๒๗ เมษายน ๑๙๒๖
ในวันแห่งปาฏิหาริย์ อิซาเบลนั่งคุกเข่าอยู่ที่ริมผา ดูแล
ไม้กางเขนอันเล็กที่ทำขึ้นมาใหม่หมาดจากเศษไม้ที่ลอยมาตามน้ำ เมฆอ้วน ก้อนเดี่ยวโดดเคลื่อนตัวแช่มช้าผ่านไปบนผืนฟ้าปลายเดือนเมษายน เหยียด แผ่ไปเหนือเกาะกลางมหาสมุทรใสดั่งกระจกเงา อิซาเบลพรมน้ำอีก แล้วตบ เนื้อดินรอบพุ่มโรสแมรี่ที่เธอเพิ่งปลูก “...และขออย่าให้ข้าพระเจ้าทั้งหลายล้มลงเมื่อถูกทดลอง แต่ขอทรง ช่วยข้าพระเจ้าทั้งหลายให้พ้นจากมารร้าย” เธอกระซิบ ครู่หนึ่งนั้น ความนึกคิดทำให้เธอหูฝาดได้ยินเสียงร้องของเด็กทารก เธอปัดความเข้าใจผิดนั้นไปเสีย สายตาถูกดึงดูดโดยฝูงวาฬที่แหวกว่าย ลัดเลาะขึ้นไปตามชายฝั่งเพื่อออกลูกในน่านน้ำที่อุ่นกว่า โผล่ผลุบขึ้นมาเป็น ครั้งคราวพร้อมปลายหางรูปสามเหลี่ยม คล้ายเข็มที่แทงผ่านผืนผ้าปัก เธอ ได้ยินเสียงร้องอีกครั้ง คราวนี้ดังกว่าเดิมในสายลมยามเช้าตรู่ เป็นไปไม่ได้ จากฟากนี้ของเกาะไล่เรื่อยไปจนถึงแอฟริกามีแต่เพียงความเวิ้งว้าง กว้างใหญ่ ณ ทีน่ ี้ มหาสมุทรอินเดียหลอมรวมเข้ากับมหาสมุทรเกรตเซาเทิรน์ และเหยียดแผ่ออกไปคล้ายผืนพรมไร้ขอบต่ำลงไปจากหน้าผา ในวันเช่นนี้ 2
เ อ็ ม. แ อ ล. ส เ ต ด แ ม น
มันดูแน่นหนาเสียจนเธอรู้สึกว่าสามารถเหยียบย่างไปจนถึงมาดากัสการ์ ในการเดินทางที่มีแต่สีฟ้าคราม อีกด้านหนึ่งของเกาะมองกลับไปอย่างไม่ สบอารมณ์สู่แผ่นดินใหญ่ออสเตรเลียที่อยู่ห่างออกไปเกือบร้อยไมล์ ไม่เชิง เป็นส่วนหนึ่งของดินแดน แต่ใช่ว่าจะเป็นอิสระจากกันเสียทีเดียว นับเป็น ยอดสูงสุดของทิวเขาใต้ทะเลที่ผุดพ้นขึ้นมาจากพื้นมหาสมุทร คล้ายซี่ฟัน ตามแนวสันกรามแหลมขรุขระ รอเขมือบเรือไม่รู้อีโหน่อีเหน่ลำใดก็ตาม ที่เร่งรีบเข้าสู่ท่าจอดในช่วงสุดท้าย ราวกับจะชดใช้ความผิด เกาะแห่งนี ้ เจนัสร็อค มีประภาคารหลังหนึง่ ลำแสงของมั น ให้ ค วามปลอดภั ย แผ่ ค รอบคลุ ม เป็ น ระยะทางสามสิ บ ไมล์ บรรยากาศแต่ละคืนเต็มไปด้วยเสียงครางหึ่ง ๆ อย่างสม่ำเสมอของโคมไฟ ขณะที่ มั น หมุ น หมุ น หมุ น อย่ า งเที่ ย งธรรม ไม่ ก ล่ า วโทษโขดหิ น ไม่ กริ่งเกรงระลอกคลื่น ตั้งอยู่ตรงนั้นเพื่อช่วยเหลือให้พ้นภัยยามมีใครต้องการ เสียงร้องยังคงดังต่อเนือ่ ง เสียงประตูประภาคารดังกึงอยูไ่ กล ๆ แล้ว โครงร่างสูงของทอมก็ปรากฏขึน้ บนระเบียง ขณะทีเ่ ขากวาดตามองไปทัว่ เกาะ ด้วยกล้องส่องทางไกล “อิซซี่” เขาตะโกน “เรือ!” และชี้ไปที่เวิ้งอ่าว “บน ชายหาด เรือ!” เขาหายตัวไป ครู่ถัดมาก็โผล่ออกมาใหม่ที่ระดับพื้นดิน “ดูเหมือน จะมีคนอยู่ในเรือ” เขาตะโกนบอก อิซาเบลรีบเดินไปสมทบกับเขาโดยเร็ว ที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาจับแขนเธอไว้ขณะที่ทั้งสองค่อย ๆ ไต่ไปตามทางเดิน ลาดชันที่ผ่านการใช้งานมานานสู่หาดเล็ก ๆ “เรือจริง ๆ ด้วย” ทอมประกาศ “และ โอ้ พระเจ้า! มีผู้ชายคนหนึ่ง แต่...” ร่างนัน้ ไม่ไหวติงและฟุบอยูบ่ นทีน่ งั่ แต่เสียงร้องยังคงดังออกมาอย่าง ชัดเจน ทอมรีบรุดไปที่เรือพายลำเล็กและพยายามปลุกชายผู้นั้น ก่อนจะ ค้ น ดู บ ริ เ วณหั ว เรื อ ที่ มี เ สี ย งร้ อ งดั ง มา เขาดึ ง ห่ อ ผ้ า ขนสั ต ว์ ห่ อ หนึ่ ง ขึ้ น มา เสื้อคาร์ดิแกนสีม่วงอ่อนเนื้อนุ่มของผู้หญิงห่อหุ้มทารกตัวกระจิริดที่กำลัง ร้องไห้จ้า “ให้ตายสิ!” เขาอุทาน “ให้ตายสิ อิซซี ่ นี่มัน...” “เด็กทารก! โอ้ พระเจ้า! โอ้ ทอม! ทอม! นี่...ส่งมาให้ฉันค่ะ!” 3
เ ร า ต่ า ง ห ล ง ท า ง ใ น แ ส ง ส ว่ า ง
เขาส่ ง ทารกในห่ อ ผ้ า ให้ เ ธอ แล้ ว พยายามอี ก ครั้ ง ที่ จ ะทำให้ ช าย แปลกหน้าฟื้นขึ้นมา ไม่มีชีพจร เขาหันไปหาอิซาเบลที่กำลังสำรวจตรวจตรา ร่างเล็กจ้อย “เขาตายแล้ว อิซซ์ เด็กล่ะ” “ปลอดภัยดีค่ะ เท่าที่เห็นนะ ไม่มีบาดแผลหรือรอยฟกช้ำ ตัวเล็ก เหลือเกิน!” เธอพูด จากนั้นจึงหันไปหาเด็กน้อยขณะที่กอดร่างนั้นไว้ “โอ๋ โอ๋ ปลอดภัยแล้วนะ เจ้าตัวเล็ก ปลอดภัยแล้วนะจ๊ะ หนูน้อยผู้งดงาม” ทอมยืนนิ่งและมองร่างชายผู้นั้นอย่างตรึกตรอง ก่อนจะหลับตาปี๋ แล้วลืมตาขึ้นใหม่เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝันอยู่ ทารกน้อยหยุดร้องไห้แล้ว และกำลังหอบหายใจอยู่ในวงแขนของอิซาเบล “ไม่มีรอยอะไรบนตัวเขาเลย และก็ไม่ได้มีท่าทางเจ็บไข้ได้ป่วย เขา ไม่น่าจะลอยอยู่ในน้ำนานนักหรอก...คุณคงไม่เชื่อแน่” เขาเว้นจังหวะ “คุณ พาเด็กกลับไปที่บ้านเถอะ อิซซ์ ผมจะหาอะไรมาคลุมศพ” “แต่ ทอมคะ...” “มันคงหนักไม่ใช่เล่นแน่ ถ้าจะเอาร่างเขาขึ้นไปตามทางเดิน ทิ้งเขาไว้ ตรงนี้จนกว่าความช่วยเหลือจะมาถึงดีกว่า แต่ยังไงก็ไม่อยากให้พวกนกหรือ แมลงวันมารบกวน ในเพิงมีผ้าใบที่น่าจะใช้การได้” เขาพูดจานิ่งสงบ แต่ มือและหน้าของเขาเย็นเฉียบ ขณะที่เงามืดบดบังแสงอาทิตย์อันสดใสของ ฤดูใบไม้ร่วงไปเสียสิ้น เจนัสร็อคคือพื้นที่สีเขียวขนาดหนึ่งตารางไมล์ มีหญ้าเพียงพอสำหรับเลี้ยง แกะแพะไม่กตี่ วั และไก่อกี หยิบมือหนึง่ ผืนดินมากพอทีจ่ ะหล่อเลีย้ งแปลงผัก สวนครัวแปลงหนึ่ง ต้นไม้ใหญ่ที่มีอยู่คือสนนอร์ฟอล์กสูงตระหง่านสองต้น ปลูกไว้โดยคนงานจากแหลมพาร์เทจัส ผู้ก่อสร้างประภาคารกว่าสามสิบปี มาแล้ว ในปี ๑๘๘๙ หลุมศพเก่ากระจุกหนึ่งเป็นอนุสรณ์ของเหตุการณ์ เรืออับปางที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นนานแล้ว เมื่อเรือ ไพรด์ออฟเบอร์มิงแฮม จมลงตรงโขดหินตะกลามยามกลางวันแสก ๆ ตัวโคมไฟนำมาจากอังกฤษใน เรือแบบเดียวกันในเวลาต่อมา อวดนามแชนซ์บราเธอร์สอย่างเต็มภาคภูมิ เป็นเครื่องหมายรับประกันเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำนำหน้าที่สุดแห่งยุค ประกอบ 4
เ อ็ ม. แ อ ล. ส เ ต ด แ ม น
ชิน้ ส่วนเข้าด้วยกันทีไ่ หนก็ได้ ไม่วา่ จะทุรกันดารหรือไปถึงได้ยากแค่ไหนก็ตาม กระแสน้ำหอบเอาสิ่งของสารพัดสารพันเข้ามา ขยะต่าง ๆ ที่หมุนวน ราวกับอยู่ระหว่างใบพัดคู่ เศษซากความเสียหาย หีบใบชา กระดูกวาฬ อะไรต่อมิอะไรปรากฏขึ้นเมื่อถึงเวลาของมันเอง ในวิถีทางของมันเอง สถานี ประภาคารตั้งอยู่อย่างมั่นคงที่กลางเกาะ กระท่อมของผู้ดูแลและโรงเรือน ด้านนอกหมอบคุดคูอ้ ยูข่ า้ งประภาคาร กลัวลานเพราะกระแสลมทีก่ ราดเกรีย้ ว มานานนับทศวรรษ อิซาเบลนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเก่าในครัว ทารกน้อยในอ้อมแขนห่อหุ้มด้วย ผ้าห่มสีเหลืองเนื้อนุ่ม ทอมครูดรองเท้าบู๊ตไปบนพรมเช็ดเท้าช้า ๆ ขณะก้าว เข้ามา แล้ววางมือที่หยาบกร้านข้างหนึ่งบนไหล่ของเธอ “ผมจัดการคลุมศพ ชายที่น่าสงสารแล้ว เจ้าตัวเล็กเป็นยังไงบ้าง” “เด็กผู้หญิงค่ะ” อิซาเบลบอกพร้อมกับยิ้ม “ฉันอาบน้ำให้แล้ว ดู แข็งแรงสมบูรณ์ทีเดียว” ทารกน้อยหันไปทางเขาด้วยดวงตากลมโตและมองเขาด้วยความสนใจ เต็มที ่ “เธอจะเข้าใจเรือ่ งทัง้ หมดนีว่ า่ ยังไงกันล่ะเนีย่ ” เขานึกสงสัยออกมาดัง ๆ “ให้กินนมไปหน่อยหนึ่งแล้ว ใช่ไหมจ๊ะ คนดี” อิซาเบลทำเสียงเล็ก เสียงน้อยและเปลี่ยนเป็นคำถามสำหรับทารกน้อย “โถ เธอช่างน่าเอ็นดู เป็นที่สุดเลยค่ะ ทอม” เธอพูดแล้วจูบเด็กน้อย “พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงรู้ว่า เธอผ่านเรื่องอะไรมาบ้าง” ทอมหยิบขวดบรั่นดีจากตู้ไม้สนแล้วรินเหล้าให้ตัวเองเล็กน้อย ก่อน จะดื่มรวดเดียว เขานั่งลงข้าง ๆ ภรรยาและเฝ้ามองแสงแดดระริกไหวอยู่บน ใบหน้าของเธอ ขณะทีเ่ ธอพินจิ ดูสมบัตลิ ำ้ ค่าในอ้อมแขน ทารกน้อยมองตาม ทุกความเคลื่อนไหวของนัยน์ตาเธอ ราวกับว่าอิซาเบลอาจหลบลี้หนีหายไป ถ้าไม่ตรึงไว้ด้วยสายตาของตนเอง “โถ เด็กน้อย” อิซาเบลครวญคำ “เด็กน้อยที่น่าสงสาร” ขณะที่ ทารกน้อยซุกไซ้ใบหน้าเข้าหาอกของเธอ ทอมได้ยินหยาดน้ำตาในเสียงพูด ของเธอ และความทรงจำของตั ว ตนที่ ม องไม่ เ ห็ น ก็ นิ่ ง ค้ า งอยู่ ใ นอากาศ ระหว่างพวกเขา 5
