Ju ly 2015 Vol.119
วาไรตี ้ อารมณ์ ด ี สำ � หรั บ คนไทยในบอสตั น และเขตใกล้ เ คี ย ง
“บางครั้งก็รู้สึกขอบคุณนะคะ กับโชคชะตา ที่นำ�พาให้ได้พบ กับปัญหาและอุปสรรคร้ายแรงต่างๆ จนได้ค้นพบกับ สัจธรรมหลายๆอย่างในชีวิต และทุกวันนี้เมื่อเจอกับ ปัญหาอะไรก็ตาม ก็จะหัวเราะให้กับมัน และบอกกับตัวเอง ว่า เดี๋ยวเราก็จะผ่านมันไปได้”
Cover Model
Kwan Kwan Sineepak
สิณีภัค กฤษณะรมย์
Front Cover Photography Visoot Sueksagan Co Photography Tosak Hoontakul Make Up Anattapon Pethjan (Arnie PJ) Stylist Anattapon Pethjan (Arnie PJ) Location Wellesley, MA USA http://www.bevariety.com/
https://www.facebook.com/bevarietypage https://www.youtube.com/bevariety
วันนี้ทางบีวาไรตี้ได้มีโอกาสสัมภาษณ์คุณนาขวัญ ผู้หญิงตัวเล็กๆที่ต้องต่อสู้กับโรค ร้าย ในขณะที่เธอใช้ชีวิตเพียงลำ�พัง ในต่างแดน เรื่องราวการใช้ชีวิตของเธอกับการเผชิญหน้า กับปัญหาต่างๆที่เข้ามารุมเร้า ซึ่งการให้สัมภาษณ์เพื่อแชร์ ประสบการณ์ชีวิตของเธอในครั้งนี้ เธอหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเรื่องราวชีวิตของเธอ จะได้เป็นส่วนหนึ่งในการให้กำ�ลังใจ แก่หลายๆ ท่านที่ประสบกับปัญหา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในรูปแบบอื่นๆ หรือปัญหาที่คล้ายๆกันกับเธอก็ตาม ให้ทุกๆท่านที่ได้อ่านบทสัมภาษณ์ของเธอได้มีแรงฮึดสู้กับปัญหา อีกทั้งมุมมองความคิดของ เธอที่มีให้กับปัญหาต่างๆ เหล่านั้นที่ว่า การมีกำ�ลังใจที่แข็งแกร่งในการต่อสู้กับปัญหา นั่นคือ สิ่งที่สำ�คัญที่สุด.... มาฟังบทสัมภาษณ์ของเธอกันค่ะ
รบกวนนาขวัญแนะนำ�ตัวหน่อยค่ะ ว่าเป็นใคร มาจากไหน..
สวัสดีค่ะ ชื่อสิณีภัค กฤษณะรมย์ ชื่อเล่น แรกนาขวัญ แต่เพื่อนๆเรียกสั้นๆว่าขวัญค่ะ เกิดที่กรุงเทพฯ แต่ไปโตที่จังหวัด นครศรีธรรมราช ขวัญจึงเรียนจบมัธยมปลายจากจังหวัดนครศรีธรรมราช และกลับเข้ามาเรียนต่อที่ปริญญาตรีที่ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ สาขาการท่องเที่ยวและการโรงแรมค่ะ พอเรียนจบก็ได้ทำ�งานเป็นผู้ช่วยคุณครูอนุบาล และทำ�งาน โรงแรมควบคู่ไปด้วย จนในที่สุดได้เข้าร่วมโครงการออแพร์ และเข้ามาประเทศสหรัฐฯ โดยวีซ่า J-1 ตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2011 ค่ะ และปัจจุบันคุณพ่อคุณแม่ได้ย้ายภูมิลำ�เนา ไปอยู่ที่จังหวัดสุราษฏร์ธานีค่ะ
ได้อ่านเรื่องของน้องขวัญในเว็บพันทิป คิดยังไงถึงได้ตัดสินใจเขียนเรื่องของตัวเอง ลงในเว็บไซต์ออนไลน์.. คือขวัญเป็นคนชอบเขียนไดอารี่ เกี่ยวกับชีวิตประจำ�วันอยู่แล้ว แต่ก็ต้องหยุดเขียนไป ในช่วงที่ป่วย เพราะด้วยร่างกายที่ ย่ำ�แย่ ขวัญเลยเขียนไม่ไหวจริงๆค่ะ แต่จำ�เรื่องราวทุกอย่างได้ดีมาก ขวัญอยากให้กำ�ลังใจคนที่ เข้ามาอ่านนะ คิดว่าสิ่งที่ ตัวเองเจอมามันหนักมาก ไม่คิดด้วยซ้ำ�ว่าตัวเองจะรอดมาตอบคำ�ถามพี่ๆในวันนี้ด้วยซ้ำ�ไป ตอนรอดมานั่งพูดแบบนี้ได้ ก็เลยคิดว่าเรื่องของตัวเองคงมีประโยชน์สำ�หรับใครหลายๆคนที่ผ่านมาอ่าน ก็เขียนเล่นๆตามภาษาของตัวเอง เหมือน เล่าให้เพื่อนฟังมากกว่า แต่ปรากฏว่า feedback เยอะจนขวัญเองก็อึ้งนะ ที่มีพี่ๆเพื่อนๆหลายคนตามมาจากพันทิป มา ให้กำ�ลังใจเพียบเลย รู้สึกมีพลัง มีหลายๆคนที่มีปัญหาอยู่ อ่านเรื่องของขวัญแล้วรู้สึกมีกำ�ลังใจสู้ต่อวันพรุ่งนี้ คน ป่วยที่กำ�ลังรักษาอยู่เข้ามาอ่านก็มี พอเค้ารู้ว่าขวัญรักษาจนหาย เค้าก็มีกำ�ลังใจสู้ต่อค่ะ รู้สึกดีนะคะที่เรื่องของตัวเอง สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆคนได้
พอจะเล่าเนื้อหาในที่เขียนลงได้มั๊ย..
ในนั้นมันยาวมากเลยนะคะ แต่เดี๋ยวจะพยายามเล่าย่อๆล่ะกัน (หัวเราะ) เอาตั้งแต่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองผิดปกติก่อนนะ คือ ตอนทำ�งานโรงเรมที่เกาะพงันประมาณ 2-3 ปีก่อนมาอเมริกา รู้สึกว่าตัวเองเริ่มมีปัญหาเรื่องการนอนตะแคงซ้ายค่ะ ไม่รู้ว่า เป็นอะไรเหมือนกัน เวลาขวัญนอนตะแคงซ้าย มันจะหายใจไม่ออก มันเป็นๆหายๆ เคยคิดว่าตัวเองเป็นโรคหัวใจ ด้วยซ้ำ� เลยไปตรวจคลื่นหัวใจกับหมอคนไทยก่อนมาที่นี่ และหมอก็จับเอ็กซ์เรย์ แต่ก็ไม่เจออะไรค่ะ ขวัญก็เลยคิดว่าคงเป็นอาการ เสียดธรรมดา (วินิจฉัยโรคเองด้วย) แต่แล้วอาการมันก็เริ่มมารุนแรงขึ้น ตอนที่มาอยู่อเมริกาได้ประมาณ 15 เดือนค่ะ
แล้วรู้ตัวเมื่อไหร่ รู้ได้ยังไงว่าเป็นแล้วแน่ๆ อาการมันเป็นยังไงค่ะ..
