “ทางบ้านก็คาดหวังให้เป็นอย่างนั้นแหละ แต่ก็ยังไม่รู้หรอกว่าจะทำได้แน่ รึเปล่า” อายาเนะตอบพลางถอนหายใจอีกคน “เอริจังล่ะ จะเรียนต่อมหาวิทยาลัยรึเปล่า” ซากุระหันมายิงคำถามใส่ ส่วนคนถูกถามก็ตอบกลับเสียงเรียบด้วยท่าที ไม่ใส่ใจ
๓
โทได : ชื่อย่อของมหาวิทยาลัยโตเกียว (ญี่ปุ่น: 東京大学)
11
Senorita-P
“ไม่รู้ อาจจะต้องมาช่วยที่บ้านดูแลศาลเจ้าละมั้ง” และนั่นทำให้คนฟัง อดส่ายหน้าเล็กน้อยไม่ได้ “ดูไม่เครียดเลยนะ...เอริจังนี่น่าอิจฉาจริง ๆ” ครึ่งวันหลังของการเรียนก็เป็นไปเหมือนที่มันควรจะเป็น...คือน่าเบื่อขั้นสุด ดังนั้นเมื่อกริ่งบอกหมดเวลาคาบเรียนสุดท้ายดังขึ้น เจ้าของเรือนผมสีดำ จึงไม่รีรอที่จะเก็บข้าวของลงกระเป๋า จัดการร่ำลาอายาเนะและซากุระแล้วรีบมุ่งหน้า กลับบ้าน ทว่ า ขณะที่ เ ดิ น ถึ ง หน้ า ประตู โ รงเรี ย น เสี ย งโทรศั พ ท์ มื อ ถื อ ในกระเป๋ า กระโปรงก็ดังขึ้น หญิงสาวจึงชะลอฝีเท้าแล้วหยิบขึ้นมาดู ก่อนจะเลิกคิ้วด้วยความ ประหลาดใจเมื่อเห็นชื่อของคนที่โทร.เข้ามา ‘พ่อ?’ “เอ-ริ-จาง...งงง” เสียงเรียกอย่างอารมณ์ดีดังขึ้นทันทีที่กดรับสาย ส่งผลให้ร่างบางนิ่วหน้า เล็ ก น้ อ ยกั บ การเรี ย กชื่ อ ด้ ว ยวิ ธี ก ารของผู้ สู ง วั ย กว่ า ลอบระบายลมหายใจ เหนื่อยหน่ายพลางถามกลับ “โทร.มามีอะไรล่ะ” “โธ่ ใจร้ายกับป๊ะป๋าเหมือนเดิมเลยนะ แค่อยากจะโทร.มาเช็กว่าลูกสาว กำลังทำอะไรอยู่น่ะ” เสียงปลายสายตอบกลับยิ่งทำให้คนฟังอยากจะเบือนหน้าหนี ‘ทำไมชอบพูดอะไรน่าขนลุกอยู่เรื่อยนะ’ “กำลังจะกลับบ้านไงคะ” “งั้นเหรอ พอดีวันนี้ว่าจะทำของโปรดของเอริจังเป็นมื้อเย็นน่ะ แต่ขาด วัตถุดิบสำคัญอยู่สองสามอย่าง ช่วยแวะซื้อให้ป๊ะป๋าหน่อยสิ” ประโยคดังกล่าว ทำให้ความหงุดหงิดของหญิงสาวลดลงไปหนึ่งระดับ เธอจึงตัดสินใจตอบรับแล้ว รอฟังผู้เป็นพ่อด้วยความตั้งใจ “...ค่ะ ว่ามาสิ” และนั่นเป็นการเปิดโอกาสให้คนปลายสายได้ถ่ายทอด 12
Erika No Nikki เอริกะกับปริศนาซากุระ
คำสั่ง จนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง บุตรสาวนักบวชจึงกดตัดสายทิ้ง หลังจากจดลิสต์รายการของที่ต้องซื้อ เอริกะก็เตรียมจะมุ่งหน้าไปยังร้าน สะดวกซื้อซึ่งเป็นทางผ่านกลับบ้าน ทว่าเมื่อไปถึงก็พบเรื่องน่าหงุดหงิดใจราวกับว่า วันนี้ยังเป็นวันที่น่าเบื่อไม่พอ เพราะสถานที่เป้าหมายซึ่งเปิดทำการอยู่แทบตลอดเวลาในวันนี้กลับแขวน ป้ายว่า ‘ปิด’ เสียอย่างนั้น ร้านสะดวกซือ้ อีกแห่งทีอ่ ยูใ่ กล้สดุ ก็ไม่ใช่วา่ จะใกล้เลย อีกทัง้ ป่านนีผ้ ูเ้ ป็นพ่อ คงเริ่มเตรียมอาหารแล้ว หากจะโทร.