บทนำ แรกพบใต้แสงจันทร์
สามร้ อ ยสิ บ สามปี ใ ห้ ห ลั ง ข้าฝันว่าได้ย้อนกลับไปใน
วัยเยาว์อีกครั้ง หวนคืนสู่รัตติกาลที่มหาสมุทรจับตัวเป็นน้ำแข็งคืนนั้น แล้วนั่นก็เป็นค่ำคืนที่ข้าพานพบกับคนผู้นั้นครั้งแรก ในวันเก็บมุกที่มีเพียงปีละครั้ง เพื่อตัดสินแพ้ชนะกับพี่ชายให้รู้กันไปข้าง ข้ากระโดดดำดิ่งลงสู่ใต้ท้องทะเลทันที คาดไม่ถึงว่าโชคชะตาจะไม่เข้าข้าง เจอ คลื่นยักษ์ซัดโถมเข้าพอดี ท้องทะเลในรัศมีหลายสิบลี้ปรากฏวังน้ำวนขนาดใหญ่ ตวัดแหวกจุดกึ่งกลางของน้ำทะเลออก ปากที่แสยะฉีกกว้างของสัตว์ประหลาด โผล่พุ่งขึ้นมา ขนาดพอกับวังน้ำวนเบื้องล่าง ข้าร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ หวั ง จะเลี่ ย งหลบ แต่ เ จ้ า สั ต ว์ ป ระหลาดนั่ น กลั บ ผงาดตั ว ขึ้ น เหยี ย ดกรงเล็ บ ออกมาคว้าร่างของข้าไว้ มันตัวยาวสี่จั้ง๑ สีนิลสลับคราม ดวงตาสีทองดุจเพลิง ริ้ ว สี ช าดดั่ ง ภู ษ าทอ ไม่ ต้ อ งเดาก็ รู้ ว่ า มั น คื อ มั ง กรวารี ห รื อ ผานหลงในตำนาน นั่นเอง ผานหลงมีพิษ ปลิดคร่าชีวิตได้ นึ ก ถึ ง เรื่ อ งนี้ แ ล้ ว ข้ า จึ ง ไม่ ก ล้ า ผลี ผ ลาม แต่ ก็ ไ ม่ อ าจข่ ม เสี ย งสะอื้ น ได้ น้ ำ ตาแห่ ง ความพรั่ น พรึ ง พรั่ ง พรู ไม่ ว่ า จะรู้ จั ก หรื อ ไม่ ชาวซู่ เ จาทั้ ง หมดต่ า งก็ ตกตะลึงพรึงเพริดกับรูปลักษณ์ของมัน พากันร้องด้วยความตกใจ หนีพล่านกัน ชุลมุน พี่ชายขี่วิหคห้าสีบินย้อนกลับมา หวังปะทะกับมัน แต่กลับถูกผานหลง
๑
มาตราหน่วยวัดโบราณของจีน หนึ่งจั้งยาวประมาณ ๓.๓๓ เมตร
1
จวินจื่ออี่เจ๋อ
ตวัดกรงเล็บโจมตีให้ถอยร่นไปอยู่นอกรัศมีหนึ่งร้อยก้าว ผานหลงจับตัวข้าไว้แน่น กรีดเสียงคำรามยาว แล้วกระพือคลื่นยักษ์ซัดโถม มันขยับเคลื่อนไหวร่างกาย อย่างเหิมเกริม มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกของท้องทะเล เพียงพริบตาเดียว บรรดาชาวเผ่ า เดี ย วกั น กั บ ข้ า พลั น อยู่ ห่ า งไกลออกไป กลายเป็ น เพี ย งจุ ด สี ด ำ เล็ก ๆ มากมายนับไม่ถ้วน จากนั้นอีกเพียงครู่ก็หายลับไปท่ามกลางเมฆหมอก หนาทึบ มหาสมุทรกว้างใหญ่ดุจผืนฟ้า ลมทะเลโหมกระหน่ำขุนเขา บิดน้ำทะเล เป็นเกลียวคลื่น ทว่าสำหรับผานหลงตัวนี้ กลับเสมือนแผ่นดินอันราบเรียบ เมื่อ อาทิตย์อัสดงคล้อยต่ำ ความมืดมิดก็มาเยือน ในที่สุดข้าก็ข่มความหวาดกลัว ไว้ไม่อยู่ ปล่อยโฮร้องไห้เสียงดัง แต่ไม่ว่าข้าจะร่ำไห้อาละวาดอย่างไรก็ไร้ผล ต่อความเร็วอันน่ากลัวของมัน... กี่ร้อยจั้งแล้ว หรือว่ากี่พันจั้ง ข้าไม่รู้ว่ามาไกลแค่ไหนแล้ว รู้เพียงว่ามี พายุฝนที่เสมือนคมมีดกระหน่ำกรีดผ่านใบหน้า เมื่อใดที่บริเวณโดยรอบปรากฏ เงาของหมู่เกาะ เงานั้นก็จะหายไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเมื่อเสียงปริแตกของน้ำแข็งดังกึกก้อง ข้าจึงมองเห็นน้ำทะเล ไหวกระเพื่ อ ม พายุ แ รงสนั่ น ไหว ตวั ด ม้ ว นเกลี ย วคลื่ น ยั ก ษ์ ขึ้ น สู ง สามพั น จั้ ง ก่อนจะแข็งตัวเป็นประตูน้ำแข็ง กลายสภาพเป็นคมมีดใต้แสงจันทร์ กีดขวาง เส้นทางของผานหลง พาให้สรรพสิ่งหยุดนิ่ง ผานหลงบีบร่างข้าจนแน่น ทำเอาข้าเกือบอาเจียน จากนั้นมันก็ผ่อนลม หายใจยาว ๆ อยู่กับที่เฮือกหนึ่ง ลดความเร็วให้ช้าลง หันร่างบินเข้าฝั่ง มันบิน ไปทางหน้าผาสูงชันแห่งหนึ่ง ได้ยินเสียงดังครืด เมื่อข้าก้มลงมอง พบว่าแม้ กระทั่งน้ำทะเลก็จับตัวกลายเป็นน้ำแข็ง เมื่อครู่เป็นเสียงกรงเล็บของผานหลง ที่ครูดกับน้ำแข็งจนแตกร้าว เวลาล่ ว งเลยสู่ ร าตรี ก าล จั น ทร์ ก ระจ่ า งลอยเด่ น อยู่ ก ลางฟ้ า ดวงเล็ ก เหมื อ นถาดทรงกลมสี ข าวเงิ น ข้ า ไม่ เ คยเห็ น แสงจั น ทร์ ใ นระยะไกลขนาดนั้ น มาก่ อ น ด้ ว ยเหตุ นี้ ทุ ก อย่ า งบนท้ อ งทะเล กระทั่ ง ผลึ ก น้ ำ แข็ ง สี น้ ำ เงิ น เข้ ม นั้ น จึงล้วนดูเลือนรางมายา คล้ายตกอยู่ในภวังค์ฝัน แสงดาวหมื่นแสนทาบทออยู่ บนผิ ว น้ ำ แข็ ง สะท้ อ นเกล็ ด น้ ำ แข็ ง เป็ น ประกายระยิ บ ระยั บ จนข้ า ต้ อ งหรี่ ต าลง 2
เมืองจันทราดอกไม้ร่วง มหาสมุทรดอกไม้บาน ๑
ผานหลงบินเลียบหน้าผา หยุดนิ่งกลางอากาศบนยอดหน้าผาสูง ก้มหัวทำความ เคารพอย่างนอบน้อม มันหันหน้าเข้าหายอดผา บนยอดหน้าผาสูงเบื้องหน้ามีศาลาสีชาดบนเนิน ทิวสน ในศาลามีเหยือกและจอกสุราที่ทำจากหยกงดงามวางอยู่ บุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง ยืนอยู่หน้าศาลา เขายืนหันหลังให้พวกเรา รูปร่างสูงสง่า เรือนผมดำขลับสลวย ดุจธารน้ำ อาภรณ์ชุดยาวดุจไอหมอกที่แผ่คลุมสยายอยู่บนพื้น เป็นสีฟ้าล้ำลึก เช่นเดียวกับมหาสมุทรในค่ำคืนนี้ บุรุษหนุ่มสั่งด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ปล่อยนาง” ผานหลงสิ้นความองอาจเช่นเมื่อครู่ที่ผ่านมา มันวางข้าลงบนริมหน้าผา เบา ๆ จากนั้นยาอายุวัฒนะเม็ดหนึ่งก็ลอยออกจากกระเป๋าชุดยาวของบุรุษหนุ่ม ไปอยู่กลางกรงเล็บของผานหลง บุรุษหนุ่มกล่าวกับมัน “สิ่งนั้นแทนภูตวารีได้ เป็นร้อยตน ไปเถอะ” ผานหลงก้ ม มอง ดวงตาสี ท องพลั น ฉายประกายดี ใ จ แล้ ว จึ ง ก้ ม หั ว ลง เป็นการคำนับบุรุษหนุ่มอีกครั้ง กรีดเสียงคำราม ก่อนจะพุ่งทะยานลงจากหน้าผา ดำดิ่ ง ลงไปใต้ ท้ อ งทะเลอย่ า งรวดเร็ ว ส่ ว นข้ า นั่ ง พั บ อยู่ บ นพื้ น ในสภาพอกสั่ น ขวัญหาย เหม่อมองแผ่นหลังของบุรุษหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้า อยากเอ่ยอะไรสักนิด แต่ ก ลั บ สั่ น เทาจนเปล่ ง เสี ย งไม่ อ อกแม้ แ ต่ ค ำเดี ย ว ข้ า อายุ น้ อ ยเกิ น ไป ซ้ ำ เวทมนตร์ ยั ง ไม่ แ ก่ ก ล้ า พอ ตรงกั น ข้ า มกั บ พลั ง เทพของบุ รุ ษ หนุ่ ม ผู้ นี้ ต่ อ ให้ อยู่นอกรัศมีสิบลี้ประสาทสัมผัสของข้าก็ยังรู้สึกได้ เขาเองก็ไม่พูดจากับข้า เพียงเดินเยื้องเข้าไปในศาลา รินสุราให้ตัวเอง หนึ่งจอก ฟ้าสีนิลประดับจันทร์เคล้าเสียงรินสุรา เรือนร่างของเขางามสง่าราวกับ เซียน เคลิ้มฝันคล้ายจันทร์ทรงกลด สูงส่งเกินเอื้อมถึง ในที่สุดเขาก็เอียงหน้ามา มองข้าแวบหนึ่ง มุมปากผุดรอยยิ้มหยัน “ภูตวารีน้อย เจ้าใจกล้าไม่เบาเลยนะ” ในเวลาเช่ น นี้ คนทั่ ว ไปคงเอ่ ย ถามว่ า เขาเป็ น ใคร แต่ ข้ า กลั บ บอกด้ ว ย น้ำเสียงจริงจัง “ข้าเป็นชาวซู่เจา หาใช่ภูตวารีอะไรนั่น” “ภูตวารีก็คือภูตวารี ไฉนต้องมีนามมากมาย” แม้ว่าเขาจะยิ้ม ทว่ากลับ ไม่มีวี่แววเกรงใจเลยแม้แต่นิด สีหน้าท่าทีฉายแววดูแคลน 3
จวินจื่ออี่เจ๋อ
เสื้อผ้าของข้าเปียกปอน เนื้อตัวเปรอะเปื้อนดินโคลน ไร้เรี่ยวแรงจะลุก ขึ้นยืน หากยังคงเช็ดดวงหน้าด้วยแขนเสื้อ ยืดอกเล็ก ๆ ขึ้น “ข้าชื่อลั่วเวย เป็น ชาวซู่เจา อย่าได้เปลี่ยนชื่อแซ่ข้าตามอำเภอใจ” และแล้วเขาก็เลิกยืนกราน เพียงบอกด้วยรอยยิ้มบาง ๆ “ได้ เรียกเจ้าว่า ลั่วเวยก็แล้วกัน” แสงจันทร์นวลกระจ่าง เสียงคลื่นดุจจะเอ่ยถ้อยคำ ฉับพลันบุรุษหนุ่ม ก็ดื่มสุราจนหมดจอก เขาทอดสายตามองพระจันทร์เต็มดวงกลางฟ้าแวบหนึ่ง คล้ายรำพันกับตัวเอง “วันนี้ดาวตี้คง๒ดวงเดิมปรากฏเหนือดาวเทียนอิง ไม่รู้ว่า อนุชนยังมีเวลาพันปีหรือไม่” เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้พูดกับข้า แต่ท่านอาจารย์เคยบอกพวกเรามาก่อนว่า ดาวเทียนอิงเป็นดาวแห่งเภทภัย ‘ดาวตี้คงปรากฏเหนือดาวเทียนอิง’ เท่าที่เดาได้ น่ากลัวจะมีเภทภัยหายนะ ข้าไม่ปรารถนาจะเห็นดาวเทียนอิง และอันที่จริงก็มอง ไม่เห็นดาวเทียนอิงด้วยซ้ำ จึงเอ่ยเพียงว่า “ข้าเห็นเพียงจันทร์สุกสกาว หาได้ เห็นดาวเทียนอิง” บุรุษหนุ่มตอบ “สองวันนี้หายไปแล้ว ก่อนหน้านี้ปรากฏอยู่สิบวัน และ มองเห็นได้จากตรงนี้เท่านั้น” “ท่านอยู่ที่นี่มาสิบกว่าวันแล้วหรือ” “สองเดือนต่างหาก” ข้าตะลึง “สองเดือน อยู่ตามลำพังในศาลาบนผาสูง เรื่องอาหารการกิน ไม่ลำบากหรือ อ้อ ไม่สิ เป็นอาหารเคล้าสุราต่างหาก” “ใช่ว่าทุกคนจะต้องการอาหารเสมอไป” บุรุษหนุ่มรินเหล้าให้ตัวเองต่อ ราวกับกำลังบอกข้าว่า แค่มีสุราก็เพียงพอแล้ว บุ รุ ษ ผู้ นี้ มี พ ลั ง เทพสู ง ล้ ำ นั ก หรื อ ว่ า เขากำลั ง บำเพ็ ญ เป็ น เซี ย น หรื อ ถ้ า ไม่ใช่ เขาก็อาจเป็นครึ่งเซียนไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็ล้วนทำให้ข้าอดลิงโลด ไม่ได้ จึงเอ่ยถาม “ขอบังอาจถามนามของท่านได้หรือไม่”
