าร าร ิชาการ ิทยาลัยSaแe nงธรรม g th a m Co lle g e Jo u rn a l ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 เดื นกรกฎาคม - ธัน าคม 2014/2557
วัตถุประ งค์ 1. เป็นเ ทีเผยแพร่ผลงาน ิจัยและผลงานทาง ิชาการข งคณาจารย์ทั้งใน และน ก ิทยาลัย ตล ดจนนัก ิชาการ ิ ระ 2. เชื่ มโยงโลกแ ่ง ิชาการ และเผยแพร่ งค์ค ามรู้ทางปรัชญา า นา เท ิทยา และการ ึก า ใ ้เกิดประโยชน์แก่ชุมชนและ ังคม ่ นร ม 3. ่งเ ริมและกระตุ้นใ ้เกิดการ ิจัย และพัฒนา งค์ค ามรู้ทางด้าน ปรัชญา า นา เท ิทยา และการ ึก า เพิ่มมากขึ้น เจ้าของ บาท ล ง ดร.ชาติชาย พง ์ ิริ บาท ล ง เดชา าภรณ์รัตน์
ในนาม ธิการบดี ิทยาลัยแ งธรรม ในนามประธาน ภาการ ึก าคาท ลิก แ ่งประเท ไทย
บรรณาธิการ บาท ล ง ดร. ภิิ ิทธิ์ กฤ เจริญ กองบรรณาธิการ ร .ดร.ไพ าล ังพานิช ร .ดร. มเจตน์ ไ ยาการณ์ ผ .ประเ ริฐ ิเ กิจ ดร. าทิพย์ น ุจิตรา ดร.ยุพิน ยืนยง าจารย์พีรพัฒน์ ถ ิลรัตน์ าจารย์พิเช ฐ รุ้งลา ัลย์ าจารย์ รัญญู พง ์ประเ ริฐ ิน นาง า จิตรา กิจเจริญ
ในนามร ง ธิการบดีฝ่าย ิชาการ ม า ิทยาลัย ง ์ช ลิตกุล โรงเรียนเซนต์เทเรซา ฝ่ายการ ึก า ัคร ังฆมณฑลกรุงเทพฯ มูลนิธิเซนต์คาเบรียล โรงเรียนบ โกพิทัก ์ าจารย์ ดร.ลัดดา รรณ์ ประ ูตร์แ งจันทร์ าจารย์ทิพ นงค์ รัชนีลัดดาจิต นาง ุจิต เพชรแก้ นาง า รุตา พรประ ิทธิ์
กำา นดเผยแพร่ : ปีละ 2 ฉบับๆ ละ 100 บาท (ฉบับที่ 1 ม.ค.- มิ.ย. ฉบับที่ 2 ก.ค.- ธ.ค.)
ถานที่ออกแบบและจัดพิมพ์ : ูนย์ ิจัยค้นค ้า า นาและ ฒ ั นธรรม ิทยาลัยแ งธรรม ออกแบบปก & รูปเล่ม : โดย าจารย์พิเช ฐ รุ้งลา ัลย์ พิ ูจน์อัก ร : โดย นาง ุจิต เพชรแก้ / นาง า รุตา พรประ ิทธิ์
าร าร ิชาการ ิทยาลัยแ งธรรม มีค ามยินดีรับบทค าม ิจัย บทค าม ิชาการ บท ิจารณ์ นัง ือ และ บทค ามปริทั น์ ด้านปรัชญา า นา เท ิทยา และการ ึก า ที่ยังไม่เคยเผยแพร่ในเอก ารใดๆ โดย ่ง บทค ามมาที่ ผู้อำาน ยการ ูนย์ ิจัยค้นค ้า า นาและ ัฒนธรรม ิทยาลัยแ งธรรม เลขที่ 20 มู่ 6 ต.ท่าข้าม อ. ามพราน จ.นครปฐม 73110 กองบรรณาธิการ าร าร ิชาการ ิทยาลัยแ งธรรม จะ ่งบทค ามใ ้แก่ผู้ทรงคุณ ุฒิทาง ิชาการเพื่อประเมิน คุณภาพบทค าม ่าเ มาะ ม ำา รับการตีพิมพ์ รือไม่ ากท่าน นใจกรุณาดูรายละเอียดรูปแบบการ ่งต้น ฉบับได้ที่ www.saengtham.ac.th/journal
รายนามคณะที่ปรึก าก งบรรณาธิการ (Editorial Advisory Board) ผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก 1. บาท ล ง .ดร. ชิระ น้ำาเพชร, S.J. 2. .กีรติ บุญเจื 3. .ปรีชา ช้างข ัญยืน 4. .ดร.เดื น คำาดี 5. .ดร. มภาร พรมทา 6. ร .ดร. ุมาลี จันทร์ชล 7. ผ .ดร.มณฑา เก่งการพาณิชย์ 8. ผ .ดร.ชาญณรงค์ บุญ นุน 9. ผ .ดร. รยุทธ รี รกุล
Sophia University, Japan ราชบัณฑิต คณะ ัก ร า ตร์ จุ าลงกรณ์ม า ิทยาลัย คณะมนุ ย า ตร์ ม า ิทยาลัยเก ตร า ตร์ คณะ ัก ร า ตร์ จุ าลงกรณ์ม า ิทยาลัย คณะครุ า ตร์ ุต า กรรมและเทคโนโลยี ม า ิทยาลัยเทคโนโลยีพระจ มเกล้าธนบุรี คณะ าธารณ ุข า ตร์ ม า ิทยาลัยม ิดล คณะ ัก ร า ตร์ ม า ิทยาลัย ิลปากร คณะปรัชญาและ า นา ม า ิทยาลัย ั ัมชัญ
ผู้ทรงคุณวุฒิภายใน 1. มุขนายก ดร.ลื ชัย ธาตุ ิ ัย 3. บาท ล ง ดร. กั ติน ุกีโย ปีโตโย, S.J. 5. บาท ล ง ดร.เชิดชัย เลิ จิตรเลขา, M.I. 7. บาท ล ง ดร. ุรชัย ชุ่ม รีพันธ์ุ 9. าจารย์ ดร.ลัดดา รรณ์ ประ ูตร์แ งจันทร์
2. บาท ล ง ดร.ชาติชาย พง ์ ิริ 4. บาท ล ง ผ .ดร.ฟรังซิ ไก้ ์, S.D.B. 6. บาท ล ง ผ .ดร.ไพยง มนิราช 8. ภคินี ดร.ช าลา เ ชยันต์
ลิข ิทธิ์ ต้นฉบับที่ได้รับการตีพิมพ์ใน าร าร ิชาการ ิทยาลัยแ งธรรม ถือเป็นกรรม ิทธิ์ของ ทิ ยาลัยแ งธรรม า้ มนำาข้อค ามทัง้ มดไปตีพมิ พ์ซาำ้ ยกเ น้ ได้รบั อนุญาตจาก ทิ ยาลัยแ งธรรม ค ามรับผิดชอบ เนือ้ าและข้อคิดเ น็ ใดๆ ทีต่ พี มิ พ์ใน าร าร ชิ าการ ทิ ยาลัยแ งธรรม ถือเป็นค ามรับผิดชอบของ ผูเ้ ขียนเท่านัน้
รายนามผู้ทรงคุณ ุฒิผู้ประเมินบทค าม (Peer Review) ประจำ า ฉบั บ
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 เดื นกรกฎาคม - ธัน าคม 2014/2557
ผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก 1. .กีรติ บุญเจื 2. ร .ดร. ุมาลี จันทร์ชล 3. ร 4. ร 5. ร 6. ผ 7. ผ 8. ผ 9. ผ 10.
.ดร. มเจตน์ ไ ยาการณ์ .ดร.ไพ าล ังพานิช .ดร.ประเ ินท งปาน .ดร.ประเ ริฐ ินทร์รัก ์ .ดร.มาเรียม นิลพันธุ์ .ดร. นิรุทธ์ ติมั่น .ดร. รยุทธ รี รกุล .ดร. าทิพย์ น ุจิตรา
ราชบัณฑิต คณะครุ า ตร์ ุต า กรรมและเทคโนโลยี ม า ิทยาลัยเทคโนโลยีพระจ มเกล้าธนบุรี โรงเรียนเซนต์เทเรซา ม า ิทยาลัย ง ์ช ลิตกุล คณะมนุ ย า ตร์ ม า ิทยาลัยเก ตร า ตร์ คณะ ึก า า ตร์ ม า ิทยาลัย ิลปากร คณะ ึก า า ตร์ ม า ิทยาลัย ิลปากร คณะ ึก า า ตร์ ม า ิทยาลัย ิลปากร คณะปรัชญาและ า นา ม า ิทยาลัย ั ัมชัญ มูลนิธิเซนต์คาเบรียล
ผู้ทรงคุณวุฒิภายใน 1. บาท ล ง ผ .ทั ไนย์ คมกฤ 2. าจารย์ ดร.ลัดดา รรณ์ ประ ูตร์แ งจันทร์
บทบรรณาธิการ
บทบรรณาธิการ
Saengtham College Journal วารสารวิชาการ วิทยาลัยแสงธรรม ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557 าร าร ชิ าการ ทิ ยาลัยแ งธรรมฉบับนี้ กองบรรณาธิการขอนำาเ นอบทค าม ชิ าการ และบทค าม ิจัย จำาน นร ม 8 บทค าม ประกอบไปด้ ยบทค าม ิชาการ เรื่อง “พระคัมภีร์ พระธรรมเดิม นับ นุนแน คิดเรื่อง ิ่งแ ดล้อแบบยึดมนุ ย์เป็นจุด ูนย์กลาง รือแบบยึด ิ่งแ ดล้อมเป็นจุด ูนย์กลาง” โดย ดร.ชาญ มายอด และอีก 1 บทค าม ิจัยซึ่งเป็นผลงานจาก ราย ิชา กอ.791 การค้นค ้าอิ ระของนัก ึก าระดับปริญญาโท าขา ิชาเท ิทยาจริยธรรม ิทยาลัยแ งธรรม คือ บทค าม ิจัยเรื่อง “มุมมองคาทอลิกด้านเท ิทยาจริยธรรมที่มีต่อ พฤติกรรมการใช้ค ามรุนแรงในกลุ่ม ัยรุ่น” โดยบาท ล งนราธิป งาม ง ์ และอีก 5 บทค าม เป็ น บทค าม ิ จั ย จากภายนอก อั น เป็ น ผลงาน ื บ เนื่ อ งจากการ ึ ก าระดั บ บั ณ ฑิ ต ึ ก า และบทค าม ิจัยจาก น่ ยงานต่างๆ นอกจากนี้ยังมีบทค าม ิจัยจากบุคลากรภายในอีก จำาน น 1 บทค าม คือ งาน ิจัยเรื่อง “ ภาพและปัญ าการใช้ ื่อและเทคโนโลยีเพื่อ ่งเ ริม ค าม รัทธาของคริ ตชนคาทอลิกในประเท ไทย” โดยอาจารย์พิเช ฐ รุ้งลา ัลย์ และคณะ ซึ่งบทค ามทั้ง มดนี้ได้รับการประเมินจากผู้ทรงคุณ ุฒิแล้ ทั้ง ิ้น กองบรรณาธิการ าร าร ิชาการ ิทยาลัยแ งธรรม ขอขอบคุณผู้ทรงคุณ ุฒิทุกท่านที่ กรุณาใ ค้ ามอนุเคราะ ป์ ระเมินบทค ามต่างๆ อัน ง่ ผลใ ้ าร าร ชิ าการ ทิ ยาลัยแ งธรรม าำ เร็จและผลิตออกเผยแพร่องค์ค ามรูด้ า้ นปรัชญา า นา เท ทิ ยา และการ กึ า บรรณาธิการ ธัน าคม 2014
พสิระคั่งแวดล้มภีรอ์พมแบบยึ ระธรรมเดิมสนับสนุนแนวคิดเรื่อง ดมนุษย์เป็นจุดศูนย์กลาง หรือแบบยึดสิ่งแวดล้อมเป็นจุดศูนย์กลาง
Is Old Testament for Anthropocentrism or Eco-centrism?. ดร.ชาญ มายอด
* ผู้อำ�นวยก�รศูนย์จริยธรรมวิช�ชีพ มห�วิทย�ลัยอัสสัมชัญ
Dr.Charn Mayot
* Director, St.Matin Center for Professional Ethic & Service-Learning, Assumption University of Thailand.
Is Old Testament for Anthropocentrism or Eco-centrism?
ท ั ย
บทค ามนี้ถกปัญ าค�า อนเรื่องค าม ัมพันธ์ระ ่างมนุ ย์กับ ิ่งแ ดล้อมในธรรมชาติตามที่จารึกไ ้ในพระคัมภีร์พระธรรมเดิม โดย เฉพาะอย่างยิ่งใน ปฐมกาล 1:26-28 โดยเทียบเคียงกับแน ทางการ ถกปัญ าเรื่อง ิ่งแ ดล้อมในเชิงปรัชญา จริย า ตร์ และเท ิทยา ใน มัยปัจจุบัน ผู้เขียนได้แบ่งบทค ามออกเป็น 4 ตอน ตอนที่ นึ่ง พูดถึงแน ทางการถกปัญ า ิ่งแ ดล้อม เชิงปรัชญา จริย า ตร์ และ เท ิทยาใน มัยปัจจุบันโดย ังเขป ตอนที่ องพูดถึงบท ิจารณ์ของ นักประ ัติ า ตร์ชื่อลินน์ ไ ท์ ในบทค ามชื่อ Historical Roots of our Ecological Crisis ตีพิมพ์ใน ค. . 1967 ที่อ้าง ่า ปฐมกาล 1:26-28 อนเรื่องค าม ัมพันธ์ระ ่างมนุ ย์กับ ิ่งแ ดล้อมตาม ธรรมชาติแบบยึดมนุ ย์เป็นจุด ูนย์กลาง ตอนที่ ามพูดถึงงานเขียน ของนักเท ิทยาด้านพระคัมภีร์ชื่อ ิลเลียม พี บรา น์ ใน นัง ือชื่อ The Ethos of the Cosmos: The Genesis of Moral Imagination in the Bible ตีพิมพ์ใน ค. . 1999 แม้งานเขียนทั้ง องชิ้นตีพิมพ์ใน ต่างช่ งท รร แต่งานเขียนของบรา น์ได้ตอบโต้การ ิพาก ์ ิจารณ์ ของไ ท์ได้เป็นอย่างดี ตอนที่ ี่พูดถึงการตอบรับของคริ ตจักร และ า นจักรคาทอลิกต่อปัญ าเรื่อง ิกฤติ ิ่งแ ดล้อม าสา ั 1) แน คิดเรื่อง ิ่งแ ดล้อมแบบยึดมนุ ย์เป็นจุด ูนย์กลาง 2) แน คิดเรื่อง ิ่งแ ดล้อมแบบยึด ิ่งแ ดล้อมเป็นจุด ูนย์กลาง 3) จริย า ตร์ ิ่งแ ดล้อม 4) ปรัชญา ิ่งแ ดล้อม 5) เท ิทยาด้าน ิ่งแ ดล้อม
2
วารสารวิชาการ วิทยาลัยแสงธรรม
Charn Mayot
Abstract
This article focuses the debate on the teaching on the relationship between the human and the non-human in the Old Testament of the Christians in reference to current philosophical/ ethical/ theological approaches to environmental problems. The article is divided into four parts: 1) approaches used by philosophers and theologians, 2) ecological criticism of the biblical tradition by Lynn White Jr. in his article entitled Historical Roots of our Ecological Crisis published in 1967, 3) critique on the White’s biblical criticism by theologian William P. Brown in his The Ethos of the Cosmos: The Genesis of Moral Imagination in the Bible published in 1999 and 4) conclusion on the responses of Catholic/ Christian Churches to the problem of environmental crisis in contemporary world.
y or 1) Anthropocentrism 2) Non-anthropocentrism 3) Environmental Ethics 4) Environmental Philosophy 5) Eco-theology
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
3
Is Old Testament for Anthropocentrism or Eco-centrism?
The threat of the environmental crisis dictates the responses from people of all walks of life. Religious scholars and philosophers came in to play their roles in 1970s. The response of philosophers, ethicists led to the emergence of ‘Environmental Ethics’ and the first official conference on environmental ethics held at the University of Georgia, USA, in 1971. Theologian John B. Cobb’s book entitled Is it too late: A theology of Ecology,1 published in 1971, draws the attention of theologians to the field. Approaches to the problems of environmental crisis that philosophers and theologians use nowadays can be classified into two main groups: anthropocentric and non-anthropocentric. The anthropocentric or humancentered approach refers to philosophical/ theological traditions which imply the assumptions that only human beings possess intrinsic value and moral
4
วารสารวิชาการ วิทยาลัยแสงธรรม
standing. These philosophical/theological traditions value human beings over non-human entities and claim that a human being exists for itself and is an end for itself regardless of its usefulness. Other non-human entities have instrumental value. They exist to serve the well-beings of the humans and are considered valuable in regards to the benefits they generate to the wellbeing of humans. The anthropocentric group consists of philosophers who are satisfied with classical ethical theories or with attempts to expand classical ethical/ philosophical theories to solve these problems. Since all mainstream ethical/ philosophical theories in the Western world, such as Aristotelian teleological ethics, utilitarianism of Bentham and Mills and deontology of Immanuel Kant, imply the assumption that human beings are superior to nonhuman entities, they are anthropocentric or human-centered. Anthropocentric ethics can be found in either strong or weak form.
Charn Mayot
The strong form of anthropocentrism assigns intrinsic value to human beings only (SEP)2 and only extrinsic value to the non-humans and excludes non-human beings from moral consideration. There is no moral reason for protecting and preserving the natural environment, it is for the service and the well-beings of the humans. The weak form of anthropocentrism assigns a significantly greater amount of intrinsic value to human beings and much less to nonhuman things. There are “moral reasons to protect and preserve the environment” (Williams, Jon Christopher, 2001, as cited in SEP), however, the protection or promotion of human interests and well-being at the expense of nonhuman things is nearly justified (SEP) since “nature has made all things specifically for the sake of man” (Aristotle, The Politics, Book 1, ch. 8, p.1256b as in SEP). Contemporary anthropocentrism can be classified by the approach it uses to handle the environmental issues into three
strands – Ecological Consequentialism, Ecological Deontology, and Ecological Virtue Ethics. 1 2 Cha n or th t non o th nthro o ntr th Inside the anthropocentric camp, there are philosophers as Kenneth Goodpastor, Tom Regan, Albert Schweitzer, and Paul Taylor who propose that existing anthropocentric approaches need to be extended and modified so as to handle the environmental issues properly. This group of philosophers argues that anthropocentric being designed to handle the human-to-human relationship in particular. There is a need to extend principles of classical ethical theories to cover issues on the new kind of relationship and make anthropocentric approach to be an efficient tool to justify the relationship between humans and the natural environment. These philosophers are classified as the group of moral-extension anthropocentrism.
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
5
Is Old Testament for Anthropocentrism or Eco-centrism?
In 1973, Richard Sylvan (then Routley) posed a serious question as
to whether there was needed a brand new environmental ethics/philosophy in his article with a question form title Is there a new, an environmental, ethic?. He wrote:
“Western civilization, at least stands in the need of a new ethic (and derivatively a new economics) setting people’s relation with natural environment. […] It is not of course that an old and prevailing ethics do not deal with man’s relation to nature; they do, and on a prevailing view man is free to deal with nature as he pleases, i.e. his relation with nature in so far as at least they do not affect with others, are not subject to moral censure.” (Sylvan, 2003) The question raised by Sylvan stimulates philosophers who believe that anthropocentric ethics is needed to construct a new philosophy. These philosophers find that the anthropocentric approaches of the classical philosophical/ethical theories are inadequate to solve environmental problems and to justify the relationship between man and nature because: 1) These philosophical/ ethical traditions have been designed to handle the relationship between man and
6
วารสารวิชาการ วิทยาลัยแสงธรรม
man, not between man and natural environment. 2) Anthropocentric ethics alienates human beings from the environment by placing humans above non-humans. 3) Their assumed moral superiority of humans over nature of the anthropocentrism by the system gives a license to humans to exploit and destroy the natural environment arbitrarily, not to preserve or to care for it. Moreover, traditional anthropocentrism is actually the root cause of environmental problems. The solution
Charn Mayot
to the problem is a deconstruction of anthropocentrism and reconstruction of a new philosophy. 1) The new philosophy is based on the relationship between man and natural environment in particular. 2) It situates human beings in a community of the globe in which the interdependency (mutual relationship) between man and natural-environment is made explicit. 3) It assigns intrinsic value to both humans and non-humans. Philosophers following this trend are classified as the group of non-anthropocentrists. 14 oo y Deep ecology is nonanthropocentric (eco-centric) environmental philosophy that emerges in response to the demand for new a philosophy to handle the problem of the ecological crisis. ‘Deep ecology’3 is a term coined by a prominent Norwegian philosopher, Arne Naess, in his seminal article, The Shallow and Deep, Long-Range Ecology Movements: A Summary (Naess, 1973). The idea is
the product of experience sharing and discussion inspired by the life experience of three passionate mountaineers, Naess and his two colleagues Sigmund Kvaloy and Nils Faarlund.4 Naess, the founder of deep ecology explains the concept of ‘deep ecology’ in contrast to ‘shallow ecology’. In his ‘The Shallow and Deep, LongRange Ecology Movements: A Summary’, Naess posits that if it is ‘shallow ecology’, it is a “fight against pollution and resource depletion” (Naess, 1973) not for the sake of the natural world itself but for the betterment in terms of health, social, political, and economic stability and “affluence of people in the developed countries” (Naess, 1973). This is not a definition and it does not make a clear distinction between deep ecology (eco-centrism/ nonanthropocentrism) and shallow ecology (anthropocentrism), since both are concerned with the problems of pollution and resource depletion. Arne Naess points out two key differences
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
7
Is Old Testament for Anthropocentrism or Eco-centrism?
between ‘deep’ and ‘shallow’ ecology are: 1) “the level of questioning of our purposes and value, when arguing in environmental conflicts” (Drengson, 1995), 2). While shallow ecology stops before the ultimate level, deep ecology questions the very fundamental beliefs, characters and approaches to ecological problems (Drengson, 1995), 3) Deep ecology is essentially ecocentric (non-anthropocentric) while shallow ecology is anthropocentric. -
1. Rejects “the (human)-in-environment image in favor of the relational, total field-image” (Naess, 1989). 2. Maintains that human beings are “knots in the biospherical net or field of intrinsic relations” (Naess, 1989). They are “not above or outside of nature but [are] part of it” (Devall and Session, 1985).
8
วารสารวิชาการ วิทยาลัยแสงธรรม
3. Criticizes ‘mechanistic materialism’ and Descartes’ dualism, and endorses a ‘code for reading the nature’ (Skolimowski, 1989) that enables humans to see ‘unity in process’ in nature. Nature is a process of dynamism (constant flux), instability, novelty, and creativity in which the whole including human beings are inter-related. 4. Is against the ideology of the economic growth model of capitalism and regards it as the root cause of all existing ecological problems. 5. Supports the “ideology of ecological sustainability”5 (Fox, 2003) as guidelines for handling social, political and economical issues related to environmental problems. 1. Accepts ‘discrete entity metaphysics’ (Session, 1995) which maintains that humans are distinct and superior to non-humans. 2. Views humans separate from their environment (Fox, 2003). 3. Endorses ‘the dominant meta-
Charn Mayot
physics of mechanistic materialism’ (Fox. 2003) which maintains that the natural environment is mere res extensa and inferior to the human being, which is essentially res cogitans. 4. Accepts the ideology of the economic growth model of the industrial capitalism as the measure for handling social, political and economical issues. 5. Believes that excessive environmental degradation can be settled by ‘Resource Management’, ‘Resource Conservation’ and the development of the capitalism model. 1 5 o-th o o y Eco-theology refers to approaches to handle the issues of environmental degradation by means of theistic-religious approaches as seen in Christianity, Judaism, and Islam. The main premise of eco-theology is the relationship between humans and nature on the basis of Scripture, spiritual view of nature, and salvation. It is true that there is Eco-theology in line with
deep ecology with Thomas Berry as the forefront proponent. However, in the opinion of the writer, there are serious issues to be resolved before the discussion between Christianity and ecocentrism/non-anthropocentrism can start. The question is whether Christian holy Scripture is anthropocentric or non-anthropocentric. 2
o o a Cr t o th a ra t on Lynn White, Jr., a historian, gives an observation in his famous article ‘Historical Roots of Our Ecological Crisis’ that Christianity “is the most anthropocentric the world has been” (White, Jr., 1967). In his criticism on the account of God’s creation in Genesis 1:27 “God created man in the image of himself, in the image of God he created him, male and female he created them.” Lynn White claims that the creation of Adam and Eve in ‘Imago Dei’ in the last series implies a complete separation between humans and
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
9
Is Old Testament for Anthropocentrism or Eco-centrism?
other creatures.6 Lynn White further comments that the appearance of the terms ‘subdue’ and ‘be masters’ twice in Genesis 1: 267 and 288 and the privilege of the children of God to name all animals in Genesis 1:26-28 implies
a ‘master-slave’ relationship between human beings and nature. In contrast to Christianity, Lynn White remarks how the spirituality of the indigenous religions supported a respect for the environment. He writes:
“In Antiquity every tree, every spring, every stream, every hill had its own genius loci, its guardian spirit. These spirits were accessible to men, but were very unlike men; centaurs, fauns, and mermaids show their ambivalence. Before one cut a tree, mined a mountain, or dammed a brook, it was important to placate the spirit in charge of that particular situation, and to keep it placated. By destroying pagan animism, Christianity made it possible to exploit nature in a mood of indifference to the feelings of natural objects.” (White, Jr., 1967) However, after Christianity gained power it labeled these religions as ‘paganism’. Christianity “not only established a dualism of man and nature but also insisted that it is God’s will that man exploit nature for his proper ends” (White, Jr., 1967).
10
วารสารวิชาการ วิทยาลัยแสงธรรม
According to Lynn White’s critique, Christianity seems to stand on the side of anthropocentrism or even worse in opposition to non-anthropocentrism and is anti-environmentalism. Yet, according to the idea of the writer Christianity needs not to be in opposition to non-anthropocentrism
Charn Mayot
nor anti-environmentalism. There are some points in Lynn White’s criticism that need critical investigation. William P. Brown (1999) in his book The Ethos of the Cosmos: The Genesis of Moral Imagination in the Bible comments that Lynn White’s criticism arises from a misinterpretation. He is mistaken to regard the Christian Bible as a book of environmental ethics in which one expects key terms and concepts of environmentalism. Brown points out that “the biblical tradents themselves were no environmentalists, although their care for the land no doubt exceeds ours in many respects” (Brown, 1999). Indeed, the Christian Bible is a book of faith in which “the movers and shakers of biblical tradition were primarily concerned with shaping and preserving Israel’s faith and practice, in short, the community’s character” (Brown, 1999). According to Brown, Lynn White’s reference to verses of the Bible in Genesis 1:26-28 in his severe criticism is incomplete. The creation account
in Genesis 1:26-28 is only one of the five creation accounts in the Old Testament. Other creation accounts that Lynn White has omitted are Genesis 2:4-3:24, Second Isaiah, Wisdom 1-9, and the Book of Job. The first creation account is found in Genesis 1:1-2:3 in which “the integrity of creation has much to do with the Priestly vision of community […]. It was intended to play a crucial role in the reformation of the community’s identities in the land” (Brown, 1999). Brown has given further comment this Priestly creation account is most probably their cosmogony (a story of the genesis and development of the universe) that “marks an early, hopeful attempt at reforming Israel’s post exilic identity” (Brown, 1999). Because of this reason, there follows the “arrangement and presentation of Priestly lore and legislation into a coherent corpus of narrative and law” (Brown, 1999) to guide the Israelite community “set to restore its community in a land once lost” (Brown, 1999).
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
11
Is Old Testament for Anthropocentrism or Eco-centrism?
The second creation account in Genesis 2:4-3:24 belongs to the Yahwistic tradition whose focus is on the socio-agricultural environment of the Israelites. This is the reason why there is a difference in the order of creation, though mutually interrelated. While the Priestly creation account begins with the creation of light in terms of creation ex nihilo, the Yahwistic account starts with the creation of human beings and follows by the garden story (Brown, 1999). The account of God’s favor Abel’s burning of the firstborn of his flock over Cain’s offering some of the produce of his soil (Genesis 4:3-4) reflects the preference of shepherds over farmers for the creation of Israelites “to reside in the land of Canaan to embody their moral and national identity, to fulfill their destiny” (Brown, 1999) and to flourish their community during their settlement in the land of Canaan. The third creation account found in the Second Isaiah contains words of hope of the un-
12
วารสารวิชาการ วิทยาลัยแสงธรรม
known prophet to the Israelite during their second exile in Babylon. Though the source of the creation account is relatively unclear, most probably of Priestly cosmogony (Brown, 1999), the tone of the account is “creation continuata” (Brown, 1999). The prophet’s description of the beauty of the royal botanical garden in the land of Babylon is intended to push the Israelites into exile to “embark on a hazardous wilderness journey” (Brown, 1999) to their homeland in Zion to re-cultivate into the garden of “a new age with new effect where people can once again flourish, a habitation in which can sink their roots deep into the fertile soil of covenant integrity” (Brown, 1999). The fourth creation account in the Book of Wisdom was found in Proverbs 8:22-31, in which the author (Wisdom’s persona) “recount[s] her own experience of creation” (Brown, 1999) resonating the tone of Priestly and Yahwistic traditions to establish her origin in Yahweh Who is Wisdom
Charn Mayot
Himself and Whose Wisdom is in creation. Since the “wisdom’s aim is to instill in the “listening heart,” […] of cosmic conscience” (Brown, 1999). The main purpose of the creation account is to “justify her moral worth to the community and thereby to impress her audience of the primacy of her ways, as she was the first of Yahweh’s creative way (8:22)” (Brown, 1999). The fifth, the last creation account in the Old Testament is found in Job 38-41. Brown has suggested that the purpose of this creation account is to ascertain that the “issues of creation and justice, of morality and cosmology, are inseparably intertwined” (Brown, 1999). The bifurcation between the cosmos and ethos is the invention of the modern times under the influences of dualism and mechanism (Newtonian Physics). The reformation of individual’s (Job’s) and community’s moral reformation and the “radical reorientation of particular values” (Brown, 1999) need a radical reformation of cosmic view, an
appeal to “the immediacy of nature’s wisdom, to sagacity of animals and plants” (Brown, 1999). The example is seen in the way in which wild animals did not tear down Job in the desert, but taught him to “understand better the marvelous power of God” Therefore, it is mistaken to read each creation account with an exclusively fixed mindset without a consideration for other factors. Even worse with the mindset of our contemporary time that the author of the text did not have. William P. Brown has put it right that “the way in which the creation account is configured has as much to do with how moral community structures itself” (Brown, 1999). Israelites of the Old Testament have least or most probably no agenda on environmental protection and the roles that humans should assume to solve that problem of environmental degradation. This problem was not a concern of humans at the time when each creation account in the Old Testament was
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
13
Is Old Testament for Anthropocentrism or Eco-centrism?
developed. Certainly, the common ground for each creation account is their cosmology which in turn is “essentially a “cosmotopology,” a creation perspective that conveys a sense of place conducive for moral agency, in other words, an ethos” (Brown, 1999) of such particular place, time and in the unique socio-politico-economical environment. With this limitation, these communal ethoses could not be generalized to universal moral principles or codes of conduct that could be applied to everyone in all places, at all times without exception. Brown states correctly in his conclusion: “These distinct yet interrelated cosmic ethoses are not reducible to any specific moral principle, evaluative framework, or systematic order from which particular codes of conduct are directly deducible. These ethoses of creation are more suggestive and symbolic than systematic, more inductive than deductive.” (Brown, 1999)
14
วารสารวิชาการ วิทยาลัยแสงธรรม
Yet, when looking through the Bible we find that our Christian Bible is so rich and contains both anthropocentric and non-anthropocentric elements. If each is taken in isolation, some could be contradictory. However, looking into the Bible closely as a whole could enable us to discover another way of understanding. Marshall9 (1996) in his Nature’s Web: Rethinking Our Place on Earth has given three reasons why there is diversity in the Old Testament in terms of the relationship between human and non-humans. Firstly, the Christian Bible is a book of faith with greater concern on salvation and liberation of the children of God rather than that of other creatures. Secondly, the formation of the Christian Bible took thousand years at different time, in different socio-political economic contexts. Thirdly, the Christian Bible is an ancient text in the same way as
Charn Mayot
other ancient texts. The authors of the Bible could use different communication techniques to make it understood by the hearer in place and time.10 The complexity in understanding the Christian Bible could arise from the Christians as hearers (receivers) of the biblical text, and their understanding of the Bible is constrained by the dominant paradigm of their time. The mechanistic paradigm of Newtonian physics and the dualistic paradigm of Descartes’s ‘cognito ergo sum’ of modern times could motivate Christians in modern times to read the Bible with a chauvinistic mentality. Marshal has given an advice for understanding the differences in the biblical text: 1) The differences are not necessarily contradictory and each could be theologically right in its own context. 2) The differences and diversities could be complementary to each other. We need to read all as a whole for “the deeper and the fuller understanding of the truth” (Marshal, 1996). At this stage
the writer will address this issue in two respects: 1) re-interpreting the biblical text, and 2) discovering the biblical text supporting non-anthropocentrism. 2 - nt r r t n th a t th a on- nthro o ntr rt If we look inside the text closely as a whole – the creation account in Genesis 1:26-28 is one of five creation accounts in the Old Testament – the creation account of Adam11 from ground (especially in Genesis 2:4-3:24 which belong to the Yahwistic tradition) is meant to express a mutual relationship between a man and the garden (the land). The land needs human labor to make it productive, and in turn God has commissioned Adam “to till the adama as part and parcel of his identity” (Brown, 1999). This could remind us that we have to re-understand “having domination” and “subduing” in Genesis 1:26 and 28 respectively with limitation. The term ‘having domination’ is translated as ‘rule’ in some
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
15
Is Old Testament for Anthropocentrism or Eco-centrism?
biblical cannon. This term is translated from Greek term ‘rada’ which “connotes royal control and power” (Brown, 1999) which in turn covers the obligation of stewardship12 and regards excessive exploitation as morally wrong. The term ‘subdue’ is translated from the Greek term ‘kabas’ and literally means “an adversary to be oppressed into service” (Brown, 1999). However, the term implies instrumental orientation in “making the land inhabitable for, or more literally “fillable” with human life, […] maintaining constructive use of it [as] occupation and cultivation” (Brown, 1999). The term does not necessarily imply license to exploitation and destruction. In the verses of the same chapter that follow, Genesis 1:3013, the biblical text demands that edible resources are not for human beings alone, they are “to be shared for the co-existence of all life” (Brown, 1999). In Genesis 2:15 God has instructed Adam and Eve to take care of the earth: “Yahweh God took the man and
16
วารสารวิชาการ วิทยาลัยแสงธรรม
settled him in the garden of Eden to cultivate and take care of it” (Genesis 2:15)14. The idea of care is interpreted as ‘stewardship’ though the term does not appear in the Genesis. Other creation accounts as Second Isaiah, Wisdom 1-9, and the Book of Job were not hostile to the non-anthropocentric spirit and were more prone to the spirit of environmentalism. Deep ecologists (non-anthropocentric/ ecocentric philosophers) such as Naess, Drengson, and Fox are in agreement with Brown that the Christian Bible is not necessarily in opposition to the non-anthropocentric spirit. They have pointed out numerous verses in the Bible that express clear support of the non-anthropocentric spirit. These are only few examples. In Leviticus 25:24 God has commanded His people that “you will allow a right of redemption over any ancestral property” and in Isaiah 11:9 God instructs that
Charn Mayot
“No hurt, no harm will be done on all my holy mountain, for the country will be full of knowledge of Yahweh as the waters cover the sea.” In Psalms 24:1 The Bible tells us that the earth and all within belongs to God. “To Yahweh belongs the earth and all it contains, the world and all who live there” (Psalms 24:1). There is also the ideology of non-dualism in the Old Testament. Isaiah 40:6-815 has told us that there is no distinction between man and nonhumans. 4 a ra t on n ort o th on- nthro o ntr rt Though the vocabulary of Genesis I:26-28 sounds explicitly anthropocentric, the legislation of the Sabbatical year in the Old Testament (Exodus 23: 10-11; Leviticus 25: 1-7; Deuteronomy 15: 1-11, 31:10-13) reflects the long tradition of care and concern for the environment. The sabbatical year literally means the “Year of Remission” (Catholic Encyclopedia), and sometimes
the “Year of Rest”. During the whole sabbatical year (the seventh year circle), the Israelites who own land are demanded to 1) leave the land unattended from any kind of agricultural labor as plowing, sowing, harvesting, and reaping, 2) leave the land which they have exploited for six years for common benefits, 3) leave the crops of the land for consumption of the salves and the poor, and 4) leave “what was not used to be abandoned to the cattle and wild animals”. Brown (1999) has summarized that the observance of the sabbatical year in two respects: 1) for the land sake (leave the land to a complete restoration), and 2) for social justice (leave the land for public consumption such as slaves, tenants, the poor, the landless neighbors, domestic pets, and wild animals). It is remarkable that in practice, the Old Testament tradition goes further than the non-anthropocentric spirit to care for the natural environment for its own sake to embrace the spirit of social jus-
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
17
Is Old Testament for Anthropocentrism or Eco-centrism?
tice. The greater concern of the Old Testament to both issues is seen in the legislation of the “Year of Jubilee” (Leviticus 15: 8-54; 27: 16-24). According to this law, in the seven Sabbath of years (fiftieth year circle), the Israelites of the Old Testament who own land have to 1) leave the land they used at complete rest (as in the Sabbatical year), 2) return the land to its rightful owner who has been deprived of the land due to dire poverty, and 3) proclaim complete freedom to the Israelite brethren who have become slaves and tenants due to dire poverty or other undesirable circumstances (Brown, 1999). Their adherence to the Sabbath legislation is more serious than our expectation since the violation means punishment with death (Exodus 31: 1415; Numbers 15: 32-36). In conclusion, Christianity is not in opposition to ecocentrism (non-an-
18
วารสารวิชาการ วิทยาลัยแสงธรรม
thropocentrism). Though some verses from the Christian Bible are on the side of anthropocentrism at the first glance, after looking through the Christian Bible carefully the writer finds that the Old Testament are not on the opposite polar to ecocentrism. The congruence between non-anthropocentrism/ eco-centrism and the Christian Bible is seen through verses of the Scripture in line with the non-anthropocentric spirit and through rereading some verses in the Scripture that sound contra-ecocentric at the first glance. The response of theologians to the problem of environmental degradation is comparatively later than the movements of philosophers, historians, sociologists and ecologists16. Hallman (1994) writes that “we are a relatively late arrival to the awareness of the seriousness of the ecological crisis.” However, he goes on to say that now “we are here and are being looked to for assistance in addressing the ethical complexities facing the global econ-
Charn Mayot
omy” (Hallman, 1994). However late they are, when the theologians arrive they are active and committed participants. The World Council of Churches (WCC) dealt with the issues of ecological theology explicitly for the first time in the Vancouver assembly in 1983 in which the main theme of the discussion was on ‘Justice, Peace and Integrity of Creation’ (JPIC). The involvement of other religions to the concern for the problem of the environment took off in a conference on religion and ecology led by the Roman Catholic priest and eco-theologian, Thomas Berry17 held at the Basilica di S. Francesco in Assisi, Italy in the celebration of the 25th Anniversary of the World Wide Fund for Nature in 1986. At the end of the conference, representatives of the five world-leading religions jointly issued the ‘Declaration on Religion and Nature’ which outlined obligations of religions to nature. His Holiness Pope John Paul II, in his The Ecological Crisis: a Common Responsibility, Message
delivered for the Celebration of Word Day of Peace on January 1, 1990 called for “a responsibility of everyone, [and] a new solidarity […] a more internationally coordinated approach to the management of the earth’s goods.” Another important world conference was on ‘Spirit and Nature’ held at Vermont Middlebury College in 1990. This conference was spearheaded by a Western Buddhist scholar and professor of comparative religion, Steven Rockefeller. The Dalai Lama and other prominent religious leaders attended the conference. There are three attempts on academic association and universities that should be mentioned: 1) The attempt of David Barnhill (then professor of Buddhism and Environmental Studies at Guildford College) and Eugene Bianchi (professor of Christian Theology at Emory University) to push forward the topic ‘religions and ecology’ to the key agenda for the American Academy of Religion (AAR) during 1989 to 1990.
