๑๙๗๘
“ ตื ่ น ไ ด้ แ ล้ ว อั จ ฉ ริ ย ะ ”
รอธสไตน์ไม่อยากตืน่ ความฝันนัน้ ดีเกินไป ในฝันมีภรรยาคนแรกของเขา ก่ อ นที่ เ ธอจะกลายมาเป็ น ภรรยาคนแรกของเขานานหลายเดื อ น อายุ สิ บ เจ็ ด สมบูรณ์แบบตั้งแต่หัวจรดเท้า เรือนร่างเปลือยเปล่าและเปล่งประกาย เขากับเธอ เปลือยกายด้วยกันทัง้ คู ่ เขาอายุสบิ เก้าและมีคราบน้ำมันติดอยูต่ ามซอกเล็บ แต่เธอ ไม่รงั เกียจ อย่างน้อยก็ในตอนนัน้ เนือ่ งจากเขามีความฝันบรรเจิดอยูเ่ ต็มหัว และ นั่นคือสิ่งที่เธอให้ความสำคัญ เธอเชื่อในความฝันเหล่านั้นเสียยิ่งกว่าเขา และนั่น ก็ถูกต้องแล้ว ในความฝันครั้งนี้เธอกำลังหัวเราะ และยื่นมือมาคว้าจับอวัยวะ ส่วนทีง่ า่ ยต่อการคว้าจับทีส่ ดุ บนเรือนร่างของเขา เขาพยายามปล่อยใจดำดิง่ ลงไปอีก แต่แล้วมีมือข้างหนึ่งเริ่มเขย่าที่หัวไหล่ และความฝันก็แตกโพละไปไม่ต่างจาก ฟองสบู ่ เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มอายุสิบเก้าที่อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ขนาดสองห้องที่ นิ ว เจอร์ ซี ย์ อี ก ต่ อ ไป แต่ ข าดอี ก แค่ ห กเดื อ นจะอายุ ค รบแปดสิ บ และใช้ ชี วิ ต ที่บ้านไร่แห่งหนึ่งในนิวแฮมป์เชียร์ ซึ่งเป็นที่ที่เขาระบุในพินัยกรรมให้นำศพของเขา มาฝังไว้ ตอนนีม้ ชี ายกลุม่ หนึง่ อยูใ่ นห้องนอน คนเหล่านีส้ วมหน้ากากสกี คนหนึง่ สีแดง คนหนึ่งสีน้ำเงิน และอีกคนสีเหลืองเหมือนนกคานารี เขามองเห็นภาพนี้ และพยายามที่จะเชื่อว่ามันไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าอีกความฝันหนึ่ง ความฝัน แสนหวานที่กลายเป็นฝันร้ายเหมือนที่เคยเกิดขึ้นเป็นบางครั้ง แต่แล้วจู่ ๆ มือ ข้างนั้นก็ปล่อยแขนเขา หันมาคว้าไหล่ และจับลากลงไปที่พื้น ศีรษะของเขา ฟาดโครม เขาแหกปากร้องลั่น “อย่ า ทำอย่ า งนั้ น ” เสี ย งคนใส่ ห น้ า กากเหลื อ งพู ด “อยากให้ มั น สลบ หรือยังไง” “ดูสิ” คนใส่หน้ากากแดงชี้ “ไอ้แก่มันจู๋โด่ด้วย สงสัยจะฝันดีน่าดู” หน้ า กากน้ ำ เงิ น ซึ่ ง เป็ น คนเขย่ า ตั ว เขาพู ด ขึ้ น “จู๋ มั น โด่ เ พราะมั น ปวดฉี่ เท่านั้นแหละ คนอายุปูนนี้จะปั๊มอะไรออกมาได้อีกนอกจากฉี่ ปู่ฉันเนี่ย —”
S T E P H E N
“เงียบ” หน้ากากเหลืองขัดจังหวะ “ไม่มีใครอยากรู้เรื่องปู่นาย” แม้จะมึนงงและยังคงถูกห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าม่านขาดลุ่ยของภาวะหลับใหล แต่รอธสไตน์รู้ว่าเขากำลังตกที่นั่งลำบาก คำสองคำผุดขึ้นมาในหัว โจรปล้น เขา เงยหน้ามองชายทั้งสามที่ปรากฏตัวในห้องนอน ในหัวที่สังขารโรยรารู้สึกปวดหนึบ (จะต้องมีรอยช้ำปื้นใหญ่ทางด้านขวาแน่นอน ซึ่งเป็นผลมาจากยาเจือจางเลือดที่ เขากินอยู่) หัวใจที่ผนังบางจนน่ากลัวเต้นโครมครามกระทั้นกระแทกกับกระดูก ซี่ โ ครงด้ า นซ้ า ย ทั้ ง สามยื น ค้ ำ ร่ า งของเขา ชายสามคนที่ ส วมถุ ง มื อ แจ็ ก เก็ ต ตาหมากรุกสำหรับฤดูใบไม้ร่วงอยู่ถัดลงมาจากหมวกที่คลุมมิดทั้งใบหน้า ทำให้ดู น่าเกรงขาม คนร้ายที่บุกเข้ามาปล้นชิงทรัพย์ และเขาอยู่ตรงนี้ ห่างจากตัวเมือง ถึงห้าไมล์ รอธสไตน์พยายามรวบรวมสติอย่างสุดความสามารถ เขาเสือกไสอาการ ง่วงงุนออกไป และบอกตัวเองว่าอย่างน้อยสถานการณ์ตอนนี้ก็มีข้อดีประการหนึ่ง ถ้าพวกมันไม่อยากให้เขาเห็นหน้า หมายความว่าพวกมันตั้งใจจะไว้ชีวิตเขา อาจจะ “ท่านสุภาพบุรุษ” รอธสไตน์พูด มิสเตอร์เยลโลว์์หัวเราะและชูนิ้วโป้งให้ “เริ่มได้ดี อัจฉริยะ” 3 รอธสไตน์พยักหน้าราวกับมันเป็นคำชม เขาเหลือบไปมองนาฬิกาบนโต๊ะ หัวเตียง เวลาตอนนี้คือตีสองสิบห้านาที เขาหันกลับไปหามิสเตอร์เยลโลว์์ซึ่งน่าจะ เป็นหัวหน้ากลุ่ม “ฉันมีเงินแค่นิดหน่อย แต่เชิญพวกเธอเอาไปได้ ขอแค่ออกไป โดยไม่ทำร้ายฉัน” สายลมพัดกระพือขึน้ วูบหนึง่ ใบไม้ฤดูใบไม้รว่ งส่งเสียงระรัวปะทะผนังบ้าน ด้านทิศตะวันตก รอธสไตน์รับรู้ว่าเตาหลอมเริ่มทำงานครั้งแรกในรอบปี เรา เพิ่งผ่านฤดูร้อนมาหมาด ๆ ไม่ใช่หรือ “จากข้ อ มู ล ที่ เ รามี อ ยู่ แกมี เ กิ น นิ ด หน่ อ ยไปเยอะนะ” เจ้ า ของคำพู ด นี้ คือมิสเตอร์เรด “เงี ย บ” มิ ส เตอร์ เ ยลโลว์์ ส่ ง มื อ ข้ า งหนึ่ ง ให้ ร อธสไตน์ “ลุ ก ขึ้ น มาเถอะ อัจฉริยะ” รอธสไตน์ ค ว้ า มื อ ที่ อี ก ฝ่ า ยยื่ น ให้ แ ละดึ ง ตั ว ขึ้ น มายื น ร่ า งกายสั่ น เทิ้ ม จากนั้นเขาทรุดตัวลงนั่งที่เตียงนอน เขาหายใจแรง แต่ขณะเดียวกันก็มีสติรู้ตัว เป็นอย่างยิ่งว่า (ความมีสติรู้ตัวเป็นทั้งคำสาปและพรอันประเสริฐของเขามาทั้งชีวิต) ภาพของตนเองตอนนี้เป็นอย่างไร ตาแก่สวมชุดนอนเหี่ยว ๆ สีฟ้า บนหัวเหลือแค่ ขยุม้ ผมหงอกเหนือใบหูทงั้ สองข้าง นีค่ ือภาพปัจจุบนั ของนักเขียนทีค่ รัง้ หนึง่ เคยได้ K I N G
ส ตี เ ว น คิ ง
F i n d e r s K e e p e r s ใ ค ร ดี ใ ค ร ไ ด้
4
ขึ้นปกนิตยสาร ไทม์ ปีที่เจเอฟเคเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี๑ จอห์น รอธสไตน์ อัจฉริยะผู้ครองสันโดษแห่งอเมริกา ตื่นได้แล้ว อัจฉริยะ “พยายามหายใจหน่อย” มิสเตอร์เยลโลว์บอกเขา น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย แต่รอธสไตน์ยังไม่วางใจสักเท่าไหร่ “หลังจากนั้นเราจะไปที่ห้องนั่งเล่นและพูดคุย กันเหมือนคนปกติ ไม่ต้องรีบ พยายามทำใจให้สงบ” รอธสไตน์ สู ด ลมหายใจลึ ก ๆ และอย่ า งช้ า ๆ เสี ย งเต้ น ของหั ว ใจเบาลง นิดหน่อย เขาพยายามนึกถึงเพ็กกี้ ทรวงอกขนาดเท่าถ้วยชาของเธอ (เล็ก แต่ ไร้ที่ติ) ท่อนขายาวและเนียนลื่น แต่ความฝันนั้นทอดทิ้งเขาเช่นเดียวกับเพ็กกี้ ซึ่งทุกวันนี้กลายเป็นอีแก่แร้งทึ้งใช้ชีวิตอยู่ที่ปารีส ด้วยเงินของเขา อย่างน้อย โยลันดาซึ่งเป็นความพยายามครั้งที่สองของเขาที่จะแสวงหาความรื่นรมย์จากชีวิต แต่งงาน ก็ตายจากไปแล้ว ภาระค่าเลี้ยงดูตรงนั้นจึงจบสิ้นตามไปด้วย มิสเตอร์เรดออกไปจากห้อง และตอนนี้รอธสไตน์ได้ยินเสียงรื้อค้นดังมา จากห้องอ่านหนังสือ อะไรสักอย่างล้มลงกับพื้น ลิ้นชักถูกเปิดและปิดปัง “ดีขึ้นหรือยัง” มิสเตอร์เยลโลว์ถาม และพูดต่อเมื่อรอธสไตน์พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ” รอธสไตน์ปล่อยให้อีกฝ่ายพาไปที่ห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ มิสเตอร์บลูประกบอยู่ ทางด้านซ้าย และมิสเตอร์เยลโลว์ทางด้านขวา การรื้อค้นห้องอ่านหนังสือยังคง ดำเนินต่อไป อีกไม่ชา้ มิสเตอร์เรดจะเปิดตูเ้ สือ้ ผ้า รูดแจ็กเก็ตสองตัวกับสเวตเตอร์ สองตัวหลบไปทางหนึ่ง และพบตู้เซฟที่ซ่อนอยู่ในนั้น นั่นคือสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ก็ได้ ตราบใดที่พวกมันทิ้งสมุดไว้ ก็แล้วพวกมันมีเหตุผลอะไรที่จะเอาไป เศษสวะอย่างไอ้พวกนี้สนใจแค่เงิน พวกมันอาจไม่มีปัญญาอ่านอะไรท้าทายสมอง มากกว่าหน้าตอบจดหมายในนิตยสาร เพ้นต์เฮ้าส์ ด้วยซ้ำไป แต่เขายังไม่แน่ใจชายคนที่สวมหน้ากากเหลือง คนนั้นพูดจาเหมือนคน มีการศึกษา โคมไฟทุกดวงในห้องนั่งเล่นถูกเปิดไว้ แต่บังตาไม่ได้ปิด เพื่อนบ้านที่ยัง ไม่หลับอาจนึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นในบ้านของนักเขียนเฒ่า...ถ้าเขามีเพื่อนบ้าน น่ะนะ บ้านหลังที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างไปสองไมล์แถวไฮเวย์สายหลัก เขาไม่มีเพื่อน ไม่มีแขกมาเยี่ยมเยือน เซลส์แมนที่โผล่มาเป็นครั้งคราวถูกไล่ตะเพิด รอธสไตน์ เป็นแค่ตาแก่พิลึก ๆ คนหนึ่ง เป็นนักเขียนที่วางปากกาแล้ว เป็นฤๅษี เขาจ่ายภาษี
๑
ค.ศ. ๑๙๖๑
S T E P H E N
และไม่สุงสิงกับใคร มิสเตอร์บลูและมิสเตอร์เยลโลว์พาเขาไปที่เก้าอี้นวมหุ้มหนังซึ่งตั้งหันหน้า เข้าหาทีวีที่แทบไม่เคยเปิดดู และเมื่อเขาไม่นั่งลงทันที มิสเตอร์บลูก็ยื่นมือมาช่วย ด้วยการออกแรงผลัก “เบา ๆ!” มิสเตอร์เยลโลว์พูดเฉียบขาด มิสเตอร์บลูสะดุ้งเล็กน้อยและ พึมพำอะไรสักอย่าง เป็นอันว่ามิสเตอร์เยลโลว์เป็นหัวหน้ากลุ่ม เข้าใจละ เขาคือ หัวหอกของปฏิบัติการครั้งนี้ เขาก้มลงมาหารอธสไตน์ มือทั้งสองเท้าหัวเข่าที่ซุกอยู่ในกางเกงผ้าลูกฟูก “คุณอยากดื่มอะไรนิดหน่อยเพื่อช่วยให้ผ่อนคลายไหม” “ถ้าเธอหมายถึงแอลกอฮอล์ ฉันเลิกมายี่สิบปีแล้ว เป็นคำสั่งของหมอ” “ดีสำหรับคุณ คุณไปเข้ากลุ่มหรือเปล่า” “ฉันไม่ได้ ติดเหล้า ” รอธสไตน์พูดฉุน ๆ เป็นเรื่องบ้าแท้ ๆ ที่มาฉุนเฉียว ในสถานการณ์แบบนี้...หรือไม่บ้า ใครจะรู้ว่าเราควรแสดงกิริยาอย่างไร หลังจาก ถูกลากลงจากเตียงนอนกลางดึกโดยกลุ่มชายฉกรรจ์สวมหน้ากากสกีหลากสีสัน เขานึกสงสัยว่าเขาจะเขียนฉากนี้ออกมาอย่างไร แต่นึกไม่ออก ปกติเขาจะไม่เขียน ฉากทำนองนี้ “คนชอบทึ ก ทั ก ว่ า นั ก เขี ย นชายผิ ว ขาวทุ ก คนในศตวรรษที่ ยี่ สิ บ 5 จะต้อง ติดเหล้า ” “เอาน่า ๆ” มิสเตอร์เยลโลว์พูดราวกับกำลังปลอบเด็กงอแงให้สงบ “น้ำ ไหมครับ” “ไม่ละ ขอบใจ สิ่งที่ฉันต้องการคือ ขอให้พวกเธอทั้งสามออกไปจากบ้าน หลังนี้ เพราะฉะนั้นฉันจะพูดกับพวกเธออย่างตรงไปตรงมาละนะ” เขาสงสัยว่า มิสเตอร์เยลโลว์จะเข้าใจกฎพื้นฐานที่สุดในวาทกรรมของมนุษย์ไหม เวลาที่ใคร สักคนบอกว่าจะพูดกับคุณอย่างตรงไปตรงมา โดยมากคนคนนั้นจะพร้อมโกหก คุณได้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าม้าย่อง “กระเป๋าเงินของฉันอยู่ในตู้ลิ้นชักในห้องนอน ในนั้นมีอยู่แปดสิบดอลลาร์นิด ๆ แต่มีกาน้ำชาเซรามิกบนหิ้งเหนือเตาผิง...” เขาชี้ไปทางนั้น มิสเตอร์บลูหันไปมองตาม แต่มิสเตอร์เยลโลว์ไม่ ฝ่าย หลังยังคงศึกษารอธสไตน์ ดวงตาหลังหน้ากากแทบจะฉายแววขบขัน ไม่ได้ผล รอธสไตน์คิด แต่ยังทำใจดีสู้เสือ ตอนนี้เขาตื่นเต็มที่แล้ว และรู้สึกโกรธพอ ๆ กับ รู้สึกกลัว แต่ขณะเดียวกันก็รู้ดีว่าไม่ควรแสดงมันออกมา “ฉันเก็บเงินค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในบ้านเอาไว้ในนั้น น่าจะมีสักห้าสิบหรือหกสิบ ดอลลาร์ ทั้งบ้านก็มีอยู่แค่นี้แหละ พวกเธอเอาไปได้เลย แล้วก็ไปจากที่นี่ซะ” “แม่งโคตรโกหก” มิสเตอร์บลูสวนทันที “แกมีมากกว่านัน้ เยอะ พรรคพวก
K I N G
ส ตี เ ว น คิ ง
F i n d e r s K e e p e r s ใ ค ร ดี ใ ค ร ไ ด้
6
เรารู ้ เชื่อฉันสิ” ราวกับว่านี่คือฉากหนึ่งในละครเวที และประโยคดังกล่าวคือการบอกคิว มิสเตอร์เรดให้แสดงบทบาทของตนเอง เขาตะโกนออกมาจากห้องอ่านหนังสือ “โป๊ะเชะ! เจอตู้เซฟเว้ย! ใบเบ้อเริ่มเลย!” รอธสไตน์รู้อยู่แล้วว่าผู้ชายที่ใส่หน้ากากสีแดงจะต้องเจอมันในที่สุด แต่ ถึงอย่างนั้นหัวใจของเขาก็ยังหล่นวูบ โง่แท้ ๆ ที่เก็บเงินสดเอาไว้ที่บ้าน เหตุผล มีแค่เพราะเขาเกลียดบัตรเครดิต เช็ค หุ้น และเครื่องมือที่ใช้ในการโอนเงิน ห่ ว งโซ่ อั น เย้ า ยวนที่ ผู ก มั ด ผู้ ค นไว้ กั บ เครื่ อ งจั ก รแห่ ง หนี้ สิ น และการจั บ จ่ า ยที่ มี ประสิทธิภาพการทำลายล้างสูงและน่าตกตะลึง อย่างไรก็ตาม เงินสดอาจเป็น ตัวช่วยชีวิตเขา เพราะมันสามารถถูกนำไปแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งอื่น ขณะที่สมุด พวกนั้นซึ่งมีกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบเล่มไม่อาจทำได้ “ทีนี้ก็รหัส” มิสเตอร์บลูพูด ดีดนิ้วที่สวมถุงมือ “บอกมาซะดี ๆ” รอธสไตน์ แ ทบจะโกรธมากพอที่ จ ะปฏิ เ สธ อย่ า งที่ โ ยลั น ดาเคยพู ด ไว้ ความโกรธเป็ น อารมณ์ พื้ น ฐานของเขามาทั้ ง ชี วิ ต (“อาจตั้ ง แต่ คุ ณ ยั ง นอนเปล เฮงซวยโน่นเลยด้วยซ้ำ” เธอว่า) แต่ตอนนี้เขาทั้งเหนื่อยและหวาดกลัว ถ้าเขา ขัดขืน สามคนนีต้ อ้ งใช้กำลังทุบตีบงั คับให้เขาพูด เขาอาจหัวใจวายขึน้ มาอีก และ อีกแค่ครั้งเดียวก็จะทำให้เขาต้องจบชีวิตลงค่อนข้างแน่ “ถ้าฉันบอกรหัสตู้เซฟ พวกเธอจะหยิบเงินที่อยู่ในนั้นแล้วไปจากที่นี่ไหม” “มิสเตอร์รอธสไตน์” มิสเตอร์เยลโลว์พูดอย่างมีเมตตาซึ่งดูเหมือนออกมา จากใจจริ ง (และด้ ว ยเหตุ นี้ จึ ง ชวนให้ รู้ สึ ก พิ ลึ ก พิ ลั่ น ) “คุ ณ ไม่ อ ยู่ ใ นฐานะที่ จ ะ ต่อรองนะ เฟรดดี้ ไปหยิบกระเป๋ามา” รอธสไตน์รู้สึกว่ามีลมเย็นยะเยือกพัดวูบเข้ามาเมื่อมิสเตอร์บลู หรือเฟรดดี้ เดินทะลุประตูครัวออกไปข้างนอก ในช่วงเวลาเดียวกัน มิสเตอร์เยลโลว์ฉีกยิ้ม ให้เขาอีก รอธสไตน์รังเกียจรอยยิ้มนั้น ริมฝีปากแดงฉานคู่นั้น “เอาน่า อัจฉริยะ บอกมาเถอะ เริ่มเร็วก็จะได้จบเร็ว ๆ” รอธสไตน์ถอนหายใจ และบอกรหัสเปิดตู้เซฟการ์ดัลล์ที่อยู่ในตู้เสื้อผ้า ห้องอ่านหนังสือ “เลขสาม หมุนทางซ้ายสองรอบ สามสิบเอ็ด หมุนขวาสองรอบ สิบแปด ซ้ายหนึ่งรอบ เก้าสิบเก้า ขวาหนึ่งรอบ แล้วกลับมาที่เลขศูนย์” ภายใต้หน้ากาก ริมฝีปากแดงคู่นั้นแสยะกว้างขึ้นอีก และตอนนี้มองเห็น ฟันด้วย “ผมน่าจะเดาออก มันคือวันเดือนปีเกิดของคุณ” ระหว่างที่มิสเตอร์เยลโลว์ตะโกนบอกรหัสให้กับเพื่อนร่วมทีมที่อยู่ในตู้ รอธสไตน์ตั้งข้อสันนิษฐานบางอย่างซึ่งไม่ชวนให้รู้สึกอุ่นใจเท่าไหร่ มิสเตอร์บลู