4
๒
หนึ่งในดาวร้ายทั้งหกทางโหราศาสตร์จีน ดาวดวงนี้เป็นสัญลักษณ์ของความสูญเสีย
เมืองจันทราดอกไม้ร่วง มหาสมุทรดอกไม้บาน ๑
เขาหันมามองข้า นัยน์ตาเป็นประกายดุจแสงดาว จมูกเป็นสันราวภูเขา หิมะ บนโหนกแก้มสองข้างมีลายคลื่นน้ำสองสายทอดตัวคดเคี้ยวลงอย่างชดช้อย เดิมควรจะเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามผู้สูงศักดิ์ แต่นัยน์ตาของเขากลับฉายให้เห็นแวว เผด็จการ “เจ้าควรจะห่วงความปลอดภัยของตัวเองมากกว่า เมื่อครู่หากไม่ใช่ เพราะข้าช่วยเจ้าไว้ เจ้าคงถูกผานหลงตัวนั้นจับกลับไปทำยาบำรุงครรภ์แล้ว” “ยา...ยาบำรุงครรภ์?” เหงื่อเย็น ๆ แตกพลั่กท่วมตัวข้า “ฮูหยินของผานหลงกำลังตั้งครรภ์ คนของเผ่าเจ้าคือยาบำรุงชั้นเลิศ” มิน่าล่ะ! เมื่อครู่มันดุร้ายกับข้ามาก แต่กลับไม่สังหารข้าในทันที ที่แท้ ก็ คิ ด จะจั บ ข้ า ตั ว เป็ น ๆ กลั บ ไปตุ๋ น ยานี่ เ อง...นึ ก ถึ ง เรื่ อ งนี้ ข้ า ก็ สั่ น สะท้ า น ทว่ า ผานหลงที่ดุร้ายมากฤทธิ์ เจอบุรุษหนุ่มผู้นี้แล้วก็ยังต้องเคารพนอบน้อม นั่นยิ่ง ทำให้ข้าสนใจใคร่รู้ถึงตัวตนฐานะของเขา เพียงแต่ข้ายังหาโอกาสซักถามอีกครั้ง ไม่ได้ เขาพลันปรบมือสองครั้งแล้วบอกกับข้าว่า “ยามนี้ฟ้ามืดแล้ว เจ้ากลับ ไปได้แล้ว” เกิดเงามืดวงใหญ่แผ่คลุมพื้นดินตรงหน้าข้า เดิมข้านึกว่าเป็นเงาเมฆ แต่ เมื่อหันไปมองก็ตระหนกตกใจจนเกือบทรุดไปกองที่พื้น ไม่รู้มีมังกรอีกตัวหนึ่ง ปรากฏตั ว ที่ ริ ม หน้ า ผาตั้ ง แต่ เ มื่ อ ไร มั น เผชิ ญ หน้ า กั บ พวกเราด้ ว ยท่ ว งท่ า ค้ อ ม ศีรษะเช่นเดียวกัน เพียงแต่มังกรตัวนี้มีปีกที่หลัง ลำตัวเป็นสีเหลือง มีขนาด ใหญ่กว่าตัวเมื่อครู่นี้มาก แค่เพียงมันหายใจแผ่วเบาก็มีไอเย็นกลุ่มใหญ่ผุดพวย ขึ้ น กลางอากาศทั น ที ข้ า ถู ก ไอเย็ น นั้ น จู่ โ จมจนร่ า งกายสั่ น สะท้ า นไปด้ ว ยความ หนาวเย็น ในตำรากล่าวไว้ว่า มังกรอายุห้าร้อยปีเป็นมังกรธารา อายุพันปีเป็นมังกร ปักษา มังกรที่มีเกล็ดเรียกมังกรธารา มังกรที่มีปีกเรียกมังกรปักษา สิ่งมีชีวิต ร่างยักษ์ตรงหน้าข้า ที่แท้คือมังกรปักษาที่อายุมากกว่าพันปี! การได้เจอมังกร ถึ ง สองตั ว ภายในวั น เดี ย ว อี ก ทั้ ง ตั ว ที่ ส องยั ง ทรงพลั ง เหนื อ ชั้ น ทำให้ ข้ า รู้ สึ ก หวาดกลัวไม่น้อย แต่คิดในใจว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้มีพลังในการต่อสู้มังกร ดังนั้น นอกจากตกตะลึงกับรูปลักษณ์ที่ดุร้ายของมันแล้ว ข้ารู้ว่าตัวเองยังปลอดภัย ครู่ ต่ อ มามั ง กรปั ก ษาก็ ยื่ น กรงเล็ บ ออกมาช้ อ นร่ า งของข้ า ขึ้ น นั่ ง บนหั ว 5
จวินจื่ออี่เจ๋อ
ของมัน ข้าอุทานเบา ๆ ได้ยินบุรุษหนุ่มเอ่ยเพียงว่า “มันจะส่งเจ้ากลับบ้านเดี๋ยวนี้ ภายหน้ายามออกจากบ้านก็จงระวังตัวให้รอบคอบ” “ช้าก่อน ๆ!” ข้าเลื่อนมือไปคว้าหนวดมังกรสองสามเส้น แล้วรีบละล่ำละลั ก “เสด็ จ พ่ อ ของข้ า เคยบอกว่ า มี เ พี ย งเซี ย นเท่ า นั้ น ที่ จ ะมี พ ลั ง ในการต่ อ สู้ มังกรได้ หรือว่า...ท่านเป็นเซียน” “ไม่ได้มีเพียงเซียนเท่านั้นที่จะมีพลังในการต่อสู้มังกร” “แล้วท่านเป็นใครกันแน่ ชื่อเสียงเรียงนามอะไร บุญคุณในวันนี้ลั่วเวย จะจดจำไม่ลืม วันหนึ่ง...” “แค่ เ รื่ อ งเล็ ก น้ อ ยเหมื อ นออกแรงยกมื อ เท่ า นั้ น ไม่ จ ำเป็ น ” บุ รุ ษ หนุ่ ม ตัดบทอย่างห่างเหิน “เจ้ากับข้าไกลห่างเหลือแสน ชาตินี้คงยากจะได้พบกันอีก” “อย่างน้อยก็ช่วยบอกนามของท่านกับข้า!” “ข้ า ไม่ มี น าม” เขาปรบมื อ อี ก สองครั้ ง มั ง กรปั ก ษาก็ ก ระพื อ ปี ก ขึ้ น ฟ้ า บินร่อนตามกระแสลม เพียงครู่เดียวก็พาข้าออกไปไกลลิบ ข้าหันกลับไปมองบุรุษ หนุ่ ม ผู้ นั้ น อี ก หน ลมทะเลพั ด เสื้ อ คลุ ม ยาวของเขาจนพลิ้ ว สะบั ด ผมดำขลั บ ของเขาปลิวสยาย ยอดผาแสนธรรมดานี้กลับมีแสงกระจ่างจากจันทร์เต็มดวง ทอทาบไปทุกส่วน ในฐานะที่เป็นชาวซู่เจา เดิมทีแสงระยิบระยับบนผืนน้ำกับ สิ่ ง ของที่ มี ป ระกายก็ ดึ ง ดู ด พวกเราได้ ง่ า ยอยู่ แ ล้ ว ยั ง มี เ กล็ ด น้ ำ แข็ ง หมื่ น แสน สะท้อนแสงวิบวับบนพื้นผิวมหาสมุทร กอปรด้วยหมู่ดาวที่ถักทอบนทางช้างเผือก ทิวทัศน์อันงดงามตระการตายามรัตติกาลนี้ตราตรึงอยู่ในใจข้า... ภายหลั ง ข้ า ถึ ง รู้ ว่ า ดาวเที ย นอิ ง ที่ ป รากฏบนผื น ฟ้ า ก่ อ นหน้ า นี้ เ ป็ น ลาง บอกเหตุถึงเภทภัยร้ายแรงที่บ้านเกิดของข้าในอีกยี่สิบเจ็ดปีต่อมา และสำหรับ บุรุษหนุ่มผู้นี้ก็ถือเป็นหายนะที่งดงามในชีวิตข้าเช่นกัน ข้าครุ่นคิด โชคชะตากับความแค้น ความรักความชังทุกอย่างนับจากนี้ ล้วนมาจากความใฝ่ฝันอันไร้เดียงสาในช่วงแรกสุดของชีวิตข้านั้นทีเดียว ไกลห่างเหลือแสน ไร้วาสนาพานพบ ถ้อยคำสั้น ๆ เพียงแปดคำ ฟังแล้วธรรมดาสามัญ แต่กลับเป็นลางบอกถึง ความคิดถึงคำนึงอย่างไม่สิ้นสุดตลอดสามร้อยกว่าปีให้หลัง 6
เมืองจันทราดอกไม้ร่วง มหาสมุทรดอกไม้บาน ๑
หากสิ้นหนทางเพียงเท่านี้ ไร้วาสนาพบพานกันอีก เรื่องราวคงจะจบลง ด้วยดี พุทธองค์ตรัสไว้ว่าชีวิตมีทุกข์แปดประการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากจากสิ่งที่รัก อาฆาตพยาบาท ไม่ได้ในสิ่งที่ปรารถนา ปล่อยวางไม่ได้ สิ่งที่งดงามที่สุดในชีวิต คือรู้ว่าท่านเองก็รักมั่นลึกซึ้งเหมือนข้า สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิต คือรู้ว่ารักมั่นของท่านอยู่ที่ใด ปุถุชนมักกล่าวว่า การมั่นรักยืนยงเป็นเรื่องดี แต่กลับไม่คำนึงถึงกาลเวลา ที่จะผ่านไปอย่างสูญเปล่า หนี้รักยากชำระ การยึดมั่นทั้งชีวิตนับเป็นความผิด มหันต์
7
๑ เพลิงธาราฝนปทุม
ใบหยาง๑ เขียวสดลู่เคียงหอ โฉมงามลำน้ำลั่วบรรเลงพิณคลอ ห่านคอขาวคาบมุกร่วงสมุทรสินธุ์ ห้าวิญญูแห่งซู่เจาล้วนสง่า ดาวคลุมกายบุปผาโรยโปรยแขนเสื้อ ลิ้มสุราเมืองจันทราทั้งทิวา สหายเก่าร้างรานับหมื่นลี้ อาคันตุกะย้อนกลับมาเยือนใต้หล้า ซีเจี้ยน อำลาซู่เจา
บทกวีด้านบน เป็นบทประพันธ์ของท่านอ๋องคนก่อนของเรา พรรณนา
ถึงทัศนียภาพอันเจริญรุ่งเรืองของชนเผ่าซู่เจาของเราหลังจากเหตุการณ์ปฏิรูป ห่านคอขาว ข้าขอสาบานด้วยนามแห่งองค์หญิงเล็กลั่วเวย ดินแดนซู่เจาของเรา ตั้งอยู่ในดินแดนอันวิเศษดั่งสวรรค์ และเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในใจของบรรดา ปีศาจ มนุษย์ เทพ และสัตว์ ส่วนเพราะเหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์ในวันนี้ ข้าเอง ก็ไม่อาจไขความกระจ่างได้ ในฐานะเชื้อพระวงศ์แห่งซู่เจา หากองค์หญิงเช่นข้า ต้องการเล่าประวัติของตัวเอง เดิมควรจะบอกเล่าบรรยายภาพเหตุการณ์ที่ชนเผ่า อื่นสวามิภักดิ์ต่อเรา หรือภาพเหตุการณ์ที่อาจารย์ชื่นชมบทประพันธ์อันวิจิตร
8
๑
ต้นปอปลาร์ (Poplar Tree)
เมืองจันทราดอกไม้ร่วง มหาสมุทรดอกไม้บาน ๑
