บทนำ แสงจันทร์สาดส่องไปทั่วท้องพระโรง แห่งอาณาจักร
สตอร์มวินด์ ตกกระทบพื้นหินสีขาวของบัลลังก์อันว่างเปล่าจนดูราวกับว่า มั น ส่ อ งแสงออกมาได้ ด้ ว ยตนเอง อี ก ทั้ ง เปลี่ ย นรู ป ราชสี ห์ ห มอบทำจาก ทองคำตรงส่ ว นฐานให้ ก ลายเป็ น อสู ร สี เ งิ น ดวงตากลวง แสงนวลส่ อ งให้ เห็นศัสตราวุธวางแสดงเรียงรายเป็นระเบียบ ส่วนเงาตรงหัวมุมซึ่งเส้นสาย สี ข าวไม่ อ าจหยั่ ง ถึ ง ก็ ก ลั บ กลายเป็ น หลุ ม แห่ ง ความมื ด นิ รั น ดร์ ภายใต้ แสงพร่าสลัวอันลึกลับนี้ ผู้มีจินตนาการอาจเผลอคิดว่าชุดเกราะที่ยืนเป็น ของประดับนั้นมีบางอย่างซ่อนอยู่ภายใน รัศมีดวงจันทร์ถูกท้าทายด้วยแสงไฟสีแดงระเรื่อจากตะเกียง ซึ่ง ฉายลงบนใบหน้าที่เคร่งขรึมของเด็กชายคนหนึ่ง สองมือของเขาถือตุ๊กตา แกะสลักไว้ข้างละตัว ตัวหนึ่งเป็นรูปทหาร สวมชุดเกราะสีเดียวกับที่ตั้ง เรียงรายอยู่ภายในห้องโถงอันวังเวงนี้ อีกตัวเป็นอสุรกายเขี้ยวยาวหลังโก่ง ผิวสีเขียว แบกขวานที่มีขนาดใหญ่กว่าฝ่ายตรงข้ามเกือบเท่าตัว บนพื้ น มี รู ป สลั ก ทหารและอสู ร อี ก จำนวนหนึ่ ง ทว่ า เหล่ า อสู ร วาง ตั้งตระหง่าน เหล่าทหารล้มลงกระจัดกระจาย ประตูที่เปิดออกส่งผลให้ห้องสว่างขึ้น เด็กน้อยผู้ถูกรบกวนหันไป 1
ว อ ร์ ค ร า ฟ ต์ กํ า เ นิ ด ศึ ก ส อ ง พิ ภ พ
มองอย่างไม่สบอารมณ์ เขาขมึงตาใส่ร่างที่เดินเข้ามาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหัน กลับไปเล่นต่อ “ว่าไง” ชายผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเยาว์วัย “มาซ่อนอยู่ที่นี่เองสินะ” เจ้าชายไม่ซ่อนหรอก เด็กชายคิดในใจ เขาจะไปที่ใดก็ได้ในยามที่เขา ต้องการอยู่ตามลำพัง นั่นไม่เรียกว่าซ่อนเสียหน่อย จอมเวทเดินเข้าไปหาเจ้าชายน้อย ท่ามกลางแสงสลัวจากตะเกียง ผมของเขาดูไม่เป็นสีเทาเท่าไรนัก อีกทั้งแผลเป็นซึ่งพาดจากตาลงไปถึงคาง ก็ดูดีกว่ายามอยู่กลางแสงตะวัน เขากวาดสายตามองฉากต่อสู้ที่เด็กน้อย กำลังจำลอง “ศึกครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง” พูดอย่างกับว่าเขาไม่รู้ พูดอย่างกับว่าเขาจำไม่ได้ เจ้าชายน้อยนั่งเงียบไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใด ผ่านไปสักพักจึงตอบกลับ ด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “ออร์คทุกตัวสมควรตาย หากวันใดข้าได้เป็นราชา ข้าจะเป็นเหมือนอย่างโลธาร์ แล้วสังหารพวกมันให้ หมด!” “โลธาร์เป็นนักรบ” จอมเวทตอบด้วยน้ำเสียงนุม่ นวล “เขาต่อสูเ้ พราะ มันเป็นหน้าที่ของเขา อีกหน่อยเจ้าจะได้เป็นพระราชา หน้าที่ ของเจ้า คือ การหาทางออกอย่างสันติ เจ้าไม่คิดว่าเราทำสงครามมามากเกินไปแล้วหรือ” เด็กชายไม่ตอบ ทางออกที่สันติ หมดสิ้นซึ่งสงคราม นั่นเป็นไปไม่ได้หรอก “ข้า เกลียด พวกมัน!” เสียงตะโกนของเขาดังกังวานท่ามกลางความ เงียบสงัด น้ำตาเอ่อท่วมดวงตาที่ร้อนผ่าว “ข้ารู”้ จอมเวทกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา การไม่ถกู ตำหนิเพราะบันดาล โทสะทำให้ เ ด็ ก น้ อ ยสงบลง “หากแต่ ส งครามนั้ น ไม่ ใ ช่ ค ำตอบที่ ถู ก ต้ อ ง เสมอไป เจ้าต้องเข้าใจว่าออร์คไม่ได้เลวร้ายทุกตน ถึงแม้ผิวเผินจะดูเหมือน เป็นเช่นนั้นก็ตาม” เด็กน้อยหน้านิ่วคิ้วขมวดพลางมองบุรุษตรงหน้าด้วยสายตากังขา แคดการ์เปีย่ มไปด้วยปัญญา ทว่าสำหรับเจ้าชายน้อยในตอนนี้ สิง่ ทีเ่ ขากำลัง สาธยายช่างฟังดูไม่น่าเชื่อเอาเสียเลย “เจ้ารู้หรือเปล่า” แคดการ์เล่าต่อ “เหล่าออร์คนั้นมาจากอีกโลกหนึ่ง 2
ค ริ ส ตี โ ก ล เ ด น
ซึ่งอยู่ไกลแสนไกล” เขายกมื อ ข้า งหนึ่ งขึ้ น พลางขยั บนิ้ ว ไปมา ทัน ใดนั้ น ลูกบอลสีส้มแดงก็ปรากฏ เด็กชายจ้องมองอย่างสนใจ เขาโปรดปรานยามที่ แคดการ์รา่ ยเวทมนตร์คาถาเป็นยิง่ นัก ลูกทรงกลมหมุนรอบตัวเอง มีพลังงาน สีเขียวปะทุอยู่รายรอบ “โลกใบนั้นกำลังจะดับสูญ” แคดการ์บรรยาย “มัน ถูกกลืนกินโดยอาคมมืดที่เรียกว่าเฟล” ดวงตาของเจ้าชายเบิกกว้างเมื่อแสง สีเขียวประหลาดเริ่มปกคลุมดวงดาวสีน้ำตาลอันแห้งแล้ง “พวกออร์คต้อง หาทางหนี ไม่เช่นนั้น...พวกเขาจะต้องตายไปพร้อมกับมัน” เด็กชายตัวเล็กไม่มีความรู้สึกเวทนาต่อเหล่าออร์คหรือโลกที่กำลัง ดับสูญของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย นิ้วมือเล็กกำของเล่นสลักรูปออร์คไว้ จนแน่น “เช่นนั้นเจ้าพวกอสุรกายสีเขียวก็เลยบุกรุกโลก ของเรา! ” “ครั้งแรกที่มาถึงอาเซรอธ พวกเขาไม่ได้มีผิวสีเขียวทุกตนหรอกนะ ข้าว่าเจ้าน่าจะยังไม่รู้เรื่องนี้” เจ้าชายน้อยเลือกที่จะนิ่งเงียบไม่ตอบดีกว่ายอมเสียหน้า หากแต่ ภายในนั้นเต็มไปด้วยความอยากรู้ “ผู้ที่ถูกเวทเฟลครอบงำเท่านั้นจึงจะมีผิวสีเขียว” แคดการ์กล่าวต่อไป “เวทมนตร์ ชั่ ว ร้ า ยเปลี่ ย นแปลงพวกเขา แต่ เ ราเคยพบกั บ ออร์ ค ตนหนึ่ ง ทีย่ นื หยัดต่อต้าน ผูซ้ งึ่ เกือบหยุดยัง้ ไม่ให้สงครามนีเ้ กิดขึน้ มาได้ นามของเขา คือ...