เ รื่ อ ง เ ล่ า จ า ก คริ ส เตี ย น เกรย์
วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน 2011
ผมนั่งเฝ้ารอ หัวใจเต้นตุบ ๆ 17.36 น.แล้ว ผมมองผ่านหน้าต่างสีเข้มของรถออดี้ออกไป ที่ประตูหน้าของตึกที่เธออยู ่ ผมรู้ว่ามาเร็วเกินไป แต่นี่คือเวลาที่ผมรอมาทั้งวันแล้ว ผมจะต้องได้เห็นเธอ ผมขยับตัวไปมาอยู่บนเบาะหลังของรถ บรรยากาศชวนให้หายใจไม่ออกเลย และถึงจะพยายามสงบจิตสงบใจเท่าไหร่ ความคาดหวังและกังวลก็บิดเกลียวอยู่ในท้อง และทิ้งน้ำหนักลงมาบนหน้าอกของผม เทย์เลอร์นั่งอยู่ที่เบาะคนขับ มองตรงไปข้างหน้า และไม่พูดอะไรสักคำ ดูจะสงบนิ่งได้อย่างเคย ในขณะที่ผมแทบจะหายใจไม่ออกด้วยซ้ำ น่าโมโหจริง ๆ แม่ง เธออยู่ไหนวะ เธออยู่ในนั้น ในสำนักพิมพ์ซีแอตเทิลอินดิเพนเดนต์พับลิชชิ่ง หรือที่เรียกกันว่า เอสไอพี ตึกนั้นเก่าโทรมและต้องการการซ่อมแซม มันตั้งอยู่หลังทางเดินที่กว้างขวาง ชื่อสำนักพิมพ์สลักไว้บนกระจกอย่างชุ่ย ๆ และกระจกส่วนที่ทำให้เป็นฝ้าก็หลุดลุ่ยออกมา ธุรกิจที่ดำเนินการอยู่หลังประตูที่ปิดอยู่นั้นอาจเป็นบริษัทประกันหรือบริษัทรับทำบัญชี ก็ได้ เพราะไม่มีอะไรที่บ่งบอกเลย นั่นเป็นสิ่งที่ผมสามารถแก้ไขได้เมื่อผมเข้ามาควบคุม ที่นี่แล้ว ตอนนี้เอสไอพีเป็นของผมเกือบจะสมบูรณ์ ผมเซ็นสัญญาเรียบร้อย เทย์ เ ลอร์ ก ระแอมและเหลื อ บตามาสบกั บ ผมทางกระจกมองหลั ง “ผมจะรอ 2
ข้างนอกนะครับ” คำพูดของเขาทำให้ผมประหลาดใจ ก่อนที่เจ้าตัวจะออกจากรถไปอย่าง รวดเร็วจนผมห้ามไม่ทัน บางทีความตึงเครียดของผมอาจส่งผลกับเขามากกว่าทีผ่ มคิด นีผ่ มดูงา่ ยขนาดนัน้ เลยหรือไง บางที เขาเอง ก็อาจจะเครียดเหมือนกัน แต่ทำไมล่ะ นอกเหนือจากข้อที่ว่า เขาต้องคอยรับมือกับอารมณ์ที่เปลี่ยนตลอดเวลาของเขาในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาน่ะนะ ผมรู้ดีว่าตัวเองเยอะแค่ไหน แต่วันนี้ไม่เหมือนกัน หวังว่านะ นี่เป็นวันที่ค่อนข้างมีประโยชน์วันแรกตั้งแต่เธอ ทิ้งผมไป หรืออย่างน้อยผมก็รู้สึกอย่างนั้น ผมมองโลกในแง่บวกและกระตือรือร้นตลอด การประชุม ที่แย่อย่างเดียวคือผมต้องการดูเวลาอยู่ตลอด อีกสิบชั่วโมงผมจะเจอเธอ เก้า แปด เจ็ด...นาฬิกาคอยทดสอบความอดทนของผมอยู่ ขณะที่มันเดินติ๊ก ๆ เข้าใกล้ เวลาที่ผมจะได้เจอกับมิสแอนัสเตเชีย สตีล เข้ามาเรื่อย ๆ ตอนนี้ขณะที่ผมนั่งอยู่ตรงนี้ ตามลำพัง เฝ้ารอ ความมุ่งมั่นและมั่นใจที่ผมมีมา ตลอดทั้งวันก็เกิดหายไปจนหมด บางทีเธออาจจะเปลี่ยนใจ นี่ คื อ การกลั บ มาพบกั น อี ก ครั้ ง ใช่ ไ หม หรื อ ผมแค่ นั่ ง รถมาพอร์ ต แลนด์ แ บบ เปล่า ๆ ปลี้ ๆ ผมมองนาฬิกาอีกครั้ง 17.38 น. แม่งเอ๊ย ทำไมเวลามันช้าจังวะ ผมคิดหนักว่าจะอีเมลไปบอกเธอว่าผมมารออยู่ข้างนอกแล้วดีหรือไม่ แต่ขณะที่ ควานหาโทรศัพท์ ผมก็คิดได้ว่าผมไม่ต้องการละสายตาไปจากประตู ผมเอนหลังพิงเบาะ ในใจนึกทวนอีเมลล่าสุดของเธอ ผมจำได้ขึ้นใจ ทุกฉบับเป็นมิตรและกระชับ แต่ไม่มี ร่องรอยใด ๆ เลยที่บอกใบ้ว่าเธอคิดถึงผม บางที ผม อาจเป็นแค่บันไดให้เธอไต่ ผมไล่ความคิดนั้นทิ้งไปและจ้องประตูต่อ หวังให้เธอปรากฏตัวออกมา แอนัสเตเชีย สตีล ผมรออยู่นะ ประตูเปิดออก หัวใจผมโลดขึ้นอย่างรุนแรง แต่แล้วก็ห่อเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว ด้วยความผิดหวัง ไม่ใช่เธอ โคตรแย่ 3