บรรจงของข้า หรือไม่ก็ภาพเหตุการณ์ที่ข้าร่ายเวทบังคับน้ำให้ตวัดหมุนกลางเวหา ดุจภูตบุปผา...ทว่าความผิดหวังเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ยากที่คนเราจะสมดัง ใจหวังทุกเรื่อง ปฐมบทประวัติของข้าซึ่งเป็นองค์หญิงเล็กกลับเริ่มต้นด้วยค่ำคืน แห่งความเศร้าโศก ในราตรีอันเศร้าโศกนี้ได้เกิดเหตุการณ์น่าเศร้าขึ้น เมื่อเซียน ได้รุกรานชนเผ่าซู่เจาของเรา ถูกต้อง เซียนที่ข้ากล่าวถึงก็คือเซียนที่เหินเวหาได้ ลมหนาวเดือนสิบสอง ลมเหนือพัดดินฟุ้งตลบ หิมะโปรยปรายทั่วแดน ลำน้ำลั่วจับตัวเป็นไอน้ำแข็งท่ามกลางความหนาวเหน็บ ค่ำคืนนั้นเสด็จแม่กำลัง สอนพี่หญิงปักผ้า เจ้าพยัคฆ์น้อยนอนหมอบอยู่บนตักของข้าที่กำลังนั่งคุกเข่า บีบนวดขาให้เสด็จพ่ออยู่ข้าง ๆ ทันใดนั้นก็มีทหารเข้ามารายงานว่า องครักษ์ หน้าประตูชังไห่ถูกสังหารจนสิ้น นอกจากจะมีชาวต่างเผ่าที่เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ใน เมื อ งแล้ ว ยั ง มี เ งาเมฆสองกลุ่ ม ลอยละลิ่ ว เข้ า มาด้ ว ย ไม่ มี ใ ครเห็ น ชั ด เจนว่ า ผู้บุกรุกเป็นใคร รู้เพียงว่ายามนี้พลเมืองบาดเจ็บล้มตายกันนับไม่ถ้วน น่าสลด หดหูเ่ หลือแสน ครัน้ ได้ยนิ ว่าประตูชงั ไห่เสียการอารักขา เสด็จพ่อก็ตกใจจนลุกขึน้ พรวด ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ทะยานออกไปด้วยพลังเวทบังคับน้ำให้ซัดโถมไปทันที ประตู ชั ง ไห่ เ ป็ น ประตู ห ลั ก ของแดนซู่ เ จา การคุ้ ม กั น ของที่ นั่ น แน่ น หนา ที่สุด แต่กลับถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย ผู้บุกรุกเป็นยอดฝีมือจากไหนกันแน่ ข้าเองก็ตามเสด็จแม่กับพี่หญิงออกไปดูสถานการณ์ พายุหิมะฟุ้งกระจาย ควันพวยพุ่งพันลี้ เสียงรบราฆ่าฟันนับไม่ถ้วนดัง สะท้อนอยู่ในเมือง ที่น่ากลัวกว่านั้นคือภายในเวลาสั้น ๆ ผู้บุกรุกได้กล้ำกรายมาถึง บนฟ้ า เหนื อ วั ง จื่ อ เฉาแล้ ว เป็ น บุ รุ ษ สองคน คนหนึ่ ง เป็ น เด็ ก หนุ่ ม ผมดำขลั บ มีดวงตาสามตา มือถือพู่กัน สวมชุดยาวสีเหลือง อีกคนเป็นผู้เฒ่าผมขาวโพลน เครายาวจรดเอว มือถือแส้ปัด สวมชุดนักพรตสีขาว ทั้งสองรวบผมมวยสวม รัดเกล้า ท่าทางหยิ่งทระนง ขี่มวลเมฆลอยเด่นอยู่สูง บริเวณโดยรอบพวกเขาปราศจากน้ำ นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่ใช่ชาว ซู่เจา แต่เป็นชนเผ่าอื่นที่เหาะเหินเดินอากาศได้ ซึ่งมีเพียง... “ผู้บุกรุกคือใคร” เสด็จพ่อเงยหน้าขึ้นถามเสียงดัง “ข้ากับท่านทั้งสองไม่มี 9
จวินจื่ออี่เจ๋อ
ความแค้นต่อกัน เหตุใดจึงทำร้ายชาวซู่เจาของเรา” เทียบกับโทสะเดือดดาลของเสด็จพ่อแล้ว เด็กหนุม่ กลับไร้ทา่ ทีวูว่ ามเฉกเช่น ที่คนอายุน้อยมี เพียงแค่ชำเลืองมองพวกเราอย่างดูแคลน นัยน์ตาสะท้อนความ เย็ น เยื อ กดุ จ พายุ หิ ม ะอั น หนาวเหน็ บ “เจ้ า ปี ศ าจสามหาว พวกเจ้ า วางอำนาจ บาตรใหญ่ ณ ทะเลเหนื อ มาเป็ น พั น ปี ยั ง กล้ า เหิ ม เกริ ม ไร้ ม ารยาท ล่ ว งเกิ น เบื้องสูงเช่นนี้อีก” “อะ...อะไรนะ พูดจาเพ้อเจ้อ! ช่างเป็นถ้อยคำที่เหลวไหลยิ่งนัก พวกเรา ชาวซู่เจาดำรงชีวิตอย่างสงบอยู่ในพรมแดนมาตลอดพันปี ไหนเลยจะเคยวาง อำนาจบาตรใหญ่!” เสด็จพ่อเป็นกษัตริย์ผู้ทรงธรรมที่มีเมตตา ทั้งชีวิตไม่เคยถูกใครต่อว่าด่าทอ เช่นนี้ ยามตอบคำถามก็ยังไม่ทิ้งความเป็นผู้ดี แต่ข้าหาใช่คนที่ใครจะรังแกได้ ง่าย ๆ ข้าอุ้มเสวียนเย่ว์ลุกขึ้นโต้แย้งไปด้วย “ใช่แล้ว ๆ แล้วเจ้าเป็นใคร ถึงได้ กล้าพูดจากับเสด็จพ่อข้าด้วยน้ำเสียงเช่นนี้! กล่าวหาว่าพวกเราเป็นปีศาจ ชาว ซู่เจาเช่นพวกเราต่างหากที่เห็นพวกเจ้าเป็นปีศาจ!” ดวงตายาวรี ข องเด็ ก หนุ่ ม หรี่ ล ง ยิ่ ง ฉายแววเย็ น ชา ส่ ว นผู้ เ ฒ่ า คนนั้ น กลั บ โมโหกราดเกรี้ ย ว สะบั ด แส้ ปั ด แล้ ว กล่ า ว “ภู ต วารี ก ระจอกที่ ไ ม่ รู้ ฟ้ า สู ง แผ่นดินต่ำ! รู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังตะคอกใครอยู่ เราคือเทพแห่งตำหนักจื่อเวย หรูเย่ว์เวิง และท่านหวงเต้าเซียนจวิน วันนี้รับบัญชาจากเซียนจุน๒ มาปลิดชีวิต ของพวกเจ้า!” ครานี้ข้าเป็นฝ่ายนิ่งอึ้งราวคนโง่ ผู้รุกรานคือคนจากดินแดนเซียน เป็นไปได้อย่างไร ก่อนหน้านี้เซียนผู้มี วิชาเวทสูงส่งยังปฏิบัติกับเราด้วยความสุภาพเกรงใจ ตอนนี้พวกเขากลับเรียก พวกเราว่าปีศาจวารีบ้าง ปีศาจร้ายบ้าง ข้าจึงแย้ง “ท่านเพ้อเจ้ออะไร! พวกเรา เป็นหนึ่งในชนเผ่าวารีที่ได้รับการปกปักจากเทพ เผ่าซู่เจาของเราสถาปนาโดย มหาเทพอิ้นเจ๋อ ตาเฒ่าที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าอย่างเจ้าต่างหากที่เป็นปีศาจ!”
10
๒
เซียนระดับสูงสุด
เมืองจันทราดอกไม้ร่วง มหาสมุทรดอกไม้บาน ๑
หวงเต้าเซียนจวินกล่าว “เจ้าปีศาจวารี เรารับบัญชาให้มากวาดล้างภัยร้าย หากพวกเจ้ากลับตัวกลับใจ ยังสามารถกลับชาติไปเกิดใหม่ และบำเพ็ญเป็น มนุษย์ได้ หากเจ้ายังใช้วาจาสามหาวลบหลู่ทวยเทพ ระวังวิญญาณจะแตกสลาย สาบสูญไปจากหกภพภูมิ” หรูเย่ว์เวิงใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ชี้มาทางข้าด้วยท่าทางราวกับรักษากฎอย่าง เข้มงวด มีความเที่ยงตรงล้นฟ้า “เลี้ยงสัตว์อสูรโบราณโดยพลการ ยังบอกว่า ตัวเองมิใช่ปีศาจ ช่างน่าขำสิ้นดี” ข้าเถียงทันที “ข้าไม่เห็นสัตว์อสูร เห็นเพียงมูลสุนัขในหมู่ทวยเทพอย่าง ท่านเท่านั้น ผู้ใดก็ชังน้ำหน้า” ข้ายั่วจนตาเฒ่านั่นเกิดโทสะถึงขีดสุด เสด็จพ่อกลับหันมาพินิจพยัคฆ์น้อย ในอ้อมกอดข้า ก่อนจะตบหัวของมันเบา ๆ “เจ้านี่รูปร่างคล้ายเสือ มีปีกบินได้ ทั้งยังกินคน เข้าใจภาษา...ข้าไร้ปัญญาจึงดูไม่ออก ลูกพยัคฆ์ตัวนี้คือฉงฉี...” ได้ยินคำว่า ‘ฉงฉี’ ข้าเองก็พลอยเงียบไปด้วย ชื่อนี้ไม่ได้แปลกหู ข้าเคย อ่านเจอในตำราไม่รู้กี่ครั้ง เมื่ อ ผานกู่ ๓เบิ ก ฟ้ า แยกแผ่ น ดิ น เทพหนี่ ว์ ว าสร้ า งมนุ ษ ย์ แ ล้ ว เทพแห่ ง น้ำก้งกงและเทพแห่งไฟขัดแย้งกันจน ‘น้ำและไฟไม่อาจอยู่ร่วมกัน ได้’ จึงเกิด ศึ ก ต่ อ สู้ ค รั้ ง ใหญ่ ขึ้ น หลายครั้ ง คลื่ น ยั ก ษ์ โ ถมกระหน่ ำ โลกมนุ ษ ย์ เปลวเพลิ ง ลุ ก โชน อสุ นี บ าตดั ง ลั่ น ท้ า ยที่ สุ ด ก้ ง กงพ่ า ยแพ้ จึ ง โกรธเกรี้ ย ว ใช้ ศี ร ษะโขก เขาปู้โจว๔ จนถล่ม เป็นเหตุให้เสาค้ำสวรรค์หักโค่น เชือกที่ยึดโยงแผ่นดินกับ เสาค้ ำ ยั น สวรรค์ ข าดออกจากกั น หลั ง จากนั้ น เทพหนี่ ว์ ว าได้ ซ่ อ มแซมแผ่ น ฟ้ า ด้วยศิลาห้าสี ก้งกงสิ้นชีพ ทว่าเผ่าพันธุ์ของก้งกงไม่สิ้นปณิธาน จำแลงกายเป็น สัตว์อสูรโบราณฉงฉี ฉงฉีเป็นสัตว์อสูรดุร้าย เห็นผู้ใดวิวาทกัน มันก็จะกลืนกิน ฝ่ า ยที่ มี เ หตุ ผ ล ได้ ยิ น ว่ า ใครสั ต ย์ ซื่ อ มั น จะเขมื อ บจมู ก ของผู้ นั้ น แต่ ห าก ได้ความว่าผู้ใดชั่วช้า มันจะล่าสัตว์มามอบให้ บุรุษผู้แยกแผ่นดินและฟ้าออกจากกันในตำนานเทพปกรณัมการสร้างโลกของจีน ภูเขาในตำนานเทพปกรณัมของชาวฮั่นในยุคโบราณ
๓
๔
11
จวินจื่ออี่เจ๋อ
