พิมพ์ที่
บริษัท จุดทอง จำ�กัด
191/82-83 ถนนลาดพร้าว-วังหิน 42 เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ 10230 โทร. 02-931-7095-6 โทรสาร. 02-538-9909 mobile : 089-173-2260 e-mail : gdp_sp@yahoo.com
เรื่องในเล่ม ❀ ❀ ❀ ❀ ❀ ❀ ❀ ❀ ❀
ทักทายเปิดเล่ม ภัยสูตร ที่พึ่งหนึ่งเดียว กว่าจะได้มาเป็นพระพุทธเจ้า พุทธานุภาพ อจินไตย-ห้ามสงสัย เสด็จจำ�พรรษาในเทวโลก ที่พึ่งของเทพยดา เรื่องสั้นของฉันเอง v คนหาย !!! v ธุดงค์เถื่อน ❀ สารพัดอัศจรรย์ v เขาถํ้าที่ทองผาภูมิ v มุดถํ้าเม่นเมืองกาญจน์ v คิดจะเปลี่ยนนิกาย v คำ�บริกรรม v พลิกจิต v หลวงปู่มหาบัว v เณรหน้าไฟ v ถํ้าเชียงดาว (เชียงใหม่) v ครูชื่อ “งู” v โปรดจิตวิญญาณ v บุญทำ�...กรรมแต่ง v รักข้ามชาติ-จิตผูกพัน v ศรัทธาแบบมอบกายถวายเนื้อ v อานิสงส์แห่งทาน v ทองมาราธอน-กรรมสนอง v เทวดาตรวจโลกมนุษย์ ❀ พระบรมสารีริกธาตุและ พระอรหันตธาตุ
๑ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๙ ๑๐ ๑๒ ๑๓ ๑๕ ๑๗ ๑๘ ๑๙ ๒๑ ๒๒ ๒๓ ๒๔ ๒๕ ๒๖ ๒๗ ๒๙ ๓๐ ๓๑ ๓๒ ๓๓ ๓๔ ๓๖ ๓๗
❀ ❀ ❀ ❀
❀
อัฐิเป็นแก้วใส ลักษณะพิเศษของพระบรมสารีริกธาตุ สถานที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันตธาตุในสมัยพุทธกาล พระอรหันตธาตุสมัยหลังพุทธกาล อโศกมหาราช ผู้บูชาตถาคต ดาบสก่อเจดีย์ทราย คำ�สัตย์ - คำ�ศักดิ์สิทธิ์ ช่วยกันทำ� - นำ�กันสร้าง v ด้วยแรงศรัทธา v พระธรรมรัตนเจดีย์ v เจดีย์แก้ว ปกิณกะธรรม, สารพันปัญหา...คาใจ ? v คำ�เตือนจากพระโอษฐ์ v พุทธกิจ ๖ เวลา v อรหันต์มี ๑๖ ไม่ v ภิกษุสงฆ์ผู้เห็นนิพพาน v นี่มิใช่กิจของสงฆ์ v นิพพานเป็นเช่นใด v ปรโลกเบื้องหน้าตายแล้วไปไหน v เถียงกันทำ�ไม ? v จงทำ�ตัวให้เขาเลี้ยงง่าย v คนบริสุทธิ์ด้วยการกระทำ�ถูก v สัญญาณบอกเหตุก่อนเภทภัยจะมา v ๗ วิธีการทำ�อาสวะให้สิ้น v ธรรม ๑๐ ประการที่ทำ�ให้คนเป็นอรหันต์ v วิปัสสนาญาณ ๙ v อยากรู้...สารพันปัญหาคาใจ v เริ่มต้นเป็นคนใหม่ v อสุภ และปฏิกูลสัญญา v v v v v
๓๘ ๓๙ ๔๐ ๔๒ ๔๓ ๔๔ ๔๗ ๕๐ ๕๓ ๕๖ ๕๗ ๕๙ ๖๒ ๖๓ ๖๔ ๖๖ ๖๗ ๖๘ ๖๙ ๗๑ ๗๓ ๗๔ ๗๕ ๗๖ ๗๘ ๘๐ ๘๑ ๘๒ ๙๑ ๙๕
พระธรรมรัตนเจดีย์ ดอยเทพเนรมิต ต.แม่ลาว อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่
ทักทายเปิดเล่ม ก่อนอื่นต้องชี้แจงกันก่อนว่า ผู้เขียน หนังสือเล่มนี้ มิใช่เป็นนักเขียน ที่รํ่าเรียนมาทางนี้ ซึ่งได้บอกกับผู้ให้เขียนทราบแล้ว แต่ไม่ได้ผล เพราะถึง อย่างไรก็ต้องเขียนอยู่ดี... ในเมื่อใช้คนที่เขียนไม่เป็นเขียน ก็เท่ากับว่า ใช้เก้งลากเกวียน มัน ต้องทุลักทุเลแน่ๆ อันภาระหนักใจจะตกไปถึงผู้อ่านที่จะต้องพบเจอกับ ถ้อยคำ� สำ�นวนที่มันวนเวียนเหมือนเกวียนกับเก้งนั่นแหละ ดังนั้น ความผิดพลาด คลาดเคลื่อนทั้งหลายที่มี ผู้เขียนไม่สงวน ลิขสิทธิใ์ นการแก้ไขให้ถูกต้อง อนุญาตให้แก้ไขแล้วแก้ไขอีกจนกว่า จะถูกใจของผู้อ่านเอง เมื่อตกลงกันอย่างนี้แล้ว ผู้เขียนจึงขอถือโอกาสที่จะเขียน “แบบ สบายๆ” เพราะต้องการให้เป็นหนังสือประเภท “อ่านเล่นก็ได้-คลาย เครียดก็ดี” จึงขอบอกไว้ก่อนว่าเราจะไม่อ้างอิงตำ�ราเล่มใด ของใครมา ประกอบ หรือประเภทเขียนไปจะต้องยืนยันกันไป เหมือนกับว่า ผู้อ่าน กำ�ลังจะตามจับผู้ร้ายอยู่ ผู้เขียนก็เลยต้องคอยหาพยานหลักฐานมาคอย ปกป้องตัวเองเพื่อให้พ้นผิด ถ้าผิดก็จะบอกได้ว่าเป็นคำ�ของผู้โน้น ผู้นั้น .... อย่างนั้น มันเป็นวิสัยทางโลกๆ เราเลยไม่เอามาใช้ ขอให้เป็นวิสัยทางธรรม ดีกว่านะ “ผิดถูกประการใดให้อภัยทั้งนั้น” แต่ถึงแม้จะเป็นหนังสือที่บอกว่า อ่านเล่น หรือ คลายเครียด ก็มิใช่ ว่าเป็นเรื่องไร้สาระขาดประโยชน์ ยังคงเป็นหนังสือธรรมะที่แท้จริงยิ่งยวด อยู่นั่นเอง และมิหนำ�ซํ้ากลับเข้มข้น ไปด้วยแก่นสารของเรื่องราวที่เกิดขึ้น จากธรรมชาติจริงๆ ....
ที่พึ่งหนึ่งเดียว
1
มูลคันธกุฎี ของพระศาสดา บนยอดเขาคิชกูฎ เมืองราชคฤห์ ประเทศอินเดีย
ผู้เขียนมีความระลึกอยู่ลึกๆว่า ...... ๑. เราจะไม่ลวงผู้อ่านด้วยข้อความที่ทำ�ให้ เกิดความเพลิดเพลินไร้สาระตลกคะนอง ๒. ถ้าผู้ใดหยิบมาอ่านเพียงเพื่อฆ่าเวลาจะต้อง เป็นการ “ฆ่า” ที่ “คุ้มค่า” อย่างคาดไม่ถึง ๓. ผู้ที่กำ�ลังหาที่พึ่งเขาจะได้ “ที่พึ่งหนึ่งเดียว” สมปรารถนา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ฉ. ฉันทชาโต
ที่พึ่งหนึ่งเดียว
2
ภัยสูตร ภัยจากไฟไหม้ครั้งใหญ่ นํ้าท่วมครั้งใหญ่ แผ่นดิน ไหวครั้งใหญ่ สงครามมนุษย์ครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นเหตุให้ พ่อ-แม่-ลูก พลัดพรากจากกันก็จริงอยู่ แต่ภัยนี้ยังพอ มีโอกาสให้ลูกๆ พบพ่อเจอแม่ได้บ้าง ส่วนภัยใหญ่ต่อไปนี้ คนทั้งหลายไม่สามารถห้าม มิให้เกิดขึ้น หรือหาวิธีขวางกั้น-ชะลอไว้-ป้องกันด้วย วิธีใดๆ ได้เลยคือ ๑. ชราภัย ภัยจากความเสื่อมของอายุ และ ทุกขภัยคือความจนของคนชรา สังขารร่างกาย เหตุเกิดในเนปาล ๒. พยาธิภัย ภัยจากความเจ็บไข้ โรคระบาด ต่างๆ มะเร็ง ความดัน เบาหวาน เอดส์ อหิวาตกโรค สมองเสื่อม วัณโรค ฯลฯ ๓. มรณภัย ความสิ้นชีวิต จำ�ต้องตายในที่สุด ภัยเหล่านี้ พ่อ-แม่-ลูก ไม่มีโอกาสพบเจอกันได้ อีกเลย เป็นภัยที่เกิดขึ้นตลอดเวลาทั้งกลางวัน และ กลางคืน รุนแรงขึ้น ร้ายแรงขึ้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ใครบ้างจะรู้ทางที่จะหนี ? ใครเล่ารู้วิธีที่จะรอด ? ใครจะเป็นที่พึ่งของเรา ? เร่งรีบหาที่พึ่งได้แล้ว อย่าใช้ชีวิตประมาทมัวเมา อยู่ แ ต่ ค วามเพลิ ด เพลิ น สนุ ก สนานอั น หาสาระไม่ ไ ด้ เดี๋ยวจะหมดชาติไปเสียก่อน
เอ้า! ใครหาเจอถือว่ามีบุญหลายๆ ที่พึ่งหนึ่งเดียว
3
ทุกข์จากความพิการของ สังขารร่างกายเหตุเกิดในอินเดีย
ที่พึ่งหนึ่งเดียว มนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมาก เมื่อถูกความกลัว (ภัย) คุกคามเอาแล้ว ย่อมยึดถือเอาภูเขาบ้าง ป่าไม้บ้าง ว่าเป็นที่พึ่งของตน นั่นไม่ใช่ที่พึ่งอันทำ�ความเกษมให้ได้เลย นั่น ไม่ใช่ที่พึ่งอันสูงสุด ผู้ใดถือเอาสิ่งนั้นๆ เป็นที่พึ่ง แล้ว ย่อมไม่หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้... ส่วนผู้ใดที่ถึงซึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งแล้ว เห็นอริยสัจทั้งสี่ด้วยปัญญา อันถูกต้อง คือ เห็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เห็นทุกข์ คือ ความโศกเศร้า ความพิรํ่าพิไร ความคับแค้นใจ เห็นเหตุ เป็นเครื่องให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์ เห็นความก้าวล่วงดับเสียได้ซึ่งทุกข์ เห็นมรรค คือ ทาง ๘ ประการ อันประเสริฐ ซึ่งเมื่อดำ�เนินตามแล้วให้ความสงบรำ�งับทุกข์ได้ นี่แหละคือที่พึ่งอันเกษม นี่คือที่พึ่งอันสูงสุด ผู้ ใ ดถื อ เอาที่ พึ่ ง นี้ แ ล้ ว ย่ อ มหลุ ด พ้ น ไปจากทุ ก ข์ ทั้งปวงได้...
ทรงเป็นที่พึ่งของเทวดา
ทรงเป็นที่พึ่งของมนุษย์
เราชาวพุทธได้กล่าวว่า... พุทธัง สรณัง คัจฉามิ : ข้าพเจ้ามีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ : ข้าพเจ้ามีพระธรรมเป็นที่พึ่ง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ : ข้าพเจ้ามีพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง แล้วจะไปกราบไหว้บูชาสิ่งอื่นๆ ที่ไม่ถูกตรง ให้เสียโอกาสอยู่อีกหรือ... ที่พึ่งหนึ่งเดียว
4
กว่าจะได้มาเป็นพระพุทธเจ้า สิ่งนี้คือกฎเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย มาประสูติในตระกูลสูงคือกษัตริย์ และพราหมณ์ มหาศาลเท่านั้น ❀ ประทับในครรภ์ไม่น้อยและมากเกิน ๑๐ เดือน ❀ ประสูติในวนอุทยานสวนป่าเท่านั้น ไม่ประสูติใน พระราชนิเวศน์ ❀ พุทธมารดามีพระชนมายุระหว่าง ๕๐-๖๐ ชันษา ขณะทรงครรภ์ ❀ ประทับยืนประสูติเสมอ ❀
ประสูติ ณ ลุมพินีวัน
จะนำ�พระบาทออกก่อน ซึ่งคน
❀
ทั่วไปส่วนมากนำ�ศีรษะออก ❀ พุทธมารดาจะเสด็จสวรรคต ภายใน ๗ วัน (เสร็จกิจที่จะอยู่) ❀ มาประสูติในชมพูทวีป (อินเดีย) ไม่ประสูติในโลกใบอื่น เสาอโศก ณ สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ณ พุทธคยา ❀ ตรัสรู้ที่พุทธคยาทุกพระองค์ ณ ลุมพินีวัน เนปาล อินเดีย โพธิบัลลังก์ (เมืองคยา) ❀ โปรดพุทธมารดา ณ ดาวดึงส์ เทวโลก ๑ พรรษา ❀ มีพระแท่นบรรทม ณ เชตวันวิหาร (เมืองสาวัตถี) ❀ ใครจะปลงพระชนม์ชีพไม่ได้ ไม่ถูก พระแท่นบรรทม ณ วัดเชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี อินเดีย ศาสตราอาวุธทำ�ให้เจ็บพระวรกาย ที่พึ่งหนึ่งเดียว
5
พุทธานุภาพ
อโห! พุทโธ
ครั้งแรกที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จสู่เมืองกบิลพัสดุ์ บรรดาพระญาติศากยะทั้งหลาย ยังไม่ทราบถึง การปฏิบัติตนต่อตำ�แหน่งพระพุทธเจ้า จึงให้แต่กุมาร กุมารี ที่มีอายุน้อยทั้งหลายที่ ทำ�การต้อนรับกราบไหว้ ส่วนผู้ที่มีอายุสูง เพียงแต่ทักทายด้วยวาจา พระศาสดาทรงตรวจดูรู้ว่าเจ้าศากยะมีมานะจัด ในเรื่องชาติตระกูล จึงดำ�ริว่าเราจักให้พวกเขาไหว้ใน กาฬเทวิลดาบส ขอชม บัดนี้ จึงแสดงปาฏิหาริย์เหาะขึ้นสู่อากาศเวหา โปรย เจ้าชายสิทธัตถะกุมาร ละอองธุลีพระบาทลงบนเศียรของเจ้าศากยะทั้งหลาย พระพุทธบิดาเจ้าสุทโธทนะเห็นความอัศจรรย์นั้น จึงตรัสว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในวันที่พระองค์ประสูติ นั้น คนนำ�พระองค์ ไปเพื่อให้ไหว้กาฬเทวิลดาบส แต่กลับเป็นว่าพระบาทของพระองค์ไปประดิษฐาน บนชฎาของดาบส หม่อมฉันเห็นอัศจรรย์นั้นจึงได้ เจ้าชายสิทธัตถะ นั่งสมาธิ ไหว้พระองค์เป็นครั้งแรก ใต้ต้นหว้า หลังจากนั้น ในวันวัปมงคลแรกนาขวัญ ขณะที่พระองค์นั่งสมาธิ ประทับที่โคนต้นหว้า เงาของต้นหว้ามิได้เปลี่ยนแปลงไปตามพระอาทิตย์ หม่อมฉันเห็นความอัศจรรย์นั้นจึงได้ทำ�อัญชลีเป็นครั้งที่สอง ก็บัดนี้ หม่อมฉันได้เห็นปาฏิหาริย์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจึงทำ� อัญชลีพระองค์เป็นครั้งที่สาม” เมื่อเจ้าศากยะทั้งหลายได้เห็นปาฏิหาริย์นั้น ต่างก็ยกพระหัตถ์ขึ้นทำ� อัญชลีโดยทั่วกัน หลังจากนั้นพระองค์เห็นว่ามีความเลื่อมใสศรัทธาดีแล้ว จึงได้แสดงธรรมสั่งสอนจนได้ดวงตาเห็นธรรมส่วนมาก ที่พึ่งหนึ่งเดียว
6
อจินไตย – ห้ามสงสัย มีบางเรื่องที่ห้ามนำ�มาสงสัย เพราะเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือเหตุผล ซึ่งสติปัญญาของปุถุชนคนที่ยังมีกิเลสไม่สามารถหยั่งถึงได้ หรืออาจจะ กล่าวว่าเป็นความลึกลับซับซ้อนของจักรวาล ของภพภูมิจิตวิญญาณของ โลก ซึ่งไม่มีสูตรมาพิสูจน์ได้ ถ้าขืนนำ�มาค้นคว้าจะทำ�ให้เหนื่อยเปล่า ซึ่ง มีอยู่ ๔ เรื่องคือ ๑. ห้ามสงสัยว่าพระพุทธเจ้ามีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ได้อย่างไร ? แต่ถ้าตอบทางธรรมก็ต้องตอบว่า เพราะพระผู้มี พระภาคเจ้าสั่งสมบุญกุศลมามากมายหลายภพ หลายชาติ ในระหว่างที่เวียนว่ายตายเกิดก่อนที่จะ ได้มาเป็นพระพุทธเจ้านั้น บางชาติเกิดมาทุกข์ยาก ลำ�บากยิ่งแต่ก็มีความอดทนถึงขนาดเอาชีวิตเข้า แรก ไม่ยอมตกเป็นทาสของความโลภ ความโกรธ ความหลงงมงาย ถึงจะเกิดมายากจนก็ไม่คิด คดโกง ฉ้อราษฎร์บังหลวง ลักขโมย หรือ บางชาติ ถูกผู้อื่นเบียดเบียนด้วยวาจาหยาบคาย ใส่ร้าย ป้ายสี พระองค์ก็อดทนไม่โต้ตอบทะเลาะวิวาท ด้วย นิ่งบ้าง เฉยบ้าง ไม่ทำ�ความโกรธอาฆาต พยาบาท จองเวร กล่าวโดยนัยว่า “จิตที่ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่ หลงงมงาย จะทำ�ให้มีอานุภาพ มีอิทธิบาทฤทธา ปาฏิหาริย์ มีความสามารถพิเศษต่างๆ” มิใช่ เวทมนตร์คาถา หรือว่าอาคม ที่พึ่งหนึ่งเดียว
7
พระโพธิสัตว์ชนะหมู่มาร
๒. ๓. ๔.
ห้ามสงสัยในคุณสมบัติของผู้ทรงฌาน ผู้มีสมาธิได้ญาณ ห้ามสงสัยในความพิเศษของพระอรหันต์ ห้ามสงสัยในเรื่องโลก ทำ�ไมโลกลอยได้ทั้งที่มันมีนํ้าหนักมากๆ สิ่งที ่ เกิดขึ้นบนโลกครั้งแรกใครเป็นคนคิดทำ�ขึ้น ใครสร้างขึ้น ❀ ทำ�ไมมีพระอาทิตย์ พระจันทร์ ทำ�ไมมีร้อน มีหนาว อุ่นอย่างเดียวไม่ได้หรือ ? ❀ ทำ�ไมต้นไม้มีพันธุ์ต่างๆ กัน ลูก ใบ ดอก ไม่เหมือนกัน ? ❀ ทำ�ไมคนถึงมีรูปร่างเช่นนี้ น่าจะมีตา มีปาก มากกว่านี้ ? ฯลฯ ❀ ทำ�ไมสิ่งทั้งหลายจึงเป็นไปได้อย่างนั้น ?
ตอบว่า
“มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง” “มันเป็นธรรมชาติของเขาเอง” “เป็นสิทธิพิเศษของท่านเอง” ที่พึ่งหนึ่งเดียว
8
เสด็จจำ�พรรษาในเทวโลก ในพรรษาที่ ๗ พระบรมศาสดาเสด็จไปยังดาวดึงส์เทวโลกชั้นที่ ๒ เพื่อโปรดพุทธมารดาสิริมหามายา ซึ่งสวรรคตไปอุบัติเป็นเทพบุตรอยู่ใน สวรรค์ชั้นดุสิต พระพุทธองค์ทรงประทับนั่งท่ามกลางเทวบริษัท แสดงพระอภิธรรม ตลอด ๓ เดือน ในเวลาบิณฑบาตทรงเนรมิตให้กายหนึ่งนั่งแสดงธรรม อยู่เทวโลก ส่วนพระวรกายจริงเสด็จไปป่าหิมพานต์ ทรงเคี้ยวไม้สีฟัน บ้วน พระโอษฐ์ ล้างพระพักตร์ที่สระอโนดาต ไปบิณฑบาตยังอุตรภุธุทวีปกระทำ� ภัตกิจแล้วเสด็จไปหาพระสารีบุตรเพื่อบอกธรรมเทศนาที่ควรแสดงแก่ ภิกษุผู้เป็นนิสิตของเธอ แล้วพระองค์ก็เสด็จกลับเทวโลก เพื่อแสดงธรรม ต่อจากที่กายที่เนรมิตแสดงไว้ ตลอด ๓ เดือน ธรรมาภิสมัยได้มีแก่เทวดา ๘ หมื่นโกฏิ พระพุทธมารดามายาเทพบุตรได้บรรลุเป็นอริยบุคคลชั้นต้น โสดาบัน แล้วพระองค์ก็เสด็จกลับมนุษย์โลก
“สัตถา เทวมนุสสานัง พุทโธ ภควาติ” พระองค์เป็นบรมครู ผู้สั่งสอนทั้งเทวดา และ มนุษย์ทั้งหลาย อย่างไม่มีผู้ใดยิ่งกว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จลงจากเทวโลก หลังจำ�พรรษา ๓ เดือน เพื่อโปรดพุทธมารดา ที่พึ่งหนึ่งเดียว
9
ที่พึ่งของเทพยดา เทพหรือเทวดาทั้งหลายคือ ผู้ที่อาศัย อยู่ ใ นเทวโลกอั น มี ค วามเป็ น ทิ พ ย์ ห รื อ กาย โปร่งใส ไม่หนาทึบเหมือนกายมนุษย์ เป็นภพ ภูมิที่มีบุญญาธิการมากกว่า เสวยความสุข อันเป็นทิพยสมบัติ สิ่งทั้งปวงสวยสดงดงาม ยิ่งกว่าเมืองมนุษย์ ไม่ต้องมีการงาน ทำ�มาหากิน ไม่มีการเจ็บป่วย ไม่มีการเข่นฆ่า ลัก-ปล้น ฉ้อโกง ไม่มีด่าแช่ง ชิงดีแข่งเด่น
ท้าวสหัมบดีพรหมลงมาทูลอาราธนา พระพุทธเจ้าให้ทรงแสดงธรรมโปรดชาวโลก
แม้จะมีความสบายถึงเพียงนั้นก็ยังไม่พ้นจากทุกข์ เมื่อหมดเวลาจาก เทวโลกจะต้องเคลื่อน (จุติ) เพื่อไปเกิดในที่อื่นๆ อีก เช่นมาเกิดที่โลกมนุษย์ ก็ต้องมาเจอกับความทุกข์ได้อีก ดังนั้น หมู่เทวดาจึงต้องสร้างบุญบารมี ให้ยิ่งขึ้นจนกว่าจะถึงแดนพ้นทุกข์ คือ “นิพพาน” เช่นเดียวกับมนุษย์เรา เทวดาทั้ง หลายก็จำ�ต้องมีที่พึ่งที่ระลึก เพื่อจะได้สั่ง สอนอบรมให้ประพฤติตนในทางที่ถูกตรง “แล้วเทวดา เลือกสิ่งใดเป็นที่พึ่งหรือ ?”
“พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ที่พึ่งหนึ่งเดียว
เสด็จดับขันธปรินิพพาน ที่สาลวโนทยาน กุสินารา
10
พระธาตุหลวง หรือ พระเจดีย์ โลกะจุฬามณี ประเทศลาว
พระมหาโพธิเจดีย์ พุทธคยา ประเทศอินเดีย
มหาเจดีย์ชเวดากอง ย่างกุ้ง ประเทศพม่า
เทวดาทั้ ง หลายกราบไหว้ เ คารพและ บู ช าองค์ ส มเด็ จ พระสั ม มาสั ม พุ ท ธเจ้ า ถึงขนาดเนรมิต “เจดีย์จุฬามณี” ไว้ใน เทวโลกชั้นดาวดึงส์ ซึ่งมีพระจุฬา (ผม) พระธรรมรัตนเจดีย์ ต.แม่สาว อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ และพระบรมสารี ริ ก ธาตุ ใ นส่ ว นที่ เ ป็ น พระเขี้ยวแก้ว บรรจุไว้ เพื่อเป็นสิ่งแทนองค์พระศาสดา ในเมื่อเทพยดาซึ่งมีบุญมากกว่ามนุษย์ ยังต้องมีพระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่งอันสูงสุดแล้ว เราเป็นมนุษย์นับถือพุทธศาสนาจะไปพึ่งอะไร ? ฉ.ฉันทชาโต ที่พึ่งหนึ่งเดียว
11
เรื่องสั้นของฉันเอง
โดย ฉ.ฉันทชาโต
ที่พึ่งหนึ่งเดียว
12
คนหาย ! เมื่อประมาณต้นปีจอ พ.ศ. ๒๕๓๗ วันอาทิตย์ ที่ ๑๓ ขึ้น ๓ คํ่า เดือน ๓ ก่อนวันมาฆบูชา เล็กน้อย มีชายผู้หนึ่งหายไปจากสังคมผู้คนอย่างลึกลับ รูปพรรณสันฐาน สูงโปร่ง สันทัด ๑๗๖ ซ.ม. ผิวเนื้อ ดำ�-แดง-เหลือง (เปลี่ยนสีได้) ผมหยักโศก อายุ ประมาณกลางคน อุปนิสัย ใจเย็นบางที-ใจดีบางวัน สุภาพอ่อนโยน สถานะ ตรวจสอบข้อมูลทางโลก ไม่มีเรือน-ไม่มีลูก อาชีพ ได้ยินแว่วๆว่าเคยเป็นครูสอนกฎหมายอยู่ กทม. “อ๊อ! ฉันรู้จัก...ฉันรู้เรื่องดี” (เสียงหญิงวัยหกสิบต้นๆ อุทาน) “ท่านบวชเป็นพระไปแล้ว นู๊น! วัดบ้านแก้งเหนือ อำ�เภอเขมราฐ อุบลราชธานี” ทำ�ไมยายรู้ดีล่ะ? (เสียงชายคนหนึ่งถาม) “ฉันเป็นแม่ท่าน...ที่อุตรดิตถ์ท่านชวนฉันไปคนเดียว” ทำ�ไมท่านถึงบวชล่ะยาย ? “ฉันไม่รู้ ท่านไม่เคยระแคะระคาย ไม่มีวี่แววด้วยซํ้าอยู่ๆ ก็มา ชวนไปอุบลฯ แถมยังพูดอีกว่า...ถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไร” “ยายยังอิดเอื้อนว่า...ทำ�ไมต้องไปบวชไกลๆ บวชแถวนี้ก็ได้ พวกญาติ พี่น้องจะได้มาร่วมอนุโมทนาด้วย” ท่านไม่พูดอะไร...เงียบ ! ยายรู้นิสัยท่านดี จึงไม่เซ้าซี้ ที่พึ่งหนึ่งเดียว
13
“แล้วจะไปเมื่อไร ?” พรุ่งนี้ ! “บวชเสร็จตอนบ่ายสองโมง ยายก็รีบกลับอุตรดิตถ์เย็นนั้นเลย” “พวกผมไม่รู้เรื่อง นึกว่าหายไปไหน ที่แท้ก็กลายเป็นพระไปแล้ว” “แล้วท่านจะสึกเมื่อไหร่ไม่รู้ คุณยายได้ถามมั๊ย ? ” “เออ ! ยายไม่ได้ถาม แต่ท่านบอกว่าสร้อยทองนั้นยกให้ยาย ส่วน เสื้อผ้าและสิ่งของทั้งหลายให้นำ�ไปแจกจ่ายให้ด้วย ไม่ต้องเก็บไว้...ยายฟัง ก็ยังงงๆ อยู่” “บวชจริงๆ เหรอ” ชายกลุ่มนั้นอุทาน ทำ�ท่าทางมึนๆ งงๆ แล้วก็พากันกลับไปแบบ เงียบๆ ท่านคงหาที่พึ่งได้แล้ว “ปล่อยท่านไปเถ๊อะ”
“จากหินกลายเป็นเพชรได้ จากคนก็กลายเป็นพระ ได้เช่นกัน”
ฉ.ฉันทชาโต ที่พึ่งหนึ่งเดียว
14
ธุดงค์เถื่อน
ธุดงค์ แปลว่า องค์แห่งการละกิเลส
ที่ว่าเถื่อน เพราะบวชได้เดือนเดียวก็ออกธุดงค์เลย ใบสุทธิก็ยัง ไม่ได้ทำ� บัตรประชาชนทางโลกก็ไม่มี ไม่มีหลักฐานอะไรเลย ไปตั้งต้นเดินที่อำ�เภอจุน จังหวัดพะเยา เดินไปครึ่งวัน ถูกรองเท้าตัว เองกัด จึงถอดเหน็บติดย่ามไว้ เดินไปถึงตอนบ่าย บ่าเจ็บ บริขารเริ่มหนัก หาที่พักข้างทาง ตรวจดูบริขารที่ไม่จำ�เป็นจึงเอาออก รวมถึงรองเท้าด้วย ไม่เอามันละ หยิบวางไว้ข้างทาง ถ้ามีใครมาพบเจอก็เอาไปเถอะ เราสละ แล้ว ไม่เป็นโทษ พอใกล้คํ่า มองหาที่พัก ได้วัดแห่งหนึ่งพออาศัยสรงนํ้า ปักกลดเสร็จ แล้ว นั่งพิจารณาตนเองถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งวัน....เริ่มเห็นทุกข์ ❀ บ่า + เท้าแตก-พอง ทุกข์เพราะสังขารร่างกาย ❀ บริขารหนัก รุงรัง ทุกข์เพราะความโลภสัมภาระ จึ ง เริ่ ม รู้ จั ก ที่ จ ะต้ อ งละสละสิ่ ง ที่ ไ ม่ จำ�เป็นออกเสีย จิตจึงอุทานขึ้นว่า.... อ๊อ! นี่แหละ...ที่เรียกว่า “ธุดงค์” ล่ะ เกิดความปิติอยู่ขณะหนึ่ง ซาบซึ้งในคุณ ของธุดงค์ยิ่งขึ้น ทำ�ให้มีกำ�ลังใจที่จะเดิน ต่อไปในวันพรุ่งนี้ ด่านตรวจคนเข้าเมืองแม่สาย จ.เชียงราย ที่พึ่งหนึ่งเดียว
15
ในแต่ละวัน จะมีกำ�ลังใจเกิดขึ้นจากการพิจารณาในแต่ละเรื่องๆ เป็น เครื่องหล่อเลี้ยงจึงทำ�ให้หายเหนื่อย และไม่ท้อแท้ที่จะเดินต่อไป ทั้งๆ ที่ จริงแล้วมันช่างทุกข์เหลือทน บางวันก็อยู่ด้วยการปลอบใจตนเองว่า... “ลำ�บากแล้วได้บุญ ดีกว่าสบายแล้วไม่ได้อะไรเลย” สังขารร่างกายมี ไว้ให้ใช้ตอนเป็น ตายไปใช้ไม่ได้ เลยรีบใช้ให้คุ้ม เอาเถอะ! ลำ�บากเสียชาตินี้ จะได้ไม่กลับมาเกิดให้ลำ�บากอีก ต่อไป... สารพัดอุบายที่ผุดขึ้นในจิต จึงได้คิดขึ้นว่า...นี่ แหละ เหตุที่พระศาสดาให้เราเดินดงจะได้เห็นทุกข์ เมื่อเห็นทุกข์ ปัญญาจึงเกิดขึ้น “ไม่ทำ�เหตุ-จะเกิดผลได้หรือ?” ก็เลยชอบที่จะไปอยู่ตามป่าเขาลำ�เนาดงเรื่อยๆ มา หลายเดือน เป็นปี เห็นความอัศจรรย์ในพระธรรม ยิ่งขึ้น จึงเดินธุดงค์จะไปอินเดีย ไปถึงชายแดนแม่สาย จังหวัดเชียงราย ไปยืนดูอยู่ห่างๆ ที่ด่านตรวจคน เข้าเมือง เห็นมีการยื่นเอกสารต่างๆ นานา หลายใบ จึงเดินไปถามเจ้าหน้าที่... ❁ ถ้าพระจะไปต้องมีเอกสารเหล่านั้นมั๊ย? ❁ ต้องใช้ครับ! สำ�คัญในฝั่งพม่า เคยมีพระถูก จับขังตัว จึงรู้ตัวเราเองดีว่า “ธุดงค์เถื่อน” ไม่มีอะไรซักอย่าง ! ในที่สุดก็เลยวาง “ไปไม่ได้ ก็ไม่ไป” ป.ล.หลังจากนั้นมา พ.ศ. ๒๕๔๗ มีโยมถวายตั๋วเครื่องบินให้ ก็เลยได้ไป เมื่อครั้งพ.ศ. ๒๕๔๘ ได้มาจำ�พรรษาที่ประเทศอินเดีย ตั้งแต่นั้น ญาติธรรม นิมนต์ไปทุกปีเพื่อนมัสการสังเวชนีย ๔ สถาน ที่พึ่งหนึ่งเดียว
16
สารพัดอัศจรรย์
ฉ.ฉันทชาโต
พระธาตุอินทร์แขวน ประเทศพม่า ที่พึ่งหนึ่งเดียว
17
เขาถํ้าที่ทองผาภูมิ
ขณะที่นั่งสมาธิอยู่ในถํ้า มืดมิด ซึ่งแสงทั้งหลายส่อง เข้าไปไม่ถึงเลย หลับตาได้ครู่ หนึ่ง ปรากฎเห็นเม็ดดิน เม็ด ทราย ชัดเจนอยู่ต่อหน้า ครั้น ลืมตาขึ้นดูก็มืดมิด หยิ บ ไฟฉายส่ อ งดู . .. เออ! เหมือนที่เห็นในนิมิตเลย แต่ชัดเจนไม่เท่า นั่งงุนงงอยู่ พักหนึ่ง...ไม่รู้ว่าอะไร? จึง ตัดบทว่า “ช่างมันเฮ๊อะ”
ที่พึ่งหนึ่งเดียว
18
มุดถํ้าเม่นเมืองกาญจน์ เป็นถํ้าลึกลับ ซอกแซก มีหลุมมีบ่อ มี แท่น ทั้งปีนขึ้นปีนลง มีเม่นฝูงหนึ่งอาศัยอยู่ เวลากลางคืนจึงจะเห็นมันออกหากิน ได้ยิน เสียงขนแข็งๆ กระทบกัน ค๊อกแค๊กๆ ไม่กล้า ส่องไฟดูมันตรงๆ...กลัวมันสลัดขนใส่ ขน เม่นจะแหลมยาว ได้อาศัยอยู่ที่นี่ประมาณ ๑ เดือน กลางคืนได้นั่งเพ่งกสิณไฟ จุดเทียนแล้ว นั่งจ้อง บริกรรมว่า “เตโช ๆ ๆ ๆ” สลับกับคำ� ภาษาไทยว่า “ไฟ ๆ ๆ ๆ” บริกรรมหูดับตับไหม้ พอแสบตาก็ หลับตาลง หายแสบก็เริ่มใหม่ จนกว่าเทียน จะหมดเล่ม บางทีก็เพ่งเฉยๆ ไม่บริกรรม เมื่อหลับตาลงก็เห็นดวงไฟกลมๆ ลอยเด่น อยู่เบื้องหน้า มีการเปลี่ยนสีได้ จากเหลือง เป็นแดง-ส้ม-เขียว-ดำ�-ขาว แล้วก็จางหาย ไปในที่สุด จิตก็สงบอยู่อย่างนั้น... อยู่ๆ ก็เห็นตัวเลขอารบิคลอยมาใสๆ ชัดเจนมาก “926” แล้วจิตก็ถอนออกจากสมาธิ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหมายถึงอะไร รุ่งขึ้นมีคนมาแถวถํ้า เขาคุยกัน เรื่องเลขหวย งวดนี้จะซื้ออะไร? คนนี้คนนั้นก็บอกต่างๆ กันไป มีคนหนึ่ง หันมาถามพระเป็นทีเล่นทีจริง แล้วท่านไม่ซื้อบ้างเหรอ? พูดแกม หัวเราะ ฮึ ฮึ เราเห็นเขาพูดแกมเล่น ไม่ได้คิดอะไรจริงจัง ก็เลยหลุดออกไป.... “926” ล่ะมั๊ง? ที่พึ่งหนึ่งเดียว
19
ต้นตะเคียนยักษ์ ลิเจีย กาญจนบุรี
หลังจากนั้นไม่กี่วัน มีโยมนำ� สังฆทานมาถวายที่ถํ้า มีทั้งหน้าเก่า หน้าใหม่หลายคนด้วยกัน คนหนึ่งพูด ว่า “พอดีถูกหวย จะมาถวายสังฆทาน ท่านค่ะ”
“แหม! ท่านให้ตรงเป๊ะเลย อย่าลืมงวดหน้านะคะ”
อ้าว! เราพูดเล่นๆตามนิมิต ไม่คิดว่าเขา จ้องจับอยู่ดีนะที่มันแม่น ถ้ามันผิดเขาต้องเสีย หายเป็นทุกข์ เราก็ต้องบาป คิดอยู่ในใจว่า.... ต่อไปถ้าจะพูดอะไร จะต้องตรึกตรองให้ รอบคอบ เราเป็นพระจะพูดเล่นๆนั้นไม่สมควร เมื่อตำ�หนิตัวเองแล้ว อดที่จะนึกไม่ได้ ว่า...ตัวเลขมันวิ่งมาให้เราเห็นได้อย่างไร?? เฮ้อ!... อัศจรรย์อยู่เหมือนกัน แต่ในที่สุด ก็บอกตนเองว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรก็
“ช่างมันเฮ๊อะ” ที่พึ่งหนึ่งเดียว
20
คิดจะเปลี่ยนนิกาย คิ ด อยู่ ใ นจิ ต ว่ า หลวงปู่ หลวงตา หลายรูปที่ท่านปฏิบัติ ได้รับมรรคผลส่วนมาก ได้ยินว่า ท่านบวชนิกายธรรมยุต อีกจิต หนึ่งก็บอกว่า มหานิกาย ก็บรรลุ ได้ และมีมาก่อนเก่าด้วย ชื่อ นิกายนั้นไม่เป็นประมาณหรอก อยู่ที่ผู้ประพฤติต่างหาก นิกาย ใดๆ ก็ถือศีลเดียวกัน มรรคองค์ แปดเช่นกัน โพธิปักขิยธรรม สามสิบเจ็ดข้อเหมือนกัน อยู่ที่ ทำ�จริงหรือไม่! หลั ง จากได้ คิ ด เช่ น นั้ น มา หลายวัน ได้มาปรากฎในนิมิต ว่า.... มีหลวงปู่มั่นมาหา และบอกว่า “นิกายน่ะ! ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก ถึงอย่างไรข้างในท่านเป็นธรรมยุตอยู่แล้ว” ออกจากนิมิตมารู้สึก สบายใจ เลิกกังวลเรื่องนี้อีกต่อไป แต่ก็อัศจรรย์อยู่ในใจว่า...เราคิดของเราอยู่คนเดียว แล้วท่านมารู้ ของเราได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ท่านมรณภาพไปแล้ว นั่นน่ะซิ!! แต่ถึงกระนั้นก็ ต้องวางนิมิตนั้นๆ เสีย
ที่พึ่งหนึ่งเดียว
21
คำ�บริกรรม ครั้ ง หนึ่ ง ได้ พิ จ ารณาเรื่ อ งคำ� บริกรรมของแต่ละสำ�นัก ซึ่งใช้ แตกต่างกันไป ซึ่งของเราใช้ “เกสา โลมา นขา ทันตา ตะโจ” ทำ�ไม ไม่เหมือนกัน ในเมื่อศาสนาเดียวกัน แท้ๆ ? แล้วคำ�บริกรรมใดล่ะที่ถูก ต้องได้ผล จิตตอบมาว่า...คำ�ใดก็แล้วแต่ เถอะ! ขอให้บริกรรมแล้ว จิตนิ่งสงบ ลงได้ เกิดปัญญาหาอุบายมาทำ�ลาย ล้างกิเลส โลภ โกรธ หลง ให้หมด ไปจากจิตใจได้ ถือว่าได้ผลทั้งนั้น อย่ามัวติดใจสงสัยอยู่เลย! อย่ามัวเถียงกันเลย! อยู่มาวันหนึ่ง นิมิตเห็นหลวงปู่สด วัดปากนํ้าภาษีเจริญ เห็นกาย ท่อนบนท่านอยู่ในวงรี ลอยอยู่เบื้องหน้าเรา ในจิตคิดว่า...เป็นเพียงภาพ หรือ องค์จริง? ท่านกระพริบตาให้เห็น จึงทราบว่าองค์จริง จึงถามท่าน ว่า... “หลวงปู่... ในสมัยที่หลวงปู่ปฏิบัติธรรมอยู่ หลวงปู่บริกรรมว่าอะไร” ท่านตอบว่า... “ใช้ เกสา โลมา นขา ทันตา ตะโจ” แล้วท่านก็ยํ้าอยู่คำ�เดียวว่า “นขา ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ” แล้วท่านก็หายไป ในจิตก็คิดว่า... “เฮ้อ! ท่านก็ยังใช้ของพระพุทธเจ้า” ออกจาก นิมิตมาก็ยังอัศจรรย์ และดีใจว่า “แม้หลวงปู่สดก็บริกรรมเหมือนเรา” ท่านมาเมตตาเป็นอัศจรรย์ เพื่อให้มีความ มั่นใจ! ที่พึ่งหนึ่งเดียว
22
พลิกจิต
ครั้งหนึ่งได้นิมิตว่านอนอยู่บนเก้าอี้ที่เอนได้ เห็นพระพุทธเจ้าเข้ามา ยืนอยู่ข้างๆ พระองค์ตรัสว่า...“พลิกจิตซิ” เรางุนงง เพราะไม่รู้ว่าจะพลิกอย่างไร พระองค์ทราบในพระทัยว่าเรา งุนงงในวิธีทำ�อยู่ ทันใดพระองค์ก็นำ�พระหัตถ์คว้าลงไปที่ตรงหัวใจของเรา แล้วจับหมุนหนึ่งรอบ และตรัสว่า “แค่นี้แหล่ะ” พระองค์แย้มพระโอษฐ์ น้อยๆ แล้วก็เสด็จดำ�เนินไป.... สายตามองตามพระองค์ไป ส่วนมือจับตรงหัวใจที่ท่านหมุนเหมือน ยังงงๆ อยู่ ออกจากนิมิตมา ยังคิดอยู่ว่า “แล้วเราจะพลิกให้ผู้อื่นได้ยังไง?” อุทานอยู่ในใจว่า “พระพุทธเจ้าอัศจรรย์จริงหนอ” ที่พึ่งหนึ่งเดียว
23
หลวงปู่มหาบัว เคยไปที่วัดบ้านตาด แต่ไม่พบองค์ท่าน เคยไป สวนแสงธรรม เพื่อจะกราบท่าน แต่ท่านกำ�ลังแสดง ธรรมอยู่ จึงนั่งฟังธรรมอยู่ด้านนอก คิดว่าท่านแสดง เสร็จจะเข้าไปกราบปรากฎว่านั่งฟังได้ประมาณ ๑๕ นาทีฝนตก ท่านหยุดเทศน์ คนหลบฝนเต็มศาลา ใน ที่สุดก็เลยไม่ได้กราบท่าน แต่ว่าในนิมิตนั้น ได้พบกับท่านเป็นระยะๆ หลาย ครั้งอยู่ ครั้งหนึ่งท่านไปหาที่สำ�นักวัดป่ากล้วย ไปถึง กุฏิปั๊บ! ท่านนั่งเลย นิมนต์ท่านให้นั่งตามที่จัดให้ ท่านบอกไม่เป็นไร ท่านเมตตา เรียบง่ายมาก แล้วท่านก็ปรารภธรรมหลาย ๆ เรื่อง แล้วท่านก็กลับ เป็นอย่างนี้หลายครั้งอยู่ มีหนหนึ่งที่ปรากฎในนิมิต ก่อนท่านมรณภาพเล็ก น้อย อยู่ๆ ท่านก็ปรากฎในกระเอวเรา มือทั้งสอง ท่านกอดคอเราไว้ มองที่ ใบหน้าท่านยิ้มสวยงาม ปากอมหมากอยู่ด้วย ในจิตคิดว่าทำ�ไมมาให้เรา อุ้ม เหมือนอุ้มเด็กเลย เมื่อมองไปที่เท้าข้างที่ยื่นไปข้างหน้า เห็นผ้าพันแผล จึง ทราบว่าเท้าเจ็บเดินไม่ได้ อุ้มท่านเพื่อจะนำ�ไปกุฏิ ถึงกุฏิหลังเล็กๆ คิดในใจว่า.... ทำ�ไมให้ท่านอยู่หลัง เล็กๆ ท่านเมตตาโลกไว้ตั้งมากมาย น่าจะสร้างถวายท่านให้สบายบ้าง ทันใดมี พระรูปหนึ่งเดินเข้ามาบอกว่า ให้นำ�ท่านไปที่หลังโน๊น เรามองตามที่ท่านชี้ให้ดู เฮ้อ! หลังนี้แหล่ะ จึงจะเหมาะสมสำ�หรับท่าน ส่งท่านแล้วเราก็กลับ หลังจากนิมิตแล้ว จึงได้เล่าให้ญาติธรรมฟัง โยมผู้หนึ่งทราบข่าวมาว่า “หลวงตาป่วยอยู่โรงพยาบาล เป็นแผลที่เท้า เดินไม่ได้” ซึ่งตรงกับนิมิตเช่นกัน เราก็ได้แต่รำ�พึงว่า....นิมิตนี่ก็อัศจรรย์จริงหนอ ? อีกไม่นาน ท่านก็ละสังขารหยาบลง ในเบื้องหน้านั้นไม่ห่วงท่านเลย ในเมื่อท่านสั่งสอนพวกเราให้นิพพาน แล้วท่านเองจะไปที่ไหนเล่า ? ที่พึ่งหนึ่งเดียว