เ ร า ต่ า ง ห ล ง ท า ง ใ น แ ส ง ส ว่ า ง
“เธอชอบคุณนะ” เขาพูด จากนั้นแทบจะเป็นการรำพึงกับตัวเอง “ทำให้ผมคิดว่าเรื่องต่าง ๆ จะเป็นอย่างไร” เขารีบเสริม “คือว่า...ผมไม่ได้ หมายถึง...คุณดูเหมือนว่าเกิดมาเพื่อทำแบบนี้ เท่านั้นเอง” เขาลูบไล้แก้ม ของเธอ อิซาเบลเหลือบตาขึน้ มองเขา “ฉันรูค้ ะ่ ทีร่ กั ฉันรูว้ า่ คุณหมายถึงอะไร ฉันก็รู้สึกแบบเดียวกัน” เขาโอบแขนรอบตัวภรรยาและเด็กน้อย อิซาเบลได้กลิ่นบรั่นดีจาก ลมหายใจของเขา เธอพึมพำ “โอ ทอมคะ ขอบคุณพระเจ้าที่เราพบเธอ ทันเวลา” ทอมจูบเธอ แล้วประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากของทารก ทั้งสาม นิ่งอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน จนกระทั่งเด็กน้อยเริ่มดิ้นยุกยิกแล้วดันกำปั้น ข้างหนึ่งออกมาจากใต้ผ้าห่ม “เอาละ” ทอมบิ ด ขี้ เ กี ย จขณะลุ ก ขึ้ น ยื น “ผมจะไปส่ ง สั ญ ญาณ รายงานเรื่องเรือพายลำเล็กนั่น และจัดการให้พวกเขาส่งเรือมารับศพ และ รับแม่สาวน้อยคนนี้” “อย่ า เพิ่ ง !” อิ ซ าเบลเอ่ ย ขึ้ น ขณะแตะนิ้ ว มื อ ของทารกน้ อ ย “ฉั น หมายความว่าไม่เห็นจะต้องรีบร้อนทำแบบนัน้ เดีย๋ วนีเ้ ลยนีน่ า ชายผูน้ า่ สงสาร นั่ น จะไม่ มี วั น แย่ ไ ปกว่ า นี้ อี ก แล้ ว และเจ้ า ลู ก เจี๊ ย บตั ว น้ อ ยนี่ ก็ ต ะลอนอยู่ ในเรือมานานพอแล้ว ฉันว่านะ ปล่อยไว้สักพักเถอะค่ะ ให้เธอได้หายใจ หายคอบ้าง” “มันต้องใช้เวลาตัง้ หลายชัว่ โมงกว่าพวกเขาจะมาถึงทีน่ ี่ เธอจะไม่เป็นไร หรอก คุณก็ปลอบจนเธอไม่ร้องแล้วนี่นา เจ้าตัวน้อยที่น่าสงสาร” “รอก่อนเถอะค่ะ จะว่าไป มันก็ไม่น่าจะส่งผลอะไรมากมายเลยนี่นา” “ต้องลงบันทึกเรือ่ งทัง้ หมดไว้นะ ทีร่ กั คุณก็รวู้ า่ ผมต้องรายงานทุกสิง่ ทุกอย่างในทันที” ทอมพูด เพราะหน้าที่ของเขาคือการจดบันทึกเหตุการณ์ สำคัญทุกเรื่องที่เกิดขึ้นที่ประภาคารหรือในบริเวณใกล้เคียง ไล่ตั้งแต่เรือที่ แล่นผ่านไปมาและสภาพดินฟ้าอากาศ ไปจนถึงปัญหาที่เกิดกับพวกเครื่องไม้ เครื่องมือ 6
เ อ็ ม. แ อ ล. ส เ ต ด แ ม น
“ค่อยทำตอนเช้าเถอะ นะคะ” “แต่ถ้าเกิดเรือเล็กนั่นมาจากเรือลำใหญ่ล่ะ” “มันเป็นเรือพายนะคะ ไม่ใช่เรือชูชีพ” เธอพูด “งั้นเจ้าหนูน้อยนั่นก็คงจะมีแม่ที่กำลังรออยู่ตรงไหนสักแห่งบนชายฝั่ง ด้วยความกังวลจนแทบคลั่ง คุณจะรู้สึกยังไงถ้าเธอเป็นลูกของคุณ” “คุณก็เห็นเสือ้ คาร์ดแิ กนแล้วนี่ คนเป็นแม่คงตกจากเรือและจมน้ำตาย แล้วแน่ ๆ” “ที่รักจ๊ะ เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแม่ของเด็กเลยนะ หรือว่าชายคนนั้น เป็นใคร” “มันเป็นคำอธิบายที่เข้าเค้าที่สุดไม่ใช่หรือคะ เด็กทารกน่ะไม่เตร็ดเตร่ เฉไฉไปจากพ่อแม่เสียเฉย ๆ หรอก” “อิซซี ่ อะไร ๆ มันก็เป็นไปได้ทั้งนั้น เราไม่รู้เลยจริง ๆ” “คุณเคยได้ยินเรื่องทารกตัวกะเปี๊ยกที่ออกเดินทางไปในเรือลำหนึ่ง โดยไม่มีแม่เมื่อไหร่กัน” เธอกอดเด็กน้อยเข้ากับตัวมากขึ้นอีกนิด “นี่เป็นเรื่องใหญ่ ชายคนนั้นตายแล้วนะ อิซซ์” “ส่วนเด็กน้อยยังมีชีวิตอยู่ เห็นใจกันหน่อยสิคะ ทอม” อะไรบางอย่างในน้ำเสียงของเธอทำให้เขาได้คิด และแทนที่จะโต้แย้ง ต่อ เขากลับนิง่ ชะงักและครุน่ คิดถึงคำอ้อนวอนของเธอ บางทีเธออาจต้องการ เวลาทีจ่ ะอยูก่ บั เด็กทารกสักคนบ้างกระมัง บางทีเขาคงจะติดค้างเธอในข้อนัน้ เกิดความเงียบขึ้นและอิซาเบลก็หันมามองเขาเป็นการวิงวอนอยู่ในใจ “ผมว่า ถ้าจำเป็นจริง ๆ...” เขายอมอ่อนข้อ ถ้อยคำหลุดจากปากอย่างยากเย็น “ผม คง...ทิ้งเรื่องส่งสัญญาณไว้จนถึงตอนเช้าก็ได้ แต่ต้องลงมือเป็นอันดับแรก ทันทีที่ฟ้าสาง” อิซาเบลจูบเขา แล้วบีบแขนของเขา “ผมกลับไปที่ห้องโคมไฟดีกว่า ผมกำลังเปลี่ยนท่อไอน้ำอยู่พอดี” เขาบอก ขณะที่ เ ขาเดิ น ลงไปตามทางเดิ น นั้ น เขาได้ ยิ น ท่ ว งทำนองหวานหู ขับร้องด้วยเสียงของอิซาเบล ‘สายลมโชยไปทางใต้ ไปทางใต้ ไปทางใต้ 7
เ ร า ต่ า ง ห ล ง ท า ง ใ น แ ส ง ส ว่ า ง
สายลมโชยไปทางใต้ เหนือทะเลสีครามงามจับใจ’ แม้ทำนองเพลงจะไพเราะ น่าฟัง แต่มนั ไม่สามารถปลอบประโลมเขาขณะทีข่ นึ้ บันไดประภาคารไป พลาง ปัดป้องความไม่สบายใจแบบแปลก ๆ จากการที่เขายอมอ่อนข้อให้ภรรยา
8
๑ ๑๖ ธันวาคม ๑๙๑๘
“ครับ ผมทราบดี” ทอม เชอร์บอร์น พูด เขานั่งอยู่ใน
ห้ อ งที่ ดู ส มถะและแทบจะไม่ ไ ด้ เ ย็ น ฉ่ ำ ไปกว่ า ยามกลางวั น อั น ร้ อ นอบอ้ า ว ข้างนอกเลย ฝนฤดูร้อนของเมืองซิดนีย์ตกกระหน่ำใส่บานหน้าต่าง ทำให้ ผู้คนบนบาทวิถีรีบวิ่งหาที่กำบัง “ผมหมายถึงลำบาก มาก” บุรษุ ทีอ่ ยูอ่ กี ฟากโต๊ะโน้มตัวมาข้างหน้าเพือ่ เน้นคำพูด “มันมีปญ ั หายุง่ ยากมากมาย ใช่วา่ ไบรอนเบย์จะเป็นจุดปฏิบตั กิ าร ที่แย่ที่สุดในหน่วยงานประภาคารหรอกนะ แต่ผมอยากจะแน่ใจว่าคุณรู้ว่า ตัวเองกำลังจะเผชิญกับอะไร” เขาอัดยาเส้นลงไปให้แน่นด้วยนิว้ หัวแม่มอื แล้ว จุดกล้องยาสูบ จดหมายสมัครงานของทอมบอกเล่าเรื่องราวแบบเดียวกับ ของชายหนุ่มอีกมากมายในช่วงเวลานั้น เกิดเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๑๘๙๓ อยู่ในกองทัพบกช่วงสงคราม มีประสบการณ์ด้านรหัสระหว่างประเทศและ รหัสมอร์ส สภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ปลดประจำการอย่างมีเกียรติ กฎ ข้อบังคับระบุว่าควรให้สิทธิ์แก่ผู้ที่เคยเป็นทหารมาก่อน “มันไม่มีทาง...” ทอมหยุดชะงักก่อนจะเริ่มใหม่ “ด้วยความเคารพ นะครับ มิสเตอร์คัฟแลน มันไม่น่าจะลำบากยากเข็ญไปกว่าแนวรบด้าน 9
เ ร า ต่ า ง ห ล ง ท า ง ใ น แ ส ง ส ว่ า ง