วกกลับมาดูพยัคฆ์น้อยเสวียนเย่ว์ของข้า มันขดตัวอยู่ในอกข้า ใช้อุ้งมือ ปุกปุยกุมหัวตัวเอง ตาเบิกกว้างน้ำตารื้น ปีกเล็ก ๆ สั่นเทาพลางมองข้า เมื่อ สบตาข้าแล้ว มันยังยื่นกรงเล็บมาหาข้า ด้วยเพราะมันน่ารัก ข้าจึงละเลยลักษณะ เด่นของมัน ก่อนหน้านี้เสวียนเย่ว์เคยระเบิดพละกำลังเป็นบางครั้ง ข้าระวังอยู่ บ้าง แต่ก็ยังประเมินมันต่ำเกินไป คิดว่ามันโตแล้วคงกลายเป็นสัตว์ป่า ที่แท้ มันคืออสูรร้ายนี่เอง! มหาเทพสมุทรโปรดคุ้มครองด้วย ข้าเลี้ยงลูกฉงฉีตัวหนึ่ง เข้าให้แล้ว! ทำอย่างไรดี! เดี๋ยวก่อน เหตุการณ์นี้มีอะไรไม่ถูกต้อง ข้าซื้อเสวียนเย่ว์มาจากร้านขาย พยั ค ฆ์ หากมั น เป็ น ฉงฉี จ ริ ง เช่ น นั้ น พ่ อ แม่ ข องมั น ก็ ต้ อ งเป็ น ฉงฉี ตั ว เต็ ม วั ย สัตว์อสูรโบราณนิสัยดุร้ายโหดเหี้ยมเช่นนี้ เป็นไปได้อย่างไรที่จะถูกเจ้าของร้าน ขายสัตว์ไร้ประโยชน์นี้ล่า ต่อให้เขาไม่ได้ล่าด้วยตัวเอง แต่ผู้ที่จะล่าฉงฉีได้ก็ น่าจะรู้ว่าเจ้าตัวเล็กนี้มีพิษสงมากเพียงใด ไม่มีทางปล่อยให้มันหนีไปแน่ ข้าเอ่ย เสียงดัง “ช้าก่อน ข้ายังมีเรื่องต้องพูด...” “เจ้าปีศาจ อย่าได้คิดถ่วงเวลา!” เวลานี้หรูเย่ว์เวิงสะบัดแส้ปัดไปทางซ้าย เศษหินดินทรายจากรอบด้าน พลันฟุ้งตลบเข้ามารวมตัวกันอยู่กลางจันทร์กระจ่างดวงใหญ่ เขาสะบัดแส้ปัดไป ทางขวา เศษหินดินทรายเหล่านั้นก็จับตัวกันเป็นหินก้อนใหญ่หลายก้อน ขยับ หมุนวนอย่างบ้าคลั่ง เศษทรายปลิวกระเด็น ความรวดเร็วนั้นชวนให้ตะลึงตาค้าง จากนั้ น เขาก็ ส ะบั ด แส้ ปั ด มาทางพวกเรา หิ น แกร่ ง พวกนั้ น ก็ พุ่ ง ลงมาจากทาง ดวงจันทร์ กลายเป็นกริชหลายเล่ม ประกายเย็นเยือกวาววับ เล็งเข้าที่จุดสำคัญ ของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อร่ายเวทบังคับน้ำขึ้นมาป้องกันตัวทันที จึงสามารถสกัดการ โจมตีได้ส่วนหนึ่ง กริชลดความเร็วลง ทว่าคมมีดยังคงเฉือนลงบนร่างหลายแผล แม้พวกเราจะมีพลังบังคับน้ำ แต่ก็จำกัดเพียงน้ำที่ไร้ชีวิต อีกทั้งไม่มีพลัง ในการทำให้โลหิตแข็งตัว และไร้พลังแปรน้ำเป็นวัตถุ ด้วยเหตุนี้แต่เล็กจนโต วิ ช าเวทที่ ร้ า ยกาจที่ สุ ด เท่ า ที่ ข้ า เคยเห็ น มาก็ เ ป็ น เพี ย งวิ ช าที่ โ หว ๕ หลิ ง ซู่ ผู้ ใ ช้ วิ ช า
12
๕
บรรดาศักดิ์ลำดับที่สองในระบบศักดินา
เมืองจันทราดอกไม้ร่วง มหาสมุทรดอกไม้บาน ๑
เวทศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ ใ ช้ ใ นยามแสดงการฝึ ก หั ด วิ ช า ‘ธาราแข็ ง ตั ว ’ โดยทำให้ ผิ ว น้ ำ ของ แม่น้ำจับตัวเป็นน้ำแข็ง ก่อนจะยกแผ่นน้ำแข็งขึ้น แล้วทำให้มันแตกละเอียด กลางอากาศ จากนั้นจึงปล่อยออกไปโจมตีเป้าหมาย แม้ว่าต้นกำเนิดพลังของ วิชาเวทจะมาจากมหาเทพสมุทร แต่ก็ต้องยืมพลังจากตัวแม่น้ำด้วย อีกทั้งสำหรับ คนที่พลังศักดิ์สิทธิ์ไม่ธรรมดาอย่างโหวหลิงซู่ก็ยังต้องใช้เวลาสั่งสมพลังไม่น้อย ทว่าสำหรับหรูเย่ว์เวิงผู้เสกดินเหนียวเป็นหิน เสกหินเป็นกริชด้วยเวลา ไม่ ถึ ง พริ บ ตา จนกระทั่ ง ถึ ง เวลานี้ ข้ า เพิ่ ง ตระหนั ก ว่ า ศั ต รู ที่ อ ยู่ เ บื้ อ งหน้ า น่ า พรั่นพรึงเพียงใด การเอาชีวิตพวกเรา พวกเขาไม่ต้องเปลืองแรงอะไรเลย “หยุ ด นะ!” ข้ า ร้ อ งเสี ย งดั ง “เสวี ย นเย่ ว์ ไ ม่ ใ ช่ สั ต ว์ อ สู ร มั น เป็ น เพี ย ง สัตว์เลี้ยงที่ข้าซื้อมาจากร้านขายสัตว์ประหลาดเท่านั้น หากมันร้ายกาจเช่นนั้น จริง พวกเราคงไม่อาจควบคุมมันได้!” เซียนทั้งสองทำหูทวนลม และในเวลานี้โหวสามก็นำทัพเหล่าทหารซู่เจา มาช่วยเหลือ หวงเต้าเซียนจวินไม่ได้ลงมือใด ๆ เพียงใช้เวทเสกกำแพงหมอก ออกมาเพื่อสกัดกั้นการโจมตีของฝ่ายเราไว้ทั้งหมด นอกจากนี้ก็มีเพียงหรูเย่ว์เวิง คนเดียวที่รับมือ เขาเพียงสะบัดแส้ปัดไปทางซ้ายขวา ก็มีพลทหารเป็นร้อยพัน ล้ ม ตายด้ ว ยเวทมนตร์ ข องเขา ข้ า ไม่ เ คยเห็ น คนตายมาก่ อ น ยามนี้ จึ ง ได้ เ ห็ น ชาวเผ่าเดียวกันบาดเจ็บล้มตายลงต่อหน้า เลือดนองเป็นสายน้ำ ข้าตะลึงจนได้แต่ กอดกันกลมกับเสด็จแม่และพี่หญิง อยากร่ำไห้ทว่าไร้น้ำตา โหวหลิงซู่มีพลังเวท แก่กล้าที่สุดจึงยังพอประมือกับหรูเย่ว์เวิงได้บ้าง แต่แล้วก็ยังตกเป็นฝ่ายปราชัย จนต้องยกมือกุมอาการบาดเจ็บที่ท้อง คุกเข่าอยู่บนพื้น ข้าเห็นทหารพุ่งทะยาน เข้าไปอีกกลุ่มหนึ่ง หรูเย่ว์เวิงกวาดล้างทหารนับพันโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หวงเต้าเซียนจวินกล่าว “อย่าเสียเวลาให้มากความ จับโจรให้จับหัวหน้า สังหารแกนนำปีศาจวารีตนนั้นเสีย” หรูเย่ว์เวิงพยักหน้า หมุนสะบัดแส้หนึ่งรอบ บังคับกริชและเศษหินทั้งหมด บนพื้น จากนั้นพวกมันก็หมุนวน แล้วก่อตัวเป็นกระบี่วิเศษชิงเฟิง ท่ามกลาง พายุ หิ ม ะกระหน่ ำ พั ด กระโชก กระบี่ ส ะท้ อ นประกายดุ จ หิ ม ะพุ่ ง ตรงดิ่ ง ไปทาง เสด็จพ่อ! 13
จวินจื่ออี่เจ๋อ
ข้ากับพี่หญิงเผลอร้องอย่างตระหนก ทว่าเสียงครวญเจ็บปวดหลังจากนั้น กลับไม่ได้มาจากเสด็จพ่อ หากแต่มาจากเสด็จแม่ที่ไม่รู้ผละจากเราไปขวางอยู่หน้า เสด็จพ่อตั้งแต่เมื่อไหร่ แววตาของนางเด็ดเดี่ยวมั่นคงขณะใช้มือรับคมกระบี่ นิ้วเรียวทั้งห้าถูกเฉือนขาดทั้งหมด แต่ไม่อาจหยุดยั้งคมกระบี่ได้ กระบี่เล่มนั้น เสียบทะลุหน้าอกของนาง “จื่อถง๖!!!” เสด็จพ่อคุกเข่าร่ำไห้ กอดเสด็จแม่ไว้แนบอก “เสด็จแม่!!!” พวกเราคิดจะถลันเข้าไป แต่กลับถูกนายทัพโหวที่อยู่อีกทางขวางไว้ เขา บอกว่า “อย่าไป พวกท่านช่วยอะไรไม่ได้! พวกท่านต้องรักษาชีวิตไว้ มิฉะนั้น เผ่าซู่เจาจะไร้ผู้สืบทอด! อยู่ที่นี่ ห้ามไปไหนทั้งนั้น!” จากนั้นตัวเขาก็พุ่งเข้าไป ติ๋ง ติ๋ง...โลหิตแดงฉานของเสด็จแม่ไหลรินลงบนพื้นหิมะขาวโพลน ร่าง ของนางสั่นเทา ถลึงตาจ้องเซียนทั้งสองบนก้อนเมฆอย่างแค้นเคืองและปราศจาก ความหวาดกลัว “น่าชังนัก...ปั้นหน้าเคร่งขรึมทรงคุณธรรม ใช้ข้ออ้างเรื่องขจัด มารมากระทำเรื่องฆ่าฟันผู้คน...” เซียนทั้งสองนิ่งเงียบไปชั่วครู่ นายทัพโหวสั่งการให้ยิงธนูน้ำแข็งหนึ่งร้อย ดอกก็ไม่เกิดประโยชน์ เสด็จแม่กระอักโลหิตพรวด กุมมือเสด็จพ่อไว้ หน้าอก ขยับขึ้นลงอย่างรุนแรง สาบเสื้อบนหน้าอกที่เดิมเป็นสีขาวสะอาดเช่นหิมะ บัดนี้ ย้อมเป็นสีแดงเข้มเช่นดอกไห่ถัง “ฝ่าบาท...ไม่ต้องสนใจข้า ปกป้องลูกทั้งสอง ให้ดี...” มื อ ของเสด็ จ แม่ แ ละสาบเสื้ อ ล้ ว นย้ อ มไปด้ ว ยสี แ ดงฉาน นั ย น์ ต าของ เสด็จพ่อแดงเรื่อ รับปากด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ได้!” หวงเต้าเซียนจวินเอ่ย “ทำชั่วแล้วยังร้องหาความเป็นธรรม วิถีแห่งสุนัข จนตรอก” เขาเหินไปทางด้านหน้าหนึ่งช่วง ตวัดพู่กันเขียนยันต์อักขระประกายแสง สีเงินกลางอากาศ ก่อนจะใช้พู่กันนั้นผลักอักขระเวทเหล่านั้นออกไป พายุหิมะ
14
๖
คำเรียกที่ฮ่องเต้ใช้เรียกฮองเฮา
เมืองจันทราดอกไม้ร่วง มหาสมุทรดอกไม้บาน ๑
หยุดตกไปชั่วขณะ แสงสีเงินสาดส่องทั่วผืนฟ้ายามราตรี พวกเราแหงนหน้าขึ้น มอง มีบางอย่างร่วงลงมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน ความร้อนแผ่ขยายเข้าปกคลุมราวกับ แหฟ้าตาข่ายดิน ยังไม่ทันเข้ามาใกล้ก็สัมผัสได้ว่าผิวของตัวเองกำลังถูกแผดเผา ข้ากอดพี่หญิง ทรมานจนร่างสั่น ความสิ้นหวังเข้าครอบงำเราทุกคน เสด็จพ่อลุกขึ้นยืน บังคับน้ำทะลวงขึ้นฟ้า กางแขนทั้งสองข้างออก ต้นน้ำ ทั้งหมดของแดนซู่เจาต่างพร้อมใจกันพวยพุ่งขึ้นมาราวกับควันไฟ บัดนี้ ไม่ว่าจะ เป็นผืนดินของซู่เจา เกาะเมืองลอยอากาศ เทวรูปมหาเทพสมุทร หรือดวงจันทร์ ที่ลอยเด่นบนฟ้า ล้วนเสมือนแช่อยู่ในกระแสธารา สายตามองเห็นเพียงประกาย แสงใต้น้ำไหวกระเพื่อมและพลิ้วไหวคลับคล้ายเมล็ดพันธุ์บนใบหลิว เลือนราง พร่ามัวจนเหลือเพียงความงุนงง ท่ามกลางความสับสนนั้น ข้าได้ยินหรูเย่ว์เวิง กล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนใจว่า “เจ้าปีศาจพวกนั้นไปหลบอยู่ไหนเสียแล้ว” หวงเต้าเซียนจวินบอก “ช่างเถอะ เราหาพวกเขาไม่พบ เป็นวิชาเวทของ มหาเทพอิ้นเจ๋อจริง ๆ เหล่าเย่ว์ ข้าเจอเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่งเข้าแล้ว...” ท่ามกลางความสะลึมสะลือ ข้าเห็นนิมิตอันสวยงาม ในฝันหิมะยังคงตกโปรยปรายนอกหน้าต่าง ปะการังสีชาด กระถางทองรูปสัตว์หอมโชย เตาไฟลุกโชติช่วง เสด็จแม่สั่งให้คนหยิบเสื้อคลุมขนสัตว์ให้ตัวหนึ่ง ก่อนจะเดินนำมันมาคลุมไหล่ ให้ข้าด้วยตัวเอง ‘เวยเอ๋อร์ ง่วงก็กลับไปนอนพัก พรุ่งนี้ยังต้องไปห้องอักษร เสวียน ถึงเวลาเดี๋ยวจะไม่มีสมาธิเอาได้’ เสด็จพ่อดุข้า ‘เด็กคนนี้ วัน ๆ เอาแต่ก่อเรื่องที่ตำหนักว่านโจ๋ว สร้างความ วุ่ น วายให้ อ าจารย์ ทั้ ง ยั ง ชอบรั ง แกฮั่ น โม่ ตอนนี้ เ ฉิ น จื อ ไม่ อ ยู่ มิ ฉ ะนั้ น ชั่ ว ดี อย่างไรก็ยังมีคนปราบนางได้ ชักจะหนักข้อขึ้นทุกวันแล้ว’ ข้ า น้ ำ ตาร่ ว งเผาะจนต้ อ งรี บ เช็ ด ด้ ว ยหลั ง มื อ เสด็ จ แม่ ย่ อ ร่ า งนั่ ง ลงใช้ ผ้าเช็ดหน้าไหมซับน้ำตาให้ข้า ‘ใช้มือเช็ดน้ำตาอีกแล้ว สกปรก เหตุใดจึงเสียใจ เช่นนี้ เล่าให้แม่ฟังได้หรือไม่’ ‘เสด็จพ่อ เสด็จแม่ อย่าทิ้งข้าไว้ไม่สนใจได้ไหม’ เสด็จแม่เอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ‘เด็กโง่ ข้าเป็นแม่เจ้า จะใจร้ายทิ้งเจ้า 15
