ต้นไม้แห่งโพธิ: คำสอนพื้นฐานแห่งพระพุทธศาสนา มหายาน วัชรยาน และอภิธรรม

Page 1

.. Bodhipanna

โพธิบัณณ์


หนังสือแปลลำ�ดับที่ ๒

The Tree of Enlightenment: An introduction to the Major Traditions of Buddhism by Peter Della Santina

ต้นไม้แห่งโพธิ: ค�ำสอนพื้นฐานแห่งพระพุทธศาสนา มหายาน วัชรยาน และอภิธรรม สมหวัง แก้วสุฟอ แปล


สารบัญ บันทึกจากผู้เขียน ค�ำน�ำ ค�ำน�ำผู้แปล

๑ ๔ ๗

ภาค ๑ ค�ำสอนพื้นฐานของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา: มุมมองสมัยใหม่ เหตุการณ์ก่อนพุทธกาล พุทธประวัติ อริยสัจ ๔ ศีล สมาธิ ปัญญา กรรม การเกิดใหม่ ปฏิจจสมุปบาท ไตรลักษณ์ ขันธ์ ๕

๑๗ ๒๙ ๔๑ ๕๑ ๗๓ ๘๕ ๙๗ ๑๐๙ ๑๒๑ ๑๓๕ ๑๔๕ ๑๕๗


พื้นฐานของการปฏิบัติ

๑๖๕

ภาค ๒ มหายาน บ่อเกิดมหายาน สัทธรรมปุณฑรีกสูตร ปรัชญาปารมิตา ลังกาวตารสูตร ปรัชญามัธยมกะ ปรัชญาจิตตมาตรา พัฒนาการปรัชญามหายาน มหายานเชิงปฏิบัติ

๑๗๑ ๑๘๓ ๑๙๓ ๒๐๓ ๒๑๑ ๒๒๕ ๒๓๗ ๒๔๙

ภาค ๓ วัชรยาน ก�ำเนิดวัชรยาน พื้นฐานทางปรัชญาและศาสนา วิธีการ ต�ำนานกับสัญลักษณ์ จิตวิทยา สรีรวิทยา และจักรวาลวิทยา หลักปฏิบัติเบื้องต้น การเริ่มต้นสู่วัชรยาน พระพุทธศาสนาวัชรยานเชิงปฏิบัติ

๒๖๓ ๒๗๕ ๒๘๕ ๒๙๗ ๓๑๑ ๓๒๓ ๓๓๕ ๓๔๗

ภาค ๔ อภิธรรม ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพระอภิธรรม ปรัชญาและจิตวิทยาในพระอภิธรรม เครื่องมือศึกษา การวิเคราะห์จิต

๓๕๗ ๓๖๓ ๓๗๕ ๓๘๕


รูปาวจรจิต และอรูปาวจรจิต โลกุตตรจิต การวิเคราะห์เจตสิก การวิเคราะห์วิถีจิต การวิเคราะห์รูป การวิเคราะห์ปัจจัย โพธิปักขิยธรรม ๓๗ อภิธรรมในชีวิตประจ�ำวัน

๓๙๓ ๔๐๓ ๔๑๑ ๔๑๙ ๔๒๙ ๔๓๗ ๔๔๗ ๔๕๗



ภาค ๑

ค�ำสอนพื้นฐานของพระพุทธศาสนา

พระพุทธศาสนา: มุมมองสมัยใหม่

15


16

ต้นไม้แห่งโพธิ


บทที่ ๑ พระพุทธศาสนา: มุมมองสมัยใหม่ ในภาคแรกของหนังสือเล่มนี้ เป็นความตั้งใจของผู้เขียนเองที่จะให้ ครอบคลุมถึงสิ่งที่เรียกว่า ค�ำสอนพื้นฐานของพระพุทธศาสนา หรือ ค�ำสอนระดับเบือ้ งต้นของพระพุทธศาสนา การส�ำรวจนีจ้ ะครอบคลุม ไปถึงพุทธประวัติ อริยสัจ ๔ มรรค ๘ กรรม การเกิดใหม่ ปฏิจจสมุปบาท ไตรลักษณ์ และค�ำสอนเรื่องขันธ์ ๕ ก่อนทีจ่ ะลงรายละเอียด ในแต่ละหัวข้อ อยากจะพูดถึงหลักการของพระพุทธศาสนาและมุม มองสมัยใหม่เสียก่อน การทีผ่ คู้ นในช่วงเวลาทีแ่ ตกต่างกัน ต่างวัฒนธรรมกัน จะเข้าถึงพระพุทธศาสนาย่อมมีหลากหลายวิธี แต่ผู้เขียน เชื่อว่าเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ที่จะเปรียบเทียบมุมมองต่อพระพุทธศาสนาระหว่างมุมมองใหม่กับมุมมองแบบเดิม การพิจารณาเชิง เปรียบเทียบในลักษณะนี้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ เพราะการเข้าใจผู้คน ในต่างช่วงเวลา และต่างวัฒนธรรมมองปรากฏการณ์เฉพาะเช่นไร อาจช่วยท�ำให้เรามองเห็นทัศนะอันจ�ำกัดของเรา พระพุทธศาสนา ได้เข้ามาปลุกเร้าความสนใจของชาวตะวันตกได้ อย่างเป็นที่น่าสังเกต และมีหลายคนในสังคมตะวันตกที่ ได้หันมา

พระพุทธศาสนา: มุมมองสมัยใหม่

17


ประกาศตัวนับถือพระพุทธศาสนา หรือมาให้การสนับสนุนพระพุทธศาสนา ตัวอย่างทีช่ ดั เจนทีส่ ดุ คือค�ำพูดของนักวิทยาศาสตร์ผยู้ ิ่งใหญ่ แห่งศตวรรษที่ ๒๐ อัลเบิรต์ ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ทีว่ า่ แม้วา่ เขาจะเป็นคนไม่นับถือศาสนาอย่างจริงจัง แต่ถ้าเขาเลือกนับถือ ศาสนา เขาจะเลือกพุทธศาสนา อาจฟังดูนา่ ประหลาดตรงทีว่ า่ ค�ำพูด ดังกล่าวเป็นค�ำพูดของผูท้ ี่ได้รบั การยอมรับว่าเป็นบิดาของวิทยาการ ทางตะวันตกสมัยใหม่ อย่างไรก็ตาม ถ้าเราลองมองดูสังคมตะวัน ตกในสมัยปัจจุบนั อย่างใกล้ชดิ เราจะพบนักดาราศาสตร์ชาวพุทธใน ฝรั่งเศส นักจิตวิทยาชาวพุทธในอิตาลี และตุลาการชาวพุทธใน อังกฤษเป็นต้น ไม่เกินความจริงเลยที่จะกล่าวว่าพระพุทธศาสนาได้ กลายเป็นทีน่ ยิ มของนักปราชญ์ชนั้ แนวหน้าชาวตะวันตกในพืน้ ทีแ่ ห่ง วิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์อย่างรวดเร็ว ข้าพเจ้าจะลองพยายาม หาเหตุผลส�ำหรับเรื่องนี้ แต่ก่อนที่จะลงมือ ข้าพเจ้าใคร่ขอเปรียบ เทียบสถานการณ์นกี้ บั ทีพ่ บในชุมชนและประเทศทีน่ บั ถือพระพุทธศาสนาตามจารีตดั้งเดิม ยกตัวอย่าง ชุมชนชาวพุทธในประเทศแถบ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียตะวันออก ในยุโรปและอเมริกา พระพุทธศาสนาได้รบั การยอมรับอย่างกว้างขวาง ในด้านความก้าวหน้าแห่งภูมิปัญญา มีเหตุมีผล มีความทันสมัย ข้าพเจ้าขอบอกตามตรงว่า ค่อนข้างจะตกใจเมื่อแรกที่เดินทางไปยัง ประเทศทางตะวันออกเฉียงใต้แล้วพบว่า ผู้คนส่วนมากมองพระ พุทธศาสนาว่าเป็นสิ่งทีล่ า้ สมัย ไม่เป็นเหตุเป็นผล และผสมปนเปอยู่ กับความเชื่อผิดๆ ที่ไม่ทันสมัย นี่คือหนึ่งในสองเจตคติที่แพร่หลาย ที่เป็นอุปสรรคต่อการชื่นชมพระพุทธศาสนาในดินแดนแถบนี้ ข้อที่ มักเข้าใจผิดอีกประการหนึ่ง ที่เป็นผลลบต่อพระพุทธศาสนาใน