กลับไปบอกว่าไม่สามารถซื้อวัตถุดิบให้ได้ก็คง จะไม่ทันการ ความคิดนัน้ บังคับให้รา่ งบางต้องถอนหายใจ ก่อนตัดสินใจเปลีย่ นเป้าหมาย ไปยังอีกที่ ซึ่งแม้จะเป็นคนละทางกับที่ตั้งของบ้านเธอและอาจทำให้เสียเวลาไป สักหน่อย แต่ก็คงดีกว่ากลับบ้านมือเปล่า ใช้เวลาเดินประมาณสิบห้านาทีหญิงสาวก็มาถึงร้านเป้าหมาย จึงรีบจัดแจง ซื้อของตามรายการแล้วมุ่งหน้ากลับบ้านเพื่อรักษาเวลา แต่ขณะกำลังก้าวย่ำนั้นเอง พลันสายลมอ่อน ๆ ก็พัดผ่านใบหน้าพร้อมกับ หอบกลิ่นหอมประหลาดมาด้วย ก่อนผิวเนียนจะรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่ตกกระทบด้วย ความนุ่มนวล นัยน์ตาสีดำคู่สวยปรายมองตามสัมผัสนั้นอย่างรวดเร็ว ‘กลีบซากุระ?’ ฉับพลันสายลมปริศนาก็พดั ผ่านมาอีกระลอก ทว่าครัง้ นีร้ นุ แรงและเนิน่ นาน จนต้องยกมือขึน้ มาป้องหน้าไว้เพราะกลัวฝุน่ ทีม่ าพร้อมกับลมจะเข้าตา การเคลือ่ นที่ ของอากาศโรมรันล้อมตัวอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง จนในที่สุดเมื่อบรรยากาศเหมือนจะ นิ่งสนิท ร่างบางจึงค่อย ๆ ลดมือลง ทันใดนั้นคิ้วเรียวก็เลิกขึ้นด้วยความประหลาดใจ ยามนีฝ้ ง่ั ตรงข้ามปรากฏสวนสาธารณะ ตรงนัน้ มีตน้ ซากุระสูงใหญ่ตง้ั ตระหง่าน กลีบดอกไม้ผลิบานทั่วทั้งต้นและมีบางส่วนค่อย ๆ ร่วงหล่นลงสู่พื้น เป็นภาพที่ สวยงามเกินกว่าจะเชื่อได้ว่าจะมีทัศนียภาพแบบนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ดูท่าว่ากลีบ 13
Senorita-P
ซากุระที่ปลิวมาติดเธอเมื่อครู่คงจะพัดมาจากต้นนี้เป็นแน่ ‘ไม่เห็นรู้เลยว่ามีสวนอยู่ตรงนี้ด้วย’ คิดในใจพลางนิ่วหน้า หรือบางทีอาจเป็นเพราะเธอไม่ค่อยได้ใช้เส้นทางนี้ บ่อยก็เป็นได้ จึงไม่ทราบความเปลี่ยนแปลงของสภาพบ้านเมืองเท่าไรนัก ขณะมุ่นหัวคิ้วด้วยความสงสัย เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นอีกรอบ จึง ต้องหยุดความคิดลงชั่วคราวก่อนจะกดรับสาย “เอริจังอยู่ไหนแล้ว ทำไมยังไม่ถึงบ้านล่ะ” ผู้เป็นพ่อยิงคำถามช่วยดึงสติ หญิงสาวกลับมาจากภวังค์ ได้ยินเช่นนั้นนัยน์ตาสีดำจึงเพ่งมองสถานที่ตรงหน้าอีกครั้ง ชั่งใจระหว่าง การเดินเข้าไปสำรวจสวนปริศนากับการกลับบ้าน แต่ก็ไม่มีเวลาให้คิดมากเท่าไหร่ เพราะเสียงปลายสายรบเร้าหนักขึ้นจนเธอต้องกรอกเสียงกลับไป “...กำลังจะกลับแล้วค่ะ” แม้จะยังคาใจ ทว่าเวลานี้จำต้องหมุนตัวกลับไปอีกทางอย่างช่วยไม่ได้ โดยไม่ทันได้สังเกตเลยว่ามีสายตาลึกลับคู่หนึ่งจ้องมองมาจากสวนปริศนา อยู่ตลอดเวลา...
14