จวินจื่ออี่เจ๋อ
ไว้ได้อย่างไรกัน ไม่ว่าเมื่อไหร่แม่ก็จะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ’ ‘จื่อถง เจ้าตามใจนางอีกแล้ว’ เสด็จพ่อตบบ่าข้า พลางเอ่ยวาจาเข้มงวด เฉกเช่นยามปกติ ‘ลูกรัก พ่อกับแม่ไม่สามารถอยู่กับเจ้าไปได้ตลอดชีวิต หนทาง ส่วนใหญ่เจ้าจะต้องก้าวเดินด้วยตัวเอง ต่อให้พ่อกับแม่จากเจ้าไปจริง เจ้าก็จะ อ่อนแอไม่ได้ หลั่งน้ำตาง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน’ ข้าส่ายหน้าระรัว ‘ไม่เอา! ข้าจะอยูก่ บั เสด็จพ่อเสด็จแม่ตลอดไป! พวกท่าน อย่าจากข้าไป!’ เสด็จพ่อถอนหายใจเฮือกหนึ่ง มือใหญ่อบอุ่นวางทาบลงบนศีรษะของข้า ‘เวยเอ๋อร์ อีกสิบกว่าปีเจ้าก็จะเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะเอาแต่ใจตัวเช่นนี้ไม่ได้ ชั่วชีวิต ใช่ว่าจะอยู่เพื่อตัวเองเท่านั้น จงจำไว้ว่าเจ้าเป็นองค์หญิงเล็กของเมืองจันทราแห่ง ชนเผ่าซู่เจา เป็นบุตรสาวของข้าอ๋องทั่วหวา หากวันหนึ่งพ่อกับแม่ไม่อยู่แล้ว เจ้า ต้องอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่พี่หญิงของเจ้า ช่วยกันปกครองเผ่าซู่เจา รู้ไหม’ เหตุใดถ้อยคำของเสด็จพ่อจึงเหมือนคำสั่งเสียนัก ข้าเองก็ไม่ได้มีคำร้องขอ อะไรมากมาย เพี ย งแค่ ข อให้ พ วกเขาตามใจข้ า อี ก สั ก นิ ด อี ก เพี ย งเดี๋ ย วเดี ย ว รอข้าโตกว่านี้อีกหน่อยก็พอ ข้าไม่อยากฟังเสด็จพ่อเทศนาต่อ จึงซุกร่างเข้าหลบ ในอ้อมกอดของเสด็จแม่ ส่งเสียงร้องไห้ออดอ้อน อย่างไรเสียเสด็จแม่ก็เอ็นดูข้า มากกว่า นางไม่ได้พร่ำบ่นข้า เพียงแค่ลูบหลังข้าอย่างเชื่องช้า ขับขานบทเพลงที่ ข้าชื่นชอบที่สุดเมื่อครั้งยังเด็ก ในบทเพลงพรรณนาถึงทิวทัศน์ยามราตรีอันงดงาม ป่าเขาอันเขียวขจีของเมืองจันทรา นิ้วเรียวของเสด็จแม่ช่างอ่อนโยน แค่วางนิ่ง ๆ บนหน้าผากของข้าเพียงชั่วครู่ ความกังวลและความหวาดหวั่นทุกอย่างล้วนมลาย หายไปจนสิ้น และแล้วฝันหวานนี้ ท้ายที่สุดก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดของ พี่หญิง “อย่ารบกวนนาง ปล่อยให้นางพักผ่อน! ออกไป เจ้าพวกไร้ประโยชน์! ยามนี้ เ ผ่ า ซู่ เ จาประสบเภทภั ย พวกเจ้ า กลั บ เอาแต่ ห่ ว งบั ล ลั ง ก์ ! ไสหั ว ออกไป ให้หมด!” ข้ า ลุ ก ขึ้ น นั่ ง ทั น ที มองเห็ น แผ่ น หลั ง ของพี่ ห ญิ ง ปรากฏอยู่ ห น้ า ประตู 16
เมืองจันทราดอกไม้ร่วง มหาสมุทรดอกไม้บาน ๑
ตำหนั ก เจาหวา ส่ ว นห้ อ งหั บ เล็ ก ๆ ที่ ข้ า อยู่ มี ก ลิ่ น อั บ ชื้ น ฉุ น แรง บนโต๊ ะ สุ ม ไป ด้วยหนังสือราชการกองพะเนิน ได้ยินเสียงข้าพลิกตัว พี่หญิงหันกลับมามอง ข้ า แวบหนึ่ ง ก่ อ นจะเดิ น เข้ า มาปิ ด ประตู ก้ า วไว ๆ มาที่ เ ตี ย งแล้ ว เอ่ ย เสี ย งเบา “เวยเวย เจ้าวางใจเถอะ ตอนนี้พวกเราปลอดภัยแล้ว หากเจ้าอ่อนเพลียก็หลับ ต่ออีกสักพักเถิด” “ปลอดภัย? แล้วเสด็จพ่อล่ะ เสด็จแม่ด้วย เหตุใดจึงบอกว่าพวกเรา ปลอดภัยแล้ว เซียนสองคนนั้นล่ะ” “เสด็จพ่อใช้วิชาเวทม่านวารีย้ายเงา เคลื่อนย้ายเผ่าซู่เจาไปยังที่ปลอดภัย เวลานี้พวกเราถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง เกราะไอน้ำจะทำให้ไม่มี ใครหาเราพบ” “แล้วเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ล่ะ” ข้าคว้ามือพี่หญิง “เสด็จแม่บาดเจ็บสาหัส ใช่หรือไม่ ข้าเห็นเสด็จแม่ถูกกระบี่แทง นิ้วก็ขาด...เสด็จแม่เป็นอย่างไรบ้าง” พี่หญิงไม่ได้ตอบข้า แต่กลับบีบมือข้าแน่น คล้ายกำลังอดกลั้นกับความ เจ็ บ ปวดแสนสาหั ส นางบี บ แรงจนข้ า รู้ สึ ก เจ็ บ มื อ ทว่ า นางก็ ยั ง เลี่ ย งที่ จ ะตอบ คำถามข้า “มีเรื่องอะไรเอาไว้เราค่อยพูดกัน เจ้าพักอีกหน่อยเถอะ” “พี่ หญิง ตกลงเสด็จแม่ เ ป็น อย่ างไรบ้ าง! ตอบข้ าสิ!” ข้า หยุด เสีย งดั ง กะทันหัน ไม่กล้าแม้กระทั่งจะหายใจแรง ๆ เพียงเอ่ยเสียงเบา “เสด็จแม่...ท่าน... ใช่หรือไม่...” “เวยเวย พี่ ใ ห้ ค ำตอบเจ้ า ได้ แต่ เ จ้ า ต้ อ งเข้ ม แข็ ง อย่ า ร้ อ งไห้ ฟู ม ฟาย เพราะว่าเสด็จแม่ แล้วก็เสด็จพ่อ...” พูดถึงตรงนี้ น้ำตาของพี่หญิงก็ร่วงเสียก่อน “เพื่อปกป้องพวกเรา พวกท่านจึง...พวกเขา...” ถึงท้ายที่สุดพี่หญิงก็ไม่ได้พูดจนจบด้วยซ้ำ แต่ข้าเดาได้แล้ว วิชาเวทม่านวารีย้ายเงาเป็นวิชาต้องห้ามของชาวซู่เจา ตำนานเล่ า ว่ า สื บ ทอดมาจากมหาเทพสมุ ท ร เนื่ อ งจากวิ ช าเวทแขนงนี้ ใ ช้ พ ลั ง มหาศาล ร่างกายของชาวซู่เจาทุกคนล้วนไม่อาจทานรับได้ หากฝืนใช้ก็รังแต่ จะกลายเป็นเถ้าธุลี แม้ว่าแดนซู่เจาจะย้ายตำแหน่งแล้ว พายุหิมะก็หยุดแล้ว ทว่ามันยังคง 17
จวินจื่ออี่เจ๋อ
อยู่ใกล้ดวงจันทร์มาก ฉะนั้นแม้จะกลางดึกแล้วก็ยังมีพระจันทร์ที่งดงามที่สุด ในใต้หล้า ยามนี้จันทร์กระจ่างดวงใหญ่ไพศาล หิมะเย็นยังไม่จางหาย ก่อให้ เกิ ด โลกที่ เ สมื อ นสร้ า งด้ ว ยหยก หากไม่ เ อ่ ย ถึ ง เหตุ ก ารณ์ ที่ เ กิ ด ขึ้ น ก่ อ นหน้ า นี้ คงไม่มีใครล่วงรู้ว่าผู้ครองเมืองของที่นี่จากไปแล้ว ข้าวิ่งห้ออยู่ริมลำน้ำลั่ว ตามหา วิญญาณกล้าของเสด็จพ่อเลียบไปตามชายฝั่ง กลับเห็นเพียงสายลมพัดหิมะขึ้น ฟุ้งกระจาย แสงสะท้อนผิวน้ำดูเย็นเยือก ต้นอ้อร่วงหล่นโรยรา หญ้ารกปลิวว่อน ขจรขจาย คิดไม่ถึงว่าเสด็จพ่อจะหลอกข้า เมื่อครั้งยังเด็ก เสด็จพ่อพาข้ามาเดินเล่นที่นี่ เขาเคยบอกกับข้าว่าราชา ผู้ครองแดนซู่เจาทุกคนที่จากไป ล้วนกลายเป็นดวงวิญญาณพิทักษ์ที่แห่งนี้ คอย ปกปักดูแลอนุชนรุ่นหลัง ทว่านอกจากลำน้ำลั่วอันเขียวครึ้ม ต้นอ้อที่ส่ายไหว ตามสองฟากฝั่ ง ริ ม แม่ น้ ำ ที่ นี่ ก็ มี แ ต่ รั ต ติ ก าลยาวนานไร้ สิ้ น สุ ด ความหนาว ยะเยือกทำให้หายใจลำบาก ข้าคุกเข่าลงกับพื้น ความเจ็บปวดแทรกซึมไปทั่วทุก อณูของร่างกาย ศีรษะชาแปลบเป็นระลอก เวลานี้เหมือนมีก้อนหินหนักพันชั่ง กดทับอยู่บนแผ่นหลังของข้าจนลุกไม่ขึ้นอีกแล้ว เสด็จแม่เองก็หลอกข้า เสด็จแม่เคยบอกว่านางจะอยู่กับข้า อยู่เคียงข้างข้าตลอดไป “เสด็ จ แม่ . ..เสด็ จ แม่ . ..” ฝ่ า มื อ ทั้ ง สองข้ า งของข้ า ยั น ลงบนพื้ น หิ ม ะ ลมหายใจติดขัดจนแทบหมดสติ และแล้วในเวลานี้ คล้ายเบือ้ งหน้ามีแสงไฟโปร่งใสสว่างขึน้ ข้าสูดลมหายใจ เข้ า เฮื อ กหนึ่ ง เงยหน้ า มองไปข้ า งหน้ า ไม่ ค าดคิ ด ว่ า กลางลำน้ ำ ลั่ ว จะปรากฏ เงาร่ า งของบุ รุ ษ ผู้ ห นึ่ ง เขาถื อ ร่ ม สี ข าวที่ มี ล วดลายตวั ด วาดเขี ย นด้ ว ยน้ ำ หมึ ก เรือนผมดำยาวจรดเข่า ชุดยาวสีน้ำเงินเข้มทิ้งชายอยู่บนผิวน้ำ ใต้เท้าสะท้อน คลื่นประกายแสงสว่างเย็นตา บัดนี้แค่เพียงเป็นผู้ที่มีผมดำขลับก็ล้วนทำให้ข้าหวาดหวั่นพรั่นพรึง ข้า ร้องถาม “คระ...ใคร” เมื่อร่มกระดาษเคลื่อนหมุน คนผู้นั้นก็หันร่างมาช้า ๆ 18
เมืองจันทราดอกไม้ร่วง มหาสมุทรดอกไม้บาน ๑