24
เณรหน้าไฟ ประเพณีไทยพุทธอย่างหนึ่ง เมื่อมีคนตาย ในวัน เผาศพจะรับสมัครคนบวชเณร ส่วนมากจะเป็นลูก-หลาน หรือคนสนิทสนมมาบวช พอเผาผีเสร็จก็ลาสิกขา (สึก) กันเย็นนั้นแหละ บวชพักเดียว มีอยู่ศพหนึ่ง คุณตาตาย หลานเล็กๆ วัย ๗-๘ ขวบ บวชเณรหน้าไฟให้ ด้วยความเป็นเด็กยังสำ�รวมไม่เป็น มา วิ่งเล่นกันเสียงดังใกล้กุฏิ นึกตำ�หนิว่าการบวชอย่างนี้จะมี ประโยชน์อะไร ❀ เณรน้อย!....มานี่เร๊ว! (เราก็หาเรื่องคุย ด้วย) ❀ บวชมาต้องท่องคำ�บังสุกุลให้ได้ ถึงจะได้บุญรู้มั๊ย! “อนิจจา วะตะ สังขารา อุปปาทะวะยะธัมมิโน อุปปัตชิตะวา นิรุจชันติ เตสัง วูปะสโม สุโข” เขียนตัวโตๆ ให้ท่องให้ได้ ไม่เช่นนั้นคุณตาจะไม่ได้รับ บุญ ตอนสี่โมงเย็น พระจะมาสวดก่อนเผา คอยฟังไว้นะ ถ้าพระสวดว่า “อนิจจา” เราก็ว่าตามเลย หลังจากเผาแล้ว ๕ วัน คนตายมาบอกในนิมิตว่า.... “ที่เด็กๆ บวชเณรให้ ผมได้รับส่วนบุญแล้วนะ” แล้วก็ หายไปออกจากนิมิตมานั่งพิจารณาถึงการบวชหน้าไฟ “เออ...ได้ผลบุญเหมือนกัน จะไปดูถูกไม่ได้เชียวนา” ต้องขอบใจผีคุณตานั่นด้วย ที่ช่วยมาทำ�ให้คลายความสงสัย เพราะบางคนก็ยังกริ่งเกรงอยู่ในใจว่า “...บุญที่ทำ�ต่างๆ อุทิศไปนั้นไม่รู้ว่าถูกหรือผิด เพราะไม่เห็นคนตายมาบอก บ้างเลย..”นี่ไง! มาบอกแล้ว “บุญนี่อัศจรรย์หนอ! ไม่มีตัวตนแต่มีผลได้จริง” ที่พึ่งหนึ่งเดียว
25
ถํ้าเชียงดาว (เชียงใหม่)
ภูเขาเชียงดาว จะมีถํ้าเล็กถํ้าน้อย อยู่รอบๆ หลายถํ้า ได้ไปนั่งภาวนาอยู่ บริเวณนั้นๆ ประมาณ ๑ เดือน อากาศ ค่อนข้างเย็น-วิเวกดี คืนหนึ่งตรงกับ วันเพ็ญเดือน ๑๒ นั่งคู้บัลลังก์ตั้งแต่ หัวคํ่า อยู่ที่ถํ้าหลวงปู่มั่น (ท่านได้เคย มาภาวนาอยู่ที่เงื้อมเขาตรงนี้) ถํ้าเชียงดาว จ.เชียงใหม่ ประมาณ ๒-๓ ทุ่ม มีเสียงมหรสพ และจุดพลุสนุกสนานอยู่หน้าเขา ชาวบ้านจัดงานลอยกระทงกัน เราก็เลยออกจากสมาธิ-แผ่เมตตา เอนตัว ลงนอนตะแคงขวา (ฝึกไว้อย่างนั้น) อยู่ๆ ได้มีชายคนหนึ่ง วัยกลางคนเข้า มาในนิมิต มาถึงก็ก้มลงกราบปลายเท้า ❀ ใครกันหรือ ? ไม่มีเสียงตอบ ❀ มาทำ�ไมหรือ ? “มากราบลาท่าน... จะไปเกิด” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินไปในอากาศ มองตามไปเห็นรถปิ๊คอัพสองแถวคันหนึ่ง จอดรออยู่กลางอากาศ นั่นแหละ บรรทุกคนจนล้นคัน พอชายผู้นี้ขึ้นเกาะได้ รถก็ออกวิ่งอย่าง เร็วเชียว อัศจรรย์อยู่ในใจว่า...เออ! ผีนี้ก็รู้จัก ไปลา-มาไหว้ เหมือนกัน
ทางไปวัดถํ้าผาปล่อง เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ที่พึ่งหนึ่งเดียว
ถํ้าเชียงดาว จ.เชียงใหม่
26
ครูชื่อ “งู” ครั้งบวชใหม่ๆ ได้ประมาณ ๓ พรรษา ไปหาที่วิเวกที่ภาคใต้บ้าง เพราะในใจคิดเอา ไว้ว่าจะธุดงค์ไปให้ทั่วทุกภาค การไปนั้นส่วน ใหญ่ไม่มีจะหมายว่าจะไปที่ใดสุ่มๆไป พบเจอ พระบ้าง โยมบ้างก็พูดคุยสอบถามหาเอา จน กระทั่งไปถึงจังหวัดสตูล อำ�เภอละงู ชื่อถนน ชื่อหมู่บ้านจำ�ไม่ได้แล้ว มันไม่น่าจำ�เพราะ กันดาร ถนนยังเป็นฝุ่นนานๆ มีรถวิ่งผ่านก็ ต้องอุดจมูกหลบฝุ่น คํ่าที่ไหนก็พักที่นั่น บ้าน ผู้คนมีห่างๆ ชาวสวนยางพาราทั้งนั้น ไปจน ถึง “ถํ้าระฆังทอง” ซึ่งเป็นชื่อเรียกกันเอาเอง ไม่มีทางการเข้าไปดูแลอะไร พอไปถึงก็หาที่ กางกลด เลือกเอาในถํ้าชอบเงียบๆ พักคืน แรกปกติดี วันรุ่งขึ้นพักหายเหนื่อยแล้วก็เดิน-ปีนขึ้นไปสำ�รวจถํ้าชั้นบน แสงสว่างเข้าไม่ถึง มืดต้องใช้เทียนส่องทาง ถือเทียนด้วย อีกมือก็คอยจับคอยยัน พอถึงชั้นบนจะเป็นที่กว้างและพื้นราบหน่อย มีห้องโถงโล่งเป็นล็อก ๓-๔ ห้อง แต่ละห้องมันลดหลั่นกัน เดินลงบ้างขึ้นบ้างเป็นปล่องถึงกันขนาดกว้างตรงปล่อง ประมาณ ๑ เมตร ปรากฎว่าขณะที่กำ�ลังเพลิดเพลินจากห้องแรกจะไปห้องต่อ ไป ยืนอยู่ตรงปล่องพอดี...เทียนดับพรึ๊บ! มืดอยู่กับที่ มีลมพัดมาดังวู่ๆ ๆ ล้วง ไม้ขีดจะจุดเทียน จุดไม่ได้ซิ ลมมันพัดนี่ จิตหนึ่งคิดว่าเสียงงูเลื้อยกับเสียงลม นี่ดังเหมือนกันนะ ไม่ใช่งูหรอกเพราะมันมีลมกระทบอยู่นี่ เออ!แล้วถ้างูมันมา นี่จะทำ�ยังไง! มืดอย่างนี้ไม่รู้จะหนีไปทางไหน! แล้วขณะนี้ก็ยืนอยู่ระหว่างปล่อง แคบ ๆ อยู่พอดี ถ้างูมาก็ชนกันล่ะซิ ไม่มีอะไรป้องกันตัวซักอย่าง อ้าว ! ถ้ามีไม้มีมีดจะตีจะทุบได้หรือ ? เออ! ถึงมีก็ทำ�อะไรไม่ได้อยู่ดี ผิดศีล ! ขณะที่จิตคิดอยู่นั่น สายตาเริ่มปรับแสงได้บ้าง ดีใจว่าพอมองเห็น ที่พึ่งหนึ่งเดียว
27
ก็เลยเพ่งไปที่พื้นด้านหน้า เห็นแสงสะท้อน เข้าตาแว๊บๆ สัญชาตญาณเพ่งยํ้าเป็น อัตโนมัติ “งู” ใหญ่ด้วยเพราะสะท้อนยาว เป็นวา มือจับก้านไม้ขีดจะกระแทกจุด เทียน ไม่ได้! ถ้ามีเสียงดังมันจะพุ่งเข้าใส่ เลยนะ แล้วจะเอายังไง ! แผ่เมตตาเผื่อ มันจะถอยหลัง ไม่ถอย ! สวดอิติปิโสฯ เอา คุณพระรัตนตรัยเข้าช่วย ไม่ถอย ! แผ่เมตตายาว อิมินา ปุญญะกัมเมนะฯ ไม่ ถอย! หมดมนต์ภาษาบาลี เอาภาษาไทยบ้าง “งูเอ๊ย ! ถ้าเราไม่เคยจองเวรจองกรรมกันมาละก็...อย่าได้ทำ�ร้ายกันเลย นะ...ฉันน่ะไม่คิดทำ�ร้ายแกเลย คิดไว้ก่อนจะเห็นแกอีก ด้วยสัจจะคำ�จริง แกก็อย่ากัดฉันนะ บาปนะ! กัดพระน่ะ... พระมาธุดงค์ มาดี มาหาบุญหา กุศล ไม่คิดจะเบียดเบียนใคร ทิ้งบ้าน ทิ้งเมืองมาบวช บวชด้วยความเต็มใจ ไม่มีใครอ้อนวอนแนะนำ� เข้าป่ามาดงก็ตั้งใจมาเอง....ไม่ใช่เก่งกล้าท้าทาย ใครหรอกนะ บางครั้งจิตปรุงแต่งก็นึกกลัว พอกลัวขึ้นมาก็ไม่หลับไม่นอน หรอก สวดมนต์บ้าง ภาวนาบ้าง แผ่เมตตาแล้วแผ่เมตตาอีก หวังจะเอา ภูตเอาผีบ้าง เอาเทพยดาบ้างให้ดูแลรักษา ตั้งแต่บวชมาเราไม่เคยคิดที่จะ เบียดเบียนใครๆ เลย ด้วยบุญกุศลจากการบวชของพระนี้ ขอยกผลบุญให้ เธอด้วย เอาบุญไปนะ”
ไม่รู้ว่าความคิดมันแล่นมาจากไหนนักหนา... งูไม่ถอย เลื้อยมาใกล้เท้าแล้ว ห่างกันคืบเดียว มาช้ามากเหมือนระวังตัวเหมือนกัน คงได้กลิ่นสาบมนุษย์ ถึง เท้า! ยกหัวขึ้นมอง โอ๊ย! พระนิ่งเย็นเฉี๊ยบ บรรยายไม่ถูกหรอก ลดหัวลง! หลบตัวเลื้อยหลีกเท้าไปทางขวา ค่อยๆ ลากตัวผ่านเท้าพระไป พอพ้นเท้าแสง สะท้อนก็หายไปอย่างรวดเร็ว “งูผ่านไปนานแล้ว แต่ทิ้งสิ่งต่างๆไว้ให้เป็นการบ้านกับพระมากมาย! ทำ�ไม ๆ ๆ ๆ ๆ ในที่สุดก็ต้องบอกตนเองว่า ช่างมันเฮ๊อะ!” ฉ. ฉันทชาโต ที่พึ่งหนึ่งเดียว
28
โปรดจิตวิญญาณ บ่ายวันหนึ่งที่ทุ่งสง-นครศรีธรรมราช นั่งสงบอยู่ได้นิมิตว่าฝนตก ฟ้าร้องคำ�รามลั่น มองเห็นภาพที่ท้องฟ้านั้นเป็นนักรบขี่ม้ามือถือดาบ และ จับเชือกม้าดึงจนเท้าหน้ายกขึ้น และมีเรือสำ�เภากำ�ลังจมอยู่ตรงด้านหน้า ในจิตถามนักรบว่า มาทำ�ไม ? ตอบว่า “ช่วยบังสุกุลให้ด้วย” เราถามว่า : จะให้ทำ�อย่างไร? นักรบนั้นแนะนำ�ว่า “ให้พระชี้ไปที่สายฟ้าที่แลบอยู่นี้แล้ว บังสุกุลให้ ๔ เที่ยว และแปลเป็นภาษาไทย ๑ เที่ยว” ในจิตเราค้านว่า ทำ�ไมไม่ ๓ เที่ยว... แปลกนิ! เราก็เลยทำ�ให้ตามนั้น แล้วภาพก็หายไป ออกจาก นิมิตมาขณะนั้นฝนกำ�ลังตก และฟ้าร้องคะนองอยู่จริงๆ แต่ยังไม่ทราบว่านักรบนั้นคือใคร อีกสองวันต่อมาได้ไป ที่วัดพระธาตุนครศรีธรรมราชที่ตัวเมือง ไปเห็นภาพที่ ฐานอนุสาวรีย์ พระเจ้าตากสินที่อยู่ภายในวัด ซึ่งมีผู้นำ� มาใส่กรอบไปวางพิงไว้ เป็นภาพเหมือนกับที่เราเห็นใน นิมิต จึงรู้ว่านักรบนั้นคือ พระเจ้าตากสินนี่เอง ทบทวน ดูจึงได้ทราบเหตุแห่งการมาทุ่งสงในครั้งนี้ ฉ. ฉันทชาโต ที่พึ่งหนึ่งเดียว
29
บุญทำ�...กรรมแต่ง ทำ�ไม มนุษย์จึงเกิดมามีความเป็นอยู่ไม่เหมือนกัน ? เพราะ ทำ�กรรมไว้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันต่างกัน ❀ เหตุที่มีทรัพย์สมบัติรํ่ารวยเป็นเศรษฐี เพราะชอบให้สิ่งของแก่ผู้อื่นทั้งของใช้ของกินอยู่ เสมอ ทั้งที่พักพิงอาศัย ❀ เหตุที่เกิดมายากจน ขาดแคลนซึ่งที่อยู่อาศัย ญาติ-มิตร มีน้อย เพราะเป็นคนตระหนี่ ถึงมีทรัพย์ก็ไม่คิดจะให้ มี ความเสียดายหวงแหน ❀ เหตุที่เกิดมามีรูปร่างสมส่วน สวยงาม ลักษณะดูดี เพราะชอบให้แต่สิ่งของที่ดี ประณีตวิจิตร เต็มใจ ที่จะให้ ❀ เหตุที่เกิดมาพิกลพิการ ลักษณะท่าทางไม่สง่างาม เพราะให้แต่สิ่งไม่ดี ของเน่าของเสีย ของที่เป็น ตำ�หนิ ขาดตกบกพร่อง ❀ เหตุที่เกิดมามีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนมาก อายุสั้น ตายโหง เพราะชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต กลั่นแกล้งทำ�ลายผู้อื่น สัตว์อื่น ❀ เหตุที่มีตระกูลสูง ตำ�แหน่งสูง เพราะมีนิสัยนอบน้อมถ่อมตน อ่อนโยนสุภาพ กราบไหว้คนที่ควรกราบไหว้เคารพบูชาในสิ่งที่ควรบูชา ❀ เหตุที่เกิดมามีปัญญาดี ความคิดดี เพราะชอบสนทนาเข้าหาเข้าใกล้คนดี บัณฑิต สมณชีพราหมณ์ ❀ เหตุที่เกิดมามีปัญญาทราม ชอบคิดชั่ว เป็นบ้า ปัญญาอ่อน เพราะคุ้นเคย สนิทสนม กับคนพาล คนทุศีลกิน เหล้า ยกย่องคนชั่ว เคารพนบนอบคนกระทำ�ผิด ที่พึ่งหนึ่งเดียว
30
ให้ทานแก่เด็กชาวอินเดีย
วิถีชีวิต หญิงชาวอินเดีย
ตโปทาราม ราชคฤห์ ประเทศอินเดีย
รักข้ามชาติ-จิตผูกพัน เหตุเกิดที่เมืองสุงสุมารคิรี เช้าวันหนึ่งขณะ ที่พระพุทธเจ้าและภิกษุทั้งหลายกำ�ลังบิณฑบาต ชายชื่อ นกุลปิตาเมื่อเห็นพระศาสดาก็ตรงเข้าไป ใกล้พร้อมกับแสดงความดีใจใหญ่หลวง หมอบ ลงจุ ม พิ ต พระบาทจั บ ข้ อ พระบาทครํ่ า ครวญ เรียกพระศาสดาว่า “ลูก” ลูกหายไปไหนมาเสีย นาน ทำ�ไมพึ่งมา ปล่อยให้พ่อ และแม่คิดถึงทั้ง วันทั้งคืน แล้วเธอก็เรียกให้นางนกุลมาตาซึ่ง เป็นภรรยาออกมาดูข้างนอกบ้าน เมื่อนางออก มาเห็นพระศาสดาก็แสดงความดีใจมากมายเช่น าสุทโธทนะอภิเษกสมรสกับ กัน กอดและจุมพิตพระบาทเพ้อรำ�พันเหมือน พระเจ้พระนางสิ ริมหามายา คนเสียสติ เรียกพระศาสดาเป็นลูกเช่นกัน ภิกษุทั้งหลายทราบดีว่าพระเจ้าสุทโธทนะต่างหากเล่าที่เป็นพุทธบิดา ตา-ยายคู่นี้จะมากล่าวตู่เสียสติได้ยังไง จึงจะเข้าไปห้าม พระศาสดาบอกให้ ปล่อยเธอเถอะให้เธอได้ใกล้ตามความพอใจ แล้วทั้งคู่ก็นิมนต์พระศาสดาและ หมู่สงฆ์ให้ฉันภัตกิจที่บ้าน ฉันเสร็จพระศาสดาแสดงธรรมบรรลุอริยบุคคลชั้น ต้นเป็นพระโสดาบัน พระศาสดาสรรเสริญทั้งสองท่านไว้ในตำ�แหน่ง “เลิศใน ทางสนิทสนมคุ้นเคย”พระพุทธเจ้าได้นำ�อดีตชาติของคนทั้งสองมาตรัสให้ฟัง ว่าเคยเป็นญาติใกล้ชิดกับพระองค์มาหลายชาติติดต่อกันคือ ❀ เคยเป็นลุง-ป้า ๕๐๐ ชาติ ❀ เคยเป็นพี่ชาย-พี่สาว ๕๐๐ ชาติ ปล. “จิตดวงนี้ดวงเดียว ท่ อ งเที ่ยวไม่มีการตาย ใครๆ ก็ ❀ เคยเป็น น้าน้องของแม่ ๕๐๐ ชาติ ทำ�ลายไม่ได้ เป็นอมตะอยู่นิรันดร ❀ เคยเป็น ปู่-ย่า ๕๐๐ ชาติ คนที่รู้แล้วจึงไม่กลัวตาย” ❀ เคยเป็น บิดา-มารดา ๕๐๐ ชาติ ดังนั้น ดวงจิตจึงมีความผูกพันระลึกถึงความเป็นญาติ ไม่เสื่อมคลาย จึงกลายเป็นรักข้ามภพชาตินั่นเอง ที่พึ่งหนึ่งเดียว
31
ศรัทธาแบบมอบกายถวายเนื้อ อุบาสิกาชาวพาราณสีชื่อ สุปปิยา ตัดเนื้อที่น่องของตนต้มให้ภิกษุ ซึ่งเป็นไข้ฉัน พระพุทธเจ้าไปบิณฑบาตที่บ้านของนาง เห็น แต่คนรับใช้ออกมาใส่บาตรเท่านั้น จึงตรัส ถามถึงนาง คนรับใช้แจ้งว่านางป่วย พระศาสดา บอกให้แจ้งนางให้ออกมาพบ นางออกมา พร้อมบาดแผลที่น่อง พระศาสดาซักถามเรื่อง ราวทั้งหลาย นางเล่าถวายตามจริงว่ามีพระ ภิกษุเป็นไข้หนัก นางถามท่านว่าฉันยาอะไรจึง จะหาย ภิกษุตอบว่า “เคยฉันนํ้าต้มเนื้อ” นาง จึงรับว่าจะนำ�นํ้าต้มเนื้อมาถวายในวันพรุ่งนี้ ปรากฎว่าที่ตลาดไม่มีเนื้อขายเพราะเป็นวัน พระเขาไม่ฆ่าเนื้อขาย นางหาเนื้อไม่ได้จึงสละ เนื้อที่น่องของตนเอง ภิกษุนั้นเมื่อฉันนํ้าต้ม เนื้อก็หายไข้ พระศาสดาสรรเสริ ญ ในความศรั ท ธา ของนาง แต่ทรงห้ามว่าต่อไปอย่าทำ�เช่นนี้อีก เป็นการเบียดเบียนตนเอง ส่วนแผลนั้นวันนี้ก็ จะหายเป็นปกติเอง เมื่อพระศาสดาเสด็จไป แล้ว นางได้เปิดแผลดู ปรากฎว่าหายเป็น อัศจรรย์ ทำ�ไม ! คนจึงศรัทธาขนาดนี้เชียวหรือ ?
