1
ระบบเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ ประวัติความเป็ นมาของระบบเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ หากย้อนไปเมื่อประมาณ 50 ปี ที่แล้ว คอมพิวเตอร์ เครื่ องแรกกำาเนิดขึ้นที่มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ต่อ มาคอมพิวเตอร์กม็ ีบทบาทสร้างสรรค์สงั คมมนุษย์เข้ามาช่วยเหลืองานต่าง ๆ ของมนุษย์มากมาย จินตนาการ การสร้างเครื อข่ายคอมพิวเตอร์มีมานานแล้ว โดยเฉพาะในนิยายวิทยาศาสตร์ ผูเ้ ขียนนิยายวิทยาศาสตร์ หลาย ท่านได้สร้างจินตนาการให้เห็นระบบสื่ อสารที่ ทรงพลัง โดยมีคอมพิวเตอร์ช่วยเป็ นสื่ อในการรับส่ งข้อมูล ระหว่างกัน จุดเริ่ มต้นของเครื อข่ายคอมพิวเตอร์เริ่ มขึ้นในเดือนสิ งหาคม ค.ศ. 1962 Licklider แห่ งมหาวิทยาลัย MIT ได้บนั ทึกแนวคิดเกี่ยวกับเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ ที่ชื่อ Galactic Network โดยแสดงจินตนาการให้เห็น หลักการของเครื อข่ายทางวิชาการ พร้อมทั้งประโยชน์ที่จะใช้เครื อข่ายคอมพิวเตอร์ ในการพูดคุย สื่ อสาร อภิปราย ส่ งข่าวระหว่างกัน และเชื่อมโยงกันทัว่ โลก ต่อมา Licklider ได้รับการแต่งตั้งให้เป็ นหัวหน้าทีม งานวิจยั ตามความต้องการของกระทรวงกลาโหม ประเทศสหรัฐอเมริ กนั ในโครงการที่ชื่อ DARPA ร่ วมกับ กลุ่มผูเ้ ชี่ยวชาญทางด้านคอมพิวเตอร์และเครื อข่ายอีกหลายคน
PACKET SWITCHING EMERGED
ความคิดในช่วงแรกของการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์อาศัยหลัก การพื้นฐาน ทางด้านการสวิตชิ่งของระบบโทรศัพท์ การเชื่อมโยง คอมพิวเตอร์ให้เชื่อมต่อกันในวงจรระหว่างจุดไปจุด จึงเรียกว่า "การ สวิตช์วงจร" (Circuit Switching) จุดอ่อนของการสวิตช์วงจรที่เชื่อม ระหว่างสองจุด ทำาให้ใช้ขอ ้ มูล ข่าวสารในเครือข่ายไม่เต็มประสิทธิภาพ และมีข้อยุ่งยากหากต้องการสื่อสารกันเป็นจำานวนมาก Leonard Kleinrock แห่งมหาวิทยาลัย MIT ได้เสนอแนวคิดในการสร้างเครือข่าย ให้มีการรับส่ง ข้อมูลเป็นแพ็กเก็ต (Packet) โดยได้เสนอบทความใน วารสารตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 1961 ต่อมาได้พิมพ์เป็นเล่มในปี ค.ศ. 1964 และเป็นหลักการที่ได้รับการยอมรับและนำามาใช้ในเครือข่าย คอมพิวเตอร์จนถึง ปัจจุบัน การสื่อสารบนเครือข่ายแบบแพ็กเก็ต (Packet) เป็นวิธีการที่ให้ผู้ส่งข่าวสารแบ่งแยกข่าวสารเป็นชิ้นเล็ก ๆ บรรจุเป็นกลุ่มข้อมูล โดยมีการกำาหนดแอดเดรสปลายทางที่จะส่ง ข่าวสาร หลังจากนั้นระบบจะนำาแพ็กเก็ต นั้นไปส่งยังหลายทาง ในปี ค.ศ. 1965 มีการทดลองการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขึ้นเป็นครั้ง แรกระหว่าง มหาวิทยาลัย MIT กับมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ผ่านทาง สายโทรศัพท์และใช้หลักการแพ็กเก็ต ความคิดทางด้านการรับส่งข้อมูล เป็นชิ้นเล็ก ๆ แบบแพ็กเก็ตได้รับการยอมรับ จนในที่สุดมีการพัฒนาจาก แนวความคิดนี้ไปหลายแนวทาง จนได้วิธีการรับส่งบนเครือข่าย
2
คอมพิวเตอร์หลากหลายรูปแบบ ซึ่งเป็นจุดกำาเนิดเครือข่ายคอมพิวเตอร์ แบบต่าง ๆ เช่น 25, TCP/IP, Frame Relay etc. เมื่อมีการพัฒนาเครือข่าย คอมพิวเตอร์เพื่อเชื่อมโยงถึงกัน ก็เกิดแนวคิดในการสร้างมาตรฐานที่จะ ทำาให้ระบบการเชื่อมโยงมีลักษณะเปิดมาก ขึน ้ กล่าวคือ การนำา ผลิตภัณฑ์หลากหลายยี่หอ ้ มาเชื่อมต่อกันได้ จึงมีวิธีการแบ่งระดับการ สื่อสารออกมาเป็นชั้น (Layer) แต่ละขั้นจะมีการวางมาตรฐานกลางเพื่อ ให้การเชื่อมเครือข่ายที่แตกต่างกัน สามารถเชื่อมโยงถึงกันได้มาก
ความสำา คัญ ของระบบเครือ ข่า ยคอมพิว เตอร์ ระบบเครือข่ายก็จะเข้ามาแทนระบบคอมพิวเตอร์เดิมที่เป็นแบบรวมศูนย์ ได้ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ทวีความสำาคัญและได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะสามารถสร้างระบบคอมพิวเตอร์ให้ พอเหมาะกับงาน ในธุรกิจ ขนาดเล็กที่ไม่มีกำาลังในการลงทุนซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีราคาสูงเช่น มินิคอมพิวเตอร์ ก็สามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์หลายเครื่องต่อเชื่อม โยงกันเป็นเครือข่าย โดยให้ไมโครคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง เป็นสถานี บริการที่ทำาให้ใช้งานข้อมูลร่วมกันได้ เมื่อกิจการเจริญก้าวหน้าขึ้นก็ สามารถขยายเครือข่ายการใช้ คอมพิวเตอร์โดยเพิ่มจำานวนเครื่องหรือ ขยายความจุข้อมูลให้พอเหมาะกับองค์กร ในปัจจุบันองค์การขนาด ใหญ่ก็สามารถลดการลงทุนลงได้ โดยใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์เชื่อม โยงจากกลุ่มเล็ก ๆ หลาย ๆ กลุ่มรวมกันเป็นเครือข่ายขององค์การ โดย สภาพการใช้ข้อมูลสามารถทำาได้ดีเหมือน เช่นในอดีตที่ตอ ้ งลงทุน จำานวนมากเครือข่ายคอมพิวเตอร์มีบทบาทที่สำาคัญต่อหน่วยงาน ต่าง ๆ ดังนี้
ทำาให้เกิดการทำางานร่วมกันเป็นกลุ่ม และสามารถทำางานพร้อม กัน
ให้สามารถใช้ขอ ้ มูลต่าง ๆ ร่วมกัน ซึ่งทำาให้องค์การได้รับ ประโยชน์มากขึ้น
3
ทำาให้สามารถใช้ทรัพยากรได้คุ้มค่า เช่น ใช้เครื่องประมวลผล ร่วมกัน แบ่งกันใช้แฟ้มข้อมูล
ใช้เครื่องพิมพ์ และอุปกรณ์ที่มี
ราคาแพงร่วมกันทำาให้ลดต้นทุน เพราะการลงทุนสามารถ ลงทุนให้เหมาะสมกับหน่วยงาน
4
ความหมายของระบบเครือ ข่า ย คอมพิว เตอร์ ระบบเครือ ข่า ย คอมพิว เตอร์ (Computer Network) หมาย ถึง การนำาเครื่องคอมพิวเตอร์มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน โดยอาศัยช่อง ทางการสื่อสารข้อมูล เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างเครื่อง คอมพิวเตอร์ และการใช้ทรัพยากรของระบบร่วมกัน (Shared Resource) ในเครือข่ายนั้น
คอมพิว เตอร์แ ม่ข ่า ยหมายถึง คอมพิว เตอร์แ ม่ข ่า ย หมายถึง คอมพิวเตอร์ที่ทำาหน้าที่เป็นผู้ ให้บริการทรัพยากร (Resources) ต่าง ๆ ซึ่งได้แก่ หน่วยประมวลผล หน่วยความจำา หน่วยความจำาสำารอง ฐานข้อมูล และ โปรแกรมต่าง ๆ เป็นต้น ในระบบเครือข่ายท้องถิ่น (LAN) มักเรียกว่าคอมพิวเตอร์แม่ ข่าย ในระบบเครือข่ายระยะไกล ที่ใช้เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ หรือ มินิ คอมพิวเตอร์เป็นศูนย์กลางของเครือข่าย เรานิยมเรียกว่า Host Computer และเรียกเครื่องที่รอรับบริการว่าลูกข่ายหรือสถานีงาน