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
19
Is Old Testament for Anthropocentrism or Eco-centrism?
2) The attempt of the Center for the Study of World Religion at Harvard University to organize a series of conferences which results in publication on the topic ‘Religions of the World and Ecology’ in which Mary Evelyn Tucker and John Grim (both of whom are followers of Thomas Berry) function as co-editors during 1996 to 1998. Their major attempts are to “uncover and revitalize the green potential of the religions they were analyzing” (Taylor, 1986). The Center did organize many conferences, two key conferences that produced key impacts to the field are in 1998 on topic ‘Religions, Ethics, and the Environment: An Interdisciplinary Dialogue’. The first was on September 17-20, 2001 and the second on October 21-22, 2001. In the second conference, the theme of the sacredness of the earth and intrinsic value of all life forms has been brought to the agenda of the United Nations. 3) The attempt of the American Teilhard Society with the leadership of Tucker and Grim
20
วารสารวิชาการ วิทยาลัยแสงธรรม
to published the collected works of Thomas Berry. The JPIC is brought up to the discussion in Seoul in 1990 and the WCC follow the JPIC theme again in the seventeenth assembly in Canberra in 1991. The WCC calls a parallel ecumenical gathering in Rio de Janeiro during the UN Conference on Environment and Development (UNCED) in the same city in 1992. The representatives of the WCC are involved with active roles in the World Summit on Sustainable Development (WSSD) held in Johannesburg in September 2002 and other UN conferences on related issues ever since. ทสร ปั ญ าเรื่ อ งค ามเ ื่ อ มโทรมทาง ิ่ ง แ ดล้อมเรียกร้องใ ้มนุ ยชาติทุก ายอาชีพ ต้องขบคิด าทางแก้ไข มิใช่เพียงเพื่อปกป้อง ิ่งแ ดล้อมเท่านั้น แต่เพื่อชี ิตที่และค ามอยู่ รอดของมนุ ยชาติในปัจจุบันและลูก ลาน ที่จะเกิดตามมาในอนาคต การเ นาเพื่อแก้ ปัญ าอย่างจริงจังของนักปรัชญา และนัก จริย า ตร์ท�าใ ้เกิด ิชาปรัชญา ิ่งแ ดล้อม
Charn Mayot
และจริย า ตร์ ิ่งแ ดล้อม ในท รร 1970 นัง ือชื่อ Is it too late: A theology of Ecology ของ จอ ์น บี คอบบ์ นักเท ิทยา ด้านพระคัมภีร์ที่ตีพิมพ์ในปี ค. .1971 ท�าใ ้ เกิ ด ิ ช าเท ิ ท ยา ิ่ ง แ ดล้ อ ม (Ecotheology รือ Theology of Ecology) และ จุดประกายใ ้นักเท ิทยาแขนงต่างๆ ัน มา นใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง การเ นาเพื่อแก้ ปัญ าของนักปรัชญา นักจริย า ตร์ และ นั ก เท ิ ท ยาแบ่ ง ออกเป็ น องแน ทางคื อ แน ทางที่ยึดมนุ ย์เป็นจุด ูนย์กลาง (Anthropocentrism) และแน ทางที่ยึด ิ่ง แ ดล้อมเป็นจุด ูนย์กลาง (Non-anthropocentrism รือ Eco-centrism) นักประ ัติ าตร์ชื่อลินน์ ไ ท์ ได้เขียน ิพาก ์ ิจารณ์ใน บทค ามชื่อ Historical Roots of our Ecological Crisis ่า ปฐมกาล 1:26-28 แ ดง นั ย ยะอย่ า งชั ด เจน นั บ นุ น แน ทางแบบ ยึดมนุ ย์เป็นจุด ูนย์กลาง และอ้างต่อไป ่า ข้อค ามจากพระคัมภีร์ตอนดังกล่า เปรียบ เ มื อ นอาญา ิ ท ธิ์ ที่ พ ระเจ้ า ประทานใ ้ กั บ มนุ ย์ใ ้จัดการกับ ิ่งแ ดล้อมในธรรมชาติ ตามใจชอบ นั ก เท ิ ท ยาด้ า นพระคั ม ภี ร ์ ิลเลียม พี บรา น์ โต้แย้งใน นัง ือชื่อ The Ethos of the Cosmos: The Genesis of Moral Imagination in the Bible ่า
ข้อกล่า าของลินน์ ไ ท์ เป็นการตีค าม พระคั ม ภี ร ์ อ ย่ า งไม่ ถู ก ต้ อ ง าก ึ ก า พระคั ม ภี ร ์ ใ ้ ค รบถ้ นและรอบคอบแล้ จะพบ ่ า พระคั ม ภี ร ์ พู ด ถึ ง ค าม ั ม พั น ธ์ ระ ่ า งมนุ ย์ กั บ ิ่ ง แ ดล้ อ มทั้ ง ในแบบ ยึ ด มนุ ย์ เ ป็ น จุ ด ู น ย์ ก ลางและยึ ด ิ่ ง แ ดล้ อ มเป็ น จุ ด ู น ย์ ก ลาง บรา น์ ยั ง ใ ้ ข้อคิดเพิ่มเติม ่า เราไม่อาจคาด ังแน คิด (Concept) รื อ ั พ ท์ (Terminology) ที่ ชั ด เจ น ต ร ง ไ ป ต ร ง ม า เ กี่ ย กั บ ค า ม ั ม พั น ธ ์ ม นุ ย ์ กั บ ิ่ ง แ ด ล ้ อ ม จ า ก พระคั ม ภี ร ์ เนื่ อ งจากปั ญ าเรื่ อ ง ิ ก ฤต ิ่ ง แ ดล้ อ มเป็ น ปั ญ าของมนุ ยชาติ ยุ ค ปั จ จุ บั น ไม่ ใช่ ป ั ญ าของชา อิ ราเอล ใน มั ย พระคั ม ภี ร ์ และ นั ง ื อ พระคั ม ภี ร ์ เป็นพระ าจาของพระเจ้าที่มุ่ง อนค ามเชื่อ และ นทางแ ่งค ามรอดเป็น �าคัญ าใช่ นั ง ื อ ปรั ช ญา/จริ ย า ตร์ รื อ เท ิ ท ยา ด้าน ิ่งแ ดล้อม นักปรัชญาด้าน ิ่งแ ดล้อม แบบยึด ิ่งแ ดล้อมเป็นจุด ูนย์กลางอย่างเช่น อาร์เน เน ผู้ก่อตั้ง Deep Ecology และ นักปรัชญาท่านอื่นๆ ที่ร่ มอุดมการณ์เดีย กันเช่น อร์ ิก ฟ๊อกซ์ อะเลน เดรง ัน รื อ เด ิ ด ร๊ อ ธเธนเบิ ร ์ ก ต่ า งมี ค ามเ ็ น อดคล้องกับบรา น์ ่า ค�า อนเรื่องค าม ั ม พั น ธ์ ร ะ ่ า งมนุ ย์ กั บ ิ่ ง แ ดล้ อ มตาม
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
21
Is Old Testament for Anthropocentrism or Eco-centrism?
ธรรมชาติ ใ นพระคั ม ภี ร ์ พ ระธรรมเดิ ม ไม่ ไ ด้ เป็นแบบยึดเอามนุ ย์เป็นจุด ูนย์กลางเพียง ถ่ า ยเดี ย ากชา คริ ต์ แ ละผู ้ นใจอ่ า น พระคัมภีร์ใ ้ครบถ้ นและมองแบบองค์ร ม จะพบข้อค ามในพระคัมภีร์ตอนอื่นๆ อีกมาก มายที่ แ ดงนั ย ยะ นั บ นุ น แน ทางที่ ยึ ด ิ่งแ ดล้อมเป็นจุด ูนย์กลาง ในทางปฏิบัติจริง แม้การถกปัญ าเรื่องพระคัมภีร์พระธรรมเดิม
อนเรื่ อ งค าม ั ม พั น ธ์ ร ะ ่ า งมนุ ย์ กั บ ธรรมชาติ ไ ปในทิ ทางใด คริ ตจั ก รและ พระ า นจั ก รคาทอลิ ก มิ ไ ด้ นิ่ ง นอนใจต่ อ ปัญ า า� คัญนี ้ ได้เข้าไปมีบทบาท า� คัญในการ แก้ ป ั ญ าในระดั บ ต่ า งๆ ร มถึ ง ในการ ประชุ ม ่ า ด้ ยการพั ฒ นาที่ ย่ั ง ยื น และ ิ่ ง แ ดล้อมขององค์การ ประชาชาติอย่างต่อ เนื่องเ มอมา
It is considered the first book length academic writing on the issue of environmental crisis and theology. The book was written by theologian John B. Cobb, Jr and published by Macmillan Pub Co. in June 1, 1971. 2 Stanford Encyclopedia of Philosophy. 3 Advocates of deep ecology are Arne Naess, George Sessions, Warwick Fox, Richard Sylvan, Fritjof Capra, Dolores LaChapelle, Freya Mathews, John Seed, Paul Shepard, Judi Bari, Thomas Berry, Wendell Berry, Leonardo Boff, Michael Dowd, Neil Evernden, Edward Goldsmith, Felix Guattari, Derrick Jensen, John Livingston, Joanna Macy, Jerry Mander, Terence McKenna, Daniel Quinn, Theodore Roszak, Gary Snyder, Douglas Tompkins, Oberon Zell-Ravenheart, and John Zerzan. 4 See also Naess 1973 and 1989; also see Witoszek and Brennan (eds.) 1999 for a historical survey and commentary on the development of deep ecology. 5 The idea includes wide range of related issues as “just and sustainable society, carrying capacity, sufficiency, cultural and biological diversity, local autonomy, decentralization, soft energy path, appropriate technology, reinhabitation, and bioregionalism” (Fox, 2003). 6 Genesis 1:27 “God created man in the image of himself, in the image of God he created him, male and female he created them.” 7 Genesis 1:26 “God said, ‘Let us make man in our own image, in the likeness of ourselves, and let them be masters of the fish of the sea, the bird of heaven, the cattle, all the wild animals and all the creatures that creep along ground.” 8 Genesis 1:28 “God blessed them, saying to them, “Be fruitful, multiply, and fill the earth and subdue it. Be masters of the fish of the sea, the birds of heaven and all the living creatures that move on earth.” 9 Peter Hugh Marshall is currently the chairman of the Toussaint L’Ouverture Theatre Company, a trustee of the Tree Shepherd, a member of the Society of Authors, an elected member National Geographic Society. He is regarded as a philosopher (a lecturer of philosophy in several British universities), a poet, and a historian. His famous writings include: Riding the Wind: A Philosophy for a New Era, Nature’s Web:Rethinking our Place on Earth, Demanding the Impossible: A History of Anarchism, William Blake: A Visionary of Anarchist. 1
22
วารสารวิชาการ วิทยาลัยแสงธรรม
Charn Mayot
Historically the writing process of the Bible spans a long period of time. The same story might have to be told in a different manner so as to make it understood by hearers of different times, in different socio-cultural contexts. There could be differences between earlier and later writings. But this does not imply that there is no unity and consistency in the Scripture. They are “differences in harmonious development rather than irreconcilable contradictions” (Marshal, 1988). 11 Adam comes from the term ‘adam, is’ which is derived from the term ‘adma’ (ground). The creation account of the Yahwistic tradition ties Adam, Eve, and the ground together in the description of the creation of “adam, the man […] out of the ground or soil, adama (Gen 2:7); the female, issa … from fresh and bone of the male, is (Genesis 2:21)” (Brown, 1999). 12 The idea of stewardship refers to the obligation of the ruler of people of God to be responsible for his treatment of His subjects in His presence. 13 Genesis 1:30 “And to all the wild animals, all the birds of heaven and all the living creatures that creep along the ground, I give all the foliage of the plants as their food. And so it was.” 14 The idea of care is interpreted as ‘stewardship’ though the term does not appear in Genesis. 15 Isaiah 40:6-8 “A voice said, ‘Cry aloud!’ and I said, ‘What shall I cry?’ ‘All humanity is grass and all its beauty like the wild flowers. The grass withers, the flower fades when the breath of Yahweh blows on them. (The grass is surely my people). The grass withers, the flower fades, but the word of our God remains forever.” 16 In comparison to Aldo Leopold’s ‘Sand County Almanac’ published posthumously in 1940s; Carson’s ‘Silent Spring’ published in 1962 in which she called to the attention of the public of the reckless spraying of DDT, Lynn White’s ‘The Historical Roots of Our Ecological Crisis’ published in 1967, and Garett Hardin’s ‘The Tragedy of the Commons’ in 1968. 17 Thomas Berry (1914-2009) is a Jesuit priest who specializes in Teilhard de Chardin. His environmental philosophy is in line with deep ecology. 10
rn Brown, William P. 1999. h tho o th Co o h n o Mora a nat on n th Cambridge : William B. Eerdmans.
Cobb, John B., Jr. 1971. t too at h oo yo oo y Washington, D.C. : Macmiallan. Devall, B & Sessions, G. 1985. oo y n a at r Matt r Salt Lake City, UT : Peregrine Smith.
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
23
Is Old Testament for Anthropocentrism or Eco-centrism?
Drengson, Aland & Inoue, Yiuchi. 1995. Berkeley : North Atlantic. Fox, Warwick. 2003. “The Deep Eco logical Movements: Some Philosophical Aspects.” In Andrew Light and Holmes Rolston III (Eds).
Marshal, Howard. 1988. “An Evan gelical Approach to ‘Theo logical Criticism’”. In , (January), pp.79-85. Available at http://www.bibli calstudies.org.uk/article_criti cism_marshall.html accessed to June 16, 2011 Marshall, Peter. 1996.
pp.252-261. MA : Balckwell. Hallman, David G, (edt). 1994.
24
(Geneva: World Council of Churches and Maryknoll), New York : Orbis.
วารสารวิชาการ วิทยาลัยแสงธรรม
New York : ME.
กลยุทธ์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา The Strategies for Drug Abuse Prevention and Remedy in School. ดร.บัณฑิตตา จินดาทอง
* นักวิชาการศึกษาชำานาญการพิเศษ สำานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต1
ผศ.ดร.ประเสริฐ อินทร์รักษ์
* อาจารย์ประจำาภาควิชาการบริหารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
Dr.Bunditta Jindatong
* Educator, Senior Professional Level, Kanchanaburi Primary Educational Service Area Office1.
Asst.Prof.Dr.Prasert Intarak
* Lecturer at Education Administration Faculty of Education, Silpakorn University.
กลยุทธ์ในการป้องกันและแก้ไขปัญ ายาเ พติดใน ถาน ึก า
ท ัดยอ
26
การ ิจัยครั้งนี ้ มี ัตถุประ งค์เพื่อทราบ 1) องค์ประกอบ ของกลยุทธ์ในการป้องกันและแก้ไขปัญ ายาเ พติดใน ถาน ึก า 2) แน ทางด�าเนินการตามกลยุทธ์ในการป้องกันและแก้ไขปัญ า ยาเ พติดใน ถาน ึก า ิธีดา� เนินการ ิจัยประกอบด้ ย 3 ขั้นตอน คือ 1) การ ิเคราะ ์และก�า นดกรอบแน คิดในการ ิจัยบนพื้นฐาน ลักการแน คิดทฤ ฎีกลยุทธ์ในการป้องกันและแก้ไขปัญ ายาเ พติดใน ถาน ึก า 2) การ ิเคราะ ์จ�าแนกตั ประกอบ และ 3) การ ัมภา ณ์ผู้เชี่ย ชาญ กลุ่มตั อย่าง คือ โรงเรียนมัธยม ึก า ังกัด �านักงานคณะกรรมการการ ึก าขั้นพื้นฐาน จ�าน น 91 โรงเรียน ผู้ใ ้ข้อมูล คือ ผู้บริ ารโรงเรียน ครูที่รับผิดชอบงานด้านยาเ พติดใน โรงเรียน และครูแนะแน จ�าน น 273 คน เครื่องมือที่ใช้ในการ ิจัย คือ แบบ ัมภา ณ์แบบไม่มีโครง ร้าง แบบ อบถามเกี่ย กับกลยุทธ์ ในการป้ อ งกั น และแก้ ไขปั ญ ายาเ พติ ด ใน ถาน ึ ก า ประเด็ น การ ัมภา ณ์ และแบบ อบถามค ามคิดเ ็นของผู้เชี่ย ชาญ เพื่อ าแน โน้มแน ทางด�าเนินการตามกลยุทธ์ในการป้องกันและแก้ไข ปัญ ายาเ พติดใน ถาน ึก า ถิติที่ใช้ในการ ิเคราะ ์ข้อมูล ได้แก่ ค่าค ามถี ่ ค่าร้อยละ ค่ามัชฌิมเลขคณิต ่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน การ ิเคราะ ์องค์ประกอบ ค่าฐานนิยม ค่ามัธยฐาน ค่าพิ ัยระ ่าง ค อไทล์ และการ ิเคราะ ์เนื้อ า ผลการ ิจัยพบ ่า 1. องค์ประกอบของกลยุ ท ธ์ ใ นการป้ อ งกั น และแก้ ไขปั ญ า ยาเ พติดใน ถาน ึก า มี 5 องค์ประกอบ คือ 1) การบริ ารจัดการ แบบมี ่ นร่ ม 2) การจัดการค ามรู้ 3) กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 4) �านึกและค ามรับผิดชอบ 5) การ ึก าเพื่อพัฒนาทัก ะชี ิต 2. แน ทางด� า เนิ น การตามกลยุ ท ธ์ ใ นการป้ อ งกั น และแก้ ไข ปัญ ายาเ พติดใน ถาน ึก า ผู้เชี่ย ชาญมีค ามเ ็น ่าแน โน้มที่ มีโอกา เป็นไปได้ในระดับมากที่ ุดในภาพร ม คือ �านึกค ามรับผิด ชอบ รองมา คือ การบริ ารแบบมี ่ นร่ ม และมีโอกา เป็นไปได้ใน
าร าร ิชาการ ิทยาลัยแ งธรรม
บัณฑิตตา จินดาทอง และประเสริฐ อินทร์รักษ์
ระดับมากทั้ง 3 ด้าน คือ การจัดการค ามรู้ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และการ ึก าเพื่อพัฒนาทัก ะชี ิต นอกจากนี้ผู้เชี่ย ชาญได้เ นอ แน คิดในเรื่องการมี ่ นร่ มทุกกิจกรรม ่า การที่ าบุคคลเข้ามาร่ ม กิจกรรมต้องคัดกรองคนที่เ มาะ ม เพื่อไม่ใ ้เกิดปัญ าในระ ่าง การด�าเนินงาน คาสาคั Abstract
1) ยาเ พติด
2) ถาน ึก า
The research purposes were to determine 1) the components of the strategies for drug abuse prevention and remedy in schools, and 2) the approaches for implementation of the strategies for drug abuse prevention and remedy in schools. The research comprised 3 procedures as follows: 1) analytical study and identifying of the research conceptual framework based on the principles of the theory of strategies to prevent and remedy drug abuse in schools, 2) analytical study to explore the components of strategies, and 3) experts interviews (EFR: The Ethnographic Futures Research). The samples were 91 high schools under Office of The Basic Education Commission. There were 273 respondents including school administrators, teachers who were responsible for the drug problem in school, and guidance teacher-counselors. The instruments employed for data collection were an unstructured interview, a questionnaire and an opinionnaire for inquiring the strategies to prevent and remedy drug abuse. The statistics for analyzing the data were Frequency, Percentage, Arithmetic Mean, Standard
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
27
กลยุทธ์ในการป้องกันและแก้ไขปัญ ายาเ พติดใน ถาน ึก า
Deviation, Exploratory Factor Analysis, Mode, Median, Interquartile Range, and content analysis. The research findings revealed that: 1. The components of the strategies for drug abuse prevention and remedy in schools consisted of 5 components which were; 1) Participative Management, 2) Knowledge Management 3) Student Development Activities, 4) Consciousness and Responsibility, and 5) Education to Develop Life Skills. 2. The approaches for implementation of the strategies for drug abuse prevention and remedy in school, the experts mentioned that the most feasibility strategies which rated at a highest level were Consciousness and Responsibility, and Participative Management, respectively. Meanwhile, the other three strategies; Knowledge Management Student Development Activities, and Education to Develop Life Skills were possibly occur and rated at high level. In addition, experts proposed that screening the suitable individuals to participate in any activities was needed in order to avoid problems during the operation. 1) Drug
28
าร าร ิชาการ ิทยาลัยแ งธรรม
2) School
บัณฑิตตา จินดาทอง และประเสริฐ อินทร์รักษ์
ความเปนมาและความสาคั องป า ยาเ พติดเข้ามาในประเท ไทย โดย เชื่ อ ่ า จี น เข้ ามาค้าขายในเมืองไทย ท� า ใ ้ การน�าฝิ่นและผู้ติดฝิ่นเข้ามาในเมืองไทยมาก ขึ้น และประเท ไทยได้มีกฎ มายใ ้ประ าร ชี ิตผู้ผลิตและผู้ค้ายาเ พติด แต่ปัญ ายาเ พติดไม่ได้ลดลง ยาเ พติดได้เปลี่ยนรูป เป็นเฮโรอีน และมีการพัฒนามีฤทธิ์รุนแรง ขึ้นที่เรียก ่า “ผงขา ” ละลายน�้าฉีดเข้าทาง เ ้นเลือด ต่อมาเกิดตั ยาใ ม่ คือ ยาม้า ใช้ กับกลุ่มผู้ใช้แรงงานขน ่ง ใช้กระตุ้นใ ้ขับรถ ได้นานๆ ค ามรุนแรงของยาท�าใ ้เริ่มท�าร้าย ตนเองและท� า ร้ า ยผู ้ อื่ น รั ฐ บาลจึ ง เปลี่ ย น ค�า ่า “ยาม้า” เป็น “ยาบ้า” แทน เพื่อ ะท้อนถึงพิ ร้ายของยาบ้าเมื่อเ พ การแพร่ ระบาดของยาเ พติ ด เข้ า ไปใน ถาน ึ ก า ท�าใ ้รัฐบาลต้องก�า นดนโยบายเกี่ย กับการ ป้องกันยาเ พติดมาโดยตลอด ค ามคาด ังของประเท ชาติ ต้อง การใ ้เด็กและเยา ชนเป็นคนดี มีทัก ะชี ิต ุขภาพแข็งแรง ร่าเริงแจ่มใ ตั้งใจเรียน ไม่ ยุ่งเกี่ย กับยาเ พติด เติบโตเป็นพลเมืองดี ของประเท ร้างครอบครั ใ ้อบอุ่นและ เข้มแข็ง มู่บ้านชุมชนมีค าม ามัคคี อยู่ อย่างไม่ าดระแ ง ไม่มีอาชญากรรมและ การลักขโมย ก็จะ ่งผลถึงค ามเป็นปึกแผ่น
ของประเท ชาติ ื บ ต่ อ ไป ดั ง ค� า ข ั ญ ที่ ่ า “ประเท ไทยจะรุ่ ง เรื อ ง ถ้ า พลเมื อ งไม่ พึ่ ง ยาเ พติด” ปัญ ายาเ พติด เป็นปัญ า �าคัญ ที่รัฐบาลทุก มัย พยายามแก้ไขเพื่อใ ้ มด ไป มีการก�า นดทั้งนโยบายและกลยุทธ์ที่จะ ป้องกันและปราบปรามไ ้อย่างชัดเจน แต่ผล การด�าเนินงานยังไม่ ามารถเอาชนะยาเ พติดได้ โดยเฉพาะยาเ พติดที่แพร่ระบาดไป ู่ใน ถาน ึก า มีการรายงานและประเมิน ช่ งอายุที่มีภา ะเ ี่ยงในการเข้าไปใช้ยาเ พติดในปี พ. . 2547–2548 ถาบันรามจิตติ ได้ � า ร จพฤติ ก รรมเด็ ก และเยา ชนราย จัง ัดทั่ ประเท พบ ่า เยา ชนในช่ ง อายุ 13 ถึง 18 ปี มีพฤติกรรมเ ี่ยงมากที่ ุด ( �านักงาน ป.ป. ., 2552) ผล ถานการณ์ การแพร่ระบาดตั้งแต่ปี พ. . 2551 – 2554 พบ ่า อายุที่ใช้ยาเ พติดครั้งแรกของผู้เข้า บ�าบัดมากก ่าร้อยละ 50 จะมีอายุระ ่าง 15–19 ปี และอีกกลุ่มที่มีแน โน้มเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่องในทุกพื้นที ่ คือ กลุ่มที่มีอายุ น้อยก ่า 15 ปี ในนัก ึก าพบ ่ามีแน โน้ม ัด ่ นเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียนระดับ มัธยม ึก าตอนต้น และระดับประถม ึก า ( ูนย์อ�าน ยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเ พติด, 2552)
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
29
กลยุทธ์ในการป้องกันและแก้ไขปัญ ายาเ พติดใน ถาน ึก า
จากข้ อ มู ล และ ภาพปั ญ าของ นักเรียนใน ถาน ึก าที่เข้าไปเกี่ย ข้องกับ ยาเ พติดดังกล่า เป็นเยา ชน ัยเรียน ท�าใ ้ ่งผลกระทบต่อ ังคมและกระทบถึงประเท ชาติ ถาน ึก าซึ่งเป็น ถาบัน �าคัญที่เด็ก ต้องใช้ชี ิตอยู่ในโรงเรียนที่ยา นาน แต่ใน ปัจจุบันไม่ ่านโยบาย กลยุทธ์ มาตรการที่ ก�า นดขึ้น จ�าน นเด็กและเยา ชนใน ถาน ึ ก าที่ เ กี่ ย ข้ อ งกั บ ยาเ พติ ด ก็ ยั ง มี แ น โน้มเพิ่มขึ้น ผู้ ิจัยจึงมีค าม นใจที่จะ ึก า กลยุทธ์ในการป้องกันและแก้ไขปัญ ายาเ พติดใน ถาน ึก า เพื่อเป็นแน ทางในการน�า กลยุทธ์มาบริ ารจัดการ ใ ้เกิดประ ิทธิภาพ และมีประ ิทธิผลต่อไป ัตถุประ ง ์ของการ ิ ัย 1. เพื่ อ ทราบองค์ ป ระกอบของ กลยุทธ์ในการป้องกันและแก้ไขปัญ ายาเ พติดใน ถาน ึก า 2. เพื่ อ ทราบแน ทางด� า เนิ น การ ตามกลยุ ท ธ์ ใ นการป้ อ งกั น และแก้ ไขปั ญ า ยาเ พติดใน ถาน ึก า การดาเนินการ ิ ัย 1. ึก า ิเคราะ ์และก�า นดแน คิดในการ ิจัย โดย ึก าจากเอก ารต่างๆ
30
าร าร ิชาการ ิทยาลัยแ งธรรม
และ ั ม ภา ณ์ ผู้ ที่ เ กี่ ย ข้ อ งกั บ การดู แ ล นักเรียน 2. ิ เ คราะ ์ จ� า แนกตั ประกอบ ประกอบด้ ย การ ร้างเครื่องมือ พัฒนา เครื่องมือ และ ิเคราะ ์องค์ประกอบ 3 . ั ม ภ า ณ์ ผู้ ท ร ง คุ ณ ุ ฒิ / ผู้ เชี่ย ชาญด้ ยเทคนิค EFR (Ethnographic Future Research) เพื่อ าแน ทางด�าเนิน การตามกลยุ ท ธ์ ใ นการป้ อ งกั น และแก้ ไข ปั ญ ายาเ พติ ด ใน ถาน ึ ก าและจั ด ท� า รายงานผลการ ิจัย แ นแ การ ิ ัย การ ิ จั ย ครั้ ง นี้ เ ป็ น การ ิ จั ย เชิ ง พรรณนา (Descriptive Research) ที่มีแผน แบบการ ิ จั ย แบบกลุ่ ม ตั อย่ า งกลุ่ ม เดี ย ึก า ภาพการณ์ไม่มีการทดลอง ( The one shot non – experimental case study) ประชากร ได้แก่ โรงเรียนมัธยม ึก า ใน ังกัด �านักงานคณะกรรมการการ ึก า ขั้นพื้นฐาน จ�าน น 2,362 โรงเรียน กลุ่ ม ตั อย่ า ง ได้ ม าจากการเลื อ ก ตั อย่างแบบ ลายขั้น (Multi–stage Sampling) โดยผู้ ิจัยก�า นดขนาดกลุ่มตั อย่าง จากการใช้ตารางประมาณขนาดตั อย่างของ ทาโร่ ยามาเน่ (Taro Yamane) ได้โรงเรียน