“ที่เชื่อก็เชื่อจัง ที่ยังก็มีอีกมาก” ที่พึ่งหนึ่งเดียว
32
เจดีย์โพธินาถ ประเทศเนปาล
ศรัทธา! เจดีย์โพธินาถ ประเทศเนปาล
อานิสงส์แห่งทาน
หรือผลตอบแทนจากการให้
ราชคฤห์ ประเทศอินเดีย
สำ�นักปฏิบัติธรรม ดำ�รงธรรม จ.ปทุมธานี
สำ�นักปฏิบัติธรรม ดำ�รงธรรม จ.ปทุมธานี
เกิดในตระกูลสูง เพราะ ถวายอาสนะ ที่นั่ง ที่รับรอง มีพลัง มีอานุภาพ อายุยืน เพราะ ถวายอาหาร ผิวพรรณผ่องใส เพราะ ถวายผ้า เครื่องทำ�ความสะอาด มีความสุขพิเศษ เพราะ ถวายยานพาหนะการเดินทาง เกิดทิพยจักษุ ดวงตาเห็นธรรม เพราะ ถวายประทีป เทียน โคมไฟ มีสมบัติบริบูรณ์ เพราะ ถวายอาวาส ที่พักอาศัย ที่พึ่งหนึ่งเดียว
33
ท้องมาราธอน-กรรมสนอง นางสุปปวาสา ตั้งครรภ์นานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ขณะ จะคลอดขวางครรภ์อยู่อีก ๗ วัน ไม่ยอมคลอดเสียที นาง เกิดทุกขเวทนามากจึงบอกให้สามีรีบไปถามพระพุทธเจ้าที่ วัดเชตวันและให้จดจำ�คำ�ของพระศาสดามาให้ดี สามีเล่า เรื่องให้พระศาสดาทราบแจ้งแล้ว พระองค์ตรัสว่าไม่มี อุปสรรคใดๆ แล้ว กลับไปเถอะนางจะคลอดเองแหล่ะ ในขณะที่พระศาสดาตรัสอยู่ที่วัดนางอยู่ที่บ้านก็คลอด พอดี สามีกลับไปถึงภรรยาคลอดเสร็จแล้ว ปรากฎว่าเป็น บุตรชายมีความสมบูรณ์เหมือนเด็กอายุ ๗ ขวบทันที รู้เดียงสา ตั้งแต่คลอด พ่อแม่เล่าเรื่องการนอนในครรภ์ให้ฟังเกิดความ สลดสังเวชที่มีชีวิตผิดปกติ วันหนึ่งได้เห็นพระสารีบุตรไปฉัน ภัตที่บ้าน มีความประสงค์อยากจะบรรพชาสามเณร บิดาวลีเถระ เอตทัคคะ มารดา ไม่สามารถทัดทานได้จึงให้บวช ด้วยว่าเป็นผู้มีบุญ- พระสี ผู้เลิศในทางผู้มีลาภมาก ญาธิการมาเกิด ในขณะปลงผมนั่นเองได้บรรลุอรหัตตผล คนทั้งหลายรู้จักท่านดี เรียกนามท่านว่า “พระสีวลี” ผู้มีลาภอันเป็นเลิศ เหตุที่ต้องนอนในครรภ์นานปีนั้น เนื่องด้วยในอดีตชาติท่านได้เป็น พระราชา ได้มีประสงค์จะไปรบที่เมืองหนึ่ง มารดาได้แนะนำ�ว่าอย่าเพิ่ง รบด้วยอาวุธ ให้ล้อมเมืองไว้ก็พอแล้ว นานปีเข้าไม่มีอาหารกินก็จะยอม แพ้เอง เชื่อมารดาจึงล้อมอยู่ ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ได้รับชัยชนะ ด้วยวิบาก กรรมนี้ท่านต้องมาทรมานอยู่ในครรภ์นานๆ ส่วนพระมารดาที่แนะนำ�ก็จำ�ต้องมาอุ้มครรภ์อยู่นานเช่นกัน
ปล. “ถ้าสวรรค์ไม่มี จะต้องทำ�ดีกันไปทำ�ไม” “ถ้านรกไม่มี ไม่ต้องทำ�ดีก็ได้” ที่พึ่งหนึ่งเดียว
34
นี่แหละหนอ! พระพุทธเจ้าจึงสั่งสอนเราทั้งหลายให้เชื่อเรื่อง “กฎ แห่งกรรม”, “ทำ�ดีได้ดี-ทำ�ชั่วได้ชั่ว”, “บาปมี-บุญมี”, “สวรรค์มี-นรกมี”, “ชาติอดีตมี-ชาติหน้าก็มี”, “ตายแล้วไม่สูญ”
เทศกาลบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วัดเชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี ของชาวศรีลังกา
อานันทโพธิ์ ต้นโพธิ์ที่ปลูกโดยพระอานนท์ วัดเชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี
ขบวนแห่นมัสการพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของชาวศรีลังกาที่วัดเชตวันมหาวิหาร ที่พึ่งหนึ่งเดียว
35
เทวดาตรวจโลกมนุษย์
❀ ขึ้นและแรม ๘ คํ่า เทวดาที่เป็นผู้ช่วยท้าวจตุมหาราชทั้ง ๔ เที่ยว
ตรวจดูโลกมนุษย์ว่า มีผู้ใดบ้างเกื้อกูล บิดา-มารดา สมณะชีพราหมณ์ นอบน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ผู้มีคุณ อยู่อุโบสถถือศีลภาวนา ทำ�บุญให้ทาน มีอยู่มากหรือหนอ? ❀ ขึ้นและแรม ๑๔ คํ่า เทวบุตรท้าวมหาราชทั้ง ๔ ลงมาตรวจอีกครั้งหนึ่ง ❀ วันอุโบสถ ๑๕ คํ่า ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ลงมาตรวจด้วยตนเอง เมื่อตรวจแล้วจะขึ้นไปประชุมทันทีที่ เทวโลกชั้นดาวดึงส์ จะรายงานการตรวจ นั้นให้ท้าวสักกะเทวราช และหมู่เทพยดา ที่ร่วมประชุมอยู่ให้รับทราบ ถ้าในหมู่มนุษย์ ทำ�ดีมาก-ทำ�ผิดน้อย พวกเทวดาจะพากัน ดีใจ ด้วยว่าต่อไปเมื่อมนุษย์เหล่านี้ตายลง จะได้มาเป็นพวกของตน แต่ถ้ามนุษย์ทำ�ดี มีน้อย-ทำ�ผิดมีมาก พวกเทวดาก็จะพา กันโศกเศร้าเสียใจ ดังนั้น มนุษย์กระทำ�กรรมใดๆลงไป จึงไม่รอดพ้นจากการรับรู้ของพวกเทวดา เหล่านี้ได้เลย ไม่ว่าที่ลับที่แจ้ง “หมด โอกาสลอยนวล” วัดเชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี ฉ.ฉันทชาโต ที่พึ่งหนึ่งเดียว
36
พระบรมสารีริกธาตุ
และ พระอรหันตธาตุ
ที่พึ่งหนึ่งเดียว
37
อัฐิธาตุเป็นแก้วใส ❀ อัฐิธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้าเรียกว่า
“พระบรมสารีริกธาตุ” ❀ ส่วนของอรหันตสาวกเรียกว่า “พระอรหันตธาตุ” เป็นความอัศจรรย์ของอรหันต์ทั้งหลายที่ ไม่เหมือนปุถุชนทั่วไป การทำ�ความเพียรเผา กิเลสด้วยการฝึกฝืนกิเลส ทรมานกิเลส ทำ�ให้ กระดูกและอวัยวะต่างๆ แปรสภาพกลายเป็น กลุ่ม หรือก้อนเหมือนแก้ว ใสบ้าง ขุ่นบ้าง ซึ่ง จะเกิดขึ้นก่อนหรือหลังจากปรินิพพานก็ได้
“พระบรมสารีริกธาตุของพระศาสดา มี การกระจั ด กระจายแพร่ ห ลายไปในที่ ต่างๆ มหาชนได้พากันสร้างเจดีย์ในที่อยู่ ของตน เพื่อกราบไหว้บูชา ซึ่งจะมีผล ทำ�ให้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า”
ที่พึ่งหนึ่งเดียว
38
ลักษณะพิเศษ
ของพระบรมสารีริกธาตุ ๑. สามารถดึงดูดเข้าหากันได้ หากมีขนาดเล็กสามารถลอยนํ้าได้ เมื่อ ลอยด้วยกันจะลอยติดกันเป็นแพ ๒. เสด็จมาเพิ่มจำ�นวนขึ้น หรือ ลดลงได้เอง ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของ พระธาตุ ๓. เปลี่ยนขนาดและสีสันได้เอง ส่วนมากมักจะมีนํ้าหนักค่อนข้างเบา เมื่อเทียบกับขนาด ๔. มีสีสันหลายสี ตั้งแต่ใสดั่งแก้วจนกระทั่งขุ่น สีขาวดุจสีสังข์ สีทอง สีดำ� สีชมพู สีแดง ฯลฯ ๕. ลักษณะของพระบรมสารีริกธาตุมี ๓ สัณฐาน ❀ ขนาดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเขียว สีทองคำ� สีขาวขุ่น ขาวใส ❀ ขนาดกลางเท่าเมล็ดข้าวสารหัก สีแก้วมุกดา ขาวใส ขาวขุน่ ขาวงาช้าง ❀ ขนาดเล็ก กลมเหมือนเมล็ดผักกาด สีดอกมะลิขาวขุ่น ขาวเหลือง
ขนาดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเขียว ขนาดกลางเท่าเมล็ดข้าวสาร ที่พึ่งหนึ่งเดียว
39
ขนาดเล็ก กลมเหมือน เมล็ดผักกาด
สถานที่ประดิษฐานของ พระบรมสารีริกธาตุ
๑. พระอุณหิส (หน้าผากและศรีษะ) ๑ องค์ ประดิษฐานอยู่ที่ สิงหล เกาะลังกา ๒. พระรากขวัญ (ไหปลาร้า) ๒ องค์ ประดิษฐานอยู่ที่เกาะลังกา และ พรหมโลก
ที่พึ่งหนึ่งเดียว
ทะเลเจดีย์ อาณาจักรพุกาม ประเทศพม่า 40
๓. พระเขี้ยวแก้ว ๔ องค์ อยู่ที่ดาวดึงส์เทวโลก คันธารปุระกับ แคว้นกาลิงคะ อีกองค์หนึ่งพญานาคบูชาอยู่ใต้บาดาล ๔. พระทันตธาตุ ๔๐ ซี่ เส้นพระเกศา (ผม) และ โลมา (ขน) ทั้งหมด เทวดานำ�ไปไว้ในแต่ละจักรวาล
มิใช่แต่เพียงมนุษย์เท่านั้นที่บูชาตถาคต แม้หมู่เทพ พรหม พญานาค ก็บูชาเช่นกัน
“พระพุทธเจ้าจึงอัศจรรย์จริงหนอ” ที่พึ่งหนึ่งเดียว
41
พระอรหันตธาตุในสมัยพุทธกาล
พระเวณุหาสะ
พระเวยยากัปปะ
พระอุตตะรายีเถรี
พระโคธิกะ
พระกุมาระกัสสะปะ
พระประชาบดีโคตมี
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระพิมพาเถรี
พระองคุลิมาละ
พระสีวลี
พระอานนท์
ป.ล. สามารถชมพระอรหันตธาตุสมัยพุทธกาลทั้งหมดนี้ได้ที่ รอบองค์เจดีย์แก้ว ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่พระธรรมรัตนเจดีย์ ต.แม่สาว อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่
ที่พึ่งหนึ่งเดียว
42
พระอรหันตธาตุสมัยหลังพุทธกาล
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
หลวงปู่ชา สุภัทโท
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
หลวงปู่หลุย จันทสาโร
พระครูปิยธรรมาภิบาล
ครูบาอิ่นคำ� อินทนันโท
หลวงปู่ตี้อ อลจธมโม
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
หลวงปู่หนู สุจิตโต
พระธาตุชานหมาก หลวงตามหาบัว ญานสัมปันโน
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
แม่ชีแก้ว เสียงลํ้า
ที่พึ่งหนึ่งเดียว
43
อโศกมหาราช ผู้บูชาตถาคต
หลังพุทธกาล ล่วงมา ๒๑๘ ปี
เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานประมาณ ๒๑๘ ปี ณ เมืองปาฏลีบุตร พระเจ้าอโศกมหาราช จักรพรรดิ แห่งจักรวรรดิโมริยะ ผู้ปรีชาสามารถพระองค์ สุดท้ายของราชวงศ์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในชมพูทวีป ก่อนที่จะเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา ทรงเป็นคนที่ มีความดุร้ายและโหดเหี้ยมยิ่งนัก จนได้รับฉายาว่า “จัณฑาโศก” แปลว่า อโศกผู้ดุร้าย ภายหลังทรง ได้รับการขนานพระราชสมัญญานามว่า “ธรรมาโศกราช” (พระเจ้าอโศกผู้ทรงธรรม) ที่พึ่งหนึ่งเดียว
44
พระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อทำ�ศึกสงครามมา มาก (โดยเฉพาะที่แคว้นกาลิงคะ) รู้สึกสลดพระทัย ที่ ท อดพระเนตรเห็ น คนล้ ม ตายจำ�นวนมากในศึ ก สงคราม วันหนึ่งทอดพระเนตรเห็นสามเณรนิโครธ ที่มีกริยามารยาทสงบเรียบร้อย จึงเกิดความศรัทธา เลื่อมใส ยิ่งเมื่อได้ฟังธรรมก็ยิ่งเกิดศรัทธามากขึ้น พระองค์ ท รงถวายภั ต ตาหารแก่ พ ระภิ ก ษุ ส งฆ์ ถึ ง วันละ ๖๐๐,๐๐๐ รูป อีกทั้งทรงรับสั่งให้สร้างมหาวิหาร (วัดใหญ่) ชื่อว่า อโศการาม (แปลว่าไม่เศร้า โศก) ใช้เวลาสร้าง ๓ ปี นอกจากนี้ พระเจ้าอโศก เสาสิงห์พระเจ้าอโศก ณ เมืองเวสาลี มหาราชทรงรับสั่งให้สร้างวิหาร (วัดเล็ก) อีก ๘๔,๐๐๐ แห่ง พร้อมกับเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ ไว้ใน เมือง ๘๔,๐๐๐ แห่ง ทั่วชมพูทวีป (อินเดีย) เพื่อเป็น การบูชาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ หลั ง จากที่ พ ระองค์ ท รงสร้ า งพระสถู ป เจดี ย์ เสร็จแล้ว ต้องการได้พระบรมธาตุมาบรรจุเพื่อจัด เสาพระเจ้าอโศกมหาราช งานสมโภชให้ยิ่งใหญ่ แต่ไม่ได้ข่าวว่ามีพระธาตุที่ใด เมืองสารนาถ อินเดีย เลยจึงตรัสถามภิกษุสงฆ์และในที่ประชุมนั้น พระเถระรูปหนึ่งอายุ ๑๒๐ ปี กล่าวว่าอาตมาภาพก็ไม่รู้ว่าที่เก็บพระบรมธาตุอยู่ที่ใด แต่พระมหาเถระ บิดาของอาตมาภาพ ให้อาตมาภาพเมื่อครั้งอายุ ๗ ขวบ ถือหีบมาลัย แล้วไปบูชาที่สถูปหินในป่ารกชัฏนั้น พระราชาจึงตรัสสั่ง “ที่นั่นแหละ” แล้วสั่งให้ตัดกอไม้ แล้วนำ�สถูปหินและฝุ่นออกก็ทรงเห็นพื้นโบกปูนอยู่ แต่ นั้นทรงทำ�ลายปูนโบกและแผ่นอิฐ แล้วเสด็จสู่บริเวณตามลำ�ดับ ทอด พระเนตรเห็นทรายรัตนะ ๗ ประการ และ รูปไม้ (หุ่นยนต์) ถือดาบเดินวน เวียนอยู่ แม้ทำ�การเซ่นสรวงผู้ถือผีมาก็ไม่อาจจะนำ�พระบรมธาตุเหล่านี้ ไปได้ จึงทรงนมัสการเทวดาทั้งหลายแล้วตรัสว่า ข้าพเจ้ารับพระบรมธาตุ เหล่านี้แล้วบรรจุไว้ในวิหาร ๘๔,๐๐๐ วิหาร จะทำ�สักการะขอเทวดาอย่า ทำ�อันตรายแก่ข้าพเจ้าเลย ที่พึ่งหนึ่งเดียว
45
ท้าวสักกะเทวราช เสด็จจาริกไปทรงเห็น พระเจ้าอโศกนั้นแล้ว ก็เรียกวิสสุกรรมเทพบุตรมา สั่งว่า พระธรรมราชาอโศกจักทรงนำ�พระบรมธาตุ ไป เพราะฉะนั้น เจ้าจงลงสู่บริเวณไปทำ�ลายรูปไม้ (หุ่นยนต์) เสีย วิสสุกรรมเทพบุตรนั้นก็แปลงเป็น เด็กชาวบ้าน ไว้จุก ๕ แหยม ยิงตรงที่ผูกหุ่นยนต์ นั้นแล ทำ�ให้ทุกอย่างกระจัดกระจายไป พระองค์ ทรงได้นำ�พระธาตุไปแจกจ่าย และประดิษฐานไว้ใน เสาพระเจ้าอโศก พระเจดีย์ทั่วทั้ง ๘๔,๐๐๐ องค์ พร้อมทั้งฉลองพระ ณ ลุมพินีวัน สถูปทั้งหมดนี้ รวมถึงพระมหาสถูปซึ่งสร้างขึ้นใหม่ เป็นเวลา ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ทำ�ให้พระบรมสารีริกธาตุกระจายไปสู่นานา ประเทศ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงทำ�ศิลาจารึกไว้มากมาย เพื่อสื่อสารส่งเสริม ธรรมะแก่ประชาชน ซึ่งแสดงถึงความเลื่อมใสในพุทธศาสนาเป็นอันมาก โดย เฉพาะจารึกในหลักศิลาที่ลุมพินีวัน สถานที่ที่พระพุทธเจ้าประสูติ จะเห็นชัด ว่าพระเจ้าอโศกทรงมีพระราชศรัทธาเพียงใด ดังคำ�จารึกว่า “โดยเหตุที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ประสูติ ณ สถานที่นี้ จึงโปรดให้หมู่บ้านถิ่นลุมพินีวัน เป็นเขตปลอดภาษีและให้เสียสละผลิตผลในแผ่นดิน เป็นทรัพย์ของ แผ่นดินเพียง ๑ ใน ๕ ส่วน” หลักศิลานี้เท่ากับบอกว่าทรงเป็นเอกบุคคล ในประวัติศาสตร์ ที่มีหลักฐานการอุบัติบ่งชัดที่สุด และ เป็นหลักฐานที่เกิดมี ในเวลาอันใกล้ชิดเพียงไม่กี่ชั่วอายุคน..