ขวัญคลำ�เจอเองตอนอาบน้ำ�ค่ะ ตอนเดือนสิงหาคม 2012 ตอนนั้นอายุ 26 ค่ะ พี่ค่ะ!! แบบขวัญเนี่ยะ ไม่น่าจะเป็นอะไร เกี่ยวกับหน้าอกนะ คือ มันเล็กจนติดลบ คัพเอว่าเล็กแล้ว อันนี้ติดลบอีก ฮ่า ฮ่า ตอนคลำ�เจอก็กังวลมาก หาข้อมูล ใหญ่เลย มันเป็นก้อนที่ไม่ใหญ่มากนะคะ อยู่ในหน้าอกน้อยๆข้างซ้าย แต่มันโตขึ้นเร็วมากภายในเวลา 1 อาทิตย์ ตอน นั้นโฮสไม่อยู่บ้านด้วย เค้าไปเวเคชั่นกันที่ใต้หวัน ขวัญก็รอให้เค้ากลับมาไม่ไหวค่ะ เพราะก้อนที่คลำ�เจอมันโตขึ้นอย่าง รวดเร็วและรู้สึกไม่สบายตัวเลย ก็เลยค้นหาข้อมูลของคุณหมอแล้วอ่านรีวิว เจอคุณหมอชื่อ DONALD A MCCAIN M.D โรงพยาบาลก็ติดท๊อป 5 ในนิวเจอร์ซี่ค่ะ ชื่อโรงพยาบาล Hackensack Medical Center ขวัญเลยตัดสินใจนัดคุณหมอ ค่ะ โดยประกันก็ใช้ของเอเจนซี่ที่ทำ�งานด้วยนั่นแหละค่ะ ขวัญพบคุณหมอครั้งแรก ดูท่าทางคุณหมอใจดีมากค่ะ คุณหมอกับ คุณพยาบาลผู้ช่วยอยู่ด้วยในห้อง คุณหมอก็คลำ�ก้อน แล้วเห็นว่ามันก้อนใหญ่มาก เลยส่งตัวไปห้องอัลตราซาวน์ ปราก ฎว่าพบแคลเซียมเกาะอยู่บริเวณรอบๆก้อนดังกล่าว และขั้นตอนหลังจากนั้น คือต้องเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจหรือที่เรียกว่า Biopsy โดยตอนนั้นไม่รู้เลยค่ะว่าการทำ� Biopsy นี้ต้องทำ�ยังไงบ้าง และเนื่องจากหน้าอกขวัญมีขนาดมหึมามาก ประชดนะ คะ ฮ่า ฮ่า คือมันเล็กมากอ่ะค่ะพี่ พอคุณหมอเจาะ มันเลยรู้สึกเจ็บมาก ทั้งๆที่ฉีดยาชา เลยทำ�ให้คุณหมอที่ทำ�การเจาะชิ้น เนื้อ คงเจาะเอาก้อนเนื้อไปไม่พอค่ะ ขวัญเลยต้องเจาะไปตรวจอีกสอง-สามครั้งหลังจากวันแรก โดยสามครั้งหลัง เค้า จับขวัญนอนคว่ำ� โดยเอาเต้านมใส่ช่อง ข้างล่างทั้ง 2 ข้างค่ะ แต่ความรู้สึกเจ็บไม่ได้น้อยกว่าครั้งแรกเลย และหลังจากที่ ระบมมากับการเจาะเนื้อไปตรวจแล้ว ก็ต้องใช้รังสี X-rayโดยใช้เครื่องบีบหรือที่เรียกว่า Mammogram อีกทั้งคุณหมอที่เจาะ เนื้อไปต้องใส่คลิปเล็กๆ ไว้ที่ก้อนเนื้ออีก เพื่อมาร์กตำ�แหน่งการถ่ายรูปให้ชัดเจน ตอนยืนที่เครื่อง Mammogram ขวัญก็ ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ เขาทำ�หน้าที่ของเขาไป ส่วนขวัญก็ร้องไห้ไป แล้วคิดในใจถามตัวเองว่า “ทำ�ไมต้องมาทำ�อะไรแบบ
นี้ด้วย? นี่ชั้นเป็นอะไร? ทำ�ไมมันทรมานจัง?” โดยขวัญไม่รู้เลยว่า นี่มันแค่เริ่มต้น โดยหลังจากขั้นตอนต่างๆ เสร็จไปเรียบร้อย อีกประมาณ 1 อาทิตย์ ขวัญก็มาพบคุณหมอ McCain ระหว่าง 1 อาทิตย์นั้น นอนหลับตาไม่สนิทเลย สักวันค่ะ กังวลตลอด แต่ก็พยายามคิดในแง่ดีเข้าไว้ตลอด ผลออกมาคุณหมอบอกว่า “คุณเป็นมะเร็งเต้านมระยะที่3” พอสิ้นคำ�คุณหมอ ตอนนั้นขวัญหูอื้อเลยค่ะ ไม่อยากได้ยินอะไรต่อแล้ว วินาทีนั้นมันเหมือนจุก แต่ร้องไห้ไม่ออก ภาวะ นี้คงเรียกว่าช็อคค่ะ เดินออกจากออฟฟิศคุณหมอด้วยสภาวะตัวลอยๆตาลอยๆ ปิดโทรศัพท์ ไม่โทรหาใคร อยากอยู่ คนเดียว อยากใช้ความคิดคนเดียว หลังจากอยู่กับตัวเองมาสักพัก สูดหายใจเฮือกใหญ่มาก ขวัญก็เปิดโทรศัพท์ ทางโรง พยาบาลก็กริ๊งกร๊างกันมาใหญ่ ขวัญเองก็ไปตามนัดที่ทางโรงพยาบาลนัดค่ะ ไปเข้าเครื่อง CT scan, PET Scan, MRI เพื่อดู ว่ามะเร็งได้กระจายไปอวัยวะส่วนอื่นรึป่าว ซึ่งผลออกมาปรากฎว่ามะเร็งได้ลามไปแค่บริเวณต่อมน้ำ�เหลือง ข้างๆรักแร้
เท่านั้นค่ะ ยังไม่ทั่วร่างกาย คุณหมอจึงนัดวันผ่าตัด โดยอธิบายว่าต้องตัดเต้านมออก ตอนนั้นหูอื้ออีกแล้วค่ะ เห็นปาก ของคุณหมอขยับนะ ตาก็กระพริบๆไปงั้น แต่ไม่ได้ยินอะไรที่หมอพูดอีก เหมือนคนเสียสติเลย กลับมาบ้าน อาบน้ำ� ก้ม ลงมองหน้าอกตัวเองแล้วน้ำ�ตาก็หยดติ๋งๆ นึกในใจว่าจะน้ำ�ตาหยดเพื่อ?? ตัดออกไปก็ไม่ได้ต่างจากของเดิม ที่มีอยู่ หรอก (หัวเราะ) คุณหมอ McCain ให้นามบัตรคุณหมออีกคนชื่อ Dr.Kari L. Colen เป็นคุณหมอ Plastic And Reconstructive Surgery คุณหมอเป็นผู้หญิงใจดีค่ะ อ่านประวัติของขวัญแล้ว คุณหมออธิบายว่าจะใส่ Temporary Expander เพื่อ ไปขยายส่วนที่ตัดออก เพื่อจะใส่ implant ในภายหลัง แพลนการรักษาก็วุ่นวายไปหมด หลังจากนั้นก็ ตัดสินใจบอกคน ดูแลที่ดูแลเราอยู่ในขณะที่อยู่ในโครงการออแพร์ (Local coordinator) เผื่อเค้าจะช่วยหาหมอให้ แล้วช่วยให้ได้รักษาต่อที่นี่ แต่ปล่าวเลยค่ะ นอกจากเค้าจะไม่ช่วยหาคุณหมอให้แล้ว เค้ายังจะส่งขวัญกลับไทย ก่อนวันผ่าตัด 1 วันด้วยซ้ำ�!
ทำ�ยังไงถึงได้อยู่ต่อจนได้รับการผ่าตัด?..
เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้โฮสค่ะ เค้ากลับมาจากเวเคชั่น พอเค้ารู้เรื่องเค้าก็เต็มที่มาก โฮสคุยกับเอเจนซี่ ทุก อย่าง และด้วยความดื้อแพ่งของตัวขวัญเองด้วย เอเจ้นจะให้เซ็นต์เอกสารส่งตัวกลับไทย แต่ขวัญไม่เซ็นต์ค่ะ ก็เลยได้ ผ่าตัดตอนเดือนกันยายน 2012 ตอนนั้นไม่กล้าบอกที่บ้านค่ะ คุณพ่อคุณแม่ไม่ทราบ เพราะไม่อยากให้ท่าน เป็นห่วง คิด ว่าเราไหว ไปได้ ทำ�ได้ แต่มันไม่ง่ายเลยนะคะ หลังจากผ่าตัดคว้านเอาเต้านมทั้งสองข้างออก จริงๆคือเป็นข้างซ้ายข้าง เดียวค่ะ แต่ขวัญคิดว่าเอาออกไปพร้อมๆกันสองข้างนี่แหละ จะได้ไม่มีปัญหาในอนาคตอีก และคุณหมอก็ทำ�การเสริม Temporary Expander ที่มีอายุ 1 ปีให้ ขวัญนอนอยู่โรงพยาบาล 3 วัน 3 คืน คนเดียว ไม่มีคนเฝ้า โฮสเค้าก็มาเยี่ยมนะคะ แต่มันเป็นวีคเดย์ เค้าก็ต้องทำ�งานกัน ขวัญก็ต้องช่วยตัวเองให้มากที่สุด แต่คนผ่าตัดใหม่ๆอ่ะค่ะ คือเจ็บแผลมาก พยาบาล เอาอะไรไม่รู้มาใส่มือ บอกว่าถ้ารู้สึกปวดให้กดยาอันนี้ (เข้าใจว่าคงเป็นมอร์ฟีน) แต่ขวัญคงกดถี่ไป คืนแรกอาเจียนทั้งคืน เลยค่ะ จะลุกแต่ก็ลุกไม่ได้ สายระโยงระยางไปหมด มีออกซิเจนอยู่ที่จมูกด้วย คือหายใจเองไม่ได้ ตอนนั้นร้องไห้เลยค่ะ คิดว่าทำ�ไมต้องมาเจออะไรแบบนี้คนเดียว ทำ�ไมไม่กลับบ้าน ทำ�ไมไม่กลับไทย แต่มานั่งโทษตัวเองก็ไม่มีประโยชน์อ่ะ เลย คิดว่าช่างเถอะ เอาวะ!! สูดหายใจอีกหนึ่งเฮือก ฮึ่บ!! เดี๋ยวก็หาย เดี๋ยวก็จะได้ออกจากโรงพยาบาลนะ และคืนที่สอง ที่ สามอาการก็ดีขึ้น ตามลำ�ดับค่ะ แต่ก็ยังเจ็บแผลอยู่มาก แต่คุณหมอก็อนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ค่ะ
ขวัญกลับมาพักฟื้นที่บ้านอยู่ประมาณ 1 อาทิตย์ค่ะ แล้วก็ต้องกลับมาทำ�งานเลี้ยงเด็ก ขับรถส่งเด็กไปโรงเรียน เหมือนเดิม เป็นการ recovery ที่สั้นมาก ถามว่าหยุดมากกว่านั้นได้มั๊ย ตอบว่าตอนนั้นขวัญไม่มีทางเลือกเลยค่ะ เพราะขวัญแทบไม่มี เงินติดตัวเลย เป็นออแพร์ก็ได้เงินไม่เยอะ สวัสดิการก็ไม่มีจ่ายเงินชดเชยนะคะ และพอขับรถไหว โฮสก็ให้กลับมาทำ�งาน แต่ทำ�อยู่ได้ไม่นาน ทางเอเจนซี่ก็ยังพยายามจะส่งขวัญกลับไทยอีก
แล้วขวัญทำ�ยังไงต่อ? ..
ก็เหมือนเดิมค่ะพี่ ดื้อแพ่ง คือไม่กลับ ไม่เซ็นต์เอกสาร ตอนนั้นไม่เข้าใจว่าทำ�ไมต้องผลักไสให้กลับไทยขนาดนั้น แต่มา รู้ทีหลังว่า อาการป่วยของขวัญมันร้ายแรงมากนะ ตัวขวัญเองขวัญรู้ว่าขวัญไหว อาจจะเพราะลำ�บากมา ตั้งแต่เด็กๆ แต่เอเจนซี่ จะต้องส่งตัวกลับเพราะถ้าเกิดขวัญเป็นอะไรขึ้นมาที่นี่ มันจะวุ่นวายมากกว่านี้ไปอีก ถึงแม้โฮสเค้าอยากให้ขวัญอยู่ต่อที่บ้าน แต่เอเจนซี่ไม่ยอม ยืนยันต้องส่งกลับให้ได้ พร้อมกับส่งออแพร์คนใหม่มาที่บ้าน เหมือนบีบให้เราออก ตอนนั้นมืดมาก ไม่รู้ใครปิดไฟ ล้อเล่นค่ะพี่ ฮ่า ฮ่า ไม่รู้จะทำ�ยังไงดี พอดีรู้จักกับพี่เจ้าของ ร้านอาหาร ที่รู้จักร้านนี้เพราะอย่างที่บอกค่ะว่า เงินออแพร์มันน้อย ขวัญเลยแอบมารับจ๊อบพิเศษ เป็นเด็กเสริฟ วันเสาร์-อาทิตย์ คือทำ�งาน 7 วันเลย สนุกสุดๆ พี่ๆที่ ร้านเค้าก็รู้เรื่องทุกอย่าง พร้อมกับตอนนั้นมีห้องข้างบนร้านอาหาร ว่างพอดี ขวัญเลยขนข้าวของออกมาเลยค่ะ แต่ก่อน ออกมาจากบ้าน ขวัญก็คุยกับโฮสนะ ไม่หนี เพราะถือคติไปลา มาไหว้ โฮสเค้าก็เข้าใจ และขวัญก็กลัวว่าทางเอเจนซี่จะมา จับส่งกลับไทย พอคุยกับโฮสเรียบร้อย ขวัญก็ออกมาจากบ้าน มาอยู่ห้องกั้นเล็กๆบนร้าน จ่ายค่าเช่าเดือนละ $100 ค่ะ อ่านไม่ผิดค่ะ ห้องกั้นในอเมริกา หนึ่งร้อยเหรียญถ้วน พวกพี่ๆลองจินตนาการกันเองนะคะ ว่าห้องมันจะขนาดไหน มันเล็ก มากจนแค่ซุกตัวนอนได้แค่นั้น แต่ตอนนั้น ขวัญไม่มีทางเลือกอื่น ก็ต้องอยู่แบบนี้ไปก่อน ตอนนั้นเอเจนซี่ก็โทรมา บอก ว่าจะยกเลิกวีซ่าบ้าง ยกเลิกประกันบ้าง และสุดท้ายเอเจนซี่เค้าไม่อยากจะรับผิดชอบขวัญค่ะ ในเมื่อดื้อไม่กลับไทย เค้าก็ ยกเลิกประกัน ยกเลิกวีซ่าเลย หลังจากนั้น 1 เดือน ประมาณเดือนตุลาคม 2012 พอทุกอย่างโดนยกเลิก ขวัญก็รักษาต่อที่ โรงพยาบาลไม่ได้ค่ะ ตอนนั้นขวัญเครียดมากเลยค่ะ
ทำ�ไมถึงไม่กลับไทย ไปอยู่ใกล้ๆครอบครัว ..
ขวัญก็คิดนะคะ ว่าไม่น่าจะดื้ออยู่ต่อ แต่ก็คิดเอาเองว่าตราบใดที่หลังยังไม่ติดกำ�แพง มันก็ต้องมีทางออกที่ดี และบางที การที่เราคุยกับคนเยอะๆ คนที่ให้กำ�ลังใจมันก็มี แต่คนที่มาพูดให้ใจท้อแท้มันก็เยอะนะคะ บางทีเค้าก็ไม่รู้หรอกว่าความ ตั้งใจเราเป็นยังไง หลายๆคนบอกให้กลับบ้าน แต่เป็นคนเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง มาก จึงตัดสินใจอยู่ต่อ ตอนนั้นคิดอยู่อย่างเดียว ว่าถ้ากลับไทยไปขวัญตายแน่ๆ เพราะคิดเอาเองแบบเด็กๆว่า เทคโนโลยีของอเมริกาคงดีกว่าที่ ไทย ทั้งๆที่ประเทศไทยเราตอนนี้คุณหมอเก่งๆก็เยอะแยะ แต่ทางบ้านขวัญไม่มีเงินค่ะ เลยรู้สภาพตัวเองเลยว่าต้องนอน ป่วยหนัก แล้วยังต้องให้คุณพ่อคุณแม่มาดูแลอีก อีกทั้งยังมาเห็นลูกอาการหนัก ด้วยแล้ว แน่นอนว่าท่านต้องเป็นทุกข์ ขวัญจึงบอกกับตัวเองว่า มันต้องไม่เป็นแบบนั้น อยู่ที่นี่ก็ยังทำ�งานได้บ้าง กลับไปพ่อแม่ไม่มีเงิน ต้องมาขายสมบัติเพื่อ เอาเงินมารักษาขวัญเหรอพี่ ขวัญไม่เอานะ ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น น้องสาวก็ยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ ขวัญยังต้องส่ง น้องเรียน ต้องส่งเงินให้น้องทุกเดือน กลับไทยไป เงินก็หายากนะคะ อยู่ที่นี่แหละ ดิ้นรนที่นี่แหละ รักษาไปให้ยาไป พอ หายแล้วค่อยกลับนะ ตอนนั้นขวัญคิดแค่นี้จริงๆค่ะ
พอประกันโดนยกเลิกแล้วรักษาต่อได้ยังไง?..
