รัตติกาลแห่งนกเคอร์ลิว

Page 1

รัตติกาลแห่งนกเคอร์ลิว !

!

ชัยณรงค์ สมิงชัยโรจน์ แปล จาก The night of the curlews ใน Innocent Erendira and other stories

เราทั้งสามนั่งที่โต๊ะ มีเสียงหยอดเหรียญแล้วตู้เพลงก็เล่นเพลงเดิมซ้ำอีกรอบ จากที่เล่น มารอบแล้วรอบเล่าตลอดคืน เหตุการณ์ต่อจากนั้นอุบัติขึ้นเร็วจนเราคิดไม่ทัน ตั้งตัวไม่ทัน มัน อุบัติขึ้นก่อนที่เราจะทันตั้งหลักได้ว่าเรากำลังอยู่ที่ไหน คงแต่จมอยู่กับความเคว้งคว้างหลงทาง พวกเราคนหนึ่งยื่นมือข้างหนึ่งสะเปะสะปะออกไปเหนือเคาน์เตอร์ ควานหาอะไรไปทั่ว (เราไม่ เห็นมือ ได้ยินแต่เสียง) มือนั้นชนเข้ากับแก้วใบหนึ่งแล้วหยุดนิ่ง แล้วมือทั้งสองข้างก็วางสงบอยู่ บนพื้นเรียบแข็งของเคาน์เตอร์ จากนั้นเราทั้งสามมองหาตัวเองในความมืดและพบว่าเราอยู่ที่นั่น อยู่ตรงที่นิ้วทั้งสามสิบกองรวมกันบนเคาน์เตอร์ เราคนหนึ่งพูดว่า “ไปกันเถอะ” เราลุกขึ้นราวกับไม่มีเหตุผิดปกติใดๆ เรายังไม่มีเวลาที่จะเริ่มรู้สึกทุกข์ใจ ระหว่างที่เรากำลังเดินผ่านห้องโถง เราได้ยินเสียงเพลงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงซึ่งอยู่ไม่ ไกล ไ ด้กลิ่นของบรรดาหญิงเศร้าที่นั่งและเฝ้าคอย ระหว่างที่เราเดินมุ่งสู่ประตูเรารู้สึกได้ถึงระยะ ทางเบื้องหน้าของเราอันโล่งยาวภายในห้องโถงนั้นและมีกลิ่นใหม่มาต้อนรับเรา เป็นกลิ่นเหม็น เปรี้ยวของหญิงที่นั่งข้างประตู เราพูดขึ้น “เราไปละ” เธอไม่ตอบ เราได้ยินเสียงของเก้าอี้โยกจากการลุกขึ้นของเธอ ตามด้วยเสียงพื้นไม้ดัง เอียดอาดจากน้ำหนักฝีเท้าของคน แล้วก็เป็นเสียงเธอกลับมาอีกเมื่อบานพับประตูดังฝืด ๆ ขึ้น อีกหนึ่งครั้งขณะที่มันปิดลงไล่หลังเรา เราหันไปรอบๆ มีลมเย็นจัดของยามรุ่งอรุณซึ่งเรามองไม่เห็นพัดแรงมาจากด้านหลัง มี เสียงคนพูดขึ้น “อย่ายืนเกะกะทาง ฉันขนของนี่มา” เราก้าวถอยหลัง เสียงนั้นพูดอีก “คุณยังขวางอยู่ที่ประตู” หลังจากที่เราขยับแล้วขยับเล่าไปทุกทิศทุกทาง โดยเสียงพูดนั้นยังคงตามติดเราโดย ตลอด เราจึงพูดขึ้น “เราออกไปจากที่นี่ไม่ได้ นกเคอร์ลิวจิกเอาลูกตาของเราไปหมดแล้ว” ทันใดก็มีเสียงประตูเปิดขึ้นพร้อมกันหลายบาน พวกเราคนหนึ่งละมือผละจากมืออื่นๆ ที่จับกันอยู่ เราได้ยินเสียงเขาเดินลากขาสะเปะสะปะในความมืด ชนเข้ากับข้าวของรอบๆ ตัวเรา เขาพูดออกมาจากความมืดว่า “เราคงใกล้เข้าไปแล้ว มีกลิ่นกองหีบไม้แถวๆ นี้แหละ” เราสัมผัสมือเขากลับเข้ามารวมกันใหม่ เราถอยไปยืนพิงกำแพงพร้อมกับมีเสียงคนพูด ผ่านสวนเราไปจากทิศตรงกันข้าม “อาจเป็นกองหีบศพ” คนหนึ่งพูดขึ้น