S T E P H E N
กับมิสเตอร์เรดมาที่นี่เพราะต้องการเงิน และมิสเตอร์เยลโลว์ก็อาจได้ส่วนแบ่ง แต่เขาไม่เชื่อว่าเงินคือเป้าหมายหลักของชายที่เอาแต่เรียกเขาว่า อัจฉริยะ คนนี้ ราวกับเพื่อเป็นการตอกย้ำความคิดดังกล่าว มิสเตอร์บลูปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับลมเย็นยะเยือกพัดกรูจากด้านนอก เขาสะพายกระเป๋ากีฬาเปล่ามาสี่ใบ คล้องไหล่ข้างละสอง “ฟังนะ” รอธสไตน์พูดกับมิสเตอร์เยลโลว์ มองตาอีกฝ่าย และจ้องมันนิ่ง “อย่า ในเซฟไม่มีของมีค่าอะไรนอกจากเงิน ที่เหลือเป็นแค่สมุดบันทึกข้อความ มั่ว ๆ ซั่ว ๆ แต่มันสำคัญสำหรับฉัน” ทันใดนั้นมิสเตอร์เรดร้องลั่นจากห้องอ่านหนังสือ “แม่เจ้าโว้ย มอร์รี่! เราเจอแจ็กพ็อตละเว้ย! ยิปปี้ มีเงินอื้อเลย! ยังอยู่ในซองธนาคารด้วย! เป็น สิบ ๆ ซอง!” อย่ า งน้ อ ยก็ ห กสิ บ รอธสไตน์ อ าจบอกไปเช่ น นั้ น อาจถึ ง แปดสิ บ ซอง ด้วยซ้ำ แต่ละซองมีเงินสี่ร้อยดอลลาร์ ได้มาจากอาร์โนลด์ เอเบล นักบัญชี ของฉั น ในนิ ว ยอร์ ก จี น นี่ น ำเช็ ค ค่ า ใช้ จ่ า ยไปขึ้ น เป็ น เงิ น สดและนำซองเงิ น สด กลับมาที่นี่ จากนั้นฉันก็เอาไปเก็บในตู้เซฟ เพียงแต่ฉันมีค่าใช้จ่ายแค่ไม่กี่รายการ เพราะอาร์โนลด์จ่ายบิลในส่วนหลัก ๆ จากนิวยอร์ก นาน ๆ ครั้งฉันจะให้เงินพิเศษ 7 กับจีนนี่ และช่วงคริสต์มาสก็จะให้เงินบุรุษไปรษณีย์ แต่พ้นจากนั้นแล้วฉันแทบ ไม่ต้องใช้เงินสดเลย หลายปีแล้วที่เป็นแบบนี้ แล้วจะทำไม อาร์โนลด์ไม่เคย ถามว่าฉันเอาเงินไปใช้จ่ายอะไร เขาอาจคิดว่าฉันเรียกใช้บริการนางทางโทรศัพท์ สักรายสองรายก็เป็นได้ หรือไม่ก็เอาไปแทงม้าที่ร็อคกิ้งแฮม แต่ความตลกอยู่ตรงนี้ เขาอาจบอกมิสเตอร์เยลโลว์ (หรือมอร์รี่) ฉัน ไม่เคยถาม ตวั เอง ว่าทำไมจึงทำอย่างนี ้ เหมือนทีไ่ ม่เคยถามตัวเองว่าทำไมจึงเขียนนัน่ เขียนนี่ใส่ลงในสมุดเล่มแล้วเล่มเล่า บางอย่างมันก็ เป็น ของมันอย่างนั้นเอง เขาจะพูดสิง่ เหล่านีอ้ อกไป ก็ได้ แต่เลือกทีจ่ ะเก็บเงียบไว้ ไม่ใช่เพราะคิดว่า มิสเตอร์เยลโลว์จะไม่เข้าใจ แต่เพราะริมฝีปากแดงที่เหยียดยิ้มอย่างรู้ทันบอกเขา ว่าชายคนนี้น่าจะเข้าใจ และจะไม่สนใจ “ในนัน้ มีอะไรอีก” มิสเตอร์เยลโลว์ตะโกนถาม ดวงตายังคงจับทีร่ อธสไตน์ “มีลังไหม ลังใส่ต้นฉบับ ขนาดเท่ากับที่ฉันเคยบอกไว้” “ไม่มีลัง มีแต่สมุด” มิสเตอร์เรดรายงานกลับมา “ตู้เซฟเวรนี่มีสมุดเพียบ เลย” มิสเตอร์เยลโลว์ยิ้ม ยังคงจ้องตารอธสไตน์ “เขียนมือหรือ คุณใช้วิธีนี้ K I N G
ส ตี เ ว น คิ ง
F i n d e r s K e e p e r s ใ ค ร ดี ใ ค ร ไ ด้
8
หรือ อัจฉริยะ” “ขอร้องละ” รอธสไตน์พูด “ปล่อยมันไว้อย่างนั้น วัตถุดิบพวกนั้นไม่ควร ให้ใครเห็น มันยังไม่พร้อม” “และจะไม่มีวันพร้อม นั่นคือสิ่งที่ผมคิด เพราะคุณมันพวกนักสะสม ตัวฉกาจ” ประกายวิบวับในดวงตาคู่นั้นซึ่งรอธสไตน์คิดว่าเป็นความมีชีวิตชีวา แบบคนไอริช บัดนี้ไม่หลงเหลืออยู่อีกต่อไป “แล้วอีกอย่าง ใช่ว่าคุณ จำเป็น จะต้องพิมพ์อะไรออกมาเพิ่มเสียหน่อย จริงไหม คุณไม่ได้มี ความจำเป็นทาง การเงิน หรืออะไร เพราะถึงยังไงคุณก็ยังได้ค่าลิขสิทธิ์จาก เดอะรันเนอร์ เดอะ รันเนอร์ซีส์แอ๊คชั่น และ เดอะรันเนอร์สโลว์สดาวน์ ไตรภาคจิมมี่ โกลด์ ที่แสน จะโด่งดังชุดนั้น ซึ่งทุกวันนี้ยังพิมพ์ซ้ำออกมาอยู่เรื่อย ๆ หนำซ้ำคุณยังตระเวน สอนตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่วประเทศที่ยิ่งใหญ่ของเราอีกต่างหาก ต้องขอบคุณ สมาคมครูอาจารย์ลับสาขาวรรณกรรมที่คิดว่าคุณกับโซล เบลโลว์๒ เป็นสุดยอด นักเขียนขึ้นหิ้ง ทุกวันนี้คุณก็เลยมีนักศึกษาปริญญาตรีที่รักการอ่านเป็นตัวประกัน ชีวิตคุณเพียบพร้อมอยู่แล้วนี่ จริงไหม จะเสี่ยงตีพิมพ์งานใหม่ ๆ ที่อาจทำให้ ชื่อเสียงที่สดใสมั่นคงต้องด่างพร้อยอีกทำไม คุณหลบออกมาอยู่ที่นี่ และทำทีว่า ส่วนที่เหลือของโลกไม่มีตัวตนได้อยู่แล้ว” มิสเตอร์เยลโลว์ส่ายศีรษะ “เพื่อนเอ๋ย คุณสร้างนิยามใหม่ให้กับสำนวนขี้ยังไม่ให้หมาดมเลยนะนี่” มิสเตอร์บลูยงั คงอ้อยอิง่ อยูต่ รงหน้าประตู “นายอยากให้ฉนั ทำอะไร มอร์ร”ี่ “เข้าไปหาเคอร์ติสในห้องนั้น กวาดทุกอย่างออกมาให้หมด ถ้ากระเป๋า กีฬาที่เราเตรียมมาไม่พอใส่สมุดทั้งหมด ก็ลองหาเพิ่มแถวนี้ แม้แต่หนูจำศีล อย่างเขาก็ต้องมีกระเป๋าเดินทางอย่างน้อยสักใบ อย่าเสียเวลานับเงิน ฉันอยากไป จากที่นี่ให้เร็วที่สุด” “ตกลง” มิสเตอร์บลู หรือเฟรดดี้ ออกไปจากห้อง “อย่าทำอย่างนี้” รอธสไตน์พูด และตกใจกับน้ำเสียงที่สั่นเครือของตัวเอง มีบางครั้งที่เขาลืมว่าตัวเองแก่ขนาดไหนแล้ว แต่ไม่ใช่คืนนี้ ชายที่ ชื่ อ มอร์ รี่ โ น้ ม ตั ว เข้ า มาหาเขา ดวงตาสี เ ทาอมเขี ย วมองลอดรู บ น หน้ากากสกีสเี หลืองออกมา “ผมอยากรูอ้ ะไรบางอย่าง ถ้าคุณตรงไปตรงมาเราอาจ ไม่เอาสมุดพวกนั้นไป คุณจะตรงไปตรงมากับผมไหม อัจฉริยะ” “ฉันจะพยายาม” รอธสไตน์พูด “และฉันไม่เคยเรียกตัวเองอย่างนั้นนะ ๒ Saul Bellow (ค.ศ. ๑๙๑๕ - ๒๐๐๕) นักเขียนชาวอเมริกันเชื้อสายแคนาดา เจ้าของรางวัลพูลิตเซอร์ และรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม
S T E P H E N