คล้ายรู้อยู่แล้วว่าคนที่หันกลับมาเห็นจะเป็นข้า เขาระบายยิ้มอ่อนจางให้ข้า ภายใต้ร่ม นั่นไม่ใช่รอยยิ้มสดใสนัก ซ้ำยังห่างไกลยิ่งกว่าแสงจันทร์ หนาวเยือก ยิ่งกว่าหิมะ ทว่ากลับเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนที่สุดในโลกหล้า พริบตานั้น ลมฝนวิจิตรดั่งม่านฝัน ยามใบไม้ผลิหมุนเวียนมา คล้าย ทุกอย่างหยุดนิ่งไว้ ณ ชั่วขณะที่เขาหันมองมา และไฟเรืองแสงนั้น ที่แท้ก็สว่างมาจากมือเขานี่เอง เขาก้าวเหยียบผิวน้ำ อย่างแผ่วเบาเข้ามา ราวกับกลายเป็นแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางราตรีนี้ ข้าค่อย ๆ เห็นชัดเจนขึ้น สิ่งที่เขาถืออยู่ในมือคือดอกบัวตูมดอกหนึ่ง ดอกบัว ห่อหุ้มเม็ดบัวที่เปล่งประกายแสงได้ แม้กลีบบัวจะห่อตูม ก็ยังเห็นแสงสีทอง เล็ดลอดออกมาจากในนั้น ข้าเอ่ยถาม “เป็น...เป็นท่านเองหรือ ทำไมท่านจึงมาอยู่ที่นี่ได้” ถูกต้อง คนผู้นั้นก็คือบุรุษหนุ่มที่อัญเชิญให้มังกรปักษาพาข้ามาส่งที่ซู่เจา เมื่ อ ยี่ สิ บ เจ็ ด ปี ก่ อ น เขาไม่ ไ ด้ ต อบข้ า เพี ย งย่ อ ร่ า งนั่ ง ลงตรงเบื้ อ งหน้ า ข้ า แล้ ว หงายฝ่ามือ อิริยาบถนั้นพาให้ดอกบัวแบ่งบานตามกันอย่างเชื่องช้า เม็ดบัวนับร้อย ลอยตัวขึ้น เรียวเล็กแวววาว แสงทองวิบวับดุจธารหิ่งห้อยเดือนเจ็ดค่อย ๆ ส่อง สว่างท่ามกลางม่านรัตติกาล ทัศนียภาพนั้นสวยสดชวนให้สบายใจเหลือเกิน ข้า ยื่ น มื อ สั ม ผั ส เม็ ด บั ว อย่ า งอดไม่ อ ยู่ ไหนเลยจะรู้ ว่ า มั น จะร้ อ นลวกมื อ กลั บ มา บุรุษหนุ่มส่ายหน้า ลอยดอกบัวดอกนั้นลงบนผิวน้ำ แล้วจูงมือข้าเดินไปกลาง ลำน้ำลั่ว ก่อนจะกางร่มขึ้นบังเหนือศีรษะข้า ข้ากำลังสนใจใคร่รู้ว่าตัวเองมายืน บนผิวน้ำได้อย่างไร เขาก็ปล่อยมือข้า ชูฝ่ามือขึ้น สิ่งมหัศจรรย์ก็ได้บังเกิดขึ้น ดอกบั ว ตู ม สี ท องนั บ หมื่ น พั น ปรากฏบนลำน้ ำ ลั่ ว จากนั้ น บั ว งามทุ ก ดอกพากั น ทยอยไล่เรียงบานสะพรั่งท่ามกลางรัตติกาลอย่างมีชีวิตชีวาเหมือนกับดอกแรก ปลดปล่อยเม็ดบัวที่ราวกับหิ่งห้อยออกมามากมาย... ลมราตรีดังหวิว บุษบงส่งกลิ่นหอม บริเวณนี้ลมอ่อน ฝนปรอยมาระลอก หนึ่ง เป็นฝนปทุมสีทองสุกสกาว “งาม...งดงามเหลือเกิน” ข้าขยี้ดวงตาที่เริ่มเจ็บ มองจนใจลอยไปเสียแล้ว แต่รออยู่นานพักใหญ่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากเขา ข้าอดเงยหน้ามอง 19
จวินจื่ออี่เจ๋อ
เขาไม่ได้ เขาเองก็หันกลับมามองข้าแวบหนึ่ง เขาไม่ได้แสดงสีหน้ามากมายนัก แต่มองแล้วกลับอ่อนละมุนยิ่งกว่าผู้ที่กำลังแย้มยิ้ม เพียงแต่นัยน์ตาอ่อนโยน คู่นั้นของเขาโศกเศร้ายิ่งกว่าการร่ำไห้ สายตาที่สบประสานเช่นนั้นทำให้ข้ารู้สึก เจ็บปวดอย่างน่าฉงน ข้าลองยื่นมือออกไปสัมผัสเขา แต่แล้วเขากลับกลายเป็น จุดสีแสงนับหมื่นแล้วสลายไปกับสายลมในพริบตา เฉกเช่นเดียวกับหิ่งห้อยเม็ดบัว เหล่านั้น เหลือเพียงเหล่าดอกบัวสีทองลอยคว้างอยู่กลางอากาศ พิสูจน์ว่าเหตุการณ์ ทุกอย่างเมื่อครู่ไม่ใช่ความฝัน ข้าเหยียบย่างผิวน้ำอย่างระมัดระวังกลับเข้าริมฝั่ง ยั ง คงรู้ สึ ก ได้ ถึ ง ไออุ่ น ของเม็ ด บั ว แม้ จ ะยั ง เจ็ บ ปวด แต่ ก็ ไ ม่ ไ ด้ ห มดอาลั ย ตายอยากอย่างเมื่อครู่แล้ว บุรุษหนุ่มผู้นั้นเป็นใครกันแน่ จากการมาไม่ให้สุ้ม ไปไม่ ใ ห้ เ สี ย งของเขา น่ า จะเป็ น เซี ย นถึ ง จะถู ก แต่ ก ารใช้ ด อกบั ว เปล่ ง แสงมา ทำลายความคิดหมกมุ่นของข้าได้ ผู้ที่อ่อนโยนเช่นนี้ต้องไม่เหมือนเซียนพวกนั้น แน่ ไม่ว่าทัศนียภาพจะงดงามแค่ไหน ข้าก็ยังต้องกลับไปเผชิญหน้ากับการ ตายของบิดามารดา แค่เพียงคำนึงว่าจากนี้ไปข้าจะไร้พวกเขาอยู่เคียงข้าง หัวใจ ของข้าพลันทุกข์ทนแสนสาหัส แม้กระทั่งแสงจันทร์ที่ไม่เคยแปรเปลี่ยนมาแต่ โบราณก็ยังถูกพายุเกล็ดน้ำค้างบดบัง จนทำให้คนไม่อาจทนจ้องมองได้ แต่ ไ ม่ ว่ า อย่ า งไร ข้ า ก็ คิ ด ไม่ ถึ ง ว่ า ครั้ น กลั บ ถึ ง วั ง จื่ อ เฉาจะพบพี่ ช ายกั บ ไคเซวียนจวินในเวลาเดียวกัน ตำหนักเจาหวามีผู้คนเพียงไม่กี่คน พี่หญิงยืน อยู่ ห น้ า บั ล ลั ง ก์ มองพี่ ช ายด้ ว ยสายตาเรี ย บเย็ น ในขณะที่ พี่ ช ายถู ก องครั ก ษ์ สองคนจับตัวไว้ หยามเกียรติด้วยการเอามือไพล่หลัง ทว่าสีหน้ากลับไม่ยอมแพ้ ไคเซวี ย นจวิ น ยื น อยู่ ข้ า งพี่ ช าย เดี๋ ย วมองพี่ ช าย เดี๋ ย วก็ ม องพี่ ห ญิ ง ท่ า ทางดู กังวลร้อนรน “พี่หญิง!” ข้าวิ่งเข้าไป ยืนเยื้องอีกฝั่งหนึ่งของพี่ชาย “นี่มันเกิดอะไรขึ้น” พี่หญิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าถามเขาเองก็แล้วกัน” ข้ามองพี่ชาย เขาไม่ได้มองข้า ท่าทางปราศจากการเปลี่ยนแปลง ราวกับ ไม่คิดจะอธิบาย เขากับพี่หญิงคุมเชิงกันด้วยความเงียบ กลับเป็นไคเซวียนจวิน 20
เมืองจันทราดอกไม้ร่วง มหาสมุทรดอกไม้บาน ๑
ที่เป็นฝ่ายเอ่ยอย่างร้อนรน “โธ่ ลั่วเวย รีบปรามพี่หญิงของท่านเร็ว อย่าให้นาง ใจร้อนเช่นนี้” ข้าหันไปมองพี่หญิงอีกครั้ง “พี่หญิง” พี่หญิงกล่าว “ท่านพี่ บอกนางสิ ท่านทำอะไรไปบ้าง” พี่ชายปฏิเสธ “ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น” “พยานหลักฐานพรั่งพร้อม ท่านคิดจะเล่นลิ้นถึงเมื่อไหร่” พี่หญิงหยิบ หนังสือราชการออกมาฉบับหนึ่ง พูดลอดไรฟัน “เจ้าคนเนรคุณ! เสด็จพ่อกับ เสด็จแม่ดีกับเสด็จถึงเพียงนี้ ท่าน...ท่านกลับ...” พี่ชายยังคงมีท่าทีเหมือนเดิม “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ได้เป็นคนเขียนจดหมาย ฉบับนั้น” พี่หญิงเดือดดาลจนตัวสั่น ก้าวยาว ๆ ลงจากขั้นบันไดหยกบัลลังก์กษัตริย ์ หยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาวางตรงหน้าเขา “หากนี่ไม่ใช่ลายมือของท่าน แล้ว จะเป็นของใคร” พี่ชายบอก “ลายมือเป็นสิ่งลอกเลียนกันได้ หัวใจที่ภักดีและรู้คุณของข้า ที่มีต่อเสด็จพ่อเสด็จแม่ ฟ้าดินเป็นพยาน ข้าหาได้เคยกระทำเรื่องนี้ไม่” “โกหกพกลม!” พี่ ห ญิ ง ขว้ า งกระดาษแผ่ น นั้ น ออกไป พี่ ช ายเบื อ นหน้ า หลบ ข้ า รี บ รั บ จดหมายฉบับนั้นไว้ แล้วอ่านจบอย่างรวดเร็ว ตะลึงพรึงเพริดถึงที่สุด นั่นเป็น จดหมายที่ เ ขี ย นถึ งเซี ย นจวิ น มี เ นื้ อ ความว่ า ก่ อ นข้า เป็ น ทายาทแห่ งหวงเต้ า เซี ย นจวิ น ได้ รั บ แต่ ง ตั้ ง เป็ น บุ ต รบุ ญ ธรรมของราชาปี ศ าจวารี แ ห่ ง ทะเลเหนื อ อาณาจักรนี้คือมารร้าย ก่อกรรมทำชั่ว สมคบภูตผี ประพฤติเลวทราม เป็นภัย ต่อทะเลเหนือ เขาผู้นั้นมีบุตรีสองคน คนเล็กเลี้ยงดูสัตว์อสูรฉงฉี คนโตงดงาม ยวนยั่วให้เซียนเกิดความปรารถนา... “เว้ น เรื่ อ งที่ ข้ า เลี้ ย งเสวี ย นเย่ ว์ เ ป็ น ความจริ ง แล้ ว นอกนั้ น ล้ ว นเป็ น การ เพ้อเจ้อส่งเดช!” ข้าสบถด้วยความโกรธขึ้ง จากนั้นจึงพินิจมองตัวอักษรคำว่า ‘พยัคฆ์’ “เดี๋ยวก่อน ท่านพี่ ข้าจำได้ว่า คำว่า ‘พยัคฆ์’ ที่ท่านเขียน ปลายตวัด ด้านล่างจะลากสูงเป็นพิเศษ พี่หญิง นี่อาจจะเป็นของที่ผู้อื่นทำเลียนแบบ” 21
จวินจื่ออี่เจ๋อ
