[ทดลองอ่าน] บุปผาผนึกใจ ตอน ซ้อนเงากุหลาบ

Page 1

บทนำ ภายใต้ ต้ น อิ ง เถา ๑ที่แผ่กิ่งก้านสาขายาวเหยียดออกไป

ราวกับว่าแต่ละกิ่งล้วนต้องการโอ้อวดสายลมที่พัดผ่าน  ต่างพากันผลิดอกสีขาว อย่างแน่นขนัด  แสดงความยินดีปรีดาในฤดูกาลอันอบอุ่นที่เวียนมาเยือน  ณ  ที่แห่งนี้ยังมีสตรีสาวน้อยหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูนางหนึ่งในชุดสีม่วงอ่อน ชายระบายสีขาว  แลดูแล้วไม่น่าจะอายุเกินสิบหกปี   ผมดกดำเงาเป็นประกาย เกล้ า ขึ้ น ครึ่ ง ศี ร ษะ  แล้ ว แยกถั ก เปี ย สองข้ า งเกล้ า เป็ น วงแซมด้ ว ยดอกชิ ว อิ ง ๒ ดูสดใสนัก  นางนั่งอยู่บนแท่นหินสีดำ  หน้าตัดหินเรียบกริบบนราวกับตั่งชั้นดี  ไม่ทราบว่าผู้ใดจัดหามาวางไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสมยิ่ง  คงมีเพียงต้นอิงเถาเก่าแก่ กับแท่นหินดำสนิทประดุจรัตติกาลนี้เท่านั้นที่จะบอกได้ว่าใครเป็นผู้นำมันมาตั้งไว้ สาวน้อยในชุดสีม่วงเคาะพัดจีบอย่างบุรุษกับฝ่ามือตนเองจนเกิดเสียงดัง เป็นจังหวะ  ทำให้เด็กน้อยหกคนที่กำลังส่งเสียงเซ็งแซ่เงียบลง  แล้วรวมกลุ่ม มานั่งที่พื้นดินตรงหน้านาง  สาวน้อยกวาดตามองเด็กชายสี่คน  เด็กหญิงสองคน  เมื่อเห็นพวกเขานั่งลงเรียบร้อยดีแล้วจึงเริ่มกระแอมเบา ๆ  กล่าวด้วยเสียงสดใส ดั่งสกุณา “วันนี้จะขอเปิดฉากตำนานรักวาสนาชักพา  ยังจำเรื่องคราวก่อนที่ข้าเกริ่น ถึงตำหนักใต้พิภพได้หรือไม่” “ข้าจำได้  คราวก่อนพี่สาวได้เอ่ยทิ้งท้ายถึง เฮยโพ่หลิง  พญางูกับขุมทรัพย์

ต้นเชอร์รี่ ดอกคอสมอส

1


วาโย

ที่วังใต้พิภพของเขา”  เด็กชายชุดสีน้ำเงินเงางามจากไหมชั้นดี  ปักด้วยดิ้นเงิน บ่งบอกถึงฐานะอันไม่ธรรมดาเอ่ยขึ้น  “ทั้งยังบอกว่าจะเล่าการต่อสู้ของเฮยโพ่หลิง  เซียนงูดำ  กับลวี่หวางจิน  เซียนพังพอน  ที่ดุร้ายน่ากลัวอย่างยิ่งให้พวกเราฟัง  ถ้ามาในวันนี้” “เก่งมาก”  สาวน้อยชุดม่วงชื่นชม  ทำให้เด็กชายชุดไหมน้ำเงินเชิดหน้ายืดตัวขึ้นพร้อม รอยยิ้มที่มุมปาก  ที่ จ ริ ง เด็ ก ผู้ ช ายเช่ น เขาหาได้ ส นใจตำนานรั ก อะไรนั่ น ไม่   แต่ เ พราะเมื่ อ หลายวันก่อนพี่สาวท่านนี้ได้ปรากฏตัวขึ้นขณะที่พวกเขากำลังเล่นกันอยู ่ แล้วนาง ก็เล่านิทานให้ฟังอย่างสนุกสนาน  หลังจากเล่านิทานกำเนิดเทพบิดรผานกู่แหวกฟ้า แยกแผ่นดิน  ยังได้เกริ่นว่าจะเล่าเรื่องของเผ่าสวรรค์ในวันนี้  พวกเขาจึงนัดแนะ กันมาอีก  ขณะที่เด็กชายชุดน้ำเงินกำลังตั้งใจฟัง  จู ่ ๆ  ก็มีบางสิ่งพุ่งใส่หลังศีรษะของเขา จนหน้าคะมำ  เพือ่ น  ๆ  ทีน่ ัง่ อยูด่ ว้ ยกันเอาแต่มองสตรีชดุ ม่วง  จึงไม่มใี ครสังเกตเห็น ท่าทีของเขา  เด็กน้อยมองซ้ายขวาอย่างงุนงง  ก่อนจะเห็นหินเล็ก ๆ สีแดงสะดุดตา ตกอยู่อย่างไร้ที่มา  ยิ่งมองยิ่งน่าหลงใหล  เจ้าเด็กน้อยจึงเก็บมันใส่ถุงแพรที่ผูก ไว้กับสายคาดเอว  ในใจคิดจะนำมันกลับไปให้มารดา  เชื่อว่าคงได้รับคำชมและ ขนมเพิ่มเป็นรางวัลไม่น้อย ห่างออกไปไม่มากนักมีศาลารับลมหลังหนึ่ง  ภายในศาลามีโต๊ะแปดเซียน ซึ่งมีสามีภรรยาคู่หนึ่งนั่งจิบน้ำชากินขนมอยู่  ฝ่ายสตรีงดงามตระการตา  กิริยา ชดช้อยงดงาม  ชุดคลุมตัวนอกของนางบางพลิ้วสีชมพูม่วงสดใส  ชุดตัวในสีขาว สว่างตา  เห็นแล้วชวนให้คิดถึงดอกไม้กลางทุ่งกว้างยามคิมหันต์มาเยือน  แต่ที่ ดึงดูดสายตาผู้คนเป็นที่สุดคงเป็นดวงตาสุกใสวาวระยับดุจดวงดาว ฝ่ายบุรุษคมคายหล่อเหลา  รูปร่างสะโอดสะองแลดูคล้ายบัณฑิตทรงภูมิ  ชุดเสื้อตัวในสีเทาหม่นคลุมทับด้วยเสื้อตัวนอกทำจากไหมสีดำส่งเสริมสง่าราศี ให้โดดเด่น “ท่านทำเช่นนั้นทำไม  นางเพิ่งเริ่มเล่านิทาน  ท่านก็เสียอัญมณีไปเม็ดหนึ่ง 2