เก็บไว้”

คนซึ่งก่อนหน้านื้เบียดตัวเข้าไปอยู่ในมุม และตอนนี้มาหายใจอยู่ข้างๆ เราพูดขึ้นว่า “มันเป็นพวกหีบเสื้อผ้า ก็ฉันรู้ตั้งแต่ยังเด็กๆ แล้วว่ากลิ่นไหนเป็นกลิ่นอับของเสื้อผ้าที่ถูก

เราเดินไปตามทิศนั้น พื้นดินนุ่มและเรียบเหมือนถูกย่ำมามาก มีคนยื่นมือข้างหนึ่งออก มา เรารู้สึกถึงสัมผัสของผิวที่ยาวและมีชีวิต แต่เราไม่รู้สึกถึงผนังฝั่งตรงข้ามอีกแล้ว “เป็นผู้หญิงนี่” เราพูดขึ้น คนที่พูดถึงหีบเสื้อผ้าพูดว่า “ฉันคิดว่าเธอหลับอยู่” ร่างที่เราจับอยู่นั้นมีอาการเขย่าและสั่น เรารู้สึกว่ามันลื่นหลุดไป โดยไม่ใช่ลักษณะการ เลื่อนห่างออกไปจนเราเอื้อมไม่ถึง แต่เหมือนกับสลายตัวอันตรธานไป เรานิ่งกันอยู่ไม่ไหวติง เบียดไหล่เข้าหากันชะงักอยู่อย่างนั้น แล้วก็ได้ยินเสียงเธอพูดขึ้น “นั่นใคร” “เราเอง” เราตอบโดยไม่เคลื่อนไหวร่างกาย มีเสียงขยับตัวบนที่นอน เสียงของเตียง เสียงเท้าที่ควานหารองเท้าแตะในความมืด เรา จึงนึกเห็นภาพหญิงนั้นกำลังนั่งมองเรา โดยเธอยังไม่ตื่นนอนเต็มที่ “คุณมาทำอะไรที่นี่” เธอถาม และเราก็ตอบออกไปว่า “เราไม่รู้ นกเคอร์ลิวจิกเอาลูกตาของเราไป” เสียงนั้นพูดว่าเธอเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้างเหมือนกัน ได้ยินว่าหนังสือพิมพ์ลงข่าวเรื่อง ชายสามคนไปนั่งกินเหล้าที่สนามหญ้าซึ่งมีนกเคอร์ลิวที่มีจงอยปากแหลมโค้งและยาวมาก 5 หรือ 6 ตัว 7 ตัวต่างหาก และพวกนั้นคนหนึ่งก็เริ่มทำเสียงเหมือนนกเคอร์ลิว ล้อเลียนนกพวก นั้น “ที่ร้ายที่สุดก็คือตอนนั้นชายคนนั้นอยู่ผิดเวลา อยู่ช้าไปหนึ่งชั่วโมง” เธอพูด “นั่นคือตอน ที่พวกนกกระโดดไปบนโต๊ะและจิกเอาลูกตาของชายทั้งสามไป” เธอบอกว่าทั้งหมดคือเรื่องในหนังสือพิมพ์ แต่ไม่มีใครเชื่อว่าเป็นความจริง เราพูดออกไป ว่า “ถ้าผู้คนไปที่นั่นตอนนั้นก็จะได้เห็นพวกนกเคอร์ลิว” หญิงนั้นพูดว่า “พวกเขาไปนะ ในวันถัดมามีคนไปเยอะแยะจนเต็มสนามหญ้านั่น แต่หญิงคนนั้นเอานก เคอร์ลิวไปที่อื่นหมดแล้ว” เมื่อเราหันกลับมาหญิงนั้นก็หยุดพูด มีกำแพงอีก เพียงแค่เราหมุนตัวไปก็จะพบกำแพง มีกำแพงอยู่รอบตัวเรา ล้อมรอบเรามีกำแพงทั่วไปหมด ไม่ว่าหันไปทางใดก็เจอกำแพง มีคน ปล่อยมือแยกจากกลุ่มออกไปอีก เราได้ยินเสียงเขาคลาน เสียงเขาสูดดมกลิ่นที่พื้น เขาพูดขึ้นว่า “ฉันไม่รู้แล้วว่าพวกหีบเสื้อผ้าอยู่ไหน ฉันคิดว่าเราไปอยู่อีกที่หนึ่งแล้ว” เราพูดขึ้น “กลับมานี่ มีคนอยู่ถัดจากเราไปนี่เอง” เราได้ยินเสียงเขาเข้ามาใกล้ เรารู้สึกถึงการขยับตัวลุกขึ้นยืนของเขา จนมาอยู่ข้างๆ และ ส่งลมหายใจอุ่นมากระทบใบหน้าเราอีกครั้งหนึ่ง