ดูโรทาน” ห้องแห่งสายลมไม่จำเป็นต้องมีหน้าต่าง เหตุเพราะมันอยู่ท่ามกลางสายลม เฉกเช่นเดียวกับนามที่ใช้เรียกขาน ผู้ ม าเยื อ นเป็ น ครั้ ง แรกอาจรู้ สึ ก มหั ศ จรรย์ กั บ ภาพเบื้ อ งหน้ า อาจ ตกตะลึงในความงดงามและความน่าสะพรึงกลัวไปพร้อมกัน และอาจนึก สงสัยว่าทำไมเหล่าคณะสภาทั้งหกจึงประชุมกันในห้องนี้ได้โดยไม่จำเป็นต้อง คำนึ ง ถึ ง ความปลอดภั ย ของตนเอง นั่ น ก็ เ พราะคนนอกไม่ มี วั น ที่ จ ะได้ ย่างกรายเข้ามา ณ ปราการสีม่วงแห่งคิรินทอร์ เช่นเดียวกับมนตร์คาถา ห้องแห่งสายลมถูกสร้างมาเพือ่ เหล่าจอมเวท ท้ อ งนภาสี ฟ้ า ครามและปุ ย เมฆสี ข าวซึ่ ง ทำหน้ า ที่ เ ป็ น กำแพงและ 3
ว อ ร์ ค ร า ฟ ต์ กํ า เ นิ ด ศึ ก ส อ ง พิ ภ พ
เพดาน ขับสีประดับม่วงทองบนพื้นหินให้เด่นชัด มีสัญลักษณ์รูปดวงตา ฝังเลี่ยมคอยเฝ้ามองจากเบื้องล่าง และเด็กหนุ่มผู้ก้าวเข้ามายืนอยู่ตรงกลาง ห้องก็รู้สึกว่าวันนี้ดวงตาประดับนั้นช่างดูเหมาะสมดีเหลือเกิน เขาอายุสิบเอ็ดปี ตัวสูงพอประมาณ สวมชุดคลุมสีขาวสะอาด มี เส้ น ผมสี น้ ำ ตาลและดวงตาที่ ส ลั บ ไปมาระหว่ า งสี เ ขี ย วและน้ ำ เงิ น ตามมุ ม ตกกระทบของแสง บัดนี้เขาเป็นจุดสนใจเพียงหนึ่งเดียวของคณะสภาแห่ง คิรินทอร์ เหล่าสมาชิกสภายืนเรียงกันบนแท่นรูปวงแหวนซึ่งลอยอยู่เหนือตัว ของเขา ทุ ก คนสวมผ้ า คลุ ม สี ม่ ว งปั ก ลายดวงตาแบบเดี ย วกั บ สั ญ ลั ก ษณ์ บนพื้นหิน ทั้งดวงตาของพวกเขาและดวงตาบนผ้าคลุมต่างจ้องมองลงมา ที่เด็กชายราวกับกำลังเพ่งพินิจแมลงตัวจ้อย เขาไม่ใส่ใจกับท่าทีของเหล่า คณะสภา กลับรู้สึกสงสัยเสียมากกว่า เขาเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นพลางจ้องมอง กลับอย่างไร้ความขลาดกลัว ชายรูปร่างผอมสูงหนึ่งในคณะสภาสบตาเด็กชายก่อนจะพยักหน้า เล็ ก น้ อ ย เครายาวของเขาสี ข าวสะอาดราวกั บ กระแสเวทที่ ร ายล้ อ มผนั ง หอคอยแห่งนี้ ชายชราเริ่มเอ่ยปากพูดด้วยเสียงกังวานก้องไปทั่วทั้งห้องโถง อันกว้างขวาง “มี ท ฤษฎี ห นึ่ ง กล่ า วไว้ ว่ า ดวงดาวทุ ก ดวงบนท้ อ งฟ้ า นั้ น คื อ โลก” อัครจอมเวทแอนโทไนดาสกล่าว “และโลกเหล่านี้ต่างก็มีสิ่งมีชีวิตเป็นของ ตัวเอง นักเวทฝึกหัดของพวกเรามีความเห็นอย่างไรบ้างกับแนวคิดนี้” เด็กชายตอบกลับทันที “ไม่มีโลกใดทัดเทียมอาเซรอธได้หรอกครับ” เขากล่าวต่อไป “ความงดงามของอาเซรอธนั้นพิเศษกว่าแห่งหนใด ทั้งความ มีชีวิตชีวาและความอุดมสมบูรณ์” “แล้วพวกเราควรจะวางใจให้ผู้ใดอารักขาสมบัติอันล้ำค่านี้” “บุคคลซึ่งสามารถควบคุมพลังเวททั้งมวลเพื่อปกป้องโลกของพวกเรา ให้ปลอดภัย ผู้พิทักษ์อย่างไรล่ะครับ” “เข้าใจแล้ว” มีรอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้นตรงมุมปากบางของแอนโทไนดาส นักเวทฝึกหัดเริ่มเฉลียวใจว่าควรปรับน้ำเสียงของตนให้ฟังดูถ่อมตัว 4
ค ริ ส ตี โ ก ล เ ด น
มากกว่านี้สักหน่อย แต่อันที่จริงเขาก็ท่องจำเรื่องพวกนี้มา นาน หลายปีแล้ว “พลังเวท ทุกแบบ เลยหรือ” แอนโทไนดาสถามต่อ “ไม่ครับ” เด็กชายตอบอย่างรวดเร็ว “เวทแห่งความมืดนั้นถือเป็น ศาสตร์ต้องห้าม เป็นภาพสะท้อนของความหายนะ” ทันใดนั้นเขาก็ตระหนัก ได้ว่าน้ำเสียงของตนฟังดูเริงร่าเกินไป เด็กชายขบริมฝีปากอย่างแรง คง ไม่ดีแน่หากคณะสภามองว่าเขาไม่เคร่งครัดกับเรื่องนี้ “เวทแห่งความมืด” ครั้งนี้เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ทำให้ผู้ใช้ ปฏิบัติในสิ่งที่ขัดกับประสงค์ของตน” “แล้วเราเรียนรู้อะไรบ้างจากเรื่องนี้” “เวทมนตร์นั้นอันตราย และต้องถูกเก็บรักษาไว้ให้ห่างจากเงื้อมมือ ของผู้ที่ไม่ได้รับการศึกษาอบรม ไม่ว่าจะมนุษย์ คนแคระ โนม หรือเอลฟ์ ไม่ควรมีใครใช้เวทมนตร์คาถานอกเหนือจากเหล่าคิรินทอร์” พวกเราเท่านั้นที่ควรจะได้ใช้มัน นักเวทฝึกหัดคิดในใจ พลางมอง ของเหลวสีขาวแวววาวไหลเวียนรอบผนังและเพดานของห้องแห่งสายลม มิใช่เพราะพวกเราเป็นคนโลภ แต่เพราะพวกเรารูว้ า่ ควรจะรับมือกับมันอย่างไร ต่างหาก เด็กชายจ้องมองแอนโทไนดาสอย่างรอบคอบ ก่อนจะสังเกตเห็น ว่ า ไหล่ ข องอั ค รจอมเวทผ่ อ นคลายลง เขาผ่ า นส่ ว นแรกไปได้ อ ย่ า งไม่ มี ข้อผิดพลาด โล่งอกไปที พ่อมดเฒ่ายิ้มเล็กน้อย สายตาเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน “พวกเรา สัมผัสได้ถึงพลังของเจ้า เมดิฟห์” เขาบอกนักเวทฝึกหัด “เรานับถือใน ความมุ่งมั่น ความกระหายใคร่เรียนรู้ พวกเราสืบสวนและทดสอบเจ้าอย่าง เต็มความสามารถ แต่ทว่า...น่าเสียดายที่คำถามสุดท้ายนั้นไม่อาจหาคำตอบ ได้จนกว่าจะสายเกินไป” เมดิฟห์ตัวแข็งเกร็ง สายเกินไปหรือ แอนโทไนดาสพูดเรื่องอะไรกัน “ชีวิตของผู้พิทักษ์ต้องเสียสละมากเกินกว่าที่เจ้าจะเข้าใจ ทว่าบัดนี้ พวกข้าขอให้เจ้าผู้ยังเยาว์วัยพันผูกตนเองกับวงเวียนแห่งหน้าที่นั้น” เปลือกตาของแอนโทไนดาสลดต่ำลง น้ำเสียงของเขาแข็งกร้าวมากขึน้ 5