เธอชอบปล่อยให้ผมรอ ยิ้มไร้อารมณ์แตะอยู่ท่รี ิมฝีปากของผม รอที่ร้านเคลย์ตัน ที่โรงแรมฮีทแมน หลังการถ่ายรูป และอีกครั้งก็ตอนที่ผมส่งหนังสือของธอมัส ฮาร์ดี้ ไปให้เธอ เทสส์... ผมสงสัยว่าเธอยังเก็บมันไว้หรือเปล่า เธออยากคืนผม เธออยากเอาไปบริจาค “ฉันไม่ต้องการอะไรก็ตามที่ทำให้นึกถึงคุณ” ภาพที่แอนาเดินจากไปผุดขึ้นมาในสมองของเขา ใบหน้าหม่นหมองเศร้าสร้อยนั้น เจ็บปวดและสับสน เป็นความทรงจำที่ไม่น่าจดจำ เจ็บปวด ผม ทำให้เธอรู้สึกแย่ มากเหลือเกิน ผมทำให้เรื่องมันบานปลายเร็วเกินไป และ มันทำให้ผมเสียใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น ความหมดหวังกลายเป็นของคุ้นเคยตั้งแต่เธอ จากไป ผมหลับตาและพยายามรวบรวมสติ แต่กลับต้องเผชิญกับความกลัวที่มืดมน และลึ ก ล้ ำ ที่ สุ ด นั่ น คื อ เธอได้ เ จอกั บ คนอื่ น ไปแล้ ว เธอได้ เ อาร่ า งกายแสนสวยกั บ เตียงเล็กสีขาวนั้นมอบให้กับคนแปลกหน้าทุเรศไปแล้ว แม่งเอ๊ย มองโลกแง่ดีหน่อย เกรย์ อย่าคิดไปแบบนั้น ทุกอย่างยังไม่ได้เสียหายไปซะทั้งหมด อีกไม่นานนายจะได้ เจอเธอ แผนของนายดำเนินมาอย่างดีแล้ว นายจะได้เธอกลับคืนมา ผมลืมตาและ จ้องมองประตูหน้าผ่านกระจกสีเข้มของออดี้ ตอนนี้มันสะท้อนอารมณ์ของผมได้เป็น อย่างดี มีคนออกมาจากตึกมากขึ้น แต่ยังคงไม่ใช่แอนา เธออยู่ไหนนะ เทย์เลอร์เดินไปเดินมาอยู่ข้างนอกและเหลือบไปมองประตูหน้าของตึก พระเจ้า ช่วย เขาเองก็ดูกังวลพอ ๆ กับผม เขาเป็นบ้าอะไรนะ นาฬิกาของผมบอกเวลา 17.53 น. อีกไม่นานเธอก็จะออกมาแล้ว ผมสูดหายใจ ลึกและดึงแขนเสื้อ จากนั้นก็พยายามจัดเน็คไท ก่อนที่จะรู้ตัวว่าผมไม่ได้สวมเน็คไท แม่งเหอะ ผมเสยผมและพยายามไล่ความสงสัยทุกสิ่งทุกอย่างออกไป แต่มันก็ยังคง รบกวนใจผมตลอด สำหรับเธอ ผมเป็นแค่บันไดหรือเปล่า เธอคิดถึงผมบ้างไหม เธอ ต้องการให้ผมกลับไปหรือเปล่า มีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวหรือเปล่า ผมไม่รู้เลย นี่มันแย่กว่า ตอนนั่งรอเธอที่มาร์เบิลบาร์อีก มันเป็นการเสียดสีที่ดีทีเดียว ผมคิดว่าตอนนั้นเป็นการ เจรจาครั้งสำคัญที่สุดที่ผมทำกับเธอแล้วนะ ผมขมวดคิ้ว นี่ไม่ใช่ที่ผมคิดไว้ กับมิส แอนัสเตเชีย สตีล แล้ว ไม่มีอะไรเป็นไปอย่างที่ผมคาดสักอย่าง ความตระหนกบิดตัว 4
แน่นในท้องผมอีกครั้ง วันนี้ผมต้องเจรจาครั้งสำคัญกว่า ผมต้องการเธอคืนมา เธอเคยบอกว่ารักผม... หัวใจของผมเต้นรัวเร็วขึ้นขณะที่อะดรีนาลินแล่นพล่าน ไม่ ไม่ อย่าคิดเรื่องนั้น เธอรู้สึกแบบนั้นกับผมไม่ได้ ใจเย็น ๆ เกรย์ ตั้งสติ ผมเหลือบไปมองทางข้าวของสำนักพิมพ์ซีแอตเทิลอินดิเพนเดนต์พับลิชชิ่ง และ เธออยู่ตรงนั้น กำลังเดินตรงมาหาผม เวร แอนา ความตกใจทำให้อากาศทุกอณูหายวับไปจากร่างกายผม เหมือนมีใครเตะเข้าที่ ลิ้นปี่ ใต้เสื้อคลุมสีดำนั้น เธอสวมเดรสตัวที่ผมชอบมากที่สุดตัวหนึ่ง ตัวสีม่วง คู่กับ บู๊ตส้นสูงสีดำ แสงแดดยามบ่ายแก่ ๆ ทำให้ผมของเธอวาววับ มันสะบัดพลิ้วล้อลมยามที่ เธอเดิน แต่ไม่ใช่เสื้อผ้าหรือผมของเธอหรอกที่จับความสนใจของผม หน้าเธอซีดเซียว จนเกือบจะโปร่งแสง ใต้ตามีรอยคล้ำ และเธอดูผอมลง ผอมลง ความเจ็บปวดและความรู้สึกผิดทิ่มแทงผม พระเจ้าช่วย เธอเองก็ทุกข์ไม่แพ้ผม ความกังวลเมื่อได้เห็นสภาพของเธอกลายเป็นความโกรธ ไม่ใช่สิ โกรธมากเลยละ เธอกินน้อยมาก เธอน้ำหนักหายไปสัก...