ตะวันตกหรอกครับ” ชายผูน้ นั้ มองดูรายละเอียดต่าง ๆ ในเอกสารการปลดประจำการอีกครัง้ จากนัน้ ก็มองดูทอม พร้อมกับค้นหาอะไรสักอย่างในดวงตาของเขา ในสีหน้า ของเขา “ไม่หรอก พ่อลูกชาย คุณคงจะพูดถูกในเรื่องนั้น” เขาไล่เรียง กฎระเบียบบางข้อให้ฟัง “คุณจ่ายค่าเดินทางไปยังจุดปฏิบัติงานทุกแห่งเอง คุ ณ เป็ น พนั ก งานผลั ด เวร ดั ง นั้ น คุ ณ จะไม่ ไ ด้ วั น หยุ ด พนั ก งานประจำ ได้ลาพักหนึ่งเดือนเมื่อสิ้นสุดสัญญาอายุสามปีแต่ละครั้ง” เขาหยิบปากกา ด้ามอ้วนขึ้นมาแล้วเซ็นชื่อลงบนแบบฟอร์มตรงหน้า ขณะที่กลิ้งตราประทับ ไปมาบนแผ่นน้ำหมึก เขากล่าวว่า “ยินดีต้อนรับ” เขาประทับตราปังลงไป สามที่บนเอกสาร “สู่หน่วยบริการงานประภาคารของเครือจักรภพ” บน แบบฟอร์มนั้น ‘๑๖ ธันวาคม ๑๙๑๘’ วาววับด้วยน้ำหมึกที่ยังเปียก ตำแหน่งงานผลัดเวรนานหกเดือนที่ไบรอนเบย์ ซึ่งอยู่เลยขึ้นไปบนชายฝั่ง นิวเซาท์เวลส์ ร่วมกับผู้ดูแลประภาคารอีกสองคนและครอบครัวของพวกเขา สอนให้ทอมรู้จักเนื้อแท้ของชีวิตในหน่วยงานประภาคาร เขาสานต่อเรื่องนั้น ด้วยการไปทำงานบนเกาะแมตซุยเคอร์อยู่พักหนึ่ง เกาะเปลี่ยวรกชัฏทางใต้ ของแทสเมเนีย ที่ฝนตกเกือบทั้งปีและฝูงไก่ปลิวหายไปในทะเลระหว่างพายุ เมือ่ อยูใ่ นหน่วยงานประภาคาร ทอม เชอร์บอร์น มีเวลาเหลือเฟือทีจ่ ะ นึกถึงสงคราม นึกถึงใบหน้าต่าง ๆ เสียงพูดของพวกหนุม่ ๆ ทยี่ นื เคียงข้างเขา ที่ช่วยชีวิตเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง พวกที่เขารับฟังถ้อยคำขณะกำลังจะหมด ลมหายใจ และพวกที่พึมพำคำพูดสับสนวกวนที่เขาไม่เข้าใจ แต่ก็พยักหน้า ให้อยู่ดี ทอมไม่ได้เป็นหนึ่งในบรรดาทหารที่แข้งขาห้อยติดอยู่ด้วยเส้นเอ็น หรือที่ตับไตไส้พุงทะลักออกมาจากผนังหุ้มคล้ายปลาไหลที่ลื่นเลื้อย และ ปอดของเขาก็ไม่ได้เละเป็นกาว หรือสมองกลายเป็นก้อนแป้งเพราะก๊าซพิษ แต่ถึงกระนั้นเขาก็มีบาดแผลทางใจอยู่ดี เมื่อต้องใช้ชีวิตอยู่ภายในเนื้อหนัง เดียวกับชายผู้ลงมือทำสิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องทำในครั้งกระโน้น เขามีเงาอีก เงาหนึ่งติดอยู่ภายใน 10
เ อ็ ม. แ อ ล. ส เ ต ด แ ม น
เขาพยายามไม่จมจ่อมอยู่กับมัน เขาพบเห็นชายจำนวนมากหมด สภาพอย่างสิ้นเชิงเพราะเหตุนั้น ดังนั้นเขาจึงดำเนินชีวิตต่อไป เลียบเลาะไป ตามริมขอบของสิ่งที่เขาไม่มีชื่อเรียกให้ เมื่อเขาฝันถึงขวบปีเหล่านั้น ทอม คนที่กำลังเผชิญกับมัน ทอมคนที่อยู่ที่นั่นพร้อมมือเปื้อนเลือด เป็นเด็กชาย อายุราว ๆ แปดขวบ เด็กชายตัวน้อยคนนี้นี่เองที่ประจันหน้ากับพวกผู้ชายที่มี ปืนและดาบปลายปืน เขาเป็นกังวลเพราะถุงเท้านักเรียนร่นลงและไม่สามารถ ดึงมันขึน้ มาได้ เพราะจะต้องทิง้ ปืนเพือ่ ทำเช่นนัน้ เขาแทบจะยังไม่โตพอทีจ่ ะ ถือปืนด้วยซ้ำ และเขาก็หาแม่ไม่พบเลยสักที่ จากนั้นเขาก็ตื่นขึ้นมาและอยู่ในสถานที่ที่มีเพียงสายลม เกลียวคลื่น แสงสว่าง และเครื่องจักรกลอันละเอียดซับซ้อนที่ทำให้เปลวไฟลุกช่วงและ โคมไฟหมุนไปเรื่อย ๆ หมุนอยู่เสมอ เหลียวมองข้ามไหล่ของมันอยู่เสมอ ถ้าเพียงแต่เขาจะหนีไปให้ไกลพอ จากผู้คน จากความทรงจำ เวลา ก็จะทำหน้าที่ของมันเอง ห่างออกไปหลายพันไมล์บนชายฝั่งด้านตะวันตก เจนัสร็อคคือสถานที่บน ภาคพื้นทวีปซึ่งไกลสุดกู่จากบ้านวัยเยาว์ของทอมในเมืองซิดนีย์ แต่ดวงไฟ เจนัสคือสัญลักษณ์สุดท้ายของออสเตรเลียที่เขาได้เห็น เมื่อเรือลำเลียงพล แบบเครือ่ งจักรไอน้ำของเขาออกเดินทางสูอ่ ยี ปิ ต์ในปี ๑๙๑๕ กลิน่ ยูคาลิปตัส โชยออกมาเป็นไมล์ ๆ จากฝั่งเมืองออลบานี และเมื่อกลิ่นนั้นจางหายไป เขา รู้สึกหม่นไหม้ขึ้นมากะทันหันเมื่อต้องสูญเสียบางสิ่งบางอย่างที่เขาไม่รู้เลยว่า จะอาลัยอาวรณ์มันได้ จากนั้น อีกหลายชั่วโมงถัดมา ดวงไฟที่ซื่อสัตย์ และมั่นคงพร้อมแสงวาบทุกห้าวินาทีก็ปรากฏแก่สายตา ณ จุดที่ไกลสุดของ บ้านเกิดเมืองนอนของเขา และความทรงจำของมันก็คงอยู่กับเขาไปตลอด ระยะเวลาหลายปีแห่งนรกที่ตามมา เหมือนจุมพิตอำลา เมื่อเขาได้ข่าวว่ามี ตำแหน่งงานเร่งด่วนบนเกาะเจนัสในปี ๑๙๒๐ มันเหมือนกับว่าดวงไฟที่นั่น กำลังเพรียกหาเขา เพราะตั้งอยู่อย่างหมิ่นเหม่ที่ริมขอบของไหล่ทวีป เจนัสจึงไม่ใช่จุด ปฏิบตั งิ านทีเ่ ป็นทีน่ ยิ ม แม้จะจัดอันดับความยากลำบากของมันไว้ในประเภท 11
เ ร า ต่ า ง ห ล ง ท า ง ใ น แ ส ง ส ว่ า ง
เกรดหนึง่ ซึง่ หมายถึงเงินเดือนทีส่ งู กว่าเล็กน้อย แต่พวกพนักงานเก่าบอกว่า มันไม่คุ้มค่าเงินเลย ถึงอย่างไรก็ไม่พออยู่ดี ผู้ดูแลประภาคารที่ทอมมารับ หน้าที่แทนบนเกาะเจนัสคือทริมเบิล โดเฮอร์ตี้ ผู้สร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย ด้วยการรายงานว่าภรรยาของเขาส่งสัญญาณให้เรือที่แล่นผ่านไปมาด้วยการ เรียงร้อยข้อความด้วยธงสีซึ่งเป็นรหัสระหว่างประเทศ นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจ ยอมรับได้สำหรับเจ้าหน้าที่ทางการด้วยเหตุผลสองข้อ ข้อแรกเป็นเพราะว่า รองผู้อำนวยการหน่วยงานประภาคารเคยสั่งห้ามการส่งสัญญาณด้วยธง บนเกาะเจนัสก่อนหน้านั้นหลายปีแล้ว เนื่องจากเรือต่าง ๆ พาตัวเองเข้าไป เสี่ ย งอั น ตรายด้ ว ยการแล่ น เข้ า ไปใกล้ พ อที่ จ ะถอดรหั ส สั ญ ญาณเหล่ า นั้ น และข้อที่สองเป็น เพราะภรรยาคนที่ว่านั่นเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อไม่นานนี้เอง จดหมายโต้ตอบระหว่างเมืองฟรีแมนเทิลและเมลเบิร์นเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลายฉบับถูกทำสำเนาไว้สามชุด รองผู้อำนวยการที่ฟรีแมนเทิลเสนอข้อ โต้แย้งเพื่อสนับสนุนโดเฮอร์ตี้และการปฏิบัติหน้าที่ที่ดีเยี่ยมของเขาเป็นเวลา หลายปี ต่อสำนักงานใหญ่ที่สนใจแต่เรื่องประสิทธิภาพ ต้นทุน และการ ปฏิบัติตามกฎระเบียบล้วน ๆ มีการตกลงประนีประนอมกันด้วยการว่าจ้าง ผู้ดูแลประภาคารชั่วคราวระหว่างที่โดเฮอร์ตี้ลาพักรักษาตัวนานหกเดือน “ปกติเราจะไม่ส่งชายโสดไปที่เจนัสหรอก มันไกลเอาเรื่อง ภรรยากับ ครอบครัวจัดได้ว่าเป็นความช่วยเหลืออย่างใหญ่หลวงในทางปฏิบัต ิ ไม่ใช่แค่ ความอุ่นใจ” เจ้าหน้าที่ประจำเขตกล่าวแก่ทอม “แต่เนื่องจากว่ามันเป็นกรณี ชัว่ คราวเท่านัน้ ...คุณจะออกเดินทางไปพาร์เทจัสในอีกสองวัน” เขาบอก และ เซ็นสัญญาว่าจ้างทอมเป็นเวลาหกเดือน ไม่มีอะไรให้จัดเตรียมมากนัก ไม่มีผู้ใดให้อำลา สองวันต่อมา ทอมเดิน ขึ้นสะพานกราบเรือพร้อมถุงสัมภาระและแทบจะไม่มีสิ่งใดอีก เรือกลไฟ พรอมิเธอุส คอ่ ย ๆ แล่นลัดเลาะไปตามแนวชายฝัง่ ทางตอนใต้ของออสเตรเลีย หยุดแวะที่ท่าเรือหลายแห่งบนเส้นทางระหว่างซิดนีย์และเพิร์ท ห้องโดยสาร ไม่กี่ห้องที่สงวนไว้สำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่งอยู่ชั้นบนค่อนไปทางหัวเรือ ส่วน ชัน้ สามนัน้ ทอมอยูร่ ว่ มห้องกับกะลาสีสงู วัยคนหนึง่ “เดินทางเส้นนีม้ าตลอด 12
เ อ็ ม. แ อ ล. ส เ ต ด แ ม น