บัณฑิตตา จินดาทอง และประเสริฐ อินทร์รักษ์
ใน ังกัดที่เป็นกลุ่มตั อย่าง 95 โรงเรียน ผู้ใ ้ ข้อมูลแต่ละโรงเรียน ได้แก่ ผู้บริ ารโรงเรียน รือรองผู้อ�าน ยการโรงเรียน 1 คน ครูที่รับผิด ชอบงานด้านยาเ พติดใน ถาน ึก า 1 คน และครูแนะแน 1 คน ร มทั้ง ิ้น 285 คน เคร่องมอที่ นการวิจั 1. การ ั ม ภา ณ์ ที่ ไ ม่ มี โ ครง ร้ า ง (Unstructured Interview) ใช้เทคนิคการ ัมภา ณ์ที่ ไม่ถามชี้น�า และมี ิธี ัมภา ณ์ ใช้แบบปฏิ ัมพันธ์ (Interactive Interview) 2. แบบ อบถามค ามคิ ด เ ็ น (Opinionnaire) ของผู้อ�าน ยการโรงเรียน รื อ รองผู้ อ� า น ยการโรงเรี ย น ครู ที่ รั บ ผิ ด ชอบงานด้านยาเ พติดใน ถาน ึก า และครู แนะแน
3. ัมภา ณ์ผู้เชี่ย ชาญ จ�าน น 21 คน และแบบ อบถาม 5 ระดับ ของลิเคิร์ท (Likert) ซึ่งได้จากการ ัมภา ณ์ผู้เชี่ย ชาญ เพื่อถามแน โน้มค ามเป็นไปได้ ของแน ทาง ด� า เนิ น การตามกลยุ ท ธ์ ใ นการป้ อ งกั น และ แก้ไขปัญ ายาเ พติดใน ถาน ึก า สรป ลการวิจั 1 องค์ประกอบ องกล ทธ์ นการปองกัน และแก ป า าเส ติด นส าน กษา มี 5 องค์ประกอบ เรียงตามน�้า นักองค์ประกอบที่ได้จากมากไป าน้อย คือ 1) การบริ ารแบบมี ่ นร่ ม 2) การจัดการ ค ามรู้ 3) กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 4) �านึก และค ามรับผิดชอบ และ 5) การ ึก าเพื่อ พัฒนาทัก ะชี ิต ตามตารางที่ 1-5
ตารางที่ 1 องค์ประกอบที่ 1 ที่
ตัวแปร
1 ใ ้ค ามรู้ผู้ปกครองในการ ร้างครอบครั อบอุ่น 2 ่งเ ริมใ ้ฟื้นฟู ัฒนธรรมไทยที่เกี่ย กับค ามรัก ค าม ามัคคี 3 จัดใ ้มี ูนย์ เครือข่าย ่งเ ริมค ามประพฤตินักเรียน และนัก ึก า 4 ร้างเครือข่ายการท�างานของครู 5 ร้างเครือข่ายระ ่างโรงเรียน ผู้ปกครองและชุมชน 6 ่งเ ริมการจัดท�าจิต ังคมบ�าบัดในโรงเรียน 7 ประ านค ามร่ มมือกับ น่ ยงานอื่นตร จตรานักเรียนนอกโรงเรียน
นา นัก องค์ประกอบ 0.760 0.746 0.736 0.725 0.720 0.687 0.672
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
31
กลยุทธ์ในการป้องกันและแก้ไขปัญ ายาเ พติดใน ถาน ึก า
ตารางท (ต่อ) ท
ตั แปร
8 ฝึกอบรมครู ผู้ปกครองใ ้ดูแลนักเรียนโดยไม่ไปยุ่งเกี่ย กับยาเ พติด 9 ประเมิน ถานการณ์การแพร่ระบาดของยาเ พติดในโรงเรียน 10 ขจัดปัจจัยเ ี่ยงที่เอื้อต่อการใช้ ารเ พติดในโรงเรียน 11 ร้างกฎ ระเบียบของโรงเรียนร่ มกันทุกฝ่ายโดยใ ้นักเรียนมี ่ นร่ มด้ ย 12 ่งเ ริมใ ้ภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ามามี ่ นร่ มในการใ ้ค ามรู้เกี่ย กับอาชีพ 13 ร้างค ามตระ นักใ ้ผู้ปกครองและชุมชนร่ มมือกันต่อต้านยาเ พติด 14 ิเคราะ ์นโยบายยาเ พติดของรัฐบาล กระทร ง ึก าธิการ และ พฐ. 15 ระดมค ามคิดเ ็นในการพัฒนารูปแบบการด�าเนินการป้องกันและแก้ไขปัญ า ยาเ พติดในโรงเรียน 16 ติดตามประเมินผล และรายงานผลการด�าเนินงานการป้องกันและแก้ไขปัญ า ยาเ พติดในโรงเรียน 17 จัดท�า MOU กับ น่ ยงานอื่นเพื่อร่ มมือช่ ยเ ลือในเรื่องของการป้องกัน และแก้ไขปัญ ายาเ พติดในโรงเรียน 18 จัดใ ้มีระบบค บคุม ก�ากับการด�าเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญ ายาเ พติด ในโรงเรียน 19 ก�า นดใ ้ผู้ปกครองต้องร่ มรับผิดชอบนักเรียนที่มีปัญ ายาเ พติดร่ มกับ โรงเรียนอย่างจริงจัง 20 ่งเ ริมชุมชนใ ้ร่ มมือกันต่อต้านบุคคลที่เ พยาเ พติด และค้ายาเ พติด 21 มอบ มาย น้าที่รับผิดชอบด้านยาเ พติดใ ้ชัดเจน 22 ใ ้ติดตามเอาใจใ ่นักเรียนที่มีพฤติกรรมเ ี่ยงอย่างต่อเนื่อง และจริงจัง 23 จัดท�าแผน/โครงการปฏิบัติการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญ ายาเ พติด ในโรงเรียนที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม 24 ระดมทรัพยากรและเทคโนโลยีท้องถิ่นมาใช้ในการป้องกัน และแก้ไขปัญ า ยาเ พติดในโรงเรียน 25 ่งเ ริมการ อนด้านอาชีพนอกเ ลาเรียนปกติใ ้นักเรียน
32
าร าร ิชาการ ิทยาลัยแ งธรรม
นา นัก อง ์ประกอ 0.653 0.652 0.646 0.641 0.641 0.638 0.637 0.637 0.625 0.617 0.601 0.580 0.575 0.563 0.532 0.526 0.517 0.515
บัณฑิตตา จินดาทอง และประเสริฐ อินทร์รักษ์
จากตารางที ่ 1 พบ ่า งค์ประก บที่ 1 มีตั แปรจ�าน น 25 ตั แปร ซึ่งมีค่าน�า้ นัก ตั แปรใน งค์ประก บ ยู่ระ ่าง .515-.760
ตั แปร ่ นใ ญ่เกี่ย กับการมี ่ นร่ ม ผู้ ิจัย จึงตั้งชื่ งค์ประก บนี้ ่า “การบริ ารแบบมี ่ นร่ ม”
ตารางที่ 2 งค์ประก บที่ 2 ที่
ตัวแปร
1 จัดกิจกรรม น า นา ัน ยุด 2 จัดใ ้มีต�าร จใ ้ค ามรู้เกี่ย กับยาเ พติดในโรงเรียน (D.A.R.E.) 3 จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนค ามคิดเ ็นเกี่ย กับเรื่ งยาเ พติดในโรงเรียน 4 พานักเรียนไป ึก าดูงาน ถาน ึก าบ�าบัดเด็กที่ติดยาเ พติด 5 จัดกิจกรรมเพื่ นที่ปรึก า (YC : Youth Counselor) 6 จัดค่าย นทัก ะชี ิต 7 ประ านเจ้า น้าที่จาก า� นักงานป้ งกันและปราบปรามยาเ พติด (ป.ป. .) มาใ ้ค ามรู้ภาคเรียนละ 1 ครั้ง
จากตารางที ่ 2 พบ ่า งค์ประก บ ที่ 2 มีตั แปรจ�าน น 7 ตั แปร ซึ่งมีค่าน�า้ นัก ตั แปรใน งค์ประก บ ยู่ระ ่าง .505-.758
นา นัก องค์ประกอบ 0.758 0.641 0.561 0.554 0.547 0.507 0.505
่ นใ ญ่เป็นตั แปรเกี่ย กับการใ ้ค ามรู ้ ผู้ ิจัยจึงตั้งชื่ งค์ประก บนี้ ่า “การจัดการ ค ามรู้”
ตารางที่ งค์ประก บที่ 3 ที่
ตัวแปร
1 จัดใ ้มีการแข่งขันกี าต้านภัยยาเ พติด 2 จัดกิจกรรมลูกเ ื เนตรนารี รื ยุ กาชาดต้านภัยยาเ พติด 3 จัดกิจกรรม า าบ�าเพ็ญประโยชน์ 4 จัดกิจกรรม ่งเ ริมการใช้ ้ ง มุด ย่างต่ เนื่ ง 5 ่งเ ริมการจัดกิจกรรม �าคัญทาง า นา 6 จัดกิจกรรมค่ายคุณธรรม
นา นัก องค์ประกอบ 0.730 0.730 0.652 0.631 0.564 0.546
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
33
กลยุทธ์ในการป้องกันและแก้ไขปัญ ายาเ พติดใน ถาน ึก า
จากตารางที ่ 3 พบ ่า องค์ประกอบ ที่ 3 มีตั แปรจ�าน น 6 ตั แปร ซึ่งมีค่าน�า้ นัก ตั แปรในองค์ประกอบอยู่ระ ่าง .546-.730
่ นใ ญ่เป็นตั แปรเกี่ย กับการจัดกิจกรรม ใ ้นักเรียน ผู้ ิจัยจึงตั้งชื่อองค์ประกอบนี้ ่า “กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน”
ตารางท องค์ประกอบที่ 4 ท
ตั แปร
1 ใ ้ค ามรัก ค ามเมตตาต่อนักเรียนทุกคนอย่างจริงใจ 2 ใ ้ค าม นใจนักเรียนที่เรียนอ่อน เพื่อป้องกันปัญ าที่จะเกิดกับนักเรียน 3 จัด ภาพแ ดล้อมของโรงเรียนใ ้น่าอยู่ 4 กระตุ้นใ ้ครูทุกคนเ ็นค าม า� คัญในเรื่องของยาเ พติดและมี ่ นร่ มในการ ช่ ยเ ลือนักเรียน 5 ่งเ ริมใ ้ผู้บริ าร ครู และบุคลากรทางการ ึก าเป็นแบบอย่างที่ดี
จากตารางที ่ 4 พบ ่า องค์ประกอบ ที่ 4 มีตั แปรจ�าน น 5 ตั แปร ซึ่งมีค่าน�า้ นัก ตั แปรในองค์ประกอบอยู่ระ ่าง .573-.765
นา นัก อง ์ประกอ 0.765 0.661 0.598 0.587 0.573
่ นใ ญ่ เ ป็ น ตั แปรเกี่ ย กั บ จิ ต �านึ ก และ ค ามรับผิดชอบ ผู้ ิจัยจึงตั้งชื่อองค์ประกอบ นี้ ่า “ า� นึกและค ามรับผิดชอบ”
ตารางท องค์ประกอบที่ 5 ท
ตั แปร
1 จัดโปรแกรม ึก าการป้องกันและแก้ไขปัญ ายาเ พติด 2 จัดโปรแกรม ุขภาพเพื่อพัฒนานักเรียน 3 ฝึกทัก ะใ ้นักเรียนค บคุมอารมณ์และค ามเครียด
จากตารางที ่ 5 พบ ่า องค์ประกอบ ที่ 5 มีตั แปรจ�าน น 3 ตั แปร ซึ่งมีค่าน�า้ นัก ตั แปรในองค์ประกอบอยู่ระ ่าง .536-.698 ตั แปร ่ นใ ญ่เกี่ย กับใ ้นักเรียนรู้จักแก้ไข
34
าร าร ิชาการ ิทยาลัยแ งธรรม
นา นัก อง ์ประกอ 0.698 0.653 0.536
ปัญ าและค บคุมอารมณ์ตั เองได้ ผู้ ิจัย จึงตั้งชื่อองค์ประกอบนี้ ่า “การ ึก าเพื่อ พัฒนาทัก ะชี ิต”
บัณฑิตตา จินดาทอง และประเสริฐ อินทร์รักษ์
2 แนวทางดาเนินการตามกล ทธ์ นการ ปองกันและแก ป า าเส ติด นส าน กษา กลยุทธ์ที่ 1 การบริ ารแบบมี ่ น ร่ ม ผู้เชี่ย ชาญมีค ามเ ็น ่ามีค ามเป็น ไปได้ ใ นระดั บ มากที่ ุ ด และมี ค ามเ ็ น ดคล้ งกัน ร้างเครื ข่ายระ ่างโรงเรียน เครื ข่ายการท�างานข งครู บ้าน ัด และ โรงเรียนร่ มมื เ าใจใ ่ดูแลช่ ยเ ลื เด็ก ร้างค ามตระ นักใ ้ผู้ปกคร งและชุมชน ร่ มมื กันต่ ต้านยาเ พติด จัดระบบดูแล ช่ ยเ ลื นักเรียนในโรงเรียนใ ้เข้มแข็ง กลยุทธ์ที่ 2 การจัดการค ามรู ้ ผู้เชี่ย ชาญมีค ามเ ็น ่าแน โน้มที่มีโ กา เป็ น ไปได้ ใ นระดั บ มาก และมี ค ามเ ็ น ดคล้ งกัน คื จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยน เรียนรู้เกี่ย กับเรื่ งยาเ พติดในโรงเรียน ใ ้ นักเรียน าข่า เกี่ย กับเรื่ งข งยาเ พติด และน�าเ น ใ ้เพื่ นฟัง พานักเรียนไป ึก า ดูงานใน ถานบ�าบัดเด็กที่ติดยาและกลับมา ถ ดประ บการณ์ ใ ้นักเรียนประก ดเขียน เรียงค ามจากค ามรู้ ึกเกี่ย กับเรื่ งยาเ พติด ร บร มค ามรู้เกี่ย กับเรื่ งยาเ พติดไ ้ เป็นแ ล่งเรียนรู้ใ ้เด็กได้ ึก าค้นค ้า กลยุทธ์ที่ 3 กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ผู้เชี่ย ชาญมีค ามเ ็น ่าแน โน้มที่มีโ กา
เป็ น ไปได้ ใ นระดั บ มาก และมี ค ามเ ็ น ดคล้ งกัน คื จัดกิจกรรมลูกเ ื เนตรนารี รื ยุ กาชาดต้านภัยยาเ พติด จัดกิจ- กรรมค่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรม กิจกรรม To Be Number One กิจกรรมจิต า าบ�าเพ็ญ ประโยชน์ จั ด กิ จ กรรมประก ดโครงงาน ต่างๆ จัดกิจกรรมประก ดทัก ะทาง ิชาการ จัดกิจกรรมค่ายคุณธรรม จัดกิจกรรมบ้าน ลังเรียน เช่น กี า จัดกิจกรรมชมรมทาง เลื กตามค าม นใจข งเด็ก และ ่งเ ริม การ นด้าน าชีพน กเ ลาปกติ กลยุทธ์ที่ 4 �านึกและค ามรับผิด ช บ ผู ้ เชี่ ย ชาญมี ค ามเ ็ น ่ า แน โน้ ม ที่ มีโ กา เป็นไปได้ในระดับมากที่ ุด และมี ค ามเ ็น ดคล้ งกัน คื ผู้บริ ารโรงเรียน เ ็นค าม �าคัญเรื่ งยาเ พติด และใ ้ค าม ร่ มมื และประ านงานกับ น่ ยงาน ื่นใน การดูแลช่ ยเ ลื เด็ก ย่างเต็มที่ ผู้บริ าร โรงเรี ย นและครู ทุ ก คนร่ มมื กั น เ าใจใ ่ ดูแลเด็กกลุ่มเ ี่ยงเป็นกรณีพิเ ผู้บริ าร โรงเรี ย น ครู ใ ้ ค ามรั ก และค าม ่ งใย และ ร้างค าม บ ุ่นใ ้เด็ก และผู้บริ าร โรงเรียน ครู และผู้ปกคร งต้ งเป็นแบบ ย่าง ที่ด ี กลยุทธ์ที่ 5 การ ึก าเพื่ พัฒนา ทั ก ะชี ิ ต ผู ้ เชี่ ย ชาญมี ค ามเ ็ น ่ า แน
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
5
กลยุทธ์ในการป้องกันและแก้ไขปัญ ายาเ พติดใน ถาน ึก า
โน้มที่มีโอกา เป็นไปได้ในระดับมาก และ มีค ามเ ็น อดคล้องกัน คือ จัดโปรแกรม ึก าการป้องกันและแก้ไขปัญ ายาเ พติด จัดกิจกรรมนอก ลัก ูตรใ ้นักเรียนมีภา ะ ผู ้ น� า ฝึ ก ทั ก ะใ ้ นั ก เรี ย นค บคุ ม อารมณ์ และค ามเครียด ฝึกทัก ะใ ้นักเรียนรู้จักคบ เพื่อน และอยู่ร มกับเพื่อนได้อย่างมีค าม ุข นอกจากนี้ ฝึกทัก ะใ ้เด็กช่ ยเ ลือตนเอง ช่ ยเ ลือผู้อื่นได้ใน ถานการณ์ต่างๆ และมี ค ามเ ็นไม่ อดคล้องกัน อ ิปราย ล อง ์ประกอ ของกลยุทธ์ในการป้องกัน และแก้ไขปัญ ายาเ พติดใน ถาน ึก า การบริ ารแบบมี ่ นร่ ม เป็นองค์ ประกอบของกลยุทธ์ในการป้องกันและแก้ไข ปัญ ายาเ พติดใน ถาน ึก าที่มีค่าน�้า นัก ขององค์ประกอบมากที่ ุด อาจกล่า ได้ ่า เรื่องการแก้ไขปัญ ายาเ พติดเป็นเรื่องใ ญ่ ที่ ต ้ อ งอา ั ย ค ามร่ มมื อ จากบุ ค คล ลาย ฝ่ า ย เพื่ อ ใ ้งานบรรลุเป้าประ งค์อย่างมี คุ ณ ภาพและประ ิ ท ธิ ภ าพ อดคล้ อ งกั บ งาน ิจัยของมานพ คณะโต (2554) ได้ราย งานผลการ ึ ก า ถานการณ์ แ พร่ ร ะบาด ของยาไอซ์ ่า การด�าเนินการแก้ไขปัญ า เงื่ อ นไข � า คั ญ อั น ดั บ แรก คื อ การมี ่ น
36
าร าร ิชาการ ิทยาลัยแ งธรรม
ร่ มในการแก้ไขปัญ าของทุกฝ่าย เริ่มตั้งแต่ ครอบครั โรงเรียน ทุก น่ ยงานองค์กร ต่างๆ การจัดการค ามรู้ บุญดี บุญกิจ (2547) กล่า ่า การจัดการค ามรู้เป็นกระ บ นการน�าค ามรู้ที่มีอยู่ รือเรียนรู้มาใช้ ใ ้เกิดประโยชน์ ูง ุดต่อองค์กร จากการ ึก า พบ ่า กลยุทธ์ในการป้องกันและแก้ไข ปัญ ายาเ พติดใน ถาน ึก า มีแน ทางใน การด�าเนินการที่ �าคัญ คือ การพานักเรียนไป ึก าดูงาน ใน ถานบ�าบัดเด็กที่ติดยาเ พติด ซึ่งเมื่อเด็กไป ึก าดูงานกลับมาแล้ ก็ ามารถที่กลับมาเล่า รือถอดประ บการณ์ ใ ้เพื่อนฟังได้ แน ทางดาเนินการตามกลยุทธ์ในการ ป้องกันและแก้ไขปัญ ายาเ พติดใน ถาน ึก า แน ทางด� า เนิ น การตามกลยุ ท ธ์ ในการป้ อ งกั น และแก้ ไขปั ญ ายาเ พติ ด ใน ถาน ึ ก า ซึ่ ง ผู ้ เชี่ ย ชาญมี ค ามเ ็ น อดคล้องกัน ่าแน โน้มค ามเป็นไปได้มาก ที่ ุดและระดับมากในทุกเรื่อง อาจเป็นเพราะ เรื่องยาเ พติดที่ระบาดลง ู่เด็กในปัจจุบันนี้ ทางบ้านจะโท โรงเรียนไม่ดูแล รือดูแลน้อย โรงเรียนก็โท บ้าน ่าลูกตนเองใกล้ชิดก ่า ครูยังดูแลไม่ได้ ดังนั้นไม่ ่าการบริ ารแบบมี
บัณฑิตตา จินดาทอง และประเสริฐ อินทร์รักษ์
่ นร่ ม การจัดการค ามรู้ กิจกรรมพัฒนา ผู้เรียน �านึกและค ามรับผิดชอบ และการ ึ ก าเพื่ อ พั ฒ นาทั ก ะชี ิ ต ผู ้ เชี่ ย ชาญมี ค ามเ ็ น ่ า ทั้ ง ตั เด็ ก น่ ยงานต่ า งๆ ครอบครั และ ัด ต้องร่ มมือร่ มใจกัน อย่ า งจริ ง จั ง อดคล้ อ งกั บ แน ค ามคิ ด ของ ิริพร ตันติยมา (2554) และประกอบ กุลเกลี้ยง (2549) ที่กล่า ่า การบริ าร แบบมี ่ นร่ มเป็นกระบ นการท�างานร่ ม กั น ระ ่ า งผู ้ บ ริ ารและ มาชิ ก แน ทาง ด� า เนิ น การด้ า นการจั ด การค ามรู ้ เ ป็ น การ เพิ่มพูนประ บการณ์ใ ้เด็กมีองค์ค ามรู้ใน ตั และน�ามาใช้ใ ้ถูก ถานการณ์ อดคล้อง กับน�้าทิพย์ ิภา ิน และนงเยา ์ เปรมกมลเนตร (2551) กล่า ่า การจัดการค ามรู้ คือ แน ปฏิ บั ติ ที่ อ งค์ ก รใช้ ใ นการบ่ ง ชี้ ค ามรู ้ ที่ จ�าเป็น ต้องการ ร้างค ามรู้ใ ม่ และเผยแพร่ ค ามรู้เพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่ ม กันเพื่อพัฒนาประ ิทธิภาพของการท�างาน แน ทางด� า เนิ น การด้ า นกิ จ กรรมพั ฒ นาผู ้ เรียน เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นตามค ามถนัดและ ค าม นใจของผู้เรียนที่มุ่งเน้นการเติมเต็ม อดคล้องกับค ามคิดของโรเบิร์ท (Robert, 1959) กล่า ่า กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเป็น กิจกรรมที่เด็กทุกคนได้ร่ มมือกันท�า ด้ ย ค าม มัครใจ มีค ามกระตือรือร้น แน ทาง
ด� า เนิ น การด้ า น � า นึ ก และค ามรั บ ผิ ด ชอบ ผู ้ บ ริ ารโรงเรี ย นเ ็ น ค าม � า คั ญ เรื่ อ งยา เ พติดและใ ้ค ามร่ มมือและประ านกับ น่ ยงานอื่นในการดูแลช่ ยเ ลือเด็กอย่าง เต็มที่ แน ทางด�าเนินการด้านการ ึก า เพื่อพัฒนาทัก ะชี ิต ฝึกทัก ะใ ้นักเรียน ค บคุมอารมณ์และค ามเครียด ฝึกทัก ะ ใ ้นักเรียนรู้จักคบเพื่อนและอยู่ร มกับผู้อื่น ได้อย่างมีค าม ุข อาจเป็นเพราะในยุคของ การเปลี่ยนแปลงอย่างร ดเร็ เด็กบางคน อาจปรับตั ไม่ทัน ประกอบกับภา ะ ภาพแ ดล้อม เ ร ฐกิจ ถาบันครอบครั ที่เป็น ปัญ ากดดัน รืออาจเกิดจาก ภาพของตั เด็ ก เองที่ ท� า ใ ้ เ ด็ ก เกิ ด ค ามเครี ย ดและไม่ ามารถที่จะแก้ไขปัญ าด้ ยตนเองได้ จึง ัน ไปพึ่งยาเ พติด อเสนอแนะเ ่อนา ลการวิจั ป 1. ค รก� า นดเป็ น นโยบายใ ้ โรงเรี ย นจั ด ท� า แผนการป้ อ งกั น และแก้ ไข ปัญ ายาเ พติดทุกโรงเรียน พร้อมจัด รรงบ ประมาณและติดตามผลการด�าเนินงานอย่าง จริงจัง 2. ค ร ร้างข ัญและก�าลังใจใ ้ครู ที่ ป ฏิ บั ติ น้ า ที่ ด ้ า นยาเ พติ ด ด้ ยการ พิ จ ารณาค ามดี ค ามชอบกรณี พิ เ
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
37
กลยุทธ์ในการป้องกันและแก้ไขปัญ ายาเ พติดใน ถาน ึก า
�า รับผู้ที่มีผลงานดีเด่นด้านการป้ งกันและ แก้ไขปัญ ายาเ พติดใน ถาน ึก า 3. ผู้บริ ารต้ ง ร้างค ามตระ นัก ใ ้ครูทุกคน เ ็นค าม า� คัญในเรื่ งการดูแล เด็ก ย่างเข้มง ด จัดใ ้มีการ นซ่ ม และ ใ ้เด็กที่ บไม่ผ่านเร่งมาด�าเนินการ บใ ้ ผ่าน ย่าปล่ ยเ ลาใ ้นาน าจท�าใ ้เด็กเกิด ค ามกัง ล และค ามเครียด 4. ผู้บริ าร ครูและบุคลากรทาง การ ึก าต้ งร่ มมื กับชุมชนและ น่ ยงาน ื่นในการดูแลเด็กไม่ใ ้ไปยุ่งเกี่ย กับยาเ พติด 5. ร้างบรรยากา ข งโรงเรียนใ ้ เ ื้ ต่ การเรียนรู้ และน่า ยู่ 6. โรงเรี ย นค รน� า ภู มิ ป ั ญ ญาท้ ง ถิ่นเข้ามามี ่ นร่ มในเรื่ งข ง าชีพ รื ค ามรู้ ื่นๆ ข้อเ นอแนะเพอการ ิ ัย รังตอไป 1. ค ร ึก าการทดล งใช้กลยุทธ์ ในการป้ งกันและแก้ไขปัญ ายาเ พติดใน ถาน ึก า เพื่ พัฒนาต่ ไป 2. ค ร ึก าปัจจัยที่ ่งผลกระทบ ในการด�าเนินการตามกลยุทธ์ในการป้ งกัน และแก้ไขปัญ ายาเ พติดใน ถาน ึก า
38
าร าร ิชาการ ิทยาลัยแ งธรรม
3. ค ร ึก าค าม ัมพันธ์ระ ่าง โรงเรียนและชุมชนในการป้ งกันและแก้ไข ปัญ ายาเ พติดใน ถาน ึก า รร านุกรม น�้าทิพย์ ิภา ิน และนงเยา ์ เปรมกมลเนตร. 2551. น ัตกรรม ้อง มุดและการ ัดการ ามร้ กรุงเทพฯ : ูนย์ นัง ื จุ าลงกรณ์ ม า ิทยาลัย. บุญดี บุญญากิจ และคณะ. 2547. การ ัดการ ามร้ ากท การ ป ิ ัติ กรุงเทพฯ : ถาบันเพิ่ม ผลผลิตแ ่งชาติ. มานพ คณะโต. 2554. รายงาน ลการ ึก า ถานการ ์การแพรระ าด ไอ ์ กรุงเทพฯ : �านักงานคณะ กรรมการป้ งกันและปราบปราม ยาเ พติด. ประก บ กุลเกลี้ยง และ ิทธิพร ลิ้มบริบูรณ์. 2549. การ ริ าร แ ม นร ม เข้าถึง 10 พฤ ภาคม 2549 เข้าถึงได้จาก htt://area.obec.go.th/mukda han1/knowledge/view.php?210
บัณฑิตตา จินดาทอง และประเสริฐ อินทร์รักษ์
ิริพร ตันติยมา . 2550. รปแบบการ บริ ารเครอ า รงเรี นแบบมี สวนรวมที่มีประสิทธิ ล ปริญญา ดุ ฎีบัณฑิต าขา ิชาการบริ าร การ ึก า บัณฑิต ิทยาลัย ม า ิทยาลัย ิลปากร.
Robert W. F. 1959. The Third
New York : Appleton Country Craft.
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
39
การวิเคราะห์ความสั มพันธ์ระหว่าง ชุมชน วัด โรงเรียน จากงานบริการวิชาการ Analysis of Based the Relation Between Community, Church and College on the Learning Services Program. ดร.ละเอียด แจ่มจันทร์
* อาจารย์ประจำาคณะพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยเซนต์หลุยส์
สุภาวดี สมจิตต์
* อาจารย์ประจำาคณะพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยเซนต์หลุยส์
บาทหลวงธีรพล กอบวิทยากุล
* บาทหลวงในคริสต์ศาสนจักรโรมันคาทอลิก สังกัดอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ * อาจารย์ประจำาวิทยาลัยแสงธรรม
Dr.Laiad Jamjan
* Lecturer at Faculty of Nursing, Saint Louis College.
Supavadee Somjit
* Lecturer at Faculty of Nursing, Saint Louis College.
Rev.Theeraphol Kobvithayakul
* Reverend in Roman Catholic Church, Bangkok Archdiocese. * Lecturer at Saengtham College.
ละเอียด แจ่มจันทร์ ุภาวดี มจิตต์ และบาท ลวงธีรพล กอบวิทยากุล
บทคัดย่อ
การ ิจัยนี้มี ัตถุประ งค์เพื่อ 1) ิเคราะ ์ค าม ัมพันธ์ระ ่าง ชุมชน ัด โรงเรียน 2) ร้างรูปแบบ การบูรณาการพันธกิจบริการ ิชาการกับการเรียนการ อน 3) ึก าค ามเ ็นของผู้เกี่ย ข้อง กับโครงการ ร้างเ ริม ุขภาพแรงงานข้ามชาติ ณ ัดนักบุญอันนา มุทร าคร ิธีการ ิจัยเป็นการผ าน ิธีเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตั อย่างคือ 1) แรงงานข้ามชาติและบุตรที่ได้รับบริการใ ้ค ามรู้ ด้าน ุขภาพ 2) นัก ึก าพยาบาล 3) ผู้บริ าร อาจารย์ ผู้ประ านงาน โครงการ เครื่องมือ ิจัยประกอบด้ ย 1) กิจกรรม ร้างเ ริม ุขภาพ กลุ่มแรงงานข้ามชาติชา พม่า 2) แบบ อบถามประเมินประโยชน์และ ผลกระทบจากกิจกรรมที่แปลเป็นภา าพม่า 3) แบบประเมินคุณภาพ การตร จคัดกรองภา ะ ุขภาพเบื้องต้น 4) บันทึกการ ิเคราะ ์เนื้อ า จากเอก าร บันทึกการ ัมภา ณ์ และบันทึกการ ะท้อนคิดของ นัก ึก า ผลการ ิจัยพบ ่า 1. มีค าม ัมพันธ์ระ ่างชุมชน ัด โรงเรียน ที่ นองแน พระราชด�าริ “บ ร” ประกอบด้ ย 1) แรงงานข้ามชาติได้รับการช่ ย เ ลือใ ้มีคุณภาพชี ิต 2) ัดนักบุญอันนา ร้างค ามเชื่อใจและเป็น ที่พึ่งแก่ผู้ด้อยโอกา มูลนิธิคาริทั ประเท ไทยใ ้ทุนเกื้อ นุนใ ้งาน �าเร็จ และ 3) คณะพยาบาล า ตร์ ใช้องค์ค ามรู้ด้านการดูแล ุขภาพ และประ บการณ์การเรียนรู้ของนัก ึก า 2. รู ป แบบการเรี ย นรู ้ จ ากงานบริ ก าร ิ ช าการ � า รั บ คณะ พยาบาล า ตร์ม ี 4 องค์ประกอบ คือ 1) ปรัชญาและนโยบาย 2) ราย ิชาและ ลัก ูตร 3) ประ บการณ์เรียนรู้ของนัก ึก า และ 4) การเกื้อกูลจากองค์การภายนอกและประโยชน์ต่อเพื่อนมนุ ย์ 3. ค ามเ ็ น ของผู ้ เ กี่ ย ข้ อ งกั บ โครงการ ร้ า งเ ริ ม ุ ข ภาพ แรงงานข้ามชาติ 1) ผู้รับบริการประเมินประโยชน์และผลกระทบจาก กิจกรรม ร้างเ ริม ุขภาพ ในระดับดีถึงดีมาก 2) นัก ึก าพยาบาลมี การ ะท้อนคิดที่แ ดงค ามเข้าใจ ถานการณ์และปัญ าแรงงานข้าม
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
41
การวิเคราะ ์ความ ัมพันธ์ระ ว่างชุมชนวัดโรงเรียนจากงานบริการวิชาการ
ชาติชา พม่าในด้าน ภาพ ังคม เ ร ฐกิจ ุขภาพและมนุ ยธรรม และพึงพอใจกับการเรียนรู้จาก ภาพจริง และ 3) อาจารย์มีค ามรู้และ ประ บการณ์ในการบูรณาการพันธกิจบริการ ิชาการกับการเรียนการ อน ผู้บริ ารและผู้ประ านงานใ ้ค าม า� คัญกับประ บการณ์การ เรียนรู้ของนัก ึก า และการ ่งเ ริมบทบาทของ ถาบันอุดม ึก า คาทอลิกในการประกา ข่า ดี คา าคั Abstract
42
1) ค าม ัมพันธ์ 2) ชุมชน ัด โรงเรียน 3) บริการ ิชาการ
This research purposed to 1) Analyze the relation of community, church and college 2) Develop the integrate model of service learning 3) Explore the stakeholders’ opinion for the health promotion for Burmese migrants project at St.Ann church. The mix method quantitative, qualitative was conducted. Samples were 1) Burmese migrants and their children 2) Student nurses 3) Administrators, faculties and coordinators. Research implements was 1) Health promotion activity served to Burmese migrants 2) A questionnaire for the benefit and impact of health promotion which translated to Burmese language 3) A questinaire for quality of children health screening 4) Interview note, content analyses document and students’ reflective thinking record. The result revealed 1. The relation of community, church and college preserved for the royal thought , consist of 1) Burmese
วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
ละเอียด แจ่มจันทร์ ุภาวดี มจิตต์ และบาท ลวงธีรพล กอบวิทยากุล
migrants was support for quality of life. 2) St. Ann church built up trust and shelter to the poor with funding support for success from Caritas Thailand and 3) faculty of nursing utilized health care knowledge and students learning experiences. 2. The integrate model service learning was composed of 1) philosophy & policy 2) subject & curriculum 3) students’ learning experiences and 4) external support & benefit to the mankind. 3. The stakeholders’ opinion were 1) Burmese migrants evaluated the advantage of health promotion activities at good-excellent level 2) nursing students’ reflected the understanding of Burmese migrants problems in term of social,economic,health and humanity as well as satisfied to learned from the real situation and 3) faculties gained experiences of integrating services to the teaching. Administrators & co-ordinators focused on students’learning experiences and the role of the catholic higher education for evangelization.