บุปผาผนึกใจ  ตอนซ้อนเงากุหลาบ

เสี ย แล้ ว   ทั บ ทิ ม เม็ ด นั้ น หากนำไปทำหั ว แหวนต้ อ งงดงามน่ า รั ก เป็ น แน่ ”   สตรี ผู้งดงามเอ่ยอย่างแสนเสียดาย  แต่มิได้จริงจังนัก “นั่นเป็นรางวัลที่เขาจดจำพังพอนดุร้ายน่ากลัวได้” “ฮึ  ก็แค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม  ไหนเลยจะรู้จักของสวยงาม  นั่นน่ะ พังพอนขนทองเชียวนะ”  น้ำเสียงกระเง้ากระงอดของนางทำให้คู่สนทนาหัวเราะ หึ  ๆ ในลำคอ  ฟังไม่แน่ชัดว่าขำขันหรือเยาะเย้ยกันแน่   ฝ่ายหญิงจึงทำปากยื่น อย่างไม่พอใจ  “ท่านหัวเราะแบบนี้  ไม่เห็นด้วยเช่นนั้นหรือ” “เรื่องขนทองของเขา  ข้าคงไม่ถกด้วย  แต่เรื่องดุร้าย  เจ้าคงไม่มีอะไร แก้ต่างให้กระมัง” “ท่านก็ชอบหาเรื่องตำหนิผู้อื่นอยู่เรื่อย”  หญิงสาวสะบัดหน้าอย่างแสนงอน  “ทำหน้าเช่นนี้ยังอยากฟังนิทานอยู่หรือไม่” “ย่อมอยากฟังแน่อยู่แล้ว” “เช่นนั้นจิบชาอีกหน่อยดีหรือไม่”   ฝ่ายชายหนุ่มยกจอกชาจรดริมฝีปาก แดงระเรื่อประดุจผลอิงเถาของภรรยา ครั้นหญิงสาวได้รับการเอาอกเอาใจอย่างผิดธรรมเนียมเช่นนี้   ก็ให้รู้สึก กระดากอายแกมพอใจ  นวลแก้มใสจึงระบายด้วยสีชาด แล้ ว สองหนุ่ ม สาวก็ ก ลั บ มาฟั ง นิ ท านจากสตรี ส าวน้ อ ยใต้ ต้ น อิ ง เถาอย่ า ง ปรองดองอีกครั้ง

3



ภาคต้น


๑ ประมือ ณ  มหาสมุ ท ร  อันเวิ้งว้างห่างไกลจากแผ่นดินทิศหรดีตรง

รอยต่อเส้นแบ่งแยกระหว่างทะเลประจิมและทะเลทักษิณพอดิบพอดี  เหนือขึ้นไป บนท้ อ งฟ้ า กว่ า หนึ่ ง โยชน์   เกิ ด ปรากฏการณ์ ป ระหลาด  เส้ น แสงแปลบปลาบ หลากสี สั น ปะทะกั น ครั้ ง แล้ ว ครั้ ง เล่ า   เมฆาคำรามลั่ น  ๆ สั่ น สะเทื อ น  ผื น น้ ำ กระจายตัวออกเป็นวงรัศมีกว้างไกลหลายพันเส้น  สิ่งมีชีวิตใหญ่น้อยใต้มหาสมุทร ต่างตื่นตกใจพากันว่ายหนีแอบซ่อน  บ้างว่ายหนีรี่เร็วข้ามไปอีกด้านของมหาสมุทร  บ้างดำดิ่งลงลึกถึงหุบเหวก้นทะเลไร้แสงสาดส่องไปถึง   ส่วนผู้ที่นิ่งงันตกตะลึง ครั้นฟื้นคืนสติก็แยกย้ายสลายตัวไปเร็วพลัน แม้ อ ยากรู้ อ ยากเห็ น   แต่ ผู้ ต กอยู่ ใ นวั ฏ สงสารล้ ว นมี พ ลั ง ชี พ เปราะบาง  จึงไม่ยอมเสี่ยงชีวิตรอชมเหตุการณ์ผ่าฟ้าแหวกทะเลนี ้ มีเพียงเหล่าเซียนบนสวรรค์ ชั้นฟ้าบางตนที่ชอบการประลองสนุกสนานเฮฮา  และเหล่ามารผู้กระหายการต่อสู้ อันดุเดือดเลือดพล่านที่พากันพนันขันต่ออย่างคึกคักว่า   คราวนี้เป็นคราวของ เฮยโพ่หลิงหรือลวี่หวางจินที่จะชนะได้สมบัติล้ำค่าไป เหล่าผู้ชมต่างมองไปที่จุดเดียวกัน  ที่นั่น  หนึ่งดำหนึ่งเขียว  กระบี่ต้าน กระบี่  ลำแสงสองสีแบ่งแยกชัดเจนไม่รวมประสาน กล่าวถึงลวี่หวางจิน  เขาคือองค์ชายรองแห่งเผ่าเมาโหย่วผู้มีเรือนผมสีแสง อาทิ ต ย์   ชื่ อ นี้ ไ ด้ ม าจากร่ า งจริ ง ของเขา  เมื่ อ เผยร่ า งพั ง พอน  ขนสี ท องจะวาว สุกสกาวยิ่งนัก  นัยน์ตาสีแดงสดใสราวกับอัญมณีหลอกล้อแสงไฟ  หางทั้งหกยาม แผ่ อ อกดู ท รงพลั ง ห้ า วหาญข่ ม ขวั ญ คู่ ต่ อ สู้   ร่ า งเทพองอาจสง่ า ผ่ า เผย  ผิ ว กาย 6