“ไปทางนั้นดีกว่า” เราบอกเขา “มีคนที่เรารู้จักอยู่ทางนั้น” เขาต้องขยับออกไปแน่ คงมุ่งไปสู่ที่ซึ่งเราบอก เพราะว่าอีกประเดี๋ยวหนึ่งเขาก็กลับมา บอกเราว่า “ฉันคิดว่านั่นเป็นเด็กผู้ชาย” เราจึงบอกเขาว่า “ดี ถามดูซิว่ารู้จักเราไหม” เขาถาม และเราได้ยินเสียงเด็กชายตอบอย่างเสียไม่ได้ว่า “ใช่ ผมรู้จักพวกคุณ พวกคุณคือชายสามคนที่ถูกนกเคอร์ลิวจิกเอาลูกตาไป” แล้วมีเสียงผู้ใหญ่พูดขึ้น เป็นเสียงผู้หญิงคล้ายกับพูดมาจากอีกด้านหนึ่งของประตูที่ปิด อยู่ “นี่หนูพูดกับตัวเองคนเดียวอีกแล้ว” เด็กตอบด้วยน้ำเสียงไม่สนใจว่า “เปล่า พวกชายที่ถูกนกเคอร์ลิวจิกลูกตามาที่นี่อีกต่างหาก” มีเสียงบานพับประตู ตามด้วยเสียงผู้ใหญ่พูดใกล้เข้ามา เธอบอกว่า “พาพวกเขากลับบ้านซิ” เด็กพูดว่า “ผมไม่รู้ว่าบ้านพวกเขาอยู่ไหน” เสียงผู้ใหญ่จึงพูดว่า “อย่าใจดำซิ ตั้งแต่คืนที่เกิดเรื่องนกเคอร์ลิวจิกเอาลูกตาไปแล้ว ใครๆ ก็รู้จักบ้านของ พวกเขาทั้งนั้น” จากนั้นเธอจึงเปลี่ยนวิธีพูด เหมือนกับหันมาพูดกับเราว่า “ปัญหาก็คือไม่มีใครเชื่อเรื่องนี้ ใครๆ ก็พูดว่ามันเป็นเรื่องที่หนังสือพิมพ์กุขึ้นเองเพื่อให้ ขายได้มากขึ้น ไม่มีใครได้เห็นพวกนกเคอร์ลิวนั่น” และเด็กก็พูดว่า “แม้ผมจะพาพวกเขาเดินไปตามถนนก็ไม่มีใครเชื่อ” เรายืนนิ่ง พิงกำแพง คอยฟังเธอโดยไม่เคลื่อนไหว และหญิงนั้นก็พูดว่า “ถ้าเด็กนี่อยากพาพวกคุณไปก็หมดปัญหา เพราะว่าไม่มีใครใส่ใจกับคำพูดของเด็ก” เด็กแย้งว่า “ถ้าผมออกไปที่ถนนใหญ่กับพวกนี้ แล้วพวกเขาบอกว่าพวกเขาคือชายสามคนที่ถูกนก เคอร์ลิวจิกเอาลูกตาไป พวกเด็กแถวนั้นจะต้องขว้างผมด้วยก้อนหินแน่ๆ ก็ทุกๆ คนบนถนนต่าง ก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้นจริง” เงียบกันหมดครู่หนึ่ง ประตูปิดลงอีก เด็กพูดขึ้นว่า “ที่สำคัญ ผมกำลังอ่านเรื่อง เทอร์รี่กับโจรสลัด ติดพันอยู่ด้วย” ใครคนหนึ่งพูดขึ้นข้างหูเรา “ฉันจะกล่อมเขาเอง” เขาคลานไปที่ๆ เราได้ยินเสียงพูดของเด็ก และพูดว่า “ฉันก็ชอบเรื่องนี้ อย่างน้อยก็ช่วยเล่าซิว่าเกิดอะไรขึ้นกับเทอร์รี่อาทิตย์นี้” เขากำลังพยายามสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง - เราคิด แต่เด็กตอบกลับมาว่า