18

ต้นไม้แห่งโพธิ


ดินแดนแถบนี้ก็คือ แนวคิดที่ว่าพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง และ เป็นนามธรรมเกินไป จนไม่มี ใครเข้าใจได้ บางทีอาจจะต้องอาศัย ภู มิ ปั ญญาแบบตะวั น ตกที่ จ ะช่ ว ยป้ อ งกั น ชาวยุ โ รปและอเมริก า จากความเข้าใจผิดอันนี้ โดยรวบยอด เมือ่ ข้าพเจ้ามองดูเจตคติเกีย่ ว กับพระพุทธศาสนาที่แพร่หลายในตะวันตกและตะวันออก ข้าพเจ้า พบว่ามีจุดต่างกันอย่างเห็นได้ชัด นี่คือเหตุผลที่ว่า ท�ำไมข้าพเจ้าจึง เริ่มต้นตรวจสอบพระพุทธศาสนาโดยพิจารณาจากมุมมองทีแ่ ตกต่าง กัน ในทางตะวันตก พระพุทธศาสนามีภาพลักษณ์อย่างหนึ่ง ในประเทศ ทีน่ บั ถือพระพุทธศาสนาแบบจารีต ความคิดค�ำนึงเกีย่ วกับพระพุทธศาสนาก็เป็นอีกอย่างหนึง่ ท่าทีทเี่ ป็นเชิงลบทีแ่ พร่หลายอยู่ในชุมชน เช่นนัน้ ได้ครอบง�ำประชาชนก่อนทีพ่ วกเขาจะหันมานับถือพระพุทธศาสนาเสียอีก โดยนัยนี้ผู้คนไม่ว่าในที่ ไหนๆ จึงจ�ำเป็นที่ต้องมีมุม มองทีส่ มดุลต่อพระพุทธศาสนา โดยที่ไม่มอี คติและไม่มแี นวคิดชนิด ทีต่ ดั สินถูกผิดไว้ลว่ งหน้า บทความทีเ่ ป็นบทน�ำนี้ จึงไม่ได้มงุ่ ไปทีช่ าว ตะวันตกเพียงอย่างเดียว แต่ยังมุ่งไปที่ผู้คนในประเทศที่นับถือ พระพุทธศาสนาแบบจารีต ที่ก�ำลังท�ำตัวเหินห่างจากศาสนาของตน ด้วยเหตุผลทางสังคมและวัฒนธรรมที่หลากหลาย และก็อาจกล่าว ได้ว่า แม้ภาพลักษณ์ของพระพุทธศาสนาในความคิดค�ำนึงของชาว ตะวันตกค่อนข้างจะจ�ำกัดอยู่บ้างก็ตาม แต่ข้าพเจ้าก็หวังว่า ในบท ถัดไป จะได้มกี ารแสดงหลักค�ำสอนทางพระพุทธศาสนาทีช่ ดั เจนและ มีเป้าหมายยิ่งขึ้น ณ ตอนนี้ เรายังจะอยู่ที่เจตคติของชาวตะวันตก ที่มีต่อพระพุทธ-

พระพุทธศาสนา: มุมมองสมัยใหม่

19


ศาสนา ลักษณะประการแรกสุดที่น่าชื่นชมมาก คือการไม่ผูกติดกับ วัฒนธรรม นั่นคือการไม่จ�ำกัดตนเองอยู่ในสังคม เชื้อชาติ หรือกลุ่ม ชาติพนั ธุ์ ศาสนาทีผ่ กู ติดอยูก่ บั วัฒนธรรมก็ดงั เช่น ศาสนายูดาย และ ศาสนาฮินดู แต่พระพุทธศาสนามิ ได้ผูกติดอยู่กับวัฒนธรรมใด วัฒนธรรมหนึ่ง นั่นคือเหตุผลที่ว่า ท�ำไมในเชิงประวัติศาสตร์ เราจึง มี พ ระพุ ท ธศาสนาแบบอิ น เดี ย พระพุ ท ธศาสนาแบบศรีลั ง กา พระพุทธศาสนาแบบไทย พระพุทธศาสนาแบบพม่า พระพุทธศาสนา แบบจีน พระพุทธศาสนาแบบญี่ปุ่น พระพุทธศาสนาแบบทิเบตและ อื่นๆ ในอนาคตอันใกล้นี้ ข้าพเจ้ามั่นใจว่าเราจะเห็นการเกิดขึ้นของ พระพุทธศาสนาแบบอังกฤษ พระพุทธศาสนาแบบฝรัง่ เศส พระพุทธศาสนาแบบอิตาลี พระพุทธศาสนาแบบอเมริกาขึ้นมาอีก ความเป็น ไปได้อันนี้ เนื่องจากว่าพระพุทธศาสนาไม่ผูกติดอยู่กับวัฒนธรรม การที่พระพุทธศาสนาสามารถเคลื่อนจากวัฒนธรรมหนึ่งไปสู่อีก วัฒนธรรมหนึ่งได้โดยง่าย ก็เนื่องจากพระพุทธศาสนาให้ความส�ำคัญกับการปฏิบัติด้านในมาก กว่ารูปแบบภายนอกของพฤติกรรมทางศาสนา พระพุทธศาสนาเน้น ให้ทกุ คนพัฒนาจิตของตน ไม่ใช่เรื่องการแต่งตัว ไม่ใช่อาหารทีจ่ ะรับ ประทาน ไม่ใช่รูปทรงการไว้ผมเป็นต้น ประเด็นที่สองที่อยากจะให้ตระหนัก ก็คือความเป็นปฏิบัตินิยม (Pragmatism) ของพระพุทธศาสนา นัน่ คือการน�ำไปสูก่ ารปฏิบตั ิได้ จริง พระพุทธศาสนาพูดถึงปัญหาในเชิงปฏิบัติ ไม่สน ใจค�ำถามทาง ทฤษฎีหรืออภิปรัชญา วิธีการของพระพุทธศาสนาคือการเข้าไป ก�ำหนดปัญหาจริงๆ และเข้าไปเกีย่ วข้องกับปัญหานัน้ โดยวิธกี ารเชิง

20

ต้นไม้แห่งโพธิ


ปฏิบัติ วิธีการนี้มีลักษณะใกล้เคียงกับแนวคิดเรื่องประโยชน์นิยม (Utilitarianism) และการแก้ปัญหาด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ของ ตะวันตก โดยรวบยอด เราอาจกล่าวได้วา่ วิธีการทางพระพุทธศาสนา รวมอยู่ในหลักการที่ว่า ‘ถ้ามันใช้ ได้ ก็ใช้มัน’ ท่าทีอันนี้ คือส่วนเติม เต็มของการปฏิบัติทางการเมือง เศรษฐกิจ และทางวิทยาศาสตร์ใน โลกตะวันตกสมัยใหม่ ท่าทีที่เป็นปฏิบัตินิยมของพระพุทธศาสนา มีปรากฏอย่างชัดเจนใน จูฬมาลุงกยสูตร อันเป็นพระสูตรที่พระ พุทธองค์ทรงเปรียบเทียบเรื่องคนถูกยิงจนได้รับบาดเจ็บ เรื่องมีอยู่ ว่ามีชายคนหนึ่งถูกยิงด้วยลูกศรแล้วสนใจที่จะรู้ว่าใครเป็นคนยิง ยิงมาจากทิศทางไหน หัวลูกศรเป็นกระดูกหรือเป็นเหล็ก คันลูกศร เป็นไม้หรือเป็นสิ่งอื่นใดเสียก่อน ก่อนที่จะดึงลูกศรออก ความคิด ของเขาเหมือนกับผูท้ ตี่ อ้ งการรูถ้ งึ ก�ำเนิดของจักรวาลว่า เป็นนิรนั ดร์ หรือไม่ มีทสี่ ิ้นสุดหรือไม่เป็นต้น ก่อนทีจ่ ะยอมรับเอาแนวการปฏิบตั ิ ทางศาสนา บุคคลเช่นนี้จะตายเปล่า ก่อนที่จะได้รับค�ำตอบให้กับ ปัญหาที่เกี่ยวข้อง เช่นกัน ชายคนดังกล่าวที่จะต้องตายเปล่าก่อนที่ เขาจะได้รับค�ำตอบทุกอย่างเกี่ยวกับต้นก�ำเนิดและธรรมชาติของ ลูกศร เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงการเริ่มต้นเชิงปฏิบัติของพระพุทธองค์และ ในพระพุทธศาสนา มีอะไรจะบอกเรามากมายเกี่ยวกับค�ำถามของ เหตุการณ์เฉพาะหน้า และการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ เราไม่อาจ พัฒนาความก้าวหน้าของปัญญาได้ ถ้าเราไปตั้งค�ำถามผิดๆ นี่เป็น เรื่องทีจ่ ำ� เป็นอันดับแรก สิ่งรีบด่วนทีส่ ดุ ส�ำหรับพวกเราทุกคน คือการ ลดและก�ำจัดเสียซึ่งความทุกข์ พระพุทธองค์ทรงตระหนักถึงความ จริงข้อนี้ ในที่สุดทรงชี้ให้เห็นถึงความไร้ประโยชน์ของการมัวกะเก็ง