รู้ไหม นิตยสาร ไทม์ ต่างหากที่เรียกฉันว่าอัจฉริยะ” “แต่ผมขอท้าว่าคุณไม่เคยเขียนจดหมายไปทักท้วงพวกเขา” รอธสไตน์ไม่ตอบ ไอ้บัดซบ เขาคิดในใจ ฉลาดนักนะ ไอ้บัดซบ แกดัก ไว้ทุกทางเลยใช่ไหม ไม่สำคัญหรอกว่าฉันจะพูดอะไร “นี่คือสิ่งที่ผมอยากรู้ ขอพระเจ้าทรงโปรด ทำไมคุณไม่เลิกยุ่งกับจิมมี่ โกลด์ เสียที ทำไมต้องย่ำยีเขาแบบนั้น” คำถามนี้โผล่มาอย่างไม่คาดฝันจนตอนแรกรอธสไตน์ไม่รู้ว่ามอร์รี่กำลังพูด ถึงอะไร แม้ว่าจิมมี่ โกลด์ จะเป็นตัวละครที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขา และเขาจะ เป็นที่จดจำในฐานะผู้สรรค์สร้างตัวละครตัวนี้ (ถ้าเขาจะเป็นที่จดจำอยู่บ้างละก็) นิตยสาร ไทม์ ฉบับเดียวกับที่เอาเขาขึ้นปกและเรียกเขาว่าอัจฉริยะ บรรยายจิมมี่ โกลด์ ว่า “เป็นสัญลักษณ์แห่งความสิ้นหวังของอเมริกันชน ท่ามกลางดินแดน อันอุดมสมบูรณ์มั่งคั่ง” ค่อนข้างเลอะเทอะ แต่ก็ทำให้หนังสือขายได้ “ถ้าเธอหมายถึงว่า ฉันน่าจะหยุดตั้งแต่เล่มแรก คือ เดอะรันเนอร์ เธอ ไม่ ใ ช่ ค นเดี ย วที่ คิ ด อย่ า งนั้ น ” แต่ ก็ ใ กล้ เ คี ย ง เขาจะพู ด ต่ อ ก็ ย่ อ มได้ เดอะ รันเนอร์ซีส์แอ๊คชั่น ทำให้ชื่อเสียงของเขาในฐานะนักเขียนอเมริกันคนสำคัญมั่นคง ยิ่งขึ้น และ เดอะรันเนอร์สโลว์สดาวน์ ก็เป็นจุดสูงสุดในอาชีพของเขา มันได้รับ 9 เสียงชื่นชมล้นหลาม และติดอันดับหนังสือขายดีของ นิวยอร์กไทมส์ หกสิบสอง สัปดาห์ซ้อน หนำซ้ำยังได้รางวัลเนชั่นแนลบุ๊กอะวอร์ดด้วย แต่เขาไม่ได้ไปรับ รางวัลด้วยตัวเอง “มหากาพย์ อีเลียต แห่งอเมริกายุคหลังสงคราม” หนังสือได้รับ การอ้างถึงว่าอย่างนั้น ไม่เฉพาะแค่เล่มสุดท้าย แต่รวมไตรภาคทั้งชุด “ผมไม่ได้บอกว่าคุณควรหยุดเขียนตั้งแต่ เดอะรันเนอร์ ” มอร์รี่ว่า “เดอะ รันเนอร์ซีส์แอ๊คชั่น ก็เป็นหนังสือที่ดีไม่น้อยไปกว่ากัน อาจดีกว่าด้วยซ้ำ ทั้งสอง เล่มเป็นของจริง เล่มสุดท้ายต่างหากที่มีปัญหา ให้ตายสิ อย่างกับขบวนแห่ที่ เต็มไปด้วยขยะ งานโฆษณางั้นหรือ ผมหมายถึง งานโฆษณาเนี่ย นะ” แล้ ว มิ ส เตอร์ เ ยลโลว์ ก็ ท ำบางสิ่ ง ที่ ท ำให้ ร อธสไตน์ รู้ สึ ก เหมื อ นมี อ ะไรมา รัดคอ และท้องไส้รู้สึกหน่วงหนัก ชายผู้สวมหน้ากากสีเหลืองเคลื่อนไหวอย่าง เชื่องช้า แทบจะเหมือนทำไปโดยไม่รู้สึกตัว เขาถอดหน้ากากออก เผยให้เห็น โฉมหน้ า ของชายหนุ่ ม ที่ ดู ค ลาสสิ ก แบบชาวบอสตั น เชื้ อ สายไอริ ช ในสมั ย ก่ อ น ผมแดง ดวงตาสีออกเขียว ผิวขาวซีดที่จะเกรียมแดดอยู่เสมอและไม่มีวันเป็น สีแทนสวย รวมถึงริมฝีปากแดงฉานดูพิลึกคู่นั้น “บ้ า น ชานเมื อ ง รถฟอร์ ด สี่ ป ระตู ใ นทางรถ เมี ย กั บ ลู ก เล็ ก ๆ สองคน ที่ สุ ด แล้ ว ทุ ก คนล้ ว นขายวิ ญ ญาณ นั่ น คื อ สิ่ ง ที่ คุ ณ พยายามจะบอกหรื อ เปล่ า
K I N G
ส ตี เ ว น คิ ง
F i n d e r s K e e p e r s ใ ค ร ดี ใ ค ร ไ ด้
10
ทุกคนจับยาพิษกรอกปากตัวเองกันหมดแล้ว” “ในสมุดพวกนั้น...” มีนิยายจิมมี่ โกลด์ อีกสองเล่มอยู่ในสมุดพวกนั้น นั่นคือสิ่งที่รอธสไตน์ อยากพูด สองเล่มที่จะทำให้เรื่องราวทั้งหมดสมบูรณ์ ในเล่มแรกจิมมี่จะตระหนัก ถึงความกลวงของชีวิตแถบชานเมือง และตัดสินใจทิ้งครอบครัว หน้าที่การงาน รวมถึงบ้านที่สุขสบายในคอนเนตทิคัตไว้ข้างหลัง เขาจะลาจากที่นั่นด้วยวิธีเดินเท้า ไม่มอี ะไรติดตัวนอกจากเป้หนึง่ ใบกับเสือ้ ผ้าจำนวนหนึง่ เขาเหมือนเด็กทีล่ าออกจาก โรงเรียนกลางคันในภาคที่แก่กว่า ปฏิเสธครอบครัววัตถุนิยม และตัดสินใจสมัคร เข้ากองทัพหลังจากสุดสัปดาห์ที่ตระเวนเมาแอ๋ไปทั่วนิวยอร์กซิตี “ในสมุดทำไม” มอร์รี่ถาม “ไม่เอาน่า อัจฉริยะ พูดออกมาเถอะ บอก ผมว่าทำไมคุณต้องซัดเขาจนหมอบแล้วย่ำลงไปบนหัวเขาอย่างนั้น” ในเดอะรันเนอร์โกส์เวสต์ เขาจะกลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง รอธสไตน์ อยากบอก หวนคืนสู่ตัวตนที่แท้จริงของเขา แต่ตอนนี้มิสเตอร์เยลโลว์เปิดเผย ใบหน้าออกมาแล้ว พร้อมทัง้ ชักปืนพกออกจากกระเป๋าหน้าด้านขวาของเสือ้ แจ็กเก็ต ตาหมากรุก สีหน้าของเขาเศร้าสลด “คุณสร้างตัวละครที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในโลกวรรณกรรมอเมริกันขึ้นมา จากนั้นก็ขี้รดหัวเขา” มอร์รี่ว่า “คนที่ทำอย่างนั้นได้ไม่สมควรมีชีวิตอยู่อีกต่อไป” ความโกรธพุง่ กลับขึน้ มาราวกับเป็นสิง่ ไม่คาดฝันทีช่ า่ งหอมหวาน “ถ้าเธอคิด อย่างนั้น” จอห์น รอธสไตน์ ว่า “แปลว่าเธอไม่เคยเข้าใจสิ่งที่ฉันเขียนแม้แต่ คำเดียว” มอร์รี่ยกปืนเล็งมาที่เขา ปากกระบอกปืนดูคล้ายดวงตาดำมะเมื่อม รอธสไตน์ชี้นิ้วที่หงิกงอเพราะโรคไขข้อสวนกลับไปราวกับมันคือปืนของเขา และรู้สึกพอใจเมื่อเห็นมอร์รี่กะพริบตาและสะดุ้งเล็กน้อย “อย่ามาพ่นคำวิจารณ์ โง่ ๆ ให้ฉันฟัง ฉันเจอแบบนี้มาเยอะแล้ว ตั้งแต่ก่อนเธอเกิดนานเลยละ ว่าแต่ เธออายุเท่าไหร่ ยีส่ ิบสอง ยี่สิบสาม เธอรูอ้ ะไรเกี่ยวกับชีวติ บ้าง ยังไม่ตอ้ งพูดถึง เรื่องวรรณกรรมหรอก” “ผมรู้มากพอที่จะรู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่ยอมขายวิญญาณ” รอธสไตน์แปลกใจ เมื่อเห็นน้ำตาเต้นระริกในดวงตาแบบชาวไอริชคู่นั้น “อย่ามาสั่งสอนผมเรื่องชีวิต หลังจากที่คุณหนีหน้าจากโลกเหมือนหนูที่มุดหัวอยู่ในรูตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา” คำวิจารณ์เดิม ๆ ประโยคนี ้ กล้า ดียงั ไงถึงได้ยอมละทิง้ ชือ่ เสียง จุดประกาย ความโกรธของรอธสไตน์ จ นกลายเป็ น ความเดื อ ดดาลขั้ น สู ง สุ ด เป็ น ความ เดือดดาลถึงขั้นเขวี้ยงแก้วและกระหน่ำฟาดเครื่องเรือนซึ่งเพ็กกี้กับโยลันดาจะยัง
S T E P H E N
จำได้ และเขาดีใจที่มันเกิดขึ้น ขอตายแบบโกรธแค้นดีกว่าจะหดหัวและวิงวอน “เธอจะเอางานของฉันไปเปลี่ยนเป็นเงินได้ยังไง คิดเรื่องนั้นไว้บ้างหรือยัง ฉันว่าเธอคงคิดมาแล้ว และคงรู้ดีว่า เธอจะลองเอาสมุดบันทึกของเฮมิงเวย์ที่ ถูกขโมยมาไปขายก็ย่อมได้ หรือภาพเขียนของปีกัสโซ แต่เพื่อน ๆ ของเธอไม่ได้ มี ก ารศึ ก ษาเหมื อ นเธอ จริ ง ไหม ฉั น ดู อ อกจากวิ ธี ที่ พ วกเขาพู ด สองคนนั้ น รู้เหมือนที่เธอรู้หรือเปล่า ฉันมั่นใจว่าไม่ แต่เธอขายฝันกับทั้งคู่ เธอชี้ให้พวกเขา ดูขนมพายชิ้นโตบนท้องฟ้า และบอกว่าทุกคนจะได้ส่วนแบ่ง ฉันคิดว่าเธอมีความ สามารถที่จะทำแบบนั้นได้ เธอมีคลังคำเป็นทะเลสาบให้เลือกใช้ แต่ฉันเชื่อว่า ทะเลสาบของเธอมันตื้นสิ้นดี” “หุบปาก คุณพูดจาเหมือนแม่ผมเข้าไปทุกที” “เธอมันก็แค่โจรกระจอกเท่านั้นแหละ ไอ้เพื่อนยาก ต้องโง่ขนาดไหน ถึงจะขโมยสิ่งของที่เธอไม่มีวันขายได้” “หุบปาก อัจฉริยะ ผมเตือนแล้วนะ” รอธสไตน์คดิ ในใจ ถ้าเขาเหนีย่ วไกขึน้ มาล่ะ จะไม่ตอ้ งมีการกินยาอีกต่อไป ไม่ต้องเสียใจกับเรื่องในอดีต เศษซากความสัมพันธ์ที่แตกสลายเหมือนรถพังยับ มากมาย และจะไม่มีการขีดเขียนอย่างหมกมุ่น เก็บสะสมสมุดเล่มแล้วเล่มเล่า 11 ราวกับขี้กระต่ายกองเล็ก ๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ตามทางเดินในผืนป่า โดนกระสุน เจาะหัวสักนัดอาจไม่เลวร้าย อย่างน้อยก็ดีกว่าเป็นมะเร็งหรืออัลไซเมอร์ นั่นคือ ความสยดสยองขัน้ สุดยอดของใครก็ตามทีห่ าเลีย้ งชีพด้วยสมองมาทัง้ ชีวติ แน่นอน เรื่องนี้จะกลายเป็นข่าว และฉันก็ตกเป็นข่าวมาแล้วหลายครั้ง แม้แต่ก่อนที่จะมี บทความเฮงซวยในนิตยสาร ไทม์ นัน่ ...