ถือว่าขวัญยังมีความโชคดีหลงเหลืออยู่บ้างนิดหน่อยค่ะ เพราะหลังจากผ่าตัด คุณหมอก็ส่งตัวขวัญไปหา คุณหมอทรีท เม้นอีกท่าน หรือคุณหมอที่ให้ยาเคมีบำ�บัดนี่แหละค่ะ จริงๆแล้วถ้าประกันไม่มีปัญหา ขวัญก็ สามารถรักษาทางเคมีบำ�บัด ต่อได้เลย แต่เอเจนซี่ยกเลิกทุกอย่าง ถึงตอนนี้ขวัญก็เป็นคนผิดกฎหมายเต็มรูปแบบแล้ว ซึ่งคุณหมอก็ทราบค่ะ แต่พอ อ่านเคสของขวัญแล้ว คุณหมอก็แนะนำ�ให้ไปฝากไข่ เพราะการทำ�คีโมมีผลที่จะทำ�ให้ไข่ฝ่อ แล้วก็จะไม่สามารถมีลูกได้อีก ตลอดชีวิต ซึ่งพอได้ฟังแบบนั้น ตอนนั้นหูอื้ออีกแล้วค่ะพี่ เพราะขั้นตอนของการฝากไข่ มันรอนาน เพราะไหนจะต้อง รอฉีดยาให้ไข่ตก รอเก็บไข่ แล้วก็ต้องมาตรวจดูอีกว่าไข่มีประสิทธิภาพพอ สำ�หรับการตั้งครรภ์ในอนาคต วุ่นวายสุดๆ ไปเลย เพราะขวัญคิดว่าแค่ช้าไป 1 วัน นั่นก็หมายถึงความเป็นความตาย ของขวัญแล้วนะ เลยตัดสินใจไม่ฝากไข่ค่ะ เอา ชีวิตวันนี้ให้รอดก่อนดีกว่า และเมื่อตัดสินใจได้แบบนั้น ขวัญก็เลยนัด คุณหมอ สำ�หรับการรับยาคีโมตัวแรก โดยตอน นั้นมีองค์กรช่วยเหลือของโรงพยาบาลเรียกว่า Social Worker เขาเข้ามาช่วยขวัญสมัคร Charity Care และก็ผ่านค่ะ แต่ Charity Care ไม่ครอบคลุมค่าหมอนะคะ แต่ครอบคลุมค่ายา ซึ่งขวัญคิดว่าก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
วันที่ได้รับยาคีโมครั้งแรกเป็นยังไงบ้าง?.. ขวัญได้เริ่มรับยาคีโมตอนเดือน พฤศจิกายน 2012 (หลังจากผ่าตัดได้สองเดือน) ยอมรับเลยค่ะว่ากลัวมาก เพราะไม่รู้ ว่าจะต้องเจอกับอะไรต่อจากนี้ แต่ก็แบบว่า สูดหายใจเฮือกใหญ่อีกหนึ่งเฮือก กว่าจะเล่าจบนี่สูดหายใจเยอะ หน่อยนะคะ ฮ่าๆๆ ขวัญบอกกับตัวเองเสมอว่าต้องไปต่อ ต้องเดินต่อไปข้างหน้า ตบไหล่ตัวเองแล้วพูดว่า ไหวนะขวัญ เราต้องไหว ช่วงนั้น ขวัญนั่งรถบัสจากร้านอาหารไปโรงพยาบาล ซึ่งอยู่ห่างกัน 45 นาที ตอนนั้นก็เริ่มหนาวแล้ว ร้านอาหารตาราง ก็เต็ม ได้ลงแค่สองวัน ซึ่งก็พอได้เงินมาจ่ายค่ารถกับค่าโทรศัพท์เท่านั้นค่ะ ค่าโทรศัพท์ก็ต้องจ่าย เพราะโรงพยาบาลจะ ต้องโทรมานัด ตอนที่อยู่โรงพยาบาลให้ยา ขวัญนั่งอยู่บนเก้าอี้คนไข้คนเดียว อยู่ประมาณ 3 ชั่วโมง มองไปรอบๆ เห็น คนอื่นเค้ามีญาติพี่น้องมาเฝ้าทั้งนั้น ทำ�ไมเราไม่มี ตอนคิดก็น้ำ�ตาตกค่ะพี่ แต่ก็บอกกับตัวเอง ตั้งแต่ตัดสินใจอยู่ที่นี่ แล้วว่า จะต้องช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด ทุกๆครั้งที่ให้ยาเสร็จ ขวัญก็จะนั่งบัสกลับบ้าน คนเดียว ไม่ว่าอากาศจะ หนาว หิมะจะตกหนัก หรือฟ้าจะถล่มยังไง ขวัญก็ต้องไปค่ะ ขวัญเชื่อฟังคุณหมอมาก ไม่เคยผิดนัดเลยนะคะ เพราะกลัวว่า เดี๋ยวจะไม่หาย ตอนเดินฝ่าหิมะหลังจากรับคีโมเสร็จใหม่ๆ ขวัญต้องล้มลุกคลุกคลานหลายรอบมากกว่าจะถึงบ้านได้... อาการหลังจากได้รับยาคีโมวันแรก ยังไม่รู้สึกอะไรมากค่ะ แต่ที่ปรากฏให้เห็นชัดเจนเลยคือ อ่อนเพลีย เดินไม่ไหว คลื่นไส้ และหลังจากได้รับยามา 2 อาทิตย์ ตื่นเช้ามาผมก็ร่วงติดหมอนเต็มไปหมดเลยค่ะ เอามือสางออกมานี่ หลุด ออกมาตามมือเป็นกระจุกๆเลย ขวัญเป็นคนผมยาวถึงหลังนะคะ แต่ก่อนหน้านั้น ขวัญตัดให้สั้นประบ่า เพื่อเตรียมตัวใน การรับคีโมนี่แหละค่ะ ตอนนั้นทำ�ใจไม่ได้เลยค่ะ มันเหมือนกระชากวิญญาณขวัญ ตั้งแต่ตัดผมแล้วค่ะพี่ แต่ไหนๆผมก็ร่วง แล้ว ขวัญก็เลยตัดสินใจโกนหัวตัวเองซะเลยค่ะ ยืนมองตัวเองหน้ากระจก แล้วก็พูดกับตัวเองว่า “ก็เท่ห์ดีนะเนี่ย” ฮ่าๆๆ
ต้องได้รับการรักษาทั้งหมดกี่คอร์ส?..