สถานที่ประสูติ ณ ลุมพินีวัน ที่พึ่งหนึ่งเดียว
46
ดาบสก่อเจดีย์ทราย เรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับพระเถระรูปหนึ่ง ชื่อว่า พระปุฬินุปปาทกเถระ ท่านเป็นพระ อรหันต์รูปหนึ่งในพระพุทธศาสนา พอบรรลุ ธรรมเป็นพระอรหันต์ ท่านก็ระลึกชาติหน หลัง ตรวจดูประวัติการสร้างบารมีของท่าน แล้วเล่าให้ลูกศิษย์ลูกหาฟังว่า ภพชาติใน อดีต ท่านเคยเกิดเป็นดาบสชื่อว่า เทวละ มี ลูกศิษย์ ๘๔,๐๐๐ คน คอยอุปัฏฐากรับใช้ทุกอย่าง มีที่จงกรมที่อมนุษย์ เนรมิตไว้ให้ อาศัยอยู่ที่ภูเขาหิมพานต์ วันหนึ่ง เทวลดาบสคิดจะสร้างบุญใหญ่ ด้วยการก่อ “เจดีย์ทราย” จึงได้รวบรวมดอกไม้นานาชนิดมาบูชาพระเจดีย์ ทำ�จิตให้เลื่อมใสในพระ เจดีย์ และระลึกถึงพระพุทธคุณ เมื่อจิตใจเบิกบานผ่องใสดีแล้ว ก็กลับ เข้าไปสู่อาศรม ส่วนศิษย์ทั้งหมดไม่ได้ติดตามดาบสไปต่างก็ทำ�ภารกิจ ต่างๆ ที่ทำ�อยู่เป็นปกติ พอเห็นเทวลดาบสกลับมาจากภายนอก ก็ แปลกใจว่าท่านดาบสผู้เป็นอาจารย์ไปไหนมา จึงซักถามสาเหตุการออก ไปข้างนอก ท่านจึงเล่าสิ่งที่ตนได้กระทำ�ให้ลูกศิษย์ฟัง ลูกศิษย์ทั้งหลาย ต่างแปลกใจไปตามๆ กัน คิดว่าอาจารย์ เป็นใหญ่ที่สุด แล้วทำ�ไมจึงต้อง ก่อสถูปเจดีย์ขึ้นมากราบไหว้อีก จึงถามถึงเหตุผลที่อาจารย์ทำ�อย่างนั้นว่า ทำ�ไปเพื่อประโยชน์อะไร อาจารย์ตอบให้หายสงสัยว่า “ผู้เป็นใหญ่ที่สุด ในโลกไม่ใช่เราหรอก คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายต่างหาก ท่านเป็นผู้มีพระญาณอันประเสริฐ มียศใหญ่ เป็นบรมครูของมนุษย์ และเทวดาทั้งหลายจะหาใครในโลกและเทวโลกมาเทียบกับพระองค์ ไม่ได้เลย เรานมัสการพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐพระองค์นั้น” ที่พึ่งหนึ่งเดียว
47
ลูกศิษย์ของดาบสก็ถามอีกว่า “พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐ เป็น ผู้นำ�โลก มีศีล มีวัตรเป็นอย่างไร ควรแก่การสักการบูชาอย่างไร” ดาบสจึง กล่าวสรรเสริญคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นผู้เลิศในโลก ทรงสมบูรณ์ด้วย ลักษณะ ๓๒ ประการ พร้อมด้วยอนุพยัญชนะ ครบถ้วนบริบูรณ์ มี พระทนต์ครบ ๔๐ ถ้วน มีดวงพระเนตรงาม ดังตาลูกโค เมื่อเสด็จดำ�เนิน ไป ย่อมทอดพระเนตรดูเพียงชั่วแอก พระชานุก็ไม่มีเสียงลั่นเลย เป็น ผู้เสด็จไปดี ไปที่ไหนก็เป็นสิริมงคลทุกที่ เวลาเสด็จดำ�เนินไป ก็ไม่มี พระอาการรีบร้อน ทรงก้าวพระบาทเบื้องขวาก่อน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น เป็นผู้ไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใดๆ เปรียบเสมือนพญา ราชสีห์ผู้เป็นใหญ่ในสัตว์ทั้งหลาย พระองค์ไม่เคยทรงเบียดเบียน สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทรงพ้นจากการถือตัว และการดูหมิ่นเหยียดหยาม วางตนเสมอในสัตว์ทั้งปวง เมื่อพระพุทธองค์เสด็จอุบัติขึ้น ก็ทรงยัง โลกนี้ให้สว่างไสวด้วยแสงแห่งธรรม ให้สรรพสัตว์ผู้มีบุญได้รู้แจ้งเห็น แจ้ ง แทงตลอดทั่ ว ทั้ ง ไตรภพนี้ เ ป็ น ธรรมดาของพระพุ ท ธองค์ ที่ สามารถแก่บุรุษ ผู้สมควรแก่ได้เป็นอย่างดี พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ประเสริฐสุด ไม่มีใครเสมอเหมือน มีพระคุณหาประมาณมิได้ แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกันเอง ก็ยังไม่อาจพรรณนาคุณของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้หมด” บรรดาลู ก ศิ ษ ย์ ไ ด้ ฟั ง แล้ ว ก็ บั ง เกิ ด ความเลื่ อ มใสในพระคุ ณ ของ พระพุทธเจ้า พากันทำ�สักการบูชาพระเจดีย์ทราย ในเวลานั้น พระโพธิสัตว์ซึ่งเป็นเทพบุตรผู้มีอานุภาพ ได้จุติจากชั้นดุสิต มาบังเกิดในครรภ์ของพระมารดา หมื่นโลกธาตุหวั่นไหวสะเทือนเลื่อนลั่นไป หมด ดาบสทั้งหลายจึงซักถามอาจารย์ถึงสาเหตุของแผ่นดินไหว ดาบส อาจารย์ผู้มีฌานสมาบัติ ก็ตอบว่า “พระโพธิสัตว์ผู้จะมาตรัสรู้เป็นพระ สัมมาสัมพุทธเจ้านั้น บัดนี้ได้เสด็จลงสู่ครรภ์ของพระมารดาแล้ว เป็น ธรรมดาของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เมื่อลงสู่พระครรภ์ย่อมบังเกิด ที่พึ่งหนึ่งเดียว
48
แผ่นดินไหว” จากนั้น ดาบสอาจารย์ก็ได้แสดงธรรมิกถาสรรเสริญ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่งสมาธิ ยึดเอาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ และท่านก็หมดอายุขัย ไปบังเกิดในเทวโลกในวันนั้นเอง เหล่าศิษย์ทั้งหลายได้พร้อมใจกันทำ�ฌาปนกิจสรีระของ ดาบสอาจารย์ ด้วยความโศกเศร้าเสียใจ มีใบหน้าชุ่มด้วยนํ้าตา ในขณะที่ศิษย์เหล่านั้น กำ�ลังพรํ่าพิไรรำ�พันอยู่ เทพบุตรเทวลดาบสได้มาปรากฏอยู่ที่เชิงตะกอน แล้วให้โอวาทสั่งสอนศิษย์ว่า “ท่ า นทั้ ง หลายอย่ า ได้ เ ศร้ า โศก เสียใจไปเลย จงยึดเอาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่พึ่งเถิด ให้หมั่น ประพฤติธรรม ปรารภความเพียร อย่าได้เป็นผู้เกียจคร้าน จงยัง ประโยชน์ของตนให้ถึงพร้อมด้วย ความไม่ประมาททั้งกลางวันและ กลางคืน พึงเร่งทำ�ความเพียรเสีย ตั้งแต่วันนี้เถิด เพราะความโศก เศร้าเสียใจนั้น ไม่ได้ช่วยให้เกิด ประโยชน์อะไร”
พระธาตุดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่
เมื่ออาจารย์ให้โอวาทแล้ว ก็กลับไปเสวยสุขอยู่ในเทวโลก ถึง ๑๘ กัปป์ แล้วมาเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิอีก ๕๐๐ ครั้ง เป็นพระราชามหากษัตริย์ และเป็นเศรษฐีอีกนับครั้งไม่ถ้วน ท่านท่องเที่ยวอยู่ในมนุษย์โลก และเทวโลก สองภูมิเท่านั้น ไม่เคยไปสู่ทุคติเลย ชาติสุดท้ายได้เข้าถึงความเต็มเปี่ยมของ ชีวิต บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เข้าสู่นิพพานในที่สุด....
ที่พึ่งหนึ่งเดียว
49
คำ�สัตย์ - คำ�ศักดิ์สิทธิ์ บทสวดที่ใช้ทำ�นํ้ามนต์และสวดเป็นมงคลขจัดทุกข์โศกโรคระบาดทั่วไป
ระตะนะสุตตัง
— ยังกิญจิ วิตตัง อิธะ วา หุรัง วา สัคเคสุ วา ยัง ระตะนัง ปะณีตัง นะ โน สะมัง อัตถิ ตะถาคะเตนะ อิทัมปิ พุทเธ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุฯ
ทรัพย์เครื่องปลื้มอันใดอันหนึ่งใน โลกนี้หรือโลกอื่น หรือรัตนะอันใดอันประณีตในสวรรค์ รัตนะอันนั้นเสมอด้วยพระตถาคตเจ้า ไม่มีเลย แม้อันนี้เป็นรัตนะอันประณีตใน พระพุทธเจ้า ด้วยคำ�สัตย์นี้ ขอความสวัสดีจงมี
— ขะยัง วิราคัง อะมะตัง ปะณีตัง ยะทัชฌะคา สักยะมุนี สะมาหิโต นะ เตนะ ธัมเมนะ สะมัตถิ กิญจิ อิทัมปิ ธัมเม ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุฯ
ธรรมที่เป็นสิ้นกิเลส สิ้นราคะ เป็น อมฤตธรรมอันประณีต ซึ่งพระศากยมุนีเจ้าผู้มีพระหฤทัย ตั้งมั่นได้บรรลุธรรมนั้น สิ่งใดๆ เสมอด้วยพระธรรม ย่อมไม่มี แม้อันนี้เป็นรัตนะอันประณีตใน พระธรรมเจ้า ด้วยความสัตย์นี้ ขอความสวัสดีจงมี
— ยัมพุทธะเสฏโฐ ปะริวัณณะยี สุจิง สะมาธิมานันตะริกัญญะมาหุ สะมาธินา เตนะ สะโม นะ วิชชะติ
พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ทรง สรรเสริญแล้วซึ่งสมาธิอันใดว่าเป็น ธรรมอันสะอาด บัณฑิตทั้งหลายกล่าวซึ่งสมาธิอันใด ว่าให้ผลโดยลำ�ดับ สมาธิอื่นเสมอด้วยสมาธินั้นย่อมไม่มี
ที่พึ่งหนึ่งเดียว
50
อิทัมปิ ธัมเม ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุฯ
แม้นอันนี้เป็นรัตนะอันประณีตใน พระธรรม ด้วยคำ�สัตย์นี้ ขอความสวัสดีจงมี
— เย ปุคคะลา อัฏฐะ สะตัง ปะสัฏฐา จัตตาริ เอตานิ ยุคานิ โหนติ เต ทักขิเณยยา สุคะตัสสะ สาวะกา เอเตสุ ทินนานิ มะหัปผะลานิ อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุฯ
บุคคลเหล่าใด ๘ จำ�พวก ๔ คู่ อันสัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญแล้ว บุคคลเหล่านั้นเป็นสาวกของพระ สุคต ควรแก่การทักษิณาทาน ทั้งหลาย อันบุคคลถวายในท่านเหล่านั้น ย่อมมีผลมาก แม้อันนี้ เป็นรัตนะอันประณีตใน พระสงฆ์ ด้วยคำ�สัตย์นี้ขอความสวัสดีจงมี
— เย สุปปะยุตตา มะนะสา ทัฬเหนะ นิกกามิโน โคตะมะสาสะนัมหิ เต ปัตติปัตตา อะมะตัง วิคัยหะ ลัทธา มุธา นิพพุติง ภุญชะมานา อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุฯ
พระอริยบุคคลทั้งหลายเหล่าใด ในพระศาสนาพระโคดมเจ้า ประกอบดีแล้ว มีใจมั่นคงมีความ ใคร่ออกไปแล้ว พระอริยบุคคลเหล่านั้นถึงอรหัตตผล ที่ควรถึง หยั่งเข้าสู่พระนิพพานได้ซึ่งความ ดับกิเลสโดยเปล่าๆ แล้วเสวยผลอยู่ แม้อันนี้เป็นรัตนะอันประณีตใน พระสงฆ์ ด้วยคำ�สัตย์นี้ ขอความสวัสดีจงมี
ที่พึ่งหนึ่งเดียว
51
อะภะยะปะริตตัง บทสวดนี้ต้องการให้พบแต่สิ่งที่ดีงามฝันดีไม่ฝันร้าย
อะภะยะปะริตตัง
— ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ โย จามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง พุทธานุภาเวนะ วินาสะเมนตุฯ — ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ โย จามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง ธัมมานุภาเวนะ วินาสะเมนตุฯ — ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ โย จามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง สังฆานุภาเวนะ วินาสะเมนตุฯ ที่พึ่งหนึ่งเดียว
ลางชั่วร้ายอันใดและอวมงคลอันใด เสียงนกเป็นที่ไม่ชอบใจอันใด บาปเคราะห์ ความฝันชั่ว อันไม่พอใจ อันใดมีอยู่ ขอสิ่งเหล่านั้นจงพินาศไปด้วย อานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า ลางชั่วร้ายอันใดและอวมงคลอันใด เสียงนกเป็นที่ไม่ชอบใจอันใด บาปเคราะห์ ความฝันชั่ว อันไม่พอใจ อันใดมีอยู่ ขอสิ่งเหล่านั้นจงพินาศไปด้วย อานุภาพแห่งพระธรรม ลางชั่วร้ายอันใดและอวมงคลอันใด เสียงนกเป็นที่ไม่ชอบใจอันใด บาปเคราะห์ ความฝันชั่ว อันไม่พอใจ อันใดมีอยู่ ขอสิ่งเหล่านั้นจงพินาศไปด้วย อานุภาพแห่งพระสงฆ์
52
ช่วยกันทำ�-นำ�กันสร้าง
ที่พึ่งหนึ่งเดียว
53
ตถาคตเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวของเราทั้งหลาย....
เราจึงช่วยกันสร้างพระธรรม-รัตนะเจดีย์ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งมีอยู่จำ�นวนมาก พอสมควร โดยได้มาจากหลายวิธี มนุษย์ถวาย บ้าง เทวดาถวายบ้าง จากการไปธุดงค์และอัญเชิญ มาจากภูเขา ถํ้าต่างๆ บ้าง ภายในมหาปรินิพพานวิหาร ตอนแรกจะสร้ า งตามกำ�ลั ง ของกระดาษ ณ สาลวโนทยาน เมือง กุสินารา ปัจจัยที่คณะญาติโยมถวายมาจากที่ต่างๆ เหลือ จากการใช้สอยแล้วมีอยู่ประมาณ ๓ ล้านบาท ได้เท่าไรก็เท่านี้แหละ ภาค ภูมิใจตามปัจจัยที่บริสุทธิ์ เมื่อศรัทธาชาวบ้านทั้งหลายทราบเรื่อง ก็มาสนทนา ปรารถด้วยว่าจะสร้างแบบใด อย่างไร ขนาดใหน ผู้นั้นขอถวายปูน ผู้นี้ขอ ถวายอิฐ มีแต่มนุษย์ใจบุญหนุนกันเข้ามาเรื่อยๆ แต่ยังไม่ได้เริ่มลงมือ ต่อมาก็มี “สามี-ภรรยา” คู่หนึ่งทราบเรื่อง ก็มาสอบถามพูดคุยกันถึง เรื่องสร้างเจดีย์ ก็บอกกล่าวไปว่ากำ�ลังคิดกันอยู่จะทำ�ตามมี ตามได้ ไม่ได้ใหญ่ โตอะไร ตามอัตภาพของตัวเอง เพราะเป็นเจตนารมย์ที่ตั้งไว้ประจำ�ใจว่า จะทำ� จะสร้างสิ่งใด ห้ามเบียดเบียนใครทั้งนั้น “ศรัทธาต้องบริสุทธิ์จริงๆ บุญจึงจะ สัมฤทธิผล” เป็นอย่างนี้ถ้าเบียดเบียน “ไม่เอาเลย” อยู่เฉยๆ ก็เป็นสุขดีอยู่ แล้ว ไม่ได้บวชมาสร้าง มาสวด แต่บวชมาหวังพ้นทุกข์ ต่างหาก จะเล็กใหญ่ช่างมันเฮ๊อะ สามี-ภรรยา คู่นั้นก็ขอปวารณาตัวขอร่วมสร้าง เจดีย์ด้วย โดยแจ้งความจำ�นงว่าถ้าเกินจากปัจจัย ที่มีอยู่แล้วโยมจะร่วมทำ�บุญเอง “ผมและภรรยามี ความคิ ด ที่ จ ะทำ � บุ ญ ในส่ ว นของการสร้ า งเจดี ย์ อ ยู่ พอดี บุญสร้างอื่นๆก็เคยทำ�มาบ้างแล้ว แต่ส่วนนี้ยัง ไม่มีโอกาส” ที่พึ่งหนึ่งเดียว
54
เห็นความมีศรัทธาปสาทะของมนุสเทโวทั้งหลายที่มี ต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความบริสุทธิ์จากจิตใจ จริงๆ มิใช่แอบแฝงเข้ามาหาผลประโยชน์ส่วนตน โดย เฉพาะสามีภรรยาคู่นั้นดูมุ่งมั่นจริงจัง ขอพัฒนารูปแบบ ให้มั่นคงและกว้างขวางขึ้นกว่าเดิม จนในที่สุดเกินกว่า ชวการ-ภัทรภร สำ�เภาเงิน ปัจจัยไทยทาน ที่มีอยู่แล้วเกือบ ๕๐ ล้านบาท ผู้คนทั้งหลายเมื่อทราบถึงกำ�ลังศรัทธาที่แข็งแรงเพียงนี้ หลายท่านอยาก จะทราบว่า เป็นใคร! อยู่ไหน ! เรารู้จักไหม ! คนอย่างนี้มีอยู่หรือ ! ดังนั้น เลย เอาเหตุการณ์ที่หลายคนอยากจะทราบนั้น เป็นโอกาสบอกกล่าวคร่าวๆ ว่า ผู้เป็นสามี ชื่อ ชวการ ผู้ภรรยา ชื่อ ภัทรภร นามสกุล สำ�เภาเงิน มีบุตร ชื่อ ณัฐภัทร สุขภาพแข็งแรงทั้งครอบครัว ขายธุรกิจส่วนตัว แล้วตั้งหน้าตั้งตาสร้างบุญบารมี โดยเฉพาะทั้งคู่เคย ณัฐภัทร สำ�เภาเงิน ปรารภว่า “ทำ�มาหาทรัพย์ทางโลก เหนื่อยมามาก (เมื อ ่ ครั ้งบรรพชาเป็นสามเณร) แล้ว ต่อไปขอทำ�มาหาทรัพย์ในทางธรรมบ้าง แบ่ง ชีวิตไว้อย่างละครึ่ง ทรัพย์สมบัติพอแล้ว แต่บุญกุศลจะต้องสะสมให้ยิ่งขึ้น” นี่! มนุษย์อย่างนี้ ขอเก็บไว้เป็นตัวอย่างอ้างอิงกับเทพเทวดาได้เลยว่า ใน ยุคนี้ สมัยนี้ ก็มีคนใจบุญ ใจกุศล ย่องลงมาเกิดอยู่เหมือนกัน ขออนุโมทนา....สาธุ ! ณ โบราณสถานเสาอโศก เมืองเวสาลี
มหาวิทยาลัยนาลันทา แคว้นมคธ ประเทศอินเดีย ที่พึ่งหนึ่งเดียว
55
ด้วยแรงศรัทธา เราสร้างพระธรรมรัตนเจดีย์ เพื่ออะไร ?