1) Relation 2) Community Church and College 3) Service Learning
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
43
การวิเคราะ ์ความ ัมพันธ์ระ ว่างชุมชนวัดโรงเรียนจากงานบริการวิชาการ
ความเ นมาและความ าคั ง า ปัจจุบันปัญ าแรงงานข้ามชาติ เป็น ประเด็นที่ถูกกล่า ถึงในประเท ไทย ่า เป็น แรงงานที่อพยพเข้ามาท�างานอย่างไม่ ิ้น ุด เนื่องจากภาคอุต า กรรมการผลิตและภาค บริการต่างๆ ประ บปัญ าค ามขาดแคลน แรงงานไทย ผู้ประกอบการจึงน�าเอาแรงงาน ข้ามชาติเข้ามาทดแทน ซึ่งมีทั้งแรงงานชาย ญิ ง และเด็ ก ที่ เ คลื่ อ นย้ า ยมาจากประเท เพื่อนบ้าน เช่น พม่า ลา กัมพูชา เ ียดนาม จีน เป็นต้น จัง ัด มุทร าคร เป็นจัง ัดที่มี ค ามเจริ ญ เติ บ โตทางด้ า นเ ร ฐกิ จ ที่ มี GDP (Gross Domestic Product) เป็นอันดับ 6 ของประเท ไทย และเป็นจัง ัดที่มีแรงงาน ข้ า มชาติ จ� า น นมากเป็ น อั น ดั บ ต้ น ๆ ของ ประเท กิจการที่มีแรงงานข้ามชาติเข้าไป ท� า งานทดแทนแรงงานไทยมากที่ ุ ด คื อ อุต า กรรมต่อเนื่องจากประมงทะเล การ แปรรู ป อา ารเบื้ อ งต้ น และอา ารแช่ เ ยื อ ก แข็งเพื่อการ ่งออก ซึ่งในแต่ละปี ประเท ไทย ่งออกอา ารแช่เยือกแข็งมากก ่า 90,000– 100,000 ล้านบาท และในแต่ละปีพบ ่า ถานประกอบการมี ก ารขยายตั มี จ� า น น ถานประกอบการเพิ่มขึ้นจ�าน นมาก แ ดง ่าก�าลังแรงงานเป็นค ามต้องการที่ไม่ ิ้น ุด
44
วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
ในปี พ. . 2553 จัง ัด มุทร าคร มีการ ประมาณการณ์ จ� า น นแรงงานที่ มี เ อก าร ทางราชการ จ�าน น 120,000 คน คาด ่า มีแรงงานข้ามชาติที่เคลื่อนย้ายเข้ามาใ ม่ไม่ น้อยก ่า 2 เท่าตั มายถึงอาจมีแรงงาน ข้ามชาติมากก ่า 300,000 – 400,000 คน ( มพงค์ ระแก้ , 2554) แรงงานข้ามชาติที่มารับจ้างท�างาน ่ นใ ญ่ถูกจัดใ ้อยู่ในประเภท 3 . คือ ุดเ ี่ยง แ นล�าบาก และ กปรก ปัญ าของ แรงงานข้ามชาติแตกต่างกันไปตามลัก ณะ ของงาน เช่น ในภาคเก ตรกรรมได้รับค่าแรง ต�า่ ไม่มีค ามแน่นอน ภาคประมงทะเลต้อง ออกทะเลเป็นเ ลานานตั้งแต่ 4 เดือนถึงนาน เป็นปี ท�างาน นักและเ ี่ยงต่อการถูกท�าร้าย งานรับใช้ในบ้านแรงงานต้องท�างานตั้งแต่เช้า จนค�า่ มืด แรงงาน ้องแถ ถูกกักใ ้ท�างานอยู่ ในโรงงานและต้องท�างานอย่าง นัก แรงงาน ก่ อ ร้ า งพบ ่ า จะถู ก โกงค่ า แรงบ่ อ ยที่ ุ ด นอกจากปั ญ าการละเมิ ด ิ ท ธิ ด ้ า นต่ า งๆ แล้ ยังพบ ่าแรงงานข้ามชาติ ่ นใ ญ่มัก ขาดค ามรู ้ เ รื่ อ ง ุ ข อนามั ย ขั้ น พื้ น ฐาน เพราะไม่ ามารถอ่านข้อมูลข่า ารเ ล่านี้ได้ และไม่ มี ก ารพิ ม พ์ เ ผยแพร่ ใ นภา าของ พ กเขาเอง ร มทั้ ง ช่ อ งทาง รื อ โอกา ในการเข้ า ถึ ง การรั บ บริ ก าร าธารณ ุ ข ขั้ น
ละเอียด แจ่มจันทร์ ุภาวดี มจิตต์ และบาท ลวงธีรพล กอบวิทยากุล
พื้นฐานก็เป็นอุป รรค �าคัญ (คณะกรรมการ มานฉันท์แรงงานไทย, 2555) นอกจากนั้น ในปี 2553 ประเท ไทย ได้รับผลกระทบที่ �าคัญจากประเท รัฐอเมริกา โดยกระทร งแรงงาน รัฐอเมริกา ได้รายงานต่อรัฐ ภา ่า ประเท ไทยอยู่ใน กลุ่ม 58 ประเท ที่มีการใช้แรงงานเด็ก และ แรงงานบั ง คั บ ที่ ขั ด ต่ อ อนุ ั ญ ญาองค์ ก าร แรงงานระ ่างประเท ปัญ าแรงงานเด็ก ต่างด้า ในโรงงานแกะกุ้งขนาดเล็ก และจาก รายงานของกระทร งแรงงาน รัฐอเมริกาที่ จัด ินค้าไทย ได้แก่ กุ้ง เครื่องนุ่ง ่ม จึงอยู่ใน บัญชี ินค้าที่ผลิตจากแรงงานเด็กและแรงงาน บังคับ ่งผลกระทบโดยตรงต่อภาพลัก ณ์ ของ ินค้าไทย ร มถึงการกีดกันทางการค้า ระ ่างประเท และการ ่งออก ินค้าของ ไทยในตลาดโลก (มู ล นิ ธิ เ ครื อ ข่ า ย ่ ง เ ริ ม คุณภาพชี ิตแรงงาน, 2554) คาริทั ประเท ไทย มีพัฒนาการ มาจาก “ มาคมนักบุญ ินเซนเดอปอลแ ่ง ประเท ไทย” ก่อตั้งเมื่อ ันที ่ 17 ธัน าคม พ. . 2491 โดยมี ัตถุประ งค์คือ เป็น มาคม ฆรา า คาทอลิกแพร่ธรรม และเป็นองค์กร เมตตากิจ ัตถุประ งค์ ลักเป็นการรับใช้คน ยากจน โดยไม่จา� กัดผิ เชื้อชาติและ า นา จิตตารมณ์เป็นการรับใช้พระคริ ตเจ้าในตั
คนยากจนขัด น มาคมนี้เป็นเครื่องมือของ พระเป็นเจ้า ค ามจ�าเป็นที่จะต้องท�าใ ้เครื่อง มือนี้อยู่ในลัก ณะที่ใช้การได้ดีจึงมีอยู่ตลอด เ ลาโดยมีพันธกิจ ดังนี้ (คาริทั ประเท ไทย, 2555) 1. รั ก และรั บ ใช้ ค นจนด้ ยการ ่ ง เ ริมเกียรติ ักดิ์ รีของบุคคล 2. เ ริม ร้างครอบครั และชุมชน เข้มแข็ง ใ ้ค าม �าคัญกับฆรา า ในการช่ ย เ ลือเกื้อกูลกัน 3. ด� า เนิ น ชี ิ ต ด้ ยคุ ณ ค่ า ที่ ดี ง าม และด้ ย ัฒนธรรมที่ปกป้องชี ิตมนุ ย์และ ิ่งแ ดล้อม คาริทั ประเท ไทย จึงได้มอบพันธกิจในการใ ้ค ามช่ ยเ ลือแรงงานข้ามชาติ ในจั ง ั ด มุ ท ร าครแก่ ั ด นั ก บุ ญ อั น นา ท่ า จี น ซึ่ ง มี ก ลุ่ ม คน อง ั ย ในการดู แ ลคื อ ัยแรงงานซึ่งเป็นแรงงานข้ามชาติมากก ่า 1,000 คน ร มทั้งเด็ก ัยก่อนเรียนและ ัย เรียนที่ติดตามแรงงานข้ามชาติ 385 คน ใน 3 ูนย์ คือ ูนย์นักบุญอันนา ูนย์นักบุญ ยออากิม และ ูนย์มาริ ต์ และด้ ยเ ตุที่ ิทยาลัยเซนต์ ลุย ์เป็น ถาบันอุดม ึก า คาทอลิกที่มีปรัชญา ่า “เมตตาอยู่ใดพระเจ้า ถิตย์ที่นั่น” ร มทั้งมีพันธกิจบริการ ิชาการ แก่ ังคม ดังนั้นคณะพยาบาล า ตร์จึงได้
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
45
การวิเคราะ ์ความ ัมพันธ์ระ ว่างชุมชนวัดโรงเรียนจากงานบริการวิชาการ
รั บ มอบ มายใ ้ ด� า เนิ น งานโครงการ ร้ า ง เ ริ ม ุ ข ภาพแก่แรงงานข้ามชาติ ในปีการ ึก า 2555 ในประ ั ติ า ตร์ ข อง ั ง คมไทย ค าม ัมพันธ์ระ ่างโรงเรียนกับ ัดมีค าม เกี่ย ข้องและ ัมพันธ์กับ ังคมไทยมาตั้งแต่ อดีตจนถึงปัจจุบัน เมื่อ ันที่ 17 กันยายน 2524 พระบาท มเด็ จ พระเจ้ า อยู่ ั ได้ พระราชทานแน พระราชด� า ริ บ้ า น ั ด โรงเรียน รือ “บ ร” ใ ้แก่ ่ นราชการ และภาค ่ นต่างๆ น�าไปแก้ปัญ า ังคมใน ปั จ จุ บั น และในอนาคตใ ้ เ กิ ด ค าม ุ ข งบ ตลอดไป อีกทั้งยังเป็นแน ทางในการพัฒนา ทรัพยากรมนุ ย์ และทรงมีพระราชประ งค์ ที่ จ ะใ ้ ั ด เป็น ูนย์ร มจิตใจและ รัทธาใน การประ านงานพัฒนาทั้งด้าน ัตถุและจิตใจ พร้อมกับเป็น ถานที่ใ ้ค ามรู ้ อบรม แลก เปลี่ยนทาง ิทยาการด้านเก ตรกรรมเพื่อใ ้ ประชาชนมีค ามเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ( ัดมงคลชัย พัฒนา, 2554) การเรียนการ อนเรื่อง ร้างเ ริม ุขภาพเป็ น พั น ธกิ จ ของคณะพยาบาล า ตร์ ิทยาลัยเซนต์ ลุย ์ การริเริ่มและ นับ นุน จากคาริทั ประเท ไทยและ ัดนักบุญอันนา และแรงงานข้ า มชาติ ผู้ ด้ อ ยโอกา ซึ่ ง เป็ น ปัญ า �าคัญใน ังคมไทย จึงเป็น ิ่งกระตุ้น
46
วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
ใ ้ นั ก ิ จั ย นใจ ึ ก าการ ิ เ คราะ ์ ค าม ัมพันธ์ ระ ่างบ้าน ัดโรงเรียนจากงาน บริการ ิชาการซึ่งไม่เพียง นองพระราชด�าริ แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจใ ้นัก ึก าพยาบาล กระตือรือร้นในค ามคิด ค ามเชื่อ มี รัทธา ต่อการท�าค ามดี (Evangelization) ตาม อัตลัก ณ์นัก ึก าที่ก�า นดไ ้ ่า “ค ามรู้ดี มีค ามรักและเมตตา เคารพ ักดิ์ รีค ามเป็น มนุ ย์” วั ุ ระ งค์การวิจัย 1. ิเคราะ ์ค าม ัมพันธ์ระ ่าง ชุมชน ัด โรงเรียน 2. ร้ า งรู ป แบบการบู ร ณาการ พันธกิจบริการ ิชาการกับการเรียนการ อน ของคณะพยาบาล า ตร์ 3. ึก าค ามเ ็นของผู้เกี่ย ข้อง กั บ กิ จ กรรมในโครงการ ร้ า งเ ริ ม ุ ข ภาพ แรงงานข้ามชาติ ระเบียบวิธีวิจัย ระเบียบ ิธีการ ิจัย เป็นการ ิจัยเชิง พรรณนาแบบผ าน ิธ ี (Mix Method) เชิง ปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยเป็นการ ึก า เพื่อถอดบทเรียนจากโครงการ ร้างเ ริม ุข ภาพแรงงานข้ า มชาติ ซึ่ ง เป็ น งานบริ ก าร
ละเอียด แจ่มจันทร์ ุภาวดี มจิตต์ และบาท ลวงธีรพล กอบวิทยากุล
ิชาการที่บูรณาการกับราย ิชาการ อนและ ใ ้ค�าปรึก าด้าน ุขภาพของนัก ึก าชั้นปีที่ 2 ภาคปลายปีการ ึก า 2555 กลุ่มตัวอย่าง จ�าแนกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1) แรงงานข้ามชาติ 320 คน และบุตร 368 คน ที่ได้รับบริการ ร้างเ ริม ุขภาพ 2) นัก ึก าชั้นปีท ี่ 2 ผู้ใ ้บริการค ามรู้ด้าน ุขภาพ 120 คน 3) ผู้บริ าร และอาจารย์ ผู้ประ านงานโครงการ 13 คน เคร่องมอวิจัย แยกเป็น 3 ่ น คือ ่ ว นกิ จ กรรม คื อ กิ จ กรรมใน โครงการ ร้างเ ริม ุขภาพกลุ่มแรงงานข้าม ชาติชา พม่า ณ ัดนักบุญอันนา ท่าจีน มุทร าคร 3 ครั้ง ดังนี ้ ครั้งที่ 1 จัดกลุ่ม นทนาใ ้ค าม รู้ ใ นการดู แ ล ุ ข ภาพกลุ่ ม แรงงานข้ า มชาติ 200 คน 3 เรื่อง ได้แก่ อนามัยในครั เรือน ป้องกันโรคขั้นพื้นฐาน การป้องกันโรคตาม ฤดูกาล ครั้งที่ 2 จัดกลุ่ม นทนาใ ้ค ามรู้ ในการดูแล ุขภาพกลุ่มแรงงานข้ามชาติ 120 คน 3 เรื่อง ได้แก่ อนามัยในครั เรือน การ ป้องกันโรคขั้นพื้นฐาน การป้องกันโรคตาม ฤดูกาล ครั้งที่ 3 ตร จคัดกรองภา ะ ุขภาพ เบื้องต้นแก่บุตรแรงงานข้ามชาติ 368 คน ใน
ูนย์ดูแลเด็ก 3 แ ่ง คือ ูนย์นักบุญอันนา ูนย์นักบุญยออากิม และ ูนย์มาริ ต์ ่วน อมลเ ิงปริมา เป็นแบบ อบถาม 2 ฉบับ แบบมาตรา ่ นใ ้ค่า 5 ระดับ ประกอบด้ ย 1) แบบ อบถามเรื่อง ประโยชน์และผลกระทบจากกิจกรรมที่แปล เป็นภา าพม่า และมีภาพประกอบ 6 ข้อ รายการ 2) แบบประเมินคุณภาพการตร จ คัดกรองภา ะ ุขภาพเบื้องต้นแก่เด็กนักเรียน ชา พม่า 7 ข้อรายการ เพื่อใช้ประเมินผล ภาย ลังกิจกรรม ่วน อมลเ ิงคุ ภาพ มี 3 รายการ คือ 1) การ ิเคราะ ์เอก าร จากปรัชญาการ ึก าคาทอลิก ปรัชญา ลัก ูตรพยาบาล า ตรบัณฑิต พระราชด�าริพระบาท มเด็จ พระเจ้าอยู่ ั บ้าน ัด โรงเรียน และการ ประกา ข่า ดี (Evangelization) 2) บันทึก ผลการเรียนรู้ของนัก ึก าพยาบาลชั้นปีที่ 2 โดยนัก ึก าเขียนค ามเรียงแบบ ะท้อนคิด (Reflective Thinking) ลังการท�ากิจกรรม ที่ได้รับมอบ มาย 3) แบบ ัมภา ณ์ อาจารย์ ผู้บริ าร ผู้เกี่ย ข้อง ในการด�าเนินงาน ร้าง เ ริม ุขภาพแรงงานข้ามชาติ ณ ัดนักบุญ อันนา ท่าจีน มุทร าคร การพิทัก ์ ิทธิ องกลุ่มตัวอย่าง มี การประชุมร่ มกันระ ่างผู้บริ าร ิทยาลัย
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
47
การวิเคราะ ์ความ ัมพันธ์ระ ว่างชุมชนวัดโรงเรียนจากงานบริการวิชาการ
เซนต์ ลุ ย ์ คาริ ทั ประเท ไทย และ ั ด นักบุญอันนา ท่าจีน เพื่อแจ้งการด�าเนินงาน โครงการ และการเก็ บ ข้ อ มู ล การ ิ จั ย ที่ ผู้ บริ ารเ ็นชอบ กลุ่มตั อย่างได้รับค�าชี้แจงก่อนเก็บ ข้อมูลตามแผนการ ิจัย และมี ิทธิปฏิเ ธการ ใ ้ข้อมูล การ ิ เ คราะ ์ ข้ อ มู ล จั ด กระท� า เป็ น ค ามลับ เ นอผลในภาพร ม ระโยชน์ทีคาดว่าจะ ดรับ 1. แ ดงแน ปฏิ บั ติ ข องค าม ัมพันธ์ระ ่างชุมชน ัด โรงเรียนอย่างเป็น รูปธรรม 2. มี รู ป แบบงานบริ ก าร ิ ช าการ ที่ บู ร ณาการกั บ การเรี ย นการ อนของคณะ พยาบาล า ตร์เพื่อ นองพันธกิจของ ถาบัน อุดม ึก า 3 . ก า ร พั ฒ น า โ ค ร ง ก า ร ร้ า ง เ ริม ุขภาพแรงงานข้ามชาติจากค ามเ ็น ของผู้มี ่ นได้ ่ นเ ีย (Stakeholder) ลการวิจัย การวิ เ คราะ ์ ค วาม ั ม พั น ธ์ ร ะ ว่ า ง ชุมชน วัด โรงเรียน โครงการ ร้างเ ริม ุขภาพแรงงาน
48
วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
ข้ามชาติ เริ่มด�าเนินการโดย ัดนักบุญอันนา ท่าจีน มุทร งคราม ในปีการ ึก า 2555 ภายใต้มูลนิธิคาริทั ไทยแลนด์ ที่มี ิ ัยทั น์ ่า “ ังคมที่มีดุลยภาพในการปฏิบัติค ามรัก เมตตาบนพื้ น ฐานการพั ฒ นามนุ ย์ ทั้ ง ครบ ตามค� า อนของพระเยซู ค ริ ตเจ้ า ที่ เ คารพ คุณค่า ักดิ์ รีค ามเป็นมนุ ย์” โดยมีพันธกิจประการ นึ่งที่เกี่ย ข้องกับปัญ าแรงงาน ข้ามชาติในจัง ัด มุทร าคร คือ พันธกิจ รั ก และรั บ ใช้ ค นจนด้ ยการ ่ ง เ ริ ม เกี ย รติ ักดิ์ รีของบุคคล ในปี พ. . 2553 จัง ัด มุทร าคร มีแรงงานข้ามชาติจ�าน นก ่า 600,000 คน เข้าไปท�างานทดแทนแรงงานไทย โดยกิจการ ที่ มี แ รงงานข้ า มชาติ ม ากที่ ุ ด คื อ กิ จ การ อุต า กรรมต่อเนื่องจากประมงทะเล การ แปรรู ป อา ารเบื้ อ งต้ น และอา ารแช่ เ ยื อ ก แข็งเพื่อการ ่งออก แรงงานข้ามชาติจึงถูก มองเป็นปัจจัย ต้นทุนการผลิตที่ �าคัญ แต่ ปัญ าแรงงานข้ามชาติ เด็ก และผู้ติดตาม ในจัง ัด มุทร าครเป็นปัญ าซับซ้อนทั้ง ด้านกฎ มายคนเข้าเมือง ังคม เ ร ฐกิจ าธารณ ุข ที่ต้องได้รับการดูแลจาก ลาย ภาค ่ น (จัง ัด มุทร าคร, 2553) การใ ้ ค ามช่ ยเ ลือแรงงานข้ามชาติชา พม่าใ ้มี คุณภาพชี ิตจึงเป็นผลดีในด้านมนุ ยธรรม
ละเอียด แจ่มจันทร์ ุภาวดี มจิตต์ และบาท ลวงธีรพล กอบวิทยากุล
ทิ ยาลัยเซนต์ ลุย ์ เป็น ถาบันการ ึก าเอกชนใน ังกัดมิ ซังโรมันคาทอลิก มี ปรัชญาพื้นฐาน คือ “เมตตากรุณาอยู่ที่ใด พระเจ้า ถิตที่นั่น” ิทยาลัยมีค ามมุ่งมั่นที่ จะด�าเนินตาม ลักธรรมแ ่งพระเยซูเจ้าใน การรับใช้เพื่อนมนุ ย์ โดยการผลิตบัณฑิต พยาบาลที่ มี คุ ณ ภาพ มี ค ามรู้ แ ละมี ค าม ช�านาญใน า ตร์เฉพาะ าขา ร มทั้งรอบรู้ ใน า ตร์อื่นๆ ที่เกี่ย ข้อง ามารถประกอบ ิชาชีพด้ ยค ามรักและมีเมตตาธรรมเป็นพื้น ฐาน (คณะพยาบาล า ตร์, 2555) โครงการ ร้างเ ริม ุขภาพแรงานข้ามชาติจึง ัมพันธ์ กั บ พั น ธกิ จ ของ ถาบั น อุ ด ม ึ ก าและ ลั ก ธรรมแ ่งพระเยซูเจ้าในการรับใช้เพื่อนมนุ ย์ ในปี พ. . 2524 พระบาท มเด็จ พระเจ้ า อยู่ ั พระองค์ พ ระราชทานแน พระราชด� า ริ ด้ า นการ ึ ก าใ ้ แ ก่ นั ก การ ึก า ถาบันการ ึก า ่ นราชการ ภาค เอกชน ตลอดจนบุคคลกลุ่มต่างๆ าระของ พระราชด�าริที่ปรากฏเป็นเอก ารครอบคลุม เนื้อ าที่ก ้างข างและลึกซึ้ง โดยเฉพาะพระ ราชด�าริ “บ ร” “บ ร” ตามพจนานุกรมค�านี้ มาย ถึงประเ ริฐ รือล�้าเลิ ด้ ยพระอัจฉริยภาพ ในองค์พระบาท มเด็จพระเจ้าอยู่ ั ทรงมอง ค�านี้ด้ ยค ามลึกซึ้งและละเอียดอ่อน อธิบาย
ลัก ณะค าม ัมพันธ์ใน ังคมแบบไทยในมุม ก ้างอย่างครอบคลุม ตามแน พระราชด�าริ อัก รทั้ง ามตั ล้ นมีค าม มายในตั เอง เป็นค าม มายที่ผูกพันและคุ้นเคยตลอดมา เริ่มจาก บ. แทนค าม มายด้ ยค�า ่า บ้าน ที่พักอา ัย รือครอบครั ใ ้ค ามรักค าม อบอุ่นผูกพันเป็น น่ ย รือ ถาบันเล็กที่ ุด ในโครง ร้างของ ังคม แต่เป็นจุดเริ่มต้นของ ังคมโดยร ม ัดเปรียบเ มือน ูนย์กลางทางจิตใจ ของคนไทยมาแต่ครั้งอดีต เป็น ถาบันที่ยึด เ นี่ย จิตใจ คนในชุมชนรอบๆ นอกจาก เป็น ถานที่ประกอบ า นกิจของพระ งฆ์ แล้ ั ด ยั ง เป็ น ถานที่ อ บรมบุ ค คลใ ้ ประพฤติถูกท�านองคลองธรรม �า รับชา บ้าน ัดยังเป็น ถานที่ใ ้คนในชุมชนพบปะ กัน ประเท ไทยเป็นประเท ที่มีเ รีภาพใน การนั บ ถื อ า นา ทุ ก า นาไม่ ่ า จะเป็ น อิ ลาม คริ ต์ ล้ นมี ลักค�า อนใ ้ผู้คน ประพฤติและปฏิบัติดี โดยนัยนี ้ . จึง มาย ร มถึง า นาต่างๆ ที่อยู่ในแผ่นดินไทย โรงเรียนคือ ถานที่ที่ใ ้ค ามรู้อย่าง มีแบบแผน �า รับเยา ชน ซึ่งจะเติบโตขึ้น เป็นผู้ใ ญ่ในอนาคต โรงเรียนต้องดูแลเ ล่า ลูก ิ ย์เ มือนลูก ลาน และต้องใ ้ค ามรู้ ทาง ิชาการร มถึงท�าใ ้ ิ ย์เป็นคนดี การ
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
49
การวิเคราะ ์ความ ัมพันธ์ระ ว่างชุมชนวัดโรงเรียนจากงานบริการวิชาการ
ท�าใ ้ “บ ร” ประ านกันอย่างลงตั จึงเป็น ค ามรับผิดชอบต่อการ ร้างค ามผา ุขใน ังคม ค าม ัมพันธ์ลัก ณะนี้ไม่ได้ มายถึง ัดในพุทธ า นาเพียงอย่างเดีย ในชุมชน า นาอื่นก็ถือเป็น ูนย์ร มจิตใจ ชี้น�าคนใน ชุมชนใ ้ท�าค ามดีเช่นเดีย กัน ัดจึงเป็น ู น ย์ ร มจิ ต ใจในการด� า เนิ น กิ จ กรรมเพื่ อ การพั ฒ นา รื อ กิ จ กรรมอั น เป็ น ประโยชน์ แก่ ชุ ม ชน “บ้ า น” รื อ ชุ ม ชนจะร่ มกั บ “ ั ด ” โดยการ นั บ นุ น ที่ � า คั ญ จาก “โรงเรียน รือ ราชการ” ร่ มกันด�าเนิน การในลัก ณะ ามประ าน มีค ามร่ มมือ และพัฒนาไปพร้อมๆ กัน เพื่อค าม �าเร็จ และก่อใ ้เกิดประโยชน์ ูง ุดในลัก ณะที่มี การพึ่งพาอา ัยซึ่งกันและกัน การประ าน ภารกิจอันจะก่อใ ้เกิดประโยชน์ของ ังคม มากขึ้น (มูลนิธิชัยพัฒนา, 2555) โครงการ ร้างเ ริม ุขภาพแรงงาน
ค ะพยาบาล า ร์ ชความ รความชานา ดานการดแล ุ าพและ ระ บการ ์การ เรียนร งนัก ก า บริการ วิชาการ
ข้ามชาติที่ได้ด�าเนินการมาแล้ นั้น แ ดงแน ปฏิบัติของค าม ัมพันธ์ระ ่างชุมชน ัด โรงเรียน ที่ นองแน พระราชด�าริ “บ ร” ซึ่งประกอบด้ ย 1) แรงงานข้ามชาติได้รับ ค ามรั ก เอาใจใ ่ ค าม ั ง ที่ พึ่ ง พิ ง และ การช่ ยเ ลือใ ้มีคุณภาพชี ิต 2) ัดนักบุญ อันนา ร้างค ามเชื่อใจ (Trust) เป็นที่พึ่งพา แก่ ผู้ ด้ อ ยโอกา พระ งฆ์ เ ป็ น ครู พี่ เ ลี้ ย ง (Mentor) ร้างโอกา การท�าค ามดี และ คาริทั ใ ้ทุนเกื้อ นุนใ ้งาน �าเร็จ 3) คณะ พยาบาล า ตร์ใช้องค์ค ามรู้ด้านการดูแล ุ ข ภาพและประ บการณ์ ก ารเรี ย นรู้ ข อง นั ก ึ ก าใ ้ บ ริ ก าร ิ ช าการ โดยทั้ ง าม ประ านมี ค าม ั ม พั น ธ์ ที่ เชื่ อ มโยงกั น ตาม ค� า อนพระเยซู ค ริ ตเจ้ า และพั น ธกิ จ ของ ถาบันเป็นพื้นฐานรองรับ ผลการ ิเคราะ ์ ค าม ัมพันธ์ระ ่างชุมชน ัด โรงเรียน แ ดงได้ดังแผนภูมิท ี่ 1
โบ ์นักบุ ันนา ราง ความเช จแก่ ด ยโ กา บาท ลวงเ นครพีเลียง และ การ นับ นุนจากคาริทั ระเท ทย
แรงงาน ามชา ิและ เดกนักเรียน ดรับความรัก เ า จ ่ ความ วัง ทีพงพิง และการช่วยเ ล มีคุ าพชีวิ
แ น มิที แ ดงค าม ัมพันธ์ระ ่างชุมชน ัด โรงเรียน
50
วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
ละเอียด แจ่มจันทร์ ุภาวดี มจิตต์ และบาท ลวงธีรพล กอบวิทยากุล
2 การ รางรปแบบการบร าการพันธกิจ บริ ก ารวิ าการกั บ การเรี ย นการ อน อง ค ะพยาบาล า ตร์ งานบริการ ิชาการแก่ ังคมเป็น นึ่ง ในพันธกิจของ ถาบันอุดม ึก า โดยเป็นไป ตาม พระราชบัญญัติการ ึก าแ ่งชาติ พ. . 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ. . 2545 มาตรา 34 ที่คณะกรรมการการอุดม ึก า ก�า นดมาตรฐานการอุดม ึก าขึ้น โดยได้ ก�า นดมาตรฐานด้านพันธกิจของการบริ าร การอุดม ึก าขึ้น 4 ด้าน คือ ด้านการ ผลิตบัณฑิต ด้านการ ิจัย ด้านการใ ้บริการ ทาง ิ ช าการแก่ ั ง คม และด้ า นการท� า นุ บ�ารุง ิลปะและ ัฒนธรรม จากมาตรฐานดัง กล่า ท�าใ ้ ถาบันอุดม ึก าจะต้องด�าเนิน งานตามพั น ธกิ จ การใ ้ บ ริ ก ารทาง ิ ช าการ แก่ ังคม โดยใ ้มีค ามทัน มัย เ มาะ ม อดคล้ อ งกั บบริบทและตามค ามต้องการ
ของชุมชน เพื่อเ ริม ร้างค ามเข้มแข็งและ ค ามยั่งยืนของชุมชน ังคม และประเท ชาติ การ ร้างรูปแบบการเรียนรู้จากงาน บริการ ิชาการ �า รับคณะพยาบาล า ตร์ จากโครงการ ร้างเ ริม ุขภาพแรงงานข้าม ชาติ จึงด�าเนินการโดยมีราย ิชาใน ลัก ูตร พยาบาล า ตรบัณฑิตเป็นแกน �าคัญและ มีค ามเชื่อมโยงกับปรัชญาของ ลัก ูตร มี การ นับ นุนจากมูลนิธิคาริทั ประเท ไทย และ ัดนักบุญอันนา เพื่อใ ้ค ามช่ ยเ ลือ คุณภาพชี ิตแรงงานข้ามชาติ ซึ่งเป็นปัญ า ังคมของจัง ัด มุทร าคร ผลการ ิเคราะ ์ องค์ ป ระกอบของการด� า เนิ น งานโครงการ ร้ า งเ ริ ม ุ ข ภาพแรงงานข้ า มชาติ เพื่ อ ังเคราะ ์เป็นรูปแบบการบูรณาการพันธกิจ บริการ ิชาการกับการเรียนการ อน แ ดงไ ้ ในตารางที ่ 1
ตารางที่ 1 แ ดงผลการ ิเคราะ ์องค์ประกอบของการด�าเนินงานโครงการ ร้างเ ริม ุขภาพ แรงงานข้ามชาติ ที่ องค์ประกอบ การดาเนินงาน 1 ปรัชญา/ มีการบูรณาการ 3 องค์ประกอบ �าคัญในการด�าเนินงาน คือ 1) ปรัชญา ิทยาลัย นโยบาย “เมตตากรุณาอยู่ที่ใด พระเจ้า ถิตย์ที่นั่น” 2) นโยบายด้านพันธกิจบริการ ิชาการใน การ ร้างค ามร่ มมือกับองค์การภายนอก คือมูลนิธิคาริทั ประเท ไทย ัดนักบุญ อันนา และ 3) ปรัชญาของคณะพยาบาล า ตร์ที่ ่า “ ุขใจ ใฝ่รู้ ดูแลเป็นเลิ เชิดชู คุณธรรม น�า ุขภาพ ังคม”
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
51
การวิเคราะ ์ความ ัมพันธ์ระ ว่างชุมชนวัดโรงเรียนจากงานบริการวิชาการ
ารางที (ต่อ) ที งค์ ระก บ การดาเนินงาน 2 ลักl ูตร/ ลัก ูตรพยาบาล า ตรบัณฑิต ราย ิชาการ อนและใ ้ค�าปรึก าด้าน อัตลัก ณ์ ุขภาพ โดยนัก ึก า ืบค้นเนื้อ า าระการ ร้างเ ริม ุขภาพ เพื่อใ ้ค�าแนะน�าแก่ นัก ึก า แรงงานข้ามชาติชา พม่า 3 เรื่อง ออกแบบกิจกรรมและคัด รร ื่อเพื่อใ ้ผู้รับบริการ เข้าใจง่าย นัก ึก าแบ่งกลุ่มย่อยท�างานเป็นทีม มีการเตรียมงานก่อนลงมือปฏิบัติ และมีการประเมินผลแบบ ะท้อนคิด (Reflective Thinking) ลังการปฏิบัติกิจกรรม นองตอบต่ออัตลัก ณ์นัก ึก าที่ ่า “ค ามรู้ดี มีเมตตาเคารพในคุณค่าและ ักดิ์ รี ของค ามเป็็นมนุ ย์” นองตอบต่อ ัตถุประ งค์การเรียนรู้ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ค ามรู้ (Knowledge) 3 กิจกรรมการ ทัก ะ (Skills) และเจตนคติ (Attitude) นัก ึก าได้อภิปรายปัญ าและผลกระทบ เรียนรู้ ของแรงงานพม่าในประเท ไทยทั้งในชั้นเรียนและการท�างานเป็นกลุ่ม การใช้ฐานข้อมูล เพื่อ ืบค้นเนื้อ า าระด้าน ุขภาพ การประ านงานภายในกลุ่มและข้ามกลุ่ม การแลก เปลี่ยน าร นเท ระ ่างนัก ึก ากับผู้รับบริการ โดยเป็น ิธีการเรียนที่เน้นผู้เรียนเป็น �าคัญ อาจารย์ลดบทบาทการ อนเป็นการเรียนรู้ร่ มกับนัก ึก า และเพิ่มบทบาทผู้ อ�าน ยค าม ะด ก (Facilitator) ในการแนะน�าแ ล่งข้อมูล การเลือก รร าร นเท ด้าน ุขภาพและ ื่อที่เ มาะ มกับผู้รับบริการที่ไม่ ามารถ ื่อ ารภา าไทยได้ดี ลงมือ ปฏิบัติจริงพร้อมนัก ึก า นัก ึก าประเมินผลแบบ ะท้อนคิด (Reflective Thinking) ทั้งการพูดและเขียน คาริทั ประเท ไทย นับ นุนงบประมาณเป็นค่าพา นะ ื่อ ค่าอา าร 5 การ นับ นุน จากชุมชน/ นัก ึก า เจ้าอา า นักบุญอันนา แนะน�านัก ึก าใ ้ท�าค ามเข้าใจประเด็นปัญ า แรงงานพม่าในประเท ไทยและในจัง ัด มุทร าคร เตรียมพื้นที่ท�างานของนัก ึก า องค์การ แปลแบบ อบถามเป็นภา าพม่า ประเมินผลโครงการ ช่ ยแก้ปัญ าเฉพาะ น้า ขณะนัก ึก าปฏิบัติงานจริง ดูแลนัก ึก าแบบครูพี่เลี้ยง (Mentor) และใ ้แน คิด �าคัญต่อ ิทยาลัยในการท�า น้าที่ ถาบันการ ึก าคาทอลิกในเรื่องการประกา ข่า ดี (Evangelization) 4 บทบาทครู
52
วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
ละเอียด แจ่มจันทร์ ุภาวดี มจิตต์ และบาท ลวงธีรพล กอบวิทยากุล
ตารางที่ 1 (ต่อ) ที่ องค์ประกอบ 6 ค ามต้องการ ของชุมชน และการได้รับ ประโยชน์ 7 การ ประเมินผล
การดาเนินงาน นองตอบปั ญ าแรงงานข้ า มชาติ ด้ า น ุ ข ภาพอนามั ย ที่ จ� า เป็ น ต่ อ การมี คุณภาพชี ิต การประเมินประโยชน์และผลกระทบจากผู้รับบริการจ�าน น 230 รายพบ ่าอยู่ในระดับดีถึงดีมาก ผู้รับบริการได้ประโยชน์อีกประการ นึ่งคือ ค ามรู้ ึกมีคุณค่า ในตนเองที่ได้รับค ามเอาใจใ ่จากนัก ึก าพยาบาลที่เป็นเยา ชน และการมาร มกลุ่ม ของผู้มีปัญ า ุขภาพ รือมี ถานภาพใกล้เคียงกัน นัก ึก าเรียนรู้จาก ถานการณ์จริง เข้าใจ ถานการณ์แรงงานข้ามชาติของ ประเท พัฒนาทัก ะทางปัญญาในการ ิเคราะ ์ปัญ าแรงงานข้ามชาติซึ่งกระทบต่อ ภาพ ังคม เ ร ฐกิจ ุขภาพ และมนุ ยธรรม ร มทั้งพัฒนาทัก ะค าม ัมพันธ์กับ กลุ่มเพื่อนและการท�างานเป็นทีม คณะพยาบาล า ตร์มีแน ปฏิบัติชัดเจนด้านค าม ัมพันธ์ระ ่างชุมชน ัด โรงเรียน
ผลการ ิ เ คราะ ์ อ งค์ ป ระกอบของ การด� า เนิ น งานโครงการ ร้ า งเ ริ ม ุ ข ภาพ แรงงานข้ามชาติเพื่อ ังเคราะ ์เป็นรูปแบบ การบูรณาการพันธกิจบริการ ิชาการกับการ เรียนการ อนของคณะพยาบาล า ตร์ ได้ 4
องค์ประกอบ คือ 1) ปรัชญาและนโยบาย 2) ราย ิชาและ ลัก ูตร 3) ประ บการณ์ เรี ย นรู้ ข องนั ก ึ ก า 4) การเกื้ อ กู ล จาก องค์ ก ารภายนอกและประโยชน์ ต่ อ เพื่ อ น มนุ ย์ ดังแ ดงในแผนภูมิท ี่ 2
รายวิ า และ ลัก ตร ปรั า ประ บการ ์ และ การเรียนร น ยบาย องนัก ก า การเกอกลจาก บ ์ และประ ย น์ต่อ เพ่อนมนุ ย์
แ นภมิที่ 2 แ ดงรูปแบบการเรียนรู้จากงานบริการ ิชาการ �า รับคณะพยาบาล า ตร์
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
53
การวิเคราะ ์ความ ัมพันธ์ระ ว่างชุมชนวัดโรงเรียนจากงานบริการวิชาการ
ความเ น ง เกียว งกับกิจกรรม น แบบ อบถาม 271 คน คิดเป็น 84.68% โครงการ รางเ ริม ุ าพแรงงาน ามชา ิ ประเมิ น ประโยชน์ แ ละผลกระทบจากกิ จ 3.1 ผู้รับบริการ กลุ่มแรงงานข้าม กรรม ร้ า งเ ริ ม ุ ข ภาพในระดั บ ดี ถึ ง ดี ม าก ชาติชา พม่ากลุ่มที่ 1 จ�าน น 200 คน กลุ่ม แ ดงในตารางที่ 2 ที่ 2 จ�าน น 120 คน ร ม 320 คน มีผู้ตอบ ารางที แ ดงผลการประเมินประโยชน์/ผลกระทบ เรื่องอนามัยในครั เรือน ที รายการ 1 เนื้อ าฟังแล้ ชัดเจน เข้าใจง่าย 2 เนื้อ าฟังแล้ ตนเอง ามารถท�าได้ 3 เนื้อ าตรงกับที่ต้องการ 4 น�าไปบอกเพื่อน รือคนรู้จักใ ้ทา� ได้ 5 นัก ึก าใช้ภา าและท่าทางที่ดี 6 นัก ึก าใช้ ื่อภาพประกอบเข้าใจได้ดี ความพงพ จ น าพรวม
จากตารางที่ 2 การประเมินประ โยชน์/ผลกระทบ เรื่องอนามัยในครั เรือน ข้อรายการที่มีค่าเฉลี่ยมากที่ ุดคือ ฟังแล้ ชัดเจนเข้าใจง่าย (4.66) ข้อรายการที่มีค่า
4.66 4.60 4.56 4.61 4.49 4.63
0.94 0.94 0.94 0.92 0.45 1.00
ระดับ ดีมาก ดีมาก ดีมาก ดีมาก ดี ดีมาก ดีมาก
เฉลี่ ย น้ อ ยที่ ุ ด คื อ นั ก ึ ก าใช้ ภ า าและ ท่าทางที่ดี (4.49) ผู้ประเมินมีค ามพึงพอใจ ในภาพร มอยู่ในระดับดีมาก (4.66)
ารางที แ ดงผลการประเมินประโยชน์/ผลกระทบ เรื่องการป้องกันโรคขั้นพื้นฐาน ที รายการ 1 เนื้อ าฟังแล้ ชัดเจน เข้าใจง่าย 2 เนื้อ าฟังแล้ ตนเอง ามารถท�าได้ 3 เนื้อ าตรงกับที่ต้องการ 4 น�าไปบอกเพื่อน รือคนรู้จักใ ้ทา� ได้ 5 นัก ึก าใช้ภา าและท่าทางที่ดี 6 นัก ึก าใช้ ื่อภาพประกอบเข้าใจได้ดี ความพงพ จ น าพรวม
54
วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
4.61 4.50 4.46 4.61 4.69 4.87
0.92 0.94 0.94 0.92 0.85 1.00
ระดับ ดีมาก ดี ดี ดีมาก ดีมาก ดีมาก ดีมาก
ละเอียด แจ่มจันทร์ ุภาวดี มจิตต์ และบาท ลวงธีรพล กอบวิทยากุล
จากตารางที่ 3 การประเมินประ ข้ อ รายการที่ มี ค่ า เฉลี่ ย น้ อ ยที่ ุ ด คื อ เนื้ อ า โยชน์/ผลกระทบ เรื่องการป้องกันโรคขั้น ตรงกับที่ต้องการ (4.46) ผู้ประเมินมีค ามพึง พื้นฐาน ข้อรายการที่มีค่าเฉลี่ยมากที่ ุดคือ พอใจในภาพร มอยู่ในระดับดีมาก (4.62) นัก ึก าใช้ ื่อภาพประกอบเข้าใจได้ด ี (4.87) ตารางที่ 4 แ ดงผลการประเมินประโยชน์/ผลกระทบ เรื่องการป้องกันโรคตามฤดูกาล ที่ อรายการ 1 เนื้อ าฟังแล้ ชัดเจน เข้าใจง่าย 2 เนื้อ าฟังแล้ ตนเอง ามารถท�าได้ 3 เนื้อ าตรงกับที่ต้องการ 4 น�าไปบอกเพื่อน รือคนรู้จักใ ้ทา� ได้ 5 นัก ึก าใช้ภา าและท่าทางที่ดี 6 นัก ึก าใช้ ื่อภาพประกอบเข้าใจได้ดี ความพงพอ จ นภาพรวม
5.00 4.95 4.85 4.87 4.82 4.89 4
0.00 0.23 0.53 0.55 0.56 0.38 0 45
ระดับ ดีมาก ดีมาก ดีมาก ดีมาก ดีมาก ดีมาก ดีมาก
จากตารางที่ 4 การประเมินประ ค่าเฉลี่ยน้อยที่ ุดคือ นัก ึก าใช้ภา าและ โยชน์/ผลกระทบ เรื่องการป้องกันโรคตาม ท่าทางที่ดี (4.82) ผู้ประเมินมีค ามพึงพอใจ ฤดูกาล ข้อรายการที่มีค่าเฉลี่ยมากที่ ุดคือฟัง ในภาพร มอยู่ในระดับดีมาก (4.89) แล้ ชัดเจน เข้าใจง่าย (5.00) ข้อรายการที่มี ตารางที่ 5 แ ดงผลการประเมินประโยชน์และผลกระทบ กิจกรรมการตร จคัดกรองภา ะ ุขภาพเบื้องต้นแก่เด็กนักเรียนชา พม่า ที่ อรายการ 1 ประ านงานในการจัด ถานที ่ เ ลา และค าม ะด กในการปฏิบัติงาน 2 ามารถ ื่อ ารด้ ยภา า ท่าทาง ใ ้นักเรียนเข้าใจและท�าตามได้ 3 ปฏิบัติการตร จร่างกายนักเรียนได้อย่างคล่องแคล่ 4 ลงบันทึกรายงานตร จร่างกายนักเรียนได้ครบถ้ น 5 จัดท�าฐานข้อมูล ุขภาพนักเรียนได้ครบถ้ น 6 ผลงานน�าไปใช้ประโยชน์ได้ 7 มีบุคลิกภาพท่าทางแจ่มใ กริยามารยาท ุภาพ ความพงพอ จ นภาพรวม
3.89 3.47 3.89 4.11 4.17 4.39 4.37 4 00
ระดับ 0.74 ดี 0.77 ปานกลาง 0.66 ดี 0.57 ดี 0.51 ดี 0.49 ดี 0.49 ดี 0 57 ดี
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
55
การวิเคราะ ์ความ ัมพันธ์ระ ว่างชุมชนวัดโรงเรียนจากงานบริการวิชาการ
จากตารางที่ 5 การประเมินประ โยชน์/ผลกระทบ เรื่องผลกระทบกิจกรรมการ ตร จคัดกรองภา ะ ุขภาพเบื้องต้นแก่เด็ก นักเรียนชา พม่า ข้อรายการที่มีค่าเฉลี่ยมาก ที่ ุดคือผลงานน�าไปใช้ประโยชน์ได้ (4.39) ข้อรายการที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่ ุดคือ ามารถ ื่อ ารด้ ยภา า ท่าทาง ใ ้นักเรียนเข้าใจ และท�าตามได้ (3.47) ผู้ประเมินมีค ามพึง พอใจในภาพร มอยู่ในระดับดี (4.00) 3.2 นัก ึก า มีผลลัพท์การเรียน รู้ จ ากการบู ร ณาการบริ ก าร ิ ช าการกั บ การ เรียนการ อน ิชาการ อนและใ ้ค�าปรึก า ด้ า น ุ ข ภาพ ด้ า นค ามรู้ จ ากการค้ น ค ้ า าระเนื้อ าไปปรับใช้กับ ถานการณ์จริง มี ค ามเข้ า ใจ ถานการณ์ แรงงานข้ า มชาติ ของ ังคม พัฒนาทัก ะทางปัญญาในการ ิ เ คราะ ์ ปั ญ าแรงงานข้ า มชาติ ที่ ก ระทบ ต่อ ภาพ ังคม กฎ มาย เ ร ฐกิจ ุขภาพ และมนุ ยธรรม ร มทั้งพัฒนาทัก ะค าม ัมพันธ์กับกลุ่มเพื่อนและการท�างานเป็นทีม 3.3 อาจารย์ ผู้ บ ริ าร และผู้ ประ านงาน อาจารย์มีค ามรู้และประ บการณ์การบูรณาการพันธกิจบริการ ิชาการ กับการเรียนการ อน เ ็นประโยชน์ของ ิธี การเรียนแบบโครงการ ฝึกประ บการณ์จริง นอก ้ อ งเรี ย น ซึ่ ง ามารถน� า ไปใช้ ไ ด้ กั บ
56
วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
ราย ิชาอื่นๆ ได้ ผู้บริ ารและผู้ประ านงาน ใ ้ ค าม � า คั ญ กั บ ประ บการณ์ ก ารเรี ย นรู้ ของนัก ึก า ่งเ ริมบทบาทของ ถาบัน อุ ด ม ึ ก าคาทอลิ ก ในการประกา ข่ า ดี และแ ดงถึ ง การ นอแน พระราชด� า ริ “บ ร” ในฐานะที่ “ ดั ” มิได้ มายถึง ถาบัน รื อ เขตพื้ น ที่ รื อ อาคารบ้ า นเรื อ นเท่ า นั้ น แต่ ั ด เป็ น ครอบครั ของพระเจ้ า มี จิ ต ิญญาณเดีย กัน ชุมชน ัดเป็นจุด ูนย์ร ม ของครอบครั คริ ตชน มีจิตตารมณ์ค าม เป็ น พี่ น้ อ งและไมตรี จิ ต ต่ อ กั น ( มั ช ชา อัคร ังฆมณฑลกรุงเทพฯ, 2005) ร มทั้ง “…บทบาทของโรงเรี ย นคาทอลิ ก ซึ่ ง มี น้ า ที่ ป ลู ก ฝั ง เ ริ ม ร้ า งคุ ณ ธรรม ค่ า นิ ย มที่ ถู ก ต้ อ ง โดยการใ ้ ก าร ึ ก าแก่ เ ยา ชน ด้ ยการ ร้ า งกระบ นการเรี ย นรู้ โ ดยมี พื้ น ฐานอยู่ บ น ลั ก ค� า อนทาง า นาที่ ใ ้ ค าม � า คั ญ กั บ ค ามรั ก และการรั บ ใช้ เป็ น บุ ค คลเพื่ อ คนอื่ น …” (จิ ต ร ิ ท ธิ อ มร ธีรพล กอบ ิทยากุล และ ุพจน์ ฤก ์ ุจริต ัมภา ณ์ ธัน าคม, 2557) เ น แนะ 1. คณะกรรมการบริ ก าร ิ ช าการ ขยายผลการด� า เนิ น โครงการ ร้ า งเ ริ ม ุ ข ภาพแรงงานข้ามชาติ ชา พม่าใ ้มีค ามต่อ
ละเอียด แจ่มจันทร์ ุภาวดี มจิตต์ และบาท ลวงธีรพล กอบวิทยากุล
เนื่องไม่น้อยก ่า 2 ปี เพื่อ ร้างแน ปฏิบัติ ที่ดีในการจัดการเรียนการ อนเน้นผู้เรียนเป็น �าคัญ และมี ลักฐานเชิงประจัก ์ �า รับ บรรลุเกณฑ์ตั บ่งชี้ประกันคุณภาพการ ึก า ทั้งกระบ นการ และผลลัพธ์ 2. คณะพยาบาล า ตร์ างแผน พันธกิจด้านบริการ ิชาการใ ้กระจายเข้า ู่ กลุ่ม ิชาทุกกลุ่ม โดยก�า นดไ ้ในแผนการ เรียน ลัก (Master Plan) ก่อนเปิดปีการ
กึ า ค รมีราย ิชาที่ออกแบบใ ้มีกิจกรรม การเรียนรู้ร่ มกัน ลาย ิชา เพื่อใ ้นัก ึก า ได้ ป ระ บการณ์ จ ริ ง และการเรี ย นรู้ แ บบ บูรณาการ 3. ผู้ บ ริ ารองค์ ก ารคาทอลิ ก ค ร พิจารณาการด�าเนินงานใ ้มีค ามยั่งยืน โดย น� า ผลการ ิ จั ย ค าม ั ม พั น ธ์ “บ ร” ตาม แน พระราชด� า ริ ไปใช้ อ ย่ า งต่ อ เนื่ อ งตาม เกณฑ์ประกันคุณภาพการ ึก า
บรร านุกรม คณะกรรมการ มานฉันท์แรงงานไทย. 2555. เอก ารวิ าการลาดับที่1 านการ ์แรงงานอพยพ าม าติ นประเท ทย2555 เข้าถึงได้จาก http://www.unithailand.org คณะพยาบาล า ตร์. 2555. ลัก ตร พยาบาล า ตรบั ิต ลัก ตร ฉบับปรับปรุง พ 2555 กรุงเทพฯ : ิทยาลัยเซนต์ ลุย ์. คาริทั ประเท ไทย. 2555. ประวัติองค์กร วิ ัยทั น์ พันธกิจ เข้าถึงได้จาก http://caritasthailand.net
จิตร ทิ ธีอมร ธีรพล กอบ ิทยากุล, บาท ล ง และ ุพจน์ ฤก ์ ุจริต, บาท ล ง. 2557. Higher Education and New Evangelozation. ( ัมภา ณ์ ธัน าคม 2557). มูลนิธิชัยพัฒนา. 2555. จุดเนนพระ รา ดาริ จัดตังวัด - พั นา ุม น บนพน าน ลักการ บวร เข้า ถึงได้จาก http://www.chaipat. or.th
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
57
การวิเคราะ ์ความ ัมพันธ์ระ ว่างชุมชนวัดโรงเรียนจากงานบริการวิชาการ
วัดมงคลชัยพัฒนา. 2554. แนวพระ ราชดาริ บาน วัด โรงเรียน เข้าถึง ได้จาก http://songmongkol chaipattana.com /pawadwat. html. สมพงค์ สระแก้ว. 2554. านการ ์ แรงงาน ามชา ิ เดก และ ิด าม นจัง วัด มุทร าคร มูลนิธิเครือ ข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (LPN), เข้าถึงได้จาก http://www. lpnfoundation.com//34
58
วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
สมัชชาอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ. 2005 ก ีกาเร งการ น ชีวิ และ พันธกิจ ง ัคร ัง ม ล กรุงเทพ เข้าถึงได้จาก http:// www.catholic.or.th/archive/ synod/sy06.html.