เท่าที่จำ�ได้ ขวัญต้องรับยาคีโมตัวท๊อปๆแรงๆ คือจำ�ชื่อไม่ได้เหมือนกันค่ะ ต้องได้ทั้งหมด 6 ครั้ง โดยแต่ละครั้งจะเว้น ระยะห่าง 2 อาทิตย์ หลังจากนั้นก็จะเป็นยาตัวอื่นๆ ซึ่งมีผลข้างเคียงน้อยกว่าค่ะ โดยรอบแรกที่ได้รับ ขวัญก็ยังอาการโอ เคค่ะ ทรงตัว แต่มาแพ้ตอนรอบที่ 2 เพราะเกล็ดเลือดของขวัญต่ำ�มาก แล้วทำ�งานร้านอาหารด้วยค่ะพี่ พอรับยามาเสร็จ ก็ต้องมาเดินเสิร์ฟอาหาร พี่ลองนึกถึงซอมบี้เวอร์ชั่นเสริฟอาหาร นะคะ ไม่ต่างอะไรจากขวัญในตอนนั้นเลย และยิ่งใน ร้านอาหารเวลาหน้าหนาว คนมากหน้าหลายตาเข้ามา เป็นหวัดบ้าง ไอบ้าง จามบ้าง แล้วขวัญตอนนั้นมีเกล็ดเลือดขาว ต่ำ� ก็ยิ่งติดเชื้อง่ายมาก ไข้สูง ปวดหัว ตัวร้อน ปวดตัวแบบปวดไปถึงกระดูกดำ�เลยค่ะ ขวัญจึงโทรหาคุณหมอ คุณหมอเลย เรียกให้ไปนอนดูแลที่โรงพยาบาลค่ะ วันปีใหม่พอดิบพอดีเลย สวัสดีปีใหม่กันในโรงพยาบาลนั่นแหละค่ะ นอนโรง พยาบาล 4 คืน ขวัญรับยาฆ่าเชื้อ จนตัวบวมเลยค่ะ ตอนนั้นอยู่ห้องฉุกเฉิน ไม่มีห้องส่วนตัวนะคะ พี่ลองนึกภาพคนไข้ นอนบนเตียงรถเข็น อยู่ทางเดินออกมั๊ยคะ ขวัญเป็นแบบนั้นเลย ความดันก็ต่ำ� เดินไปไหนไม่ได้ จะลุกไปเข้าห้องน้ำ�เอง คุณพยาบาลก็มา สกัดดาวรุ่งตลอด คือเค้าคงกลัวขวัญจะหกล้มหน้าคะมำ� ฮ่าๆๆ หลังจากนอนโรงพยาบาลมา 4 คื น อาการก็ดีขึ้น ก็เลยออกจากโรงพยาบาลค่ะ วันนั้นเข้าใจความรู้สึกของนักโทษที่พ้นโทษเลยค่ะพี่ เก็บข้าวของเสร็จ ขวัญก็ รีบ ดีดตัวออกจากห้องฉุกเฉินอย่างไวเลยค่ะ ถ้าติดเทอร์โบที่เท้าได้ขวัญก็คงติดละค่ะ ฮ่าๆๆๆ
เวลาแพ้ยาคีโม ต้องเว้นระยะเวลานานมั๊ยกว่าจะกลับมาให้ยาต่อได้อีก..
ก็พอสมควรค่ะ คุณหมอเห็นว่าร่างกายขวัญอ่อนแอมาก และถ้ายังฝืนให้ยาตัวเดิมไปอีก เกรงว่าร่างกายจะรับไม่ไหว เลย หยุดการให้ยาไว้ประมาณ 2 อาทิตย์ค่ะ หลังจากนั้นก็มารักษาต่อ แต่เกล็ดเลือดก็ยังต่ำ�มาก คุณหมอก็เลยเปลี่ยนแพลน การรักษา โดยให้ยาเพิ่มเกล็ดเลือด โดยยาตัวนี้จะต้องฉีดทุกวันจนครบ 1 อาทิตย์ ทำ�ยังไงล่ะค่ะทีนี้? ขวัญก็ต้องไปตาม หมอนัด ตื่น 7 โมงเช้าทุกวัน นั่งรถไปโรงพยาบาล รอคุณหมอ กลับมาถึงที่ร้าน ก็เป็นเวลาทำ�งานพอดี 11 โมงเช้า เดิน เป็นซอมบี้เสิร์ฟอาหารจนถึงสามทุ่มครึ่ง ชีวิตเป็นแบบนี้ทุกวัน อาการขวัญก็ ไม่ปกติทุกวันเหมือนกันค่ะ ปวดเนื้อปวดตัว ปวดกระดูกตั้งแต่หัวลงไปถึงปลายเท้า บางทีได้กลิ่นอาหารก็จะเป็นลม เลยนะคะ หน้ามืด การทานอาหารนี่ไม่ต้องพูดถึง เลยค่ะ ทานไม่ได้เลย น้ำ�หนักก็ลดลงฮวบๆ ผมก็เกลี้ยงหัว ใส่วิกเสิร์ฟอาหาร พวกแมคซิกันที่ทำ�งานในครัวก็หัวเราะขวัญ บอกตรงๆเวลาเห็นคนอื่นเค้ามีผมกัน ในขณะที่เราหัวล้าน มันหดหู่มากเลยนะคะพี่ ขวัญก็ได้แต่สูดหายใจอีกเฮือก บอกกับ ตัวเองว่า เดี๋ยวผมเรามัน ก็จะขึ้นมาใหม่นะขวัญนะ คนพวกนั้นก็ให้เค้าหัวเราะไปเถอะ ไม่ได้มีผลอะไรต่อชีวิตเราซักหน่อย
ตอนทำ�งานเสิร์ฟ เราทำ�ได้ไม่เต็มที่แล้วมีผลกระทบอะไรมั๊ย..
ก็มีเยอะเลยค่ะ นี่ดีตรงที่ถ้าเป็นที่อื่นเค้าคงไม่รับทำ�งาน แต่โชคดีตรงที่ขวัญกับพี่เจ้าของร้านสนิทกัน เค้าเลยให้โอกาส ขวัญได้ทำ�งานต่อ บางวันก็ไม่ไหว รู้สึกว่าเราเอาเปรียบเพื่อนร่วมงานรึป่าว แต่ก็ดีตรงที่เค้าก็ช่วยขวัญเต็มที่มากๆ ทุกๆ คน พอรับการรักษามาได้ครึ่งนึง ก็เริ่มไม่ไหวแล้วค่ะ มันเหนื่อย มันมืด จิตใจหดหู่มาก กำ�ลังใจก็ต้องสร้างขึ้น มาเองนะ เพื่อนไม่รู้ ครอบครัวไม่รู้ นั่งนับวันนับเดือนทุกวันว่าเมื่อไรจะถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2014 สักที เพราะเป็น วันที่จะได้รับยาค รบทุกตัว ขวัญเลยตัดสินใจบอกพ่อว่าเป็นอะไร จริงๆแล้วขวัญสนิทกับพ่อมาก คุยกับท่านได้ทุกเรื่อง แต่ก็ยังไม่กล้าบอก ในตอนแรก แต่พอมันไม่ไหวแล้ว ตัวขวัญเองก็ต้องการกำ�ลังใจ วันที่โทรหาพ่อ ขวัญก็ร้องไห้โฮ ทางโทรศัพท์ทางไกลนั่น แหละ พ่อตกใจมาก เพราะตั้งแต่โตมา ขวัญไม่เคยร้องไห้หนักขนาดนี้กับพ่อเลย แต่พอพ่อพูดมาหนึ่งคำ�ว่า “กลับบ้านมั๊ยลูก?” ขวัญร้องไห้หนักกว่าเดิมอีกค่ะ ... แต่ขอบอกว่าการตัดสินใจ บอก ครอบครัวก็ดีนะคะ เพราะได้กำ�ลังใจขึ้นมาเยอะมากเหมือนกันค่ะ วันนั้นขวัญขออนุญาตวางสายไป แบบไม่ไหว บอกกับตัว เองว่า กลับไทยเถอะขวัญ เพราะถ้าเป็นอะไรไปก็ยังได้เห็นหน้าพ่อแม่ จะดื้ออยู่อีกทำ�ไม? ขวัญปิดโทรศัพท์ นั่งอยู่ในห้องคุยกับตัวเองอีกแล้ว “ถ้าชั้นกลับตอนนี้ก็หมายความว่าชั้นยอมแพ้หน่ะสิ” สูดหายใจเฮือก ใหญ่อีกรอบ เอาวะชั้นจะสู้กับมันให้ตายกันไปข้างนึง! แล้วขวัญก็ตัดสินใจอยู่ต่อ สู้ต่อค่ะ ตอนนั้นบิลจากทางโรงพยาบาลก็ส่งมาทวงที่บ้านโฮสยิกๆ โฮสเค้าก็ติดต่อขวัญ ตลอดนะ เอาเมล์มาให้ที่ร้านประจำ� เปิดดูก็เป็นเงินรวมๆก็ $60,000 กว่าแล้วค่ะ นี่แค่นอนรพ. 