1
“ลับเฉพาะนิพพาน”
ไขปริศนาเงื่อนงําความลับซึ่งถูกปกปิดมานานบนนิพพานที่น้อยคนนักจะรู้ เรื่องจริงที่ถูกค้นพบจากผู้บรรลุธรรมกายชั้นสูง โดย....บรรพชา บุณยรัตพันธุ์
2
เปิดประตูสู่นิพพาน เมื่อเอ่ยถึงคําว่า “ นิพพาน ” แล้วหลายท่านอาจจะมองภาพรวมของคํานี้ว่าเป็นเรื่องที่อยู่ไกลตัว ยากนักที่จะไปเรียนรู้และเข้าถึงได้ เป็นธรรมชั้นสูงที่เหมาะสําหรับผู้ที่หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์แล้ว มากกว่า แต่ความเป็นจริงเรื่องของนิพพานนั้น คนบารมีระดับรากหญ้าอย่างเรา ๆ ท่าน ๆทั้งหลาย ก็ สามารถเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆของนิพพานและขั้นตอนในการปฏิบัติให้เข้าถึงหนทางที่จะนําพากายธรรม ของเราไปปรากฏบนแดนนิพานได้ ในขณะที่เรายังมีลมหายใจดํารงขันธ์ที่กายเนื้ออยู่ในมนุษยโลกนี้ ใน อดีตกาลผู้คนทั้งหลายได้แต่คิดเป็นแค่กระต่ายที่หมายจันทร์ อยากจะขึ้นไปอยู่ในนั้นใจจะขาด แต่ก็ทํา ได้แค่วาดภาพฝันสนองความปรารถนานั้นด้วยจิตนาการ เพราะเข้าใจดีว่าให้โหยหาแค่ไหนก็ไม่มีทาง จะเป็นไปได้ แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งมนุษย์เดินดินก็ไปเยือนถิ่นฝันถึงโลกพระจันทร์ที่หมายปองได้สําเร็จ “ ชะตาฟ้าหรือจะสู้มานะคน ” สิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้มันก็มักเกิดขึ้นได้เสมอด้วยกําลังแห่งความเพียร เรื่องของพระนิพพานก็ดุจเดียวกัน สมัยพุทธกาลนั้นผู้คนเขาเข้าใจเรื่องนี้กันดี เพราะมีพระพุทธองค์ ทรงช่วยชี้ทางสว่างให้ เป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัว แต่หลังจากพุทธปรินิพพานไปได้ 500 ปี เรื่องราวเหล่านี้ถูก มารดับหมดสิ้น แล้วเอาปิฎกของเขาครอบงําจิตใจสัตว์โลกให้มีดวงตามืดบอดมิให้เห็นธรรม ให้ห่างไกล จากหนทางนิพพานออกไปเรื่อย ๆ จนต่อกันไม่ติด แม้จะมีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกก็ตามที แต่ก็ใช่ว่าจะ หาผู้ที่จะชี้แนะแนวทางการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมชัดเจน ในหนทางที่จะไปสู่อายตนะนิพพานได้ไม่ ว่า นิพพานที่พระพุทธองค์กล่าวมีลักษณะอย่างไร , ตําแหน่งที่ตั้งอยู่ตรงไหนและวิธีการที่จะไปนั้นจะต้อง ทําอย่างไรบ้าง อีกทั้งความลับที่เป็นปริศนาดํามืดบนนิพพานที่พญามารทั้งหลายสั่งห้ามพระพุทธเจ้าที่ ตรัสรู้แล้วนับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน ว่าห้ามบอกเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด ทําให้มนุษย์ , ทิพย์ , พรหม , อรูปพรหม นั้นได้รับความรู้ที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนมาโดยตลอด จนกระทั่งองค์ต้นธาตุต้นธรรมส่ง หลวงพ่อวัดปากน้ําภาษีเจริญพระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร ) ลงมาเกิดเพื่อปราบมารโดยเฉพาะ ความลับของพระนิพพานและสรรพสิ่งทั้งหลายก็ได้ถูกคลี่คลายออกมาทีละอย่างสองอย่างสิ่งที่หลวงพ่อ ใช้ในการสืบค้นร่องรอยในเรื่องที่สงสัยแม้กระทั่งธรรมะขององค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ค้าง คาใจ ในหมวดธรรมต่าง ๆ ก็กระจ่างแจ้งจบสิ้นไปจนหมดนั้นก็คือ “ วิชชาธรรมกาย ” วิชชาอันบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าที่หลวงพ่อค้นพบในคืนวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ํา เดือน 6 ณ อุโบสถวัด
3
โบสถ์บน ต.บางคูเวียง จ. นนทบุรี เป็นมูลเหตุสําคัญที่ทําให้อวิชชาความไม่รู้ทั้งหลายต่าง ๆ ได้ถูกขจัด ออกไปเป็นจํานวนมาก ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติคือ การได้ตื่นขึ้นแล้ว จากความหลับใหลอันยาวนาน ในที่สุดมนุษย์ก็เป็นผู้ชนะอีกครั้ง และสามารถใช้วิชานี้เป็นประทีปนํา ทางสู่มรรคผลนิพพานต่อไปได้ ณ วันนี้ผู้ที่ฝึกฝนธรรมปฏิบัติในแนววิชชาธรรมกายของหลวงพ่อสด วัดปากน้ํา ได้เข้านิโรธไปปรากฏกายบนอายตนนิพพานกันเป็นว่าเล่น เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นได้อย่างน่า อัศจรรย์ในยุคปัจจุบันของเราและเรื่องราวต่างๆในหนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมเนื้อหาสาระเกี่ยวกับนิพพาน โดยตรงในแง่มุมต่าง ๆ อย่างหลากหลาย รวมถึงวิธีการปฏิบัติเพื่อให้ได้ไปท่องนิพพานกัน นอกจากนี้ ยังได้ไขปริศนาความลับบนพระนิพพานที่น้อยคนนักจะได้รู้ว่ามีอะไรบ้าง และที่พระพุทธองค์ได้ทรง ตรัสว่า “ นิพานํ ปรมํ สุขํ นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ” นั้นจริงหรือมีเหตุผลกลใดที่ทําให้พระองค์ต้อง ทรงกล่าวเช่นนั้น ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นมันสวนทางกันอย่างสิ้นเชิงกับพุทธวัจนะบทนี้ ที่สําคัญ อ่านแล้วอย่าเพิ่งเชื่อในทุกตัวอักษรที่นําเสนอใน “ ลับเฉพาะนิพพาน ” เล่มนี้ จนกว่าคุณจะได้ปฏิบัติ ธรรมและเข้าถึงธรรมกาย อีกทั้งสามารถเดินวิชาเข้านิโรธไปสัมผัสดู และรู้เห็นได้ด้วยตัวคุณเอง บรรพชา บุณยรัตพันธุ์
สารบัญ
4
ความหมายของคําว่า “นิพพาน” หลวงปู่ชั้ว โอภาโส กล่าวถึงเรื่องนิพพาน “ นิพพาน ” ในคําสอนของหลวงพ่อสดวัดปากน้ํา ลับเฉพาะนิพพาน - เรื่องของนิพพาน - การเดินวิชาเพื่อให้ไปสุดนิพพาน - บนนิพพานนั้นมีมารเต็มอัตรา - ไปสุดนิพพานแล้วจึงจะมีงานทํา - พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ใหม่ - ธาตุธรรม 3 ฝ่าย - การยึดอํานาจปกครองในธาตุในธรรม - การรบเพื่อเอกราช - พระพุทธเจ้าของเรา...มารเขาเอาไปซ่อนไว้ - พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ใหม่หมด - ดับตัวละครที่หลวงพ่อวัดปากน้ําต้องการ - พระพุทธองค์นิพพานกายธรรมมีกายมนุษย์ - งานสร้างอายตนะนิพพาน / ภพรูปพรหม /ภพพรหม / ภพทิพย์ -
5
6
ความหมายของนิพพาน ก่อนที่เราจะเข้าสู่เนื้อหาทีเ่ ป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งในแง่มุมของการปฏิบัติ เรามาทําความรู้จักกับคําว่า “นิพพาน” ว่าคืออะไร แล้วองค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสความหมายของคําว่า “นิพพาน” ไว้ว่าอย่างไรบ้าง ครับ ในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐเล่มที่ 25 ข้อที่ 158 ปฐมนิพพานสูตรพระพุทธองค์ได้ทรงตรัสถึงเรื่องของ นิพพานว่า “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอายตนะนั้นมีอยู่ดิน , น้ํา , ไฟ , ลม อากาสานัญจายตนะ , วิญญาณัญ
จายตนะ , อากิญจัญญายตนะ , เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ , โลกหน้า , พระจันทร์และพระ อาทิตย์ทั้งสองย่อมไม่มีในอายตนะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่าเป็นการมา , เป็นการไป , เป็นการตั้งอยู่ , เป็นการจุติ , เป็นการอุบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ , มิได้เป็นไป , หาอารมณ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ” ภาวะของนิพพาน “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่พระองค์ทรงเรียกอยู่ว่า ธรรมเป็นที่กําจัดราคะ, เป็นที่กําจัดโทสะ, เป็นที่กําจัดโมหะ ดังนี้ เป็นคําที่ใช้เรียกแทนชื่อของอะไรเล่า พระเจ้าข้า” ภิกษุทั้งหลาย คําว่า “ ธรรมเป็นที่กําจัดราคะ , เป็นที่กําจัดโทสะ, เป็นที่กําจัดโมหะ”นี้ เป็นคําที่ใช้เรียกแทนชื่อของนิพพานธาตุ เรียกว่าเป็นธรรมที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายแล”
นิพพานธาตุ 2 อย่าง พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสเกี่ยวกับเรื่องของพระนิพพานเอาไว้ว่า “ ภิกษุทั้งหลายนิพพานธาตุ 2 อย่างเหล่านี้ กล่าวคือ “ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ” ภิกษุทั้งหลายสอุปาทิเสสนิพพานธาตุเป็นไฉน ภิกษุ ทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นพระอรหันต์สิ้นอาสวะแล้ว , อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว,ทํากิจที่ควรทําเสร็จแล้ว, ปลง ภาระได้แล้ว, บรรลุประโยชน์ตนแล้ว,มีสังโยชน์เครื่องผูกมัดไว้กับภพหมดสิ้นไปแล้ว , หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้ชอบ อินทรีย์ 5 ของเธอยังดํารงอยู่เทียว เพราะอินทรีย์ทั้งหลายยังไม่เสียหาย เธอย่อมได้เสวยอารมณ์ทั้งที่พอใจและไม่ พอใจ ย่อมเสวยทั้งสุขและทุกข์ อันใดเป็นความสิ้นราคะ, ความสิ้นโทสะ,ความสิ้นโมหะของเธอ อันนี้เรียกว่า “ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ”
7
ระดับบุคคลผู้บรรลุนิพพาน พระอริยบุคคล พระโสดาบัน
พระสกทาคามี
พระอนาคามี
พระอรหันต์
สิกขาที่บําเพ็ญ ศีลสมบูรณ์ สมาธิพอประมาณ ปัญญาพอประมาณ
สังโยชน์ที่ละได้ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
ศีลสมบูรณ์
ราคะเบาบาง
สมาธิพอประมาณ ปัญญาพอประมาณ ศีลสมบูรณ์ สมาธิสมบูรณ์ ปัญญาพอประมาณ ศีลสมบูรณ์ สมาธิสมบูรณ์ ปัญญาสมบูรณ์
โทสะเบาบาง โมหะเบาบาง กามราคะ ปฏิฆะ
นิวรณ์ที่ละได้ วิจิกิจฉา
กามฉันทะ เบาบาง พยาบาท เบาบาง
กามฉันทะ พยาบาท กุกกุจจะ รูปราคะ อรูปราคะ ถีนมิธะ มานะ อุทธัจจะ อุทธัจจะ อวิชชา
*** จากหนังสือวิมุตติธรรม ของ ท่านปิยทัสสี ภิกขุ นี่คือความหมายในแง่มุมต่าง ๆ ของคําว่า “ นิพพาน ” ที่เราค้นหาและศึกษาได้จากพระไตรปิฎก และพุทธวัจนะ ขององค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงกล่าวอ้างถึงเรื่องของนิพพานไว้ แต่หากมองมาอีกด้านหนึ่งในแง่ ของการปฏิบัติหรือวิปัสสนาธุระตามสายวิชชาธรรมกายของหลวงพ่อสดวัดปากน้ําที่มีผู้บรรลุและเข้าถึงได้นําพากาย ธรรมของตนไปปรากฏบนอายตนะนิพพานกลับพบเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นปริศนาดํามืด และเป็นเงื่อนงําที่ถูกซ่อน เร้นที่พญามารเขาปกปิดมานาน มันช่างแตกต่างและตรงกันข้ามกับสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ในพระไตรปิฎก อะไร เป็นมูลเหตุสําคัญที่พระพุทธองค์ไม่ทรงบอกเราถึงเรื่องของพระนิพพานได้โดยตรง แต่ทรงกลับบอกเรื่องของ นิพพานแบบอ้อม ๆ ในหนังสือเล่มนี้มีคําตอบเอาไว้ให้สําหรับคุณผู้อ่านทุกท่านที่ต้องถือว่ามีวาสนาบารมีธรรมอัน ยอดเยี่ยม มิเช่นนั้นก็มิอาจมารับรู้เรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้ได้ ผู้ที่จะไขความลับและตอบโจทก์ข้อนี้ให้กับพวกเราได้ก็ คือ หลวงปู่ชั้ว โอภาโส ที่ท่านได้เขียนเรื่อง “ ธรรม 3 ฝ่าย ” เอาไว้ ซึ่งมีอยู่ตอนหนึ่งท่านได้กล่าวถึงเรื่องของ พระพุทธเจ้ากับนิพพานเอาไว้อย่างนี้ครับว่า
8
หลวงปู่ชั้ว โอภาโส กล่าวถึงเรื่องนิพพาน “ นิ พพาน , ภพสาม , โลกันต์มีอยู่ในกายมนุษย์ กายทั้งหมดทุกภพมีขันธ์ 5 ทั้งนั้น แม้ชั้นอรูปพรหมก็มีขันธ์ 5 เหมือนกัน ต่างแต่ขันธ์ 5 ของชั้นนี้ละเอียดยิ่งนัก ส่วนนรกก็ดี สัตว์โลกันต์ก็ดีล้วนแต่มีขันธ์ 5 ทั้งนั้น แม้พระ นิพพานก็มีขันธ์ 5 แต่ว่าขันธ์ 5 ของพระนิพพานนั้นท่านเรียกต่างออกไปอย่างนี้ คือ 1.ขันธโลกในกายพระนิพพานนั้นเรียกว่า “ ธรรมขันธ์ ” แทนขันธ์ 5 2.สัตว์โลกในกายพระนิพพานนั้นท่านเรียกว่า “ อริยสัจ ” แทนเรียกว่าสัตว์โลก 3.อากาศโลกในกายพระนิพพานนั้นท่านเรียกว่า “ ธรรมธาตุ ” แทนอากาศธาตุ คือ ธาตุ 6 นั่นเอง เป็นอากาศ ธาตุ แต่ละเอียดสุขุมเย็นสนิทยิ่งนัก นิพพานในศูนย์กําเนิดกลางกายมนุษย์เข้าไปเรียกว่า “ นิพพานเป็น ” หรือ “ สอุปาทิเสสนิพพาน ” อยู่ในกายมนุษย์ ส่วนนิพพานที่อยู่ข้างบนเหนือภพสามขึ้นไป 3 เท่าของภพสามนั้นเป็นที่ เสด็จอยู่ของพระพุทธเจ้า , พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ขีณาสพทั้งหลายที่นิพพานไปแล้วนั้นท่านเรียกว่า “ อายตนนิพพาน ” หรือ “ อนุปาทิเสสนิพพาน ” เป็นนิพพานที่มีศูนย์ตรงกันกับศูนย์นิพพานเป็นหรือที่เรียกว่า “ สอุปาทิเสสนิพพาน ” ที่อยู่ในกายมนุษย์ เมื่อธาตุธรรมเดินฌานสมาบัติตกสูญนิพพานเป็นแล้วก็เป็นอันเข้าสู่ศูนย์ อายตนนิพพานด้วย อายตนนิพพานเบื้องบนนั้นก็ดึงดูดธาตุธรรมขึ้นไปสู่อายตนนิพพาน ไม่ผิดอะไรกับกายทิพย์ เมื่อจะตั้งปฏิสนธิในครรภ์มารดา ถ้าตกสูญแล้วศูนย์กําเนิดเดิมซึ่งตั้งอยู่ขั้วมดลูกของมารดาก็ดึงดูดกายทิพย์เข้าไป ตั้งอยู่กลางกําเนิดมดลูก ฉะนั้นก็เหมือนกับอนุปาทิเสสนิพพานที่อยู่เหนือขอบภพสามขึ้นไป 3 เท่า นั้นดึงดูดสอุปาทิ เสสนิพพานที่อยู่ในกายมนุษย์ขึ้นไปติดอยู่ในอายตนนิพพาน เพราะมีอายตนะด้วยกัน สอุปาทิเสสนิพพานก็มี อายตนะ , อนุปาทิเสสนิพพานก็มีอายตนะ เมื่อธาตุธรรมเดินสมาบัติตกสูญตรงกันเข้าก็ดึงดูดเข้าไปติดกันเหมือน อายตนะในตากับอายตนะในรูป เมื่อตกสูญตรงกันเข้าก็ดึงดูดเข้าไปหากัน ฉะนั้นแต่ส่วนนิพพานที่ท่านกล่าวไว้ใน พระบาลีนั้นทําไมเหมือนกับปิด ๆ บัง ๆ อมอําอยู่ชอบกล ข้าพเจ้า ( พระครูวินัยธร หลวงปู่ชั้ว ) ได้คัดลอกมาจากคํา แปลแต่ไม่ได้เขียนตัวบาลีไว้ด้วย เพราะข้าพเจ้าแปลไม่เป็นจึงเอาแต่คําแปลมาลงไว้เท่านั้นท่านกล่าวไว้ 3 ข้อ คือ 1. กล่าวว่า “ ภิกษุทั้งหลาย ! อายตนะนั้นมีอยู่ , ที่ดิน , น้ํา , ลม , ไฟ ไม่มีแล , อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญ จายตนะ , อากิญจัญญายตนะ , เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็มิใช่ , โลกนี้ก็มิใช่ , โลกอื่นก็มิใช่ , ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ ทั้ง 2 ก็มิใช่ , อนึ่งภิกษุทั้งหลาย ! เราไม่กล่าวเลยซึ่งอายตนะนั้นว่าเป็นการมา , เป็นการไป , เป็นการตั้งอยู่ , เป็นการ จุติ , เป็นการเกิด อายตนะนั้นหาที่ตั้งมิได้มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้นั่นแล ที่สุดแห่งทุกข์ ” นี่จะเอาความอย่างไร ท่าน(พระพุทธองค์)ไม่ได้เอาของในนิพพานมากล่าวเลย ในนิพพานมีกล่าวแต่อายตนะเท่านั้น ท่านกล่าวก็ไม่ผิด เพราะดิน, น้ํา, ลม ไฟไม่มีในนิพพาน , อากาสานัญจายตนะ , วิญญาณัญจายตนะ , อากิญจัญญายตนะ , เนวสัญญา
9
นาสัญญายตนะ ก็ไม่มีในนิพพาน มีอยู่แต่ในอรูปภพเท่านั้น , โลกนี้ , โลกอื่นก็ไม่มีในนิพพานมีอยู่แต่ในมนุษย์โลก , เทวโลก , พรหมโลก , มารโลก , ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ ทั้ง 2 ก็ไม่มีในนิพพาน มีอยู่แต่สําหรับโลกมนุษย์เท่านั้น ของ ที่กล่าวไว้นี้ไม่มีในนิพพานเลยแล้วใครจะรู้ว่านิพพานอยู่ไหน 2. นั้นได้กล่าวว่า “ ธรรมนี้เป็นสภาพลึกเห็นได้ยาก , ตรัสรู้ได้ยาก เป็นธรรมสงบ , ประณีต , คิดเดาไม่ได้ ละเอียดเป็นวิสัยที่บัณฑิตพึงรู้ ” นี่ก็เทียบ ๆ นิพพานไปแล้ว แต่ถ้าคนไม่รู้เรื่องในนิพพานก็เอาความไม่ได้เลย 3. นั้นได้กล่าวว่า “ ธรรมชาตินั้นสงบแล้ว , ธรรมชาตินั้นประณีต ธรรมชาติใดเล่าเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นตัณหา , เป็นที่สิ้นราคะ , เป็นที่ดับ คือนิพพาน ” นี่ท่านกล่าแค่เพียงธรรมชาติใน นิพพานเท่านั้น แต่ตําแหน่งที่อยู่ของนิพพานท่านไม่กล่าวว่าอยู่ที่ไหนจึงเอาความได้ยาก ครั้นจะว่าให้มากไป ข้าพเจ้าก็กลัวว่าเป็นการตู่พระพุทธวัจนะ เพราะเป็นของในบาลี ข้าพเจ้าก็กลัวบาปอยู่เหมือนกัน แต่ส่วนในนิพพาน อย่างที่พวกเรามีธรรมกายไปพบไปเห็นมานั้น ล้วนแต่สมบัติวิเศษเป็นแก้วทั้งนั้น กายพระพุทธเจ้าเองก็ใสเป็นแก้ว แล้วสิ่งอื่น ๆ ก็ล้วนแก้ววิเศษทั้งนั้นเช่น แก้วจุลจักรพรรดิ , แก้วมหาจักรพรรดิ , แก้วบรมจักรพรรดิที่มนุษย์ผู้มีบุญ วาสนาได้มาใช้กันนั้นก็ต้องส่งมาจากนิพพาน หรือ แก้วทิพยจุลจักรพรรดิ , แก้วทิพยมหาจักรพรรดิ , แก้วทิพยบรม จักรพรรดิที่พวกเทวดา , พรหม , ที่มีบุญวาสนายิ่งใหญ่ใช้กันก็ล้วนแต่ส่งมาจากนิพพานทั้งนั้นยังแก้วพุทธจุล จักรพรรดิ , แก้วพุทธมหาจักรพรรดิ , แก้วพุทธบรมจักรพรรดิ ที่ใช้กันอยู่ในนิพพานนั้น แต่ละอย่าง ๆ มีมากมาย นับอสงไขยไม่ถ้วน ล้วนแต่เป็นแก้วกายสิทธิ์วิเศษทั้งนั้น ทําไมท่านจึงไม่กล่าวไว้ในบาลี แต่ว่าเมื่อพระพุทธเจ้ายัง ทรงพระชนม์อยู่นั้นคงจะตรัสเทศนาไว้หมดทุกอย่าง แต่ในคัมภีร์เก่า ๆ มีกล่าวอยู่บ้างเช่นที่ว่า “ เป็นพระอรหัตตัด กิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน เข้าถึงเมืองแก้วกล่าวแล้วคือนิพพาน ” เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีกล่าวถึงนิพพาน หมดเข้าไป เสื่อม เข้าไปอย่างที่เห็น ๆ เดี๋ยวนี้พระศาสนาก็ล่วงเลยมา 2 พันกว่าปีแล้ว น่ากลัวพระพุทธวัจนะจะคลาดเคลื่อน และตก หล่นจนไม่มีใครรู้เรื่องนิพพานเสียเลย ลงเห็นว่านิพพานไม่มีแล้ว ภาคดําเขาก็คอยสอดญาณละเอียดเข้าในเห็นจําคิด รู้ของพวกอรรถกถาจารย์ ให้แต่งแก้พระพุทธวัจนะให้เลอะเลือนคลาดเคลื่อนอยู่เสมอ เพราะนิพพานเป็นจุดสําคัญ พระพุทธเจ้าพระอรหันต์จึงปรารถนามุ่งหมายนัก ภาคดําเข้าก็หวงแหนปิดบังอย่างสุดฤทธิ์ เพราะว่าถ้าสัตว์ยังเวียน ว่ายอยู่ในภพสามตราบใดภาคดําเขาก็ต้มเล่นอย่างสนุก ถ้าถึงนิพพานเสียแล้วมันก็ไม่กลัวกัน ฉะนั้นเขาจึงขัดขวาง จนสุดฤทธิ์แล้วในนิพพานนั้นเป็นที่สุโขมโหฬาร จนไม่มีส่วนเปรียบยังพวกจักรพรรดิที่คอยดูแลปฏิบัติพระพุทธเจ้า อยู่ในนิพพานนั้นก็ล้วนแต่กายใสเป็นแก้วทั้งนั้น และไม่ใช่แต่จะดูแลในนิพพานเท่านั้น ถึงแม้ในภพสามเรานี้พวก จักรพรรดิและพระพุทธเจ้าก็ต้องคอยดูแลส่งเสียอยู่ไม่ขาดเหมือนกัน ที่ส่งความบริบูรณ์มาหล่อเลี้ยงหมู่สัตว์ของ พระพุทธเจ้าในนิพพานนั้นยิ่งกว่าบิดามารดาที่มีต่อบุตร ธรรมดาบิดามารดานั้นถึงบุตรจะชั่วร้ายไม่รู้จักบุญคุณ อย่างไรก็ยังรักอยู่เสมอ แต่พระพุทธเจ้าทรงคุณยิ่งกว่านั้นความกรุณาต่อสัตว์ไม่เลือกหน้า ถึงสาวกในพระศาสนาจะ
10
ชั่วช้าไม่รู้จักพระคุณเหมือนอย่างพระเทวทัตก็ดี ก็ยังกรุณาต่อเสมอ ฉะนั้นพระคุณพระพุทธเจ้าจึงมีมากสุดจะ พรรณนา ที่ท่านกล่าวไว้ในคัมภีร์เก่า ๆ ว่าเปรียบเหมือนบุรุษที่มีฤทธิ์เนรมิตศีรษะได้พันศีรษะ ๆ ละร้อยปาก มีปาก ละร้อยลิ้น แล้จะพรรณนาคุณพระพุทธเจ้าอยู่จนตลอดกัลป์ก็ยังไม่สิ้นสุดพระคุณของพระพุทธเจ้า แต่ภาคดํา ตรงกันข้าม นั่นมีพระเดชถึงบุรุษผู้มีพันศีรษะ ๆ ละร้อยปาก ปากละร้อยลิ้นจะพรรณนาพระเดชมารไปตลอดกัลป์ก็ ไม่สิ้นสุดโทษของเขาได้เหมือนกัน พระพุทธเจ้าภาคดํานี้ล้วนแต่เป็นพญามัจจุราชทุกองค์ มีแต่จะให้ทุกข์โทษแก่ สัตว์ฝ่ายเดียว ทุกข์ของสัตว์ที่มีร้อยแปดประการนั้นเป็นธรรมของภาคดําฝ่ายเดียว ฉะนั้นถึงจะพรรณนาโทษของ เขาสักกี่กัลป์ก็ไม่สิ้นสุด การที่พระพุทธเจ้าภาคขาวส่งความบริบูรณ์มาหล่อเลี้ยงหมู่สัตว์หรือพระเณรในศาสนานั้น ให้สังเกตดูวัดใดวันหนึ่ง ถ้าพระเณรปฏิบัติเคร่งครัดต่อธรรมวินัย วัดนั้นต้องบริบูรณ์ด้วยลาภสักการะ ชื่อเสียงโด่ง ดังตัวอย่างเช่นวัดปากน้ําภาษีเจริญเป็นต้น หลวงพ่อวัดปากน้ําพระมงคลเทพมุนี ท่านเอาแต่ธรรมวินัยอย่างเดียว อย่างอื่นผิดธรรมวินัยท่านไม่เอา ส่วนตัวท่านเองสิกขาบท 227 ไม่มีขาดตกบกพร่อง แล้วยังไม่ประมาท แสดงอาบัติ ทุกเช้ามืดเป็นนิตย์แล้วแนะนําสั่งสอนภิกษุสามเณรให้ประพฤติปฏิบัติชอบทุกวันไม่มีเว้นเลย จึงบริบูรณ์ไม่ขาด แคลน พระเป็นร้อย ๆ สามเณรเป็นร้อย ๆ อุบาสกอุบาสิกาเป็นร้อยก็ไม่อดอยาก แต่บางครั้งก็มีบกพร่องบ้างเป็นที่ พระเณรต่างวัดไปอาศัยอยู่ นิสัยหยาบติดไปจากวัดเดิม ประพฤติบกพร่องเป็นธรรมของฝ่ายดํา ฝ่ายดําเขาส่งชั่วมา ขัดขวางได้บ้างแต่ก็ขัดขวางไม่ได้มากนัก เพราะพระเณรที่เคร่งครัดก็มีมากเหมือนกันจึงขัดขวางไม่ถนัด ถ้าพระ เณรทําตามหลวงพ่อสอนทุกองค์แล้วอย่าว่าแต่วัดปากน้ําวัดเดียวเลย ถึงวัดอื่นสักกี่สิบวัดก็เลี้ยงได้จริง ๆ พระพุทธเจ้า ภาคดําน่ะฤทธิ์เดชไม่ใช่พอดีพอร้าย ล้วนแต่เป็นมัจจุราชที่ผลาญชีวิตสัตว์ทั้งนั้น แล้วปิดบังอําพรางเรื่องของตัวนัก ไม่อยากให้ใครรู้เรื่องของเขาทีเดียว ดูแต่มนุษย์ที่ทําชั่วไม่อยากให้ใครรู้เรื่องเหมือนกันเพราะเรื่องมันชั่ว พระพุทธเจ้า ภาคดําก็ต้องปิดเรื่องชั่วของตัวเหมือนกัน แล้วจะหาใครต้านทานฤทธิ์มันยากนัก ไม่มีกลัวไม่มีเกรงผู้ใดเลย พระพุทธเจ้าภาคขาวที่ดับขันธ์ปรินิพพานไป เหมือนอย่างพระสมณโคดมแล้วสักกี่โกฏิกี่ล้านหรือสักกี่อสงไขยก็สู้ ไม่ได้เลยสักองค์เดียว เพราะพุทธเจ้าภาคขาวที่ดับขันธ์ถอดเอาธรรมกายเข้านิพพานไปนั้นเหมือนอย่างกุ้งหรือปูที่ ลอกคราบ ก้ามและกระดองอ่อน ๆ อย่างนั้นจะไปทําอะไรใครได้ ไม่เหมือนพระพุทธเจ้าชั้นก่อน ๆ ที่เข้านิพพานทั้ง กายมนุษย์เป็น ๆ ไปนั้น แต่อย่างนั้นก็ยังเต็มรับเต็มสู้เหมือนอย่างพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น ท่าน ก็คิดจะเข้านิพพานทั้งเป็น ๆ เหมือนกัน แต่สู้เขาไม่ได้ก็ต้องดับขันธ์นิพพาน เมื่อพระองค์สําเร็จพระสัมมาสัมโพธิ ญาณใหม่ ๆ เสด็จไปประทับที่ใต้ควงไม้อชปาลนิโครธ พระยามารนิมนต์จะให้นิพพานเสียทีเดียว พระองค์ได้ตรัส แก่มารว่า ถ้าบริษัททั้ง 4 คือ ภิกษุ , ภิกษุณี , อุบาสก , อุบาสิกา ยังไม่บริสุทธิ์แพร่หลายดีแล้วจะยังไม่นิพพาน มาร ได้ฟังดังนั้นก็หลีกไป ในพระบาลีกล่าวไว้แต่เพียงแค่นี้ เมื่อพระยามารหลีกไปแล้วพระพุทธเจ้าภาคมารก็มาเอง ตอนนี้ท่านทั้งหลายอย่าเพิ่งเชื่อ เพราะพระบาลีไม่กล่าวไว้เป็นแต่ผู้ที่มีธรรมกายไปพบปะเข้า ท่านต้องทําให้มีให้เป็น อย่างที่บอกหนทางไว้ข้างต้นนั้น เมื่อเห็นแล้วไปดูเอาเองแล้วจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจท่านเถอะ
เมื่อพระพุทธเจ้า
ภาคมารมานั้นพระกายดําเป็นนิลใสเป็นแก้วโผล่ขึ้นตรงหน้าพระสมณโคดมแล้วถามว่า “ เมื่อท่านยังไม่เข้านิพพาน
11
แล้วท่านจะรบกับเราหรือจะโปรดสัตว์ ? ” พระพุทธเจ้าเพิ่งจะได้สําเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณใหม่ ๆ ยังไม่ทันจะรู้ เรื่องราวอะไรนักก็ต้องเข้านิโรธสมาบัติไป 7 วัน ขึ้นไปทูลถามพระพุทธเจ้าที่ในนิพพานแก่ ๆ ขึ้นไป จนถึง พระพุทธเจ้าที่เข้านิพพานทั้งกายมนุษย์ว่าเราจะรบดีหรือจะโปรดสัตว์ดี พระพุทธเจ้าในนิพพานแก่ ๆ นั้นก็บอกว่า “ โปรดสัตว์เถิด จะรบนั้นสู้เขาไม่ได้ เพราะบารมีท่านน้อยกว่าเขา ” แล้วก็ให้นัยมาว่าให้ตั้งกติกากับเขาข้อเดียว พระพุทธเจ้า ( พระสมณโคดม ) ก็ออกจากนิโรธสมาบัติแล้วก็บอกว่า “ เราจะโปรดสัตว์ ” ภาคดําเขาก็ตั้งกติกาให้4 ข้อคือ ข้อ1.ท่านอย่าไปแตะต้องโครงการของเขาที่เขาทําให้ทุกข์แก่สัตว์ไว้แล้วอย่าไปพูด ข้อ2.ท่านต้องห้ามสาวกอย่าให้แผลงฤทธิ์เดชจนไปแตะต้องโครงการของเขา ข้อ3. ท่านจะเทศนาโปรดสัตว์ต้องเทศนาโทษว่าเป็น “ กรรม ” ของสัตว์อย่าโทษว่าเขา “ พระพุทธเจ้าภาคดํา ” เป็น ผู้กระทํา ข้อ 4 . เมื่ออายุท่านครบ 80 ปี ท่านต้องนิพพาน ถ้ารับกติกาได้อย่างนี้ก็จะไม่รุกรานกัน พระพุทธเจ้าภาคขาว ( พระสมณโคดม ) ก็ตั้งกติกาไว้ข้อเดียวว่า “ ศาสนาของเราไม่มีกําหนด มรรคผลยังมีอยู่ตราบใดศาสนาก็ตั้งอยู่ตราบ นั้น ” ( นี้ตรงกับพระมหาสมณเจ้า ฯ ค้นที่มาของศักราชไม่พบจึงบอกแต่ล่วงเท่านั้น ) เมื่อปฏิญาณว่าจะไม่รุกราน กันแล้วพระพุทธเจ้าพระสมณโคดมก็เที่ยวโปรดสัตว์ไป ครั้งพระศาสนาแพร่หลายมีพระสาวกมากเข้า ภาคดําก็เล่น ลูกไม้สอดละเอียดเข้าในเห็นจําคิดรู้ของพระสาวกให้ทําชั่วขึ้นอย่างเช่นว่า พระสุทินให้เสพเมถุนธรรมขึ้น , พระธนิ ยะทําอทินนาทาน , พระที่แม่น้ําวัดคุมุทาทํามนุสสวิคคหะบ้าง อวดอุตริมนุสธรรมบ้าง เป็นให้ทําปาราชิก 4 แล้วก็ สอดละเอียดเข้าให้ทําสังฆาทิเสส 13 , อนิตย 2 , นิสสัคคิยปาจิตตีย์ 30 , ปาจิตตีย์ 92 , ปาฏิเทสนีย 4 , เสขิยวัตร 75 , อธิกรณสมถะ 7 , จนหมด 227 สิกขาบท พระพุทธเจ้าก็ต้องตามบทบัญญัติสิกขาบทจนหมดสิ้น ศาสนาใดถ้า พระพุทธเจ้าบัญญัติสิกขาบทมากการได้มรรคผลก็น้อย ถ้าสิกขาบทบัญญัติน้อยมรรคผลก็ได้กันมาก ในศาสนาพระ สมณโคดมนี้ภาคดําเขาสอดละเอียดเข้ามาให้บัญญัติสิกขาบทจนพระสาวกพลิกตัวแทบจะไม่ไหวแล้วเขาก็ตั้งกฎของ เขาขึ้น ผู้ที่ประพฤติดีไม่เป็นอาบัติเป็นสาวกของพระสมณโคดม ผู้ที่ประพฤติชั่วเป็นอาบัติเป็นสาวกของเขาหมด เมื่อเขาเอาเข้าอย่างนี้พระพุทธเจ้าก็ต้องนิ่ง ครั้นจะพูดเรื่องเขาเข้าก็จะเสียสัจที่ตั้งกติกาต่อกันไว้ว่าจะไม่พูดเรื่องของ เขา ธรรมดาพระพุทธเจ้าฝ่ายขาวเมื่อตรัสสิ่งใดไปแล้วก็จะไม่คืนคายสัจวาจา ครั้งจะต่อว่าเขาคือภาคดําเขาก็ว่า ความไม่ซื่อสัตย์คดโกงเป็นธรรมของเขา ซึ่งเขาก็จะต้องปฏิบัติตามธรรมดําของเขา ครั้นจะปะทะกันขึ้นก็จะไม่มี เวลาโปรดสัตว์ เพราะจะต้องนิ่งอยู่แต่ในนิโรธสมาบัติไม่มีเวลาออก แล้วกําปั้นก็เล็กกว่าเขา เพราะบารมีของ พระองค์ก็เพียง 4 อสงไขยแสนมหากัปเท่านั้น ของเขาตั้งร้อยอสงไขยพันอสงไขยถึงจะปะทะกันขึ้นก็สู้เขาไม่ได้ กําลังบารมีของเขามากกว่า ก็เหมือนกับไทยเรากับประเทศนอกสมัยราชาธิปไตยเขตแดนก็มากแต่กําปั้นเล็กกว่าเขาก็ ต้องปล่อยให้เป็นเขตแดนของผู้อื่น จะสร้างปืนขึ้นสักกระบอกเขาก็ถามเอาว่า “ จะรบกับฉันหรือ ? ” จะสร้างเรือขึ้น สักลําเขาก็ถามว่า “ จะสร้างไว้รบกับฉันหรือ ? ” ไทยก็ต้องทนเอา เพราะกําปั้นเล็กกว่าเขาน่าเจ็บใจน้อยไปเมื่อไหร่
12
พระพุทธเจ้าสมณโคดมกับภาคดําก็แบบนั้น ถ้าใครไปรู้เรื่องจริงของเขาเข้าแล้วน่าสงสารนัก ภาคดําเขาจะกลั่น แกล้งอย่างไรก็ต้องทนเอาแต่พอโปรดสัตว์ให้หลุดพ้นไปได้เท่านั้น แม้แต่พูดว่ามารชนะพระเขายังไม่ชอบ ต้องพูด ว่าพระชนะมาร เขาจึงจะทําการลงโทษสัตว์ได้สะดวก พระพุทธเจ้าสมณโคดมก็ต้องทนเอาต่อเมื่อพระชนมายุย่าง 80 ปีก็เริ่มให้โอกาสแก่พระอานนท์ ( เพราะคิดว่าจะเข้านิพพานทั้งเป็นเหมือนกัน ) ว่าตถาคตนั้นถ้าอาศัยเจริญอิทธิ บาททั้ง 4 แล้วจะให้มีอายุยืนถึงกัปหรือกว่ากัปก็ได้ แต่เพียรให้นิมิตโอกาสแก่พระอานนท์อยู่ถึง 16 ตําบล ๆ ละ 3 ครั้ง จะให้พระอานนท์ทูลอาราธนาให้ดํารงชีวิตอยู่อีกต่อไป ภาคดําเขาก็คอยดลใจพระอานนท์ไม่ให้นึกขึ้นได้ พอ ครบ 16 ครั้งเท่าโสฬสกิจก็หมดโอกาสที่จะให้โอกาสต่อไป พระยามารก็เข้ามาเตือนให้นิพพานตามสัญญา นั่นถ้า พระอานนท์ทูลอาราธนาไว้ได้ภาคมารก็หมดโอกาส ที่นี้พระองค์จะได้เดินสมาบัติเชื่อมพระกายหมดทุกกายจนนับ อสงไขยไม่ถ้วนให้ติดกันเป็นกายเดียว ใสเป็นแก้วเข้านิพพานทั้งเป็นได้แล้วจะไปกลัวอะไร แต่ต้องดับขันธ์นิพพาน อย่างนั้น ถ้าเข้านิพพานได้ทั้งเป็นก็เลิศเท่านั้น ”
สรุปความรู้ของหลวงปู่ชั้ว โอภาโส 1.ความรู้ที่พระพุทธเจ้าจะพึงตรัสรู้ได้มากน้อยเพียงใดนั้นย่อมเป็นไปตามหลักสูตรที่มารบัญญัติคือ รู้ได้แต่ความรู้ ภาคโปรดสัตว์ ส่วนความรู้ภาคปราบอันเป็นความรู้สําคัญมารไม่อาจอนุญาตให้รู้ได้ เสียใจด้วยที่ให้รู้เห็นความรู้ อย่างนั้นไม่ได้มารเขาว่าอย่างนั้น 2.พอพระพุทธเจ้าทํางานตั้งศาสนา คือสอนมนุษย์โลกมารก็เข้ามาก้าวก่ายให้เกิดความแตกแยกเช่น สาวกของพระ พุทธองค์ประพฤติมิชอบประการต่าง ๆ พระพุทธองค์ก็ต้องบัญญัติวินัยห้าม ซึ่งวินัยนั้นบัญญัติไว้มาก จนพระสงฆ์ แทบกระดิกตัวไม่ได้ ไม่ว่าอะไรห้ามไปหมด นั้นคือมารหาเหตุสกัดมรรคผลนิพพานตลอดเวลา หากพระสงฆ์พลาด พลั้งทางวินัย มารก็อ้างว่าเป็นสาวกของมารแล้วดวงบารมีก็หลุดมือไปเป็นของมาร ส่งผลให้มรรคผลนิพพานเนิ่นช้า ไปอีกต้องไปตั้งต้นสร้างบารมีกันใหม่ไม่รู้จบ 3. พระพุทธเจ้าของเราตั้งแต่อดีต สู้มารไม่ได้ด้วยมีบารมีน้อยกว่ามารทั้งนั้น นี่คือเรื่องเด่นประเด็นลับที่หลวงปู่ชั้ว โอภาโส ( ผู้ เป็นศิษย์ทใี่ กล้ชิดหลวงพ่อสดวัดปากน้ํา ) ได้รจนาเอาไว้ครับ ท่านเป็นพระสุปฏิปันโนองค์หนึ่งซึ่งปรารถนาพุทธภูมิ เผยแพร่ธรรมปฏิบัติตามแนววิชชาธรรมกาย
ในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ท่านได้เป็นกําลังสําคัญในการ
โดยเฉพาะเรื่องธรรมสามฝ่ายที่มีอยู่ตอนหนึ่งได้กล่าวถึงเรื่องของ
พระพุทธเจ้ากับนิพพานที่เราท่านทั้งหลายได้อ่านจบไปเมื่อสักครู่นี้ ก็มีผลทําให้พวกเราตาสว่างใจกระจ่างแจ้ง ลบ ความมืดบอดแห่งปัญญาที่พญามารเขาปิดบังเรามาตลอดได้ในระดับหนึ่งครับ ส่วนเรื่องต่อไปเรามาไขปริศนาเรื่อง ของนิพพานกันต่อครับ
13
“ นิพพาน ” ในคําสอนของหลวงพ่อสดวัดปากน้ํา หลวงพ่อวัดปากน้ําท่านได้แสดงพระธรรมเทศนาเรื่องโอวาทปาโมกข์ มีใจความตอนหนึ่งที่ท่านได้กล่าวถึงเรื่อง ของนิพพานเอาไว้ นับว่าทรงคุณค่าและน่าสนใจทีเดียวครับ คือท่านได้ระบุความหมายของนิพพานเอาไว้ได้อย่าง ชัดเจนและชี้ตําแหน่งของนิพพานให้เราได้รู้กันอีกด้วยนะครับว่า ตั้งอยู่ตรงไหน ท่านกล่าวเอาไว้ได้ละเอียดมาก เรา มารับรู้เรื่องนี้กันครับ “ อะไรเป็นมรรค , อะไรเป็นผล , อะไรเป็นนิพพาน ,
มรรคผลนิพพาน , กายธรรมอย่าง
หยาบ, กายธรรมโคตรภู , โสดา ,สกทาคา ,อนาคา , อรหัตอย่างหยาบ นั่นแหละเป็นตัวมรรค , กายธรรมอย่าง ละเอียด , โสดาอย่างละเอียด , สกทาคาอย่างละเอียด , อนาคาอย่างละเอียด , อรหัตอย่างละเอียด , นั่นแหละเป็นตัว ผล นั่นแหละมรรคนั่นแหละผล แล้วนิพพานล่ะ ธรรมที่ทําให้เป็นกายโคตรภู , โสดา , สกทาคา , อนาคา , อรหัต พอ ถึงธรรมที่ทําให้เป็นพระอรหัตก็ถึงนิพพานกัน นิพพานอยู่อย่างนี้ ถ้าไม่มีธรรมที่ทําให้เป็นพระอรหัตก็ไปนิพพาน ไม่ได้ ธรรมที่ทําให้เป็นพระอรหัตเป็นวิราคธาตุวิราคธรรม ตัวนิพานเป็นวิราคธาตุวิราคธรรมเขาก็ดึงดูดกันพอถูก ส่วนเข้า เขาก็ดึงดูดกันรั้งกันไปเอง อตฺถิ ภิกฺขเว ตทายตนํ นิพพานเป็นอายตนะอันหนึ่ง เมื่อหมดกิเลสแล้ว นิพพานก็ดึงดูดไปนิพพานเท่านั้น ให้รู้หลักจริงอันนี้ก็เอาตัวรอดได้ ” อีกตอนหนึ่งหลวงพ่อได้กล่าวไว้ในพระธรรม เทศนาเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2497 ว่า “ ( ถาม ) นิพพานอยู่อย่างไรกันอยู่ที่ไหน เขาว่านิพพานอยู่ในใจ
คําว่า
นิพพานนะ นิขนฺตํ นิพฺพานํ ใจของเราออกจากกิเลสเครื่องร้อยได้ เป็นตัวนิพพาน นี่นิพพานไม่อยู่กับใจเสียแล้ว ใจออกจากกิเลสเครื่องร้อยรัดไป ตัวใจที่ออกจากกิเลสเครื่องร้อยรัดนั่นหรือคือตัวนิพพาน กิเลสเข้าไปเย็บร้อยอยู่นั่น หลุดออกเสียจากกิเลสขาดออกไปเสียจากกิเลส นั่นหรือเป็นตัวนิพพาน นั่นเป็นตัวออกจากกิเลสเครื่องร้อยรัด เมื่อ ออกจากกิเลสเครื่องร้อยรัดแล้วจึงไปสู่นิพพานอีกครั้ง นิพพานแยกออกเป็น 2 คือ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ
และอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ สอุปาทิเสสนิพพาน เหมือนพระพุทธเจ้าได้สําเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แต่ว่าขันธปัจก ( ขันธ์ 5 อันได้แก่ ร่างกาย , กายเนื้อ ) ยังปรากฏอยู่ สั่งสอนเวไนยสัตว์อยู่ 45 ปี ในระหว่างนั้นเป็นสอุปาทิเสสนิพพานธาตุทั้งนั้นเป็น สอุปาทิเสสนิพพาน
ส่วนอนุปาทิเสสนิพพาน เมื่อพระพุทธเจ้าครบ 80 พรรษาแล้วที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน
เมื่อพระพุทธเจ้าถึงอายตนะนิพพานนั่นแล้ว อยู่ในนิพพานแล้ว ขณะใดขณะนั้นเรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน
อายตนะนิพพานนั้นเมื่อธรรมกายของพระพุทธเจ้ายังไม่ได้เข้าไปมีอยู่ไหมล่ะ ? มีอยู่ เรียกว่า “ อายตนะ นิพพาน ” บาลีบริหารตํารับตําราไว้ว่า อตฺถิ ภิกฺขเว ตทายตนํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นิพพานเป็น อายตนะมีอยู่ พระพุทธเจ้ายังไม่ได้เข้านิพพาน , พระอรหันต์ยังไม่ได้เข้านิพพาน ก็เป็นอายตนะคอยรองรับอยู่ เหมือนอย่างกับตาของเรามีอยู่ยังไม่เห็นรูป รูปมันยังมาไม่ถึง ตายังมาไม่ถึงรูป รูปยังไม่มาถึงตาก็ไม่เห็นกัน ( แต่ ) ก็มีอายตนะอยู่แล้ว อายตนะของหู เสียงมันยังไม่มาถึงก็ไม่ได้ยินกัน พอเสียงมาถึงก็ได้ยินกัน เสียง , กลิ่น , รส ,
14
โผฏฐัพพะ , ธรรมารมณ์ มีอายตนะเครื่องรับทั้งนั้น นี่เป็นอายตนะของโลก
อายตนะนิพพานเป็นของละเอียด
ละเอียดทีเดียว นิพพานนั่นแหล่ะได้ชื่อว่าเป็นอายตนะหนึ่งเรียกว่า “ นิพพาน ” เฉย ๆ ไม่เรียกว่า “ พระนิพพาน ” ธรรมกายของพระสิทธัตถะราชกุมารเข้าไปอยู่ในนิพพานนั้นเรียกว่า “ นิพพาน” เฉย ๆไม่เรียกว่า “ พระนิพพาน ” ธรรมกายนั้นเรียกว่า “ พระนิพพาน ” แต่ว่านิพพานที่ยังเป็นเครื่องรองรับนั้นเรียกว่า “ อายตนะนิพพาน ” หรือ เรียกว่า “ นิพพาน ” เฉยๆพระนิพพานคือพระเข้านิพพานให้รู้จักหลักอย่างนี้นะ”
นอกจากหลวงพ่อจะได้
อธิบายถึง “ นิพพาน ” และ “ พระนิพพาน ” ให้ได้เข้าใจแล้วนะครับ ท่านยังชี้หนทางไปนิพพานให้อีกว่า ถ้า ปรารถนาไปนิพพานแล้วก็สามารถทําได้ หลวงพ่อวัดปากน้ําท่านได้กล่าวไว้ในพระธรรมเทศนาเรื่อง “ หลักจาก เจริญสมถวิปัสสนากัมมัฏฐาน ” ว่า “ ถ้าจะไปสู่มรรคผลนิพพานต้องเข้ากลางดวงนั้นแห่งเดียวไปได้ทาง
เดียวทางอื่นไม่มี เมื่อเข้ากลางดวงศูนย์นี้ได้แล้วเรียกว่า “ ดวงปฐมมรรค ” ( ดวงธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ) นัยหนึ่ง อีกนัยหนึ่งดวงนั้นแหละเรียกว่า “ เอกายนมรรค ” แปลว่าหนทางเอกไม่มีโท แปลว่าหนทางหนึ่ง สอง ไม่มีหนึ่งทีเดียว เป็นทางไปของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหมดในสากลโลกสากลธรรม พระพุทธเจ้า,พระ อรหันต์จะเข้าไปสู่นิพพานต้องไปทางนี้ทางเดียว ไม่มีทางแตกแยกจากกัน ไปแนวเดียวทางเดียวกันหมด แต่ว่าการ ไปนั้นบางท่านเร็ว , บางท่านช้าไม่เหมือนกัน คําว่าไม่เหมือนกันนี้แหละถึงจะได้ชื่อว่า ไม่ซ้ํากัน คําว่าไม่ซ้ํากันเพราะ เร็วกว่ากันช้ากว่ากัน แล้วแต่นิสัยวาสนาของตนที่สั่งสมอบรมไว้ แต่ว่าทางไปนั้นเป็นทางเดียวกันหมดเป็น เอกาย นมรรค หนทางเส้นเดียวเมื่อจะไปต้องหยุด” และอีกตอนหนึ่งครับในพระธรรมเทศนาเรื่อง “ โอวาทปาติโมกข์ ” แสดงไว้เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2497 หลวงพ่อกล่าวว่า “ ด้วยความอดทน , ด้วยความหยุด , ด้วยความอดใจ นั่น แหละจึงเข้านิพพานได้ ถ้าไม่มีความอดทน , ไม่มีความหยุด , ไม่มีความนิ่ง อย่างหนึ่งอย่างใดแล้วเข้านิพพานไม่ได้ นิพฺพานํ ปรมํ วทัญติ พุทธา พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพานว่าเยี่ยม , อายตนะนิพพานก็เยี่ยม , พระที่เข้าไป ในนิพพานก็เยี่ยม เยี่ยมทั้งสอง เยี่ยมจริง ๆ ด้วย นิพพานอยู่ที่ไหนล่ะ นับจากภพสามที่เราอยู่นี้ ( ชั้นมนุษย์ ) สูงขึ้น ไปจากมนุษย์นี่ 42,000 โยชน์ ( 1 โยชน์ = 16 กิโลเมตร ) ถึงชั้นจาตุมหาราช สูงขึ้นไปอีก 42,000 โยชน์ถึงชั้น ดาวดึงส์อีก 42,000 โยชน์ถึงชั้นยามาสูงขึ้นไป สูงเข้าไปอีก 42,000 โยชน์ถึงชั้นดุสิต อีก 42,000 โยชน์ถึงชั้น นิมมานรดี อีก 42,000 โยชน์ถึง ชั้นนิมมานิสวัตตี จนถึงชั้นพรหม 5,508,300 โยชน์ แต่ละชั้นมีระยะทางเท่ากัน จนครบ 16 ชั้น และครบ 4 ชั้นของอรูปพรหมในชั้นสุดท้ายด้วยซึ่งถือเป็นชั้นบนสุดที่นับขึ้นไป ในมนุษย์โลกนี้นับ ต่ํากว่าลงไปจนถึงขอบอเวจีข้างล่าง ซึ่งถือว่าเป็นชั้นต่ําสุดแห่งการนับระยะทาง เอาเนวสัญญานาสัญญายตนะขอบ ภพข้างบนสูงเท่าไรกว้างเท่าไรก็ระยะเท่าไรนี่เขาเรียกว่า “ ภพสาม ” พอรู้จักภพสามเข้านี้แล้วคราวนี้เราจะไป นิพพานกันละ ไปนิพพานต้องสูงกว่านั้นนิพพานก็เท่า ๆ กับภพสามนี่แหละไม่โตกว่าภพสามเท่ากันจะไปนิพพาน ล่ะ ต้องเอาเชือกเส้นหนึ่งผูกเข้ากับขอบภพข้างบนนู้น ชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะนั่นนะ แล้วก็ปล่อยเชือกลง มาถึงอเวจีขอบภพข้างล่างนู้น แล้วก็เกี่ยวภพข้างล่างผูกไว้ทบกันมาอีกเที่ยวหนึ่งถึงขอบภพข้างบน แล้วก็ปล่อยลง
15
มาอีกเที่ยวหนึ่งถึงขอบภพข้างล่าง ( อเวจี ) อีกจะไปนิพพานล่ะนะ จับปลายเชือกนั้นเข้ายืดขึ้นไป ๆ จนกระทั่งสุด เชือก 3 เท่าของภพสามนั่นแหละถึงขอบล่างของนิพพานพอดีเชียวที่เรียกว่า
“ นิพพาน ” มี2 อย่างนะคือ
อายตนะนิพพานอย่างหนึ่ง , แล้วก็พระนิพพานอย่างหนึ่ง ให้รู้จักอย่างนี้ถ้าไม่รู้จักเลอะเทอะกัน เอาล่ะ เถียงกันป่นปี้ อายตนะนิพพานน่ะคือ ที่อยู่ของพระพุทธเจ้าท่าน อายตนะเขาแปลว่าดึงดูดหรือบ่อเกิด บ่อ เกิดของตาดึงดูดรูป ,บ่อเกิดของหูดึงดูดเสียง , บ่อเกิดของจมูกดึงดูดกลิ่น , บ่อเกิดของลิ้นดึงดูดรส ,บ่อเกิดของกาย ดึงดูดสัมผัส , บ่อเกิดของใจดึงดูดธรรมารมณ์ มันดึงดูดกันอย่างนี้ อายตนะภพสามมันดึงดูดเหมือนกัน กามภพ ดึงดูดพวกติดในกาม , รูปภพดึงดูดพวกติดรูป ติดรูปก็ต้องไปอยู่ในชั้นนั้น , อรูปภพดึงดูดพวกติดอรูป ไปติดก็ไปอยู่ ในชั้นนั้น ส่วน อายตนะนิพพานเป็นอายตนะหนึ่งที่ดึงดูดพระนิพพาน ถ้าว่าใครทําปฏิบัติหมดกิเลสเข้า เป็นมนุษย์ไปนิพพานไม่ได้มีกิเลส , เป็นกายทิพย์ไปไม่ได้มีกิเลส , เป็นกายทิพย์ละเอียด , รูปพรหมละเอียด , อรูป พรหมละเอียดไปไม่ได้ นี่ติดอยู่ในกาม ถ้าเป็นกายรูปพรหมทั้ง 16 ก็ไปไม่ได้ , อรูปพรหมทั้ง 4 ก็ไปไม่ได้ยังติดอยู่ ในอรูปฌาน ต้องหลุดหมดพอหลุดหมดแล้วก็ไปนิพพาน ไปนิพพานมีธรรมกายหน้าตัก 20 วา สูง 20 วา เกตุดอก บัวตูมใสยิ่งกว่ากระจกคันฉ่องส่องเงาหน้า พอแตกกายทําลายขันธ์กาย 17 เหล่านี้หมดถึงกายธรรมพระอรหัต ละเอียดไปนิพพาน ไปนิพพานทั้งทีจะไปกันยังไงมันจะยากง่ายอะไร มนุษย์ยังยากกว่ากายหนักไปนิพพานนะนึก อยู่แก่ใจก็แล้วกัน ใจเราคิดเอาสิพอนึกไปนิพพานก็ถึงแล้ว ไปง่ายอย่างนี้นี่นะ นั่นแหล่ะนิพพานสูงแค่นั้น สูงแค่นั้น ก็เท่ากันกับภพสาม เท่ากันนั้นเรียกว่า “ อายตนะนิพพาน ” สําหรับดึงดูดพระนิพพาน กายธรรมที่หน้าตัก 20 วา สูง 20 วา เกตุดอกบัวตูมไปนิพพานนั้นไปนิพพานทีเดียว พวกเรานี้ทั้งหมดต้องไปนิพพานเหมือนกันหมด แต่ว่า ต่างจะช้าจะเร็วเท่านั้นไม่เหลือเลยสักคนเดียว ที่แก่ ๆ ก็ไปนิพพานหมด ปฏิบัติถูกส่วนนะถ้าไม่ถูกส่วนไม่ไป เหมือนกัน แต่ว่านาน ๆ หนัก ๆ เข้ามันก็ไปมันไม่พ้นหรอกต้องไปนิพพานทั้งหมดนั่นแหล่ะ ไม่หลงเหลือทีเดียว แต่ จะพูดว่าไปนิพพานทั้งหมดน่ะดู ๆ มันจะเหลือวิสัยไอ้คนเกเรเกเสถ้ามันล่ะไปไม่ได้ ชาติหนึ่งมันเกเรเกเสชาติหนึ่ง มันลามก ไอ้ชาติต่อ ๆ ไป มันจะดีขึ้นบ้างสิ มันก็คงมีบุญบ้างสิ ชาติใดชาติหนึ่งถ้ามีบุญมันก็ไปได้ อย่างพวกเรานี่ แหละเป็นกษัตริย์มานับชาติไม่ถ้วนแล้ว , ก็มีคนหนึ่ง ๆ เป็นบ่าวเป็นทาสเขานับไม่ถ้วน , ก็มีคนหนึ่ง ๆ เกเรนับหน ไม่ถ้วนก็มีเหมือนกัน แต่ว่าลงท้ายมันก็ปนเปกันไปอย่างนี้เพราะอะไรล่ะ เพราะเหตุฉะนี้แล ไม่เยี่ยม ภพเหล่านี้ไม่ เยี่ยมอยู่ไม่ตลอด พอไปถึงนิพพานแล้วไม่เกิด , ไม่แก่ , ไม่เจ็บ , ไม่ตาย เป็นอย่างใดก็เป็นอย่างนั้นสวยหนัก , งาม หนัก , สะอาดหนัก หนักขึ้นไปคงที่ทีเดียวเมื่อคงที่เช่นนี้แหละท่านถึงได้ว่า นิพฺพานํ ปรมํ วทัญติ พุทธา พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวนิพพานว่าเป็นเยี่ยม , อายตนะนิพพานก็เป็นเยี่ยม , พระนิพพานที่เข้าไปในนิพพานก็ เยี่ยม เยี่ยมทั้งสอง ท่านถึงรับรองว่า ปรมํ วทัญติ พุทธา พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่าเยี่ยม....เยี่ยมจริงๆด้วย” นี่ คือคําสอนของหลวงพ่อสดวัดปากน้ําภาษีเจริญ ที่ท่านได้กล่าวถึงเรื่องของนิพพานเอาไว้ได้อย่างละเอียดมากครับ และถ้าหากใครได้ฝึกใจให้หยุดอยู่ที่ศูนย์กลางกายเข้าถึงดวงปฐมมรรคเป็นเบื้องต้นแล้วไปทางกลางดวงปฐมมรรค