แผนที่ยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาคณะในมหาวิทยาลัยราชภัฏ
Strategy Map for Faculty Development in Rajabhat University. ดร.พนัส จันทร์ศรีทอง
* ผู้จัดการฝึกอบรมและให้คำาปรึกษา บริษัท เอ็น. ที. ฟู๊ดส์ จำากัด
ผศ.ดร.ประเสริฐ อินทร์รักษ์
* อาจารย์ประจำาภาควิชาการบริหารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
Dr.Panus Junsrithong
* Training and Consulting Manager, N.T. Foods Company Limited.
Asst.Prof.Dr.Prasert Intarak
* Lecturer at Education Administration Faculty of Education, Silpakorn University.
แผนที่ยุทธศา ตร์เพื่อการพัฒนาคณะในม าวิทยาลัยราชภัฏ
ทคั ยอ
การ ิจัยครั้งนี้มี ัตถุประ งค์เพื่อ 1) ทราบองค์ประกอบแผนที่ ยุทธ า ตร์เพื่อการพัฒนาคณะในม า ิทยาลัยราชภัฏ 2) เพื่อยืนยัน แผนที่ ยุ ท ธ า ตร์ เ พื่ อ การพั ฒ นาคณะในม า ิ ท ยาลั ย ราชภั ฏ ประชากร คือ ม า ิทยาลัยราชภัฏ จ�าน น 15 ม า ิทยาลัย กลุ่ม ตั อย่าง คือ ม า ิทยาลัยราชภัฏ จ�าน น 14 ม า ิทยาลัย ผู้ใ ้ข้อมูล คือ ผู้บริ าร และอาจารย์ผู้ อน จ�าน น 560 คน เครื่องมือที่ใช้ในการ ิจัย คือ แบบ อบถาม ถิติที่ใช้ในการ ิเคราะ ์ข้อมูลได้แก่ ค่าค ามถี่ ค่าร้อยละ ค่ามัชฌิมเลขคณิต ค่า ่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน การ ิเคราะ ์ องค์ประกอบเชิง า� ร จ และการ ิเคราะ ์เนื้อ า ผลการ ิจัยพบ ่า 1. องค์ ป ระกอบแผนที่ ยุ ท ธ า ตร์ เ พื่ อ การพั ฒ นาคณะใน ม า ิทยาลัยราชภัฏนั้นเป็นพ ุองค์ประกอบ มี 7 องค์ประกอบ คือ 1) การท�านุบ�ารุง ิลป ัฒนธรรมและ ิ่งแ ดล้อม 2) การพัฒนา กระบ นการบริ ารจั ด การ 3) การพั ฒ นาบุ ค ลากรและองค์ ก าร 4) การพัฒนาด้านการเงิน 5) การพัฒนาด้านนัก ึก า 6) การ ประเมินผล และ 7) การประชา ัมพันธ์ 2. ผลการยื น ยั น แผนที่ ยุ ท ธ า ตร์ เ พื่ อ การพั ฒ นาคณะใน ม า ิทยาลัยราชภัฏโดย ิธี ัมมนาอิงผู้ทรงคุณ ุฒิ พบ ่า ผู้ทรง คุณ ุฒิเ ็น อดคล้องกัน ่าแผนที่ยุทธ า ตร์เพื่อการพัฒนาคณะใน ม า ิทยาลัยราชภัฏ มีค ามถูกต้องครอบคลุม เ มาะ ม เป็นไปได้ และเป็นประโยชน์ คา าคั
60
วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
1) แผนที่ยุทธ า ตร์ 2) การพัฒนา 3) ม า ิทยาลัยราชภัฏ
พนัส จันทร์ศรีทอง และประเสริฐ อินทร์รักษ์
Abstract
The purposes of this research were to find : 1) The components of strategy map for faculty development in Rajabhat university, and 2) the confirmation of strategy map for faculty development in Rajabhat university. The populations in this research were 15 Rajabhat universities. The samples were 14 Rajabhat universities. The respondents were administrators and instructor with the total of 560 respondents. The data collected by using the opionnaires. The data were analyzed by frequency, percentage, arithmetic mean, standard deviation, exploratory factor analysis, and content analysis. Findings were as follows : 1. The strategy map for faculty development in Rajabhat university factors of 7 components: 1) preservation of arts and culture. 2) Management process development. 3) personnel and organizational development. 4) Financial development. 5) student development 6) evaluation and and 7) public relations 2. The experts were confirmed that the strategy map for faculty development in Rajabhat University was accuracy, propriety, feasibility, and utility standards.
1) Strategy Map 2) Development 3) Rajabhat University
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
61
แผนที่ยุทธศา ตร์เพื่อการพัฒนาคณะในม าวิทยาลัยราชภัฏ
ความเ นมาและความ าคั อง า ในช่ ง ลายปี ที่ ผ่ า นมานั บ ตั้ ง แต่ รั ฐ บาลได้ มี พ ระราชกฤ ฎี ก า ่ า ด้ ย ลั ก เกณฑ์และ ิธีการบริ ารกิจการบ้านเมืองที่ ดี พ. . 2546 เพื่อ ่งผลต่อประโยชน์ ุขของ ประชาชนและร มถึ ง การมี น โยบายในการ ปฏิรูประบบราชการเพื่อผล ัมฤทธิ์ต่อภารกิจ ของ น่ ยงานภาครัฐ จึงเป็นปัจจัยภายนอก �าคัญที่ท�าใ ้เกิดพลังขับเคลื่อนใน น่ ยงาน ภาครัฐ (External Change Driver Public Demand) ่งผลใ ้ผู้บริ ารพยายาม า ิธี การที่จะปรับปรุงประ ิทธิภาพ (Efficiency Drive) ในการปฏิ บั ติ ง านและ าแน ทาง (Approach) ที่ จ ะปรั บ ปรุ ง กระบ นการ บริ ารจั ด การในองค์ ก ารใ ้ บ รรลุ ผ ล การ ื่อ ารถ่ายทอดนโยบายการบริ ารใ ้บุคคล ทุกระดับในองค์การ ามารถน�าไปปฏิบัต ิ จึง เป็น ิ่งที่ �าคัญ ากบุคลากรเข้าใจจะ ่งผลต่อ การเปลี่ยนแปลงปัจจัยภายในองค์การ (Internal Change Driver) ที่ต้องการใ ้ระบบ ปฏิบัติงานมีประ ิทธิภาพเพื่อใ ้เกิดการใช้ ทรั พ ยากรอย่ า งคุ้ ม ค่ า มากที่ ุ ด (ปณั ท พร เรืองเชิงชุม, 2550) การใช้แผนที่ยุทธ า ตร์ เพื่อน�าเ นอถึง ลักการและแน ทางที่เ มาะ มในการก� า นดยุ ท ธ า ตร์ ร มทั้ ง การ พั ฒ นาแน ทางการปฏิ บั ติ ง าน รื อ แผนที่
62
วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
ยุทธ า ตร์ซึ่งจะเป็นเครื่องมือที่ �าคัญในการ ื่อ ารและแปลงยุทธ า ตร์ไป ู่การปฏิบัติ ในปั จ จุ บัน น่ ยงานราชการต่ า งๆ ได้มีการจัดท�ายุทธ า ตร์ร มถึงแผนปฏิบัติ ราชการเพื่อเป็นกรอบแน ทางในการด�าเนิน งานของ น่ ยงานราชการต่ า งๆ ในการ ที่ จ ะน� า ไป ู่ ทิ ทาง รื อ ิ ั ย ทั น์ พั น ธกิ จ ประเด็ น ยุ ท ธ า ตร์ เป้ า ประ งค์ น่ ย ราชการ ่ นใ ญ่ยังประ บปัญ าทั้งในการ ก�า นดยุทธ า ตร์ และการน�ายุทธ า ตร์ ไป ู่การปฏิบัติใ ้เกิดผลตามที่ตั้งไ ้ ปัญ า ที่ เ กิ ด ขึ้ น นั้ น ามารถพบได้ ใ นทุ ก ขั้ น ตอน ของกระบ นการจั ด ท� า ยุ ท ธ า ตร์ ร ม ถึงเป้าประ งค์ที่ไม่ครอบคลุมในทุกมิติของ ยุ ท ธ า ตร์ การจั ด ท� า แผนที่ ยุ ท ธ า ตร์ นอกจากเป็นเครื่องมือที่ช่ ยในการ ื่อ ารใ ้ บุคคลในองค์การเข้าใจในทิ ทาง ิ่งมุ่งเน้นใน ประเด็ น เดี ย กั น กั บ การท� า ยุ ท ธ า ตร์ โ ดย ร มขององค์การแล้ ยังเป็นเครื่องมือที่ช่ ย ถ่ายทอดยุทธ า ตร์จากผู้บริ าร ู่ผู้ปฏิบัติ ใ ้ ามารถด�าเนินการใ ้บรรลุเป้าประ งค์ ได้ (ปณัทพร เรืองเชิงชุม, 2550) ผู้ ิจัยจึง มี ค าม นใจที่ จ ะท� า การ ึ ก า ิ จั ย ในเรื่ อ ง แผนที่ ยุ ท ธ า ตร์ เ พื่ อ การพั ฒ นาคณะใน ม า ิทยาลัยราชภัฏ
พนัส จันทร์ศรีทอง และประเสริฐ อินทร์รักษ์
วั ประสงค์ องการวิจั 1. เพื่ อ ทราบองค์ ป ระกอบแผนที่ ยุทธศา ตร์เพื่อการพัฒนาคณะในม าวิทยา- ลัยราชภัฏ แนวคิ และท ษฎีเกี่ วกับ แ นที่ ทธศาส ร์ พส เ ะรินทร์ อมร นนทส ป ทพร เรองเ ิง ม
2. เพื่อยืนยันแผนที่ยุทธศา ตร์เพื่อ การพัฒนาคณะในม าวิทยาลัยราชภัฏ
แนวคิ และท ษฎีเกี่ วกับ การจั การ ทธศาส ร์ อทิศ าวเธี ร บ เกี ร ิ ีวะ ระกลกิจ นั เที นพ ิ สพานี สก ฎ์วานิ
แนวคิ และท ษฎีเกี่ วกับ การบริ าร วิ รจน์ สารรั นะ พิมา า เ อสกลวนิ ศิริวรร เสรีรั น์
แ นที่ ทธศาส ร์เพ่อการพั นาค ะ นม าวิท าลั รา ั
ศกษาเอกสาร และงานวิจั ที่เกี่ ว อง
แนวคิ และท ษฎี เกี่ วกับการพั นา สนธ า พลศรี นิรัน ร์ จงว ิเวศ ์ ัฐพล ันธ ปกร ์ ปรี ากร
พระรา บั ั ิ ม าวิท าลั รา ั
สัม าษ ์ เ ี่ ว า และ ทรงค ว ิ
แ น มิที่ 1 แ ดงกรอบแนวคิดของการวิจัย นิ ามศัพท์เฉพาะ แ นที่ ทธศาส ร์ เ พ่ อ การพั นา ค ะ นม าวิท าลั รา ั มายถึง องค์ ประกอบที่มีความ ัมพันธ์และเกี่ยวเนื่องกัน
อย่ า งเป็ น ระบบของแผนที่ ยุ ท ธศา ตร์ เ พื่ อ การพัฒนาคณะในม าวิทยาลัยราชภัฏ ซึ่ง ประกอบด้วยแนวทางการแปลงยุทธศา ตร์ ไป ู่ ก ารปฏิ บั ติ ใ นปั จ จั ย ต่ า งๆ ที่ น� า มาใช้
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
63
แผนที่ยุทธศา ตร์เพื่อการพัฒนาคณะในม าวิทยาลัยราชภัฏ
ในการพั ฒ นาคณะในม า ิ ท ยาลั ย ราชภั ฏ ร มถึ ง การพั ฒ นาคุ ณ ภาพในการท� า งานซึ่ ง ามารถพัฒนางานในคณะที่รับผิดชอบใ ้มี ประ ิทธิภาพและประ ิทธิผลมากยิ่งขึ้น แผนที่ยุทธศา ตร์ มายถึง เครื่อง มือที่ช่ ยในการ ื่อ ารใ ้บุคคลในองค์การ เข้าใจถึงทิ ทางของการปฏิบัติงานในประเด็น เดี ย กั น กั บ การท�ายุทธ า ตร์โดยร มของ องค์การแล้ ยังเป็นเครื่องมือที่ช่ ยถ่ายทอด ยุทธ า ตร์จากผู้บริ าร ู่ผู้ปฏิบัติใ ้ ามารถ ด�าเนินการใ ้บรรลุเป้าประ งค์ตาม ิ ัยทั น์ ที่ก�า นดขององค์การได้ ม าวิ ท ยาลั ย ราชภั ฏ มายถึ ง ม า ิทยาลัยราชภัฏกลุ่มรัตนโก ินทร์ และ ม า ิ ท ยาลั ย ราชภั ฏ กลุ่ ม ภาคกลาง ร ม จ�าน น 15 ม า ิทยาลัย การ าเนินการวิ ัย มี 3 ขั้นตอน คือ 1) การ ึก า ิเคราะ ์ตั แปรเกี่ย กับแผนที่ยุทธ า ตร์ เพื่อการพัฒนาคณะในม า ิทยาลัยราชภัฏ 2) การพัฒนาเครื่องมือ 3) การยืนยันรูปแบบ โดย ิ ธี ั ม มนาอิ ง ผู้ ท รงคุ ณ ุ ฒิ (Connoisseurship) เพื่อตร จ อบยืนยันค ามถูกต้อง ครอบคลุม (Accuracy Standards) ค าม เ มาะ ม (Propriety Standards) ค าม
64
วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
เป็นไปได้ (Feasibility Standards) และ ค ามเป็นประโยชน์ (Utility Standards) ของรูปแบบ (G.F. Madaus, M.S. Scrivien, and D.I. Stufflebeam, 1983) ระชากรและกลุมตัวอยาง ประชากร คือ ม า ิทยาลัยราชภัฏ กลุ่มภาคกลางและม า ิทยาลัยราชภัฏกลุ่ม รัตนโก ินทร์ จ�าน น 15 ม า ิทยาลัย กลุ่มตั อย่าง คือ ม า ิทยาลัย ราชภั ฏ กลุ่ ม ภาคกลางและม า ิ ท ยาลั ย ราชภัฏกลุ่มรัตนโก ินทร์ จ�าน น 14 ม า- ิทยาลัย ตามตารางของ เครจซี่และมอร์แกน (R.V. Krejcie, and P.W. Morgan, 1970) ได้มาโดย ิธีการ ุ่มแบบแบ่งประเภท (stratified random sampling) ในแต่ละเขตการ ปกครองตาม ัด ่ น โดยผู้ใ ้ข้อมูลในแต่ละ ม า ิทยาลัย มี 40 คน คือ ผู้บริ าร 20 คน และผู้ปฏิบัต ิ 20 คน ร ม 560 คน ตัวแ รที่ศก า 1. ตั แปรพื้นฐาน คือ ตั แปรที่เกี่ย กับ ถานภาพ ่ นตั ของผู้ใ ้ข้อมูล ได้แก่ เพ อายุ ระดับการ ึก า และต�าแ น่ง น้าที่ในปัจจุบัน 2. ตั แปรที่ ึก า คือ ตั แปรที่
พนัส จันทร์ศรีทอง และประเสริฐ อินทร์รักษ์
เกี่ย ข้องกับแผนที่ยุทธ า ตร์เพื่อการพัฒนา คณะในม า ิทยาลัยราชภัฏ ลการวิจั 1 องค์ประกอบแ นที่ ทธศาส ร์เพ่อการ พั นาค ะ นม าวิท าลั รา ั องค์ ป ระกอบแผนที่ ยุ ท ธ า ตร์ เพื่อการพัฒนาคณะในม า ิทยาลัยราชภัฏ ประกอบด้ ย 7 องค์ประกอบ เรียงตามน�้า นั ก องค์ ป ระกอบที่ ไ ด้ จ ากมากไปน้ อ ยคื อ 1) การท� า นุ บ� า รุ ง ิ ล ป ั ฒ นธรรมและ ิ่ ง
แ ดล้อม 2) การพัฒนากระบ นการบริ าร จัดการ 3) การพัฒนาบุคลากรและองค์การ 4) การพัฒนาด้านการเงิน 5) การพัฒนา ด้านนัก ึก า 6) การประเมินผล และ 7) การประชา ัมพันธ์ องค์ประกอบแผนที่ ยุ ท ธ า ตร์ เ พื่ อ การพั ฒ นาคณะในม าิทยาลัยราชภัฏ จึงเป็นเป็นพ ุองค์ประกอบ ตาม มมติฐานการ ิจัย ซึ่งแต่ละองค์ประกอบ มีรายละเอียด ดังตารางที่ 1-7 และแผนที่ ยุ ท ธ า ตร์ พั ฒ นาคณะในม า ิ ท ยาลั ย ราชภัฏ ดังแผนภูมิท ี่ 2
ารางที่ 1 องค์ประกอบที่ 1 ที่
ัวแปร
นา นัก องค์ประกอบ 1 คณะมีการ ร้างน ัตกรรมจากธรรมชาติ 0.807 2 คณะมีการอนุรัก ์ทรัพยากรธรรมชาติและแ ล่งน�า้ 0.767 3 คณะมีการเผยแพร่ถึงมาตรการการป้องกันและแน ทางการแก้ไขปัญ า ิ่งแ ดล้อม 0.762 4 คณะมีการ ร้างค ามตระ นักรู้ใ ้เยา ชนเ ็นคุณค่าของธรรมชาติและ ิ่งแ ดล้อม 0.708 5 คณะมีการปรับใช้ ัฒนธรรมต่างประเท อย่างเ มาะ มเพื่อประโยชน์ในการพัฒนา 0.708 องค์การ 6 คณะใ ้ท้องถิ่นมี ่ นร่ มในการพัฒนา ลัก ูตร 0.659 7 คณะมีการใช้ ิลป ัฒนธรรมใ ้เป็น ่ น นึ่งของการจัดการเรียนการ อน 0.624 8 คณะมีแผนในการพัฒนาโครงการของ น่ ยงาน 0.609 9 คณะมีการ ่งเ ริมใ ้อาจารย์ทา� ิจัยร่ มกับม า ิทยาลัยในประเท และต่างประเท 0.591 10 คณะใ ้ค ามร่ มมือด้าน ิลป ัฒนธรรมกับ น่ ยงานภายในและภายนอกม า ิทยาลัย 0.590 11 คณะเปิดโอกา ใ ้ชุมชนเข้ามามี ่ นร่ มในการแ ดงค ามคิดเ ็น 0.557 12 คณะมีแผนด�าเนินงานจัดตั้งบัณฑิต ึก าใน าขา ิชาที่มีค ามพร้อมและเป็นที่ต้องการ 0.555 ของตลาดแรงงาน
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
65
แผนที่ยุทธศา ตร์เพื่อการพัฒนาคณะในม าวิทยาลัยราชภัฏ
จากตารางที ่ 1 พบว่า องค์ประกอบ ที่ 1 มีตัวแปรจ�านวน 12 ตัวแปร มีค่าน�้า นักตัวแปรระ ว่าง 0.555 – 0.807 ผู้วิจัย
ตั้งชื่อองค์ประกอบนี้ว่า “การท�านุบา� รุงศิลปวัฒนธรรมและ ิ่งแวดล้อม”
ตารางที่ องค์ประกอบที่ 2 ที่
ตัวแ ร
1 คณะมีการวางแผนการจัดการเรียนการ อนที่ชัดเจน 2 คณะมีนโยบายและโครงการพัฒนาที่ชัดเจน 3 คณะมีการจัดท�างบประมาณที่ถูกต้องโปร่งใ 4 ผู้บริ ารของคณะ ามารถท�างานได้ด้วยตัวเอง 5 คณะมีการวางแผนการขยายตัวขององค์การในอนาคต 6 คณะมีการก�า นดเวลาในการปฏิบัติงานอย่างชัดเจน 7 คณะใ ้ความ �าคัญกับการเจริญเติบโตขององค์การ 8 ผู้บริ ารของคณะมีความชอบธรรมในการบริ าร 9 คณะมีการจัด รรทรัพยากรอย่างมีประ ิทธิภาพ 10 คณะมีการจัดบุคลากรใ ้เ มาะ มกับงาน
จากตารางที ่ 2 พบว่า องค์ประกอบ ที่ 2 มีตัวแปรจ�านวน 10 ตัวแปร มีค่าน�า้ นัก ตัวแปรระ ว่าง 0.555 – 0.665 ผู้วิจัยตั้งชื่อ
นา นัก องค์ ระกอ 0.665 0.663 0.642 0.642 0.640 0.614 0.612 0.605 0.582 0.555
องค์ประกอบนี้ว่า “การพัฒนากระบวนการ บริ ารจัดการ”
ตารางที่ องค์ประกอบที่ 3 ที่
ตัวแ ร
1 คณะมีการ ่งเ ริมความคิด ร้าง รรค์และแรงบันดาลใจของบุคลากร 2 บุคลากรทุกคนในคณะมีความคาด วังถึงความ า� เร็จ และผลตอบแทน ที่ได้รับอย่างเ มาะ ม 3 คณะมีการใ ้อา� นาจในการตัด ินใจแก่บุคลากร 4 บุคลากรทุกคนร่วมกันท�าใ ้องค์การมีเ ถียรภาพ
66
วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
นา นัก องค์ ระกอ 0.705 0.695 0.679 0.678
พนัส จันทร์ศรีทอง และประเสริฐ อินทร์รักษ์
ารางที่ (ต่อ) ที่
ัวแปร
5 คณะมีการเ ริม ร้างแรงจูงใจและทั นคติที่ดีในการท�างานของบุคลากร 6 คณะมีการจัดอัตราก�าลังคนที่เ มาะ ม 7 คณะจัดการเรียนการ อน อดคล้องกับค ามต้องการของผู้เรียน 8 คณะมีการ ร้าง ัฒนธรรมองค์กรที่ดี 9 คณะมีการก�า นดมาตรฐานที่บ่งชี้ค ามเป็นเลิ ของบุคลากร 10 ผู้บริ ารของคณะค�านึงถึงค ามเท่าเทียมกัน 11 คณะมีการจัดการการท�างานที่ดี ามารถช่ ยใ ้ลดค่าใช้จ่ายและระยะเ ลา ในการท�างานได้
จากตารางที ่ 3 พบ ่า องค์ประกอบ ที่ 3 มีตั แปรจ�าน น 11 ตั แปร มีค่าน�า้ นัก ตั แปรระ ่าง 0.569 – 0.705 ผู้ ิจัยตั้งชื่อ
นา นัก องค์ประกอบ 0.669 0.643 0.611 0.607 0.578 0.575 0.569
องค์ประกอบนี้ ่า “การพัฒนาบุคลากรและ องค์การ”
ารางที่ 4 องค์ประกอบที่ 4 ที่
ัวแปร
1 คณะมีการก�า นดยุทธ า ตร์ด้านการเงิน 2 คณะมีเครื่องมือที่ ื่อ ารและอธิบายถึงยุทธ า ตร์ขององค์การระ ่าง ผู้บริ ารกับบุคลากร 3 คณะมีแผนภาพที่เชื่อมโยง ัตถุประ งค์กับยุทธ า ตร์ตามมุมมอง 4 ด้าน คือ ด้านการเงิน ด้านนัก ึก า(ลูกค้า) ด้านกระบ นการภายใน และด้านการเรียนรู้และการเติบโต 4 คณะมีการก�า นด ัตถุประ งค์เพื่อช่ ยใ ้การบริ ารจัดการยุทธ า ตร์ที่มี ค ามซับซ้อนใ ้ง่ายขึ้น 5 คณะมีการปฏิบัติตามยุทธ า ตร์ด้านการเงินที่ก�า นด 6 คณะมีการบริ ารองค์การใ ้ประ บค าม า� เร็จและมุ่งผล ัมฤทธิ์อย่างมี ประ ิทธิภาพ
นา นัก องค์ประกอบ 0.777 0.694 0.683 0.677 0.663 0.639
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
67
แผนที่ยุทธศา ตร์เพื่อการพัฒนาคณะในม าวิทยาลัยราชภัฏ
จากตารางที ่ 4 พบ ่า องค์ประกอบ ที่ 4 มีตั แปรจ�าน น 6 ตั แปร มีค่าน�า้ นัก
ตั แปรระ ่าง 0.639 – 0.777 ผู้ ิจัยตั้งชื่อ องค์ประกอบนี้ ่า “การพัฒนาด้านการเงิน”
ตารางที่ องค์ประกอบที่ 5 ที่
ตัวแ ร
1 คณะมี ่ นในการพัฒนาม า ิทยาลัย 2 คณะเชิญผู้เชี่ย ชาญและมีประ บการณ์ทาง ิชาการมาเป็นอาจารย์ผู้ อน 3 คณะมุ่งเน้นใ ้ผู้เรียนมีค ามรู้ค าม ามารถ 4 คณะ ่งเ ริมใ ้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง 5 คณะมีการเ ริม ร้างกระบ นการการเรียนรู้
จากตารางที ่ 5 พบ ่า องค์ประกอบ ที่ 5 มีตั แปรจ�าน น 5 ตั แปร มีค่าน�า้ นัก
นา นัก องค์ ระกอ 0.739 0.596 0.596 0.589 0.582
ตั แปรระ ่าง 0.582-0.739 ผู้ ิจัยตั้งชื่อ องค์ประกอบนี้ ่า “การพัฒนาด้านนัก ึก า”
ตารางที่ องค์ประกอบที่ 6 ที่
ตัวแ ร
1 คณะมีการประเมินผลการปฏิบัติงานด้านการเงิน 2 คณะมีการ างแผนและประเมินยุทธ า ตร์ในระยะ ั้น ระยะปานกลางและระยะยา 3 คณะมีการเลือกกิจกรรมที่ ามารถท�าใ ้บุคลากรเข้าใจและปฏิบัติตาม ัตถุประ งค์ที่ก�า นดได้ 4 คณะมีการประเมินผลการปฏิบัติงาน
จากตารางที ่ 6 พบ ่า องค์ประกอบ ที่ 6 มีตั แปรจ�าน น 4 ตั แปร มีค่าน�า้ นัก
68
วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
นา นัก องค์ ระกอ 0.679 0.627 0.587 0.584
ตั แปรระ ่าง 0.584 – 0.679 ผู้ ิจัยตั้งชื่อ องค์ประกอบนี้ ่า “การประเมินผล”
พนัส จันทร์ศรีทอง และประเสริฐ อินทร์รักษ์
ารางที่ 7 องค์ประกอบที่ 7 ที่
ัวแปร
1 คณะมีการติดตามบัณฑิต ลัง �าเร็จการ ึก า 2 คณะมีการเผยแพร่ประชา ัมพันธ์ข้อมูลข่า าร 3 คณะใช้เทคโนโลยีและคอมพิ เตอร์เพื่อการพัฒนา 4 คณะมีการบริ ารจัดการด้ ยค าม ะด กร ดเร็
จากตารางที ่ 7 พบ ่า องค์ประกอบ ที่ 7 มีตั แปรจ�าน น 4 ตั แปร มีค่าน�า้ นัก ตั แปรระ ่าง 0.560 – 0.710 ผู้ ิจัยตั้งชื่อ องค์ประกอบนี้ ่า “การประชา ัมพันธ์” 2 ลการ น ันแ นที่ ทธศาส ร์เพ่อการ พั นาค ะ นม าวิท าลั รา ั ผลการยืนยันแผนที่ยุทธ า ตร์เพื่อ การพัฒนาคณะในม า ิทยาลัยราชภัฏ ผู้ทรง คุณ ุฒิเ ็น อดคล้องกัน ่า แผนที่ยุทธ า ตร์ เพื่อการพัฒนาคณะในม า ิทยาลัยราชภัฏ มี ค ามถูกต้องครอบคลุม เ มาะ ม เป็นไป ได้ และเป็นประโยชน์ แผนที่ยุทธ า ตร์เพื่อ การพัฒนาคณะในม า ิทยาลัยราชภัฏจึงมี ค ามครอบคลุม เ มาะ ม เป็นไปได้และเป็น ประโยชน์ตาม มมติฐานการ ิจัย อ ิปรา ล 1. องค์ประกอบของการท�านุบ�ารุง ิ ล ป ั ฒ นธรรมและ ิ่ ง แ ดล้ อ ม เป็ น องค์
นา นัก องค์ประกอบ 0.710 0.607 0.605 0.560
ประกอบที่ � า คั ญ ต่ อ แผนที่ ยุ ท ธ า ตร์ เ พื่ อ การพัฒนาคณะในม า ิทยาลัยราชภัฏมาก ที่ ุด ามารถอธิบายค่าค ามแปรปร นของ ตั แปรทั้ง มดได้ร้อยละ 10.99 พิจารณาจาก ค่าน�้า นักองค์ประกอบพบ ่า ผู้บริ ารมีแผน พัฒนา น่ ยงานที่ดีและมีการ นับ นุน ร้าง น ัตกรรมจากธรรมชาติร มถึงมีการ ่งเ ริม การอนุรัก ์ทรัพยากรธรรมชาติและแ ล่งน�้า อีกทั้งมีการเผยแพร่ถึงมาตรการการป้องกัน และแน ทางการแก้ ไขปั ญ า ิ่ ง แ ดล้ อ ม โดยการ ร้างค ามตระ นักรู้ใ ้เยา ชนเ ็น คุณค่าของธรรมชาติและ ิ่งแ ดล้องซึ่งเป็น ิ่ง า� คัญในการอนุรัก ์ ิ่งแ ดล้อม อดคล้อง กับนิเชต ุนทรพิทัก ์ (2550) ที่กล่า ่า ม า ิทยาลัยราชภัฏเป็นม า ิทยาลัยรูปแบบ นึ่งที่นอกจากจะมีพันธกิจของอุดม ึก า 4 ประการ อันได้แก่ การผลิตบัณฑิต การ ิจัย การบริการ ิชาการและการท�านุบ�ารุง ิลปะ และ ัฒนธรรม
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
69
แผนที่ยุทธศา ตร์เพื่อการพัฒนาคณะในม าวิทยาลัยราชภัฏ
คณะใชเทค น ลยี และคอมพิวเตอร์ เพื่อการพัฒนา
คณะมีการ ริ าร ั การ วยความ ะ วกรว เรว
คณะมีการ ระเมินผล คณะมีการวางแผน การ ฏิ ัติงาน าน และ ระเมิน การเงิน ยุทธศา ตร์ในระยะ ัน านกลาง และยาว
คณะมีการเลือกกิ กรรม ที่ ามาร ทาใ ุคลากร เ าใ และ ฏิ ัติตามที่ กา น
คณะมีการ ระเมินผล การ ฏิ ัติงาน
การพัฒนา านนักศก า
คณะมี วนในการ พัฒนาม าวิทยาลัย
คณะเชิ ผเชี่ยวชา และมี ระ การณ์ ทางวิชาการมาเ น อา ารย์ผ อน
คณะมุนเนนใ ผ เรียนมีความรความ ามาร
คณะ งเ ริมใ ผ เรียน เรียนรอยาง ตอเนื่อง
คณะมีการเ ริม ราง กระ วนการเรียนร
การพัฒนา ุคลากร และองค์การ
คณะมีการกา น ยุทธศา ตร์ าน การเงิน
คณะมีเครื่องมือที่ ่อื ารและอธิ าย ง ยุทธศา ตร์ระ วาง ผ ริ ารกั ุคลากร
มีแผนการที่เชื่อม ยงวัต ุ ระ งค์กั ยุทธศา ตร์ตามมุม มอง าน
มีการกา น วัต ุ ระ งค์เพื่อชวยใ ั การยุทธศา ตร์ที่มี ความ ั อนใ งาย น
คณะมีการ ฏิ ัติตาม มีการ ริ ารองค์การ ยุทธศา ตร์ านการ ใ ระ ความ าเร เงินที่กา น และมุงผล ัม ทธิ อยางมี ระ ิทธิภาพ
คณะมีการ งเ ริม ความคิ ราง รรค์ และแรง ัน าลใ อง ุคลากร
คณะมีการใ อานา ในการตั ินใ แก ุคลากร
คณะมีการเ ริม ราง แรง งใ และทัศนคติ ที่ ีในการทางาน อง ุคลากร
คณะ ั การเรียนการ อน อ คลองกั ความตองการ อง ผเรียน
ุคลากรทุกคนในคณะมี ความคา วัง งความ าเร และผลตอ แทน อยางเ มาะ ม
ุคลากรทุกคนรวม กันทาใ องค์การมี เ ียรภาพ
คณะมีการ ั อัตรา กาลังคนที่เ มาะ ม
คณะมีการ ราง วัฒนธรรมองค์กรที่ ี
คณะมีการกา น มาตร านที่ งชีความ เ นเลิศ อง ุคลากร คณะมีการ ั การการ ทางานที่ ี ามาร ชวยล คาใช าย ผ ริ าร องคณะ และระยะเวลาในการ คานง งความเทา ทางาน เทียมกัน
คณะมีการวางแผน การ ั การเรียนการ อนที่ชั เ น
คณะมีการ ั ทาง ระมาณที่ กตอง รงใ
คณะมีการวางแผน การ ยายตัว อง องค์การในอนาคต
คณะใ ความ าคั กั การเ ริ เติ ต ององค์การ
คณะมีการ ั รร ทรัพยากรอยางมี ระ ิทธิภาพ
คณะมีน ย ายและ ครงการพัฒนาที่ ชั เ น
ผ ริ าร องคณะ ามาร ทางาน วยตัวเอง
คณะมีการกา น เวลาในการ ฏิ ัติงาน อยางชั เ น
ผ ริ าร องคณะมี ความชอ ธรรม ในการ ริ าร
คณะมีการ ั ุคลากรใ เ มาะ ม กั งาน
คณะมีการ ราง นวัตกรรม ากธรรมชาติ
คณะมีการเผยแพร ง มาตรการการ องกัน และแนวทางการแก า
คณะมีการ รั ใช วัฒนธรรม ตาง ระเทศอยาง เ มาะ ม
คณะมีการใชศิล วัฒนธรรมในการ ั การเรียนการ อน
งเ ริมใ อา ารย์ ทาวิ ัยรวมกั
คณะมีการอนุรัก ์ ทรัพยากรธรรมชาติ และแ ลงนา
คณะมีการ รางความ ตระ นักรใ เยาวชน เ นคุณคา อง ธรรมชาติ
คณะใ ทอง ิ่น มี วนรวมในการ พัฒนา ลัก ตร
คณะมีแผนในการ พัฒนา ครงการ อง นวยงาน
การติ ตอ ื่อ าร
การ ระเมินผล
การพัฒนา านการเงิน
การพัฒนา กระ วนการ ริ าร ั การ
การทานุ ารุงศิล วัฒนธรรมและ ิ่งแว ลอม
คณะมีการติ ตาม ัณ ิต ลัง าเร การศก า
คณะมีการเผยแพร ระชา ัมพันธ์ อมล าว าร
และตาง ระเทศ
อกา ใ ชุมชน เ ามามี วนรวม ในการแ งความ คิ เ น
ใ ความรวมมือ านศิล วัฒนธรรม ภายในและภายนอก ม าวิทยาลัย
ั ตัง ัณ ิตศก า ใน า าวิชาที่มีความ พรอมและเ นที่ ตองการตลา แรงงาน
ม าวิทยาลัยใน ระเทศ
เ
แผนภมิที่ แ ดงแผนที่ยุทธศา ตร์เพื่อการพัฒนาคณะในม าวิทยาลัยราชภัฏ
70
วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
พนัส จันทร์ศรีทอง และประเสริฐ อินทร์รักษ์
2. การพัฒนากระบ นการบริ าร จัดการ เป็นองค์ประกอบที่ า� คัญต่อแผนที่ ยุ ท ธ า ตร์ เ พื่ อ การพั ฒ นาคณะในม า- ิ ท ยาลั ย ราชภั ฏ ามารถอธิ บ ายค่ า ค าม แปรปร นของตั แปรทั้ง มดได้ร้อยละ 9.95 พิจารณาจากค่าน�้า นักองค์ประกอบพบ ่า ใน ่ นของผู้บริ ารของคณะ ามารถท�างาน ได้ ด ้ ยตั เองคณะนั้ น มี ก าร างแผนการ จัดการเรียนการ อนมีนโยบายและโครงการ พัฒนาที่ชัดเจน ผู้บริ ารมีการ างแผนการ ขยายตั ขององค์การในอนาคต มีการจัดท�า งบประมาณที่ถูกต้องโปร่งใ มีการก�า นด เ ลาในการปฏิบัติงานอย่างชัดเจน อดคล้อง กับ ิโรจน์ าระรัตนะ (2548) ที่กล่า ่า การพัฒนาองค์การนั้นประกอบด้ ย 1) การ ินิจฉัย (Diagnosis) 2) การน�ายุทธ า ตร์ ู่การปฏิบัติ (Invention Implementing) 3) การประเมินผล (Evaluation) โดยใน การน�ายุทธ า ตร์ ู่การปฏิบัติ มี ลาย ิธ ี แต่ที่ �าคัญ ่ นใ ญ่มี 5 ิธ ี ดังนี ้ 1) การใ ้ ค�าปรึก า (Process Consultant) 2) การ ร้างทีมงาน (Team Building) 3) การใช้ บุคคล รือกลุ่มที่ าม (Third-party Intervention) 4) กิจกรรมเทคโนโลยีโครง ร้าง (Techno Structural Activities) และ 5) การเปลี่ ย นแปลง ั ฒ นธรรมองค์ ก าร
(Organizational Culture Change) 3. การพัฒนาบุคลากรและองค์การ เป็ น องค์ ป ระกอบที่ � า คั ญ ต่ อ แผนที่ ยุ ท ธา ตร์เพื่อการพัฒนาคณะในม า ิทยาลัย ราชภัฏ ามารถอธิบายค่าค ามแปรปร น ของตั แปรทั้ง มดได้ร้อยละ 9.76 พิจารณา จากค่าน�า้ นักองค์ประกอบพบ ่า ผู้บริ าร มี ก าร ่ ง เ ริ ม ค ามคิ ด ร้ า ง รรค์ แ ละแรง บันดาลใจการเ ริม ร้างแรงจูงใจและทั นคติ ที่ ดี ใ นการท� า งานของบุ ค ลากรซึ่ ง ท� า ใ ้ บุ ค ลากรทุ ก คนในคณะมี ค ามคาด ั ง ถึ ง ค าม � า เร็ จ และผลตอบแทนที่ ไ ด้ รั บ อย่ า ง เ มาะ ม อดคล้องกับอุทัย ดุลยเก ม (2552) ที่กล่า ่า การพัฒนาม า ิทยาลัย ร่ มถึง น่ ยธุรกิจต่างๆ ของม า ิทยาลัย ใ ้ เข้ ม แข็ ง และบรรลุ เ ป้ า มายที่ างไ ้ นั้ น ต้ อ งการการมี ่ นร่ มของทุ ก ภาค ่ นทั้ ง ภายในม า ิทยาลัยและ น่ ยงานที่เกี่ย ข้อง ภายนอก แต่เงื่อนไขที่จา� เป็น คือ ค ามเชื่อ มั่นในทิ ทางการพัฒนาและยุทธ า ตร์ ลัก ของม า ิทยาลัยของบุคลากรทุกระดับ 4. การพัฒนาด้านการเงิน เป็นองค์ ประกอบที่ � า คั ญ ต่ อ แผนที่ ยุ ท ธ า ตร์ เ พื่ อ การพั ฒ นาคณะในม า ิ ท ยาลั ย ราชภั ฏ ามารถอธิ บ ายค่ า ค ามแปรปร นของ ตั แปรทั้ง มดได้ร้อยละ 5.53 พิจารณา
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
71
แผนที่ยุทธศา ตร์เพื่อการพัฒนาคณะในม าวิทยาลัยราชภัฏ