บุปผาผนึกใจ  ตอนซ้อนเงากุหลาบ

ผ่องแผ้ว   ผมสีทองเช่นเดียวกับสีขนในร่างพังพอน  ใบหน้าคมคาย  ส่วนคาง บึ ก บึ น สมชายชาตรี   กอปรกั บ ยามใช้ พ ลั ง เซี ย น  ดวงตาสี ด ำเปลี่ ย นเป็ น แดง ตามร่างเดิมทำให้ดูแข็งกร้าวน่ากลัวอยู่ไม่น้อย  ถึงกระนั้นยังมีเทพธิดาไม่รู้กี่นาง เก็บภาพเขาไปฝันถึง  ยิ่งไม่มีวี่แววจะตบแต่งชายา  จำนวนผู้ใฝ่ฝันถึงเขายิ่งเพิ่ม จำนวนตามเวลาที่ผ่าน  ได้ยินว่าห้าพันปีก่อน  ลวี่หวางจินขัดแย้งกับบิดาลวี่ฟู่  กษัตริย์แห่งเผ่า พังพอนหกหาง  เวลานั้นเฉินจิ่วกงเป็นสหายสนิทของลวี่ฟู่มานานนับหลายหมื่นปี  ความสั ม พั น ธ์ อั น ดี นี้ ท ำให้ ศิ ษ ย์ ข องเขารุ่ น แล้ ว รุ่ น เล่ า ล้ ว นมาจากเผ่ า พั ง พอน  ความสัม พัน ธ์หลายชั้น กับเผ่าเมาโหย่วทับถมไม่รู้สูงเทีย มฟ้าเพีย งใด  เมื่อเขา ได้ยินเรื่องราวย่อมมิอาจอยู่นิ่งเฉย เฉิ น จิ่ ว กงทนเห็ น บิ ด าและบุ ต รขั ด แย้ ง รุ น แรงไม่ ไ ด้ จึ ง เข้ า ช่ ว ยไกล่ เ กลี่ ย  ทว่าทั้งสองฝ่ายกลับดื้อรั้นยิ่งนัก  ต่างถือดียึดมั่นความคิดตนเอง  เฉินจิ่วกงจึง ตัดสินใจรับลวี่หวางจินเป็นศิษย์  หวังว่าเมื่อบิดาและบุตรไม่เห็นหน้ากันหลายปีเข้า  จะช่วยลดทอนความรุนแรงลงและกลับมาสานสัมพันธ์ได้อีกครั้งในวันหน้า  ทว่าห้าพันปีผ่านไป  ลวี่หวางจินยังไม่เคยย้อนหวนสู่แผ่นดินเกิด  กลับยัง คงฝึกฝนหลักธรรมคัมภีร์กับเฉินจิ่วกง  แต่ไม่ทิ้งพลังฝีมือที่ฝึกปรือตามกำเนิด  นั บ วั น นานปี ยิ่ ง พั ฒ นาจนล้ ำ เลิ ศ   ยิ่ ง ได้ ป ระมื อ ประลองกั บ ผู้ มี ฝี มื อ เที ย บเท่ า ยิ่งพัฒนารุดหน้า กล่าวถึงผู้มีฝีมือเทียบเท่าทั้งฐานะ  อายุ  และฝีมือ โพ่ ห ลิ ง   องค์ ช ายห้ า ในรั ช กาลก่ อ นแห่ ง เฮยฉื อ หรื อ เผ่ า งู ด ำ  ผู้ มี ผิ ว กาย ตลอดร่างขาวอมเทาคล้ายขี้เถ้าใต้เตาไฟ  ผมสีดำสนิทดุจถ่านหินยิ่งขับเน้นผิว ซีดเผือดให้ชัดยิ่งขึ้น  คิ้วเข้มพาดชัดเจนอยู่บนดวงหน้าเรียว  รับกับเครื่องหน้า แต่ละส่วนที่งดงามราวรูปสลัก  ความงามนับเป็นที่กล่าวขานไปทั่วหล้า  แต่กลับมี ดวงตาวาวสีอำพันโชติช่วงอยู่คู่หนึ่งโดดเด่นราวลูกไฟในยามรัตติกาล  ซึ่งเป็นที่มา ของชื่อ “โพ่หลิง” หากพูดถึงกำเนิดของเฮยโพ่หลิงแล้ว   นับว่าสับสนอยู่ไม่น้อย  เนื่องจาก มารดาของเขาคือสนมหร่านอีในกษัตริย์องค์ก่อนแห่งเฮยฉือ  แต่มีเรื่องเล่าลือลับ ๆ  7


วาโย

ว่าสนมของอดีตกษัตริย์ผู้นี้มีปมรักไม่อาจคลายกับกษัตริย์องค์ปัจจุบัน  ซึ่งใน ขณะนั้นยังดำรงตำแหน่งเป็นองค์รัชทายาท  ภายหลังกษัตริย์เฮยฉือองค์ปัจจุบัน ยังสถาปนานางขึ้นเป็นพระชายาหลังจากผู้บิดากษัตริย์องค์ก่อนสิ้นพระชนม์  ทำให้ เกิดเสียงครหาอย่างยิ่ง  แต่ในอดีตก็มีอยู่ไม่น้อยที่นางในตำหนักของกษัตริย์องค์ ก่อนตกเป็นสมบัติของกษัตริย์ในลำดับถัดมา  เรื่องนี้จึงยังไม่ถือว่าแปลกมากนัก แต่กระนั้นก็ได้เกิดข่าวลือหนึ่งขึ้นมา  แม้โพ่หลิงจะถือกำเนิดเมื่อกษัตริย์ องค์ก่อนยังครองราชย์  นับเป็นน้องชายในกษัตริย์เผ่างูดำองค์ปัจจุบัน  กลับมีคน ตั้งข้อสงสัยว่าเขาหาใช่น้องชายร่วมบิดา  หากแต่เป็นบุตรลับ ๆ ของกษัตริย์องค์ ปัจจุบันต่างหาก  อีกทั้งเฮยโพ่หลิงยังได้รับความโปรดปรานกว่าพระญาติใด ๆ   แต่ไหนแต่ไรเผ่าเฮยฉือหาได้ยึดถือธรรมเนียมเคร่งครัด  การนินทาสนุก ปากถือเป็นเรื่องปกติยิ่ง  แต่ก็หาได้จริงจังนำเรื่องศีลธรรมมาสร้างความเป็นศัตรู กับผู้นำของเผ่าตน  นาน ๆ ทีจึงค่อยหยิบขึ้นมาพูดให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เท่านั้น  จะว่าไป  หากต่ำช้าอีกเพียงนิด  พวกเขาก็สามารถข้ามไปอยู่เผ่ามารได้แล้ว  จึงสามารถพลิกลิ้นหาประโยชน์เข้าตนเองได้อย่างไม่กระดากแม้แต่น้อย กลับมาที่ประวัติของเฮยโพ่หลิงอีกครั้ง  เดิมทีเขาเป็นท่านอ๋อง  เสวยสุข ที่ดินแดนตะวันตกสุดเขตแดนของเผ่าเฮยฉือ  ข้าทาสบริวารมากมายนับร้อยพัน ในตำหนักล้วนคัดสรรจากมารดาเพื่อมาปรนเปรอบำเรอสุขให้บุตรชายเพียงคนเดียว  ทว่าโพ่หลิงหาใช่ผู้มัวเมาโลกีย์  ดังนั้นนางกำนัลในตำหนักก็ได้แต่ก้มหน้าทำงาน ไปตามหน้าที่  ใครคิดปีนสูงขึ้นถึงเตียงตั่งของเขา  หากไม่ถูกไล่ออกไป  ก็ต้องพบ ชะตากรรมอันโหดร้าย  ถูกส่งไปใช้แรงงานระดับล่างสุดของดินแดน แม้สตรีไม่ใช่สิ่งที่โพ่หลิงลุ่มหลง  แต่อัญมณีมีค่าทั้งหลายกลับทำให้เขา โงหัวไม่ขึ้น  เดิมทีเผ่างูดำของเขาขึ้นชื่อลือชาเรื่องพิทักษ์ทรัพย์สินของมีค่าไม่ให้ รั่วไหลอยู่แล้ว  ทว่าโพ่หลิงกลับสะสมได้ล้ำหน้ากว่าใคร ๆ ในเผ่า  เป็นที่เลื่องลือ ว่าหีบสมบัติของเขาไร้ก้น  ลองเก็บสมบัติเข้าไปแล้ว  ล้วงอย่างไรก็ไม่อาจจับคว้า  ไม่สามารถหยิบสิ่งใดติดมือออกมาได้  ดั ง นั้ น ในฐานะผู้ ค วบคุ ม ดู แ ลการคลั ง ของเฮยฉื อ   ยากเหลื อ แสนที่ ใ คร จะนำสมบั ติ อ อกมาจากท้ อ งพระคลั ง  ต้ อ งร่ า งหนั ง สื อ เป็ น ขั้ น ตอนบอกเหตุ ผ ล 8