องค์ป ระกอบพื้น ฐานของเครือ ข่า ย 1. เน็ต เวิร ์ค การ์ด เน็ตเวิร์คการ์ดจะเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์ และ ระบบเครือข่าย ส่วนใหญ่จะเรียกว่า “NIC (Network Interface Card)” หรือบางทีก็เรียกว่า “LAN การ์ด (LAN Card)” อุปกรณ์เหล่านี้จะทำาการ แปลงข้อมูลเป็นสัญญาณที่สามารถส่งไปตามสายสัญญาณหรือสื่อแบบ
5
อื่นได้ ปัจจุบันนี้ก็ได้มีการแบ่งการ์ดออกเป็นหลายประเภท ซึ่งจะถูก ออกแบบให้สามารถใช้ได้กับเครือข่ายประเภทแบบต่าง ๆ เช่น อีเธอร์ เน็ตการ์ด โทเคนริงการ์ด เป็นต้น การ์ดในแต่ละประเภทอาจใช้กับ สายสัญญาณบางชนิดเท่านั้น หรืออาจจะใช้ได้กับสายสัญญาณหลาย ชนิด
เน็ตเวิร์คการ์ด เน็ตเวิร์คการ์ดจะติดตั้งอยู่กับคอมพิวเตอร์ โดยเต้าเสียบเข้ากับ ช่องบนเมนบอร์ดของคอมพิวเตอร์ ส่วนมากคอมพิวเตอร์ที่ผลิตในปัจจุบันจะมีเฉพาะช่อง PCI ซึ่งก็ใช้บัสที่ มีขนาด 32 บิต อย่างไรก็ตาม ยังมีคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าที่ยังมีช่องแบบ ISA อยู่ ซึ่งมีบัสขนาด 16 บิต และมีการ์ดที่เป็นแบบ ISA จะประมวล ผล ข้อมูลช้ากว่าแบบ PCI 2. สายสัญ ญาณ ปัจจุบันมีสายสัญญาณที่ใช้เป็นมาตรฐานในระบบเครือข่าย คอมพิวเตอร์อยู่ 3 ประเภท 2.1 สายคู่บ ิด เกลีย ว สายคู่บิดเกลียว ( twisted pair ) ใน แต่ละคู่ของสายทองแดงซึ่งจะถูกพันกันตามมาตรฐาน เพื่อต้องการลด การรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากับคู่สายข้างเคียงได้แล้วผ่านไปยัง สายเคเบิลเดียวกัน หรือจากภายนอกเท่านั้น เนื่องจากสายคู่บิดเกลียว
6
นั้นมีราคาไม่แพงมากใช้ส่งข้อมูลได้ดี แล้วนำ้าหนักเบา ง่ายต่อการติด ตั้ง จึงทำาให้ถูกใช้งานอย่างกว้างขวางตัวอย่างคือสายโทรศัพท์สาย แบบนี้มี 2 ชนิดคือ ก. สายคู่บิดเกลียวชนิดหุ้มฉนวน (Shielded Twisted Pair : STP) เป็นสายคู่บิดเกลียวที่หุ้มด้วยฉนวนชั้นนอกที่หนาอีกชั้นดังรูป เพื่อป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
สายคู่บิดเกลียวชนิดหุ้มฉนวน ข. สายคู่เกลียวชนิดไม่หุ้มฉนวน (Unshielded Twisted Pair : UTP) เป็นสายคู่บิดเกลียวที่หุ้มด้วยฉนวนชั้นนอกด้วยซึ่งบางทีก็หุ้มอีก ชั้นดังรูป ซึ่งทำาให้สะดวกในการโค้งงอ แต่ก็สามารถป้องกันการ รบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้น้อยกว่าชนิดแรก
สายคู่บิดเกลียวชนิดไม่หุ้มฉนวน 2.2 สายโคแอกเชีย ล เป็นตัวกลางการเชื่อมโยงที่มีลักษณะเช่นเดียวกับสายทีวีที่มี การใช้งานกันอยู่เป็นจำานวนมากไม่ว่าจะใช้ในระบบเครือข่ายเฉพาะที่
7
และใช้ในการส่งข้อมูลระยะที่ไกลระหว่างชุมสายโทรศัพท์หรือการส่ง ข้อมูลสัญญาณวีดีทัศน์ ซึ่งสายโคแอกเชียลที่ใช้ทั่วไปก็มีอยู่ 2 ชนิด คือ 50 โอห์ม ซึ่งใช้ส่งข้อมูลแบบดิจิทอล และชนิด 75 โอห์ม ซึ่งก็จะ ใช้ส่งข้อมูลสัญญาณอนาล็อก
สายโคแอกเชียลมีฉนวนหุ้มเพื่อป้องกัน
การรบกวนของคลื่นสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้า และก็เพื่อป้องกันสัญญาณ รบกวนอื่น ๆ ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำาให้สายแบบนี้มีช่วงความถี่ที่ สัญญาณไฟฟ้าสามารถส่งผ่านได้กว้างถึง 500 Mhz จึงสามารถส่งข้อมูล ด้วยอัตราของการส่งสูงขึ้น
ลักษณะของสายโคแอกเชียล 2.3 เส้น ใยแก้ว นำา แสง
( fiber optic )
เป็นการที่ใช้ให้แสงเคลื่อนที่ไปในท่อแก้ว
ซึ่งสามารถส่ง
ข้อมูลด้วยเป็นอัตราความหนาแน่นของสัญญาณข้อมูลที่สูงมาก ที่ ปัจจุบันถ้าใช้เส้นใยนำาแสงกับระบบอีเธอร์เน็ตก็ใช้ได้ด้วยความเร็ว 10 เมกะบิต ถ้าใช้กับ FDDI ก็จะใช้ได้ด้วยความเร็วสูงถึง 100 เมกะ บิต
ลักษณะของเส้นใยนำาแสง
8
3. อุป กรณ์เ ครือ ข่า ย อุปกรณ์ที่นำามาใช้ในเครือข่ายทำาหน้าที่จัดการเกี่ยวกับการรับ – ส่งข้อมูลในเครือข่าย หรือใช้สำาหรับทวนสัญญาณเพื่อให้การรับ-ส่ง ข้อมูลได้ดี และส่งในระยะที่ไกลมากขึ้น หรือใช้สำาหรับขยายเครือข่าย ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น อุปกรณ์เครือข่ายที่พบเห็นโดยทั่วไป เช่น ฮับ สวิตซ์ เราท์เตอร์ 3.1 ฮับ (Hub) ฮับ (HUB) คืออุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมกันระหว่างกลุ่มของ คอมพิวเตอร์ ฮับมีหน้าที่รับส่งเฟรมข้อมูลทุกเฟรมที่ได้รับจากพอร์ตใด พอร์ตหนึ่ง เพื่อส่งไปยังทุก ๆ พอร์ตที่เหลือ คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อเข้า กับฮับจะแชร์แบนด์วิธหรืออัตราข้อมูลของเครือข่าย
ฮับ (HUB) 3.2 สวิต ซ์ (Switch) สวิตซ์ (Switch) หรือ บริดจ์ (Bridge) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ สำาหรับเชื่อมต่อ LAN สองเครือข่ายเข้าด้วยกัน โดยจะต้องเป็น LAN ชนิดเดียวกัน และก็ใช้โปรโตคอลในการรับส่งข้อมูลเหมือนกัน เช่น ใช้ ในการเชื่อมต่อ Ethernet LAN ทั้งสองเครือข่ายเข้าด้วยกัน
9
สวิตซ์ (Switch) หรือ บริดจ์ (Bridge) 3.3 เราท์เ ตอร์ ( Routing ) เป็นอุปกรณ์ที่ทำาหน้าที่เชื่อมต่อในระบบเครือข่ายกับหลาย ระบบเข้าด้วยกันที่คล้ายกับบริดจ์ แต่ก็มีส่วนการทำางานจะซับซ้อน มากกว่าบริดจ์มาก โดยเราท์เตอร์ก็มีเส้นทางการเชื่อมโยงข้อมูล ระหว่างแต่ละเครือข่ายเก็บไว้เป็นตารางเส้นทาง เรียกว่า Routing Table ทำาให้เราท์เตอร์สามารถทำาหน้าที่จัดหาเส้นทาง และเลือกเส้น ทางเหมาะสมที่สุดเพื่อใช้ในการเดินทาง และเพื่อการติดต่อระหว่าง เครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เราท์เตอร์ ( Routing ) 3.4 เซอร์เ วอร์ (Server) เซอร์เวอร์ หรื อเรี ยกอีกอย่างหนึ่งว่า เครืองแม่ ข่าย เป็ นเครื่ องคอมพิวเตอร์ หลักในเครื อข่ายที่ทาำ หน้าที่จดั เก็บและให้บริ การไฟล์ขอ้ มูลและทรัพยากรอื่นๆ กับคอมพิวเตอร์ เครื่ องอื่นๆในเครื อข่าย โดยปกติ คอมพิวเตอร์ ที่นาำ มาใช้เป็ นเซอร์เวอร์มกั จะเป็ นเครื่ องที่มีสมรรถนะสูง และมีฮาร์ ดดิกส์ความจำาสูงกว่า คอมพิวเตอร์ เครื่ องอื่น ๆ ในเครื อข่าย .