3 คืน + 4 คืนตอนแพ้ยา ทุก อย่าง ไม่ว่าจะเป็น ค่ายา, ค่าผ่าตัด นี่ยังไม่รวมค่าคุณหมออีก $20,000 ตอนนั้นประกันก็จะไม่ยอมจ่ายค่ะ เพราะเค้าคิดว่า ขวัญป่วยมาจากเมืองไทย แต่แล้วพอเอเจนซี่หาหลักฐานไม่ได้ เค้าก็ต้องเคลียร์ค่าใช้จ่ายทุกอย่างให้ อันนี้ก็ต้องใช้เวลา เป็นปีเหมือนกันค่ะ กว่าเรื่องจะจบ
ระหว่างการรักษา ตอนนั้นอาการดีขึ้นเล็กน้อย ขวัญก็ได้เจอกับฝรั่งที่ร้านอาหารไทยที่ทำ�งานอยู่ เขามาทานอาหาร
กับ เพื่อนๆบ้าง มาคนเดียวบ้าง แต่มาบ่อยมากค่ะ จนได้คุยกันและเดทกันในที่สุด ตอนนั้นขวัญหัวใจพองโตมาก เขาเป็น ครูสอนมวยไทยค่ะ!! ฝรั่งสอนมวยไทย!! เขาชอบทุกๆอย่างที่เป็นไทย อาหารไทย, หนังไทย รวมถึงผู้หญิงไทยอย่างขวัญ ด้วย เดทที่ 2 ขวัญตัดสินใจบอกเขาว่าตอนนี้ป่วยเป็นอะไร และคิดว่าถ้าเขารับได้ ก็ได้ไปต่อ ซึ่งแน่นอนค่ะว่าเขาได้ไปต่อ จากที่จิตใจหดหู่เหี่ยวๆแห้งๆ ก็กลับมีกำ�ลังใจมาเยอะเลยคะ พอคบกันได้สักพัก ขวัญก็ย้ายไปอยู่ที่อพาร์ตเมนต์ของเขาค่ะ โดยความรักเริ่มผลิบานขึ้นเรื่อยๆ พี่ค่ะ คือก่อนหน้านี้ขวัญสู้คนเดียว มาตลอดอย่างที่เล่า แต่พอมีคนพาไปโรงพยาบาล ขับรถไปรอตอนฉายแสงเช้าๆ มีคนคุยด้วยตอนนั่งรับยา ขวัญคิดว่านี่คงเป็นฟ้าหลังฝนสินะ คิดว่าชีวิตอะไรจะมีความสุข ขนาดนี้ ความรักสุกงอมขึ้นเรื่อยๆอีก จนวันนึงเค้า ก็พูดว่า “คุณพร้อมรึยังที่จะมาเป็นมิสซิสแคนแทรล” ในใจขวัญก็กรี๊ด แตกนะคะพี่ เหมือนหนังฝรั่งที่เคยดูเลย ฮ่าๆๆ แล้วคือจะบอกยังไง? ในใจคิดเลยว่า ยังไม่ได้พร้อมที่จะอยู่กับเค้านะ คิดว่ายังไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ดีพอเลย แต่ก็เอาเถอะ เขา อายุ 42 ปีแล้ว คงไม่ล้อเล่นแล้วล่ะ และที่ผ่านมาด้วยกันก็แสดงให้เห็นว่าเค้าก็ดูแลขวัญได้จริงๆ และคำ�ตอบก็คือ
“I
do” ค่ะ หลังจากนั้น 1 เดือน เราก็จัดพิธีเล็กๆในโบสถ์ โดยมีบาทหลวงกับเพื่อนที่สนิทๆประมาณ 20 คน ไปเลี้ยง กันที่ ร้านบุฟเฟ่ต์เล็กๆในเมืองที่พักอยู่ ความรักสุกงอมมากๆค่ะ อาการป่วยก็หายวันหายคืน เริ่มออกมาหางานใหม่ มาเลี้ยง เด็กแบบเดิม แต่ตอนนั้นขับรถอะไรไม่ได้เลย เพราะใบขับขี่หมดอายุ ไม่มีวีซ่า หน้าตาก็เหมือนต่างด้าวอีก ฮ่าๆๆ หลังจาก นั้นก็ได้งานเป็นพี่เลี้ยงเด็กกับครอบครัวชาวอินเดียค่ะ คิดว่าชีวิตนี้ปลอดภัยจัง มีคนดูแลกันและกันแบบนี้ นี่สินะฟ้าหลัง ฝนของจริง (ยืนมโนทุกวันตลอด 2 เดือนที่เปลี่ยนสถานะ โดยระหว่างนั้นก็ดำ�เนินเรื่องขอกรีนการ์ด โดยค่าเอกสาร $1500 (45,000 บาท) ขวัญไม่มีเงินเลยค่ะ ถามเค้าก็บอกว่า “ชั้นก็ไม่มีเหมือนกัน” ขวัญเลยต้องพัก การทำ�เรื่องไว้ก่อน คิด ในใจตอนนั้น น้อยใจเหมือนกันนะคะ ว่าทำ�ไมไม่รีบช่วยให้เราได้ใบเร็วๆ สรุปว่าชั้นต้องออกค่าเอกสารเองใช่มั๊ย... และ แล้วพฤติกรรมต่างๆของเค้าก็เริ่มเปลี่ยนไป แบบแปลกๆ แต่ขวัญก็ไม่ได้ คิดอะไรมาก เพราะคิดว่า ตัวเองคิดมากไปเองว่า มันแปลก แต่ความแปลกมันก็ชัดมากขึ้นทุกๆวันค่ะ คือด้วยความที่เรายังใหม่กับวัฒนธรรมอเมริกันหรือป่าว เพราะต่อมา เค้าบอกให้ขวัญช่วยหารค่าบ้าน และค่าใช้จ่าย ขวัญพูดอะไรไม่ออก เพราะกำ�ลังอึ้ง! เลยขอเวลานอก ไปนั่งทำ�ใจแล้วคิด ว่า เฮ้ยมันใช่รึป่าว? ไหนบอกจะมาดูแลกันไง? ขวัญไม่เดือดร้อนที่จะจ่ายนะคะ เพราะขวัญเองก็เป็นคนทำ�งานเลี้ยงตัวเอง และครอบครัวอยู่แล้ว ถ้าจะจ่ายก็เพราะ ไม่อยากให้เค้าดูถูกว่ามาเกาะเค้ากิน แต่พี่คะ ถ้าจะให้หารทุกอย่าง ขวัญหารกับเพื่อน ก็ได้มั้ย!! ไม่ต้องมีสามีให้ปวดหัวหรอก!.... และแล้วก็มาถึงวันดีเดย์ค่ะ ตอนนั้นได้งาน 2 ที่ คือเป็นแนนนี่กับครอบครัว อินเดีย ที่ทำ�อยู่ กับครอบครัวคนไทยค่ะ ทำ�งานตั้งแต่ 7am- 8pm. ค่ะ จันทร์-ศุกร์ !! วันละ 13 ชม. เพื่อหาเงินมาจ่ายบิล ต่างๆ แต่ที่บอกว่าดีเดย์นี่คือ วันนั้นขวัญเลิกงานเร็วกว่าเดิม 1 ชม.ค่ะ เลยจะแอบไปเซอร์ไพรส์เค้าที่ทำ�งาน แต่กลับเจอ เซอร์ไพรส์ซะเองค่ะ!! แบบเซ้นส์บอกเลยว่ามันมีอะไรแน่ๆ เพราะโทรหาก็ไม่รับ แล้วมันก็มีอะไรแปลกๆ เยอะก่อนหน้านั้น พอเข้าไปข้างในโรงเรียน เจอจังๆเลยค่ะพี่ คำ�ตอบเรื่องพฤติกรรมแปลกๆที่เคยสงสัย ขวัญได้คำ�ตอบหมดเลยค่ะพี ่