16
เข้าถึงดวงศีล , สมาธิ , ปัญญา, วิมุตติ , วิมุตติญาณทัสสนะ จนเข้าถึงกายในกายเป็นลําดับไปจนถึงธรรมกาย ถึง ธรรมกายแล้วก็ไปนิพพานได้ หลวงพ่อท่านได้ชี้หนทางไปนิพพานอย่างชัดแจ้งแล้วว่าต้องไปทางกลาง, กลางดวง , กลางกายที่เข้าไปถึงเรื่อย ๆ ด้วยวิธีการ “ หยุด ” หลวงพ่อวัดปากน้ําท่านเป็นผู้หงายของที่คว่ํา เปิดของที่ปิด บอก ทางแก่ผู้หลงทาง และส่องประทีปในที่มืดให้บุคคลผู้มีนัยน์ตาดีได้เห็น ฉะนั้นอายตนะมีอยู่ , ทางไปนิพพานก็มีอยู่, พระนิพพานคือพระธรรมกายก็มีอยู่ครับ แต่เป็นเหมือนของที่คว่ําไว้ปิดไว้ไม่ให้ชาวโลกได้รู้ได้เห็น หลวงพ่อท่าน หงายอายตนะนิพพานที่ถูกคว่ําไว้ เปิดอายตนะนิพพานที่ถูกปิดไว้ให้ชาวโลกได้เห็น โดยบอกอย่างตรง ๆ ครับว่า นิพพานนั้นมีอยู่จริง และยังได้บอกหนทางไปนิพพานอย่างชัดเจนว่าต้องไปทางกลาง , กลางดวง , กลางกาย ด้วย วิธีการ “ หยุด ” เท่านั้นครับ
ภาคความรู้สําคัญ ส่วนคําว่า “นิพพาน” ในหนังสือชื่อแนวเดินวิชชา หลักสูตรคู่มือสมภารของหลวงพ่อวัดปากน้ํา โดยอาจารย์การุณย์ บุญมานุช นั้นได้กล่าวถึงเรื่องของนิพพานไว้ว่า “ นิพพานเป็นอายตนะหนึ่งซึ่งแตกต่างออกไปจากโลกายตนะและ อายตนะทั้ง 6 ทั้ง 12 นั้น เป็นอายตนะที่สูงกว่าวิเศษกว่าและประณีตกว่าอายตนะอื่น แต่ทําหน้าที่ในลักษณะที่ คล้ายคลึงกันคือ โลกายตนะทําหน้าที่ดึงดูดสัตว์โลกที่ยังมีความผูกพันกันอยู่กับโลกไว้ไม่ให้พ้นไปจากโลกได้ ส่วน อายตนะคือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทําหน้าที่ดึงดูดรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ตามหน้าที่ของตน และใน ทํานองเดียวกันอายตนะนิพพานก็มีหน้าที่ดึงดูดพระพุทธเจ้า , พระอรหันต์เข้าไปสู่อายตนะของตน สถานอันเป็นที่ ประทับของพระพุทธเจ้าเรียกว่า “ อายตนะนิพพาน ” ส่วนพระพุทธเจ้าที่ประทับอยู่ในอายตนะนิพพานนั้นเรียกว่า “ พระนิพพาน” อายตนะนิพพานมีลักษณะกลมรอบตัวขาวใสบริสุทธิ์จนกระทั่งมีรัศมีปรากฏ ขนาดของอายตนะ นิพพานนั้นวัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ราว 141 ล้าน 3 แสน 3 หมื่น ( 141,330,000 ) โยชน์ ขอบของอายตนะนิพพาน หนาด้านละ 15,120,000 โยชน์ รวมขอบของทั้ง 2 ด้านเป็น 30,240,000 โยชน์ ในนิพพานเป็นสถานที่โอ่โถง ปราศจากสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น สว่างไสวไปด้วยรัศมีธรรมอันโชติช่วงปราศจากความสว่างไสวจากรัศมีอื่นใด แต่เป็น ธรรมรังษีที่เกิดจากความใสบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสและอวิชชาทั้งปวงนั่นเอง ในปาฏลิคามิวัคคอุทานกล่าวได้ว่า “ อตฺถิ ภิกฺขเว ตทายตนํ ฯลฯ ” ภิกษุทั้งหลายอายตนะนั้นมีอยู่ที่ดิน น้ํา ไฟ ลมไม่มีเลย อากาสานัญจายตนะ , วิญญาณัญจายตนะ , อากิญจัญญายตนะ , เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็มิใช่ โลกนี้ก็มิใช่โลกอื่นก็มิใช่ดวงจันทร์ดวง อาทิตย์ทั้งสองก็มิใช่ อนึ่งภิกษุทั้งหลายเราไม่กล่าวเลยซึ่งอายตนะนั้นว่าเป็นการมา , เป็นการไป, เป็นการยืน , เป็น การจุติ , เป็นการเกิด อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยไม่ได้ มิได้เป็นไปหาอารมณ์มิได้นั่นแลที่สุดแห่งทุกข์ อายตนะใน ที่นี้ก็หมายถึง “ อายตนะนิพพาน ” ดังได้กล่าวแล้วว่าอายตนะนิพพานนั้นต่างหากออกไปจากอายตนะพวกอื่น อายตนะนิพพานนี้มีอยู่สูงขึ้นไปจากภพ 3 เลยออกไปจากขอบเนวสัญญานาสัญญาอายตนะภพ พ้นออกไปจากวิถี ภพนี้ตรงขึ้นไปทีเดียว จะคํานวณระยะทางก็เห็นว่าหาประมาณมิได้ทีเดียว ไม่ได้มีอยู่ในดิน น้ํา ไฟ ลม และดิน น้ํา
17
ไฟ ลม ก็ไม่มีอยู่ในนิพพาน ในอรูปภพทั้ง 4 ก็ไม่ใช่ แม้นิพพานก็มิได้มีลักษณะของอรูปภพทั้ง 4 นี้เลยในโลกนี้โลก อื่นก็มิใช่ เพราะเหตุที่อายตนะนิพพานพ้นไปจากโลกจากภพคือ กามภพ , รูปภพและอรูปภพเหล่านี้สิ้นแล้ว นิพพานก็มิใช่สิ่งเหล่านี้ แม้ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ก็เป็นสิ่งที่อยู่ในภพนี้นิพพานจึงมิใช่สิ่งทั้งสอง และที่สุดสิ่งทั้งสอง นี้ก็มิได้มีอยู่ในนิพพานเลย อนึ่งอายตนะนิพพานก็ไม่มีการไป , การมา , การยืน , การจุติหรือการเกิดแต่ประการใด ประการหนึ่งซึ่งแสดงว่า ไม่สามารถจะติดต่อกันได้โดยอาการปกติแม้ที่สุดกําลังอรูปฌานก็ไม่อาจไปถึงได้ เพราะว่า นิพพานจัดเป็นสูงสุดเกินกําลังของผู้ที่อยู่ในภพจะไปถึงได้ และอายตนะนี้ก็หาที่ตั้งอาศัยมิได้ไม่มีวัตถุหรืออารมณ์ ชนิดใดเป็นที่ตั้งเป็นที่อาศัยทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้เองเป็นเครื่องยืนยันว่าอายตนะนิพพานนั้นมีจริง และไม่เกี่ยวข้องอยู่ใน ภพเลย พ้นออกไปต่างหากทีเดียว อนึ่งนิพพาน 3 คือ กิเลสนิพพาน 1 , ขันธนิพพาน 1 , ธาตุนิพพาน 1 มี ความหมายดังนี้คือ เมื่อวันเพ็ญวิสาขมาส ( กลางเดือน 6 ) ก่อนพุทธศก 45 ปี พระสิทธัตถกุมารทรงบําเพ็ญเพียร ทางใจตัดกิเลสได้ขาดจากใจสิ้น บรรลุถึงซึ่งพระโพธิญาณ ณ ภายใต้ควงไม้ศรีมหาโพธิ์ครั้งนั้น กิเลสอาสวะทั้งปวง ประเคยประคอยกีดกันพระองค์ให้ทรงเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะสงสารมานับจํานวนหลายหมื่นหลายแสนชาติเป็นอัน มากนั้นไม่อาจจะกลับมาสู่พระองค์ได้อีก ความสิ้นไปแห่งกิเลสอาสวะอันเป็นเครื่องเสียดแทงพระองค์ตลอดมานั้น เรียกว่า “ กิเลสนิพพาน ” ความแตกทําลายแห่งขันธ์ของพระองค์ซึ่งแม้ในชาติใด ๆ ก็ตามขันธ์ในภพ 3 นี้ก็จะต้อง สวมพระองค์ตลอดมา ความแตกทําลายแห่งขันธ์ในชาติที่สุดนี้ขันธ์เหล่านี้ก็มิอาจจะสวมพระองค์ได้ และพระองค์ก็ มิกลับมาสวมขันธ์เหล่านี้อีกต่อไป
เพราะพระองค์ทรงพ้นไปจากขันธ์เหล่านี้แล้วความแตกทําลายขันธ์นี้เรียกว่า
“ ขันธนิพพาน ” พระพุทธเจ้าองค์ที่สุดนี้คือพระสมณโคดม ปัจจุบันพระบรมธาตุของพระองค์ยังคงอยู่ไม่สูญสิ้น ไปก็ยังไม่เรียกว่าธาตุนิพพาน ต่อเมื่อใดเสร็จพุทธกิจของพระองค์ที่จะต้องทําในภพนี้แล้ว ขณะนั้นพระบรมธาตุ ของพระองค์ก็จะสูญไปจากภพนึ้ ความสิ้นไปแห่งพระบรมธาตุนี้เรียกว่า “ ธาตุนิพพาน ” ส่วนนิพพานที่ท่าน จําแนกเป็น 2 ประเภทนั้นคือ สอุปาทิเสสนิพพาน 1 , อนุปาทิเสสนิพพาน 1 สําหรับพวกทําสมาธิปัจจุบันเรียกกันง่าย ๆ อีกแบบหนึ่งคือ นิพพานเป็นอันตรงกับสอุปาทิเสสนิพพาน และนิพพานตายอันตรงกับอนุปาทิเสสนิพพาน นิพพานที่เป็นสถานที่อยู่ของกายธรรมนั้นอยู่ในศูนย์กลางของกายธรรมนั้นเอง ที่กล่าวนี้หมายความถึงเวลาที่กาย มนุษย์ของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ยังมีชีวิตอยู่ ใช้กายธรรมเดินสมาบัติ 7 เที่ยว ตามแบบวิธีเดินสมาบัติที่เคยได้ กล่าวแล้วนั้น กายธรรมก็จะตกสูญเข้าสู่นิพพานในศูนย์กลางกายธรรมนั้นนิพพานนี้ชื่อว่านิพพานเป็น หรือสอุปาทิ เสสนิพพาน เพราะเห็นนิพพานที่อยู่ในศูนย์กลางกายธรรมที่ซ้อนอยู่ในกลางกายอรูปพรหม , กายรูปพรหม , กาย ทิพย์และกายมนุษย์เป็นลําดับเช่นนี้ ยังอยู่ในกลางกายที่ยังหมกมุ่นครองกิเลสอยู่ตามสภาพของกายนั้น ๆ ความ บริสุทธิ์ของนิพพานที่อยู่ท่ามกลางกิเลสเหล่านี้เองที่เรียกว่า “ สอุปาทิเสสนิพพาน ” สภาพของนิพพานนี้มีลักษณะ กลมรอบตัวในบริสุทธิ์ยิ่งนัก แต่ทว่านิพพานนี้เป็นนิพพานประจํากายของกายธรรม จึงมีพระนิพพานหรือ พระพุทธเจ้าประทับอยู่เพียงพระองค์เดียว ความจริงถ้าจะกล่าวตามส่วนและตามลักษณะตลอดจนที่ตั้งแล้วก็จะเห็น ว่านิพพานเป็นหรือสอุปาทิเสสนิพพานนี้เป็นที่เร้นอยู่โดยเฉพาะของกายธรรม ในเวลาที่ยังมีขันธ์ปรากฏอยู่
18
นอกจากนั้นสอุปาทิเสสนิพพานยังเป็นทางนําให้เข้าถึง “ อนุปาทิเสสนิพพาน ” หรือ “ นิพพานตาย ” อีกด้วย คือ เวลาที่ขันธ์ซึ่งรองกายธรรมอยู่นั้นจะสิ้นไปพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ย่อมจะต้องเดินสมาบัติทั้ง 8 และเข้าสู่สัญญา เวทยิตนิโรธสมาบัติ ขณะนี้เองเป็นเวลาที่กายธรรมเข้าสู่สอุปาทิเสสนิพพาน ทรงดับสัญญาและเวทนาสิ้นแล้วจึง เดินสมาบัติปฏิโลมอีก คราวนี้กายกายธรรมก็จะตกสูญเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานซึ่งมีลักษณะรูปพรรณสัณฐานและ ขนาดดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั่นเอง ส่วน “ พระนิพพาน ” นั้นคือกายธรรมที่ได้บรรลุอรหัตต์ผลแล้ว กายธรรมนี้มี กาย , หัวใจ , ดวงจิตต์และดวงวิญญาณ วัดตัดกลาง 20 วา เท่ากันทั้งสิ้น หน้าตักกว้าง 20 วา สูง 20 วา เกศดอก บัวตูมขาวใสบริสุทธิ์มีรัศมีปรากฏ พระนิพพานนี้ประทับอยู่ในอายตนะนิพพาน บางพระองค์ที่เป็นสัพพัญํูพุทธ เจ้าก็ทรงประทับอยู่ท่ามกลางพระอรหันต์สาวกบริวารเป็นจํานวนมาก บางพระองค์ที่เป็นปัจเจกพุทธเจ้ามิได้เคยสั่ง สอนหรือโปรดผู้ใดมาก่อนในสมัยที่ยังมีพระชนม์อยู่ องค์นั้นก็ประทับโดดเดี่ยวอยู่โดยลําพังหาสาวกบริวารมิได้ ส่วนรังสีที่ปรากฏก็เป็นเครื่องบอกให้รู้ถึงการสร้างบารมีของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์เหล่านั้น ว่ามากน้อยกว่ากัน เพียงไรแค่ไหน แต่ส่วนกว้างส่วนสูงและลักษณะของพระวรกายนั้นเสมอกันหมดมิได้มีเหลื่อมล้ํากว่ากันเลย พระ นิพพานนี้ทรงประทับเข้านิโรธสงบกันตลอดหมด เพราะความเข้านิโรธนี้เป็นความสุขอย่างยิ่ง และความที่อยู่ใน นิพพานมีกายอันยั่งยืนนี้เองท่านจึงได้กล่าวว่า “ นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ ”
ภพทั้ง 3 นี้เป็นภพที่สร้างขึ้นเพื่อแสดงเทียบลักษณะและสถานที่อยู่ของภพ 3 , นิพพานและโลกันต์ ( ในลักษณะผ่า ครึ่งเพื่อเห็นชัด เพราะความจริงต่างก็มีสัณฐานกลมรอบตัวและมีขอบนอกกลมรอบตัวเช่นเดียวกัน ) ภพ 3นี้เป็น
19
สถานที่อันดึงดูดสัตว์ที่เวียนว่ายทําความดีและชั่วในชั้นปานกลางดีที่สุดของภพ 3 ก็ถูกอายตนะของอรูปภพดึงดูดเอา ไป ชั่วที่สุดของภพ 3 ก็ถูกอายตนะของอเวจีดึงดูดเอาไป แต่ถ้าหากดีจนเกินความดีในอรูปภพเสียแล้วก็จะต้องถูก อายตนะนิพพานดึงดูดเอาไป เป็นอันว่าพ้นไปจากภพ 3 นี้ทีเดียว สูงขึ้นไปเหนือภพ 3 นี้หาประมาณมิได้พ้นการ ติดต่อกับภพ 3 นี้ด้วยประการทั้งปวง กลมรอบตัวและใสบริสุทธิ์ยิ่งนั่นแหละคือนิพพาน แต่ก็พึงเข้าใจว่าในนิพพาน หาที่ตั้งอาศัยมิได้ดังที่กล่าวมาแล้ว ฉะนั้นในนิพพานซึ่งหาพื้นที่และที่อาศัยมิได้นอกจากความว่างและสว่าง พระ นิพพานจึงประทับอยู่ในนิพพานได้ ด้วยความเบาความบริสุทธิ์ของพระวรกายประดุจดังปุยนุ่นในอากาศหาได้ เหมือนบุคคลอาศัยอยู่ในพื้นพิภพนี้ไม่ ปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากความสงสัยว่าเมื่อนิพพานมีสัณฐานกลมแล้วพระ นิพพานจะทรงประทับอยู่ได้อย่างไร จึงนับเป็นปัญหาอจินไตยคือปุถุชนไม่ควรคิด และเมื่อมีที่อยู่อาศัยของผู้ที่ทําดี มากที่สุดแล้ว พึงทราบว่าในภาวะที่ตรงกันข้ามกับความดีที่สุดซึ่งหมายถึงผู้ที่ทําชั่วที่สุดก็ต้องมีที่อาศัยเช่นเดียวกัน และอายตนะที่สําหรับดึงดูดผู้ที่ทําชั่วที่สุดก็เป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากนิพพานและภพ 3 นี้ต่ําลงไปจากภพ 3 พ้น ออกไปจากภพ 3 นี้ลงไปหาประมาณมิได้ พ้นจากการติดต่อจากภพ 3 นี้ด้วยประการทั้งปวง ลักษณะกลมรอบตัวจน ดําสนิทนั่นแหละคืออายตนะโลกันต์เป็นที่สถิตย์อยู่ของผู้ที่ทําความชั่วที่สุด ( หาได้อยู่ในระหว่างเขาจักรวาลตาม ความเข้าใจของบางท่านไม่ ) แต่ผู้ที่อยู่ในอายตนะโลกันต์นั้นขณะใดที่จิตใจสูงขึ้นคือความชั่วร้ายที่มีอยู่ในผู้นั้นจาง ลงไปจนพ้นจากภาวะของอายตนะโลกันต์แล้ว ผู้นั้นก็จะกลับมาสู่ภพนี้ได้อีกหรืออาจจะทําความดีจนกระทั่งสร้าง บารมีบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ได้ ที่กล่าวนี้หมายถึงผู้ที่อยู่ในโลกันต์นั้นจนนับกัปกัลป์ไม่ถ้วน แล้ว ในที่สุดของภาวะผู้นั้นก็กลับมาสู่ภพอีก แต่มิได้หมายถึงว่าในระหว่างที่มีภาวะอยู่ในโลกันต์นั้นจะอาจติดต่อกับภพ 3 นี้ได้โดยอาการปกติธรรมดาเช่นนั้นหามิได้ อนึ่งความสงสัยอาจเกิดขึ้นว่าไฉนทั้ง 3 ภพทั้งนิพพานและโลกันต์ จึงมี สัณฐานกลมเหมือนกันหมดทั้งนี้จะเทียบได้ว่า
ธรรมดาสิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยปราศจากบุคคลเสกสรรขึ้นแล้วเบื้องต้น
ทีเดียว สิ่งนั้นจะต้องมีสัณฐานกลมเช่น กะละละรูปหรือฟองไข่แดงของเป็ดหรือไก่เป็นต้น แม้ดวงอาทิตย์ดวง จันทร์ดวงดาว และภพตามที่คํานวณทางวิทยาศาสตร์ก็ปรากฏว่ามีสัณฐานกลมด้วยกันทั้งสิ้น ฉะนั้นภพ 3 นิพพาน และโลกันต์ที่กล่าวว่ามีสัณฐานกลม จึงนับว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่สุด ( ที่ได้กล่าวถึงภพ 3 และโลกันต์ในบทของ นิพพานเช่นนี้ก็เพื่อแก้ความข้องใจบางอย่างที่อาจเกิดขึ้นได้แต่สรุปแล้วทั้งเรื่องภพ 3 โลกันต์และแม้นิพพาน ที่กล่าว มาแล้วนี้ก็เป็นเพียงเรื่องย่อที่สุดสําหรับจะเป็นเครื่องนําให้ผู้ปฏิบัติธรรมได้เรียนและได้รู้พอเป็นเค้าไว้บ้าง แต่ความ จริงหากจะต้องการรู้ให้ละเอียดถี่ถ้วนแล้ว การปฏิบัติธรรมให้เป็นให้เห็นเองแล้ว ตรวจดูก็คงเห็นแจ่มชัดหมดข้อ กังขาใด ๆ ทั้งสิ้น หากจะอธิบายมากไปกว่านี้ก็เห็นว่าจะทําให้เลอะเลือนไป เพราะเรื่องของพระอริยะเจ้าย่อมเป็น เรื่องที่ละเอียดประณีต เหลือวิสัยปุถุชนที่จะทําตามทําความเข้าใจให้กระจ่างได้ตลอด )
20
ปรารภเรื่องนิพพาน , ภพ 3 , โลกันต์ เรื่องนิพพาน , ภพ 3 , โลกันต์ มีอย่างไรนั้น ท่านได้อ่านความรู้ของหลวงพ่อวัดปากน้ําแล้ว ข้าพเจ้าไม่สรุปและ ไม่เพิ่มเติมอะไร แต่ที่ข้าพเจ้าขอปรารภด้วยก็โดยเหตุที่ว่า ข้าพเจ้ามีหน้าที่ปราบมารตามที่หลวงพ่อวัดปากน้ํามอบ หน้าที่ให้ซึ่งข้าพเจ้าได้ทําวิชาปราบมารแล้วตั้งแต่ปีพ.ศ. 2527 จนถึงวันนี้คือวันที่ 13 ตุลาคม 2537 เป็นเวลา 10 ปี เศษแล้วที่ข้าพเจ้าได้รู้เห็นนิพพาน , ภพ 3 , โลกันต์ การทําวิชาปราบมารจะต้องเกี่ยวด้วยภพทั้ง 3 นี้ทุกวัน การเห็น นิพพาน , ภพ 3 , โลกันต์จะเห็นได้มากน้อยเห็นได้ละเอียดหรือเห็นได้หยาบนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การรู้และการเห็น นั้นข้าพเจ้าเห็นทุกวันได้สัมผัสทุกวัน ขอเรียนให้ท่านทราบไว้เป็นประการแรก เรื่องที่เราจะต้องคุยกันก็คือทั้ง นิพพาน , ภพ 3 , โลกันต์ ที่มารเขาสร้างขึ้นนั้นยังมีที่ละเอียดซึ่งเรายังไม่รู้ไม่เห็น แม้รู้และญาณทัสสนะของ ธรรมกายอันเลิศก็ยังไม่สิ้นสุดแห่งนิพพาน , ภพ 3 , โลกันต์ ที่มารเขาทําไว้ ขอเรียนให้ท่านทราบเป็นประการที่ 2 นิพพาน , ภพ 3 , โลกันต์ อย่างหยาบที่สุดคือนิพพาน , ภพ 3 , โลกันต์ ซึ่งหลวงพ่อวัดปากน้ําทําภาพแสดงและทํา คําอธิบายไว้นี้ ดังนั้นความรู้เรื่องนิพพาน , ภพ 3 , โลกันต์ที่ท่านกําลังเรียนอยู่นี้เป็นความรู้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ขอ เรียนให้ท่านทราบเป็นประการที่ 3 ในการศึกษาเบื้องต้นนี้ขอให้ท่านทราบแต่เพียงว่ามีภพ 3 ที่ใดก็ต้องมีนิพพาน และโลกันต์ที่นั่น เพราะภพ 3 เป็นที่เวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลก นิพพานเป็นที่อยู่ของผู้ที่พ้นจากการเวียนว่ายแล้ว ส่วนโลกันต์นั้นเป็นที่อยู่ของผู้ประกอบกรรมชั่วระดับสูง ประเด็นที่ว่าภพ 3 อยู่ตรงใด , นิพพานอยู่ตรงใด และโลกันต์อยู่ตรงใด เรื่องนี้เป็นความรู้ของพระอริยะเจ้าและเป็นความรู้ของผู้เป็นธรรมกายระดับแก่เกล้า เพราะไม่ มีศาสตร์ใด ๆ ในโลกจะไปเรียนรู้ได้เลย นิพพานเป็นที่อยู่ของผู้ได้มรรคผลนิพพาน พระเป็นผู้ทําภพ 3 เป็นที่อยู่ของ ผู้เวียนว่ายตายเกิด ในส่วนที่เป็นภพของทิพย์ , ภพของพรหม , ภพของอรูปพรหม พระเป็นผู้ทํา ในส่วนที่เป็น โลกันต์นั้นเป็นที่ทุกข์ร้อนมารเขาเป็นผู้นํา ใครทําความดีพระปกครองใครทําความชั่วมารปกครอง ภพ 3ในส่วน เกี่ยวด้วยมนุษย์ , อสุรกาย , เปรต , สัตว์นรกและอเวจี พระเกี่ยวข้องกับมนุษย์ หากมนุษย์ทํากรรมดีพระปกครอง แต่ มนุษย์ที่ทํากรรมชั่วมารปกครอง อสุรกาย , เปรต , สัตว์นรก , สัตว์อเวจีได้แก่การกระทําของมนุษย์ที่พระปกครองไม่ ไหวแล้ว เพราะไม่ทํากรรมดีแล้วมารเขาก็มารับเอาไป ผลการกระทําของเขาคือกรรมชั่ว ๆ นานานสุดท้ายไปเป็น อสุรกาย , เปรต , สัตว์นรก , สัตว์อเวจีและสัตว์โลกันต์ ดังนั้นนรกอเวจีและโลกันต์คือภพหนึ่งที่มารเขาทําไว้ทรมาน สัตว์โลก คนทําบาปมารเขาเอาไปทําโทษ เมื่อสัตว์โลกตกล่วงลงไปในนรก , อเวจี , โลกันต์ โอกาสจะมาเกิดเพื่อสร้าง บารมีแทบไม่มีเอาเสียเลยเขาจึงว่า “ แผ่นดินพูดไม่ได้ก็ไม่ได้เกิด ” ทําไมพระจึงไม่ทําโทษเสียเองให้มารเขาทําโทษ ทําไม นี่คือปัญหาซึ่งผู้คงแก่เรียนต้องคิด การปล่อยให้มารทําโทษสัตว์โลกนั้นเสียหายมากผู้คงแก่เรียนต้องคิด นรก , อเวจี และสัตว์โลกันต์คือเครื่องมือมาร มีใครคิดเรื่องนี้บ้างเพราะวิชาธรรมกายเท่านั้นที่ทําให้เราแจ้งเรื่องนี้ มีใคร นําเรื่องเหล่านี้มาพูดบ้างเคยได้ยินที่ไหนบ้างคําตอบก็คือไม่เคยและไม่เคย ดังนั้นคนทีพูดเรื่องนี้ก็คือข้าพเจ้าถาม ต่อไปว่าทําไมจึงกล่าวอย่างนั้นก็ทําวิชาปราบมารมากว่า 10 ปี ได้รู้ได้เห็นมาพอสมควรจึงพูดฝากไว้ เพราะวิชา
21
ปราบมารหรือวิชาละลายมารนั้นเมื่อเราดับมารได้จะเกิดความสว่างไปหมด เมื่อมีความสว่างเกิดขึ้นเราก็เห็น แม้เรา จะเห็นไม่เท่าหลวงพ่อแต่ก็พอฟังได้บ้าง หากท่านอยากรู้อยากทราบก็ต้องอ่านหนังสือปราบมารที่ข้าพเจ้าเขียน
นิพพาน , ภพ 3 , โลกันต์สมัยพระพุทธองค์กับสมัยของเราต่างกันหรือไม่ หากเปรียบนิพพาน , ภพ 3 , โลกันต์เป็นวัตถุเราก็ตอบว่าสมัยนั้นกับสมัยนี้ไม่เหมือนกันแน่ แล้วในอดีตเป็น อย่างไรเล่าและในปัจจุบันเป็นอย่างไรเล่า ตอบว่าในอดีตคือสมัยพุทธกาลนิพพาน , ภพ 3 , โลกันต์ เป็นไปตาม ความรู้ที่พระพุทธองค์ทรงกล่าว แต่ในปัจจุบันอาจเปลี่ยนไปบ้างเพราะอะไรจึงเปลี่ยน ก็เพราะมีการปราบมาร เกิดขึ้น ซึ่งการปราบมารนั้นเป็นการทําลายนิพพาน , ภพ 3 , โลกันต์ ของมารให้หมดไปและทําลายกาย , ใจ , จิต , วิญญาณ ของมารให้แตกดับไป ที่ใดเคยมืดที่นั่นจะสว่าง ที่ใดเคยมัยที่นั่นจะสว่าง หลักของการปราบมารมีอยู่อย่าง นี้ ผู้ที่ทําให้สัตว์โลกเดือนร้อนคือมารคือกิเลสตัณหา คือทุกข์และสมุทัย สิ่งเหล่านี้มีนิพพาน , ภพ 3 , โลกันต์เป็นที่ อยู่อาศัย มีหน้าตาเป็นกายมนุษย์อย่างเราก็มีเป็นพระพุทธรูปดํา ๆ ก็มี , เป็นพระพุทธรูปสีตะกั่วก็มี , เป็นดวงดําก็มี , เป็นจุดดําก็มี , เป็นความมืดก็มีสารพัดที่จะกล่าว เมื่อเดินวิชาละเอียดจะเห็นเป็นว่างมืด , เป็นว่างมัว , เป็นว่างขุ่น เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น การที่เห็นอย่างนั้นก็เพราะมารเขาพิสดารกายเป็นว่างเพื่อไม่ให้เห็นตัวตน เขาพิสดารนิพพาน , ภพ 3 , โลกันต์ เป็นว่าง พูดอย่างวิชาธรรมกายก็ว่าเขาล้มกาย , เขาล้มเหตุ , เข้าล้มนิพพาน , ภพ 3 , โลกันต์ เขาล้ม อะไรสิ่งนั้นจะเป็นว่างทั้งหมดหรือเรียกว่าล้มธาตุล้มธรรม ล้มอะไรสิ่งนั้นจะเป็นว่างเขาล้มก็เพื่อไม่ให้เราเห็นตัวตน ของเขาไม่เห็นนิพพาน , ภพ 3 , โลกันต์ของเขา เมื่อมารเขาทําอย่างนี้เราจะรบกับเขาอย่างไร เมื่อเขาล้มมาเราก็ล้ม ไปเอาว่างกับว่างมารบกัน จนกว่าจะรู้แพ้รู้ชนะกัน หลวงพ่อท่านว่าชนะมารเมื่อไรโลกก็เป็นสุขเมื่อนั้น ที่กล่าวมานี้ เป็นความรู้เบื้องต้นจะให้ดีก็ต้องเรียนวิชาธรรมกายชั้นสูง เรียนชั้นสูงไม่ได้ก็รบไม่ได้เป็นวิชาอ่อน ๆ ก็รบไม่ได้ต้อง เป็นระดับแก่กล้าจึงจะรบได้ ตามที่บรรยายมานี้เพื่อแสดงให้เห็นว่านิพพาน , ภพ 3 , โลกันต์อาจเปลี่ยนแปลงไปได้ จะทราบว่าเปลี่ยนแปลงอย่างไรเรื่องนี้ต้องเรียนจะมาพูดกันเล่น ๆ ไม่ได้ อยากจะกล่าวอะไรให้มากกว่านี้แต่เกรงว่า จะเกินบทเรียนเอาไว้พูดกันให้ละเอียดในหนังสือปราบมารจะดีกว่า
สรุปความรู้ตามหนังสือคู่มือสมภารของหลวงพ่อวัดปากน้ํา เป็นความรู้กสิณแทบทั้งนั้นเป็นความรู้เมื่อปีพ.ศ. 2492 เดี๋ยวนี้ความรู้ดังกล่าวพัฒนาไปมากแล้ว ส่วนที่ว่ามีอะไร พัฒนาไปบ้างเรื่องนี้ท่านต้องไปเรียนกับท่านผู้รู้เรื่องนี้ท่านคอยฟังเอาเอง ในส่วนตัวของข้าพเจ้ายินดีต้อนรับหาก ใครเก่งวิชาธรรมกายแล้วข้าพเจ้าไม่ปฏิเสธเลย เพราะทุกวันนี้ทําวิชาปราบมารไม่มีความรู้ใดสูงไปกว่าวิชาปราบมาร อีกแล้ว ขอภาวนาให้ท่านมีความสําเร็จในวิชาธรรมกายทุกท่าน
22
สรุปข้อแนะนําสําหรับการบอกวิชาเข้านิพพาน การบอกวิชาเข้านิพพานไม่ยากจําหลักไว้ว่า อายตนะนิพพานทําหน้าที่ดูดผู้เป็นธรรมกายให้เข้านิพพานประหนึ่ง แม่เหล็กดูดเหล็ก เมื่อเราบอกวิชาให้ผู้เป็นธรรมกายเข้านิพพานเราบอกนําให้ลําดับดวงธรรมในท้องธรรมกายให้ครบ 6 ดวง พอถึงดวงธรรมที่ 6 คือดวงวิมุตติญาณทัสสนะ จุดใสเท่าปลายเข็มกลางดวงธรรมจะว่าง ในว่างนั้นเราจะ เห็นที่อยู่ของต้นธาตุเป็นธรรมกายใหญ่มหึมา พึงน้อมธรรมกายของเราเข้าหาต้นธาตุก่อน หญิงน้อมใจเข้าหา ธรรมกายใหญ่ทางปากช่องจมูกซ้ายทางขวา แล้วเลื่อนใจไปตามฐาน 7 ฐาน ในที่สุดเราก็เขาไปอยู่ในศูนย์กลางกาย ของธรรมกายมหึมาได้ ผู้ปฏิบัติจะมากน้อยเท่าไรเข้าไปอยู่ได้หมด และเมื่อจะเข้านิพพานก็ลําดับดวงธรรมในท้อง ธรรมกายมหีมานั้นให้ครบ 6 ดวง พอถึงดวงธรรมที่ 6 คือดวงวิมุตติญาณทัสสนะ จุดใสเท่าปลายเข็มกลางดวงธรรม จะว่าง ในว่างนั้นก็คืออายตนะนิพพานเห็นธรรมกายจํานวนมาก แต่ธรรมกายที่เราเห็นซึ่งหน้ามีรัศมีโชติช่วงกว่า เพื่อนคือธรรมกายของเจ้าของนิพพาน ส่วนธรรมกายอื่นเป็นธรรมกายของพระอรหันต์และของผู้ได้มรรคผล นิพพานให้เราบอกวิชาอย่างเดียวกับที่เข้าหาต้นธาตุคือ น้อมใจธรรมกายของเราให้เข้าไปอยู่ในศูนย์กลางกายของ พระองค์ให้ได้ตามวิธีที่กล่าวนั้น และเมื่อจะเข้านิพพานที่ละเอียดต่อไปก็ลําดับดวงธรรมในท้องของธรรมกายพระ บรมศาสดา 6 ดวงต่อไป พอถึงดวงธรรมที่ 6 พอจุดใสเท่าปลายเข็มว่างก็ถึงนิพพานใหม่ให้ทําเช่นนี้เรื่อยไป พูดถึง ว่าธรรมกายของเราเกิดวกวนเข้านิพพานไมได้ซึ่งเราจะพบบ่อย ๆ นั่นคือธรรมภาคมารเขาขัดขวาง โดยมารเขาจะย่อ กายย่อธาตุย่อธรรมของเขาเป็นจุดดําเล็กไปอยู่ในที่ใด เมื่อเราเห็นเข้าถึงน้อมใจธรรมของเรานิ่งลงไปที่จุดดํานั้น แล้วก็นึกให้จุดดําเล็กนั้นละลายไป เมื่อจุดดําเล็กละลายไปแล้ววิชาของเราจึงเดินดี จุดดําเล็กที่เห็นนี้คือนิพพาน , ภพ 3 , โลกันต์ของมารคือเห็นจําคิดรู้ของมารที่เขามาขัดขวางร้อยแปด ตามที่กล่าวนี้เป็นวิธีง่าย ๆ เบื้องต้น หากจะกล่าว ละเอียดเป็นวิชายากเป็นวิชาปราบมาร ซึ่งเราต้องเรียนกันร้อยปีพันปีทีเดียว เรื่องการคํานวณบารมีให้แก่ผู้ที่มาร่วม สร้างบารมีนั้น เป็นความที่ยากมากละเอียดมากเรียนยากทํายาก เมื่อแรกที่ข้าพเจ้าเรียนเราก็ทําตามที่ครูสอน แต่พอ อายุมากขึ้นได้ทําวิชาปราบมารตามที่ธาตุธรรมท่านมอบหมายปรากฏว่าที่เราทํามาตั้งแต่ต้นนั้นไม่เข้าท่าเลย เพิ่งได้ เห็นของจริงในตอนที่ทําวิชาปราบมารว่าเรื่องการคํานวณบารมีนั้นทํายากยิ่งนัก ไม่อาจกล่าวไว้ในบทนี้เกรงว่าจะยาก ไป เอาแต่เพียงว่าอาราธนาให้พระพุทธองค์ทรงอนุโมทนาไปถึงนิพพานใดก็อาราธนา ยิ่งเข้านิพพานได้ละเอียด บารมีก็ยิ่งมาก เข้านิพพานได้ตื้น ๆ บารมีก็เล็กน้อยนั่นเอง
วิธีเข้านิพพานในกายมนุษย์ด้วยกายธรรม วิธีเข้านิพพานในกายมนุษย์ของเรานี้คือเอากายธรรมเดินฌานสมาบัติไป 7 เที่ยว เมื่อครบ 7 เที่ยวดีแล้วกายธรรม ตกศูนย์ ถ้าจะดูอย่างหยาบก็โตเท่าฟองไข่ไก่ถ้าจะดูอย่างละเอียดก็เท่ากําเนิดธาตุธรรมเดิมหรือเท่าหยาดน้ํามันงาอัน ใสที่ติดปลายขนจามจุรีที่บุรุษผู้มีกําลังสลัดเสียแล้ว 7 ครั้ง สัณฐานกลมสีขาวใสสะอาดบริสุทธิ์ดังเพชรน้ําค้าง ศูนย์
23
ธรรมกายนี้เกาะติดอยู่กับเนวสัญญานาสัญญายตนะฌานสมาบัติ ทันใดนั้นศูนย์นิพพานที่อยู่ในกําเนิดธาตุธรรมเดิม กลางกายมนุษย์มีสัณฐานกลมสีขาวใสสะอาดบริสุทธิ์ดังเพชรน้ําค้างเช่นเดียวกันก็ดึงดูดธรรมกายที่เกาะติดอยู่กับเนว สัญญานาสัญญายตนะฌานสมาบัตินั้น เข้าไปซ้อนในกลางศูนย์ของนิพพาน วิธีซ้อนนั้นซ้อนลงมาในกลางศูนย์หรือ จะซ้อนเข้าไปทางซ้ายทางขวาข้างหน้าข้างหลังก็ได้ทั้งสิ้น เพราะศูนย์ธรรมกายและศูนย์นิพพานนั้นมีสัณฐานกลม เช่นเดียว เพราะของกลม ๆ จะเอาทางไหนซ้อนกันก็ได้ทั้งสิ้น ขณะเมื่อศูนย์ธรรมกายกับศูนย์นิพพานเข้าไปซ้อนจด กันนั้น ธรรมกายก็เกิดขึ้นทันทีไม่ก่อนไม่หลังและไม่ช้าไม่เร็วกว่ากัน เมื่อธรรมกายเกิดขึ้นแล้วก็เอาตาธรรมกาย มองดูให้รอบ ๆ ก็เห็นว่าในศูนย์นิพพานในกําเนิดธาตุธรรมเดิมนั้นเป็นภาพกว้างขวางใหญ่โตไม่มีอะไรเลยเป็นที่กว้าง เป็นอากาศว่าง ๆ แต่อากาศในนั้นละเอียดสะอาดบริสุทธิ์สว่างโล่งไปหมด จิตใจจะรู้สึกแช่มชื่นเย็นสุขุมมีนิพพานเป็น อารมณ์ ผิดกว่าเมื่อยังไม่เข้าไปอยู่ในนิพพาน องค์ธรรมกายก็สุกใสสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นกว่าเก่า อธิบายนิพพาน นิพพานนั้นมีสุดหยาบสุดละเอียดไม่มีสิ้นสุดเหมือนกัน ในกลางนิพพานนั้นมีศูนย์นิพพานอยู่กลาง ทุก ๆ นิพพาน สําหรับธรรมกายจะได้เข้านิพพานเหมือนกับกลางกายทุก ๆ กาย มีกําเนิดธาตุธรรมเดิมสําหรับ ปฏิสนธิเช่นเดียวกัน องค์ธรรมกายในนิพพานนั้นถ้ายิ่งลึกเข้าไปก็ยิ่งละเอียดสะอาดบริสุทธิ์ประณีตสุขุมยิ่งขึ้นไป อากาศละเอียดสว่างโล่ง องค์ธรรมกายก็ขยายส่วนใหญ่ยิ่งขึ้นไปกว่าเก่าเป็นลําดับทุก ๆ ที เพราะฉะนั้นเมื่อเข้า นิพพานไปแล้วจงเอาธรรมกายเดินฌานสมาบัติไป 7 เที่ยว แล้วตกศูนย์เกาะอยู่กับฌานสมาบัติเนวสัญญานา สัญญายตนะ แล้วศูนย์นิพพานในนิพพานที่ 2 นั้นก็จักดึงดูดเข้าไปในศูนย์นิพพานที่ 2 เกิดเป็นธรรมกายขึ้นใน นิพพานที่ 2 นั้น ครั้นแล้วก็เอาธรรมกายเดินฌานสมาบัติในนิพพานที่ 2 นั้นต่อไป เมื่อเดินฌานสมาบัติครบ 7 เที่ยว แล้ว ธรรมกายก็ตกศูนย์ แล้วศูนย์นิพพานในนิพพานที่ 3 จักดึงดูดศูนย์ธรรมกายเข้าไปในศูนย์นิพพานที่ 3 นั้น ครั้น แล้วก็เอานิพพานที่ 3 นั้น เดินฌานสมาบัติต่อไปอีกไม่ถอยหลังกลับครบ 7 เที่ยว แล้วธรรมกายตกศูนย์ แล้วนิพพาน ในนิพพานที่ 4 นั้น จักดึงดูดศูนย์ธรรมกายเข้าไปในศูนย์นิพพานที่ 4 เกิดธรรมกายขึ้นในนิพพานที่ 4 นั้น ครั้นแล้วก็ เอาธรรมกายในนิพพานที่ 4 นั้นเดินสมาบัติต่อไปอีกไม่ถอยหลังกลับเมื่อครบ 7 เที่ยวแล้วธรรมกายตกศูนย์ แล้วศูนย์ นิพพานในนิพพานที่ 5 นั้นจักดึงดูดศูนย์ธรรมกายเข้าไปในศูนย์นิพพานที่ 5 เกิดธรรมกายขึ้นในนิพพานที่ 5 นั้น ครั้นแล้วก็เอาธรรมกายในนิพพานที่ 5 , ที่ 6 , ที่ 7 , ที่ 8 , ที่ 9 , ที่ 10 , ที่ร้อย , ที่พัน , ที่หมื่น , ที่แสน , ที่ล้าน , ที่โกฏิ นั้นเดินสมาบัติ 8 ต่อไปไม่ถอยหลังกลับอีก เมื่อครบ 7 เที่ยวแล้วธรรมกายตกศูนย์ แล้วศูนย์นิพพานที่ 6 , 7 , 8 , 9 , 10, ที่ร้อย , ที่พัน , ที่หมื่น , ที่แสน , ที่ล้าน , ที่โกฏินั้นจักดึงดูดศูนย์ธรรมกายเข้าไปในศูนย์นิพพานที่ 6 , 7 , 8 , 9 , ที่ 10 , ที่ร้อย , ที่พัน , ที่หมื่น , ที่แสน , ที่ล้าน , ที่โกฏิ เกิดเป็นธรรมกายขึ้นในนิพพานที่ 6 , 7 , 8 , 9 , 10 , ร้อย , พัน , หมื่น , แสน , ล้าน , โกฏินั้นเป็นลําดับ ๆ ไปไม่มีที่สิ้นสุดนิพพานเช่นนี้เรียกว่า “ นิพพานเป็น ” มีอยู่ในกายมนุษย์
24
คําอธิบายเพิ่มเติม ที่ศูนย์กลางกายมนุษย์มีนิพพานและที่นิพพานมีศูนย์ของนิพพาน ศูนย์ของนิพพานของกายมนุษย์มีขนาดทั้ง อย่างละเอียด , อย่างกลางและอย่างหยาบ อย่างหยาบเท่าฟองไข่ไก่ , อย่างกลางเท่ากําเนิดธาตุธรรมเดิม , อย่าง ละเอียดเท่าหยาดน้ําน้ํางาที่ติดอยู่ปลายขนสัตว์จามจุรีที่บุรุษผู้มีกําลังสลัดแล้ว 7 ครั้ง นั่นคือจุดในเล็กนั้นเองมีความ ในประดุจเพชรน้ําค้าง ศูนย์ของกายธรรมก็คือศูนย์ของฌานเนวสัญญานาสัญญาอยู่ตรงกับศูนย์กลางกายของกาย ธรรม ศูนย์นี้มีความใสประดุจเพชรน้ําค้าง เมื่อศูนย์นิพพานของกายมนุษย์สัมผัสกับศูนย์กายธรรมเมื่อไร ศูนย์ นิพพานของกายมนุษย์ก็ดูดกายธรรมให้เข้าไปในนิพพานนั้น แรงดึงดูดนี้มี 2 แรงคือแรงของศูนย์กายธรรม และ แรงของศูนย์นิพพานกายมนุษย์ด้วยคือแม่เหล็ก 2 แม่เหล็กเข้าหากันนั่นเอง ลักษณะนิพพานในกายมนุษย์ท่านว่า กว้างใหญ่โตมีความสว่างอากาศละเอียด เมื่อกายธรรมเข้านิพพานในกายมนุษย์แล้วกายธรรมจะสุกใสยิ่งขึ้น อารมณ์ ของกายมนุษย์คือตัวเราเกิดความแช่มชื่น
การเดินวิชานั้นไม่ยากเลยต้องทําได้ทุกคน ลําดับแรก กายธรรมเดินวิชาถอยหลังเข้ามาหากายมนุษย์ ส่งใจนิ่งลงไปที่ดวงธรรมในท้องของกายมนุษย์ บริกรรม ใจหยุดในหยุด ๆ ๆ และนิ่งลงไปที่จุดใสเท่าปลายเข็มกลางดวงธรรมกายมนุษย์นั้น ลําดับที่ 2 ส่งใจนิ่งลงไปที่ดวงธรรมของกายธรรม บริกรรมใจหยุดในหยุด ๆ ๆ เห็นจุดใสเท่าปลายเข็มกลางดวง ธรรมของกายธรรม พอจุดใสเท่าปลายเข็มกลางดวงธรรมว่างก็จะเห็นจุดใสเท่าปลายเข็มของแผ่นฌานที่ก้นกาย ธรรม แผ่นฌานที่ก้นกายนั้นเรียงลงมาจากอรูปฌานมาหารูปฌานคือ ฌาน 8 , 7 , 6 , 5 , 4 , 3 , 2 , 1 ฌาน 8 คือ เนว สัญญานาสัญญาพูดง่าย ๆ จุดใสกลางดวงธรรมอยู่ตรงกับจุดใสเท่าปลายเข็มของแผ่นฌานนั่นเอง พอเรานึกจุใช้ฌาน ใดแผ่นฌานแผ่นนั้นจะมาซ้อนที่กายธรรมทันที ส่วนแผ่นฌานที่เรายังไม่ใช้ก็จะไปซ้อนแผ่นที่ก้นกายธรรม แผ่น ฌานคือแผ่นใสกลมคล้ายเขียงหั่นผัก โปรดดูหนังสือ “ แนวเดินวิชาคู่มือสมภารของหลวงพ่อวัดปากน้ํา ” การเดิน ฌานสมาบัติก็คือเอาแผ่นฌานมาสับกันเป็นผลให้แผ่นฌานมีความใสยิ่งขึ้นกายก็ใสดวงธรรมก็ใส เมื่อเราจะเดินฌาน เราก็ส่งใจไปที่กลางแผ่นใสฌานที่ 1 แล้วฌานที่ 1 จะมารองรับที่ก้นกายธรรมทันที เราก็ท่องในใจว่าฌาน 1 หายไป ฌาน 2 รองรับหมายความว่า ขณะนี้ฌานที่ 1 ไปซ้อนท้ายแถวฌาน 3 แล้ว เพราะขณะนี้ฌาน 2 มารองรับทีก้านกาย ธรรมแล้ว แล้วก็ท่องต่อไปว่าฌาน 2 หายไปฌาน 3 รองรับ , ฌาน 3 หายไป ฌาน 4 รองรับ , ฌาน 4 หายไปฌาน 5 รองรับ , ฌาน 5 หายไปฌาน 6 รองรับ , ฌาน 6 หายไปฌาน 7 รองรับ, ฌาน 7 หายไปฌาน 8 รองรับเสร็จอนุโลม ต่อไปเดินฌานปฏิโลม ฌาน 8 หายไปฌาน 7 รองรับ , ฌาน 7 หายไปฌาน 6 รองรับ , ฌาน 6 หายไปฌาน 5 รองรับ.... ถอยหลังจนมาถึงฌาน 1 รองรับ อนุโลมคือเดินหน้า , ปฏิโลมคือถอยหลัง จะนับเป็น1 เที่ยวหรือ 2 เที่ยว สุดแต่ ความพอใจของเรา เมื่อครบ 7 เที่ยวแล้วธรรมกายตกศูนย์เข้านิพพานในกายมนุษย์
25
ลําดับที่ 3 จากนั้นก็ทําตามที่ตําราเสนอแนะไว้ไม่มีอะไรยากแล้ว
ข้อควรคิด คําว่า “ ธรรมกายตกศูนย์ ” หมายความว่ากายธรรมดิ่งลงไปในว่างใส หากยังไม่ดิ่งลงไปในว่างใสถือว่า ธรรมกายยังไม่ตกศูนย์ให้เดินฌานสมาบัติต่อไป อย่ายึดมั่น 7 เที่ยว ยิ่งมากเที่ยวยิ่งดีเพราะยิ่งมากเที่ยวจะช่วยให้เกิด ความใสมากขึ้น เมื่อความใสถึงขนาดธรรมกายจึงจะตกศูนย์
วิธีเข้านิพพานเป็นด้วยกายมนุษย์ วิธีเอากายมนุษย์คือตัวของเราทีน่ ั่งอยู่นี้เข้านิพพานเป็นตัวของเรานั้น วิธีนี้กเ็ หมือนวิธีเข้านิพพานด้วยกายธรรม ดังที่กล่าวมาแล้วนั้นต่างแต่วิธีก่อนเอากายธรรมเข้า ส่วนวิธีนี้เอากายมนุษย์เข้านิพพาน เพราะกายมนุษย์มีฤทธิเดช มากมีอํานาจมากกว่ากายธรรมระเบิดไม่แตกเหมือนพระพุทธเจ้า แต่ครั้งก่อนดึกดําบรรพ์โน้นท่านเข้านิพพานทั้ง กายมนุษย์ทั้งนั้นคือกายมนุษย์แก่หนักเข้าทุกที ๆ ก็ใสสะอาดเข้าทุกที แล้วก็เข้านิพพานทั้งกายมนุษย์ที่สุดใสสะอาด เป็นเพชรนั้น และกาลต่อมาพญามารไม่ยอมให้เข้านิพพานทั้งกายมนุษย์ เพราะเห็นว่ากายมนุษย์มีฤทธิเดชมากนัก พระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสรู้หลัง ๆ ต่อมาจึงต้องถอดกายมนุษย์เสียก่อนแล้วจึงเข้านิพพานได้ พระพุทธเจ้าที่ถอดกาย มนุษย์เข้านิพพานท่านเปรียบเหมือนดังปูนิ่ม เวลาอยู่ในนิพพานไม่ค่อยมีฤทธิมีเดชไม่เหมือนพระพุทธเจ้าที่เข้า นิพพานทั้งกายมนุษย์มีฤทธิ์เดชมากนักเพราะกายมนุษย์แข็งแรง วิธีเอากายมนุษย์คือตัวเราที่นั่งอยู่นี้เข้านิพพานนั้น ท่านได้ตั้งดวงปฐมมรรคขึ้นก่อนแล้วเพ่งให้เกิดกายทิพย์ , กายปฐมวิญญาณหยาบ , กายปฐมวิญญาณละเอียด , กาย ธรรมและกายละเอียด ๆ ๆ ๆ เข้าไปทุกทีจนสุดหยาบสุดละเอียด แล้วก็ย่อสุดหยาบสุดละเอียดนั้นเข้าในกายมนุษย์กาย เดียว ทําให้ใสดีแล้วเดินสมาบัติ 7 เที่ยวจนกายมนุษย์ในสะอาดบริสุทธิ์ดีแล้ว กายมนุษย์ก็ตกศูนย์กําเนิดมนุษย์อยู่ กลางตัว แล้วศูนย์นิพพานที่อยู่ในกลางกําเนิดเดินนั้นก็ดึงเอาศูนย์กําเนิดมนุษย์นั้นเข้าไปในศูนย์นิพพาน ขณะเมื่อ ศูนย์กําเนิดมนุษย์กับศูนย์นิพพานเข้าไปซ้อนจดกัน กายมนุษย์ก็เกิดขึ้นในนิพพานทันทีไม่ช้าไม่เร็วไม่ก่อนไม่หลัง กว่ากัน ในกลางนิพพานทุก ๆ นิพพานนั้นมีศูนย์นิพพานอยู่กลางเหมือนที่กล่าวมาแล้วในเรื่องธรรมกายเข้านิพพาน เพราะฉะนั้นเมื่อกายมนุษย์เข้านิพพานแล้วก็เดินสมาบัติในนิพพานนั้นไปอีก 7 เที่ยวเมื่อครบ 7 เที่ยวแล้ว กายมนุษย์ พิเศษใสเป็นแก้วนั้นก็ตกศูนย์กําเนิดมนุษย์อีก แล้วศูนย์นิพพานในนิพพานที่ 2 จักดึงดูดศูนย์กายมนุษย์เข้าไปใน ศูนย์นิพพานทั้ง 2 เกิดเป็นกายมนุษย์ขึ้นในนิพพานที่ 2 นั้น ครั้นแล้วก็เอากายมนุษย์พิเศษใสเป็นแก้วในนิพานที่ 2 นั้นเดินสมาบัติไปอีกครบ 7 เที่ยว แล้วกายมนุษย์พิเศษก็ตกศูนย์กําเนิดมนุษย์ แล้วศูนย์นิพพานในนิพพานที่ 3 นั้นก็ ดึงดูดเอาศูนย์กําเนิดมนุษย์เข้าไปในนิพพานที่ 3 เกิดเป็นกายมนุษย์ขึ้นในนิพพานที่ 3 นั้น แล้วเอากายมนุษย์ที่ใสเป็น แก้วนั้นเดินฌานสมาบัติเข้านิพพานในนิพพาน ๆ ๆ ๆ ๆ เป็นลําดับ เข้าไปเช่นนี้ทุก ๆ ทีไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนดังที่กล่าว มาแล้วในเรื่องธรรมกายเข้านิพพานนั้นทุกประการ ต่างแต่ว่าในที่นี้เอากายมนุษย์พิเศษเข้านิพพานเท่านั้น นอกนั้นก็
26
เหมือนธรรมกายเข้านิพพานทั้งสิ้น ที่เรียกว่า “ มนุษย์พิเศษ ” นั้นเพราะเหตุว่ากายสุดหยาบสุดละเอียดทุก ๆ กายย่อ รวมอยู่ในกายมนุษย์คนนี้กายเดียวครบทุกาย กายมนุษย์คนนี้จึงใสเป็นแก้วเป็นกายพิเศษที่มีฤทธิเดชมาก
อธิบายเพิ่มเติม บทฝึกที่ 19 นี้เราได้ความรู้แปลก ๆ เช่นกายมนุษย์พิเศษคืออะไร แต่กาลก่อนพระพุทธเจ้าท่านเข้านิพพานด้วย กายมนุษย์ไม่ได้เข้านิพพานโดยกายธรรม กาลต่อมาเข้านิพพานโดยกายธรรมเข้านิพพานด้วยกายมนุษย์ไม่ได้ เพราะมารเขาไม่ยอมมารเขาบอกว่า พระพุทธเจ้าที่เข้านิพพานด้วยกายมนุษย์นั้นกายมนุษย์มีฤทธิเดชมาก ที่ว่ากาย มนุษย์มีฤทธิเดชเพราะมารระเบิดกายไม่แตก ส่วนกายธรรมนั้นมารเขาระเบิดแตกคือกายธรรมสู้มารไม่ได้ต้องเอา กายมนุษย์ไปสู้ กายธรรมเมื่ออยู่ในนิพพานนั้นไม่ค่อยมีฤทธิเดชท่านเปรียบเหมือนดังปูนิ่ม ส่วนกายมนุษย์ที่เข้า นิพพานท่านเปรียบเหมือนปูมีกระดองเพราะกายมนุษย์แข็งแรง กล่าวถึงการเข้านิพพานด้วยกายมนุษย์แต่บรรพกาล นั้น กายมนุษย์แก่ด้วยความสุกใสและใสยิ่งขึ้นและก็เข้านิพพานด้วยกายมนุษย์นั้น ไม่ต้องตายเหมือนยุคหลัง ๆ ยุค หลังนี้กายมนุษย์ต้องตายเสียก่อนคือ เอาแต่กายธรรมเข้านิพพานเท่านั้น หลวงพ่อท่านเรียกว่า นิพพานถอดกาย หมายความว่าถอดเอากายมนุษย์ออกเสียก่อนคงเหลือแต่กายธรรมแล้วเอากายธรรมเข้านิพพาน นิพพานที่กายธรรม เข้านิพพานนี้เรียกว่านิพพานถอดกาย ส่วนนิพพานที่เข้านิพพานด้วยกายมนุษย์นั้นเรียกว่า ( นิพพานเป็น )
นิพพานไม่ถอดกาย
แต่บรรพกาลนั้นเมื่อเห็นธรรมกายแล้วมีผลทําให้กายมนุษย์เกิดความสว่างใส อายุของกายมนุษย์
ยิ่งมากขึ้นความสุกใสของกายมนุษย์ยิ่งมากขึ้นด้วย กายธรรมสว่างขึ้นเพียงไรกายมนุษย์ก็ได้รับผลนั้นด้วย สุดท้าย กายมนุษย์เข้านิพพานไปเลย แม้การคลอดบุตรก็เหมือนกับการถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ไม่ต้องผ่าท้องอย่างที่เราเห็นใน ปัจจุบัน
เหตุใดกายมนุษย์จึงเข้านิพพานกายมนุษย์ได้ เพราะที่กําเนิดเดิมมีนิพพานคือที่กําเนิดเดิมของกายมนุษย์มีนิพพาน และที่อรูปฌานของกายมนุษย์ก็มีนิพพาน ในกําเนิดเดิม กายธรรมก็มีศูนย์นิพพานติดอยู่ที่เนวสัญญานาสัญญา การที่กายธรรมไปเกิดที่นิพพานในกําเนิดเดิม ของกายมนุษย์นั้นเราฟังได้ เหตุใดกายมนุษย์มีอรูปฌานด้วยหรือนี่คือข้อข้องใจของเรา แล้วกายมนุษย์นี้เกิดจาก อะไรตอบว่าเกิดจากกายทุกกายตั้งแต่กายธรรม , กาย ปฐมวิญญาณ , กายทิพย์ ซ้อนไว้ในกายมนุษย์ กายธรรมมีอรูป ฌานกายมนุษย์ก็มีด้วย กายอะไรมีอะไรกายมนุษย์ก็มีด้วย
วิธีเข้านิพพานตาย นิพพานตายคือนิพพานที่เป็นที่ประทับของพระอรหันตขีณาสพทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น นิพพานในตัวเรา เรียกว่านิพพานเป็น ส่วนนิพพานซึ่งเป็นที่ประทับของพระอรหันตขีณาสพมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นอยู่สูงกว่าภพ 3
27
ขึ้นไปเรียกว่านิพพานตาย วิธีเข้าก็มีนัยเหมือนเข้านิพพานเป็นใช้ธรรมกายเข้าก็ได้ กายมนุษย์พิเศษเข้าก็ได้เหมือนที่ กล่าวมาแล้วในข้อ 18 และข้อ 19 นั้นทุกประการ จงพิจารณาดูเถิดในที่นี้จะกล่าวแต่ย่อ ๆ เท่านั้น ถ้าจะเข้านิพพาน ตายด้วยกายมนุษย์พิเศษนี้ก็จงตั้งดวงปฐมมรรคขึ้นแล้วทําให้เกิดกายทิพย์ , กายปฐมวิญญาณหยาบ , กายปฐม วิญญาณละเอียด , กายธรรมและกายละเอียด ๆ ๆ ยิ่งขึ้นไปทุกที จนสุดหยาบสุดละเอียดแล้วก็ย่อกายสุดหยาบสุด ละเอียดทั้งหมดเข้าในกายมนุษย์กายเดียว ทําให้สะอาดบริสุทธิ์ดีแล้วเดินฌานสมาบัติไป 7 เที่ยว ครั้นกายมนุษย์ใส สะอาดดีแล้วก็ตกศูนย์กําเนิดมนุษย์อยู่กลางตัว แล้วศูนย์นิพพานที่อยู่กลางกําเนิดธาตุธรรมเดิมนั้นก็ดึงดูดเอาศูนย์ กําเนิดมนุษย์นั้นเข้าไปในศูนย์นิพพาน เกิดเป็นมนุษย์พิเศษขึ้นในนิพพานในทันที ครั้นแล้วก็เอากายมนุษย์พิเศษ เป็นแก้วที่เกิดในนิพพานเป็นนั้น เดินฌานสมาบัติในพระนิพพานนั้นต่อไปอีก 7 เที่ยว ครบ 7 เที่ยวแล้วก็ตกศูนย์ กําเนิดมนุษย์ในกลางกายอีก แล้วศูนย์นิพพานตายก็ดึงดูดขึ้นไปเกิดในนิพพานตาย ครั้นแล้วก็เดินสมาบัติ 7 เที่ยว ตกศูนย์เข้านิพพานเป็นไปอีก เมื่อเข้านิพพานเป็นแล้วก็เดินฌานสมาบัติอีก 7 เที่ยว ตกศูนย์เข้านิพพานตายต่อไป แล้วก็เดินฌานสมาบัติอีก 7 เที่ยว ตกศูนย์เข้านิพพานเป็นในกายอีก เกิดในนิพพานเป็นแล้วก็เดินฌานสมาบัติอีก 7 เที่ยวตกศูนย์เข้านิพพานตายต่อไป เข้านิพพานเป็นในกลางกายมนุษย์ไปอีกทีหนึ่ง แล้วก็เข้านิพพานตายไปอีกที หนึ่งเข้าสลับกันไป คือ เข้านิพพานเป็นไปเที่ยวหนึ่งแล้วก็เข้านิพพานตายไปอีกเที่ยวหนึ่งทําติดต่อเนื่องกันไป นิพพานเป็นทีหนึ่งนิพพานตายทีหนึ่งเช่นนี้เป็นลําดับเรื่อยไปไม่ถอยหลังกลับ จนสุดหยาบสุดละเอียดยิ่งทําได้มาก ละเอียดเข้าไปเท่าไรยิ่งดีแต่ให้เป็นคู่กันไป เข้านิพพานเป็นแล้วก็เข้านิพพานตายเป็นคู่ ๆ เช่นนี้เรื่อยไปทับทวีให้มาก ขึ้นไปไม่ถอยหลังกลับ นิพพานทุก ๆ นิพพานนั้นมีศูนย์นิพพานอยู่ทุกนิพพานทั้งนิพพานเป็นและนิพพานตาย สําหรับดึงดูดกําเนิดธาตุธรรมเดิมนั้นให้เข้าไปเกิดในนิพพาน เหมือนศูนย์ในมดลูกเป็นที่ดึงดูดกําเนิดธาตุธรรมเดิม เข้าไปเกิด