เซอร์ เวอร์ (Server)
10
3.5 ไคลเอนต์ (Client) ไคลเอนต์ (Client) หรื อเรี ยกอีกอย่างหนึ่งว่า เครื่องลูกข่ าย เป็ นคอมพิวเตอร์ ในเครื อข่ายที่ร้องขอ บริ การและเข้าถึงไฟล์ขอ้ มูลที่จดั เก็บในเซอร์ เวอร์ หรื อพูดง่าย ๆ ก็คือ ไคลเอนต์ เป็ นคอมพิวเตอร์ ของผูใ้ ช้ แต่ละคนในระบบเครื อข่ายนัน่ เอง
ไคลเอนต์ (Client) 3.6 บริดจ์ Bridge บริ ดจ์ เป็ นอุปกรณ์ที่มกั จะใช้ในการเชื่อมต่อวงแลน (LAN Segments) เข้าด้วยกัน ทำาให้สามารถขยาย ขอบเขตของ LAN ออกไปได้เรื่ อยๆ โดยที่ประสิ ทธิ ภาพรวมของระบบ ไม่ลดลงมากนัก เนื่องจากการติดต่อ ของเครื่ องที่อยูใ่ นเซกเมนต์เดียวกันจะไม่ถูกส่ งผ่าน ไปรบกวนการจราจรของเซกเมนต์อื่น และเนื่องจาก บริ ดจ์เป็ นอุปกรณ์ที่ทาำ งานอยูใ่ นระดับ Data Link Layer จึงทำาให้สามารถใช้ในการเชื่อมต่อเครื อข่ายที่ แตกต่างกันในระดับ Physical และ Data Link ได้ เช่น ระหว่าง Eternet กับ Token Ring เป็ นต้น Bridge บริ ดจ์ มักจะถูกใช้ในการเชื่อมเครื อข่ายย่อย ๆ ในองค์กรเข้าด้วยกันเป็ นเครื อข่ายใหญ่ เพียงเครื อข่าย เดียว เพื่อให้เครื อข่ายย่อยๆ เหล่านั้นสามารถติดต่อกับเครื อข่ายย่อยอื่นๆ ได้
บริ ดจ์ Bridge 3.7 เกตเวย์ (Gateway) เกตเวย์ เป็ นอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่เชื่อมต่อเครื อข่ายต่างประเภทเข้าด้วยกัน เช่น การใช้เกตเวย์ในการ เชื่อมต่อเครื อข่าย ที่เป็ นคอมพิวเตอร์ประเภทพีซี (PC) เข้ากับคอมพิวเตอร์ ประเภทแมคอินทอช (MAC) เป็ นต้น
11
เกตเวย์ (Gateway)
3.8 โปรโตคอล (Protocol) โพรโตคอลของระบบเครือข่าย (Network Protocol) หรือที่นิยม เรียกกันว่า โพรโตคอลสแตก (Protocol stack) ก็คือชุดของกฎหรือข้อ ตกลงในการแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อให้แต่ละ สถานีในเครือข่ายสามารถรับส่งข้อมูลระหว่างกันได้อย่างถูกต้อง โดย โพรโตคอลของระบบเครือข่ายทำาหน้าที่ในการประสานงานระหว่างแผง วงจรเชื่อมต่อเครือข่าย (NIC) กับ ระบบปฏิบัติการเครือข่าย (NOS) ระบบเครือข่ายที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน จะมีโพรโตคอลสแตกที่ได้รับความ นิยมใช้งานกันอยูห ่ ลายโพรโตคอล ซึ่งแต่ละโพรโตคอลก็จะใช้จัดการ ในงานของเครือข่ายคล้าย ๆ กัน และในกรณีที่ระบบเครือข่ายเชื่อมอยู่ กับคอมพิวเตอร์หลายแบบ จะสามารถใช้งาน หลาย ๆ โพรโตคอลแส ตก พร้อมกันผ่านเครือข่ายได้ เช่น ใช้ IPX/SPX สำาหรับ Network และใช้ TCP/IP ในการติดต่อกับ UNIX ผ่าน LAN แบบ Ethernet พร้อม ๆ กัน เป็นต้น ตัวอย่างของโพรโตคอลสแตกที่มีใช้งานอยู่ในปัจจุบัน คือ 1) NetBIOS และ NetBEUI โพรโตคอล NetBIOS (Network Basic Input/Output System) พัฒนา ร่วมกันโดย IBM และ Microsoft มีการใช้งานอยู่ในเครือข่าย หลายๆ ชนิด อย่างไรก็ดี NetBIOS เป็นโพรโตคอลที่ทำางานอยู่ในระดับ Session Layer เท่านั้น จึงไม่ได้เป็นโพรโตคอลสำาหรับเครือข่ายโดยสมบูรณ์ จึง ได้พัฒนาโพรโตคอล NetBEUI (Network Extended User Interface) ซึ่ง
12
เป็นส่วนขยายเพิ่มเติมของ NetBIOS ที่ทำางานอยู่ใน Network Layer และ Transport Layer จะพบการใช้งานได้ใน Windows for Workgroups และ Windows NT 2) IPX/SPX เป็นโพรโตคอลของบริษัท Novell ซึ่งพัฒนาขึ้นมาใช้กับ NetWare มี พื้นฐานมาจากโพรโตคอล XNS (Xerox Network Services) ของบริษัท Xerox โพรโตคอล IPX (Internetwork Packet Exchange) จะเป็น โพรโตคอลที่ทำางานอยู่ใน Network Layer ใช้จัดการการแลกเปลี่ยน packet ภายใน Network ทั้งในส่วนของการหาปลายทางและการจัดส่ง packet ส่วน SPX (Sequenced Packet Exchange) จะเป็นโพรโตคอลที่ ทำางานอยู่ใน Transport Layer โดยมีหน้าที่ในการจัดการให้ขอ ้ มูลส่งไป ถึงจุดหมายได้อย่างแน่นอน 3) TCP/IP เป็นโพรโตคอลที่ได้รับการพัฒนามาจากทุนวิจัยของ U.S. Department of Defense's Advanced Research Project Agency (DARPA) ได้รับการใช้งานกันมากใน Internet และระบบ UNIX แบบ ต่าง ๆ ทำาให้อาจกล่าวได้ว่าเป็นโพรโตคอลที่ได้รับความนิยมสูงสุดใน ขณะนี้ โดยมีการใช้งานมากทั้งใน LAN และ WAN โพรโตคอล TCP/IP จะเป็นชุดของโพรโตคอลซึ่งรับหน้าที่ในส่วนต่าง ๆ กัน และมี การแบ่งเป็น 2 ระดับ (layer) คือ 3.1
IP Layer
เป็นโพรโตคอลที่อยู่ในระดับตำ่ากว่า TCP อาจเทียบได้กับ Network Layer ใน OSI Reference Model ตัวอย่างโพรโตคอลทีอ ่ ยู่ ในระดับนี้คือ IP(Internet Protocol) , ARP (Address Resolution Protocol) , RIP (Roution Information Protocol) เป็นต้น
13
3.2
TCP Layer
เป็นโพรโตคอลที่อยู่ในระดับสูงกว่า IP เทียบได้กับ Transport Layer ของ OSI Reference Model ตัวอย่างโพรโตคอลใน Layer นี้ เช่น TCP (Transport Control Protocol) , UDP (User Datagram Protocol) เป็นต้น
การจำา แนกประเภทของเครือ ข่า ย เครือข่ายสามารถจำาแนกออกได้เป็นหลายประเภทแล้วแต่ เกณฑ์ที่ใช้ คล้ายกับการจำาแนกของ รถยนต์ ถ้าใช้ขนาดเป็นเกณฑ์ จะ สามารถแบ่งออกได้ โดยทั่วไปจำาแนกประเภทของเครือข่ายมีอยู่ 3 วิธี คือ
1. ประเภทของเครือ ข่า ยแบ่ง ตามขนาดทาง ภูม ิศ าสตร์ ถ้าใช้ขนาดทางกายภาพเป็นเกณฑ์ เครือข่ายก็ต้อง สามารถแบ่งออกได้เป็นสองประเภทคือ LAN หรือเครือข่ายท้องถิ่น แล ะ MAN หรือเครือข่ายในบริเวณกว้าง LAN เป็นเครือข่ายที่มีใช้ใน
14
ขนาดเล็กที่ครอบคลุมพื้นที่ในบริเวณจำากัด เช่น ภายในห้อง หรือ ภายในอาคาร หรืออาจครอบคลุมไปถึงหลายอาคารที่อยู่ในบริเวณใกล้ เคียง เช่น ในวิทยาเขตของมหาวิทยาลัย ซึ่งบางทีเรียกว่า “เครือข่าย วิทยาเขต(Campus Network ) ” จำานวนของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกัน ใน LAN อาจมีตั้งแต่สองพันเครื่องไปจนถึงหลายพันเครื่อง แต่ใน ส่วนของ WAN เป็นเครือข่ายที่ครอบคลุมบริเวณกว้าง เช่น ในพื้นที่ เมือง หรืออาจจะ ครอบคลุมทั่วโลกก็ได้ เช่น เครือข่ายอินเตอร์เน็ต 1.1
ระบบเครือ ข่า ยแบบแลน (Local Area Network หรือ LAN) หรือระบบเครือข่ายแบบท้องถิ่น จะเป็นเครือข่ายซึ่งอุปกรณ์ทั้งหมด
เชื่อมโยงกันอยู่ในพื้นที่ใกล้ ๆ กัน เช่น อยู่ภายในแผนกเดียวกัน อยู่ ภายในสำานักงาน หรืออยู่ภายในตึกเดียวกัน เป็นต้น โดยส่วนมากแล้ว การเชื่อมต่อในระบบแลนจะใช้สายเคเบิลแบบต่าง ๆ ในการเชื่อมโยง ถึงกัน ระบบเครือข่ายแบบแลนยังรวมถึงเครือข่ายบริเวณมหาวิทยาลัย (Campus network) ซึ่งเป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยงเครือข่ายแบบแลนจาก ตึกต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย (หรือบริเวณพื้นที่ของนิคมอุตสาหกรรม) เข้าด้วยกัน โดยปกติแล้วจะเป็นการเชื่อมโยงกันด้วยความเร็วสูงผ่าน สาย Fiber Optic ระบบเครือข่ายแลน จะเป็นระบบเครือข่ายที่มีการใช้ งานในองค์กรต่าง ๆ มากที่สุด ดังนั้นจะมีการกล่าวถึงแลนอย่างละเอียด ในส่วนต่อไป
โครงสร้า งของระบบเครือ ข่า ย (Network Topology) แบบ LAN