บุปผาผนึกใจ  ตอนซ้อนเงากุหลาบ

ในการเบิกแต่ละครั้งอย่างละเอียดยิบ  แม้แต่กษัตริย์ยังต้องออกคำสั่งเด็ดขาด  กว่าจะได้ทรัพย์สินเงินทองมาใช้ส่วนตัวบ้าง  ถึงกระนั้น  หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับพัฒนาดินแดนให้ผู้ใต้ปกครองอยู่อย่าง พูนสุข  โพ่หลิงกลับมือเติบอย่างยิ่ง  แต่หาใช่เพราะใจเมตตากรุณาท่วมท้นอย่าง ชาวประชาเข้าใจ  ทว่าเป็นเพราะโพ่หลิงชอบศิลปวัฒนธรรมงดงามเจริญหูเจริญตา  สภาพเป็นอยู่ยากไร้อดอยากเป็นสิ่งที่เขารังเกียจยิ่ง  ได้ใช้จ่ายส่งเสริมในเรื่องที่ชอบ  นับเป็นเรื่องสมเหตุสมผลสำหรับโพ่หลิง แต่เพราะเหตุนี้  ผู้ใต้ปกครองในแดนเฮยฉือจึงทั้งรักเคารพและทั้งยำเกรง โพ่หลิง  เรื่องกำเนิดวุ่นวายสับสนของเขาจึงเพียงเล่าลือกันอย่างลับ ๆ  ทั้ง ๆ ที่ เรื่องพฤติกรรมของพระชายาหร่านอีผู้มารดากลับซุบซิบกันอย่างสนุกสนาน ทว่าเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นเมื่อหนึ่งหมื่นสองพันปีก่อน  จู่  ๆ อ๋องห้ากลับ ปลีกวิเวกไปยังตำหนักใต้พิภพโดยไม่ทราบสาเหตุ  มีเรื่องเล่าลือว่าเพราะทนการ เทียวไล้เทียวขื่ออย่างน่ารำคาญของท่านหญิงรุ่ยเซียงญาติห่าง ๆ ทางฝั่งมารดา ไม่ไหว  บ้างก็ว่าโพ่หลิงได้รับพิษร้ายต้องเก็บตัวรักษาอาการ  บางคนว่าเขามีเรื่อง ขัดแย้งกับเชื้อพระวงศ์คนอื่น  ๆ  เพื่อป้องกันเรื่องลุกลามจึงยอมถอยสู่ใต้พิภพ  แต่จะเป็นเหตุผลใดแน่นั้น  ยังมิอาจหาข้อสรุป ส่ ว นเรื่ อ งบริ ห ารการคลั ง นั้ น ยั ง มี ผู้ เ ดิ น สารส่ ง รายงานให้ เ ขาประทั บ ตรา ไม่เว้นวางเช่นกาลก่อน  ดังนั้นตำแหน่งการคลังแห่งเฮยฉือจึงยังมั่นคง  แม้ว่า นาน ๆ ทีโพ่หลิงจะเข้าที่ประชุมขุนนางสักครั้งก็ตาม การปะทะกันครั้งแรกของลวี่หวางจินและเฮยโพ่หลิงเริ่มจากประฝีปากกัน เพียงเล็กน้อย  และได้เกิดขึ้นที่แดนบูรพาหลังปฐพีเคลื่อนครั้งใหญ่  ผลึกคราม พิสดารซึ่งถือกำเนิดอยู่ใต้พิภพมายาวนานนับหมื่นปีได้ผุดขึ้นกลางเถ้าถ่านที่ร้อน ระอุบนยอดภูเขาไฟ  ทว่าอานุภาพของมันกลับทำให้บริเวณโดยรอบเย็นจัดจน เกิดเกล็ดน้ำแข็งขาวปกคลุม  เมื่อต้องแสงยามแรกอรุณก็แผ่ประกายสีฟ้าสดใส กระจายไปทั่ ว พื้ น พิ ภ พวู บ หนึ่ ง   แต่ แ ค่ นั้ น ก็ เ พี ย งพอที่ จ ะทำให้ โ พ่ ห ลิ ง ตามหา จุดกำเนิดของมัน  ผลึกครามพิสดารมีคุณสมบัติในการฟื้นฟูพลังหยิน  ทั้งยังรักษาพิษแผล 9