ห้าสิบปีแล้ว พวกเขาไม่บังอาจมาขอให้ฉันจ่ายเงินหรอก จะโชคร้ายเอาน่ะ” ชายผู้นั้นกล่าวอย่างร่าเริง ก่อนจะหันกลับไปสนใจเหล้ารัมชนิดแรงขวดใหญ่ ที่ทำให้เจ้าตัวง่วนอยู่ตลอด เพื่อหลบหนีจากไอระเหยของแอลกอฮอล์ ทอม เริ่มเดินไปมาบนดาดฟ้าเรือระหว่างวันจนเป็นกิจวัตร สำหรับตอนค่ำก็มักจะ เล่นไพ่สักตาหนึ่งในท้องเรือ แค่มองแวบหนึ่งคุณก็บอกได้ว่าใครเคยไปที่โน่นมาแล้ว และใครนั่งรออยู่ เฉย ๆ ที่บ้านให้สงครามสิ้นสุดลง คุณจะได้กลิ่นมันบนตัวคนผู้นั้น แต่ละคน มักจะเกาะกลุ่มอยู่กับพวกเดียวกันเอง การอยู่ในท้องเรือทำให้หวนนึกไปถึง เรือลำเลียงพลที่พาพวกเขาไปยังดินแดนตะวันออกกลาง และต่อจากนั้น ก็ไปสู่ฝรั่งเศส ภายในไม่กี่อึดใจหลังจากที่ลงเรือมา พวกเขาก็อนุมานได้ แทบจะด้วยประสาทสัมผัสแบบสัตว์ว่าใครเป็นนายทหาร ใครมียศต่ำกว่า และพวกเขาเคยไปที่ไหนมาแล้ว เช่นเดียวกันกับบนเรือลำเลียงพล จุดสนใจหลักคือการหาเรื่องสนุก เล็ก ๆ น้อย ๆ มาทำให้การเดินทางมีชีวิตชีวาขึ้น เกมที่ตกลงกันเป็นที่คุ้นเคย พอสมควร คนแรกที่เอาของที่ระลึกจากผู้โดยสารชั้นหนึ่งมาได้คือผู้ชนะ แต่ ไม่ใช่ของที่ระลึกอะไรก็ได้เท่านั้น สิ่งของจำเพาะก็คือกางเกงในสุภาพสตรี ตัวหนึ่ง “เงินรางวัลเพิ่มเป็นสองเท่าถ้าเจ้าหล่อนสวมมันอยู่ตอนนั้น” หัวโจกซึ่งเป็นชายชื่อแม็คโกแวน ผู้ไว้หนวดและมีนิ้วมือเหลืองอ๋อย เพราะบุหรี่วู้ดไบน์ส บอกว่าเขาได้คุยกับพนักงานบริการประจำเรือคนหนึ่ง เกีย่ วกับรายชือ่ ผูโ้ ดยสาร ตัวเลือกมีจำกัด มีหอ้ งโดยสารรวมทัง้ หมดสิบห้อง ทนายความคนหนึ่งกับภรรยา อยู่ห่าง ๆ จากพวกเขาจะเป็นการดีที่สุด มีคู่ สามีภรรยาสูงวัยสองสามคู่ สาวทึนทึกแก่ ๆ สองคน (ท่าจะได้ผล) แต่ที่ เยี่ยมสุดก็คือลูกสาวของพวกชนชั้นสูงรายหนึ่งที่เดินทางโดยลำพัง “ฉันคิดว่าเราปีนขึ้นไปทางด้านข้างและเข้าไปทางหน้าต่างห้องของเธอ ได้” เขาประกาศ “ใครจะเอากับฉันบ้าง” ความสุ่มเสี่ยงของภารกิจนี้ไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้ทอม เขา ได้ยินเรื่องเล่าแบบนั้นมาหลายสิบเรื่องแล้วตั้งแต่กลับมา พวกผู้ชายที่เริ่มติด 13
เ ร า ต่ า ง ห ล ง ท า ง ใ น แ ส ง ส ว่ า ง
นิสัยเอาชีวิตของตัวเองเข้าไปเสี่ยงตามอารมณ์ชั่วแล่น ทำราวกับว่าแผงกั้น ทางรถไฟเป็นการควบม้าข้ามเครือ่ งกีดขวาง ว่ายเข้าไปในกระแสน้ำเชีย่ วกราก เพือ่ ดูวา่ พวกเขาจะหนีพน้ ออกมาได้หรือไม่ บุรษุ มากมายทีห่ ลบหลีกความตาย นั้นมาได้ ดูเหมือนจะเสพติดเสน่ห์ดึงดูดของมัน กระนั้นก็ตาม คนกลุ่มนี้ เป็นตัวของตัวเอง คงจะทำปากเก่งไปเท่านั้นเอง คืนถัดมา เมื่อฝันร้ายหนักข้อกว่าปกติ ทอมตัดสินใจหลบหนีมันด้วยการ เดินไปตามชั้นต่าง ๆ ของเรือ ตอนนั้นเป็นเวลาตีสอง เขามีอิสระที่จะเดินเตร่ ไปทุกที่ที่ต้องการในเวลาดังกล่าว ดังนั้นเขาจึงเดินไปมาอย่างมีแบบแผน เฝ้ามองแสงจันทร์ฝากรอยเงาไว้บนผิวน้ำ เขาปีนขึ้นไปยังดาดฟ้าชั้นบน จับ ราวบันไดไว้แน่นเพื่อต้านการโคลงเคลงอันแผ่วเบา แล้วยืนอยู่ด้านบนสุด ชัว่ ขณะ ดืม่ ด่ำกับความสดชืน่ ของสายลมและความแน่วนิง่ มัน่ คงของดวงดาว ที่พร่างพรายในยามราตรี จากหางตา เขามองเห็นแสงวับแวมสว่างขึ้นในห้องโดยสารห้องหนึ่ง แม้แต่ผู้โดยสารชั้นหนึ่งก็ยังนอนไม่ค่อยจะหลับในบางครั้ง เขารำพึงในใจ แต่แล้วสัมผัสที่หกอย่างหนึ่งก็ตื่นขึ้นในตัวเขา สัญชาตญาณที่เคยคุ้นและ ยากจะอธิบายทีบ่ อกให้รวู้ า่ มีปญ ั หาเกิดขึน้ เขาเคลือ่ นกายไปทีห่ อ้ งโดยสารนัน้ อย่างเงียบเชียบ แล้วมองเข้าไปทางหน้าต่าง ในแสงสลัวราง เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งแนบร่างติดผนัง ถูกตรึงเอาไว้ อย่างนั้นแม้ว่าชายที่อยู่ตรงหน้าเธอจะไม่ได้แตะต้องตัวเธอ เขาอยู่ห่างจาก ใบหน้าของเธอเพียงนิดเดียว มีสีหน้าแววตาโลมเลียที่ทอมเคยเห็นมานัก ต่อนัก เขาจำชายผูน้ นั้ ได้จากท้องเรือและหวนนึกถึงรางวัลขึน้ มาได้ เจ้าพวกงัง่ ไร้สติ เขาลองเปิดประตูและมันก็เปิดออก “อย่ายุง่ กับเธอ” เขาเอ่ยขึน้ เมือ่ ก้าวเข้าไปในห้องโดยสาร เขาพูดอย่าง ใจเย็น แต่ไม่เปิดช่องให้โต้แย้ง ชายคนนั้นหันขวับมาดูว่าใครและยิ้มยิงฟันเมื่อจำทอมได้ “บ้าฉิบ! นึกว่านายเป็นพนักงานบริการซะอีก! นายจะช่วยฉันก็ได้นะ ฉันแค่กำลัง...” “ฉันบอกว่าอย่ายุ่งกับเธอ! ออกไปได้แล้ว เดี๋ยวนี้เลย” 14
เ อ็ ม. แ อ ล. ส เ ต ด แ ม น
“แต่ฉันยังไม่เสร็จธุระ ฉันก็แค่กำลังจะทำให้เจ้าหล่อนสนุกสุดเหวี่ยง ในวันนี้” ตัวเขาโชยกลิ่นเหล้ากับยาเส้นเก่าอับคละคลุ้ง ทอมวางมือข้างหนึ่งบนไหล่ของอีกฝ่าย และบีบแรงจนชายผู้นั้นร้อง ออกมา เขาเตีย้ กว่าทอมอย่างน้อยก็หกนิว้ แต่พยายามจะเหวีย่ งหมัดใส่ทอม อยู่ดี ทอมคว้าข้อมือของเขาแล้วบิด “ชื่อกับยศ!” “แม็คเคนซี พลทหาร ๓๒๗๗” เลขหมวดที่ไม่มีใครร้องขอตามติด ออกมาเหมือนปฏิกิริยาสะท้อนกลับ “พลทหาร นายจะต้องขออภัยสุภาพสตรีผู้น ี้ และนายจะต้องกลับไป ที่เตียงนอนของนาย และห้ามโผล่หน้ามาบนดาดฟ้าเรือจนกว่าเราจะเทียบท่า เข้าใจที่ฉันพูดไหม” “ครับผม!” เขาหันไปทางสตรีผู้นั้น “ขออภัยครับ มิส ไม่มีเจตนา จะทำร้ายครับ” สตรีคนดังกล่าวพยักหน้าเพียงนิด ท่าทางยังคงหวาดกลัวอยู่ “ออกไปได้แล้ว!” ทอมบอก แล้วชายผู้นั้นก็เดินลากเท้าออกไปจาก ห้องโดยสาร ถูกสยบด้วยสติที่กลับคืนมาทันทีทันใด “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” ทอมถามผู้หญิงคนนั้น “ฉัน...ฉันคิดว่าไม่เป็นอะไรค่ะ” “เขาทำร้ายคุณหรือ” “เขาไม่ได้...” เธอกำลังพูดกับตัวเองพอ ๆ กับที่พูดกับเขา “เขาไม่ได้ แตะต้องตัวฉันหรอกค่ะ” เขามองใบหน้าสตรีผู้นั้นอย่างสังเกตสังกา นัยน์ตาสีเทาของเธอดู สงบนิ่งขึ้นแล้ว ผมสีเข้มของเธอปล่อยสยายเป็นลอนมาถึงแขน และมือ ทั้งสองยังคงกำรวบชุดนอนเข้ามาชิดลำคอ ทอมเอื้อมมือไปหยิบเสื้อคลุม ของเธอจากตะขอบนผนัง แล้วคลุมไหล่ของเธอไว้ “ขอบคุณค่ะ” เธอเอ่ยปาก “คงตกใจแย่เลยนะครับ ผมเกรงว่าพวกเราบางคนไม่คุ้นกับการมี สุภาพชนอยู่ด้วยในสมัยนี้” เธอไม่พูดอะไร 15
เ ร า ต่ า ง ห ล ง ท า ง ใ น แ ส ง ส ว่ า ง
“เขาจะไม่มาก่อเรื่องให้คุณเดือดเนื้อร้อนใจอีก” เขายกเก้าอี้ตัวหนึ่ง ที่ล้มคว่ำในระหว่างการเผชิญหน้าตั้งขึ้นมาใหม่ “แล้วแต่คุณนะครับ มิส ว่าจะรายงานเรื่องเขาหรือเปล่า ผมว่าตอนนี้หมอนั่นไม่ค่อยจะเต็มผู้เต็มคน สักเท่าไหร่” นัยน์ตาของเธอฉายแววสงสัย “การอยู่ที่โน่นทำให้คนเราเปลี่ยนไปครับ ถูกผิดดูไม่ต่างกันอีกต่อไป ในสายตาของบางคน” เขาหมุนตัวเพื่อจะเดินจากไป แต่โผล่หน้ากลับเข้ามา ตรงช่องประตู “คุณมีสิทธิ์ทุกประการที่จะส่งตัวเขาขึ้นศาลพร้อมข้อหาถ้าคุณ ต้องการ แต่ผมคิดว่าเขาคงมีปัญหามากพออยู่แล้ว อย่างที่บอกน่ะครับ แล้วแต่คุณ” แล้วเขาก็หายลับออกไปทางประตู
16
๒ แหลมพาร์เทจัส ได้ชื่อมาจากเหล่านักสำรวจชาวฝรั่งเศส ผู้ทำ