15
ในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้าเป็นระบบเครือข่ายเฉพาะบริเวณ (LAN) สามารถออกแบบการเชื่อมต่อกันของเครื่องในเครือข่าย ให้มี โครงสร้างในระดับกายภาพได้ในหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบจะมี ข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป ดังนี้
1) โครงสร้า งแบบดาว (Star Topology) เป็นโครงสร้างที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์แต่ละ ตัวเข้ากับคอมพิวเตอร์ศูนย์กลาง การรับส่ง ข้อมูลทั้งหมดจะต้องผ่านคอมพิวเตอร์ศูนย์กลาง เสมอ ข้อ ดี คือการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ สามารถทำาได้ง่ายและไม่กระทบกระเทือนกับ เครื่องอื่นในระบบเลย
ข้อ เสีย คือมี
ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสายสูงและถ้าคอมพิวเตอร์ศูนย์กลางเสียระบบเครือ ข่ายจะหยุดชะงักทั้งหมดทันที
2) โครงสร้า งแบบบัส (Bus Topology) เป็นโครงสร้างที่เชื่อมคอมพิวเตอร์แต่ละตัวด้วยสายเคเบิลที่ใช้ร่วม กัน ซึ่งสายเคเบิลหรือบัสนี้เปรียบเสมือนกับถนนที่ข้อมูลจะส่งผ่านไป มาระหว่างแต่ละเครื่องได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องผ่านไปที่ศูนย์กลางก่อน โครงสร้างแบบนี้มีข้อดีที่ใช้สายน้อย และถ้ามีเครื่องเสียก็ไม่มีผลอะไร ต่อระบบโดยรวม ข้อ ดี -ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการวางสายเคเบิลมากนัก
16
-สามารถขยายระบบได้ง่าย - เสียค่าใช้จ่ายน้อย ข้อ เสีย -อาจเกิดข้อผิดพลาดง่าย เนื่องจากทุก เครื่องคอมพิวเตอร์ตอ ่ ยู่บนสายสัญญาณ เพียงเส้นเดียว ดังนั้นหากมีการขาดที่ ตำาแหน่งใดตำาแหน่งหนึ่ง ก็จะทำาให้เครื่อง อื่นส่วนใหญ่หรือทั้งหมดในระบบไม่ สามารถใช้งานได้ตามไปด้วย - การตรวจหาโหมดเสีย ทำาได้ยากเนื่องจากขณะใดขณะหนึ่งจะมี คอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งข้อความออกมาบน สายสัญญาณ ดังนั้นถ้ามีเครื่องคอมพิวเตอร์จำานวนมากๆ อาจทำาให้เกิด การคับคั่งของเน็ตเวิร์ก ซึ่งจะทำาให้ระบบช้าลงได้
3) โครงสร้า งแบบแหวน (Ring Topology)
เป็นโครงสร้างที่เชื่อมคอมพิวเตอร์ทั้งหมดเข้าเป็นวงแหวน ข้อมูล จะถูกส่ง ต่อ ๆ กันไปในว แหวนจนกว่าจะถึงเครื่องผู้รับที่ถูกต้อง ข้อ ดี คือ ใช้สายเคเบิลน้อย และสามารถตัดเครื่องที่เสียออกจากระบบ ได้ ทำาให้ไม่มีผลต่อระบบเครือข่าย
17
ข้อ เสีย คือหากมีเครื่องที่มีปัญหาอยู่ในระบบจะทำาให้เครือข่ายไม่ สามารถทำางานได้เลย และการเชื่อมต่อเครื่องเข้าสู่เครือข่ายอาจต้อง หยุดระบบทั้งหมดลงก่อน 4. โครงสร้า งเครือ ข่า ยคอมพิว เตอร์แ บบเมช (mesh topology) โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบเมช มีการทำางานโดยเครื่อง คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะมีช่องสัญญาณจำานวนมาก เพื่อที่จะเชื่อมต่อ กับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆทุกเครื่อง โครงสร้างเครือข่าย คอมพิวเตอร์นี้เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะส่งข้อมูล ได้อิสระไม่ ต้องรอการส่งข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ทำาให้การส่ง ข้อมูลมีความรวดเร็ว แต่ค่าใช้จ่ายสายเคเบิ้ลก็สูงด้วยเช่นกัน
18
5. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบผสม (hybrid topology) เป็นโครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทผ ี่ สมผสานความสามารถ ของโครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์หลาย ๆ แบบรวมกัน ประกอบด้วย
เครือข่าย คอมพิวเตอร์ย่อยๆ หลายเครือข่ายที่มีโครงสร้างแตกต่างกัน มาเชื่อมต่อกันตามความเหมาะสม ทำาให้เกิดเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพ สูงในการสื่อสารข้อมูล
1.2 ระบบเครือ ข่า ยแบบ MAN (Metropolitan Area Network) หรือระบบเครือข่ายบริเวณเมืองใหญ่ ซึ่งเป็นเครือข่ายแบบแวนที่มี ระยะห่างไม่มากนัก เช่นเป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยงภายในเขตเมือง หรือ ย่านใจกลางธุรกิจ เป็นต้น การเชื่อมโยง ปกติแล้วจะเป็นการเชื่อมโยง ระหว่างตึกต่าง ๆ ด้วยการเชื่อมโยงความเร็วสูงผ่านสายใยแก้วนำาแสง และเป็นระบบเครือข่ายสาธารณะที่สามารถทำาการเช่าใช้งานจากผู้ให้ บริการได้ทันที
19
1.3 ระบ
บ
เครือ
ข่า ย
แบบแวน (Wide Area Network: WAN) ในระบบเครือข่าย WAN แบบบริเวณกว้าง โดยส่วนใหญ่แล้วก็ จะเป็นเครือข่ายที่ระยะไกลเป็นระบบเครือข่ายที่เชื่อมโยงเครือข่ายแบบ ท้องถิ่นตั้งแต่ 2 เครือข่ายขึ้นไปเข้าไว้ด้วยกันโดยผ่านระยะทางที่ไกล มาก โดยทั่วไปอาศัยสายโทรศัพท์ขององค์การโทรศัพท์ และคลื่น ไมโครเวฟ เป็นตัวกลางในการรับ-ส่งข้อมูล ระบบนี้เสียค่าใช้จ่าย มากกว่าแบบแรก
1.4 ระบบเครือข่ ายแบบแพน (Personal area network) หรื อระบบเครื อข่ายส่วนบุคคล (Personal area network): PAN) คือ "ระบบการติดต่อสื่ อสารไร้สาย ส่ วนบุคคล" ย่อมาจาก Personal Area Network หรื อเรี ยกว่า Bluetooth Personal Area Network (PAN) คือ เทคโนโลยีการเข้าถึงไร้สายในพื้นที่เฉพาะส่วนบุคคล โดยมีระยะทางไม่เกิน 1 เมตร และมีอตั ราการรับส่ ง
20
ข้อมูลความเร็ วสูงมาก (สูงถึง 480 Mbps) ซึ่งเทคโนโลยีที่ใช้กนั แพร หลาย ก็เช่น• Ultra Wide Band (UWB) ตามมาตรฐาน IEEE 802.15.3a• Bluetooth ตามมาตรฐาน IEEE 802.15.1• Zigbee ตามมาตรฐาน IEEE 802.15.4 เทคโนโลยีเหล่านี้ ใช้สาำ หรับการติดต่อสื่ อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ และ อุปกรณ์ต่อ พ่วง(peripherals) ให้สามารถรับส่งข้อมูลถึงกันได้ และยังใช้สาำ หรับการรับส่ งสัญญาณวิดีโอที่มีความ ละเอียดภาพสูง (high-definition video signal) ได้ดว้ ย Personal Area Network (PAN)ช่วยให้เราสามารถ จัดการข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่างๆที่เคลื่อนที่ไปมาได้ อย่างหลากหลายคิดค้นโดยนักวิจยั ของ MIT รวม กับ IBM โดยจะสร้างกระแสไฟฟ้ าแรงต่าำ (ระดับพิโคแอมป) ออกไปตามผิวหนังโดยเครื่ องรับสัญญาณตาม จุดต่างๆ ของร่ างกายสามารถรับสัญญาณได้ เทคโนโลยีน้ี จะเหมาะกับการใช้งานทางการแพทย์ เพราะ อุปกรณ์ โดยมากจะมีการติดตั้งตามลำาตัวมนุษย์ พัฒนา โดย
Bluetooth Special Interest Group
ภาพประกอบระบบเครื อข่ายแบบแพน (PAN) 1.5 ระบบเครือข่ ายแบบแคน (Controller Area Network: can) หรื อระบบเครื อข่ายแบบควบคุม CAN ย่อมาจาก Controller Area Network หมายถึง การควบคุม พื้นที่เครื อข่าย (การนำาคอมพิวเตอร์ต้ งั แต่ 2 เครื่ องขึ้นไปมาเชื่อมต่อเข้าด้วยกันเพื่อใช้ขอ้ มูล โปรแกรมหรื อ อุปกรณ์บางอย่างร่ วมกัน) ซึ่ง CAN คือ มาตรฐานการติดต่อสื่ อสารแบบอนุกรม, มันต้องการการส่ งข้อมูล เป็ นรหัสจังหวะทางไฟฟ้ า โดยการใช้สายสัญญาณการติดต่อสื่ อสารเพียง 2 เส้น, ซึ่ งได้รับมาตรฐาน ISO 11898.