ห้าหรือหกปอนด์ในช่วงสองสามวันที่ ผ่านมา เธอมองไปที่ผู้ชายสักคนด้านหลัง และเขายิ้มกว้างให้เธอ เขาเป็นไอ้หน้าหมาที่ โคตรดูดี มั่นใจในตัวเองอย่างมาก ไอ้ลูกหมาเอ๊ย การสื่อสารสบาย ๆ ระหว่างทั้งสอง มีแต่จะทำให้ผมยิ่งโกรธมากขึ้น เขามองเธอด้วยความพอใจอย่างชัดเจนระหว่างที่เธอ เดินมาที่รถผม ผมยิ่งโมโหขึ้นเรื่อย ๆ ทุกก้าวที่เธอเดินมา เทย์เลอร์เปิดประตูและยื่นมือช่วยตอนเธอก้าวขึ้นรถ แล้วเธอก็มานั่งอยู่ข้างผม “คุณกินมื้อสุดท้ายเมื่อไหร่” ผมพูดห้วน ๆ พยายามควบคุมอารมณ์ ตาสีฟ้าของ เธอเงยขึ้นมองผม กระชากหน้ากากของผมออก ดึงสิ่งปกปิดทุกอย่างจนผมเปิดเปลือย 5
ทิ้งให้ผมไร้สิ่งปรุงแต่งเหมือนอย่างตอนที่เราเจอกันครั้งแรก “หวัดดีค่ะ คริสเตียนคะ ดีใจที่ได้เจอคุณเหมือนกัน” เธอพูดอะไรกันวะ “ผมไม่ชอบที่คุณมาทำปากกล้าตอนนี้” ผมคำรามใส่เธอ “ตอบผมก่อน” เธอมองมือตัวเองที่วางอยู่บนตัก ผมเลยไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ แล้วเธอก็พูด อะไรสักอย่างเกี่ยวกับโยเกิร์ตและกล้วย นั่นไม่เรียกว่ากินนะ ผมพยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมอารมณ์ “คุณกินอาหารจริงจังครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่” ผมบี้ แต่เธอไม่สนใจและมองออกไป นอกหน้าต่าง เทย์เลอร์ขับออกจากขอบทาง และแอนาก็โบกมือให้ไอ้ทุเรศที่ตามเธอ ออกมาจากตึก “นั่นใคร” “เจ้านายฉันค่ะ” ถ้างั้นนั่นก็คือแจ็ค ไฮด์ ผมจำรายละเอียดพนักงานที่พลิก ๆ ดูเมื่อเช้าได้ มาจาก ดิทรอยต์ ได้ทุนเรียนที่พรินซ์ตัน ทำงานจนเติบโตที่สำนักพิมพ์แห่งหนึ่งในนิวยอร์ก แต่ ก็ย้ายงานทุกสองสามปีไปตามที่ต่าง ๆ ในประเทศ เขาใช้ผู้ช่วยเปลืองมาก แต่ละคนอยู่ ไม่เกินสามเดือน เขาเป็นคนที่ผมต้องจับตามอง และเวลช์จะเป็นคนสืบต่อให้ โฟกัสสิ่งที่อยู่ตรงหน้านะ เกรย์ “ว่าไง คุณกินมื้อสุดท้ายเมื่อไหร่” “คริสเตียน ไม่เกี่ยวกับคุณซะหน่อย” เธอกระซิบ ผมเหมือนตกจากที่สูง ผมเป็นบันไดของเธอจริง ๆ “ทุกอย่างทีค่ ณ ุ ทำเกีย่ วกับผมทัง้ นัน้ บอกมา” อย่าผลักไสผมเลยนะ แอนัสเตเชีย ได้โปรด เธอถอนใจอย่างหงุดหงิดและกลอกตาเพื่อยั่วโมโหผม และผมก็สังเกตเห็นที่ มุมปากเธอมีรอยยิ้มน้อย ๆ เธอพยายามกลั้นหัวเราะ พยายามไม่หัวเราะผม หลังจาก ความปวดร้าวทั้งหมดที่ผมต้องทนทุกข์ทรมาน นี่มันช่างสดชื่นจนสามารถทะลุเข้ามา ในความโมโหของผมได้ มันช่างมีความเป็นแอนามากเหลือเกิน ผมพบว่าตัวเองกำลัง เลียนแบบเธอ ผมพยายามซ่อนยิ้มด้วยเหมือนกัน “ว่าไงครับ” ผมถาม เสียงอ่อนลงเยอะ 6
“พาสต้าหอยลาย เมื่อวันศุกร์ที่แล้วค่ะ” เธอตอบเสียงแผ่ว พระเจ้าช่วยเถอะ ตั้งแต่มื้อสุดท้ายที่เรากินด้วยกัน เธอก็ไม่ได้กินอะไรอีกเลย! ผมอยากจับตัวเธอพาดตักเดี๋ยวนี้ ที่หลังรถเอสยูวีนี่ แต่ก็รู้ว่าผมจะแตะต้องเธอแบบนั้น อีกไม่ได้ ผมจะทำยังไงกับเธอดี เธอมองต่ำ จ้องมองมือตัวเอง ใบหน้าซีดเซียวและเศร้ากว่าก่อนหน้านี้อีก ผม ดื่มด่ำภาพของเธอ พยายามคิดให้ได้ว่าควรอะไรดี อารมณ์ที่ไม่ได้รับเชิญเบ่งบานอยู่ใน ใจของผม ขู่ว่าจะเขมือบผมทั้งเป็น ผมไม่สนใจมัน ผมจ้องเธอ และมันก็ชัดเจนว่า ความหวาดกลัวที่สุดของผมนั้นไม่มีอยู่จริง ผมรู้แล้วว่าเธอไม่ได้ไปเมาที่ไหนและเจอ คนอื่ น ดู เ ธอตอนนี้ สิ ผมรู้ ว่ า เธออยู่ ค นเดี ย วมาตลอดที่ ผ่ า นมา ซุ ก ตั ว อยู่ บ นเตี ย ง ร้องไห้เหมือนใจจะขาด ความจริงข้อนั้นทั้งช่วยปลอบประโลมและทำให้เศร้าไปพร้อม ๆ กัน