ว อ ร์ ค ร า ฟ ต์ กํ า เ นิ ด ศึ ก ส อ ง พิ ภ พ
ถึงเวลาแล้วสินะ เมดิฟห์คดิ “เจ้าพร้อมจะเตรียมตัวทุกด้านเพือ่ วันทีจ่ ะได้เป็น ผู้ปกครองหอคอยแห่งคาราซานแล้วหรือไม่” เมดิฟห์ตอบอย่างไม่ลังเล “ข้าพร้อมแล้ว” “เช่นนั้น จงพิสูจน์ให้พวกเราประจักษ์! ” พลันอสุรกายก็บังเกิดขึ้นจากเงามืดซึ่งเวทแห่งแสงสว่างไม่อาจส่องถึง สะเก็ดเล็กสะเก็ดน้อยรวมกันเป็น วัตถุ บิดเบี้ยวสีดำสนิทขนาดมหึมายืนสูง ตระหง่านอยูเ่ บือ้ งหน้าของเด็กชาย เมดิฟต์ตงั้ ท่าเตรียมต่อสูต้ ามสัญชาตญาณ การตอบสนองที่ศึกษามาอย่างเข้มงวดทำให้เขารับมือกับสถานการณ์ได้แม้จะ ถูกจูโ่ จมอย่างไม่ทนั ตัง้ ตัว ปีศาจอ้าปากกว้าง เผยให้เห็นคมเขีย้ วจำนวนมาก แต่ละซี่ยาวเกือบเท่าแขนของเขา และส่งเสียงร้องโหยหวนจนเมดิฟห์รู้สึก หายใจไม่ทั่วท้อง ครั้นเมื่อมันเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ เด็กชายสังเกตเห็นว่า เจ้าสิ่งนี้ไม่มีแม้แต่ความลึกหรือเส้นขอบตามธรรมชาติ และนั่นยิ่งทำให้ดู น่ากลัวมากกว่าเดิม กรงเล็บยาวแหลมต่อลงมาจากอุ้งมือที่มืดสนิท มันช่าง เป็นดั่งฝันร้าย ไม่มีแม้แต่ความลึกหรือเส้นขอบตามธรรมชาติ... มันเป็นของปลอม! ใช่แล้ว ของปลอมนี่เอง! เมดิฟห์กวาดสายตา มองไปทั่วห้อง นั่นไง จอมเวทฟินเดนกำลังร่ายคาถาพึมพำอยู่ใต้เคราหนา สีขาว พ่อมดน้อยพยายามปรามไม่ให้ตนเองเผลอยิ้มออกมา ก้อนพลังเวทก่อตัวขึ้นบนฝ่ามือที่ยกสูงของเมดิฟห์ เขาขว้างมันไปยัง ฟินเดน วัตถุทรงกลมสีขาวแผ่ราบเป็นรูปสามเหลี่ยมขนาดเล็ก พุ่งตรงเข้า รัดกรามของฟินเดนอย่างแรงจนพ่อมดอาวุโสถึงกับล้มลง พรรคพวกรอบข้าง เข้ามาประคองตัวไว้ เขาไม่ได้รับบาดเจ็บ เห็นจะมีก็แต่ความยโสของเขา เท่านั้นที่เสียหาย ปีศาจเงาอันตรธานหายไป เมดิฟห์เผยรอยยิ้มจางที่มุมปากพลาง แหงนหน้ามองแอนโทไนดาส ดวงตาของจอมเวทชรากลอกไปมาทันทีที่สบ กับเด็กชาย “ไม่เหมือนกับทีข่ า้ คาดการณ์ไว้” แอนโทไนดาสยอมรับ “แต่...ก็ถอื ว่า ได้ผลดี” 6
ค ริ ส ตี โ ก ล เ ด น
พื้ น หิ น ใต้ เ ท้ า ของเมดิ ฟ ห์ เ ริ่ ม เคลื่ อ นไหว เด็ ก ชายสะดุ้ ง กระโดด ถอยหลั ง มองดู สั ญ ลั ก ษณ์ ด วงตาฝั ง เลี่ ย มแห่ ง คิ ริ น ทอร์ ค่ อ ย ๆ เปิ ด ออก สายน้ำที่เต็มไปด้วยฟองผุดขึ้นจากรอยแยกนั้น แล้วเขาก็ยิ่งรู้สึกตกตะลึง มากกว่ า เดิ ม เมื่ อ พบว่ า แท้ จ ริ ง แล้ ว มั น คื อ เปลวไฟสี ข าวที่ อ ยู่ ลึ ก ลงไปจนดู ราวกับเป็นแอ่งน้ำ แอนโทไนดาสร่ า ยคาถาก่ อ นจะลอยตั ว ลงจากแท่ น วงแหวนมายื น เคียงข้างลูกศิษย์ จอมเวทชรายิ้มละไม แต่ทว่าในสายตาของเด็กชายนั้น รอยยิ้มของเขาช่างเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนง “ส่งมือของเจ้ามา เมดิฟห์” แอนโทไนดาสกล่าว นักเวทฝึกหัดยอม ทำตามโดยไม่ทักท้วง วางมือเล็กสีขาวซีดของตนลงบนผิวที่แห้งดุจกระดาษ ของผู้ เ ป็ น อาจารย์ อั ค รจอมเวทพลิ ก ให้ ฝ่ า มื อ ของเมดิ ฟ ห์ หั น ขึ้ น ด้ า นบน “สักวันเจ้าจักได้สนองหน้าที่นั้น” สายตาของเมดิ ฟ ห์ จ้ อ งมองใบหน้ า อั น เคร่ ง ขรึ ม ของแอนโทไนดาส สลับกับเปลวไฟสีขาวเบือ้ งล่าง “คำสาบานของเจ้าถูกตราขึน้ ภายใต้แสงสว่าง” จอมเวทกล่าวต่อไป มือข้างหนึ่งยังคงจับมือของเมดิฟห์ไว้ ส่วนอีกข้างหนึ่ง ถลกม้วนแขนเสื้อของเด็กชายลงไปยังข้อศอกอย่างคล่องแคล่วผิดกับอายุ แอนโทไนดาสค่อย ๆ หมุนตัวเมดิฟห์เข้าหาเพลิงสีขาวซึ่งโบกสะบัดอยู่ใน แอ่งลึก เด็กชายถึงกับผงะเมื่อพบว่าเปลวไฟอันงดงามแต่ผิดธรรมชาตินี้ ร้ อ นแรงเสี ย ยิ่ ง กว่ า ที่ เ ขาคิ ด ไว้ พลางก้ ม มองแขนที่ เ อื้ อ มออกไปของตน เมดิฟห์รู้สึกเกร็งและเย็นวาบในช่องท้อง แม้จะกำลังยืนอยู่หน้าเปลวเพลิง ระอุ “จั ก ไม่ มี จ อมเวทคนไหนอยู่ เ คี ย งข้ า งเจ้ า จั ก ไม่ มี ใ ครเป็ น นายเจ้ า หน้าที่รับผิดชอบของเจ้านั้นไร้สิ่งใดเจือปน” แอนโทไนดาสปล่อยมือเมดิฟห์ก่อนจะเริ่มดันเขาไปข้างหน้า ดวงตา ของเด็กชายเบิกกว้าง หายใจถี่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขารู้ดีว่าตนเองต้อง ไม่ตาย พวกคณะสภาไม่มีทางฆ่าเขา จริงหรือ พวกนั้ น จะปล่ อ ยให้ เ ขาตายเพราะแสดงท่ า ที ว่ า ต้ อ งการตำแหน่ ง นี้ 7
ว อ ร์ ค ร า ฟ ต์ กํ า เ นิ ด ศึ ก ส อ ง พิ ภ พ