แผนที่ ผื น ดิ น แคบยาวที่ ยื่ น ออกไปจากมุ ม ด้ า นตะวั น ตกเฉี ย งใต้ ข องทวี ป ออสเตรเลีย นานก่อนที่การรุดเข้าไปยึดครองดินแดนแถบตะวันตกมาเป็น อาณานิคมของพวกอังกฤษจะเริ่มขึ้นในปี ๑๘๒๖ นับแต่นั้นมาบรรดาผู้ตั้ง ถิ่นฐานก็ได้ทยอยเดินทางขึ้นเหนือจากออลบานีและลงใต้จากสวอนริเวอร์ โคโลนี พร้อมกับอ้างกรรมสิทธิใ์ นผืนป่าดิบระยะทางหลายร้อยไมล์ระหว่างนัน้ ต้นไม้สูงเทียมยอดวิหารถูกโค่นลงด้วยเลื่อยมือเพื่อสรรค์สร้างทุ่งหญ้าสำหรับ เลีย้ งสัตว์ ถนนหนทางผอมกะหร่องถูกแซะถูกสกัดไปทีละนิว้ อย่างยากลำบาก โดยคนงานผิวขาวซีดพร้อมฝูงม้าขนาดใหญ่ที่ใช้ลากของหนัก ขณะที่ผืนดิน แห่งนี้ ซึ่งไม่เคยเสียโฉมด้วยน้ำมือของมนุษย์มาก่อน ถูกขุดลอกและเผา ถูกกำหนดในแผนที่และรังวัดจัดสรรออกไปแก่บรรดาผู้ที่เต็มใจจะเสี่ยงโชค กับซีกโลกซึง่ อาจจะนำพาความอับจนหนทาง ความตาย หรือโชคลาภมากกว่า ที่ฝันไว้มาสู่พวกเขา ชุมชนพาร์เทจัสล่องลอยไปด้วยกันเหมือนฝุ่นละอองจำนวนมากมาย ในสายลม และค่ อ ย ๆ ปั ก หลั ก อยู่ ณ จุ ด ที่ ม หาสมุ ท รสองผื น บรรจบกั น เพราะมีน้ำจืด ท่าเรือตามธรรมชาติ และดินดี ท่าจอดเรือของมันไม่ใช่คู่แข่ง ของออลบานีก็จริง แต่สะดวกสำหรับคนท้องถิ่นที่ขนส่งไม้แปรรูป ไม้จันทน์ 17
เ ร า ต่ า ง ห ล ง ท า ง ใ น แ ส ง ส ว่ า ง
หรือเนื้อวัวทางเรือ ธุรกิจเล็ก ๆ ผุดขึ้นและยึดติดเหมือนตะไคร่บนหน้าหิน ตัวเมืองเริ่มมีโรงเรียนหนึ่งแห่ง โบสถ์หลากหลายประเภทที่มีเพลงสวดกับ สถาปัตยกรรมทีแ่ ตกต่างกันออกไป บ้านก่อด้วยอิฐกับหินมากมายหลายหลัง แล้วยังที่สร้างด้วยไม้ฝากับสังกะสีอีกเป็นจำนวนมากงอกเงยขึ้นมา ร้านค้า สารพัดร้านทยอยตามมา รวมทัง้ ศาลากลางหนึง่ หลัง ถึงขนาดมีดาลเกตีส้ ส์ ต๊อก แอนด์สเตชั่นเอเจนซี่๑ แห่งหนึ่งด้วย แล้วก็ผับ ผับมากมาย ตลอดช่วงก่อร่างสร้างเมืองนั้น ความเชื่อที่เป็นที่รู้กันในพาร์เทจัสก็คือ เรื่อง จริงเกิดขึ้นที่อื่น ข่าวคราวของโลกภายนอกค่อย ๆ แผ่ซึมเข้ามาเหมือนฝน หยาดหยดจากต้นไม้ ข้อมูลเล็ก ๆ ตรงนี้บ้าง ข่าวลือตรงโน้นบ้าง โทรเลข ทำให้อะไรต่อมิอะไรเร็วขึ้นเล็กน้อยเมื่อสายโทรเลขมาถึงในปี ๑๘๙๐ และ ตั้งแต่นั้นมาชาวบ้านสองสามรายก็มีโทรศัพท์ใช้ เมืองถึงขนาดส่งทหารไป ร่วมรบที่ทรานส์วาลในปี ๑๘๙๙ และสูญเสียทหารไปหยิบมือหนึ่ง แต่โดย ทั่ว ๆ ไปแล้ว ชีวิตในพาร์เทจัสออกจะเป็นเหมือนการแสดงย่อยมากกว่า ซึ่ง ไม่มีสิ่งใดที่ชั่วร้ายเกินไปหรือวิเศษเกินไปจะเกิดขึ้นได้ แน่ละว่าเมืองอื่น ๆ ในแถบตะวันตกได้สัมผัสชีวิตในแบบที่ต่างออกไป อย่างเช่นแคลกูร์ลี ที่อยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดินใหญ่หลายร้อยไมล์ มีสายแร่ ทองคำใต้ดินที่ถูกปิดทับด้วยทะเลทราย ที่นั่นพวกผู้ชายเดินย่ำต๊อกเข้าไป พร้อมรถเข็นล้อเดียวกับถาดร่อนทอง และกลับออกมาในรถยนต์ที่จ่ายด้วย ทองคำก้อนโตเท่าแมว ในเมืองที่มีชื่อถนนซึ่งออกจะประหลาดอยู่บ้างอย่าง โครเอซัส โลกต้องการสิ่งที่แคลกูร์ลีมี สิ่งที่พาร์เทจัสมีให้คือไม้แปรรูปกับ ไม้จันทน์นั้นเป็นสิ่งที่เล็กน้อยด้อยความสำคัญ ไม่เหมือนความเจริญรุ่งเรือง ฟู่ฟ่าแบบแคลหรอก ครั้นแล้วในปี ๑๙๑๔ อะไร ๆ ก็เปลี่ยนไป พาร์เทจัสพบว่ามันเองก็มี บางสิ่งบางอย่างที่โลกต้องการเช่นกัน ซึ่งก็คือผู้ชาย ผู้ชายหนุ่ม ๆ ผู้ชายที่ ๑ Dalgety’s Stock and Station Agency ธุรกิจที่ให้บริการด้านคำแนะนำและความช่วยเหลือ อื่น ๆ แก่ชุมชนเกษตรกรรม
18
เ อ็ ม. แ อ ล. ส เ ต ด แ ม น
แข็งแรงสมบูรณ์ ผู้ชายที่ใช้ชีวิตด้วยการเงื้อขวานหรือจับคันไถและอยู่อย่าง สมบุกสมบัน ผู้ชายที่เป็นชิ้นเนื้อคุณภาพเยี่ยมที่จะถูกเซ่นสังเวยบนแท่นบูชา แห่งยุทธวิธีห่างออกไปอีกซีกโลกหนึ่ง ปี ๑๙๑๔ มี แ ต่ เ พี ย งธงทิ ว และเครื่ อ งหนั ง กลิ่ น สดใหม่ บ นชุ ด เครื่องแบบ จวบจนกระทั่งหนึ่งปีถัดมา ชีวิตจึงเริ่มรู้สึกไม่เหมือนเดิม เริ่ม รู้ สึ ก ราวกั บ ว่ า นี่ อ าจจะไม่ ใ ช่ ก ารแสดงย่ อ ย เมื่ อ แทนที่ จ ะได้ ส ามี แ ละ บุตรชายร่างสูงใหญ่แข็งแรงและเป็นสุดที่รักกลับคืน พวกผู้หญิงเริ่มได้รับ โทรเลข เศษกระดาษเหล่านี้ ซึ่งอาจร่วงผล็อยจากมือที่แข็งทื่อและปลิวว่อน ไปในสายลมที่ บ าดผิ ว ราวกั บ คมมี ด บอกคุ ณ ว่ า เด็ ก ชายที่ คุ ณ เคยให้ น ม อาบน้ ำ ดุ ด่ า ว่ า กล่ า ว และเสี ย น้ ำ ตาให้ นั้ น เสี ย ...เอ่ อ ...หาชี วิ ต ไม่ แ ล้ ว พาร์เทจัสเข้าร่วมกับโลกล่าช้าและในงานที่หนักหนาน่าเจ็บปวด แน่ละว่าการสูญเสียลูก ๆ เป็นสิ่งที่จะต้องทนเผชิญให้ได้มาแต่ไหน แต่ไร ไม่เคยมีเครื่องรับประกันใด ๆ ว่าการตั้งครรภ์จะนำไปสู่การให้กำเนิด เด็ ก ที่ ร อดชี วิ ต หรื อ ว่ า การให้ ก ำเนิ ด นั้ น จะนำไปสู่ ชี วิ ต ที่ ยื น ยาวแค่ ไ หน ธรรมชาติยินยอมให้ผู้ที่แข็งแรงสมบูรณ์และผู้ที่โชคดีเท่านั้นได้มีส่วนร่วม แบ่งปันดินแดนทีก่ ำลังจะกลายเป็นสรวงสวรรค์แห่งนี ้ ลองดูดา้ นในปกคัมภีร์ ไบเบิลประจำครอบครัวแล้วคุณจะเห็นข้อเท็จจริง สุสานก็บอกเล่าเรื่องราว ของเด็ ก ทารก เจ้ า ของเสี ย งที่ ใ นท้ า ยที่ สุ ด ต้ อ งยอมพ่ า ยแพ้ แ ก่ ค ำวิ ง วอน ของผู้เป็นมารดาให้ “เงียบนะจ๊ะ ลูก” เพราะพวกเขาถูกงูกัด เป็นไข้ หรือ ตกจากเกวียน พวกเด็ก ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่เริ่มคุ้นเคยกับวิธีใหม่ในการจัดโต๊ะ ให้มีที่นั่งน้อยลงไปหนึ่งที่ เช่นเดียวกับที่พวกเขาเริ่มชินกับการเบียดกันจน ตัวลีบบนม้านั่งเมื่อน้องอีกคนเกิด เหมือนนาข้าวสาลีที่เมล็ดพันธุ์ถูกหว่าน ลงไปเป็นจำนวนมากกว่าที่จะสุกงอมจนพร้อมเก็บเกี่ยว พระเจ้าดูเหมือนจะ ทรงโปรยพวกเด็ก ๆ เพิ่มลงไปเป็นพิเศษ แล้วทรงเก็บเกี่ยวพวกเขาไปตาม กำหนดเวลาบางอย่างที่มาจากเบื้องบนและไม่อาจเข้าใจได้ สุสานประจำเมือง บันทึกเรื่องนี้ไว้ด้วยความสัตย์จริงเสมอ และป้ายหินเหนือหลุมศพ บ้าง ง่อนแง่นเหมือนฟันสกปรกโยกเยก ก็บอกเล่าอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาถึง เรื่องราวของชีวิตที่ถูกคร่าไปแต่วัยเยาว์ โดยโรคไข้หวัดใหญ่และการจมน้ำ 19
เ ร า ต่ า ง ห ล ง ท า ง ใ น แ ส ง ส ว่ า ง