ผมต้องรับผิดชอบในความทุกข์ของเธอ ผมเอง ผมคือปีศาจ ผมทำร้ายเธอ แล้วผมจะเอาเธอกลับมาได้ยังไง “เข้าใจแล้ว” ผมพึมพำ พยายามควบคุมความรู้สึกตัวเอง “ดูเหมือนคุณผอมลง สักห้าปอนด์ อาจจะมากกว่าด้วย กินอะไรหน่อยเถอะนะ แอนัสเตเชีย” ผมไร้หนทาง นอกเหนือจากนี้แล้ว ผมจะพูดอะไรกับผู้หญิงแสนดีคนนี้ได้อีกเพื่อให้เธอยอมกิน เธอไม่มองผม ผมเลยมีเวลาเฝ้ามองใบหน้าด้านข้างของเธอ เธอมีเสน่ห ์ อ่อนหวาน และสวยเหมือนที่ผมจำได้ ผมอยากเอื้อมมือออกไปลูบหน้าเธอ สัมผัสว่าผิวเธออ่อนนุ่ม แค่ไหน...ดูว่ามันคือความจริงหรือเปล่า ผมหันไปหาเธอ อยากแตะตัวเธอใจจะขาด “คุณเป็นยังไงบ้าง” ผมถามเพราะว่าอยากได้ยินเสียงเธอ “ถ้าบอกว่าสบายดีก็คงโกหก” แม่ง ผมคิดถูก เธอเองก็เจ็บปวด และทั้งหมดเป็นความผิดของผม แต่คำพูด เธอก็ทำให้ผมมีหวังริบหรี่ขึ้นมา บางทีเธออาจจะคิดถึงผม บางที? ผมยึดความคิดนั้นไว้ เต็มหัวใจ “ผมก็เหมือนกัน ผมคิดถึงคุณ” ผมสารภาพและเอื้อมไปจับมือเธอ เพราะทน การไม่ได้แตะต้องเธออีกไม่ได้แล้วแม้สักนาที มือเธอเล็กจ้อยและเย็นเฉียบ ตอนนี้มัน ถูกห่อหุ้มด้วยอุ้งมืออุ่นของผม “คริสเตียนคะ ฉัน...” เธอหยุดพูด เสียงแตกพร่า แต่ก็ไม่ได้ดึงมือออก 7
“แอนา ขอร้องละ เราต้องคุยกันนะ” “คริสเตียน ฉัน...ขอร้องเถอะค่ะ ฉันร้องไห้มามากแล้ว” เธอพูดเสียงแผ่ว คำพูด ของเธอ ภาพที่เธอกำลังกลั้นน้ำตา มันทิ่มแทงสิ่งที่ยังหลงเหลือในใจผม “โอ๋ ที่รัก ไม่เอาน่า” ผมดึงมือเธอ และก่อนที่เธอจะต่อต้าน ผมยกตัวเธอ ขึ้นมาบนตัก โอบเธอไว้ โอย สัมผัสของเธอ เธอตัวเบาเกินไป เปราะบางเกินไป ผมอยากจะตะโกนออกมาด้วยความขุ่นเคือง แต่ที่ทำกลับเป็นแค่การซุกหน้าเข้ากับผมเธอ ดื่มด่ำกับกลิ่นที่แทบจะทำให้มัวเมาของ แอนา มันชวนให้นึกถึงเวลาอันแสนสุข สวนผลไม้ในฤดูใบไม้ร่วง เสียงหัวเราะที่บ้าน ดวงตาที่สุกใส เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน และความเจ้าเล่ห์แสนกล...และความปรารถนา แอนา แอนาที่น่ารักของผม ของผม ตอนแรกเธอตัวแข็งและขืนตัว แต่หลังจากอึดใจหนึ่งเธอก็ผ่อนคลาย อิงผม ศีรษะพิงไหล่ผม ผมมีกำลังใจขึ้น ผมยอมเสี่ยง หลับตา และจูบผมเธอ เธอไม่ได้ ดิ้นรนขัดขืน และนั่นทำให้ผมโล่งใจ ผมโหยหาผู้หญิงคนนี้ แต่ต้องระมัดระวังหน่อย ผมไม่อยากให้เธอถอยหนีไปอีก ผมกอดเธอไว้ เพลิดเพลินกับสัมผัสของเธอและช่วงเวลา แห่งความสงบสุขอันแสนเรียบง่ายนี้ แต่มันก็เป็นเพียงการคั่นเวลาแสนสั้น เทย์เลอร์ พาเราไปถึงลานจอดเฮลิคอปเตอร์ในดาวน์ทาวน์ของซีแอตเทิลด้วยเวลาอันรวดเร็วทำสถิติ “ไปเถอะ” ผมยกตัวเธอออกจากตักอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจเท่าไหร่ “ถึงแล้ว” ดวงตางุนงงนั้นมองตาผม “ลานจอดเฮลิคอปเตอร์อยู่บนตึกนี้” ผมอธิบาย เธอคิดว่าเราจะไปพอร์ตแลนด์ กันยังไงล่ะ ขับรถคงต้องใช้เวลาสามชั่วโมงอย่างน้อย เทย์เลอร์เปิดประตูให้เธอ ส่วน ผมก็ออกจากทางฝั่งผม “ไว้ฉันจะคืนผ้าเช็ดหน้าให้คุณนะคะ” เธอบอกเทย์เลอร์พร้อมกับยิ้มเขิน ๆ “เก็บไว้เถอะครับ มิสสตีล แทนความปรารถนาดีของผม” เกิดอะไรขึ้นระหว่างทั้งคู่วะเนี่ย “สามทุ่มนะ” ผมขัดจังหวะ ไม่ได้แค่เตือนว่าเขาต้องไปรับเราที่พอร์ตแลนด์ตอน กี่โมง แต่ทำให้เขาหยุดคุยกับแอนาด้วย “ครับผม” เขารับคำเบา ๆ 8