21
2. ประเภทของเครือ ข่า ยแบ่ง ตามหน้า ที่ข อง คอมพิว เตอร์ ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเพียงการจำาแนกประเภทของเครือข่ายตาม ขนาดพื้นที่ที่ครอบคลุมถึงเท่านั้น การจำาแนกประเภทของเครือข่ายยัง สามารถจำาแนกได้ โดยใช้ลักษณะการแชร์ขอ ้ มูลของคอมพิวเตอร์ หรือหน้าที่ของคอมพิวเตอร์ในแต่ละเครือข่ายเป็นเกณฑ์ เพื่อเป็นการ แบ่งประเภทของเครือข่าย ซึ่งเมื่อใช้หลักการนี้แล้วเราสามารถแบ่งเครือ ข่ายออกได้เป็น 2 ประเภทคือ 2.1 เครือ ข่า ยแบบเพีย ร์ท ูเ พีย ร์ (Peer – To - Peer) โดยเป็นการเชื่อมต่อของเครื่องทุกเครื่องที่ใช้ในระบบเครือข่าย และยังมีสถานะเท่าเทียมกันหมด โดยเป็นเครื่องทุกเครื่องสามารถเป็น ได้ทั้งเครื่องผู้ใช้บริการและผู้ให้เครื่องบริการในขณะใดขณะหนึ่ง
22
2.2 เครือ ข่า ยแบบไคลเอนท์เ ซิร ์ฟ เวอร์ (Client/Server Network) ถ้าระบบเครือข่ายมีคอมพิวเตอร์ไม่มากนัก ควรสร้างเครือข่ายแบบ เพียร์ทูเพียร์ เนื่องจากง่ายและค่าใช้จ่ายจะถูกกว่า แต่เมื่อเครือข่ายนั้น มีการขยายใหญ่ขึ้นจำานวนผู้ใช้ก็มากขึ้นเช่นกัน การดูแลและการ จัดการระบบก็จะซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เครือข่ายจำาเป็นที่ต้องมีเซิร์ฟเวอร์ ทำาหน้าที่จัดการเรื่องต่างๆ และให้บริการอื่นๆ เครื่องเซิร์ฟเวอร์นั้นก็ ควรที่จะเป็นเครื่องที่มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น และสามารถบริการให้ผู้ใช้ ได้หลายๆ คนในเวลาเดียวกันได้ ประเภทของเซิร ์ฟ เวอร์ท ี่ใ ห้บ ริก ารแบบต่า ง ๆ ก.
ไฟล์เ ซิร ์ฟ เวอร์ (File Server) เป็นเซิร์ฟเวอร์ที่ทำาหน้าที่ในการจัดเก็บไฟล์ จะเสมือนฮาร์ดดิสก์
รวมศูนย์ (Cauterized disk storage) เสมือนว่าผู้ใช้งานทุกคนมีที่เก็บ ข้อมูลอยู่ที่เดียว เพราะควบคุม-บริหารง่าย การสำารองข้อมูลโดยการ Restore ง่าย ข. พริน ต์เ ซิร ์ฟ เวอร์ (Print Server) หนึ่งเหตุผลที่จะต้องมี Print Server ก็คือ เพื่อแบ่งให้พรินเตอร์ ราคาแพงบางรุ่นที่ออกแบบมาใช้สำาหรับการทำางานมาก ๆ เช่น HP Laser 5000 พิมพ์ได้ถึง 10 - 24 แผ่นต่อนาที พรินเตอร์สำาหรับประเภทนี้ ความสามารถในการทำางานที่จะสูง
23
ค. แอพพลิเ คชั่น เซิร ์ฟ เวอร์ (Application Server) Application Server คือ เซิร์ฟเวอร์ที่รันโปรแกรมประยุกต์ได้โดย การทำางานสอดคล้องกับไคลเอ็นต์ เช่น Mail Server ( รัน MS Exchange Server ) , Proxy Server (รัน Proxy Server) หรือ Web Server (รัน Web Server Program เช่น Xitami , Apache' )
.
อิน เตอร์เ น็ต เซิร ์ฟ เวอร์ (Internet Server) ปัจจุบัน อินเตอร์เน็ตนั้น มีผลกระทบกับเครือข่ายในปัจจุบันเป็น
อย่างมาก อินเตอร์เน็ตเป็นเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่มากและมีผู้ใช้งาน มากที่สุดในโลก เทคโนโลยีที่ทำาให้อินเตอร์เน็ตเป็นที่นิยมก็คือ เว็บ และ อีเมลล์ เพราะทั้งสองแอพพลิเคชั่นทำาให้ผู้ใช้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล และสื่อสารกัน ได้ง่ายและมีรวดเร็ว - เว็บ เซิร ์ฟ เวอร์ (Web Server) คือ เซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการข้อมูลใน รูปแบบ HTML (Hyper text Markup Language) - เมลเซิร ์ฟ เวอร์ (Mail Server) คือ เซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการรับ - ส่ง จัดเก็บ และจัดการเกี่ยวกับอีเมลของผู้ใช้
24
3. ประเภทของเครือ ข่า ยแบ่ง ตามระดับ ความปลอดภัย ของข้อ มูล อีกวิธห ี นึ่งในการแบ่งประเภทของเครือข่ายคือ การใช้ระดับความ ปลอดภัยของข้อมูล ซึ่งจะแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทด้วยกันก็คือ อินเตอร์เน็ต (Internet) ,อินทราเน็ต (Intranet) ,เอ็กส์ตราเน็ต (Extranet ) 3.1 อิน เตอร์เ น็ต (Internet) อินเตอร์เน็ต (Internet) นั้นเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่นำาก่อตั้ง โดยกระทรวงกลาโหม
ประเทศสหรัฐอเมริกา อินเตอร์เน็ต
ในสมัยยุคแรก ๆ เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2512 เป็นเพียงการนำา คอมพิวเตอร์จำานวนไม่กี่เครื่องนั้นมาเชื่อมต่อกันเท่านั้น โดยมีเพียง สายส่งสัญญาณ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ อินเทอร์ เน็ตเป็ นเครื อข่ายที่ครอบคลุมทัว่ โลกซึ่ งมี คอมพิวเตอร์ เป็ นล้านๆเครื่ องเชื่ อมต่ อเข้ากับ ระบบและยังขยายตัวขึ้ นเรื่ อย ๆ ทุกปี อินเทอร์ เน็ตมีผใู ้ ช้ทวั่ โลกหลายร้อยล้านคน และผูใ้ ช้เหล่านี้ สามารถ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันได้อย่างอิสระ โดยที่ ระยะทางและเวลาไม่เป็ นอุปสรรค นอกจากนี้ ผูใ้ ช้ยงั สามารถเข้าดูขอ้ มูลต่าง ๆ ที่ถูกตีพิมพ์ในอินเทอร์ เน็ตได้ อินเทอร์ เน็ตเชื่ อมแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ไม่วา่ จะเป็ นองค์กรธุรกิจ มหาวิทยาลัย หน่วยงานของรัฐบาล หรื อแม้กระทัง่ แหล่งข้อมูลบุคคล องค์กรธุรกิจ หลายองค์กรได้ใช้อินเทอร์ เน็ตช่วยในการทำาการค้า เช่น การติดต่อซื้ อขายผ่านอินเทอร์ เน็ตหรื ออีคอมเมิร์ช (E-Commerce)ซึ่งเป็ นอีกช่องทางหนึ่งสำาหรับการทำาธุรกิจที่กาำ ลังเป็ นที่นิยม เนื่องจากมีตน้ ทุนที่ถูกกว่าและ มีฐานลูกค้าที่ใหญ่มาก ส่วนข้อเสี ยของอินเทอร์ เน็ตคือ ความปลอดภัยของข้อมูล เนื่องจากทุกคนสามารถเข้า ถึงข้อมูลทุกอย่างที่แลกเปลี่ยนผ่านอินเทอร์ เน็ตได้ อินเทอร์ เน็ตใช้โปรโตคอลที่เรี ยกว่า “TCP/IP (Transport Connection Protocol/Internet Protocol)” ในการสื่ อ สารข้อ มู ลผ่า นเครื อ ข่ า ยซึ่ ง โปรโตคอลนี้ เป็ นผลจาก โครงการหนึ่งของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ โครงการนี้ มีชื่อว่า ARPANET (Advanced Research Projects Agency Network) ในปี ค.ศ.1975 จุดประสงค์ของโครงการนี้ เพื่อเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ ที่อยูห่ ่ างไกลกันและ ภ า ย ห ลั ง จึ ง ไ ด้ กำา ห น ด ใ ห้ เ ป็ น โ ป ร โ ต ค อ ล ม า ต ร ฐ า น ใ น เ ค รื อ ข่ า ย อิ น เ ท อ ร์ เ น็ ต ในปั จจุบนั อินเทอร์ เน็ตได้กลายเป็ นเครื อข่ายสาธารณะ ซึ่ งไม่มีผใู ้ ดหรื อองค์กรใดองค์กรหนึ่ งเป็ น เจ้าของอย่างแท้จริ ง การเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์ เน็ตต้องเชื่อมต่อผ่านองค์กรที่เรี ยกว่า “ ISP (Internet Service