แต่ถา้ เขาเหนีย่ วไก ฉันจะไม่ตอ้ งทนอ่านข่าว พวกนั้น “เธอมัน โง่ ” รอธสไตน์โพล่งออกไป จู ่ ๆ กร็ สู้ กึ สุขซ่านขึน้ มาอย่างกะทันหัน “เธอนึกว่าตัวเองฉลาดกว่าสองคนนั้น แต่ไม่เลย อย่างน้อยทั้งคู่ก็ยังเข้าใจว่า เงินสดสามารถนำไปใช้จ่ายได้” เขาโน้มตัวไปข้างหน้า จับจ้องใบหน้าซีดเซียวที่มี กระกระจายอยู่ทั่วไปหมดนั้น “รู้อะไรไหม เด็กน้อย คนอย่างเธอนี่แหละที่ทำให้ โลกของการอ่านต้องมัวหมอง” “ขอเตือนครั้งสุดท้าย” มอร์รี่พูด “ช่างหัวคำเตือนแม่แกสิ แล้วก็ช่างหัวแม่แกด้วย ยิงฉันเลย ไม่งั้นก็ไสหัว ไปจากบ้านฉันซะ” มอร์ริส เบลลามี่ ยิงเขา K I N G
ส ตี เ ว น คิ ง
๒๐๐๙
ก า ร มี ป า ก เ สี ย ง เ รื่ อ ง เ งิ น ๆ ท อ ง ๆ ครั้งแรกในครอบครัว
ซาวเบอร์ส หรืออย่างน้อยก็เป็นครั้งแรกที่พวกเด็ก ๆ ได้ยิน เกิดขึ้นในช่วงเย็น วันหนึ่งของเดือนเมษายน มันไม่ใช่การทะเลาะเบาะแว้งที่ใหญ่โตอะไร แต่แม้แต่ พายุลูกใหญ่ก็ยังเริ่มต้นจากสายลมอ่อน ปีเตอร์กับทีน่า ซาวเบอร์ส อยู่ในห้อง นั่งเล่น พีทกำลังทำการบ้าน และทีน่ากำลังดูดีวีดี สปอนจ์บ็อบ เด็กหญิงเคยดู ดี วี ดี แ ผ่ น นี้ ม าแล้ ว หลายรอบ แต่ ดู เ หมื อ นจะไม่ เ คยเบื่ อ นั่ น ถื อ ว่ า เป็ น โชคดี เพราะทุกวันนี้ทีวีบ้านซาวเบอร์สดูช่องการ์ตูนเน็ตเวิร์คไม่ได้ ทอม ซาวเบอร์ส บอกยกเลิกช่องเคเบิลไปเมื่อสองเดือนก่อน ทอมกับลินดา ซาวเบอร์ส อยูใ่ นครัว ทอมกำลังปิดกระเป๋าเป้เก่า ๆ หลังจาก ยัดธัญพืชอัดแท่งพาวเวอร์บาร์สใส่ลงไปแล้ว รวมทั้งกล่องทัปเปอร์แวร์ใส่ผักหั่น เป็นชิ้น ๆ น้ำดื่มสองขวด และโค้กหนึ่งกระป๋อง “คุณมันบ้า” ลินดาพูด “ฉันหมายถึง ฉันรู้มาตลอดคุณเป็นมนุษย์กลุ่ม เอ ที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและไม่ยอมแพ้ แต่คราวนี้คุณไปไกลกว่า ทุกครัง้ ถ้าคุณอยากตัง้ นาฬิกาให้ปลุกตอนตีหา้ ได้เลย ไม่มปี ญ ั หา คุณยังไปรับ ทอดด์ ไปถึงศูนย์ประชุมตอนหกโมงเช้า แล้วก็ได้เป็นคนแรกสุดในแถวอยู่ดี” “ผมก็อยากให้เป็นอย่างนัน้ ” ทอมบอกภรรยา “แต่ทอดด์บอกว่าเดือนก่อน มีการจัดงานมหกรรมแรงงานแบบนี้ที่บรูคพาร์ค และคนเริ่มไปเข้าแถวรอตั้งแต่ หนึ่งวันก่อนเริ่มงาน หนึ่งวันก่อนเริ่มงาน ลิน!” “ทอดด์ก็พูดนั่นพูดนี่ไปเรื่อย แล้วคุณก็ดันฟังเขา จำตอนที่ทอดด์บอกว่า พีทกับทีน่าจะต้อง รัก การแสดงรถผาดโผนมอนสเตอร์ทรักแจมอะไรนั่นได้ไหม —” “แต่นี่ไม่ใช่มอนสเตอร์ทรักแจม หรืองานคอนเสิร์ตในสวน หรือการแสดง ดอกไม้ไฟ นี่คือ ชีวิต ของเรา” พีทเงยหน้าจากการบ้านและสบตาน้องสาววูบหนึ่ง ทีน่าแสดงความเห็น อย่างคมคายด้วยการยักไหล่ พวกพ่อแม่ก็อย่างนี้แหละ ทอดด์หันกลับไปสนใจ การบ้านวิชาพีชคณิตของตัวเองต่อ อีกแค่สี่ข้อ แล้วเขาจะได้ไปบ้านฮาวี่ ดูซิว่า
S T E P H E N
ฮาวี่มีหนังสือการ์ตูนเล่มใหม่ ๆ มาบ้างไหม แน่นอนว่าพีทไม่มีอะไรจะไปแลก เงิน ค่าขนมของเขาหายไปเช่นเดียวกับโทรทัศน์ช่องเคเบิล ในห้องครัว ทอมเริ่มเดินไปเดินมาอย่างงุ่นง่าน ลินดาเดินเข้าไปหาสามี และจับแขนเขาอย่างอ่อนโยน “ฉันรู้ค่ะว่ามันคือชีวิตของเรา” เธอพูด ลินดาพูดเสียงค่อย ส่วนหนึ่งเพื่อไม่ให้เด็ก ๆ ได้ยินและตื่นตกใจ (เธอรู้ว่า พีทรู้และตกใจอยู่แล้ว) แต่หลัก ๆ แล้วเพื่อลดทอนความร้อนแรงของบรรยากาศ เธอรู้ว่าทอมรู้สึกอย่างไรและเห็นใจเขา การรู้สึกกลัวนั้นแย่พออยู่แล้ว แต่การรู้สึก ต่ำต้อยเพราะไม่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวซึ่งทอมมองว่าเป็นความรับผิดชอบหลัก ของเขา นั่นเลวร้ายกว่าหลายเท่า และที่จริงคำว่าต่ำต้อยอาจไม่ใช่คำที่ถูกต้องนัก ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับทอมในตอนนี้คือ ความอับอาย สิบปีที่ทำงานในบริษัท อสังหาริมทรัพย์เลคฟร้อนต์เรียลตี้ ทอมเป็นเซลส์แมนระดับหัวแถวของบริษัท มาตลอด บ่อยครัง้ จะมีรปู ถ่ายยิม้ แย้มของเขาติดอยูห่ น้าร้าน เงินทีล่ นิ ดาได้จากการ สอนเด็ ก เกรดสามเป็ น แค่ ร ายรั บ เพิ่ ม เติ ม ของครอบครั ว ที่ ไ ม่ ส ลั ก สำคั ญ อะไร แต่แล้วในฤดูใบไม้รว่ งปี ๒๐๐๘ เศรษฐกิจก็ดงิ่ ถึงก้นเหว และครอบครัวซาวเบอร์ส กลายเป็นครอบครัวที่มีรายได้ทางเดียวนับแต่นั้นเป็นต้นมา ทอมไม่ใช่แค่ถูกบอกเลิกจ้างและอาจถูกเรียกกลับไปเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น 13 แต่ทุกวันนี้บริษัทเลคฟร้อนต์เรียลตี้เป็นแค่อาคารร้างที่มีสีสเปรย์พ่นเป็นลวดลาย ต่าง ๆ บนผนัง และหน้าอาคารติดป้าย ขายหรือให้เช่า พี่น้องเรียร์ดอนซึ่งสืบทอด ธุรกิจต่อจากพ่อ (และพ่อของพวกเขาก็สืบทอดต่อจากพ่อของตัวเองอีกทอดหนึ่ง) ลงทุนกับตลาดหุ้นไปเยอะ และเสียเกือบทั้งหมดตอนที่ตลาดผันผวนอย่างหนัก ลินดาแทบไม่รู้สึกอุ่นใจขึ้นที่ทอดด์ เพน เพื่อนสนิทของทอม ประสบชะตากรรม เดียวกัน เธอคิดว่าทอดด์เป็นคนโง่ “คุณดูพยากรณ์อากาศหรือเปล่า ฉันดู อากาศจะหนาว ช่วงเช้าจะมีหมอก พัดเข้ามาจากทะเลสาบ และอาจมีฝนน้ำแข็งตกด้วยซ้ำไป ฝนน้ำแข็ง ทอม” “ดี หวังว่ามันจะตกลงมาจริง ๆ คนจะได้น้อยลง และโอกาสก็จะมากขึ้น” เขาจับท่อนแขนของภรรยา แต่ทำอย่างเบามือ ไม่มกี ารเขย่าหรือการตะโกนใส่หน้า ทั้งสองสิ่งจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ “ผมต้องได้งาน ลิน และงานมหกรรมแรงงาน เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของผมในฤดูใบไม้ผลิปีนี้ ผมหางานจนแทบพลิกแผ่นดิน —” “ฉันรู้ค่ะ —” “และไม่ ไ ด้ อ ะไรติ ด มื อ มา แม้ แ ต่ อ ย่ า งเดี ย ว ผมหมายถึ ง ไม่ มี เ ลย อ้ อ มีอยู่สองสามงานที่ท่าเรือ กับงานก่อสร้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ห้างสรรพสินค้านอกเมือง ใกล้กับสนามบิน แต่คุณนึกภาพผมทำงานแบบนั้นออกไหมล่ะ น้ำหนักตัวผม K I N G