เจอแบบนี้แล้ว น้องขวัญทำ�ยังไงต่อ?.. ขวัญก็เดินออกมาจากชีวิตเค้าเลยค่ะพี่ อย่างอื่นพอไหวนะ แต่การที่จะเดินออกมาจากชีวิตใครสักคน มันต้องใช้ ความกล้า มากเลยนะ แต่นอกใจขอไม่เอา ฮ่าๆๆ เรามีสิทธิ์เลือกก็สะบัดบ๊อบไป เจอแบบนั้นอีก ขวัญไปต่อไม่ไหวจริงๆ ตอนนั้น รู้สึกมืดมิดมากนะ พอเจอแบบนั้นก็คุยกับเค้า แต่เค้ายังโกหกทุกอย่างว่ามันไม่มีอะไร แต่มาแน่ใจหลังจากนั้น สองวันว่า มันคือเรื่องจริง ตอนไปหยิบมือถือเค้ามาดู แล้วเห็นทุกอย่างเลยค่ะ ถ่ายรูปหน้าจอไว้ด้วย รูปถ่ายที่ เค้าถ่ายด้วยกันและ บทสนทนาในโทรศัพท์ และพอเค้ารู้ว่าขวัญมีหลักฐาน เค้าก็ย้ายออกจากบ้านไป ขวัญเสียใจนะ แต่ไม่ร้องไห้ให้เค้าเห็นเลย
รู้สึกว่าต้องแสดงออกให้ได้ว่าไม่มีเค้าในชีวิต เราก็ดูแลตัวเองได้ แต่เปล่าเลย ตอนอยู่คนเดียวขวัญร้องไห้เป็นเผา เตาเลยค่ะพี่ สภาพจิตใจแย่กว่าตอนป่วยอีก ไม่ได้เว่อร์นะคะ ใครไม่เจอกับตัว ไม่รู้จริงๆ คนที่เราจะฝากชีวิตไว้ แล้วเขา ก็เข้ามาตอนที่เรากำ�ลังแย่ ใครจะไปคิดว่าเค้าจะทำ�กับเราแบบนี้ ขวัญก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พ่อฟัง ไม่มีใครจะเข้าใจเรา มากกว่าครอบครัวจริงๆนะคะ พ่อพูดมาว่า “กลับบ้านมั๊ยลูก ใครไม่รัก พ่อรักของพ่อนะ” พอสิ้นคำ�นี้ พี่เชื่อมั๊ยว่าขวัญ ร้องไห้หนักกว่าเดิมอีก แต่คำ�พูดของพ่อ เป็นพลังมาก หลังจากวันนั้นขวัญก็พูดกับตัวเองว่า “ชั้นเป็นแบบนี้นานไม่ได้! ต้องลุกขึ้นมาให้เร็วที่สุด” และหลังจากนั้นก็ทำ�งาน เก็บเงินพอที่จะซื้อรถมือสองได้ พอครบเดือนก็หาบ้านใหม่ ตอน นั้นทำ�งานเลี้ยงเด็กอยู่ที่บ้านคุณสุจิตรากับคุณสุโชติ ปาลีวงศ์ คุณสุจิตราเหมือนนางฟ้ามาโปรดเลยค่ะ ช่วยเหลือทุก อย่าง ระหว่างนี้ก็ทำ�เรื่องขอกรีนการ์ด และก็ได้ กรีนการ์ดมา ตอนมีนาคม 2013 โดยระหว่างนั้น ขวัญก็รักษาไปถึงการรับ ยาตัวสุดท้าย และพอจบคอร์สยา ก็ไปฉายแสงข้างซ้ายที่เป็นมะเร็งอีก 28 ครั้ง และสิ่งที่ต้องทำ�ต่อไปคือ การไปตรวจ เลือดหาเซลล์พันธุกรรม ตรวจเลือดหาเซลล์มะเร็ง หรือที่เรียกว่า Genetic ซึ่งถ้าผลอ่านค่าออกมาว่ามันไม่โอเค ก็ จะต้องรักษากันต่อไปอีกค่ะ แต่ผลออกมาว่า ทุกอย่างไม่มีอะไรที่หน้าเป็นห่วง ในเดือนกุมภาพันธ์ 2014 ตอนนั้นคือ Cancer free คือไม่มีเซลล์มะเร็ง ในร่างกายอีกแล้ว พี่ค่ะ ตอนนั้นมันไม่รู้จะอธิบายเป็นคำ�พูดยังไง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ พบที่เจอมา จนมาถึงวันนี้ ตั้งแต่ สิงหาคม 2012 ถึงกุมภาพันธ์ 2014 การรักษามาเกือบ 2 ปี กับชีวิตที่ลำ�บากมากถึงมาก ที่สุดที่ขวัญได้เจอมา วันที่หมอบอกว่าขวัญหายแล้ว และสามารถออกมาใช้ชีวิตแบบปกติได้สักที ไม่ต้องหาหมอทุกวัน ไม่ต้องใส่วิก เพราะผมขึ้นแล้ว กลายเป็นสาวผมสั้นเฟี้ยวฟ้าวไปเลยค่ะ ฮ่าๆๆ และหลังจากที่คุณหมอบอกว่า cancer free ขวัญก็ยังต้องมาตรวจเลือดอีกทุกๆ 3 เดือน และมียาที่ต้องกินทุกวันชื่อ Tamasafen ค่ะเป็นยาต่อต้าน ฮอร์โมนเอสโต เจ้นค่ะ ตอนนี้จาก 3 เดือนก็ตรวจทุกๆ 6 เดือน ทุกอย่างสบายหายห่วงค่ะ และตอนเดือนธันวาคม 2014 ได้ทำ�การผ่าตัด เสริมหน้าอกถาวรค่ะ บึ๊มกว่าของเดิมที่เคยมีอีก ฮ่าๆๆ
เคยคิดว่าตัวเองโชคร้ายบ้างมั๊ยที่เจอเรื่องแบบนี้..
เป็นธรรมดาค่ะพี่ ไม่คิดก็แปลกแล้ว หนึ่งในหมื่นคนได้เลยนะคะกรณีแบบขวัญเนี่ยะ แต่ตอนนี้กลับคิดว่า ตัวเองโชคดี มากกว่าที่เจอกับมรสุมร้ายๆ แล้วก็ผ่านมันมาได้ คนป่วยมีความทุกข์ แต่หลายๆคนที่ไม่ป่วยก็มีทุกข์ เหมือนกัน ทั้งต้อง เผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจ หรือปัญหาต่างๆรอบตัว ฉะนั้น ทุกข์ที่เกิดจากการเจ็บป่วยครั้งนี้ จึงถือว่าตัวเองโชคดีค่ะ และมัน ก็ทำ�ให้ขวัญหันมาดูแลตัวเองมากขึ้น และก็ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต ขวัญไปโรงพยาบบาลทุกวัน จนมองเห็นถึงสัจธรรม รอบตัว ทุกวันนี้พอเจอปัญหาเยอะๆขวัญก็จะหัวเราะให้กับมัน ไม่ได้เสียสตินะคะพี่ ฮ่า ๆๆ แค่พูดกับตัวเองว่า เดี๋ยวมันก็ ผ่านไป... แล้วมันก็จะผ่านไปค่ะ
ปัจจุบันทำ�งานอะไรอยู่ ยังเลี้ยงเด็กอยู่รึป่าว..