พี่หญิงแย้ง “เวยเวย เจ้าอย่าสอด ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เชื่อว่าเขาจะทำเรื่องเช่นนี้ ได้ ก่อนหน้านี้ข้าเองก็เกือบจะถูกเขาหลอกแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลายปีที่เขาไป จากซู่เจา เขาไปที่ใดมาบ้าง” “ไปฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อร่ำเรียนวิชาไม่ใช่หรือ” “แล้วเจ้ารู้ไหมว่าอาจารย์ของเขาคือใคร” “ไม่ทราบ” “หวงเต้าเซียนจวิน” พูดถึงตรงนี้พี่หญิงก็ถลึงตามองพี่ชายอย่างเคียดแค้น อีกครั้ง พี่ชายตอบ “อาจารย์ของข้าไม่ใช่เขา” “แล้วอาจารย์ของท่านเป็นใคร” เมื่อเผชิญหน้ากับการคาดคั้นไล่ต้อนของพี่หญิง พี่ชายเพียงย่นคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ยังอดทนไม่โต้ตอบ นอกตำหนักยังคงหนาวเหน็บ ในตำหนักแสงไฟสั่นไหว ส่องให้เห็นดวงหน้าโกรธเกรี้ยวของพี่หญิง นางแค่นหัวเราะเสียงเบา “ตอบไม่ได้ ใช่ ไ หม เฉิ น จื อ เช่ น นั้ น ข้ า จะเปลี่ ย นคำถาม ในเมื่ อ ท่ า นเป็ น มนุ ษ ย์ ธ รรมดา เหตุใดอายุเกือบห้าสิบปีแล้วก็ยังคงมีรูปร่างหน้าตาเช่นเดิม” พี่ชายยังคงนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจาใด ๆ อั น ที่ จ ริ ง เขาไม่ ใ ช่ พี่ น้ อ งร่ ว มสายโลหิ ต ของข้ า กั บ พี่ ห ญิ ง จำได้ ว่ า ตอนที่ พวกเรายังเล็ก เสด็จพ่อท่องเที่ยวพเนจรทั่วใต้หล้า ได้พบนักบำเพ็ญธรรมคนหนึ่ง นักพรตบอกเสด็จพ่อว่าตัวเขาเคยรับเลี้ยงเด็กคนหนึ่ง นามว่าฟู่เฉินจือ เก่งกล้า สามารถ ฉลาดเกินคน เพียงแต่อายุล่วงเลยยี่สิบกว่าปี กลับไม่เห็นการเติบใหญ่ ยังคงมีรูปลักษณ์เป็นเด็ก ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนรอบข้างไม่น้อย เสด็จพ่อคิดในใจว่าเด็กคนนี้อาจไม่ใช่คนธรรมดา ดังนั้นจึงขอพบตัว ทว่าเมื่อ ได้เจอ เขาก็พบว่าฟู่เฉินจือมีรูปลักษณ์เฉกเช่นปุถุชนทั่วไป และไร้วี่แววจำแลง แปลงกายเป็นปีศาจ แต่เด็กคนดังกล่าวเองก็เป็นดั่งคำเล่าลือ ฉลาดทว่าไม่ชั่วร้าย นิ่งเย็นทว่าไม่แข็งกร้าว โดดเด่นเสมือนผืนฟ้าพร่างดาว สูงส่งงามสง่าเสมือน แสงดารา เสด็จพ่อชอบเขามาก ก่อแล้วต้องสาน จึงรับเขาไว้เป็นบุตรบุญธรรม พากลั บ มาสู่ แ ดนซู่ เ จา อี ก ทั้ ง ถื อ เป็ น การแบ่ ง เบาภาระของนั ก พรต และแล้ ว 22
เมืองจันทราดอกไม้ร่วง มหาสมุทรดอกไม้บาน ๑
พวกเราก็ร่ำเรียนวิชาด้วยกันจนโต จนกระทั่งหลายปีก่อน พี่ชายออกจากแดน ซู่เจาไปฝากตัวเป็นศิษย์ร่ำเรียนวิชาภายนอก แทบไม่ได้กลับมา ทว่าในใจข้า เขา ยังเป็นหนุ่มน้อยซาลาเปาผู้น่ารักเมื่อแรกพบคนนั้น ยังคงเป็นพี่ชายที่ข้าพึ่งพา มากที่สุดเช่นเดิม ข้าออกตัวปราม “พี่หญิง ท่านบีบคั้นพี่ชายเกินไปแล้ว เขาเติบโตช้า ซึ่ง นั่นก็คือสาเหตุที่เสด็จพ่อพาเขากลับมาอย่างไรเล่า” “นั่นเพราะเขาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาต่างหาก!” พี่หญิงขึ้นเสียง กระชาก คอเสื้อของพี่ชายพร้อมคาดคั้น “ฟู่เฉินจือ ท่านจงตอบคำถามนี้ต่อหน้าทุกคน ต่อหน้าน้องสาวของท่านเดี๋ยวนี้ ท่านเป็นมนุษย์หรือเป็นเซียน!” อะไรนะ! ข้ามองพี่ชายอย่างไม่อยากเชื่อ ฉับพลันทันใดก็นึกถึงช่วงเวลาหลายวัน ก่ อ น เขาถู ก แมงมุ ม กั ด ไปที ห นึ่ ง แต่ พ อวั น ที่ ส องก็ ไ ม่ เ ห็ น แม้ ก ระทั่ ง แผลเป็ น พี่ชายมองข้าอย่างรวดเร็วแวบหนึ่ง ดวงตาเรียวยาวดั่งจิ้งจอกขยับปิดลงแผ่วเบา ริมฝีปากขาวซีด “ข้าเป็นเซียน” หัวใจของข้าหยุดเต้นไปจังหวะหนึ่ง ข้ารู้สึกว่าลำคอแห้งผาก กลืนน้ำลาย อย่างยากเย็น “ท่านรู้ตัวตั้งแต่เมื่อไหร่” พี่หญิงยิ้มเย็น “เขาเขียนในจดหมายชัดเจนถึงเพียงนั้นแล้ว เขาได้รับ คำสั่งให้มาสอดแนมที่ซู่เจา เจ้าจะยังถามอีกว่าเขารู้ตัวเมื่อไหร่ ถ้าเจ้าไม่เชื่อ ก็จง ดูนี่” นางรับกระดาษแผ่นหนึ่งจากองครักษ์ที่อยู่ข้าง ๆ แล้วยื่นให้ข้า ข้ากวาดตา อ่านรอบหนึ่ง พบว่านั่นเป็นบทกวีที่พี่ชายแต่งขึ้นเมื่อครั้งยังเด็ก ทิศอุดรมีสมุทร โฉมงามแห่งอุดร เก้าสวรรค์ทะนงมอง วิญญูชนผู้หาญกล้า
ลึกล้ำสุดแหวกว่าย สูงส่งมิอาจเอื้อม ข้าล้มป่วยสิ้นเรี่ยวแรง ย้อนคืนมาจากพรมแดน 23
จวินจื่ออี่เจ๋อ
กวีบทนั้นเป็นบทที่เขาแต่งขึ้นในวันที่ข้าเจอเขาครั้งแรก นั่นเป็นเรื่องเมื่อยี่สิบกว่าปีมาแล้ว วันนั้นห้องอักษรเสวียนมีเด็กใหม่มา คนหนึง่ เพียงชายตายังแสนเสน่ห์ กลิน่ อายหอมดุจกล้วยไม้ ผิวเนือ้ เนียนละเอียด ผุดผ่อง หมดจดยิ่งกว่าสตรีแรกแย้ม ผิวพรรณเนียนผ่องอ่อนช้อยนั้นเฉิดฉาย ยิ่งกว่าปีศ าจจิ้งจอกดำแห่งเขาโยวตู แต่แก้ม ของเขาอิ่ม เอิบคล้ายกับซาลาเปา แสนน่ารัก ลำพังเพียงรูปลักษณ์นี้ก็ทำให้คนเห็นตราตรึงไม่ลืม ที่สำคัญกว่านั้น คือเขาไม่ใช่ชาวซู่เจา เพราะผมของเขาเป็นสีดำ สีผมแท้จริงของชาวซู่เจาล้วนเป็น สีครามเข้ม ด้วยอายุที่มากขึ้น สีผมก็จะอ่อนลงเรื่อย ๆ จนท้ายที่สุดกลายเป็น สีขาวนวลเหมือนแสงจันทร์ ผู้ที่มีพลังเวทแข็งแกร่งและมากด้วยประสบการณ์ ถึงขั้นเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนเสียด้วยซ้ำ ตอนที่เราร่ำเรียนตำรากันนั้น อาจารย์ เคยกล่าวไว้ว่า ‘ผมดำขลับนั้นคือปุถุชน ปุถุชนนั้นคือมนุษย์และปีศาจ’ ตอนนั้น พวกเราไม่ เ คยเห็ น เซี ย น ไม่ รู้ ว่ า เซี ย นเองก็ มี ผ มสี ด ำได้ เ ช่ น กั น ด้ ว ยเหตุ นี้ จึงพากันคิดว่าเขาเป็นมนุษย์หรือไม่ก็ปีศาจ ดังที่คาดหมาย เมื่อพี่ชายตอบกลับ ว่า ‘ข้าน้อยเสียบิดามารดาไปตั้งแต่ยังเยาว์ ได้นักพรตสกุลฟู่ในใต้หล้ารับเลี้ยง ฉะนั้นจึงเติบโตในใต้หล้าขอรับ’ ใต้หล้าคือแผ่นดินของชาวฮั่น ตั้งแต่นั้นพวกเราทุกคนก็คิดว่าพี่ชายเป็น ปุถุชน ตอนนั้นอาจารย์ไม่รู้ว่าเสด็จพ่อรับเลี้ยงดูพี่ชาย จึงกล่าวว่า ‘เฉินจือ ในนี้ ไม่มีที่นั่ง วันนี้เจ้าอาจต้องยืนเรียนแล้วละ’ ข้ากลับอาสาออกรับเอง ด้วยการตบที่นั่งว่างข้างตัวเองเบา ๆ ‘ใครบอก ตรงข้ามีที่นั่งแท้ ๆ’ อาจารย์มีสีหน้าลำบากใจ ‘คือ...องค์หญิงเล็ก เช่นนั้นอาจารย์คงไม่อาจ เรียนท่านอ๋อง...’ ‘ไม่เป็นไร แค่วันนี้เท่านั้น’ ข้ากระดิกนิ้วเรียกฟู่เฉินจือ ‘ท่าน มานั่งทางนี้’ การเอาแต่ ใ จตนเป็ น ที่ ตั้ ง ในห้ อ งอั ก ษรเสวี ย นจนเคยตั ว เรื่ อ งนี้ ส ำหรั บ องค์หญิงเล็กผู้มั่นใจไม่เป็นสองรองใครในใต้หล้านี้เช่นข้า นับเป็นเรื่องธรรมดา สามัญ ส่วนพี่ชายนั้นนิ่งอึ้งเป็นอันดับแรก จากนั้นก็แย้มยิ้มบาง ๆ ก่อนจะนั่งลง ข้างข้า ข้าเอามือเท้าคางพินิจมองเขาหลายครั้ง พบว่าเขาหน้าตาไม่เหมือนปุถุชน 24
เมืองจันทราดอกไม้ร่วง มหาสมุทรดอกไม้บาน ๑
จริง ๆ ผู้ที่ปรากฏตัวในแดนซู่เจามากที่สุดก็คือชาวเสวียนชิวแห่งเขาต้าเสวียน หรือไม่ก็ชาวชื่อจิ้งแห่งแคว้นต้าโยว ฝ่ายแรกมีผิวดำคล้ำ ฝ่ายหลังมีผิวแดงเข้ม ตั้งแต่ใต้เข่าลงไป คนเหล่านี้รูปร่างบึกบึน นิสัยซื่อสัตย์ และด้วยความเชื่อ ‘ผู้ มีนามแย่ย่อมอายุยืน’ จึงพลอยตั้งชื่อไม่ไพเราะนัก แต่พี่ชายนั้นไม่เพียงมีชื่อ ที่สง่างามหาใครเหมือน แม้กระทั่งเจ้าตัวก็ยังงดงาม ประเพณีของชาวซู่เจาคือ หญิงสาวรวบผม ชายหนุ่มสยายผม เขาเองก็ไม่มีข้อยกเว้น เรือนผมดำเงาประ อยู่บนบ่า เพียงผูกผ้าแพรเส้นหนึ่งไว้ตรงท้ายทอย ขับดวงหน้าเล็ก ๆ ที่ราวกับ ดอกบัวสีขาวให้ยิ่งงดงาม เมื่อสังเกตเห็นสายตาของข้า เขาก็เอียงหน้ามามองข้า แวบหนึ่ง กล่าวอย่างเขินอายเล็กน้อย ‘ช่วยแนะนำด้วย’ ‘ชาวฮั่นมีหน้าตาเหมือนท่านกันหมดเลยหรือเปล่า’ ข้าพึมพำ ‘หน้าตาเหมือนข้าหรือ’ ‘นุ่มนิ่มอวบอิ่มอย่างกับซาลาเปาแน่ะ’ ข้ายิ้มแย้ม ‘ดีใจไหม ท่านน่ารัก กว่าเด็กผู้หญิงชาวซู่เจารวมกันทั้งหมดเสียอีก’ ได้ ยิ น เช่ น นั้ น แก้ ม ที่ เ หมื อ นซาลาเปาของเขาก็ เ ปลี่ ย นสี เ ป็ น ชมพู ร ะเรื่ อ แต่เขาก็ยังนิ่วหน้า กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังเคร่งขรึม ‘นี่ไม่ใช่คำชม ผิวของข้า ไม่ขาว ชาวฮั่นเองก็ไม่ขาว’ หยอกเขาอยู่พักหนึ่ง อาจารย์ก็ให้พวกเราคัดสำนวนเด่นในตำราเหวินฟู่๗ เหล่ า ลู ก ศิ ษ ย์ เ ปิ ด ฝากาน้ ำ บนโต๊ ะ อย่ า งพร้ อ มเพรี ย ง เริ่ ม ขั บ เคลื่ อ นลมปราณ ปลายนิ้ ว ชี้ ไ ปที่ ก าน้ ำ น้ ำ ด้ า นในพลั น พวยพุ่ ง ขึ้ น มาเป็ น ลำ เคลื่ อ นตั ว ไปทาง แท่งหมึกบนแท่นฝนหมึก เข้าห่อหุ้มแท่งหมึกแล้วขยับหมุน ครู่เดียวน้ำหมึก ก็หยดลงบนแท่นฝนหมึก ข้าคิดในใจว่าได้เวลาข้าแสดงฝีมือแล้ว! นี่เป็นโอกาส เดียวที่จะสำแดงพลังเวท ต้องเอาให้ตระการตา ข้าถลกแขนเสื้อพับขึ้นถึงข้อศอก ชูกำปั้นถูฝ่ามือ กำลังจะจัดคลื่นน้ำตระการตาสักตั้ง ใครจะคิดว่าพี่ชายเองก็ พั บ แขนเสื้ อ ขึ้ น เทน้ ำ ในกาลงบนแท่ น ฝนหมึ ก จำนวนหนึ่ ง จากนั้ น เขาก็ ห ยิ บ แท่งหมึกขึ้นมาฝนอย่างใจเย็น...