จากค่าน�้า นักองค์ประกอบพบ ่า ผู้บริ าร มีการก�า นดยุทธ า ตร์ด้านการเงินและมี เครื่องมือที่ ื่อ ารและอธิบายถึงยุทธ า ตร์ ขององค์ ก ารระ ่ า งผู ้ บ ริ ารกั บ บุ ค ลากร ในด้านการเงินก�า นด ัตถุประ งค์เพื่อช่ ย ใ ้การบริ ารจัดการยุทธ า ตร์ที่มีค ามซับ ซ้อนใ ้ง่ายขึ้น อดคล้องกับแคปแลน และ นอร์ตัน (Kaplan and Norton, 1996) ได้ เ นอแน คิ ดในการ ัดผลงานของกิจการที่ จะท�าใ ้ผู้บริ ารระดับ ูงเ ็นภาพร มของ ธุรกิจได้ชัดเจนขึ้น ใ ้ได้ภาพร มขององค์การ อย่าง มดุล (Balanced Scorecard) โดย ัด ทางการเงินที่เป็นผลของการด�าเนินงานและ ัดผลด้านกระบ นการบริ ารงานการ ร้าง ค ามพอใจใ ้แก่ลูกค้า ตลอดจนการ ร้าง น ัตกรรมและการเรียนรู้ใ ้แก่องค์การเพื่อ เพิ่มขีดค าม ามารถในการแข่งขัน 5. การพัฒนาด้านนัก ึก า เป็น องค์ ป ระกอบที่ �าคัญต่อแผนที่ยุทธ า ตร์ เพื่อการพัฒนาคณะในม า ิทยาลัยราชภัฏ ามารถอธิ บ ายค่ า ค ามแปรปร นของ ตั แปรทั้ง มดได้ร้อยละ 5.33 พิจารณาจาก ค่าน�้า นักองค์ประกอบพบ ่า คณะมี ่ น ในการพั ฒ นาม า ิ ท ยาลั ย โดยมุ ่ ง เน้ น ใ ้ ผู ้ เรียนมีค ามรู้ค าม ามารถได้เรียนรู้อย่าง ต่ อ เนื่ อ งและเ ริ ม ร้ า งกระบ นการการ
72
วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
เรียนรู้ จึงท�าใ ้การพัฒนาด้านนัก ึก าเป็น ่ น �าคัญยิ่งในการก้า เดินไปข้าง น้าของ ม า ิทยาลัย อดคล้องกับ รีเพ็ญ ทรัพย์มนชัย (2541) ที่กล่า ่าบริ ัทต้องพัฒนา ทั้งตั ินค้าและบริการใ ้เป็นที่ต้องการของ ลูกค้าอยู่ตลอดเ ลาเพราะลูกค้าจะตัด ินใจ ซื้อ ินค้า รือบริการที่ ามารถ ร้างมูลค่าเพิ่ม ใ ้กับตนเองมากที่ ุด 6. การประเมินผล เป็นองค์ประ กอบที่ � า คั ญ ต่ อ แผนที่ ยุ ท ธ า ตร์ เ พื่ อ การ พัฒนาคณะในม า ิทยาลัยราชภัฏ ามารถ อธิบายค่าค ามแปรปร นของตั แปรทั้ง มด ได้ร้อยละ 3.91 พิจารณาจากค่าน�้า นัก องค์ประกอบพบ ่า ผู้บริ ารของคณะมีการ บริ ารจั ด ที่ ดี มี ก าร างแผนและประเมิ น ยุทธ า ตร์ในระยะ ั้น ระยะปานกลาง และ ระยะยา ร มทั้งใ ้คณะมีการประเมินผล การปฏิ บั ติ ง านด้ า นการเงิ น โดยร มแล้ ผู ้ บริ ารมีการประเมินผลการปฏิบัติงานด้ ย อดคล้องกับกับอุทิ ขา เธียร (2549) ที่ ได้กล่า ไ ้ ่าการประเมินผลการด�าเนินการ พัฒนาทั่ ไปมีตั ชี้ ัดกระบ นการด�าเนินงาน เพื่อการตร จ อบผลงานและ มรรถนะการ ด�าเนินงานด้านต่างๆ เป็น ิ่ง ะท้อนคุณภาพ ของการใช้ทรัพยากร และคุณภาพของกระ บ นการปฏิบัติงานในการ ร้างผลผลิต
พนัส จันทร์ศรีทอง และประเสริฐ อินทร์รักษ์
7. การประชา ัมพันธ์ เป็นองค์ ประกอบที่ � า คั ญ ต่ อ แผนที่ ยุ ท ธ า ตร์ เ พื่ อ การพั ฒ นาคณะในม า ิ ท ยาลั ย ราชภั ฏ ามารถอธิ บ ายค่ า ค ามแปรปร นของ ตั แปรทั้ง มดได้ร้อยละ 3.81 พิจารณาจาก ค่าน�้า นักองค์ประกอบพบ ่า คณะมีการ ติดตามบัณฑิต ลัง �าเร็จการ ึก า คณะมี การเผยแพร่ ป ระชา ั ม พั น ธ์ ข ้ อ มู ล ข่ า าร คณะใช้เทคโนโลยีและคอมพิ เตอร์เพื่อการ พัฒนา คณะมีการบริ ารจัดการด้ ยค าม ะด กร ดเร็ อดคล้องกับนิตยา พร มนิช (2547) ที่กล่า ่า ม า ิทยาลัยราชภัฏ ได้ด�าเนินงานด้านการปรับปรุง พัฒนา และ ถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาม า ิทยาลัย นั้น มีขอบข่ายการด�าเนินงานที่ �าคัญ คือ ต้ อ งพั ฒ นาตนเองใ ้ มี ค ามพร้ อ มทั้ ง ด้ า น บุ ค ลากร ถานที่ อุ ป กรณ์ กิ จ กรรมการ ึก า การ ึก า ิจัย การประเมินผล และ การประชา ัมพันธ์ ซึ่งเป็นเรื่อง �าคัญในการ พัฒนาม า ิทยาลัยราชภัฏใ ้ก้า น้าต่อไป ในอนาคต อเสนอแนะทั่ว ป านน บา ค ร ึก ารายละเอียด ในแต่ละองค์ประกอบ และพิจารณาประกอบ การตั ด ิ น ใจเลื อ กแผนที่ ยุ ท ธ า ตร์ เ พื่ อ
การพั ฒ นาคณะในม า ิ ท ยาลั ย ราชภั ฏ ่ า ามารถน� า ไปปรั บ ปรุ ง และพั ฒ นาม าิทยาลัยราชภัฏได้จริง ค รใ ้การ นับ นุน ค ามคิดพร้อมทั้งจัด รรทรัพยากรทางการ บริ ารจัดการใ ้เพียงพอต่อค ามต้องการ ของผู้ปฏิบัติต่อไป านการนา ปป ิบั ิ ค รประยุกต์ ใช้ในการบริ ารงานของม า ิทยาลัยราชภัฏ โดยใ ้ค าม �าคัญและจัดล�าดับค าม �าคัญ ในแต่ละองค์ประกอบที่เ มาะ มกับ ภาพ และบริบทจริงของม า ิทยาลัย พร้อมทั้ง ร้างค ามรู้ค ามเข้าใจแก่ผู้ที่เกี่ย ข้องทุก ฝ่าย และมีการติดตามประเมินผลการน�าไป ใช้เป็นระยะๆ เพื่อปรับปรุงและพัฒนาใ ้เป็น ไปตามมาตรฐานที่ก�า นด อเสนอแนะสา รับการวิจั ครัง อ ป 1. ค ร ึ ก า ิ จั ย ในการน� า แผนที่ ยุทธ า ตร์เพื่อการพัฒนาคณะในม า ิทยาลัยราชภัฏไปทดลองใช้ในการบริ ารงาน ของม า ิ ท ยาลั ย ราชภั ฏ เพื่ อ รุ ป ภาพร ม และค ามถู ก ต้ อ งเ มาะ มของแต่ ล ะองค์ ประกอบ 2. ค ร ึ ก า ิ จั ย ในแต่ ล ะองค์ ประกอบทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ 3. ค ร ึ ก า ิ จั ย องค์ ป ระกอบ
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
73
แผนที่ยุทธศา ตร์เพื่อการพัฒนาคณะในม าวิทยาลัยราชภัฏ
ข งแผนที่ ยุ ท ธ า ตร์ เ พื่ การพั ฒ นาคณะ ในม า ิทยาลัยราชภัฏที่ได้ในภาพร ม รื แต่ ล ะ งค์ ป ระก บที่ ่ ง ผลต่ การบริ าร ม า ิทยาลัยราชภัฏ 4. ค ร ึก าแผนที่ยุทธ า ตร์เพื่ การพัฒนาม า ิทยาลัยราชภัฏทั่ ประเท รรณานุกรม นิตยา พร ม นิช. 2547. การ ังเคราะ ์ การ รั เ ลี่ยน ท าท อง า ัน ราชภัฏ ิทยานิพนธ์ ปริญญาครุ า ตรดุ ฎีบัณฑิต าขา ิชาการ ุดม ึก า บัณฑิต ิทยาลัย จุ าลงกรณ์ม า ิทยาลัย. นิเชต ุนทรพิทัก ์. 2550. เ นทาง ราชภัฏ นครปฐม : เพชรเก ม การพิมพ์. ปณัทพร เรื งเชิงชุม. 2550. การ ื่อ าร และ ายทอ วยแผนที่กลยุทธ์ ข นแก่น : ม า ิทยาลัยข นแก่น. พ ุ เดชะรินทร์. 2544. รลกในการ ฏิ ัติ กรุงเทพฯ : จุ าลงกรณ์ ม า ิทยาลัย.
ุทัย ดุลยเก ม. 2552. เอก าร ระกอ การ รรยาย ัมมนา อง ภา คณา ารย์ ม าวิทยาลัยศิล ากร นครปฐม : ม า ิทยาลัย ิลปากร. ุทิ ขา เธียร. 2549. การวางแผน กลยุทธ์ กรุงเทพฯ : �านักพิมพ์ แ ่งจุ าลงกรณ์ม า ิทยาลัย. Cronbach, Lee J. 1984. New York : Harper & Row. Kaplan, R. S., & Norton, D. P. 1996. Boston, MA : Harvard Business School. Krejcie, R.V., and P.W. Morgan. 1970. New York : Harper & Row. Madaws, G.F., M.S. Scriven, and D.I. Stufflebeam. 1983. Boston :
74
วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
Kluwer Nighoff.
มุมมองคาทอลิการใช้กด้คานเทววิ ทยาจริยธรรมที่มีต่อพฤติกรรม วามรุนแรงในกลุ่มวัยรุ่น A Catholic Perspective of Moral Theology on Youth Violence. บาทหลวงนราธิป งามวงศ์
* มหาบัณฑิตสาขาวิชาเทววิทยาจริยธรรม วิทยาลัยแสงธรรม * บาทหลวงในคริสต์ศาสนจักรโรมันคาทอลิก สังกัดสังฆมณฑลอุบลราชธานี
บาทหลวง ดร.ออกัสติน สุกีโย ปีโตโย, S.J.
* บาทหลวงในคริสต์ศาสนจักรโรมันคาทอลิก สังกัดคณะเยสุอิต * อาจารย์ประจำาหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเทววิทยาจริยธรรม วิทยาลัยแสงธรรม
พีรพัฒน์ ถวิลรัตน์
* รองผู้อำานวยการศูนย์ส่งเสริมและพัฒนางานวิชาการ วิทยาลัยแสงธรรม
Rev.Narathip Ngamwong
* Master of Arts Programe in Moral Theology, Saengtham College. * Reverend in Roman Catholic Church, Ubon Ratchathani Diocese.
Rev.Dr.Agustinus Sugiyo Pitoyo, S.J.
* Reverend in Roman Catholic Church, Jesuit. * Lacturer of The Master of Arts Programe in Moral Theology, Saengtham College.
Peerapat Thawinratna
* Deputy Director of Academic Promotion and Development Center, Saengtham College.
มุมมองคาทอลิกด้านเทววิทยาจริยธรรมที่มีต่อพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงในกลุ่มวัยรุ่น
ทคัดย่อ
การ ิจัยนี้มีจุดประ งค์เพื่อ 1) ึก ามุมมองทางเท ิทยา จริยธรรมที่มีต่อพฤติกรรมค ามรุนแรงในกลุ่ม ัยรุ่น และ 2) ึก า แน ทางในการอภิบาลกลุ่ม ัยรุ่นที่มีพฤติกรรมการใช้ค ามรุนแรงผล การ ิจัยพบ ่า 1. ในการแก้ไขปัญ าค ามรุนแรงในกลุ่ม ัยรุ่น พระ า นจักร เน้นการ ร้าง ันติและประณามการใช้ค ามรุนแรง พระ า นจักร เน้นการใ ้การ ึก า �า รับเยา ชนในเรื่องการ ร้าง ันติและค าม ยุติธรรม 2. � า รั บ มุ ม มองงานอภิ บ าลเยา ชน พระ า นจั ก รมอง พ กเขาในแง่บ ก ตามจิตตารมณ์การอภิบาลเยา ชนของ มเด็จพระ ันตะปาปายอ ์น ปอล ที่ 2 และ มเด็จพระ ันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16 พระองค์ นับ นุนใ ้เรามองเยา ชนด้ ยท่าทีแ ่งค ามรักและ ค ามจริงใจ เพราะเชื่อในพลังแ ่งการเปลี่ยนแปลงของพ กเขา โดย การใ ้การ ึก าและอบรมพ กเขาตามแน ทางของพระ า นจักร คาสาคั
Abstract
76
1) เท ิทยาจริยธรรม 3) พฤติกรรมค ามรุนแรง
2 ) คาทอลิก 4 ) ัยรุ่น
The purposes of this research were to find: 1) Moral Theology point of view on youth violence and 2) Guidelines for youth care in addressing Youth violence. The results of the study were : 1. The Church emphasizes building peace and condemns forms of violence. The Church emphasizes educating young people in peace and justice. 2. For pastoral care, the Church looks at youth positively, according to the profound outlook in pastoral care
วารสารวิชาการ วิทยาลัยแสงธรรม
นราธิป งามวงศ์ ออกัสติน สุกีโย ปีโตโย และพีรพัฒน์ ถวิลรัตน์
for youth of John Paul II and Benedict XVI. They encourage us to look at the youth with love and sincerity because they believe in the youth positive dynamic and encourage to educate the youth according to the teaching of the Church.
1) Moral Theology 2) Catholic 3) Youth 4) Violence
ที่มาและความสาคั องป า ั ย รุ่ น เป็ น ั ย ที่ มี ก ารเปลี่ ย นแปลง เข้า ู่ ุฒิภา ะทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์และ ังคม เป็นช่ ง ัยที่มีค าม �าคัญต่อการปรับ ตั เนื่องจากเป็นช่ งต่อระ ่าง ัยเด็กกับ ัย ผู้ใ ญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะต้นของ ัย ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดขึ้น ซึ่ง การเปลี่ ย นแปลงดั ง กล่ า จะมี ผ ลต่ อ ค าม ั ม พั น ธ์ ร ะ ่ า ง ั ย รุ่ น ด้ ยกั น เองกั บ บุ ค คล รอบข้าง ากกระบ นการเปลี่ยนแปลงดัง กล่ า เป็ น ไปอย่ า งเ มาะ ม โดยการดู แ ล เอาใจใ ่ใกล้ชิด จะช่ ยใ ้ ัยรุ่น ามารถปรับ ตั ได้อย่างเ มาะ ม บรรเทาปัญ าต่างๆ ที่ อาจจะเกิดขึ้นและเป็นทั้งแรงผลักดันและแรง กระตุ้นใ ้เกิดพฤติกรรมตามมาในด้านต่างๆ (ประยูร รีมณี ร, 2532) เมื่อ ัยรุ่นเป็น ัยที่มีการเปลี่ยนแปลง เป็ น ต้ น ่ า ทางด้ า นอารมณ์ ั ย รุ่ น จึ ง มั ก มี อ ารมณ์ ที่ รุ น แรงและมั ก จะแ ดงออกถึ ง
พฤติกรรมที่รุนแรงก้า ร้า ออกมา ซึ่งมีผู้ใ ้ ค าม มายถึงพฤติกรรมที่รุนแรง และ ัยรุ่นที่ มีพฤติกรรมที่รุนแรงดังต่อไปนี้ ุพัฒนา เดชาติ ง ์ ณ อยุธยา (2547) ได้ อ ธิ บ ายไ ้ ่ า แรงขั บ ก้ า ร้ า (aggressive drive) มีค ามจ�าเป็นต่อชี ิต เพราะท�า น้าที่พื้นฐานทางชี ิทยาเพื่อแ ง าการด�ารงชี ิตของมนุ ย์ ไม่แตกต่างจาก ั ญ ชาติ ญ าณทางเพ และค ามก้ า ร้ า รุนแรงใน ัยรุ่นซึ่งท�าใ ้เขามักมีอารมณ์ ับ น แปรปร นและแ ดงพฤติกรรมก้า ร้า และ รุนแรงออกมา ทั้งแบบต่อตั เองและต่อบุคคล อื่น และแบบกลุ่ม นึ่งไป ู่อีกกลุ่ม นึ่ง ใน ปั จ จุ บั น ั ย รุ่ น ที่ มี พ ฤติ ก รรมใช้ ค ามรุ น แรง ได้ มี จ�าน นเพื่ อ ขึ้ น เรื่ อ ยๆ ใน ั ง คมและใน ประเท ไทยของเราก็มี ัยรุ่นที่มีพฤติกรรมใช้ ค ามรุนแรงมากขึ้นก ่าอดีต ค ามรุนแรงน�า มาซึ่งการทะเลาะ การไล่ท�าร้ายกันด้ ยอา ุธ ฆ่าคู่อริ ฯลฯ
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
77
มุมมองคาทอลิกด้านเทววิทยาจริยธรรมที่มีต่อพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงในกลุ่มวัยรุ่น
ปี 2553 เท่าที่ปรากฏตั เลขพบ ่า เพียง ครึ่งปีมีการแจ้งเ ตุ ิ าทของนักเรียนถึง 881 ครั้ง ปี 2554 มีการท�า ถิติตลอดทั้งปีไ ้ ่า มีคนตายถึง 26 พ จากเ ตุการณ์นักเรียน ตีกันทั้งผู้บริ ุทธิ์และเ ล่านักเรียนอันธพาล เ ตุการณ์ที่โด่งดังที่ ุดคือ ช่างกลถล่มรถเมล์ าย 45 ขณะจอดป้ า ยอยู่ ฝั่ ง ตรงข้ า มปาก ซอยอุดม ุข ุขุม ิท 101/1 ฝั่งขาเข้า โดย นักเรียนก ่าร้อยคนกรูเข้าปิดถนนและล้อม รถเมล์ก่อนข ้างปา ิ่งของต่างๆ และยิงปืน จน ภาพรถเมล์ ลังเกิดเ ตุแทบจะไม่เ ลือ ชิ้นดี “คนขับรถเมล์คันดังกล่า เผยถึง ินาที เฉียดตาย ่า ถูกจี้ด้ ยปืนพร้อมมีดดาบพาด อยู่ที่คอก่อนตั เองจะอา ัยช่ งชุลมุนเอาชี ิต รอดมาได้” และเมื่อต้นปี 2555 เ ยื่อคนแรก ที่เป็นข่า ก็คือชายอายุ 51 ปี พนักงานขับ รถเมล์ าย 131 ถูกกระ ุนเข้าที่ชายโครงข า นึ่งนัด จากนักเรียนที่ขับมอเตอร์ไซค์ประกบ เพื่อยิงคู่อริที่อยู่บนรถเมล์ และปีนี้เกิดเ ตุไป แล้ 28 ครั้ง ( นัง ือพิมพ์ผู้จัดการราย ัน, 2555) จ า ก ถิ ติ ดั ง ก ล่ า ท� า ใ ้ เ ็ น ่ า ค ามรุ น แรงในกลุ่ ม ั ย รุ่ น มี จ� า น นมากขึ้ น เรื่อยๆและเป็นปัญ าระดับชาติ ผู้ ิจัยจึง เล็งเ ็นค าม �าคัญของปัญ าที่เกิดขึ้นจาก พฤติ ก รรมการใช้ ค ามรุ น แรงของ ั ย รุ่ น อั น
78
วารสารวิชาการ วิทยาลัยแสงธรรม
่ ง ผลกระทบต่ อ บุ ค คลที่ เ กี่ ย ข้ อ งใน ั ง คม ประเท ชาติ ซึ่ ง นั บ ั น จะมี ค ามรุ น แรง มากขึ้ น และอยากจะทราบ ่ า มุ ม มองทาง เท ิทยาจริยธรรมมี ่าอย่างไรต่อพฤติกรรม ค ามรุนแรงในกลุ่ม ัยรุ่น เพื่อจะเป็นแน ทาง ในการท�าค ามเข้าใจ และเป็นแน ทางในการ อภิบาลกลุ่มเยา ชนต่อไป จาก ถิติที่เ ็นก็น่าตกใจ ที่มีบุคคล ในชาติของเราต้องได้รับค ามเดือดร้อนจาก ปั ญ าของกลุ่ ม ั ย รุ่ น ที่ มี พ ฤติ ก รรมการใช้ ค ามรุ น แรงแม้ มี ลายฝ่ า ยที่ เข้ า มาแก้ ไข มี ง าน ิ จั ย ถึ ง าเ ตุ ข องปั ญ าเ ล่ า นี้ ซึ่งผู้ ิจัยก็ได้ ึก ามาบ้างและทราบถึง าเ ตุ ของปั ญ าที่ เ กิ ด จากการเลี้ ย งดู ที่ มี ปั ญ า ครอบครั การอยู่ในภา ะกดดัน การเลือกคบ เพื่อนที่ไม่ดีของ ัยรุ่น รือการใช้ค ามรุนแรง ตามกระแ ังคม และค ามไม่ นใจต่อ ิ่งที่ เกิดขึ้น ฯลฯ วัต ุ ร สงค องการวิจัย 1. เพื่อ ึก ามุมมองทางเท ิทยา จริ ย ธรรมที่ มี ต่ อ พฤติ ก รรมค ามรุ น แรงใน กลุ่ม ัยรุ่น 2. เพื่อ ึก าแน ทางในการอภิบาล กลุ่ม ัยรุ่นที่มีพฤติกรรมการใช้ค ามรุนแรง
นราธิป งามวงศ์ ออกัสติน สุกีโย ปีโตโย และพีรพัฒน์ ถวิลรัตน์
อบ ต องการวิ ัย 1. ึก าจากงานเขียนที่เกี่ย ข้อง ในเรื่องของ ัยรุ่น พฤติกรรมค ามรุนแรงใน กลุ่ม ัยรุ่น และด้านจิต ิทยา ัยรุ่น 2. ึก าและ ิเคราะ ์มุมมองตาม แน ทางเท ิทยาจริยธรรม นิยามศัพท์ ฉพาะ มุ ม มองคาทอลิ ก าน ทววิ ท ยา ริยธรรม คือ การน�า ลั ก จริ ย า ตร์ ม าพิ จ ารณาจากจุ ด ยื น ของ คาทอลิ ก ซึ่ ง ได้ เ พิ่ ม เติ ม ในเรื่ อ งข้ อ ค� า อน และบทบัญญัติของคาทอลิกเข้าไป เพื่อเป็น แน ทางและ ลักการพิจารณาทาง ีลธรรม � า รั บ ทุ ก คน โดยเท ิ ท ยาจริ ย ธรรมใช้ ค�า อนของพระเยซูเจ้าในพระคัมภีร์ อ�านาจ อนของพระ า นจั ก รคาทอลิ ก และ ค� า อนของพระ ั น ตะปาปา เป็ น รากฐาน ในการพิ จ ารณา ี ล ธรรมทาง ั ง คมในกรณี ทาง ีลธรรมต่างๆ ่าอะไรค รไม่ค ร โดยมี ลักค ามเชื่อและเ ตุผล เป็น ่ นประกอบ ที่ �าคัญ และถือ ่าเป็น ลัก ีลธรรม ากลที่ ครอบคลุมมนุ ยชาติ กวัยรุน รอ ยาว น คือ ผู้ที่อยู่ ระ ่าง ัยเด็กกับผู้ใ ญ่ มีอายุระ ่าง 12-21
ปี ่ นมากอยู่ในระดับมัธยม ึก าและก�าลัง มีพัฒนาการ ูงและน�้า นักเพิ่ม ยึดกลุ่มเพื่อน เป็น ลัก เริ่มมีค าม ัมพันธ์กับเพื่อนต่างเพ และมี ติ ป ั ญ ญาแบบเ ตุ ผ ลเชิ ง นามธรรม ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และ ังคม พ ติ ก ร ร ม ค ว า ม รุ น แร ง เป็ น พฤติ ก รรมที่ แ ดงออกมาทางร่ า งกาย รื อ าจาที่แ ดงออกมาในรูปของการข่มขู่ กดขี่ แข่ ง ขั น การท� า ลายข้ า ของ การท� า ร้ า ย ร่างกาย อันน�าไป ู่การใช้ก�าลังที่รุนแรงต่อ ร่างกาย จิตใจ ร มถึงต่อชี ิต ประโย น์ที่คา วา ะ รับ 1. ได้ เข้ า ใจมุ ม มองของเท ิ ท ยา จริ ย ธรรมที่ เ กี่ ย ข้ อ งกั บ พฤติ ก รรมค าม รุนแรงของ ัยรุ่น 2. ได้เข้าใจปัญ าของ ังคม ในเรื่อง พฤติกรรมการใช้ค ามรุนแรงในกลุ่ม ัยรุ่น 3. ได้ แ น ทางที่ เ ป็ น ประโยชน์ ต่ อ งานอภิบาลเยา ชน สรุป ลการวิ ัย มุ ม มองทาง ทววิ ท ยา ริ ย ธรรมมี มุมมองอยาง รตอพ ติกรรมความรุนแรง น กลุมวัยรุน มุ ม มองทางเท ิ ท ยาจริ ย ธรรมไม่
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
79
มุมมองคาทอลิกด้านเทววิทยาจริยธรรมที่มีต่อพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงในกลุ่มวัยรุ่น
ได้กล่า ถึงพฤติกรรมค ามรุนแรงในกลุ่ม ัย รุ่นโดยตรงแต่ได้พูดในแน ก ้างๆ เพื่อเป็น แน ทาง �า รับการ ร้าง ันติภาพ การปฏิเ ธการใช้ค ามรุนแรง และมุ่ง ร้าง ัยรุ่นใ ้ เป็นผู้ ร้างค ามยุติธรรมและ ันติ ตาม า น์ ที่ มเด็จพระ ันตะปาปาทรงใ ้แน ทางใน ั ข้ อ “ใ ้ ก าร ึ ก าเยา ชนเรื่ อ งค าม ยุติธรรมและ ันติ” ซึ่งถือ ่าเป็นมุมมองของ พระ า นจักรที่ใ ้ �า รับ ัยรุ่น รือเยา ชน เพื่อเป็นการป้องกันพฤติกรรมค ามรุนแรงใน กลุ่ม ัยรุ่นได้เป็นอย่างดี พระ า นจั ก รมอง ั ย รุ่ น ในแง่ บ ก โดยเฉพาะอย่ า งยิ่ ง พระ ั น ตะปาปาซึ่ ง เป็ น ผู้ น� า พระ า นจั ก รมอง ั ย รุ่ น รื อ เยา ชน ในแง่ บ ก ถื อ ่ า พ กเขาเป็ น ั ย ที่ มี พ ลั ง ร้ า ง รรค์ พร้ อ มเปิ ด รั บ ่ิ ง ใ ม่ ๆ เข้ า มา ในชี ิต ดังนั้นพระ า นจักรใ ่ใจและอบรม ั ย รุ่ น ใ ้ เ จริ ญ ชี ิ ต ตามแน ทางที่ ถู ก ต้ อ ง พระ า นจั ก รถื อ ่ า ั ย รุ่ น เป็ น ค าม ั ง ของพระ า นจักร เป็นค าม ังของ ังคม พระ า นจั กร ่ งใย ัยรุ่นและยืนอยู่เคียง ข้าง ัยรุ่นเ มอ พระ า นจักร อนพ กเขา ใ ้รู้เท่าทันกระแ ของ ังคมโดยเ ็นได้จาก า น์พระ ันตะปาปาที่ได้ อน ัยรุ่นแนะน�า พ กเขาใ ้ด�าเนินในทางที่ดี แม้ ่า ังคมมีค ามรุนแรงในกลุ่ม ัย
80
วารสารวิชาการ วิทยาลัยแสงธรรม
รุ่น แต่ก็เป็นเพียง ัยรุ่น ่ นน้อยที่เป็นปัญ า พระ า นจักรมองเ ็นถึงพลังในกลุ่มเยา ชน และมุ่งเน้นการอภิบาลเยา ชน ในการใ ้การ ึ ก าอบรมในแน ทางของพระ า นจั ก ร มุ่ ง เน้ น การอบรมโดยเริ่ ม ที่ ก ารอบรม ั ย รุ่ น ตั้งแต่อยู่ในครอบครั พ่อแม่ต้องท�า น้าที่ใน การอบรมเลี้ยงดูบุตรของตนเอง เพื่อ ่าเขาจะ ได้เติมโตเป็นเด็กที่ด ี เป็นเยา ชนที่ด ี เพื่อเป็น ค าม ังของ ังคม ของประเท และของ พระ า นจักรต่อไป มุมมองของพระ า นจักร เน้นการ อบรมโดยเริ่ ม ตั้ ง แต่ ใ นครอบครั เป็ น ลั ก เพื่อเป็นการป้องกันพฤติกรรมค ามรุนแรง และพฤติ ก รรมที่ ไ ม่ ดี ทั้ ง ลายในตั บุ ค คล ครอบครั เป็นพื้นฐานที่ �าคัญ ที่พ่อแม่จะ ต้ อ งท� า น้ า ที่ ใ นการอบรมเลี้ ย งดู บุ ต รของ ตนเอง ครอบครั จึ ง มี บ ทบาทที่ จ ะช่ ยใ ้ เด็กเยา ชนเติมโตเป็นคนดีของ ังคม โดย เริ่มต้นที่ครอบครั ที่ไม่มีค ามรุนแรงแต่เป็น ครอบครั ที่ เ ต็ ม ไปด้ ยค ามรั ก เป็ น ิ่ ง ที่ พระ า นจักรถือ ่า ูงค่ายิ่ง เป็น ิ่งซึ่งได้รับ พระพรพิเ ของพระผู้เป็นเจ้า นอกจากนั้น ผลจากครอบครั ที่อบอุ่น ยังเป็นที่อบรมบ่ม เพาะ มาชิ ก ของ ั ง คมใ ้ เ ป็ น ผู้ มี คุ ณ ธรรม ร้าง รรค์ ังคม ไม่ก่อปัญ า ตามแน ทางที่ พระ า นจักรได้ใ ้ไ ้ถือ ่าครอบครั จะต้อง
นราธิป งามวงศ์ ออกัสติน สุกีโย ปีโตโย และพีรพัฒน์ ถวิลรัตน์
อบรมบุตรของตนเองและเป็นแบบอย่างที่ดี เป็นต้น ่าในครอบครั ไม่ค รแ ดงพฤติกรรม ค ามรุ น แรง เพราะถื อ ่ า ครอบครั เป็ น รากฐานแ ่งค ามรักที่จะต้องปรา จากค าม รุนแรง แน ทางในการอภิ บ าล ั ย รุ่ น ที่ มี พฤติกรรมค ามรุนแรง โดยยึดตามมุมมอง ของพระ ันตะปาปายอ ์น ปอล ที่ 2 ในการ มองเยา ชน พระองค์มองด้ ยท่าทีแ ่งค าม รักไม่ต�า นิ รือลงโท ทรงเป็นเ มือนกับ บิดาผู้ใจดี อภัยต่อบุตรที่ท�าผิด รือในกรณี ของเยา ชน รื อ ั ย รุ่ น ที่ มี พ ฤติ ก รรมค าม รุนแรงนั้น พระองค์ไม่ทรงต�า นิพ กเขา แต่ พระองค์จะทรงรักพ กเขามากยิ่งขึ้น เพราะ เชื่อในพลังการเปลี่ยนแปลงของพ กเขา อ ิปราย ล ในมุ ม มองทางเท ิ ท ยาจริ ย ธรรม ที่ มี ต่ อ พฤติ ก รรมค ามรุ น แรงในกลุ่ ม ั ย รุ่ น ามารถน�าไปใช้ในการอภิบาลเยา ชนได้ โดย เฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการปลุกจิตตารมณ์ ในการ ร้าง ันติ ไม่เฉพาะในกลุ่มเยา ชน เท่านั้น แต่ทุกคนในโลกนี้ล้ นปรารถนา ันติ จากการ ิจัยท�าใ ้พบ ่าพระ า นจักรมอง ปัญ าที่เกิดขึ้นใน ังคม และพระ า นจักร มี น้ า ที่ ใ นการ อน ี ล ธรรมค ามดี ใ ้ แ ก่
ั ง คม พระ า นจั ก รมี ิ ธี ก ารของพระ า นจักรเอง ในการที่จะ อน ีลธรรมในมุม มองทางเท ิทยาจริยธรรมที่มีต่อพฤติกรรม ค ามรุนแรงในกลุ่ม ัยรุ่น แม้จะไม่ได้ อน โดยตรงต่ อ พฤติ ก รรมค ามรุ น แรงในกลุ่ ม ัยรุ่น แต่แน ทางของพระ า นจักรก็ อน ทุ ก คนใ ้ ร้ า ง ั น ติ ภ าพ โดยการยึ ด ตาม ค�า อนของพระเยซูเจ้าที่ อนเรื่องค ามรัก การใ ้ อ ภั ย เป็ น มุ ม มองทางเท ิ ท ยาจริยธรรมที่แก้ไขค ามรุนแรงใน ังคมได้เป็น อย่างดี เป็นต้น ่าในค�า อนของพระเยซูเจ้าที่ ่า “ผู้ ิ กระ ายค ามชอบธรรมย่อมเป็น ุข เพราะเขาจะอิ่ม” (มธ. 5:6) เขาจะอิ่ม เพราะ เขา ิ กระ ายค าม ั ม พั น ธ์ ที่ ถู ก ต้ อ งกั บ พระเจ้า กับพ กเขาเอง กับพี่น้องชาย ญิง และกับ ิ่ง ร้างทั้งม ล ค ามรุนแรง ค าม เกลียดชังในจิตใจของเขาก็จะไม่มี เพราะเขา ได้พยายามที่จะ ร้าง ันติ า น์ ข อง มเด็ จ พระ ั น ตะปา ปาเบเนดิ ก ต์ ที่ 16 “ใ ้ ก าร ึ ก าเยา ชน เรื่องค ามยุติธรรมและ ันติ” เป็นการยืนยัน ่าพระ า นจักรต้องการ ร้างกลุ่ม ัยรุ่นยุค ใ ม่ใ ้เป็นบุคคลที่มีค ามยุติธรรม และ ร้าง ันติ ถือเป็นแน ทางใ ้เยา ชนเป็นอย่างดีที่ จะ ร้าง ันติ ซึ่งเป็นการแ ดงใ ้เ ็น ่าพระ า นจักรนั้นทรง ่ งใยเยา ชน และทรงมุ่ง
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
81
มุมมองคาทอลิกด้านเทววิทยาจริยธรรมที่มีต่อพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงในกลุ่มวัยรุ่น
เน้นในการ ร้าง ันติ โดยเริ่มจากการใ ้การ ึก าเยา ชนในเรื่องค ามยุติธรรมและ ันติ พระ ันตะปาปายอ ์น ปอลที่ 2 พระองค์ทรง เป็นบิดาที่ นใจต่อเยา ชน พระองค์ทรงรัก พ กเขา พระองค์มองเยา ชนด้ ยท่าทีแ ่ง ค ามรักไม่ต�า นิ รือลงโท ทรงเป็นเ มือน กับบิดาผู้ใจดี อภัยต่อบุตรที่ท�าผิด รือใน กรณีของเยา ชน รือ ัยรุ่นที่มีพฤติกรรม ค ามรุนแรงนั้น พระองค์ไม่ทรงต�า นิพ ก เขา แต่พระองค์จะทรงรักพ กเขามากยิ่งก ่า คนอื่น เพราะเชื่อในพลังการเปลี่ยนแปลงของ พ กเขา ในการอภิบาลเยา ชนที่มีพฤติกรรม ค ามรุนแรง แน่นอน ่าจะต้องมี ัยรุ่นบาง คนที่ มี พ ฤติ ก รรมค ามรุ น แรง ซึ่ ง ถ้ า ใช้ มุ ม มองตามแบบอย่างของพระ ันตะปาปา โดย มอง ่าแม้ ัยรุ่นคนนั้นจะเป็นอย่างไร จะมี พฤติกรรมที่มีค ามรุนแรง แต่เราในฐานะผู้ อภิบาลจะต้องมีจิตตารมณ์แ ่งค ามรัก มอง เขาในแง่บ กและช่ ยเ ลือเขาตามมุมมอง ของค ามรักและเมตตา การเ ริม ร้าง ันติ และค ามรักต้อง เริ่มต้นที่ครอบครั เป็นประการแรก เพราะ บรรดาผู้ปกครองเป็นผู้อบรมแรก “ในครอบ ครั เด็กๆ เรียนรู้คุณค่ามนุ ย์” พ่อแม่มี น้าที่ อบรมบุตรของตนเอง และช่ ยพ กเขาใ ้เป็น
82
วารสารวิชาการ วิทยาลัยแสงธรรม
บุคคลที่ ร้าง รรค์ และมี ันติ ในครอบครั เด็กจะรู้จักค ามเป็นปึกแผ่นระ ่างคนแต่ละ ยุค รู้จักเคารพกฎเกณฑ์ การใ ้อภัย และ รู้จัก ิธีต้อนรับผู้อื่น ซึ่งถือเป็นแน ทางในการ ป้องกันปัญ า ัยรุ่นใช้ค ามรุนแรงได้ ้อเสนอแน 1. จากการ ิจัยในครั้งนี้ ผู้ ิจัยมุ่ง ที่ ก าร าแน ทางของพระ า นจั ก รที่ มี ต่ อ พฤติกรรมค ามรุนแรงในกลุ่ม ัยรุ่น ซึ่งเป็น แน ทางก ้างๆ ที่พระ า นจักรได้ใ ้เพื่อเป็น แน ทางในการป้องกัน และการแก้ปัญ า ัย รุ่น ผู้ ิจัยจึงขอเ นอใ ้น�าแน ทางที่ได้นี้ไป ู่ ภาคปฏิบัติที่มีการอบรม ัยรุ่น เช่น กิจกรรม ค่ายอา า กิจกรรมใ ้ ัยรุ่นได้ใช้เ ลา ่างใ ้ เป็นประโยชน์ เป็นต้น เพื่อพ กเขาจะได้ร ม กลุ่มกัน และจะได้เ ริม ร้างค ามรักค าม ามัคคีผ่านทางกิจกรรม 2. เพื่อเป็นการป้องกันปัญ าค าม รุนแรงในกลุ่ม ัยรุ่น ผู้ ิจัยเ นอ ่า ค ร า แน ทางที่ จ ะใ ้ ั ย รุ่ น ได้ ึ ก าค� า อนของ มเด็จพระ ันตะปาปา ใน ั ข้อ “ค าม ยุติธรรมและ ันติ” โดยเ นอใ ้โรงเรียนต่างๆ ที่เป็นของคาทอลิกได้อบรมใ ้นักเรียนของ ตนจะได้ตระ นักถึงการมีค ามยุติธรรมและ การ ร้าง ันติใ ้เกิดขึ้นใน ังคม
นราธิป งามวงศ์ ออกัสติน สุกีโย ปีโตโย และพีรพัฒน์ ถวิลรัตน์
3. น่ า จะมี ก าร ึ ก าทางด้ า นกิ จ กรรมที่ ่งเ ริมใ ้ ัยรุ่นรู้จักใ ้อภัย และเ นอ ใ ้ มี ก ารประเมิ น กิ จ กรรมที่ น่ ยงานด้ า น เยา ชนได้ท� า และมีการ รุปบันทึก และท�า เป็น ถิติออกมา ่า ลังจากท�าการจัดอบรม บรร านุกรม เดือน ค�าดี. 2530. ป าปรั า กรุงเทพฯ : โอ.เอ .พริ้นติ้งเฮ้า ์. ถิรลัก ณ์ ิจิตร ง ์. 2544. ป าความ ั่วราย นปรั าคริสต์ ารนิพนธ์ ิลป า ตรบัณฑิต าขา ิชาปรัชญา และ า นา ิทยาลัยแ งธรรม. ประยูร รี มณี ร. 2532. ิตวิทยาวัยรุน กรุงเทพฯ : ิทยาลัยครูจันทรเก ม. ยอ ์น ปอล ที่ 2, มเด็จพระ ันตะปาปา. 1993. พระวรสารแ ง ีวิต กรุงเทพฯ : ูนย์ รรณกรรมซาเลเซียน. มเกียรติ จูรอด, บาท ล ง 2535. ความ ั่วรายตามแนวปรั ากับ การปรับ ปลี่ยนมุมมอง องคน น ป ุบัน นครปฐม : ิทยาลัยแ งธรรม.