พระพุทธศาสนา: มุมมองสมัยใหม่

21


เกี่ยวกับก�ำเนิดและธรรมชาติของจักรวาล เหมือนกับชายในเรื่องดัง กล่าว พวกเราเองก็ถูกยิงด้วยลูกศร แต่เป็นลูกศรคือความทุกข์ ดังนั้น เราจะต้องถามค�ำถามเฉพาะที่เชื่อมโยงกับการถอนลูกศรคือ ทุกข์ และไม่ควรเสียเวลาอันมีค่ากับค�ำถามที่ไม่เกี่ยวข้อง แนวคิดนี้ แสดงให้เห็นได้ง่ายๆ เราทุกคนจะพบว่า ในชีวิตประจ�ำวันของเรา การตัดสินใจเลือกของเราขึ้นอยูก่ บั การจัดล�ำดับความส�ำคัญ ตัวอย่าง สมมุตวิ า่ เราก�ำลังท�ำอาหาร ในขณะทีห่ ม้อถัว่ ก�ำลังเดือด เราตัดสินใจ ปัดฝุน่ เฟอร์นเิ จอร์หรือกวาดพืน้ แต่ในขณะทีเ่ ราก�ำลังยุง่ กับงานนัน้ ๆ อยู่ ทันใดนั้นก็ ได้กลิ่นไหม้ของบางสิ่ง เราจะต้องเลือกว่าจะปัดฝุ่น หรือกวาดพืน้ ต่อ หรือรีบรุดไปยังเตาเพือ่ ปิดสวิตซ์เสีย ซึง่ จะเป็นการ รักษาอาหารมื้อเย็นไว้ ท�ำนองเดียวกัน ถ้าเราต้องการพัฒนาปัญญา เราจะต้องจัดล�ำดับความส�ำคัญให้ชัดเจน ประเด็นนี้เห็นได้ชัดเจน จากอุปมาของบุรุษผู้ถูกยิงด้วยลูกศร ประเด็นทีส่ ามทีอ่ ยากจะพูดถึง คือค�ำสอนว่าด้วยความส�ำคัญของการ ตรวจสอบความจริง โดยวิธีการใช้ประสบการณ์ส่วนบุคคล ประเด็น นี้ เห็นได้ชัดเจนในค�ำสอนที่พระพุทธองค์ตรัสสอนชาวกาลามะใน เกสปุตติยสูตร กาลามะเป็นชุมชนเมืองที่เหมือนกับผู้คนในโลก ปัจจุบัน ซึ่งได้มาเจอะเจอกับพากย์ของความจริงที่แตกต่างและขัด แย้งกันอยู่เสมอ พวกเขาจึงเข้าไปหาพระพุทธองค์ และทูลถาม พระองค์ถงึ การตัดสินความจริงทีข่ ดั แย้งกัน จากอาจารย์สำ� นักต่างๆ พระพุทธองค์ตรัสสอนพวกเขามิให้ยอมรับอะไรง่ายๆ เพียงแค่ได้ยนิ ค�ำร�่ำลือ มิให้เชื่ออะไรง่ายๆ เพียงเพราะเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ มิให้ ยอมรับอะไร เพียงเพราะคนทัง้ หลายเชือ่ ถือ หรือเพียงเพราะความน่า

22

ต้นไม้แห่งโพธิ


เชือ่ ถือ หรือเพียงเพราะเคารพต่อครูอาจารย์ พระพุทธองค์ทรงไปไกล ยิ่งกว่านัน้ ถึงกับแนะน�ำมิให้พวกเขายอมรับค�ำสอนของพระองค์เอง โดยที่ยังไม่ได้ตรวจสอบความจริงด้วยประสบการณ์ส่วนบุคคล พระพุทธองค์ตรัสสอนชาวกาลามะให้ตรวจสอบทุกสิ่งที่ ได้ยินด้วย ประสบการณ์ของตน คือเมือ่ มารูด้ ว้ ยตนเองว่าสิ่งเหล่านีม้ โี ทษ ก็ควร หลี ก เลี่ ย งเสี ย อี ก ด้ า นหนึ่ ง เมื่ อ มารู ้ ด ้ ว ยตนเองว่ า สิ่ง เหล่ า นี้ มี ประโยชน์ สิ่งเหล่านีน้ ำ� ไปสูส่ นั ติภาพ และความสงบ–สิ่งดังกล่าวควร ปลูกฝังให้มขี ึ้นในตน พวกเราเองก็จะต้องตัดสินความจริงที่ได้รบั การ สั่งสอนมาด้วยประสบการณ์ของตน ในพระด�ำรัสที่พระองค์ตรัสสอนชาวกาลามะ ข้าพเจ้าคิดว่า เรา สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนถึงเรื่องการพึ่งพาตนเองในการได้มาซึ่ง ความรู้ เราควรจะใช้จิตของเราให้เป็นหลอดทดลองส่วนตัว เราจะพบ ได้ด้วยตัวเราเองว่า เมื่อความโลภและความโกรธอยู่ที่จิตของเรา มันน�ำไปสู่ความกระวนกระวายและความทุกข์ และเราจะพบด้วย ตนเองว่า เมือ่ ความโลภและความโกรธมิได้มอี ยูท่ จี่ ิตของเรา ก็จะส่ง ผลให้ความสงบและความสุขเกิดขึ้น นี่เป็นเรือ่ งง่ายๆ ที่ ใครๆ ก็ สามารถทดลองดูได้ การตรวจสอบความถูกต้องของค�ำสอนผ่าน ประสบการณ์ส่วนบุคคลเป็นสิ่งส�ำคัญ เพราะสิ่งที่พระองค์ตรัสสอน จะมีประสิทธิผล จะมาเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้ ก็ต่อเมื่อได้ผ่าน การทดลองส่วนบุคคล และสร้างค�ำสอนนัน้ ให้เป็นของเราเอง เมือ่ เรา สามารถตรวจสอบความจริงแห่งค�ำสอนของพระพุทธเจ้าจากประสบการณ์ของเราเอง เราก็สามารถมัน่ ใจได้วา่ เราก�ำลังก้าวหน้าในหนทาง แห่งความดับทุกข์

พระพุทธศาสนา: มุมมองสมัยใหม่

23


อนึง่ มีความคล้ายกันเป็นอย่างมากในการแสวงหาความรู้ ระหว่างวิธี การของพระพุทธองค์และวิธีการทางวิทยาศาสตร์ พระพุทธองค์ทรง เน้นในเรื่องของการสังเกตซึง่ ในลักษณะหนึง่ นัน้ ถือเป็นกุญแจน�ำไป สู่การได้มาซึ่งความรู้แบบพุทธวิธี และการสังเกตนี่เองที่ก่อให้เกิด อริยสัจข้อแรกในอริยสัจ ๔ คือ อริยสัจว่าด้วยทุกข์ การสังเกตนี่เอง ที่เป็นเครื่องตรวจสอบความก้าวหน้าในองค์มรรค และการสังเกต นี่เอง ที่ยืนยันการเข้าถึงความดับทุกข์โดยสิ้นเชิง ดังนั้น ไม่ว่าจะใน เบื้องต้น ในท่ามกลาง และในที่สุดแห่งพุทธมรรคาอันน�ำไปสู่ความ หลุดพ้น การสังเกตล้วนมีบทบาทส�ำคัญ เรื่องนี้มิได้แตกต่างไปจากบทบาทของการสังเกตทางวิทยาศาสตร์ แบบตะวันตก หลักการทางวิทยาศาสตร์ ได้สอนว่า เมื่อเราสังเกต ปัญหา อันดับแรก เราจะวางเป็นทฤษฎีทั่วไป และต่อมาถึงจะตั้ง สมมุติฐานเฉพาะ กระบวนการอันเดียวกันนี้ ก็พบได้ ในอริยสัจ ๔ ณ ตรงนี้ หลักทฤษฎีทั่วไปก็คือ ทุกสิ่งจะต้องมีสาเหตุ ในขณะที่ สมมุ ติ ฐ านเฉพาะก็ คื อ ว่ า เหตุ แ ห่ ง ทุ ก ข์ ก็ คื อ ตั ณ หาและอวิช ชา (อริยสัจข้อที่สอง) ข้อสมมุติฐานนี้ สามารถตรวจสอบได้โดยวิธีการ ทดลอง ซึง่ มีอยู่ในขัน้ ตอนของมรรคมีองค์ ๘ โดยวิธีการของการเข้า สูอ่ งค์มรรค ความจริงของอริยสัจข้อทีส่ องก็จะเกิดขึ้น และความจริง ของอริยสัจข้อที่สาม คือการดับทุกข์ ก็เป็นสิ่งสามารถตรวจสอบได้ โดยการปลูกฝังองค์มรรคขึ้นมา ตัณหาและอวิชชาก็จะถูกก�ำจัดออก ไป และความสุขอันสูงสุดแห่งพระนิพพานก็เป็นสิ่งที่เราบรรลุได้ กระบวนการเชิงทดลองอันนี้ ซึ่งสอดคล้องกันกับการปฏิบัติทาง วิทยาศาสตร์ก็จะเกิดขึ้น ไม่เฉพาะแต่พระพุทธองค์เท่านั้นที่ ได้ถึง ความดับทุกข์ แต่จากประวัตศิ าสตร์ ทุกๆ คนทีเ่ ดินตามเส้นทางเดิน