ผมเกิดมา ได้พบ ได้เห็น ได้รู้จัก สิ่งต่างๆ มา มากมาย เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ผมและครอบครัว ก็มีโอกาสได้พบกับหลวงพ่อเฉลิมโชค ฉันทชาโต คำ�สอนของท่าน เราทั้งคู่ไม่เคยได้ยิน ได้ฟัง หรือ ได้พบมาก่อนหน้านี้เลย ทุกคำ�สอนจะเน้นในเรื่อง เจดีย์องค์เดิม ก่อนมาเป็น พระธรรมรัตนเจดีย์ “หนทางแห่งการพ้นทุกข์” “ผมและภรรยาได้พบทางพ้นทุกข์จากทางโลก มาพบกับความ สุขในทางธรรม” และได้ปวารณาตนเอง เป็นอุบาสก, อุบาสิกา มีความ ปรารถนาจะทำ�นุบำ�รุงพุทธศาสนาให้คงไว้ และเจริญรุ่งเรืองสืบไป... นี่คือปฐมเหตุของที่มาในการขอปวารณาตัวร่วมสร้างเจดีย์ เพื่อถวาย เป็นพุทธบูชา แด่องค์พระศาสดา ร่วมกับหลวงพ่อเฉลิมโชค ฉันทชาโต ปฏิปทา ที่นำ�มาปฏิบัติ เพื่อจะให้พ้นทุกข์ และเป็นหนทางสู่นิพพานของผม บุญญกริยาวัตถุ ๓ ประการ คือ ทาน ศีล ภาวนา พรมวิหาร ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ชวการ • ภัทรภร สำ�เภาเงิน
ที่พึ่งหนึ่งเดียว
56
พระธรรมรัตนเจดีย์
ครบเครื่อง-เรืองรอง
ภาพจำ�ลอง พระธรรมรัตนเจดีย์ ณ ดอยเทพเนรมิต อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่
เป็นเจดีย์ที่เกิดขึ้นมาเหมือนเทพเนรมิต เป็นคำ�พูดของ คุณชวการ สำ�เภาเงิน ผู้ซึ่งถวายทั้งทรัพย์ (ผู้ถือทรัพย์คือคุณภัทรภร สำ�เภาเงิน) ทั้ง สมองและร่างกายอย่างที่เรียกว่า “มอบกายถวายชีวิต” เป็นผู้อำ�นวย การสร้างที่ทำ�ด้วยตนเองทุกอย่าง (คุณภัทรภร ยังได้ลงมือทำ�อาหารให้ ช่างอีกด้วย) เมื่อครั้งที่ต้องเร่งงานอย่างเต็มที่เพื่อให้ทันเวลา ตามที่หลวง พ่อเฉลิมโชค ฉันทชาโต ได้ปรารภว่าหากเสร็จไม่ทันตามที่กำ�หนดไว้ก็สูญ เปล่า แต่ทุกอย่างก็ลื่นไหลเป็นธรรมชาติ จุดเริ่มต้นของงานพระธรรมรัตนเจดีย์ เป็นภาพสเก็ตซ์ขึ้นมาเมื่อตอน ตี ๒ เศษของวันที่ ๑๗ เดือน ๙ ปี ๒๕๕๓ เป็นแบบร่างที่เน้นแนวคิด เรื่องของพลังที่เปรียบเสมือนการรวมพลังจากฟ้า ดิน และมนุษย์ให้ เป็นหนึ่งเดียว ณ ใจกลางเจดีย์ ที่พึ่งหนึ่งเดียว
57
รายละเอียดของงานโดยรวมของ “พระธรรมรัตนเจดีย์”
โครงสร้างหลักเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กบุผิวภายนอกตั้งแต่ฐานถึงยอด โดยใช้สแตนเลส โดย เอส. อาร์. สแตนเลส ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านต่อยอด เจดีย์มาแล้ว ภายนอกโดยรอบเจดีย์บุด้วยเซรามิครูปสวนบัว ตั้งแต่เวลาเช้าตรู่ ถึงพลบคํ่าโดยบริษัทนครไทยเซรามิค ซุ้มประตูทั้ง ๔ ทิศ เป็นหินทรายสีเขียว ทิศเหนือ เป็นทางลาดสำ�หรับรถเข็น อีก ๓ ทิศ เป็นบันไดขึ้น เหนือซุ้มประตูเป็น เสมาธรรมจักร ซึ่งออกแบบไว้โดยเฉพาะมีความหมายว่า เมื่อธรรมจักรเริ่ม หมุนไปใน ๓ โลก ย่อมมีการขจัดกิเลสตัณหาตลอดเวลาของการหมุน คือตลอด ๒๔ ชั่วโมง ซึ่งแทนด้วยยันต์เดือนตะวันเบิกเมฆที่ขอบนอกของกงล้อ ผู้ที่ปฎิบัติ ได้เช่นนี้ย่อมได้รับการแซ่ซ้องสาธุการจากทั่วทุกสารทิศ ซึ่งแทนด้วยระฆังใน ๘ ทิศ ถัดเข้ามาวงในเป็นเครื่องหมายแห่งปัญญาซึ่งแทนด้วยดอกบัว ๓ ชั้น อัน หมายถึง ไตรลักษณ์ และที่สุดก็อาศัยปัญญานี้หลุดพ้นสู่ความว่างซึ่งเป็น ศูนย์กลางของธรรมจักร แทนด้วยยันต์ อิติปิโส ลานประทักษิณกว้าง ๙ เมตร ผิวเป็นแสตมป์คอนกรีตโดย wintrade group โดยรอบองค์เจดีย์จัดภูมิทัศน์ ซึ่งเต็มไปด้วยหมู่มวลบุปผชาติ เพื่อถวายแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระธรรมรัตนเจดีย์ อาสาจัดทำ�โดยสวนนงนุช
รายละเอียดของงานตกแต่งภายใน
พื้นและเสา เป็นงานที่รังสรรค์โดยรัชดาหินอ่อน ผนังโดยรอบเป็นภาพ พุทธประวัติที่เขียนเป็นลายเส้นสีทองเหมือนภาพเขียนในถํ้า ฝ้าเพดานเป็นรูป ดอกบัวควํ่ามีเม็ดบัวเป็นช่องระบายอากาศร้อน ซึ่งจะดึงอากาศเย็นเข้ามา แทนที่โดยผ่านช่องระบายอากาศรูปหยดนํ้าโดยรอบ เจดีย์ ภายใต้โดมได้ออกแบบเป็นจักรวาลโดยใช้วัสดุ พิเศษ และเจดีย์แก้วองค์กลางได้รับการสรรค์สร้างโดย จิรวัฒนอาร์ทกลาส โดย อาจารย์ จิรวัฒน ชวนะธิต เป็นสุดยอดของงานสร้างเจดีย์แก้วในครั้งนี้ ซึ่งนับเป็น ความ “ครบเครื่อง-เรืองรอง” อย่างแท้จริง (ซ้าย) สนม อุปะทะ S.R. Stainless ภาณุวัฒน์ วัฒนเธียร
ที่พึ่งหนึ่งเดียว
58
(ขวา) ภาณุวัฒน์ วัฒนเธียร
เจดีย์แก้ว
งานออกแบบเจดีย์แก้ว "พระธรรมรัตนเจดีย์"
แบบจำ�ลองเจดีย์แก้วพระธรรมรัตนเจดีย์ บรรจุภายในใจกลางองค์เจดีย์พระธรรมรัตนเจดีย์
สำ�หรับปี ๒๕๕๔ งานชิ้นสำ�คัญ "เจดีย์แก้วพระธรรมรัตนเจดีย์" ที่ ได้รับการออกแบบจากอาจารย์ ภาณุวัฒน์ วัฒนเธียร โดยอาจารย์ได้ให้ เกียรติผมได้โอกาสเข้ามาร่วมงาน ผมได้นำ�แก้วมาแกะสลักด้วยมือทั้ง องค์ โดยได้ใช้เทคนิคที่เรียกว่า Stacked glass หรือ ที่เรียกว่า แก้วผลึกให้เจดีย์แก้วสวยสมบูรณ์ที่สุด สมคุณค่าและคู่ควรที่จะเป็น สถาปัตยกรรมที่บรรจุองค์พระบรมสารีริกธาตุ ส่วนองค์เจดีย์ราย ๘๐ องค์ โดยรอบผมได้นำ�แก้วเป่า ผสมด้วยฟองอากาศไล่เรียงรอบแก้วของ องค์เจดีย์ราย สวยงามมากเมื่อยามต้องแสง ในส่วนยอดผมได้ออกแบบ เป็นรูปดอกบัวตูม เพื่อบรรจุองค์พระบรมสารีริกธาตุ ที่พึ่งหนึ่งเดียว
59
และส่วนสำ�คัญที่สุดคือ งานออกแบบเจดีย์แก้วเพื่อ บรรจุองค์พระบรมสารีริกธาตุในใจกลางเจดีย์ ผม ได้นำ�ศิลปะทางเหนือ มาผสมผสานงานทองเหลือง มีลวดลายรายรอบเป็นรูปดอกบัวที่ส่วนยอด และ พญานาคในส่วนกลาง บอกเล่าถึง การบูชา และ ปกป้ององค์พระบรมสารีริกธาตุในคราวเดียวกัน และผมหวังว่าพระธรรมรัตนเจดีย์องค์นี้ เป็นเจดีย์แก้ว ที่งดงาม เป็นพุทธศิลป์องค์สำ�คัญ เป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมทางโลก และ ทางพุทธศาสนา แทนค่าขององค์จุฬามณีเจดีย์บนสรวงสวรรค์
งานออกแบบจักรวาล ในพระธรรมรัตนเจดีย์
ผมได้รับมอบหมายจาก คุณชวการ สำ�เภาเงิน เพื่อให้ออกแบบ บริเวณโดมเหนือองค์พระธรรมรัตนเจดีย์ คติในการสร้างพระธาตุของ ผม สิ่งคิดไว้เสมอคือ องค์ประกอบที่สำ�คัญเพื่อให้สมพระเกียรติพระบรมสารีริกธาตุ ถ้าผมออกแบบบริเวณโดมให้ดี สวยงาม โดมนั้นจะเปรียบ เสมือนจักรวาลสวรรค์ชั้นฟ้า ไม่มีที่สิ้นสุด และ พระธรรมรัตนเจดีย์ก็จะ เปรี ย บเสมื อ นองค์ จุ ฬ ามณี เ จดี ย์ บ นสรวงสวรรค์ ที่ ม นุ ษ ย์ โ ลกสามารถ มากราบไหว้เคารพบูชาได้บนโลกมนุษย์ ณ ดอยเทพเนรมิตแห่งนี้ การ ออกแบบและสร้างจักรวาล ผมได้นำ�แก้วมาสร้างสรรค์เพื่อให้ความแวว วาวระยิบระยับ โดยใช้สีนํ้าเงินเข้ม สีฟ้า และสีทอง มาผสมผสาน สร้างบรรยากาศของจักรวาล ที่ไม่มีที่สิ้นสุด และส่วนของดวงดาว และจักรวาล ได้ออกแบบและแกะสลักเป็นงานประติมากรรมนูนตํ่า โดยได้ทีมงานจากหลายฝ่ายมาสร้างสรรค์ เพื่อให้ได้งานที่ดีที่สุด แม้จะมี เวลาจำ�กัดมาก แต่ไม่ใช่อุปสรรคในการทำ�งานสำ�คัญชิ้นนี้ และนำ�มาหล่อ เป็นทองเหลือง โดยมีช่างหล่อพระโบราณ มาสร้างสรรค์งานชิ้นนี้เพื่อให้ ได้งานที่ดีที่สุดสมกับที่เป็นจักรวาลชั้นฟ้า และสวยงามสมกับที่เป็นสวรรค์ ชั้นฟ้าที่โอบเหนือองค์พระธรรมรัตนเจดีย์ ที่พึ่งหนึ่งเดียว
60
ในที่ สุ ด ก็ ถึ ง เวลาของความ "ครบเครื่อง-เรืองรอง" ที่หลวงพ่อ เฉลิมโชค ฉันทชาโต ให้คำ�นิยามถึง การร่วมใจกันสร้างจักรวาลชั้นฟ้าที่ อยู่ของเทวดาที่ไกลโพ้นไม่มีที่สิ้นสุด องค์พระธรรมรัตนเจดีย์ ที่ให้พุทธศาสนิกชนได้มาบูชาองค์พระบรมสารีริกธาตุบนดอยเทพเนรมิต และ พญานาคแก้วแห่งเมืองบาดาลที่ น่าเกรงขามดูแลองค์พระธรรมรัตนเจดีย์ทั้ง ๔ ทิศ พร้อมกันแล้วทั้ง ๓ โลก (ไตรภูมิ) ที่เกิดขึ้นและเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์พร้อมเฉลิมฉลอง ร่วมกันในปีพญานาค เพื่อที่จะปัดเป่า กรรม ความทุกข์ของชนในชาติ ตลอดถึ ง ภั ย ทั้ ง หลายทั้ ง ที่ เ กิ ด ขึ้ น แล้ ว ในปี ที่ ผ่ า นมาและอาจเกิ ด ขึ้ น ใน อนาคต ให้บรรเทาเบาบางและหมดสิ้นไป ผมคิดว่างานสร้างสรรค์ สถาปัตยกรรมชิ้นนี้ นอกจากจะเป็นการบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนตัวผมคิดว่าน่าจะเป็นการอุทิศบุญกุศล ถวายแด่องค์พระเจ้าเม็งรายมหาราช ในโอกาส ครบรอบ ๗๕๐ ปี และ ๗๑๕ ปี แห่งเมือง เชียงใหม่ และที่สำ�คัญอีกประการหนึ่งคือ การ น้ อ มถวายบุ ญ กุ ศ ลแด่ อ งค์ พ ระบาทสมเด็ จ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ขอพระองค์ ทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน สมกับที่หลวงพ่อ เฉลิมโชค ฉันทชาโต และพุทธศาสนิกชนทั้ง หลายได้ร่วมแรงร่วมใจจัดให้มีการเฉลิมฉลอง จิรวัฒน ชวนะธิต องค์พระธรรมรัตนเจดีย์แห่งนี้ขึ้น......
ที่พึ่งหนึ่งเดียว
61
ปกิณกะธรรม
สารพันปัญหา...คาใจ ?
ที่พึ่งหนึ่งเดียว
62
คำ�เตือน...จากพระโอษฐ์
“พวกเธอจงยังประโยชน์ตน และ ผู้อื่นให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด” ทรงตักเตือนด้วยคาถาว่า การได้เกิดเป็นมนุษย์ การเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า พระสัทธรรม (คำ�จริง) การถึงพร้อมด้วยศรัทธา การได้บวช การได้ฟังพระสัทธรรม
หาได้ยาก หาได้ยาก หาได้ยาก หาได้ยาก หาได้ยาก หาได้ยาก
๖ สิ่งนี้หาได้ยากยิ่งจริงแท้เชียว ที่พึ่งหนึ่งเดียว
63
พุทธกิจ ๖ เวลา
หลักฐานแห่งเมตตาคุณ เวลาเช้า เสด็จบิณฑบาต บางครั้งเสด็จ พระองค์เดียว ❀ เวลาบ่าย ตรวจดูสัตว์โลกที่โปรดได้ ❀ เวลาเย็น แสดงธรรมโปรดมหาชน ❀ เวลาคํ่า ประทานโอวาทภิกษุสงฆ์ ❀ เที่ยงคืน ทรงวิสัชนา ตอบปัญหาแก่เทวดา ❀ ใกล้รุ่ง (ปัจฉิมยาม) ตีสาม เดินจงกรม ตีสี่ สำ�เร็จสีหไสยา (ตะแคงขวา) ตีห้า ประทับนั่งตรวจดูสัตว์โลก ที่ควรโปรด ❀
บิณฑบาต สำ�นักวิปัสนาวัดป่ากล้วย
ธรรมเมกขสถูป สารนาท
ณ ธรรมเมกขสถูป เมืองสารนาถ ประเทศอินเดีย ที่พึ่งหนึ่งเดียว
64
พระพุทธปรินิพพาน ณ สาลวโนทยาน กุสินารา อินเดีย
“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงล้วนมีความดับเป็นธรรมดา”
“ธรรมบทนี้ทำ�ให้บุคคลมีดวงตาเห็นธรรม มามากนัก”
มหาปรินิพพานสถูปสาลวโนทยาน กุสินารา อินเดีย ที่พึ่งหนึ่งเดียว
สถานที่เผาพระสรีระพระพุทธเจ้า (มกุฎพันธนเจดีย์) กุสินารา
65
อรหันต์มี ๑๖ ไม่
“อุปนิสัยพระอรหันต์ ๑๖ มุมมอง”
๑. ไม่โลภ อยากได้ในสิ่งที่ไม่เป็นธรรม ไม่เป็นฝ่ายกุศล ไม่หาลาภยศ ๒. ไม่คิดปองร้ายใคร ไม่เป็นศัตรูกับผู้ใด ๓. ไม่โกรธ โมโห โทสะแรง (ไม่ชอบนั้นมีได้) ๔. ไม่ผูกอาฆาต จองเวร จำ�ฝังใจผูกพยาบาท ๕. ไม่ลบหลูผ่ ู้มีพระคุณ ไม่เนรคุณ ๖. ไม่ตีตนเสมอผู้อื่น เทียบรัศมี ๗. ไม่ริษยา ไม่ขุ่นมัวเมื่อเห็นผู้อื่นทำ�ดี ให้พลอยยินดี ๘. ไม่ตระหนี่ หวงของกิน ของใช้ ๙. ไม่มีมายา เสแสร้งแกล้งทำ� แกล้งพูด ไม่จริงใจ ๑๐. ไม่โอ้อวด อวดคุณงามความดี อวดมี อวดได้ ในลาภในยศ ๑๑. ไม่ดื้อ มิดันทุรัง ไม่ยอมแพ้ใคร ๑๒. ไม่ถือตัว ถือตน ไม่สำ�คัญตนว่าขั้นนั้นชั้นนี้ เราดีกว่า เขาดีกว่า ต่างคนต่างอยู่ ไม่เกี่ยวข้องกับใคร ๑๓. ไม่มัวเมา ไม่เศร้าหมอง คือ ผ่องใส ใจดี ๑๔. ไม่แข่งดีกับใคร ทำ�ดีเพราะเห็นว่ามันดี ตามมีตามได้ ๑๕. ไม่ดูหมิ่น เหยียดหยาม เห็นว่าคนเหมือนกัน มีอะไรเท่าๆ กันทั้งนั้น ๑๖. ไม่เลินเล่อ ไม่ประมาท เผลอเรอ ขาดสติขี้ลืม “เพราะท่านมี ๑๖ ไม่ ใจจึงงาม” จะเรียกว่ากล้องส่องอรหันต์ก็ไม่ผิด สามารถตรวจสอบดูกันได้เป็นรูปธรรม ไม่ใช่เรื่องลี้ลับซับซ้อนต่างซ่อนเร้น เห็นกันด้วยตาเนื้อนี่แหละ เมื่อแตก กายทำ�ลายขันธ์หยาบแล้ว ท่านเข้าสู่แดนนิพพานทั้งสิ้น ที่พึ่งหนึ่งเดียว
66
ภิกษุสงฆ์ผู้เห็นนิพพาน “กิจของพระสงฆ์แท้-นิสัยพระแท้”
๑. เป็นผู้มีสัจจะ รักษาความจริง ๒. รับฟังคำ�ตักเตือนอย่างสุภาพ (ไม่ฮึดฮัดขัดเคือง) ๓. ชอบที่นั่ง ที่นอน อันสงบจากเสียง ๔. นอนน้อย ไม่งุนงง กุฏิหลวงพ่อเฉลิมโชค ฉันทชาโต ๕. ขยัน มีความเพียรเดินจงกรม นั่งสมาธิ วัดป่ากล้วย ทำ�งานวัตร ๖. ละความขี้เกียจได้แล้วเพียรเผากิเลสอยู่ ๗. ขยันนั่งสมาธิ ทรงฌาน คู้บัลลังก์ ๘. ไม่ชอบเที่ยวไปในอโคจร โลเลฟุ้งซ่านอยากไปด้วยกิเลส ๙. เบื่อหน่ายในกามคุณ ๕ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ๑๐. ไม่ถือตัว รู้จักการวางตัว ๑๑. มีจิตแผ่เมตตาแบบไม่มีประมาณ แผ่ให้ทั้งคนที่ทำ�ดี และทำ�ชั่ว ๑๒. พึงสำ�รวมสายตาทอดลง ๑๓. วางอารมณ์เป็นกลาง ไม่ลำ�เอียง ๑๔. เลิกนึกคิดฟุ้งซ่าน และคึกคะนอง กาย วาจา ใจ ทางเดินจงกรม ณ ดอยเทพเนรมิต “ภิกษุ และบุคคลทั่วไป วางตนไว้ได้ดังนี้ ย่อมงดงามตามสภาพเป็นที่รักของมนุษย์ และเทวดา และที่ยิ่งกว่านั้นคือ ท่านจะพ้นจากทุกข์แน่นอน” ที่พึ่งหนึ่งเดียว
67
นี่มิใช่กิจของสงฆ์ ๑. อย่าประกอบอาถรรพ์มนตร์ดำ� คุณไสย ไสยศาสตร์ เสน่ห์ ยาแฝด ทำ�คนให้รักกัน-ให้แยกกัน ให้ตายเร็ว ให้เจ็บป่วย ให้เสียสติ ๒. ประกอบตำ�ราทำ�นายฝัน แก้ฝัน ถือเคล็ดตามฝัน ๓. ประกอบยารักษาโรค ขายหรือให้เปล่าไม่ควรทั้งนั้น ๔. ไม่คลุกคลีไปตามชาวบ้าน จะไปรบกวนเวลาของชาวบ้านเขา ๕. ไม่ประจบคฤหัสถ์ ไม่คบผู้คนเพราะหวังในลาภ ๖. ไม่พูดถ้อยคำ�ในทำ�นองทุ่มเถียงกับใคร ๗. ไม่ดูถูก หยามหมิ่น ผู้ใด ๘. ไม่ขวนขวายในการซื้อขาย และ การขอสิ่งของจากผู้อื่น ๙. ไม่พรํ่าเพ้อ ไม่ครํ่าครวญ ไม่อาลัยอาวรณ์ถึงแต่อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ๑๐. ไม่รับประกอบพิธียกบ้าน ตั้งศาล ขับไล่ผี ๑๑. ไม่วาดรูป เขียนรอย สักนํ้าหมึกนํ้ามัน เขียนยันต์ เป่ายันต์
นี่แหละลูกตถาคตหมดจดจริงหนอ !
ความศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ ความขลัง สิ่งเหล่านี้มีในพระ สัมมาสัม-พุทธเจ้า พระอรหันตเจ้าทั้งหลาย เพราะท่านเหล่านั้นมีความ “บริสุทธิ์ผุดผ่อง” ไม่มัวหมองในกิจอันไม่ควรทั้งปวง “ยิ่งแสวงหายิ่งสกปรก รกรุงรัง ยิ่งปล่อย ยิ่งวาง ยิ่งบริสุทธิ์”
มหาปรินิพพานวิหาร สาลวโนทยาน กุสินารา อินเดีย ที่พึ่งหนึ่งเดียว
ที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระสัมมา สัมพุทธเจ้า ( มกุฏพันธนเจดีย์ ) เมืองกุสินารา
68
นิพพานเป็นเช่นใด อายตนะ (การรับรู้) นั้นมีอยู่ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีในที่นั้นคือ ดิน นํ้า ไฟ ลม อากาศธาตุ โลกนี้ โลกหน้า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ “เราไม่ได้กล่าวถึงอายตนะนั้นว่ามีการมา การไป ไม่มีการตั้งอยู่การเคลื่อน (จุติ) ไม่เป็นการอุบัติ (เกิดขึ้น) อายตนะ (การรับรู้) นั้นหาที่ตั้งอาศัยไม่ได้ (ไม่ต้องมีที่ตั้งที่นอน) ไม่มีการเปลี่ยนแปร ไม่มีการเสวยอารมณ์ นั้นแลเป็นที่สุดแห่งทุกข์” เมื่อรู้ความสิ้นไปแห่งสังขารทั้งหลาย เรียกว่าเป็น ผู้รู้นิพพาน ไม่มีเหตุปัจจัยใดๆ มาปรุงแต่งจิตใจได้อีก นิพพาน เป็นความว่างอย่างยิ่ง (ว่างจากการยึดถือแล้ว) นิพพาน เป็นธรรมชาติที่ละเอียดลึกซึ้ง วิจิตร เห็นได้ยาก รอยเกวียนโบราณ นิพพาน ไม่มีสิ่งใดทำ�ลายได้ เป็นอมตะถาวร นิรันดร นครราชคฤห์ ประเทศอินเดีย นิพพาน เป็นธรรมชาติที่สงบสุขเยือกเย็น อิ่มเอมใจ นิพพาน ไม่มีความเศร้าหมองทั้งปวง (ไม่มีกิเลสเลย) นิพพาน ไม่มีความทุกข์จากเรื่องใดเลย นิพพาน เป็นธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์ (คิดไม่ถึงว่าจะมีถึงเพียงนี้) นิพพาน นำ�มาแสดงไม่ได้ (นำ�มาให้ดูไม่ได้ ต้องไปดูเอง) อุปมาเหมือนกับคำ�ว่า “เจ็บ” อธิบายลักษณะหรือความรู้สึกเป็นคำ� พูด เป็นตัวหนังสือยืดยาวอย่างไรก็ไม่เข้าใจลึกซึ้งได้ ต้องหยิบเอาท่อนไม้ ตีลงไปที่ศีรษะของผู้นั้น จะทำ�ให้เขารู้จักภาวะของการ “เจ็บ” ที่ แท้จริง จากการที่ตนเองต้อง “เจ็บตัว” จริงๆ “นิพพานก็ฉันนั้น จะต้องประพฤติตนให้ถึงความว่าง ความสงบ ความเยือกเย็นด้วยตนเอง จะฝากผู้อื่นทำ�ไม่ได้” ที่พึ่งหนึ่งเดียว
69
“เมื่อก่อน จิตนี้ได้เที่ยวจาริกไป ตามอาการที่ปรารถนา ตามอารมณ์ ที่ใคร่ และ ตามความสบาย วันนี้ เราจักข่มมันด้วย โยนิโสมนสิการ (การพิจารณาอยู่แต่ในอวัยวะภายในของกาย) ประหนึ่งนายควาญช้าง ข่มช้างที่ซับมันฉะนั้น.”