แล้ ปัญ าค ามรุนแรงในกลุ่ม ัยรุ่นนั้นเป็น อย่างไร เพื่อจะได้มีแน ทางในการ ึก า และ ากิจกรรมใ ้แก่เยา ชนเพื่อเ ริม ร้างค าม รักค าม ามัคคีกัน
ลัน ่องไ . 2547. ศก าวิ คราะ ์ป า ความ ั่วรายตามแนวคิ อง นักบุ โทมัส อ ควนัส ารนิพนธ์ ิลป า ตรบัณฑิต าขา ิชาปรัชญา และ า นา ิทยาลัยแ งธรรม. ุพัฒนา เดชาติ ง ์ ณ อยุธยา. 2547. สุ าพ ิต กรุงเทพฯ : กรม ุขภาพจิต กระทร ง าธารณ ุข. Panampara, Abraham. 1996. New York : Salesian.
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
83
รู ปแบบการบริหารสถานศึกษาแบบมีส่วนร่วม ของคณะกรรมการสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน P articipative Administration Model of Basic Educational Committee in the Office of the Basic Education Commission. ดร.วรลักษณ์ จันทร์ผา
* ผู้อำ�นวยก�รโรงเรียนบ้�นหนองระแวง สำ�นักง�นเขตพื้นที่ก�รศึกษ�ประจวบคีรีขันธ์เขต 1
ผศ.ดร.ประเสริฐ อินทร์รักษ์
* อ�จ�รย์ประจำ�ภ�ควิช�ก�รบริห�รก�รศึกษ� คณะศึกษ�ศ�สตร์ มห�วิทย�ลัยศิลป�กร
Dr.Woraluk Chanpha
* Director of Ban Nongrawang School, The Office of Prachuapkhirikhan Educational Service Area 1.
Asst.Prof.Dr.Prasert Intarak
* Lecturer at Education Administration Faculty of Education, Silpakorn University.
วรลักษณ์ จันทร์ผา และประเสริฐ อินทร์รักษ์
บทคั อ
การ ิจัยครั้งนี ้ มี ัตถุประ งค์ 1) เพื่อ ึก าองค์ประกอบการ บริ าร ถาน ึ ก าแบบมี ่ นร่ มของคณะกรรมการ ถาน ึ ก า 2) เพื่อน�าเ นอรูปแบบการบริ าร ถาน ึก าแบบมี ่ นร่ มของ คณะกรรมการ ถาน ึก า 3) เพื่อ ึก าผลการตร จ อบยืนยันรูป แบบการบริ าร ถาน ึก าแบบมี ่ นร่ มของคณะกรรมการ ถาน ึก า ระดับการ ึก าขั้นพื้นฐาน กลุ่มตั อย่าง คือ ถาน ึก าขั้น พื้นฐาน ังกัด า� นักงานคณะกรรมการการ ึก าขั้นพื้นฐาน จ�าน น 201 โรงเรียน ผู้ใ ้ข้อมูล ถาน ึก าละ 6 คน ได้แก่ 1) ผู้บริ าร ถาน ึก า 2) ผู้ปกครองนักเรียน 3) ประธานคณะกรรมการ ถาน ึก าขั้นพื้นฐาน 4) ผู้แทนครูในคณะกรรมการ ถาน ึก าขั้นพื้นฐาน 5) ผู้แทนผู้ปกครองในคณะกรรมการ ถาน ึก าขั้นพื้นฐาน 6) คณะ กรรมการ ถาน ึก าขั้นพื้นฐานอื่นๆ เครื่องมือที่ใช้ในการ ิจัย ได้แก่ แบบ อบถาม ถิติที่ใช้ในการ ิเคราะ ์ข้อมูล ได้แก่ ค่าค ามถี่ ค่าร้อยละ ฐานนิยม ค่ามัชฌิมเลขคณิต ่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน การ ิเคราะ ์ องค์ประกอบเชิง า� ร จ การ ิเคราะ ์ค าม ัมพันธ์เชิง าเ ตุ และการ ิเคราะ ์เนื้อ า ผลการ ิจัยพบ ่า 1. องค์ ป ระกอบการบริ าร ถาน ึ ก าแบบมี ่ นร่ มของ คณะกรรมการ ถาน ึก าระดับการ ึก าขั้นพื้นฐาน ของ ถาน ึก า ที่มีคณะกรรมการ ถาน ึก า 9 คนและ 15 คน มีองค์ประกอบที่ เ มือนกัน 6 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) คุณลัก ณะของกรรมการ ถาน ึก า 2) คุณลัก ณะของผู้บริ าร 3) การ ร้างเครือข่ายการมี ่ น ร่ ม 4) การด�าเนินงานตามบทบาทของคณะกรรมการ ถาน ึก า 5) คุณลัก ณะของครู และ 6) การ นับ นุนจาก น่ ยงานต้น ังกัด 2. รู ป แบบการบริ าร ถาน ึ ก าแบบมี ่ นร่ มของคณะ กรรมการ ถาน ึก า ระดับการ ึก าขั้นพื้นฐาน เป็นพ ุองค์ประกอบ ที่มีค าม ัมพันธ์กัน
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
85
รูปแบบการบริ าร ถาน ึก าแบบมี ่ นร่ มของคณะกรรมการ ถาน ึก าระดับการ ึก าขั้นพื้นฐาน
3. รู ป แบบการบริ าร ถาน ึ ก าแบบมี ่ นร่ มของคณะ กรรมการ ถาน ึก าระดับการ ึก าขั้นพื้นฐานมีค ามเ มาะ ม มี ค ามเป็นไปได้ เป็นประโยชน์ และถูกต้องครอบคลุม คา าคั Abstract
86
1) รูปแบบการบริ าร ถาน ึก า 2) การบริ ารแบบมี ่ นร่ ม 3) การ ึก าขั้นพื้นฐาน
The purposes of this research were to 1) identify factors of participative administration of basic education committee in the office of the basic education 2) propose participative administration model of basic education committee in the office of the basic education. 3) confirmation model of basic education committee in the office of the basic education. The subjects of this study included 201 schools under the office of the basic education commission. The key informants were administrations, teacher representatives working under the office of the basic education commission, chairman and member of the office of the basic education commission, parents representative from institution under the office of the basic education commission and parents. The respondents were 1) administrators, 2) parents, 3) chairman member of the Office of the Basic Education Commission, 4) teacher representatives working under the Office of the Basic Education Commission, 5) parents representative, and 6) member from the Office of the Basic Education Commission. Instruments used were questionnaire. The sta-
าร าร ิชาการ ิทยาลัยแ งธรรม
วรลักษณ์ จันทร์ผา และประเสริฐ อินทร์รักษ์
tistics for analyzing the data were frequency, percentage, mode, arithmetic mean, standard deviation, exploratory factor analysis, path analysis and content analysis. The findings were as follows : 1. The Factors of participative administration of basic education committee in the office of the basic education for the point of view of nine members and fifteen members, there were 6 factors that same such as 1) characteristic of institution committee 2) characteristic of administrations 3) cooperative network establishment 4) role of school board 5) characteristic of teachers 6) support from original affiliation. 2. Participative administration model of basic education committee in the office of the basic education was related multi-factors. 3. Participative administration model of basic education committee in the office of the basic education was propriety, feasibility, utility and accuracy.
1) Participative Administration Model 2) Participative Administration 3) The Basic Education.
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
87
รูปแบบการบริ าร ถาน ึก าแบบมี ่ นร่ มของคณะกรรมการ ถาน ึก าระดับการ ึก าขั้นพื้นฐาน
ค าม ปนมาและค าม าคั ของป า การบริ ารงานแบบมี ่ นร่ มของ ถาน ึก าและคณะกรรมการ ถาน ึก า ขั้ น พื้ น ฐานมั ก ประ บปั ญ าทั้ ง ในด้ า น ิชาการ งบประมาณ การบริ ารงานบุคคล และการบริ ารงานทั่ ไปอันเกิดปัญ าจาก ทั้ง ผู้ บริ าร ถาน ึก าและคณะกรรมการ ถาน ึก า ดังที่ �านักงานคณะกรรมการ การ ึ ก าขั้ น พื้ น ฐาน (2547) ได้ รุ ป การ พั ฒ นาการมี ่ นร่ มที่ เ ป็ น ปั ญ าอุ ป รรค ต่ อ การบริ ารจั ด การแบบองค์ ค ณะบุ ค คล ในระดับ ถาน ึก า ไ ้ดังนี ้ คณะกรรมการ ถาน ึก าขั้นพื้นฐานขาดค ามชัดเจนเรื่อง บทบาท น้าที่ ่าตนเองจะท�าอะไร ท�าอย่างไร และท�าเพื่ออะไร บุคคลที่เข้าร่ มเป็นคณะ กรรมการ ถาน ึ ก า ่ นใ ญ่ ไ ด้ รั บ การ ร้องขอจาก ถาน ึก ามากก ่าได้รับการคัด รรจากกลุ่ ม ที่ มี ่ นเกี่ ย ข้ อ งอย่ า งแท้ จ ริ ง ท�าใ ้ขาดการกระตือรือร้นในการท�า น้าที่ ิ ธี ก ารท� า งานร่ มกั น ของคณะกรรมการ ถาน ึก ายังขาดทัก ะและประ บการณ์ เช่น ทัก ะการร่ มประชุมตัด ินใจ เป็นต้น ถาน ึก า ่ น นึ่งยังคิด ่าคณะกรรมการ ถาน ึก า ่ น นึ่งเป็นเพียงผู้ นับ นุนด้าน ทรัพยากรทางการ ึก ามากก ่าเป็นผู้ร่ มคิด ร่ มตัด ินใจ ร่ มด�าเนินงาน ร่ มรับผลที่เกิดขึ้น
88
าร าร ิชาการ ิทยาลัยแ งธรรม
ระบบข้อมูล าร นเท เพื่อการบริ ารขาด คุ ณ ภาพ จึ ง เป็ น จุ ด อ่ อ นที่ � า คั ญ ของการ บริ ารจั ด การการน� า ข้ อ มู ล ไปใช้ ใ นการ พิจารณาของคณะกรรมการเพื่อการตัด ินใจ การแก้ปัญ า รือพัฒนางานการ ึก า ่ น ใ ญ่ จึ ง อยู่ บ นพื้ น ฐานของค ามรู้ ึ ก และ ประ บการณ์เดิม ในอดีต ถาน ึก าขาด ค ามคล่องตั ในการบริ าร ปัจจุบัน ถาน ึ ก าเป็ น นิ ติ บุ ค คล มี ค ามคล่ อ งตั ู ง ามารถบริ ารกิจการได้ด้ ยตนเอง แต่คณะ กรรมการ ถาน ึก าบาง ่ นยังขาดค าม ชั ด เจนในบทบาท น้ า ที่ จ ะต้ อ งมี ก ารก� า กั บ ่งเ ริม และ นับ นุนจากคณะกรรมการ ถาน ึ ก าอย่ า งใกล้ ชิ ด และบทบาทที่ กฎ มายก�า นดไ ้ไม่ ่งผลใ ้คณะกรรมการ ถาน ึก าได้เข้ามามี ่ นร่ มในการพัฒนา โรงเรี ย นอย่ า งแท้ จ ริ ง การมี ่ นร่ ม ่ น ใ ญ่ เ กิ ด จากค ามต้ อ งการของโรงเรี ย น โดยโรงเรี ย นเป็ น ผู้ ด� า เนิ น การเอง แต่ อุ ทั ย บุญประเ ริฐ (2546) กล่า ่า คณะกรรมการ โรงเรียนถูกมอบ มาย น้าที่และค ามรับผิด ชอบมากมาย แต่ บุ ค ลากรที่ เ ป็ น คณะ กรรมการยังขาดคุณ มบัติที่เ มาะ ม เช่น ขาดค ามรู้เรื่องการบริ ารโรงเรียน มาชิก ในคณะกรรมการโรงเรียนที่ตั้งขึ้นใ ม่ ทั้งครู ลูกจ้าง ผู้ปกครอง รือนักเรียนต่างมีค ามรู้
วรลักษณ์ จันทร์ผา และประเสริฐ อินทร์รักษ์
ค ามเข้าใจเกี่ย กับการบริ ารโรงเรียนน้อย มาก ทั้งด้านงบประมาณ การจัด ิ่งอ�าน ย ค าม ะด ก บุคลากร นโยบายเรื่องอื่นๆ ที่ จ� า เป็ น � า รั บการตัด ินใจและการบริ าร ขาดทัก ะกระบ นการกลุ่ม มาชิกในคณะ กรรมการโรงเรียน ่ นมากจะขาดทัก ะเรื่อง กระบ นการตัด ินใจเป็นกลุ่ม การลดปัญ า ค ามขัดแย้ง การแก้ปัญ าและทัก ะอื่นๆ ขาดค ามชัดเจนในบทบาท มาชิก ่ นใ ญ่ ยังไม่เข้าใจบทบาท น้าที่ของตนเอง รือของ คณะกรรมการ ่ า มี อ� า นาจ น้ า ที่ แ ละค าม รับผิดชอบมากน้อยเพียงใด ไม่แน่ใจ ่าคณะ กรรมการโรงเรียนที่ตนเอง ังกัดนั้นเป็นคณะ กรรมการที่ปรึก า รือเป็นคณะกรรมการที่ มี น้าที่ตัด ินใจ การ ึก ารูปแบบการบริ าร ถาน ึ ก าแบบมี ่ นร่ มของคณะกรรมการ ถาน ึ ก า ระดั บ การ ึ ก าขั้ น พื้ น ฐาน จะท� า ใ ้ ท ราบถึ ง องค์ ป ระกอบที่ ั ม พั น ธ์ กั บ การบริ าร ถาน ึ ก าที่ ามารถน� า มาเป็ น แน คิ ด ในการพั ฒ นากระบ นการ บริ าร ถาน ึก าแบบมี ่ นร่ มของคณะ กรรมการ ถาน ึก า ระดับการ ึก าขั้นพื้น ฐานใ ้เกิดประ ิทธิผล โดยอา ัย ลักการ แน คิดทฤ ฎีและงาน ิจัยต่างๆ เป็นแน ทาง ซึ่ ง จะท� า ใ ้ ไ ด้ ข้ อ มู ล นั บ นุ น การบริ าร
จัดการที่เ มาะ ม วั ประส ค์ อ การวิจั 1. เพื่ อ ึ ก าองค์ ป ระกอบการ บริ าร ถาน ึก าแบบมี ่ นร่ มของคณะ กรรมการ ถาน ึก า ระดับการ ึก าขั้นพื้น ฐาน 2. เพื่อน�าเ นอรูปแบบการบริ าร ถาน ึ ก าแบบมี ่ นร่ มของคณะกรรม การ ถาน ึก า ระดับการ ึก าขั้นพื้นฐาน 3. เพื่ อ ึ ก าผลการตร จ อบ ยื น ยั น รู ป แบบการบริ าร ถาน ึ ก าแบบ มี ่ นร่ มของคณะกรรมการ ถาน ึ ก า ระดับการ ึก าขั้นพื้นฐาน กรอบแนวคิ การวิจั กรอบแน คิดการ ิจัย เรื่อง รูปแบบ การบริ าร ถาน ึ ก าแบบมี ่ นร่ มของ คณะกรรมการ ถาน ึก า ระดับการ ึก า ขั้นพื้นฐาน ประกอบด้ ย แน คิดที่เกี่ย กับ องค์ประกอบของการบริ ารแบบมี ่ นร่ ม บทบาทของคณะกรรมการ ถาน ึก าขั้นพื้น ฐาน ร มถึงการ ัมภา ณ์ผู้เชี่ย ชาญ ดังราย ละเอียดตามแผนภูมิที่ 1
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
89
รูปแบบการบริ าร ถาน ึก าแบบมี ่ นร่ มของคณะกรรมการ ถาน ึก าระดับการ ึก าขั้นพื้นฐาน
ท ีแรง ูง ัม ทธิ ของ ด ิค แมค คลแลนด (David McClelland)
องคประกอบการบริ ารแบบมี ่ น ร่ มของ แ น บอร
องคประกอบการบริ าร แบบมี ่ นร่ ม ของแอน ทนี ท
ท ีแรง ูง ของ อร บอรก (Herzberg) ลัก ณะการบริ ารแบบมี ่ นร่ ม ของธรรมร ช ิก ชร
ีการบริ าร ระบบ ของ รน ิ ล คิรท (Rensis Likert)
แน คิดการบริ ารแบบมี ่ นร่ มของ บรยแมน (Bryman) แน คิดการบริ ารแบบมี ่ นร่ มของลอ ลอร (Lawer)
รูปแบบ การบริ าร ถาน ึก า แบบมี ่ นร่ ม ของคณะ กรรมการ ถาน ึก า
ิธีการบริ ารแบบมี ่ นร่ ม รูปแบบ ของพั ิ
แน คิดการบริ ารแบบมี ่ นร่ มของอทัย บ ประ ริฐ อก ารงาน ิ ัย กีย กับการบริ าร ถาน ึก าแบบมี ่ นร่ ม ทั้ง นประ ท และ ่างประ ท ัม า ณค ามคิด นของ ู ชีย ชา แน คิดการบริ าร ถาน ึก าแบบ มี ่ นร่ ม าก อก ารอืน
แ น ูมิที แ ดงกรอบแน คิดของการ ิจัย ประชากรและกล่ม ั อย่าง ประชากร คือ ถาน ึก าขั้นพื้นฐาน ังกัด �านักงานคณะกรรมการการ ึก าขั้น พื้นฐาน กลุ่มตั อย่าง คือ ถาน ึก าขั้นพื้น ฐาน จ�าน น 201 โรงเรียน ตามตารางของ เครจซี่และมอร์แกน (R.V. Krejcie, and P.W.
90
าร าร ิชาการ ิทยาลัยแ งธรรม
Morgan, 1970) ผู้ ิจัยแบ่งเป็น 2 น่ ย ิเคราะ ์ คือ ถาน ึก าที่มีคณะกรรมการ ถาน ึก า 9 คน จ�าน น 166 โรงเรียน ผู้ ใ ้ข้อมูล 996 คน และ ถาน ึก าที่มีคณะ กรรมการ ถาน ึก า 15 คน จ�าน น 35 โรงเรียน ผู้ใ ้ข้อมูล 210 คน โดยเทคนิค การ ุ่ ม ตั อย่ า งแบบ ลายขั้ น ตอน (multi
วรลักษณ์ จันทร์ผา และประเสริฐ อินทร์รักษ์
– stage random sampling) ผู้ใ ้ข้อมูล ถาน ึก าละ 6 คน ได้แก่ ผู้บริ าร ถาน ึ ก า ผู้ ป กครองนั ก เรี ย น ประธานคณะ กรรมการ ถาน ึก าขั้นพื้นฐาน ผู้แทนครูใน คณะกรรมการ ถาน ึก าขั้นพื้นฐาน ผู้แทน ผู้ปกครองในคณะกรรมการ ถาน ึก าขั้น พื้นฐานและคณะกรรมการ ถาน ึก าขั้นพื้น ฐานอื่นๆ ผลการวิจั 1 อ ค์ ป ระกอบการบริ ารส าน กษา แบบมี ส วนรวม อ คณะกรรมการส าน กษา 1.1 ถาน ึก าที่มีคณะกรรมการ ถาน ึก าขั้นพื้นฐาน 9 คน ประกอบด้ ย 8 องค์ประกอบ 75 ตั แปร มีค่า ถิต ิ Chi- Square = 102295.0 (p < .01) แ ดง ่า ค่า เมตริกซ์ ัมประ ิทธิ์ ัมพันธ์นี้แตกต่างจาก เมตริกซ์เอกลัก ณ์อย่างมีนัย �าคัญทาง ถิติ ที่ระดับ .01 อดคล้องกับค่า KMO (KaiserMeyer-Olkin Measure of Sampling Adequacy) ซึ่งเท่ากับ .971 แ ดง ่า มีจ�าน น ข้อมูลเพียงพอ มีค ามเ มาะ มระดับดี และ จากองค์ประกอบที่มีค่าไอเกนมากก ่า 1.00 มี ค ่ า ค ามแปรปร น ะ มเท่ า กั บ ร้ อ ยละ 70.317 ซึ่ ง แต่ ล ะองค์ ป ระกอบ ามารถ
จั ด เรี ย งล� า ดั บ ตั แปรตามค่ า น�้ า นั ก องค์ ประกอบ (Factor Loading) ดังนี้ องค์ประกอบที ่ 1 คุณลัก ณะของ กรรมการ ถาน ึ ก า ประกอบด้ ย 14 ตั แปร มีค่าน�้า นักตั แปรในองค์ประกอบ อยู่ระ ่าง .569 - .679 ได้แก่ 1) กรรมการ ถาน ึก าเป็นผู้ที่กล้าแ ดงออกทั้งการกระ ท�าและค ามคิด 2) กรรมการ ถาน ึก าเป็น ผู้ที่มีค ามประพฤติดีทั้งด้านกาย าจา ใจ และเป็นตั อย่างใ ้แก่ ังคมได้ 3) กรรมการ ถาน ึก าเป็นผู้ที่มีค าม ุภาพ เรียบร้อย อ่อนน้อมถ่อมตน 4) กรรมการ ถาน ึก า เป็นผู้ที่มีอารมณ์ด ี มองโลกในแง่ดี มีค าม นัก แน่นและเป็นคนมีเ ตุผล 5) กรรมการ ถานึก ามีลัก ณะนิ ัยชอบช่ ยเ ลือกิจกรรม ต่างๆ ของโรงเรียน 6) กรรมการ ถาน ึก า เป็นผู้ที่มีค ามรู้ค ามเข้าใจในบทบาท น้าที่ ของตนเอง 7) กรรมการ ถาน ึก าเป็น ผู้ที่มีค ามคิดริเริ่ม ร้าง รรค์ 8) กรรมการ ถาน ึก า ามารถท�างานร่ มกับผู้อื่นได้ด ี 9) กรรมการ ถาน ึ ก ามี ค ามรู ้ ค าม ามารถต่อ น้าที่ 10) กรรมการ ถานึก าอา ัยอยู่ในชุมชนที่ตั้งของ ถาน ึก า 11) กรรมการ ถาน ึก าเป็นผู้ที่มีคุณธรรม และค ามซื่ อ ั ต ย์ ุ จ ริ ต 12) กรรมการ ถาน ึก าเป็นผู้ที่มีลัก ณะค ามเป็นผู้น�า
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
1
รูปแบบการบริ าร ถาน ึก าแบบมี ่ นร่ มของคณะกรรมการ ถาน ึก าระดับการ ึก าขั้นพื้นฐาน
13) กรรมการ ถาน ึ ก าเป็ น ผู ้ ที่ มี ค าม ามารถในการตัด ินใจและแก้ปัญ าต่างๆ ได้ และ 14) กรรมการ ถาน ึก าเป็นผู้ที่มี มนุ ย ัมพันธ์ที่ดี องค์ประกอบที่ 2 การจัดการกระ บ นการมี ่ นร่ ม ประกอบด้ ย 20 ตั แปร มี ค ่ า น�้ า นั ก ตั แปรในองค์ ป ระกอบอยู ่ ระ ่าง .559-.673 ได้แก่ 1) มีการด�าเนิน งานตามมติที่ประชุม 2) โรงเรียนและคณะ กรรมการ ถาน ึ ก าร่ มกั น จั ด โครงการ/ กิ จ กรรมที่ อดคล้ อ งกั บ ค ามต้ อ งการ ของชุมชนและท้องถิ่น 3) มีกระบ นการ ตร จ อบผลการด� า เนิ น งานอย่ า งต่ อ เนื่ อ ง 4) ถาน ึ ก าและคณะกรรมการ ถาน ึ ก ามี ก าร างแผนการด� า เนิ น งาน ู ่ เ ป้ า มายที่ชัดเจน 5) กรรมการ ถาน ึก ามี อิ ระในการคิด การตัด ินใจและด�าเนินงาน ใน น้าที่ที่ตนรับผิดชอบ 6) มีการ ร้างแรง จู ง ใจในการด� า เนิ น งานของคณะกรรมการ ถาน ึก า 7) การมีการประ านงานที่ดี 8) โรงเรียนและคณะกรรมการ ถาน ึก า มีการก�า นดบทบาท ภารกิจและ น้าที่ของ คณะกรรมการ ถาน ึ ก าไ ้ อ ย่ า งชั ด เจน 9) โรงเรี ย นเปิดโอกา ใ ้คณะกรรมการมี ่ นดูแล ตดิ ตามงานของโรงเรียน 10) โรงเรียน และชุมชนมีการตั้งเป้า มายที่จะแก้ไขปัญ า
92
าร าร ิชาการ ิทยาลัยแ งธรรม
ร่ มกัน โดย ิเคราะ ์ปัญ าที่ ่งผลกระทบ ต่ อ การท� า งานจากนั้ น าแน ทางแก้ ไ ข 11) ข้ อ มู ล าร นเท ในโรงเรี ย นมี ค าม พร้อมที่จะน�ามาใช้ในการตัด ินใจ 12) มี การด�าเนินงานการพัฒนาคุณภาพการ ึก า อย่ า งเป็ น ขั้ น ตอน 13) ทุ ก คนตระ นั ก ในบทบาท น้าที่ของตนเอง 14) โรงเรียน และคณะกรรมการ ถาน ึก ามีการติดต่อ ื่อ ารกันอย่างเปิดเผยเกี่ย กับเป้า มายของ องค์กร 15) มีการจัดประชุมคณะกรรมการ ถาน ึก าอย่างต่อเนื่อง 16) มีการกระจาย อ� า นาจการบริ ารและการตั ด ิ น ใจใ ้ ผู ้ มี ่ นเกี่ย ข้องกับงานรับผิดชอบ 17) มีการ ประชา ัมพันธ์การด�าเนินงานอย่างต่อเนื่อง 18) มีการเปิดโอกา ใ ้ผู้มี ่ นเกี่ย ข้องได้มี ่ นร่ มในการปฏิบัติงาน 19) การเปิดโอกา ใ ้ทุกคนแ ดงค ามคิดเ ็นได้อย่างเต็มค าม ามารถ และ 20) ระบบการติดต่อ ื่อ าร ภายในโรงเรียนมีค ามคล่องตั เป็นไปโดย อิ ระทั้งในแน ดิ่งและแน ราบ องค์ประกอบที ่ 3 คุณลัก ณะของ ผู้บริ าร ประกอบด้ ย 14 ตั แปร มีค่า น�้ า นั ก ตั แปรในองค์ ป ระกอบอยู ่ ร ะ ่ า ง .599-.755 ได้แก่ 1) ผูบ้ ริ ารมีค ามเ ยี ละ 2) ผู ้ บ ริ ารมี จิ ต าธารณะ 3) ผู ้ บ ริ าร ประพฤติ ต นเป็ น แบบอย่ า ง 4) ผู ้ บ ริ าร
วรลักษณ์ จันทร์ผา และประเสริฐ อินทร์รักษ์
มีค ามคิด ร้าง รรค์ 5) ผู้บริ ารมีค าม เพี ย รพยายามเอาชนะอุ ป รรคต่ า งๆ ใน การปฏิ บั ติ ง าน 6) ผู ้ บ ริ ารมี ค ามรู ้ แ ละ ทั ก ะในการบริ ารและการปฏิ บั ติ ง าน 7) ผู้บริ ารมีมนุ ย ัมพันธ์ที่ดี 8) ผู้บริ าร มี ค าม รั ท ธาและยอมรั บ การท� า งานของ คณะกรรมการ ถาน ึ ก า 9) ผู ้ บ ริ าร มี ค ามตั้ ง ใจพั ฒ นาคุ ณ ภาพการ ึ ก า อย่างจริงจัง 10) ผู้บริ ารมีค ามเป็นผู้นา� 11) ผู้บริ ารมี ิ ัยทั น์ในการบริ ารและ เป็นผู้นา� แ ่งการเปลี่ยนแปลง 12) ผู้บริ าร เป็นนักประชาธิปไตยรับฟังค ามคิดเ ็นของ ผู้อื่น 13) ผู้บริ ารมีค ามซื่อ ัตย์ ุจริต และ 14) ผู้บริ ารใช้ทัก ะการแก้ไขค ามขัดแย้ง องค์ประกอบที่ 4 การ ร้างเครือข่าย การมี ่ นร่ ม ประกอบด้ ย 5 ตั แปร มีค่าน�า้ นักตั แปรในองค์ประกอบอยู่ระ ่าง .666.791 ได้แก่ 1) การ ่งเ ริมและ นับ นุน ใ ้ ค นในชุ ม ชนเข้ า ร่ มกิ จ กรรมต่ า งๆของ โรงเรียน 2) การใ ้ค าม า� คัญกับชุมชนในการ พัฒนาค ามรู้ ค ามเข้าใจด้านการ ึก าใ ้ ทัน มัยอยู่เ มอ 3) การ นับ นุนใ ้ชุมชน ได้รับการพัฒนาจากองค์กรต่างๆ เพื่อใ ้เป็น แ ล่ ง เรี ย นรู ้ ข องนั ก เรี ย นและคนในชุ ม ชน 4) มี ก าร ร้ า งเครื อ ข่ า ยด้ า นการ ึ ก า ระ ่ า งโรงเรี ย นกั บ ชุ ม ชนและมี กิ จ กรรม
ด�าเนินการร่ มกัน และ 5) การ ่งเ ริมและ นับ นุนใ ้คนในชุมชนเ ็นค าม �าคัญของ การมี ่ นร่ ม องค์ประกอบที ่ 5 การด�าเนินงาน ตามบทบาทของคณะกรรมการ ถาน ึก า ประกอบด้ ย 6 ตั แปร มีค่าน�า้ นักตั แปร ในองค์ประกอบอยู่ระ ่าง .594 - .714 ได้แก่ 1) คณะกรรมการ ถาน ึก าใ ้ค าม นใจ และใ ้ข้อเ นอแนะการพัฒนาคุณภาพการ ึก าของโรงเรียน 2) คณะกรรมการ ถาน ึก ารับรู้และใ ้ข้อเ นอแนะการด�าเนินงาน ของโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง 3) คณะกรรมการ ถาน ึ ก าเป็ น ผู ้ ที่ ะท้ อ นค ามต้ อ งการ ของชุมชนด้ ยการพัฒนาการเรียนการ อน 4) คณะกรรมการ ถาน ึ ก ามี ่ นรั บ รู ้ และใ ้ข้อเ นอแนะการติดตามผลการด�าเนิน งานและ รุ ป ผลงานประจ� า ปี ข องโรงเรี ย น 5) คณะกรรมการ ถาน ึก ามีการร่ มรับ รู้และใ ้ข้อเ นอแนะในการจัดการเรียนการ อนอย่าง ลาก ลาย และ 6) การใ ้ข้อเ นอ แนะและร่ มปฏิบัติในการพัฒนาอาคาร ถาน ที่และ ิ่งแ ดล้อมในโรงเรียน องค์ประกอบที ่ 6 คุณลัก ณะของครู ประกอบด้ ย 7 ตั แปร มีค่าน�า้ นักตั แปร ในองค์ประกอบอยู่ระ ่าง .550 - .712 ได้แก่ 1) ครูมีมนุ ย ัมพันธ์ด ี 2) ครูใน ถาน ึก ามี
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
93
รูปแบบการบริ าร ถาน ึก าแบบมี ่ นร่ มของคณะกรรมการ ถาน ึก าระดับการ ึก าขั้นพื้นฐาน
ค าม ามัคคี 3) ครูมีค ามเ ีย ละ อุทิ เ ลา และปฏิบัติงานตรงต่อเ ลา 4) ครูมีค ามตั้งใจ พัฒนาคุณภาพการ ึก าอย่างจริงจัง 5) ครูมี ค ามรู้ค าม ามารถ 6) ครูมีค ามประพฤติ ดี 7) ครูมีค ามเอาใจใ ่ต่อนักเรียนและการ เรียนการ อน องค์ประกอบที่ 7 การ นับ นุนจาก น่ ยงานต้น ังกัด ประกอบด้ ย 5 ตั แปร มี ค่าน�้า นักตั แปรในองค์ประกอบอยู่ระ ่าง .592-.748 ได้แก่ 1) รัฐบาลมีค ามตั้งใจและ ค าม ามารถที่ จ ะกระจายอ� า นาจในการ างแผนและการตัด ินใจไปยังท้องถิ่น 2) งบ ประมาณและการเงิน การคลัง อ�าน ยค าม ะด ก รือจูงใจใ ้เกิดกระบ นการท�างาน แบบมี ่ นร่ ม 3) เอก าร ิ่งพิมพ์ของรัฐ นับ นุนกระบ นการท�างานแบบมี ่ นร่ ม ขององค์กรและชุมชน 4) กฎระเบียบ รือค�า ั่งการบริ ารราชการไม่เป็นอุป รรคต่อการ ท�างานแบบมี ่ นร่ ม และ 5) น่ ยงาน องค์ ก รของรั ฐ มี ค ามพร้ อ มที่ จ ะผ มผ าน กิจกรรม และตอบ นองข้อเ นอของชุมชน องค์ประกอบที่ 8 ภาพแ ดล้อม ภายในและภายนอก ถาน ึก า ประกอบ ด้ ย 4 ตั แปร มีค่าน�า้ นักตั แปรในองค์ ประกอบอยู ่ ร ะ ่ า ง .604-.763 ได้ แ ก่ 1) กรรมการ ถาน ึ ก ามี เ ลาเพี ย งพอที่