เวรเอ๊ย เธอเป็นผู้หญิงของผม ผ้าเช็ดหน้าเป็นหน้าที่ผม ไม่ใช่เขา ภาพหลาย ภาพแวบเข้ า มา เธออาเจี ย นลงกั บ พื้ น ผมจั บ ผมเธอไว้ ใ ห้ มั น แล่ น เข้ า มาในหั ว ผม ตอนนั้นผมก็เอาผ้าเช็ดหน้าให้เธอ และคืนนั้นผมก็เฝ้ามองเธอหลับอยู่ข้าง ๆ ผม หยุดเดี๋ยวนี้ เกรย์ ผมจับมือเธอ มันไม่ได้เย็นจัดแล้ว แต่ก็ยังเย็นอยู่ ผมพาเธอเข้าไปในตึก ตอน ที่เราไปถึงลิฟต์ ผมนึกถึงตอนที่เราเจอกันที่โรงแรมฮีทแมน จูบแรก จูบนั้น ใช่ จูบแรกจูบนั้น ความคิดนี้ทำให้ร่างกายผมตื่นตัว แต่แล้วประตูก็เปิดออก ทำให้ผมไขว้เขวไป ผมปล่อยมือเธออย่างไม่ค่อยเต็มใจ และดันเธอเข้าไปข้างใน ลิฟต์ไม่ใหญ่นัก แต่เราก็ไม่ได้แตะตัวกันอีก แต่ผมรู้สึกถึงเธอ ทั้งหมดของเธอ ตรงนี้ เดี๋ยวนี้ แม่งเอ๊ย ผมกลืนน้ำลาย เพราะเธออยู่ใกล้เกินไปหรือเปล่า สายตาที่เข้มจัดนั้นเงยขึ้นมองผม โอย แอนา ความชิดใกล้ช่างปลุกเร้า เธอสูดหายใจกระชั้นและก้มมองพื้น “ผมก็รู้สึกเหมือนกัน” ผมกระซิบและเอื้อมมือไปหามือเธออีกครั้ง ลูบข้อนิ้ว ของเธอด้วยหัวแม่มือ เธอเงยขึ้นมองผม ตาสีฟ้าที่เกินหยั่งนั้นถูกปกคลุมด้วยความ ต้องการ แม่งเหอะ ผมต้องการเธอ เธอกัดปาก “อย่ากัดปากสิ แอนัสเตเชีย” เสียงผมแผ่ว เต็มไปด้วยความต้องการ กับเธอ แล้วมันต้องเป็นแบบนี้เสมอเลยหรือไง ผมอยากจูบเธอ จับเธอกดกับผนังลิฟต์เหมือนที่ ผมทำตอนเราจูบกันครั้งแรก ผมอยากนอนกับเธอตรงนี้ ทำให้เธอเป็นของผมอีกครั้ง เธอกะพริบตา ปากเผยอน้อย ๆ ผมต้องข่มใจไม่ครางออกมา เธอทำแบบนี้ได้ยังไงกัน ทำให้ผมเป๋ด้วยสายตาเนี่ยนะ ผมเคยเป็นฝ่ายควบคุม ตอนนี้ผมกำลังน้ำลายไหลยามที่ มองเธอขบฟันลงบนริมฝีปาก “คุณก็รู้ว่าผมเห็นแล้วจะเป็นยังไง” ผมพึมพำ ตอนนี้เลย ที่รัก ผมอยากจัดการ 9
คุณในลิฟต์นี่ แต่คิดว่าคุณคงไม่ยอมหรอก ประตูเลื่อนเปิดออก ลมหนาวที่วิ่งเข้ามาทำให้ผมกลับมาอยู่กับปัจจุบัน เราอยู่บน ดาดฟ้า และถึงแม้กลางวันจะยังอบอุ่น แต่ลมก็พัดแรง แอนัสเตเชียสั่นสะท้านอยู่ข้าง ๆ ผม ผมโอบเธอไว้ เธอเบียดเข้ามา ร่างเธอบางเหลือเกินเมื่ออิงแอบกับผม แต่ความเล็ก กะทัดรัดนั้นก็พอดิบพอดีกับแขนผมเลย เห็นมั้ย เราเข้ากันได้ดีเลยนะ แอนา เราเดินตรงไปที่ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ตรงไปที่ ชาร์ลีแทงโก้ ใบพัดหมุนอย่าง นุ่มนวล เธอพร้อมจะออกบินแล้ว สเตฟาน นักบินของผมวิ่งตรงมาที่เรา เราจับมือกัน โดยที่ผมยังกอดแอนัสเตเชียไว้แน่น “พร้อมเดินทางครับ ชาร์ลีแทงโก้เป็นของคุณแล้ว!” เขาตะโกนแข่งกับเสียง เครื่องยนต์ “เช็กทุกอย่างเรียบร้อยนะ” “ครับท่าน” “มารับเครื่องราวสองทุ่มครึ่งได้ไหม” “ครับผม” “เทย์เลอร์จะรออยู่หน้าตึก” “ขอบคุณครับ มิสเตอร์เกรย์ ขอให้เดินทางสู่พอร์ตแลนด์โดยสวัสดิภาพ ขอตัว ครับ คุณผู้หญิง” เขาตะเบ๊ะให้แอนัสเตเชียและตรงไปยังลิฟต์ที่รออยู่ เราก้มหัวผ่าน ใบพัด ผมเปิดประตูออก ก่อนจะจับมือเธอเพื่อช่วยดึงให้ปีนขึ้นมา ขณะที่ผมรัดเข็มขัดให้เธอแน่นอยู่กับเบาะ ลมหายใจของเธอสะดุด เสียงนั้น เดินทางตรงมาที่เป้ากางเกงของผม ผมดึงสายรัดให้กระชับเป็นพิเศษ พยายามไม่สนใจปฏิกิริยาทางกายที่มีต่อเธอ “แบบนี้คุณจะได้อยู่กับที่” ผมพึมพำ “ต้องขอบอกว่าผมชอบเห็นคุณถูกรัดไว้ แบบนี ้ อย่าแตะต้องอะไรนะ” เธอหน้าแดงก่ำ ในที่สุดหน้าเธอก็มีสีขึ้นมาบ้าง ผมอดใจไม่ไหว ใช้ข้อนิ้วลาก ลงมาตามแก้มของเธอ ตามรอยเลือดฝาดนั้น พระเจ้า ผมต้องการผู้หญิงคนนี้ เธอทำหน้านิ่ว และผมรู้ว่ามันเป็นเพราะเธอขยับไม่ได้ ผมส่งหูฟังให้เธอ นั่ง ประจำที ่ และคาดเข็มขัดนิรภัย 10