อธิบาย การฝึกบทนี้ง่ายมากเพราะเราฝึกบทที่ 18 และบทที่ 19 มาแล้วเพียงเราอ่านเนื้อวิชาจบลงเราก็สามารถเดินวิชาได้ ทันทีไม่ต้องทําบทฝึก คําว่านิพพานตายหมายถึงนิพพานที่อยู่สูงกว่าภพ 3 ขึ้นไป เป็นที่ประทับอยู่ของผู้ได้มรรคผล นิพพานได้แก่พระพุทธเจ้าเป็นต้น ไม่ว่าใครทั้งนั้นเมื่อได้มรรคผลนิพพานแล้วจะต้องไปอยู่ที่นี่แปลว่าหมดภพหมด ชาติเลิกจากการเวียนว่ายตายเกิดกันที หลวงพ่อท่านเรียกว่านิพพานตาย บางครั้งก็เรียกอายตนะนิพพาน บาลีใช้ว่า อนุปาทิเสสนิพพาน หมายความว่าเข้านิพพานด้วยกายธรรม กายมนุษย์ตายแล้วเข้านิพพานโดยกายธรรมนั่นเอง การเข้านิพพานตายเข้าได้ทั้งกายธรรมและกายมนุษย์ มีวิธีทําอย่าไรนั้นเราเรียนมาแล้วจากบทก่อน แต่ว่าการเข้า นิพพานตายนั้น ท่านให้เข้านิพพานเป็นที่ศูนย์กลางกายมนุษย์ก่อนแล้วก็เข้านิพพานตายให้สลับกันเช่นนี้เรื่อยไป คือท่านให้ทําเป็นคู่ ๆ คือเข้านิพพานเป็นแล้วเข้านิพพานตาย เนื้อหาสาระมีเพียงนี้
28
ข้อสังเกตเรื่องการเข้านิพพาน
เราเรียนเรื่องการเข้านิพพานในตําราวิชามรรคผลพิสดารแล้วควรติดตามดู
หลักสูตรในหนังสือคู่มือสมภารด้วยแล้วสรุปความรู้ดู ข้าพเจ้าไม่ได้บรรยายเกินหลักสูตรเลย หลักสูตรมีอย่างไร บรรยายตามที่หลักสูตรกําหนด ไม่มีอะไรเกินหลักสูตรเว้นแต่เป็นข้อคิดเห็นที่ต้องขออภัยอย่างมากคือ เรื่องภาษา อย่างเช่นคํา วิชชา เวลาพิมพ์ก็เป็นวิชา ส่วนคําว่า สูญ และคํา ศูนย์ นั้นใช้ตรงตําราจึงต้องขออภัยล่วงหน้าไว้ อาจมี บางคําที่เขียนเพี้ยนไปแต่เนื้อหาวิชานั้นไม่พลาด
วิธีฟังพระพุทธเจ้าตรัสเทศนาในนิพพาน จงเอากายมนุษย์พิเศษนั้นเดินฌานสมาบัติเข้านิพพานเป็นและเข้านิพพานตาย ตามนัยดังกล่าวในบทที่ 20 นั้น ถ้าเข้านิพพานตายไปพบพระพุทธเจ้าและพระอรหันตขีณาสพ แล้วจงอธิษฐานถามท่านก่อนว่าพระพุทธเจ้าของเรา พระองค์ไหนที่ทราบแน่ด้วยวาระจิตของเราแล้วจงเข้าไปเฝ้าท่านตรงพระพักตร์ แล้วจงเอากายมนุษย์พิเศษอธิษฐาน ขึ้นให้มากกายแล้วระเบิดบ้างให้เป็นไอเป็นแก๊สเป็นกรดกินบ้างละลายบ้าง ซึ่งกายของพระพุทธเจ้านั้นจงอธิษฐาน เสียก่อนว่าถ้าเป็นพระพุทธเจ้าของเราสายขาวบริสุทธิ์จริงแล้วก็ไม่แตกไม่เป็นอันตรายไม่ละลาย ถ้าเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งสายดําปลอมแล้วขอให้ระเบิดแตกและละลายไป ไอ แก๊ส กรด กินเข้าเซฟเข้ามรรคไปเลย แล้วก็เอากายมนุษย์ พิเศษเดินฌานสมาบัติเข้านิพพานเป็นเข้านิพพานตายไปอีก เมื่อเข้านิพพานตายก็จงถามพระพุทธเจ้าอีก ถ้าพบก็ อธิษฐานว่าถ้าเป็นพระพุทธเจ้าสายขาวของเราจริงแล้วขอให้ระเบิดไม่แตก เมื่ออธิษฐานแล้วก็จงอธิษฐานให้กาย มนุษย์ขึ้นมาก ๆ กาย เข้าไปในไส้พระพุทธเจ้าองค์นั้นแล้วระเบิด ถ้าแตกก็เอากายมนุษย์พิเศษเดินฌานสมาบัติเข้า นิพพานเป็นและเข้านิพพานตายไปอีก ถ้าแตกก็ไม่ใช่ของเราแท้ แล้วเข้านิพพานเป็นเข้านิพพานตายต่อไปอีกแล้วก็ ระเบิดต่อไปอีก ทําเช่นนี้เรื่อยไปจนพบพระพุทธเจ้าที่สะอาดเป็นแก้ว ระเบิดเท่าไรก็ไม่แตกใช้ไอ กรด แก๊สกรด กิน เท่าไรก็ไม่ละลาย นั้นแหละพึงรู้เถิดว่าพบพระพุทธเจ้าที่แท้จริงของเราแล้ว พึงสังเกตกําหนดไว้ให้ดีแล้วกราบทูล อาราธนาขอให้พระองค์แสดงพระธรรมเทศนาให้ฟังจะได้ฟังพระสุระเสียงและพระธรรมเทศนาของพระองค์ท่านที่ แท้จริงทุกประการ ถ้าไม่ได้ยินก็ให้นิ่ง แน่น ดิ่งอยู่ในศูนย์พระนิพพานในกลางกําเนิดธาตุธรรมเดิมในกายมนุษย์ ภายในสะดือของเราเข้าไป ที่มีเส้นศูนย์เต้นตุ้บ ๆ อยู่นั่นแหละ ต้องนิ่งอยู่ในศูนย์พระนิพพานให้ดิ่งถ้าเคลื่อนนิดหนึ่ง ก็ฟังไม่ได้ยิน
อธิบาย บทเรียนบทนี้เราได้รับความรู้พิเศษหลายอย่างที่เราต้องจดจําก็คือ ในนิพพานตายนั้นมีพระพุทธเจ้าภาคมาร แปลกปลอมเข้ามาอยู่ มองเผิน ๆ ก็ว่าเป็นพระพุทธเจ้าภาคขาวเราหลงกราบไหว้ แท้จริงแล้วเป็นพระพุทธเจ้าภาคดํา เข้ามาแทรกอยู่มากมาย หลวงพ่อท่านเรียกพระพุทธเจ้าภาคมาร เป็นกายดํามาซ้อนกายอยู่ในองค์ภาคขาวโดยที่เรา ไม่รู้ หลวงพ่อท่านสอนวิธีตรวจสอบวิธีเบื้องต้นก็คือ ให้พิสดารกายมนุษย์พิเศษให้มากกาย แล้วให้กายมนุษย์ของ
29
เราระเบิดละลายนั่นวิธีหนึ่ง อีกวิธีหนึ่งท่านให้เอากายมนุษย์ของเรายิงเข้าไปในไส้ของกายพระพุทธเจ้าที่เราเห็น แล้วกายมนุษย์ของเราก็เอาดวงมรรคเซฟเข้าไป มรรคก็พิสดารทําหน้าที่แก๊ส กรด ไอแล้วย่อย แยก ดับ ละลายหาก เป็นพระพุทธเจ้าภาคขาวจริง กายของพระองค์ไม่แตก หากเป็นพระพุทธเจ้าภาคมารกายของเขาก็แตกนี่คือวิธี เบื้องต้น องค์ใดที่ขาวใสบริสุทธิ์องค์นั้นคือพระพุทธเจ้าภาคขาวแท้ เราก็อาราธนาให้พระองค์แสดงธรรมเทศนา เรา จะต้องฟังให้ได้ยิน นี่คือเนื้อหาสาระของการฝึกบทนี้
แนวการเดินวิชา ลําดับแรก ทํากายมนุษย์พิเศษก่อน ลําดับที่ 2 กายมนุษย์พิเศษเดินฌานสมาบัติ เรื่องการทําฌานเราเรียนมาแล้ว เมื่อเดินฌานสมาบัติ 7 เที่ยวแล้ว กาย มนุษย์เข้านิพพานเป็นของกายมนุษย์กลางกายตัวของเราคือเข้านิพพานที่กําเนิดเดิมดังที่เคยฝึกมาแล้ว จากนั้นกาย มนุษย์เดินฌานสมาบัติครบ 7 เที่ยวเข้านิพพานตายคือนิพพานที่อยู่นอกภพ 3 จากนั้นกายมนุษย์เดินฌานสมาบัติ 7 เที่ยวเข้านิพพานเป็นกลางกายมนุษย์ จากนั้นกายมนุษย์เดินฌานสมาบัติ 7 เที่ยวเข้านิพพานตายพบพระพุทธเจ้าใน นิพพานตาย ลําดับที่ 3 วิธีตรวจสอบก็คือพิสดารกายมนุษย์พิเศษให้มากกายคือส่งใจนิ่งลงไปที่ดวงธรรม แล้วก็ท่องในใจว่ากาย มนุษย์ในกายมนุษย์ ทันใดนั้นก็เกิดกายมนุษย์มากกาย อธิษฐานใจของเราให้กายของเรานี้ทําหน้าที่เซฟแก๊ส กรด ไอ ให้ทําหน้าที่ย่อย แยก ดับ ละลาย หากเป็นพระพุทธเจ้าภาคขาวแล้วขอให้กายไม่แตก แล้วเราก็นึกยิงกายมนุษย์ ของเราเข้าไปที่ศูนย์กลางกายของพระพุทธเจ้าที่เราจะตรวจสอบนั้นลําดับไปทุกกายจนสุดหยาบสุดละเอียด หาก องค์ใดขาวใสบริสุทธิ์คือพระพุทธเจ้าภาคขาวของเรา เราจะอาราธนาให้แสดงธรรม หากเป็นพระพุทธเจ้าภาคมาร แล้วกายจะแตกทันที ทําอย่างไรก็สู้กายมนุษย์พิเศษของเราไม่ได้ ลําดับที่ 4 การฟังธรรมนั้นจะเดินวิชาอย่างไรยากตรงนี้คือ ถ้าใจเราไม่นิ่งเราก็ได้แต่เห็นกายของพระองค์ เราจะฟัง ให้รู้เรื่องนั้นเรียนกันมากเหลือเกินในบทฝึกนี้ตําราบอกว่าให้เราเอากายมนุษย์ของเราเข้าไปซ้อนในกายของพระพุทธ องค์ แล้วทําใจหยุดนิ่งฟังที่ศูนย์กลางกายของกายมนุษย์ตัวของเราคือจากสะดือของเราเข้าไปทะลุข้างหลังตรงศูนย์ที่ เต้นตุ๊บ ๆ นั้น นั่นก็คือให้ฟังตรงฐานที่ 6 นั่นเอง และตําราบอกต่อไปว่าต้องนิ่งในศูนย์นิพพานให้ดิ่ง คําว่าศูนย์ นิพพานก็คือศูนย์กลางกายของพระพุทธองค์นั่นเอง คือศูนย์ของเราซ้อนกับศูนย์ของพระองค์นั่นเองนั่นคือฐานที่ 6 ซ้อนกันแล้วก็จะเลื่อนมาที่ฐานที่ 7 โดยเราไม่รู้ตัว ข้อสําคัญอยู่ที่ใจหยุดใจนิ่งหากใจหยุดไม่พอก็ฟังไม่ได้ยิน เห็นแต่ ขยับพระโอษฐ์ แต่ว่าต้องได้ยินบ้างมากน้อยตามกําลังแห่งความหยุดนิ่งทางใจเป็นสําคัญ
ปัญหาสําคัญคือเราเข้านิพพานได้น้อยและพระพุทธองค์ไม่รับสั่งกับเรา
30
ปัญหาที่เราพบอยู่คือเราเข้านิพพานได้น้อยคือไปได้ไม่กี่นิพพาน จะไปให้ได้นิพพานที่ละเอียดนั้นเกิน ความสามารถของเรานี่คือปัญหาที่เราพบอยู่และยังแก้ไม่ได้ อีกปัญหาหนึ่งคือเราไปถึงพระพุทธองค์แล้วเข้าไปซ้อน กายกับพระองค์ แต่พระองค์ไม่รับสั่งเป็นปัญหาที่เราพบอยู่และแก้ไขยาก นั่นคือพระพุทธเจ้าภาคมารเข้ามายึด อํานาจปกครองทําให้พระพุทธองค์บอกความรู้แก่พวกเราไม่ได้ แม้ว่าเราจะพากเพียรเรียนนิโรธเข้านิพพานเพื่อ แสวงหาความรู้ทางธรรมแต่เราก็ไม่ได้ความรู้ จากบทฝึกที่ 21 นี้ทําให้เราทราบว่าบนนิพพานนั้นมีมารเข้ามาปะปน จนเราไม่ทราบว่าในนิพพานนั้นองค์ไหนเป็นภาคขาวพระองค์ไหนเป็นภาคมาร ในการฝึกเบื้องต้นหลวงพ่อได้ เสนอแนะวิธีตรวจสอบให้แล้วตามที่เราฝึกอยู่ขณะนี้ ซึ่งความรู้บทนี้เป็นความรู้ที่หลวงพ่อสอนเมื่อปีพ.ศ. 2481 ต่อมาหลวงพ่อแก้ไขโดยวิธีปราบมารตามที่พวกเราทราบกันแล้วนั้นคือ หลวงพ่อคัดเลือกศิษย์ที่เป็นวิชาธรรมกาย ระดับแก่กล้า ตั้งเป็นเวรทําวิชารวม 6 เวร ๆ ละ 3 ชั่วโมง ทําวิชาติดต่อกันมา 30 กว่าปี ตราบจนหลวงพ่อมรณภาพ เมื่อปีพ.ศ. 2502 งานปราบมารก็มาหยุดอยู่แค่นั้น ศิษย์ที่เชี่ยวชาญก็กลับไปอยู่บ้านของตนบางท่านไปอยู่กับญาติ บางท่านไปประกอบอาชีพส่วนตัว บางท่านบวชเป็นอุบาสิกาอยู่วัดปากน้ํา จํานวนพลรบที่เหลือนั้นน้อยมากไม่อาจ ทําวิชารบต่อไปได้เพราะขาดผู้นําทัพ ผู้นําทัพคือหลวงพ่อทําหน้าที่อํานวยการทางวิชา สรุปว่างานปราบมารหยุดอยู่ แค่นั้น ข้าพเจ้ามาทําวิชาปราบมารต่อเมื่อปีพ.ศ. 2527 ตราบเท่าทุกวันนี้ ผลงานปราบมารที่ข้าพเจ้าทํานั้นได้เสนอ เรื่องราวไปแล้วเป็นหนังสือ 2 เล่มคือหนังสือ “ ปราบมารภาค 1 , 2 ” เนื้อหาสาระของเรื่องราวมีอย่างไรนั้นโปรด ติดตามหาอ่านได้ ความรู้ว่าด้วยการตรวจสอบมารตามที่หลวงพ่อเขียนไว้ในบทฝึกบทนี้ เป็นเพียงเบื้องต้นเล็กน้อย เท่านั้นข้าพเจ้าจะบรรยายยาวความไม่ได้เกรงว่าจะเกินหลักสูตรจะเกินการวิจารณ์ขึ้นได้ ความรู้ชั้นสูงเกี่ยวกับเรื่องนี้ โปรดค้นคว้าในหนังสือปราบมารก็แล้วกัน ปัญหาตามที่กล่าวมา 2 ประการนั้นเกิดจากมารเขามายึดอํานาจปกครอง พระพุทธองค์ทําอะไรไม่ได้มารเขาบังคับไปหมด เราจะพูดกับพระองค์แต่มารเขาพูดแทน เพราะเขามาซ้อนพระ พุทธองค์อยู่ เราเข้านิพพานลึก ๆ ไม่ได้ เพราะมารเขามาขัดขวาง แม้พระพุทธองค์จากนิพพานหนึ่งจะไปหาพระ พุทธองค์รุ่นพี่ยังไม่ได้ไปหากันไม่ได้นิโรธไปหามาหากันไม่ได้ บ้านใคร ๆ อยู่ หน้าที่ใครก็หน้าที่ใครอย่ามาวุ่นวาย กันมารเขารับคํา แต่พอเราเผลอมารก็มาวุ่นวายอีก สมัยของข้าพเจ้าปราบข้าพเจ้าไม่ตกลงอย่างที่หลวงพ่อทําเราดับ อย่างเดียวละลายอย่างเดียว ไม่ต้องมาพูดกันให้เสียเวลา เจอกันที่ใดละลายกันที่นั่น ขอแต่ว่าให้พบอย่างเดียวไม่ว่า จะนิพพาน , ภพ 3 , โลกันต์ ที่ใด ขอให้พบอย่างเดียวเราจะรอว่าให้เก่งอย่างหลวงพ่อ เราจะรอให้เห็นชัดอย่างหลวง พ่อเรารอไม่ได้เพราะบารมีเราไม่ถึงขั้น แต่หลวงพ่อมาบังคับเราให้เรารบกับมาร เราตกอยู่ในภาวะจํายอมจําต้องรบ ปีนี้เป็นปีที่ 12 หากอยากทราบเรื่องราวละเอียดโปรดติดตามหนังสือปราบมารที่ข้าพเจ้าเขียน วิชาละลายมารหรือที่ เรียกว่าวิธีดับมารนั้นจะเอาให้ดีต้องเรียนในหนังสือปราบมาร การฝึกบทนี้เป็นเบื้องต้นนิดเดียวเท่านั้น
31
และต่อจากนี้ไปคุณผู้อ่านจะได้สัมผัสเรื่องลับเฉพาะนิพพาน ที่พญามารเขาปกปิดซ่อนเร้นเป็นปริศนามานานแสน นาน และผู้ที่จะให้ความกระจ่างเรื่องต่างๆเหล่านี้แก่เราได้ก็คือวิปัสสนาจารย์ผู้ปราบมารหนึ่งเดียวคนนี้ครับ “อาจารย์การุณย์ บุญมานุช” ซึ่งผมเคยเขียนเรื่องราวของท่านไว้ในหนังสือชื่อ “ ธรรมกายหมายเลข ๑มีใจความตอน หนึ่งดังนี้ครับว่า ” ในบรรดาศิษย์เอกของหลวงพ่อสดวัดปากน้ํา ถ้าไม่เอ่ยนามของมหาบุรุษท่านนี้เห็นทีจะไม่ได้ ครับ เพราะท่านได้ทําวิชาปราบมารมาร่วม 20 ปี ปัจจุบันปีพ.ศ. 2552 ท่านก็ยังทําวิชาปราบมารอยู่ มีลูกศิษย์ลูกหา มากมายที่เรียกกันว่า “ กองทัพวิทยากร ” ที่สอนให้ผู้ที่เข้ารับการปฏิบัติได้เข้าถึงธรรมได้อย่างน่าอัศจรรย์ ท่านได้ จัดทําตําราวิชชาธรรมกายเอาไว้ครบทุกหลักสูตร โดยเฉพาะวิชชาธรรมกายชั้นสูง คือ หนังสือปราบมารเล่ม 1 – 6 ที่ ท่านถึงกับกล่าวคํานี้ออกมาเลยว่า “ ตําราอย่างนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก ความรู้อย่างนี้ไม่เคยปรากฏที่ใดมาก่อน มารเขาขัดขวางไม่ให้ข้าพเจ้าเปิดเผย แต่ข้าพเจ้าจะเปิดเผยเพื่อชาวโลกจะได้รู้ของจริงกันเสียที ” ใครอยากจะทราบ ว่าท่านปราบมารอย่างไรก็ไปหาอ่านเพิ่มเติมได้ในจุดนี้ครับ ( ที่ติดต่อมีอยู่ท้ายเล่มครับ ) เพราะมีเนื้อหาสาระ เรื่องราวที่เป็นเรื่องละเอียดมากมายน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ผลงานในการสร้างบารมีที่ยอดเยี่ยมตลอดมาในชีวิตของ ท่านโดยเฉพาะเรื่องปราบมารนั้น ถึงขนาดหลวงพ่อวัดปากน้ําอดที่จะออกปากชมท่านไม่ได้ว่า “ ศึกษาฯนี้มันผิด ตํารามันเก่งกว่าอาจารย์ ”( หลวงพ่อวัดปากน้ําเรียกอาจารย์การุณย์ว่าศึกษาฯ ) หรืออีกคําพูดหนึ่งที่ว่า “ ถ้าศึกษาแพ้ ก็แพ้กันหมด ถ้าศึกษาชนะก็ชนะกันหมด ” และคําพยากรณ์ของหลวงพ่อสดที่ท่านให้ไว้กับท่านอาจารย์การุณย์ก็ คือ “ ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องสําเร็จในยุคของศึกษา ” และธาตุธรรมยังทรงชมเชยอาจารย์การุณย์ถึงกับทรงรับสั่งว่า “ ในที่สุดก็ได้พึ่งศึกษาคนนี้เป็นผู้ดับทุกข์ให้ในทุกเรื่อง ” นับว่าไม่ธรรมดาครับ และที่สําคัญท่านได้เคยกล่าวเรื่องราว ในส่วนละเอียดที่ท่านได้ไปค้นเจอ มานําเสนอให้ชาวโลกได้รับรู้อีกมากมาย ผมได้คัดเอาความรู้จากปลายปากกา ของท่านมานําเสนอเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระนิพพานเท่านั้นครับ ก่อนอื่นใดผมต้องขอกราบคารวะขอบคุณ คุณลุงศึกษาการุณย์ บุญมานุชมา ณ ที่นี้เป็นอย่างสูง ในฐานะศิษย์ที่เคารพและศรัทธาท่านอย่างหาที่สุดมิได้ และขอ ร่วมเผยแพร่เรื่องราวอันทรงคุณค่านี้ด้วยคนนะครับ โดยที่ผมจะคงข้อความของอาจารย์ไว้ทุกคําเพื่อป้องกันความ ผิดเพี้ยนของเนื้อหาสาระอันจะเกิดขึ้นได้ครับ
32
ลับเฉพาะนิพพาน 1.
เรื่องของนิพพาน คุณลุง”ศึกษา ฯ”หรือท่านอาจารย์การุณย์ บุญมานุช ได้เล่าเรื่องของนิพพานเอาไว้ในหนังสือปราบมารเล่ม 2
เอาไว้อย่างนี้ครับว่า “ ใครจะอย่างไร ข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่ข้าพเจ้ามีหน้าที่ทําวิชาปราบมาร
ต้องเดินวิชาไปถึงพระ
พุทธองค์ตามบทบาทหน้าที่ พระพุทธองค์มีมากน้อยปานใดต้องไปถึงให้หมด หยาบแค่ไหนและละเอียดแค่ไหน วิชาของเราต้องไปถึง เมื่อไปถึงแล้วต้องรวมมาเป็น “ หนึ่ง ” และจากหนึ่งที่ว่านี้ต้องย่อยแยกธรรมภาคมารออกไป ให้หมดด้วยวิชารบคือ ต้องดับมารเหล่านั้นทั้งหมดทั้งในรูปแบบของนิพพาน , ภพ 3 , โลกันต์ จุดเล็กที่เราเห็นเป็น
ละเอียดของเขา จุดเล็กนิดเดียวนี่คือธาตุทั้งหมดธรรมทั้งหมดของเขา
เมื่อเราทําให้หยาบขึ้นมาก็คือ
นิพพาน , ภพ 3 , โลกันต์ของเขา ส่วนกายคือตัวละครของมารอยู่ในนั้นต้องจับกายมาดับให้หมดสิ้น นี่คือหลัก ความรู้ย่อ ความยากของเราอยู่ที่ไปไม่ถึงละเอียดคือ เราเห็นว่าสะอาดหมดแล้ว , ขาวหมดแล้ว นี่คือความเข้าใจผิด แต่ก่อนนี้รบกันหยาบ ๆ มีอะไรอยู่ที่ไหนเราเห็นได้หมดดับได้หมด นั่นคือเหตุการณ์ปราบมารในปีแรก ๆ ระยะหลัง นี้ยากขึ้นแล้ว ที่เราว่าสะอาดแล้ว , ขาวแล้วเป็นความเข้าใจผิด ต้องทําวิชาให้ละเอียดไปกว่านั้น จึงจะเห็นจุดดําเล็ก ซ่อนอยู่ นี่คือความยากที่จะต้องคิดวิชากันต่อไป อยากคุยกับท่านว่า ข้าพเจ้าได้รู้เห็นนิพพาน , ได้รู้เห็นพระพุทธ องค์ , ได้รู้เห็นปัญหาของธาตุธรรมมาพอสมควรแล้ว ถึงจะไม่ละเอียดนักก็พอฟังได้ทีเดียว
ทําให้นึกถึง
เกจิอาจารย์ดัง ๆ เล่าลือว่าท่านเป็นพระอรหันต์ จริง ๆ แล้วไม่เป็นจริงตามนั้นเลย
ตราบใดที่ยังไม่เป็น
ธรรมกาย ตราบนั้นก็ยังไม่รู้ว่านิพพานอยู่ที่ไหน , หน้าตาอย่างไร , การไปนิพพานเขาไปอย่างไร ยังไม่มีใครรู้ทั้งนั้น จะรู้อยู่ก็แต่ท่านที่เป็นธรรมกายเท่านั้น จะว่าข้าพเจ้าแจ้งนิพพานหรือเปล่า ข้าพเจ้าไม่ทราบแต่ก็เคยทํานิพพาน มาแล้วเคยทําภพให้แก่ทิพย์ , พรหม , อรูปพรหม มาแล้ว ถามว่าทําอย่างไรถึงเวลาที่ความรู้ของเราเรืองขึ้นมา ความรู้มันไปเองโดยอัตโนมัติ เราก็ได้หลักว่าทําภพนิพพานเขาทํากันอย่างนี้ , ทําภพทิพย์ , พรหม , อรูปพรหม ก็ แบบเดียวกันต่างกันที่ความละเอียดของวิชาเท่านั้น ยังนึกอยู่ว่าหากเราได้มรรคผลนิพพานขึ้นมาเราจะไปอยู่ที่ไหน เราเคยมาทํากับเขาไว้หรือ เราถือสิทธิ์อะไรที่จะมาอยู่อาศัย เหตุใดนึกคิดเช่นนั้นก็ไม่ทราบเหมือนกัน
2.
การเดินวิชาเพื่อให้ไปสุดนิพพาน การเดินวิชาเพื่อให้ไปสุดนิพพานนั้นเป็นความปรารถนาของเราทุกคน แต่เรามักทําได้แค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ แล้วเราก็
พอใจแล้ว นับเป็นความเข้าใจผิดอย่างไม่น่าอภัยให้ จะว่าดีก็ได้จะว่าร้ายก็ถูก ที่ว่าดีคือท่านแจ้งนิพพานได้ , ไปรู้ได้, ไปเห็นมาพอสมควร เกิดบุญเกิดบารมีแก่ท่าน ที่ว่าร้ายก็คือท่านไม่ไปสุดวิชาปกครองย่อมอยู่ใต้ปกครองของ
มารตลอดไป จะลงมาสร้างบารมีธรรมสักปานใด กี่ชาติ , กี่ภพ ก็อยู่ใต้ปกครองของมารเขาอยู่ดี เพราะมารที่ ละเอียดสกัดการเดินวิชาของเรา ทําให้เราเดินวิชาไปไม่สุดนิพพานได้ มารเขาหัวเราะทันที มืออย่างนี้อย่ามาลูบคม
33
เขาเลย มีอีกเท่าไรเขาก็ไม่กลัว ข้าพเจ้าจึงย้ํานัก ขอให้ไปให้สุดนิพพานให้จงได้ ไม่มีใครฟังเราเลย มารเขารู้ ล่วงหน้าว่าเราจะลงมาเกิดปราบเขา เขาเล่นงานเราก่อนแล้ว ก่อนเข้าสู่ครรภ์มารดาเขาก็เล่นงาน พอเข้าครรภ์มารดา เขาก็กระหน่ํา กว่าจะรอดจากทารกสู่วัยโตมีใครบ้างปกติสมบูรณ์ ถูกกลับเพศเป็นหญิงกันเป็นแถว พอโตขึ้นหน่อย ก็รับเคราะห์กรรมสารพัด กว่าจะมาถึงหลวงพ่อ , กว่าจะเป็นวิชา ต่างงอมพระรามด้วยกันทั้งนั้น อย่างแม่ชีถนอม อาสไวย์ ท่านเป็นสตรีรูปงาม ถูกน้ํามันพรายแต่ครั้งเป็นสาวคุ้มดีคุ้มร้าย หลวงพ่อท่านแก้ไขด้วยวิชาธรรมกายจึงสู่ ความปกติ
3.
บนนิพพานนั้นมีมารเต็มอัตรา ไม่ว่านิพพานธรรมกายหรือนิพพานเป็น ธรรมภาคมารยึดปกครองทั้งนั้น คือ เขาซ้อนกายของพระองค์ข้างนอก
ขาว ข้างในไม่ขาว เรานิโรธไปถามความรู้ไม่ทรงตอบ เพราะมารมันบังคับอยู่ ทรงตอบไม่ได้ นิพพานที่หยาบคือ นิพพานเบื้องต้น เราดับมารพวกนี้ดับไป มารละเอียดจากนิพพานสูงลงมาแทรกอีก วนเวียนอยู่อย่างนี้ไล่กันไม่จน ใครช่วยใครทําได้ยาก นิพพานใครก็ของใคร ไปมาหาสู่กันไมได้ ไปเรียนความรู้กันไม่ได้ มารเขาสกัดไว้หมด ตามที่กล่าวนี้คือบรรยากาศเดิม ต่อเมื่อเรารบไป , คํานวณไปจากหยาบไปหาละเอียดเรื่อยไปไม่ถอยหลัง ไม่นานเลย เราจะไปสุดนิพพานทั้งหมด เมื่อเราไปสุดละเอียดแล้วถือว่าเป็นชัยชนะอันใหญ่ยิ่งและยิ่งใหญ่ บารมีงามตรงนี้เอง
4.
ไปสุดนิพพานแล้วจึงจะมีงานทํา ความยากลําบากกว่าจะรบเพื่อไปให้สุดนิพพานนั้นอย่าให้เล่าเลย อีกกี่วันก็พูดไม่จบ มาจับประเด็นของเรื่อง
ก่อนว่าประเด็นสําคัญอยู่ที่อะไร ตราบใดที่ยังไปไม่สุดนิพพานไม่ว่ากี่ชาติ , กี่ภพ งานสะสางธาตุธรรมจะเริ่มไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ข้อมูลอะไร เมื่อเราไม่ได้ข้อมูลเราก็ไม่รู้จะทํางานอะไร เราคงได้แต่อารมณ์นิโรธซึ่งมารเขาไม่ ขัดขวาง เราปล่อยให้ท่านทํานิโรธอย่างตามใจชอบ เราก็ว่าเราละสังโยชน์ได้แล้ว , เข้านิพพานได้แล้ว , ได้มรรคผล นิพพานแล้ว กาลก่อนไม่มีปัญหาแต่เดี๋ยวนี้มีปัญหา ปัญหาที่ว่านี้คืออะไรท่านอยากทราบ ปัญหาที่ว่านี้คือมารยึด อํานาจปกครองหมดแล้ว ธรรมฝ่ายสัมมาทิฏฐิถูกธรรมฝ่ายมิจฉาทิฏฐิยึดอํานาจปกครองโดยสิ้นเชิง เมื่อ นิพพานถูกยึดอํานาจแล้วอรูปพรหม , พรหม , ทิพย์ , มนุษยโลก , จักรพรรดิ , กายสิทธิ์ ถูกยึดไปด้วย ส่งผลให้ เดือดร้อนทั่วไป ธาตุธรรมแก้ไขโดยอาราธนาหลวงพ่อวัดปากน้ําให้มาเกิด เพื่อทําวิชาปราบมาร ดั่งที่เราท่านทราบ กันแล้ว ข้าพเจ้าจะไม่กล่าวละเอียด การให้มาเกิดก็คือต้องการให้มีกายมนุษย์ ถ้าไม่มีกายมนุษย์แล้วสู้เขาไม่ได้ เลยไม่ว่าใครทั้งนั้น กองทัพธรรมของหลวงพ่อกรีธาทัพลงมาใหญ่หลวงนัก มีทั้งนักรบผู้บํารุงและภาคผู้เลี้ยง ฉะนั้นท่านจะเห็นว่าหลวงพ่อวัดปากน้ํามีศิษย์ทั่วโลก ใครเห็นหลวงพ่อเป็นต้องเคารพ , รัก , เชื่อฟัง , เกรงกลัว พอ เอ่ยชื่อหลวงพ่อเราสยบกันทั้งนคร เพราะหลวงพ่อมีบารมีธรรมสูงเพียงพิสดารกายมนุษย์ละเอียดคือ กายฝันเพียง กายเดียวเท่านั้น กายนั้นก็ลงมาเกิด แต่กายธรรมอยู่บนนิพพานคอยดูแลกายมนุษย์ของหลวงพ่อที่มาเกิดในโลก พอ หลวงพ่อค้นวิชาธรรมกายได้ สหชาติโยธาของท่านทั้งหมด ไม่ว่าจะไปเกิดที่ใดต่างมุ่งตรงไปหาหลวงพ่อกันหมดไม่
34
ว่าจะอยู่จังหวัดใด , ไม่ว่าหญิง , ไม่ว่าชาย ต้องไปหาหลวงพ่อทั้งนั้นเหมือนมีอะไรบังคับใจ เมื่อพบหลวงพ่อแล้ว สหชาติโยธาที่เป็นนักรบจะเป็นวิชาธรรมกายทันที ส่วนพวกบํารุงจะศรัทธาหาเงินไปสนับสนุนกิจการของหลวงพ่อ ไปช่วยเลี้ยงพระ , ไปช่วยสร้างเสนาสนะ สหชาติโยธาที่เผยแพร่ก็ทําหน้าที่เผยแพร่วิชาธรรมกายดังที่เราท่านเห็นอยู่ ในบัดนี้ งานปราบมารของหลวงพ่อระดมสรรพกําลังทุกสถาน ตั้งเวร 6 เวร ทําวิชาปราบกันมากว่า 3 ปี วินาทีเดียว ก็ไม่ได้หยุด ปรากฏว่างานปราบมารของหลวงพ่อบุกเบิกมาไม่น้อยทีเดียว การที่งานได้เพียงแค่นั้นก็เพราะว่ามัน ยากเกินกว่าที่ธาตุธรรมได้คิดไว้ ข้าพเจ้ามารับช่วงงานของหลวงพ่อจึงทราบว่า งานยังไม่ไปถึงไหน จําได้ว่าครั้งที่ แม่ชีถนอม อาสไวย์ ยังไม่ตาย ได้พูดแก่ข้าพเจ้าว่า
“ ศึกษา ฯ หลวงพ่อเรามาแหย่รังแตน แต่ครั้งอยู่วัด
ปากน้ํา อยากพูดคํานี้แก่หลวงพ่อแต่ก็ไม่ได้พูด ก็ได้พูดกับศึกษา ฯ วันนี้ ” คํานี้ข้าพเจ้าไม่ลืมไม่ทราบว่าแม่ ชีพูดกับเราทําไม เพราะเราไม่รู้เรื่อง ข้าพเจ้ามีเวรกรรมอะไรไม่ทราบศิษย์หลวงพ่อระดับฮ่องเต้มักพูดอะไรฝาก ข้าพเจ้าไว้มาก เห็นเราเป็นอะไรไป โดยเฉพาะหลวงปู่ชั้ว โอภาโส พูดฝากไว้มาก ศิษย์ฮ่องเต้ของหลวงพ่อทําถูก แล้ว วันนี้พิสูจน์อะไรกันไปมากแล้ว หากท่านเหล่านั้นไม่บอกไว้เราจะต้องสืบรู้สืบญาณทัสสนะต่อไปอีก เพื่อไปหา ข้อมูล เพราะไม่มีข้อมูลแล้วเราทําอะไรไม่ได้ เมื่อเราไปสุดนิพพานแล้วธาตุธรรมท่านจะบอกเราเองว่าจะให้ทํา อะไร เคยย้ําแล้วย้ําอีกว่าต้องเดินวิชาไปให้สุดนิพพาน แม้การไปนั้นจะลําบากเราต้องอดทน มารเขาจะไม่ยอมให้ ท่านเดินวิชาอย่างสะดวก เขาสกัดกั้นท่านทุกวิถีทางและทุกสถาน ท่านต้องรบได้ด้วย รบไม่ชนะก็ไปไม่ได้ คงไปได้ แค่นิพพานอ่อน ๆ แล้วท่านก็มาดีใจจนตับเต้น หากเรียนอย่างนี้อีกร้อยชาติก็ไม่ได้ความอะไร เรียนแบบนี้ทําให้มาร มันรู้เชิงเรา มีอีกเท่าไรก็แพ้เขาทั้งนั้น ข้าพเจ้าผู้หนึ่งจะไม่ให้บารมี เพราะท่านเรียนอย่างเพ้อฝันเรียนอย่างไร้ กฎเกณฑ์เรียนเพื่อมาคุยโม้โอ้อวดไม่มีประโยชน์ ขอให้เลิกวิธีเช่นนั้น ขอให้เข้านิพพานแบบยอมตายกันเลย รบเป็น รบ เราเกิดมาเพื่อตายอยู่แล้วเรื่องตายเรื่องเล็ก เพราะเราตายมาแล้วนับชาติไม่ถ้วนไปกลัวกันทําไม ธาตุธรรมท่าน ให้มาเกิดแล้วทําให้ธาตุธรรมผิดหวัง เราจะมองพระองค์ไม่เต็มตา พระองค์จะเสียพระทัยขนาดไหน ส่งมากี่คนก็ เป็นเหยื่อเงินเป็นเหยื่อลาภยศเป็นเหยื่อคํายอกันหมด ถ้าเป็นลักษณะนี้หลวงพ่อวัดปากน้ําท่านพูดว่าเสียข้าวสุก ฉะนั้นจึงขอร้องให้เรียนจริง เราไม่สามารถนําอาหารทิพย์ไปถวายพระพุทธองค์ได้ เราไม่สามารถทําให้เพื่อนร่วม โลกของเราเห็นธรรมกายได้ แค่นี้ก็อายไม่รู้จะอายอย่างไรแล้ว บ่งถึงว่าหมดฝีมือแค่นี้ก็ทําไม่ได้ ข้าพเจ้าอายมาก บอกถึงว่าไม่ตั้งใจศึกษา ไม่ตั้งใจค้นคว้าน่าเสียใจมาก แต่ละท่านที่ไปสุดนิพพาน ธาตุธรรมท่านจะบอกปัญหาว่ามี ปัญหาอะไรบ้างปัญหานั้นอยู่ที่ไหน เหตุใดจึงให้เรามาเกิด มาเกิดคราวนี้จะให้ทํางานอะไร มีความจําเป็นอะไรที่ จะต้องทํา เรื่องบารมีไม่ต้องพูดกันอีกแล้วเรื่องเล็กน้อยเรื่องขี้ผง ระดับนี้แล้วเขาไม่พูดกันแล้วเสียเวลาเปล่า ๆ ขอ เล่าสักนิดว่าเมื่อไปสุดนิพพานแล้วมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ต้นใหญ่ คือ องค์ที่ให้หลวงพ่อมาเกิด ประชุมธาตุ ธรรมทั้งหมดทั้งนิพพานกายธรรมและนิพพานเป็นเราก็ฟังว่า พระองค์ประชุมกันนี้เรื่องอะไร มีสาระอะไรบ้างคราว นี้เรื่องจะแดงออกมาทีละเรื่องสองเรื่อง สรุปเป็นเรื่องปราบมาร “ เหมาให้เราแก้ไขทั้งหมด ” เรายิ่งฟังพระองค์
35
รับสั่งเราก็ยิ่งไม่รู้เรื่อง เพราะญาณทัสสนะของเราไม่ทันพระองค์เลย เราก็ต้องมาหาหลวงพ่อวัดปากน้ํา ถามหลวง พ่อไปทีละเรื่อง หลวงพ่อจะบอกแต่เพียงเค้าเงื่อน เราไม่เข้าใจอีกเข้านิโรธไปถามต้นใหญ่อีก ขอเรียนก่อนว่าต้น ใหญ่ท่านเป็นผู้ปกครองใหญ่ , ปกครองนิพพานทั้งหมด , นิพพานเป็นก็มีต้นนิพพานเป็น เป็นผู้ปกครองนิพพาน เป็น ส่วนต้นใหญ่ทรงปกครองนิพพานกายธรรมทั้งหมด กล่าวถึงต้นใหญ่เวลาเราติดขัดอะไรไปทูลถามทีไรก็รับสั่ง ให้คิดเอง ถ้าดับมารไม่ชนะจะทรงตําหนิ แต่ถ้าชนะแล้วทรงดีพระทัยถึงกับรับสั่งเป็นยาหอมตลอดเวลา “ ให้ศึกษา
ฯไปเกิดไม่ผิดหวัง ได้งานเกินเป้าหมาย ” เราได้ยินเข้าก็หน้าบาน หลวงพ่อเราก็ใช่เล่นปะไร เราไปหาหลวง พ่อเรา หลวงพ่อก็สําทับไปอีก “ มันดีแค่ศึกษา ฯ เมื่อไร กระทบมาถึงหลวงพ่อด้วย ” หลวงพ่อดีพระทัยด้วย หากท่านได้ดูบันทึกเหตุการณ์ ขณะนี้รวมได้ 13 เล่ม สมุดเบอร์ 2 จะทราบทันทีว่า ธาตุธรรมท่านเก่ง หลอกให้เรา ทําวิชาปราบมารถวายมาได้ตลอด มีลูกเล่นแพรวพราวต้องดูบันทึก แต่ที่เจี๊ยวจ้าวเราก็มีอย่างเมื่อเร็ว ๆ นี้ ข้าพเจ้า โดนขนานใหญ่เข้าอย่างแรง ไม่ทราบว่าเดินวิชาอย่างไรทรงโกรธมาก “ ดูศึกษา ฯ มันเดินวิชาซี วิชาปกครอง
เขาทําอย่างนี้หรือ ” ลั่นทีเดียว เราต้องตั้งสติใหม่ เราต้องมีอะไรไม่ถูกต้องนึกเช่นนั้นเลยลําดับวิชาใหม่ พอทําถูก ก็รับสั่ง “ จําไว้ซี ” รอดไปคิดว่าโดนอีกแล้ว เมื่อเร็ว ๆ นี้อีกเหมือนกันธาตุธรรมได้มาประชุมพร้อมกัน พอเราไป ถึงเท่านั้นต้นใหญ่ทรงรับสั่งพิฆาตอีก “ ศึกษา ฯ มาก็ดีแล้ว ทรงชี้พระหัตไปรอบ ๆ ถ้ามารดับไม่หมด ข้า
จะให้ไปเกิดกันหมดนี่แหละ” หลวงพ่อเราก็อยู่ในที่นั้นด้วย ต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน เราก็ว่าเราทําวิชาทุกวัน งานเราก้าวหน้า เหตุใดมีรับสั่งอย่างนั้น เกินรู้เกินญาณทัสสนะของเรา เราก็เฉย ๆ ไว้ กลับมาหาหลวงพ่ออีก หลวง พ่อรับสั่งว่า “ ทุกเรื่องต้องเสร็จในยุคของศึกษา ฯ ” พอหลวงพ่อกําชับเราต้องคิดวิชาอีก เวลาเย็นต้องไปวิ่งออก กําลังกาย กลับบ้านรีบอาบน้ํารีบนอนพัก ทานข้าวเย็นแล้วเดินวิชาทันที ถ้าไม่ทําอย่างนี้กําลังกายไม่ดีส่งผลถึงนิโรธ ด้วย ต้องทําให้กายมนุษย์มีอนามัยสมบูรณ์เข้าไว้ ดูแลกายมนุษย์ให้ดี เพราะมีผลต่อการเดินวิชา สมัยหลวงพ่อรบ หลวงพ่อออกกําลังอย่างเราไม่ได้ เพราะเป็นพระร่างกายอ่อนไปจะด้วยเหตุใดมีผลกระทบต่องานทางวิชาทันที
5.
พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ใหม่ ( กายธรรมของพระองค์โตขึ้นกว่าเดิม ) เป็นผลงานตั้งแต่ปราบมารภาค 1 คาบเกี่ยวกับภาค 2 ขอกล่าวรวมกันไปเลย เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า การรบใน
ระดับนิพพานต้องกระทําติดต่อกันมาเว้นไม่ได้เลย เพราะมารเข้าไปยึดอํานาจปกครองในนิพพาน การรบทุกสมัย
มาเป็นการรบในระดับนิพพานทั้งสิ้น แม้ข้าพเจ้าก็ต้องทําอย่างนั้น ความเดิมมีอยู่ว่าแต่เดิมนั้นไม่มีการ กระทบกระทั่งกันระหว่างมารกับพระ ต่างฝ่ายต่างอยู่ต่างฝ่ายต่างไม่กระทบกระทั่งกัน ต่อมาธรรมภาคพระถูกยึด อํานาจก่อน โดยมารไม่ยอมให้ผู้ได้มรรคผลเข้านิพพานโดยกายมนุษย์ เพราะการเข้านิพพานโดยกายมนุษย์ที่เรา เรียกว่านิพพานเป็นนั้น ( สอุปาทิเสสนิพพาน ) พระพุทธเจ้ามีฤทธิ์เดชมาก เกรงว่าอํานาจปกครองของตนจะต้อง
36
สูญเสียไม่วันใดก็วันใด เขาจึงมาตั้งกติกาใหม่ให้เข้านิพพานโดยธรรมกายเท่านั้นคือ ให้กายมนุษย์ตายเสียก่อนแล้ว ให้ธรรมกายเข้านิพพาน นิพพานธรรมกายนี้หลวงพ่อท่านเรียกว่านิพพานตาย ( อนุปาทิเสสนิพพาน )
6.
การเปลี่ยนแปลงในธาตุในธรรม ก่อนนี้มีแต่นิพพานเป็น ผู้คนสมัยนั้นเป็นสุขเพราะพระปกครอง แม้การคลอดลูกก็เหมือนอย่างเราถ่ายอุจจาระ
ต่อมามารเข้ายึดอํานาจปกครองเข้านิพพานได้เพียงธรรมกาย ผู้คนเดือดร้อนอย่างที่เราเห็นในทุกวันนี้ แม้คลอด บุตรถึงกับต้องผ่าท้อง เหตุเพราะมารปกครองนั่นเอง หลวงพ่อท่านเล่าว่านิพพานเป็นนั้นท่านมีกายมนุษย์ มีความ แข็งแรงประดุจปูมีกระดอง ส่วนนิพพานธรรมกายไม่แข็งแรงประดุจปูนิ่ม ธรรมภาคมารแข็งแรงกว่าธรรมภาค พระ พูดให้ง่ายก็คือพระแพ้มาร นิพพานเป็นของเรามีจํานวนน้อย นิพพานธรรมกายของเรามีมาก
เหตุที่เรามี
นิพพานเป็นน้อยนี่เอง จึงสู้เขาไม่ได้ นิพพานมีจํานวนเท่าไร มีมากกว่าเมล็ดทรายในท้องมหาสมุทรทั้ง 4 คํา ว่ามหาสมุทรไม่ได้หมายความว่า มหาสมุทรในภูมิศาสตร์ที่เราเรียน แต่เป็นมหาสมุทรอยู่รอบเขาพระสุเมรุชื่อ ปิต สาคร , ขีรสาคร , ผลีกสาคร และนิลสาคร
7.
การยึดอํานาจปกครองในธาตุในธรรม ธรรมภาคมารยึดหมด เวลาเราฝึกเจริญภาวนา อาราธนาให้พระองค์มาบังเกิดในกาย ,วาจา, ใจ ของเรานั้นพระองค์
ลงมาได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะมารเขาขัดขวาง เมื่อเราฝึกธรรมกายเป็นแล้ว เราฝึกเข้านิพพานเห็นธรรมกายของ พระองค์ขาว เรากราบที่ไหนได้กายละเอียดของพระองค์ถูกมารซ้อนกายอยู่ ข้างนอกเราเห็นขาวแต่ข้างในไม่ขาว หลวงพ่อท่านพูดเป็นคําทางวิชาธรรมกายว่ามารเขาเอิบอาบปนเป็นสวมซ้อนร้อยไส้ ทําให้พระองค์หมดกําลังไป ไหนมาไหนไม่ได้ จากนิพพานหยาบจะไปเรียนความรู้นิพพานละเอียดไม่ได้ ไปมาหาสู่กันไม่ได้ ( คุณผู้อ่านต้องอ่าน ปราบมารภาค 1 จึงจะทราบรายละเอียดของเรื่องนี้ทั้งหมด )
8.
การรบเพื่อเอกราช การรบนั้นเรารบเพื่ออะไร เพื่อเอาเอกราชของเราคืนมา การอยู่ใต้ปกครองของเขาก็เหมือนประเทศราชที่เรา
เห็นในโลก มีอะไรเขาก็เอาไปหมด เป็นเมืองขึ้นของเขาแล้วไม่มีอะไรเหลือทั้งนั้น ประเทศราชสูญเสียหมดทั้งสิ้น แต่เอกราชในทางธรรมยิ่งกว่านั้น พระพุทธองค์ทรงสร้างบารมีมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน กว่าจะได้ดวงบารมีเป็น พระพุทธเจ้าแปลว่าเหน็ดเหนื่อยปานใดเมื่อถูกภาคมารปกครอง มารเขาก็มาแย้งเอาไปหมดดวงบุญ , ดวงบารมี , ดวงรัศมี , ดวงกําลัง , ดวงฤทธิ์ , ดวงอํานาจ , ดวงสิทธิ , ดวงสิทธิเฉียบขาด , ดวงสมบัติ , ดวงคุณสมบัติ , ดวง ความสําเร็จ มารเขามาเอาไปเกือบหมด เหมือนหนึ่งเราแพ้สงครามผู้แพ้คือเชลยต้องถูกเขาบังคับ สมบัติของผู้แพ้ผู้ ชนะกวาดเอาไปเหมือนกรุงศรีอยุธยาแพ้พม่า พม่าเขาก็กวาดเอาทรัพย์สินของเราไป เมื่อพระพุทธองค์เป็นอย่างนี้ กลับมาดูพวกเราบ้างทิพย์ , อรูปพรหม , จักรพรรดิ , กายสิทธิ์ , มนุษยโลกแทบไม่มีอะไรเหลือ ที่มีค้างอยู่บ้างก็เป็น กากเป็นเดน เป็นอย่างนี้ทั้งหมดทุกโลกและทุกภพ แต่เราไม่รู้ข้าพเจ้าก็ไม่รู้รบไป ๆ และไปเห็นเข้าอะไรหนอดวง
37
ขาว ๆ ทําไมมารเขามีได้ ธาตุธรรมท่านบอกเราจึงรู้ เราใจหายเลย “ ศึกษา ฯ จะต้องไปติดตามเอาคืนมาให้ได้
ทั้งหมด ” ธาตุธรรมท่านสั่งเราก็มานั่งคิด , นึก , ตรองว่าเราจะรบโดยใช้วิชาอะไร ใครจะบอกวิชาเรา เมื่อไรเราจึง จะชนะ เราก็ตกเป็นเมืองขึ้นของมาร นี่คือภารกิจของข้าพเจ้า นี่คือหน้าที่ของข้าพเจ้า “ ศึกษา ฯ ระวังอย่าให้แพ้
ถ้าศึกษา ฯ ชนะก็ชนะกันหมด ถ้าศึกษา ฯ แพ้ก็แพ้กันหมด ” หลวงพ่อท่านกําชับอย่างนี้ “ ความหวังของ หลวงพ่ออยู่ที่ศึกษา ฯ คนเดียว ” หลวงพ่อรับสั่งอย่างนี้ข้าพเจ้าน้ําตาไหล มันไหลของมันเองข้าพเจ้าเป็นชาย ไม่ใช่คนขี้แย ทําไมหลวงพ่อตั้งความหวังแก่เรา เราเป็นคนมีกิเลส เราไม่มีความรู้อะไร เสียงของหลวงพ่อก้องอยู่ใน หู ตั้งใจทําวิชาถวายไม่ทิ้งธุระ ราชการก็ตัดส่วนตัวก็ตัดงานสังคมตัดหมด รายได้อันจะพึงมีเนื่องจากเราไม่มีฐานะ ตัดออกด้วย สู้กันให้สุด ๆ ไปเลย เอาชีวิตเป็นเดิมพันกันแล้วกลัวหลวงพ่อจะเสียพระทัย กลัวหลวงพ่อจะผิดหวัง ตั้งใจทําวิชาถวายแก่พระองค์จะเอาชีวิตบูชาพระองค์ เกิดมาชาตินี้ไม่มีอะไรกับเขา จะเอาเงินก็ไม่พอ จะเอาสมบัติก็ ไม่มี มีแต่เงินเดือนที่เลี้ยงชีพตราบเท่าทุกวันนี้ อย่ากระนั้นเลยจะขอเอาชีวิตบูชาพระองค์ ข้าพเจ้าคนเดียวนี้แหละสู้ มารทั้งปวงได้ ถ้าข้าพเจ้าตายก็แปลว่าข้าพเจ้าแพ้เขา ถ้าข้าพเจ้าไม่ตายก็แปลว่าข้าพเจ้าชนะ กําลังใจมาจากไหนไม่ ทราบมันคิดอย่างนี้แต่ไม่บอกลูกเมีย กลัวเขาเป็นห่วง ที่เคยต่อล้อต่อเถียงกับพระองค์นั้นวันหลังเราจะกล่าวอุจจโย โทษต่อพระองค์ เพื่อให้พระองค์ดีพระทัย การรบดําเนินมาด้วยดี ถ้าจะให้ดีต้องเปิดอ่านบันทึกสาระที่จะกล่าว ต่อไปนี้เลือกเอาแต่ที่ควรเปิดเผยเท่านั้น
9.
พระพุทธเจ้าของเรา มารเขาเอาไปซ่อนไว้ ขอเล่าอีกหน่อยหนึ่ง รบไป ๆ เป็นว่างไปหมด ไป
พบพระพุทธองค์อยู่นิพพานละเอียด ถามพระองค์ว่า
“ รู้จักหลวงพ่อวัดปากน้ําไหม ” ทรงตอบว่าไม่รู้ ถามว่าหลวงพ่อลงไปปราบมารพระองค์ทราบไหม ทรงตอบว่า ไม่ทราบ ถามว่าพระองค์มาอยู่ที่นี่ทําไม ทรงตอบว่ามารเอามาซ่อนไว้ มีใครมาถึงพระองค์บ้าง ทรงตอบว่าไม่มี มี ข้าพเจ้าเท่านั้นที่มาถึงพระองค์ได้ ทรงตอบขอบคุณและถามว่าเรียนมาอย่างไรเรียนกับใครก็ทูลท่านไป ทรงกล่าวซึ่ง จําได้ว่าทําไมอาจารย์มาไม่ถึงท่าน เป็นอาจารย์ได้อย่างไรทําไมให้ลูกศิษย์มาถึงก่อน เธอนี้ปราบมารได้ทรงพยากรณ์ ทันที เมื่อทําวิชาปกป้องพระองค์แล้ว เรารีบมารายงานหลวงพ่อ หลวงพ่อตกใจ เหตุการณ์อย่างนี้พบบ่อย ๆ เดี๋ยวนี้ ตามได้ครบถ้วนแล้ว ยังอยู่แต่ว่าเราจะดับมารได้หมดจริงหรือไม่เท่านั้น เรื่องนี้หลวงพ่อเคยรับสั่ง “ ต้องปราบให้
หมด อย่าให้เหลือถ้าหลงเหลืออยู่ มันจะเอาไอ้ที่หลงเหลือนั้นมาปกครอง แล้วจะให้ใครปราบ ”คํานี้เอง เราจําไม่ลืม ฝีมือปราบมารหาไม่ได้อีกแล้ว จะไปหาที่ไหนมันจนใจตรงนี้ คุยกันเรื่องอื่นต่อไปดีกว่าเรื่องเดิมคุยกัน ไม่สนุกแล้ว
10.
พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ใหม่ทั้งหมด
38
งานดับอบายภูมิผ่านไปแล้ว มาถึงงานตามสมบัติ ต่อมาก็งานรวมธาตุธรรมมารเอาไปซ่อนไว้ที่ไหนต้องไป ตามมา มารเอาไปดับไว้ที่ไหนต้องไปดับอธิษฐานถอนปาฏิหาริย์ให้ฟื้น แล้วอาราธนากลับมาได้ทั้งหมด แค่นี้เราก็ หืดขึ้นคอ ถามว่างานที่กล่าวนี้ใช้เวลาเดินวิชากี่ปี จําไม่ได้ว่ากี่ปีแต่ปีนี้เข้าปีที่ 10 แล้ว อย่าว่า 10 ปีเลยยกมาเพียง เรื่องเดียวใช้เวลาชาติหนึ่งเราก็ยอมขอให้ทําให้ได้เถิด ถามว่า ตามที่บรรยายรายการต่าง ๆ มานี้เป็นไปได้หรือ
ตอบว่าถ้าเราทําไม่ได้แล้วเอาอะไรมาเขียน อยู่ดี ๆ จะมาเขียนย่อมเขียนไม่ได้ไม่ว่าใครทั้งนั้น ขอกล่าวอีก งานหนึ่ง งานสะสางธาตุธรรม ดําเนินมาถึงจุดนี้แล้ว ต่อไปนี้เราจะทําอะไรตอบไม่ได้ทั้งนั้น เรื่องข้างหน้าเรารู้ ไม่ได้ไปถามธาตุธรรมท่านทรงตอบไม่ได้ ข้าพเจ้าเพียรถามเช้าเย็นเพราะทรงพยากรณ์แล้วว่า รบวันนี้เสร็จแล้วถือ ว่าเสร็จงาน ที่ไหนได้เดินวิชาที่ไรพบมารอีกจนได้ พยากรณ์ก็คลาดเคลื่อนไป การรบในธาตุในธรรมไม่มีกติกา
ไม่มีวันประกาศพักรบ ไม่มีการสงบศึก แต่เมื่อรบไป ๆ แล้วมีอะไรเกิดขึ้น เราก็บันทึกเหตุการณ์ไว้เรื่องก็มี เท่านี้ แต่การรบขั้นตอนนี้เป็นอย่างไรไม่ทราบพอมารรุ่นนี้ดับได้อาราธนาพระพุทธองค์ทั้งหมดไปตรัสรู้ใหม่ในอดีต , ปัจจุบัน , อนาคต มีเท่าไรอาราธนาทั้งหมด เคยประสูติที่ใด , เคยตรัสรู้ที่ใด , เคยแสดงธรรมที่ใด , เคยปรินิพพานที่ ใด ทรงไปตรัสรู้ตรงนั้น โกลาหลดีจริงในวันนั้นอรูปพรหม , พรหม และสวรรค์ชั้นดุสิตต้องลงมาดูแลพระองค์จะว่า สนุกก็สนุก เพราะไม่เคยเห็นเหตุการณ์อย่างนี้ทรงเสด็จมาในโลก ต้องไปนั่งทําภาวนาใหม่ เมื่อเสร็จงานตอนนี้แล้ว จึงกลับเข้านิพพาน กล่าวถึงนิพพานธรรมกายทรงมีธรรมกายโตขึ้นเดิมหน้าตัก 20 วา ก็โตขึ้นกว่าเดิม มีกติกาดังนี้
เดิมตรัสรู้ได้ 84,000 ธรรมขันธ์ หากตรัสรู้ได้อีก 84,000 ธรรมขันธ์ ธรรมกายของพระองค์โตขึ้นไปอีก 20 วา ยิ่งตรัสรู้ได้มากธรรมกายก็ยิ่งโตขึ้นไปอีกอันนี้เป็นความรู้ใหม่ เราไม่ได้คิดมาก่อนเป็นเหตุบังเอิญแท้ ๆ พวกเราเข้านิพพานตกใจไปตาม ๆ กัน ทําไมพระพุทธเจ้ามีธรรมกายโตนัก
เราจึงได้ความรู้ว่าการที่ตรัสรู้ได้
เพียง 84,000 ธรรมขันธ์นั้นเป็นเพราะมารเขาสกัดกั้นจึงตรัสรู้ได้แค่นั้น ตรัสรู้เพียงแค่นี้ยังสู้มารเขา ไม่ได้ต้องตรัสรู้ไปให้มากกว่านั้น อย่างพระสมณโคดมทรงเห็นวิชาอิทธิบาทภาวนาส่งผลให้กายมนุษย์มีอายุยืน เป็นกัปกัลป์ ได้ไปแสดงอุบายให้พระอานนท์อาราธนาในที่ต่าง ๆ 16 ตําบล พระอานนท์ก็ไม่อาราธนา พอครบกิจ โสฬส 16 พระอานนท์นึกได้กล่าวอาราธนา พระพุทธเจ้าจึงทรงรับอาราธนาไม่ได้ เพราะผิดพุทธประเพณี พอพระ พุทธองค์ทรงเห็นวิชาดี มารไม่ยอมแล้วจะให้นิพพานอย่างเดียวเอาโรคมาใส่ให้เพื่อให้ตายเร็ว ๆ มีเหตุผลว่า
เมื่อ
เห็นวิชาละเอียดขึ้นจะเป็นสื่อให้ไปเห็นวิชาที่เขาทรมานสัตว์โลก ไปเห็นวิชาปกครองเขาเข้าแล้วจะมา คิดสู้กับเขาหนหลัง คือคิดรบกับเขาอย่างที่ข้าพเจ้ารบกับเขาในทุกวันนี้ ในที่สุดพระพุทธองค์ก็อาพาธ และเข้า นิพพานในที่สุด เรื่องมันอย่างนี้ กลับมาเรื่องตรัสรู้กันต่อไปท่านอยากถามว่า ต้องตรัสรู้แค่ไหนจึงจะชนะมาร ข้อนี้ ตอบไม่ได้ต้องให้งานปราบมารของข้าพเจ้ายุติเสียก่อนจึงจะตอบได้ในตอนนั้น ท่านอย่าเพิ่งเชื่อข้าพเจ้าควรเข้า ธรรมกายไปทูลถามพระพุทธเจ้าในนิพพานดูก็ได้เพราะท่านก็เป็นธรรมกายเหมือนข้าพเจ้า ท่านมีสิทธิตรวจสอบ
39
ความถูกต้องทุกเรื่องที่ข้าพเจ้านํามากล่าวทั้งหมดผลพลอยได้จากการทําวิชาจนเป็นเหตุให้พระพุทธองค์เสด็จ
ไปตรัสรู้ใหม่ในโลก ส่งผลให้ตัวข้าพเจ้ามีธรรมกายโตขึ้นด้วยไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน การ ที่ธรรมกายของข้าพเจ้าโตขึ้นนี้เองทําให้ข้าพเจ้าสามารถนําอาหารทิพย์ขึ้นไปบูชาพระองค์ได้ถึงนิพพาน หากธรรมกายของข้าพเจ้าเล็กเพียง 20 วา แม้สอนภาวนาก็ไม่อาจให้เขาเห็นธรรมได้ อยากบูชาข้าวทิพย์ ก็ยากที่จะทําเพราะมารเขาขวางได้เขาสกัดได้นั่นเอง 11.