หรือเปล่า เขาไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย หัวใจที่เค้นบีบอย่างรวดเร็ว แผ่ความเย็นยะเยือกไปทั่วกายราวกับกำลังพยายามหลีกหนีความร้อนของ เพลิงอาคมทีอ่ ยู่เบื้องล่าง สัญชาตญาณสัง่ ให้กระชากมือกลับ แต่ทว่าแรงดัน บนแผ่ น หลั ง ผลั ก เขาไปข้ า งหน้ า อย่ า งไม่ อ าจต้ า นทานได้ เมดิ ฟ ห์ ค อแห้ ง พยายามกลั้นใจทนเมื่อเห็นว่าแขนของเขาเคลื่อนเข้าใกล้เปลวไฟสีขาวมากขึ้น ทุกขณะ พลันเปลวเพลิงก็พุ่งพวยออกมาโอบล้อมแขนที่ยื่นออกไปของเขา อย่ า งเจ็ บ ปวด หยดน้ ำ ตาเริ่ ม ก่ อ ตั ว ในขณะที่ ผิ ว หนั ง ถู ก ไฟแผดเผาเป็ น ลวดลาย จมูกคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นไหม้จากเนื้อของตนเอง เมดิฟห์ก้มมอง ท่อนแขนซึ่งครั้งหนึ่งเคยเกลี้ยงเกลาไร้ตำหนิ ดวงตาแห่งคิรินทอร์ที่ยังคงมีควันโขมงจ้องกลับมา เด็กชายได้รับ เลือก และถูกตราเครื่องหมายแล้ว ความเจ็บปวดยังคงเสียดแทง หากแต่ความตื่นตระหนกบรรเทาให้ เบาลง เมดิ ฟ ห์ ค่ อ ย ๆ เงยหน้ า ขึ้ น มองเหล่ า บุ รุ ษ และสตรี ซึ่ ง เคยรายล้ อ ม พิพากษ์เขาอยูเ่ มือ่ ครู ่ บัดนีค้ ณะสภาทัง้ หกกำลังยืนก้มหัวแสดงการยอมรับ... และแสดงความเคารพ จักไม่มีจอมเวทคนใดอยู่เคียงข้างเจ้า จักไม่มีใครเป็นนายเจ้า “ผู้พิทักษ์” แอนโทไนดาสกล่าว น้ำเสียงสั่นไหวด้วยความภาคภูมิ
8
๑ การเดิ น ทางครั้ ง นี้ ช่างยาวนานและยากลำบากเหนือความ
คาดหมายของดูโรทาน บุตรแห่งแกราด หลานชายแห่งเดอร์คอช เผ่าฟรอสต์วูล์ฟเป็นหนึ่งในเผ่าสุดท้ายที่ตอบรับคำเชิญของวอร์ล็อก นามกูลดาน แม้ตำนานจะเล่าขานว่าเผ่าฟรอสต์วูล์ฟนั้นเคยเป็นผู้พเนจร แต่ครั้งหนึ่งหัวหน้าเผ่าผู้รักแผ่นดินแห่งสันเขาฟรอสต์ไฟเยอร์มากพอ ๆ กับ ผู้คนในเผ่าของตน ได้อ้อนวอนต่อเหล่าจิตวิญญาณเพื่อขออนุญาตพำนัก อาศัย เมื่อคำวิงวอนของเขาสัมฤทธิผล ทั้งเผ่าจึงได้ตั้งหลักปักฐานแผ่ขยาย ไปทั่วเขตเหนืออย่างหยิ่งทะนงและแข็งแกร่งพร้อมเผชิญหน้ากับทุกความ ท้าทาย พวกเขาอาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนั้นเป็นเวลาเนิ่นนานตราบเท่าอายุของ ภูเขาเกรทฟาเธอร์ซึ่งคอยปกปักรักษาเผ่า ทว่าวันหนึ่งภูเขาเกรทฟาเธอร์เกิดรอยแตกร้าว ลาวาร้อนระอุไหลลงสู่ หมู่บ้านของพวกเขา เผ่าฟรอสต์วูล์ฟจึงต้องออกเดินทางอีกครั้ง พเนจร เร่ร่อนไปตามที่ต่าง ๆ พบเจอความยากลำบากมากมาย มิหนำซ้ำ กูลดาน วอร์ล็อกหลังค่อมผิวสีเขียวประหลาดหน้าตาอัปลักษณ์ยังชักชวนพวกเขามา เข้าร่วมกองทัพฮอร์ดของเขาถึงสองครัง้ สุดท้ายดูโรทานทีป่ ราศจากทางเลือก จึงจำใจตอบตกลง กูลดานให้สัญญาแก่เผ่าฟรอสต์วูล์ฟที่กำลังตกยาก และดูโรทานเอง 9
ว อ ร์ ค ร า ฟ ต์ กํ า เ นิ ด ศึ ก ส อ ง พิ ภ พ
ก็เชื่อมั่นว่าวอร์ล็อกนั้นจะรักษาคำพูด ดินแดนเดรนอร์กำลังจะตาย มันคือ บ้านของพวกเขา เป็นที่สิงสถิตของเหล่าจิตวิญญาณแห่งดิน น้ำ ลม ไฟ และชีวิต แต่กูลดานอ้างว่าเขาได้พบโลกใบใหม่ สถานที่ซึ่งเผ่าพันธุ์ออร์ค อันทรงเกียรติจะมีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ ได้ดื่มน้ำจากสายธารสะอาด เย็น ใช้ชีวิตอย่างอิ่มเอมและภาคภูมิในแบบที่พวกเขาควรจะเป็น ไม่ต้อง ดิน้ รนเกลือกฝุน่ ควัน ร่างกายผอมซูบ ตกเป็นเหยือ่ แห่งความสิน้ หวัง ได้แต่ เฝ้ามองโลกของตนเหี่ยวเฉาและดับสิ้นไปต่อหน้าต่อตา ทว่าเหล่าฟรอสต์วูล์ฟที่ทั้งเปื้อนฝุ่นและผอมซูบนั้นยังคงย่ำเดินอยู่บน ปลายทางอันแสนทรหด จรจากทางเหนือลงมายังสถานที่อันแห้งแล้งและ ร้อนระอุนี้ พวกเขาแทบไม่ได้ดื่มน้ำ อาหารก็ไม่มีให้กิน บางส่วนล้มตายไป เพราะร่างกายไม่สามารถทนทานการเดินเป็นระยะทางหลายโยชน์เช่นนี้ได้ ดู โ รทานนึ ก แคลงใจว่ า สิ่ ง ที่ ไ ด้ รั บ จะคุ้ ม กั บ การฟั น ฝ่ า ความทรมานเหล่ า นี้ หรือไม่ เขาได้แต่สวดภาวนาขอให้เป็นเช่นนั้น แม้คำสวดของเขาจะแผ่วเบา จนเหล่าจิตวิญญาณแทบไม่อาจรับรู้ได้ก็ตาม ดูโรทานพกอาวุธสองชิน้ ซึง่ ได้รบั ตกทอดมาจากบิดาของตนตลอดเวลา ชิ้นแรกมีนามว่าธันเดอร์สไตรค์ หอกสลักอักขระอาคมประดับด้วยหนังหุ้ม ผิ ว ไม้ ข องมั น ถู ก บากเป็ น สั ญ ลั ก ษณ์ แ ทนจำนวนการสั ง หาร เมื่ อ จบชี วิ ต สั ต ว์ เ ดรั จ ฉานให้ บ ากเป็ น เส้ น แนวนอน เมื่ อ สั ง หารออร์ ค ให้ บ ากเป็ น เส้ น แนวตั้ง บนด้ามหอกนั้นปกคลุมไปด้วยตราบากแนวนอน ส่วนตราบาก แนวตั้งก็มีให้เห็นอยู่ประปรายเช่นกัน อาวุธอีกชิ้นคือขวานเซเวอร์ ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นอาวุธของพ่อเขา แถมก่อนหน้านั้นก็เป็นอาวุธคู่กายของปู่เขาเช่นกัน ดูโรทานคอยรักษาขวาน เล่มนี้ให้คมกริบดั่งวันที่ออกจากเตาหลอม เพื่อให้มั่นใจว่ามันทำหน้าที่ได้ อย่างยอดเยี่ยมสมกับชื่อที่แปลว่าสับจนขาด ดู โ รทานเลื อ กเดิ น เท้ า ปล่ อ ยให้ ผู้ ที่ เ จ็ บ ป่ ว ยหรื อ อ่ อ นแอขึ้ น ขี่ ห ลั ง หมาป่าหิมะสีขาวตัวใหญ่ หมาป่าเหล่านี้เป็นทั้งพาหนะและสหายร่วมทุกข์ ร่วมสุข ออร์คที่เดินอยู่เคียงข้างและมีอำนาจรองจากดูโรทานคือ ออร์กริม ดูมแฮมเมอร์ บนหลังสีน้ำตาลกว้างสะพายค้อนขนาดใหญ่อันเป็นชื่อสกุล 10