ส ตี เ ว น คิ ง
F i n d e r s K e e p e r s ใ ค ร ดี ใ ค ร ไ ด้
14
เกินมาตรฐานอยู่สามสิบปอนด์ และไม่ได้ดูแลตัวเองมานานถึงยี่สิบปี ผมอาจ หาอะไรทำได้ในย่านดาวน์ทาวน์ช่วงฤดูร้อน อาจเป็นงานเสมียน ถ้าสถานการณ์ ดีขึ้นบ้างสักนิดละก็...แต่งานประเภทนั้นเป็นงานที่ให้ค่าตอบแทนต่ำ หนำซ้ำยัง อาจเป็นแค่งานชั่วคราวด้วย เพราะอย่างนี้ทอดด์กับผมจึงตัดสินใจว่าจะไปที่ ศูนย์ประชุมตั้งแต่เที่ยงคืน และเข้าแถวรอจนกว่าประตูจะเปิดพรุ่งนี้เช้า ผม สัญญาว่าจะกลับมาพร้อมกับงานที่ให้ค่าตอบแทนที่เหมาะสม” “และอาจมีเชื้อโรคที่จะแพร่ใส่เราทุกคนเป็นของแถมด้วย จากนั้นเราก็ต้อง ลดค่าใช้จ่ายในส่วนของของกินของใช้เพื่อเอาเงินไปจ่ายค่าหมอ” ตอนนั้นเองที่ทอมโกรธเธอขึ้นมาจริง ๆ “ผมอยากได้แรงสนับสนุนเล็ก ๆ น้อย ๆ นะ” “ทอม เห็นแก่พระเจ้าเถอะ ฉัน พยายาม ที่จะ —” “หรือแม้แต่คำพูดให้กำลังใจบ้างก็ยงั ดี ‘สูไ้ ม่ถอยจริง ๆ เลย ทอม พวกเรา ดีใจที่คุณอุตส่าห์ถ่อไปตั้งไกลเพื่อครอบครัวของเรา ทอม’ อะไรแบบนั้น ถ้าผม ไม่ได้ขอมากเกินไปละก็” “ที่ฉันกำลังบอกคือ —” แต่ประตูห้องครัวเปิดผลัวะและปิดปังก่อนที่เธอจะพูดจบ ทอมออกไป หลังบ้านเพือ่ สูบบุหรี ่ คราวนีเ้ มือ่ พีทเงยหน้ามอง เขาเห็นความกลัดกลุม้ และความ วิตกกังวลบนใบหน้าของน้องสาว ที่สุดแล้วทีน่าก็เป็นแค่เด็กแปดขวบ พีทยิ้ม และขยิบตาให้ เด็กหญิงส่งยิ้มงง ๆ ตอบ ก่อนจะหันกลับไปสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นใน อาณาจักรใต้น้ำบิกินี่บ็อททอมต่อ ที่นั่นพวกพ่อ ๆ ไม่ตกงานหรือขึ้นเสียงใส่คนอื่น และเด็ก ๆ ไม่ถูกยึดค่าขนม ยกเว้นจะเป็นเด็กไม่ดี แน่ละ ก่อนออกจากบ้านคืนนัน้ ทอมอุม้ ลูกสาวไปทีเ่ ตียงนอนและจูบราตรีสวัสดิเ์ ด็กหญิง เขาแถมจูบหนึ่งฟอดให้มิสซิสบีสลีย์ ตุ๊กตาตัวโปรดของทีน่าด้วย เป็นการเอาฤกษ์ เอาชัย ทอมบอกลูกสาว “พ่อคะ ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยใช่ไหมคะ” “แน่อยูแ่ ล้ว ลูกรัก” ทอมว่า ทีนา่ จำสิง่ นีไ้ ด้ ความมัน่ ใจในน้ำเสียงของพ่อ แบบนี้ “ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย ทีนี้นอนได้แล้วนะ” ทอมเดินออกจากห้อง เดินอย่างคนปกติ ทีน่าจำสิ่งนี้ได้เช่นกัน เพราะหลังจากนี้เธอจะไม่ได้เห็นพ่อเดิน แบบนี้อีก
S T E P H E N
เมื่อขึ้นมาถึงยอดถนนลาดชันที่แยกจากถนนมาร์ลโบโรห์และนำเข้าสู่ลานจอดรถ ของศูนย์ประชุม จู ่ ๆ ทอมโพล่งขึ้น “ว้าว เดี๋ยวก่อน จอดก่อน!” “เฮ่ย มีรถตามมาข้างหลังนะ” ทอดด์บอกเพื่อน “แป๊บเดียว” ทอมยกโทรศัพท์ขึ้นและถ่ายรูปคนที่กำลังยืนเข้าแถว ตอนนี้ น่าจะมีสกั ร้อยคนเข้าไปแล้ว และนัน่ คืออย่างน้อย เหนือประตูทางเข้าศูนย์ประชุม มีปา้ ยเขียนว่า รบั ประกันงาน ๑,๐๐๐ อัตรา! และ “เรายืนหยัดเคียงข้างประชาชน!” นายกเทศมนตรี แรล์ฟ คินส์เลอร์ ด้านหลังรถซูบารุสนิมเกรอะรุน่ ปี ๐๔ ของทอดด์ เพน ใครสักคนบีบแตร “ทอมมี่ ฉันไม่อยากทำลายบรรยากาศตอนที่นายกำลังบันทึกภาพความ ทรงจำของโอกาสที่แสนวิเศษนี้ไว้หรอกนะ แต่ว่า —” “ไป ๆ ฉันถ่ายเสร็จแล้ว” และพูดต่อระหว่างทีท่ อดด์ขบั รถเข้าไปในลานจอด ซึ่งที่จอดส่วนที่อยู่ใกล้อาคารที่สุดมีรถจอดเต็มแล้ว “ฉันอยากเอารูปกลับไปให้ ลินดาดูใจจะขาด นายรู้ไหมเธอพูดว่ายังไง เธอว่า ต่อให้เรามาถึงที่นี่ตอนหกโมง เช้าก็ยังจะได้เป็นคนแรกสุดในแถวอยู่ดี” “บอกแล้วไง เพื่อนยาก ทอดด์สเตอร์ไม่เคยโกหก” ทอดด์สเตอร์จอดรถ เครือ่ งยนต์รถซูบารุดบั ลงพร้อมส่งเสียงดังปุดและเสียงวีด้ ออกมา “กว่าพระอาทิตย์ 15 จะขึน้ คงต้องมีสกั สองพันคน รวมทัง้ พวกทีวดี ว้ ย มากันครบทุกสถานี ซิตแี อตซิกซ์ มอร์นิ่งรีพอร์ต เมโทรสแกน เราอาจถูกสัมภาษณ์ก็ได้นะ” “ฉันขอมุ่งมั่นกับการหางานดีกว่า” แต่ลินดาพูดถูกอย่างหนึ่ง คืนนี้อากาศชื้นจนได้กลิ่นทะเลสาบปะปนอยู่ใน อากาศ กลิ่นอับ ๆ จาง ๆ นั้น นอกจากนั้นยังหนาวจนเขาแทบมองเห็นลมหายใจ ตัวเอง เสาขึงเทปกั้นสีเหลืองที่มีข้อความ ห้ามผ่าน ถูกนำมาตั้ง ทำให้แถวของคน หางานทบไปทบมาเหมือนบานพับในหีบเพลงมนุษย์ ทอมกับทอดด์เข้าไปจับจอง พื้นที่ระหว่างเสาต้นท้าย ๆ และมีคนอื่นเข้ามายืนต่อทั้งคู่ทันที ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย บางคนใส่แจ็กเก็ตทำงานขนแกะตัวหนา บ้างใส่โอเวอร์โค้ตตัวยาวแบบนักธุรกิจ และตัดผมทรงนักธุรกิจซึ่งเริ่มจะเสียทรง ทอมเดาว่าแถวคงยืดออกไปจนถึง สุดลานจอดรถก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น และนั่นคือก่อนประตูเปิดถึงสี่ชั่วโมง สายตาของทอมไปสะดุดผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีทารกน้อยห้อยอยู่ทางด้านหน้า ทั้งคู่อยู่ถัดไปสองสามแถว ทอมนึกสงสัยว่าเราต้องอับจนหนทางแค่ไหนจึงจะ หอบหิ้ ว เด็ ก แบเบาะออกมาข้ า งนอกในคื น ที่ อ ากาศหนาวและชื้ น เหมื อ นคื น นี้ เด็กน้อยถูกจับใส่ไว้ในเป้เด็ก แม่ของแกกำลังคุยกับชายร่างใหญ่คนหนึ่งที่สะพาย ถุงนอนบนหัวไหล่ หนูนอ้ ยหันมองทัง้ คูส่ ลับกันไปมา ดูคล้ายแฟนเทนนิสทีต่ วั เล็ก K I N G
ส ตี เ ว น คิ ง
F i n d e r s K e e p e r s ใ ค ร ดี ใ ค ร ไ ด้
16