ดับตัวละครที่หลวงพ่อต้องการ การกล่าวถึงเรื่องนี้จะพูดละเอียดไม่ได้ เพราะไม่กล้าคงพูดได้อย่างพอเข้าใจโดยสังเขปเท่านั้น เรื่องก็มีอยู่ว่าแม่ชี
ถนอม อาสไวย์ พูดให้ฟังแต่ครั้งข้าพเจ้าเป็นศึกษาธิการ อ. ป่าโมกข์ จ. อ่างทอง พ.ศ. 2514
– 2523 ระหว่างนั้น
เรียนวิชาธรรมกายกับท่าน เพราะบ้านของท่านเป็นสํานักวิปัสสนา อยู่ข้างวัดทองคุ้ง อ. เมือง จ. อ่างทอง การไป ราชการในจังหวัดรถประจําทางจะต้องผ่านหน้าบ้านแม่ชี ดังนั้นแม่ชีกับข้าพเจ้าอยู่ไม่ไกลกัน รถยนต์วิ่งผ่านเพียง 5 นาทีก็ถึง แม่ชีเล่าว่าหลวงพ่อลงมาเกิดคราวนี้มีวัตถุประสงค์สําคัญอย่างเดียวคือมาจับตัวละครที่ว่านี้ ถือว่าเป็นตัว ละครสําคัญของธรรมภาคมาร ทําวิชาเท่าไรก็ยังไม่พบตัวละครที่ว่านี้สักที บัดนี้หลวงพ่อของเราก็มรณภาพไปแล้ว นักรบชั้นหัวกะทิคือศิษย์เอกของหลวงพ่อก็แยกกันไปต่างคนต่างไป ที่อยู่วัดปากน้ําจนวาระสุดท้ายก็คือ แม่ชีญาณี ศิริโวหาร และแม่ชีปุก มุ้ยประเสริฐ แม่ชีถนอมเล่าว่าตัวละครสําคัญที่หลวงพ่อต้องการยังคงไม่พบตราบเท่าทุก วันนี้ ข้าพเจ้าได้แต่ฟัง ฟังแล้วก็ไม่เชื่อ เมื่อไม่เชื่อแล้วก็ไม่สนใจ ลืมเรื่องราวไปเลย เรื่องนี้รู้กันในหมู่ศิษย์ธรรมกาย ระดับแก่กล้าของหลวงพ่อ เพราะท่านทําวิชาด้วยกัน ท่านต้องทราบตรงกัน แต่คนภายนอกไม่ทราบยิ่งหางแถว อย่างข้าพเจ้ายิ่งไม่รู้เอาทีเดียว ถึงแม่ชีถนอมพูดเรายังไม่เชื่อ มันจะเป็นเพราะอะไรข้าพเจ้าไม่ทราบ การทําวิชาของ ข้าพเจ้าเกิดมาพบตัวละครสําคัญเข้าให้เป็นเหตุการณ์จําได้ติดตา ( ไม่ทราบว่าไปบันทึกเหตุการณ์ไว้ในเล่มใด ) อยู่ บนนิพพานนั่นเองไม่ได้อยู่ที่ไหนอยู่ในว่างนั้น คํานวณให้ละเอียดเข้าไป พอว่างหยาบขึ้นมาพบทันที เมื่อพบ ข้าพเจ้าไม่รีรอให้เสียเวลาทําวิชาดับทันที เขาไม่สู้ข้าพเจ้าและดับลงอย่างง่ายดายไปถามหลวงพ่อว่า “ ทําไมเขาไม่
สู้ผม ” หลวงพ่อตอบว่า “ สู้ศึกษา ฯ ได้อย่างไร เพราะศึกษา ฯ มีบารมีมากกว่าเขา ” ข้าพเจ้าดีใจว่าต่อไปนี้ เราหมดหน้าที่แล้วขอเที่ยวเล่นกับเพื่อนฝูงบ้าง ที่ว่าดีใจไม่ได้หมายความว่าข้าพเจ้าไม่เก่งที่สามารถดับตัวละคร สําคัญได้ ดีใจเพราะเราจะเลิกทําวิชาปราบมารเพราะตรากตรํามานานแล้ว ไม่ได้หลับไม่ได้นอนมัวแต่เข้านิโรธ ค้นหามารไม่ต้องทําอะไรทั้งนั้น เอาแต่นั่งหลับตาสถานเดียวงานการไม่ได้ทํากับเขา ภรรยาเขาทําคนเดียวเราเอาแต่ นั่งหลับตา ต่อไปนี้เราหมดหน้าที่แล้วเราจะได้สบายแล้ว คิดอย่างนี้ ที่ไหนได้ดีใจชั่วไก่กระพือปีกยังไม่ทันได้เที่ยว เพียงแต่นอนพักผ่อนเท่านั้น พอตื่นขึ้นมาพบมารรุ่นใหม่อีกแล้วก็ต้องทําวิชารบต่อไปอีก ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ยัง ไม่ได้หยุดเลยแม้แต่วันเดียว การที่หลวงพ่อวัดปากน้ํามาเกิดคราวนี้ต้องการพบตัวละครท่านนี้ ถือว่าเป็นงานใหญ่ ของธาตุธรรมเป็นหัวใจของงาน แต่หลวงพ่อมาองค์เดียวหรือต้องพูดว่ามากันหมดนครทีเดียวเรียกว่าเป็นทัพ
40
สหชาติโยธา ทุกคนมีหน้าที่ , ทุกคนมีบทบาท , ทุกคนมีงานทํา แต่เป็นงานทางวิชาธรรมกาย หลวงพ่อมีลูกศิษย์ทั่ว โลกก็แปลว่าคนทั้งโลกต้องมายุ่งกับงานของหลวงพ่อ ทั้งหมดนี่คือข้อมูลที่เราท่านปฏิเสธไม่ได้ บัดนี้หลวงพ่อ กลับไปแล้ว นักปราชญ์สําคัญกลับเกือบหมดแล้วทิ้งไว้แต่ศิษย์ปลายแถวคือข้าพเจ้า ให้ข้าพเจ้ารบคนเดียว , ให้ ข้าพเจ้ารับผิดชอบคนเดียว , ให้ข้าพเจ้าทํางานยาก ๆ ตลอดเวลาที่รบอยู่ไม่เคยมีใครให้กําลังใจ ไม่คิดก็ดีไปอย่าง ถ้า คิดขึ้นมามันน่าช้ําใจ นี่คือชะตาชีวิตของนายการุณย์ บุญมานุช ขนานแท้ดั้งเดิม ความน้อยเนื้อต่ําใจอย่างนี้เกิด
มีแก่ข้าพเจ้าหลายครั้ง งานปราบมารเป็นงานใหญ่เป็นงานส่วนรวมเป็นภาระแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพูดไม่ ออกบอกไม่ได้จําต้องก้มหน้าสู้ต่อไป บางครั้งเกิดความท้อแท้เอามาก ๆ รู้กันหมดทั่วธาตุทั่วธรรม , ทิพย์ , พรหม , อรูปพรหม , จักรพรรดิ , กายสิทธิ์ รู้กันหมด แต่โลกนี้ไม่มีใครรู้เลย , ไม่มีใครเห็น ความสําคัญ , ไม่มีใครช่วย , ไม่มีใครอุปถัมภ์ แต่มาคิดว่าความเป็นเอกราชของธาตุธรรมอยู่เหนือสิ่งอื่น ใด ใครไม่รู้แต่พระศาสดารู้ ทิพย์ , พรหม , อรูปพรหม เขารู้ ความน้อยเนื้อต่ําใจก็หมดไป ดูแต่ท่านเจ้า คุณพระราชสาครมุนี เจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาคร ท่านเป็นธรรมกาย ซึ่งเป็นพวกของเราแท้ ๆ บอกว่าไม่รู้เรื่องของ ศึกษา ฯ มารู้เอาตอนตายนี้เอง หากเพื่อนคนอื่นพูดอย่างนี้บ้างมารู้เอาตอนตายขอโทษต่อศึกษา ฯ ด้วยที่ไม่ได้ ช่วยงานอะไรของศึกษา ฯ เลย ไม่รู้เรื่องของศึกษา ฯ เลยจริง ๆ แล้วเราจะว่าอย่างไร ตามสะดวกเถิดท่านเอ๋ยไม่ได้ว่า อะไร แต่วันนั้นจะต้องได้อายกันบ้าง วันนั้นคงมีการเสียใจกันบ้าง กลับมาพูดเรื่องสําคัญสุดยอดกันดีกว่า ตัวละคร ที่ถูกดับไปนั้นถือว่าหมดภารกิจของหลวงพ่อแล้ว ถือว่าเสร็จงานปราบมารของหลวงพ่อแล้ว เมื่อดับต้นภาคมารกาย มนุษย์ได้แล้วต้องถือว่าจบเรื่อง เอาเข้าจริงเรื่องยุติเพียงนั้นไม่ได้ เกินรู้เกินญาณทัสสนะของหลวงพ่อเกินความรู้ ของธาตุธรรมท่านแล้ว อย่าได้ไปโกรธท่านเลยมารยังมีอีกมากนัก แต่มันละเอียดเกินความรู้ที่พระศาสดาจะบอกเรา แล้ว หากเราเลิกทําวิชามันจะเอาธาตุธรรมที่เราไม่รู้ไม่เห็นมาปกครอง เราจะหมดหนทางแก้ด้วยประการทั้งปวง นี่ คือเรื่องหนักใจ ได้ถามหลวงพ่อว่า “ หลวงพ่อครับ เท่าที่รบมาเครื่องมือมารคือ ทุคติภูมิ เราก็จัดการไป
แล้ว ดวงบุญที่มารมาระเบิดเอาไปเราก็ตามมาแล้ว ตัวละครสําคัญคือ ต้นบาปกายมนุษย์ เราก็ดับไป เมื่อเร็ว ๆ นี้ งานปราบมารน่ายุติ ” หลวงพ่อท่านตอบอย่างนี้ครับ “ ศึกษา ฯ พูดมานี้ถูกต้องแล้ว แต่เรายัง ไม่รู้ว่าไอ้ที่ละเอียด ๆ นั้น มันซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ขอบข่ายมีเพียงไรเรายังไม่รู้ ” หลวงพ่อท่านว่ามาอย่างนี้ เราก็รู้ทันทีว่าเราต้องรบต่อยังหยุดไม่ได้ แต่หลวงพ่อท่านยืนยันว่า “ ทุกเรื่องต้องเสร็จในยุคของศึกษา ฯ ” หาก เป็นจริงอย่างหลวงพ่อว่า เราก็โชคดีร้อยชั่วทีเดียว ท่านอย่าเพิ่งดีใจ นั้นเป็นความเห็นของหลวงพ่อ ที่ท่านมีความ เชื่ออย่างนั้น “ เออ ! ศึกษา ฯ ต้องแก้ศพของหลวงพ่อให้ฟื้นด้วย ” เราได้ยินคํานี้เราก็หน้ามืดแล้ว คือ หลวงพ่อ ท่านเหมาให้เราหมดทุกเรื่อง แต่หลวงพ่อท่านมีวิธีใช้คน คือ ให้ยาหอมเราอยู่เรื่อย การรบคราวหนึ่งต้องเปิดดูบันทึก ว่าอยู่เล่มใด พอรบชนะธรรมกายของหลวงพ่อยืนขึ้นประกาศก้องทีเดียว “ เราเป็นหนี้ศึกษา ฯ กันทั้งหมด ” อีก
41
คราวหนึ่ง “ ที่เรารบชนะงวดนี้ได้ จะให้รางวัลเป็นเงินกี่ฟ้าครอบก็ไม่คุ้ม ” หากท่านสนใจโปรดไปดูบันทึก ข้าพเจ้าจดไว้เป็นสมุดเบอร์ 2 ถึงเล่มที่ 13 แล้ว ยาหอมทั้งปวงข้าพเจ้าไม่สนใจทราบว่าหลวงพ่อท่านหลอกใช้ ท่าน ให้กําลังใจเราก็รบต่อไป แต่มาคิดถึงคราวนั้นที่ว่า “ เป็นหนี้ศึกษา ฯ กันทั้งหมด ” ข้าพเจ้าไม่สบายใจจึงเข้า ธรรมกายไปถามแม่ชีถนอม อาสไวย์ ( แม่ชีตายไปแล้ว ขณะนี้อยู่ชั้นดุสิต ) ถามแม่ชีว่าทําไมธาตุธรรมท่านว่าอย่าง นั้น แม่ชีตอบว่า “ ก็ถูกละซี เป็นหนี้บุญคุณแก่ศึกษา ฯ กันทั้งนั้น รวมถึงฉันด้วย ถ้าศึกษา ฯ ดับมารรุ่นนี้ไม่ลง ไม่ รู้มันจะอาละวาดไปแค่ไหน ธาตุธรรมท่านทราบดีกว่าเรา ” แม่ชีพูดอย่างนั้น หนี้ที่ว่านี้ได้แก่อะไร คนอื่นเราจะไม่ ว่าอะไรแต่เกจิอาจารย์ไม่รู้จักข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้าทํางานอะไร หากท่านถามข้าพเจ้ามีความคิดอย่างไร ข้าพเจ้าขอตอบ ว่าเราทําวิชาถวายพระพุทธองค์อยู่แล้ว เราช่วยทิพย์ , พรหม , อรูปพรหม อยู่แล้ว จักรพรรดิ และกายสิทธิ์ เราช่วย อยู่แล้ว มนุษยโลกเท่านั้นที่เขาไม่รู้ เราไปว่าเขาก็ไม่ถูกเพราะวิชาของเราไปถึงหมดทุกภพทุกจักรวาลไม่เว้นเลย วิชา ปกครองทั่วไปไม่เว้นใครถือว่าอยู่ในปกครองของเราทั้งนั้น ธาตุธรรมท่านตัดสินข้าพเจ้าไม่ได้ตัดสิน อีกใจหนึ่งก็ อยากให้เกจิอาจารย์พูดเหตุขัดข้องให้ฟัง งานดับตัวละครสําคัญผ่านไปแล้ว แต่การบ้านที่ข้าพเจ้าคิดไม่เลิกคืออะไร ตัวละครท่านนี้ ข้าพเจ้าออกชื่อไม่ได้ ข้าพเจ้าไม่เชื่อแต่มันเป็นไปแล้ว ดังนั้นใครที่มีลักษณะเดียวกันนี้จะทําอย่างไร กันต่อไป นี่คือการบ้านที่เราคิดไม่ตก ใครที่สร้างบารมีคาบลูกคาบดอกอันตรายมาก เพราะจะต้องถูกมารพลิกธาตุ ธรรมกลับไปเป็นธรรมภาคมารแน่ ๆ แล้วเราจะต้องมาปราบกันอยู่อย่างนี้จะมีวันจบสิ้นหรือ อาจารย์ดัง ๆ ใน ประเทศของเรานี้ทําไมเรียนวิชาอย่างนั้น , ทําไมสอนกันอย่างนั้น , ทําไมได้เงินมาอย่างนั้น ถ้ามารหนุนใครเขาผู้ นั้นรวยทันทีรวยอย่าบอกใคร ดังเดี๋ยวนี้โด่งเดี๋ยวนี้ มีศิษย์มาสู่ไม่ขาดระยะทําอะไรคลังทั้งนั้น แต่ก่อนเราไม่ทราบ มาทราบเอาในตอนที่เราทําวิชาปราบมารนี่เอง มารมันทําได้สารพัดมันเก่งถึงขนาดนั้นทีเดียว ระยะนี้อาจารย์ดัง ๆ ตายกันมาก พอตายไปแล้วจะทราบเรื่องทั้งหมด เรื่องต่างๆจะเปิดเผยกันหมด ท่านที่คาบลูกคาบดอกจะหนาวๆ ร้อนๆ ท่านที่เป็นสัมมาทิฏฐิสบายใจทุกสถาน กล่าวถึงเกจิอาจารย์ที่วิชาไม่เป็นสัมมาทิฏฐิอย่างนี้ไม่มีปัญหา ตัดสิน ง่าย ประเภทคาบลูกคาบดอกนั้นยากมาก พระพุทธองค์จะให้ดวงบารมีหรือไม่ ถ้าให้ไปเดี๋ยวมารก็กลืนธาตุธรรม แล้วเราก็ต้องมาปราบกันอยู่อย่างนี้ ยังจําได้ไม่ลืม วันที่ดับตัวละครสําคัญแม่ชีถนอม อาสไวย์ท่านพูดว่า“ ศึกษาฯเรา
ปราบพวกเดียวกันเสียแล้ว”ข้าพเจ้าจําไม่ลืม นี่แหละท่านทั้งหลาย จะเรียนวิชาก็ต้องพิจารณา จะสร้างบารมี ก็ต้องเรียนรู้ มีเงินแล้วก็ทุ่มเข้าไป ท่านก็คิดว่าท่านได้บุญ แต่แล้วเหตุการณ์เป็นอย่างนี้ ทีเราขอแค่หมื่นบาท เพื่อนขัดข้อง แต่อาจารย์อย่างนั้นปรารภ เพื่อนทุ่มให้เป็นล้าน เรื่องดับตัวละครสําคัญขอจบแค่นี้ก่อน
12.
พระพุทธองค์นิพพานกายธรรมมีกายมนุษย์ เป็นผลพวงมาจากพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ใหม่แล้วทรงมีธรรมกายโตขึ้นตามที่กล่าวแล้ว ต่อมาเดินวิชาปราบ
มารทําติดต่อกันมาไม่ขาดระยะคือวิชาซ้อนสับทับทวีของหลวงพ่อและวิชาต่อแว่น , ต่อกล้อง , ส่องญาณทัสสนะ ทําไปรบไปตามเนื้อหาของวิชา นิพพานเป็นมีเท่าไร , นิพพานธรรมกายมีเท่าไร นํามารวมกันหมดแล้วเดินวิชาซ้อน
42
สับทับทวี นี่คือวิชาอย่างย่อทําอยู่เป็นปี ผลที่ได้คือ นิพพานกายธรรมมีกายมนุษย์ แต่นิพพานเป็นมีพระ
วารกายใสยิ่งขึ้น เราทราบแล้วว่านิพพานเป็นอยู่สูงกว่านิพพานธรรมกาย นิพพานเป็นมีพระวรกายเหมือน พระสงฆ์คือไม่มีเกศบัวตูม ส่วนนิพพานธรรมกายนั้นเป็นธรรมกายทั้งหมด หลวงพ่ออธิบายไว้ว่า นิพพานเป็น แข็งแรงประดุจปูมีกระดอง แต่นิพพานธรรมกายไม่แข็งแรงเหมือนปูนิ่มคือไม่มีกระดอง สรุปแล้วว่านิพพานเป็น แข็งแรง แต่นิพพานธรรมกายไม่แข็งแรง เพราะนิพพานธรรมกายไม่มีกายมนุษย์นั่นเอง การเข้านิพพานของเราแต่ เดิมนั้นเข้าโดยกายมนุษย์คือ กายที่เรากําลังอ่านอยู่ขณะนี้ ครั้งนั้นพอเราเป็นธรรมกายแล้วเราก็ฝึกละสังโยชน์ พอ ละได้กายมนุษย์ก็เบาและใสยิ่งขึ้น กระดูกใสเป็นแก้วทีเดียว แล้วก็หายแว๊บเข้านิพพานไปเลย นิพพานที่ไปนี้ หลวงพ่อท่านเรียกว่า “ นิพพานเป็น” ไม่ต้องตาย เข้านิพพานกันอย่างเป็น ๆ นี้ แต่ว่าต้องสร้างดวงบารมีกัน มากมายนัก ต่อมามารเขาไม่ยอมเขาบอกว่า พระพุทธเจ้านิพพานเป็นมีฤทธิ์เดชมากให้เข้านิพพานด้วยธรรมกาย เท่านั้น จากนั้นมาเราก็เข้านิพพานโดยธรรมกายคือ กายมนุษย์ตายเสียก่อนแล้วเอาธรรมกายเข้านิพพาน หลวงพ่อ ท่านเรียกนิพพานธรรมกายว่า “ นิพพานตาย ” นิพพานธรรมกายเอากายไปไม่ได้กายเดียวคือกายมนุษย์ เพราะ ตายต้องเอาไปเผา กระดูกของกายมนุษย์เราเรียกว่าพระธาตุบ้าง , พระบรมสารีริกธาตุบ้าง กระดูกของพระพุทธเจ้า เราเรียกพระบรมสารีริกธาตุ ส่วนกระดูกของพระสาวกเรียกพระธาตุ กระดูกก็คือธาตุ 6 ธาตุ ดิน , น้ํา , ไฟ , ลม , อากาศธาตุ , วิญญาณธาตุ ธาตุเหล่านี้หากนํามารวมกันเข้าแล้วเอาใจใสลงไปก็จะเป็นกายขึ้น นี่คือวิชาการหากธาตุ เป็นกายก็ต้องเป็นกายเป็นคือมีความรู้สึก แต่ถ้ากายตาย ใจไม่อยู่ทันทีไม่อยู่ปกครองกายเพราะกายมันตาย ถามว่าใจ ไปไหน ใจไปอาศัยอยู่กับกายมนุษย์ละเอียดคือกายฝันนั่นเอง กายฝันจะไปไหนก็ไปเพราะกายมนุษย์ตายแล้ว หาก เป็นธรรมกายใจก็ไปอยู่กับธรรมกาย กายฝันก็ไปอยู่กับธรรมกาย ธรรมกายจะไปไหน ธรรมกายก็ไปอยู่บ้านของ พระองค์ บ้านของพระองค์ก็คือนิพพาน เป็นธรรมกายระดับไหนก็ต้องไปอยู่บ้านระดับนั้นเช่น เป็นธรรมกายพระ โสดาก็ต้องไปอยู่นิพพานของพระโสดา หากเป็นธรรมกายพระอรหัตก็เข้าอายตนะนิพพานไปเลย กล่าวถึงกระดูก หรือพระบรมสารีริกธาตุของพระศาสดาแยกออกเป็นเม็ด ๆ อยู่ที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง เมื่อถึงโอกาสอันควรจะมารวมกัน เป็นธรรมกายองค์หนึ่งแล้วก็เข้านิพพานเรียกว่า “ ธาตุนิพพาน ” คือ กระดูกเข้านิพพานนั่นเอง ตามความคิดของ ข้าพเจ้าต้องเอากระดูกทั้งหมดนี้ซ้อนเข้าไปที่ศูนย์กลางกายฝันของพระองค์ และนําเอากายฝันของพระองค์ไปไว้ที่ ศูนย์กลางกายพระธาตุเดินวิชาเป็นอนุโลมปฏิโลม เพื่อให้กายพระธาตุนั้นมีเนื้อมีหนังขึ้นมาให้ได้ หากมีเนื้อมีหนัง ขึ้นมาได้ก็แปลว่า พระองค์มีกายมนุษย์แล้ว การปล่อยให้กายพระธาตุเป็นธรรมกายอยู่อย่างนั้นไม่มีประโยชน์ เพราะไม่มีฤทธิ์ พอมารคือธรรมกายดํามากระทบสู้เขาไม่ได้มีเท่าไรเขาก็มาดับได้หมด แม้ธรรมกายตัวจริวยังแพ้เขา เรื่องมันเป็นอย่างนี้ที่เราเพียรปราบทุกวันนี้ก็คือพวกธรรมกายดําและพวกกายดําทั้งหลาย
13.
กายมนุษย์นิพพานธรรมกาย ไม่เหมือนกายมนุษย์นิพพานเป็น
43
กายมนุษย์นิพพานเป็นเหมือนกายมนุษย์อย่างเรานี้ ต่างจากเราก็คือ เป็นพระสงฆ์และใสเป็นแก้ว ส่วนกายมนุษย์ ของนิพพานธรรมกายไม่เป็นอย่างนั้น ได้ไปทูลถามต้นใหญ่ว่า กายนี้แข็งแรงเท่ากับกายมนุษย์ของนิพพานเป็น หรือไม่ ทรงตอบว่าเป็นกายมนุษย์ของนิพพานไม่ใช่กายมนุษย์อย่างเรา เพราะเหมือนกันหมดเราเลยเรียกพระนาม ไม่ถูก เท่าที่เห็นไม่มีลงพุงเลยแปลกแท้ ๆ วันที่ทราบก็คือเมื่อเร็ว ๆ นี้ตอนกลางคืนนอนพักผ่อนว่าจะทําวิชาตอนดึก จึงตรึกนึกวิชาดูเห็นพระสมณโคดมเสด็จมาที่บ้านทรงมาเยี่ยม “ ต้นปราบ” มาโดยกายมนุษย์ เราเห็นผิดปกติจึงรีบ ออกจากที่นอนให้ลูกกล้วยเข้าธรรมกายไปทูลถามต้นใหญ่ทันทีว่าเรื่องราวอย่างไรกันแน่ ลูกกลับมารายงานว่า “ พอหนูไปถึงต้นใหญ่รับสั่งว่า ข้าว่าแล้วเดี๋ยวศึกษา ฯ จะต้องให้ลูกมาสอบสวนไปบอกแก่พ่อเขา พระ
สมณโคดมไปบ้านของหนูนั้นถูกต้องแล้วไปโดยกายมนุษย์ เพราะพระสมณโคดมเพิ่งทําได้ เมื่อนิพพาน พระสมณโคดมทําได้แล้วแปลว่านิพพานอื่นทําได้หมดแล้ว เพราะนิพพานพระสมณโคดมเป็นนิพพาน ล่างสุด แต่กายมนุษย์ที่ว่านี้เป็นกายมนุษย์ของนิพพานไม่ใช่กายมนุษย์อย่างคุณหนู พูดถึงความแข็งแรง ก็ว่าดี แต่ว่าจะชนะมารหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความรู้ ” รับสั่งมาอย่างนี้ ก็ว่าจะถามหลวงพ่อดูอีกครั้ง สําหรับ ข้าพเจ้าดีใจจริง ๆ ที่งานปราบมารก้าวหน้าถึงขนาดพระพุทธองค์ทรงทํากายได้ คราวนี้จะรู้ดีรู้ชั่วกัน ขอเวลาพิสูจน์ กายมนุษย์อีกระยะหนึ่งไม่ว่าเราจะไปนิพพานไหนทรงขอบคุณทั้งนั้น แต่ผู้ปกครองใหญ่คือต้นใหญ่ทรงกล่าวว่าจะ ชนะมารหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความรู้ แปลว่ากายใช้ได้แล้วอยู่ที่ว่าความรู้เท่านั้นก็หมายความว่าจะเอาวิชาอะไรไปสู้ เขานั่นเอง ลูกสาวได้ไปถามต้นปราบ “ เห็นพ่อบอกว่าพระสมณโคดมทรงมาเยี่ยมโดยกายมนุษย์นั้นจริงไหม”ทรง ตอบว่า “ จริง มาเมื่อคืนนี้มาอวดว่ามีกายมนุษย์แล้ว ” ต้นปราบคือพระพุทธเจ้าฝ่ายจักรพรรดิเสด็จมาจากนิพพาน มาทําวิชาปราบมารรับช่วงต่อจากหลวงพ่อวัดปากน้ํา แล้วจะนําเสนอให้ทราบต่อไป
การที่นิพพานธรรมกายมี
กายมนุษย์ และใช้กายมนุษย์แทนธรรมกาย เอาธรรมกายไว้ในศูนย์กลางกายมนุษย์นับว่าเป็นก้าวใหม่ ของงานปราบมาร พวกเราเข้านิพพานคงจะแปลกใจ ทําไมนิพพานของเราเป็นนิพพานเป็นหมดเลยหรือ แล้ว นิพพานธรรมกายหายไปไหน ไม่ตรงตําราอย่างที่หลวงพ่อว่าเสียแล้ว อย่าได้ตกใจเรื่องนั้น เมื่อท่านเข้านิพพานไป ศึกษาหาความรู้ พระองค์ก็จะเอาธรรมกายออก และนํากายมนุษย์ไว้ที่ศูนย์กลางกายของธรรมกาย ดังนั้นจึงขอให้ ท่านช่วยตรวจสอบความรู้ตามที่บรรยายมานี้คือ อ่านหนังสือแล้วก็เข้าธรรมกายไปถามเรื่องราว พระองค์จะตอบ ทั้งหมด เว้นแต่ความหยุดนิ่งทางใจไม่พอ อย่างนี้ข้าพเจ้าจนใจจริง ๆ แม้ข้าพเจ้าเองก็ยอมรับว่ายากแท้ ที่กล้าทําวิชา อยู่ทุกวันนี้เพราะถูกบังคับไม่ใช่ข้าพเจ้าเก่งไปกว่าท่าน โปรดเข้าใจว่าข้าพเจ้าไม่เก่งไปกว่าท่านเพียงแต่ท่านยังไม่เอา จริงเท่านั้น ข้าพเจ้าเก่งอยู่เรื่องหนึ่งคือเอาจริง ท่านอาจเป็นรองข้าพเจ้าในเรื่องไม่เอาจริงเท่านั้น เมื่อเอาจริง แล้วต้องถึงกับสละชีวิตกัน มารดับไม่หมดเราจะไม่ยอมกันทีเดียว หากท่านเอาจริงอย่างข้าพเจ้าป่านนี้ท่านคงได้ บารมีมาแล้วอาจมากกว่าข้าพเจ้าก็ได้ เรื่องกายมนุษย์ของพระพุทธองค์ก็คือ กายมนุษย์ที่หลวงพ่อเรียกว่า “ กาย
44
มนุษย์พิเศษ ” นั่นเอง เมื่องานปราบมารมาถึงขั้นตอนนี้ ต่อไปจะมีเหตุการณ์อย่างไรอีก รอไว้พบกันใหม่ในหนังสือ “ ปราบมารภาค 3 ” เพราะงานปราบมารยังไม่สําเร็จวันนี้เรายังคาดการณ์ไม่ได้ว่าต่อไปจะมีเหตุการณ์อะไรอีก
14.
งานสร้างอายตนะนิพาพน , ภพรูปพรหม , ภพพรหม , ภพทิพย์ ในวิถีทางแห่งการรบตามหลักของวิชาธรรมกายในที่สุดเราก็ต้องมาเผชิญหน้ากับเรื่องนิพพาน , เรื่องภพของอรูป
พรหม , ภพของพรหม , ภพของทิพย์ อย่างหลีกไม่พ้นเหมือนกับการชกมวยเหมือนกัน ในที่สุดเราก็ต้องมาชกชิง แชมเปี้ยนกับเขาซึ่งแต่เดิมเราไม่เคยคิด เมื่อเดินวิชายิ่งขึ้นไปพบว่านิพพาน , ภพอรูปพรหม , ภพพรหม และภพ ทิพย์ต้องทํากันใหม่ เพราะของเดิมมีอะไรที่ต้องแก้ไขเรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งข้าพเจ้าเดินวิชารบเรื่อยไปเผลอตัวพูดกับ หลวงพ่อว่า “ หลวงพ่อครับ นิพพานของเราไม่คุ้มฟ้าไม่คุ้มฝน ผมจะทําให้ใหม่ ” หลวงพ่อฟังแล้วก็ไม่ว่าอะไร เหตุการณ์ผ่านมาเป็นปีลืมเรื่องที่พูดกับหลวงพ่อแล้ว หลวงพ่อท่านก็ไม่เตือนไม่ท้วง เหตุการณ์ผ่านมาอยู่มาวันหนึ่ง ต้นใหญ่รับสั่งแก่ข้าพเจ้าว่า “ ศึกษา ฯ เห็นอะไรไม่ดีก็ให้แก้ไขไปเลย ” เราก็ไม่รู้ว่าอะไรไม่ดีเราก็เห็นว่าดีทั้งนั้น อยู่ มาวันหนึ่งการรบได้ผลเป็นที่น่าพอใจมันเห็นลู่ทางว่านิพพานของเราต้องทําใหม่ลองเดินวิชาดูปรากฏว่าทําได้ เมื่อ ทํานิพพานได้ภพอรูปพรหม , ภพพรหม , ภพทิพย์ เราก็ทําได้จึงลองทําดูปรากฏว่าทําได้ ลองทํามาแล้ว 3 ครั้ง ( อยู่ ในบันทึกเล่ม 12 ) เหตุที่ทําได้เพราะระลึกรู้ขึ้นมาเอง ต้องรบไปจนกว่าจะชนะในระดับใดถึงระดับนั้นเราจะทําได้เอง และเมื่อทําได้แล้วธาตุธรรมท่านก็ให้บารมีไม่เคยใช้ฟรี รบชนะเป็นต้องได้บารมี , ทําได้ดีเป็นต้องได้บารมี , ไม่เคยใช้ เราฟรีเลย พระพุทธองค์ทรงดีอย่างใจหาย อะไรที่เราลืมจะทรงมาเป็นพยานให้จําได้ว่า คราวที่ไปสอนพระใน ต่างจังหวัดตอนนั้นเป็นแม่ชีถนอม อาสไวย์ ยังไม่ตายแม่ชีถามว่ามีใครได้ดวงปฐมมรรคเท่ไร มีได้ถึง 18 กายเท่าไร เราก็บอกแม่ชีไปเพราะเราจดไว้เราก็บอกไปตามข้อมูลที่เราบันทึก พอแม่ชีเข้าธรรมกายไปนิพพานก็ไปรายงานต่อ พระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงรับสั่งแก่แม่ชีว่า ข้อมูลนี้ไม่ถูก ศึกษา ฯ เขาสอนได้มากกว่านั้นทรงแจกแจงว่า มี ปฐมมรรคเท่าไร 18 กายเท่าไร แล้วที่ให้เข้านิพพานก็มี เราเลยได้บารมีเพิ่มเพราะทรงมาเป็นพยานให้ไม่เคยให้บารมี เราน้อยทรงให้ตรงตามความเป็นจริงเสมอ ในโลกนี้ไม่มีใครรักเราจริง มีพระพุทธองค์เท่านั้นที่ทรงเมตตา
เราจริง เราอุทิศชีวิตให้แก่พระองค์นั้นถูกแล้ว เพราะพระองค์ทรงจริงใจกับเรา ความจริงเรื่องนิพพานนี้ พวกเราค้นบาลีกันมากอยากทราบว่านิพพานคืออะไรหน้าตาเป็นอย่างไรมีเหตุผลอะไรที่ทําเช่นนั้น และได้อะไรจาก การค้นคว้าเช่นนั้น อ้างว่าเพื่อความรู้ถูกต้องแล้ว แล้วได้อะไรดีขึ้นมาบ้าง รู้แล้วก็แค่นั้น ค้นคว้ากับไม่ค้นคว้ามีค่า เท่ากัน เพราะเราก็ทราบตรงกันว่านิพพานคือ ที่อยู่ของพระอริยะเจ้า , นิพพานคือที่อยู่อาศัยของผู้ได้มรรคผล นิพพาน , วัดเป็นที่อยู่ของพระ , วิมานเป็นที่อยู่ของเทวดา , บ้านเป็นที่อยู่ของชาวโลก , ทิพย์ , พรหม , อรูปพรหม เขาก็มีที่อยู่ของเขา จะเรียกอะไรก็เรียกไปเถิดเป็นที่อยู่ของเขาก็แล้วกัน ขอกล่าวถึงเรื่องภพและนิพพานอีกนิด คําถามมีอยู่ว่า ต่อไปจะทํานิพพานได้อีกหรือไม่ จะทําภพของทิพย์ , ภพของพรหม , ภพของอรูปพรหม ได้อีก
45
หรือไม่ ตอบว่ายังไม่ทราบ หากทําได้ก็ทําไปเลย หากทําไม่ได้ก็เพราะยังรบไปไม่ถึงละเอียดของขั้นตอนนั้น เมื่อไร จะทําอะไรอย่างไร ทราบไม่ได้ทั้งนั้น เพราะเป็นเหตุการณ์ข้างหน้า ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับผลการรบเป็นสําคัญ
15.
การละสังโยชน์เป็นเพียงไม่ตอบอารมณ์ภายนอกเท่านั้น ท่านผู้ศึกษาทราบแล้วว่าธรรมกายใดละสังโยชน์อะไร เมื่อละสังโยชน์ได้ส่งผลให้กายมนุษย์หมดกิเลส เมื่อละ
สังโยชน์ได้ถือว่าได้มรรคผลนิพพาน นั่นหมายความว่าอายตนะภายในไม่ตอบรับอายตนะภายนอกเท่านั้น แต่กิเลส ที่อยู่ในอายตนะภายนอกยังมีอย่างสมบูรณ์ยังไม่มีใครไปทําอะไรเพิ่งจะมาปราบกันยุคนี้เคยกราบทูลต่อพระองค์ว่า หลักสูตรนี้ควรเปลี่ยนได้แล้ว เพราะการมาอยู่ในนิพานหากไม่มีปัญหาใดเราก็นิโรธเป็นปกติถือว่าไม่มีปัญหา แต่ถ้า มีเหตุต้องรบกับมารดังเหตุการณ์ปัจจุบันเราจะทําอะไรไม่ได้เลย มีเท่าไรมารเขาก็ดับได้หมด แล้วเราจะแก้ปัญหา อย่างไรต่อไป ทรงหนักพระทัยยังไม่ทรงตอบอะไร แต่กราบทูลไปว่าต่อไปนี้ใครทําวิชาปราบมารเบื้องต้นไม่ได้ ไม่ อนุญาตให้เข้านิพพาน ได้แต่ทรงพระสรวล คิดง่าย ๆ เราทําอะไรไม่ได้ไปเข้านิพพานกับเขาทําไม เขารบกัน เราทํา ไม่ได้เพราะเราไม่มีความรู้ ง่ายต่อการแตกดับถ้ามารเขามากระทบ หากท่านทําวิชาปราบมารอย่างข้าพเจ้าท่านจะรู้ เห็น การที่ถวายความเห็นมีความจําเป็นเพราะเรารับผิดชอบอยู่คือเราต้องทําวิชา เป็นภาระหน้าที่ของเราโดยภาวะ จํายอม พูดง่าย ๆ หน้าที่ปราบมารคือเรา เราต้องแสดงบทบาท , แสดงความรู้ , ต้องรับผิดชอบ หากงานปราบมารยัง ค้างอยู่ธาตุธรรมท่านก็ส่งเรามาอีกอย่างแน่นอน ไม่มีใครอยากเกิดกันทั้งนั้น แต่เราต้องเกิดโดยความจําเป็น ฉะนั้น เราต้องแสดงความเห็นบ้าง เพราะอยู่ในหน้าที่อย่างขณะนี้หลวงพ่อเราสบายพระทัยแล้ว เพราะทรงมอบงานปราบ มารแก่ “ ต้นปราบใหญ่ ” หลวงพ่อพูดคํานี้ เราน้ําตาซึมทันที หลวงพ่ออ้างว่าหมดหน้าที่ของท่านแล้ว เป็นหน้าที่ ของศึกษา ฯ ที่จะต้องปราบมารต่อไป เราต้องหลั่งน้ําตา มาบังคับให้เราปราบมารพอมาถึงครึ่งทางก็มาถอนตัว ปล่อยให้เราบรรเลงอยู่คนเดียว นี่แหละคือชะตาชีวิตของข้าพเจ้า
16.
การรบระดับละเอียดใช้วิชาซ้อนสับทับทวีรบกัน ท่านให้เอานิพพานธรรมกายทั้งหมดและนิพพานเป็นทั้งปวงมารวมกันให้เป็น 1 กายแล้วก็รบคือเดินวิชารบ หาก
ท่านทําไม่ได้หลวงพ่อวัดปากน้ําจะตําหนิอย่างแรง ไม่กลัวหลวงพ่อว่าหรือ ถ้ากลัวต้องทําให้ได้ จะยากอะไรก็เอา นิพพานธรรมกายรวมกันก่อน ทําวิชาซ้อนกายสับกายแล้วก็มาซ้อนสับทับทวีไม่ถึงอึดใจก็สามารถรวมเป็นกายเดียว แล้ว แล้วนํา 1 กายนี้เข้านิพพานเป็น คํานวณให้เร็วให้สุดอดีต , สุดปัจจุบัน และสุดอนาคตรวมเป็น 1 กาย แล้วเอา กายนิพพานธรรมกายซ้อนเข้า จากนั้นเดินวิชาซ้อนสับทับทวี พอซ้อนดีแล้ว , สับดีแล้ว , ทับทวีดีแล้ว จากนั้นก็เริ่ม เดินวิชารบ เราจะทราบทันทีว่ากําลังของฝ่ายเรามีแค่ไหน รู้ญาณมีแค่ไหน อย่าลืมว่าเราเดินวิชาอย่างนี้มารเขาก็เอา อย่างเรา เขาเดินวิชาอย่างเราแล้วก็มาปะทะกัน นี่คือย่อ ๆ เดี๋ยวก็รู้ว่าใครแพ้ใครชนะ ที่กล่าวนี้คือหยาบ ๆ และย่อ ๆ พอเข้าใจเท่านั้น รบจริง ๆ ต้องทํากายเป็นว่างทั้งหมดพูดภาษาวิชาธรรมกายก็คือทําเป็นเหตุว่าง 19 อย่างตามที่หลวง พ่อท่านสอน ใครสามารถทําว่างของฝ่ายตรงข้ามให้หยาบได้ ฝ่ายหยาบจะถูกดับ เพราะเมื่อหยาบก็เห็นตัวตน , เห็น
46
นิพาน , ภพ 3 , โลกันต์ เราก็เข้าทําลายมีเท่าไรก็ไม่เหลือเราดับได้หมด กายมนุษย์ของเรานี้สําคัญมากคือมารมา เท่าไรทําให้กายมนุษย์แตกดับไมได้ กายละเอียดมีเท่าไรก็ไม่เหลือเขาดับได้หมด กายมนุษย์คือกายกิเลสของเรานี้เป็น กายปราการ ให้กายละเอียดหลบภัย เราชนะเขาตรงกายมนุษย์นี้เอง เหตุที่เรามาเกิดก็เพื่อให้มีกายมนุษย์มีไว้เพื่อสู้ กับมาร กายอื่นสู้เขาไม่ได้ กล่าวถึงสมัยที่ข้าพเจ้ายังรบอยู่ในขั้นหยาบคือออกติดตามพระพุทธองค์ว่ามารเอา พระองค์ไปซ่อนไว้ที่ไหน ทําอยู่หลายปีกว่าจะรวมได้ครบ ที่ถูกเขาดับต้องนํามาแก้ไขให้ทรงฟื้น พอเราไปถึง พระองค์ มารมันมากันมืดฟ้ามัวดินล้วนแต่กายดําทั้งนั้น ไม่รู้ว่ามาจากไหนมาช่วยกันแลบ , ลั่น , ย่อย , แยก , ดับ , ละลาย เพื่อให้ข้าพเจ้าตาย ปืนใหญ่ที่ว่าเสียงดังนั้นเสียงมารระเบิดดังยิ่งกว่าหลายเท่า ถูกรุมมาก ๆ อย่างนี้ทําท่าจะ ตายมาหลายครั้งความจําเลือนทันที วิชาจําได้แบบได้หน้าลืมหลัง , จําได้ไม่ครบ , ลําดับวิชาไม่ถูกวิชาเราจะช้าลง ๆ พร้อมกันนั้นหัวใจเราก็หรี่ลง ๆ ทําท่าจะขาดใจ , กระสับกระส่ายจะอาเจียน คลื่นไส้ , ใจหงุดหงิด , แล้วหัวใจก็หยุด เต้นไปเฉย ๆ ขณะที่ใจไม่เต้นนั้นใจประหวัดถึงลูกเมียใครจะเลี้ยงลูกเมียเรา แล้วใจก็กลับเต้นขึ้นมาอีก เต้นขึ้นมาได้ อย่างไรไม่ทราบ เราเก่งอยู่เรื่องหนึ่งคือตายเป็นตาย ท่องวิชาไม่เลิกสติอยู่กับวิชา ท่องวิชาไม่เลิกท่องส่งเดชไปผิด ๆ ถูก ๆ พอท่องได้ถูกขึ้นวิชาของเราเร็วขึ้นเป็นอัตโนมัติ แข็งใจดับมารจนหมดสิ้นไม่เหลือเลย ทันใดนั้นเองได้ยินเสียง พระพุทธองค์ทรงดีพระทัยเฮฮาเหมือนที่เราเห็นวันขึ้นปีใหม่ทีเดียว เราก็ฟังทรงดีพระทัยอะไร ทันใดนั้นธาตุธรรม ท่านก็ประกาศว่าเราชนะก็คือ หลวงพ่อเรานั่นเอง ถ้าไม่ชนะก็ไม่ประกาศ จากนั้นทุกนิพพานคํานวณดวงบารมีให้ เรา นี่คือบรรยากาศการรบครั้งนั้น อีกบรรยากาศหนึ่งไม่ทราบเป็นเพราะอะไรก่อนที่จะดับมารก็ให้โอวาทไป “ ขึ้น
ชื่อว่ามารแล้วต้องถูกเราดับทั้งหมด ไม่ว่าหยาบไม่ว่าละเอียดเราต้องดับได้ทั้งหมด มีมารหน้าไหนที่ ชนะเราบ้าง ไม่มีมารหน้าไหนชนะเราได้เลย ตรีภพ หยกชมพู ” พูดไปในว่าง ๆ นั้นแหละหลวงพ่อท่าน หัวเราะ ศึกษา ฯ นี่มันแปลกก่อนมันจะดับมารเขามีการให้โอวาทกันด้วยหรือ ก็กราบทูลหลวงพ่อไปว่าเป็นชั้นเชิงให้ มารมันกลัว หลวงพ่อหัวเราะ มีอยู่คราวหนึ่งถ้าหลวงพ่อมีไม้คงฟาดศีรษะเราแน่เลย พบมารแล้วมัวไปดูหน้าตามัน เพราะเราอยากดูหน้าของเขา เราไม่ทันดับแล้วมันก็หนีไปได้ หลวงพ่อโกรธมาก “ จะมัวไปดูทําไมมันหนีไปแล้ว แล้วอีกกี่ปีจะตามมันพบไม่เคยเห็นมารหรือ ” เราแทบจะแทรกแผ่นดินหนีอยากฆ่าตัวเองทําให้หลวงพ่อผิดหวังที่ดับ ไอ้ตัวนั้นไม่ทัน พอออกจากนิโรธสูบบุหรี่ไม่อร่อยเลยนึกถึงคําที่หลวงพ่อท่านว่า หลวงพ่อท่านคุมเราอยู่คอยระวัง ไม่ให้เราเพลี่ยงพล้ําท่านเหนื่อยพอ ๆ กับเราทีเดียว แต่ท่านไม่รบท่านให้เรารบ พูดให้สนุกก็คือหลวงพ่อเป็นลูกพี่เรา เรารบแต่ลูกพี่นั่งดู อย่าแพ้มาก็แล้วกัน ถ้าแพ้กูจะซ้ํานั่นเอง นึกถึงความเป็นนักเลงของเขาเหมือนกัน บางรายตัว ละครของเขาหมดแล้วเหลืออยู่ก็คือต้นวิชาของเขา เมื่อบริวารของเขาถูกดับหมดแล้วเขาไม่หนี เขาออกมารบกับเรา ตัวต่อตัวแบบใครดีใครอยู่ พอเราชนะมาได้หลวงพ่อดีพระทัย
มีเงินกี่ฟ้าครอบหลวงพ่อยกให้เราหมดก็แล้วกัน
“ ศึกษาฯ นี่มันผิดตํารามันเก่งกว่าอาจารย์ ” ให้ยาหอมตลอดเวลา การรบขั้นละเอียดคือรบกับความว่างยาก เหลือเกินคือเรารบกับความไม่เห็น มันว่างไปหมด จะต้องคํานวณวิชาจนกว่าว่างนั้นหยาบ ซึ่งทํายากจริง ๆ เมื่อ
47
หยาบแล้วก็เหมือนบ้านเมืองของเรานี้เห็นตัวตนทันทีวิชาธรรมกายเรียกว่า นิพพาน , ภพ 3 , โลกันต์ ตัวตนของเขา อยู่ในนั้นเราต้องดับทั้งหมด อย่าให้รอดไปได้แม้แต่หนึ่งเดียว หากรอดไปได้แม้แต่หนึ่งเดียวนั้นร้ายนักทีเดียว ร้าย อย่างไร เขาจะกลับไปทําธาตุธรรมของเขามาสู้เราใหม่คือ เขาไปพิสดารมาใหม่ไปหาต้นของเขา เขาซ่อนต้นของเขา ไว้ เราค้นไม่พบ เมื่อเสร็จวิชาของเขาแล้วเขาจะซ่อนตัวไว้ก่อน ต่อมาเมื่อเราทําวิชาละเอียดไปถึง เขาจะออกมาสู้กับ เราใหม่ คราวนี้เราดับเขายากแล้ว เพราะวิชาเดิมที่เราใช้นั้นไม่พอเสียแล้วต้องใช้วิชาสูงขึ้นไปอีกจึงจะดับกันได้
17.
ทําไมไม่ถามความรู้จากพุทธองค์ ไม่น่าจะเอาเรื่องนี้มาพูดกันเพราะเราทํางานให้แก่พระองค์ มีอะไรที่พระองค์จะทรงบอกได้ทรงบอกแก่เราทั้งนั้น
ไม่มีอะไรปิดบัง เว้นแต่เกินความรู้ของพระองค์อย่างนี้จนใจ อีกประการหนึ่งก็คือทรงบอกไม่ได้ เพราะมารละเอียด บังคับพระองค์อยู่ อยากจะบอกใจจะขาดแต่ทําไม่ได้เพราะถูกมารบังคับ กรณีที่พระองค์ถูกมารบังคับหากเราไปถาม ความรู้ต่อพระองค์ความรู้นั้นเชื่อไม่ได้ เพราะมารเขาเป็นผู้ตอบ มารเขาเป็นผู้ต่อรู้ต่อญาณ มารเขาเป็นผู้ต่อแว่นต่อ กล้องส่องญาณ นิโรธของเราจะสั่น , ไหว , ริบ , รัว กรณีที่พระองค์ทรงบอกความรู้เราไม่ได้เนื่องจากเกินรู้เกินญาณ ของพระองค์หมายความว่า ทรงตรัสรู้ธรรมขันธ์น้อยไปการตรัสรู้เพียง 84,000 ธรรมขันธ์นั้นเป็นเพียงขั้นพื้นฐาน ธรรมกายเล็กเป็นเพียงความรู้ภาคโปรดสัตว์ ส่วนความรู้ภาคปราบคือความรู้ปราบมารยังไม่ได้ตรัสรู้เพราะมารเขา ปิดบังวิชาอยู่ไม่ให้ได้รู้ได้เห็น พระองค์ก็พยายามรู้ ,พยายามเห็น ,พยายามจะตรัสรู้ แต่มารเขาไม่ยอมเขาก็เอาทุกข์ และสมุทัยเข้ามาให้ แต่แรกทรงแก้ได้ต่อมามารเขาเอาทุกข์และสมุทัยชนิดสําคัญมาให้ พระองค์ทรงอาพาธและเข้า นิพพานไปในที่สุด สรุปแล้วพระองค์ยังไม่ได้ตรัสรู้ธรรมขันธ์วิชาปราบมาร ความรู้จึงเป็นรองมารเรื่อยมา กี่ยุคกี่ สมัยเป็นอย่างนี้ทั้งนั้นเราจึงเป็นรองมารเขาเรื่อยมาแพ้เปรียบในเชิงความรู้มาตลอด หากท่านเดินวิชาไปให้สุด นิพพานทั้งนิพพานธรรมกายและนิพพานเป็นท่านจะทราบเรื่องนี้
หากท่านเดินวิชาไปไม่สุดนิพพานไม่ว่าจะ
เรียนมากี่ปีกี่ชาติกี่ภพท่านจะไม่ทราบเรื่องที่กล่าวนี้ ถามว่ามีใครไปสุดนิพพานบ้าง ตอบว่ายังไม่มี ข้าพเจ้าได้ กล่าวเรื่องนี้ไปแล้วในหนังสือปราบมารภาค 1 โปรดค้นหามาอ่าน หากเราเรียนกันเพียงนิโรธแบบธรรมดาเพื่อให้ละ สังโยชน์เพื่อให้ได้มรรคผลนิพพาน เมื่อเราสร้างบารมีธรรมจนดวงบารมีโตเข้าข่ายได้มรรคผล เราจะละสังโยชน์ และได้มรรคผลนิพพาน กรณีอย่างนี้มารเขาไม่ขัดขวางอะไรเพราะเราอยู่ในปกครองของเขา ถึงเราจะเข้านิพพาน ไปได้เราก็อยู่ในปกครองของเขาอยู่ดีเราอยู่ในบังคับบัญชาของเขา เขามาสั่งให้ทําอะไรเราต้องทําเราไม่ทําเขาก็กําจัด วิธีที่เขากําจัดพระพุทธองค์เขาทําอย่างไร เรื่องนี้ไม่ยากเดี๋ยวจะบอกให้เพราะข้าพเจ้าได้ไปรู้ไปเห็นมาแล้ว การไปรู้ ไปเห็นวิธีการที่มารเขารังแกพระพุทธองค์นั้นไม่ใช่ท่านอยากจะเห็นก็เห็นได้ , ไม่ใช่อยากจะรู้ก็รู้ได้ ไม่ใช่อย่างนั้น ผู้เชี่ยวชาญวิชาธรรมกายแม้สักร้อยคนพันหมื่นคนจะรู้จะเห็นได้สักคนก็ต้องถือว่าโชคดีแล้ว จริงอยู่เป็นศิษย์หลวง พ่อวัดปากน้ําเหมือนกันเรียนตําราเดียวกัน ครูเดียวกัน ต่างก็เอาชีวิตเข้าแลกมาด้วยกันทั้งนั้น
แต่เราต่างกัน
ปัญญาต่างกันที่บารมี ใครเล่าจะเป็นผู้ไปเห็นละเอียด นักเรียนชั้นหนึ่งมีสอบได้ที่ 1 เพียงคนเดียว นี่คือข้อที่ควร
48
พิจารณาอย่าว่าข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าขอพูดตรง ๆ พูดสั้น ๆ คราวนี้มาพูดกันถึงความรู้ทางวิชาธรรมกายบ้าง เราเคย ได้ยินวิชาธรรมกายเขาพูดกันว่าต้น , กลาง , ปลาย เราเคยได้ยินเขาพูดว่าอ่อน , แก่ , หยาบ , ละเอียดเป็นต้น อย่าง “ ต้น ” ถามว่าต้นที่ว่านี้ระดับไหน เราก็ว่าต้นก็แก่ไปเป็นเถา , ชุด , ชั้น , ตอน , ภาค , พืด เลือกเอาเองว่าระดับไป นี่ คือตัวอย่าง อย่าง “ อ่อน ” ถามว่าอ่อนระดับไหน เราก็ว่าอ่อนไปเป็นเถา , ชุด , ชั้น , ตอน , ภาค , พืด เลือกเอาเองว่า ระดับไหน นี่คือตัวอย่าง คราวนี้มาถึง เรื่องบูชาข้าวพระ ถามว่าที่เราบูชาข้าวพระนั้นถึงพระพุทธองค์หรือเปล่า เรามีอะไรเป็นตัวบ่งชี้เราจะมีอะไรเป็นเครื่องมือวัดเหมือนปรอทไข้ เราได้แต่ทําตามที่อาจารย์แนะนําเราทําตามที่ อาจารย์บอก เราเชื่ออาจารย์ของเราเพราะเราก็เรียนวิชาธรรมกายมาจากอาจารย์ท่านนี้ เรื่องบูชาข้าวพระนี้ข้าพเจ้า กล่าวไว้แล้วในหนังสือปราบมารภาค 1 ท่านต้องไปติดตามอ่านว่ามีเนื้อหาอะไรมีเหตุผลอย่างไรทํามาแล้วนานแค่ ไหนเหตุใดเรื่องจึงมาแจ้งในช่วงชีวิตที่ข้าพเจ้าทําวิชาปราบมาร ข้าพเจ้าก็ทําวิชาปราบมารเมื่อปีพ.ศ. 2527 เรื่องบูชา ข้าวพระเพิ่งพิสูจน์ได้ในปีพ.ศ. 2527 นั้น วันนี้ขอพูดเพียงแต่ว่าเมื่อมีกายหยาบก็มีกายละเอียด คราวนี้มายุติหลัก วิชาที่ว่าเมื่อมีหยาบก็มีละเอียด ประเด็นสําคัญอยู่ที่ว่าละเอียดแค่ไหนและละเอียดเพียงใดจึงจะถึงพระพุทธเจ้า ท่าน ตอบว่าละเอียดแล้วถึงแล้ว ก็ถามต่อไปว่าที่ว่าละเอียดนั้นพ้นปกครองของมารแล้วหรือยัง ตอบตรงนี้ก่อน ถามว่า
ความละเอียดของวิชาที่ทํานั้นพ้นเหตุปกครองของมารหรือไม่ หากตอบว่ายังไม่พ้นปกครองเราก็อยู่ในเหตุ หลอกรู้ลวงญาณของมาร เพียงแต่มารละเอียดมาหยุดที่เห็นจําคิดรู้ของพระองค์ ก็จะเกิดกายของพระพุทธองค์ ขึ้น ส่วนกายละเอียดของมารซ่อนอยู่ข้างใน เราก็จะเห็นเป็นว่าพระพุทธองค์ทรงฉันสิ่งของ ๆ เรา เราดีใจว่าเราได้ บุญ แท้จริงแล้วมารเขาจําแลงกายมาเหมือนและกินอย่างสะดวกโยธิน ทําไมมารเขาทําได้ เขาทําได้เพราะเขาเป็น ผู้ปกครองเขามีสิทธิ์ที่จะทําเช่นนั้น กลับมาพูดถึงข้อดีข้อเสียกันบ้าง
ข้อดีก็คือถ้าถึงพระพุทธองค์จะทรงมี
กําลังและเราก็ได้บุญ ข้อเสียเราควรคิดกันบ้างไหม ถ้าคิดก็ต้องพูดว่าหากไม่ถึงก็หวานคอมาร มารมันก็ มีกําลังเป็นการไปบํารุงกําลังมารแท้ ๆ โดยที่เราไม่ทันคิด แต่กาลก่อนข้าพเจ้าไม่ได้คิดเพิ่งจะมาคิดเร็ว ๆ นี้ คิดแล้วก็ แก้ไขอะไรไม่ได้ เมื่อก่อนเราไม่ทันคิดอะไรพออาจารย์สอนเราก็ทําทันที คิดแต่จะได้บุญไม่ทันคิดถึงข้อดีข้อเสีย ตอนนี้อายุมากแล้วและทําวิชาปราบมารมานานปีเกิดข้อคิดหลายอย่างอย่างเรื่องการห้ามฝน เมื่อฝนตกเราต้องการให้ ฝนหยุด เราก็เดินวิชาเก็บฝนแล้วฝนก็ไม่ตกเป็นไปตามที่เราต้องการ เราคิดว่าเราเก่ง แต่การเก่งของเราเป็นดาบ
2 คม เมื่อท่านเดินวิชาเก็บฝนมารเขาได้ช่องทันที เขาสําทับวิชาแห้งแล้งทับทวีเพิ่มลงไป บัดนี้ปรากฏว่าบ้านเมือง ของเราแล้งฝน ขาดฝน ขาดน้ํา รัฐบาลต้องเข้าแก้ดังที่เราท่านทราบในทุกวันนี้ การทําวิชาแกล้งพวกเดียวกันผู้มี ความรู้จริงเขาไม่ทําเป็นอันขาด คนที่ดังกว่าคนนั้น , คนนั้นมีผลประโยชน์กว่า เราก็อยากมีชื่อเสียงกว่าเขา เราเดิน
วิชาแกล้งเขาผู้นั้นการกระทําเช่นนี้เป็นการไปช่วยงานของมารเขา ปกติมารเขาแกล้งเราอยู่แล้วเราไปนําร่อง วิชาให้มารได้ช่องอีก เพื่อนคนนั้นพลอยที่จะทุกข์ร้อนน้อยเขากลับได้ทุกข์มาก เราเป็นผู้ไปเพิ่มทุกข์ให้เขาแท้ ๆ แล้ว
49
อย่างนี้จะว่าอย่างไร นี่หรือคือผู้ทรงธรรมอันประเสริฐ ท่านทําหน้าที่เป็นมารโดยท่านไม่รู้ วิชาของมารมีแต่ทําให้
สัตว์โลกพ้นทุกข์ แต่เราไปให้ทุกข์แก่เขา วิธีแก้ฝนไม่ให้ตกเราก็ตั้งเครื่องเข้า อาราธนาเครื่องช่วยนําเมฆฝนไป ตกในถิ่นที่เขาต้องการน้ํา วันนี้เราประกอบพิธีมงคลหากฝนตกในถิ่นเรา เราจะไม่สะดวก เสร็จแล้วเราก็ยิงเครื่อง เข้าไปที่เมฆนั้น เครื่องก็ทําหน้าที่ตามที่เราอาราธนา อาจได้ผลไม่มากนักแต่ไม่ชี้ช่องให้มารสร้างเหตุฝนแล้ง ดูไป แล้วความรู้ของเราเป็นความรู้ที่มารเขามาปนเป็น , อาบ , ซึม , ซาบ ต้องแยกให้ออกว่านี่ เป็นความรู้ของพระหรือ
ความรู้ของมาร อะไรที่เว้นได้ก็เว้นไปอย่าเก่งมากนักเลย ทีเราอยากให้เก่งแต่เก่งไม่ได้ เก่งจริงต้องไปเก่งกับมาร มาเก่งกับพวกเดียวกันเองไม่เข้าท่าเลย มาทับถมกันเอง , มาข่มกันเอง , มากีดกันกันเอง , มาแกล้งกันเอง วิธีนี้เป็นวิธี ของมารไม่ใช่วิธีของพระ เราต้องช่วยกันทุกรูปแบบ , เราต้องเอื้อเฟื้อกันทุกรูปแบบ , เราต้องสนับสนุนกันทุกรูปแบบ , เราต้องลดตัวเองให้คนอื่นดังกว่าเรา , เราต้องให้คนอื่นเหนือกว่าเรา จึงจะถูกวิธีของพระ ใจของพระมีแต่เสียสละ เราเอาประโยชน์แต่น้อยให้คนอื่นเขาได้มากกว่าเรา ควรคิดอย่างพระอย่าไปคิดอย่างมาร
18.
หาคนปราบมาร ปราบมารเป็นงานยากใช้ความรู้สูง ในสากลโลกนี้เราจะได้ใครมาปราบมาร ในสากลธรรมนี้เราจะให้ใครปราบ
มาร นี่คือคําถาม เมื่อเรานิโรธเข้านิพพานไม่ว่านิพพานใด , ไม่ว่าละเอียดแค่ไหน , ทั้งนิพพานถอดกายและไม่ถอด กาย เมื่อพบพระพุทธองค์เราก็ถามพระองค์ว่าจะให้ใครมาปราบจะเอาผู้มีบุญท่านใดไปเกิดในโลก เพื่อให้ทําวิชา ปราบมารอย่างที่หลวงพ่อวัดปากน้ําท่านทํา ไปในภพจักรพรรดิพบแล้วก็ถามพบแล้วก็เล่า , ท่องไปในอรูปพรหม 4 ชั้น ถามไปถามเรื่อยไป , ท่องไปในพรหม 16 ชั้นบ้างท่องไปถามไป , มาในทิพย์คือสวรรค์ 6 ชั้น ท่องไปถามไป , กลับมาสวรรค์ชั้นดุสิตคือสวรรค์ชั้น 4 อันเป็นที่อยู่ของโพธิสัตว์ , อันเป็นที่อยู่ของผู้ทรงธรรมกายชั้นเลิศ ผู้ทรง ธรรมกายส่วนใหญ่เป็นศิษย์หลวงพ่อวัดปากน้ําทั้งนั้นท่องไปถามไป แต่วันนั้นจวบจนวันนี้ได้คําตอบแล้วคําตอบคือ ยังไม่มีคําตอบ ตามที่บรรยายมานี้ไม่เป็นการกล่าวเกินเลยไปหรือ และการที่กล่าวอย่างนี้มีอะไรเป็นข้อมูลหรือยัง ? นี่คือความอยากรู้อยากทราบของทุกท่าน เรื่องนี้ไม่ยากอะไรขอให้ท่านสนใจติดตามไปจนจบเรื่อง แล้วกลับมาอ่าน คํากล่าวตรงนี้ใหม่ท่านจะยอมรับว่าที่กล่าวมานี้ชอบแล้ว
19.
นิพพานกายธรรมมีกายมนุษย์ นิพพานกายธรรมหรือนิพพานธรรมกายหรือที่หลวงพ่อท่านเรียกว่า “ นิพพานตาย” นั้น การรบมาถึงขั้นตอนนี้
ปรากฏว่านิพพานถอดกายมี “ กายมนุษย์ ” ดังที่กล่าวแล้วในหนังสือปราบมารภาค 2 แต่กายมนุษย์ที่กล่าวถึงในที่นี้ ก็คือกายมนุษย์ที่หลวงพ่อท่านเรียกว่า “ กายมนุษย์พิเศษ ” แต่เรียกได้ไม่สนิทใจเพราะกายมนุษย์พิเศษจะต้องมี หน้าตาเหมือนกายมนุษย์ของใครก็ของใคร แต่กายมนุษย์ของนิพพานถอดกายที่เกิดมีขึ้นในคราวนั้น มีพระพักตร์
เหมือนกันหมด เราเลยไม่ทราบว่าเป็นของใคร ได้ทูลถาม “ ต้นใหญ่ ” ว่าเหตุใดกายมนุษย์ของพระองค์จึง
50
เหมือนกันหมดทรงตอบว่า “ เป็นกายมนุษย์ของนิพพานไม่ใช่กายมนุษย์อย่างของศึกษา ฯ ” จําได้แม่นว่า พระองค์ทรงตอบอย่างนี้เราก็ค้านขึ้นในใจว่าเหตุใดกายมนุษย์ของพระองค์จึงไม่เหมือนกับพระพักตร์กายฝันของ พระองค์ เพราะกายมนุษย์กับกายฝัน ( กายมนุษย์ละเอียด ) ต้องเหมือนกัน อีกประการหนึ่งเราทูลถามพระองค์ ต่อไปว่ากายมนุษย์ของนิพพานกายธรรมนั้นมีความแข็งแรงเท่ากายมนุษย์นิพพานเป็นหรือไม่ ( นิพพานไม่ถอดกาย มีรูปร่างเหมือนพระสงฆ์ แต่ใสเป็นแก้ว ) ทรงตอบว่า “ ก็ละม้ายกัน ” หมายความว่ากายมนุษย์ของนิพพานกาย ธรรมนั้นมีความแข็งแรงเกือบเท่ากายมนุษย์นิพพานเป็นแล้ว สรุปแล้วก็จะเป็นอย่างนี้ เราฟังแล้วก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อ ครึ่งคือฟังแบบไว้หูหนึ่งนั่นคือฟังหูไว้หู หากกายมนุษย์ของนิพพานกายธรรมมีความแข็งแรงเท่ากับกายมนุษย์ของ นิพพานเป็นจริงแล้ว การรบของเรานับว่าได้ผลมากเรากระหยิ่มใจ การพิสูจน์ของเราก็คือต้องเอากายมนุษย์ของ นิพพานกายธรรมทั้งหมดมารบดู หากชนะมารก็แปลว่าใช้ได้ หากมารระเบิดแตกก็แปลว่าใช้ไม่ได้ นี่คือความคิด ของเราในครั้งนั้น แน่นอนการรบเราต้องรบทุกวันอยู่แล้วหน้าที่ประจําของข้าพเจ้าคือรบ รบอย่างเดียว ไม่ว่าจะแพ้ หรือชนะต้องรบ และรบเรื่อยไปไม่ว่าผลของการเดินวิชาจะลงเอยประการใดเราไม่มีหน้าที่ไปคิด เราคิดแต่ว่ารบ สถานเดียว เพราะธาตุธรรมท่านมอบหน้าที่ให้เรารบ ให้เราปราบมารเราก็เดินวิชาเรื่อยไป ผลของการเดินวิชาจะ ออกมาอย่างไรเราหมดสิทธิ์คิด เหตุการณ์ที่ว่านิพพานกายธรรมมีกายมนุษย์นั้น “ ต้นปราบ ” ท่านมาอยู่ด้วยแล้ว ยังจําได้ว่าพระพุทธองค์ “ พระสมณโคดม ” เสด็จมาที่บ้านเราเข้านิโรธทูลถามต้นปราบว่าพระสมณโคดมเสด็จมาที่ บ้านเราด้วยธุระอะไรต้นปราบทรงตอบว่า “ พระสมณโคดมท่านมาอวดว่าท่านมีกายมนุษย์แล้ว ” เราก็คิด ต่อไปว่าก็เมื่อนิพพานล่างสุดมีกายมนุษย์แล้วย่อมแปลว่านิพพานกายธรรมอื่นทํากายมนุษย์ของพระองค์ได้หมดแล้ว นี่คือบรรยากาศของการเดินวิชาในตอนนั้นเป็นอย่างนี้ เลยนํามาเล่าสู่กันฟัง หากไม่นํามาเขียนอีกไม่นานก็ลืม
20.