โดยไม้ที่อยู่ดี ๆ ก็หล่นใส่ และแม้แต่ฟ้าผ่า แต่ในปี ๑๙๑๕ มันก็เริ่มโกหก เด็กหนุ่ม ๆ และชายฉกรรจ์จากอีกฟากของเขตปกครองกำลังล้มตายเป็น จำนวนมาก แต่สุสานกลับไม่พูดอะไรเลย ความจริ ง ก็ คื อ ร่ า งที่ เ ยาว์ วั ย พากั น นอนจมโคลนอยู่ ไ กลแสนไกล เจ้าหน้าที่ทางการทำเท่าที่จะทำได้ ที่ใดที่สภาพการณ์และการสู้รบอำนวยให้ หลุมศพจะถูกขุด เมือ่ ใดทีม่ คี วามเป็นไปได้ในการปะติดปะต่อแขนขาชุดหนึง่ เข้าด้วยกันและระบุว่านั่นคือทหารหนึ่งคน ก็จะมีความพยายามทุกวิถีทาง เพื่อทำให้เป็นเช่นนั้น และเพื่อฝังเขาด้วยพิธีฝังศพแบบตามมีตามเกิด มีการ เก็บบันทึกข้อมูลไว้ ในเวลาต่อมามีการถ่ายภาพหลุมศพ และด้วยสนนราคา ๒ ปอนด์ ๑ ชิลลิง กับ ๖ เพนนี ครอบครัวหนึง่ สามารถซือ้ แผ่นป้ายอนุสรณ์ แบบเป็นทางการได้ หลังจากนั้นอนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกถึงทหารที่พลีชีพ ในสงครามจะผุ ด ขึ้ น จากพื้ น โลก พร่ ำ พรรณนา ไม่ ใ ช่ เ รื่ อ งความสู ญ เสี ย หากแต่เป็นเรื่องการเสียไปเพื่อได้อะไรมาและมันเป็นเรื่องที่วิเศษเพียงใด ที่ได้ชัยชนะ “ได้ชัยชนะและตายไป” บางคนบ่นอุบ “เป็นชัยชนะอันไร้ค่า” เมื่อปราศจากพวกผู้ชาย สถานที่แห่งนั้นก็เต็มไปด้วยหลุมรูพอ ๆ กับเนยแข็ง สวิส ใช่จะมีการเกณฑ์คนไปเป็นทหารเสียเมือ่ ไหร่ ไม่มใี ครบังคับให้พวกเขา ไปต่อสู้ เรื่องตลกร้ายเกิดแก่พวกที่ใครต่อใครเรียกว่า “โชคดี” เพราะพวกเขา มีโอกาสได้กลับมา กลับมาหาลูก ๆ ที่ขัดสีฉวีวรรณเพื่อการต้อนรับกลับบ้าน กลับมาหาสุนัขที่มีริบบิ้นผูกไว้ตรงปลอกคอเพื่อให้มันมีส่วนร่วมสนุกด้วย สุนขั มักจะสังเกตเห็นก่อนใครว่ามีเรือ่ งบางอย่างเกิดขึน้ ไม่ใช่แค่วา่ ชายนายนัน้ มีดวงตาข้างเดียวหรือว่าขาข้างหนึ่งขาดหายไป แต่ว่าเขาหายไปโดยรวม มากกว่า ยังคงหายไปในการสู้รบ แม้ว่าร่างกายของเขาไม่เคยสูญหายไปจาก สายตา ดูบิลลี่ วิชาร์ต จากโรงเลื่อยแซดเลอร์เป็นตัวอย่าง ลูกเล็กสามคน กั บ ภรรยาที่ ดี พ อที่ ผู้ ช ายสั ก คนจะมี สิ ท ธิ์ ห วั ง ให้ ไ ด้ ม า โดนก๊ า ซพิ ษ และ ไม่ ส ามารถถื อ ช้ อ นโดยไม่ ใ ห้ มั น สั่ น พั่ บ ๆ เหมื อ นเครื่ อ งตั ด ฟางและทำซุ ป กระเซ็ น เปรอะทั่ ว โต๊ ะ ไม่ ส ามารถจั ด การกั บ กระดุ ม เสื้ อ ผ้ า ของตนเองได้ 20
เ อ็ ม. แ อ ล. ส เ ต ด แ ม น
เพราะอาการสั่น เมื่อเขาอยู่ตามลำพังตอนกลางคืนกับภรรยา เขาไม่ยอม ถอดเสื้อผ้าและเอาแต่กอดตัวเองคุดคู้อยู่บนเตียงแล้วร้องไห้ หรืออย่าง เจ้ า หนุ่ ม แซม ดาวเซ็ ต ต์ ผู้ ร อดชี วิ ต จากการยกพลขึ้ น บกที่ กั ล ลิ โ พลี ใ น ครั้งแรก เพียงเพื่อจะสูญเสียแขนทั้งสองข้างกับใบหน้าครึ่งหนึ่งที่บุลเลคอร์ต มารดาม่ายของเขานั่งหลังขดหลังแข็งตอนกลางคืนและกังวลว่าใครจะเป็น คนดูแลหนุ่มน้อยของเธอเมื่อเธอจากไปแล้ว ไม่มีเด็กสาวคนไหนในพื้นที่นี้ ที่จะไร้สติพอจะยอมอ้าแขนรับเขาแล้ว หลุมรูในก้อนเนยแข็งสวิส บางสิ่ง บางอย่างหายไป เป็นเวลานานทีเดียว ผู้คนแสดงสีหน้าสับสนงุนงงเหมือนผู้เล่นเกมที่ กฎเกณฑ์ถูกเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน พวกเขาพยายามอย่างหนักที่จะ ปลอบใจตั ว เองด้ ว ยความคิ ด ที่ ว่ า พวกเด็ ก หนุ่ ม ไม่ ไ ด้ ต ายอย่ า งสู ญ เปล่ า พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความถูกต้องอันน่าสรรเสริญ มีหลายครั้งที่พวกเขาเชื่อเช่นนั้นได้ และกล้ำกลืนเสียงกรีดร้องอย่างโกรธ เกรี้ ย วและอั บ จนหนทางที่ ต้ อ งการตะกายออกจากคอหอยของพวกเขา เหมือนออกจากตัวแม่นก หลังสงคราม ผูค้ นพยายามโอนอ่อนผ่อนปรนให้พวกผูช้ ายทีก่ ลับมาในสภาพ ติดเหล้าหรือชอบทะเลาะวิวาท หรือพวกที่ไม่สามารถรักษาหน้าที่การงานไว้ ได้นานเกินสองสามวัน ธุรกิจในเมืองเริม่ อยูต่ วั ในระดับหนึง่ เคลลีย่ งั คงมีรา้ น ขายของชำ คนขายเนื้อยังคงเป็นตาเฒ่าเล็น แบรดชอว์ แม้ว่าเล็นคนลูก อยากจะยึดตำแหน่งอยู่ยิก ๆ คุณบอกได้จากวิธีที่เขาล้ำพื้นที่ตรงเคาน์เตอร์ ของผู้เป็นพ่อมากไปหน่อย เมื่อเขาชะโงกตัวผ่านหน้าชายชราเพื่อจะหยิบ เนื้อติดกระดูกชิ้นหนึ่งหรือเนื้อส่วนแก้มของหมูขึ้นมา มิสซิสอิงค์เพ็น (ผู้ ดูเหมือนจะไม่เคยมีชื่อตัวเลย แม้ว่าน้องสาวของเธอจะเรียกเธอว่า พ็อพซี เมื่ออยู่กันตามลำพัง) รับช่วงกิจการช่างทำเกือกม้า เมื่อแม็ค สามีของเธอ ไม่สามารถเอาชีวิตรอดกลับมาจากกัลลิโพลี เธอมีใบหน้าแข็งกร้าวพอ ๆ กับ เหล็กทีพ่ วกคนงานหนุม่ ใช้เพือ่ ตอกกีบเท้าม้า และหัวใจทีแ่ ข็งกร้าวดุจเดียวกัน เธอมี พ วกผู้ ช ายตั ว ใหญ่ ล่ ำ เป็ น ลู ก น้ อ งและทุ ก คนก็ ไ ด้ แ ต่ “ครั บ มิ ส ซิ ส 21
เ ร า ต่ า ง ห ล ง ท า ง ใ น แ ส ง ส ว่ า ง
อิงค์เพ็น ไม่ใช่ครับ มิสซิสอิงค์เพ็น สามถุงเต็ม ๆ ครับ มิสซิสอิงค์เพ็น” แม้ว่าพวกเขาคงยกตัวเธอขึ้นมาได้โดยแทบจะไม่ต้องใช้อะไรมากไปกว่า นิ้วมือหนึ่งนิ้ว ผู้คนรู้ว่าจะให้ใครซื้อเชื่อและจะเรียกเก็บเงินล่วงหน้าจากใคร จะเชื่อ ใครเมื่อพวกเขานำสินค้ากลับมาและขอเงินคืน ร้านจำหน่ายผ้าและอุปกรณ์ เย็บปักถักร้อยของมูชมอร์ขายดีที่สุดช่วงคริสต์มาสและอีสเตอร์ แต่ช่วง ก่ อ นเข้ า สู่ ฤ ดู ห นาวพวกเขาขายไหมพรมสำหรั บ ถั ก นิ ต ติ้ ง ได้ อ ย่ า งรวดเร็ ว สินค้าประเภททีไ่ ม่สามารถกล่าวถึงได้ของสุภาพสตรีกท็ ำกำไรดีเช่นกัน แลร์รี่ มูชมอร์ เคยตบหนวดแหลมชีข้ องเขาเบา ๆ เมือ่ เขาแก้ไขการออกเสียงนามสกุล ของเขาผิดไป (“มันคล้ายกับ ‘มูฟ’ ไม่เหมือน ‘เมาส์’ ”) และเฝ้ามองด้วยความ ขนพองสยองเกล้า เมื่อจู่ ๆ มิสซิสเทอร์เคิลก็ตัดสินใจที่จะเปิดร้านขายเสื้อ ขนสัตว์ทหี่ อ้ งถัดไป ร้านเสือ้ ขนสัตว์หรือ ทีแ่ หลมพาร์เทจัสเนีย่ นะ ขอทีเถอะ! เขายิ้มอย่างอ่อนโยนเมื่อมันปิดตัวลงภายในหกเดือนและซื้อสินค้าที่เหลือ เอาไว้หมด “เป็นการแสดงออกถึงความกรุณาของคนบ้านใกล้เรือนเคียง” แล้วขายออกไปโดยทำกำไรได้มากพอควรแก่กปั ตันเรือกลไฟลำหนึง่ ทีก่ ำลังจะ มุ่งหน้าสู่แคนาดา ซึ่งกล่าวว่าที่นั่นพวกเขาคลั่งไคล้ของประเภทนี้กัน ดังนั้นพอถึงปี ๑๙๒๐ พาร์เทจัสก็มีส่วนผสมของความภาคภูมิใจ แบบไม่เต็มที่เสียทีเดียว กับประสบการณ์กร้านโลกแบบที่เป็นลักษณะเฉพาะ ของเมืองในออสเตรเลียตะวันตก ตรงกลางสนามหญ้าสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ใกล้ ถนนสายหลัก มีเสาโอเบลิสก์หินแกรนิตต้นใหม่ที่แสดงรายชื่อของเหล่าบุรุษ และเด็กหนุ่ม บางคนอายุยังไม่ถึงสิบหกดี ซึ่งจะไม่หวนกลับมาไถนาหรือ ตัดต้นไม้ จะไม่ได้ร่ำเรียนจนจบ แม้ว่าหลายคนในเมืองจะกลั้นใจรอคอย พวกเขาอยู่ ทีละเล็กทีละน้อย ชีวิตถักทอประสานเข้าด้วยกันอีกครั้งจน กลายเป็นผืนผ้าที่เหมาะกับสภาพความเป็นจริง ด้ายทุกเส้นในนั้นตัดผ่าน เส้นอื่น ๆ ซ้ำไปซ้ำมา ผ่านโรงเรียน หน้าที่การงาน และการแต่งงาน ปัก ลวดลายสายสัมพันธ์ที่มองไม่เห็นในสายตาผู้ที่ไม่ใช่ชาวเมือง และเจนัสร็อค ซึ่งเชื่อมโยงกับที่อื่นด้วยเรือเสบียงปีละสี่ครั้งเท่านั้น ห้อยต่องแต่งจากริมผืนผ้าคล้ายกระดุมตรึงไม่แน่นที่อาจร่วงดิ่งลงสู่ทวีป 22
เ อ็ ม. แ อ ล. ส เ ต ด แ ม น