ผมเริ่มตรวจสอบทุกสิ่งสำหรับก่อนขึ้นบิน อุปกรณ์ทุกอย่างขึ้นไฟสีเขียวโดยไม่มี ไฟเตือนอะไร ผมผลักคันบังคับไปที่ “บิน” ตั้งรหัสเครื่องมือบอกตำแหน่งบิน และเช็ก ให้แน่ว่าไฟป้องกันการชนนั้นเปิดอยู่ ทุกอย่างดูดี ผมใส่หูฟัง เปิดเครื่องรับวิทยุ และ เช็กรอบใบพัด เมื่อหันไปหาแอนา เธอกำลังตั้งอกตั้งใจมองผม “พร้อมหรือยัง ที่รัก” “ค่ะ” เธอตาโตและดูตื่นเต้นมาก ผมอดยิ้มเจ้าเล่ห์ไม่ได้ระหว่างที่ส่งสัญญาณไปหา หอควบคุมเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาตื่นและฟังอยู่ เมื่อได้รับอนุญาตให้ขึ้นบิน ผมเช็ก อุณหภูมิน้ำมันและเกจ์วัดต่าง ๆ ทุกอย่างอยู่ในสภาพพร้อมปฏิบัติการปกติ จากนั้นผม เร่งความเร็ว และชาร์ลีแทงโก้ เจ้านกน้อยแสนสง่างามก็ยกตัวขึ้นไปบนฟ้าอย่างนุ่มนวล โอ ผมชอบจริง เมื่อเราบินสูงขึ้นเรื่อย ๆ ผมเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น ผมหันไปมองมิสสตีลที่อยู่ ข้าง ๆ ได้เวลาหลอกล่อเธอแล้ว ถึงเวลาแสดงแล้ว เกรย์ “ก่ อ นหน้ า นี้ เ รามุ่ ง หน้ า สู่ อ รุ ณ รุ่ ง เนอะ แอนั ส เตเชี ย แต่ ต อนนี้ เ ป็ น ยามเย็ น ” ผมยิ้ม และได้รับรางวัลกลับมาเป็นรอยยิ้มเขิน ๆ ที่ทำให้หน้าเธอสว่างไสว ความหวัง ก่อตัวอยู่ในอกผมเมื่อเห็นสีหน้าของเธอ ผมมีเธออยู่ตรงนี้ ข้าง ๆ ผม ในขณะที่ผม คิดว่าตัวเองได้สูญเสียทุกอย่างไปแล้ว เธอดูจะเพลิดเพลินกับสิ่งต่าง ๆ และมีความสุขกว่า ตอนที่เดินออกมาจากที่ทำงาน สำหรับเธอ ผมอาจเป็นแค่บันได แต่ผมก็จะมีความสุข กับทุก ๆ นาทีที่ได้อยู่บนนี้กับเธอ หมอฟลินน์จะต้องภูมิใจ ผมจดจ่ออยู่กับเรื่องตรงหน้า ผมมองโลกในแง่ดี ก้าวเล็ก ๆ พอ เกรย์ อย่าคิดไปไกล “นอกจากอาทิตย์ยามเย็น คราวนีย้ งั มีอย่างอืน่ ให้ชมด้วยนะ” ผมบอก “เอสคาลา อยู่ตรงนั้น นั่นโบอิ้ง คุณมองเห็นหอคอยสเปซนีดเดิลได้ด้วย” เธอยืดคอเรียว ๆ ของเธอเพื่อมองมัน อยากรู้อยากเห็นเหมือนเคย “ฉันไม่เคย ไปเลยค่ะ” เธอบอก “เอาไว้ผมจะพาคุณไป เราไปกินอาหารที่นั่นกัน” “คริสเตียน เราเลิกกันแล้วนะ” เธอพูดด้วยเสียงที่เหมือนจะไม่เชื่อ 11
นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากได้ยินเลย แต่ก็พยายามไม่แสดงอะไรที่เว่อร์เกินไป “ผมรู้ แต่ ผ มยั ง พาคุ ณ ไปหาอะไรกิ น ได้ นี่ ” ผมมองเธอ เธอหน้ า แดงเหมื อ นดอกกุ ห ลาบ แสนสวย “ข้างบนนี้สวยมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ” เธอพูด และผมสังเกตว่าเธอพยายาม เปลี่ยนเรื่อง “ปลื้มไหม” ผมไม่มีวันเบื่อภาพนี้ “ปลื้มที่คุณทำแบบนี้ได้ด้วย” คำชมของเธอทำให้ผมแปลกใจ “ปากหวานจริ ง มิ ส สตี ล แต่ ก็ อ ย่ า งว่ า ละ ผมเป็ น คนเก่ ง รอบด้ า น” ผมพู ด เย้าเธอ “ฉันรู้ดีเลยละค่ะ มิสเตอร์เกรย์” เธอพูดร้าย ๆ ใส่ผม ผมนึกออกเลยว่าเธอพูด เรื่องอะไร ผมกลั้นยิ้ม นี่แหละที่ผมคิดถึง ความร้ายกาจของเธอที่ปลดอาวุธผมได้เสมอ ทำให้เธอพูดต่อ “งานใหม่เป็นไงบ้าง” “ดีค่ะ ก็สนุกดี ขอบคุณค่ะ” “เจ้านายล่ะ เป็นไง” “ก็ โอเคนะ” เธอดูไม่ค่อยกระตือรือร้นเท่าไหร่เมื่อพูดถึงแจ็ค ไฮด์ ความกลัว จนตัวสั่นวิ่งเข้าชนผม เขาได้พยายามทำอะไรเธอหรือเปล่า “มีอะไรหรือ” ผมถาม อยากรู้ว่าไอ้ทุเรศนั่นทำอะไรไม่เหมาะไม่ควรหรือเปล่า ผมจะไล่มันออกไปให้พ้น “ถ้าไม่นับที่เห็น ๆ อยู่ ก็ไม่มีอะไรค่ะ” “ที่เห็น