“ผมไม่สนใจส่วนนั้นหรอก ผมชอบเฉพาะสีสันเท่านั้น” “เทอร์รี่ไปติดอยู่ในเขาวงกต” เราพูด เด็กตอบว่า “นั่นมันตอนของเมื่อวันศุกร์ วันนี้เป็นวันอาทิตย์แล้ว และที่ผมชอบคือสีสัน” เสียงของเด็กกร้าวและไร้ไมตรี พอคนนั้นกลับเข้ามาแล้ว เราพูดว่า “เราหลงทางอยู่เกือบเต็มสามวันแล้ว และยังไม่ได้พักเลยแม้แต่ครู่เดียว” คนหนึ่งพูดขึ้น “ตกลง พักกันสักหน่อยเถอะ แต่ห้ามปล่อยมือจากกันนะ” เรานั่งลง แดดที่เรามองไม่เห็นเริ่มทำให้ไหล่ของเราอุ่นขึ้น แต่แดดก็ไม่อาจเรียกความ สนใจจากเราได้ เรารู้สึกถึงมันได้ที่นั่นและทุกๆ ที่ ด้วยเหตุว่าเราได้สูญเสียความรับรู้เกี่ยวกับ ระยะทาง เวลา และทิศทางไปแล้ว มีเสียงคนพูดผ่านไปมามากมาย “นกเคอร์ลิวจิกเอาลูกตาเราไป” เราพูด เสียงหนึ่งพูดตอบมาว่า “พวกนี้ไปเชื่อเรื่องจากหนังสือพิมพ์เป็นตุเป็นตะจริงๆ” เสียงพูดทั้งหมดเงียบหายไป เราคงนั่งกันอยู่อย่างนั้น อิงไหล่กันและกัน เฝ้าคอยสังเกต เสียงพูด และนึกภาพจากเสียงพูดของคนที่ผ่านไปมา เพื่อหวังว่าจะมีกลิ่นหรือเสียงของคนที่เรา รู้จักผ่านมา ดวงอาทิตย์เคลื่อนสูงขึ้นจนอยู่เหนือหัวของเราแล้ว แดดยังทำให้เรารู้สึกอุ่นอยู่ มีคนพูด ขึ้น “มุ่งไปที่กำแพงกันอีกเถอะ” พวกที่เหลือคงนั่งนิ่งอยู่ เงยหัวขึ้นไปหาแสงที่ตัวเองมองไม่เห็น และพูดว่า “อย่าเพิ่งเลย เดี๋ยวรอให้รู้สึกแดดเผาจนใบหน้าร้อนก่อนเถอะ”


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.