วาโย

จากเปลวไฟได้เป็นอย่างดี  เพียงสกัดผงผลึกลงบนบาดแผล  อาการแสบร้อน กลับหาย  ผิวพรรณฟื้นฟู เมื่อไม่ใช่หินแวววาวใช้ประดับฉากเพียงฉาบฉวย  ย่อมมีผู้ต้องการมากมาย  ลวี่หวางจินเองก็ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ให้นำหินวิเศษนี้กลับมาเพื่อจะได้ช่วยเหลือ ผู้คนในภายหน้า  คิดไม่ถึงว่ามาช้าไปเพียงหนึ่งก้าว  ผลึกแก้วสีครามก็ตกไปอยู่ ในมือโพ่หลิงเสียแล้ว  แม้เจรจาด้วยเหตุผล  ทั้งยังยกอาจารย์เฉินจิ่วกงมาอ้าง ก็ไม่อาจยังผลสำเร็จ โพ่หลิงโต้เพียงสั้น ๆ ว่า  ‘ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเขา’  แล้วสะบัดชายเสื้อ จากไป  สร้างความขุ่นใจให้ลวี่หวางจิน  เนื่องจากในเพลานั้น  ผลึกครามพิสดาร ยังมิใช่ของรีบร้อนต้องใช้  อีกทั้งไม่หวังอะไรกับเผ่าเฮยฉือที่ไม่ใคร่ยึดถือคุณธรรม อยู่แล้ว  จึงกลับไปรายงานเรื่องเผชิญหน้ากับโพ่หลิงกับอาจารย์อย่างสงบ  ไม่คิด ว่าภายหลังยังต้องเจอกับโพ่หลิง  ชิงของวิเศษกันอีกครั้งแล้วครั้งเล่า  กลายเป็น การแข่งขันอย่างหนึ่ง แรกเริม่ ใครมาได้ไวกว่าก็ได้ไป  แต่พอนานปีเข้าต่างมาถึงพร้อม  ๆ  กนั   เจรจา ไม่ได้ก็กลายเป็นใช้กำลังตัดสิน ระหว่างที่โพ่หลิงกับหวางจินกำลังต่อสู้ชุลมุน  ย่อมมีผู้คิดฉวยโอกาสคว้า ของวิเศษไปอยู่หลายครั้ง  แต่ก่อนที่มือจะแตะของวิเศษ  กลับถูกจับมาคิดบัญชี เสียก่อน  จะหนีซ้ายก็เจอหวางจินจ้องมองด้วยดวงตาแดงอันดุร้าย  จะหันทางขวา โพ่หลิงก็ถือกระบี่รออยู่อย่างใจเย็น  ครั้นหลับตาหาญสู้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็น่วม หมดสภาพ  แต่นับว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับคนเจ้าเล่ห์คิดฉวยโอกาส  ดีกว่าถูกทั้งสองเล่นงานพร้อมกันอักโข ผู้หมดสภาพย่อมมีวันสังขารฟื้นคืน  หนึ่งคนยังได้แต่เก็บความแค้นไว้ในใจ  ภายหลังเพิ่มเป็นสิบเป็นร้อย  กลับกลายเป็นพลังขุมหนึ่ง  ร้องเรียนเผ่าสวรรค์ ผู้ปกครองอยู่เบื้องบนให้ทราบถึงทุกข์เข็ญ   ของวิเศษใด ๆ ล้วนถูกโพ่หลิงและ หวางจินชิงไปสิ้น จักรพรรดิผู้ปกครองแดนสวรรค์ต้องใคร่ครวญอย่างหนักในการตัดสินใจ  ของวิ เ ศษกำเนิ ด จากฟ้ า ดิ น  ผู้ พ บมี ก ำลั ง แย่ ง ชิ ง ย่ อ มได้ ค รอบครอง  เรื่ อ งของ 10


บุปผาผนึกใจ  ตอนซ้อนเงากุหลาบ

เฮยโพ่หลิงกับลวี่หวางจินใช่ว่าพระองค์ไม่ทราบ  แต่แรกเริ่มเฮยโพ่หลิงแค่ต้องการ ครอบครองของที่ต้องใจ  ส่วนลวี่หวางจินเพียงทำตามคำสั่งอาจารย์  แต่ระยะหลัง ทั้ ง สองกลั บ เห็ น การประลองเป็ น เรื่ อ งบั น เทิ ง อย่ า งหนึ่ ง   ต่ อ ให้ เ ป็ น ของวิ เ ศษ ที่ไม่ต้องการก็ต้องรี่ไปชิงมาครอบครองให้ได้  นับว่าหนักข้อเกินไปแล้วจริง ๆ  ดังนั้นจึงได้มีคำสั่งให้ทั้งสองเข้าเฝ้า  และวางเงื่อนไข  มิให้ทั้งสองช่วงชิง ของวิเศษไปครองจนหมด  หลังจากนั้นการปะทะกันของเซียนทั้งสองจึงหดหาย  ยี่สิบสามสิบปีจึงจะมีการปะทะกันสักครั้ง พวกล่ า ของวิ เ ศษต่ า งยิ น ดี   แต่ ผู้ ช มที่ ต้ อ งการความบั น เทิ ง กลั บ ต้ อ ง ถอนหายใจอย่างเสียดาย  โอกาสที่เทพเซียนฝีมือคู่คี่สูสีมาประลองอย่างถึงพริก ถึงขิงนี้หาได้น้อยยิ่งกว่าน้อย คราวนี้ที่เส้นแบ่งแยกสองทะเลบรรจบ  มุกราตรีสีนิลผุดขึ้นมาเป็นที่ต้องใจ ของโพ่หลิงและหวางจิน  จึงมีผู้มากันอย่างคึกคัก  ต่างพรางตัวหลบซ่อนรอชม เรื่องสนุกอย่างไม่กระโตกกระตาก  ขณะที่ทั้งสองเซียนกำลังต้านกระบี่กันเหนือจุดสองทะเลบรรจบ  หวางจิน กลับพลาดท่าเนื่องจากหลายสิบปีมานี้ไม่ได้ปะทะฝีมือกับโพ่หลิง   จึงขาดความ ระมัดระวัง  ขณะทิ้งตัวถึงผิวน้ำเบื้องล่างกลับถูกกระบี่ซ่านกู่ของโพ่หลิงพุ่งเข้าใส่  เขาหมุนตัวหลบได้ทันท่วงที  ก่อนจะกลับมาตั้งหลักได้ใหม่ “หวางจิน  เห็นชัด ๆ ว่าเจ้าไม่ไหวแล้ว  เหตุใดจึงไม่รามือเสียในขณะที่ยัง ไม่เจ็บตัว”  เสียงเรียบเย็นของโพ่หลิงเอ่ยขึน้ อย่างยัว่ เย้าด้วยรอยยิม้ เยาะบนเรียวปาก “คำพูดนี้ควรเป็นข้าพูด  โพ่หลิง  คราวนี้ข้ามาถึงก่อนอย่างชัดเจน  ไม่มี ทางยอมให้คนเช่นเจ้าชุบมือเปิบแน่”  หวางจินกล่าวอย่างโกรธเคือง โพ่หลิงได้ยินคำพูดของหวางจินก็เลิกคิ้วข้างหนึ่งอย่างยียวน “คนเช่นข้า?  ไม่ทราบว่าองค์ชายลวี่หวางจินหมายความเช่นไรกัน”  กระบีท่ ีต่ า้ นกันอยูใ่ นมือของทัง้ สองเริม่ สัน่ สะท้าน  พลังสองสายโคจรต้านกัน เนิ่นนานจนก่อเกิดพลังขุมหนึ่ง  เพื่อมิให้พลังนั้นปะทุขึ้นสะเทือนฟ้าดิน  โพ่หลิง และหวางจินต่างผละถอยไปสิบหลา  มวลพลังขุมนั้นพลันสลายลงทันที “เจ้าสารเลว  เห็นแก่ตัว  ไร้จิตเมตตา  เช่นนี้ยังสมควรเป็นคนของเผ่าเทพ 11