ค ริ ส ตี โ ก ล เ ด น
ของเขา ออร์กริมเป็นหนึ่งในสหายไม่กี่ตนที่สนิทชิดเชื้อกับดูโรทาน และ ดูโรทานเองก็เชื่อใจออร์กริมด้วยชีวิตของทั้งตน ภรรยา และบุตรในครรภ์ ของนาง ดราก้าเป็นทั้งนักรบหญิง ภรรยา และว่าที่มารดา ออร์คสาวขี่หลัง หมาป่าของเธอนาม ไอซ์ เดินขนาบข้างดูโรทาน ตลอดทางที่ผ่านมาเธอมัก เดิ น เท้ า ไปพร้ อ มกั บ สามี แต่ ใ นที่ สุ ด เขาก็ สั่ ง ให้ เ ธอใช้ สั ต ว์ พ าหนะ “หาก เจ้าไม่เห็นแก่ตนเองหรือลูก ก็เห็นแก่ข้าบ้าง” เขากล่าว “เกิดเจ้าล้มลงไป คลุกฝุ่นขึ้นมาคงแย่ แค่คิดข้าก็เหนื่อยแล้ว” ออร์คสาวยิ้มกริ่มให้เขา ริมฝีปากโค้งขึ้นเหนือเขี้ยวขนาดเล็ก แววตา เป็นประกายด้วยอารมณ์ขันที่เขาแสนโปรดปราน “หืม” เธอตอบ “ข้าขี่ ก็ได้...แต่เพราะข้ากลัวว่าเจ้าจะล้มหน้าทิ่มตอนพยายามอุ้มข้าขึ้นมาหรอก นะ” แรกเริ่มกำลังใจของเผ่านั้นมีเต็มเปี่ยม พวกเขาเผชิญหน้าและโค่น เหล่าเรดวอล์กเกอร์ศัตรูตัวฉกาจลงได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ได้เรียนรู้ว่า พวกเขาไม่ อ าจหวั ง พึ่ ง ความช่ ว ยเหลื อ จากเหล่ า จิ ต วิ ญ ญาณที่ อ่ อ นแอได้ อีกแล้ว ดูโรทานรับปากกับคนในเผ่าว่าพวกเขาจะเป็นฟรอสต์วูล์ฟตลอดไป แม้จะต้องเข้าร่วมกับออร์คเผ่าอื่นในกองทัพฮอร์ดก็ตาม เพียงแค่คิดถึงสิ่งที่ พวกเขาต้องการ ทั้งเนื้อสัตว์ ผลไม้ น้ำดื่ม และอากาศสดชื่น ก็ช่วยให้ มีกำลังใจขึ้นมาบ้าง ทว่าปัญหาคือความยากลำบากของการเดินทางครั้งนี้ ทำให้คนในเผ่ารวมทั้งดูโรทานหมดแรงคาดหวังถึงฟ้าหลังฝนอันงดงาม หัวหน้าเผ่าหันกลับไปมองเผ่าของตน พวกเขาไม่ได้เดินอย่างองอาจ แต่กลับลากขาอย่างอ่อนแรง ความเหนื่อยล้าฝังลึกในกายทุกตนจนดูโรทาน รู้สึกรวดร้าวกับภาพเบื้องหน้า คนรักของเขาวางมือลงบนไหล่ออร์คหนุ่มอย่างนุ่มนวล เขาหันเห ความสนใจกลับไปที่เธอ พลางฝืนส่งยิ้มอย่างอ่อนแรง “ดูท่าทางเจ้าควรมาขี่แทนข้านะ” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อีกไม่นานพวกเราทุกคนจะได้ขึ้นหลังหมาป่าไปพร้อมกัน” เขาตอบ 11
ว อ ร์ ค ร า ฟ ต์ กํ า เ นิ ด ศึ ก ส อ ง พิ ภ พ
“เมื่อเรามีเนื้อมากพอให้พวกมันอิ่มหนำ นอนเหยียดตัวพุงกางอยู่ข้างผู้เป็น นาย” ออร์คสาวจ้องมองท้องของตนก่อนจะหันไปมองท้องของสามีพลาง หรีต่ าเย้าหยอก ดูโรทานหัวเราะ รูส้ กึ แปลกใจกับความร่าเริงทีเ่ ขานึกว่าลืมไป จนหมดแล้ว ดราก้ารู้วิธีปลอบโยนดูโรทานเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะด้วยเสียง หัวเราะหรือความรัก บางครั้งก็ซัดด้วยหมัดให้เขาตาสว่าง อีกทั้งเรื่องลูก ของพวกเขา... นั่นคือเหตุผลหลักที่ดูโรทานตัดสินใจออกจากสันเขาฟรอสต์ไฟเยอร์ ดราก้าเป็นออร์คในเผ่าฟรอสต์วูล์ฟตนเดียวที่ตั้งครรภ์ และจนแล้วจนรอด เขาก็ ไ ม่ ส ามารถทำใจทิ้ ง ทารกออร์ ค ให้ อ ยู่ ใ นโลกที่ ก ำลั ง จะตายได้ ไม่ ว่ า ทารกนั้นจะเป็นลูกของใครก็ตาม ดู โ รทานเอื้ อ มมื อ เข้ า ไปหาท้ อ งของดราก้ า ที่ เ ขาเพิ่ ง แซวเล่ น เมื่ อ ครู่ วางมือสีน้ำตาลขนาดใหญ่ลงบนครรภ์และชีวิตดวงน้อยที่อยู่ภายใน คำที่ เขาเคยกล่าวกับคนในเผ่าก่อนวันออกเดินทางแล่นเข้ามาในหัว ไม่ว่าตำนาน โบราณจะเล่ า เรื่ อ งราวในอดี ต ของพวกเราไว้ อ ย่ า งไร ไม่ ว่ า กฎเกณฑ์ ใ น พิธีกรรมจะเป็นเช่นใด ไม่ว่าข้อปฏิบัติ กฎหมาย หรือจารีตจะเคยกำหนด ไว้อย่างไร มีกฎและประเพณีเพียงหนึ่งเดียวที่ห้ามละเมิด นั่นคือผู้นำต้อง ทำในสิ่งที่ดีที่สุดอย่างแท้จริงสำหรับเผ่าของตน ฝ่ามือของเขารู้สึกถึงแรงดันอันรุนแรงและรวดเร็ว พลางยิ้มอย่างปีติ เมื่อรู้ว่าลูกของตนเห็นด้วยกับการตัดสินใจครั้งใหญ่นี้ “เด็กน้อยนี้พร้อมจะ เดินเคียงข้างเจ้าแล้วนะ” ดราก้าเอ่ย ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้ตอบ ก็มีเสียงตะโกนเรียกหา “หัวหน้า! ข้า เจอพวกนั้นแล้ว!!” ดูโรทานลูบครรภ์อย่างเบามืออีกครั้ง ก่อนจะหันเหความสนใจไปยัง เคอร์วอร์ช หนึ่งในหน่วยลาดตระเวนที่ได้รับคำสั่งให้ล่วงหน้าไปก่อน คน ในเผ่ า ฟรอสต์ วู ล์ ฟ ส่ ว นใหญ่ ไ ว้ ผ มยาวเพื่ อ ป้ อ งกั น ความหนาวเหน็ บ ของ ดินแดนทางเหนือ ทว่าหลายคนรวมทั้งเคอร์วอร์ชตัดสินใจโกนผมทิ้งเมื่อ เริ่มเดินทางลงใต้ เหลือไว้เพียงเปียสายยาว หมาป่าของเขาเดินกะเผลก 12