25
Provider)” ซึ่งจะทำาหน้าที่ให้บริ การในการเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์ เน็ต นัน่ คือ ข้อมูลทุกอย่างที่ส่งผ่านเครื อ ข่าย ทุกคนสามารถดูได้ นอกเสี ยจากจะมีการเข้ารหัสลับซึ่งผูใ้ ช้ตอ้ งทำาเอง 3.2 อิน ทราเน็ต (Internet) อินทราเน็ต (Intranet) คือ ระบบเครื อข่ายภายในองค์กร เป็ นบริ การ และการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ เหมือน กันอินเทอร์ เน็ต แต่จะเปิ ดให้ใช้เฉพาะสมาชิกในองค์กรเท่านั้น เช่น อินทราเน็ตของธนาคารแต่ละแห่ ง หรื อ ระบบเครื อข่ายมหาดไทย ที่เชื่อมศาลากลางทัว่ ประเทศ เป็ นต้น เป็ นการสร้างระบบบริ การข้อมูลข่าวสาร ซึ่ง เปิ ดบริ การคล้ายกับอินเทอร์เน็ตเกือบทุกอย่าง แต่ยอมให้เข้าถึงได้เฉพาะคนในองค์กรเท่านั้น เป็ นการจำากัด ขอบเขตการใช้งาน ดังนั้นระบบอินเทอร์เน็ตในองค์กร ก็คือ "อินทราเน็ต" นัน่ เองแต่ในช่วงที่ชื่อนี้ ยงั ไม่ เป็ นที่นิยม ระบบอินทราเน็ตถูกเรี ยกในหลายชื่อ เช่น Campus network, Local internet, Enterprise network เป็ นต้น
3.3 เอ็ก ส์ต ราเน็ต (Extranet) ในยุคที่อินเทอร์เน็ตขยายตัวอย่างต่อเนื่อง บริษัทธุรกิจและองค์กรต่าง ๆ เริ่มหันมาใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ต ในการโฆษณา การขายหรือ เลือกซื้อสินค้าและชำาระเงินผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ใน
ขณะที่องค์กรบางแห่งที่ไม่มุ่งเน้นการบริการข้อมูลอินเทอร์เน็ต ระหว่าง เครือข่ายภายนอก แต่จัดสร้างระบบบริการข้อมูลข่าวสารภายในองค์กร และเปิดให้บริการในรูปแบบ เดียวกับที่มีอยู่ในโลก ของอินเทอร์เน็ตจริง
26
ๆ โดยมีเป้าหมายให้บริการแก่บุคลากร ในองค์กร จึงก่อให้เกิดระบบ อินเทอร์เน็ตภายในองค์กร เรียกว่า "เครือข่ายอินทราเน็ต (Intranet)" เครือข่ายอินทราเน็ตนั้น เริ่มเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในปี พ.ศ.2539 แต่
แท้
ที่จริงแล้วได้มีผู้ริเริ่มพูดถึงชื่อนี้ตั้งแต่ สี่ปีก่อนหน้าแล้ว หลังจากนั้น ระบบอินทราเน็ตจึงได้รับความนิยมมากขึ้น ในยุคแรก ๆ ระบบนี้มีชื่อ เรียกกันหลายชื่อ เช่น แคมปัสเน็ตเวิร์ก (Campus Network) โลคัล อินเทอร์เน็ต (Local Internet) เอนเตอร์ไพรท์เน็ตเวิร์ก (Enterprise Network) เป็นต้น แต่ที่รู้จักกันมากที่สุดคือชื่อ อินทราเน็ต ชือ ่ นี้จึงกลาย เป็นชื่อยอดนิยมและใช้มาจนถึงปัจจุบัน อินทราเน็ตจะช่วยปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดการเอกสารจากเดิม ใช้วิธีทำาสำาเนาแจก จ่าย ไม่ว่าจะเป็นข่าว ประกาศ รายงาน สมุด โทรศัพท์ภายใน ข้อมูลบุคลากรมาจัดทำาให้อยู่ในรูปอิเล็กทรอนิกส์ แทน ผู้ใช้สามารถเรียกค้น ข้อมูลข่าวสารได้เมื่อต้องการ การประยุกต์ ใช้อินทราเน็ตในหน่วยงานถือเป็นการปฏิรูปในองค์กรและก่อให้เกิด ผลกระทบต่อกระบวนการและขั้นตอนการทำางานทั้งในปัจจุบันและใน อนาคต ช่วยให้การดำาเนินงานเป็น ไปได้อย่างคล่องตัวและลดค่าใช้ จ่ายลงได้อย่างมาก หากมีการวางแผนงานและเทคโนโลยีที่เหมาะ สม
ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำาเนินงานขององค์กรให้สูงขึ้น
เครือข่ายอินทราเน็ตที่ถูกเชื่อมต่อเข้าด้วยกันโดยติดต่อกันผ่านเครือ ข่าย อินเทอร์เน็ตนั้น เรียกว่าเครือข่าย เอ็กซ์ทราเน็ต (Extranet) เครือ ข่ายเอ็กซ์ทราเน็ตสามารถมองเป็นส่วนหนึ่งของ เครือข่ายอินทราเน็ตที่ สามารถติดต่อ ออกไปหน่วยงานต่าง ๆ นอกองค์กรได้ การที่ใช้เครือ ข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อติดต่อกันแทนที่จะติดต่อกันโดยตรง ระหว่างเครือ
27
ข่ายอินทราเน็ตนั้นทำาให้ประหยัด ค่าใช้จ่าย และสามารถใช้ข้อดีของ บริการบนอินเทอร์เน็ตและอินทราเน็ตได้มีประโยชน์สูงสุด
ประโยชน์ข องอิน ทราเน็ต 1. การสื่อสารเป็นแบบสากล ผู้ใช้ระบบอินทราเน็ตสามารถส่งข่าวสาร ในรูปของจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็น มาตรฐานสากลระหว่างผู้ร่วม งานภายในหน่วยงานและผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ซึ่งอยู่ภายนอกหน่วยงานได้ 2. อินทราเน็ตใช้มาตรฐานเครือข่าย และโปรแกรมประยุกต์ได้เช่น เดียวกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีใช้อย่างแพร่หลาย และผ่านการ ยอมรับให้เป็นมาตรฐานตามความนิยมไปโดยปริยาย โดยมีทั้ง ผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ให้เลือกใช้ได้หลากหลาย 3. การลงทุนตำ่า ด้วยความต้องการด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ คล้ายคลึงกับที่ใช้ในเครือข่ายอิน เทอร์เน็ตซึ่งมีผลิตภัณฑ์ให้เลือก มากมายและราคาตำ่า จึงทำาให้ค่าใช้จ่ายการวางระบบเครือข่ายตำ่ากว่า เมื่อเทียบกับ ค่าใช้จ่ายที่ต้องลงทุนกับระบบอื่น ๆ 4. ความน่าเชื่อถือ เทคโนโลยีที่ใช้นั้นได้ผ่านการทดลองใช้และ ปรับปรุง จนกระทั่งอยู่ในสถานภาพที่มีความเชื่อถือได้สูง 5. สมรรถนะ สามารถสื่อสารข้อมูลรองรับการส่งข้อมูลที่ประกอบด้วย ข้อความ ภาพและเสียงได้
ประโยชน์ ของระบบเครือข่ ายคอมพิวเตอร์
28