วาโย

อีกหรือ” “แค่สะสมของเล่นเพียงเล็กน้อยก็ถูกกล่าวหาถึงเพียงนี้   ในใจท่านยังมี ความเป็นธรรมอยู่หรือไม่”  ด้วยดวงตาสีเหลืองแปลกประหลาดคู่นั้น  แม้ทำสีหน้า ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อย่างไร  โพ่หลิงก็ยังดูแฝงความชั่วร้ายไว้ “ของสะสม”  หวางจินเอ่ยทวนด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด  “หากเจ้ายอมคาย ออกมาเพียงครึ่งเดียว  คงช่วยเหลือได้ทั้งสี่ทะเลแปดดินแดน” “องค์ ช ายลวี่ ห วางจิ น   เจ้ า กล่ า วหนั ก ไปหรื อ ไม่ ”   ท่ า ทางของโพ่ ห ลิ ง ดู ผ่อนคลายยิ่งนัก  ดูไม่คล้ายคนเดือดร้อนที่ถูกกล่าวหา  “ของเหล่านั้นล้วนใช้ฟื้นฟู สังขารที่เสื่อมถอยของโพ่หลิง   ในเมื่อองค์ชายรองเมตตาต่อใต้หล้า   มุกราตรี เม็ดนี้ก็ขอให้ข้าเถิด” หวางจินได้ยินคำพูดนั้นพร้อมกับเห็นชายแขนเสื้อสีดำของโพ่หลิงสะบัดไหว  ก็ตั้งรับกระบี่ที่บินพุ่งมายังตนทันที  กระบี่ซานกู่ของโพ่หลิงทำจากเหล็กกล้าสีดำสนิท  เป็นกระบี่โบราณตั้งแต่ สมัยสงครามเทพมารกำเนิด  เจ้าของเดิมคือเทพบรรพกาลที่ดับขันธ์ร่างสลายคืน สู่ฟ้าดินเมื่อหลายแสนปีก่อน  ด้วยนายเก่าไร้ผู้สืบทอด  กระบี่ซานกู่จึงผนึกตน ให้นอนหลับใหลอยู่ในถ้ำใต้พิภพ  รอวันพบผู้มีวาสนาต้องกัน  ภายหลังโพ่หลิง เสาะหาจนเจอ  ได้ซานกู่เล่มนี้เป็นกระบี่คู่กาย  เจ็ดพันปีผ่าน  บัดนี้นายบ่าวหลอม วิญญาณเป็นหนึ่ง  ซานกู่กลายเป็นกระบี่รู้ใจโพ่หลิง  เข้าฟาดฟันหวางจินด้วย ตัวเอง  เปิดโอกาสให้ผู้เป็นนายพุ่งตัวไปยังแผ่นน้ำเบื้องล่าง  ดำดิ่งสู่ก้นสมุทร ช่วงชิงของวิเศษ หวางจิ น กั ด ฟั น กรอด  ดวงตาสี ด ำสนิ ท เมื่ อ ครู่ ก่ อ นเปลี่ ย นเป็ น แดงฉาน ประดุ จ โลหิ ต   ก่ น ด่ า โพ่ ห ลิ ง อยู่ ใ นใจ  กระบี่ ห ลิ่ ง อี้ ห รื อ กระบี่ ส ายลมในมื อ เขา แม้ไม่ใช่กระบี่บรรพกาล  แต่ก็มิใช่สามัญ  เป็นกระบี่ที่บรรพชนเผ่าเมาโหย่วรุ่นแรก ได้หลอมรวมพลังเซียนสร้างขึ้น  ฤทธาย่อมไม่เป็นรองกระบี่ใด ๆ ในแดนสวรรค์  จนถึงบัดนี้หลิ่งอี้ของเขายังต้านซานกู่ของโพ่หลิงอย่างคู่คี่สูสีมาตลอด  แต่มีบางครั้ง ที่เขาต้องยอมรับว่าวิญญาณดาบบรรพกาลซานกู่เข้มข้นแข็งแกร่งกว่า   เช่นใน ยามนี้ที่ซานกู่รู้ใจผู้เป็นนาย  ท่วงท่ากระบี่ที่ฟาดฟันลงมาแต่ละครั้งคล้ายว่าโพ่หลิง 12


บุปผาผนึกใจ  ตอนซ้อนเงากุหลาบ

ยังจับอยู่อย่างมั่นคง  แม้ว่าร่างของอีกฝ่ายจะแหวกมหาสมุทรลงไปแล้วก็ตาม  หวางจินส่งพลังผ่านกระบี่ใช้หลิ่งอี้ยันซานกู่ไว้  แล้วผละพุ่งตัวลงตามโพ่หลิงไป สองกระบี่ไร้ผู้ควบคุม  ต้านกันอยู่อึดใจหนึ่งก็ผละแยกแหวกอากาศลงสู่ มหาสมุทรตามติดเจ้านายไป ใต้สมุทรยิ่งลึกยิ่งแสงน้อยลงจนแทบไม่เห็นแม้แต่ฝ่ามือตนเอง  ถึงกระนั้น ก็มิอาจสู้ความมืดดำทะมึนไร้ก้นของรอยแยกสองทะเล  ดังนั้นเมื่อมีจุดแสงเพียง แห่งเดียว  ก็ไม่ตอ้ งเดาอีกต่อไปว่ามุกราตรีอยูท่ ใี่ ด  จุดทีร่ อยแยกเกยกันอยูเ่ ล็กน้อย  ไข่มุกสีดำขนาดเท่าฝ่ามือทอประกายรัศมีสีรุ้ง เมื่อแรกที่ได้เห็นมุกราตรีสีนิลทอประกาย  ดวงตาของโพ่หลิงพลันลุกวาว ด้วยความละโมบ  ลุ่มหลงในประกายของมันทันที มือเรียวเอื้อมออกไป  หวังคว้ามุกราตรีสีนิล   ทว่าอีกคืบเดียวก่อนที่มือ จะเอื้อมถึงไข่มุก  ลำแสงสีเงินสายหนึ่งกลับพุ่งใส่จากด้านหลัง  เสียงแหวกน้ำทำให้ เขาพลิกตัวหลบได้ทัน  แต่ลำแสงสายนั้นยังเฉียดผ่านต้นแขนขวาไป  ก่อให้เกิด บาดแผล  เลือดสีแดงไหลออกมาผสมกับน้ำทะเล หวางจินตามมาทันแล้ว  เขาขว้างมีดสั้นออกไปสกัดโพ่หลิงไว้ทันก่อนของ วิเศษจะถูกช่วงชิงไป  ดวงตาสีอำพันวาวโรจน์ขณะกระแทกหมัดคู่ออกไป  กลายเป็นมวลพลังน้ำ อัดเข้าที่อกของหวางจินจนกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง  ตอนนั้นเองซานกู่และหลิ่งอี้ ก็ตามมาถึง  เข้าสู่มือเจ้านายอย่างเหมาะเจาะ ทั้งสองประกระบี่กันอีกครั้ง  โพ่หลิงเคลื่อนไหวต่อเนื่อง  บาดแผลที่แขน ยิ่งฉีกกว้าง  โลหิตไหลออกมาไม่ขาดสายจนน้ำรอบ ๆ ตัวคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวโลหิต  หวางจินไม่ลดทอนฝีมือแม้โพ่หลิงจะบาดเจ็บ ปะทะแล้วแยกออก  สาดซัดพลังใส่กันแทบไม่เว้นจังหวะหายใจ  เป็นเช่นนี้ อยู่นานเกือบหนึ่งชั่วยาม  พลังของทั้งคู่ย่อมก่อกวนสรรพสิ่งใต้น้ำ   ดีที่สิ่งมีชีวิตที่รู้การควรได้หนี เอาชีวิตรอดไปแล้ว  จึงพ้นจากมวลน้ำวนวิปลาสจากการต่อสู้ของทั้งสอง  แต่แรง สะเทือนไปทั้งแผ่นทะเลนี้  มุกราตรีสีนิลย่อมถูกผลกระทบ  จากเดิมตั้งอยู่บน 13