ต้นปราบเสด็จมาแล้ว ต่อมาก็เกิดผลงานนิพพานกายธรรมมีกายมนุษย์ เรามาลําดับเหตุการณ์กันก่อนว่าตอนใดมีเหตุการณ์อะไร เพื่อ
ป้องกันไม่ให้เกิดการสับสนจึงมาลําดับเหตุการณ์กันก่อน เมื่อต้นปราบเสด็จมาแล้วหลวงพ่อมอบงานปราบมารถวาย แก่ต้นปราบ ให้ต้นปราบทําวิชาปราบมารต่อ นิพพานกายธรรมมีกายมนุษย์มีขั้นตอนระหว่างการรบ ระหว่างที่ หลวงพ่อทําวิชากับข้าพเจ้า การรบระหว่างนั้นจําได้ว่านิพพานกายธรรมกําลังจะมีกายมนุษย์หลวงพ่อวางมือ ต้น ปราบก็เดินวิชารบต่อไป ในขั้นนี้เองเป็นขั้นตอนที่นิพพานกายธรรมมีกายมนุษย์ และต่อจากนั้นไปเป็นการรบที่ต้น ปราบรับผิดชอบ เหตุการณ์ที่หลวงพ่อวางมือมอบหน้าที่ปราบมารให้แก่ต้นปราบนั้นดูว่าหลวงพ่อพูดน้อยลงไม่ค่อย วิจารณ์อะไรถามอะไรก็ไม่ค่อยตอบอย่างแข็งขัน พูดกับเราก็พูดแต่น้อยไม่คึกคักเหมือนยุคก่อนที่ต้นปราบท่านเสด็จ มา นี่คือการสังเกตที่เราดูอยู่ ก็งานปราบมารเกิดจากหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านบังคับข้าพเจ้าแล้วหลวงพ่อมาวางมือ ข้าพเจ้าก็เสียใจอยู่แล้ว เรื่องราวมีอย่างนี้ให้ท่านอ่านหนังสือปราบมารภาค 2 ท่านจะทราบเรื่องละเอียดกว่าที่กล่าวนี้
21.
พระพุทธองค์นิพพานกายธรรมมีกายมนุษย์แล้ว มีความแข็งแรงเท่านิพพานเป็นหรือไม่ ?
51
ก็ได้คุยกันอย่าถือผิดถือถูกกันเลย เพราะเราไม่มีผู้รู้ให้ถามแล้ว ข้าพเจ้าถือว่าผิดเป็นครูและถูกก็เป็นครูเพราะไม่ มีผู้รู้ให้เราถามแล้ว แต่ที่การรบยังดําเนินการอยู่และจะต้องดําเนินการต่อไปไม่มีการสงบศึกไม่มีการยุติสงคราม ยัง ไม่ทราบว่าสุดท้ายแห่งการรบจะยุติอย่างไร แต่การเดินวิชารบต้องทําต่อไป ข้าพเจ้ารบทุกวันได้เห็นเหตุการณ์ทุกวัน , ได้ความรู้ทุกวัน , ได้รู้ได้เห็นทุกวัน คราวนี้เราจะมาคุยกันว่า กายมนุษย์ของพระพุทธองค์นิพพานกายธรรมมี
ความแข็งแรงเท่านิพพานเป็นหรือไม่
หากท่านไม่ถือผิดถือถูกก็จะพูดหากท่านไม่อนุญาตอย่างนี้ข้าพเจ้าไม่
กล้ากล่าวอะไรทั้งนั้น เพราะขณะนี้อยู่ในภาวะแห่ง “ คาบลูกคาบดอก ” จะชี้ขาดอย่างไรยากที่จะทําเช่นนั้น ประการแรก คือ เรื่องบารมี การที่จะมีกายมนุษย์ขึ้นได้ดวงบารมีต้องเท่านิพพานเป็น เพราะนิพพานเป็นมี บารมีมากกว่านิพพานกายธรรม การที่นิพพานกายธรรมมีดวงบารมีโตขึ้นจนถึงขีดที่จะมีกายมนุษย์นั้น การเดินวิชา รบที่ทํามาโดยตลอดนั้นดวงบารมีเกิดเองโดยธรรมชาติ ตามวิถีทางแห่งการทําวิชา ในการเดินวิชานั้นใช้วิชาซ้อน กายสับกายคือเอากาย , ใจ , จิต , วิญญาณ มาซ้อนกันหมดทั้งนิพพานกายธรรมและนิพพานเป็น พูดอย่างเราก็คือ รวมทั้งหมดมาเป็นกายเดียว จากนั้นก็ต่อกล้องส่องญาณทัสสนะแล้วก็คํานวณกันไปแลบ , ลั่น , ย่อย , แยก ดับ , ละลาย กันจะคํานวณอะไรก็ทําไป สุดท้ายนํามาตั้งธาตุประกอบธรรมใหม่ให้เกิดกายมนุษย์ขึ้น ตามที่บรรยายมาแล้ว ทําอย่างนี้เป็นแรมเดือนแรมปี ประการที่สอง เรามาดูว่ากายมนุษย์ที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากการทําวิชา ไม่ใช่กายธรรมชาติอย่างกายของนิพพาน เป็น หากพิจารณาดูความแข็งแรงจะว่าไปแล้วก็เหมือนไม้อัดกับไม้ที่ไม่อัด ถึงอย่างไรก็แข็งแรงเป็นรองนิพพานเป็น เว้นแต่ดับมารได้หมดจริง ขั้นตอนนั้นเองกายมนุษย์ของพระองค์จึงจะแข็งแรงแท้ นี่ก็เป็นความเห็นซึ่งอาจถูกบ้าง ผิดบ้างเราไม่ว่ากัน แต่ก็ดีใจที่การรบมาถึงจุดนี้ และเราก็ได้เห็นกายมนุษย์ของนิพพานกายธรรมว่าพระองค์สามารถ มีกายมนุษย์แล้ว ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นอีกเรายังไม่ทราบ ผลดีประการหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือเกิดบารมี บารมีคือ
ประสบการณ์ แปลว่าเราได้ต่อสู้แล้วเกิดความรู้เกิดความเข้าใจอีกระดับหนึ่งแล้ว ได้รู้รสเปรี้ยวหวานมันเค็ม บารมี ใครไม่เคยอย่างนี้ท่านว่าอันตราย ที่ว่าบารมีไม่มีฤทธิ์ก็คือบารมีที่ไม่เคยเอามาประลองกับมาร เป็นบารมีที่ไม่ผ่าน การทดลองจะเชื่อได้อย่างไร ดังนั้นใครที่ไม่เคยประลองกับมารใครจะว่าอย่างไรข้าพเจ้าไม่ค้าน แต่ในทัศนะของ ข้าพเจ้าแล้ว ท่านที่ไม่เคยปราบมารย่อมแปลว่าหมดแล้วซึ่งฤทธิ์เดช เพราะใคร ๆ ก็มีบารมี , ใครก็บวชได้เรียนได้ , ใคร ๆ ก็สร้างวัดสร้างวาได้ , ใคร ๆ ก็ศึกษาเล่าเรียนได้ , ใคร ๆ ก็เล่าท่องได้ , ใคร ๆ ก็สอบได้ เป็นเรื่องธรรมดา เหลือเกิน แต่การที่เราลงมือสู้รบตบมือกับมารอย่างแท้ นี่แหละคือของจริงเป็นบารมีตัวจริง อย่างน้อย มารมันยังเกรงเราบ้างว่าคนนี้เขามีฝีมือพอตัวเขา หากเราไม่ปราบมารเราอุตสาห์สร้างบารมีมาแทบล้มแทบตาย มาถึงขั้นที่เราได้มาตรัสรู้เขาก็ยังมาข่มเราได้เขายังมาแกล้งเราได้ และเขาก็ชนะเราได้ตลอด ไม่มีใครสู้เขาได้เลย ข้าพเจ้าก็เพิ่งได้รู้ในการทําวิชาปราบมารคราวนี้ เหตุนี้เองจึงขอพูดฝากไว้ต้องขอประทานโทษท่านทั้งหลายด้วย หากท่านคิดอะไรในทางที่ไม่เห็นด้วยกับความเห็นที่ข้าพเจ้ากล่าวนี้ต้องขอโทษด้วยประการทั้งปวง แต่ต้องพูดฝาก
52
เพราะเราเพิ่งมารู้เพิ่งมาเห็น รู้เห็นอย่างไรก็นํามากล่าวกันอย่างน้อยก็เป็นข้อคิดในการสร้างบารมีของท่าน คราวนี้
มาถึงประเด็นที่ว่าไม่เห็นคนอื่นเขาพูดอย่างเราเลยนี่มันอย่างไรกัน หากท่านคิดดังนี้แปลว่าท่านคิดถูก ข้าพเจ้าก็ ไม่คิดว่าจะได้มารู้มาเห็นอย่างนี้เหมือนกัน เหตุที่มารู้มาเห็นก็เพราะได้ทําวิชาปราบมารตามที่ธาตุธรรมท่านร้องขอ คนอื่นเขาไม่เห็นวิชาปราบมารเขาก็ไมรู้จะเอาอะไรมาพูด เพราะยังไม่ไปรู้ไม่ไปเห็นขั้นตอนของการเดินวิชา ข้าพเจ้าเป็นคนทําข้าพเจ้าจึงรู้จึงเห็น นี่คือเหตุผลเมื่อไม่ทําวิชาก็ไม่มีความรู้มากล่าว หากทําวิชาจึงจะมีความรู้มา พูด นี่คือเหตุผลแต่ท่านจะฟังหรือไม่ฟังไม่ใช่เรื่องที่ข้าพเจ้าสนใจ ข้าพเจ้ามีหน้าที่เผยแพร่ข้าพเจ้าก็พูดไปตามที่รู้ที่ เห็นเรื่องก็มีเท่านี้ สรุปว่าผลงานประการแรกคือ พระพุทธเจ้านิพพานกายธรรม ได้บรรยายจบไปแล้วต่อไปขึ้น ผลงานอย่างใหม่
22.
ธรรมภาคมารเอาพระพุทธเจ้านิพพานเป็นและจักรพรรดิสําคัญไปกักกันไว้จํานวนมาก เป็นผลงานอย่างใหม่คือธรรมภาคมารเอาพระพุทธเจ้านิพพานเป็นไปกักขังไว้จํานวนมาก และเมื่อคํานวณ
ละเอียดเข้าไปพบว่าจักรพรรดิสําคัญถูกธรรมภาคมารเอาตัวไปกักขังไว้อย่างมากมายที่เดียว นี่คือหัวข้อผลงานสรุป แล้วได้แค่นี้ต่อไปเป็นการบรรยายเหตุการณ์ ตามขั้นตอนที่วิชาเดินไปถึงเหตุการณ์อะไรเกิดก่อนเกิดหลังจะบรรยาย ไปตามเหตุการณ์ดังนี้ -
การรบมาถึงจุดหนึ่งพบว่าพระพุทธเจ้านิพพานเป็นถูกมารเอาไปกักกัน กล่าวถึงการเดินวิชาเรา
คํานวณหาเหตุละเอียดเข้าไปจําได้ว่าตอนนั้นยังไม่เดินวิชาซ้อนกายสับกายแท้ ซ้อนเหมือนกันแต่ว่ายังไม่ถึงขั้นซ้อน แท้นั่นคือเรารวมกายทั้งหมดในธาตุธรรมทั้งนิพพานกายธรรมและนิพพานเป็น คํานวณเข้าไปในเหตุอดีต , ปัจจุบัน และอนาคตที่มารเขาทําเหตุว่างบไว้เหตุเหล่านี้เป็นเหตุปกครอง ได้เวลามารเขาก็มาปนเป็นในธาตุธรรมของเรา เรา เดินวิชาไปถึงจะพบ “ จุดดําเล็ก ” แล้วจุดดําเล็กก็จะหายไป หายไปไหนเราไม่ทราบและตามไม่พบ ความว่างคือ เหตุละเอียดนั้น หากเป็นเหตุลับต้องใช้วิธีคํานวณเป็นเดือนเป็นปี หากเป็นเหตุเปิดเผยเราคํานวณไม่นานเราก็พบได้ เหตุที่ว่างนี้มีทั้งเหตุภพน้อยและเหตุภพใหญ่ นิพพาน , ภพ 3 , โลกันต์อยู่ในที่ว่างนั้น กายของมารอยู่ในนิพพาน , ภพ 3 , โลกกันต์นั้น เมื่อพบกายของเขา เราก็พิสดารกายมนุษย์พิเศษของเราให้มากขึ้น แล้วยิงกายมนุษย์พิเศษนั้น เข้าไปในกายของมารไปจนสุดหยาบสุดละเอียด , แลบ , ลั่น , ย่อย , แยก , ดับ , ละลาย เมื่อกายมารถูกดับหมด เราก็ ไปถึงเหตุต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด ในขั้นตอนที่เราไปถึงเหตุละเอียดเราก็พบพระพุทธเจ้านิพพานเป็นอยู่ในนั้น เรา อาราธนาออกมาเอากายของพระองค์ซ้อนกันเข้า แล้วเดินวิชาซ้อนกายสับกายจนกว่ากายของพระองค์สะอาด แล้วก็ ส่งเข้านิพพานเป็นต่อไป เหตุการณ์เป็นอย่างนี้ตลอดมา เราคิดว่าเราถอนถอยพระองค์กลับมาได้หมดแล้วและนาน มาแล้ว เอาเข้าจริงยังไม่หมด ยังมาพบในขั้นตอนนี้อีกและต่อไปในภายหน้าจะพบอีกหรือไม่ยังไม่ทราบ ต้องใช้ เวลาค้นคว้าต่อไป มีอะไรอีกจะได้กล่าวกันในตอนนั้น
23.
ลักษณะการเห็นพระพุทธองค์นิพพานเป็นที่ถูกพาตัวไปกักกัน
53
เมื่อการรบไปถึงจุดหนึ่งแต่แรกก็เป็นว่าง แต่ว่างนั้นไม่สะอาดพอเราทําให้สะอาดได้ตามหลักวิชาของการรบ เรา เห็นพระพุทธองค์นิพพานเป็นมานั่งรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่เราตกใจทันที นี่อะไรกันที่นี่ไม่ใช่นิพพานของพระองค์ ทําไมพระองค์มาอยู่ที่นี่ ทันใดนั้นเองพระองค์ก็เข้ามาหาเราทั้งหมด เรารีบพิสดารกายมนุษย์ยิงเข้าไปในกายของ พระองค์ทันที ให้กายมนุษย์ของราแลบ , ลั่น , ย่อย , แยก , ดับ , ละลาย ไปจนสุดกายหยาบละเอียดอย่างเร็วพลัน ให้ กายของเราดับและละลายเครื่องบังคับกาย , ใจ , จิต , วิญญาณ ทีมารเขาทําได้ พอกายของพระองค์สะอาดเราก็ อาราธนาเข้าสิบเข้าศูนย์ของเรา นํากลับเข้านิพพานเป็นต่อไป พระองค์มาอยู่ที่นี่นานแค่ไหนแต่ครั้งใดไม่มีใครทราบ ทั้งนั้น ธาตุธรรมท่านตกใจแต่แรกตกใจต่อ ๆ มาเห็นเป็นเรื่องปกติ เราคิดว่าเรารวมธาตุธรรมได้ครบแล้ว แต่ยุค หนังสือปราบมารภาค 2 ยังมาพบเหตุการณ์เช่นนี้ในคราวนี้อีก เรื่องที่เราแปลกคือพบแต่พระพุทธเจ้านิพพานเป็น ไม่พบกายธรรมเลยและไม่พบจักรพรรดิด้วย ตรงนี้แหละที่เราถามต้นนิพพานเป็นตามที่บรรยายมาแล้ว พระองค์ ทรงขอบคุณเราทุกพระองค์ มารมันเอาธาตุธรรมของเราไปซ่อนไว้อย่างนี้ เราตกใจมากถามพระองค์ว่าทําไม พระองค์ไม่เดินวิชากลับมานิพพานของเราทรงตอบว่า สถานที่ไปอยู่นั้นเปรียบเหมือนเป็นลวดหนาม ใจ , จิต , วิญญาณของเรามารเขาทําเครื่องบังคับจึงทําวิชาอะไรไม่ได้ เราก็มาคิดว่าเวลาเราทําสถานที่กักกันเราทําเป็นลวด หนามใครอยู่ในแวดวงลวดหนามไปไหนมาไหนไม่ได้ ทําไมไม่เอามีดมาตัดลวดหนาม ไม่มีเครื่องมือใด ๆ ทั้งสิ้นมี แต่มือเปล่า ๆ ย่อมทําอะไรไม่ได้ พูดถึงบารมีข้าพเจ้าได้มากบารมีอย่างนี้เราจะไปสร้างที่ไหนไม่ใช่สร้างวัด , ไม่ใช่ บวชพระ , ไม่ใช่ทอดกฐิน ข้าพเจ้าพูดเสมอขอให้คนเก่งทั้งหลายมาช่วยกันปราบมาร หากทําได้ย่อมเกิดประโยชน์ หลายสถานถึงใครจะไม่ยกย่องเราก็รู้อยู่แก่ใจของเราว่าเราทําอะไรได้ แม้ไม่มีอะไรออกมาเป็นรูปธรรมเราก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าอะไรคืออะไร คนอย่างเราคํายกย่องมีความจําเป็นหรือ ที่พูดอย่างนี้ก็คือเชิญชวนให้พวกเราสนใจความรู้วิชาปราบ มาร ขอจบฉากพระพุทธเจ้านิพพานเป็นถูกลักพาตัวเพียงนี้
24.
ทุกครั้งที่มีจักรพรรดิสําคัญเสด็จมาพระพุทธองค์จะต้องเสด็จมาที่บ้านทุกครั้ง
กล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อต้นปราบเสด็จมาอยู่ทําวิชาปราบมารโดยประจําอยู่ในเรือนของจักรพรรดิตรีภพนั้นปรากฏ ว่ามีจักรพรรดิสําคัญเสด็จมาอยู่กับต้นปราบมากขึ้น มาทั้งจากมนุษย์โลก , มาจากทิพย์ , มาจากพรหม , มาจากอรูป พรหม และมาจากนิพพาน เมื่อเสด็จมาแล้วตรีภพท่านจะจัดที่อยู่ให้โดยสร้างนิพพานขึ้นในเรือนของท่านตาม ความรู้ของท่าน ซึ่งความรู้นี้ได้เค้าเรื่องมาจากครั้งหยกชมพูมาอยู่แล้ว คราวที่หยกชมพูเสด็จมานั้นหลวงพ่อท่านลง มาจัดการเองเราตั้งประเด็นว่า “ หลวงพ่อลงมาทําอะไร ” แต่แรกเข้าใจว่าหลวงพ่อลงมารับทราบเหตุการณ์เราคิด อย่างนั้น เอาเข้าจริงหลวงพ่อไม่ใช่มารับทราบเหตุการณ์อย่างเดียวเสียแล้ว หลวงพ่อมาเดินวิชาสร้างนิพพานขึ้นใน เรือนของตรีภพแล้วอาราธนาหยกชมพูเข้าอยู่ เราก็จําความรู้ไว้ความรู้ในการทํานิพพานก็คือตั้งเครื่องในเรือนขึ้น ทํา ไปให้ละเอียดคราวนี้จะอยู่กันเท่าไรก็ได้ คราวต่อ ๆ มาตรีภพท่านก็ทําวิชาของท่านเองแม้นับจํานวนอสงไขยองค์ ก็ อยู่ได้อย่างสบาย เท่าไร ๆ ก็อยู่ได้ไม่มีการจํากัดจํานวน เราทราบได้อย่างไรเมื่อมีจักรพรรดิสําคัญเสด็จมา เราทราบ
54
หลายขั้นตอน ประการแรกหากเรานิโรธอยู่ตรีภพท่านจะบอกเราทราบตอนนั้น แล้วเราก็ดูเหตุการณ์ว่าใครไปใครมา มาทําอะไรกัน พูดกันว่าอย่างไร หากฟังไม่รู้เรื่องเราถามตรีภพ ตรีภพท่านจะบอกและเราจะทราบพอสมควรแม้ไม่ ละเอียดนักก็ว่าพอจะทราบความ อีกกรณีหนึ่งเมื่อเวลา 2 ทุ่ม ข้าพเจ้าจะถวายดอกไม้เป็นปกติ บูชาในนิพพานเสร็จ แล้วก็มาถวายจักรพรรดิที่บ้าน พอถวายดอกไม้เสร็จต้นปราบท่านจะบอกว่าวันนี้มีจักรพรรดิสําคัญเสด็จมาที่องค์ เฉพาะองค์ที่มีฐานะเป็น “ ต้น ” จะต้องเข้าธรรมกายเข้านิพพานประชุมธาตุธรรมทั้งหมดทั้งนิพพานกายธรรมและ นิพพานเป็น อาราธนาจักรพรรดิสําคัญขึ้นไปปรากฏกายในนิพพาน ธาตุธรรมท่านจะตรวจบารมีทันทีองค์ไหนมี บารมีเท่าไรเด่นด้วยบารมีใด จากนั้นธาตุธรรมก็ถวายนามลําดับไปทีละองค์จนกว่าจะครบองค์ในคราวนั้น หน้าที่ ของเราก็คือต้องรีบจําและจดพระนามของท่านไว้เป็นรุ่น ๆ ทําเฉพาะหัวหน้าทีมหัวหน้าชุดเท่านั้น เหตุการณ์เช่นนี้มี มาแต่ปีพ.ศ. 2536 แล้วและติดต่อมาเรื่อย ๆ โดยเหตุการณ์ต่างกันจะเล่าให้ฟังตามที่บันทึกเป็นคราว ๆ ไป ก่อนที่จะถึง ขั้นตอนการถวายนาม พระพุทธองค์ท่านเสด็จมาที่บ้านเนืองแน่น เสด็จแล้วก็มาถึงอรูปพรหมเขามากันต่อมาจึงถึง พรหมและถึงทิพย์จักรพรรดิกายสิทธิ์ก็มาด้วย แต่แรกเราตกใจในเหตุการณ์ต่อมาเห็นเป็นเรื่องปกติ ประเด็นที่ว่า พระพุทธองค์เสด็จมาทําไม แต่แรกเราไม่ทราบครั้นดู ๆ ไปแล้วจึงได้ทราบขึ้นบ้างแต่ก็ไม่รู้รายละเอียด เคยมีวันหนึ่ง เราเดินวิชาได้ดีเกิดความบันเทิงใจเรานิโรธเรื่อยไป คราวหนึ่งไปหาหลวงพ่อ ๆ บอกว่า “ เดี๋ยวค่อยพูดกันไปบ้าน ศึกษา ฯ ก่อน ” เราไปหาต้นนิพพานเป็น พบพระองค์ ๆ บอกว่า “ เดี๋ยวไปบ้านศึกษา ฯ ก่อน ” เรามาหาพระสมณ โคดมพระองค์ทรงรับสั่งถามว่า “ ต้นใหญ่มาบ้านศึกษา ฯ หรือเดี๋ยวไปบ้านศึกษา ฯ ก่อน” จากนั้นเราก็ฟังเหตุการณ์ ว่าธาตุธรรมท่านมาบ้านเราด้วยธุระอะไรด้วยเรื่องสําคัญอะไรเราพยายามฟังได้ความว่า มาหาต้นใหญ่เพื่อมา ต้อนรับจักรพรรดิใหม่ เพราะทราบว่าจักรพรรดิมาช่วยปราบมาร เนื้อหาสาระที่คุยกันเราไม่ทราบแต่ก็เดาว่ามาจาก ไหนไหจากไหนต่อไปนี้จะทําอะไรกัน นี่เป็นเหตุการณ์เบื้องต้นครั้นถึงวันที่อาราธนาจักรพรรดิใหม่เข้านิพพาน เพื่อ ธาตุธรรมตรวจบารมีและถวายพระนามนั่นเป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง การถวายนามนั้นกระทําโดยนิพพานทั้งปวงเข้า นิโรธกันหมดแล้วตรวจบารมีเสร็จแล้วก็ถวายนามปกติจะเป็นอย่างนี้ เมื่อถวายนามเสร็จเป็นประเพณีที่ข้าพเจ้า ปฏิบัติอยู่ก็คือชวนพระองค์ไปเยี่ยมต้นใหญ่ ออกจากต้นใหญ่ก็ไปที่ต้นนิพพานเป็น ออกจากนิพพานเป็นก็มาหา เจ้าของศาสนาคือพระสมณโคดม เสร็จจากนั้นมาหาหลวงพ่อ พูดคุยกันแล้วจึงกลับไปหาต้นปราบ เมื่อมาถึงต้น ปราบแล้วเราจึงถอนนิโรธถือว่าเสร็จภารกิจประจําวัน
25.
ข้อสังเกตในการตรวจบารมีจักรพรรดิ เดินวิชาซ้อนกายสับกายโดยรวมนิพพานกายธรรมและนิพพานเป็นเข้าด้วยกัน เสร็จแล้วนิโรธหยุดนิ่งลงไปที่
ดวงธรรมของจักรพรรดิทีละองค์ ดูดวงบารมีของพระองค์คํานวณบารมีออกมาว่ายิ่งด้วยบารมีใด เสร็จแล้วธาตุ ธรรมท่านก็ประกาศบอกว่าบารมีเท่าไรมีฐานะอะไร และถวายนามว่าอะไรก็ประกาศออกมา ข้อที่น่าสังเกตก็คือธาตุ ธรรมท่านบอกเราว่าองค์นี้เป็นคู่บารมีสร้างบารมีคู่กันมากับศึกษา ฯ แต่ครั้งใด ท่านเป็นนักรบเก่ามีบารมีเด่นหลาย
55
อย่าง ชื่ออย่างนี้ก็ได้ชื่ออย่างนั้นก็ได้ ศึกษา ฯ จะเลือกชื่อใดธาตุธรรมท่านถาม เราชอบชื่อใดเราก็ตอบชื่อนั้น เมื่อ เสร็จองค์หนึ่งขึ้นองค์ใหม่จนกว่าจะครบ บางองค์ธาตุธรรมถามว่าไปพลาดท่ามารเขาอย่างไรทราบมาก่อนไหมว่าจะ กลับมาพบนายอีก ( หมายถึงข้าพเจ้า ) ดีใจไหมที่ได้กลับมาพบนายอีก เมื่อมาพบนายเขาแล้วจะไปอีกไหม เราได้ยิน ได้ฟังเรื่องแปลก ๆ ซึ่งเราไม่ทราบมาก่อน องค์ไหนที่ถูกถามกระจุกกระจิกแปลว่ามีความสัมพันธ์กับข้าพเจ้ามานาน แสนนาน บรรยากาศอย่างนี้เห็นว่าสนุกในตอนแรกแต่พอนานไปไม่สนุกเสียแล้ว เป็นเองปกติธรรมดา
26.
ข้อสังเกตหลังจากตรวจบารมีเสร็จแล้วถวายนามแล้ว ต้องมาพบธาตุธรรมสําคัญ คําว่าธาตุธรรมสําคัญหมายถึงต้นใหญ่ , ต้นนิพพานเป็น, กายธรรมหลวงพ่อ และ พระสมณโคดม ซึ่ง
เป็นเจ้าของศาสนา เหตุใดเมื่อทําพิธีถวายนามหลังจากตรวจบารมีแล้วต้องมาพบธาตุธรรมสําคัญอีกรอบหนึ่ง ไม่ว่า เราจะไปไหนจักรพรรดิท่านก็ไปกับเราไปไหนไปกันว่าอย่างนั้นก็แล้วกัน ไม่ทราบตัวเองเหมือนกันว่าทําไมเราต้อง ทําอย่างนั้นนึกขึ้นมาได้เอง แล้วเราก็ทําตามที่เราเห็นชอบ เมื่อมาพบต้นใหญ่จักรพรรดิท่านถามต้นใหญ่อย่างไม่ เกรงใจก็มี เรื่องที่พูดกันส่วนมากก็เรื่องของข้าพเจ้า พระองค์ส่งนายไปหรือพระองค์ให้นายปราบมารนั้น พระองค์ มีส่วนรับผิดชอบอะไรบ้าง อย่างนี้เราก็เคยได้ยิน ต้นใหญ่ท่านก็ตอบไปตามที่ถาม มาที่ต้นนิพพานเป็นบางพระองค์ พูดไม่เกรงใจ พระองค์ขึ้นลงกับนายหรือ , พระองค์ช่วยอะไรนายบ้าง เราเคยได้ยินและได้ยินแปลก ๆ แปลว่า จักรพรรดิท่านรู้เรื่องของเราตลอด แต่เราเองยังไม่รู้เรื่องเลย ในส่วนที่เกี่ยวกับหลวงพ่อนั้นเคยได้ยินจักรพรรดิท่าน พูดเหมือนกัน หลวงพ่อท่านก็ว่าศึกษา ฯ เป็นศิษย์ใช้กันได้วานกันได้ให้ปราบแทนได้ เกี่ยวกับพระสมณโคดม จักรพรรดิท่านไม่ค่อยกล่าวอะไรจึงไม่มีเรื่องเขียน เพราะงานปราบมารมาอยู่ในศาสนาพระองค์ พระสมณโคดม ท่านฝากศาสนาของท่านให้ช่วยดูแลด้วย รุ่นหลัง ๆ ไม่ค่อยพูดอย่างนั้น พอมาถึงต้นใหญ่ ๆ ท่านขนานนามรุ่นก็มี ส่วนต้นนิพพานเป็นและหลวงพ่อได้แต่โอภาปราศรัยธรรมดา ทําให้นึกถึงเรื่องที่อุบาสิกาถนอม อาสไวย์ท่านเล่าขึ้น ได้เรื่องก็มีอยู่ว่า วันหนึ่งหลวงพ่อท่านถามคุณฉลวย สมบัติสุข และถามอุบาสิกาถนอม อาสไวย์ว่า “ พระพุทธเจ้า กับจักรพรรดิใครสําคัญกว่ากัน ” นี่คือคําถามคุณฉลวยตอบว่าพระพุทธเจ้า ส่วนอุบาสิกาถนอมตอบว่าจักรพรรดิ แม่ชีถนอมเล่าต่อว่าหลวงพ่อเราตายไปนานแล้ว จนบัดนี้ยังไม่มีการเฉลยคําตอบ ข้าพเจ้าทราบคําตอบแล้ว นึกสนุก ขึ้นมาวันใดจะเขียนวันนั้นก็แล้วกัน สรุปข้อสังเกตในขั้นตอนนั้นเราจะทราบว่าจักรพรรดิท่านรู้เรื่องของเรามาแต่ อดีต ทรงห่วงใยเราถึงกับพูดกับธาตุธรรมอย่างนั้น ทรงรู้เห็นเรื่องเรามาทุกชาติแต่เราไม่รู้ เราเอาแต่ทําวิชาตามที่ ธาตุธรรมท่านมอบหมาย เราคิดแต่ว่าเราเป็นศิษย์หลวงพ่อเกรงใจหลวงพ่อ หลวงพ่อให้เราปราบมารเราก็ปราบมาร ผลดีผลเสียมีอย่างไรเราไม่คิด เราคิดแต่จะให้มารดับให้หมดสถานเดียว ในประเด็นที่ว่าเราจะมีกินมีใช้หรือไม่เราไม่ คิด แต่จักรพรรดิท่านคิดท่านพูดแทนเรา ตามที่กล่าวมานี้เท่าที่เล่ามานี้เป็นเรื่องเล็กน้อยเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น หาก ท่านอยากทราบตลอดเรื่องต้องไปอ่านบันทึกทําวิชาประจําวัน ขอเข้าเรื่องผลงานลําดับต่อมาคือเรื่องจักรพรรดิ สําคัญถูกมารลักพาตัวไปโดยไม่มีใครรู้ไม่มีใครทราบดังเรื่องราวต่อไปนี้
56
27.
จักรพรรดิภาคปราบสําคัญถูกมารเอาไปกักกันไว้หมด กล่าวถึงการรบเมื่อมาถึงจุดหนึ่งหลังจากที่เดินวิชาไปพบพระพุทธเจ้านิพพานเป็น ที่มารเอาไปหลบซ่อนที่
มารเอาไปกักกันไว้ในเหตุการณ์ต่าง ๆ การรบดําเนินมาถึงขึ้นตอนนี้คิดว่าอาราธนากลับนิพพานไปได้หมดแล้ว เพราะการเดินวิชาละเอียดขึ้น พบพระพุทธเจ้านิพพานเป็นที่ใดเราก็อาราธนากลับได้หมด และเราก็ดีใจต่อไปว่า หมดธรรมภาคมารเพียงนี้ภาระหน้าที่ของเราเสร็จสิ้นแล้วเราคิดอย่างนั้น คืนวันหนึ่งจําได้ว่าเราได้พูดไว้ในนิพพาน ว่าจักรพรรดิอยู่ที่ใดขอให้อยู่ที่นั้นอย่าเคลื่อนย้ายจะได้ทราบว่าใครอยู่และใครหายไป พูดแล้วก็ลืมไม่นํามาคิดอีกและ ลืมไปเลย การทําวิชาในระยะนั้นคํานวณได้ง่ายวิชาไปเร็วโล่งไปหมด ธาตุธรรมท่านดีพระทัยด้วยว่ามารหมดเสียที เพราะรบกันมานานแล้วดีใจกันทั้งนั้น แต่ดีใจกันไม่นานเมื่อคํานวณละเอียดหนักเข้าไป ไปพบพระพุทธเจ้า จักรพรรดิภาคปราบ ถูกมารเอาตัวไปกักกันไว้ในเหตุละเอียดนั้น แต่แรกพบน้อยต่อมาพบมากขึ้น พอเรื่องแจ้ง ขึ้นมาธาตุธรรมตกพระทัยกันหมด นี่มันอะไรกัน แล้วความดีใจก็มีแค่นั้นแต่จากนั้นไปมีแต่ความหนักใจและ หนักใจพูดอะไรไม่ออกกันทั้งนั้น จําได้ว่าในรุ่นแรก ๆ เคยทูลถามต้นนิพพานเป็นถามพระองค์ว่าทรงรู้เห็นหรือไม่ ทรงตอบว่าไม่รู้ไม่เห็นและก็ถามไปหมดก็ไม่ทรงรู้เห็น เราหนักใจเป็นทวีคูณว่าเราจะทําอย่างไรต่อไปเกินรู้เกิน ญาณทัสสนะที่พระองค์จะทรงรู้ทรงเห็นแล้ว เกินกําลังพระองค์แล้ว หากพระองค์ทรงรู้เห็นก็จะบอกแก่เราได้ กรณี อย่างนี้เราจะทําอย่างไรต่อไป นี่คือความคิดของเราหากไม่รบต่อมารมันจะได้ใจ ว่าเราไม่มีน้ํายาเพียงแค่นี้เราก็ไม่มี ปัญหาไปตามให้พบตัวตนของมัน นี่คือความคิดของเราหากเราจะรบต่อเราจะทําวิชาอะไร มาถึงขั้นตอนนี้ลองเดิน วิชาซ้อนสับทับทวีคือนิพพานถอดกายมีเท่าไร เอามารวมกับนิพพานเป็นทั้งหมด ทําให้เป็นกายเดียวกันทั้งหมด ซ้อน, เห็น , จํา , คิด , รู้ , นิโรธ , สมาบัติ , ตรัสรู้ , คํานวณ , ต่อเห็น , จํา, คิด , รู้ , นิโรธ , สมาบัติ , ตรัสรู้ , คํานวณ แล้วกลั่นคือ กลั่นเห็น , จํา , คิด , รู้ , นิโรธ , สมาบัติ , ตรัสรู้ , คํานวณเสร็จแล้วต่อแว่นต่อกล้องส่องญาณทัสสนะไป ในเหตุเกินรู้เกินญาณทัสสนะ คํานวณไปให้เลยคํานวณของมารที่มารเขาคํานวณไปแล้ว กําลังคํานวณอยู่และที่จะ คํานวณต่อไป ไปถึงเหตุอันใดเราก็แลบ, ลั่น , ย่อย , แยกเข้าไปในเหตุนั้นเมื่อเหตุเล่านั้นถูกกําจัด พอเกิดความใสขึ้น บ้างเพียงเท่านั้นเองเราก็พบพระพุทธเจ้าจักรพรรดิภาคปราบ ที่มารลักตัวพามากักกันไว้ตรงนี้จํานวนมาก พบแล้ว พบอีกไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร พอพระองค์เห็นเราจะเข้ามาหาเราทั้งหมด เราต้องรีบรวมกายของพระองค์ทั้งหมดนํามา ทําให้ใสใหม่แล้วอาราธนากลับนิพพาน แปลกมากแปลกแท้ทีเดียวพระองค์ไม่อยู่นิพพาน แต่กลับมาอยู่กับ “ ตรีภพ ” ทั้งหมดเราตกใจเหตุใดพระองค์ไม่อยู่ในนิพพาน ก็อาราธนาพระองค์มาอยู่ในนิพพาน นี่มันอย่างไรกันที่เป็น พระพุทธเจ้านิพพานเป็น พระองค์ก็อยู่ในนิพพานเป็นไม่เห็นพระองค์มาอยู่กับ “ ตรีภพ ” พอถึงรุ่นจักรพรรดิเหตุ ใดจักรพรรดิไปอยู่บนนิพพานตามที่อาราธนา ทําไมมาอยู่กับ “ ต้นปราบ ” กันทั้งหมด แต่อยู่ในเรือนของตรีภพ จะ ลําดับเรื่องราวต่อไป
28.
การเดินวิชาสมัยหลวงพ่อวัดปากน้ําเป็นอย่างไร
57
คณะที่ทําวิชาทัง้ หมดจะต้องเดินสมาบัติให้กายใสเสียก่อน เมื่อกายใสดีแล้วเข้านิพพานทันทีจะเข้าได้ละเอียด แค่ไหนหรือหยาบแค่ไหน สุดแต่ความสามารถของแต่ละบุคคล เมื่อเข้านิพพานแล้วไปซ้อนกายธรรมกับพระพุทธ องค์ดับหยาบไปหาละเอียดเรื่อยไปแล้วอาราธนาพระพุทธเจ้าดังนี้ ขออาราธนาพระพุทธเจ้าในอดีต , ในปัจจุบัน , ใน อนาคต อาราธนาครบสี , ครบสาย , ครบกาย , ครบองศ์ , ครบวงศ์ ของภาคขาวทั้งหมด อาราธนาพระองค์มาเป็น รบ , ตรวจงาน , ทํางาน อาราธนามาเป็นเหตุสุด , เหตุไม่มี , เหตุว่าง , เหตุดับ............ฯลฯ ( เหตุ 19 อย่างตามที่หลวง พ่อท่านสอน ) มาเป็นนิโรธ , สมาบัติ , ตรัสรู้ , คํานวณ มาเป็นแลบ , ลั่น , ย่อย , แยก , ระเบิด , ผ่า , ดับ , ละลาย มา เป็นส่ง , เสริม , เติม , ต่อ , รอ , ตัด , ปัด , ปิด , ดึง , ดูด , ย่อย , แยก , แตก , ปะทะ , ขวาง , กัน , ใย , ยนต์ , อายตนะ , วิทยุ มาเป็นแว่น , กล้อง , ญาณทัสสนะ ( เอามาเป็นอะไรบ้างดูให้ครบคือให้มาทําหน้าที่อะไรนั่นเอง ) จากนั้นก็หยุด นิ่งบนนิพพานนั้น แล้วต่อแว่น , ต่อกล้อง , ส่องญาณทัสสนะพบกายธรรมภาคมารที่ใดพบธรรมภาคกลางที่ใดก็ย่อย , แยก , ดับ , ละลาย กันไปบนนิพาน , ภพ 3 , โลกันต์ของมารที่ใดก็กําจัดกันไป การกําจัดนั้นท่านให้เดินวิชาไปให้สุด เหตุ 19 เสมอไปจนกว่าทุกจุดจะขาวสว่างใส นี่คือวิธีที่หลวงพ่อท่านสอน ใคร ๆ ก็ทําอย่างนี้ตามที่กล่าวเป็นแบบย่อ เพื่อให้เข้าใจว่าวิชาในยุคนั้นท่านเดินวิชากันอย่างไร รายละเอียดทั้งปวงขอให้ท่านติดตามค้นหาเอง
29.
การเดินวิชาปราบมารภาคปฏิบัติจริง
ตามที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนั้นเราพอจะทราบอะไรมาพอสมควรแล้ว จากนี้ไปเป็นขั้นตอนการทําวิชารบจริง ทบทวนความรู้ดีแล้วลงมือทําวิชาทันที 1.
การรบในปกครองใหญ่คือการรบในนิพพาน เป้าหมายคือต้องไปให้สุดนิพพาน ข้อมูลที่ควรทราบก็คือยังไม่
มีใครไปสุดหากเดินวิชาไม่สุดแสดงว่าการรบในปกครองใหญ่ไม่แล้วเสร็จ ไม่ว่าจะนานแค่ไหนกี่ชาติกี่ภพก็แล้วแต่ วิธีทําให้ไปได้สุดคือรบไปด้วยคํานวณไปด้วยยังไม่ต้องการเหตุผล หากจะเอาเหตุผลเอาความชัดเจนอีกเท่าไรปีก็ไม่ สุด ทําวิชาวันแรกวันที่ 13 กรกฎาคม 2527 ( เป็นวันเข้าพรรษาไม่ทราบเหตุผลว่าทําไมจะต้องเป็นวันเข้าพรรษา ด้วย ) การรบในปกครองใหญ่เสร็จเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2527 2.
การรบในปกครองย่อยคือรบในภพ 3 ได้แก่ การรบในมนุษยโลกวันแรกคือวันที่ 17 ตุลาคม 2529 เป็นต้นมา
คือเสร็จจากการปกครองใหญ่ก็ลงมาในปกครองย่อยทันที ในวันที่ 17 ตุลาคม 2529 นั้นเองการรบในปกครองย่อย ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงวันนี้ยังไม่เสร็จสิ้น พระพุทธองค์ถอยธาตุถอยธรรมทํางานรบในมนุษยโลกตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2529 แรก ๆ พระพุทธองค์ทรงลงมา ส่วนพระอรหันต์คงอยู่บนพระนิพพานขณะนี้ไม่อย่างนั้นทรงขึ้นลงเฉพาะทํา การรบเท่านั้น ตลอดเวลาที่ทําวิชารบเราจะมีงานเพิ่มขึ้นทุกวัน แต่เป็นงานทางทําวิชาธรรมกายคนอื่นเขาไม่รู้ รู้ก็แต่พวกเราที่ เป็นวิชาเชี่ยว ๆ เท่านั้น เป็นวิชาอ่อน ๆ ก็ยังทําอะไรไมได้ ผู้เขียนเห็นว่างานพัฒนาทางวิชาธรรมกายมีมากมาย เหลือเกิน จะเล่าให้ฟังได้บ้างแต่เป็นส่วนน้อยจะกล่าวโดยละเอียดยังไมได้
58
30.
เปรียบเทียบการรบระหว่างการรบในปกครองใหญ่กับปกครองย่อย การรบในปกครองใหญ่ถูกระเบิดรุนแรงปืนใหญ่ที่ว่าดังนั้น ความดังเบากว่าการระเบิดของมารกว่าจะชนะมา
ได้แต่ละครั้งใจเกือบหยุดเต้นทุกครั้ง ใจเราทําท่าว่าจะขาดทุกทีไปอารมณ์หงุดหงิดไม่พอใจไปหมดอะไรขวางหน้า ไม่ได้ระหว่างที่ใจจวนจะขาดนั้นคิดถึงลูกเมียถ้าเราตายไปแล้วใครจะดูแล นึกอย่างนี้ทุกครั้งไป มารเขามาทุกทิศทาง มืดไปหมด ไม่รู้ว่ามาจากไหนมาช่วยกันระเบิดจะให้ผมตายเคราะห์ดีที่ชนะมาได้ เมื่อชนะแล้วอารมณ์แจ่มใสทันที ไม่โกรธใครทีเดียว การค้นหามารบนนิพพานทําได้ง่ายกว่าในภพ 3 เพราะบนนิพพานสว่างใส จุดดําอยู่ที่
ไหนเราพอจะมองเห็น มารซ่อนตัวได้ยาก เพราะได้เปรียบประเด็นนี้ผมชมเชยเขาเหมือนกันเมื่อถึงที่คับขันคือ ธาตุสุดท้ายธรรมสุดท้ายของเขา เขาจะออกมารบกับเราตัวต่อตัวใครมีวิชาดีหรือไม่ดีรู้กันตรงนี้ ต้นของเขานั้นกว่า เราจะดับได้เล่นเอาเราเหนื่อยทุกธาตุทุกธรรมทีเดียว ชมว่าเขาเก่ง เขาไม่เก่งปานนี้เขาจะปกครองธาตุธรรมของเรา ได้อย่างไร ขอพูดอีกนิดหนึ่งว่าระหว่างประจัญบานนั้นเราจะไม่ไหวท่าเดียว พะอืดพะอมในใจพูดไม่ถูกเขาดับเรา เต็มที่เราทําท่าจะแพ้ ถ้าเราแพ้เราอาจตายเดี๋ยวนั้น ถามว่าท่านจะให้ใครมาช่วยอย่าได้หลงเชื่อว่าใครจะช่วยได้ ตัว เราเองต่างหากที่ช่วยตัวเราเองได้ พึงอดทนและยอมตายเอาเข้าจริงเราก็ไม่ตาย แต่ว่าต้องเดินวิชา ใจสู้อย่างเดียว ไม่ได้ การรบในปกครองย่อยแรก ๆ รบสบายมีเท่าไรเราดับได้หมด ไม่มีถึงขนาดว่าหัวใจหยุดเต้น เป็นการรบสบาย ๆ คล่องตัวกว่าการรบในนิพพานมากมาย แต่ว่าช่วงหลัง ๆ นี้รบยากขึ้นแล้ว คํานวณเท่าไรไม่หมดเพราะมารเขามีที่ หลบมากเหลือเกิน ในโลกเรานี้สกปรกอยู่แล้วค้นหายากนัก ขอบข่ายมันครอบจักรวาล ได้รบหนัก 68 ครั้ง แต่มารก็ยังไม่หมด รบในนิพพานมีการประจัญบานหนักเพียงไม่เกิน 42 ครั้งเท่านั้น ที่กล่าวมานี้ก็ยังเชื่อไม่ได้เพราะ มารในปกครองใหญ่หนีมาอยู่ในปกครองย่อย เรื่องราวจะอย่างไรต่อไปยากต่อการเดาจริง ๆ
31.
มีความคิดเห็นอย่างไรต่อการที่พระพุทธองค์และจักรพรรดิของเรากลับมาได้ ? ทันใดที่ผู้ใหญ่ในธาตุในธรรมคือผู้ปกครองใหญ่ในนิพพานสรุปผลงานคือ ต้นใหญ่และต้นนิพพานเป็นทรง
ยืนยันว่าพระพุทธเจ้าของเราที่มารลักพาตัวไปและจักรพรรดิสําคัญกลับมาได้หมดแล้ว ข้าพเจ้าดีใจถึงกับกินข้าวไม่ ลงปลื้มใจไม่มีอะไรเทียบเหตุผลที่ดีใจก็คือ การเป็นพระพุทธเจ้าของแต่ละพระองค์ไม่ง่ายเลย สร้างบารมีกันมานับ ภพนับชาติไม่ถ้วน สุดท้ายจะต้องควักนัยน์ตาให้เป็นทานต้องยกลูกเมียให้เป็นทานต้องให้เขาได้ทุกอย่าง มิฉะนั้นก็ เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ แบบธรรมเนียมการสร้างบารมีของธรรมภาคขาวเป็นอย่างนี้ ในส่วนของจักรพรรดินั้นก็ต้อง อํานวยความสะดวกบริบูรณ์แก่โลกและแก่โพธิสัตว์เรื่อยไปนับชาตินับภพไม่ถ้วนเช่นกัน ชาวโลกที่ถูกศีลธรรมท่าน ช่วย โพธิสัตว์ที่ถูกศีลถูกธรรมท่านช่วย ๆ สารพัดเรื่อง สร้างบารมีมากกว่าพระพุทธเจ้า บารมีไม่มากกว่า พระพุทธเจ้าก็ดูแลพระพุทธเจ้าไม่ได้ เข้าเกณฑ์นี้จึงจะเป็นจักรพรรดิได้ บัดนี้พระพุทธองค์มีทุกข์หนัก มารมาข่ม เหงรังแกถึงขนาดเอาตัวพระองค์ไปได้ เอาไปกักกันไม่ให้รวมหมู่รวมพวกบ้างก็เอาไปทรมานสารพัดที่มารจะทํากับ พระองค์ การที่รบไปพบพระพุทธองค์ในที่ตกยากเช่นนั้น รบกับมารจนในที่สุดเรารับพระองค์กลับคืนมาได้หมด
59
เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าดีใจมากถือว่าเป็นบุญใหญ่เป็นบารมีใหญ่พระองค์รับสั่งว่า พระองค์หมดอนาคตแล้วการพ้นทุกข์ คราวนี้เหมือนได้เกิดใหม่ คราวนี้ถึงจักรพรรดิท่านไม่กลับไปนิพพานมาอยู่กับ “ ต้นปราบ ” ทั้งหมดไม่รู้กี่หมื่นกี่ พันอสงไขยแล้ว ดวงกายสิทธิ์อันเป็นดวงของ “ ตรีภพ ” มีขนาดโตเท่าไรเหตุใดจักรพรรดิน้อยใหญ่อยู่ได้หมด ข้าพเจ้าก็ไม่มีความรู้แต่ว่าใครจะมีบารมีเท่าไร ? ใครจะใหญ่ใครจะโต ? ใครจะมีความรู้อะไร ? ใครเก่งใครไม่เก่ง อะไร ? ใครรู้มากรู้น้อย ? ไม่ใช่ประเด็น เรื่องสําคัญเรื่องหนึ่งที่ทราบก็คือเดินวิชาให้ตรงกันหมดทําวิชาอะไรก็ทําไป แต่วิชาตรงกันหมดวิชาอะไรก็ตรงกันหมด วันนี้เดินวิชาหยาบก็หยาบตรงกันหมด วันใดเดินวิชาโลดโผนก็โลดโผน ตรงกันหมด นี่คือข้อสังเกตที่ข้าพเจ้าทราบมีเรื่องเดียวที่ข้าพเจ้าไม่ชอบคือ ข้าพเจ้าต้องทําวิชาทุกวันเว้นไม่ได้เป็น ข้อบังคับ เพราะพระองค์จะต้องอาศัยกายมนุษย์ของข้าพเจ้าเป็นฐานทัพ กายมนุษย์ของข้าพเจ้าเป็นป้อมปราการพอ เดินวิชาไปถึงนิพพานกายธรรมและนิพพานเป็น นิพพานทั้งหมดเอากายมนุษย์ของเราเป็นฐานทัพอีก คราวนี้จะ เดินรู้ญาณไปไหนก็ว่ากันไป
จึงได้รู้ว่ากายมนุษย์ของเรานี้สําคัญที่สุดไม่ว่ากายใดต้องใช้กายมนุษย์เป็น
ปราการ ถ้าไม่มีกายมนุษย์ของเรารอรับ การรบกระทําไม่ได้ทีเดียว กายอื่นเปราะบางกระทบกับมารก็แพ้เขา แต่ ช่วยได้ในเรื่องรู้และญาณ การละลายมารจะต้องเอากายมนุษย์ไปดับ กายอื่นไม่มั่นคงเท่ากายมนุษย์ การที่เรามาเกิด ในโลกวัตถุประสงค์สําคัญก็คือให้มีกายมนุษย์ก็เพื่อจะเอากายมนุษย์ไปสู้มารนั่นเอง ขอสรุปว่าการที่พระพุทธองค์ และจักรพรรดิกลับมาได้ข้าพเจ้าดีใจมาก แต่ดีใจได้ไม่นานด้วยใจของเราไปประหวัดถึงคํากล่าวของหลวงพ่อ หลวง พ่อท่านพูดแก่ข้าพเจ้า 2 ประโยคข้าพเจ้าจําได้คือ 1.
ถ้าศึกษา ฯ ดับมารไม่หมด มีหวังได้กลับมาเที่ยวในโลกมนุษย์อีกหมายความว่า ถ้าปราบมารคราวนี้ยังดับ
มารไม่หมด ธาตุธรรมท่านให้มาเกิดใหม่ให้มาปราบมารนั่นเอง 2.
ศึกษา ฯ ดับมารต้องดับให้หมดอย่าให้เหลือเศษ ในส่วนที่เรายังดับไม่หมดนั้น มาราจะเอาส่วนนั้นมา
ปกครองคราวนี้เราจะแก้อะไรไม่ได้ทีเดียว เราก็มาคิดถึงพระพุทธองค์และจักรพรรดิที่เราไปติดตามกลับมาได้นั้น หากเราดับมารที่ละเอียดได้ไม่หมดมันจะ กลับมาเอาพระพุทธเจ้าและจักรพรรดิของเรากลับไปอีกหรือเปล่า ? ขณะนี้เราก็อายุมากแล้วจะตายเมื่อไรเราก็ไม่รู้ ขณะนี้เรายังมีกายมนุษย์อยู่เราก็ยังดูแลพระองค์ไว้ได้ยังปกครองพระองค์ได้ หากเราตายไปอนาคตของพระองค์จะ เป็นอย่างไร ? เราก็เดาเหตุการณ์ไม่ได้
ไม่ว่านิพพานใดและไม่ว่าจักรพรรดิใดไม่ต้องการให้ข้าพเจ้าตาย
ทั้งนั้น ความหวังทั้งปวงอยู่ที่ข้าพเจ้าผู้เดียว ข้าพเจ้าทราบเป็นอันดีปีนี้ข้าพเจ้าดวงดีขึ้น เพราะมีหลายคนเห็น ความสําคัญในตัวข้าพเจ้าต่างก็ส่งอาหารบํารุงไปให้บางท่านส่งเงินไปให้บอกว่า “ สิ้นเปลืองเท่าไรไม่ว่า ขอแต่ให้ลุง การุณย์ บุญมานุช มีชีวิตอยู่คู่โลกเพื่อจะได้ประลองยุทธ์กับมารต่อไป หากลุงการุณย์ บุญมานุชตายไปพวกผมจะไป อ่านหนังสือปราบมารได้ที่ไหน ? ” เลิกพูดเรื่องความตายกันได้แล้วเพราะเป็นการกระทบการเทือนพระทัยผู้ใหญ่ใน ธาตุในธรรมของเรา คิดถึงต้นนิพพานเป็น , คิดถึงต้นใหญ่ , คิดถึงหลวงพ่อจะเสียพระทัยขนาดไหน , คิดถึงพระ
60
พุทธองค์ทั้งปวงทั้งนิพพานกายธรรมและนิพพานเป็นต้องเสียพระทัยอย่างใหญ่หลวง จักรพรรดิทั้งปวงก็ต้องเสีย พระทัยไปด้วยกัน เพื่อเป็นการรักษาพระทัยของพระองค์ทั้งหมดข้าพเจ้าต้องไม่ตาย ข้าพเจ้าไม่เคยปรารภอายุมาก ให้พระองค์ฟังเลย ไปปรารภว่าเราอายุมากแล้วเท่ากับเอาเข็มไปแทงพระทัยทีเดียว อย่าพูดอย่ากล่าวเป็นอันขาด ทีเดียว ในขณะนี้ข้าพเจ้ามีสถานภาพเหมือนนักมวยคนหนึ่ง ตอนเย็นต้องออกไปวิ่งบริหารร่างกายยกน้ําหนัก แล้ว กลับบ้านพักผ่อนครู่หนึ่งแล้วก็เดินวิชารบกันมารต่อไป กายมนุษย์มีสุขภาพดีทําให้พระองค์ดีพระทัยไปด้วย ดังนั้น การที่ท่านทั้งหลายให้การอุปการะแก่ข้าพเจ้าก็คือ ท่านได้บารมีปราบมารไปกับข้าพเจ้าด้วย ท่านช่วยข้าพเจ้าก็คือ
ท่านช่วยธาตุธรรม , ท่านช่วยพระพุทธองค์ , ท่านช่วยจักรพรรดิ นั่นเอง
ท่านทําวิชาไม่ได้แต่ท่านช่วย
อย่างอื่นท่านทําถูกแล้ว การเงินที่ข้าพเจ้าได้ไม่ว่าใครส่งไปพอข้าพเจ้าเข้านิพพานมักจะถามข้าพเจ้าว่า “ วันนี้ได้เงิน หรือ ? ” ก็ตอบว่าคนนั้นส่งไปให้คนนี้ส่งไปให้ นิพพานใดถามหมายความว่านิพพานนั้นจัดหาให้ คือ พระองค์ จะลงมาเองแล้วเดินสมาบัติแก่ใครแล้วคนนั้นจะนึกถึงข้าพเจ้าทันทีและก็จะส่งเงินไปให้ นี่คือพระพุทธเจ้าทรงหา เงินให้ข้าพเจ้าใช้นั่นเอง ข้าพเจ้าได้เงินมาแล้วเกิดความไม่สบายใจอีกเกรงใจเจ้าของเงิน ไปบอกแก่ธาตุธรรมท่านว่า ไม่สบายใจที่เขาให้เงินธาตุธรรมท่านกล่าวว่า “ จะเอาอย่างไรกันแน่ ” เวลาไม่มีเงินก็มาขอกับข้า แต่พอใครเขาให้เงิน กลับเกิดความไม่สบายใจจะเอาอย่างไรกันแน่ ธาตุธรรมท่านว่าข้าพเจ้าเรื่องนี้บ่อย ๆ นี่ก็เล่าให้ฟังอย่างเปิดใจ วันใด ที่ข้าพเจ้าได้เงินพอเราเข้านิพพานจะเห็นพระพุทธองค์ดีพระทัยผิดปกติ ทรงดีพระทัยว่าข้าพเจ้ามีเงินใช้แล้วจะทํา ให้งานปราบมารดําเนินไปเป็นปกตินั่นเอง หากเราเอาใจไปประหวัดกับเรื่องการเงินการทอง เอาใจไปยุ่งกับเรื่อง ครอบครัวก็จะทําวิชาไม่ได้วิชาไม่ก้าวหน้า พระพุทธองค์จึงต้องช่วยและจักรพรรดิท่านก็ช่วย แต่การช่วยนั้นทํา เท่าที่ได้เท่านั้น เพราะมารเขาต่อต้านเต็มที่เขาขัดขวางสมบัติเราเต็มที่เขาระเบิดเราเต็มที่ เขาไม่ต้องการให้เรามีกินมี ใช้เมื่อเราขาดเสบียงคลังแล้วเราจะแพ้ไปเอง ข้าพเจ้าจะได้อะไรแต่ละอย่างดูมันยากไปหมด ไม่เหมือนคนอื่นที่ เขารวยเช้ารวยเย็น หน้าที่ของเราก็คืออดทนเข้าไว้ ทนอดเข้าไว้ต้องคิดว่าเอกราชของธาตุธรรมอยู่เหนือสิ่งอื่นใด อย่าหลงเงินอย่าหลงชื่อเสียงอย่างหลงคํายกยอ นี่คือวิถีชีวิตของคนปราบมารตามที่กล่าวนี้เรียกว่าเปิดใจกันแล้ว หากเราไม่สละชีวิตอย่างนี้แล้วใครเล่าที่จะสละ การที่ธาตุธรรมเจาะจงเอาเราไปปราบมารนั้น ทรงพิจารณากันหมด ธาตุหมดธรรมแล้วไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว แม้เราปฏิเสธก็ไม่รับฟัง บัดนี้งานปราบมารมาถึงปีที่ 16 เราหวนกลับไปดู ผลงานที่เรารบ ที่เรารบมานั้นได้งานอะไรบ้าง เหตุการณ์ที่ผ่านมา 16 ปีนั้นรสชาติแห่งการรบกับมารมีเปรี้ยวหวาน มันเค็มไหม ? เราก็พบมาแล้วทั้งนั้น แล้วใครเล่าที่จะทนให้มารระเบิดอย่างที่เราอดทนมา ธาตุธรรมท่านตัดสินใจถู แล้วที่มอบหมายความวางใจแก่เรา พวกเราสู้ไม่ถอยยิ่งยากยิ่งชอบยิ่งลําบากยิ่งเดินหน้า จะมานิ่งดูดายให้มารมันมา รังแกธาตุธรรมภาคขาวของเราเป็นเรื่องที่ข้าพเจ้ายอมไม่ได้ เพราะเราเดินวิชามาแล้วเราได้รู้ได้เห็นแล้วว่ามารเขา ปกครองธาตุธรรมของเราทั้งหมด เราไม่รู้ไม่เห็นก็ไม่เป็นไรแต่เรารู้เห็นเราจะปฏิเสธการรู้เห็นของเราไม่ได้ เมื่อ ความจริงประจักษ์ชัดแก่สายตาเราเช่นนี้ มารก็ต้องมาประลองยุทธ์กับลุงการุณย์ บุญมานุช อย่างแน่นอน มารไม่
61
มาต่อรองอะไรกับข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าไม่ใช่หลวงพ่อวัดปากน้ําเราคือการุณย์ บุญมานุช จะประลอง ยุทธ์กับท่าน กองทัพของธรรมภาคมารมีเท่าไรโปรดเตรียมตัวต้อนรับให้จงดี ข้าพเจ้าไม่ผิดศีลผิดธรรมข้าพเจ้า ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ปกครองทั้งหมด ข้าพเจ้าต้องรับผิดชอบธาตุธรรมของข้าพเจ้าทั้งหมด ใครล่วงล้ําอํานาจ ปกครองของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะดับท่านทั้งหมด ข้าพเจ้าจะตรวจราชการของข้าพเจ้า หากข้าพเจ้าพบมารที่ใดถือว่า ล่วงล้ําอํานาจอธิปไตยของข้าพเจ้าทั้งหมด
32.
อันดับแรกต้องไปสุดนิพพานเพื่อดูขอบข่ายอํานาจปกครองว่ามีแค่ไหน ?