“ท่านทั้งหลาย จงยินดีในความไม่ประมาท จงตามรักษาจิตของตน จงถอนตนขึ้นมา จากหล่ม ประหนึ่งช้างที่จมลงในเปลือกตม ถอนตนขึ้นได้ฉะนั้น”
พระอจนะ วัดศรีชุม สุโขทัย
พระพุทธรูปสมัยทวารวดีปางปฐมเทศนา ณ วัดพระปฐมเจดีย์
“จริงอยู่! ทำ�ดีก็ตาย ทำ�ชั่วก็ตาย ตายเหมือนกัน แต่เราควรจะตายไปกับความดี หรือความชั่ว” “อย่ามัวแต่ชื่นชมยินดี ที่เห็นผู้อื่นพ้นทุกข์ ตัวเราเองนี้เมื่อไรจะพ้นกับเขาบ้าง” “อัตภาพที่เป็นคนและเทวดาเท่านั้น ที่จะทำ�ตนให้พ้นทุกข์ได้ ภพภูมิที่นอกจากนี้ ทำ�ไม่ได้ ใครไม่ทำ�...เสียดายชาติคน.” ที่พึ่งหนึ่งเดียว
70
“ปรโลกเบื้องหน้าตายแล้วไปไหน” พระเจ้าพิมพิสาร พระ ราชาเมืองราชคฤห์ บรรลุ ธรรมเป็ น พระโสดาบั น สวรรคตไปเกิดอุบัติขึ้นเป็น เทวดาชั้ น จาตุ ม หาราช เทวโลก ชั้นที่ ๑ เป็นจำ�พวก ยักษ์ เป็นสหายกับท้าวเวสสุวัณ ได้มีชื่อใหม่ว่า ชนวสภยักษ์ ❁ พระอชิตะ เป็นโอรสของ พระเจ้าอชาตศัตรู หลาน พระเจ้ า พิ ม พิ ส ารนั่ น เอง ได้บวชเป็นพระภิกษุไปอยู่ เมืองสาวัตถี พระพุทธเจ้า พยากรณ์ว่า จะได้เป็น พระพุทธเจ้าองค์ต่อจากท่านนี้ จะมีชื่อว่า พระเมตตัย หรือ พระศรีอริยเมตตัย มหาอุบาสิกาวิสาขา บรรลุธรรมตั้งแต่ ๗ ขวบ เป็นโสดาบันบุคคล ตายไปเกิดอุบัติขึ้นในเทวโลก ชั้นที่ ๕ นิมมานรดี นางสิริมา น้องสาวของหมอชีวก เป็นหญิงงามเมืองโสเภณีนคร ได้ ฟังธรรมจากพระผู้มีพระภาคเจ้า บรรลุโสดาบัน เลิกอาชีพโสเภณี ประพฤติธรรม ถึงแก่กาละตายไปเกิดอุบัติที่สวรรค์ชั้นนิมมานรดี ❁
❁ ❁
ที่พึ่งหนึ่งเดียว
71
❁
❁
ม้ากัณฑกะ เป็นม้าพาหนะของ เจ้าชายสิทธัตถะ ให้ขี่เป็นยาน พาหนะในวันออกบรรพชา ตายไป เกิดเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ลงมาฟัง ธรรมจากพระพุทธเจ้าที่วัดเชตวัน บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันแล้ว พระเทวทัต เป็นพี่ชายของมารดาราหุล มีจิตคิดปลงพระชนมชีพพระพุทธเจ้า ก่อนตายได้สำ�นึก บาปจะมาขอขมาพระศาสดา แต่ ไม่ ทั น ได้ ข อธรณี สู บ ตายไปตก นรกอยู่ พระพุทธเจ้าพยากรณ์ว่า หลั ง จากที่ รั บ กรรมในนรกแล้ ว ในชาติสุดท้ายจะได้เกิดเป็นมนุษย์ ในช่วงที่ว่างจาก พุทธศาสนา จะ ออกบวชบำ�เพ็ ญ พรตได้ บ รรลุ ธรรมด้ ว ยตนเองเป็ น อรหั น ต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า มีชีวิตอยู่ได้ ยกเอาบุคคลเหล่านี้มาเป็น ๗ วัน จะเข้านิพพาน ตัวอย่างให้พิจารณา แล้ว
แต่ผู้ใดจะปรารถนาว่าตาย แล้วเราจะไปเกิดที่ไหนเล่า หนอ ?
ที่พึ่งหนึ่งเดียว
72
เถียงกันทำ�ไม ? “ฟาดมังสวิรัติ – ซัดเจ – กินเจอ...” ใครถูก? ใครผิด?
อะไรจะดุเดือดขนาดนั้น เอร็ดอร่อยมากเลยหรือ ซึ่งจะมีคนนำ�มา วิพากษ์ วิจารณ์กันเนืองๆ บ้างก็นำ�เอาพระพุทธเจ้าเข้าไปเกี่ยวข้อง สนับสนุนในการสนทนาว่าพระองค์ฉันมังสวิรัติ พระองค์ฉันเจ เมื่ออ้างว่า พระองค์ก็ยังประพฤติ จะทำ�ให้ตนเป็นฝ่ายถูก คนไม่กล้าเถียงเพราะกลัว บาป แต่ในใจจริงๆ ก็ยังแอบสงสัยอยู่นั่นแหละว่า....จริงหรือเปล่า ? ในเรื่องอาหารนี้ พระองค์กล่าวไว้ว่า ก่อนจะฉันให้ “ปัจจเวกบิณฑบาต” ซึ่งแปลว่าให้พิจารณาอาหาร โดยหลักเกณฑ์ พิจารณามีอยู่ว่า.... — เราจะไม่ฉันด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลิน ดังนั้น • ขณะฉัน จึงไม่มีการร้องรำ� ทำ�เพลง ดูการละเล่น ตลกคะนอง — เราจะไม่ฉันด้วยความเมามัน ซดซ้าย-ป้ายขวา มูมมาม • ฉันไม่สุภาพ เคี๊ยว-ซด เสียงดัง เลียมือ เลียภาชนะ — เราจะไม่ฉัน เพราะการตกแต่งมาสวยงาม ปรุงอร่อย • เอาพืชผักไปทำ�เป็นรูปกุ้ง รูปปู น่องไก่ ปลาหมึก ฯลฯ — เราจะไม่ฉันเพียงเพื่อเป็นการบำ�รุงผิวพรรณ พลังทางกาย — แต่เราจะฉันเพื่อให้อัตภาพร่างกายนี้ตั้งอยู่ได้ มีกำ�ลังต่อต้าน โรคภัยไข้เจ็บ มีแรงกายไว้สร้างคุณความดี
วิถีชีวิตชนบทของชาวอินเดีย
เมื่อพิจารณาจากการปัจจเวก จะไม่ เห็นมีกล่าวเลยว่า ที่ถูกให้ฉัน พืชหรือ เนื้อสัตว์ มีแต่อบรมเตือนสติคือความ สำ�รวมกาย สงบวาจา การคิดในใจว่า จะไม่ฉันเพราะสวยงาม ถูก-แพง ที่พึ่งหนึ่งเดียว
73
จงทำ�ตัวให้เขาเลี้ยงง่าย
ดังนั้นสรุปว่า ท่านมิได้ห้ามมังสวิรัติ ตัดเจ ฉันหรือไม่ฉันแล้วแต่โอกาสจะ อำ�นวย ให้คำ�นึงว่า “ชีวิตเราอยู่ได้เนื่อง ด้วยผู้อื่น” เราไม่มีครัว มีเรือนที่จะปรุง จะหุงเอาเอง แล้วแต่ศรัทธาเขาจะน้อมนำ�มาถวาย จะมีผัก มีเกลือ มีเนื้อ มีแป้ง อันไม่ผิดธรรม-ผิดทาง รับไว้ก็ควร อย่าไปตัดทานบารมีผู้อื่นเขาเสีย เขา ตั้งใจนำ�มาถวายตั้งแต่เช้ามืด เจตนาบริสุทธิ์ผุดผ่อง พอนำ�มาถวายพระ พระบอกฉันไม่รับ เจ้าของหน้า ซีดใจเสีย คิดว่าตัวเองทำ�ผิด ถามพระว่า ทำ�ไมไม่ รับ! ผิดอย่างไรหรือถึงไม่รับ! พระว่า “ไม่ผิดหรอก แต่พระไม่ฉันสิ่งนี้ พระฉันมังสวิรัติ” ตัวมันเป็น อย่างไร “มังสวิรัติ” น่ะ พระว่า ฉันแต่ผักพืชไม่มี เนื้อสัตว์ อ้าว! งั้นโยมไม่รู้นี่ ที่บ้านวันนี้มีกินกันอย่าง นี้ก็นำ�มา โยมได้แต่นึกอยู่ในใจดังๆ ว่า....
เลี้ยงย้าก! ที่พึ่งหนึ่งเดียว
74
คนบริสุทธิ์ด้วยการกระทำ�ถูก คนจะบริสุทธิ์ไม่เกี่ยวกับอาหาร ผู้คน เข้าใจผิดคิดว่าการกินแต่พืชผักเท่านั้นคือคน ถือเคร่ง ผู้ใดถือสิ่งนี้ว่าเป็นแก่นสาร ผู้นั้น ข้ามวัฏสงสารยังไม่ได้ พระศาสดากล่าวว่า “การไม่กินปลาและเนื้อ ความเป็นคนเปลือย กาย การย่างกิเลสด้วยเวทมนตร์และการ เซ่นสรวง ย่อมไม่ทำ�ให้สัตว์หมดจดได้” “การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การพูดเท็จ การเรียนคัมภีร์ที่ไร้ประโยชน์ การคบหาภรรยา ผู้อื่น การไม่สำ�รวมทั้งหลาย ความยินดีในรส ทั้งหลาย นี่ชื่อว่ากลิ่นดิบของชนเหล่านั้น เนื้อ และโภชนาไม่ชื่อว่าเป็นกลิ่นดิบเลย” “ผู้ ใ ดคุ้ ม ครองแล้ ว ในอิ น ทรี ย์ ทั้ ง หลาย (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) รู้แจ้งอินทรีย์แล้ว ไม่ ติดอยู่ในสิ่งที่เห็นและที่ฟังแล้วนั้น ล่วงธรรม สิ่งที่เป็นเครื่องติดข้องเสียได้ ละทุกข์ได้ทั้งหมด ผู้นั้นเป็นบัณฑิตแท้...” “จะมัวถกเถียงกันทำ�ไม ใคร่ครวญ ตรึกตรองด้วยปัญญา ใช้หลักธรรมตัดสินจึงจะยุติธรรม อย่าหลงทาง-ห่างธรรม”
น า น า ทั ศ น ะ . . . ที่พึ่งหนึ่งเดียว
75
สัญญาณบอกเหตุก่อนเภทภัยจะมา — ให้ฝึกสติมีสัมปชัญญะ หมั่นสังเกตธรรมชาติรอบตัวทั่วไป ดูความ เปลี่ยนแปลงของ คน สัตว์ ต้นไม้ พืช ดิน นํ้า ลม ไฟ ดังนี้ ❁ สังเกตจากมนุษย์ ๑. มีความฟุ้งเฟ้อ ทะเยอทะยาน
โอ้อวดสิ่งต่างๆ อย่างเปิดเผย ๒. รบราฆ่าฟันกันมากขึ้น แม้เผ่าพันธุ์เดียวกันก็ไม่เว้น ๓. คนทุศีลก็ยังมีคนกราบไหว้ ยกย่อง ชื่นชม ๔. คนไร้คุณธรรม ยังมีโอกาสได้ตำ�แหน่งสูง ๕. คนดีถูกลืม ถูกใส่ร้าย ถูกเหยียดหยาม ๖. พูดเท็จ พูดส่อเสียดถือเป็นเรื่องธรรมดา ๗. ภิกษุที่ปลอมบวชไม่รักษาศีลมีมากขึ้น อยู่ได้ ๘. ภิกษุที่บวชเพื่อมรรคผลมีน้อยลง ๙. ภิกษุที่บวชเพื่อหาลาภสักการะมีมากขึ้น ๑๐. มหรสพเกิดขึ้นในวัดทั่วไปไม่น่ารังเกียจ ๑๑. คนตระหนี่ หวงทรัพย์ ไม่เอื้อเฟื้อมีมากขึ้น ๑๒. การคดโกงมีในทุกอาชีพ โกงแม้กระทั่งเวลา-นาที ๑๓. ร้านขายอาวุธ ขายนํ้ามึนเมา มีเรียงรายทั่วไป ๑๔. ญาติพี่น้องท้องเดียวกันไม่ช่วยเหลือกันมีมากมาย ๑๕. มีการหย่าร้าง-แยกคู่มากขึ้น ๑๖. สตรีจะนุ่งห่มไม่มิดชิด ๑๗. ตายด้วยโรคระบาดทางเพศมากขึ้น ๑๘. มีการตายอย่างไม่มีสาเหตุถี่ขึ้น นอนตาย ช็อคตาย ๑๙. สตรีจะมีมากกว่าบุรุษ ที่พึ่งหนึ่งเดียว
76
❁ สังเกตจากสัตว์
๑. บินหลงทิศ ผิดทาง ๒. อพยพย้ายถิ่น สูญหาย ๓. มีสัตว์แปลกๆ โผล่มาให้เห็นทั้งในนํ้าและบนบก (หนีภัยมา) ๓. เสียงร้อง เสียงเห่าหอนผิดปกติ ๔. ลุกลี้ลุกลน หรือ เหงาซึมผิดธรรมดา ❁ สังเกตจากพืชพันธุ์ธัญญาหาร ๑. ไม่ผลิดอกออกผลตรงตามฤดู เพราะอากาศเปลี่ยนไป ๒. ผลผลิตลดลง ขาดแคลน ๓. รสชาติเปลี่ยนไป ไร้คุณภาพ ๔. มีโรคระบาดหลายชนิด เกิดทั้งรากถึงยอด โรคแปลกๆ ❁ สังเกตจากดินฟ้าอากาศ ๑. ความร้อนสูงขึ้น แดดรุนแรง อุทกภัยถล่ม “กรุงเทพมหานคร” เกิดคลื่นความร้อน คนตาย เดือน พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ๒. ไอนํ้า และหมอกควัน ครอบคลุมแผ่นดินทุกฤดู ๓. แผ่นดินไหวถี่ขึ้นทั่วไป และเริ่มรุนแรง ๔. เกิดลมพายุรุนแรงถี่ขึ้น าเครื่องบิน โบอิ้ง “737-700” ๕. ฝนตกหนัก นํ้าท่วมหนัก ทั่วโลก วัฟ้นาอัผ่งคารที ่ 16 สิงหาคม 2553 ของ สายการบิน “แอร์เรส” ประเทศโคลัมเบีย ๖. ฟ้าผ่าถี่ขึ้น ร้องคำ�รามตํ่าลง ๗. ภูเขาไฟปะทุมากขึ้น ๘. มืดมน อึมครึมหลายๆ วันติดต่อกัน “มนุษย์ไม่อยู่ในศีล ในธรรม จะถูกฟ้าดินลงโทษ” ที่พึ่งหนึ่งเดียว
77
๗ วิธีการทำ�อาสวะให้สิ้น หมดกิเลสเป็นอรหันต์
๑. ทัสสนะ การเห็นอริยสัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ❁ ความเห็นเป็นเหตุยึดถือว่ากายเป็นของเรา ❁ วิจิกิจฉา ลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย (คำ�สอน) ❁ สีลพตปรามาส ยึดศีลและพรต ติดอยู่ในลัทธิ พิธีต่างๆ ตาม ความเชื่อของตนซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง เช่น เอาข้าว-นํ้า ของกินต่างๆ ให้ผีกิน, ถวายพระพุทธเจ้า, ถวายเทวดา ๒. สังวร ความสำ�รวมอินทรีย์ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กิริยา-มารยาท) ๓. ปฏิเสวนะ การพิจารณาปัจจัย ๔ ขณะใช้สอย ก. จีวรสุภาพเรียบร้อย ถูกต้องด้วยการเย็บ-ย้อมสีนํ้าฝาด ไม่สะสม ใช้มิใช่สวยงามทันสมัย ข. อาหาร ได้มาถูกต้องไม่เป็นโทษ ฉันบิณฑบาตด้วยเคารพ ปริมาณพอดี (ไม่กินจุ) เพียงเพื่อมีชีวิตอยู่ได้ ค. ที่อยู่เสนาสนะ สะอาด สงบ ไม่พลุกพล่าน ยินดีตามที่เขาจัดให้ ง. คิลานเภสัช คือ ยารักษาโรค การรักษาพยาบาลยินดีตามอัตภาพ ๔. อธิวาสนะ อดทน รู้จักข่มเวทนา ทนร้อน – หนาว ❁ เจ็บปวดไม่ครวญคราง โวยวาย ❁ ทนต่อถ้อยคำ�ที่น่ารำ�คาญ เพ้อเจ้อ ๕. ปริวัชชนะ รู้จักเว้น-งด หลีกเลี่ยงในบุคคลหรือสถานที่ ที่ไม่เหมาะสม เช่น ❁ คนพาล คนหยาบคาย คนเกียจคร้าน ❁ ป่า ดง ที่มีสัตว์ดุร้าย ให้โทษ ❁ สถานเริงรมย์ ห้างสรรพสินค้า สวนสนุก ที่พึ่งหนึ่งเดียว
78
๖. วิโนทนะ การลดละ ให้น้อยลงจากกามคุณ ๕ คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ❁ การแสดง ละคร ภาพยนตร์ เพลงบันเทิง ❁ ลดความโกรธ บรรเทาการอาฆาต จองเวร ก่อศัตรู ไม่เบียดเบียน ๗. ภาวนา อบรมจิตใจ ลงมือปฏิบัติจนเกิดผลได้จริง อบรมไม่ให้จิต เข้าไปยึดมั่นในสิ่งทั้งปวง (ทั้งบุคคลและวัตถุ)
ที่พึ่งหนึ่งเดียว
79
ธรรม ๑๐ ประการ ที่ทำ�ให้คนเป็นอรหันต์
๑. ราคะ ความกำ�หนัด ยินดีใน กามคุณ ๕ คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ๒. โทสะ ความคิดประทุษร้าย ๓. โมหะ ความหลงงมงาย พระพุทธรูป ในบริเวณพระมหาธาตุ เจดีย์ชเวดากอง ประเทศพม่า ๔. โกธะ ความโกรธ ๕. อุปนาหะ ความผูกโกรธ ๖. มักขะ ความลบหลู่คุณ ๗. ปฬาสะ ความตีตนเสมอ ๘. อิสสา ความริษยา ๙. มัจฉริยะ ความตระหนี่ ๑๐. มานะ ความถือตัว ที่พึ่งหนึ่งเดียว
80
วิปัสสนาญาณ ๙ สภาวะธรรมที่เกิดขึ้นในผู้ปฏิบัติ
๑. อุทยัพพยญาณ หยั่งเห็นหรือคำ�นึงเห็น ความเกิดและดับ ทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับไป ๒. ภังคญาณ สามารถเห็นถึงว่าทุกอย่าง ย่อมดับไป ไม่เหลือสักสิ่งเดียว, พินาศหมด ๓. ภยตุปัฏฐานญาณ เห็นว่าสังขารเป็นของน่ากลัว,รังเกียจ เห็นภัยใน สังขารร่างกาย ๔. อาทีนวญาณ เห็นโทษทั้งปวง, รอบด้าน เห็นทุกข์ในสิ่งทั้งปวง ๕. นิพพิทาญาณ เห็นว่าสิ่งที่ประสบอยู่นี้น่าเบื่อหน่ายยิ่ง เบื่อวงจร ชีวิตตัวเอง ๖. มุญจิตุกามยตาญาณ ปรารถนาอยากจะไปให้พ้นๆ ไม่อยากพบ เจอกับวงจรเช่นนี้อีก ๗. สังขารุเบกขาญาณ ชำ�นาญใน การปล่อยวางเฉย (ในสังขาร) สงบนิ่งได้เร็ว ๘. อนุโลมญาณ สามารถกำ�หนดรู้ อริยสัจ ๔, รู้ทุกข์ เหตุแห่งการเกิด ทุกข์ การดับทุกข์ มรรค ๙. โคตรภูญาณ กำ�หนดรู้ขั้นตอนของ การหลุดพ้น รู้มรรคองค์ ๘, ลำ�ดับของอริยมรรค สภาวะธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นได้ เพราะ เจริญศีล สมาธิ ภาวนา ทำ�มากๆ รอยทางเกวียนโบราณ นครราชคฤห์ เกิดเร็ว ไม่ทำ�ไม่เกิด (ยุติธรรมดี) ประเทศอินเดีย ที่พึ่งหนึ่งเดียว
81
อยากรู้... สารพันปัญหาคาใจ ปัญหาทั้งหลายต้องการคำ�ตอบว่า ถูก หรือ ผิด ตามคำ�สอนของ พุทธศาสนา หรือ คำ�สอนของพระพุทธเจ้า
เรื่องตาย...
คำ�ถาม ? ถามว่า งานศพ มีการนำ�ข้าว-นํ้า อาหารไปวางข้างโลงศพ มีพระสงฆ์ไปสวด เช้าบ้าง-คํ่าบ้าง เจ้าภาพเคาะโลงเรียกให้กินข้าว ให้ฟังพระสวด ทำ�เช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ ? ตอบ ไม่มีในพระธรรมคำ�สอน ผู้ถาม อาหารที่ให้ผู้ตาย “ผู้ตาย” จะกินได้หรือไม่ ? ตอบ กินไม่ได้ เพราะปากและฟัน รวมถึงร่างกายทั้งหมด พังไป แล้วเห็นอยู่ด้วยตาเนื้อ ผู้ถาม ทำ�ตามประเพณีที่เขาทำ�กันอยู่ในหมู่บ้านนั่นล่ะ ? ตอบ ใครตั้งประเพณีก็ช่างเถอะ แต่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ถ้าทำ�ตาม พุทธเจ้าต้องไม่มี ไม่เกิดประโยชน์ เสียข้าว-นํ้า เปล่าๆ คน ตาย ไม่ได้บุญด้วย ผู้ถาม ถ้าว่าทำ�ผิด ทำ�ไมพระสงฆ์ที่อยู่ในพิธีนั้น ทำ�ไมไม่ห้ามไม่บอก บางรูปบอกให้ทำ�ด้วยซํ้าไป ? ตอบ ไม่รู้ฮึ ! รูปนี้ไม่เคยแนะนำ� คนละรูปกัน ผู้ถาม หรือพระท่านก็ไม่รู้ว่า ผิด หรือ ถูกเป็นอย่างไร ? ตอบ ไม่รู้อีกนั่นแหละ คนละรูปกัน ที่พึ่งหนึ่งเดียว
82
ผู้ถาม พุทธศาสนาให้ทำ�อย่างไรกับ ญาติที่ตาย ? ตอบ ตายแล้ ว ญาติ ม าพร้ อ ม เตรี ย มงานพร้ อ มก็ เ ผา กระดูกขี้เถ้าที่เหลือให้ลอย นํ้า อยากจะช่วยถ้ากลัวว่า จะไปอยู่ในภพภูมิที่ลำ�บาก ก็ให้ทำ�ทานกับผู้มีศีลมาก มีธรรมมากๆ แล้วอุทิศผล บุญไปให้ ผู้ถาม เขาได้รับแน่ใช่มั๊ย ? ตอบ ไม่แน่เสมอไป ต้องอยู่ใน เปรตประเภทที่รับได้ (ปรทัตตูปชีวิเปรต) ผู้ถาม ถ้ารับไม่ได้ เท่ากับเราทำ� เปล่า ? ตอบ ไม่เปล่า คนทำ�ได้เองแน่ๆ ที่เกินจากนั้นญาติผู้ที่ตาย ไปแต่ ช าติ ก่ อ นหนหลั ง มี สิทธิ์ในบุญนั้นได้ รับกันได้ ไม่เหลือหลอ ให้เท่าไรก็ หมด ให้ไปเถอะ... ดี.
ที่พึ่งหนึ่งเดียว
ประเพณีลอยอังคาร (กระดูก)
83
พญายมเป็นใคร..???