ที่สุดในโลก ซึ่งเป็นภาพที่ค่อนข้างน่าขัน “อยากได้อะไรอุ่น ๆ หน่อยไหม ทอมมี่” ทอดด์หยิบขวดวิสกี้ยี่ห้อเบลล์ ขนาดหนึ่งไพนต์จากในเป้และกำลังยื่นให้เขา ทอมเกือบปฏิเสธอยู่แล้ว แต่แล้วนึกถึงคำพูดของลินดาก่อนเขาออกมา อย่ากลับบ้านพร้อมกับกลิ่นเหล้าหึ่งล่ะ มิสเตอร์ และยื่นมือไปรับขวด อากาศ ข้างนอกหนาวขนาดนี ้ ซดเหล้าอึกเล็ก ๆ ไม่น่ามีปญ ั หา เขารูส้ ึกได้ว่าวิสกี้ไหลลงไป ส่งผลให้ลำคอและในท้องร้อนผ่าว ล้างปากเสียด้วยก่อนเดินเข้าบู๊ธรับสมัครงาน ทอมเตือนตัวเอง ผู้ชายที่มี กลิ่นวิสกี้ไม่มีทางได้งานทำแน่ ไม่ว่างานอะไร เมื่อทอดด์ยื่นขวดเหล้าให้เขาจิบอีก ตอนนั้นเวลาประมาณตีสอง ทอม ปฏิเสธ แต่เมื่อทอดด์เสนออีกตอนตีสาม คราวนี้ทอมยื่นมือไปรับขวด เขาดู ระดับเหล้าที่เหลืออยู่ในขวด และเดาว่าทอดด์สเตอร์สร้างภูมิคุ้นกันต้านภัยหนาว ให้กับตัวเองไว้ค่อนข้างมากทีเดียว เอ่ อ เอาไงก็ เ อา ทอมคิ ด และยกดื่ ม มากกว่ า หนึ่ ง จิ บ เล็ ก ๆ คราวนี้ เป็นหนึ่งอึกโต “ต้องอย่างนี้สิ” ทอดด์ว่า เสียงพูดอ้อแอ้เล็กน้อย “ซดเข้าไป อย่าไปยั้ง” นักล่างานยังคงทยอยกันมาถึงอย่างต่อเนื่อง รถของพวกเขาวิ่งขึ้นมาจาก ถนนมาร์ลโบโรห์และลุยฝ่าหมอกหนาเข้ามา ตอนนี้แถวยาวเลยเสาออกไปมาก แล้ว และไม่หักทบเป็นรูปฟันปลาอีกต่อไป ก่อนหน้านี้ทอมเชื่อว่าเขาเข้าใจปัญหา เศรษฐกิจที่รุมเร้าประเทศในขณะนี้ดี เพราะเขาเองยังตกงานไม่ใช่หรือ งานที่ดี มาก ๆ เสียด้วย อย่างไรก็ตาม ระหว่างทีร่ ถราวิง่ ขึน้ มาเรือ่ ย ๆ และแถวยาวออกไป อีกเรื่อย ๆ (เขามองไม่เห็นแล้วว่าหางแถวอยู่ตรงไหน) เขาเริ่มได้มุมมองใหม่ ทีช่ วนให้ขวัญหนีดฝี อ่ เกีย่ วกับเรือ่ งนี ้ บางทีคำว่า ปญ ั หา อาจไม่ใช่คำทีถ่ กู ต้อง บางที คำที่ถูกต้องอาจเป็นคำว่า หายนะภัย ทางขวามือของเขา ภายในเขาวงกตที่ถูกกั้นไว้ด้วยเสาและเทปซึ่งนำไปสู่ ประตูทางเข้าหอประชุมมืด ๆ ทารกน้อยเริ่มส่งเสียงร้อง ทอมเหลียวมองรอบ ๆ และเห็นผู้ชายคนที่สะพายถุงนอนช่วยจับด้านข้างของเป้เด็กไว้ เพื่อให้ผู้หญิง คนนั้น (พระเจ้า ทอมคิด เธอเหมือนอายุยังไม่เข้าเลขสองด้วยซ้ำไป) ดึงตัว เด็กน้อยออกมา “อะไรกันวะ” ทอดด์ถามขึ้น เสียงพูดอ้อแอ้หนักกว่าเดิม “เด็ ก ” ทอมตอบกลั บ ไป “ผู้ ห ญิ ง กั บ เด็ ก คนหนึ่ ง เด็ ก ผู้ ห ญิ ง กั บ เด็ ก คนหนึ่ง”
S T E P H E N
ทอดด์เพ่งมอง “คุณพระคุณเจ้า” เขาครวญ “ฉันว่าแบบนั้นมันระ... อ๊าย...เข้าใจมะ ไม่มีความรับผิดชอบเลยน่ะ” “นายเมาหรือนี่” ลินดาไม่ชอบทอดด์ เธอมองไม่เห็นความดีงามใด ๆ ในตัวชายคนนี้ และตอนนี้ทอมไม่แน่ใจเช่นกันว่าเขามองเห็น “นิโหน่ย กว่าประตูจะเปิดฉันก็สร่างแล้ว ฉันพกลูกอมระงับกลิ่นปาก รสมินต์มาด้วย” ทอมคิดจะถามทอดด์สเตอร์ว่าเขาพกยาวิซีนสำหรับหยอดแก้ตาแดงมาด้วย หรือไม่ เพราะตอนนี้ตาของทอดด์แดงก่ำ อย่างไรก็ตาม สุดท้ายทอมตัดสินใจว่า ตอนนี้เขายังไม่อยากคุยเรื่องนั้น เขาหันกลับไปสนใจจุดที่ผู้หญิงกับทารกน้อย ที่กำลังร้องไห้ยืนอยู่ ทีแรกเขาคิดว่าทั้งคู่เดินออกจากแถวไปแล้ว แต่หลังจากนั้น เขามองต่ำลงไป และเห็นเธอกำลังมุดเข้าไปในถุงนอนของผู้ชายร่างใหญ่โดย อุ้มทารกน้อยไว้แนบอก ผู้ชายร่างใหญ่จับปากถุงนอนอ้าไว้ให้ เด็กน้อยยังคง แหกปากร้องจนคอแทบระเบิด “ทำให้เด็กนั่นหุบปากไม่ได้หรือไง” ชายคนหนึ่งตะโกนถาม “น่าจะมีใครแจ้งสังคมสงเคราะห์นะ” ผู้หญิงคนหนึ่งเสริม ทอมนึกถึงทีนา่ ตอนอายุเท่ากัน นึกภาพยายหนูออกมาอยูข่ า้ งนอกตอนเช้ามืด 17 ที่อากาศหนาวและมีหมอกลงจัด และต้องข่มใจไม่ให้ตะโกนบอกชายหญิงคู่นั้น ให้หุบปากซะ...หรือดีกว่านั้น ยื่นมือเข้าไปช่วยอะไรสักอย่าง ที่สุดแล้วทุกคน ก็ร่วมชะตากรรมเดียวกันไม่ใช่หรือ กลุ่มคนอับโชคที่ชีวิตพังพินาศทั้งหมดนี้ เสียงร้องไห้เบาลง และเงียบไปในที่สุด “หล่อนคงให้นมอยู่มั้ง” ทอดด์แสดงความเห็น เขาบีบหน้าอกเพื่อแสดง ท่าประกอบ “ใช่แหละ” “ทอมมี่” “อะไร” “นายรู้ใช่ไหมว่าเอลเลนตกงาน” “พระเจ้า ไม่ ฉัน ไม่ รูเ้ รือ่ งนัน้ เลย” เขาแกล้งทำไม่เห็นความกลัวบนใบหน้า ของทอดด์ หรือประกายฉ่ำชื้นแวววาวที่ปรากฏในดวงตา อาจเป็นเพราะเหล้า หรือความหนาว หรืออาจไม่ใช่ทั้งสองอย่าง “ทางนั้นบอกว่าจะเรียกเธอกลับไปเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น แต่พวกเขาก็บอก ฉันแบบนั้น และฉันตกงานมาครึ่งปีแล้ว ฉันต้องถอนเงินประกันออกมาใช้ และ ตอนนี้ก็หมดไปแล้วด้วย นายรู้ไหมว่าเรามีเงินเหลืออยู่ในธนาคารเท่าไหร่ ห้าร้อย K I N G
ส ตี เ ว น คิ ง
F i n d e r s K e e p e r s ใ ค ร ดี ใ ค ร ไ ด้
18
ดอลลาร์ แล้วรู้ไหมว่าเงินห้าร้อยดอลลาร์จะอยู่ได้นานแค่ไหน ในเวลาที่ขนมปัง ร้านโครเกอร์ราคาแถวละหนึ่งเหรียญ” “ไม่นานเท่าไหร่” “ถูกเผงเลยโว้ย ไม่นานเลย เพราะฉะนั้นฉันต้องได้งานกลับไป ต้อง ได้ ” “นายจะได้ เราสองคนจะได้” ทอดด์พยักพเยิดไปทางชายร่างใหญ่ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนกำลังยืนเฝ้าถุงนอน ไม่ให้ใครเผลอเดินเหยียบผู้หญิงกับทารกน้อยที่อยู่ข้างใน “นายว่าสองคนนั้น แต่งงานกันหรือเปล่า” ทอมไม่เคยคิดเรื่องนี้ แต่ตอนนี้กำลังเริ่มคิด “อาจจะ” “ถ้าอย่างนั้นก็คงตกงานทั้งคู่ ไม่อย่างนั้นคนใดคนหนึ่งคงอยู่บ้านกับเด็ก” “ไม่แน่นะ” ทอมแสดงความเห็น “พวกเขาอาจคิดว่าการอุ้มเด็กมาด้วย จะช่วยเพิ่มโอกาส” ทอดด์กระฉับกระเฉงขึ้นมาทันที “เปิดการ์ดน่าสงสาร! เป็นความคิดที่ ไม่เลว!” เขายื่นขวดเหล้าให้ทอม “สักจิบไหม” ทอมจิบเข้าไปอึกเล็ก ๆ พร้อมกับคิดในใจ ถ้าฉันไม่ดื่ม ทอดด์จะดื่ม ทอมตื่นขึ้นมาหลังจากหลับไปด้วยฤทธิ์เหล้า เพราะได้ยินเสียงตะโกนอย่างตื่นเต้น “พบสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงอื่น!” คำสัพยอกนี้ตามมาด้วยเสียงหัวเราะชอบใจ และเสียงปรบมือ เขาหันไปมองรอบ ๆ และเห็นแสงอาทิตย์เผยตัวออกมาแล้ว แม้ว่าจะเพียง บางเบา หนำซ้ำยังถูกบดบังด้วยม่านหมอก แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ยังนับได้ว่าเป็น แสงอาทิตย์ เลยประตูศูนย์ประชุมเข้าไป ชายคนหนึ่งสวมเครื่องแบบสีเทา... ชายที่ยังคงมีงานทำ ผู้โชคดี กำลังดันถังที่ถูพื้นไปตามพื้นล็อบบี้ “มีอะไร” ทอดด์ถามขึ้น “ไม่มีอะไร” ทอมบอกเพื่อน “แค่ภารโรงคนหนึ่ง” ทอดด์เพ่งมองไปทางถนนมาร์ลโบโรห์ “พระเจ้า ยังมากันไม่หยุดเลย เว้ยเฮ้ย” “ใช่” ทอมตอบกลับไป ในใจคิดว่า ถ้าฉันฟังลินดา ป่านนี้เราคงได้อยู่ ท้ายแถวซึ่งยืดยาวออกไปไกลมาก อีกครึ่งทางก็จะถึงคลีฟแลนด์แล้ว ความคิดนี้ ถือเป็นสิ่งที่ดี การได้ระบายนิด ๆ หน่อย ๆ เป็นสิ่งที่ดีเสมอ แต่เขาหวังให้ตัวเอง ปฏิเสธตอนที่ทอดด์ยื่นขวดเหล้าให้ เพราะตอนนี้ในปากของเขามีรสชาติเหมือน อึแมว ใช่ว่าเขาจะเคย กิน มันหรอกนะ แต่ว่า...