วาโย

แผ่นดินสองแผ่นที่เกยกันอยู่เล็กน้อย  บัดนี้จึงกลิ้งหลุน ๆ ไป รัศมีสีรุ้งเคลื่อนห่าง  โพ่หลิงและหวางจินต่างเอะใจ  เห็นไข่มุกกลิ้งไหล ไปยั งรอยแยก  ทำท่ า จะจมดิ่ งสู่ ร อยแยกสองทะเลอี ก ครั้ ง ทั้ ง ๆ ที่ เ พิ่ งผุ ด ขึ้ น มา  ทั้งสองหยุดมือ  ไม่รอช้า  ดิ่งเข้าหาอัญมณีแห่งท้องสมุทร กระบี่สายลมว่องไวนัก  หวางจินส่งมันล่วงหน้าดักทางไข่มุกราตีก่อนถึง รอยแยก  แต่ด้วยเสียจังหวะส่งกระบี่ออกไป  ความเร็วของเขาจึงตกลงเล็กน้อย  ขณะที่โพ่หลิงแตะเท้าเหยียดพื้นจึงใช้พลังส่งตัวเองไปเร็วยิ่งขึ้น  มุกราตรีกระทบ กระบี่หลิ่งอี้ที่ขวางหน้า  จึงกระดอนออกมาเข้ามือโพ่หลิงในจังหวะแรกพอดิบพอดี โพ่หลิงได้อัญมณีล้ำค่ามาอยู่ในมือ  ดวงตาสีอำพันวาววับราวกับส่องแสงได้  มุมปากยกขึ้นอย่างสมใจ  ซุกเก็บไข่มุกสีนิลเข้าในแขนเสื้ออย่างว่องไว  แสงสีรุ้ง จากมุกราตรีวับหายไปในทันที  จากนั้นจึงแหวกน้ำขึ้นสู่ท้องฟ้า  ทิ้งหวางจินที่กำลัง เรียกกระบี่คืนไว้ข้างหลัง  เมื่อหวางจินพ้นผิวทะเลขึ้นมา  ชายผ้าพลิ้วสีดำของโพ่หลิงก็เหลือเพียง จุ ด เล็ ก  ๆ แล้ ว   หวางจิ น สะบั ด กระบี่ ผ่ า ผื น น้ ำ ออกเป็ น สองส่ ว นอย่ า งเดื อ ดดาล  การกระทำนี้ ท ำให้ อ าการช้ ำ ที่ ก ลางอกซึ่ ง เป็ น ผลจากการต่ อ สู้ เ มื่ อ ครู่ ส ำแดงผล  ความปวดปลาบอั ด แน่ น ที่ ก ลางอกทำให้ ห วางจิ น กระอั ก โลหิ ต ออกมา  แต่ ฝื น กล้ำกลืนกลับลงไป กลับไปสภาพนี้คงทำให้อาจารย์และศิษย์ร่วมสำนักคนอื่น ๆ เป็นห่วง หวางจิ น จำได้ ว่ า ชายฝั่ ง ทะเลที่ ใ กล้ ที่ สุ ด เป็ น ที่ ตั้ ง ของเผ่ า เพี ย งพอนขาว หกหางซึ่ ง เป็ น ที่ พ ำนั ก ของน้ า สาว  เขาไม่ ไ ด้ พ บท่ า นน้ า และญาติ ผู้ น้ อ งมานาน มากแล้ว  เวลานี้อยู่เพียงไม่ไกลจึงคิดถึงพวกนางขึ้นมา  หวังว่าพาสังขารเช่นนี้ ไปเยี่ยมเยือนคงไม่ทำให้พวกนางตกใจเกินไป หลังจากหวางจินเหยียบเมฆมงคลทะยานจากไป  ผืนน้ำที่ถูกแยกผ่าค่อย ๆ  คืนตัวดังเดิม  เหล่าผู้ชมที่ซุ่มดูอยู่  บ้างยิ้มแย้มเบิกบานใจ  บ้างซีดเซียวถอน หายใจอย่ า งเหนื่ อ ยหน่ า ย  บ้ า งออกมาส่ ง เสี ย งวิ พ ากษ์ วิ จ ารณ์ จ้ อ กแจ้ ก จอแจ  เงินทองของมีค่าที่วางเดิมพันถูกจัดสรรเข้าพกห่อของผู้วางข้างโพ่หลิง  ไม่นาน ทะเลทิศหรดีก็กลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง 14