ๆ รึ” “โอ๊ย คริสเตียน บางทีคุณนี่ก็ทึ่มจริง ๆ เลย” เธอมองผมเหยียด ๆ ปนขำ “ทึ่มเหรอ ผมเนี่ยนะ ผมว่าผมไม่ค่อยชอบน้ำเสียงคุณเท่าไหร่ละ มิสสตีล” “เฮอะ งั้นก็ไม่ต้องชอบ” เธอพูดห้วน ๆ อย่างพอใจในตัวเอง ทำให้ผมยิ้มกว้าง ผมชอบที่เธอพูดเล่นกับผม เธอสามารถทำให้ผมรู้สึกดีมากและแย่มากได้ด้วยเพียงแค่ สายตาและรอยยิ้ม มันสดชื่นจริง ๆ และไม่เหมือนอะไรที่ผมเคยรู้สึกมาก่อน “ผมคิดถึงปากเก่ง ๆ ของคุณจัง” ภาพเธอคุกเข่าอยู่ตรงหน้าแวบเข้ามาในหัว ผม ต้องขยับตัวอยู่บนเบาะอย่างไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ แม่งเหอะ มีสมาธิหน่อย เกรย์ เห็นแก่พระเจ้าเถอะนะ เธอมองไปทางอื่น ซ่อน 12
รอยยิ้มเอาไว้ และมองลงไปยังเมืองที่เราบินผ่าน ในขณะที่ผมเช็กเส้นทาง ทุกอย่าง เรียบร้อยดี เราอยู่ในเส้นทางที่ตรงไปพอร์ตแลนด์ เธอเงียบกริบ ผมแอบเหลือบไปมองเธอเป็นระยะ ใบหน้าเธอตื่นเต้นด้วยความ อยากรู้อยากเห็นและสงสัย ขณะที่มองลงไปยังทัศนียภาพที่เราบินผ่านและท้องฟ้าหลาก สีสัน แก้มเธอดูนุ่มนวลและกระจ่างอยู่ในแสงยามเย็น และต่อให้ยังดูซีดเซียวและมี รอยคล้ำใต้ตา ซึ่งทั้งหมดนั่นเป็นหลักฐานของความรวดร้าวที่ผมทำให้เกิดขึ้น เธอก็ ยังดูงดงามเหลือเกิน ผมจะปล่อยให้เธอเดินออกไปจากชีวิตผมได้ยังไงกัน ตอนนั้น ผมคิดอะไรอยู่ ขณะที่เราเร่งความเร็วไปเหนือเมฆในยานพาหนะ สูงขึ้นไปบนฟ้า ผมก็ยิ่งมอง โลกในแง่ดีกว่าเดิม ความปั่นป่วนในอาทิตย์ที่ผ่านมาลดลง ผมค่อย ๆ ผ่อนคลาย ดื่มด่ำ กับความสุขสงบที่ไม่ได้รู้สึกเลยตั้งแต่เธอจากไป แต่ตอนนี้เธอก็อยู่กับผมแล้ว แต่แล้วเมื่อเราเข้าใกล้จุดหมาย ความมั่นใจของผมก็ลดลง ผมขอพระเจ้าให้แผน ของผมสำเร็จ ผมต้องพาเธอไปยังที่ที่เป็นส่วนตัว อาจจะพาไปกินมื้อเย็น ให้ตายเถอะ ผมน่าจะจองที่ไหนไว้สักที่ เธอต้องกิน และถ้าผมจะต้องพาเธอไปกินมื้อเย็นจริง ๆ ทั้งหมดก็แค่ต้องหา คำพูดดี ๆ สองสามวันที่ผ่านมาทำให้ผมรู้ว่าผมต้องการใครสักคน ผมต้องการเธอ แต่ เธอจะยอมหรือไม่ ผมจะพูดให้เธอยอมให้โอกาสผมเป็นครั้งที่สองได้หรือไม่ เวลาจะบอกเอง เกรย์ ค่อยเป็นค่อยไป อย่าทำให้เธอกลัวจนหนีไปอีก เราลงจอดที่ ล านจอดเฮลิ ค อปเตอร์ แ ห่ ง เดี ย วของพอร์ ต แลนด์ ใ นอี ก สิ บ ห้ า นาที ต่ อ มา เมื่อผมดับเครื่อง ชาร์ลีแทงโก้ และปิดเครื่องมือบอกตำแหน่งบิน ระบบเชื้อเพลิง และ เครื่องรับสัญญาณวิทยุ ความไม่แน่ใจที่ผมรู้สึกมาตั้งแต่ตัดสินใจว่าจะเอาเธอกลับมา ก็โผล่หน้าขึ้นมาอีก ผมต้องบอกเธอเดี๋ยวนี้ว่าผมรู้สึกยังไง และนั่นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าที่ผมรู้สึกต่อเธอมันคืออะไร ผมรู้ว่าตัวเองคิดถึงเธอ ผมทุกข์ เมื่อไม่มีเธอ และผมพยายามที่จะมีความสัมพันธ์ในแบบที่เธอต้องการ แต่เพียงเท่านั้น จะพอหรือเปล่าสำหรับเธอ และจะพอหรือเปล่าสำหรับผม เวลาจะบอกเอง เกรย์ เมื่อผมปลดเข็มขัดนิรภัยออกเรียบร้อย ผมก็เอื้อมไปปลดให้เธอบ้าง และก็ได้ กลิ่นหอมหวานของเธอ เธอหอมเหลือเกินเหมือนเคย ตาของเธอประสานกับผมชั่วครู่ 13