ถาม พญายมเป็นใคร ทำ�หน้าที่ อะไร ? ตอบ เป็ น เปรตพวกหนึ่ ง ที่ มี ความทุ ก ข์ ใ นตอนกลาง วัน สุขสบายตอนกลาง คืน จักรวาลให้มีหน้าที่ใน การสอบสวนมนุษย์ว่าทำ� ดี หรือ ชั่วอะไรบ้าง เพื่อ จะได้ตัดสินว่าจะลงนรก หรือขึ้นสวรรค์ ถาม เป็นพญายมตลอดหรือ ? ตอบ มีการหมดวาระ ต้องย้าย ไปสู่ที่อื่น มีผู้มาแทน
เทวดา ถาม ตอบ ถาม ตอบ ถาม ตอบ ถาม ตอบ
เทวดามีจริงหรือ ? พระมหาธาตุเจดีย์ จ.สุโขทัย มี ทำ�ไมไม่เห็นเจอบ้างเลย ? เขาอยู่ในเทวโลก ส่วนเราอยู่มนุษย์โลก “ปลาทู กับ ลิง มี อยู่จริงแต่มันไม่เคยเห็นกันเลย” เทวดามี ๑๖ ชั้นฟ้าหรือ ? ตามพุทธศาสนามีแค่ ๖ ชั้น พรหมโลกมี ๒๐ ชั้น อยากเป็นเทวดาทำ�อย่างไร ? ให้ทานและรักษาศีล เป็นพรหมให้ทำ�สมาธิด้วย ที่พึ่งหนึ่งเดียว
84
ถาม ตอบ ถาม ตอบ
ทำ�อย่างไรจะไม่ตกนรก ? อย่าทำ�ชั่วทั้งปวง ทำ�แต่ความดีงาม คนไม่ทำ�ชั่วเลยมีหรือ ? มี ผู้ที่ไกลจากกิเลสสิ้นเชิง เรียกว่า อรหันต์ เมื่อก่อนท่านก็ เคยทำ�ผิดมาก่อน ท่านใจแข็งเลิกละเสียได้
ถาม สวรรค์ชั้นใดสุขที่สุด ที่น่าไปเกิด ? ตอบ ไม่มีสุขที่สุด ไม่น่าไปเกิดเพราะยังต้อง มีการหมดอายุ แล้วต้องไปตาม ยถากรรมต่อไป ถาม แล้วที่ใดสุขที่สุด ? ตอบ แดนนิพพาน เป็นแดนพ้นทุกข์ทั้งสิ้น เป็นสุขอยู่ตลอดกาล ไม่ต้องหมดอายุ ถาม ทำ�อย่างไรจะได้ไปนิพพานกับเขาบ้าง ? ตอบ ให้ทาน รักษาศีล ทำ�สมาธิ เจริญภาวนาวิปัสสนา ถาม ทำ�ได้ยาก ? ตอบ คนชัว่ ทำ�ได้ยาก คนดีชอบทำ� ทำ�แล้วสบาย มกุฏพันธนเจดีย์ เมืองกุสินารา ถาม คนทำ�มีน้อย ? ตอบ คนเดียวเราก็ทำ� ถึงมีหลายคนก็ต่างคนต่างทำ�อยู่แล้ว ถาม เคยได้อ่านหนังสือธรรมะ บอกว่าถ้าละความโลภ โกรธ หลง ได้ถึงจะเข้านิพพาน ทำ�ไมบอกไม่เหมือนกัน ? ตอบ จะละความโลภ โกรธ หลง ได้ จะต้องมีพื้นฐานมาจากการให้ ทาน รักษาศีล ทำ�สมาธิ มีปัญญาพิจารณานี่แหละ ที่พึ่งหนึ่งเดียว
85
ถาม ทำ�ไมทุกวันนี้ศาสนาเสื่อมมาก ? ตอบ ศาสนาคือคำ�สั่งสอน ยังคงสั่ง สอนให้ทำ�ความดีเหมือนเก่า ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงคำ�สอน จะถือว่าเสื่อมได้อย่างไร...คน ที่ ม านั บ ถื อ ต่ า งหากที่ เ สื่ อ ม ไม่ทำ�ตามที่สั่งสอน ถาม ศาสนามีหลายศาสนา ศาสนา ใดดีที่สุด ? ตอบ ศาสนาใดสอนให้ พ้ น จาก ความทุกข์ได้สิ้นเชิงนั่นแหละดี ถาม เช่ น นั้ น ต้ อ งเป็ น ศาสนาพุ ท ธ เพราะสอนให้ ถื อ นิ พ พานสงบ เย็น ? พระกกุธสันโธพุทธเจ้า ตอบ พิจารณาเอาเองเถิด เจดีย์อนันดา พุกาม ประเทศพม่า ถาม คนไม่ได้บวช เป็นชาวบ้านบรรลุ ธรรมเป็นอรหันต์มีไหม ? ตอบ มี สันตติอำ�มาตย์, พาหิยะทารุจีริยะ เป็นต้น ถาม ผู้หญิงเป็นอรหันต์ได้ไหม ? ตอบ ภิกษุณีทั้งหลายเข้านิพพานมากมาย พ้นทุกข์สิ้นเชิง
ที่พึ่งหนึ่งเดียว
86
โลกแตก
ถาม พระพุทธเจ้ากล่าวถึงการสิ้นโลกบ้างหรือไม่ ? ตอบ กล่าวถึง ตรัสว่าโลกนี้เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงมีการเปลี่ยนแปลงได้ มิใช่เป็นเช่นนี้ตลอดไป ถาม จะเปลี่ยนแปลงเมื่อไร ? ตอบ ภายภาคหน้าจะมี มิได้บอกวันเดือนปี ถาม มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าภายในพ.ศ. ๒๕๕๕ – ๒๕๖๐ นี้ ตอบ ห้ามภิกษุพยากรณ์
ที่พึ่งหนึ่งเดียว
87
วิธีหนีภัย
ถาม ภัยพิบัติทางธรรมชาติมีมากและรุนแรงขึ้น จะเตรียมตัวหนีอย่างไร จึงจะรอดปลอดภัย ? ตอบ ให้สร้างบุญบารมี ทาน ศีล สมาธิ ภาวนา ทำ�ให้อุ่นใจคนมี บุญจะมีพลังจิตมาก มีรัศมีหรือรังษีประจำ�กายรังษีนี้จะทำ� หน้าที่ต่อต้านป้องกันภัยให้เจ้าของเป็นอัศจรรย์ หรือ ปาฏิหาริย์ (อัตโนมัติ) ถาม ทำ�ให้ไม่ตายหรือ ? ตอบ ใช่ ถึงแม้ตายก็จะป้องกันไม่ให้ตกอบายภูมิ ไปเกิดที่ดี
มูลคันธกุฎี ยอดเขาคิชกูฏ เมืองราชคฤห์ อินเดีย
ถาม ไม่ได้ทำ�บุญอะไร เพราะไม่เคยทำ�บาปอะไร คิดถูกหรือไม่ ? ตอบ กินบุญเก่าไม่สร้างบุญใหม่ หมดบุญจะมีความทุกข์ใจ ทุกข์กาย ไม่สมหวังในสิ่งที่ปรารถนา แขน ขา ตา หู ปาก มือ เท้า สมบูรณ์ ดี ควรใช้ให้เป็นประโยชน์ เปรียบเหมือนมีจอบมีเสียมแต่ไม่นำ� ไปใช้ ปล่อยทิ้งไว้ให้สนิมขึ้นผุพังไปเปล่าๆ รีบใช้เสีย ที่พึ่งหนึ่งเดียว
88
ผีสิง
ถาม ผีมีจริงหรือไม่ ตอบ มี สิ่งที่ไม่มีกายหยาบ เป็นกาย โปร่งใส หรือ กายทิพย์ มีหลาย ชนิด เปรต อสุรกาย อยู่อีกมิติ หนึ่งบนโลกมนุษย์ ต้องเรียกว่า เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งตามธรรมชาติ ไม่น่ากลัว แต่น่าสงสาร เพราะ ต้องโหยหิวอยู่เสมอ ทำ�มาหากิน ให้อิ่มเหมือนมนุษย์ไม่ได้ จะทำ� บุญล้างบาปหนีกรรมก็ไม่ได้ ต้อง รอญาติที่เป็นมนุษย์อยู่ทำ�อุทิศ ให้ ถ้าไม่มีใครอุทิศให้ จะต้องรอจนกว่าจะใช้กรรมหมดจึงจะ พ้นเวร ถาม ผีมาเข้าสิงในร่างคนได้หรือไม่ ? ตอบ เข้าได้ ครั้งพุทธกาลมาเข้าสิงพระภิกษุ สามเณรก็มี ถาม เมื่อมาเข้าสิงจะให้ทำ�อย่างไรจึงจะหายหรือออกไป ? ตอบ ถามผีว่าต้องการอะไร ถ้าตอบสนองให้ได้ก็ให้ไป ถาม สิงอยู่อย่างนั้นพูดอะไรก็ไม่ได้ (ผีคุม) ? ตอบ ทำ�นํ้าพระพุทธมนต์ให้ดื่ม ล้างหน้า รดกาย ถาม ถ้ายังไม่ไป จะทำ�อย่างไร ? ตอบ ที่ประสบมาไปทุกราย ถ้าไม่ไปก็ถือว่ามีวิบากกับผู้นั้น ที่จะ อาศัยอยู่ชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็ไปเอง ที่พึ่งหนึ่งเดียว
89
ถาม พระรดนํ้ามนต์ไม่ผิดศีลหรือ ? ตอบ ไม่ผิด แต่ไม่ควรขวนขวายทำ�เป็นประจำ� ทำ�ให้ไม่มีเวลาทำ� ความเพียร ให้พิจารณาตามความจำ�เป็นจริงๆ เป็นรายๆ ไป ไม่ทำ�เพื่อลาภสักการะ หรืออยากดัง ผีไม่สิง ก็ไม่รด บางราย ผีเองนั่นแหละมา ขอให้รด พอเรารดให้ เขาก็ไปง่ายๆ ไป เกิดที่สูงเน้อ อย่ามา รบกวนพระอีก.... ถาม มีคาถาปราบผีหรือ ? ตอบ มีสัจจะ มีคำ�บอกกล่าวกันธรรมดา ไม่ขับ ไม่ด่าแช่ง สอนให้ เขารู้บาปบุญคุณโทษ เชื่อฟังก็แล้วไป ไม่เชื่อฟังก็แล้วไป ถาม ทำ�ไมผีกลัวพระ ไม่ค่อยกลัวคน ? ตอบ พระมีศีล ผีเลยเชื่อฟัง ถ้าไม่เชื่อกลัวจะบาป หมอแพทย์ทายว่าไข้ โหรว่าเคราะห์แรงรุม แม่มดว่าผีกุม บัณฑิตว่า กรรมเองไซร้
ที่พึ่งหนึ่งเดียว
ลมคุม โทษให้ ทำ�โทษ ก่อสร้างมาเอง (ไม่ปรากฎนามผู้แต่ง)
90
เริ่มต้นเป็นคนใหม่ อยากพ้นทุกข์กับเขาบ้าง ?
ขั้นตอนปฏิปทา รักษาศีลของตนไว้ให้ดี (แล้วแต่สถานภาพศีล ๕, ๘, ๑๐, ๒๒๗, ๓๑๑) ศีลนี้เป็นเบื้องต้นสำ�คัญก่อนสิ่งอื่น ตั้งใจประคับประคองให้ตลอด วันหนึ่งคืนหนึ่งจะทำ�ให้ภาคภูมิใจในตัวเอง ต่อไปก็... — เดินจงกรม เพื่อให้มีสติในขณะเดินไป-มา • หาสถานที่ ระยะทางประมาณ ๒๐-๒๕ ก้าว • เดินไป ๒๕ ก้าว หมุนขวากลับมาที่เดิม ๒๖-๕๐ ก้าว • เดินไป ๕๑ ก้าว หมุนขวากลับมาที่เดิม ๗๖-๑๐๐ ก้าว • ให้เดินนับจำ�นวนก้าว จะนับทีละ ๑๐๐ หรือ นับติดต่อก็ได้ • เมื่อลืมให้เริ่มนับ ๑ ใหม่ เพื่อฝึกนิสัยให้รู้จักแก้ไขปรับปรุง อย่าปล่อยให้เป็นแบบผิดๆ จะแก้กรรมในชีวิตไม่ได้ • เดินเร็วหรือช้า ให้เป็นไปตามนิสยั จริงๆ ของเรา ทีเ่ คยเดินไปไหน มาไหนตามปกตินั่นแหละ ต้องตามธรรมชาติจะได้ผลเร็ว • ถ้าจิตกำ�ลังฟุ้งซ่านเรื่องอื่นๆ จะให้ลืมต้องเดินเร็วๆ • เมื่อจิตสงบจะค่อยๆ เดินช้าลงเอง ถือว่าความสงบเริ่มเกิดแล้ว • เดินนับไปเรื่อยๆ ยิ่งนานยิ่งดี ธาตุขันธ์ร่างกายที่เจ็บป่วย ดิน นํ้า ไฟ ลม ผิดปกติจะทำ�ให้เป็นปกติขึ้นเรื่อยๆ พระพุทธเจ้าจึงบอก อานิสงส์ว่า จะทำ�ให้มีอายุยืน • นับอย่าให้ผิด ความจำ�จึงดีขึ้น ทำ�ให้ไม่หลงก่อนตาย • เมื่อขยันเดินจดจ่ออยู่บ่อยๆ ไม่ไปทำ�ผิดที่ไหนศีลก็สวย จึงเป็น ที่รักของเทวดาและมนุษย์ (คนนี้ดีไม่ยุ่งกับใครๆ) • เดินจนเมื่อยหรือเหนื่อยถึงจะหยุดพัก ต่อไปก็... ที่พึ่งหนึ่งเดียว
91
— นั่งสมาธิ เดินมานานแล้วต้องการนั่งพักภาวนา ที่นี่ให้ภาวนาตามที่ พระพุทธเจ้าสั่งสอนใช้ว่า “เกสา โลมา นขา ทันตา ตะโจ” (ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง) • หาที่นั่งให้เหมาะสม มีผ้ารองนั่ง • ดื่มนํ้าให้หายเหนื่อยสัก ๑ แก้ว จะนํ้าอุ่น นํ้าเย็นก็ได้ คุณสมบัติ ของนํ้าจะทำ�ให้เกิดความผ่อนคลายกายจะเบาๆ • นั่งคู้บัลลังก์ (สมาธิซ้อนขาขวาไว้บนขาซ้าย มือขวาวางบนมือ ซ้าย ปลายหัวแม่มือชนกัน )
อานาปานุสติ
• นั่งดูลมหายใจเข้านับ ๑ ออกนับ ๑ • นั่งดูลมหายใจเข้านับ ๒ ออกนับ ๒ • นั่งดูลมหายใจเข้านับ ๓ ออกนับ ๓ ฯลฯ จนถึง นั่งดูลมหายใจเข้านับ ๑๐ ออกนับ ๑๐ แล้วนับย้อนหลังกลับไปถึง ๑ • เมือ่ นับลมหายใจเข้า-ออกอยูจ่ ติ จะเริม่ สงบลง จนไม่อยากจะนับ อยากจะนิ่งอยู่เฉยๆ นั่นแหละจิตสงบแล้วปล่อยให้สงบไป ไม่ต้อง นับอะไรอีก เฉยไว้นานๆ • เมื่อเฉยนิ่งอยู่ระยะหนึ่ง จิตจะคลายออกมามีความรู้สึกตัวทั่ว พร้อม ยุบๆ ยิบๆ อยากจะขยับหรืออยากจะนึกจะคิด • ให้ภาวนาหรือมาพิจารณาความรู้สึก ในสังขารร่างกาย • ให้คิดว่ากายนี้ตอน นิ่ง ชา เฉย สงบ นี่เป็นอาการอย่างนี้ ที่พึ่งหนึ่งเดียว
92
• แขน ขา ทั่วกายเป็นเหมือนลืมคิดถึง กันไปขณะหนึ่ง • จิตหายไป หลบไป ไม่มาสนใจ ร่างกายอะไรเลย เหมือนแยกกันอยู่ • นั่งนึกคิดพิจารณาไปเรื่อยๆ ลืมปวด ลืมเมื่อย • เมื่อหยุดพิจารณาสักครู่หนึ่ง อยาก จะออกจะเลิกนั่งก็ค่อยๆ ลูบขา ลูบ เท้า นึกในจิตว่าจะออกจากการนั่ง แล้วนะ
— การอุทิศบุญ • ต่อไปจะอุทิศบุญที่ได้จากการเดิน-จงกรม การนั่งสมาธิ และ การ ภาวนาพิจารณาจนเกิดปัญญาในครั้งนี้ บัลลังก์นี้ ให้เจ้ากรรม นายเวรทั้งหลาย จงมารับโดยทั่วกันเถิด • กล่าวบาลีเป็นต้นแบบซักตอนหนึ่งว่า....
“อิทังโน ญาตินังโหตุ สุขิตาโหตุ ญาตะโย” ขออุทิศบุญนี้ไปให้ญาติทั้งหลาย ขอให้ญาติทั้งหลายจงมารับ โดยทั่วกัน เท่านี้ก็ครอบจักรวาลแล้ว ได้กันทั้งหมด
ที่พึ่งหนึ่งเดียว
93
ทั้งหมดนี้ เป็นกระบวน การปฏิ บั ติ ค รบรอบวงจร แล้ว ทำ�อยู่อย่างนี้ ๆ ๆ ๆ ศีลจะเจริญ ไม่ล่วงเกินข้อ ใด สมาธิความมั่นคงใน จิตใจจะมีมากขึ้น เป็นคน สุขุมนิ่งเฉยหายเอะอะโวย วายแน่ ปัญญาเกิด พูดจา มีสาระประโยชน์ มีเหตุมี ผลเป็นที่น่าเชื่อถือ หาย หลงงมงายในเรื่องต่างๆ การปฏิบัติเป็นมรรค เป็นทางให้เดิน ตรงและ ถูกต้อง ผลจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติไม่ต้องกริ่งเกรง เป็นไปตามวาสนา ของเก่าที่ติดตัวมาบ้าง หรือ ของใหม่เขาเองบ้าง จะเก่าจะใหม่ ช่างมัน เถอะ วางเสีย! จะเก่งจะไม่เก่ง ช่างมันเถอะ ผลที่ต้องการคือ ความปล่อย วางนี่แหละ “ไม่เอาอะไรแล้ว” ให้นึกว่า “สิ่งทั้งหลายในโลกนี้ เราเคยได้ เคย มี เคยเป็น มาทั้งหมดทั้งสิ้นแล้วในขณะที่เวียนตายเวียนเกิดมาหลายภพ หลายชาติมันจะหลุดจะรอดเชียวหรือ ในเมื่อเกิดมาแล้วจนนับชาติไม่ถ้วน “ชาตินี้จึงไม่เอาแล้ว เพียงพอแล้ว” “ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยาก เป็นอะไรทั้งนั้น” แปลว่า จบ.....
จบ
ที่พึ่งหนึ่งเดียว
94
อสุภ และ ปฏิกูลสัญญา
การระลึกถึง ๒ สิ่งนี้ ทำ�ให้เกิดความเบื่อหน่าย คลายกำ�หนัด ตัดโลก
อสุภ หมายถึง ความไม่สวยงามของสังขารร่างกาย และสิ่งของ ทั้งหลาย มันเป็นเพียงภาพลวงตา ไม่ถึง ๑๐๐ ปี ปฏิกูล หมายถึง ความเปื่อยเน่าเก่าลงของร่างกาย และสิ่งทั้งปวงใน ร่างกายมนุษย์ทุกคนล้วนซ่อนเร้นไว้ด้วยของเน่าเหม็น ให้ถลกหนัง แยกอวัยวะทั้งหลายด้วยการตั้งสมมติฐาน ผ่าตัดอวัยวะออกเป็นชิ้นๆ ตั้งแต่ศีรษะถึงเท้า แล้วก็ ประกอบเข้าไปตามเดิมให้ทำ�บ่อยๆ จนมีความรู้สึกว่า กายเรานี้เหมือนวัตถุสิ่งของที่นำ�เอาอุปกรณ์หลายๆ ชิ้นมาประกอบกัน พอแยกออกไปก็ไม่ใช่สังขารร่างกาย แล้ว อวัยวะชิ้นน้อยบ้างใหญ่บ้าง กระจัดกระจายกัน ไปไม่เป็นบุคคลใดๆ เมื่อนำ�มารวมกันก็มีรูปร่างขึ้น สมมติเรียกว่า “คน” ตั้งอยู่หนึ่งไม่ถึงร้อยปีก็พังลงหมด ทุกกาย ไม่เหลือกายใดไว้เลย มันเก่าเอง เน่าเอง เปื่อย พังเอง ไม่มีใครทำ�อะไรให้ พังเอง สิ่งใดที่มีการพังสลาย ตายลง สิ่งเหล่านั้นไม่ควรยึดมั่นถือมั่น จะหวัง พึ่งพาอาศัยนั้นไม่ควรอย่างยิ่ง กายมันพัง จิตเราก็ไปหาที่อยู่ใหม่ตาม ธรรมชาติของมัน จิตไม่ตาย จิตเป็นอมตะถาวร คนไปร้องไห้เสียดาย กายที่ผุที่พัง นั่นคนยังไม่เข้าใจความจริง ผู้ที่เข้าใจไม่อาลัยมันเลย ฝึก พิจารณาตรงนี้ให้ชํ่าชองจะทำ�ให้ไม่กลัวตาย หายหลงงมงายกับกายเน่าๆ นี้
การพิจารณาร่างกายนี้นำ�ไปสู่ประตูนิพพาน จึงว่าสำ�คัญอย่างยิ่ง... ที่พึ่งหนึ่งเดียว
95
ภาพถ่ายของใบหน้าศพ ที่เสียชีวิตแล้ว ประมาณ ๒-๓ วัน วินีลกอสุภ
ภาพถ่ายของใบหน้าศพ ที่เสียชีวิตแล้วประมาณ ๔-๗ วัน ปุฬุวกอสุภ
ภาพถ่ายของใบหน้าศพ หลังจากเสียชีวิต เพราะถูกสุนุขกัดกิน วิกขายิตกอสุภ
ภาพถ่ายของใบหน้าศพ หลังจากเสียชีวิต ประมาณ ๖-๑๒ เดือน อัฏฐิกอสุภ
ที่พึ่งหนึ่งเดียว
96
พิมพ์ที่
บริษัท จุดทอง จำ�กัด
191/82-83 ถนนลาดพร้าว-วังหิน 42 เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ 10230 โทร. 02-931-7095-6 โทรสาร. 02-538-9909 mobile : 089-173-2260 e-mail : gdp_sp@yahoo.com