แอนตาร์กติกาอย่างง่ายดาย ท่าเทียบเรือแคบยาวที่แหลมพาร์เทจัสทำจากไม้ยูคาลิปตัส ชนิดเดียวกับ ที่แล่นกึงกังขนานไปกับมันในตู้รถไฟเพื่อขนไปไว้บนเรือ เวิ้งอ่าวกว้างที่มี ตัวเมืองเจริญเติบโตอยู่เหนือขึ้นไปนั้นเป็นสีเทอร์คอยส์ใสกระจ่าง และใน วั น ที่ เ รื อ ของทอมเที ย บท่ า มั น เปล่ ง ประกายแวววาวราวกระจกที่ ขั ด ถู จนเงาวับ พวกคนงานเดิ น กระวี ก ระวาดไปมา ยกของขึ้ น และถ่ า ยของลง แบกหามและปลุกปล้ำกับบรรดาสินค้า พร้อมส่งเสียงร้องตะโกนหรือเป่า นกหวีดเป็นครัง้ คราว ความอึกทึกวุน่ วายบนชายฝัง่ ยังคงดำเนินต่อไป ขณะที่ ผู้คนไปโน่นมานี่ด้วยท่าทีมุ่งมั่น จะเดินเท้าหรือนั่งรถม้าก็ตาม สิง่ ผิดแปลกในภาพการแสดงทีม่ ปี ระสิทธิภาพนีก้ ค็ อื หญิงสาวคนหนึง่ ที่กำลังให้ขนมปังแก่นกนางนวลฝูงหนึ่ง เธอหัวเราะร่าขณะโยนเศษขนมปัง แต่ ล ะชิ้ น ไปคนละทิ ศ ละทาง เฝ้ า มองพวกนกทะเลาะเบาะแว้ ง และกรี ด เสียงร้องเพราะกระตือรือร้นที่จะได้รางวัลสักชิ้น นกนางนวลตัวหนึ่งบินร่อน งับอาหารไปคำโตและยังคงโฉบดิ่งลงมาหาชิ้นต่อไป ทำให้เด็กสาวหัวเราะ กรี๊ดกร๊าดขึ้นมาใหม่ ดูเหมือนจะผ่านไปนานหลายปีแล้วตัง้ แต่ทอมได้ยนิ เสียงหัวเราะทีไ่ ม่ได้ เจือความกระด้างและความขมขื่น ตอนนั้นเป็นยามบ่ายของวันที่มีแดดสดใส ในฤดูหนาว ในตอนนั้นเขาไม่ต้องไปที่ไหน ไม่มีอะไรที่ต้องทำ เขาจะลงเรือ ออกไปที่เจนัสในอีกสองสามวัน เมื่อเขาได้พบผู้คนที่เขาจำเป็นต้องพบและ เซ็นชือ่ ในแบบฟอร์มทีจ่ ำเป็นต้องเซ็นแล้ว แต่สำหรับตอนนีไ้ ม่มสี มุดลงบันทึก ที่ต้องเขียน ไม่มีกระจกสะท้อนแสงปริซึมให้เช็ดถู ไม่มีถังให้เติมเชื้อเพลิง ที่ตรงนี้คือใครบางคนที่กำลังเล่นสนุกนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้น จู่ ๆ มันก็รู้สึก เหมือนหลักฐานอันหนักแน่นที่พิสูจน์ให้เห็นว่าสงครามยุติลงแล้วจริง ๆ เขา นั่งอยู่บนม้านั่งใกล้กับท่าเทียบเรือ ปล่อยให้แสงอาทิตย์โลมไล้ใบหน้าและ เฝ้าดูเด็กสาวเล่นสนุกไปพลาง เกลียวผมสีเข้มของเธอหมุนพลิ้วคล้ายผืน ตาข่ายสะบัดโบกล้อลม เขามองตามเรียวนิ้วบอบบางของเธอเมื่อมันทำให้ 23
เ ร า ต่ า ง ห ล ง ท า ง ใ น แ ส ง ส ว่ า ง
เกิดเงาดำตัดกับผืนน้ำ เขาค่อย ๆ สังเกตเห็นว่าเธองามชวนมอง และยิ่ง มากขึ้นไปอีกว่าเธอน่าจะเป็นคนสวย “คุณยิ้มเรื่องอะไรหรือคะ” เด็กสาวร้องถาม ทำเอาทอมไม่ทันตั้งตัว “ขอโทษครับ” เขารู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงขึ้นมา “อย่าขอโทษเรื่องยิ้มเป็นอันขาด!” เธออุทานออกมาด้วยเสียงที่เจือ อารมณ์ เ ศร้ า ชอบกล จากนั้ น สี ห น้ า ของเธอก็ แ จ่ ม ใสขึ้ น “คุ ณ ไม่ ใ ช่ ค นที่ พาร์เทจัสนี่นา” “ครับ” “ฉันเป็นคนที่นี่ค่ะ ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาตลอด เอาขนมปังหน่อยไหม” “ขอบคุณ แต่ผมไม่หิว” “ไม่ใช่สำหรับคุณ ตาบ๊อง! ให้พวกนกนางนวลกินต่างหาก” เธอยื่นขนมปังก้อนหนึ่งในมือให้เขา หนึ่งปีก่อนหน้า อาจจะหนึ่งวัน ก่อนหน้าด้วยซ้ำ ทอมคงจะปฏิเสธและเดินหนีไปแล้ว แต่จู่ ๆ ความอบอุ่น อิสรภาพ รอยยิ้ม และอะไรบางอย่างที่ทอมไม่สามารถระบุได้แน่ชัด ทำให้ เขายอมรับสิ่งที่เสนอมาให้ “พนันเลยว่าฉันทำให้พวกมันเข้ามาหาได้มากกว่าคุณ” เธอพูด “เอาเลย ผมรับคำท้า!” ทอมบอก “เริ่มได้!” เธอประกาศ แล้วทั้งสองคนก็เริ่มโยนเศษขนมปังสูงขึ้นไป ในอากาศ หรือไม่ก็โยนทำมุมแบบมีชั้นเชิง และก้มหลบเมื่อพวกนกนางนวล ร้องแคว้กและพุ่งดิ่งลงมาตีปีกใส่กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ในที่สุด เมื่อขนมปังหมดเกลี้ยง ทอมถามกลั้วหัวเราะ “ใครชนะล่ะ” “อ้าว! ฉันลืมตัดสินค่ะ” เธอยักไหล่ “เอาเป็นว่าเสมอก็แล้วกัน” “ก็ได้” เขาพูดพร้อมกับสวมหมวกกลับไปใหม่ แล้วหยิบถุงผ้าใบขึน้ มา “เห็นจะต้องไปเสียที ขอบคุณนะครับ ผมสนุกมาก” เธอยิ้ม “มันก็แค่เกมไร้สาระเกมหนึ่งน่ะค่ะ” “งั้น” เขาพูด “ขอบคุณที่ช่วยให้ผมจำได้ว่าเกมไร้สาระเป็นเรื่องสนุก” เขาเหวี่ ย งถุ ง ผ้ า ใบพาดไหล่ ก ว้ า งแล้ ว หั น ไปทางตั ว เมื อ ง “ขอให้ เ พลิ น กั บ ยามบ่ายนะครับ มิส” เขาเสริม 24
เ อ็ ม. แ อ ล. ส เ ต ด แ ม น
ทอมกดกริ่ ง หน้ า หอพั ก บนถนนสายหลั ก มั น เป็ น บ้ า นของมิ ส ซิ ส มิ เ ว็ ต ต์ สตรีวัยหกสิบเศษ ร่างอ้วนป้อมราวกับขวดพริกไทย ผู้เปิดฉากจู่โจมเขา “จดหมายของคุณบอกว่าคุณเป็นหนุ่มโสดและมาจากภาคตะวันออก ดังนั้น ฉันจะขอบคุณถ้าคุณระลึกเอาไว้ว่าตอนนี้คุณอยู่ในพาร์เทจัสแล้ว นี่เป็น สถานที่พักแบบคริสเตียนและห้ามดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบยาเส้นในอาณา บริเวณเป็นอันขาด” ทอมกำลังจะเอ่ยปากขอบคุณหล่อนสำหรับกุญแจในมือของหล่อน แต่หล่อนกำมันไว้อย่างเอาเรื่องขณะกล่าวต่อ “ห้ามเอานิสัยแปลก ๆ ของคุณ มาใช้ทนี่ ี่ ฉันรูน้ ะว่าอะไรเป็นอะไร ฉันเปลีย่ นผ้าปูทนี่ อนเมือ่ คุณออกจากห้อง และก็หวังว่าจะไม่ต้องซักมัน ถ้าคุณรู้นะว่าฉันหมายถึงอะไร ประตูจะล็อก ตอนสี่ทุ่ม อาหารเช้าเสิร์ฟตอนหกโมง และถ้าคุณไม่โผล่มาคุณก็ต้องทนหิว ไป น้ำชาเสิร์ฟตอนห้าโมงครึ่งและใช้กฎข้อเดียวกัน ส่วนอาหารกลางวัน คุณไปหากินที่อื่น” “เป็นพระคุณอย่างยิ่งครับ มิสซิสมิเว็ตต์” ทอมพูดและตัดสินใจ ไม่ยิ้ม เผื่อว่ามันจะละเมิดกฎข้ออื่นใดอีก “น้ำร้อนต้องจ่ายเพิ่มสัปดาห์ละหนึ่งชิลลิง แล้วแต่คุณนะว่าจะเอา หรือไม่เอา ในความเห็นของฉัน น้ำเย็นไม่เคยส่งผลเสียต่อผู้ชายวัยเดียวกับ คุณหรอก” หล่อนยื่นกุญแจห้องพรวดมาให้เขา ขณะที่หล่อนเดินกะเผลก ไปตามระเบียงทางเดินนั้น ทอมนึกสงสัยว่ามีมิสเตอร์มิเว็ตต์สักคนหรือเปล่า ที่ทำให้หล่อนรักใคร่เอ็นดูพวกผู้ชายขนาดนั้น ในห้องขนาดเล็กด้านหลังหอพัก ทอมเอาข้าวของออกจากถุงผ้าใบ แล้ววางสบู่กับอุปกรณ์โกนหนวดของตนอย่างเป็นระเบียบบนชั้นวางของ ชัน้ เดียวทีม่ ใี ห้ เขาพับกางเกงชัน้ ในขายาวกับถุงเท้าใส่ไว้ในลิน้ ชัก แล้วแขวน เสื้อเชิ้ตสามตัวกับกางเกงขายาวสองตัว พร้อมทั้งสูทชุดเก่งกับเน็คไทไว้ ในตู้เสื้อผ้าแคบ ๆ เขาสอดหนังสือเล่มหนึ่งไว้ในกระเป๋า แล้วออกจากที่พัก ไปสำรวจตัวเมือง
25
เ ร า ต่ า ง ห ล ง ท า ง ใ น แ ส ง ส ว่ า ง
หน้าที่สุดท้ายของทอม เชอร์บอร์น ในพาร์เทจัสคือร่วมรับประทานอาหารค่ำ กับนายท่าและภรรยาของเขา กัปตันเพอร์ซี แฮสลัค เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ การเดินทางเข้าออกทัง้ หมดทีท่ า่ เรือ และเป็นเรือ่ งปกติทผี่ ดู้ แู ลประภาคารเจนัส หน้าใหม่ทุกคนจะได้รับเชิญไปทานอาหารค่ำกับเขาก่อนออกเดินทางไปที่เกาะ ทอมอาบน้ ำ และโกนหนวดอี ก ครั้ ง ในตอนบ่ า ย ใส่ น้ ำ มั น แต่ ง ผม บริลเลียนไทน์ สวมเชิ้ตมีปกติดกระดุมแล้วสวมเสื้อสูททับ แสงแดดในช่วง วันก่อน ๆ ถกู แทนทีด่ ว้ ยเมฆและลมแรงจัดทีพ่ ดั ตรงมาจากทวีปแอนตาร์กติกา เขาจึงสวมเสื้อโค้ตตัวยาวทับอีก เพราะยังทำอะไรตามมาตรฐานของซิดนีย์ เขาจึงเผื่อเวลาเหลือเฟือ เพื่อเดินไปบนเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย และมาถึงบ้านนั้นออกจะเร็วไปสักนิด เจ้าภาพต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้มกว้าง และเมื่อทอมกล่าวขอโทษที่มาถึงก่อน เวลา ‘มิสซิสกัปตันแฮสลัค’ ตามทีผ่ เู้ ป็นสามีเรียกขานนัน้ ตบมือและบอกว่า “ตายจริง มิสเตอร์เชอร์บอร์น! คุณแทบจะไม่จำเป็นต้องขอโทษที่ให้เกียรติ เราด้วยการมาปรากฏตัวตรงเวลาหรอกนะคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณนำ ดอกไม้ที่งดงามออกอย่างนั้นมา” เธอสูดดมกลิ่นหอมของกุหลาบปลายฤดู ที่ ท อมต่ อ รองขอเด็ ด จากสวนของมิ ส ซิ ส มิ เ ว็ ต ต์ โดยจ่ า ยค่ า ตอบแทนให้ ก้อนหนึ่ง เธอเพ่งมองขึ้นมาที่เขาจากมุมมองของเธอที่อยู่ต่ำลงไปมากพอดู “คุณพระช่วย! คุณนี่เกือบจะสูงพอ ๆ กับประภาคารเลยนะ!” เธอว่า แล้วก็ หัวเราะคิกคักกับมุกตลกของตัวเอง กัปตันรับหมวกกับเสื้อโค้ตของทอมไปและบอกว่า “เข้ามาในห้อง รับแขกเถอะ” ซึ่งผู้เป็นภรรยาส่งเสียงเจื้อยแจ้วตามหลังมาทันทีว่า “แมงมุม กล่าวกับแมลงวัน!” “อ้า หล่อนแปลกไม่เหมือนใครจริง ๆ แม่คนนั้นน่ะ!” กัปตันอุทาน ออกมา ทอมเกรงว่ามันอาจจะเป็นค่ำคืนที่ยาวนาน “ทีนี้เหล้าเชอร์รี่สักหน่อยไหมคะ หรือไม่ก็มีเหล้าหวาน” ฝ่ายหญิง เอื้อเฟื้อ “แสดงความเมตตาสักหน่อย แล้วเอาเบียร์มาให้พ่อหนุ่มที่น่าสงสาร เถอะ มิสซิสกัปตัน” สามีของเธอพูดแกมหัวเราะ เขาตบหลังทอม “คุณ 26