24

ต้นไม้แห่งโพธิ


ของพระพุทธองค์ ก็ถึงความดับทุกข์ ได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ เมื่อเรามาดูค�ำสอนของพระพุทธองค์อย่างใกล้ชิด เราจะ พบว่า วิธีการของพระองค์มีส่วนร่วมกันกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เป็นอย่างมาก นี่เป็นเรื่องที่ ไปกระตุ้นให้ชาวตะวันตกพากันหันมา สนใจพระพุทธศาสนาจ�ำนวนมาก เราเริ่มพบว่าท�ำไมไอน์สไตน์ ถึงได้ ให้ขอ้ คิดเห็นทีเ่ ป็นการเสริมเกียรติให้กบั ตนเอง ความสอดคล้องกัน ระหว่างพุทธวิธีกบั วิธีการของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ จะเห็นได้ชดั เจน ยิ่งขึ้น ถ้าเราจะได้มาตรวจสอบท่าทีของพระพุทธศาสนาต่อข้อเท็จ จริงแห่งประสบการณ์ ซึ่งก็เหมือนกับวิทยาศาสตร์นั่นคือ วิธีการเชิง วิเคราะห์ ตามหลักการของพระพุทธศาสนา ข้อมูลประสบการณ์แบ่งออกเป็น สององค์ประกอบ คือองค์ประกอบภายนอกและองค์ประกอบภายใน พูดอย่างหนึ่งว่า สิ่งที่เรารับรู้รอบตัวเรา และตัวเราเองซึ่งเป็นผู้รับรู้ พระพุทธศาสนาได้บันทึกวิธีการวิเคราะห์แบบนี้ ไว้ ในขอบเขตของ ปรัชญาและจิตวิทยานานแล้ว ความหมายก็คือพระพุทธองค์ ได้ วิเคราะห์ข้อมูลของประสบการณ์ออกเป็นองค์ประกอบหรือปัจจัย หลายอย่าง องค์ประกอบพื้นฐานที่ส�ำคัญที่สุดคือ ขันธ์ ๕ อันได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ ขันธ์ ๕ นี้ สามารถมองได้ จากอีกมุมหนึง่ เป็นธาตุ ๑๘ และสามารถทีจ่ ะวิเคราะห์ให้ละเอียดลึก ไปยิ่งกว่านั้นเป็นปัจจัย ๗๒ กระบวนการที่จะน�ำมาใช้ ในที่นี้คือการวิเคราะห์ เพื่อให้มีการแบ่ง ข้อมูลประสบการณ์ออกเป็นองค์ประกอบย่อยต่างๆ พระพุทธองค์

พระพุทธศาสนา: มุมมองสมัยใหม่

25


ไม่ทรงพอพระทัยด้วยแนวคิดเกี่ยวกับประสบการณ์ที่คลุมเครือ แต่พระองค์จะตรวจดูเนือ้ หา แยกประสบการณ์ออกเป็นองค์ประกอบ ย่อย เหมือนกับเราแยกปรากฏการณ์แห่งรถม้า ออกมาเป็นล้อ เป็น เพลา เป็นตัวรถเป็นต้น วัตถุประสงค์ของวิธีการนี้ คือการได้แนวคิด ที่ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ปรากฏการณ์เหล่านี้ท�ำหน้าที่อย่างไร ตัวอย่าง เมื่อเราเห็นดอกไม้ ได้ยินเสียงเพลง หรือพบกับเพื่อน ประสบการณ์ เหล่านีท้ งั้ หมด เกิดขึ้นโดยเป็นผลของการรวมกันของธาตุทเี่ ป็นองค์ ประกอบ นี่เรียกว่า วิธีการวิเคราะห์ของพระพุทธศาสนา และวิธีการนี้ก็มิได้ แปลกแยกไปจากวิทยาศาสตร์และปรัชญาสมัยใหม่ เราพบว่าวิธีการ วิเคราะห์มกี ารน�ำไปใช้ ในทางวิทยาศาสตร์กนั อย่างกว้างขวาง ในทาง ปรัชญาวิธีการวิเคราะห์มอี ยู่ในความคิดของนักปรัชญายุโรปมากมาย ที่ชัดที่สุดคือ เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์ (Bertrand Russell) ได้ท�ำการ เปรียบเทียบปรัชญาวิเคราะห์ (Analytic philosophy) กับพระพุทธศาสนาตอนต้นพบว่า ในวิทยาศาสตร์และปรัชญาตะวันตก มีความ สอดคล้องกันเป็นอย่างมาก กับวิธีการวิเคราะห์ที่มีสอนกันในพระ พุทธศาสนา นี่คือลักษณะส�ำคัญประการหนึ่งที่เป็นที่คุ้นเคยและ ยอมรับกัน ที่เป็นสิ่งดึงดูดปัญญาชนและนักวิชาการตะวันตกสมัยใหม่ ให้หันมาสนใจพุทธปรัชญา นักจิตวิทยาสมัยใหม่ ก็ได้ ให้ความ สนใจเป็นอย่างยิ่งกับการวิเคราะห์จิตในทางพระพุทธศาสนาที่หลาก หลาย: ความรู้สึก การรับรู้ และความจงใจ พวกเราได้หันมาสนใจค�ำ สอนโบราณของพระพุทธองค์กันเป็นจ�ำนวนมาก เพื่อที่จะได้เข้าใจ ในสาขาวิชาของตนให้แตกฉาน

26

ต้นไม้แห่งโพธิ


ความสนใจในค�ำสอนของพระพุทธองค์–ซึ่งมี ในหลายๆ พื้นที่ของ ความใกล้ ชิ ด กั น ระหว่ า งพุ ท ธปรั ช ญากั บ วิท ยาศาสตร์ ส มั ย ใหม่ ในปัจจุบันปรัชญาและจิตวิทยา–ได้ขึ้นถึงจุดสูงสุดในศตวรรษที่ ๒๐ อันเนื่องมาจากความส�ำเร็จอันน่าทึ่งของทฤษฎีสัมพัทธภาพและ ควอนตัมฟิสิกส์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการล่าสุดในด้านวิทยาศาสตร์การทดลองและทางทฤษฎี ตรงนี้เช่นกัน จะเห็นได้วา่ ไม่เพียง แต่พระพุทธองค์จะทรงคาดหวังกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (นั่นคือ การสังเกต การทดลอง และการวิเคราะห์) แต่ ในบทสรุปเกี่ยวกับ ธรรมชาติของมนุษย์และจักรวาลในบางแง่ พระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ ไปด้วยกันได้ ยกตัวอย่าง ความส�ำคัญของจิตทีก่ อ่ ให้เกิดประสบการณ์ ซึง่ ถูกละเลย มานานในทางตะวันตก ตอนนี้ได้รับการยอมรับกันเมื่อไม่นานมานี้ มีนกั ฟิสกิ ส์ทมี่ ชี อื่ เสียงคนหนึง่ ได้ ให้ขอ้ สังเกตว่า จริงๆ แล้วจักรวาล เป็นอะไรบางอย่างคล้ายกับความคิดอันยิ่งใหญ่ นีเ่ ท่ากับเป็นการเดิน ตามค�ำสอนของพระพุทธองค์ที่ตรัสสอนไว้ ใน ธรรมบท ว่า จิตคือผู้ สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง ท�ำนองเดียวกัน สัมพัทธภาพระหว่างวัตถุและ พลังงาน–นั่นคือการยอมรับกันว่า มิได้เป็นการแบ่งในระดับพื้นฐาน ระหว่างจิตกับวัตถุ–ได้รับการยืนยันจากการพัฒนาในด้านวิทยาศาสตร์เชิงทดลองเมื่อเร็วๆ นี้ มองโดยภาพรวมก็คอื ว่า ในบริบทของวัฒนธรรมตะวันตกในปัจจุบนั นักวิทยาศาสตร์ นักจิตวิทยา และนักปรัชญาพบว่า ในพระพุทธศาสนามีสิ่งที่กลมกลืนสอดคล้องกับหลักพื้นฐานของความคิดทาง ตะวันตกอยู่มากมาย นอกจากนั้นยังพบว่าพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่