ปัจจุบันอย่างที่บอกว่า บ้านคนไทยที่มาอยู่ด้วย ก่อนหน้านี้ขวัญเลี้ยงหลานๆของบ้านนี้ 3 คน คุณสุจิตรา เป็นนักธุรกิจ รายใหญ่ในนิวยอร์ค คุณสุจิตราหรือคุณยายของเด็กๆก็จะสั่งงานทางโทรศัพท์ที่บ้าน แล้วก็เลี้ยง หลานๆไปด้วย ขวัญ เองก็ได้ช่วยคุณสุจิตรารับโทรศัพท์บ้าง จนคุณสุจิตราคงเห็นแววในตัวขวัญมั้งคะ เลยส่งไปฝึกลงตลาด แล้วท่านก็เห็น ว่าขวัญทำ�ได้ จนสุดท้ายได้เป็นพนักงานเต็มตัวกับตำ�แหน่ง พีอาร์มาเก็ตติ้ง ให้กับปาลีวงศ์เทรดดิ้งตั้งแต่เดือนเมษายน 2014 จนถึงปัจจุบันค่ะ และนอกจากงานประจำ� ขวัญก็ยังขายของออนไลน์ และมีไปเรียนเพิ่มเติมด้วยค่ะ เพราะขวัญเป็นคน ไฮเปอร์ค่ะ อยู่เฉยๆไม่ได้เลย
สุดท้าย อยากจะฝากอะไรถึงผู้อ่านบ้าง..
สุดท้ายแล้วเหรอคะ กำ�ลังสนุกเลย ฮ่าๆๆ ขวัญก็อยากจะฝากไว้ว่า ชีวิตคนเรามีขึ้นมีลงเป็นเรื่องธรรมดานะคะ อยู่ที่ว่า เราจะรับมือกับมันยังไง บางทีการที่เรามัวแต่คิดว่าสิ่งที่เกิดขี้นมันแย่ ขวัญก็อยากให้ลองมาคิดดูใหม่ ว่าจงเรียนรู้และ ทำ�ความรู้จักกับมัน และรู้จักที่จะอยู่กับมันให้ได้ ไม่ว่าผลที่จะตามมาจะเป็นยังไง ก็ให้บอกกับ ตัวเองว่าเราจะทำ�ให้ดีที่สุด แล้วลงมือทำ�มันซะ ใครที่กำ�ลังป่วย หรือมีคนที่ป่วยไม่ว่าเป็นอะไรก็แล้วแต่ หรือแม้แต่คนที่เจอปัญหาอยู่นะคะ ขอให้ ผ่านมันไปให้ได้ พูดกับตัวเองว่า Yes I can! ให้สมองมันจดจำ�ว่า “ชั้นทำ�ได้”!! แล้วร่างกายจะตอบสนองแบบนั้นค่ะ และถึงแม้เทคโนโลยีที่บ้านเราอาจจะไม่ได้สูงเหมือนเมืองนอก แต่อย่างที่บอกค่ะ โรคนี้คือโรคกำ�ลังใจและการมอง โลกบวก มีคนที่ขวัญรู้จัก รับการรักษาที่เมืองไทยก็หายมาแล้วหลายราย อยากให้คนที่กำ�ลังเผชิญกับมะเร็งโง่ๆ (Stupid Cancer ฝรั่งเค้าเรียกแบบนี้ค่ะ) ให้สู้นะคะ โรคทุกโรคและปัญหาต่างๆ ที่คุกคามชีวิตคนเราไม่ว่าจะอะไรก็แล้วแต่ อย่ามัว แต่นั่งโทษตัวเองนะคะ เพราะมันจะทำ�ให้จิตใจหดหู่ และมันจะยิ่งคุกคามเรามากขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ความผิดของเรา ขวัญคิดว่ามันคือสิ่งที่มนุษย์เราโดนทดสอบ มากกว่า และสิ่งที่เกิดขึ้นมันทำ�ให้ขวัญพบว่า “โลกนี้ไม่มีที่ยืนสำ�หรับคน อ่อนแอ” เพราะขวัญเป็นคนป่วยมาเอง เข้าใจทุกอย่างดีมาก วันนี้ขวัญดีใจที่ประสบการณ์ของขวัญจะช่วยให้หลายๆคนที่ อ่านมีกำ�ลังใจกันต่อไปค่ะ สุดท้าย ขวัญอยากจะขอขอบพระคุณกำ�ลังใจจากตัวเอง กำ�ลังใจจากครอบครัว ทุกๆคนที่ผ่านมาในชีวิตขวัญ และให้ความ ช่วยเหลือขวัญ ขอบคุณพี่หนู ร้านอาหารกระเทียม ขอบคุณโจที่เข้ามาให้กำ�ลังใจแม้จะเป็นช่วงสั้นๆ ขอบคุณครอบครัว ปาลีวงศ์สำ�หรับการช่วยเหลือและให้โอกาสขวัญ จนมีงานที่ให้ขวัญได้พิสูจน์ความสามารถ ในปัจจุบัน ขอบคุณตาน กวาง ที่อยู่ด้วยกันตอนแย่ๆ ไม่มีเพื่อนนี่แย่เหมือนกันนะคะ ขอบคุณเจสัน(แฟนคนปัจจุบัน) ที่ดูแลและเข้าใจกันมาตลอด และที่ขาดไม่ได้คือ ขอบคุณพี่ๆทีมงาน Be Varietyค่ะ ที่นำ�เรื่องราวของเด็กผู้หญิงหนึ่ง มา ถ่ายทอดผ่านหนังสือเล่มนี้ค่ะ ขอบคุณทุกๆคนมากค่ะ.
Do you ever think about how much pain a human can take? How people move on when terrible things happen in their lives? How do you get past that by yourself without anyone helping? All of those questions my friends have asked me and I don’t have answers for them. All I can say to them is that you will never know how strong you are until being strong is the only choice that you have. Back in the summer 2012, soon after I came back from vacation, I found something not normal in my body while taking a shower. I found a small lump on my left breast. I didn’t know what to do. That lump bothered and worried me a lot. After I found it, it grew so fast that I couldn’t sleep on my left-side anymore. The family that I used to work with was gone on vacation and I didn’t have anyone else in the United States except this family. I couldn’t contact them because they were out of the country and I couldn’t wait any longer because it started to hurt a lot. I went online to find a doctor and I found a doctor that had very good reviews. I went to his office that day and talked to him. He is a very kind person by the name of Doctor McCain. When he felt the lump in my breast his face didn’t look good and that made me even more worried. He then sent me to have an ultrasound and biopsy. The result came out 3 days later and found that I had Stage 3 Breast Cancer. You couldn’t believe how terrible I felt when he told me that. My ears, my eyes and my brain stopped working suddenly but I didn’t cry. Is that weird? I think at that time I was just so shocked that I couldn’t believe what I heard. I asked myself, why me? I’m too young to get cancer. I was 26 when I was diagnosed. I had to undergo a lot of tests like the MRI, PETscan, CATscan, and CTscan. I had to do a lot of blood work to get ready for the surgery, but it wasn’t that easy because the agency that I used to work with wanted to send me back to Thailand. I didn’t want to go back because I knew that the United States had better medical tools than Thailand. My day of surgery came and I was operated on for 4 hours. I got a double mastectomy and received implants. After my big operation I stayed in the hospital for 3 days by myself. It was the most terrible recovery of my life because I threw up all night long and I was in a lot of pain. 3 days later I was feeling slightly better and my friend picked me up and brought me home. I went back to work 1 week after that. It was a very short recovery for me but I had no choice. The agency continued bothering me and wanted to send me back to Thailand again, but I left that job for good. I got a new job at a Thai restaurant and I worked there while I was going through chemo treatment. That is a very tough job for someone going through treatment. I should have been sleeping instead of serving, but again I had no other choice. All my hair was gone and I had to wear a wig. My body was so weak and I didn’t know how long I could handle it. I was allergic to the treatment and had to go to the Emergency room for 4 nights, and again no one visited me, so I had to help myself as much as I could. Finally, after 2 years I made it through the treatment. I don’t have cancer cells anymore and I finished all my therapy. I need to follow up with the doctor every 6 months. I have no words to explain how I feel because I’ve been through a lot with this experience and it made me strong and taught me to never give up in life. Cancer can take away my physical ability but it could never touch my heart and my soul. In conclusion I would like to say thank you to the doctor, my friends, my family, and all the people who had helped me. I’m so blessed. Right now I would like to say thank you to my boyfriend Jason’s family for making me feel that America is my home. Now I know that I’m not alone anymore
Kwan