มันบอกนัยบางอย่าง ราวกับเธอกำลังคิดอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควรนัก และก็เช่นเคย ผม อยากรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ “เดินทางสบายดีไหมครับ มิสสตีล” ผมถาม ไม่สนใจสายตาของเธอ “ดีค่ะ ขอบคุณค่ะ มิสเตอร์เกรย์” “งั้นไปดูภาพของเจ้าหนุ่มนั่นกันดีกว่า” ผมเปิดประตูและกระโดดลงไป ก่อนจะ ยื่นมือให้เธอ โจ ผู้จัดการลานจอดเฮลิคอปเตอร์กำลังรอต้อนรับเราอยู่ เขาเป็นคนมีประสบการณ์โชกโชน เป็นทหารผ่านศึกในสงครามเกาหลี แต่ก็ยังคล่องแคล่วว่องไว ถ้าเทียบ กับผู้ชายในวัยห้าสิบด้วยกัน ดวงตาสุกใสของเขาไม่เคยพลาดอะไรเลย มันวาววับเมื่อ เขายิ้มเจ้าเล่ห์ให้ผม “โจ ดูแล ชาร์ลีแทงโก้ ก่อนสเตฟานจะมารับไปด้วยนะ เขาคงมาถึงราวสองหรือ สามทุ่ม” “ได้ครับ มิสเตอร์เกรย์ คุณผู้หญิง รถรออยู่ด้านล่างแล้วครับ อ้อ ลิฟต์เสีย นะครับ พวกคุณต้องใช้บันไดแทน” “ขอบใจมาก โจ” ระหว่างที่เราเดินไปที่บันไดหนีไฟ ผมเหลือบมองรองเท้าส้นสูงของแอนัสเตเชีย และนึกถึงตอนที่เธอล้มคว่ำเข้ามาในห้องทำงานของผม “คุณโชคดีนะที่ตึกนี่มีแค่สามชั้น รองเท้าคุณสูงเสียขนาดนั้น” ผมซ่อนยิ้ม “คุณไม่ชอบบู๊ตที่ฉันสวมเหรอคะ” เธอถามและก้มมองเท้า ภาพอันแสนสวย ยามที่มันเกาะเกี่ยวอยู่กับไหล่ผมวาบขึ้นมาในหัว “ผมชอบมาก แอนัสเตเชีย” ผมพึมพำ หวังว่าสีหน้าตัวเองจะไม่เปิดเผยความ คิดลามกจกเปรตออกไป “มา ค่อย ๆ เดินนะ ผมไม่อยากให้คุณล้มคอหัก” มือผมเลาะไล่ไปโอบเอวเธอไว้ ขอบคุณที่ลิฟต์เสีย มันทำให้ผมมีข้ออ้างในการ แตะต้องตัวเธอ ผมดึงตัวเธอเข้ามาชิดขณะเราเดินลงบันได เมื่ออยู่ในรถ ขณะเดินทางไปยังแกลเลอรี่ ความกังวลของผมเพิ่มขึ้น เรากำลัง จะไปชมงานของคนที่เธอบอกว่าเป็นเพื่อน ผู้ชายคนที่ตอนที่ผมเจอครั้งล่าสุด เขากำลัง พยายามเอาลิ้นแหย่เข้าไปในปากเธอ บางทีสองสามวันที่ผ่านเขาอาจจะได้คุยกับเธอ บางทีนี่อาจจะเป็นการนัดพบกันที่ทั้งคู่เฝ้ารอมานาน แม่ง ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน แน่นอนว่าผมหวังอย่างยิ่งว่ามันจะไม่เป็น 14
แบบนั้น “โฮเซเป็นแค่เพื่อนค่ะ” แอนาพูดเบา ๆ อะไรกันเนี่ย เธอรู้เหรอว่าผมกำลังคิดอะไร ผมดูง่ายขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ก็ตั้งแต่เธอปลดเกราะทุกอย่างของผมออกไง ตั้งแต่ผมค้นพบว่าผมต้องการเธอ เธอจ้องผม ขณะที่บางอย่างในท้องผมบิดเกร็ง “คุณผอมจนตาสวย ๆ กลายเป็น ตาโหลแล้วนะ แอนัสเตเชีย รับปากสิว่าคุณจะกิน” “ค่ะ คริสเตียน ฉันจะกิน” เธอตอบ เสียงออกจะฟังดูหงุดหงิด “ผมพูดจริง ๆ” “อ้อ เหรอคะ” เสียงเธอประชด ผมเองก็เกือบจะไปไม่เป็น ถึงเวลาที่ผมจะต้อง แสดงตัวบ้างแล้ว “ผมไม่อยากทะเลาะกับคุณนะ แอนัสเตเชีย ผมอยากให้คุณกลับมา และผม อยากให้คุณสุขภาพแข็งแรง” ผมรู้สึกดีมากที่เธอตกใจสุด ๆ มองผมตาโต “แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยนี่คะ” เธอบอก หน้าเริ่มจะนิ่ว โอ แอนา ในตัวผมเหมือนมีอะไรสั่นไหว เราจอดเมื่อมาถึงแกลเลอรี่ และผม ก็ไม่มีเวลาอธิบายเลยก่อนที่งานจะเริ่ม “ไว้คุยตอนขากลับแล้วกัน เรามาถึงแล้ว” ก่อนที่เธอจะทันบอกว่าเธอไม่สนใจ ผมออกจากรถและเดินไปเปิดประตูให้เธอ ตอนที่เธอก้าวออก เธอดูโกรธ ๆ “คุณทำแบบนั้นทำไม” เธอโพล่งออกมาอย่างขุ่นเคือง “ทำอะไร” อะไรกันวะเนี่ย “พูดจาแบบนั้นแล้วก็หยุดเสียดื้อ ๆ” นั่นไง นี่แหละ ทำไมเธอถึงโกรธ “แอนัสเตเชีย เราอยู่ที่งานแล้ว งานที่คุณอยากมา ร่วมงานก่อนแล้วค่อยคุยกัน ผมไม่อยากทะเลาะกลางถนน” เธอเม้มปากแน่นและเหมือนจะทำปากยื่นนิด ๆ จากนั้นก็กัดฟันบอกผมว่า “ก็ได้ ค่ะ” ผมจับมือเธอและเดินเข้าไปในแกลเลอรี่อย่างรวดเร็ว ส่วนเธอก็เดินเบียดตาม หลังผมมา 15