พระพุทธศาสนา: มุมมองสมัยใหม่

27


น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง แม้วิธีการหลักและข้อสรุปของวิทยาศาสตร์แบบ ตะวันตก จะมีสว่ นคล้ายกันกับวิธีการทางพระพุทธศาสนา แต่วิทยาศาสตร์กย็ งั ขาดมิตแิ ห่งการปฏิบตั ิ เพือ่ ลุถงึ ความเปลีย่ นแปลงภายใน ขณะที่ในพระพุทธศาสนาได้มขี อ้ ก�ำหนดถึงความเปลีย่ นแปลงภายใน ไว้อย่างชัดเจน ในขณะที่วิทยาศาสตร์สอนเราให้สร้างเมือง สร้างทาง ด่วน สร้างโรงงาน สร้างฟาร์มให้ดีขึ้น แต่วิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้สอนให้ สร้างคนให้ดีขึ้น ดังนั้น ผู้คนในโลกยุคปัจจุบัน จึงพากันหันมาสนใจ พระพุทธศาสนา อันเป็นปรัชญาโบราณที่มีหลายๆ ลักษณะที่เป็น เหมือนกับวิทยาศาสตร์ และได้อยูเ่ ลยวัตถุนยิ ม (Materialism) ของ โลกตะวันตก เลยข้อจ�ำกัดของวิทยาศาสตร์เชิงปฏิบัติดังที่พวกเรา ทราบ

28

ต้นไม้แห่งโพธิ


บทที่ ๒ เหตุการณ์ก่อนพุทธกาล โดยทั่วไปแล้ว การศึกษาพระพุทธศาสนามักจะเริ่มต้นที่ประวัติของ พระพุทธเจ้า ศาสดาผู้ก่อตั้งพระพุทธศาสนา แต่ข้าพเจ้าก็ต้องการที่ จะเริ่มต้นตรวจสอบสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในอินเดียก่อนพุทธกาล นั่นก็คือเบื้องหลังพระพุทธศาสนาก่อนสมัยพุทธกาล ผู้เขียนเชื่อว่า การตรวจสอบสถานการณ์จะมีประโยชน์อย่างมาก จะท�ำให้เราเข้าใจ ชีวิตและค�ำสอนของพระพุทธองค์ในบริบทของประวัติศาสตร์และ วัฒนธรรมที่กว้างขึ้น การตรวจสอบเชิงลึกเช่นนี้ จะท�ำให้เราเข้าใจ ธรรมชาติพระพุทธศาสนา และต่อธรรมชาติของปรัชญาและศาสนา ของอินเดียทั่วไปได้ดียิ่งขึ้น ข้าพเจ้าขอเริ่มการตรวจสอบทีก่ ำ� เนิดและพัฒนาการของปรัชญาและ ศาสนาของอินเดียโดยเปรียบเทียบในเชิงภูมิศาสตร์ตอนเหนือของ อนุทวีปอินเดีย ซึ่งมีแม่น�้ำส�ำคัญอยู่สองสาย คือ คงคา และ ยมุนา แม่นำ�้ ทัง้ สองสายนี้ มีตน้ น�ำ้ อยูแ่ ยกกันบนยอดเขาหิมาลัย และทัง้ สอง ก็มีอิสระจากกันสิ้นระยะทางยาวไกล แล้วก็ค่อยๆ หันเหทิศทางเข้า หากันในที่สุดก็มาบรรจบกัน ณ ที่ราบลุ่มตอนเหนือของอินเดีย

เหตุการณ์ก่อนพุทธกาล

29


ใกล้เมืองอัลลาฮาบาด (Allahabad) ในปัจจุบัน จากจุดบรรจบกัน อันนี้ แม่น�้ำทั้งสองสายก็ ได้ ไหลรวมกันจนกระทั่งหายลับไปในอ่าว เบงกอล ภูมศิ าสตร์ของแม่นำ�้ ส�ำคัญทัง้ สองสาย ได้แสดงให้เห็นถึงก�ำเนิดและ พัฒนาการทางปรัชญาและศาสนาของอินเดีย วัฒนธรรมอินเดียก็เป็น เหมือนกับภูมิศาสตร์ของอินเดีย คือ มีความคิดสองกระแสใหญ่ๆ ที่มีจุดก�ำเนิดและมีลักษณะที่แตกต่างสืบทอดกันเป็นเวลาหลาย ศตวรรษ อารยธรรมทัง้ สองกระแสนีค้ งแยกกัน และด�ำรงอยูอ่ ย่างเป็น อิสระ แต่ในทีส่ ดุ อารยธรรมทัง้ สองก็ไหลเข้ามาใกล้ชดิ กัน ผสมผสาน และเลือ่ นไหลไปด้วยกันจนแทบจะแยกกันไม่ออก นับจากช่วงนัน้ มา จนถึงปัจจุบนั ในขณะทีเ่ ราด�ำเนินการตรวจสอบวัฒนธรรมอินเดียยุค ก่อนพุทธกาลอยูน่ ี้ บางทีเราอาจจะต้องจินตนาการถึงเรื่องแม่นำ�้ สอง สายที่มีก�ำเนิดแตกต่างกัน และได้มาผสมรวมกันไหลลงไปสู่ทะเล เมื่อมาตรวจดูประวัติศาสตร์ในยุคต้นของอินเดียเราพบว่า ในสหัสวรรษที่ ๓ ก่อนคริสตกาล ได้มอี ารยธรรมทีม่ คี วามก้าวหน้าเป็นอย่าง มากอยู่ ณ อนุทวีปแห่งนี้ อารยธรรมแห่งนี้มีความเป็นมาที่เก่าแก่ ที่เราเรียกว่าอู่อารยธรรมของมนุษย์ เช่นเดียวกับอารยธรรมอียิปต์ และบาบิโลน อารยธรรมแห่งนีร้ งุ่ เรืองอยูป่ ระมาณ ๒๘๐๐ ถึง ๑๘๐๐ ปีก่อนคริสตกาล เป็นที่รู้จักกันในนามอารยธรรมแห่งหุบเขาอินดุช (Indus Valley Civilization) หรือ อารยธรรมฮารัปปา (Harappan Civilization) กินพื้นที่นับจากปากีสถานตะวันตกด้านทิศใต้จรด เมืองมุมไบ ตะวันออกจรดสิมลา ณ เชิงเขาหิมาลัย

30

ต้นไม้แห่งโพธิ


เมือ่ มองจากแผนทีเ่ อเชีย เราจะพบว่าพืน้ ทีท่ างภูมศิ าสตร์อารยธรรม หุบเขาอินดุชนั้น กินพื้นที่กว้างขวางมาก อารยธรรมแห่งนี้ตั้งมั่นอยู่ เป็นเวลาหลายพันปี และมีความก้าวหน้าอย่างมากทัง้ ในด้านวัตถุและ จิตใจ ในด้านวัตถุอารยธรรมหุบเขาอินดุชเป็นสังคมเกษตรกรรม และ แสดงให้เห็นว่ามีความช�ำนาญเป็นอย่างยิ่ง ในด้านชลประทานและ ผังเมือง และมีหลักฐานแสดงให้เห็นว่าผูค้ นในอารยธรรมดังกล่าวได้ พัฒนาระบบคณิตศาสตร์ โดยยึดตามระบบทีม่ ตี วั เลขฐานสอง ซึง่ เป็น ระบบเดียวกับที่ใช้ ในคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ อารยธรรมหุบเขาอินดุช มีการอ่านออกเขียนได้ มีการสร้างสรรค์ตวั อักษรซึง่ ยังไม่สามารถถอด ความกันได้ ในปัจจุบัน (ความหมายของตัวอักษรอารยธรรมหุบเขา อินดุชยังคงเป็นปริศนาส�ำหรับนักโบราณคดีด้านภาษาศาสตร์) และ มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า อารยธรรมอินดุชมีพัฒนาการทางจิตวิญญาณเป็นอย่างมาก การขุดค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีส�ำคัญ สองที่คือ โมเฮนโจ–ดาโร (Mohenjo-daro) และฮารัปปาเป็นหลักฐานยืนยันในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี วิถีชีวิตอันสงบของอารยธรรมโบราณอันยิ่งใหญ่นี้ ได้สะดุดลงอย่าง กระทันหัน บางทีอาจจะอยูช่ ว่ งระหว่าง ๑๘๐๐ – ๑๕๐๐ ก่อนคริสตกาล เนื่องมาจากหายนภัยทางธรรมชาติหรือไม่ก็จากการรุกรานของ คนต่างถิ่น แต่ส่งิ ที่แน่นอนเลยก็คือว่า พร้อมกับการล่มสลายของ อารยธรรมอินดุชหรือหลังจากนั้นไม่นาน อนุทวีปแห่งนี้ก็ถูกรุกราน จากด้านตะวันตกเฉียงเหนือ และอีกหลายศตวรรษต่อมาก็มผี รู้ กุ ราน ที่เป็นมุสลิมเข้ามาจากทิศทางเดียวกัน ผู้ที่เข้ามารุกรานในครั้งแรก คือพวกอารยัน ค�ำนีบ้ ง่ ถึงกลุม่ ชนทีม่ ตี น้ ก�ำเนิดอยูท่ างพืน้ ทีบ่ างแห่ง ในยุโรปตะวันออก บางทีอาจจะอยูท่ โี่ ปแลนด์และยูเครน พวกอารยัน