ระบบเครื อข่ายคอมพิวเตอร์หนึ่งเครื อข่ายจะมีการทำางานรวมกันเป็ นกลุ่ม ที่เรี ยกว่า กลุ่มงาน (workgroup) แต่เมื่อเชื่อมโยงหลายๆ กลุ่มงานเข้าด้วยกัน ก็จะเป็ นเครื อข่ายขององค์กร และถ้าเชื่อมโยง ระหว่างองค์กรผ่านเครื อข่ายแวน ก็จะได้เครื อข่ายขนาดใหญ่ข้ึ น การประยุกต์ใช้งานเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ เป็ นไปอย่างกว้างขวาง และสามารถใช้ประโยชน์ได้มากมาย ทั้งนี้เพราะระบบเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ ทำาให้ เกิดการเชื่อมโยงอุปกรณ์ต่างๆ เข้าด้วยกัน และสื่ อสารข้อมูลระหว่างกันได้ ประโยชน์ของระบบเครื อข่าย คอมพิวเตอร์ มีดงั นี้ 1. การใช้อุปกรณ์ร่วมกัน เครื อข่ายคอมพิวเตอร์ทาำ ให้ผใู้ ช้ สามารถใช้อุปกรณ์ รอบข้างที่ต่อพ่วงกับระบบคอมพิวเตอร์ ร่ วมกันได้ อย่างมีประสิ ทธิภาพ เช่นเครื่ องพิมพ์ ดิสก์ไดร์ ฟ ซีดีรอม สแกนเนอร์ เป็ นต้น ทำาให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ตอ้ งซื้ออุปกรณ์ที่มีราคาแพง เชื่อมต่อพ่วงให้กบั คอมพิวเตอร์ ทุกเครื่ อง
2. การใช้โปรแกรมและข้อมูลร่ วมกันได้ การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็ นเครื อข่าย ทั้งประเภทเครื อข่าย LAN , MAN และ WAN ทำาให้ คอมพิวเตอร์ สามารถสื่ อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลระยะไกลได้ โดยใช้ซอฟต์แวร์ ประยุกต์ทางด้านการติดต่อ สื่ อสาร โดยเฉพาะอย่างยิง่ ในระบบเครื อข่ายอินเทอร์ เน็ต มีการให้บริ การต่าง ๆ มากมาย เช่น การโอนย้าย ไฟล์ขอ้ มูล การใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail) การสื บค้นข้อมูล (Serach Engine) เป็ นต้น
3. ความประหยัด ตัวอย่างเช่นในสำานักงานแห่งหนึ่งมีเครื่ องคอมพิวเตอร์ จำานวน 30 เครื่ อง หรื อมากกว่านี้ ถ้าไม่มี การนำาระบบเครื อข่ายคอมพิวเตอร์มาใช้ จะเห็นว่าต้องใช้เครื่ องพิมพ์อย่างน้อย 5 - 10 เครื่ อง มาใช้งาน แต่ถา้
29
มีระบบเครื อข่ายคอมพิวเตอร์แล้วสามารถใช้เครื่ องพิมพ์ประมาณ 2-3 เครื่ องก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว เพราะว่าทุกเครื่ องสามารถใช้งานเครื่ องพิมพ์เครื่ องใดก็ได้ที่อยูใ่ นระบบเครื อข่ายเดียวกัน 4. สามารถประยุกต์ใช้ในงานด้านธุรกิจได้ องค์กรธุรกิจที่มีการเชื่อมโยงเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ กับระบบเครื อข่ายอินเทอร์ เน็ต เพื่อประโยชน์ ทางธุรกิจ เช่น เครื อข่ายของธุรกิจธนาคาร ธุรกิจการบิน ธุรกิจประกันภัย ธุรกิจการท่องเที่ยว ธุรกิจหลัก ทรัพย์ สามารถดำาเนินธุรกิจ ได้อย่างรวดเร็ ว ตอบสนองความพึงพอใจ ให้แก่ลูกค้าในปั จจุบนั เช่นการสั่งซื้อ สิ นค้า การจ่ายเงินผ่านระบบธนาคารเป็ นต้น 5. ความเชื่อถือได้ของระบบงาน นับเป็ นสิ่ งที่สาำ คัญสำาหรับการดำาเนินธุรกิจ ถ้าทำางานได้เร็ วแต่ขาดความน่าเชื่อถือก็ถือว่า ไม่มี ประสิ ทธิ ภาพ ดังนั้นเมื่อนำาระบบเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ มาใช้งาน จะทำาให้ระบบงานมีประสิ ทธิ ภาพ มีความ น่าเชื่อถือของข้อมูล เพราะในระบบเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ เราสามารถทำาการสำารองข้อมูลไว้ เมื่อเครื่ องที่ใช้ งานเกิดมีปัญหา ก็สามารถนำาข้อมูลที่มีการสำารองมาใช้ได้ อย่างทันที 6. ทำางานประสานกันเป็ นอย่างดี ก่อนที่เครื อข่ายจะเป็ นที่นิยม องค์กรส่ วนใหญ่จะใช้คอมพิวเตอร์ ขนาดใหญ่ เช่น เมนเฟรม หรื อมินิ คอมพิวเตอร์ ในการจัดการงาน และข้อมูลทุกอย่างในองค์กร แต่ปัจจุบนั องค์กรสามารถกระจายงานต่าง ๆ ให้กบั หลาย ๆ เครื่ อง แล้วทำางานประสานกัน เช่น การใช้เครื อข่ายในการจัดการระบบงานขาย โดยให้เครื่ อง หนึ่งทำาหน้าที่จดั การการเกี่ยวกับใบสัง่ ซื้อ อีกเครื่ องหนึ่งจัดการกับระบบสิ นค้าคงคลัง เป็ นต้น
7. ติดต่อสื่ อสารสะดวก รวดเร็ ว เครื อข่ายนับว่าเป็ นเครื่ องมือที่ใช้ในการติดต่อสื่ อสาร ได้เป็ นอย่างดี ผูใ้ ช้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล กับเพื่อนร่ วมงานที่อยูค่ นละที่ ได้อย่างสะดวก และรวดเร็ ว
30
8. เรี ยกข้อมูลจากบ้านได้ เครื อข่ายในปัจจุบนั มักจะมีการติดตั้งคอมพิวเตอร์ เครื่ องหนึ่งเป็ นเซิร์ฟเวอร์ เพื่อให้ผใู ้ ช้สามารถเข้า ใช้เครื อข่ายจากระยะไกล เช่น จากที่บา้ น โดยใช้ติดตั้งโมเด็มเพื่อใช้หมุนโทรศัพท์เชื่อมต่อ เข้ากับเครื่ อง เซิร์ฟเวอร์ คอมพิวเตอร์เครื่ องนั้นก็จะเป็ นส่วนหนึ่งของเครื อข่าย
ประโยชน์ ของการใช้ โปรแกรมและข้ อมูลร่ วมกันได้ 1. การใช้ Hardware ร่ วมกัน ดังที่ได้กล่าวไว้ในตอนต้นว่า ระบบ Network จะช่วยให้เราสามารถประหยัดค่า ใช้จ่ายในเรื่ อง Hardware ลงไปได้ ทั้งนี้เนื่องจากเราสามารถนำา Hardware บางประเภทมาใช้งานร่ วมกันได้ ได้แก่ Share Disk space เป็ นการใช้งานร่ วมกันของเนื้ อที่ที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ซึ่งรวม Hard disk และ CD ROMS (Compac-Disk Read-Only Memory) ซึ่งเราจะใช้ Hard disk หรื อ CD ROMS จาก PC ที่เราเรี ยกว่า "File Server นี้จะเป็ นเครื่ องที่ใช้ในการเก็บข้อมูล (Data) ของ User และ Software ของระบบทั้งหมด รวมทั้ง ควบคุมการทำางานของระบบ Network ด้วย สื บเนื่องจากการใช้ Hard disk หรื อ CD ROMS จาก File Serve ร่ วมกันทุกคน จึงทำาให้ไม่จาำ เป็ นที่จะต้องมี Hard disk ที่เครื่ อง PC แต่ละเครื่ อง รวมทั้งไม่ตอ้ งมี Floppy Disk Drive ใดๆอีกต่อไป เราจะเรี ยกเครื่ อง PC
31