ไม่ไปให้สุดนิพพานแล้วจะทราบได้อย่างไรว่าเรามีอํานาจปกครองแค่ไหน ความรับผิดเรามีแค่ไหนไปดูให้ทั่ว มี อะไรอยู่ที่ไหนอย่างไร เป็นอํานาจปกครองของเราทั้งนั้น ธาตุธรรมท่านมอบหมายแล้วหมดความรับผิดชอบจาก พระองค์แล้วเราจะต้องรับผิดชอบแทนพระองค์ต่อไป เราไปตอแยอะไรกับพระองค์ไม่ได้อีกแล้ว
แต่การไปสุด
นิพพานกายธรรมและการไปสุดนิพพานเป็นนั้นแค่นี้เราก็เอามือก่ายหน้าผากแล้วจนปัญญาแล้ว ไม่รู้จะ ทําอย่างไรจึงจะไปสุด ล่วงไปแล้วไม่รู้กี่หมื่นกัปกัลป์ชาติ เรียนกันมาแล้วไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนชาติ ยังไม่มีใครไปสุด นิพพานทั้งนั้น แต่เป็นหน้าที่ของเราจะต้องไปให้สุด จะเรียนอย่างไรจะเดินวิชาอย่างไรเป็นเรื่องของท่าน ท่านไม่มี หน้าที่โวยวายอะไรทั้งนั้น หากไปไม่สุดก็ไม่เห็นอะไรทั่วต้องไปให้สุดจึงจะเห็นข้อมูลจึงจะเห็นปัญหา งานปราบ มารจะไปเริ่มต้นตอนนั้น หาเราเดินวิชาอย่างที่เราเห็นในทุกวันนี้อีกร้อยชาติก็ไปไม่สุด ต้องคํานวณเรื่อยไปดับ หยาบไปหาละเอียดรบเรื่อยไป เอาละเอียดไปเป็นหยาบเรื่อยดังที่แจ้งไว้ใน “ ปราบมารภาค 1 ” นั้นเพียงแค่นี้เราก็ ทราบว่ามารปกครองธาตุธรรมเราหมดแล้วเป็นจุดดําแทรกอยู่ทั่วไป จุดดําเล็กนี้นับอสงไขยไม่ถ้วนของมารทีเดียว ร้ายกาจนัก
33.
เมื่อพระพุทธองค์เสด็จเข้านิพพานแล้ว 500 ปี วิชาธรรมกายเสื่อมสูญ
วิชาธรรมกายคือวิชาที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ในวันวิสาขบูชา คือวิชาที่ว่าด้วยการทําใจให้สว่างใส ตามคําสอน ข้อ 3 ที่ว่า สจิตฺตํ ปริโยทปนํ นั้น เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็ทรงสอนประชาชนสืบมา ใครปฏิบัติได้ถึงละ สังโยชน์ได้ถือว่าได้มรรคผลนิพพาน วิชานี้เสื่อมสูญไปเมื่อพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานได้ 500 ปี ต่อเมื่อ หลวงพ่อวัดปากน้ํามาเกิดได้ค้นพบวิชาธรรมกายอีกครั้งหนึ่ง วิชาธรรมกายกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่งบัดนี้วิชา ธรรมกายเกิดขึ้นแล้วในบ้านเรา ควรที่เราท่านต้องช่วยกันรักษาไว้อย่าให้เสื่อมสูญไป หากเสื่อมสูญหรือสลายไป หมายถึงว่ามรรคผลนิพพานล่มสลายไปด้วย หมายความว่ามรรคผลนิพพานหยุดชะงักชั่วคราว ต้องคอยให้เกิด พระพุทธเจ้าองค์ใหม่มาค้นวิชาธรรมกายกันใหม่ ผู้ที่จะมาค้นวิชาต้องเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้นคนอื่นค้นไม่ได้เลย คนอย่างเราท่านหมดสิทธิ์ เพราะบารมีไม่ถึงจึงเอื้อมไม่ถึงความยากอยู่ตรงนี้ การหาพระพุทธเจ้ามาเกิดนั้นทําง่าย อยู่หรือ ?
34.
มารอยู่ที่ไหน ?
62
นี่คือคําถามสําคัญที่เรายังไม่แจ้ง หากแจ้งเรื่องนี้ป่านนี้งานปราบมารสําเร็จไปแล้ว หลวงพ่อท่านก็บอกได้ เท่าที่ท่านไปถึง ในส่วนที่ยังไปไม่ถึงท่านก็บอกเราไม่ได้ คราวนี้เราไปถามพระพุทธองค์บ้างทั้งนิพพานกายธรรม และนิพพานกายมนุษย์ ตั้งแต่นิพพานเบื้องต้นจนถึงนิพพานสุดละเอียดล้วนแต่นับอสงไขยไม่ถ้วนกันทั้งนั้นนับไม่ ถ้วนทั้งปวงนั้นทบเป็นหนึ่งเดียวแล้วก็ถามพระองค์ว่า ที่สุดแห่งมารอยู่ตรงไหน ? แล้วนําหนึ่งเดียวนั้นมาเดินวิชา หาสุดละเอียดอีก สุดละเอียดของอะไร ? สุดละเอียดของนิโรธ , สุดละเอียดของสมาบัติ , สุดละเอียดของตรัสรู้ , สุด ละเอียดของคํานวณ ซ้อนสับเป็นหนึ่งอีกแล้วก็ถามอีกว่าสุดละเอียดของมารอยู่ที่ใด ? คราวนี้มาคํานวณไปใหม่สุด ละเอียดของนิโรธนับอายุธาตุนับอายุบารมีของนิโรธไม่ถ้วน ไม่ถ้วนสุดละเอียดสมาบัติ ตรัสรู้ – คํานวณ ซ้อนสับ เป็นหนึ่งอีกแล้วก็ถามว่าสุดละเอียดของมารอยู่ที่ใด ? คราวนี้ก็คํานวณให้แยบยลกว่านั้นอีก เอาไม่ถ้วนอายุธาตุอายุ บารมีของนิโรธไม่ถ้วน – สมาบัติ – ตรัสรู้ – คํานวณ มาซ้อนสับเป็นหนึ่งเดียวอีก แล้วก็ต่อกล้องส่องญาณทัสสนะ ออกไป ถามอีกสุดละเอียดของมารอยู่ที่ไหน ? ก็ยังไม่ได้คําตอบ จนบัดนี้ข้าพเจ้าพากเพียรมา 16 ปีแล้ว ( นับถึงปี พ.ศ. 2543 ) สิ่งที่เราต้องการพบ...เราไม่พบ แต่เราไปพบสิ่งที่เราไม่คาดคิดคือ ได้พบพระพุทธเจ้าของเรามารเขาเอา พระองค์มาไว้ที่นี่ พบจักรพรรดิภาคปราบสําคัญมารเขาเอามาไว้ที่นี่ เหตุใดพระองค์มาอยู่ที่นี่ ๆ ไม่ใช่นิพพาน พระองค์มาอยู่ที่นี่เพื่ออะไร ? ใครเอาพระองค์มาไว้ที่นี่ ? บอกเนื้อหาความให้ข้าพเจ้ารู้เดี๋ยวนี้เรื่องราวเป็นมาอย่างไร ? เราเดินวิชาเพื่อจะค้นหามารตามความรู้ที่หลวงพ่อสอนแต่เราไม่พบมาร พบแต่พระพุทธองค์และไปพบจักรพรรดิ ภาคขาวจํานวนมากมาย มารเขาเอาพระองค์มาไว้ที่นี่ได้อย่างไร เรื่องราวไม่ได้มีแค่นี้ขอให้ท่านอ่านหนังสือปราบ มารภาค 1 , 2 , 3 แล้วท่านจะทราบว่าเหตุคือที่อยู่ของมารนั้นมีความละเอียดเกินที่ใครจะบอกความรู้แก่เรา เห็นใจ หลวงพ่อเห็นใจพระพุทธองค์เพราะทรงบากบั่นจนถึงที่สุดแล้วบอกความรู้แก่เราได้แค่นี้ นับว่าเป็นบุญหูของเราแล้ว เป็นหน้าที่ของเราผู้มีบารมีธรรมจะต้องค้นคว้ากันต่อไป ทําอะไรได้แค่ไหนควรนําผลงานมาบอกกันบ้าง งานปราบ มารเป็นงานส่วนรวมหากชนะมารแล้วคนที่ไม่ทําเลยก็ชนะคนที่ไม่ช่วยเลยก็ชนะ แม้ศัตรูผู้หมั่นไส้เราก็ชนะด้วย หลวงพ่อท่านก็กล่าวไว้ชัดแล้ว พูดตรงนี้ข้าพเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องตรงที่ธาตุธรรมใช้ให้ทําวิชาปราบมาร ข้าพาเจ้าทํา มาตลอด และมีผลงานพิมพ์ออกมาเสนอชาวโลกคือหนังสือปราบมารเล่มต่าง ๆ ตามที่กล่าวมาแล้ว แต่ก่อนยังไม่มี ความคิดแต่พอข้าพเจ้าพ้นหน้าที่งานราชการความคิดอันหนึ่งเกิดขึ้น งานปราบมารเป็นงานยาก ยากที่ใครจะทํา ยากที่ใครจะรู้ ยากที่จะเดินวิชา แต่เรามีเคราะห์กรรมที่ธาตุธรรมท่านบังคับให้เราทําวิชาปราบมาร แม้เราไม่สมัคร ใจทําแต่เราก็ทํามาตามมีตามได้ จนถึงขั้นพิมพ์ตําราออกสู่สายตาชาวโลก เราได้ทําให้ชาวโลกเดือดร้อนอะไรบ้าง หรือเปล่า ไปเอาเงินเขามาบ้างหรือเปล่า เราเกษียณราชการแล้วแปลว่าเราใกล้ความตายแล้วเราใกล้จะลาโลกแล้ว เรา มีหนี้ชีวิตบ้างหรือเปล่า หนี้ส่วนตัวไม่เป็นไรแต่หนี้ที่มีต่อประชาชนนั้นมีบ้างหรือเปล่า ข้าพเจ้าสบายใจข้าพเจ้าไม่มี หนี้ติดตัว เพราะข้าพเจ้าไม่ได้เอาเงินประชาชน หนังสือเผยแพร่วิชาธรรมกายของข้าพเจ้าทุกหลักสูตรข้าพเจ้าทําให้ เป็นแบบธรรมทานมาตลอด โดยไม่มีผลประโยชน์ตอบแทนเลย ครั้นข้าพเจ้าพ้นจากหน้าที่ราชการแล้วหมด ความสามารถที่จะหาเงินพิมพ์หนังสือแจกอีกต่อไปจึงอยากทําวิชาส่วนตัวคือวิชาปราบมาร เพราะงานปราบมารยัง
63
ทําไม่บรรลุเป้า ท่านทั้งหลายขอหนังสือไปอีกจึงแก้ปัญหานี้โดยส่งหนังสือเข้าสํานักพิมพ์ให้สํานักพิมพ์ช่วยแก้ปัญหา ให้ ดังนั้นท่านใดที่ต้องการวิชาธรรมกายหลักสูตรใดโปรดติดต่อ สํานักพิมพ์เลี่ยงเชียง ตําราวิชาธรรมกายทุก หลักสูตรข้าพเจ้าทําไว้แล้ว ตั้งแต่หลักสูตรง่ายจนถึงหลักสูตรยากทําไว้แล้วครบถ้วน
35.
นิพพานในกาลก่อน
ก่อนนี้มรรคผลนิพพานคือนิพพานเป็น ( สอุปาทิเสสนิพพาน ) ไม่ใช่นิพพานกายธรรม ( อนุปาทิเสสนิพพาน ) ดังเช่นปัจจุบัน มนุษย์ยุคก่อนเป็นมนุษย์พระคือมนุษย์ที่มีใจเป็นทาน ศีล ภาวนา ไม่ต้องใช้กฎหมายปกครอง พอ เขาเกิดมาเขาก็บริจาคทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นโลกแห่งความร่มเย็นเป็นสุขประพฤติเช่นนี้ไปทุกชาติ จนกว่า ดวงทาน ดวงศีล ดวงภาวนาโตเข้าเกณฑ์มรรคผลนิพพานเขาก็เข้านิพพานโดยกายมนุษย์นี้คือไม่ต้องตาย เอากาย มนุษย์นี้เข้านิพพานเหมือนกายพระสงฆ์ แต่ว่าใสเป็นแก้วขาว ต่อมามรรคผลนิพพานเปลี่ยนแบบไปเข้านิพพาน ด้วยกายมนุษย์อย่างนั้นไม่ได้เสียแล้ว เป็นเรื่องน่าเสียใจมากมารเขาไม่ยอมให้มรรคผลนิพพานเป็นกายมนุษย์ เขา คิดวิชาปกครองขึ้นใหม่วิชานี้คือวิชาทุกข์และสมุทัย มารเขาเอาทุกข์และสมุทัยมาใส่ไว้ในใจของสัตว์โลก ทําให้สัตว์ โลกเป็นทุกข์มีแก่ เจ็บ ตายเป็นเบื้องหน้า แค่นั้นยังไม่พอยังเอาปิฎกของมารใส่ซ้ําไปอีกทําให้ใจมืดบอดไม่เห็นธรรม โดนเข้าไปเพียง 2 วิชาส่งผลให้มนุษย์แก่ เจ็บ ตาย เป็นโรคภัยไข้เจ็บนานาแล้วมรรคผลนิพพานก็เปลี่ยนไปด้วย หากได้มรรคผลนิพพานก็เข้านิพพานด้วยกายธรรมเท่านั้น หมดสิทธิ์เข้านิพพานด้วยกายมนุษย์อย่างสิ้นเชิงคือหมด สิทธิ์เข้านิพพานสอุปาทิเสสนิพพานคงเข้าได้แต่อนุปาทิเสสนิพพานเท่านั้น นับแต่บัดนั้นจนจวบบัดนี้
36.
ผู้กําหนดอายุพระพุทธเจ้า กล่าวถึงพระพุทธองค์เมื่อพระชนมายุย่างเข้า 80 ปี ก็เริ่มให้โอกาสแก่พระอานนท์ ( เพราะคิดว่าจะเข้านิพพานทั้ง
เป็นเหมือนกัน ) ตถาคตอาศัยอิทธิบาททั้ง 4 แล้วจะให้อายุยืนถึงกัปหรือกว่ากัปก็ได้ เพียรให้นิมิตโอกาสแก่พระ อานนท์อยู่ถึง 16 ตําบล ๆ ละ 3 ครั้ง จะให้พระอานนท์ทูลอาราธนาให้ดํารงชีวิตอยู่อีกต่อไป แต่ภาคดํา ( มาร ) คอย ดลใจให้พระอานนท์ไม่ให้นึกขึ้นมาได้ พอครบ 16 ครั้งเท่าโสฬสกิจก็เป็นอันหมดโอกาส พญามารก็มาเตือนให้ นิพพานตามสัญญา ถ้าพระอานนท์ทูลอาราธนาไว้ได้มารก็หมดโอกาส ทีนี้พระองค์จะได้เดินสมาบัติเชื่อมกายหมด ทุกกายจนนับอสงไขยกายไม่ถ้วนให้ติดเป็นกายเดียวใสเป็นแก้วเข้านิพพานทั้งเป็นได้แล้วจะไปกลัวอะไร แต่ก็ต้อง ดับขันธปรินิพพานอย่างนั้น....... ถ้าเข้านิพพานได้ทั้งเป็นก็เลิศเท่านั้น
37.
ในนิพพานของเรานั้นใครเป็นผู้ปกครอง
ตอบคําถามนี้ให้ได้ก่อนคําถามมีอยู่ว่าในอายตนะนิพพานของเรานั้น ตั้งแต่อดีตตราบเท่าปัจจุบันนี้ถามว่าใครเป็น ผู้ปกครอง ? คือถามว่าใครเป็นใหญ่มีอํานาจบังคับได้หมด ?
ตอบผิดหรือตอบถูกไม่ว่าอะไรทั้งนั้นขอร้องให้ตอบ
ทันที ทั้งนี้ก็เพื่อวัดความรู้เราเรียนวิชาธรรมกายมาถึงวันนี้แล้วต้องมีความรู้ตอบได้ ตอบเถิดผิดถูกไม่ว่าอะไรทั้งนั้น เมื่อตอบแล้วจงจําคําตอบนั้นไว้แล้วมาดูเฉลยที่ข้าพเจ้าจะชี้แจงดังต่อไปนี้ ตั้งแต่อดีตตราบปัจจุบันคือนับแต่มี
64
นิพพานมานั้นคือแต่เดิมมีแต่นิพพานเป็น ( สอุปาทิเสสนิพพาน ) เข้านิพพานโดยกายมนุษย์คือไม่ต้องตาย เมื่อเห็น ธรรมกายแล้วส่งผลให้กายมนุษย์เกิดความใส แล้วสุดท้ายกายมนุษย์ก็ใสเป็นแก้วแล้วก็เข้านิพพานไปเลยเรียกว่าเข้า นิพพานเป็น ต่อมามรรคผลนิพพานเปลี่ยนแปลงใหม่กลายเป็นว่าเห็นธรรมกายแล้วต้องละสังโยชน์ สรุปแล้วต้อง เห็นกายธรรมในอิริยาบถ 5 คือ ยืน , เดิน , นั่ง , นอนและเจ็บไข้ กายมนุษย์ก็ไม่เล็กลงเลยคงหน้าตัก 20 วาตลอดไป ต่อมากายมนุษย์เจ็บไข้แล้วก็ตายไป แล้วกายธรรมก็เข้านิพพานถอดกายหรือเรียกนิพพานกายธรรม ( อนุปาทิเสสนิ พพาน ) นับตั้งแต่มีนิพพานกายธรรมแล้วแต่วันนั้นจวบจนวันนี้ ไม่มีการเข้านิพพานเป็นอีกเลยคงเข้าแต่นิพพาน กายธรรมเท่านั้น นี่คือความรู้หลัก
38.
เหตุใดจึงมีนิพพานกายธรรม ?
เราเรียนวิชาธรรมกายกันมากี่ยุคกี่สมัยแล้วเคยคิดบ้างไหมว่า ทําไมจึงมีนิพพานกายธรรม ? การมีนิพพานกาย ธรรมนั้นมีข้อดีอะไรและมีข้อเสียอะไร ? และมีความต่างกันกับนิพพานเป็นอย่างไร ? มีความจําเป็นอะไรที่ต้องมี นิพพานกายธรรม แต่ก่อนนี้มีแต่นิพพานเป็นทําไมต่อมาจึงปฏิวัติให้มีนิพพานกายธรรม มีใครคิดเรื่องนี้บ้าง ? มี ใครอยากเรียนรู้เรื่องนี้บ้าง ? มีใครใฝ่รู้เรื่องนี้บ้าง ? ถ้ามี ! ต้องนับว่าเป็นโชค ถ้าไม่มี ! ก็แปลว่าโลกนี้ไม่มีบัณฑิตเลย ความรู้เรื่องนี้ไม่ใช่ความรู้ธรรมดาไม่ใช่อยากรู้ก็รู้ได้ไม่ใช่อยากเห็นก็เห็นได้ ข้าพเจ้าเองกว่าจะรู้ได้ก็ต้องทําวิชาปราบ มาร 10 ปีเศษจึงจะพอรู้บ้าง แต่ก็ยังไม่ละเอียดเท่าไร พอจะเล่าสู่กันฟังได้บ้างดังนี้ -
ทันใดที่ธาตุ 6 เกิดขึ้น เกิดธรรมภาคมารทันที ธรรมภาคขาวเกิดทีหลัง
ย่นย่อเรื่องเอาความกันตรงนี้คือ
แรกเริ่มทีเดียวมีธาตุ 6 เกิดขึ้นก่อน ตอนนี้เองเกิดธรรมภาคมารแล้วไม่ทราบว่าธรรมภาคมารเกิดมาอย่างไร ? ส่วน ธรรมภาคขาวคือธรรมภาคพระเกิดทีหลัง ยังจับความไม่ชัดเหมือนกันว่าเกิดอย่างไร ธาตุ 6 คือ ดิน , น้ํา , ลม , ไฟ , อากาศธาตุ , วิญญาณธาตุ มารเขายึดครองทันที การยึดครองนั้นเหมือนกับที่เราเรียนภูมิศาสตร์ในโรงเรียนเรื่องการ ค้นพบโลกใหม่นั่นเอง ใครไปพบก่อนเราก็ยึดครองบริเวณที่เขาพบนั้นเข้าก็สร้างบ้านสร้างเมือง เราเข้าไปในบริเวณ ของเขาไม่ได้เพราะเป็นบ้านเมืองของเขา เขาห้าม หากเราเข้าไปเขาก็ออกมาจัดการกับเราคือเขาออกมาทุบตีเรา ออกมาไล่เราออกมาเข่นฆ่าเรา เพราะเราไปล่วงอธิปไตยของเขา บ้านเมืองก็คือภพ , นิพพาน , โลกันต์ของเขา การ แสวงหาอาณานิคมของเขานั้นเขาทําไม่หยุดยั้งทางวิชาธรรมกายท่านพูดว่า “ ทําวิชาปกครอง ” ต่อมามีธรรมภาค พระเกิดขึ้นพระก็ทําธาตุ 6 ที่ท่านแสวงหาได้ทําให้ขาวให้ใส ก็ทําบ้านเมืองของท่าน บ้านเมืองของพระก็คือภพและ นิพพาน ธรรมภาคมารเขาเป็นนักเลงกว่าเขาไม่ว่าอะไรเขาจ้องมองอยู่ เขาก็รู้ว่าโชคได้มาถึงเขาแล้วมีพระอยู่ที่ไหน เราไม่อดตาย เราจะอาศัยพระหากิน เพราะพระไม่รังแกใครพระมีศีล ทาน ภาวนา
39.
อํานาจการปกครองในเบื้องต้นไม่มีการกระทบกระทั่งกัน
กล่าวถึงการปกครองในเบื้องต้นภาคพระกับภาคมารไม่มีการกระทบกระทั่งกัน มารก็อยู่ส่วนมารพระก็อยู่ส่วน พระไม่มีการก้าวก่ายกัน มนุษย์โลกตั้งแต่ครั้งนั้นมีเห็นจําคิดรู้เป็นธรรมขันธ์คือเกิดมาแล้วสร้างแต่กรรมดีสถาน
65
เดียว เมื่อดวงบารมีเข้าเกณฑ์แล้วก็สร้างธรรมกายละสังโยชน์ได้ และได้มรรคผลนิพพานแล้วก็เข้านิพพานเป็นไป เลย ( สอุปาทิเสสนิพพาน ) ยังไม่มีนิพพานกายธรรม ( อนุปาทิเสสนิพพาน ) สรุปแล้วในเบื้องต้นมีแต่นิพพานเป็น ไม่มีนิพพานถอดกายทิพย์ , พรหม , อรูปพรหมเป็นสุข มนุษย์เป็นสุขมนุษย์มีศีลมีธรรม อบายภูมิคือ นรก , อเวจี และโลกันต์ยังไม่มี
40.
ต่อมาเกิดการก้าวก่ายการปกครองในนิพพานขึ้นก่อน
ย่อเรื่องมาถึงขั้นตอนนี้คือเกิดการก้าวก่ายอํานาจปกครองขึ้นในนิพพานเป็น โดยมารเข้ามาก้าวก่ายทุกเรื่องมาร เขาก็มีพระพุทธเจ้า ธรรมภาคมารเขาก็มีพระพุทธเจ้า ต่างฝ่ายต่างมีพระพุทธเจ้าสุดท้ายก็ถึงขั้นยึดอํานาจปกครอง มารเขาได้อํานาจปกครองเขาปกครองทั้งหมด เราอยู่ใต้ปกครองของเขาตั้งแต่วันนั้นเป็นเบี้ยล่างเขามาตั้งแต่วันนั้น
41.
มารปฏิวัติมรรคผลนิพพานใหม่และเกิดทุคติภูมิในตอนนี้
เมื่อมารยึดอํานาจปกครองได้เขาปฏิวัติใหม่ทั้งหมดคือไม่ให้เข้านิพพานเป็น หากได้มรรคผลนิพพานก็ให้เข้า นิพพานกายธรรม และเกิดทุคติภูมิขึ้นคือ นรก , อเวจี , โลกันต์ ใครปฏิบัติตามคําสอนของพระพุทธเจ้าก็ไปสู่สุคติ ภูมิคือ ทิพย์ , พรหม และอรูปพรหม ใครไม่ปฏิบัติตามคําสอนของพระพุทธเจ้าก็ต้องไปสู่ทุคติภูมิที่มารเขาทําไว้ รับรองคือ นรก , อเวจีและโลกันต์ ยุคนี้มนุษย์มีเห็นจําคิดรู้เป็นเบญจขันธ์คือ กาย , ใจ , จิต , วิญญาณ เป็นทุกข์และ สมุทัยนั่นเอง ยุคนี้คือยุคที่มนุษย์แก่ เจ็บ ตาย หากได้มรรคผลนิพพานก็เข้านิพพานถอดกายคือนิพพานกายธรรม นั่นเอง มรรคผลนิพพานของเราก็คือนิพพานกายธรรม นับตั้งแต่บัดนั้นตราบเท่าทุกวันนี้
42.
บนนิพพานเราแยกไม่ออกว่าองค์ไหนเป็นภาคพระ องค์ไหนเป็นภาคมาร
เป็นความหนักใจของข้าพเจ้าตลอดเวลาที่ทําวิชารบ เราแยกไม่ออกว่าองค์ไหนเป็นพระพุทธเจ้าภาคมารและองค์ ไหนเป็นภาคพระ แต่แรกเรารู้ หากกายดําถือว่าเป็นมารหากสีตะกั่วเป็นภาคกลาง องค์นี้เป็นภาคพระ แต่พอการรบ นานปีไปมารเขาฉลาดขึ้นเขาแปลงกายได้ให้เราเข้าใจผิดได้ เหมือนกับการปลอมพระของขวัญองค์ไหนเป็นองค์ที่ หลวงพ่อซ้อนวิชาและองค์ไหนที่เซียนพระทํามาขาย มองดูแล้วเหมือนของจริงทุกอย่าง แต่การแปลงกายที่มารเขา หลอกข้าพเจ้านั้น เขาทําแนบเนียนกว่านั้นมากมายเขาไม่เก่งจริงเขาจะมาเป็นเจ้าธาตุเจ้าธรรมได้อย่างไร เวลาเราเข้า กายธรรมไปนิพพานไปถามความรู้พระพุทธองค์เราจะพิสูจน์อย่างไรว่าที่เราได้ยินนั้นมารเขาพูดหรือพระองค์พูด เรื่องนี้ต้องตรวจสอบโปรดอ่านหนังสือปราบมารภาค 3 เพราะได้แสดงวิธีตรวจไว้แล้ว การนําเรื่องนี้มากล่าวก็เพื่อ บอกให้ทราบว่าบนนิพพานของเรานั้นมีมารเต็มอัตราจนเราแยกไม่ถูก บัดนี้ลดน้อยลงเพราะปราบกันมานานหลายปี แล้ว เนื้อหาสาระของการปราบมารมีอย่างไรนั้นขอให้ท่านอ่านหนังสือปราบมารภาค 1 , 2 , 3 เพราะพิมพ์ออกสู่ ตลาดแล้ว คราวนี้จะกล่าวเข้าประเด็นของเรื่องปราบมารภาค 4
43.
ทันใดที่เกิดมีมรรคผลนิพพานมารเขาก็ปกครองตั้งแต่วันนั้นแล้ว
66
มรรคผลนิพพานเดิมคือนิพพานเป็น เข้านิพพานโดยกายมนุษย์คือไม่ต้องตาย เมื่อเป็นธรรมกายแล้วส่งผลให้ กายมนุษย์ใสขึ้นด้วย เมื่อกายมนุษย์ใสพอสมควรแล้วก็เข้านิพพานไปเลยเพราะอายตนะนิพพานดึงดูดกัน เรื่องจะไป แจ้งในตอนที่เราเข้านิพพานนั้น แจ้งเรื่องอะไร ? แจ้งเรื่องของมารว่ามารยังปกครองเราอยู่ รู้อยู่แต่แก้ไขไม่ได้ นี่คือ ตัวปัญหา รู้แต่ปัญหาแต่แก้ปัญหาไม่ได้ กล่าวถึงผู้กําลังสร้างบารมีท่านทราบหรือไม่ว่านิพพานเป็นของเรานั้นมาร เขาปกครอง ท่านเป็นโพธิสัตว์ท่านมีหน้าที่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อสร้างบารมี และท่านต้องเป็นธรรมกาย เมื่อท่าน เป็นธรรมกายแล้วท่านต้องไปนิพพานได้ และเมื่อท่านไปนิพพานได้ท่านต้องเรียนรู้อะไรบ้าง เพราะท่านมีบารมีเป็น โพธิสัตว์ท่านต้องรู้เห็น จะไม่รู้ไม่เห็นย่อมเป็นไปไม่ได้ ตอบว่ารู้แต่รู้ไม่ชัด เหตุใดจึงรู้ไม่ชัดการที่รู้ไม่ชัดนั้นยากต่อ การอธิบาย ทราบแต่ว่าในตอนนั้นมารเขาไม่แสดงเดชานุภาพมากต่างคนต่างอยู่ไม่รุกรานกัน เมื่อไม่รุกรานกันย่อม ไม่เกิดปัญหาพออยู่กันได้ ต่อมามารเขาเห็นว่าธรรมภาคพระคือธรรมภาคขาวมีฤทธิ์เดชยิ่งขึ้นทุกวัน เพราะมีกาย มนุษย์หากไม่คิดกําจัดสักวันหนึ่งเขาต้องคิดสู้ ธรรมภาคมารอาจเพลี่ยงพล้ําหมดอํานาจปกครองก็ได้ หากเขาหมด อํานาจปกครองเขาจะหากินอย่างไร เพราะทุกวันนี้เขาอยู่ได้ด้วยการมาระเบิดดวงบารมีไปจากธรรมภาคพระ มารก็ เหมือนโจร โจรหากินอย่างไรมารก็หากินอย่างนั้น มารเขาคิดวิชาปกครองขึ้นใหม่ ทําอย่างไรมรรคผลนิพพานไม่ให้ เข้านิพพานด้วยกายมนุษย์ มารเขาคิดวิชาในที่ลับธรรมภาคพระไม่รู้ความ เพราะธรรมภาคพระไม่รุกรานใครไม่คิด แกล้งใครไม่คิดทําอะไรให้ใครเดือดร้อน วิสัยของพระก็คือทาน ศีล ภาวนา จึงคิดร้ายไม่เป็น เมื่อเข้านิพพานแล้วก็ แสวงหาความวิเวกทางอารมณ์สถานเดียวที่เราเรียกว่านิโรธ ไม่คิดว่ามารจะมารุกราน วิชาปกครองที่มารเขาคิดไว้ คือ วิชาทุกข์และสมุทัยและวิชาปิฏก คือ อภิชฌา – พยาบาท – มิจฉาทิฏฐิ – โลภะ – โทสะ – โมหะ – ราคะ – โทสะ – โมหะ – กามราคานุสัย – ปฏิฆานุสัย – อวิชชานุสัย – สักกายทิฏฐิ – สีลัพพตปรามาส – วิจิกิจฉา – กามราคะ – พยาบาท – รูปราคะ – อรูปราคะ – มานะ – อุทธัจจะ – อวิชชา แล้วมารก็เดินเครื่องสวมวิชาทั้ง 2 นี้เข้าที่กําเนิดเดิม ของสัตว์โลก สัตว์โลกจึงแก่ เจ็บ ตาย ด้วยอํานาจของทุกข์และสมุทัย ใจของสัตว์โลกมืดบอดไม่เห็นธรรมด้วย อํานาจของวิชาปิฏก ตามที่กล่าวนั้น เพียงเท่านี้มรรคผลนิพพานเป็นก็สิ้นสุดลงเพียงนั้น ผู้ได้มรรคผลนิพพานแล้ว “ นิพพานเป็น ” ไม่ได้อีกต่อไปเพราะกายมนุษย์ต้องตายแล้วก็เข้านิพพานกายธรรมมาตั้งแต่วันนั้น กายธรรมเมื่ออยู่ ในนิพพานไม่มีฤทธิ์เพราะไม่มีกายมนุษย์รองรับ นับแต่วันนั้นตราบเท่าวันนี้คงมีแต่นิพพานกายธรรมเท่านั้น นิพพานเป็นไม่มีกําลังหนุนเพราะนิพพานกายธรรมไม่มีกําลังมารจึงข่มเราด้วยประการทั้งปวง เป็นรองมารด้วย ประการทั้งปวงมารข่มเหงเราด้วยประการต่าง ๆ เพราะเขาเป็นผู้ปกครองมารเขาเป็นใหญ่ ขอให้เราทราบตั้งแต่วันนี้ การที่เราทําวิชาปราบมารก็คือปราบมารพวกนี้
44.
มารปกครองนิพพานเกิดความเสียหายอย่างไร ?
การที่มารปกครองพระคือปกครองนิพพาน ถามว่าเกิดความเสียหายอย่างไร ? เราเคยคิดถึงเรื่องนี้บ้างหรือไม่ ท่านที่เป็นธรรมกายอ่อน ๆ เราไม่ว่า แต่ท่านที่เป็นธรรมกายระดับเกจิอาจารย์จะต้องมีความคิดไม่อย่างไรก็อย่างไร
67
เมื่อคิดแล้วจะต้องแสดงความเห็น หากท่านใดไม่คิดเลยแม้จะเรียนวิชาธรรมกายมาร้อยปีเราไม่มีคะแนนให้ แม้จะมี ความรู้เลิศแต่เป็นความรู้ที่ใช้การไม่ได้ แต่หลวงพ่อวัดปากน้ําท่านคิด ๆ อยู่ทุกลมหายใจ ถามว่าคิดอะไร ตอบว่าคิด ที่จะให้ธรรมภาคขาวเป็นเอกราช หลวงพ่อคิดจะให้ธรรมภาคขาวเป็นเอกราช คิดแล้วแต่ไม่ทําอะไรก็เหมือนสร้าง วิมานในอากาศ การกอบกู้เอกราชของธาตุธรรมไม่ใช่เรื่องทําง่าย ทราบจากหลวงปู่ชั้ว โอภาโสว่าหลวงพ่อคิดอยู่ 8 ปี คิดว่าจะทําอย่างไร ? หลวงปู่เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าพอหลวงพ่อตัดสินใจทําวิชาปราบมาร มารเขาก็มาหาหลวงพ่อ ทันที หลวงปู่ไม่รู้เรื่องอะไรหรอกหลวงพ่อท่านเล่าให้หลวงปู่ฟังเอง หลวงปู่ถามหลวงพ่อท่านว่า “ มารเขาว่า อย่างไรบ้าง ” หลวงพ่อบอกว่า “ มารเขามายังยั้งไม่ให้ทําวิชาปราบมาร หากหลวงพ่อไม่ทําวิชาปราบมารมารเขา รับคําว่าจะให้คนสําคัญมาปฏิบัติหลวงพ่อ 7 วัน ” “ แล้วหลวงพ่อตอบมารไปอย่างไร ” หลวงพ่อไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่หลวงพ่อพูดกับหลวงปู่ว่า “ เรายินยอมตามคําขอของมาร เราเหมือนหนูเห็นข้าวสาร ” สุดท้ายหลวงพ่อทํา วิชาปราบมารโดยตั้งเวรทําวิชาคัดศิษย์ที่เก่งวิชาธรรมกาย รับหน้าที่เป็นเวร ๆ ไปรวม 6 เวร ทําวิชารบติดต่อกันมา ไม่ต่ํากว่า 30 ปี ซึ่งกล่าวละเอียดแล้วในหนังสือปราบมารภาค 1 เหตุผลที่ต้องทําวิชาปราบมารก็คือเป็นการกอบกู้เอก ราช เราถูกเขาปกครองก็เสมือนเราเป็นเชลย เขาสั่งให้ทําอะไรเราต้องทําตาม เขาบังคับเราสารพัด แต่การบังคับเขา ใช้วิชาจะให้แก่ก็ได้ ให้เจ็บก็ได้ ให้ตายก็ได้ อย่างเช่นเขาเอาดวงทุกข์และดวงสมุทัยมาใส่ไว้เราแก้ไม่ตก แม้ทุกวันนี้ เราก็ยังแก้ไม่ได้ เท่าที่เราทําวิชาตามที่หลวงพ่อสอนนั้นเช่น “ วิธีถอดอนุสัย ” ในหนังสือวิชชามรรคผลพิสดารนั้น เรายังแก้ได้ไม่เด็ดขาด เพียงแต่ผ่อนหนักเป็นเบาเท่านั้น สรุปแล้วเรายังแก้วิชาของมารไม่ได้ เราต้องค้นคว้ากัน ต่อไปปัญหาอยู่ที่ว่าใครจะเป็นผู้ค้นคว้า เพราะไม่ใช่เรื่องทําง่ายมารเขาปกครองเรามายาวนานแค่ไหนแล้ว เท่าที่ ข้าพเจ้าได้สัมผัสงานปราบมารมาแล้ว 10 กว่าปี ได้รู้ได้เห็นอะไรพอสมควรมีความเห็นว่ายาก คนที่เราเห็นว่าเข้าท่า ดูไป ๆ ท่านก็จะเป็นมารเอาต่อหน้าต่อตาเรา เพราะมารเขาพลิกธาตุธรรมได้ พูดถึงตรงนี้ทําให้นึกถึงเหตุการณ์วันที่ ดับละครสําคัญตามที่ปรากฏในหนังสือปราบมารภาค 2 นั้น ตอนนั้นแม่ชีถนอม อาสไวย์ ท่านตายไปแล้วข้าพเจ้าไป พบท่านดีใจว่าหมดงานปราบมารแล้ว เราจะได้ว่างเสียทีแม่ชีท่านพูดว่า “ ศึกษา ฯ เราปราบพวกเดียวกันเสียแล้ว ” ขอให้ท่านอ่านปราบมารภาค 2 ดูใหม่ ตัวละครสําคัญที่กล่าวนี้แม่ชีเล่าว่าเป็นเป้าหมายสําคัญที่หลวงพ่อท่านลงมา เกิดก็เพื่อจะมากําจัดตัวละครท่านนี้ ข้าพเจ้าทราบมาจากการบอกเล่าของท่าน ข้าพเจ้าไม่เชื่อในขณะนั้นแต่ข้าพเจ้า ต้องมาพบเอง ตามที่กล่าวมานี้บ่งบอกว่าประวัติมีมาแล้ว บัดนี้ข้าพเจ้ามองหาคนที่พบจะทํางานปราบมารได้ แต่ เมื่อดูไป ๆ เราผิดหวัง ผิดหวังอย่างเดียวไม่ว่ารูปการจะกลายเป็นว่ามาเพิ่มงานให้แก่เราอีก เพราะมารเขาพลิกธาตุ ธรรมได้ ตามที่กล่าวนั้นจึงเป็นเรื่องหนักใจมาก หากไม่นําเรื่องราวมาศึกษาเล่าเรียนกัน งานปราบมารก็หยุดลง เพียงนั้น แต่ความรู้ทางฝ่ายมารไม่หยุดเพียงนี้ เรื่องความรู้วิชาธรรมกายไม่มีการศึกษาต่อแต่ความรู้ก็จบลงเพียงนั้น เขากลับคิดวิชาปกครองต่อไปอีก ไม่รู้ว่าเขาจะคิดวิชาอะไรเพราะวิชาปกครองขนานเก่าที่เขาทําแก่สัตว์โลกนั้นเรายัง แก้วิชาของเขาไม่ได้เช่น วิชาทุกข์และสมุทัยและวิชาปิฏก ตามที่กล่าวแล้ว หากขาดนักปราชญ์ศึกษาค้นคว้าต่อไปก็ เหมือนโครงการอวกาศของฝรั่งนั้นเมื่อเราไม่เดินงานอวกาศต่อคนทั้งปวงที่เคยทํางานอยู่เดิมเขาก็หายไปทําอาชีพ
68
ใหม่ เพราะโครงการอวกาศเขาเลิกล้ม บางท่านไปเป็นนักร้อง บางท่านไปเป็นนักมวย บางท่านไปถ่ายรูป หาก โครงการอวกาศจะมาเริ่มขึ้นใหม่อีกเขาเหล่านั้นมาทําไม่ได้ เขาบอกว่าฝีมือของเขาลดน้อยถอยลงแล้วความชํานาญ ไม่เหลืออยู่แล้ว เปรียบได้กับวิชาธรรมกายของเราเมื่อรู้และญาณทัสสนะเลือนลง ความใสแห่งดวงธรรมลดลงแล้วก็ ยากจะฟื้นคืนวิชา เพราะมารเขากลืนรู้กลืนญาณของเราแล้ว แม้เราจะฟื้นวิชาใหม่ก็ยากที่จะทํา ข้าพเจ้ามีหน้าที่ทํา วิชาปราบมารข้าพเจ้ารู้และทราบเป็นอันดี หากเราเลิกค้นวิชาก็แปลว่าเราถอยหลังเข้าคลองแล้ว ไม่ต้องดูอะไรมากดู วิชาธรรมกายหลักสูตรคู่มือสมภาคและหลักสูตรวิชามรรคผลพิสดาร ตามที่หลวงพ่อท่านเขียนตําราไว้ปรากฏว่า เวลานี้หาคนรู้เรื่องไม่ได้หาคนอธิบายไม่ได้ สุดท้ายอนุโลมปฏิโลมวิชา 18 กาย จะทําไม่ได้เอาเสียอีก ไม่ต้องพูดถึง หลักสูตรปราบมารให้เสียเวลา นี่คือข้อมูลบ่งชัดว่าวิชาธรรมกายหาคนรู้เองยากแล้ว ไม่มีคนกระหายวิชามีแต่ กระหายเงิน วิชาธรรมกายที่ข้าพเจ้าเขียนท่านเจ้าสํานักบางสํานักบอกวิชาสูงไปไม่ควรที่จะอ่านอย่างนี้ก็มีด้วยหรือ ? ธรรมภาคขาวเขาจะไม่พูดอย่างนี้เพราะวิชาธรรมกายชั้นสูงจะไม่เจริญในหมู่ธรรมภาคมาร เรามีแต่จะช่วยกัน เผยแพร่วิชาธรรมกายคนละไม้คนละมือไปสกัดปัญญาเขาทําไม คนชั้นนําของเรามีความคิดอย่างนี้มารจะดับหมดได้ อย่างไร แม้คนระดับเจ้าสํานักยังมีความคิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ การนําความรู้วิชาปราบมารออกเผยแพร่นั้นทําได้ยาก หากท่านได้อ่านหนังสือปราบมารภาค 1 , 2 ท่านก็พอทราบแล้วว่าข้าพเจ้าถูกมารถล่มทลายแค่ไหน อาศัยที่ว่า ข้าพเจ้ามีความอดทนทั้งอดทนและทดอดคู่กัน ลองอ่านดูเถิดแล้วท่านจะทราบ สุดท้ายขอให้มองอย่างชาวโลกคือดู ว่าข้าพเจ้ามีผลประโยชน์อะไร มีบัณฑิตหลายท่านเดินทางไปพบข้าพเจ้าเพื่อสอบสวนเรื่องราว ถึงไม่ถามอย่างตรง เป้าด้วยเกรงใจท่านก็ไล่เบี้ยจนละเอียดลออ มีตําแหน่งหน้าที่ราชการอย่างไร , ได้เงินเดือนเท่าไร , มีรายได้ส่วนตัว หรือไม่ , มีบ้านช่องอย่างไร , มีลูกเมียอย่างไร , มีประวัติการเขียนวิชาธรรมกายอย่างไร , มีการเผยแพร่วิชาธรรมกาย อย่างไร , ขอดูหลักฐานที่เป็นภาพถ่าย , ได้เงินมาจากไหนจึงได้พิมพ์ตําราแจกเขาอ่านได้ , หรือว่ามีใครหนุนหลัง อย่างไรหรือไม่ , ท่านถามเอาตรง ๆ อย่างนี้ข้าพเจ้าก็บรรยายตอบเท่าที่จําได้ พอถามถึงหลักสูตรปราบมารมีหลักฐาน การทําวิชามาอย่างไร เอาความรู้ที่ไหนมาเขียนเรื่องราว พอชี้ไปที่กองบันทึกกองโตเกือบ 20 เล่ม เพียงเปิดบันทึกดู เล่มไหนตั้งแต่ปีไหน พอเหตุการณ์มาถึงจุดนี้ทุกท่านเปลี่ยนคําพูด , เปลี่ยนอิริยาบถ , เปลี่ยนน้ําเสียง กลับมาแสดง ความเคารพนับถือข้าพเจ้าอย่างทันใด เมื่อจริงต่อจริงมาพบกันก็ต้องพบความจริง
45.
ความเสียหายสําคัญอีกอย่างหนึ่งที่มารปกครองคือมรรคผลนิพพานล่มสลาย
มรรคผลนิพพานของเราตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบันต้องว่าไม่ปกติสุข เมื่อมารปกครองเสียแล้วไม่ดีทั้งนั้นในปิฏกไม่ มีกล่าวเพราะมารเขาห้ามไว้ ดังนั้นพระพุทธเจ้าทุกสมัยที่มาตรัสรู้ในโลกไม่ได้กล่าวไว้ในพระไตรปิฏกทั้งนั้น ทั้งที่ พระองค์อยากกล่าวแต่ก็กล่าวไม่ได้ด้วยเหตุขัดข้องที่มารเขาห้าม พวกเราชาวมนุษย์โลกจึงไม่รู้ของจริง มีแต่กล่าวว่า นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ( นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ ) นิพพานจะเป็นสุขจริงถ้ามารไม่มารังควาญ เรื่องของนิพพานต้อง ได้รับการแก้ไขด่วน ที่ข้าพเจ้ากล่าวอย่างนี้เพราะข้าพเจ้าไปรู้เห็นในตอนที่ทําวิชาปราบมารนี้เอง นี่แหละคือผลแห่ง
69
การที่มารปกครองไม่ว่าธรรมภาคขาวจะไปทําอะไรไว้ที่ไหนมารไปรังควาญทั้งหมด วิชาธรรกมายของพระพุทธ องค์มารก็มาบ่อนทําลาย นิพพานของพระองค์มารก็มายึดครอง อยากจะบรรยายให้ละเอียดกว่านี้แต่เกรงว่าบรรดา เกจิอาจารย์จะตกใจ เท่าที่กล่าวนี้ก็ย่นย่อพอสมควรเท่านั้น ขอสรุปว่าการแก้ไขทุกอย่างต้องปราบมารสถานเดียว เมื่อปราบมารได้ถึงเป้าแล้วทุกอย่างจะดีขึ้นทั้งหมด นี่คือเนื้อหาสาระของงานปราบมารแต่แรกข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่า เหตุใดธาตุธรรมยื่นคําขาดให้เราปราบมารเราคัดค้านอย่างไรไม่ทรงฟังทั้งนั้น ดังที่แจ้งเรื่องไว้แล้วในหนังสือปราบ มารภาค 1 ต่อเมื่อเราอดทนทําวิชาไป 10 กว่าปีจึงได้รู้เห็นเรื่องราวของนิพพานว่าเรื่องจริงคืออะไรกันแน่ ท่าน ทั้งหลายเรียนวิชาธรรมกายกันมานานปีได้รู้เห็นอะไรบ้างทําอะไรได้บ้าง แต่แรกข้าพเจ้านิยมว่าท่านที่เป็นธรรมกาย คือเทพเจ้า เรานับถือให้ค่านิยมว่าวิเศษ แต่พอเราทําวิชาปราบมารมาถึงจุดนี้ข้าพเจ้าเปลี่ยนใจทันทีค่านิยมที่เราเคย ให้กลายเป็นสูญเพราะอะไรหรือ เพราะเราไม่บากบั่นไม่ค้นคว้าจริงจึงอยู่ในฐานะให้มารจูงรู้จูงญาณ ความรู้ของเรา อยู่ระดับเบื้องต้นยังใช้การไม่ได้ เป็นที่น่าหนักใจมากจะค้นคว้าอะไรก็ค้นไม่ได้ ความรู้วนเวียนเหมือนพายเรืออยู่ใน อ่าง ความรู้ไม่เหมือนสมัยที่หลวงพ่อมีชีวิตอยู่เพราะขาดการกํากับการทางวิชา ขณะนี้เหตุการณ์ในนิพพานดีขึ้น มากแล้วจะเข้าสู่ยุค นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ แล้วถามว่าใครเล่ามาเป็นคนทําให้ดีขึ้น ใครเล่ามาเป็นคนแก้ไข เป็นเรื่องที่ เราจะต้องเรียนรู้อย่างด่วนไม่ทราบกันเลยหรือว่านิพพานของเราล่มสลายเพราะมารปกครอง เอาแต่รู้สิ่งไม่ควรรู้ , เห็นแต่สิ่งไม่ควรเห็น , เรียนแต่สิ่งไม่ควรเรียน , ทําในสิ่งที่ไม่ควรทํา เรียนไปตามการชักนําของมารความรู้ของพวก เราจึงไม่ไปไหนเต้นไปตามจังหวะดนตรีที่มารเขากํากับ เอาแต่วัตถุมาอวดอ้าง , เอาแต่สร้างวัด , สร้างศาลามาอวด กัน , เอาแต่หล่อพระพุทธรูปแข่งกัน จะไปได้เรื่องอะไรนั่นมันเป็นงานของเด็กไม่ใช่งานของผู้เป็นวิปัสสนาจารย์ อีก ร้อยชาติพันปีก็ไม่ได้อะไร กี่ยุคกี่สมัยก็เป็นอย่างนี้เราจึงเป็นรองมารเขามาตลอด วิชาของเราไม่ดีขึ้นแต่ไปดีที่วัตถุก็ แปลว่ามารขาดับวิชาของเรามาตลอดโดยที่เราไม่รู้ วิชาของเราจะเพี้ยนเรื่อย ๆ ในที่สุดความถูกไม่มีเหลือ แต่ไปยึด เอาความเพี้ยนมาเป็นความถูก นี่คือลักษณะที่มารดับวิชาของเรา ขอให้ทราบไว้ตั้งแต่วันนี้
46.
อย่ามาตั้งแง่เอาชนะกันเองในธาตุธรรมเดียวกันไม่มีประโยชน์เลย
มารเขาหาวิธีทุกอย่างที่จะให้วิชาธรรมกายดับ เพราะเขาทําสําเร็จมาแล้ว โปรดย้อนกลับไปดูเรื่องราวในอดีต เพียงแต่พระพุทธองค์เข้านิพพานไปแค่ 500 ปีเท่านั้นวิชาธรรมกายสิ้นสูญ แล้วมรรคผลนิพพานขาดตั้งแต่วันนั้น ข้าพเจ้าเคยทูลถามพระสมณโคดม “ ขอพระองค์ได้ทรงโปรดขอทูลถามเพื่อความรู้ พระองค์เข้านิพพานไปได้กี่ปีแน่ ก่อนที่วิชาธรรมกายจะดับไป ? เพราะบางท่านกล่าวว่า 1,000 ปี บางท่านว่า 500 ปี ขอทูลถามว่ากี่ปีกันแน่ ? ” ทรง ตอบว่า “ อยู่ในราว 500 ปี ขาดเกินก็อยู่ราว ๆ นี้ ” คราวนี้มาถึงประเด็นที่ข้าพเจ้านําความรู้มากล่าวบางท่านบอกว่า ตําหนิเขา ข้าพเจ้าไม่ได้ตําหนอใครทั้งนั้นที่กล่าวมานี้ก็เป็นเรื่องของความรู้มีความหวังดีต่อท่านที่มีบารมีธรรม ข้าพเจ้ารู้เห็นมาอย่างนี้ท่านทั้งหลายไม่สนใจก็เรื่องของท่าน ข้าพเจ้ามีหน้าที่ทําวิชาปราบมารรู้เห็นอะไรก็ควรที่จะ นํามากล่าวไว้บ้าง ก็ต้องทํา อย่างน้อยก็เป็นข้อคิดในวิถีทางการสร้างบารมีของท่าน หลังฉากของผู้กํากับการแสดง
70
นั้นไม่มีใครรู้เห็นกว่าจะรู้เห็นได้แต่ละอย่างก็เดินวิชากัน 9 – 10 ปี ข้าพเจ้าข้องใจเรื่องความร่ํารวยมานานแล้วว่าเป็น เพราะอะไร มีอะไรเป็นเหตุมีอะไรในเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ก็เพิ่งได้รู้วันนี้ถึงรู้ได้ไม่มากแต่ก็พอบอกเล่ากันได้ นี่ คืออานิสงส์ของการทําวิชาปราบมารต้องว่าเป็นความรู้สําคัญสุดยอด วันนี้พูดกันอย่างนี้ต่อไปวันหน้าจะยืนยัน ความรู้ดั้งเดิมหรือไม่ยังตอบไม่ได้ เพราะมารเขาจะต้องมีความเคลื่อนไหวอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อไม่ให้ธรรมภาค ขาวเท่าทันเขา เขาต้องคิดวิชาขึ้นใหม่แน่นอนเพื่อมาปิดรู้บังญาณของพวกเราต่อไป ตามที่กล่าวนี้หากพวกเรา ช่วยกันเดินวิชาเรายังจะได้รู้เห็นอะไรอีกมาก เท่าที่นํามากล่าวนี้เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นในส่วนที่ยังไม่สมควรนํามา กล่าวยังมีอีกมากมาย ด้วยเห็นว่ายังไม่สมควรแก่กาลเวลา
47.
การตรัสรู้ของพระองค์มี 2 ขั้นตอน
ขั้นตอนแรก เป็นการตรัสรู้ในโลกเรียกว่า “ ตรัสรู้ในปกครองย่อย ” ขั้นตอนที่ 2 เป็นการตรัสรู้ใหม่คือตรัสรู้ในนิพพานเรียกว่า “ ตรัสรู้ในปกครองใหญ่ ” การตรัสรู้ในโลกเราเข้าใจกันแล้วไม่ต้องอธิบาย แต่การตรัสรู้ในนิพพานพวกเรายังไม่ทราบ ข้าพเจ้าเพิ่งได้ทราบ ในตอนที่ทําวิชาปราบมารวาการตรัสรู้ระดับนี้แต่แรกก็ว่าไม่มีปัญหา ต่อเมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาเรื่องราวก็คือการตรัสรู้ ในนิพานนั้นพระพุทธองค์จะต้องนิโรธค้นวิชาอีก นิพพานเบื้องต้นจะต้องไปเรียนวิชากับนิพพานลึก ๆ ลึกเข้าไป เรื่อย ๆ จนกว่าจะพ้นการปกครองของมาร นี่คือเรื่องย่อ แต่มารเขาไม่ยอมให้ทําเช่นนั้นหากปล่อยให้เหตุการณ์ ดําเนินการไปตามกฎเกณฑ์ของภาคขาวแล้วธรรมภาคมารจะหมดอํานาจปกครองไม่วันใดก็วันใด วิธีที่เขาห้ามก็คือ เขาทําวิชาปกครองขึ้นก่อน นิพพานใครก็นิพพานใคร บ้านใคร ๆ อยู่ไม่ให้ไปมาหาสู่กัน เพียงเท่านี้เองทําให้การตรัส รู้ระดับนิพพานไม่อาจดําเนินการได้ นี่แหละคือตัวปัญหา ธรรมภาคขาวหาวิธีแก้ไขโดยส่งพวกเราลงมาเกิดเพื่อให้ ทําวิชาปราบมาร ไม่มีวิธีอื่นเพราะกายมนุษย์ของเราได้เปรียบในประเด็นที่มารระเบิดไม่แตก ถึงอย่างไรก็ทําให้กาย มนุษย์ตายไม่ได้เว้นแต่หมดอายุขัยคือเจ็บไข้ได้ป่วยตายเท่านั้น ซึ่งการเจ็บไข้ได้ป่วยของเรานั้นเป็นไปตามวิชา ปกครองของมารที่เขาทําไว้ในดวงทุกข์และสมุทัย การปราบมารที่เราทราบคือยุคของหลวงพ่อ ส่วนยุคของข้าพเจ้า นั้นขอบอกแก่ท่านทั้งหลายว่าข้าพเจ้าไม่รู้เรื่องอะไรเลยเป็นเพียงแก้ขัดชั่วคราวเท่านั้น ไม่มีไก่ก็เอาเป็ดไปขันแทน ข้าพเจ้าคิดอย่างนั้นในเบื้องต้น เพราะความรู้ของข้าพเจ้าเป็นตัวบ่งบอกว่าไม่เข้าท่าเป็นลูกมือพอเป็นได้ แต่ถึงขนาด เป็นแม่ทัพยังไม่ถึงขั้นนั้น เหตุการณ์รบดําเนินมานานมากแล้วจนถึงขณะนี้เป็นปีที่ 16 การรบดําเนินมาถึงวันนี้ ข้าพเจ้าเพียงรักษาราชการแทนรอคอยผู้มาดํารงตําแหน่งแทน คอยแล้วคอยเล่าตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ผู้ดํารง ตําแหน่งตังจริงยังไม่มารายงานตัว ข้าพเจ้าก็ต้องทําหน้าที่แทนไปเรื่อย ๆ งานปราบมารเป็นงานของธาตุธรรมทํา มาแล้วตั้งแต่อดีตหลายยุคหลายสมัย แต่ไม่ประสบความสําเร็จธาตุธรรมท่านบอกแก่ข้าพเจ้ามาอย่างนั้น ยุคนี้จะ เป็นยุค “ เข้าตากรรมการ ” ทรงรับสั่งอย่างนั้นข้าพเจ้าก็จํามากล่าวจะเป็นการให้ยาหอมแก่เราหรือเปล่าไม่ทราบ คง จะเป็นการเอาใจเราให้เราทําวิชามากกว่าข้าพเจ้าคิดอย่างนั้น สรุปแล้วเราทราบเพียงพระพุทธองค์ตรัสรู้ในโลก
71
ความรู้ที่ได้จากการตรัสรู้คือพระไตรปิฏกที่เราเรียนกันทุกวันนี้ ส่วนการตรัสรู้หลังจากได้มรรคผลนิพพานแล้วคือ การตรัสรู้อีกขั้นตอนหนึ่งนั้นเราไม่รู้เรื่องเลย พระพุทธองค์ก็ไม่สามารถมาบอกอะไรแก่เราได้ และเราก็ไม่สามารถ ไปหาพระพุทธองค์ นิพพานกับมนุษย์ขาดการติดต่อกันตรงนี้ขาดตอนกันตรงนี้มารเขาได้ช่องทันที การที่ไปมาหา สู่กันไม่ได้นี่เองเป็นช่องว่างให้มารทํางานได้เต็มมือคือส่วนหนึ่งไปถล่มนิพพาน อีกส่วนหนึ่งไปถล่มภพ 3 และภพ 3 นี้ก็คือพวกเรานั่นเอง รวมความว่ามารปกครองทั้งหมดคือ ปกครองนิพพานเรียกว่าปกครองใหญ่ , ปกครองภพ 3 เรียกว่าปกครองย่อย ทุกข์ร้อนในมนุษย์เราทราบแต่ทุกข์ร้อนในนิพพานไม่มีใครทราบเลย เกินปัญญาที่เราจะไปรู้ไป ทราบ ดีแต่ว่าเราเป็นธรรมกายถึงแม้จะไม่เก่งแต่ก็พอเป็นไป แม้เราเป็นธรรมกายเราก็ยังไม่แจ้งนิพพานนัก เพียงแต่ รู้เห็นนิดหน่อยเท่านั้นยังไม่รู้เห็นขั้นละเอียด สําหรับข้าพเจ้าที่นําเรื่องราวมากล่าวได้ก็เพราะข้าพเจ้าปราบมาร บังเอิญไปรู้เห็นได้บ้างก็นํามาบอกเล่า นิพพานเดือดร้อนไม่มีใครรู้ รู้แต่ว่านิพพานเป็นสุข ใคร ๆ ก็ว่านิพพานเป็น สุขกันทั้งนั้นมีข้าพเจ้าอยู่ผู้เดียวที่ความรู้ไม่เป็นไปตามตํารา ถ้าไม่มีการไปก่อกวนนิพพานจะเป็นสุขจริง แต่ถ้ามาร ยังเป็นผู้ปกครองอยู่สถานภาพของนิพพานก็แปรปรวนไป การที่เราปราบมารก็เพื่อกําจัดตัวก่อนกวนนั้นให้หมดไป นั่นเอง 48.
พระพุทธองค์ในนิพพานทรงนิโรธอย่างไร ? นิโรธให้ได้อะไร ?
เป็นประเด็นสําคัญสูงสุดที่เราอยากทราบว่าพระพุทธเจ้าในนิพพานและผู้ได้มรรคผลนิพพานมีภารกิจประจําวัน อะไร คําตอบก็คือทรงนิโรธ ถามว่านิโรธไปไหน , นิโรธไปให้ได้อะไร , หากทรงรู้เห็นอะไรควรบอกแก่เราบ้าง นี่คือ เรื่องสําคัญข้าพเจ้าพยายามจะรู้มานานแล้ว เพราะทําวิชาปราบมารไปแล้วเกิดการติดขัดเราจะรู้เรื่องอะไรเราก็รู้ไม่ได้ จะเห็นอะไรก็เห็นไม่ได้ พยายามทูลถามพระองค์เนือง ๆ ทรงบอกได้เท่าที่พระองค์ทรงทําได้เท่านั้น หากเกินรู้เกิน ญาณทัสสนะของพระองค์แล้วก็จนใจ ไม่ใช่เราอยากทราบอะไรก็ทราบโดยทันที ข้าพเจ้าพากเพียรมานานปีแล้ว พระพุทธองค์ทรงอยากบอกเราใจจะขาด แต่บอกไม่ได้เป็นเพราะอะไร นี่คือข้อสังเกตที่เราจับได้ถึงพระองค์ไม่ รับสั่งแต่เราก็พอเดาได้ ที่เป็นเช่นนี้เพราะมารเขาออกคําสั่งห้ามไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงได้ความรู้อย่างยากเย็นแสน เข็ญ ดูว่าจะแจ้งได้แต่ละเรื่องใช้เวลาค้นคว้ายาวนาน แม้จะได้ความรู้แต่ก็รู้แคบ ๆ ยังไม่ถึงขั้นละเอียดลออ เหตุใด
พระพุทธองค์เฉยเมยต่อเรา ? นี่คือข้อสังเกตเป็นเพราะมารเขาห้ามไว้ หากขัดคําสั่งจะมีอะไรเกิดขึ้นเมื่อขัด คําสั่งแล้วจะมีอะไรเกิดขึ้น จะได้เสนอในตอนที่เป็นผลงานคือจะกล่าวในตอนนั้น คราวนี้กลับมาพูดถึงประเด็นที่ว่า พระพุทธเจ้าในนิพพานนิโรธให้ได้อะไร ? นิโรธไปไหน ? ได้ความรู้อะไรบ้าง ? นี่คือเรื่องใหญ่นี่คือเรื่องสําคัญที่เรา ต้องเรียนรู้ให้ได้ จะเสียอะไรเราไม่ว่าเรายินดีจะเสียขอให้ได้แต่ความรู้สําคัญนี้แม้เราจะรู้ได้ไม่มากเพียงเป็นน้ํา กระสายยาก็ยังดี นี่คือเป้าหมายในการบากบั่นทําวิชาของเราในที่สุดเราพอได้ความรู้ดังนี้ การนิโรธของนิพพาน
นั้นนิโรธเพื่อแสวงหาวิชากําจัดทุกข์ภัยและแสวงหาวิชาเพื่อป้องกันศัตรูคือมาร นี่คือเป้าหมายของพระองค์ นิพพานไหนก็มีเป้าหมายอย่างนี้ตรงกันหมด แต่งานที่ได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย การนิโรธของพระองค์เป็นดังนี้
72
( ก ) นิโรธไปได้แต่สถานที่ปลอดภัยคือเขตปลอดอาวุธเท่านั้น สถานที่ ๆ มีอาวุธนิโรธไปไม่ได้มารเขาห้าม เป็นเขต หวงห้ามของเขา หากใครล้ําแดนมารเขาจะออกมาจัดการ เขาจัดการอย่างไร ? จะเล่าให้ทราบเมื่อเรื่องพาดพิงถึง ( ข ) การนิโรธเพื่อศึกษาแสนยานุภาพของมาร กระทํามิได้มารเขาห้าม หากใครขัดขืนจะต้องมีเรื่องกับมารเขาแล้ว มารเขาจะตอบโต้อย่างรุ่นแรง ความเสียหายที่เขากระทําต่อธรรมภาคขาวนั้น จะเล่าให้ทราบเมื่อเรื่องพาดพิงถึง ตามที่อธิบายมานี้เป็นการตอบคําถามที่ว่าพระพุทธองค์ทรงนิโรธไปไหน , นิโรธไปให้ได้อะไร , นิโรธไปเพื่อให้ได้ ความรู้อะไรถือว่าตอบชัดเจนแล้ว ถ้าจะให้อธิบายละเอียดกว่านี้กระทําไม่ได้ เพราะเกินปัญญาของข้าพเจ้าแล้ว เรา ก็มาคิดว่าเหตุใดมรรคผลนิพพานของเราจึงเป็นอย่างนี้ ท่านทั้งหลายไม่คิดแต่ข้าพเจ้าต้องคิดเพราะเป็นหน้าที่ของ ข้าพเจ้าทีจะต้องปราบมารตามบัญชาของพระพุทธองค์ แก้อะไรได้แก้ไปเลย , ทําอะไรได้ทําไปเลย ไม่ต้องหารือ พระองค์ หากเราหารือมารมันก็ไปลุยพระพุทธองค์อีก ก็เพิ่งได้รู้เห็นตอนปราบมารนี้เองมารมันร้ายขนาดนี้ทีเดียว
การหารือของเราเท่ากับไปลงโทษพระพุทธองค์ ดังนั้นจะคิดอะไรหรือจะทําอะไร พิจารณาให้ดีใคร่ครวญให้ดี อย่าให้มารได้ช่อง หากมารได้ช่องแล้วมันไปลุยพระพุทธองค์ของเราอีกฐานที่บอกความรู้แก่เรา ท่านทั้งหลายไม่ทํา วิชาไปถึงก็ไม่รู้ ข้าพเจ้าไปรู้ไปเห็นเข้าเกิดความสงสารพระพุทธองค์อย่างทันใด นี่แหละที่ข้าพเจ้าจึงเชิญชวนให้ ปราบมาร ก็เพื่อเราจะได้ช่วยกันและกัน ถึงไม่ทําข้าพเจ้าก็ไม่ว่าแต่กลับจะมาเขม่นข้าพเจ้ารังเกียจข้าพเจ้าหาว่า ข้าพเจ้ารู้ดีไปกว่าตน ต่อต้านตําราของข้าพเจ้ากลัวว่าข้าพเจ้าจะดังกว่าอย่างนี้ก็มี นี่แหละพวกเราเป็นฐานทัพให้มาร ก็เห็นกันชัด ๆ ไม่ต้องตายก็ได้เห็นกันแล้ว เป็นธาตุธรรมของมารแฝงมาในภาคขาว อย่างนี้ธาตุธรรมท่านไม่เก็บไว้ดู เล่นมีเท่าไรก็ไม่เหลือ ธาตุธรรมของเราเปลี่ยนได้ตามแต่มารเขาจะพลิกเขาเรียกว่าพลิกธาตุธรรม แต่แรกก็ ว่าดีต่อมามันเปลี่ยนได้ทั้งนั้นพิจารณาดูเถิดท่านทั้งหลายทุกอย่างมีให้ท่านดู บอกแก่ท่านแล้วว่ามารมันเลี้ยงต้อยไว้ ได้เวลามันก็ฮุบเอาไป เสียดายเราเสียเวลาสร้างบารมีมานานหมดเงินชาวบ้านไม่รู้เท่าไรแล้ว แล้วผลตอบแทนออกมา อย่างนี้น่าเสียดายที่ผลเป็นสูญ บอกแล้วว่ามารมันมีชั้นเชิง คนไม่เป็นวิชาแต่รวย ร้อยทั้งร้อยกว่าจะรู้ว่าเงินที่
เราลงไปเป็นศูนย์ก็สายเกินแก้แล้ว
กลับมาพิจารณาเรื่องการนิโรธของพระพุทธองค์ในนิพพานกันใหม่ตามที่
กล่าวว่าพระพุทธองค์เข้านิโรธในนิพพานนั้นนิโรธไปได้เฉพาะเขตแนวที่มารอนุญาตเท่านั้น เขตหวงห้ามซึ่งเป็นที่ สะสมอาวุธของเขา เขาห้ามเราไปรู้เห็นเพราะเป็นเขตที่หวงห้ามของเขา เราไม่ฟังพอเราสอดรู้สอดญาณเข้าไปรู้และ ญาณของเราจะวกกลับไปทันที เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะมารเขาสกัดรู้สกัดญาณ , มีเหตุขวางรู้ขวางญาณ , มีเหตุตัดรู้ตัดญาณ , มีเหตุจูงรู้จูงญาณ , มีเหตุพารู้พาญาณ ทันใดที่รู้และญาณของเราเข้าไปสัมผัส มารเขาจะมีเหตุ พารู้พาญาณ , เหตุจูงรู้จูงญาณ ออกมาต่อต้านก่อนคือเขาพารู้พาญาณของเราไปทางอื่น เขาจูงรู้จูงญาณของเราไป ทางอื่นไม่ให้ไปถึงจุดหมายที่เราต้องการ เรารู้ทันเราก็ไปตามจุดหมายที่เราต้องการ เขาก็ส่งเหตุสกัดรู้สกัดญาณ , เหตุตัดรู้ตัดญาณ , เหตุขวางรู้ขวางญาณออกมาต่อสู้ รู้ญาณของเราถอยหลังกลับทันทีสู้เขาไมได้ เป็นอันว่าเราไปรู้ เห็นเรื่องสําคัญของมารไม่ได้เรื่องก็ยุติแค่นี้ เป็นอันว่าเราตรัสรู้มากกว่าเดิมไม่ได้ จึงไม่รู้สุดละเอียดของมาร
73
มาจนบัดนี้ ที่หลวงพ่อท่านเทศน์ไว้ในกัณฑ์ทานานุโมทนากถาเมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2497 ความว่า ถ้าเรารู้ฉาก หลังและบังคับฉากหลังได้เราก็เลิกเป็นบ่าวเป็นทาสของมาร และหลวงพ่อท่านก็เดินวิชาถึงขนาดรวมธาตุรวมธรรม ทั้งหมดแล้วก็ยังไปไม่ถึงฉากหลังที่ว่านั้น ดั้งนั้นคําว่า “ ฉากหลัง ” จะหมายถึงเหตุที่กล่าวนี้หรือไม่ ? คราวนี้เรามา คิดกันว่ากรณีที่พระพุทธเจ้าลงมาตรัสรู้ในโลก
ทรงตรัสรู้แต่ภาคโปรดเท่านั้นแต่ความรู้ภาคปราบยังไม่ได้
ตรัสรู้ การที่ตรัสรู้ความรู้ภาคปราบไม่ได้นั้นเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เป็นอันตรายอย่างไร
? เรื่องราวของนิพพาน
ตามที่ได้เขียนตําราปราบมารไปแล้ว 3 ภาค รวมทั้งภาค 4 นี้อีก 1 ภาค รวมเป็น 4 ภาค ล้วนแต่เป็นเรื่องปราบมารใน นิพพานทั้งสิ้น เรื่องราวมีอย่างไร ท่านต้องอ่านหนังสือปราบทั้ง 4 ภาคให้จบแล้วจะเกิดความเข้าใจว่าอันตราย อย่างไร นี่คือความรู้ที่เราพอทราบในขั้นตอนนี้ส่วนเรื่องราวที่เราจะทราบต่อไปในภายหน้าเรายังไม่ทราบ ต้องให้ โอกาสนั้นมาถึงเสียก่อนจึงจะทราบ เพราะงานปราบมารนั้นจะต้องใช้เวลามาก ทําอย่างไรเราจึงจะสู้มารได้ ? นี่ คือคําถามที่ท่านทั้งหลายถามข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะตอบแก่ท่านอย่างไร เพราะความรู้ที่ใช้ในทุกวันนี้ยัง คํานวณไปไม่สุดเหตุปกครองของมาร แล้วท่านก็ถามต่อไปว่าแล้วทําไมศึกษา ฯ การุณย์ บุญมานุช ไม่คํานวณให้มัน สุดเล่า ? เราอยากจะคํานวณให้ยิ่งกว่าคํานวณเสียอีก ขีดความสามารถของเราทําได้แค่นี้ก็พูดได้เพียงเท่านี้
49.
หลักสูตรของการตรัสรู้ของพระบรมศาสดาต้องปรับปรุงใหม่เสียแล้ว
เหตุใดจึงมีแนวคิดที่จะปรับปรุงหลักสูตรการตรัสรู้ของพระบรมศาสดา นี่คือเรื่องที่ท่านทั้งหลายอยากทราบ นิพพานของเรามีผู้ปกครองเช่นเดียวกับในโลกของเราเหมือนกัน ในโลกของเรานี้มีพระเจ้าแผ่นดินเป็นประมุข มี นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ปกครองแทนทั้งหมด อํานาจปกครองลดลั่นกันลงมาจากนายกรัฐมนตรีก็มีรัฐมนตรี , ปลัดกระทรวง , อธิบดี , ผู้ว่าราชการจังหวัด , นายอําเภอ , กํานัน , ผู้ใหญ่บ้าน ส่วนการปกครองของผู้ได้มรรคผล นิพพานนั้นก็มีต้นใหญ่, ต้นย่อยและย่อยลงไปอีก ทําหน้าที่ช่วยต้นใหญ่ปกครองดูแล กรณีที่นิพพานมีปัญหาธาตุ ธรรมท่านก็คิดกันว่าจะแก้ไขอะไรและอย่างไร อย่างเช่นเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธองค์นั้นก็มีการคิดกันแล้ว ควร
จะต้องกําหนดหลักสูตรการตรัสรู้ภาคปราบด้วย หากไม่ตรัสรู้ภาคปราบเราก็เป็นบ่าวของมารอยู่อย่างนี้ ในเรื่องที่เกี่ยวกับการสร้างบารมีจะยากง่ายแค่ไหนเพียงไรนั้นเรายังไม่กล่าว หากไม่ทําแบบนี้ไม่รอดมือมาร นี่คือ แนวคิดแต่ความเป็นไปได้จะมีเพียงไรนั้นยังไม่ทราบ ปัจจุบันนี้หาโพธิสัตว์ชั้นดีได้ที่ไหน มีแต่พระปนมาร พระจริง ๆ หายาก ยิ่งเราจะอาราธนาให้ใครมาตรัสรู้ยังหายากแล้วเราจะว่าอย่างไรกัน โพธิสัตว์ที่กําลังสร้างบารมีในโลกทุก วันนี้มีใครบ้างที่เข้าตากรรมการ สุดท้ายก็มายุติเรื่องความรู้เพราะความรู้ไม่เอาไหน เห็นกันตั้งแต่ชาตินี้แล้วจะรอว่า ชาติหน้าปัญญาเราจะเรือง พูดอย่างนั้นก็คือพูดแบบภาพยนตร์อินเดียเรื่องความรู้ปราบมารไม่ต้องพูดถึงหาทําน้ํา กระสายยาไม่ได้เลย จะดูอะไรกันมากถามเพียงว่าตําราวิชาธรรมกายหลักสูตรคู่มือสมภารและหลักสูตรมรรคผล พิสดารเคยอ่านบ้างหรือเปล่า ? ไม่ต้องถามว่าความรู้บทนี้เดินวิชาอย่างไรเอากันง่าย ๆ อย่างนี้ ท่านทั้งหลายโต้ว่า บอกลุงการุณย์ บุญมานุชอย่าได้วิตก อาราธนาเทวดาชั้นดุสิตลงมาเกิดเพื่อสืบต่อวิชาธรรมกายแล้วเขาก็จะปราบ
74
มารกันได้เอง โปรดอย่าเป็นห่วงเลยฟังดูเข้าท่าแต่ความเป็นไปได้ไม่มีชุดบารมีชั้นครูรุ่นหลวงพ่อเรานั้นรุ่นนั้นถือว่า เอกอุดมแล้วคัดเลือกมาอย่างดีแล้วรุ่นนั้นตายไปเกือบหมดแล้ว เหลือแต่รุ่นสืบต่อวิชาธรรมกายรุ่นนี้ก็คัดยิ่งกว่าคัด แล้วท่านก็มาว่ารุ่นนี้วิชาธรรมกายไปได้แค่ไหน แม้สอนเบื้องต้นยังไม่ได้เรื่องแล้วจะหาฝีมือแก้โรคอย่างแม่ชี
ถนอม อาสไวย์ ไม่มีแล้วคนที่แก้โรคได้คนที่แก้ทุกข์ร้อนได้ ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่จนแก่ยังไม่เคยได้ยินเข้า หู มีแต่ยกย่องกันเองสร้างความนิยมกันเอง เมื่อความจริงปรากฏอย่างนี้เราจะไปหวังอะไร คราวนี้มาถึงประเด็น ที่ว่าเหตุใดจึงกําหนดหลักสูตรตรัสรู้ภาคปราบด้วย จะตรัสรู้ภาคโปรดอย่างบรรพกาลไม่ได้หรือ ตอบว่าการ ตรัสรู้ภาคโปรดเพียงอย่างเดียวเราสู้มารไม่ได้จะไปเสียท่ามารในตอนที่ได้มรรคผลนิพพาน ดังที่เราได้รู้และทราบกัน แล้วเมื่อได้มรรคผลนิพพานแล้วจึงไปตรัสรู้ภาคปราบกันในภาคมรรคผลนิพพานนั้นไม่ได้หรือ ตอบว่า การตรัสรู้
ในระดับมรรคผลนิพพานนั้นเรามีแต่กายธรรมไม่มีกายมนุษย์รองรับ ทําให้กายธรรมขาดความแข็งแรง สู้มารไม่ได้ การตรัสรู้ในระดับนี้จึงเกิดขึ้นไม่ได้ จึงเปลี่ยนหลักสูตรการตรัสรู้ใหม่คือให้ตรัสรู้ทั้งภาค โปรดและภาคปราบแล้วเข้านิพพานโดยกายมนุษย์ เลิกเข้านิพพานโดยกายธรรม เหตุผลที่ต้องตรัสรู้ทั้ง 2 ภาค คือภาคโปรดและภาคปราบในขณะที่มีกายมนุษย์อยู่นั้นก็เพราะการตรัสรู้ในขณะที่มีกายมนุษย์อยู่เกิดความ มั่นคง เนื่องจากกายธรรมมีกายมนุษย์รองรับ ส่วนกายธรรมในนิพพานที่ไม่มีกายมนุษย์รองรับเปราะบางเกินไป ปะทะกับมารแล้วสู้เขาไม่ได้ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการตรัสรู้ภาคพิเศษหลังจากได้มรรคผลนิพพานแล้วถือว่าเป็นการ ตรัสรู้ภาคพิเศษ เพราะมีประสบการณ์จากการตรัสรู้ในโลกมาแล้วทั้งภาคปราบและภาคโปรด ภาคปราบคือสู้มาร
และภาคโปรดคือเผยแพร่ความรู้ศาสนา
หากมีกรณีเพลี่ยงพล้ํากายมนุษย์ตายเป็นผลให้เข้านิพพานด้วยกาย
มนุษย์ไม่ได้ให้ชะลอการได้มรรคผลนิพพานไว้ก่อน
ต้องลงมาตรัสรู้แก้ตัวใหม่จนกว่ากายมนุษย์ไม่ตายเข้า
นิพพานด้วยกายมนุษย์ หลักสูตรดังกล่าวนี้ธาตุธรรมท่านเห็นด้วยอย่างแน่นอน รูปการแห่งการสร้างบารมีก็ จะต้องเปลี่ยนไป ขืนยอมให้เข้านิพพานด้วยกายธรรมเหมือนอดีตไม่เป็นผลดีด้วยประการทั้งปวง หากเราไม่ ปรับปรุงหลักสูตรมารก็ข่มเราอยู่อย่างนี้ เราตกเป็นบ่าวเป็นทาสของมาร มารบังคับเราได้ทุกรูปแบบ ดวงบารมีของ
เราที่เราสร้างมาเกือบล้มเกือบตายนั้น มารเขายังมาระเบิดเอาไปต่อหน้าต่อตา โดยที่เราไม่มีทางสู้มาร เขาเห็นว่านิพพานคืออู่ข้าวอู่น้ําของเขา เขาไม่ต้องทํามาหากินอะไรได้เวลาเขาก็มาระเบิดดวงบารมีไปจากพวก เราเหมือนเสือล่ากวางในป่า เราหมดเนื้อเก้งกวางไปแล้วกี่ฝูงเก้งกวางก็ไม่เคยคิดต่อสู้ เวลาที่เสือวิ่งมาตะครุบเก้ง กวางก็วิ่งหนีแต่วิ่งหนีไม่พ้นเสือก็ตะครุบเอาไป ดังที่เราเคยเห็นในภาพยนตร์นั้นจะเห็นว่าสัตว์เล็กคือม้าลาย , เก้ง , กวาง , วัวป่าเป็นอาหารอันโอชะของเสือ เพราะไม่มีอาวุธต่อสู้เสือนั่นเอง กลับมาดูภาพยนตร์อีกม้วนหนึ่งคือควาย ป่าตัวเดียวสู้กับเสือฝูงหนึ่ง โดยเสือล้อมหน้าล้อมหลัง ควายก็สู้เต็มฝีมือแต่ไม่รู้จะสู้กับเป้าไหน เพราะเสือวางกําลัง รบไว้รอบตัวควาย สุดท้ายควายล้มลงฝูงเสือก็รุมกันกินเนื้อ เหตุผลที่แพ้ก็เพราะเสือหลายตัวแต่ควายตัวเดียว เราชม
75
น้ําใจควายป่าแม้ตัวเองจะตายแต่ก็สู้เต็มฝีมือแล้ว ภาพยนตร์อีกม้วนหนึ่งควายป่า 2 ตัวกับเสือหนึ่งฝูง ฝูงเสือวิ่งเข้า มาควายทั้ง 2 เอาหลังชนกันแล้วก็สู้กับเสือ ปรากฏว่าเสือสู้ไม่ได้ นี่ก็คือความรู้เป็นอาวุธเราไม่มีความรู้ก็คือเรา
ไม่มีอาวุธไปสู้มาร บัดนี้เราจับความได้แล้วว่ามารรังแกทั้งนั้น แม้กระทั่งพระพุทธองค์มันยังรังแก จักรพรรดิ กายสิทธิ์มารก็รังแก แล้วอรูปพรหม , ทิพย์ และมนุษย์จะไปเหลืออะไร ทําไมไม่มีใครคิดสู้ เราเป็นทาสเป็นบ่าว
ของมารมานานแล้วปล่อยให้มารข่มเหงรังแกอยู่ได้ทุกวัน ถ้าคิดจะสู้ก็ต้องหาอาวุธ และอาวุธก็คือ ความรู้วิชาธรรมกายชั้นสูง วิชาธรรมกายอ่อน ๆ สู้เขาไม่ได้ จะสู้หรือไม่ ถ้าสู้ต้องเรียนให้สูงเรียนให้เก่งกว่า ข้าพเจ้าเก่งน้อยกว่าข้าพเจ้าไม่ได้ ถึงมนุษย์ไม่รู้ว่าเราสู้มารแต่พระพุทธองค์ท่านรู้ ท่านชมเชย ท่านจงได้อย่าดีใจเลย หากพระพุทธองค์ท่านชมเชยจึงควรแก่การดีใจ คนอย่างเราพระพุทธองค์ท่านยกย่องอย่างนี้น่าดีใจ
50.
ต้องการทราบว่าพระพุทธเจ้าในนิพพานนั้นทรงอยู่ได้อย่างไร ?
ต้องทราบก่อนว่าพระพุทธเจ้าทั้งหมดในนิพพานทั้งนิพพานกายธรรมและนิพพานเป็นทรงอยู่ได้อย่างไร , ใคร ดูแล , ใครให้ความเป็นอยู่ , ใครให้การอุปการะ ต้องทราบความรู้เรื่องนี้ก่อนถ้าไม่ทราบแปลว่าความรู้เราอ่อนเกินไป ถึงจะเรียนวิชาธรรมกายร้อยปีก็ต้องดูว่าความรู้ใช้ไม่ได้ ไม่รู้แม้แต่ความรู้เบื้องต้น ในนิพพานนั้นทั้งนิพพานกาย ธรรมและนิพพานเป็น พระพุทธองค์และผู้ได้มรรคผลนิพพานอยู่ได้ด้วยการดูแลของจักรพรรดิ จักรพรรดิท่านให้ การอุปการะ – ปกป้อง - ป้องกัน จักรพรรดิท่านเป็นเกราะป้องกันมารให้ เมื่อเป็นที่ประจักษ์ชัดว่ามารกวาดต้อนเอา จักรพรรดิของเราไปแปลว่าพระพุทธองค์หมดภูมิคุ้มกัน มารก็ถือโอกาสบดขยี้พระพุทธองค์อย่างตามใจชอบ ข้าพเจ้าไปเห็นเหตุการณ์เข้าถึงกับสะอื้นใจ สะอื้นคนเดียวเพราะไม่มีใครไปรู้เห็นด้วยจึงไม่มีใครสะอื้นด้วย ใน เบื้องต้นเราได้เห็นพระพุทธองค์ถูกมารดับ ลึกลงไปเห็นพระพุทธองค์ถูกมารเอาไปกักกันเอาไปบังคับขู่เข็ญก็มี ลึก เข้าไปอีกไปพบจักรพรรดิที่มารเขากวาดต้อนมาบางส่วนถูกทรมาน บางส่วนก็เหมือนถูกกักบริเวณ พบแล้วพบอีก ไม่รู้จบสิ้น สรุปว่ามารบดขยี้ได้หมดตามที่เขาต้องการ ข้อมูลนี้สรุปว่าธรรมภาคขาวแพ้มารทุกรูปแบบเขาบังคับได้ หมด นี่คือระดับนิพพานมารเขายังทําได้ถึงเพียงนี้แล้วระดับอรูปพรหม , พรหม , ทิพย์ และมนุษย์โลกจะไปมีเหลือ อะไร
51.
จักรพรรดิและกายสิทธิ์มีคุณอย่างไร ?
ท่านที่อ่านหนังสือธรรมกายชั้นสูงหลักสูตรวิชชามรรคผลพิสดารของหลวงพ่อวัดปากน้ํา ท่านจะทราบว่าวิชา ธรรมกายหลักสูตรนี้หลวงพ่อกล่าวถึงคุณของจักรพรรดิไว้แล้ว ข้าพเจ้าจะไม่กล่าวถึงอีกแต่ความรู้เพิ่มเติมที่ได้จาก การปราบมารทําให้รู้เห็นเรื่องราวของจักรพรรดิและกายสิทธิ์มากขึ้น นิพพานของธรรมขาวทั้งนิพพานเป็น ( นิพพานกายมนุษย์ ) และนิพพานกายธรรม ( นิพพานถอดกาย ) นั้น ถามว่าใครเป็นผู้จัดทําขึ้น ตอบว่าจักรพรรดิ ท่านจัดทําทั้งสิ้น ความเป็นอยู่ของพระพุทธเจ้าในนิพพาน จักรพรรดิท่านดูแลให้ความสมบูรณ์บริบูรณ์ ปกป้อง และป้องกันมารให้ ความรู้นี้กว่าจะทราบได้ใช้เวลาปราบมารถึง 14 – 15 ปีทีเดียว กลับมาดูสุคติภูมิคือ ภพอันแสน
76
สบายเป็นที่พักชั่วคราว ในระหว่างที่มนุษย์ยังเวียนว่ายตายเกิด ๆ แล้วตาย เมื่อตายแล้วก็มาพักที่สุคติภูมินี้ คือ ทิพย์ได้แก่สวรรค์ 6 ชั้น , พรหม 16 ชั้น และอรูปพรหม 4 ชั้น ถามว่าสุคติภูมินี้ใครเป็นผู้ทําไว้ ตอบว่าจักรพรรดิ ท่านจัดทําให้ คราวนี้มาดูทุคติภูมิบ้าง คือ ภพทรมารมนุษย์ คือ นรก , อเวจี และโลกันต์ มีไว้เป็นที่พักชั่วคราวของ มนุษย์ในระหว่างที่มนุษย์ยังเวียนว่ายตายเกิด ๆ แล้วตาย ตายแล้วมาสู่ทุคติภูมิ สําหรับมนุษย์ที่ประพฤติชั่ว , ผิด ศีลธรรม ถามว่าทุคติภูมินี้ใครเป็นผู้จัดทํา ตอบว่ามารเป็นผู้จัดทําขึ้น ใครปฏิบัติตามคําสอนของพระพุทธองค์ คือ ผู้ เจริญในทาน , ศีล , ภาวนา หากยังไม่ได้มรรคผลนิพพาน ตายไปแล้วก็สู่สุคติภูมิ ส่วนมนุษย์ที่ผิดศีลผิดธรรมตาย ไปแล้วก็สู่ทุคติภูมิ มารเขาเป็นผู้ปกครองทุคติภูมิมารเขาเป็นผู้ลงโทษทั้งหมด ทุคติภูมิ คือ เครื่องมือมารที่ไว้ ทรมานสัตว์โลก เหตุใดภาคขาวจึงไม่ทําโทษปล่อยให้มารเขามาเกี่ยวข้องในคดีโทษทําไม นี่คือความเห็นของข้าพเจ้า คนของพระคือคนของภาคขาวประพฤติผิด ภาคขาวควรทําโทษกันเอง จะทําอย่างไรก็เป็นเรื่องของภาคขาวมารไม่ เกี่ยว ปล่อยให้มารมาก้าวก่ายทําไม เป็นการไม่ชอบด้วยประการใด ๆ ใครตกไปอยู่ในทุคติภูมิโบราณท่านพูดว่า แผ่นดินพูดไม่ได้ได้เราก็ไม่ได้เกิด ทําให้มรรคผลนิพพานล่าช้าเข้าไปอีก การพิจารณาทุคติภูมินี้เป็นผลงานในเล่ม ปราบมารภาค 1 โปรดกลับไปอ่านทบทวน ข้าพเจ้าไม่คิดว่าจะทําได้แต่เกิดทําได้ขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง ข้าพเจ้าดีใจ จนเนื้อเต้น ตอนนี้ทุคติภูมิไม่มีแล้วใครผิดศีลผิดธรรมภาคขาวทําโทษกันเอง หากท่านอยากทราบว่าตายไปแล้วไป อยู่ที่ไหน ก็จงเรียนวิชาธรรมกายให้แตกฉานเวลาใครตายท่านก็เข้ากายธรรมไปดูเอง จะให้ลุงการุณย์ บุญมานุช เล่า ทุกเรื่องได้อย่างไร ลุงเองก็ตกใจที่เวลานี้ตําต่ํามากหาคนมีความรู้ตรวจว่าตายแล้วไปไหน หาไม่ได้ หมดผู้รู้แล้ว ลุง เสียใจมาก เรื่องแก้โรคไม่ต้องพูดกันแล้วไม่มีใครทําได้เลย เอาแค่สอนเบื้องต้นจะให้เห็นธรรมอย่างที่ลุงสอนและ คณะของลุงทําไม่มีที่ไหนทําได้ ไม่รู้ว่าเรียนกันมาอย่างไร ลุงเสียใจมาก งานทุกอย่างก็ไปตกอยู่ที่ลุงคนเดียวเป็น ภาระหนักของลุง ลุงพูดไม่ออก ทุกข์ร้อนของท่านลุงจะดูดายได้อย่างไร - คุณของจักรพรรดิและกายสิทธิ์ไม่เพียงแค่นั้นมีคุณครอบจักรวาล กล่าวแล้วว่าจักรพรรดิสร้างนิพพานให้พระพุทธองค์ สร้างสุคติภูมิ คือ ภพอันแสนสุขให้แก่ชาวสวรรค์ ให้แก่ พรหม 16 ชั้น และให้อรูปพรหม 4 ชั้น พวกเราก็ไม่อยู่กันอย่างสบายใจแต่ไม่ทราบว่าใครทําให้ ต่อเมื่อได้ไปอยู่แล้ว จึงรู้แต่ไม่รู้จะขอบคุณท่านอย่างไร ความเป็นอยู่ประจําวันจักรพรรดิท่านจัดทําให้ทั้งนั้น กล่าวถึงในนิพพาน จักรพรรดิอุปการะทุกสถานทั้งยักปกป้องคือป้องกันมารไม่ให้มารมากล้ํากายพระพุทธองค์ เมื่อพระพุทธองค์ยังมี พระชนม์อยู่คือยังทําหน้าที่พระพุทธเจ้าอยู่ในโลก จักรพรรดิท่านก็ช่วยทุกอย่างและเมื่อพระพุทธองค์เข้านิพพานไป แล้ว อีกทั้งพระอรหันต์ของพระองค์ก็ได้เข้านิพพานหมดแล้ว แต่ศาสนาของพระองค์ยังอยู่ในโลก ถามว่าใครดูแล ศาสนาให้ ไม่มีใครบอกความรู้แก่ท่านได้ ข้าพเจ้าไปรู้เรื่องเมื่อตอนไปปราบมารในอินเดียเมื่อปีพ.ศ. 2530 นั้น ถาม จักรพรรดิจักรพรรดิที่อยู่ในองค์พุทธไสยาสน์เมืองกุสินารา ถามหน้าที่ของท่าน ท่านอยู่อย่างไร ฟังท่านอธิบายยัง เป็นภาพติดตาจนบัดนี้ แม้เราขึ้นเครื่องบินเดินทางกลับ ท่านยังตามมาส่งอีกด้วย ขอให้ท่านอ่านปราบมารภาค 1 ดู อีกครั้ง ศาสนาของพระพุทธองค์อยู่ได้ด้วยจักรพรรดิและกายสิทธิ์ทั้งนั้นแต่เราไม่รู้ ความเป็นอยู่ประจําวันของทิพย์
77
, พรหม และอรูปพรหม จักรพรรดิท่านดูและเช่นเดียวกัน อย่าว่าแต่ทิพย์ , พรหม และอรูปพรหมเลย แม้มนุษย์ อย่างพวกเราจักรพรรดิท่านก็ดูแล หากท่านไม่ดูแลเราจะอยู่ได้อย่างไร แต่พวกเราไม่รู้ นี่คือคุณของจักรพรรดิและ กายสิทธิ์เพียงย่อ ๆ แปลกแต่จริงคือ ไม่มีใครรู้คุณ , ไม่มีใครระลึกถึง , ไม่มีใครกราบไหว้ โปรดจําไว้ว่าในพระ ประธาน , ในพระพุทธรูป , ในพระเครื่อง เป็นกายสิทธิ์ทั้งนั้น
52.
ความเป็นมาของจักรพรรดิและกายสิทธิ์ และความเป็นมาแต่เดิม
บารมียังอ่อนก็เป็นกายสิทธิ์ แต่พอบารมีแก่กล้าจึงเลื่อนฐานะเป็นจักรพรรดิ หลวงพ่อสอนแล้วอยู่ในหลักสูตร วิชชามรรคผลพิสดารโปรดอ่านปราบมารภาค 3 จักรพรรดิคือ มนุษย์อย่างเรานี้มีกําเนิดเมื่อครั้งมนุษย์มีใจเป็น ทาน , ศีล , ภาวนา ยุคนั้นการปกครองกันโดยธรรมไม่มีกฎหมายไม่มีโจร มนุษย์ที่เกิดมาแต่แรกยังไม่งาม อายุยืน แบ่งวัยเป็น 3 ระยะคือ วัยเด็ก , วัยกลาง , วัยสูงอายุ วัยเด็กยังไม่งามพอถึงวัยกลางเริ่มงามแล้วพอถึงวัยสูงอายุคือ วัยแก่เป็นวัยสวยงาม คือ แก่อย่างเพชรพลอยไม่ใช่แก่อย่างพืชผักหญ้า กายใสขึ้นเรื่อย ๆ เพราะบารมีภาวนานั่นเอง เราจะเอาดีทางไหน ถ้าถนัดทางธรรมก็เป็นพระพุทธเจ้าไป ถ้าถนัดทางโลกก็ไปเป็นจักรพรรดิ แยกกันตรงนี้ได้ มรรคผลกันต่อหน้าต่อตาอย่างนี้ทีเดียว ท่านใดที่บารมีเข้าเกณฑ์มรรคผลนิพพานก็เข้านิพพานไป ไปมีหน้าที่ใน นิพพาน ยุคนั้นเป็นสอุปาทิเสสนิพพาน คือนิพพานเป็น สําเร็จด้วยกายมนุษย์ใสเป็นแก้วหมายความว่า กายมนุษย์ ไม่ต้องตาย ส่วนจักรพรรดิและกายสิทธิ์ที่เราเห็นในดวงแก้วในเพชรพลอยทุกวันนี้เป็นจักรพรรดิตกรุ่น ยังไม่ทันได้ มรรคผลนิพพานยังต้องสร้างบารมีต่อไป เพราะเป็นยุคที่มารเขาปฏิวัติใจมนุษย์ จากเดิมใจมนุษย์เป็นทาน , ศีล , ภาวนา เปลี่ยนมาเป็นเบญจขันธ์คือ รูป , เวทนา , สัญญา , สังขาร , วิญญาณ นั่นคือ รูปได้แก่กาย , เวทนาคือเห็น , สัญญาคือจํา , สังขารคือคิด , วิญญาณคือรู้ ไม่ใช่ทาน , ศีล , ภาวนา แต่เปลี่ยนเป็นทุกข์และสมุทัยเป็นผลให้สัตว์โลก แก่ , เจ็บ ( เป็นโรค ) , ตาย และมรรคผลนิพพานเปลี่ยนจากสอุปาทิเสสนิพพานมาเป็นอนุปาทิเสสนิพพานคือ เข้า นิพพานด้วยกายมนุษย์ไม่ได้ ให้เข้านิพพานด้วยกายธรรม คําว่าอนุปาทิเสสนิพพานนั้นหลวงพ่อเรียกว่านิพพาน ตายหมายความว่า กายมนุษย์ตายแล้วจึงเอากายธรรมเข้านิพพาน โปรดจับใจความตรงนี้จักรพรรดิและกายสิทธิ์รุ่น ที่มนุษย์มีใจเป็นทาน , ศีล , ภาวนานั้น ในกลุ่มพวกที่ยังเข้านิพพานไม่ได้คือยังไม่ได้มรรคผลนิพพาน ยังต้องสร้าง บารมีสืบต่อมาจนถึงยุคเบญจขันธ์คือ ยุคของทุกข์สมุทัย
53.
มารปฏิวัติมรรคผลนิพพานเสียใหม่เป็นชัยชนะยิ่งใหญ่ของมาร ภาคขาวแพ้มารชนิดราบคาบ
เรื่องมรรคผลนิพพานนี้ข้าพเจ้าดูมาตลอดว่าเรื่องจริงคืออย่างไรกันแน่ ใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนกันมานาน ตลอดเวลาที่ทําวิชาปราบมาร ตั้งใจเรียนมาตลอดแต่ไม่ใช่จะรู้ได้ง่าย แม้ถึงวันนี้ก็ยังไม่รู้แจ้งชัดแต่พอพูดได้บ้าง เท่านั้นจะเอาอะไรชัดเจนนักยังไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องลึกซึ้งเกินกว่าที่คนอย่างเราจะเรียนรู้ได้ แต่ข้าพเจ้ามีหน้าที่ ปราบมารจะไม่รู้เรื่องราวของนิพพานเลยนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะทําหน้าที่ปราบมารต้องรู้เห็นเรื่องของนิพพาน ทุกวัน แม้จะรู้เห็นไม่ละเอียดนักแต่ก็พอจะพูดได้บ้าง แต่เดิมนั้นธรรมภาคขาวกับธรรมภาคมารไม่กระทบกระทั่ง
78
กัน บ้านใคร ๆ อยู่ อู่ใคร ๆ นอน ต่อมาเกิดการกระทบกระทั่งกันด้วยเรื่องอะไรไม่ทราบ แต่เดิมมรรคผลนิพพานเป็น นิพพานเป็นหรือเรียกว่านิพพานไม่ถอดกาย คําพระใช้ว่าสอุปาทิเสสนิพพาน หมายความว่าเข้านิพพานด้วยกาย มนุษย์คือ กายมนุษย์ใสเป็นแก้วแล้วก็เข้านิพพานไป พระพุทธเจ้านิพพานเป็นหรือเรียกว่านิพพานไม่ถอดกายนี้มี ฤทธิ์เดชมากเป็นเพราะอะไรไม่ทราบ มารเขาคิดวิชาปกครองขึ้นใหม่คือวิชาเบญจขันธ์ นั่นคือวิชาทุกข์และสมุทัย ทําให้เราต้องตายคือ กายมนุษย์ตายและเอากายธรรมเข้านิพพาน นิพพานที่กายธรรมไปอยู่นั้นเรียกว่า “ อนุปาทิ เสสนิพพาน ” กายธรรมไม่มีกายมนุษย์รองรับมีความเปราะบางไม่แข็งแรง ตรงนี้เองที่มารเข้าข่มเหงอย่างไม่เกรงใจ แม้แต่ดวงบารมีของเรามารเขายังเอาไปได้ เขาโกงไปต่อหน้าต่อตา เขาข่มเหงสารพัด ตามที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้ในตํารา ปราบมาร คงจะมีข้าพเจ้าคนเดียวที่กล้าขัดคําสั่งมาร เพราะเขาห้ามใครขัดคําสั่งเขา ใครขัดคําสั่งเขาจัดการทั้งนั้น เขาห้ามพูดเรื่องของเขา...ข้าพเจ้าก็พูด เขาห้ามแตะต้องเรื่องของเขา...ข้าพเจ้าก็เล่า ตําราปราบมารไมเคยปรากฏแก่ สายตาชาวโลก แต่ข้าพเจ้าพิมพ์ออกมาแล้วหลายเล่ม เขาห้ามพูดเรื่องของเขาไม่ว่าอะไรเขาห้ามทั้งนั้น เราเชื่อเขา เราก็ตาย เราไม่เชื่อฟังเขา เราก็ตาย แล้วเรื่องอะไรที่เราจะต้องมางอมืองอเท้า โปรดทราบไว้ตั้งแต่วันนี้ว่าตําราปราบ มารที่ข้าพเจ้าทําขึ้นนี้เป็นครั้งแรกของโลก ถ้าข้าพเจ้าไม่พิมพ์ออกมาท่านทั้งหลายจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย เหมือนหนึ่ง ถูกปิดหูปิดตาความรู้อย่างนี้ไม่มีการเปิดเผยกลัวฤทธิ์เดชของมารด้วยกันทั้งนั้น แต่ข้าพเจ้ามีหน้าที่ปราบมารจะ ไม่ให้ข้าพเจ้าพูดอะไรเลยนั้นก็แปลว่าเราอยู่ในกํากับการแสดงของมาร เรื่องอะไรที่เราจะต้องไปฟังการบงการของ เขา แต่แรกที่ภาคขาวเกิดมรรคผลนิพพานที่เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน นั้นเป็นการเข้านิพพานด้วยกายมนุษย์ ตามที่กล่าวมานั้น มารเขาเขมือบไม่ถนัดเพราะพระพุทธเจ้านิพพานกายมนุษย์มีฤทธิ์เดชมาก เขาก็คิดวิชาขึ้นใหม่ เพื่อปฏิวัติมรรคผลนิพพาน หากปฏิวัติสําเร็จเขาก็ไม่ต้องทํากินอะไร ได้เวลาเขาก็มาระเบิดเอาดวงบารมีไป เพราะ นิพพานคืออู่ข้าวอู่น้ําของเขา แล้วเขาก็คิดวิชาได้สําเร็จสมใจหมายเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่และใหญ่ยิ่งนั่นคือ วิชาทุกข์ และสมุทัย ใครโดนวิชานี้เป็นต้องแก่ , เจ็บ , ตายทั้งนั้นไม่อยู่ค้ําฟ้าไปได้ แม้เป็นพระพุทธเจ้าก็ตาย ตายทั้งนั้นนั่นคือ ยุคเบญจขันธ์คือ ยุคกายกับใจเป็นทุกข์ แต่บัดนั้นสืบต่อมาถึงทุกวันนี้ เรื่องมรรค – ผล - นิพพาน ใครที่ได้มรรคผล นิพพานจะเข้านิพพานด้วยกายมนุษย์เหมือนยุคสอุปาทิเสสนิพพานไม่ได้ ต้องเข้านิพพานด้วยกายธรรม เพราะกาย มนุษย์ตายไปวิชาทุกข์และสมุทัยของมารเรียกนิพพานกายธรรมว่า อนุปาทิเสสนิพพาน บ้างก็เรียกนิพพานตาย หมายความว่ากายมนุษย์ตายแล้วเอากายธรรมเข้านิพพาน อนุปาทิเสสนิพพานหรือนิพพานกายธรรมนี้เป็นอาหาร อันโอชะของมาร เพราะเปราะบางง่ายต่อการแตกสลาย หลวงพ่อท่านเปรียบให้ฟังเหมือนปูนิ่ม คือ กระดองไม่แข็ง เมื่อกระดองไม่แข็งก็ป้องกันศัตรูไม่ได้ เหมือนเต่าไม่มีกระดอง เหมือนผลไม้ไม่มีเปลือกนั่นเอง มารเขาไม่ต้องทํากิน อะไรเมื่อต้องประสงค์สิ่งใดก็มาระเบิดไปจากดวงบารมีของธรรมภาคขาว เพราะนิพพานกายธรรมเปราะบางสู้มาร ไม่ได้ ขนาดระดับนิพพานของเรามารเขายังระเบิดได้แล้วอรูปพรหม 4 ชั้น , พรหม 16 ชั้น , สวรรค์ 6 ชั้น และมนุษย์ จะมีอะไรเหลือ มารเอาไปได้ทั้งนั้น นี่คือวิชาสําคัญของมารเป็นวิชาปกครองสําคัญเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่มาก ตั้งแต่ วันนั้นจนมาถึงวันนี้ธรรมภาคขาวยังแก้วิชาของเขาไม่ตกแพ้มารมาตลอด มรรคผลนิพพานก็ยังเป็นอนุปาทิเสส
79
นิพพานอยู่เช่นนั้น ยังไม่กลับไปเป็นสอุปาทิเสสนิพพานเช่นแต่เดิม มรรคผลนิพพานของเราสืบทอดต่อกันมาไม่รู้ ว่านานแค่ไหนแล้ว มีแต่นิพพานกายธรรมทั้งนั้น ข้าพเจ้าเสียใจมากยิ่งรู้เห็นก็ยิ่งเสียใจ เหตุที่รู้เห็นก็เพราะทําวิชา ปราบมารต้องสัมผัสทุกวัน วิชาปกครองที่สําคัญอีกวิชาหนึ่งที่มารเขาทําสําเร็จเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของเขาคือ วิชา ปิฎก คือ วิชาที่ขึ้นต้นว่า อภิชฌา – พยาบาท – มิจฉาทิฎฐิ – โลภะ – โทสะ.......ฯ เป็นวิชาปิดตาปิดหู เพราะวิชานี้เอง ทําให้เราตาหูมืดมัว ถ้าเปรียบเป็นนักมวยเราก็ถูกเขาชกข้างเดียวเราชกคู่ต่อสู้ไม่ถูก เพราะเราหูตามัวมองคู่ต่อสู้ไม่ เห็นแต่คู่ปรับเห็นเรา ภาคขาวโดนวิชานี้เข้าไปอีกจึงแพ้อย่างหมดทางสู้ ก็เราแพ้มารราบคาบอย่างนี้บารมีของเราจะ เหลืออะไรผู้ชนะก็เอาไปอย่างสบายมือ ข้าพเจ้าบรรยายมาถึงตรงนี้ท่านข้องใจว่า กรณีที่มารเขามาปฏิวัตินิพพาน ของธรรมภาคขาว เหตุใดนิพพานเป็นที่มีอยู่จึงไม่ต่อต้าน ตอบว่าต่อต้านแล้วต่อสู้แล้ว แต่สู้ไม่ได้มารจึงกระทําการ ได้สําเร็จ นี่คือความพ่ายแพ้อย่างราบคาบของภาคขาว มรรคผลนิพพานของเราล่มสลาย เราอยู่ใต้ปกครองของมาร ทุกรูปแบบ ท่านอยากทราบต่อไปว่าภาคขาวคิดวิชาแก้ไขอย่างไรหรือไม่ ตอบว่าภาคขาวคิดแก้ตลอดเวลาที่ผ่านมา แต่แก้ไม่สําเร็จจึงแพ้มารมาทุกสมัย การแก้ไขที่เราเห็นก็คือการแก้ของหลวงพ่อวัดปากน้ํานั่นคือ หลวงพ่อวัดปากน้ํา มาเกิดเพื่อมาปราบมาร ตามที่กล่าวแล้วในหนังสือปราบมารภาคต้น ๆ นั้น บัดนี้งานปราบมารอยู่ในหน้าที่ของ ข้าพเจ้าและข้าพเจ้านําผลงานเสนอมาตลอดแล้ว
54.
งานปราบมารต้องทําต่อไปจนกว่าดวงทาน , ศีล , ภาวนา กําจัดดวงทุกข์และดวงสมุทัยได้
แล้วฟื้นสภาพของ “ นิพพานเป็น ” ขึ้นมาใหม่ให้มรรคผลนิพพานเข้าสู่สอุปาทิเสสนิพพาน นิพพานดั้งเดิมนี่คือ เป้าหมายของงานปราบมารของข้าพเจ้า แต่เดิมนั้นมรรคผลนิพพานเป็นสอุปาทิเสสนิพพานคู่กับใจที่เป็นทาน , ศีล , ภาวนา และปัจจุบันนี้มรรคผลนิพพานเป็นอนุปาทิเสสนิพพานคู่กับใจเบญจขันธ์ที่เป็นทุกข์สมุทัย พูดง่าย ๆ ก็คือแต่ เดิมมรรคผลนิพพานเข้านิพพานด้วยกายมนุษย์โดยที่กายมนุษย์ไม่ต้องตาย และปัจจุบันนี้มรรคผลนิพพานเข้า นิพพานด้วยกายธรรมโดยที่กายมนุษย์ต้องตายเพราะโรคภัย แนวของการทําวิชาจะทําอย่าไรก็สุด แต่เป้าหมายคือ ทําให้ดวงทาน , ศีล , ภาวนามีอานุภาพกําจัดดวงสมุทัยให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ กายโลกีย์ที่สําคัญอันเป็นกายรองรับ กายธรรมคือกายมนุษย์ เราต้องทําให้ไม่แก่ , ไม่เจ็บ ( คือไม่มีโรค ) และไม่ตาย และต้องทําให้กายมนุษย์ใสขึ้นมาให้ ได้แล้วมรรคผลนิพพานก็จะกลับสู่สภาพเดิมเป็นสอุปาทิเสสนิพพานเช่นเดิม นี่คือเป้าหมายนี่คือแนวคิด ประเด็น สําคัญที่ว่าจะทําวิชาอย่างไรนั้นเราค่อยว่ากันใหม่ ลองให้งานปราบมารของข้าพเจ้าดําเนินไปอีกระยะหนึ่งคงได้เห็น ลู่ทางในตอนนั้น
55.
ถ้าให้มรรคผลนิพพานเป็นอนุปาทิเสสนิพพานเกิดการเสียหายอย่างไร ? นี่คือเรื่องใหญ่ที่เราอยากทราบ ตามที่ได้กล่าวแล้วว่า “ อนุปาทิเสสนิพพาน ” เป็นนิพพานที่มารเขาปฏิวัติขึ้น
ผู้ได้มรรคผลนิพพานเข้านิพพานโดยกายธรรมกายมนุษย์ต้องตายด้วยโรค เพราะอานุภาพของดวงทุกข์สมุทัยที่มาร เขาทําปกครองสัตว์โลก กายธรรมที่ไม่มีกายมนุษย์รองรับไม่มีฤทธิ์เดชอะไรเปรียบเหมือนปูนิ่ม ต่อสู้กับใครไม่ได้
80
เพราะไม่มีกระดองจึงขาดภูมิคุ้มกัน กายธรรมจะมีฤทธิ์ต่อเมื่อมีกายมนุษย์รองรับ กายมนุษย์ทําหน้าที่เป็นกระดอง นั่นเอง ความเสียหายคืออย่างไร ? ข้าพเจ้ากล่าวมากไปท่านทั้งปวงก็ตกใจ จะไม่กล่าวเลยท่านก็อยากถามเพราะ ต้องการจะรู้ความจริง การที่มารปฏิวัติจนเกิดอนุปาทิเสสนิพพานแทนสอุปาทิเสสนิพพานก็เพื่อให้บังคับง่ายขึ้น เพื่อให้ปกครองง่ายขึ้นจะเอาอะไรก็ได้ดั่งใจ ผู้อยู่ใต้ปกครองไม่มีทางสู้ด้วยประการใด ๆ แล้วมารเขาก็เอาบารมีไปได้ ตามอําเภอใจของเขา
หากมรรคผลนิพพานยังเป็นสอุปาทิเสสนิพพานเช่นเดิมนั้นมารบังคับได้ยากกว่า เพราะ
“ นิพานเป็น ” เป็นกายมนุษย์ใสเป็นแก้ว กว่าจะบังคับได้ก็ต้องสู้กันเหนื่อย ข้าพเจ้าตอบท่านไมได้อยู่ประเด็นหนึ่ง คือเหตุใด “ นิพพานเป็น ” สู้มารไม่ได้ ทั้งที่มีกายมนุษย์ใสเป็นแก้วดูมานานแล้วก็ยังหาคําตอบไมได้ ข้อมูลที่ สนับสนุนว่าสู้มารไม่ได้ต้องไปดูเล่มปราบมารภาค 3 เราจะพบว่ามารเอาพระพุทธเจ้าของเราไปกักกันและอา จักรพรรดิของเราไปบังคับมีจํานวนมาก จนข้าพเจ้าจําไม่ได้แล้วว่ามีจํานวนเท่าไร เหตุการณ์ของการปราบมาร สืบเนื่องมาถึงปราบมารภาค 4 คิดว่าพระพุทธเจ้าของภาคขาวที่มารเอาตัวไปกักกันน่าจะกลับมาได้หมดแล้ว ก็ยังได้ พบอีก จักรพรรดิของเราที่มารเอาไปกักกันไว้น่าจะกลับได้หมดแล้ว ที่ไหนได้ยังกลับไม่หมดยังพบอีก ข้าพเจ้า ตกใจมาก ตกใจประเด็นที่ว่าน่าจะหมดปัญหาเรื่องนี้แล้ว การที่เราได้พบอีกแปลว่ามารเอาไปทําโทษตั้งแต่เริ่มต้นมี มรรคผลนิพพานทีเดียวเป็นการคาดเดาของข้าพเจ้าเอง นี่ก็เล่าสู่กันฟัง คิดว่าตอบชัดเจนแล้วว่ามารปกครองนั้น เสียหายอย่างไร บารมีเขาก็เอาไปได้หากเขาต้องการเวลาใด และเขาเอาตัวไปบังคับได้เอาตัวไปกักกันได้ ขัดคําสั่งเขา ไม่ได้ต้องอยู่ในปกครองสถานเดียว เขามีโทษที่จะกระทํา ตามที่กล่าวไว้ในปราบมารเล่มก่อน ๆ แล้วเราข้องใจว่า ทําไมพระพุทธองค์ไม่บอกความรู้แก่เรา ทําไมพระพุทธองค์มาช่วยมนุษย์ ตอบว่าพระพุทธองค์อยากช่วยแต่ทํา ไม่ได้ เพราะมารเขาห้ามไปหมดหากขัดขืนเขาก็ทําโทษ ท่านอยากทราบต่อไปว่าคนที่มีความรู้จะรายงานเรื่องลึกซึ้ง อย่างลุงการุณย์ บุญมานุช จะมีอีกไหม ลุงตอบไม่ได้แต่ลุงมีหน้าที่ปราบมารต้องมีผลงานมารายงานได้บ้าง
56.
พระพุทธองค์กล่าวว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ แปลว่านิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง กับรายงานของ
ข้าพเจ้าไม่ขัดกันหรือ ? นิพพานเป็นภพหนึ่งของผู้ได้มรรคผล เป็นที่อยู่ตลอดกาลของผู้ได้มรรคผล ในเบื้องต้นธรรมภาคขาวคือภาร พระกับภาคมารไม่มีการกระทบกระทั่งกันต่างคนต่างอยู่ไม่ก้าวก่ายกัน นิพพานเป็นบรมสุขตามที่พระพุทธองค์ กล่าวไว้นั้นถูกต้องแล้ว ต่อมาเกิดการก้าวก่ายอํานาจปกครองมารเขาเข้ายึดอํานาจเด็ดขาดได้ อํานาจปกครองจึงเป็น ของมารทําให้มรรคผลนิพพานระส่ําระสาย ที่ว่าสุขนั้นยังสุขไม่จริงเพราะการคุกคามของมารเมื่อมีกรณีเช่นนี้ เกิดขึ้นต่อนิพพาน ถามว่าทางนิพพานคิดแก้ไขปัญหานี้อย่างไร เรื่องนี้ทางนิพพานคือธาตุธรรมระดับผู้ปกครอง ใหญ่ทรงคิดแก้มาตลอดและแก้ไขมาตลอดตั้งแต่ครั้งบรรพกาลแล้ววิธีแก้ก็คือ ส่งผู้มีบุญมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อให้มา ปราบมาร ในลําดับแรกผู้มีบุญนั้นจะค้นพบวิชาธรรมกายก่อน ลําดับต่อมาจึงค้นวิชาอาสวักขยญาณเป็นวิชากําจัด กิเลส ต่อมาเมื่อพบวิชาปราบมาร จากนั้นจึงจะถึงขั้นตอนปราบมารที่เราพอจะรู้เรื่องในยุคนี้ก็คือปราบมายุคหลวง
81
พ่อวัดปากน้ํา งานปราบมารที่ข้าพเจ้าทําอยู่ขณะนี้เป็นการสืบงานของหลวงพ่อโดยมี “ ต้นปราบ ” เป็นแม่ทัพ ท่าน คงรู้จัก “ ต้นปราบ ” แล้ว หากยังไม่รู้จักโปรดกลับไปอ่านปราบมารภาค 2 แต่การปราบมารในยุคของหลวงพ่อเป็น ที่น่าเสียใจที่ไม่ได้ทําเป็นหลักฐานทางหนังสือไว้เลย พวกเราจึงหมดหนทางค้นคว้าไม่รู้จะไปค้นคว้าที่ไหน พองาน ปราบมารตกมาถึงยุคของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทําบันทึกผลงานทางวิชาไว้ทุกวัน ค้นคว้าได้อ้างอิงได้แล้วรวบรวมเนื้อหา สาระบางส่วนมาเขียนตํารา ดังที่ท่านได้อ่านแล้วเล่มนี้คือปราบมารภาค 4 งานปราบมารเท่าที่ข้าพเจ้าได้ทราบจาก การบอกเล่าจากนิพพานไม่ประสบความสําเร็จ แม้ยุคใด ๆ ทั้งนั้นแม้ยุคของข้าพเจ้าก็ยังไม่มีข้อยุติ แต่เป็นโชคดีของ ชาวโลกที่ตําราอย่างนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก มารเขาไม่ยอมให้ทําแต่ข้าพเจ้าไม่ฟังมาร อุปสรรคร้อยเรื่อง สารพัดปัญหา ถ้าจะให้ดีโปรดถามคุณกิตติ เอี่ยมโอภาส ( ทนายความ ) เพราะท่านช่วยดําเนินการจัดพิมพ์ให้ ( ยุค ปราบมารภาค 1 เป็นธรรมทาน ) การส่งมอบภาพถ่ายระหว่างเรากับโรงพิมพ์กระทําอย่างดีปรากฏว่าภาพที่เราเตรียม ไว้หายไปหมดเลย ให้ทนายกิตติ เอี่ยมโอภาส เล่าความหลังแล้วจะทราบว่าฤทธิ์เดชของมารนั้นเหลือร้าย ดังนั้นการ ที่หนังสืออย่างนี้ความรู้อย่างนี้เกิดขึ้นในโลกแปลว่าโลกของเราชะตาดีแล้วที่ได้รู้เรื่องลึกลับเช่นนี้ เป็นโชคหูเป็นโชค สายตาของชาวโลกแล้ว กลับมาพิจารณาผลงานปราบมารกันใหม่ ปราบมาร 4 มาถึงวันนี้เป็นการปราบมารใน ปกครองใหญ่คือปราบมารในนิพพานคือ มารที่ยึดอํานาจปกครองระดับนิพพาน ส่วนการปราบมารในระดับปกครอง ย่อยคือการปกครองภพ 3 ได้แก่อรูปพรหม 4 ชั้น , พรหม 16 ชั้น , สวรรค์ 6 ชั้น และในมนุษยโลกยังไม่ได้ปราบเลย ยังไม่ได้ลงมารบเลย ตลอดเวลา 16 ปีมานี้รบในปกครองใหญ่สถานเดียว เพราะยังไม่เสร็จภาคนิพพานจึงลงมาภาค ภพ 3 ไม่ได้ เมื่อไรจึงจะเสร็จการรบในภาคนิพพาน ยังตอบไม่ได้ ผลการรบในภาคนิพพานเป็นอย่างไร ประเด็นนี้ คือเรื่องสําคัญที่ท่านอยากทราบ การรบในภาคนิพพานเป็นเวลา 16 ปีที่ผ่านมา บรรยากาศของนิพพานเข้าสู่ยุค นิพฺ พานํ ปรมํ สุขํ แล้ว แต่ยังสุขไม่เต็มร้อย เมื่อไรจึงจะเต็มร้อย ยังตอบไม่ได้ก็ตอบได้แบบภาพรวมอย่างนี้
57.
ทําไมจึงรบแต่ภาคนิพพานไม่ลงมารบในภาคภพ 3 เลย
ถือหลักว่าถ้าพระพุทธองค์ปลอดภัยพระองค์ก็จะมาช่วยมนุษย์ในภพ 3 ได้ ถ้าพระพุทธองค์ยังทุกข์ร้อนอยู่อย่าง นั้นการลงมาช่วยมนุษย์โลกก็เป็นเรื่องยาก เพราะมารเขาสกัดกั้นอยู่เขาขัดขวางอยู่เขาจ้องจะทําลายล้างพระพุทธ องค์ในทุกรูปแบบ ท่านทั้งปวงไม่รู้เห็นแต่ข้าพเจ้ารู้เห็น เพราะข้าพเจ้าทําวิชาปราบมารต้องรู้เห็นทุกวัน การมาช่วย ไม่ใช่ทําง่ายเราต้องอาราธนา ถ้าไม่อาราธนามารเขามาตั้งข้อหาทันที “ เขาไม่ได้อาราธนา ท่านไปช่วยเขาโดยไม่มี ใครอาราธนา นั่นคือท่านเป็นธรรมภาคมาร เมื่อท่านเป็นธรรมภาคมารเรานี้แหละคือผู้ปกครอง บารมีของท่านอยู่ที่ ไหนจงนํามาให้เรารักษาไว้ เพราะเราเป็นผู้ปกครอง ” โดนอย่างนี้แล้วจะว่าอย่างไร มารเขาหาเรื่องจะเล่นงานร้อย แปด มารเขาเป็นนายเขาข่มเหงเขาบดขยี้ตลอดมา ไม่มีใครรู้ไม่มีใครพูดให้ฟังอย่าไปว่าใครเลย เพราะการที่จะเอา ความรู้อย่างนี้มาพูดมาเล่าไม่ใช่เรื่องง่ายเป็นธรรมกายกันแสนคนจะเอาเหตุผลได้สักคนหนึ่งหรือเปล่า เมื่อรูปการ เป็นอย่างนี้ข้าพเจ้าต้องรบในภาคนิพพานก่อนให้พระองค์ปลอดภัยก่อน เมื่อพระพุทธองค์ปลอดภัยแล้วพระองค์จะ
82
ได้มาช่วยมนุษย์ได้ ถึงอย่างไรก็ต้องมาช่วย เพราะพระพุทธองค์เป็นสรณะของสัตว์โลกคือ เป็นที่พึ่งเป็นที่ระลึกของ มนุษยโลก แต่ว่าต้องเป็นชาวพุทธ ถ้าไม่เป็นชาวพุทธก็ยากอีก เพราะมารเขาจะกล่าวหาว่าไปก้าวก่ายศาสนาของเขา แล้วก็จะหาเรื่องมาคุกคามพระพุทธองค์อีก เว้นแต่มารดับหมดถึงขั้นสิ้นเชื้อ คราวนี้แหละพระพุทธองค์จะช่วยได้ แบบคลอบจักรวาล หมดตัวผู้มาขัดขวางทั้งปวงแล้ว พระพุทธองค์ก็จะทํางานได้เต็มรูปแบบ ปัญหาใหม่ที่ยังแก้ ไม่ได้คือหาคนปราบมารไม่ได้ ทั้งโลกจะมีปราบมารได้สักคนไหม ข้าพเจ้ารอคอยมาจนถึงวันนี้คอยมาจนเกษียณ ราชการแล้ว รอคอยจนอายุปูนนี้ก็แล้วยังไม่มีวี่แววว่าจะพบคนปราบมารได้ ทั้งที่ตําราของข้าพเจ้าทุกเล่มแพร่ไป มากแล้ว แพร่ไปถึงเมืองฝรั่ง ยังคอยผู้มีบุญคนนั้นคอยมาจนถึงวันนี้ยังไม่พบไม่พบแม้แต่วี่แวว เคยกล่าวไว้แล้วใน ตําราเล่มก่อน ๆ ว่าให้เดินทางไปในแสนโกฏิจักรวาลอนันตจักรวาล จะไปไหนก็จงไปเถิดไปติดตามหาโพธิสัตว์ผู้มี ความรู้ปราบมารใช้เวลาค้นคว้าสัก 10 ปีจะพบไหม นี่คือความยาก ยากยิ่งกว่าอะไรทั้งปวงใครจะมาเป็นคนปราบ มาร เพื่อให้ธรรมภาคขาวเป็นเอกราชให้พ้นจากการปกครองของมาร ท่านผู้นั้นอยู่ที่ไหน จงค้นคว้าต่อไป
58.
จะทราบได้อย่างไรว่าใครปราบมารได้ ?