เหตุการณ์ก่อนพุทธกาล

31


แตกต่างไปจากผู้คนแห่งอารยธรรมหุบเขาอินดุชอย่างมาก ขณะที่ผู้ คนแห่งหุบเขาอินดุชเป็นเกษตรกรและไม่นิยมย้ายถิ่น พวกอารยัน เป็นเผ่าเร่ร่อน ด�ำเนินวิถีชีวิตแบบชนบท ไม่คุ้นเคยกับวิถีชีวิตใน เมือง ชอบท�ำสงครามเพื่อขยายอาณาเขต ด�ำรงชีวิตส่วนใหญ่ในดิน แดนทีต่ นมีชยั หลังปราบผูค้ นท้องถิ่น เมือ่ อารยันอพยพเข้ามาอินเดีย ได้ ไม่นาน ก็กลายเป็นกลุม่ ทีม่ อี ารยธรรมเข้มแข็ง หลังช่วงกลางของ สหัสวรรษที่ ๒ ก่อนคริสตกาล สังคมอินเดียส่วนใหญ่กต็ กอยูภ่ ายใต้ อิทธิพลวัฒนธรรมอารยัน ตอนนี้เราจะเข้าไปตรวจสอบดูทัศนคติทางศาสนาของผู้คนแห่ง อารยธรรมหุบเขาอินดุชและผูค้ นแห่งอารยธรรมอารยัน ประเด็นนีน้ า่ สนใจอย่างยิ่ง ดังข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วว่า อารยธรรมหุบเขาอินดุช มีภาษาเขียนเป็นของตนเอง ซึ่งเรายังถอดความออกมายังไม่ ได้ กระนั้นก็ตาม ความรู้เรื่องอารยธรรมดังกล่าวของเราได้มาจากแหล่ง ข้อมูลที่เชื่อถือได้สองแหล่ง: การค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีที่ โมเฮนโจ–ดาโร และที่ฮารัปปา และการบันทึกของอารยันที่ ให้ราย ละเอียดเกี่ยวกับพฤติกรรม และความเชื่อของกลุ่มชนภายใต้ปก ครอง การค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีได้เผยให้เห็นสัญลักษณ์หลายอย่าง ทีม่ คี วามส�ำคัญต่อผูค้ นแห่งอารยธรรมหุบเขาอินดุช สัญลักษณ์เหล่า นี้มีความส�ำคัญในทางศาสนาและศักดิ์สิทธิ์ กับพระพุทธศาสนาโดย มีตน้ โพธิ์ (ficus religiosa) และสัตว์ เช่น ช้าง และกวาง รวมอยูด่ ว้ ย แต่ที่ส�ำคัญที่สุด คือรูปปั้นของมนุษย์ที่ซึ่งอยู่ในท่านั่งสมาธิ มือวาง อยูบ่ นขา สายตาทอดต�ำ่ –แสดงให้เห็นถึงการท�ำกัมมัฏฐาน จากข้อมูล

32

ต้นไม้แห่งโพธิ


ของการค้นพบทางโบราณคดีเหล่านี้ และหลักฐานอื่นๆ มาประกอบ กัน นักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงหลายท่านจึงให้ข้อสรุปว่า ก�ำเนิดการ ปฏิบัติโยคะและกัมมัฏฐาน สามารถสืบค้นไปถึงอารยธรรมของ หุบเขาอินดุชเลยทีเดียว นอกจากนั้นในเวลาที่เราได้มาศึกษาการ บันทึกการปฏิบัติทางศาสนาของผู้คนแห่งอารยธรรมลุ่มน�้ำอินดุช อันเป็นการบันทึกของชนอารยันในยุคต้นๆ คือคัมภีร์พระเวท เราพบ ว่ามีการกล่าวถึงนักบวชประเภทปริพาชกไว้บอ่ ยมาก นักพรตเร่รอ่ น เหล่านี้ กล่าวกันว่ามีวิธีปฏิบัติส�ำหรับการฝึกจิต ถือเพศพรหมจรรย์ เป็นนักบวชเปลือยก็มี นุง่ ผ้าแบบซอมซ่อก็มี ไม่มที อี่ ยูอ่ าศัยเป็นหลัก แหล่ง และสอนวิธีที่จะอยู่เหนือความเกิดและความตาย เมื่อประมวลเหตุการณ์การค้นพบทางโบราณคดีที่ส�ำคัญสองแห่งใน อารยธรรมหุบเขาอินดุชและจากคัมภีร์ในยุคต้นๆ ของชาวอารยัน ภาพที่ผุดขึ้นมาจากทัศนคติและการปฏิบัติทางศาสนาของผู้คนแห่ง อารยธรรมหุบเขาอินดุช แม้จะพร่ามัว แต่ก็มีความชัดเจนในเนื้อหา สาระส�ำคัญ ศาสนาของอารยธรรมหุบเขาอินดุชมีเนื้อหาส�ำคัญอยู่ มากมาย ประการแรกสุด คือการปฏิบัติกัมมัฏฐาน หรือแนวปฏิบัติ ส�ำหรับฝึกฝนจิต มีปรากฏอย่างชัดเจน ประการที่สอง การออกบวช นัน่ คือการละวิถชี วี ิตแบบชาวบ้าน ออกมาใช้ชวี ิตแบบนักพรตที่ไม่มี บ้านเรือนหรือเป็นปริพาชก ก็มีให้เห็นทั่วไป ประการที่สาม เห็นได้ อย่างชัดเจนว่า มีแนวคิดเรือ่ งการเกิดใหม่ หรือการกลับชาติมาเกิด ซึ่งจะมีตลอดช่วงการเดินทางอันไม่รู้จุดสิน้ สุดของชีวิต ประการที่สี่ ส�ำนึกรับผิดชอบทางศีลธรรมที่ขยายขอบเขตเลยระดับของชีวิตนี้ นั่นคือแนวคิดเรื่องกรรม ประการสุดท้าย คือเป้าหมายสูงสุดของ การด�ำเนินชีวิตตามแนวทางศาสนา คือเป้าหมายของการหลุดพ้น

เหตุการณ์ก่อนพุทธกาล

33


การเป็นอิสระจากวงจรการเวียนว่ายตายเกิดอันไม่รจู้ กั สิ้นสุด สิ่งเหล่า นี้คือลักษณะโดดเด่นในศาสนาแห่งอารยธรรมแรกสุดของอินเดีย ล�ำดับต่อไป เราจะไปตรวจสอบดูศาสนาของชาวอารยันยุคต้นๆ ซึ่ง จะแตกต่างจากศาสนาของอารยธรรมหุบเขาอินดุชอย่างเห็นได้ชัด จริงๆ แล้วค่อนข้างยากในการทีจ่ ะชี้ให้เห็นความแตกต่างทีช่ ดั เจนใน ระหว่างวัฒนธรรมทางศาสนาทั้งสอง การส�ำรวจสภาพของทัศนคติ และแนวปฏิบตั ิในทางศาสนาของอารยันยุคต้นๆ จะเป็นการง่ายกว่า การส�ำรวจสภาพทัศนคติ และแนวปฏิบัติของผู้คนในหุบเขาอินดุช ในตอนทีช่ าวอารยันมาถึงอินเดีย สิ่งทีพ่ วกเขาน�ำมาด้วยคือศาสนาที่ มีธรรมชาติเป็นแบบโลกๆ ดังทีข่ า้ พเจ้าได้กล่าวไว้แล้วว่า สังคมของ พวกเขาเป็นสังคมเชิงรุก หรือแผ่ขยาย–เป็นสัง คมของผู ้บุก เบิ ก ต้นก�ำเนิดของพวกเขาอยู่ที่ยุโรปตะวันออก และศาสนาของพวกเขา ในหลายส่วนจะมีลกั ษณะคล้ายกับศาสนาของพวกกรีกโบราณ ถ้าเรา เคยดูรายละเอียดของเทพเจ้าทีอ่ ยู่ในวิหารของพวกกรีก เราจะพบว่า มี ค วามคล้ า ยคลึ ง กั น มาก ในระหว่ า งเทพเจ้ า ของทั้ ง สองกลุ ่ ม พวกอารยันนับถือเทพเจ้ามากมาย ซึ่งเป็นตัวแทนปรากฏการณ์ทาง ธรรมชาติในรูปของบุคคล เช่น พระอินทร์ (ไม่ต่างจากเทพซีอุส) เทพเจ้าแห่งฟ้าร้อง ฟ้าผ่า อัคนี เทพเจ้าแห่งไฟ พระวรุณ เทพเจ้าแห่ง ฝน เป็นต้น ในศาสนาของอารยธรรมหุบเขาอินดุช นักพรตถือเป็นสัญลักษณ์ทาง ศาสนาที่โดดเด่น ด้านศาสนาของกลุ่มอารยัน สถาบันนักบวชก็ได้ อยู่ในสถานะที่สำ� คัญที่สดุ เช่นกัน และในขณะทีก่ ารออกบวชถือเป็น สิ่งทีม่ คี า่ ส�ำคัญทีส่ ดุ ในระบบคุณค่าทางศาสนาของอารยธรรมหุบเขา-