ค ริ ส ตี โ ก ล เ ด น
อยู่ตรงหน้าดูโรทาน หอบลิ้นห้อยด้วยความเหนื่อยล้า หัวหน้าเผ่าโยนกระเป๋าหนังใส่น้ำให้เคอร์วอร์ช “ดื่มเสียก่อน แล้ว ค่อยรายงาน” เขายกขึ้นดื่มหลายอึกใหญ่ก่อนจะส่งคืนให้ดูโรทาน “ข้ า เห็ น สิ่ ง ก่ อ สร้ า งเรี ย งกั น เป็ น แนวยาว” เคอร์ ว อร์ ช กล่ า วพลาง หายใจหอบเล็ ก น้ อ ย “กระโจมเหมื อ นของพวกเราเต็ ม ไปหมด! ข้ า เห็ น ควั น จากกองไฟทำอาหารเป็ น สิ บ ...ไม่ สิ . ..หลายร้ อ ยกองเลย และยั ง มี หอสังเกตการณ์คอยมองหาพวกเราอีกด้วย” เขาส่ายหัวด้วยความตื่นเต้น “กูลดานไม่ได้โกหก เขารวมพลออร์คจากทั่วเดรนอร์จริง ๆ” ภูเขาถูกยกออกจากอกของดูโรทานโดยที่เขาไม่รู้ตัวมาก่อนว่ามีมันอยู่ ผู้นำเผ่าไม่เสียเวลาพะว้าพะวังว่าพวกตนอาจไปไม่ทัน หรือการรวมพลครั้งนี้ อาจถู ก ปั้ น แต่ ง จนเกิ น ความเป็ น จริ ง คำบอกเล่ า ของเคอร์ ว อร์ ช ทำให้ เ ขา สบายใจอย่างไม่ทันนึก “อีกไกลแค่ไหน” ดูโรทานถาม “เดินเท้าอีกประมาณครึ่งวัน พวกเราน่าจะไปถึงทันตั้งกระโจมก่อน อาทิตย์ตกดิน” “ไม่แน่พวกเขาอาจจะมีอาหาร” ออร์กริมกล่าว “เนื้อสดล่ามาใหม่ ๆ เสียบเหล็กย่างไฟ พวกตัวเคลฟต์ฮฟู คงไม่ลงมาแถวนีแ้ น่ จะว่าไปพวกทางใต้ เขากินอะไรกัน” “ถ้าเป็นเนื้อล่าใหม่เสียบเหล็กย่างไฟ ต่อให้เป็นตัวอะไร ข้าพนัน ว่าเจ้าก็กินหมดนั่นแหละออร์กริม” ดูโรทานกล่าวเสริม “ทุกคนในเผ่านี้ ก็คงไม่ปฏิเสธเช่นกัน แต่พวกเราไม่ควรคาดหวังเนื้อย่างแสนอร่อย พวกเรา ไม่ควรคาดหวังอะไรเลย” “เผ่าของเราได้รับเชิญให้เข้าร่วมกองทัพฮอร์ด และเราก็ตอบตกลง” เสียงพูดของดราก้าดังขึ้นข้างตัวเขา เธอลงจากหลังหมาป่าแล้ว “พวกเรา มีศัสตราวุธ ทั้งหอก ศรธนู และค้อน รวมถึงความชำนาญในการล่าและ เอาชีวิตรอด เรามาเพื่อทำประโยชน์ให้แก่กองทัพ เพื่อให้เหล่าออร์คทุกตน เข้ ม แข็ ง มี น้ ำ ท่ า อาหารไว้ กิ น เราคื อ ฟรอสต์ วู ล์ ฟ พวกเขาจะต้ อ งยิ น ดี กับการมาของเราแน่” 13
ว อ ร์ ค ร า ฟ ต์ กํ า เ นิ ด ศึ ก ส อ ง พิ ภ พ
ดวงตาของเธอเป็ น ประกาย คางยกขึ้ น เล็ ก น้ อ ย ครั้ ง หนึ่ ง ดราก้ า ที่ยังเด็กและอ่อนแอเคยถูกเนรเทศออกจากเผ่า ทว่าภายหลังเธอก็กลับมา เป็นนักรบที่แข็งแกร่งเกินกว่าใครในสายตาของดูโรทาน อีกทั้งยังนำความรู้ จากวัฒนธรรมอื่นอันทรงคุณค่ามาเผยแพร่ให้แก่เผ่าฟรอสต์วูล์ฟอีกด้วย “ภรรยาของข้าพูดถูกแล้ว” ดูโรทานกล่าวพลางทำท่าจะอุ้มเธอกลับ ขึ้นไปบนหลังของไอซ์ แต่เธอปฏิเสธความช่วยเหลือดังกล่าว “นาง พูด ถูกแล้ว” ดราก้ายิ้มกริ่มเห็นดีเห็นงามด้วย “และนางขอ เลือกเดินเคียงข้างผู้นำเผ่าและสามีของตนจนกว่าจะถึงจุดรวมทัพ” สายตาของดูโรทานจับจ้องไปยังทิศใต้ ตลอดเวลาอันยาวนาน ท้องนภา ปราศจากไอฝนเคยแจ่มใสอย่างไร้ปรานี ทว่าบัดนี้เขากลับเห็นกลุ่มเมฆ สี เ ทาคลุ้ ม ดู โ รทานสั ง เกตเห็ น สายฟ้ า สี เ ขี ย วดู ไ ม่ เ ป็ น มงคลสว่ า งวาบอยู่ ท่ามกลางเมฆหมอกที่เคลื่อนไหวไปมา เคอร์วอร์ชคำนวณระยะเวลาเดินทางได้อย่างแม่นยำ ดวงอาทิตย์อยู่ใกล้ ขอบฟ้าเมื่อพวกเขามาถึงสถานที่ตั้งค่าย แต่ก็ยังมีแสงสว่างมากพอให้ทั้งเผ่า ตั้งกระโจมและเตรียมอาหารเย็น เสี ย งพู ด คุ ย มากมายช่ า งฟั ง ดู แ ปลกหู ส ำหรั บ ดู โ รทาน อี ก ทั้ ง ภาพ ไม่ คุ้ น ตาทำให้ รู้ สึ ก เหน็ ด เหนื่ อ ย เขากวาดสายตาผ่ า นกระโจมทรงกลม หลายหลั ง ช่ า งดู ค ล้ า ยกั บ กระโจมของเขาและดราก้ า ก่ อ นจะหยุ ด มอง ลานที่ ล้ อ มไว้ ด้ ว ยเชื อ กเพื่ อ ให้ เ ด็ ก จากเผ่ า ต่ า ง ๆ เข้ า มาเล่ น ด้ ว ยกั น เขา ซึมซับเสียงและกลิ่นรอบข้าง ทั้งบทสนทนา เสียงหัวเราะ เสียงร้องบรรเลง เพลงสรรเสริญล็อกแวดน็อด เสียงตีกลองอึกทึกครึกโครมจนดูโรทานรู้สึก ได้ถึงแผ่นดินที่สั่นไหวอยู่ใต้เท้า กลิ่นของเปลวไฟ เค้กธัญพืชอบ เนื้อย่าง รมควันและสตูที่กำลังเดือด อีกทั้งยังมีกลิ่นสาบจากขนสุนัขป่าและออร์ค คอยเย้าแหย่จมูกของเขา แม้กลิ่นจะแรง ทว่ากลับไม่น่ารำคาญแต่อย่างใด เคอร์วอร์ชไม่ได้พดู เกินจริงเลยแม้แต่นอ้ ย ตัวเขาประเมินความมโหฬาร ของค่ายทีเ่ ต็มไปด้วยกระโจมหนังขึงไม้นตี้ ำ่ เกินไป ดูโรทานรูด้ วี า่ ฟรอสต์วลู ฟ์ เป็นหนึ่งในเผ่าที่เล็กที่สุด หากแต่ความตกตะลึงทำให้เขาพูดไม่ออก ผ่านไป 14
ค ริ ส ตี โ ก ล เ ด น