มีข้อสังเกต 2 ประการคือ
ประการแรกในระหว่างที่เราเข้านิพพานนั้นธาตุธรรมท่านจะบอก การบอกนั้นไม่
โจ่งแจ้งต้องคอยสังเกตเอาเอง เพราะมาราจะขัดขวางได้ต้องระวังเรื่องนี้ให้จงหนัก ไม่ใช่จะทราบได้ง่ายอย่างที่เรา พูดกัน เพราะธาตุธรรมท่านก็ต้องระวังตัว เพราะมารเขาจะต้องเคลื่อนไหวจะไม่เคลื่อนไหวไม่ได้เขาจะต้องต่อสู้กัน ในวันหน้า ดังนั้นอะไรที่จะถล่มได้ในวันนี้มารเขาต้องทําก่อนเป็นการชิงไหวชิงพริบของกันและกัน ดังนั้นโปรดจํา ไว้ว่าธาตุธรรมจะพูดอะไรกับเราทรงคิดแล้วคิดอีกระวังแล้วระวังอีก ข้อสังเกต ประการที่ 2 ก็คือท่านผู้นั้นเห็นเราจะ เหมือนมีแรงแม่เหล็กดูด เขาจะพอใจเราเขาจะเข้าใกล้เราถ้าเขาต่อต้านจงจําไว้เถิดคน ๆ นั้นไม่ใช่ธรรมภาคขาวแล้ว เขาไม่ใช่ธาตุธรรมของภาคขาว ถึงเขาจะเรียนวิชาธรรมกายถึงเขาจะรักษาศีลต่อไปก็กลับกลายได้ ดังคําที่กล่าวที่เรา ได้ยินเขาพูดกันว่าขึ้นต้นเป็นลําไม้ไผ่ แต่พอเหลาลงไปกลายเป็นป้องกัญชา คือต้นไม้ไผ่นี้งามนักแต่พอเราเอาไปใช้ งานเหตุใดกลายเป็นบ้องกัญชาไปได้ หมดงามด้วยประการทั้งปวง เป็นการเปรียบเทียบไว้ให้เราขยายความเอาเอง เป็นคําพูดแต่โบราณมา แต่แรกมาบวชในศาสนารักษาศีลเป็นอันดี ต่อมาไม่เคารพศีลไม่เคารพวินัย แต่ก็อยู่ในเพศ ของพระสงฆ์ การรักษาศีลการรักษาวินัยในเบื้องต้นคือลําไม้ไผ่ ต่อมาไม่รักษาศีลไม่รักษาวินัย แต่ยังอยู่ในรูปแบบ ครองผ้ากาสาวพักตร์ตรงนี้คือบ้องกัญชาแล้ว ลักษณะนี้เป็นรูปแบบของมารแฝงกายเข้ามาทําลายศาสนานั่นเอง ยิ่ง ในยุทธจักรวิชาธรรมกายด้วยแล้วมารเขาส่งคนของเขามาทําลายวิชา เป็นยุทธศาสตร์ของมารเขาเราต้องระวัง เพราะถ้าเขาทําให้วิชาธรรมกายดับได้แล้ว นิพพานของภาคขาวยิ่งเป็นอันตราย เพราะอะไรหรือ ก็เพราะวิชา ธรรมกายเป็นสื่อให้เห็นนิพพาน ถ้าวิชาธรรมกายดับลงไปเราก็เหมือนคนตาบอดหมดโอกาสที่เราจะไปเห็นนิพพาน ดังนั้นมารเขาต้องส่งคนของเขาเข้ามาเป็นไส้ศึก แต่แรกทําเป็นศรัทธาในวิชาต่อมาก็จะเกิดปัญหา เหตุการณ์เช่นนี้มี มาแล้วตั้งแต่ครั้งหลวงพ่อมีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าเล่าบางส่วนแล้วควรแก่การศึกษาไว้ เราบวชเป็นพระสงฆ์ในศาสนาหาก
83
เราไม่รักษาศีลไม่รักษาวินัย บารมีของเราก็หลุดมือไปตามที่กล่าวไว้แล้ว เป็นวิธีสําคัญของมารเขา ธรรมภาคขาว ต้องมาถูกดับด้วยวิธีนี้ วิธีแก้มีวิธีเดียวคือการซื่อสัตย์ต่อตัวเอง หากเราเห็นว่ารักษาศีลและรักษาวินัยไม่ได้ให้รีบลา สิกขา คือรีบสึกมาครองเพศฆราวาส เพื่อไม่ให้มารมาเอาดวงบารมีไป เราเป็นฆราวาสเราก็เรียนวิชาธรรมกายได้ เรียนได้เป็นอย่างดีจะสร้างบารมีอย่างไรก็ได้ อย่างที่คณะของข้าพเจ้าทําอยู่ในทุกวันนี้ มารจะอ้างอะไรกับเราไม่ได้ เพราะเราเป็นฆราวาส
59.
เป้าหมายของงานปราบมาร
งานปราบมารทํามาตลอดรวมพระพุทธองค์ทั้งปวงทั้งนิพพานกายธรรมและนิพพานเป็นให้เป็นหนึ่ง แล้วรวมรู้ รวมญาณทัสสนะตามแนววิชาซ้อนสับทับทวีที่หลวงพ่อท่านสอนไว้ สืบรู้สืบญาณทัสสนะออกไปตามหามารพบแล้ว ก็กําจัด พบนิพพานของมารพบภพอันเป็นที่อาศัยของมารแล้วเราก็กําจัด พบเครื่องปกครองที่มารทําไว้เราก็กําจัดให้ หมด นี่คือเป้าหมายของวิชาปราบมาร มีวัตถุประสงค์ให้มารดับให้หมดให้เหลือแต่ธรรมภาคขาวเพียงอย่างเดียว ในขั้นต้นเราพบกายมารที่เป็นกายดํา ครั้นต่อมาไม่พบอย่างนั้นแต่พบกายมารที่ละเอียดเหมือนฝุ่นมองไม่เห็นกาย เหมือนรุ่นก่อน ๆ ต่อมาไม่พบมารเลยแต่ไปพบพระพุทธเจ้า มารเขาเอาตัวไปกักกันเอาไปทําโทษก็มี ไปพบ จักรพรรดิสําคัญมารเอาตัวไปกักกันไว้ทั้งยังทําโทษบางครั้งไปพบดวงใส นั่นคือดวงบารมีที่มารเอาไปซ่อนไว้
60. พบพระพุทธเจ้านิพพานกายธรรมจํานวนมากที่มารเอาไปแต่ไม่มีตัวเลขแสดง มารเอาพระพุทธเจ้าของเราไปกักกันเหมือนกักบริเวณ เอาไปแยกพวกแยกหมู่ไม่ให้รวมพวกรวมหมู่ ที่ตรงนั้น ไม่ใช่นิพพานที่ตรงนั้นจะเรียกอะไรก็สุดแต่จะเรียก จะเรียกแดนกักกันหรือแดนกักบริเวณก็สุดแต่ใครจะเรียก จํานวนธรรมกายจํานวนมากแต่ไม่มีตัวเลขแสดง เพราะไม่ได้จดไว้ ระยะหลัง ๆ นี้ไม่พบคงพบแต่ในปีต้น ๆ ที่ทํา วิชาปราบมาร
61. พบพระพุทธเจ้านิพพานเป็นที่มารเอาตัวไปกักกันจํานวน 4 อสงไขย พระพุทธเจ้านิพพานเป็นหมายความว่าเป็นนิพพานที่ไม่มีเกตุบัวตูม พระวรกายเหมือนพระสงฆ์เข้านิพพานด้วย กายมนุษย์ ต้นนิพพานเป็นบอกจํานวนเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2539 ( สมุดบันทึกเล่ม 17 หน้า 88 ) เมื่อมาถึงปี นี้ตัวเลขคลาดเคลื่อนเล็กน้อย
62. พบจักรพรรดิจํานวนมหาศาลที่มารเอาตัวไปกักกันรวมทั้งเอาไปทําโทษด้วย เคยบอกไว้ว่าจักรพรรดิมีคุณอนันต์ท่านทําให้เราทุกอย่าง ภพนิพพานนั้นพระองค์ทําไว้ให้แก่ผู้ได้มรรคผล นิพพานอยู่กัน อีกทั้งภพทิพย์ , ภพพรหม และภพอรูปพรหม ท่านก็ทําไว้ให้ ในระหว่างที่พวกเรายังไม่ได้มรรคผล นิพพานเรายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่นั้นเมื่อเราตายไปแล้ว เราก็ไปพักอยู่ในภพทิพย์บ้างภพของพรหมบ้างและภพของ อรูปพรหมบ้าง ที่อยู่ทั้งปวงนั้นจักรพรรดิเป็นผู้ทําไว้ให้ทั้งนั้น นอกจากจะสร้างที่อยู่อาศัยให้แล้วยังให้บริการอาหาร การกินให้ความสะดวกต่าง ๆ ให้การดูแลและป้องกันมารให้ด้วย ในระหว่างที่เราเวียนเกิดเวียนตายเพื่อมาสร้างบารมี
84
ในโลกนั้นท่านมาเป็นคู่บารมีให้อีกด้วยหมายความว่าท่านทําให้เราทุกอย่าง กลับมาดูนิพพานบ้างพระพุทธองค์ทรง อยู่ได้ด้วยการค้ําจุนของจักรพรรดิให้การดูแล ให้การปกป้องและป้องกันมาร เมื่อพระพุทธเจ้าเข้านิพพานไปแล้ว การดูแลกิจการของศาสนาจักรพรรดิและกายสิทธิ์เป็นผู้ดูแลทั้งนั้น พูดถึงในนิพพานนั้นกล่าวโดยภาพรวมแล้ว จักรพรรดิเป็นด่านหน้าและเป็นธุระให้ทุกอย่าง เป็นหนังหน้าไฟในทุกเรื่องทีเดียว ข้าพเจ้าเพิ่งได้รู้เห็นในตอนที่ทํา วิชาปราบมารนี้เองเวลานอนต้องไหว้ท่านก่อน ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใด ข้าพเจ้าไหว้ทั้งหมด แต่ก่อนนี้ไม่รู้เรื่องต้องขอ อภัยท่าน แม้ปราบมารในทุกวันนี้กลับตกเป็นหน้าที่ของจักรพรรดิแปลว่า จักรพรรดิรับเละทุกเรื่อง ท่านคงทราบ เรื่องราวของ “ ต้นปราบ ” แล้ว ถ้าไม่ทราบต้องกลับไปอ่านใหม่จะเล่าอีกก็เกรงว่าจะยาวความ
63.
ปัญหาของนิพพานพอกพูนไว้มากจนยากแก่การแก้ไข
ขณะที่ข้าพเจ้ากําลังเขียนอยู่นี้เป็นการรบของต้นปีที่ 16 เกิดความคิดว่านิพพานมีปัญหามากมายยิ่งทําวิชาก็ยิ่งได้ พบเห็น พบเห็นแล้วก็นึกถึงความรู้ที่เราได้เรียนจากพระไตรปิฎก คําที่ว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ แปลว่านิพพานเป็น สุขอย่างยิ่ง เรามารู้เห็นแล้วเราคิดอย่างไร นี่คือความคิดของข้าพเจ้า ถ้ามารไม่มาก้าวก่ายนิพพานเป็นสุขจริง ข้าพเจ้าไม่เถียงเลย แต่การที่นิพพานมีปัญหาเป็นเพราะมารเขามาปกครองมารเข้าที่ไหนเดือดร้อนที่นั่น วุ่นวายไป หมดสับสนไปหมด งานปกครองดําเนินไปไม่ได้งานนิโรธจําต้องหยุดลง การไปมาหาสู่กันกระทําไม่ได้ มารเขาห้าม ไปหมดทุกเรื่องใครขัดคําสั่งเขา เขาทําโทษ การที่เราคิดเดินวิชาไปพบพระพุทธเจ้าในที่ต่าง ๆ ก็ดี และการที่เราได้ พบจักรพรรดิของเราในที่ต่าง ๆ นั้น ที่ตรงนั้นไม่ใช่นิพพานเราไปอยู่ได้อย่างไร นั่นคือแดนกักกันนั่นคือแดนทําโทษ ที่มารเขาทําขึ้นนั้นเขาลงโทษทั้งนั้น เพราะเหตุนี้เองพระพุทธเจ้าของเราจึงมีความรู้จํากัดอย่างที่ธาตุธรรมท่านว่า วิชาไม่เปิด บางวันข้าพเจ้าไม่อยากทําวิชาเพราะเกิดความเบื่อหน่าย แต่เมื่อเรารู้เห็นอยู่ว่าพระพุทธเจ้าของเราถูกมาร รังแก เรารู้เห็นแล้วว่าจักรพรรดิของเราถูกมารข่มเหง กําลังใจเกิดขึ้นแก่เราอีก เราก็รบต่อไปอีกซึ่งไม่ทราบว่าการ รบระหว่างข้าพเจ้ากับมารจะสิ้นสุดเมื่อไร กลับมาดูปัญหาของนิพพานกันใหม่เหตุใดปัญหาจึงหมักหมมนี่คือ ข้อสังเกต เมื่อมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่มาเกิดเหตุใดจึงไม่แก้ไข นี่คือความเข้าใจของเรา ครั้นเราดูไปนาน ๆ เราจึง ทราบความจริงว่าพระพุทธเจ้ารุ่นน้องเข้านิโรธไปหาพระพุทธเจ้ารุ่นพี่ทําได้ไม่ง่าย พูดอย่างวิชาธรรมกายก็ว่า พระพุทธเจ้าในอดีตก็น่าจะบอกปัญหาแก่พระพุทธเจ้าในปัจจุบัน เมื่อพระพุทธเจ้าในปัจจุบันจะต้องทําวิชาปราบ มารเป็นการแก้ปัญหา นี่คือความคิดของเราแต่ความจริงนั้นไม่เป็นอย่างที่เราเข้าใจ พระพุทธเจ้าในปัจจุบันเข้านิโรธ ในนิพพาน มารเขาก็มีชั้นเชิงเขาก็หลบกายออกไป พระพุทธเจ้าในอดีตก็พูดแต่เรื่องที่ดี ๆ ที่มารเขาอนุญาต จะพูด ความจริงกันจนหมดไส้หมดพุงนั้นกระทํามิได้ ตรงนี้เองคือความคลาดเคลื่อนของความจริงเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ ต่อมาขอกล่าวถึงพระไตรปิฎกคือความรู้เกิดจากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วว่าการตรัสรู้ของ พระพุทธองค์นั้นย่อมเป็นไปตามหลักสูตรที่มารเขากําหนด เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเราต้องยอมรับสภาพ ข้าพเจ้าบอก ความแล้วว่ามารเขามาที่ไหนยุ่งที่นั่น ความจริงกลายเป็นไม่จริง ความถูกกลายเป็นผิด ความวุ่นวายสารพัดที่เกิดขึ้น
85
ไม่ว่าที่ไหน มารเขาเป็นผู้กํากับทั้งสิ้น ต่อมาก็มาถึงประเด็นที่ว่าเมื่อนิพพานมีปัญหาเช่นนี้ธาตุธรรมท่านจะ แก้ปัญหาอย่างไร ข้าพเจ้าเคยตอบไปแล้วท่านอ่านปราบมารมา 3 ภาคแล้วท่านคงตอบได้ วิธีแก้ของธาตุธรรมก็คือ ให้คนของท่านมาเกิดเพื่อให้มาทําวิชาปราบมาร ยุคของเราที่ทราบตรงกันก็คือยุคของหลวงพ่อวัดปากน้ํา หลวงพ่อ มาเกิดก็เพื่อมาทําวิชาปราบมารตามที่ข้าพเจ้าเคยเล่ามาแล้วจะได้ผลอย่างไรหรือไม่ต้องใช้เวลา ข้าพเจ้าบอกตรง ๆ เลยไม่ง่าย ถ้าง่ายงานปราบมารจบไปแล้ว นี่ข้าพเจ้าก็ปราบมาเป็นเวลา 16 ปี ( 16 ปีย่างยังไม่เต็ม 16 ปี ปีนี้พ.ศ. 2543 ) โปรดเข้าใจให้ตรงว่ามารเขาเห็นว่านิพพานของภาคขาวคืออู่ข้าวอู่น้ําของเขา เคยกล่าวไว้ในปราบมารเล่ม ก่อน ๆ แล้ว ปัญหาทั้งปวงจะสิ้นสุดแก้ไขได้อย่างเดียวคือปราบมารเท่านั้น ปัญหาจึงมีอยู่ที่ว่าใครเล่าจะเป็นผู้ปราบ มาร ถ้าท่านถามความเห็นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะตอบอย่างไร เพราะมีคนมาถามข้าพเจ้าบ่อย ๆ และข้าพเจ้าก็ตอบ คําถามไม่ได้ ถ้าอนุญาตให้ออกความเห็นอย่างนั้นพอพูดได้บ้าง เอาอย่างนี้คนในโลกของเรามี 6 พันล้านคน ถ้ามี เพียงคนเดียวที่มีความรู้ปราบมารได้โลกนี้ก็น่าอยู่น่าอาศัยแล้ว
64.
พบต้นธาตุนิพพานเป็นและพบผู้ปกครองใหญ่นิพพานเป็น มารเขาจับตัวไปทรมาน
พบต้นนิพพานเป็นเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2542 ( บันทึกเล่ม 24 หน้า 104 ) มารเอาพระองค์ไปซ่อนไว้ลึก มากพระองค์อยู่คนเดียว เหมือนมีอะไรมัดพระวรกายพระองค์ พอเราช่วยออกมาได้ถามพระองค์ดูทรงบอกว่าเป็น “ต้นธาตุนิพพานเป็น ” ข้าพเจ้าตกใจมือเท้าอ่อนได้ความว่าเป็นรุ่นก่อน “ ต้นนิพพานเป็น ” ยังจําติดตาพระวรกาย ผิวเนื้อ 2 สี ไม่ขาวอย่างคนผิวขาว , จีวรแพรเนื้อละเอียดสีจีวรไม่เหลืองทีเดียวเป็นแบบเหลืองเข้ม , พระเกศาสั้น เหมือนพระสงฆ์ของเรา , ร่างสันทัดไม่ใหญ่ , กายไม่ใสเป็นแก้วไม่เป็นทองแต่เหมือนอย่างพระสงฆ์ของเราในทุก วันนี้ ต่อมาวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2542 ( บันทึกเล่ม 24 หน้า 117 ) พบผู้ปกครองใหญ่นิพพานเป็น มารเอาพระองค์ไป กักกันไว้ลึกเช่นเดียวกันอยู่องค์เดียวไม่ปะปนกับใครถูกทรมานเช่นเดียวกัน ถามพระองค์แล้วทรงบอกว่าเป็น “ ผู้ปกครองใหญ่นิพพานเป็น ” ข้าพเจ้าตกใจอีกเมื่อไม่กี่วันมานี้ได้พบต้นธาตุนิพพานเป็น วันนี้ได้พบผู้ปกครอง ใหญ่นิพพานเป็นเข้าอีก แปลว่าข้าพเจ้ามีโชคมากที่ได้ช่วยพระองค์ พระองค์เป็นธาตุธรรมสําคัญไม่คิดว่ามารมันจะ ขนาดนี้ ตกเย็นของวันนั้นข้าพเจ้าได้จัดบูชาดอกไม้แก่นิพพาน ธาตุธรรมท่านสั่งให้ทําเพื่อต้อนรับธาตุธรรมสําคัญ ที่รับตัวพระองค์กลับมาได้ นิพพานของเราตกใจกันหมดไม่คิดว่าจะพบเหตุการณ์เช่นนี้ นี่คือการสร้างบารมีของลุง การุณย์ บุญมานุช ไม่ใช่เอาเงินประชาชนมาสร้างเจดีย์ไม่ใช่หล่อพระพุทธรูปไม่ใช่เอาไปกว้านซื้อที่ดิน ไปทํางาน อย่างนั้นภาษามวยไทยเขาพูดว่าหมดรูปหมดมวยแล้ว ถ้ารูปมวยออกมาเช่นนั้นเซียนมวยเขาบอกว่ามีแต่แพ้กับแพ้ เป็นวิชาธรรมกายแล้วไปทํางานอย่างนั้นอายเขาเปล่า ๆ อย่าทําเลยอายเขา
65. เหตุการณ์มาถึงธาตุธรรมระดับผู้ปกครองนิพพานเป็นมารยังเอาตัวไปได้ทําให้ข้าพเจ้าคิดมาก จําได้ว่าต้นนิพพานเป็นเคยรับสั่งกับข้าพเจ้าไม่ทราบว่าข้าพเจ้าจดไว้ในบันทึกเล่มใดทรงกล่าวว่า เมื่อพระองค์ได้ มรรคผลนิพพาน สถานภาพของนิพพานเป็นก็เป็นอยู่อย่างนี้ ข้าพเจ้าได้แต่ฟังแต่ไม่เข้าใจอะไร ครั้นเหตุการณ์
86
มาถึงวันนี้จึงนึกขึ้นได้ว่า “ ต้นนิพพานเป็น ” เคยกล่าวเหตุการณ์ไว้แล้ว แต่ข้าพเจ้าไม่รู้เรื่องเองซึ่งเรื่องของนิพพาน มันละเอียดเกินความรู้ที่คนมีกิเลสอย่างลุงการุณย์จะรู้เห็นได้แค่นี้ก็บุญอักโขแล้ว ความหมายแห่งการรับสั่งของ พระองค์จะมีความหมายอย่างไรเราไม่เข้าใจ แต่วันนี้ได้ข้อคิดว่าต้นนิพพานเป็นทํางาหนัก เพราะต้องทําหน้าที่ ผู้ปกครองใหญ่ของนิพพานเป็นทั้งหมด แต่วันนี้ต้นธาตุนิพพานเป็นและผู้ปกครองใหญ่นิพพานเป็นกลับมาแล้ว งานของนิพพานเป็นก็จะแบ่งความรับผิดชอบกันไป นี่คือความเข้าใจของเรา ความเข้าใจของข้าพเจ้าผิดไปความ พร้อมของธาตุธรรมสําคัญดังกล่าวนี้ยังไม่พร้อมที่จะทําหน้าที่จะต้องผิตซ้อมวิชากันอีกนาน
66.
พบทะเลบุญของภาคขาวที่มารมาจี้ปล้นไป แล้วเอาไปซ่อนไว้เราไปเอากลับคืนมาได้
วัตถุประสงค์ของการเดินวิชาก็เพื่อให้พบมารคือ ให้พบกายของเขาเพื่อจะเอากายมารมาดับให้ตาย เมื่อหมดมาร แล้วหน้าที่ปราบมารของข้าพเจ้าจะได้จบลงแต่แล้วก็ผิดหวัง เราไม่พบมารแต่ไปพบอย่างอื่นนั่นคือ พบทะเลบุญของ ภาคขาวที่มารเขามาระเบิดไปจากภาคขาว เขาเอาไปซ่อนไว้ในที่ลึกลับเกินความรู้ที่เราจะไปถึง แต่เป็นการบังเอิญที่ เราไปพบเห็น พบเห็นไม่มากในระยะนี้พบเพียง 3 รายการจะเล่าให้ฟังดังนี้ รายการแรก พบเมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2542 ( บันทึกเล่ม 23 หน้า 98 ) เป็นทะเลหิมะดวงขาวซ้อนกันมากมาย ธาตุธรรมทรงบอกว่าเป็นของวัดพระธรรมกาย รายการที่ 2 พบเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2542 ( บันทึกเล่ม 23 หน้า 118 ) ไม่ทราบว่าเป็นบารมีของใคร ใน บันทึกได้เขียนว่าไม่พบดวงบารมีนานแล้วเราลืมเรื่องนี้ไปแล้ว รายการที่ 3 พบเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2542 ( บันทึกเล่ม 24 หน้า 104 ) มีลักษณะแปลกมากคือ แบบแรกมี ลักษณะคล้ายเกล็ดปลาคือเป็นดวงใสเล็กซ้อนกันเป็นกองโตมหึมา อีแบบหนึ่งมีลักษณะเป็นน้ําใสเป็นบึงใหญ่
67.
ทางตันของการเดินวิชาคืออะไร ?
การเดินวิชาดําเนินมาเป็นเวลา 16 ปี วิธีเดินวิชาคือรวมนิพพานกายธรรมทั้งปวงร่วมกับนิพพานเป็นทั้งปวง อีก ทั้งจักรพรรดิและกายสิทธิ์ทั้งหมดให้เป็นเนื้อเดียวกันให้เป็นหนึ่งเดียว ตามแนววิชาซ้อนสับทับทวีของหลวงพ่อนั่น คือรวมรู้ , รวมญาณทัสสนะ , รวมนิโรธ , รวมสมาบัติ , รวมตรัสรู้ , รวมคํานวณแล้วเดินเข้าดวงธรรม 6 ดวงเป็น ลําดับไป ดวงธรรม 6 ดวงก็คือดวงธรรม ฯ , ศีล , สมาธิ , ปัญญา , วิมุตติ , วิมุตติญาณทัสสนะ ซึ่งดวงธรรมทั้ง 6 ดวงนี้มีหยาบและละเอียดเป็นลําดับไป สืบรู้สืบญาณทัสสนะไปเพื่อไปหาเหตุละเอียดเพื่อไปหามารละเอียด เพื่อเรา จะได้กําจัดให้สิ้นเชื้อตามยุทธวิธีของการรบที่หลวงพ่อท่านสอนไว้ เข้ากลางดวงธรรมทั้ง 6 เสมอไป ตามวิธีนี้แต่ ไหนแต่ไรไม่มีปัญหาแต่พอมาถึงปีที่ 15 ติดต่อเข้าไปปีที่ 16 มีปัญหา ปัญหานั้นคืออะไร
? ปรากฏว่าดวงธรรม 6
ดวงของนิพพานมีแค่นั้นไม่มีต่อไปอีกแปลว่า สุดละเอียดของภาคขาวมีแค่นั้น ทําให้เกิดปัญหาใหญ่โต ปัญหา ใหญ่โตที่ว่านี้คืออะไร คือเราทั้งปวงของภาคขาวเดินวิชาไม่ได้ เหตุใดจึงเดินวิชาไม่ได้ ตอบว่าไม่มีดวงธรรมให้เดิน เพราะดวงธรรมคือมรรค ดวงธรรมคือทางเดินเมื่อไม่มีทางเดินแล้วเราไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น เปรียบเทียบก็คือไม่มี
87
ถนนให้เดินนั่นเอง นี่คือข้อมูลบ่งบอกว่าภาคขาวเสียทะเลรู้ทะเลญาณทัสสนะไปแล้ว ก็คือเราเสียปัญญาไปแล้ว มาร เขามาบ่อนแตกเอาดวงธรรมจากนิพพานไปแล้ว ภาคขาวจึงหูสั้นตาสั้นไปรู้ไปเห็นได้ในขอบเขตจํากัด ( บันทึกเล่ม 24 หน้า 45 ) ตรงนี้คือชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของมารเขา เพราะเขาสามารถทําให้ภาคขาวเดินวิชาไม่ได้ ตรงนี้คือการ สูญเสียปัญญา ถามว่าปัญญาที่สูญเสียไปนี้ตีราคาออกมาได้ไหม ตอบว่าตีราคาไม่ได้ เราจะแก้ทางตรงนี้อย่างไร ถ้า เราแก้ได้นิพพานท่านก็ยิ้มออกมาได้ หากเราแก้ไม่ได้นิพพานของเราก็เงียบกริบกันอีก เงียบกริบเพราะอะไรหรือ ตอบว่าเพราะทุกข์ใจที่เดินวิชาไม่ได้นั่นเอง เหตุการณ์เช่นนี้เกิดมาตั้งแต่เมื่อไร ไม่มีใครรู้เห็นทั้งนั้นตรงนี้คือการพ่าย แพ้ของภาคขาวอย่างใหญ่หลวง แล้วจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ใครเป็นผู้รู้ ใครจะบอกวิชาแก่เราได้ มองไปทางไหนมืด แปดด้านความยากของการปราบมารอยู่ตรงนี้ นักรู้ที่ท่านนิยมอยู่ไหน อาจารย์ของท่านที่ท่านทุ่มเงินล้านให้ไปอยู่ ไหน ไหนลองแสดงความรู้ออกมาให้ฟังบ้างจะมีน้ํายาไหม เรามีแต่อาจารย์ประเภทเปลืองข้าวชาวบ้านอย่างนั้นจะมี น้ํายาอะไร บ้านเมืองเรามีแต่คนเก่งไม่เข้าเรื่องมันน่าเจ็บใจ บัดนี้เรามาถึงทางตันแล้วดวงธรรมของนิพพานมี เพียงแค่นี้ก็แปลว่า ทะเลรู้ทะเลญาณของภาคขาวอยู่ในวงจํากัด เราต้องแก้ได้ ณ ที่สุดแห่งดวงธรรมนั้น จงนึกเอาใจ ของเราเป็นปลายเข็มปากกาจรดลงตรงนั้น แล้วกระทําหมุนขวาอยู่กับที่ท่องใจเรื่อยไป นึกให้ใจหมุนขวาเรื่อยไปนึก ในใจ แลบ , ลั่น , ย่อย , แยก , ระเบิด , ผ่า , ดับ , ละลาย เรื่อยไปในเครื่องบังคับที่มารเขาทําไว้ทําอยู่และที่จะทําต่อไป 1. แลบ , ลั่น ............ ฯ เครื่องบังคับนิโรธ , เครื่องบังคับสมาบัติ , เครื่องบังคับตรัสรู้ , เครื่องบังคับคํานวณ , เครื่องในเครื่องไม่มีเครื่องต่อไป , เครื่องบังคับในเครื่องบังคับไม่มีเครื่องบังคับต่อไป , เครื่องปกครองใน เครื่องปกครองไม่มีเครื่องปกครองต่อไป 2. น้อมใจเราเข้าไปในกาล 3 คือน้อมไปในอดีต , ในปัจจุบันและในอนาคต ให้สุดอดีต , สุดปัจจุบัน , สุดอนาคต , แลบ , ลั่น , ย่อย , แยก ..........ฯ เรื่อยไปอย่าหยุด 3. น้อมใจเขาสู่ยุคแห่งทาน, ศีล , ภาวนา น้อมใจไปในทะเลทาน , ทะเลศีล , ทะเลภาวนา คํานวณให้ทั่วอดีต , ทั่วปัจจุบัน , ทั่วอนาคต
68.
ความรู้สําคัญที่เราต้องรู้ก็คือให้รู้ว่ามารปกครองอะไร ? ปกครองตรงไหน ?
มารปกครองมนุษย์คือพวกเรานี้ เขาปกครองที่ “ ใจ” ปกครองตรงไหน ? ตอบว่าตรงเห็นจําคิดรู้ เมื่อปกครองใจ ได้กายก็ไม่เหลือ ใจของเรามีหยาบมีละเอียดใจเบื้องต้น , เบื้องกลาง และเบื้องปลาย นั่นคือทั้งใจและจิตและวิญญาณ ถูกปกครองทั้งหมด มารปกครองนิพพานคือ ปกครองพระพุทธองค์และผู้ได้มรรคผลนิพพาน เขาปกครองนิโรธ , สมาบัติ , ตรัสรู้ และคํานวณนั่นเอง ให้สังเกตในการเดินวิชาถ้าเห็นจําคิดรู้เกิดอาการฝืดคือ ไม่คล่องตัวมีความอืดอาด จงทราบไว้เถิดมารเขาส่งวิชามากระทําที่เห็นจําคิดรู้ คือเขาหุ้ม , เคลือบ , เอิบ , อาบ , ซึม , ซาบ , ปนเป็น , สวม , ซ้อน , ร้อยไส้ เราแล้ว เราก็ต้องรบด้วยแลบ , ลั่น , ย่อย , แยก , ระเบิด , ผ่า , ดับ , ละลาย ตามวิธีการรบต่อไป มาร เขาบังคับเราด้วย “ เครื่อง ” เวลาเขายิงเครื่องปกครองเข้ามานั้นเหมือนกับเรากด “ รีโมท ” เปลี่ยนช่องโทรทัศน์เรา
88
ไม่เห็นตังเราเอง กายมารเขาซ่อนอยู่ในที่ลับ ความยากของเราคือ เดินวิชาค้นหากายของเขา สรุปแล้วเข้าหลัก มโน ปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา สิ่งทั้งหลายมีใจถึงก่อนมีใจเป็นใหญ่ สําเร็จแล้วด้วยใจ คําบาลีแปลยากอยู่ พูดอย่างไทย ๆ เราก็ว่าอะไรทั้งหลายที่มีใจครอง ใจย่อมเป็นใหญ่คือ ทําหน้าที่เป็นประธาน ความสําเร็จอยู่ที่ใจ ประเด็นที่ว่าสําเร็จด้วยใจหมายความว่า ธรรมภาคไหนปกครองใจความสําเร็จก็อยู่ที่ธรรมภาคนั้นหมายความว่า ธรรมภาคขาวหรือธรรมภาคดํา ( มาร ) หรือธรรมภาคกลาง( จะขาวก็ไม่ขาว จะดําก็ไม่ดํา จึงเรียกว่าธรรมภาคกลาง ) คําสอนของพระองค์ข้อที่ 3 ที่ว่า สจิตฺตปริโยทปนํ คือการทําใจให้สว่างใสนั้นมีความประเสริฐเลิศล้นแล้ว ถูกต้อง แล้วใจของเรายังขุ่นมัวแปลว่า เป็นใจที่มารปกครองเรา น่าเจ็บใจ ใจของเราแท้ ๆ เหตุใดปล่อยให้มารปกครอง ทําไม เราไม่ปกครองใจเราเสียเอง ให้มารมาปกครองทําไม ก็เพราะมารปกครองนี่เองส่งผลให้เราแก่ , เจ็บ ( เป็นโรค ) , ตาย นี่คือผลแห่งการบังคับของมาร เราเสียหายปานไหนเราก็ทราบกันแล้ว คราวนี้เราไปดูนิพพานบ้างเกิดความเสียหาย ใหญ่หลวงแค่ไหน ข้าพเจ้านําผลงานปราบมารเสนอแล้วเล่มนี้เป็นเล่มที่ 4 เรียกว่าปราบมารภาค 4 เรื่องจะยาวความ ไปอีกแค่ไหนไม่มีใครบอกได้ ข้าพเจ้าก็รบของข้าพเจ้าไปตามหน้าที่ไม่รู้ว่าการรบจะยุติเมื่อไรไม่มีใครทราบ ส่วน แสนยานุภาพของเขา ทราบแต่ว่าไม่มีใครสู้เขาได้เขาเป็นเจ้าธาตุเจ้าธรรมตลอดมา ไม่ว่าใครก็ตามถูกเขาปกครอง ทั้งนั้น ผู้ถูกปกครองเดือนร้อนกันทั่วหน้า ผลงานที่ข้าพเจ้านําเสนอนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่สุดแห่งการปราบ มารที่ข้าพเจ้าทําอยู่โปรดติดตามต่อไปยังมีเรื่องดี ๆ เล่าสู่กันฟังอีกมากมาย ความยากของการปราบมารก็คือความรู้ เราจะใช้ความรู้อะไรมาใช้ นี่คือประเด็นมีคนถามข้าพเจ้าเสมอว่า มีตัวแทนหรือมือสํารองช่วยปราบมารแล้วหรือยัง ถามกันมานานแล้วตอบได้แต่ว่ายังไม่พบคนเก่งคนนั้น โลกของเรานี้ขณะนี้มีประชากร 6 พันล้านคน ถ้ามีคนหนึ่ง ปราบมารได้โลกนี้ก็น่าอยู่ตอบเขาไปอย่างนั้น
69.
วันที่ 27 ธันวาคม คือวันเอกราชของธรรมภาคขาวเราต้องนึกถึง “ ต้นปราบ ” และกองทัพ
จักรพรรดิของท่าน วันนั้นเราต้องทําการกุศลอะไรสักอย่างให้จงได้ “ ต้นปราบ ” คือพระพุทธเจ้าฝ่ายจักรพรรดิภาคปราบ เสด็จมาจากนิพพานมาช่วย “ ตรีภพ ” และ “ หยกชมพู ” ( ตรีจักร ) ปราบมารตามที่ได้เสนอประวัติแล้วในเล่มปราบมารภาร 2 นั้น ถ้ายังไม่ได้อ่านต้องติดตามหาอ่านเพื่อให้ เรื่องสัมพันธ์ติดต่อกัน เหตุการณ์มาถึงปีนี้ ต้นปราบมีอภินิหารมากแล้วคนรู้จักมากแล้ว ข้าพเจ้าตกใจอยู่ระยะหนึ่ง จู่ ๆ ท่านทั้งหลายก็ส่งธนาณัติไปให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอ่านจดหมายก็ทราบความว่าท่านที่อยู่บ้านของท่านได้ “ บนต้น ปราบ ” ที่บ้านของท่านเมื่อมีทุกข์ร้อนเกิดขึ้นแก่ชีวิตของท่าน บัดนี้ท่านหมดทุกข์ร้อนแล้วท่านก็ส่งเงินไปให้ข้าพเจ้า เพื่อให้ข้าพเจ้าบูชาแก่ “ ต้นปราบ ” ต่อไป นี่คือเหตุการณ์ประจําวันที่ข้าพเจ้าได้พบ ข้าพเจ้าก็จัดบูชาให้ตาม ประสงค์ของท่าน เพราะต้นปราบประทับอยู่ในดวงแก้วของตรีภพที่บ้านของข้าพเจ้า ขออนุญาตเล่าเรื่องอย่าง บันเทิงใจคือคุยกันแบบตลกขบขัน นั่นคือเรื่องของดวงแก้วกายสิทธิ์ของตรีภพ เป็นดวงแก้วที่เปรียบเสมือนเป็น เมืองใหญ่เป็นนครใหญ่มีประชากรหนาแน่น ประชากรคือจักรพรรดิทั้งปวงที่ข้าพเจ้าปราบมารชนะ พบพระองค์
89
จํานวนมากที่มารเอาตัวท่านไปกักกัน เมื่อพระองค์หลุดมาจากปกครองของมารแล้วก็มาอยู่กับ “ ตรีภพ” ทั้งหมด ในขณะนี้นับจํานวนไม่ถ้วนแล้วคือนับอสงไขยก็ยังนับไม่ถ้วน และที่เสด็จมาจากนิพพานรวมทั้งเสด็จมาจากภพ 3 เมื่อใครต่อใครทราบข่าวต้นปราบ ท่านมาเป็นแม่ทัพปราบมาร จักรพรรดิทั้งปวงก็หลั่งไหลมาช่วยสมทบจนเกิด ศูนย์จักรพรรดิขึ้น เกี่ยวกับเรื่องการบนต้นปราบ ท่านที่อยู่ที่ใดก็บนได้แต่ว่าให้บนเป็นเงิน ท่านอยู่ที่ใดก็บนที่นั่น โดยไม่ต้องเดินทางไปที่บ้านของข้าพเจ้า มีทุกข์ร้อนอะไรก็ให้จุดธูปอธิษฐานบนในใจเสร็จแล้วก็ปักธูปไว้กลางบ้าน ของท่าน จากนั้นขอให้ท่านทําภาวนาตามวิธีการของวิชาธรรมกายทําทุกวันอย่าเว้น แล้วทุกข์ร้อนของท่านจะหมด ไปโรคภัยไข้เจ็บจะค่อย ๆ หายไป แล้วท่านก็ส่งเงินแก้บนทางธนาณัติไปให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็นําบูชาต้นปราบต่อไป แต่เดิมนั้นเรื่องการบนต้นปราบข้าพเจ้าไม่รู้เรื่องเลย ไม่มีความรู้เรื่องการบนรู้แต่เรื่องปราบมารอย่างเดียว เมื่อได้ทํา วิชาปราบมารข้าพเจ้าก็ซ้อนกายสับกายกับต้นปราบ, กับตรีภพ , กับหยกชมพู กับกองทัพจักรพรรดิที่บ้านของ ข้าพเจ้าจะแก้ให้ก็เลยบอกให้บนต้นปราบ ปรากฏว่าเกิดประเพณีการบนต้นปราบมาตั้งแต่วันนั้น
70.
พวกเราไม่เฉลียวใจกันเลยว่าอายตนะนิพพานของเรามารเขาปกครอง โดยหุ้มเหมือนไข่ขาวหุ้ม
ไข่แดง ข้าพเจ้ารบมานานแล้วไม่เคยสังเกตเพิ่งได้คิดเมื่อ 2 – 3 วันนี้เอง หลวงพ่อสอนให้ดูดวงทุกข์กับดวงสมุทัย ว่าหุ้ม ดวงธรรมของเราอย่างไร นั่นคือกายโลกีย์ทุกกายจะมีวงแหวนดํา 2 วง หุ้มดวงธรรมของเรา ดวงหนึ่งคือดวงทุกข์ และอีกดวงหนึ่งคือดวงสมุทัย ครั้นมาปราบมารการเดินวิชาเปรียบเสมือนว่าเราเดินทางจากไข่แดง เพื่อเจาะไข่ขาว ให้ทะลุ กี่ปีมาแล้วยังไม่ทะลุและกี่ยุคมาแล้วยังไม่มีใครทะลุไปได้ อายตนะนิพพานของเรานั้นถ้าเป็นประเทศไหนใน โลกก็ต้องว่าเป็นเมืองปิด คือ ไม่มีทางออกเนื่องจากมีดวงขุ่นมาหุ้มอยู่ในรูปแบบของไข่ขาวหุ้มไข่แดงนั้น เมื่อถึง วาระที่เราได้มรรคผลนิพพานอายตนะนิพพานดึงดูดเราเองเหมือนแม่เหล็กดูดเหล็ก ถ้าเปรียบอายตนะนิพพานเป็น บ้าน บ้านของเรามีนักเลงคุม นักเลงก็คือดวงขุ่นที่เปรียบว่าเป็นไข่ขาวนั่นเอง
90
พระนามของผู้เป็นใหญ่ในนิพพาน ผู้ตั้งกระทู้ถาม ( คุณอดิศร นุชเครือ ) :
ถ้าเรียนถามพี่สมถะครับเรื่ององค์ต้นต่าง ๆ เนีย่ ถ้าเราคิดเอ่ยพระนาม
ท่านเพื่อทําการบูชาเราจะเรียกท่านว่าอย่างไรครับ เช่น องค์ต้นของสายขวาทั้งหมดและองค์ต้นอื่น เท่าที่อ่านจาก ข้อมูลอื่นที่พี่สมถะมาแสดงจะมีความสําคัญแค่ต้นใหญ่ต้นปราบ จากคนไม่เป็นธรรมกายครับ ผู้ตอบกระทู้ ( คุณสมถะ )
: เราเรียกรวมก่อนว่าธาตุธรรมภาคขาวทุกพระองค์แล้วนึกถึงองค์ต้นธาตุ ( หลวงพ่อ
สด ) , องค์ต้นใหญ่ ( ผู้ปกครองนิพพานกายธรรมทั้งหมด ) , องค์ต้นนิพพานเป็น ( ผู้ปกครองนิพพานเป็นทั้งหมด ) , องค์ต้นปราบใหญ่ ( แม่ทัพพระพุทธเจ้าฝ่ายจักรพรรดิ ) รวมทั้งจักรพรรดิกายสิทธิ์ของธรรมภาคขาวทั้งปวง แล้ว บูชาด้วยพวงมาลัยดอกมะลิสด เมื่อถวายท่านแล้วให้นั่งสมาธิ เสร็จแล้วอธิษฐานใจตามต้องการ พระองค์ก็จะมาชู ช่วยเราตามสมควร ผู้ตั้งกระทู้ถาม ( คุณอดิศรนุชเครือ ) : ผู้ตอบกระทู้ ( คุณสมถะ )
:
แล้วองค์ต้นที่ปกครองภาคขาวทั้งหมดล่ะครับ
ท่านแบ่งหน้าที่กันตามที่แจ้งไปนั่นแหล่ะครับ เพราะนิพพานกายธรรมและ
นิพพานเป็นมีผู้ปกครองแยกกัน นิพพานเป็นเกิดก่อนนิพพานกายธรรมครับ เรื่องนี้รู้แค่นี้พอครับ
91
ก่อนจากกัน....ผมได้รวบรวมปัญหาข้อสงสัยต่าง ๆ เกี่ยวกับจักรพรรดิกายสิทธิ์ที่มีผู้ถาม ” คุณสมถะ ” เอามาฝาก คุณผู้อ่านด้วยครับ เผื่อว่าคําถามนั้นอาจตรงกับความสงสัยของท่านทั้งหลายที่กระหายใคร่รู้ความจริงก็เป็ นได้ถือว่า เป็นการสรุปเนื้อหาเรื่อง “ จักรพรรดิกายสิทธิ์ ” ปิดท้ายไปเลยก็แล้วกันนะครับ คําถาม..........อยากถามท่านผู้รู้ครับว่า ในนิพพานนั้นมีจักรพรรดิภาคผู้เลี้ยง ซึ่งมีบริวารคือรัตนะ 7 ประการใน นิพพานด้วย แต่รัตนะทั้ง 7 ประการ ก็มีนางแก้ว แล้วบริวารคือนางแก้วอยู่ในนิพพานได้หรือครับ เพราะนิพพาน ต้องไม่มีเพศรวมภาคผู้เลี้ยง ถ้านางแก้วในภาคผู้เลี้ยงในนิพพานมีเพศแล้วขุนพลแก้ว , ขุนคลังแก้ว , ช้างแก้ว , ม้า แก้วมีเพศอะไรครับในนิพพาน และช้างแก้วคือสัตว์ 4 ขามีงวงเป็นแก้วใช่ไหมครับ คําตอบ โดยคุณสมถะ เข้านิพพานในอนาคตได้ครับ
ในโลกยุคนี้เราสามารถทําปฏิปทาอะไรเพื่อไปเป็นนางแก้วของจักรพรรดิภาคผู้เลี้ยงที่จะ หรือทําปฏิปทาอะไรที่จะทําให้เป็นขุนพลแก้ว , ขุนคลังแก้ว , ช้างแก้ว , ม้าแก้ว
ของจักรพรรดิภาคผู้เลี้ยงที่จะเข้านิพพานในอนาคตได้ครับคืออย่างนี้ครับ สําหรับช้างแก้วและม้าแก้วท่านก็เป็นกาย จักรพรรดิ แต่เป็นคนเหมือนเรานั่นแหล่ะ ท่านแต่งกายโดยใส่ชฎาเครื่องทรงเหมือนอย่างตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ คล้ายเทวดาแต่ไม่ใช่เทวดา เวลาท่านแสดงตัวว่าเป็นรัตนะ 7 ประเภทใดท่านก็จะแสดงให้ดูเช่นม้าแก้วและช้างแก้วก็ แสดงให้เห็นว่าเป็นช้างและม้าแก้ว แต่อันที่จริงแล้วท่านก็เป็นกายจักรพรรดิเหมือนอย่างที่เล่าให้ฟัง ถ้าเป็นพระคลัง แก้วท่านก็จะแต่งกายหรูหรา , ขุนพลแก้วก็จะดูทะมัดทะแมงมีกําลังวังชา , นางแก้วก็แต่งตัวสวยงาม มือขวาของ ท่านจะถือดวงแก้วมณีโชติ , ถ้าเป็นจักรแก้วจักรแก้วซึ่งเป็นประธานของรัตนะทั้ง 7 ท่านก็จะชูนิ้วและมีจักรแก้วหมุน ขวาที่มือให้ดู ส่วนว่านางแก้วจะอยู่บนนิพพานอย่างไรเป็นเพศใด อันนี้ก็อยู่ที่ว่าถ้านางแก้วได้มรรคผลแล้วก็จะไม่ เป็นหญิงต้องเป็นเพศชายเท่านั้น แต่ถ้ายังไม่ได้มรรคผลก็ถือเอาเพศหญิงตามเดิม อยู่ที่ว่าได้มรรคผลแล้วหรือยัง เหมือนพุทธมารดาถ้าได้มรรคผลแล้วก็เป็นชายไปอยู่บนพระนิพพาน บนนิพพานถ้าได้มรรคผลแล้วเห็นมีแต่เพศ ชายต่อให้เป็นหญิงก็กลับเป็นผู้ชาย ถ้าเป็นนิพพานกายธรรมอันนี้ไม่มีปัญหาเลยเป็นพระแก้วขาวใสเกตุดอกบัวตูม เหมือนกันหมด การจะได้สร้างบารมีเป็นรัตตะ 7 นั้นก็คือภาคผู้เลี้ยงนั่นเอง คือ เราบํารุงเลี้ยงพระโพธิสัตว์ร่วมกัน ไปทุกภพชาติ เราบํารุงเลี้ยงแบบไหนก็เป็นรัตนะ 7 แบบนั้นอยู่ที่ตั้งปรารถนาด้วยแต่การเป็นพระจักรพรรดิหรือ รัตนะ 7 นั้นต้องสร้างบารมีมากนัก จักรพรรดิต้องมีบารมีมากกว่าพระพุทธเจ้า เพราะต้องคอยดูแลพระพุทธเจ้า หรือต้องคอยดูแลพระโพธิสัตว์กายสิทธิ์ที่ใหญ่กว่าบรมจักรที่เรียกว่า “ อุดมบรมจักร ” มีจริงครับ ส่วนใหญ่อยู่ใน นิพพานเป็นองค์ระดับ “ ต้นแท้ ” คือมีบารมีมากกว่า 84,000 อสงไขย ทําหน้าที่ภาคปกครองในฝ่ายจักรพรรดิครับ
การเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
92
ผู้ตั้งกระทู้ถาม ( คุณจักรแก้ว ) : คุณสมถะพอจะเล่าปะสบการณ์จริงให้รับรู้ได้หรือไม่ว่าการไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เขาทํากันอย่างไรครับ ผู้ตอบกระทู้ ( คุณสมถะ )
:
เอาล่ะเมื่อคุณจักรแก้วถามเรื่องการเข้าไปกราบพระบรมศาสดาทําอย่างไรจะขอ
กล่าวแต่โดยย่อดังนี้ ทุกครั้งไม่ว่าเราจะเดินวิชชาอะไรเราต้องทํากายและใจให้ใสที่สุด เพราะถ้าไม่ใสจริงใจจะไม่ตก ศูนย์ วิธีการคือ เดินวิชชา 18 กายเป็นอนุโลมปฏิโลมไปจนกว่าเราบันเทิงอารมณ์ ( คือใจหยุด ,นิ่ง , แน่น , ใส จริงแล้ว อารมณ์จะบันเทิง ) ตําราบอกว่า 7 เที่ยว แต่เรื่องจริงคือ กี่เที่ยวก็ได้ให้มากเข้าไว้จนกว่าจะบันเทิงอารมณ์ จากนั้น เอาใจนิ่งที่จุดเล็กใสเท่าปลายเข็มกลางดวงธรรมของกายธรรมพระอรหัตละเอียด ( หลังจากเดินวิชชา 18 กายจน บันเทิงอารมณ์ดีแล้ว ) อธิษฐานใจเข้าหาต้นธาตุก่อน ต้นธาตุคือ กายธรรมของหลวงพ่อวัดปากน้ํา ท่านทําหน้าที่ เป็นต้นธาตุ ประจําอยู่ตรงช่องว่างระหว่างนิพพานกับภพ 3 ใครจะเข้าไปในอายตนะนิพพานต้องผ่านต้นธาตุก่อน ให้พระองค์ตรวจเราอีกทีว่าใสจริง ถ้าใสไม่จริงก็เป็นภาระให้พระองค์แก้ไขเราอีก ตรงนี้เองเราจึงทราบว่าหลวงพ่อ วัดปากน้ําของเราอยู่ตรงนี้ ทําหน้าที่ปกครองอยู่ตรงนี้ เราจะเห็นเป็นกายธรรมใหญ่มหึมาสุดลูกหูลูกตาเชียว ถ้า ต้องการจะทราบว่าใช่หลวงพ่อวัดปากน้ําจริงหรือเปล่าก็ให้เดินวิชชาลําดับกายต้นธาตุจากกายธรรมไปหากายโลกีย์ จนไปถึงกายฝันก็จะเห็นเป็นหลวงพ่อของเรา ( สําหรับคนที่เป็นธรรมกายใหม่ ๆ เราจะพานักเรียนชุดนั้นเข้าเฝ้าต้น ธาตุเพื่อฝากธาตุธรรมต่อพระองค์ ฉ เมื่อเดินวิชชามาถึงตรงนี้ต้องตรวจสอบให้ดีก็คือ เราก็อาราธนากายธรรมพระ อรหัตละเอียดของเราเข้าไปที่ปากช่องจมูกของกายธรรมต้นธาตุ หญิงซ้ายชายขวาแล้วไล่ไปตามฐานทั้ง 7 ไปหยุด ให้ท้องต้นธาตุ จะสนทนากับกายธรรมต้นธาตุจะทําอย่างไร ก็ให้เอาดวงเห็น , ดวงจํา ,ดวงคิด , ดวงรู้ของเราเข้าไป ซ้อนกับดวงเห็น , ดวงจํา , ดวงคิด , ดวงรู้ขององค์ต้นธาตุให้จุดเล็กใสเท่าปลายเข็มตรงกันทุกดวงเรียกว่าซ้อนให้ สนิทแล้วเราจะได้ยิน จากนั้นเราจะเข้านิพพานจะทําอย่างไร ลําดับดวงธรรมในท้องต้นธาตุ 6 ดวง โดยอธิษฐานขอ เข้าไปในอายตนะนิพพาน พอจุดเล็กใสเท่าปลายเข็มกลางดวงธรรมที่ 6 ของต้นธาตุว่างออก เราจะเห็นอายตนะ นิพพานมีพระธรรมกายจํานวนมากสว่างไสวไปด้วยรัศมีของกายธรรม แต่จะมีกายธรรมองค์กลางซึ่งมีรัศมีสว่าง กว่ากายธรรมทั้งหลาย กายธรรมองค์นี้เป็นกายธรรมของพระบรมศาสดาเจ้าของนิพพานแรกนี้คือ กายธรรมของ พระสมณโคดมเจ้าของศาสนา อย่าเพิ่งทําอะไรให้เราอาราธนากายธรรมพระอรหัตละเอียดของเราเข้าไปที่ปากช่อง จมูกกายธรรมพระบรมศาสดา หญิงซ้ายชายขวาแล้วละดับไปที่ละฐานมาหยุดนิ่งตรงฐานที่ 7 จากนั้นให้ดวงเห็น , ดวงจํา , ดวงคิด , ดวงรู้ของเราเข้าไปซ้อนกับดวงเห็น , ดวงจํา , ดวงคิด ,ดวงรู้ของพระบรมศาสดา หยุดนิ่งให้ดีแล้ว ก็พูดคุยกับพระองค์ ถ้าใจหยุดนิ่งไม่ดีจริงเราจะไม่ได้ยินจะเห็นแต่พระโอษฐ์ขยับ แต่ไม่ได้ยินเสียง ต้องหยุดต้อง นิ่งจริง ๆ พระสุรเสียงนั้นดังกังวานดั่งเสียงราชสีห์
เย็นสะอาดบริสุทธิ์เมื่อได้ฟัง ส่วนการถามก็เหมือนเราเข้าเฝ้า
เบื้องสูงจะพูดจะจาอะไรก็ควรให้เหมาะสม การตรัสของพระองค์ก็ต้องดูว่าไม่เป็นอันตรายต่อพระองค์ด้วยเพราะ ภาคมารเขาจ้องอยู่เขาห้ามให้พระองค์บอกวิชชาใคร แต่ตอนนี้สะดวกขึ้นแล้วคุยได้มากแล้ว การเข้านิพพานนั้นเพื่อ
93
จะให้ได้บุญบารมีจริง ๆ ให้เกิดประโยชน์จริง ๆ ควรไปให้สุดนิพพานทั้งนิพพานกายธรรมและนิพพานเป็นจะทํา อย่างไร จากนั้นเราก็ออกจากนิพพานของพระสมณโคดม ความรู้เสริมอีกเรื่องหนึ่งคือ การขอรัตนะ 7 ให้เราขอที่ พระนิพพานของพระสมณโคดมพุทธเจ้านิพพานนี้เลย เพราะเป็นศาสนาของพระองค์ การขอรัตนะ 7 เป็น สิ่งจําเป็นของผู้เป็นธรรมกาย ( ขอได้เฉพาะช่วงออกพรรษา ) เอาล่ะเราจะไปนิพพานต่อไปทํายังไง ให้เราลําดับดวง ธรรมในท้องพระบรมศาสดา 6 ดวง จุดเล็กใสกลางดวงธรรม 6 ว่างออกเห็นนิพพานหนึ่งแล้วมีธรรมกายมากมายนั่ง ล้อมพระธรรมกายองค์กลาง ซึ่งเป็นเจ้าของนิพพานนี้คือ นิพพานที่ 2 เราก็เดินวิชชาเข้าหาพระองค์อย่างเดียวกับที่ เข้านิพพานแรก จะสนทนาหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่การเดินเช่นนี้ช้าไปเราจะเข้าไปให้สุดนิพพานกายธรรม เพื่อไปให้ถึง ผู้ปกครองใหญ่ นิพพานกายธรรมคือองค์ต้นใหญ่ จะทํายังให้เราลําดับดวงธรรมในท้องพระบรมศาสดานิพพานที่ 2 นี้ 6 ดวง พอหยุดกลางดวงธรรมที่ 6 ท่องใจหยุดในหยุด , ดับอธิษฐาน , ถอนปาฏิหาริย์ , ถอนปาฏิหาริย์ดับอธิษฐาน แล้วท่องว่ากลางของกลาง ดับหยาบไปหาละเอียด ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ไปให้สุดนิพพานในอดีต , นิพพานปัจจุบัน , นิพพานอนาคต เราก็ผ่านสิบผ่านศูนย์ของพระบรมศาสดาเจ้าของพระนิพพานเรื่อยไป นับอสงไขยพระนิพพานไม่ ถ้วน แต่เราไปไม่ถึงดอก ทําอีกกี่ร้อยปีกี่โกฏิปีเราก็ไปไม่ถึงองค์ต้นใหญ่ แต่เราอาราธนาพระองค์ออกมารับเรา พระองค์ก็จะทรงถอนถอยธาตุธรรมออกมารับเราไป เราจึงจะไปถึงกายธรรมองค์ต้นใหญ่ผู้ปกครองนิพพานกาย ธรรมทั้งหมด องค์ต้นใหญ่องค์นี้แหละที่ส่งหลวงพ่อวัดปากน้ําลงมาเกิดองค์นี้แหละที่ตรัสว่า “ พระของขวัญนี้เพิ่ง เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก ” องค์นี้ที่จะบอกได้ว่าใครควรจะปราบมารหรือไม่ พระองค์จะลงมาบังคับเองเหมือน อย่างหลวงพ่อวัดปากน้ําของเรา พอพระองค์ให้หลวงพ่อปราบมาร หลวงพ่อขอใคร่ครวญวิชชาอยู่ถึง 8 ปี เอาล่ะเรา มาถึงพระองค์แล้วเป็นบุญกุศลมหาศาลของเราที่มาถึงพระองค์ เพราะพระองค์เป็นธาตุธรรมผู้ใหญ่ในนิพพานกาย ธรรม แต่เราประสงค์ไปให้เห็นนิพพานเป็น ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปอีกจะทําอย่างไรให้เราอธิษฐานใจต่อกายธรรมต้นใหญ่ ขอให้พระองค์ช่วยยิงส่งกายธรรมของเราไหให้ถึงนิพพานเป็นด้วยเถิด ลําดับดวงธรรมในท้องต้นใหญ่ 6 ดวง หยุด ในหยุด พอถึงดวงธรรมที่ 6 ว่าง ออกในว่างใสนั้นเห็นอายตนะนิพพานมีกายพระสงฆ์หรือกายมนุษย์หยาบจํานวน มากสว่างไสวโชติช่วง กายพระสงฆ์องค์กลางนั้นคือ กายของพระบรมศาสดาเจ้าของนิพพานนี้เป็นนิพพานเป็นที่ 1 นิพพานเป็นต่างจากนิพพานกายธรรมคือ ไม่มีเกตุดวงบัวตูม กายนั้นเหมือนพระสงฆ์แต่ใสเป็นแก้ว เราก็เดินวิชชา เข้าหาพระองค์ตามฐานทั้ง 7
จะคุยก็คุยไป ถ้าไม่คุยก็เดินวิชชาต่อไป เพื่อไปสู่นิพพานที่ 2 ของนิพพานเป็น แต่
เราต้องการไปให้สุดนิพพานเป็นคือ ไปให้ถึงองค์ต้นนิพพานเป็นผู้ปกครองนิพพานเป็นทั้งหมดเราจะทําอย่างไร เรา ก็หยุดนิ่งกลางดวงธรรมของพระบรมศาสดานิพพานเป็นองค์ปัจจุบันที่ไปถึง ลําดับดวงธรรมพระบรมศาสดาของ นิพพานเป็น 6 ดวง หยุดกลางดวงธรรมที่ 6 ของพระองค์ตรงจุดใสเท่าปลายเข็ม แล้วท่องใจหยุดในหยุด , ดับ อธิษฐานถอนปาฏิหาริย์ , ถอนปาฏิหาริย์ดับอธิษฐาน แล้วท่องว่ากลางของกลาง , ดับหยาบไปหาละเอียด ๆ ๆ ๆ ไป ให้สุดนิพพานเป็นในอดีต , สุดนิพพานเป็นปัจจุบัน , สุดนิพพานเป็นอนาคต เราก็ผ่านสิบผ่านศูนย์ของพระบรม ศาสดาเจ้าของพระนิพพานเป็นเรื่อยไป นับอสงไขยพระนิพพานเป็นไม่ถ้วน แต่เราไปไม่ถึงดอก ทําอีกกี่ร้อยปีกี่
94
โกฏิปีเราก็ไปไม่ถึงองค์ต้นนิพพานเป็น แต่เราอาราธนาพระองค์ออกมารับเรา พระองค์ก็จะทรงถอนถอยธาตุธรรม ออกมารับเรา เราจึงจะไปถึงองค์ต้นนิพพานเป็นแล้ว เราก็เข้าหาต้นนิพพานเป็นแล้วไปหยุดนิ่งในท้องฐานที่ 7 ของ องค์ต้นนิพพานเป็น จะกล่าวอะไรก็ว่าไป ถึงตอนนี้ถือว่าเราโชคดีแล้วที่เดินวิชชามาสุดทั้งนิพพานกายธรรมและ นิพพานเป็น พระพุทธเจ้ารู้จักเราหมดทุกนิพพานแล้ว เป็นวาสนาบารมีของเราแล้ว ต่อไปเราจะเดินปฏิโลมวิชชา กลับเพื่อให้พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์มาชูช่วยเรา เราอาราธนาพระองค์มาซ้อนในกายของเราทุกกายไปจนสุดหยาบ สุดละเอียด แล้วนึกรวมนิพพานกายธรรมและนิพพานเป็นทั้งปวงให้เป็นหนึ่ง นําหนึ่งนั้นยิงเข้ามาที่สิบที่ศูนย์ใน กายธรรมพระอรหัตละเอียดของเรา ยิงเข้ามาที่กายธรรมพระอรหัตหยาบของเรา , กายธรรมพระอนาคามีละเอียด , อนาคามีหยาบ , สกิทาคามีละเอียด , สกิทาคามีหยาบ , โสดาละเอียด , โสดาหยาบ , โคตรภูละเอียด , โคตรภูหยาบ , อรูปพรหมละเอียด , อรูปพรหมหยาบ , พรหมหยาบ , ทิพย์ละเอียด , ทิพย์หยาบ , กายฝัน , กายมนุษย์ นึกรวมให้ เป็นกายธรรมพระอรหัตใสแจ่มอยู่ในท้องของเรา แล้วเดินใจเข้าปากช่องจมูก , เพลาตา ไปหยุดในท้องกายธรรม พระอรหัต ท่องใจหยุดในหยุด , ดับอธิษฐานถอนปาฏิหาริย์ , ถอนปาฏิหาริย์ดับอธิษฐาน นึกให้เห็นกายธรรมพระ อรหัต และดวงธรรมของกายธรรมพระอรหัตอยู่ในท้องของเรา ( ฐานที่ 7 ) ใสแจ่มในทุกอิริยาบถทั้งยืน , เดิน , นั่ง , นอน , ลืมตาก็เห็นได้หลับตาก็เห็นได้เชียวนะ จบการเดินวิชชา นี่กล่าวโดยย่อนะครับ
ผู้ถาม ( วิทยากร ) : เมื่อเราได้ยินกายธรรมของพระบรมศาสดาพูดในอายตนะนิพพานขณะทูลถามนั้นมีหลักหรือ กฎเกณฑ์การได้ยินอย่างไร ? ผู้ตอบ ( อ. การุณย์ บุญมานุช ) : เป็นคําถามที่ดีมาก ต้องได้ยินกลางดวงธรรมและตรงจุดใสเท่าปลายเข็มต้องนิ่ง – แน่น ไม่ริบ – ส่าย – ไหว – รัว ต้องขาวใสจึงจะเป็นของจริง หากไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์นี้ก็แปลว่าถูกมารเขาสอด ละเอียดเข้ามา จําความรู้นี้ไว้ไม่ว่าเกจิอาจารย์ใดไม่รู้เรื่องนี้เลยก็ถูกมารหลอกร้อยทั้งร้อย เรียนยากไม่ง่าย ถาม ( วิทยากร ) : เหตุใดพระมหาเถระอุปตุตจึงไปอยู่ที่สะดือทะเล ? เมื่อไรจะได้เข้านิพพาน ? ผู้ตอบ ( อ. การุณย์ บุญมานุช ) : ท่านยังมีหน้าที่ไปดูแลศาสนาตามที่พระพุทธองค์ทรงมอบหมาย ถามว่าเมื่อไร จะได้เข้านิพพาน ? ก็ต้องตอบว่าเมื่อพระพุทธเจ้าองค์ใหม่มาตรัสรู้ถ่ายทอดงานกันแล้วจึงเข้านิพพานได้ ถามว่า ทําไมจึงอยู่สะดือทะเล ? ตอบว่าท่านเห็นว่าที่ตรงนั้นเป็นศูนย์กลางดีแล้วจะได้ดูได้ทั่วถึง ถาม ( วิทยากร ) : พระมหาเถระอุปคุตท่านปราบมารได้ ใช้วิชาเดียวกับวิชาของหลวงพ่อวัดปากน้ําหรือเปล่า ? ผู้ตอบ ( อ. การุณย์ บุญมานุช ) : วิชาเดียวกัน
95