ประเภทนี้วา่ "Diskless Workstation" หรื อ "Dump Terminal Share Printer ในที่น้ ีเราจะขอกล่าวถึง Printer หรื อเครื่ องพิมพ์ก่อน ซึ่ งเครื่ องพิมพ์จะเป็ นอุปกรณ์ต่อ พ่วง (Peripherals) ที่ใช้งานมากที่สุด โดยเฉพาะในปั จจุบนั มี Printer ราคาสูงเกิดขึ้นมากมายโดยเฉพาะ Laser Printer และเครื่ องพิมพ์สี (Color Printer) ซึ่งมีราคาแพง และจำาเป็ นต้องนำามาใช้งานร่ วมกันเพื่อให้เกิด ประโยชน์สูงสุด นอกจากนั้นกรณีที่เรานำาเครื่ องพิมพ์มาใช้งานในระบบ Network มาก กว่า 1 เครื่ อง เช่น Dot Matrix, Laser Printer, Color Printer, Ink Jet ฯลฯ เป็ นต้น ในการส่ งงานไปพิมพ์น้ นั เราสามารถเลือกได้วา่ ต้องการใช้งาน เครื่ องพิมพ์ชนิดใดใช้งานได้ดว้ ย ซึ่งการทำางานง่ายและมีประสิ ทธิ ภาพยิ ง่ ขึ้น Share Communication Devices หมายถึง การนำาอุปกรณ์สื่อสารของระบบคอมพิวเตอร์ มาใช้งานร่ วม กัน เช่น "Modem" ซึ่งใช้ในการเปลี่ยนถ่ายข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ ดว้ ยกันโดยอาศัยสาย โทรศัพท์ นอกจาก Modem แล้วอุปกรณ์อีกอย่างหนึ่งที่สามารถนำามาใช้งานร่ วมกันได้คือ "FAX" โดยเราสามารถ พิมพ์ขอ้ มูลที่ "Workstation" ของเรา และส่งข้อมูลผ่านระบบ Network ไปที่เครื่ อง FAX ได้ทนั ที โดยไม่ จำาเป็ นต้องพิมพ์ลงกระดาษ แล้วเดินไปส่ง FAX ที่เครื่ อง FAX อีกต่อไป 2. การใช้ Software ร่ วมกัน Software ที่ใช้งานบนระบบ Network แบ่งออกเป็ น Software Packages และ Data ดังนั้นเราสามารถนำา Software ทั้ง 2 แบบ มาใช้งานร่ วมกันได้ Share Software Packages ในปัจจุบนั สิ่ งที่เป็ นปัญหาอยูก่ ค็ ือ เรื่ องของลิขสิ ทธิ์ ทาง Software ถ้าเรา ยังคงมี PC แต่ละเครื่ องใช้งานแยกกันอยู่ เราจำาเป็ นต้องซื้ อ Software ที่ถูกต้องตามกฎหมายมาใช้งาน กล่าว คือ 1 ชุดต่อ 1 เครื่ อง รวมทั้งยังต้องคอยระวังในเรื่ องของการ Copy Software มาใช้งานเองของผูใ้ ช้แต่ละคน ด้วย การนำาระบบ "Network" มาใช้งานจะช่วยลดปั ญหาของการทำาผิดกฎหมายทางด้านลิขสิ ทธิ์ ได้ นอกจากนั้น Software ที่ใช้งานบนระบบ Network จะมีความคล่องตัวกว่า Software บน PC โดย เฉพาะอย่างยิ่งในเรื่ องของการซ่อมบำารุ ง ปรับปรุ ง Software ให้ถูกต้อง เช่น รุ่ นที่ Upgrade มาใหม่ เราจะ สามารถติดตั้งและ Upgrade Software ทั้ง 10 เครื่ อง ซึ่งเสี ยเวลามาก นอกจากนั้นในกรณีที่เราใช้ Workstation ประเภท "Diskless Workstation" User จะไม่มีสิทธิ์ ในการ ใช้งานแผ่น Disk เล่ย ทำาให้เราสามารถขจัดปัญหาของ "Virus" ที่กาำ ลังแพร่ ระบาดอยูไ่ ด้ รวมทั้งการตรวจ สอบ Virus ก็ไม่จาำ เป็ นต้องตรวจสอบที่ PC แต่ละเครื่ อง แต่ตรวจสอบที่ Flie Server เพียงเครื่ องเดียว ทำาให้ ประหยัดเวลา และเกิดการทำางานที่คล่องแคล่วตัวมากยิง่ ขึ้น สำาหรับเรื่ องของ License หรื อลิขสิ ทธิ์น้ นั Software ที่จะนำามาใช้ในงานบนระบบ Network จะต้องเป็ น Software รุ่ นของเน็ตเวิร์คเท่านั้นซึ่งในปัจจุบนั มี License Software สำาหรับระบบ Network 2 แบบ คือ 1. สำาหรับเรื่ องของ License หรื อลิขสิ ทธิ์ น้ นั Software ที่จะนำามาใช้ในงานบนระบบ Network จะต้อง เป็ น Software รุ่ น Network
32
2. Per User License หมายถึง Software ที่จะต้องระบุจาำ นวน User ลงไปเลยว่าต้องการใช้เท่าใด แต่การ ทำางานจริ ง ๆ แล้วจะใช้กี่คนพร้อมกันก็ได้ Share Date ปัญหาที่เกิดขึ้นแน่นอน สำาหรับการใช้งาน PC แยกกันคือ ในกรณี ที่เราต้องการข้อมูลของ PC อีกเครื่ องหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิง่ ถ้าข้อมูลนั้นมีขนาดใหญ่ หรื อต้องการใช้งานข้อมูลร่ วมกันบ่อย ๆ จะ ทำาให้เสี ยเวลาในการ Copy ข้อมูลมาก ถ้าเรานำาระบบ "Network" มาใช้งานข้อมูลของ User แต่ละคนจุถูก เก็บไว้ในที่เดียวกันคือ Hard disk ของ File Server ดังนั้น User แต่ละคนสามารถเรี ยกใช้ขอ้ มูลซึ่ งกันและกัน ได้ทนั ที แต่ท้ งั นี้ข้ ึนอยูก่ บั การกำาหนดสิ ทธิในการเรี ยกใช้ขอ้ มูลของแต่ละ User ซึ่งเราสามารถกำาหนดได้วา่ User คนใดสามารถใช้งานข้อมูลใดได้ถึงระดับใดบ้าง เนื้ อหาในส่ วนนี้ จะได้กล่าวในลำาดับต่อไป จากประโยชน์ของการใช้ Software ร่ วมกันนี้ ข้อมูลจะถูกเก็บอยูท่ ี่ File Server ข้อมูลจึงถูกต้อง ทันสมัย และ รวดเร็ ว (เรี ยกว่า เป็ นการควบคุมข้อมูลที่จุดศูนย์กลาง) โดยแต่ละ Workstation สามารถใช้ขอ้ มูลของ Workstation อื่น ได้ทนั ที (ถ้ามีสิทธิ์ ) โดยไม่ตอ้ งรี รอ จึงทำาให้การทำางานสะดวกขึ้น (Flexible) นอกจากนั้น ยังลดขั้นตอนในการปฏิบตั ิงาน และลดเวลาในการทำางาน คือแทนที่จะต้องเสี ยเวลาในการรอข้อมูลซึ่ งกัน และกัน เพื่อที่จะทำางานขั้นต่อไป ก็ทาำ ให้ตอ้ งเสี ยเวลาและลดความผิดพลาดที่เกิดจากข้อมูลไม่ถูกต้องทัน สมัย เช่น เมื่อมีการปรับปรุ งเปลี่ยนแปลงราคาสิ นค้าทำาให้ฝ่ายขาย ขานสิ นค้นตามราคาใหม่ได้ทนั ที โดยไม่ ต้องรอการแจ้งเปลี่ยนแปลงราคาจากส่วนควบคุมการตั้งราคา เป็ นต้น 3. การต่อเชื่อมกับระบบอื่น ในระบบงานของ PC เมื่อต้องการนำา PC มาเชื่อมต่อกับระบบอื่น เช่น Mainframe หรื อ Mini Computer จะ ต้องมีอุปกรณ์เชื่อมต่อพิเศษ เพื่อให้ PC นั้นสามารถทำางานร่ วมกับระบบอื่นได้ เราเรี ยกขบวนการนี้ วา่ "Terminal Emulation" ปัญหาก็คือ PC 1 เครื่ องจะต้องมีอุปกรณ์พิเศษต่อเชื่อม 1 ชุด ซึ่งปกติจะมีราคาสู งมาก เมื่อทำางานที่มากขึ้น การต่อเชื่อมกับ PC เพียง 1 ชุด อาจไม่เพียงพอในการใช้งาน อาจจำาเป็ นต้องต่อมากยิง่ ขึ้น ทำาให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากตามไปด้วย แต่ถา้ เรามีระบบ "Network" อยูแ่ ล้ว เราสามารถนำา PC และอุปกรณ์ต่อเชื่อมสำาหรับระบบอื่นเพียง 1 ชุดมา ใช้งาน หลัก จาก นั้น Workstation เครื่ องที่ไม่มี อุปกรณ์ต่อเชื่อมนี้กส็ ามารถเชื่อมต่อกับระบบอื่นได้ดว้ ย เสมือนมีอุปกรณ์เชื่อมต่อติดตั้งที่เครื่ องของตนเอง ลักษณะเช่นนี้ เราเรี ยกว่า "Gateway" 4.การใช้ระบบ Multiusers การใช้ระบบ Multiusers หมายถึง ระบบที่ User สามารถใช้โปรแกรมหรื อข้อมูลเดียวกันได้ครั้งละหลาย ๆ คน ซึ่ง "Network" นั้นสามารถใช้งานระบบนี้ ได้เป็ นอย่างดี