บุปผาผนึกใจ  ตอนซ้อนเงากุหลาบ

ขณะที่ โ พ่ ห ลิ ง กำลั ง เดิ น ทางกลั บ ตำหนั ก ใต้ พิ ภ พของเขา  แม้ จิ ต ใจจะฮึ ก เหิ ม ที่ได้ไข่มุกราตรีสีนิลประกายรุ้งมาอยู่ในมือ  แต่แผลที่ต้นแขนเดิมเป็นแผลเปิด เพียงเล็กน้อย  หลังจากต่อสู้อย่างถึงพริกถึงขิง  ตอนนี้ฉีกขาดจนฉกรรจ์ไม่น้อย  หากไม่เป็นเพราะชุดสีดำที่สวมอยู่  หวางจินคงเห็นจุดอ่อนนี้อย่างชัดจน  จึงตั้งใจ จะรี บ กลั บ ไปรั ก ษาบาดแผล  ทว่ า กลั บ ได้ เ จอผู้ ที่ เ ขาไม่ มี อ ารมณ์ จ ะเสวนาด้ ว ย ขวางทางไว้เสียก่อน รุ่ ย เซี ย งญาติ ห่ า ง ๆ ทางฝ่ า ยมารดาเขานั่ น เอง  นางมากั บ ผู้ ติ ด ตามสี่ ค น  ท่าทางกระวนกระวายนั้นเห็นชัดว่ากำลังรอคอยบางสิ่งอยู่  โพ่หลิงไม่ต้องเสียเวลาเดาก็รู้ว่าคนกลุ่มนี้มาดักรอเขานั่นเอง  จึงอดรู้สึก หงุดหงิดไม่ได้  เขาวางแผนไว้เมื่อกลับตำหนักจะชื่นชมไข่มุกสีนิลที่เพิ่งได้มาให้ สมใจอยาก  ทว่าเวลานี้อย่าว่าแต่เรื่องชื่นชมของสวยงามเลย  อารมณ์จะหยุด สนทนากับใคร  เขาก็ไม่มีเช่นกัน รุ่ยเซียงเป็นคนที่ทางบ้านของมารดาส่งตัวเข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อนมารดาเขา ตั้ ง แต่ รุ่ ย เซี ย งยั ง เด็ ก   แม้ ไ ม่ มี ต ำแหน่ ง แน่ น อนในตำหนั ก พระชายา  แต่ ค นใน ตำหนักต่างนอบน้อมให้เกียรติไม่ต่างจากองค์หญิงองค์หนึ่ง หลายครั้งที่มารดาของเขาเกริ่นจะให้เขารับนางเข้าตำหนัก   เพื่อดูแลความ เป็นอยู่ของเขาซึ่งยังไม่มีชายา  แม้รุ่ยเซียงจะเป็นสตรีงดงามสะคราญตา  ทว่า เขาหาได้มีจิตพิศวาสนางในทางนั้น  เมื่อแรกจึงปฏิเสธไปอย่างนิ่มนวลด้วยเห็นนาง เป็นเพียงน้องสาวเท่านั้น  แต่มารดาไม่ละความพยายาม  จนครั้งสุดท้ายถึงขั้น พานางขนข้าวของเข้ามายังตำหนักเขาตามใจชอบ  เขาจึงตอกกลับไปอย่างไม่ไว้หน้า  จนมารดาไม่กล้ายัดเยียดรุย่ เซียงมาให้เขาอีก  แต่กย็ งั ไม่วายพูดจาล้อมหน้าล้อมหลัง ทุกครั้งที่พบ  การเยี่ยมเยือนตำหนักของมารดาในช่วงหลังจึงเป็นเรื่องน่าเอือมระอา ยิ่งนัก “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”  เสียงห้าวห้วนของโพ่หลิงทำให้รุ่ยเซียงซึ่งเอาแต่ยืนมองเขาอย่างจงรักภักดี หลุ ด จากภวั ง ค์   แล้ ว ก้ ม หน้ า ลงอย่ า งเขิ น อายก่ อ นจะช้ อ นตาขึ้ น สบตาเขาอย่ า ง อ่อนหวาน 15


วาโย

“ท่านอ๋องประลองกับลวี่หวางจิน  ปลอดภัยดีใช่หรือไม่” โพ่หลิงที่วางหน้าเฉยพ่นลมหายใจออกมาสายหนึ่ง “ว่าธุระของเจ้ามา”  เขาไม่ตอบคำถามแสดงความห่วงใยนั้น  กลับเอ่ยถาม อย่างตรงประเด็น  รุ่ยเซียงเม้มริมฝีปากอย่างน้อยใจ  ก่อนจะเอ่ยความออกมา “พระชายาฝากความมากับข้า  บอกว่าคิดถึงท่านอ๋องมาก  ต้องการให้กลับ ไปเยี่ยมสักครั้ง”  ข่าวการปะทะกันของโพ่หลิงและหวางจินเข้าหูพระชายาหร่านอี อย่างรวดเร็ว  จึงสั่งให้นางนำคนมาดักบุตรชายเพื่อสั่งความ “ข้าไม่ว่าง”  โพ่หลิงเมินหน้าทำท่าจะสะบัดชายแขนเสื้อจากไป  รุ่ยเซียง จึงรีบอ้อมมาดักหน้าเขาไว้ “ท่านอ๋องห้า  หากท่านไม่ไป  ท่านป้ากล่าวว่าจะมาพบท่านด้วยตัวเอง” “เจ้ากลับไปบอกพระชายา  ว่างเมื่อไหร่ข้าจะไปพบก็แล้วกัน” รุ่ ย เซี ย งเม้ ม ริ ม ฝี ป าก  คราวก่ อ นเขาก็ พู ด เช่ น นี้   ผ่ า นไปหลายเดื อ นยั ง ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขาที่ตำหนักพระชายา  คราวนี้จึงคิดพยายามมากกว่าเดิม “ท่านอ๋องห้า  ท่านป้ารออยู่ตลอด  อย่างน้อยวันนี้ท่านกลับไปเฝ้าท่านป้า กับข้าเพื่อแสดงความกตัญญูสักนิดไม่ได้เชียวหรือ” “ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ  ว่างเมื่อไหร่จะกลับไปเอง  เจ้าอย่ามาเซ้าซี้  กลับไป ดูแลพระชายาเถอะ”  คราวนี้โพ่หลิงไม่สนใจว่ารุ่ยเซียงจะขวางทาง  ในเมื่อเรื่อง ที่นางนำมาบอกคือเรื่องเดิม  ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาฟังอีก สายตาเย็นชาของโพ่หลิงเสียดแทงหัวใจของรุ่ยเซียง  ริมฝีปากสั่นระริก  อยากจะเอ่ยคำใดก็เอ่ยไม่ออกเสียแล้ว พอเห็นโพ่หลิงจะผละไปอีกครั้ง  รุ่ยเซียงทำใจกล้าเอื้อมมือออกไป  หวังคว้า ชายแขนเสื้อเขาไว้  ทว่ากลับไม่ทัน  ร่างของโพ่หลิงพุ่งตรงกลับตำหนักใต้พิภพ เสียแล้ว  ดวงตาคู่งามมีหยาดน้ำเอ่อท้นมองตามหลังอีกฝ่ายอย่างตัดพ้อ  ไม่ว่านานเพียงไร  เขาก็ไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตา...

16


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.