34

ต้นไม้แห่งโพธิ


อินดุช แต่ในระบบคุณค่าทางศาสนาของอารยันดัง้ เดิม ชาวบ้านหรือ ผู้ครองเรือนเป็นผู้ที่มีความส�ำคัญสูงสุด ในขณะที่วัฒนธรรมทาง ศาสนาของอารยธรรมหุบเขาอินดุชไม่ให้ความส�ำคัญกับคุณค่าของ การสืบสกุล แต่ในวัฒนธรรมของอารยันจะให้ความส�ำคัญกับการสืบ สกุล โดยเฉพาะบุตรชายเป็นผู้ที่มีอภิสิทธิ์เป็นอย่างมาก ศาสนาของ อารยธรรมหุบเขาอินดุช เน้นการปฏิบตั กิ มั มัฏฐาน ศาสนาของอารยัน เน้นการบูชายัญ ซึ่งถือเป็นวิธีการสื่อสารกับเทพเจ้า ท�ำให้ประสบ ชัยชนะในสงคราม ท�ำให้ ได้บตุ รและประสบความร�ำ่ รวย และประการ สุดท้ายท�ำให้เข้าถึงสวรรค์ ในขณะที่ศาสนาของอารยธรรมหุบเขา อินดุช มีแนวคิดเรื่องกรรมและการเกิดใหม่ อารยันในยุคต้นจริงๆ ไม่มคี วามคิดเช่นนัน้ แนวคิดเรื่องความรับผิดชอบทางศีลธรรมทีอ่ ยู่ เลยชีวิตปัจจุบัน ดูจะเป็นสิ่งที่ชาวอารยันไม่รู้จัก ส�ำหรับชาวอารยัน แล้ว คุณค่าสูงสุดทางสังคมคือความภักดีต่อชุมชน ซึ่งเป็นคุณค่าที่ ก่อให้เกิดคุณูปการต่ออ�ำนาจและความสัมพันธ์ ในระดับชนเผ่า ประการสุดท้าย เป้าหมายสูงสุดทางศาสนาของอารยธรรมหุบเขา อินดุชคือความหลุดพ้น ซึง่ ก็คอื สภาวะทีอ่ ยูเ่ หนือการเกิดและการตาย ในขณะที่เป้าหมายทางศาสนาของอารยันยุคต้น ก็คือสวรรค์–และ สวรรค์ก็จะมีลักษณะเหมือนกับโลกที่สมบูรณ์แบบ โดยสรุป ศาสนาของอารยธรรมหุบเขาอินดุชจะเน้นในประเด็นการ ออกบวช กัมมัฏฐาน การเกิดใหม่ กรรม และเป้าหมายสุดท้ายคือ ความหลุดพ้น ส่วนศาสนาของอารยันจะเน้นชีวิตนี้ การบูชายัญ ความ ภักดี ความมั่งคั่ง การสืบสกุล อ�ำนาจ และสวรรค์ ดังนั้น จะเห็นได้ ชัดเจนว่า ชุดของทัศนคติ การปฏิบตั ิ และคุณค่าทางศาสนาของผูค้ น แห่งอารยธรรมโบราณแห่งอินเดียทั้งสองกลุ่ม มีลักษณะตรงกันข้าม

เหตุการณ์ก่อนพุทธกาล

35


กันเกือบจะสิ้นเชิง และในช่วงหลายสหัสวรรษทีอ่ ารยธรรมทัง้ สองได้ มารวมกัน ศาสนาของอารยธรรมทัง้ สองก็ได้รวมเข้าด้วยกัน ในหลาย กรณีก็กลายเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันมิได้ ก่อนทีเ่ ราจะสรุปลักษณะเด่นๆ ของศาสนาแห่งหุบเขาอินดุช และชาว อารยัน ผู้เขียนควรกล่าวไว้ด้วยว่า วัฒนธรรมทางศาสนาของชาว อารยันก่อตัวขึ้นมาจากปัจจัยพื้นฐานสองอย่าง ซึ่งไม่เป็นที่รู้จักและ แปลกแยกไปจากศาสนาของชาวหุบเขาอินดุช ปัจจัยพื้นฐานสอง อย่างที่ข้าพเจ้ามีอยู่ ในใจก็คือ ระบบวรรณะ–นั่นคือการแบ่งคนใน สังคมออกเป็นชนชัน้ –และความเชือ่ ในอ�ำนาจ และความไม่ผดิ พลาด ของวิวรณ์–ในกรณีนี้คือคัมภีร์โบราณที่เป็นที่รู้จักกันในนามพระเวท วัฒนธรรมทางศาสนาของอารยธรรมหุบเขาอินดุช ไม่ยอมรับแนวคิด แบบนี้ และนีค่ อื จุดทีแ่ ตกต่างกันอย่างมากของวัฒนธรรมทางศาสนา ที่ส�ำคัญทั้งสองสายแห่งอินเดีย ประวัตศิ าสตร์ศาสนาของอินเดียนับจาก ๑๕๐๐ ปีกอ่ นคริสตกาล ไป จนถึงศตวรรษที่ ๖ ก่อนคริสตกาล (นัน่ คือสมัยพุทธกาล) คือ ประวัต-ิ ศาสตร์แห่งการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมที่มีต้นก�ำเนิดที่เป็น ปรปักษ์กนั ทัง้ สอง ในขณะทีก่ ลุม่ อารยันได้คอ่ ยๆ เคลื่อนย้ายไปทาง ตะวันออกและทางใต้ ตัง้ ถิ่นฐานและแผ่อทิ ธิพลไปทัว่ อนุทวีปอินเดีย ก็ ได้เริ่มหันมายอมรับการใช้ชีวิตแบบอยู่กับที่มากขึ้น หลังจากนั้น วัฒนธรรมทางศาสนาทีต่ รงกันข้ามกันของกลุม่ ชนทัง้ สอง ก็เริ่มมีการ ปะทะสังสรรค์กัน มีอิทธิพลต่อกันและถึงกับผสมรวมกัน นี่คือภาพ เหตุการณ์ทขี่ า้ พเจ้ามีในใจก่อนหน้านี้ ในตอนทีข่ า้ พเจ้าพูดถึงการรวม กันของสองแม่น�้ำสายส�ำคัญของอินเดียคือ คงคา และยมุนา

36

ต้นไม้แห่งโพธิ


ในสมัยพุทธกาล มีวัฒนธรรมทางศาสนาที่แตกต่างกันแพร่หลายอยู่ ในอินเดีย ความจริงข้อนีเ้ ห็นได้จากเหตุการณ์บางตอนในพุทธประวัติ ตัวอย่างเช่น หลังจากทีพ่ ระองค์ประสูตจิ ะมีผคู้ นสองกลุม่ ซึง่ มีความ คิ ด เห็ น ที่ แ ตกต่ า งกั น มาพยากรณ์ ถึ ง ความส� ำ เร็จ อั น ยิ่ง ใหญ่ ข อง พระองค์ ผู้ที่เข้ามาพยากรณ์เป็นคนแรกคืออสิตะ ซึ่งเป็นดาบส บ�ำเพ็ญพรตอยู่ที่ภูเขา ในพุทธประวัติยืนยันว่าอสิตะเป็นพราหมณ์ ซึ่งสังกัดอยู่ในวรรณะนักบวชในสังคมอารยัน ข้อนี้มีความชัดเจนใน ตัวอยู่แล้ว ถึงการมีปฏิสัมพันธ์ของสองจารีตทางศาสนาโบราณทั้ง สองดังกล่าว เพราะมีขอ้ บ่งชีว้ า่ ประมาณศตวรรษที่ ๖ ก่อนคริสตกาล แม้พราหมณ์ก็ได้เริ่มละชีวิตบ้านเรือนแล้วหันมายอมรับวิถขี องสมณะ เป็นผู้ ไม่มเี รือน ซึง่ เป็นอะไรบางสิ่งที่ไม่เคยได้ยนิ ได้ฟังกันเมือ่ หลาย พันปีก่อนหน้านั้น ต่อจากนั้น เราก็ได้รับการบอกเล่าต่อว่าพราหมณ์ ๑๐๘ ได้รับนิมนต์ ให้มาประกอบพิธีขนานพระนามให้กับเจ้าชาย พระองค์นอ้ ย ในพิธีดงั กล่าว พวกพราหมณ์ได้พยากรณ์ถงึ อนาคตอัน ยิ่งใหญ่ของเจ้าชาย พราหมณ์เหล่านี้ ตามหลักฐานก็แสดงให้เห็นว่า เป็นผู้ท�ำพิธีที่ ไม่ ได้สละชีวิตของผู้ครองเรือนแต่อย่างใด ซึ่งเป็น ตัวแทนแนวการปฏิบัติแบบดั้งเดิมซึ่งเป็นที่ยอมรับกันของกลุ่ม อารยัน แล้วจารีตทัง้ สองซึง่ เริ่มต้นมีความแตกต่างกันอย่างมากมารวมกันได้ อย่างไร? ข้าพเจ้าคิดว่า ค�ำตอบอาจจะอยู่ที่ความเปลี่ยนแปลงครั้ง ส�ำคัญทีเ่ กิดขึ้นกับวิถชี วี ิตของคนอินเดีย ในช่วงกลางของสหัสวรรษ ที่ ๒ ก่อนคริสตกาล และในช่วงพุทธกาลการขยายพื้นที่ของอารยัน ได้สิ้นสุดลง หลังจากที่อารยันได้ขยายพื้นที่มาสู่พื้นราบของอินเดีย การสิ้นสุดลงของการขยายตัวได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทาง

เหตุการณ์ก่อนพุทธกาล

37


สังคม เศรษฐกิจ และการเมืองอย่างมาก ประการแรกสุด วิถชี วี ิตแบบ ชนเผ่า การเลี้ยงสัตว์ เร่ร่อนของชาวอารยันยุคต้น ได้ค่อยๆ เปลี่ยน ไปเป็นวิถีชีวิตแบบอยู่กับที่ ท�ำเกษตรกรรม และในที่สุดก็เกิดเป็น ชุมชนเมืองขึ้น ไม่นานผู้คนส่วนใหญ่เป็นอยู่แบบวิถีชีวิตคนเมือง ขณะที่สิ่งที่พวกเขานับถือคือพลังของธรรมชาติซึ่งต่อมาได้รับการ ยกย่องเป็นเทพเจ้าแห่งอารยันยุคต้น ประการที่สอง การค้าขายได้มีความส�ำคัญมากขึ้น ขณะที่พราหมณ์ และกษัตริยเ์ ป็นบุคคลทีโ่ ดดเด่นในสังคมอารยันยุคต้น–คือพราหมณ์ ท�ำหน้าที่เป็นสื่อกลางติดต่อกับเทพเจ้า และกษัตริย์ท�ำหน้าที่รบกับ ศัตรูของเผ่าและน�ำมาซึ่งข้าวของที่ยึดมาได้ ตอนนี้ความส�ำคัญได้ ขยายขึ้นไปสูพ่ วกพ่อค้า ในสมัยพุทธกาลเราจะเห็นได้จากการทีส่ าวก คนส�ำคัญๆ ของพระพุทธองค์มาจากวรรณะพ่อค้า เช่น อนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นต้น ประการสุดท้าย องค์กรทางสังคมตามระบบเผ่าดัง้ เดิมเริ่มล้าสมัยและ รัฐแบบก�ำหนดตามเขตแดนเริ่มมีวิวฒ ั นาการขึ้น หลังจากนัน้ ไม่นาน สังคมแบบภักดีต่อเผ่า ก็พัฒนาไปสู่สังคมที่ภักดีต่อบุคคล คือ รูปแบบแห่งองค์กร สังคมแบบเผ่าได้ถูกแทนที่โดยรัฐที่ก�ำหนดโดย เขตแดนซึ่งมีผู้คนจากหลายเผ่าอยู่รวมกัน อาณาจักรมคธที่มีผู้ ปกครองคือ พระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์และเป็นสาวกคน ส�ำคัญของพระพุทธองค์ คือตัวอย่างของรัฐแบบเขตแดนที่เกิดขึ้น ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองได้มีส่วนผลัก ดันให้ชาวอารยันหันมายอมรับแนวคิดทางศาสนาของอารยธรรม

38

ต้นไม้แห่งโพธิ


หุบเขาอินดุช แม้ชาวอารยันจะโดดเด่นในด้านวัตถุแม้ยงิ่ กว่าอารยธรรมดั้งเดิมของอนุทวีป แต่หลังหนึ่งพันหรือสองพันปีถัดมา ชาว อารยันก็ ได้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลแนวคิดการปฏิบัติ และคุณค่าทาง ศาสนาของอารยธรรมหุบเขาอินดุช ในช่วงประมาณคริสตกาล การที่ จะก�ำหนดข้อแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมอารยัน และอารยธรรม หุบเขาอินดุชก็เริ่มท�ำได้ยากขึ้น ความจริงทางประวัติศาสตร์ข้อนี้ มีไว้ส�ำหรับแก้ ไขความเข้าใจผิดที่มักอ้างกันว่า พระพุทธศาสนาเป็น ปรปักษ์กับศาสนาฮินดู หรือไม่ก็เป็นสาขาหนึ่งของศาสนาฮินดู พระพุทธศาสนาได้รบั อิทธิพลจากวัฒนธรรมทางศาสนาหุบเขาอินดุช แนวคิดพื้นฐานเรื่องการออกบวช การท�ำสมาธิ การเกิดใหม่ กรรม และความหลุดพ้น ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ส�ำคัญของวัฒนธรรมทาง ศาสนาหุบเขาอินดุช ก็ได้เข้ามาเป็นองค์ประกอบส�ำคัญในพระพุทธศาสนาด้วย มีความเป็นไปได้ว่า พระพุทธองค์หมายถึงศาสนาของ อารยธรรมหุบเขาอินดุชนี่เอง ในตอนที่พระองค์ตรัสว่า หนทางที่ พระองค์ทรงสอนนีเ้ ป็นของเก่า และเป้าหมายทีพ่ ระองค์ทรงแสดงนัน้ ก็เป็นของเก่า พระพุทธศาสนาก็ ได้พูดถึงจารีตของพระพุทธเจ้าใน ก่อนประวัติศาสตร์ ๖ พระองค์ ที่เชื่อกันว่าได้ตรัสรู้มาก่อนพระ ศากยมุนีพุทธเจ้า ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ข้าพเจ้าเชื่อว่ามีความเชื่อมโยง กันระหว่างประเพณีวัฒนธรรมทางศาสนาของอารยธรรมหุบเขา อินดุช และค�ำสอนของพระพุทธองค์ เมื่อลองตรวจสอบปรากฏการณ์ทางศาสนาทั้งสอง คือ ศาสนาพุทธ และศาสนาฮินดู เราพบว่ามีสัดส่วนที่เด่นกว่ากันมากบ้างน้อยบ้าง ซึง่ เป็นมรดกทีส่ บื ทอดกันมาจากวัฒนธรรมทางศาสนาทีย่ ิ่งใหญ่ของ

เหตุการณ์ก่อนพุทธกาล

39


อินเดียโบราณทั้งสอง ในพระพุทธศาสนาเห็นได้ชัดว่า อัตราส่วน ส�ำคัญส่วนใหญ่ได้มาจากศาสนาของอารยธรรมหุบเขาอินดุช แต่จะ รับมาจากศาสนาของอารยันยุคต้นๆ ในอัตราส่วนที่น้อยกว่า ส่วนที่ พระพุทธศาสนารับมาจากศาสนาของอารยัน ก็อย่างเช่นการปรากฏ ขึ้นของเทพเจ้าในคัมภีร์พระเวท แต่บทบาทไม่สู้จะส�ำคัญนัก ในทางกลับกัน ศาสนาฮินดูหลากหลายนิกาย ต่างก็ธ�ำรงไว้ซึ่งมรดก ทางศาสนาที่สืบทอดมาจากวัฒนธรรมอารยัน แต่ก็มีบางส่วนที่ สามารถนับสืบย้อนไปได้ถึงศาสนาของอารยธรรมหุบเขาอินดุช ศาสนาฮินดูส่วนใหญ่ เน้นในเรื่องวรรณะ ความศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับมา จากพระเวท และประสิทธิผลของการบูชายัญ จริงอยู่ แม้สิ่งเหล่านีจ้ ะ เป็นมรดกของอารยัน แต่ก็มีบางส่วนที่ทางศาสนาฮินดูรับมาจาก วัฒนธรรมของอารยธรรมหุบเขาอินดุช เช่น การออกบวช กัมมัฏฐาน การเกิดใหม่ กรรม และความหลุดพ้น

40

ต้นไม้แห่งโพธิ


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.