สักพักดูโรทานจึงเริ่มเอ่ย “ดูสิ ออร์กริม เผ่ามากมายมารวมกันอยู่ที่เดียว ทั้งลาฟฟิ่งสกัล แบล็กร็อค วอร์ซอง...ถูกเรียกมาหมดเลย” “คงเป็นกองทัพที่องอาจน่าดู” สหายของเขาตอบ “ข้าเพียงแค่สงสัย ว่าจะเหลือใครให้ทัพของเราสู้” “ฟรอสต์วูล์ฟ” เสี ย งนั้ น เรี ย บเฉยจนฟั ง ดู เ หมื อ นกำลั ง เบื่ อ ดู โ รทานกั บ ออร์ ก ริ ม หันไปเจอออร์คตัวสูงทะมึนสองตนเดินเข้ามาหา ในยามที่โลกกำลังดับสูญ และเหล่าออร์คขาดแคลนอาหาร พวกเขากลับมีร่างกายใหญ่โตบึกบึนอย่าง น่าประหลาด ต่างกับเหล่าฟรอสต์วูล์ฟที่สวมเกราะเหล็กเพียงน้อยชิ้นแล้ว หวังพึ่งแผ่นหนังประดับหนามเป็นหลักประกันความปลอดภัย ออร์คเหล่านี้ ปกคลุมร่างกายด้วยเกราะหนาเงาวับตั้งแต่หัวไหล่ไปจนถึงช่วงอก ถือหอก เป็นอาวุธ และก้าวเดินอย่างพร้อมเพรียงกัน หากแต่กล้ามเนื้อใหญ่โตสุขภาพดีและเกราะเหล็กมันขลับนั้นไม่ใช่ เป้าสายตาของดูโรทาน ออร์คพวกนี้มีผิว สีเขียว ถึงกระนัน้ ก็ยงั คงเป็นเฉดสีเขียวเบาบาง ไม่เด่นชัดเท่ากับผิวสีใบไม้สด ของกูลดาน ผู้นำกองทัพฮอร์ดซึ่งเดินทางไปยังดินแดนแถบเหนือพร้อมกับ ทาสสาวผู้มีสีผิวเดียวกันนามว่ากาโรน่า ออร์คร่างใหญ่สองตนนี้มีผิวคล้ำกว่า ใกล้เคียงกับผิวสีน้ำตาลตามธรรมชาติทั่วไป แต่ยังคงมองเห็นสีเขียวแซม อันแปลกประหลาดนั้นได้ “คนไหนในหมู่พวกเจ้าคือผู้นำเผ่า” ออร์คตนหนึ่งเอ่ยถาม “ข้าคือผู้ได้รับเกียรติให้ปกครองเผ่าฟรอสต์วูล์ฟ” ดูโรทานประกาศ ก้องก่อนจะก้าวเดินไปข้างหน้า ออร์คทั้งสองมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะ เบนสายตาไปประเมินออร์กริม “เจ้าทั้งคู่ ตามข้ามา แบล็กแฮนด์ต้องการ พบพวกเจ้า” “ใครคือแบล็กแฮนด์” ดูโรทานต้องการคำตอบ พวกเขาหยุดเดินครึ่งก้าวก่อนจะหันกลับมาแสยะยิ้ม ช่างเป็นภาพที่ 15
ว อ ร์ ค ร า ฟ ต์ กํ า เ นิ ด ศึ ก ส อ ง พิ ภ พ
ไม่น่าดูเอาเสียเลย “โถ เจ้าลูกหมาป่าน้ำแข็ง” เขากล่าว “แบล็กแฮนด์ก็คือผู้นำกองทัพ ฮอร์ดอย่างไรล่ะ!” “พวกเจ้าโกหก” ดูโรทานตะเบ็งเสียงตอบทันที “กูลดานต่างหากทีเ่ ป็น ผู้นำกองทัพ!” “กูลดานเป็นผู้พาพวกเราทุกคนมาที่นี่” ออร์คร่างใหญ่อีกตนตอบ “เขาเป็นคนเดียวที่รู้วิธีพาพวกเราไปยังโลกใหม่ เขาแต่งตั้งแบล็กแฮนด์ ให้เป็นแม่ทัพ เพื่อนำชัยชนะแห่งสงครามมาสู่พวกเรา” ออร์กริมและดูโรทานหันมามองหน้ากัน กูลดานไม่เคยเอ่ยถึงสงคราม เพื่อ “โลกใหม่” นี้เลยสักครั้ง ไม่ว่าจะตอนคุยกับเขาหรือพ่อของเขา ดูโรทาน เป็ น ออร์ ค และเป็ น มากกว่ า ออร์ ค เขาเป็ น ผู้ น ำแห่ ง เผ่ า ฟรอสต์ วู ล์ ฟ และ พร้อมสู้กับทุกอย่างเพื่ออนาคตของเผ่ารวมถึงลูกของเขา ทว่าการที่กูลดาน ไม่ยอมบอกเรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย เขาและออร์กริมเป็นสหายกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ เพียงแค่มองตาก็รู้ใจ ทั้งคู่จึงทำทีเงียบไว้ “แบล็กแฮนด์ได้รบั คำสัง่ ให้ดำเนินการเมือ่ พวกเจ้ามาถึง” ออร์คตนหนึง่ กล่าวพลางหัวเราะเยาะเย้ย “หากพวกเจ้ากล้าพอจะออกจากสันเขาฟรอสต์ไฟเยอร์” “บ้านของพวกเราไม่มอี กี แล้ว” ดูโรทานตอบอย่างเถรตรง “เหมือนกับ บ้านของพวกเจ้านั่นแหละ ไม่ว่าจะมาจากเผ่าใดก็ตาม” “พวกเราคื อ เผ่ า แบล็ ก ร็ อ ค” ออร์ ค อี ก ตนกล่ า วพลางยื ด อกอย่ า ง ทะนงตัว “แบล็กแฮนด์เคยเป็นหัวหน้าเผ่าของเรา ก่อนทีก่ ลู ดานจะให้เกียรติ เขาเป็นผู้นำทัพ มากับเราเสียเถอะฟรอสต์วูล์ฟ ให้สตรีของเจ้ารออยู่ที่นี่ สถานที่ที่เราไปต้อนรับเพียงนักรบเท่านั้น” ดูโรทานหน้านิ่วคิ้วขมวดตั้งท่าจะตอกหน้าอีกฝ่ายกลับไป ทันใดนั้น ดราก้าก็พูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเสแสร้งทำเป็นอ่อนหวาน “ที่รักของข้า... ท่านและท่านรองไปพบแบล็กแฮนด์เถอะ” เธอกล่าว “ผู้คนในเผ่าจะรอคอย ท่านกลับมา” ออร์คสาวส่งยิ้มให้ 16
ค ริ ส ตี โ ก ล เ ด น
เธอรู้ ดี ว่ า ตอนไหนควรจะสู้ ดราก้ า มี ค วามเป็ น นั ก รบไม่ ต่ า งจาก พวกเขาเลยสักนิด หากแต่ในสถานการณ์นี้เธออาจถูกเฉดหัวโดยพวกที่ จ้องหาเรื่องมากกว่าหาอาหาร “ถ้าเช่นนั้น จงจัดหาที่ทางให้พวกเราตั้งค่ายด้วย” ดูโรทานกล่าว “ข้าจะไปพบแบล็กแฮนด์จากเผ่าแบล็กร็อคเอง” ทหารพาเขาและออร์กริมเดินผ่านค่ายพัก ครอบครัวกับเหล่าลูกน้อย ล้ อ มรอบด้ ว ยอุ ป กรณ์ ค รั ว และผ้ า ขนสั ต ว์ ส ำหรั บ ปู น อน ถู ก แทนที่ ด้ ว ย ภาพของออร์คตาถมึง ผิวเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น กำลังทำความสะอาด ซ่อมแซม หลอมตีอาวุธและเครื่องป้องกัน เสียงค้อนกระทบโลหะดังก้อง มาจากกระโจมของช่างตีเหล็ก ออร์คบางส่วนสลักหินเป็นวงล้อ ส่วนที่เหลือ ก็ ท ำลู ก ธนู กั บ ลั บ มี ด ทุ ก ตนเหลื อ บตามองเมื่ อ สองผู้ น ำเผ่ า ฟรอสต์ วู ล์ ฟ เดินผ่าน กวาดสายตามองดูโรทานราวกับเขาเป็นวัตถุสิ่งของ เสียงโลหะปะทะโลหะ และเสียงกูร่ อ้ ง “ล็อกทาร์ ออก้า!” แว่วเข้ามา ในหูของดูโรทาน ชัยชนะหรือความตาย เกิดอะไรขึ้นตรงนั้นกันนะ เขา เดินไปยังต้นตอของเสียงโดยไม่ใส่ใจผู้นำทาง แหวกฝูงชนเข้าไปเจอกับ ลานประลองขนาดใหญ่ที่ซึ่งเหล่าออร์คกำลังต่อสู้กัน เขามองดู อ อร์ ค สาวร่ า งเพรี ย วบางถื อ เพี ย งมี ด สั้ น ที่ น่ า สะพรึ ง กลั ว สองเล่ม เธอพุ่งตัวลอดใต้แขนของคู่ต่อสู้ฝ่ายชายที่กำลังกวัดแกว่งลูกตุ้ม เหล็ก มีดของเธอปาดรอยคู่สีแดงดำไว้ที่ชายโครงของเขา ออร์คสาวมีโอกาส จะปลิดชีพอีกฝ่ายแต่เธอไม่ทำ ดูโรทานกวาดสายตามองไปยังออร์คกลุ่มอื่น ที่อยู่รอบ ๆ ตรงนั้นเป็นสี่ต่อหนึ่ง ตรงนู้นเป็นคู่หนึ่งต่อหนึ่ง “การฝึกน่ะ” เขาบอกแก่ออร์กริม ร่างกายผ่อนคลายลงเล็กน้อย ดูโรทานขมวดคิ้วเมื่อเห็นออร์คสามตนที่กำลังฝึกซ้อมอยู่เบื้องหน้ามีสีเขียว แซมอยู่บนผิว “พวกฟรอสต์วูล์ฟสินะ” น้ำเสียงคึกคะนองดังมาจากด้านหลังของเขา “ไม่เห็นน่ากลัวอย่างที่ข้าหวังไว้เลย” ทัง้ สองหันหลังไปเจอออร์คขนาดมหึมาทีส่ ดุ ทีพ่ วกเขาเคยเห็น ดูโรทาน และออร์กริมนั้นไม่ถือว่าตัวเล็กเลย แถมร่างกายของออร์กริมยังกำยำที่สุด 17
ว อ ร์ ค ร า ฟ ต์ กํ า เ นิ ด ศึ ก ส อ ง พิ ภ พ
ในประวัติศาสตร์หลายรุ่นของเผ่าฟรอสต์วูล์ฟอีกด้วย พวกเขาถึงกับต้อง แหงนหน้ามอง ผิวของเขาสีน้ำตาลเข้มเป็นธรรมชาติไม่มีสีเขียวแซม น้ำมัน ไม่ก็เหงื่ออาบจนร่างที่เต็มไปด้วยรอยสักส่องประกายแวววาว มืออันใหญ่โต ของเขาดำสนิทไปด้วยน้ำหมึก แววตาเปี่ยมอารมณ์ขันเมื่อเขาพินิจพิจารณา ออร์คทั้งสองตรงหน้า “เดี๋ ย วเจ้ า ก็ ไ ด้ เ ห็ น เองแหละว่ า พวกเราทำได้ เ หมื อ นกั บ ที่ เ ขาลื อ กั น หรื อ เปล่ า ” ดู โ รทานกล่ า วเงี ย บ ๆ “เจ้ า ไม่ ส ามารถหานั ก ล่ า ที่ ดี ก ว่ า เราใน กองทัพนี้ได้หรอก...แบล็กแฮนด์แห่งเผ่าแบล็กร็อค” แบล็กแฮนด์แหงนหน้าหัวเราะลั่น “พวกเราไม่ต้องการนักล่า” เขา กล่าว “เราต้องการนักรบ เจ้ามีดีเหมือนอย่างพวกที่เขามาก่อนหรือเปล่าล่ะ ดูโรทานบุตรแห่งแกราด” ดูโรทานชายตามองออร์คที่เลือดยังคงไหลหลังจากถูกโจมตีโดยไม่ทัน ตั้งตัว “ดียิ่งกว่าเสียอีก” เขาตอบตามความเป็นจริง “กูลดานมาเชิญเผ่า ฟรอสต์วลู ฟ์ เข้าร่วมทัพ ถงึ สองครัง้ ...แต่เขาไม่เคยเอ่ยถึงการต่อสูเ้ พือ่ ดินแดน ผืนใหม่นี้เลย” “อ้อ” แบล็กแฮนด์กล่าว “แต่การก้าวเข้าไปในสนามประลองอย่าง สามัญธรรมดาจะมีค่าอะไร พวกเราคือออร์ค และตอนนี้ก็เป็นกองทัพแห่ง ออร์ค! พวกเราจะยึดครองโลกใบใหม่นั้น” เขาเอ่ยเสริม “อย่างน้อยผู้ที่ หาญกล้าพอก็จะสู้เพื่อมัน เจ้าคงไม่ใช่พวกขี้ขลาดหรอกจริงไหม” ดูโรทานเผยยิ้มเล็กน้อย ริมฝีปากโค้งขึ้นเหนือเขี้ยวที่อยู่บนกรามล่าง “สิ่งเดียวที่ข้ากลัวคือคำสัญญาเลื่อนลอย” “ห้าวหาญนัก” แบล็กแฮนด์เห็นชอบ “เถรตรงดี เยี่ยม กองทัพ ของข้าไม่ต้อนรับพวกประจบสอพลอ เจ้ามาถึงทันเวลาพอดี ฟรอสต์วูล์ฟ หากช้ากว่านี้สักวันหนึ่งเผ่าของเจ้าคงถูกทิ้งไว้กับพวกที่อ่อนแอหรือแก่ชรา” ดูโรทานชักสีหน้า “เจ้าจะทิ้งบางส่วนไว้อย่างนั้นรึ” “ตอนแรกละก็ใช่...กูลดานเองก็สั่งไว้เช่นนั้น” แบล็กแฮนด์ตอบ ดูโรทานนึกถึงเกย่าห์ผู้สืบทอดตำนานซึ่งเป็นแม่ของตน เดร็กธาร์ หมอผีเฒ่าประจำเผ่า พวกเด็ก ๆ รวมทัง้ ภรรยาของเขาทีค่ รรภ์แก่ “ข้าไม่เคย 18
ค ริ ส ตี โ ก ล เ ด น
ตกลงยินยอมทำเรื่องแบบนี้!” “หากเจ้าต่อต้าน ข้าก็ยินดีจะเข้าประลองในแม็คกอร่า” แม็คกอร่าคือประเพณีโบราณซึ่งออร์คทุกตนรู้จักและฝึกฝนกันมาเป็น อย่างดี เป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัวอันทรงเกียรติ คนหนึ่งประกาศคำท้าทาย อีกฝ่ายตอบรับและสู้กันจนกว่าจะตาย หลายเดือนก่อนหน้านี้ ดูโรทาน ปฏิเสธการสังหารคู่ต่อสู้เผ่าเดียวกันในสนามแม็คกอร่า เหตุเพราะจำนวนคน ในเผ่าฟรอสต์วูล์ฟที่เริ่มร่อยหรอ แต่ดูท่าแล้วแบล็กแฮนด์คงไม่คิดยั้งมือ เป็นแน่ “กู ล ดานจะนำทางพวกเราไปยั ง บ้ า นหลั ง ใหม่ พ รุ่ ง นี้ เ มื่ อ ตะวั น ขึ้ น ” แบล็ ก แฮนด์ ก ล่ า ว “กองหน้ า จะมี แ ต่ เ หล่ า นั ก รบที่ แ ข็ ง แกร่ ง ที่ สุ ด ในทั พ เพื่อกวาดล้างศัตรู เจ้าจะพาเหล่านักรบฝีมือฉกาจของเผ่ามาเข้ากองหน้าด้วย ก็ได้ เลือกคนที่ยังหนุ่มแน่น แข็งแรง รวดเร็ว และห้าวหาญ” ดูโรทานกับออร์กริมหันมามองหน้ากันอีกครั้ง หากดินแดนใหม่นี้ เต็มไปด้วยอันตรายต่อผู้ที่อ่อนแอ นั่นก็เป็นแผนที่ฟังดูไม่เลว ฟังดูเป็น เรื่องที่ผู้แข็งแกร่งควรทำ “เจ้าพูดจาเข้าท่า แบล็กแฮนด์” ดูโรทานฝืนเอ่ยชม “เผ่าฟรอสต์วลู ฟ์ จะทำตามที่ขอ” “เยี่ยม” แบล็กแฮนด์ตอบ “เหล่าฟรอสต์วูล์ฟอาจดูไม่น่าประหวั่น พรั่นพรึง แต่ข้าคงเสียดายแย่หากต้องฆ่าพวกเจ้าหมดเสียก่อนจะได้ชมการ ต่อสู้ของจริง...มาเถอะ ข้าจะให้เจ้าดูว่าความยิ่งใหญ่ที่เหล่าออร์คจะนำไปสู่ ดินแดนแห่งใหม่โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ระวังตัวนั้นเป็นอย่างไร”
19