๗
ตำราเกี่ยวกับหลักการศิลปะวรรณคดีของจีน
25
จวินจื่ออี่เจ๋อ
ครั้นภาพนั้นประจักษ์แก่สายตา ศิษย์ทุกคนต่างนิ่งงันเหมือนท่อนไม้ เห็น พี่ชายตวัดเขียนตัวอักษรแบบข่ายซูตัวบรรจงเต็มหนึ่งหน้ากระดาษแล้ว ลายมือ เป็นระเบียบเรียบร้อย ทำเอาศิษย์รอบตัวมองจนสติไม่อยู่กับตัว บัณฑิตน้อย คนหนึ่ ง มองลายมื อ ของพี่ ช ายแล้ ว กล่ า วอย่ า งมี นั ย ‘ลายมื อ สวย ทว่ า แม้ แ ต่ พื้นฐานอย่างเวทบังคับวารีก็ยังทำไม่ได้ แล้วชั่วโมงเรียนวิชาเต๋าจะทำอย่างไร น่าเสียดายจริง ๆ ที่ไม่อาจแสดงศักยภาพสำแดงพลังได้เต็มที่’ ลูกศิษย์อีกคนกล่าว ‘เขียนอักษรสวยน่ายกย่องมากหรือไร ก็แค่ปุถุชน จะเป็ น ศิ ษ ย์ ร่ ว มอาจารย์ กั บ ข้ า ได้ อ ย่ า งไร อยากรู้ จ ริ ง ๆ ว่ า ใครยั ด เขาเข้ า มาใน ห้องอักษรเสวียน เกรงว่าแม้แต่แต่งกวีก็ยังทำไม่ได้’ เมื่อได้รับการท้าทายจากเด็ก ๆ หลายคนที่คิดว่าตนเลิศเลอ พี่ชายก็แต่ง กลอนบทหนึ่ง บทกลอนนั้นมีชื่อว่า อุดรทิศมีสมุทร ซึ่งก็คือบทกลอนที่พี่หญิง หยิบออกมาในเวลานี้ ท่านอาจารย์เคยอ่านกลอนบทนี้ ทิ้งคำวิจารณ์ปริศนาไว้ เพียงว่า ‘เมื่อกล่าวถึงลายมือ โบราณว่าซ่อนปลายได้นิ่ง ซ่อนพลังหนักแน่น เปิดปลายได้เฉียบ เผยเจตนารมณ์ เจ้าใช้พู่กันได้ราวเหล็กแหลมจรดบนผืนทราย ปลายพู่ กั น เรี ย บนิ่ ง เป็ น ระเบี ย บ ทว่ า แรงกลั บ กดทั บ ถึ ง ด้ า นหลั ง รอยลึ ก ถึ ง สามส่วน ฟู่เฉินจือ เจ้าอายุยังน้อย ความสามารถท่วมท้นเป็นเรื่องดี ทว่าในใจ ครุ่นคิดมากล้น น่ากลัวจะ...’ เมื่อผนวกกับเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเวลานี้ จึงเพิ่งเข้าใจว่าพี่ชายใช้อักษร เป็ น เครื่ อ งบ่ ง ชี้ ตั ว ตน แตกต่ า งจากข้ า ที่ มี อ ะไรก็ ช อบเอะอะเสี ย ส่ ว นใหญ่ เขา เป็นประเภทมีอะไรก็เก็บงำไว้ในใจ กวีบทนั้น สองประโยคสุดท้ายมีความหมาย ว่า เงยหน้าคะนึงมาตุภูมิบนฟากฟ้า จนลำคอของข้าเมื่อยล้า เมฆตามมังกร ลมตามพยัคฆ์ รอข้าเสร็จการใหญ่ ย่อมได้กลับคืนไป ที่แท้เขารู้แต่แรกแล้วว่าตัวเองไม่ใช่คนธรรมดา “เวยเวย การตายของเสด็จพ่อเสด็จแม่ล้วนเป็นเพราะพี่น้องที่แสนดีของเรา คนนี้ เขาสมคบกับหวงเต้าเซียนจวินมานานแล้ว หวังครองบัลลังก์ซู่เจาด้วยตัวเอง ส่วนพวกเราชาวซู่เจาก็จะตกเป็นเบี้ยล่างในดินแดนเซียนชั่วกัปชั่วกัลป์ ข้าไม่มีวัน ให้โอกาสนี้แก่เขาแน่ เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้ข้าจะขึ้นครองบัลลังก์ เป็นราชินีคนใหม่ 26
เมืองจันทราดอกไม้ร่วง มหาสมุทรดอกไม้บาน ๑
ของซู่เจา” พี่หญิงมองพี่ชายด้วยสีหน้าเย็นยะเยือกราวเกล็ดน้ำแข็ง กล่าวเน้น เสียงทีละคำอย่างชัดถ้อย “ทหารเซียนที่จับตัวได้ภายในเมือง ผู้ที่ทรยศหักหลัง ซู่เจา สังหารไม่มีละเว้น” ข้าร้อนรน เขย่าแขนเสื้อของพี่ชาย “ท่านพี่ ท่านรีบอธิบายสิ” ทว่าจนกระทั่งถูกพาตัวไปเขาก็ไม่ปริปากแม้เพียงคำเดียว หลังจากพี่หญิง อธิบาย ข้าจึงรู้ว่าที่แท้ผู้ที่แพร่งพรายความลับคือผู้ติดตามของพี่ชาย ผู้ติดตาม ภักดีกับเขาตลอดมา คิดไม่ถึงว่าจะกระทำเรื่องคิดคดทรยศเช่นนี้ เสด็จพ่อกับ เสด็จแม่เพิ่งเสียชีวิต เขาก็เร่งกลับมาที่ซู่เจา หวังปั้นหน้าปลอบประโลมพวกเรา เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นค่อยกำจัดเราสองพี่น้อง ตั้งตนเป็นอ๋อง ทว่า ไม่ว่าพวกเขาจะว่าอย่างไร ข้าก็ไม่อยากเชื่อว่าพี่ชายจะเป็นคนเช่นนั้น เที่ยงคืนแล้ว ข้ายังข่มตานอนไม่หลับอยู่ในห้องตามลำพัง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง เคาะประตู ข้ากระโดดลงจากเตียงไปเปิดประตู ลมหนาวระลอกหนึ่งพัดวูบเข้ามา ไคเซวี ย นจวิ น ยื น อยู่ ใ ต้ ด วงจั น ทร์ ใ นค่ ำ คื น อั น หนาวเหน็ บ สี ห น้ า ดู ก ลั ด กลุ้ ม หม่นหมอง “ข้าน้อยมากราบขออภัย” ข้าเปิดประตู “เข้ามานั่งสิ” “ไม่ละ พูดกันตรงนี้ก็พอ ข้ายังปรารถนาจะเป็นพี่เขยท่าน เกิดหลิวอิ๋ง เข้าใจผิดจะแย่เอาได้” เขาหัวเราะขัน ไออุ่นระเหยลอยออกจากปาก ทว่ากลับมามีท่าทีจริงจัง อย่างรวดเร็ว “อันที่จริงคนที่พาคุณชายฟู่กลับมาคือข้าน้อยเอง” “ท่านหรือ” “ใช่ขอรับ หลังจากข้าน้อยออกจากดินแดนซู่เจา วันหนึ่งระหว่างเดินทาง ผ่านหุบเหวน้ำแข็งบนภูเขาหิมะ ได้รู้จักคุณชายฟู่ ทราบว่าเขาเป็นบุตรบุญธรรม ของท่านอ๋องทั่วหวา ด้วยเหตุนี้จึงผูกมิตรร่วมเดินทางไปดินแดนเซียนด้วยกัน ข้าน้อยมีสหายร่วมรบอยู่คนหนึ่ง สนิทชิดเชื้อกับหรูเย่ว์เวิง สองวันก่อนได้ยินเขา บอกว่าเขากับหวงเต้าเซียนจวินไปปราบมารที่ทะเลเหนือ คาดไม่ถึงจะเป็นเผ่าซู่เจา ก่อนหน้านี้ข้าน้อยได้ร่ายเวทในลำน้ำลั่ว เพื่อความสะดวกในการเดินทางกลับซู่เจา 27
จวินจื่ออี่เจ๋อ
ในวันหน้า ข้าน้อยจึงบอกเรื่องนี้กับคุณชายฟู่ด้วย และรับปากว่าจะพาเขากลับ มาด้วยกัน...คิดไม่ถึงว่าเมื่อเรากลับมาถึงก็สายไปเสียแล้ว คุณชายฟู่ยังมาถูก ปรักปรำ...” “ท่านเองก็คิดว่าพี่ชายข้าถูกปองร้ายหรือ” ไคเซวี ย นจวิ น กล่ า วด้ ว ยสี ห น้ า จริ ง จั ง “แน่ น อน คุ ณ ชายฟู่ เ ป็ น คนมี คุณธรรม จะทำร้ายบิดามารดาผู้ให้ชีวิตจนตายได้อย่างไรกัน” “แต่ว่าพี่หญิงไม่เชื่อเขาเลยสักนิด...” “พี่ ห ญิ ง ของท่ า นดู อ่ อ นโยน ทว่ า นิ สั ย กลั บ วู่ ว าม คนตายมิ อ าจฟื้ น คื น กลัวก็แต่นางจะสังหารผู้บริสุทธิ์จนต้องเสียใจภายหลังอย่างไม่สิ้นสุด” ข้าถาม “แล้วเราจะทำอย่างไรดี” ไคเซวี ย นจวิ น กวาดตามองไปรอบ ๆ ก่ อ นจะล้ ว งกุ ญ แจออกจากอกเสื้ อ แล้วยัดใส่มือข้า “นี่เป็นกุญแจห้องขังคุณชายฟู่ ข้าขโมยมา” ข้าตะลึง “เป็นถึงเซียนผู้สูงศักดิ์ ไยจึงทำเรื่องลักเล็กขโมยน้อย!” “นี่ก็เพื่อพี่หญิงของท่าน” ไคเซวียนจวินส่ายหน้าอย่างจนใจ “เอาละ รีบ ไปพบพี่ ช ายท่ า น ข้ า จะกลั บ ไปเกลี้ ย กล่ อ มพี่ ห ญิ ง ของท่ า น จริ ง สิ ข้ า ขุ ด หลุ ม ในเรือนจำใต้ดินไว้ด้วย หากเลยเที่ยงคืนแล้วยังไม่มีข่าวจากข้า แสดงว่าเกลี้ยกล่อมพี่หญิงของท่านไม่สำเร็จ ให้ท่านปล่อยคุณชายฟู่หนีไปก่อน มีอะไรเรา ค่อยกลับมาหารือกัน” ข้ า อดขำไม่ ไ ด้ “เป็ น ถึ ง เซี ย นแท้ ๆ กลั บ ทำเรื่ อ งขุ ด หลุ ม ขุ ด รู ร าวกั บ หนู ! เอาเถอะ ท่านผ่านด่านน้องสาวภรรยาแล้ว ต่อไปข้าอนุญาตให้ท่านขอพี่หญิง เป็นภรรยาได้” ไคเซวียนจวินเอ่ยกลั้วหัวเราะ “เลิกพูดได้แล้ว รีบไปเถอะ”
28