เ อ็ ม. แ อ ล. ส เ ต ด แ ม น
นั่งลงแล้วก็เล่าเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเองให้ผมฟังหน่อยสิ พ่อหนุ่ม” เสียงกริ่งประตูช่วยทอมเอาไว้ “ขอตัวก่อนนะ” กัปตันแฮสลัคบอก เลยไปตามโถงทางเดิ น นั้ น ทอมได้ ยิ น คำพู ด “ซิ ริ ล , เบอร์ ธ า ดี ใ จจั ง ที่ พวกคุณมาได้ ส่งหมวกมาให้ผมเถอะ” เมื่อมิสซิสกัปตันกลับเข้ามาในห้องรับแขก พร้อมเบียร์หนึ่งขวดกับ แก้วบนถาดเงิน เธอเอ่ยขึ้น “เราคิดไว้ว่าเราจะเชิญแขกมาสักสองสามคน แค่จะแนะนำให้คุณรู้จักคนท้องถิ่นบ้างค่ะ มันเป็นสถานที่ที่เป็นมิตรมาก ๆ พาร์เทจัสน่ะ” กั ป ตั น พาแขกรายใหม่ เ ข้ า มา คู่ ส ามี ภ รรยาหน้ า ตาบอกบุ ญ ไม่ รั บ ประกอบด้วยประธานกรรมการบริหารงานถนนท้องถิน่ ร่างท้วม ซิรลิ ชิปเปอร์ และภรรยาของเขา เบอร์ธา ร่างผอมชะลูด “เออแน่ะ คุณคิดยังไงเกี่ยวกับถนนหนทางที่นี่ล่ะ” ซิริลเปิดฉาก ทันทีที่พวกเขาแนะนำตัวกันแล้ว “ไม่ต้องสุภาพหรอกนะ ขอบอก เทียบ กับทางภาคตะวันออกโน่น คุณจะประเมินมันยังไง” “โธ่ อย่าไปกวนใจชายผู้น่าสงสารคนนี้เลย ซิริล” ผู้เป็นภรรยาบอก ทอมนึกขอบคุณ ไม่ใช่แค่การแทรกแซงนั่นเท่านั้น แต่ยังกริ่งประตูซึ่งดังขึ้น อีกครั้งด้วย “บิลล์, ไวโอเลต เยี่ยมไปเลยที่ได้พบคุณ” กัปตันเอ่ยขึ้นเมื่อเปิด ประตูหน้า “อ้อ ส่วน เธอ ก็น่ารักขึ้นทุกวันนะ แม่สาวน้อย” เขาพาบุ รุ ษท่ า ทางหนั ก แน่ น ไว้ ห นวดเคราสี เ ทา และภรรยารู ปร่ า ง แข็งแรงสมบูรณ์และผิวมีสเี ลือดฝาดเข้ามาในห้องนัง่ เล่น “นีค่ อื บิลล์ เกรย์สมาร์ค ภรรยาของเขา ไวโอเลต และบุตรสาวของพวกเขา...” เขาหมุนตัว “เธอหายไปไหนแล้วล่ะ ยังไงก็ตาม มีลกู สาวคนหนึง่ อยูแ่ ถว ๆ นแี้ หละ เดีย๋ ว เธอก็มาถึงจนได้ ฉันว่านะ บิลล์เป็นครูใหญ่ที่พาร์เทจัสนี่” “ยินดีทไี่ ด้รจู้ กั ครับ” ทอมพูดพลางจับมือกับบุรษุ ผูน้ นั้ และผงกศีรษะ อย่างสุภาพกับฝ่ายหญิง “ตกลงว่า” บิลล์ เกรย์สมาร์ค เอ่ยขึน้ “คุณคิดว่าพร้อมลุยงานทีเ่ จนัส แล้วสินะ” 27
เ ร า ต่ า ง ห ล ง ท า ง ใ น แ ส ง ส ว่ า ง
“ผมจะได้คำตอบในไม่ช้านี้ละครับ” “ที่นั่นอ้างว้างนะ” “ผมก็ได้ยินมาว่าอย่างนั้น” “ไม่มีถนนหนทางบนเกาะเจนัส แน่ละ” ซิริล ชิปเปอร์ หยอดเข้ามา “เอ่อ ครับ” ทอมพูด “ไม่แน่ใจว่าฉันจะเห็นดีเห็นงามสักเท่าไหร่กับสถานที่ที่ไม่มีถนนเลย” ชิปเปอร์ยงั ถกเรือ่ งนีต้ อ่ ด้วยน้ำเสียงทีบ่ อกเป็นนัยว่ามีความหมายเชิงศีลธรรม แฝงอยู่ “ไม่มถี นนเป็นปัญหาทีเ่ ล็กน้อยทีส่ ดุ ของเธอ พ่อลูกชาย” เกรย์สมาร์ค โต้ “พ่อคะ พอทีเถอะ” บุตรสาวที่หายไปเดินเข้ามาขณะที่ทอมหันหลัง ให้ประตู “สิง่ สุดท้ายทีช่ ายผูน้ า่ สงสารคนนีต้ อ้ งการคือเรือ่ งเล่าของพ่อเกีย่ วกับ ความสลดหดหู่และอาภัพอับโชคนะ” “อ้าว! บอกแล้วไงว่าเธอจะต้องโผล่มา” กัปตันแฮสลัคพูด “นี่คือ อิซาเบล เกรย์สมาร์ค อิซาเบล รู้จักมิสเตอร์เชอร์บอร์นเสียสิ” ทอมยืนขึ้นเพื่อทักทายเธอ และนัยน์ตาของทั้งสองก็มองสบกันอย่าง จำได้ เขากำลังจะเอ่ยถึงนกนางนวล แต่เธอปิดปากเขาด้วยคำพูด “ยินดีทไี่ ด้ รู้จักค่ะ มิสเตอร์เชอร์บอร์น” “เรียกทอมเถอะครับ ได้โปรด” เขาบอก และคาดเดาอยู่ในใจว่า เอาเข้าจริงแล้วเธอคงไม่สมควรจะใช้เวลาช่วงบ่ายโยนขนมปังให้นกกินกระมัง และเขาก็นึกสงสัยว่ามีความลับอะไรซ่อนอยู่หลังรอยยิ้มขี้เล่นของเธออีก ค่ำคืนนั้นผ่านไปได้ดีพอสมควร ครอบครัวแฮสลัคเล่าให้ทอมฟังถึงประวัติ ความเป็นมาของเขตปกครองและการก่อสร้างประภาคาร ย้อนกลับไปใน ยุคสมัยของบิดากัปตัน “สำคัญมากสำหรับการค้าขาย” ผู้เป็นนายท่ายืนยัน กับเขา “บนพื้นผิวมหาสมุทรใต้แฝงอันตรายพอดูอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึง สันหินใต้ทะเลนั่นเลย การขนส่งอย่างปลอดภัยคือกุญแจสำคัญของการทำ ธุรกิจ ใคร ๆ ก็รู้” 28
เ อ็ ม. แ อ ล. ส เ ต ด แ ม น
“แน่นอน พืน้ ฐานทีแ่ ท้จริงของการขนส่งอย่างปลอดภัยคือถนนหนทาง ที่ดี” ชิปเปอร์เริ่มอีก และกำลังจะเปิดฉากหัวข้อการสนทนาเพียงเรื่องเดียว ของเขาในอีกรูปแบบหนึ่ง ทอมพยายามทำท่าทางให้ดูเหมือนตั้งใจฟัง แต่ก็ ไขว้เขวเพราะอิซาเบลที่เขามองเห็นจากหางตา ในเมื่อคนอื่น ๆ มองไม่เห็น เธอเพราะมุมที่เก้าอี้ของเธอตั้งอยู่ เธอเริ่มทำสีหน้าเคร่งขรึมแบบเสแสร้ง เมือ่ ได้ยนิ ข้อคิดเห็นของซิรลิ ชิปเปอร์ และแสดงท่าทางเล็ก ๆ นอ้ ย ๆ ประกอบ ข้อสังเกตแต่ละข้อ การแสดงดำเนินต่อไป ทอมพยายามสุดฤทธิ์ที่จะตีหน้าเรียบเฉย จนในที่ สุ ด เสี ย งหั ว เราะเต็ ม รู ป แบบก็ เ ล็ ด ลอดออกมา เขารี บ เปลี่ ย นเป็ น อาการไออย่างยั้งไม่อยู่ “เป็นอะไรหรือเปล่า ทอม” ภรรยาของกัปตันถาม “ฉันจะไปเอาน้ำ มาให้นะ” ทอมไม่สามารถเงยหน้ามองได้ และพูดทั้ง ๆ ที่ยังไออยู่ว่า “ขอบคุณ ครับ ผมจะไปกับคุณ ไม่รู้ว่าอะไรเป็นตัวการ” ขณะที่ทอมลุกขึ้นยืน อิซาเบลยังคงทำหน้านิ่งเฉยและเอ่ยว่า “ทีนี้พอ เขากลับมา คุณจะต้องเล่าทุกอย่างให้ทอมฟังว่าคุณทำถนนจากไม้ยูคาลิปตัส ได้ยังไงนะคะ มิสเตอร์ชิปเปอร์” เธอหันไปทางทอมและบอกว่า “อย่าไป นานนะคะ มิสเตอร์ชิปเปอร์มีแต่เรื่องเล่าที่น่าสนใจทั้งนั้นเลย” แล้วเธอก็ยิ้ม อย่างไร้เดียงสา ริมฝีปากของเธอสั่นระริกเพียงชั่วขณะเมื่อทอมสบตาเธอ เมื่อการชุมนุมสังสรรค์สิ้นสุดลง พวกแขกเหรื่ออวยพรให้ทอมอยู่ที่เจนัส อย่างมีความสุข “ท่าทางคุณดูเป็นคนเอาการเอางานดี” แฮสลัคพูด และบิลล์ เกรย์สมาร์ค ก็พยักหน้าเห็นพ้องด้วย “ขอบคุณครับ ยินดีที่ได้รู้จักพวกคุณทุกคน” ทอมพูดพลางจับมือ กับพวกสุภาพบุรุษและผงกศีรษะให้พวกสุภาพสตรี “และขอบคุณที่ทำให้ แน่ใจว่าผมได้รับการแนะนำอย่างละเอียดถี่ถ้วนเรื่องการก่อสร้างถนนในแถบ ออสเตรเลียตะวันตก” เขาพูดเบา ๆ กบั อิซาเบล “น่าเสียดายทีผ่ มจะไม่มโี อกาส ตอบแทนคุณ” แล้วคนกลุ่มเล็ก ๆ ก็แยกย้ายกันไปสู่ยามราตรีที่หนาวเย็น 29