S T E P H E N
ใครสักคนที่อยู่เลยไปสองสามโค้ง ไม่ไกลจากถุงนอนของทารกน้อยคนนั้น เอ่ยปากถามขึ้น “นั่นรถเบนซ์หรือเปล่า ดูเหมือนจะเป็นรถเบนซ์นะ” ทอมเห็นรูปทรงยาว ๆ ของรถตรงปากทางลาดชันที่ทอดขึ้นมาจากถนน มาร์ลโบโรห์ ไฟตัดหมอกสีเหลืองส่องสว่าง แต่รถไม่ขยับ มันแค่จอดนิ่งอยู่ ตรงนั้น “ไอ้เวรนั่นคิดว่าตัวเองทำอะไรอยู่” ทอดด์ถามขึ้น คนขับรถที่อยู่ต่อจากรถคันดังกล่าวคงสงสัยอย่างเดียวกัน เพราะเขาบีบ แตร เป็นเสียงแผดดังลั่นยืดยาวอย่างฉุนเฉียวที่ทำให้ผู้คนตื่นตัว พ่นลมแรง ๆ ทางจมูก และหันไปมอง เป็นเวลาครู่หนึ่งที่รถที่มีไฟตัดหมอกสีเหลืองคันนั้น หยุดนิ่งอยู่กับที ่ จากนั้นมันก็พุ่งมาข้างหน้า ไม่ใช่หักเลี้ยวไปทางด้านซ้ายตรงเข้าสู่ ลานจอดรถที่ตอนนี้มีรถจอดเต็มจนล้น แต่ตรงเข้ามาหากลุ่มคนที่ถูกล้อมไว้ใน เขาวงกตของเทปกั้นและเสาขึงเทป “เฮ้ย!” ใครคนหนึ่งตะโกนออกไป ผู้คนพร้อมใจกันถอยหลังกรูดราวกับลูกคลื่น ทอมถูกดันไปชนทอดด์ซึ่ง ล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น ทอมพยายามขืนเพื่อหาวิธีทรงตัว และเกือบจะหาเจอ อยูแ่ ล้ว แต่ผชู้ ายทีอ่ ยูข่ า้ งหน้าเขาตะโกนลัน่ ...ไม่ส ิ กรีดร้องลัน่ พร้อมกับถอยเอา 19 บั้นท้ายพุ่งเข้ามาชนหว่างขาของเขา และเหวี่ยงศอกข้างหนึ่งป่ายปะเข้าที่หน้าอก ทอมล้มลงไปทับเพื่อนเกลอทันที เขาได้ยินเสียงขวดวิสกี้เบลล์แตกระหว่างร่าง ของเขากับเพื่อน และได้กลิ่นฉุนกึกของวิสกี้ที่เหลืออยู่ในขวดขณะที่มันไหลไป ตามพื้นทางเท้า เยี่ยม ทีนี้ตัวฉันก็ส่งกลิ่นเหมือนร้านเหล้าคืนวันเสาร์ ทอมตะเกียกตะกายลุกขึน้ มายืนทันเวลาทีจ่ ะได้เห็นรถคันนัน้ ...รถเมอร์เซเดส ใช่แล้ว รถเก๋งสี่ประตูคันใหญ่ที่มีสีเทาทะมึนเช่นเดียวกับเช้าวันนี้ที่มีหมอกลงจัด เขาเห็นมันพุ่งเข้าใส่กลุ่มคน ร่างของผู้คนถูกชนกระเด็นออกจากเส้นทางของมัน เมื่อมันพุ่งเข้าใส่เป็นวิถีโค้งและส่ายไปมา เลือดหยดจากกระจังหน้ารถ ผู้หญิง คนหนึง่ ไถลและกลิง้ ขึน้ ไปบนฝากระโปรงหน้า มือทัง้ สองกางออก รองเท้าหลุดหาย เธอตบกระจกรถ ยื่นมือออกไปเพื่อจะคว้าที่ปัดน้ำฝนก้านหนึ่ง แต่ก็พลาด และ ร่วงลงไปด้านข้างของตัวรถ เทปสีเหลืองพร้อมข้อความ ห้ามผ่าน ขาดผึง เสา ขึงเทปกระแทกตัวถังด้านข้างของรถเก๋งคันใหญ่นั้น แต่ไม่ทำให้มันลดความเร็ว ลงแม้แต่นิดเดียว ทอมเห็นล้อคู่หน้าของรถวิ่งทับถุงนอนและชายร่างใหญ่ซึ่งทิ้งตัว ลงไปหมอบเพื่อป้องกันสองแม่ลูกพร้อมกับยกมือข้างหนึ่งขึ้นมากั้น และตอนนี้รถคันนั้นกำลังวิ่งเข้ามาหาเขา K I N G
ส ตี เ ว น คิ ง
F i n d e r s K e e p e r s ใ ค ร ดี ใ ค ร ไ ด้
20
“ทอดด์!” ทอมตะโกนสุดเสียง “ทอดด์ ลุกขึ้น !” เขาคว้ามือทั้งสองของทอดด์ แต่ได้มาข้างเดียว และออกแรงดึง ใคร คนหนึ่งเซมาชนเขา และเขาร่วงลงไปอยู่ในท่าคุกเข่าอีก เขาได้ยินเสียงเครื่องยนต์ รถที่เกรี้ยวกราดและทำงานเต็มกำลัง ตอนนี้มันอยู่ใกล้มาก เขาพยายามคลาน เท้าข้างหนึ่งถีบเข้ามาที่ขมับเต็มรัก ทอมเห็นดาวทันที “ทอม” ตอนนี้ทอดด์อยู่ข้างหลังเขาแล้ว เป็นไปได้อย่างไร “ทอม แม่ง เกิด บ้า อะไรขึ้นวะเนี่ย” ร่างของใครคนหนึ่งร่วงลงมาทับบนตัวเขา จากนั้นก็มีอย่างอื่นทับลงมาบน ตัวเขาด้วย น้ำหนักมหาศาลที่กดทับลงมา และข่มขู่คุกคามที่จะทำให้เขาเละเป็น เยลลี่ สะโพกของเขาหักดังเป๊าะ เสียงเหมือนเวลาเราหักกระดูกไก่งวงแห้ง ๆ จากนั้นน้ำหนักดังกล่าวก็หายไป และความเจ็บปวดซึ่งมีน้ำหนักของตัวมันเองพุ่ง เข้ามาแทนที่ ทอมพยายามเงยหน้ า และประสบความสำเร็ จ ในการยกศี ร ษะขึ้ น จาก พื้นถนนเป็นเวลานานพอที่จะเห็นไฟท้ายรถค่อย ๆ เลือนหายเข้าไปในกลุ่มหมอก เขาเห็นเศษแก้วจากขวดเหล้าที่แตกละเอียดล้อแสงวิบวับ เห็นทอดด์นอนหงาย แขนขากางออก เลือดไหลจากศีรษะและกองเป็นแอ่งอยู่กับพื้น รอยล้อรถสีแดง ฉานวิ่งไปสู่ม่านหมอกสลัว ทอมคิดในใจ ลินดาพูดถูก ฉันน่าจะอยู่บ้าน เขาคิดขึ้นมาอีก ฉันกำลังจะตาย และนั่นอาจเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว เพราะฉันไม่เหมือนทอดด์ เพน ฉันจะไม่มีวันเบิกเงินประกันมาใช้จ่ายเด็ดขาด เขาคิดต่อไป แต่ฉันอาจจะทำก็ได้ ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น จากนั้นทุกอย่างก็มืดสนิท เมื่อทอม ซาวเบอร์ส ตื่นขึ้นมาที่โรงพยาบาลในอีกสี่สิบแปดชั่วโมงให้หลัง ลินดา นั่งอยู่ข้างเขา เธอกุมมือข้างหนึ่งของเขาไว้ เขาถามเธอว่าเขาจะรอดไหม เธอยิ้ม บีบมือเขา และตอบกลับไป แน่อยู่แล้ว ที่รัก “ผมเป็นอัมพาตหรือเปล่า บอกมาตามตรง” “ไม่ค่ะ ที่รัก แต่กระดูกคุณหักหลายที่” “ทอดด์ล่ะ” เธอเบือนหน้าหนีพร้อมกับกัดริมฝีปาก “เขาอยู่ในอาการโคม่า แต่หมอ คิดว่าในที่สุดเขาจะผ่านมันมาได้ หมอดูจากคลื่นสมองของเขาหรืออะไรสักอย่าง” “มีรถคันหนึ่งอยู่ที่นั่น ผมหลบมันไม่พ้น”
S T E P H E N K I N G
“ฉันรู้ค่ะ และไม่ใช่คุณคนเดียวที่โดน คนบ้าค่ะ และเขาหนีรอดไปได้ อย่างน้อยก็จนถึงตอนนี้” ทอมแทบไม่สนใจชายที่ขับรถเมอร์เซเดสเบนซ์คันนั้น เป็นเรื่องดีที่เขา ไม่ถึงกับเป็นอัมพาต แต่ว่า... “อาการผมหนักแค่ไหน อย่าโกหกนะ พูดมาตามตรง” เธอสบตาเขา แต่มองได้ไม่นาน เธอหันไปดูการ์ดอวยพรบนโต๊ะข้างเตียง ของเขาอีกครั้งและตอบกลับไป “คุณ...เอ่อ คงต้องใช้เวลาสักพักกว่าคุณจะเดิน ได้อีก” “นานแค่ไหน” เธอจับมือเขาขึ้นมา มีบาดแผลเหวอะหวะเต็มไปหมด จากนั้นเธอจูบมัน “หมอบอกไม่ได้ค่ะ” ทอม ซาวเบอร์ส หลับตาและเริ่มร้องไห้ ลินดานิ่งฟังครู่หนึ่ง และเมื่อ ทนต่อไปอีกไม่ไหว เธอจึงชะโงกไปข้างหน้าและเริ่มกดปุ่มเครื่องให้มอร์ฟีน เธอ ทำต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเครื่องหยุดจ่ายยา กว่าจะถึงตอนนั้นเขาก็หลับไปแล้ว
21 ส ตี เ ว น คิ ง