าร าร ิชาการ ิทยาลัยแ งธรรม
จะเข้ามามี ่ นร่ มกิจกรรมของ ถาน ึก า 2) โรงเรียนมีการพัฒนาอาคาร ถานที่และ ิ่งแ ดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ 3) การมี ระบบการเมืองการปกครองท้องถิ่นที่เอื้อต่อ การ นับ นุนกิจกรรมของ ถาน ึก า และ 4) มีระบบการบริ ารการ ึก าที่เอื้อและ นับ นุนการเข้ามามี ่ นร่ มในการบริ าร จัดการ ึก า 1.2 ถาน ึก าที่มีคณะกรรมการ ถาน ึก าขั้นพื้นฐาน 15 คน ประกอบด้ ย 8 องค์ประกอบ 40 ตั แปร มีค่า ถิติ Chi- Square = 28945.847 (p < .01) แ ดง ่า ค่าแมกทริกซ์ ัมประ ิทธิ์ ัมพันธ์นี้แตก ต่างจากเมตริกซ์เอกลัก ณ์อย่างมีนัย �าคัญ ทาง ถิติที่ระดับ .01 อดคล้องกับค่า KMO (Kaiser-Meyer-Olkin Measure of Sampling Adequacy) ซึ่งเท่ากับ .843 แ ดง ่า มีจ�าน นข้อมูลเพียงพอ มีค ามเ มาะ ม ระดับค่อนข้างดี และจากองค์ประกอบที่มี ค่าไอเกนมากก ่า 1.00 มีค่าค ามแปรปร น ะ มเท่ากับร้อยละ 50.915 ซึ่งแต่ละองค์ ประกอบ ามารถจัดเรียงล�าดับตั แปรตาม ค่าน�้า นักองค์ประกอบ (factor loading) ดังนี้ องค์ประกอบที ่ 1 คุณลัก ณะของ ผู้บริ าร ประกอบด้ ย 14 ตั แปร มีค่าน�า้
วรลักษณ์ จันทร์ผา และประเสริฐ อินทร์รักษ์
นักตั แปรในองค์ประกอบอยู่ระ ่าง .580 - .818 ได้แก่ 1) ผู้บริ ารมีจิต าธารณะ 2) ผู้ บริ ารมีค ามตั้งใจพัฒนาคุณภาพการ ึก า อย่างจริงจัง 3) ผู้บริ ารมีมนุ ย ัมพันธ์ที่ดี 4) ผู้บริ ารมีค ามรู้และทัก ะในการบริ าร และการปฏิบัติงาน 5) ผู้บริ ารมีค ามเพียร พยายามเอาชนะอุป รรคต่างๆ ในการปฏิบัติ งาน 6) ผู้บริ ารมีค าม รัทธาและยอมรับ การท� า งานของคณะกรรมการ ถาน ึ ก า 7) ผู้บริ ารมีค ามเป็นผู้นา� 8) ผู้บริ ารมี ค ามเ ีย ละ 9) ผู้บริ ารประพฤติตนเป็น แบบอย่าง 10) ผู้บริ ารใช้ทัก ะการแก้ไข ค ามขัดแย้ง 11) ผู้บริ ารมีค ามซื่อ ัตย์ ุจริต 12) ผู้บริ ารเป็นนักประชาธิปไตย รับฟังค ามคิดเ ็นของผู้อื่น 13) ผู้บริ ารมี ิ ัยทั น์ในการบริ ารและเป็นผู้น�าแ ่งการ เปลี่ยนแปลง และ 14) ผู้บริ ารมีค ามคิด ร้าง รรค์ องค์ประกอบที่ 2 คุณลัก ณะของ กรรมการ ถาน ึก า ประกอบด้ ย 5 ตั แปร มี ค ่ า น�้ า นั ก ตั แปรในองค์ ป ระกอบอยู ่ ระ ่าง .553-.757 ได้แก่ 1) กรรมการ ถาน ึก ามีทั นคติที่ดีต่อการจัดการ ึก า 2) กรรมการ ถาน ึ ก าเป็ น ผู ้ ที่ มี ค าม นใจและมีค ามรู้ค ามเข้าใจเกี่ย กับการ พัฒนาการ ึก า 3) กรรมการ ถาน ึก า
เป็นผู้ที่มีอารมณ์ด ี มองโลกในแง่ดี มีค าม นักแน่นและเป็นคนมีเ ตุผล 4) กรรมการ ถาน ึ ก าเป็ น ผู ้ ที่ มี ค าม ามารถในการ ตัด ินใจและแก้ปัญ าต่างๆ ได้ และ 5) กรรมการ ถาน ึก าเป็นผู้ที่มีค ามประพฤติดีทั้ง ด้านกาย าจา ใจและเป็นตั อย่างใ ้แก่ ังคม ได้ องค์ประกอบที ่ 3 การด�าเนินงาน ตามบทบาทของคณะกรรมการ ถาน ึก า ประกอบด้ ย 6 ตั แปร มีค่าน�า้ นักตั แปร ในองค์ประกอบอยู่ระ ่าง .557-.822 ได้แก่ 1) คณะกรรมการ ถาน ึก าเป็นผู้ที่ ะท้อน ค ามต้องการของชุมชนด้ ยการพัฒนาการ เรียนการ อน 2) คณะกรรมการ ถาน ึก า มี ่ นรั บ รู ้ แ ละใ ้ ข ้ อ เ นอแนะการติ ด ตาม ผลการด�าเนินงานและ รุปผลงานประจ�าปี ของโรงเรียน 3) คณะกรรมการ ถาน ึก า ใ ้ค าม นใจและใ ้ข้อเ นอแนะการพัฒนา คุณภาพการ ึก าของโรงเรียน 4) คณะ กรรมการ ถาน ึ ก ารั บ รู ้ แ ละใ ้ ข ้ อ เ นอ แนะการด�าเนินงานของโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง 5) การใ ้ ข ้ อ เ นอแนะและร่ มปฏิ บั ติ ใ น การพัฒนาอาคาร ถานที่และ ิ่งแ ดล้อมใน โรงเรียน และ 6) กรรมการ ถาน ึก ามี ่ น ร่ มพิจารณาค ามต้องการของโรงเรียน องค์ประกอบที ่ 4 ค าม ัมพันธ์
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
95
รูปแบบการบริ าร ถาน ึก าแบบมี ่ นร่ มของคณะกรรมการ ถาน ึก าระดับการ ึก าขั้นพื้นฐาน
ระ ่างโรงเรียนและชุมชน ประกอบด้ ย 3 ตั แปร มีค่าน�้า นักตั แปรในองค์ประกอบ อยู่ระ ่าง .572-.715 ได้แก่ 1) ชุมชนกับ ถาน ึก ามีค าม ัมพันธ์อันดี 2) คณะ กรรมการ ถาน ึก าเป็น ิ ย์เก่าของ ถาน ึก า และ 3) การมีค ามผูกพันและรู้ ึกเป็น เจ้าของ ถาน ึก า องค์ประกอบที่ 5 การ นับ นุนจาก น่ ยงานต้น ังกัด ประกอบด้ ย 4 ตั แปร มี ค่าน�้า นักตั แปรในองค์ประกอบอยู่ระ ่าง .632-.701 ได้แก่ 1) งบประมาณและการเงิน การคลัง อ�าน ยค าม ะด ก รือจูงใจใ ้เกิด กระบ นการท�างานแบบมี ่ นร่ ม 2) น่ ย งานองค์ ก รของรั ฐ มี ค ามพร้ อ มที่ จ ะผ ม ผ านกิ จ กรรมและตอบ นองข้ อ เ นอของ ชุ ม ชน 3) รั ฐ บาลมี ค ามตั้ ง ใจและค าม ามารถที่จะกระจายอ�านาจในการ างแผน และการตัด ินใจไปยังท้องถิ่น และ 4) กฎ ระเบียบ รือค�า ั่งการบริ ารราชการไม่เป็น อุป รรคต่อการท�างานแบบมี ่ นร่ ม องค์ประกอบที่ 6 ค ามพึงพอใจของ คณะกรรมการ ถาน ึ ก าและผลงานของ ถาน ึก า ประกอบด้ ย 4 ตั แปร มีค่าน�า้ นักตั แปรในองค์ประกอบอยู่ระ ่าง .554.751 ได้แก่ 1) โรงเรียน ่งเ ริม นับ นุนใ ้ เด็กในชุมชนได้รับการ ึก าและจบการ ึก า
96
าร าร ิชาการ ิทยาลัยแ งธรรม
ภาคบังคับ 2) ถาน ึก ามีชื่อเ ียงเป็นที่ ยอมรับของชุมชน 3) กรรมการ ถาน ึก ามี ค ามรู้ ึกที่ดีที่ได้รับเกียรติและมีค ามภาคภู มิ ใจที่ ไ ด้ รั บ แต่ ง ตั้ ง ใ ้ เ ป็ น คณะกรรมการ ถาน กึ า และ 4) การบริ ารงานการเงิน ของ ถาน ึ ก ามี ค ามโปร่ ง ใ และตร จ อบได้ องค์ประกอบที ่ 7 การ ร้างเครือข่าย การมี ่ นร่ ม ประกอบด้ ย 4 ตั แปร มีค่า น�้ า นั ก ตั แปรในองค์ ป ระกอบอยู ่ ร ะ ่ า ง .552-.661 ได้แก่ 1) การ นับ นุนใ ้ชุมชน ได้รับการพัฒนาจากองค์กรต่างๆ เพื่อใ ้เป็น แ ล่ ง เรี ย นรู ้ ข องนั ก เรี ย นและคนในชุ ม ชน 2) การ ่งเ ริมและ นับ นุนใ ้คนในชุมชน เข้าร่ มกิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียน 3) การ ใ ้ค าม �าคัญกับชุมชนในการพัฒนาค ามรู้ ค ามเข้าใจด้านการ ึก าใ ้ทัน มัยอยู่เ มอ และ 4) มีการ ร้างเครือข่ายด้านการ ึก า ระ ่ า งโรงเรี ย นกั บ ชุ ม ชนและมี กิ จ กรรม ด�าเนินการร่ มกัน องค์ประกอบที ่ 8 คุณลัก ณะของครู ประกอบด้ ย 5 ตั แปร มีค่าน�า้ นักตั แปร ในองค์ประกอบอยู่ระ ่าง .590-.694 ได้แก่ 1) ครูมีค ามประพฤติดี 2) ครูมีค ามเอาใจ ใ ่ต่อนักเรียนและการเรียนการ อน 3) ครูมี มนุ ย ัมพันธ์ด ี 4) ครูมีค ามเ ีย ละ อุทิ
วรลักษณ์ จันทร์ผา และประเสริฐ อินทร์รักษ์
เ ลาและปฏิบัติงานตรงต่อเ ลา และ 5) ครู ใน ถาน ึก ามีค าม ามัคคี 2 รปแบบการบริ ารส าน กษาแบบมี สวนรวม อ คณะกรรมการส าน กษา
0.29
FACTOR1
0.15 0.15 0.24 0.19 0.18
FACTOR3
0.19 0.11 0.27 0.14 0.13
FACTOR6
0.16 0.36
FACTOR7
0.22 0.36
FACTOR8
0.26 0.37 0.29 0.11 0.28 0.45 0.18 0.14 0.07 0.07 0.17
2.1 รูปแบบการบริ าร ถาน ึก า แบบมี ่ นร่ มของคณะกรรมการ ถานึก าของ ถาน ึก าที่มีคณะกรรมการ 9 คน ประกอบด้ ย 8 องค์ประกอบที่มีค าม ัมพันธ์ กัน ดังแผนภูมิที่ 2
FACTOR2 0.14
FACTOR4 0.33
FACTOR5
0.08
FACTOR1 = คุณลัก ณะของคณะกรรมการฯ FACTOR2 = การจัดการกระบ นการมี ่ นร่ ม FACTOR3 = คุณลัก ณะของผู้บริ าร FACTOR4 = การ ร้างเครือข่ายการมี ่ นร่ ม FACTOR5 = การด�าเนินงานตามบทบาทของ 0.17 คณะกรรมการ ถาน ึก า FACTOR6 = คุณลัก ณะของครู FACTOR7 = การ นับ นุนจาก น่ ยงาน ต้น ังกัด FACTOR8 = ภาพแ ดล้อมภายในและ ภายนอก ถาน ึก า
0.14
แผน มิที่ 2 แ ดงรูปแบบการบริ าร ถาน ึก าแบบมี ่ นร่ มของคณะกรรมการ ถาน ึก า ระดับการ ึก าขั้นพื้นฐาน ที่มีคณะกรรมการ ถาน ึก า 9 คน จากแผนภูมิที่ 2 พบ ่า รูปแบบการ บริ าร ถาน ึก าแบบมี ่ นร่ มของคณะ กรรมการ ถาน ึ ก า ที่ มี ค ณะกรรมการ ถาน ึก า 9 คน เป็นค าม ัมพันธ์ของพ ุองค์ประกอบ
2.2 รูปแบบการบริ าร ถาน ึก า แบบมี ่ นร่ มของคณะกรรมการ ถาน ึก า ของ ถาน ึก าที่มีคณะกรรมการ 15 คน ประกอบด้ ย 8 องค์ประกอบที่มีค าม ัมพันธ์กัน ดังแผนภูมิที่ 3
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
97
รูปแบบการบริ าร ถาน ึก าแบบมี ่ นร่ มของคณะกรรมการ ถาน ึก าระดับการ ึก าขั้นพื้นฐาน
0.20
FACTOR1
0.12 0.13 0.28 0.14 0.13
FACTOR2
0.06 0.26 0.25
0.14 0.10 0.32 0.10 0.08
FACTOR5
0.29 0.29
0.15 0.22
FACTOR6
0.19 0.32 0.18
0.10 0.23
FACTOR8
FACTOR1 = คุณลัก ณะของผู้บริ าร ณลัก ณะของกรรมการ FACTOR3 0.13 FACTOR2 = คุ ถาน ึก า 0.34 FACTOR3 = การด�าเนินงานตามบทบาท ของคณะกรรมการ ถาน0.13 ึก า FACTOR4 = ค าม ัมพันธ์ระ ่างโรงเรียน FACTOR4 0.21 ชุมชน FACTOR5 = การ นับ นุนจาก น่ ยงาน ต้น ังกัด 0.19 FACTOR6 = ค ามพึงพอใจของคณะ กรรมการและผลงานของ ถาน ึก า FACTOR7 0.16 FACTOR7 = การ ร้างเครือข่ายการมี ่ น ร่ ม FACTOR8 = คุณลัก ณะของครู
แ น ูมิที แ ดงรูปแบบการบริ าร ถาน ึก าแบบมี ่ นร่ มของคณะกรรมการ ถาน ึก า ระดับการ ึก าขั้นพื้นฐาน ที่มีคณะกรรมการ ถาน ึก า 15 คน จากแผนภูมิที่ 3 พบ ่า รูปแบบการ บริ าร ถาน ึก าแบบมี ่ นร่ มของคณะ กรรมการ ถาน ึก าที่มีคณะกรรมการ ถาน ึก า 15 คน เป็นค าม ัมพันธ์ของพ ุองค์ ประกอบ รู ป แบบการบริ าร ถาน ึ ก าแบบ มี ่ นร่ มของคณะกรรมการ ถาน ึก า ระดับการ ึก าขั้นพื้นฐาน มีค ามเ มาะ ม มีค ามเป็นไปได้ มีค ามเป็นประโยชน์ และมี ค ามถูกต้องครอบคลุม
98
าร าร ิชาการ ิทยาลัยแ งธรรม
อ ิปราย ล ผลที่ได้จากการ ิจัย พบ ่า องค์ประ กอบการบริ าร ถาน ึก าแบบมี ่ นร่ ม ของคณะกรรมการ ถาน ึ ก าระดั บ การ ึ ก าขั้ น พื้ น ฐานของ ถาน ึ ก าที่ มี ค ณะ กรรมการ ถาน ึก าขั้นพื้นฐาน 9 คน ประกอบด้ ย 8 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) คุณลัก ณะของกรรมการ ถาน ึก า 2) การ จัดการกระบ นการมี ่ นร่ ม 3) คุณลัก ณะ ของผูบ้ ริ าร 4) การ ร้างเครือข่ายการมี ่ น ร่ ม 5) การด� า เนิ น งานตามบทบาทของ
วรลักษณ์ จันทร์ผา และประเสริฐ อินทร์รักษ์
คณะกรรมการ ถาน ึก า 6) คุณลัก ณะ ของครู 7) การ นับ นุนจาก น่ ยงานต้น ั ง กั ด 8) ภาพแ ดล้ อ มภายในและ ภายนอก ถาน ึ ก า องค์ ป ระกอบการ บริ าร ถาน ึก าแบบมี ่ นร่ มของคณะ กรรมการ ถาน ึก า ระดับการ ึก าขั้นพื้น ฐาน ของ ถาน ึก าที่มีคณะกรรมการ ถานึก าขั้นพื้นฐาน 15 คน ประกอบด้ ย 8 องค์ ประกอบ ได้แก่ 1) คุณลัก ณะของผู้บริ าร 2) คุ ณ ลั ก ณะของกรรมการ ถาน ึ ก า 3) การด� า เนิ น งานตามบทบาทของคณะ กรรมการ ถาน ึ ก า 4) ค าม ั ม พั น ธ์ ระ ่างโรงเรียนและชุมชน 5) การ นับ นุน จาก น่ ยงานต้น ังกัด 6) ค ามพึงพอใจ ของคณะกรรมการและผลงานของ ถานึก า 7) การ ร้างเครือข่ายการมี ่ นร่ ม 8) คุณลัก ณะของครู องค์ประกอบการ บริ าร ถาน ึก าแบบมี ่ นร่ มของคณะ กรรมการ ถาน ึก า ระดับการ ึก าขั้น พื้นฐาน ของ ถาน ึก าที่มีคณะกรรมการ ถาน ึก าทั้ง องกลุ่มที่เ มือนกันมี 6 องค์ ประกอบ ได้แก่ 1) คุณลัก ณะของกรรมการ ถาน ึก า 2) คุณลัก ณะของผู้บริ าร 3) การ ร้างเครือข่ายการมี ่ นร่ ม 4) การ ด� า เนิ น งานตามบทบาทของคณะกรรมการ ถาน ึก า 5) คุณลัก ณะของครู 6) การ
นับ นุนจาก น่ ยงานต้น ังกัด ทั้งนี้เพราะ ในการบริ าร ถาน ึ ก าแบบมี ่ นร่ ม ของคณะกรรมการ ถาน ึ ก า ใน ถานึก าที่มีคณะกรรมการ ถาน ึก าทั้ง อง กลุ่มต้องอา ัยการระดมค ามคิด ค ามร่ ม มื อ ร่ มใจของบุ ค คลในชุ ม ชนในรู ป แบบ ของคณะกรรมการ ถาน ึก าเข้ามามี ่ น ในการพั ฒ นาคุ ณ ภาพการ ึ ก า ซึ่ ง บุ ค คล ที่เกี่ย ข้องทุกฝ่าย เช่น ผู้บริ าร ครู คณะ กรรมการ ถาน ึ ก าล้ นมี ค าม � า คั ญ ใน การขับเคลื่อนคุณภาพการ ึก าทั้ง ิ้น ดังที่ �านักงานคณะกรรมการการ ึก าขั้นพื้นฐาน (2547) ได้กล่า ถึงคณะกรรมการ ถาน ึก า ขั้นพื้นฐาน ่า เป็นองค์คณะบุคคลที่ทา� งาน ร่ มกันกับ ถาน ึก าเพื่อใ ้ ถาน ึก ามี ค ามเข้มแข็ง ามารถบริ ารจัดการด้ ย ตนเองได้ตามกรอบที่กฎ มายก�า นด ดังนั้น ค าม ลาก ลายของบุ ค คลที่ เข้ า ร่ มเป็ น คณะกรรมการจึ ง ต้ อ งเอื้ อ ต่ อ การพั ฒ นา คุณภาพการ ึก า ที่ต้องอา ัยค ามรู้ ค าม ามารถและประ บการณ์ ใ นด้ า นต่ า งๆ บุ ค คลที่ ไ ด้ รั บ การคั ด เลื อ กเข้ า เป็ น คณะ กรรมการ ถาน ึ ก าขั้ น พื้ น ฐานจึ ง มี ค าม �าคัญต่อการจัดการ ึก าเรนซิ ไลเคิร์ท (Rensis Likert, 1967) ได้เ นอทฤ ฎีการ บริ ารซึ่งมีลัก ณะแตกต่างกัน 4 รูปแบบ
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
99
รูปแบบการบริ าร ถาน ึก าแบบมี ่ นร่ มของคณะกรรมการ ถาน ึก าระดับการ ึก าขั้นพื้นฐาน
และเรียก ่าการบริ าร 4 ระบบ (System 4) ซึ่งระบบที่เกี่ย ข้องกับการมี ่ นร่ ม ระบบ ที่ 4 : กลุ่มที่มี ่ นร่ ม (System 4 : participative group) ระบบการบริ ารแบบนี ้ ผู้บริ ารมีค ามเชื่อมั่นและไ ้ างใจในตั ผู้ ร่ มงานมาก มีการกระจายการตัด ินใจ ั่ง การไปทั้งองค์การ การติดต่อ ื่อ าร นอกจาก จะเป็น 2 ทางแล้ ยังมีการติดต่อ ื่อ าร ระ ่างเพื่อนร่ มงานด้ ย การจูงใจมักอยู่ ที่เป้า มายและการพัฒนาองค์การ ค าม ัมพันธ์ ่ นตั เป็นไปอย่างฉันท์มิตร ระ ่าง ผู้บริ ารและผู้ร่ มงาน โดยทุกฝ่ายต่างมุ่งที่ จะ นับ นุนค ามพยายามที่จะใ ้เป้า มาย ขององค์การ ัมฤทธิ์ผลตามที่ างไ ้ ่ นองค์ ประกอบที่แตกต่างกัน ได้แก่ การจัดการ กระบ นการมี ่ นร่ ม ภาพแ ดล้ อ ม ภายในและภายนอก ถาน ึ ก า ค าม ัมพันธ์ระ ่างโรงเรียนและชุมชน ค าม พึงพอใจของคณะกรรมการและผลงานของ ถาน ึก า ทั้งนี้ที่องค์ประกอบแตกต่างกัน อาจเกิดจากใน ถาน ึก าที่มีคณะกรรมการ ถาน ึก า 15 คน ซึ่งเป็น ถาน ึก าที่มี นักเรียน 301 คนขึ้นไป ระบบการบริ าร งานต่างๆ ภาพแ ดล้อม อาคาร ถาน ที่ ต ่ า งๆ ่ นใ ญ่ มี ค ามพร้ อ มมากก ่ า โรงเรียนที่มีนักเรียน 300 คนลงมา ท�าใ ้ ผู้ใ ้
าร าร ิชาการ ิทยาลัยแ งธรรม
ข้อมูลมองไปที่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เกี่ย ข้อง เช่น ค ามพึงพอใจของคณะกรรมการ ถานึก าและผลงานของ ถาน ึก า ซึ่ง อด คล้องกับชูชาติ พ่ ง มจิตร์ (2541) ได้ท�า การ ิเคราะ ์ปัจจัยที่ ่งเ ริมและปัจจัยที่เป็น อุป รรคต่อการมี ่ นร่ มของชุมชนกับโรง เรียนประถม ึก าในเขตปริมณฑล พบ ่า ปัจจัยที่เกี่ย กับ ภาพแ ดล้อม คือ โครง ร้าง ทางเ ร ฐกิ จ แบบอุ ต า กรรมจะช่ ยใ ้ ชุมชนมีค ามพร้อมในการ นับ นุนโรงเรียน ด้านการเงินเพราะเป็นย่านอุต า กรรมย่อม ท�าใ ้เกิด ภา ะเ ร ฐกิจดีก ่า แต่ทั้งนี้รูป แบบการบริ าร ถาน ึก าแบบมี ่ นร่ ม ของคณะกรรมการ ถาน ึก า ระดับการ ึ ก าขั้ น พื้ น ฐานของคณะกรรมการ ถานึก า ทั้ง 2 รูปแบบ คือ 9 คนและ 15 คน คงเป็นพ ุองค์ประกอบที่มีค าม ัมพันธ์กัน ตาม มมติฐานการ ิจัย ทั้งนี้เพราะในการ บริ าร ถาน ึก าแบบมี ่ นร่ มของคณะ กรรมการ ถาน ึก า จะมีประ ิทธิภาพได้นั้น ต้องอา ัยทั้งตั บุคคล ได้แก่ กรรมการ ถานึก า ผู้บริ ารและครู การ นับ นุนจาก น่ ยงานต้น ังกัดและปัจจัยต่างๆ ดังที่แอนโทนี (Antony, 1978) กล่า ่า การบริ าร แบบมี ่ นร่ มเป็นกระบ นการที่ผู้ใต้บังคับ บัญชาที่มี ่ นเกี่ย ข้องเข้ามามี ่ นร่ มใน
วรลักษณ์ จันทร์ผา และประเสริฐ อินทร์รักษ์
กระบ นการการตัด ินใจโดยเน้นใ ้ผู้มี ่ น เกี่ย ข้องได้ใช้ค ามเชี่ย ชาญและค ามคิด ร้าง รรค์มาช่ ยแก้ปัญ าทางการบริ าร โดยผู้บริ ารยอมแบ่งอ�านาจการตัด ินใจใ ้ ผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งมีองค์ประกอบ า� คัญใน การบริ ารแบบมี ่ นร่ ม 3 ประการ ดังนี้ ผู้ใต้บังคับบัญชามี ่ นในการตัด ินใจ ในเรื่อง �าคัญ และมีการแบ่งอ�านาจใ ้แก่ผู้ใต้บังคับ บัญชาซึ่งโคเฮนและอัฟชอฟฟ์ (Cohen and Uphoff, 1980) ได้แบ่งขั้นตอนการมี ่ น ร่ มออกเป็น 4 ขั้นตอน คือ 1) การมี ่ น ร่ มในการตัด ินใจ ประการแรกที่ ุดที่จะ ต้องกระท�า คือ การก�า นดค ามต้องการ และการจั ด ล� า ดั บ ค าม � า คั ญ ต่ อ จากนั้ น ก็เลือกนโยบาย และประชากรที่เกี่ย ข้อง การตัด ินใจในช่ งเริ่มต้น การตัด ินใจช่ ง ด�าเนินการ างแผนและการตัด ินใจในช่ ง การปฏิบัติตามแผนที่ างไ ้ 2) การมี ่ นร่ ม ในการปฏิบัติ ประกอบด้ ยการ นับ นุนด้าน ทรัพยากร การบริ าร และการประ านค าม ร่ มมือ ใน ่ นที่เป็นองค์ประกอบของการ ด�าเนินงานโครงการนั้นจะได้ค�าถามที่ ่า ใคร จะท�าประโยชน์ใ ้แก่โครงการได้บ้าง และจะ ท�าประโยชน์ได้โดย ิธีใด เช่น การช่ ยเ ลือ ด้านทรัพยากร การบริ ารงานและประ าน งาน และการขอค ามช่ ยเ ลื อ เป็ น ต้ น
3) การมี ่ นร่ มในผลประโยชน์ ใน ่ น ที่ เ กี่ ย กั บ ผลประโยชน์ ใ นเชิ ง ปริ ม าณและ เชิงคุณภาพแล้ ยังจะต้องพิจารณาถึงการกระ จายผลประโยชน์ภายในกลุ่มด้ ย ผลประ โยชน์ของโครงการนี้ ร มทั้งผลประโยชน์ใน ทางบ ก และผลที่เกิดขึ้นในทางลบที่เป็นผล เ ียของโครงการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์และเป็น โท ต่อบุคคลและ ังคมด้ ย 4) การมี ่ น ร่ มในการประเมินผลการมี ่ นร่ มในการ ประเมินผลนั้น ิ่ง �าคัญที่จะต้อง ังเกตก็คือ ค ามเ ็น ค ามชอบ และค ามคาด ัง ซึ่ง จะมี อิ ท ธิ พ ล ามารถแปรเปลี่ ย นพฤติ ก รรม ของบุคคลในกลุ่มต่างๆ ได้ซึ่ง อดคล้องกับ ระบบกลุ่มที่มี ่ นร่ ม อดคล้องกับงาน ิจัย ของชัญญา อภิปาลกุล (2545) ที่ท�าการ ิจัย พบ ่า ปัจจัยที่ ่งผลต่อการมี ่ นร่ มของ คณะกรรมการ ถาน ึ ก าขั้ น พื้ น ฐานใน การบริ ารและการจั ด การ ึ ก า ได้ แ ก่ คุณลัก ณะของผู้บริ าร ถาน ึก า พฤติกรรมของครูผู้ อน ผลงานของ ถาน ึก า คุณลัก ณะของคณะกรรมการ ถาน ึก า ค าม ัมพันธ์ระ ่างชุมชนกับ ถาน ึก า อเสนอแนะเ ่อการวิจั ครั อ ป 1. ค ร ึ ก าการบริ าร ถานึ ก าแบบมี ่ นร่ มของคณะกรรมการ
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
101
รูปแบบการบริ าร ถาน ึก าแบบมี ่ นร่ มของคณะกรรมการ ถาน ึก าระดับการ ึก าขั้นพื้นฐาน
ถาน ึก าแต่ละ งค์ประก บทั้งเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ 2. ค ร ึก าเปรียบเทียบรูปแบบ การบริ าร ถาน ึก าแบบมี ่ นร่ มข ง คณะกรรมการ ถาน ึก าข ง ถาน ึก า ที่มีคณะกรรมการ ถาน ึก า 9 คนและ 15 คน ที่มีขนาดกลุ่มตั ย่างใกล้เคียงกัน 3. ค ร ึก าเปรียบเทียบรูปแบบ การบริ าร ถาน ึก าแบบมี ่ นร่ มข ง คณะกรรมการ ถาน ึก าขั้นพื้นฐานใน ังกัด ต่างๆ เช่น ังกัด �านักงานคณะกรรมการ การ ึก าขั้นพื้นฐาน ังกัดการ ึก าเ กชน ังกัดกรุงเทพม านคร เป็นต้น บรรณานกรม ชัญญา ภิปาลกุล. 2545. รูปแบบการ พั นาการมี ่ นร่ มของคณะ กรรมการ ถาน ึก าขั้นพื้นฐาน นการบริ ารและการ ัดการ ึก า าย ครง รางการกระ าย อานา การบริ าร กรณี ึก า ของ านักงานการประถม ึก า ัง ัดขอนแก่น ิทยานิพนธ์ ิลป า ตรดุ ฎีบัณฑิต แขนง ิชา พัฒน า ตร์ บัณฑิต ิทยาลัย ม า ิทยาลัยข นแก่น.
าร าร ิชาการ ิทยาลัยแ งธรรม
ชูชาติ พ่ ง มจิตร์. 2541. การ ิ คราะ ป ัยที ่ง ริมและป ัยที ปน อป รรค ่อการมี ่ นร่ มของ ชมชนกับ รง รียนประถม ึก า น ข ปริมณ ลกรง ทพม านคร ิทยานิพนธ์ปริญญาครุ า ตร ดุ ฎีบัณฑิต าขาบริ ารการ ึก า บัณฑิต ิทยาลัย จุ าลงกรณ์ ม า ิทยาลัย. า� นักงานคณะกรรมการการ ึก าขั้นพื้น ฐาน. 2547. คู่มือการป ิบั ิงาน คณะกรรมการ ถาน ึก าขั้นพื้น ฐาน กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์การ า นา. ุทัย บุญประเ ริฐ. 2546. ลักการบริ าร แบบ ช รง รียน ปนฐาน เ ก าร การน�าเ น การประชุมเชิงปฏิบัติ การ เรื่ ง การก�า นดภารกิจ โครง ร้างและ ัตราก�าลังข ง ถาน ึก า. ันที ่ 17-19 กรกฎาคม 2546 ณ Ever Green Hill Resort กาญจนบุรี.
วรลักษณ์ จันทร์ผา และประเสริฐ อินทร์รักษ์
Cohen, J. and Uphoff, D. 1980. -
New York : Cornell University.
Krejcie, R.V., and P.W. Morgan. 1970. New York : Harper & Row. Likert, Rensis. 1967. New York : Mcgraw-Hill Book.
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
10
สภาพและปัญของคริ หาการใช้สื่อและเทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมความศรัทธา สตชนคาทอลิกในประเทศไทย The StatePromoting and Problems of Media and Technology Usage for the Faith of Catholics in Thailand. พิเชษฐ รุ้งลาวัลย์
* รองผู้อำ�นวยก�รศูนย์วิจัยค้นคว้�ศ�สน�และวัฒนธรรม วิทย�ลัยแสงธรรม
บาทหลวงธรรมรัตน์ เรือนงาม
* บ�ทหลวงในคริสต์ศ�สนจักรโรมันค�ทอลิก สังกัดสังฆมณฑลจันทบุรี * อ�จ�รย์ประจำ�คณะมนุษยศ�สตร์ วิทย�ลัยแสงธรรม
บาทหลวงเจริญ ว่องประชานุกูล
* บ�ทหลวงในคริสต์ศ�สนจักรโรมันค�ทอลิก สังกัดสังฆมณฑลร�ชบุรี * คณบดีคณะศ�สนศ�สตร์ วิทย�ลัยแสงธรรม
สุดหทัย นิยมธรรม
* อ�จ�รย์ประจำ� วิทย�ลัยแสงธรรม
Pichet Runglawan
* Deputy Director of Religious and Cultural Research Centre, Saengtham College.
Rev.Thamarat Ruanngam
* Reverend in Roman Catholic Church, Chanthaburi Diocese. * Vice President for Student Affairs, Saengtham College.
Rev.Charoen Vongprachanukul
* Reverend in Roman Catholic Church, Ratchaburi Diocese. * Dean, Faculty of Religious, Saengtham College.
Sudhathai Niyomtham
* Lacturer at Saengtham College.
พิเช ฐ รุ้งลาวัลย์ ธรรมรัตน์ เรือนงาม เจริญ ว่องประชานุกูล และ ุด ทัย นิยมธรรม
บทคัดย่อ
การ ิจัยเรื่อง ภาพและปัญ าการใช้ ื่อและเทคโนโลยีเพื่อ ่ง เ ริมค าม รัทธาของคริ ตชนคาทอลิกในประเท ไทย มี ัตถุประ งค์ เพื่อ 1) ึก าพฤติกรรมการเปิดรับ ื่อชนิดต่างๆ 2) ึก าค ามพึง พอใจต่อ ื่อชนิดต่างๆ และ 3) ึก าปัญ าในการใช้ ื่อชนิดต่างๆ โดยทำาการ ึก าข้อมูลจากกลุ่มตั อย่างที่เป็นคริ ตชนคาทอลิกใน ประเท ไทย ทั้ง 10 ังฆมณฑล ผลการ ิจัยพบ ่า 1. พฤติกรรมการเปิดรับ ื่อ พบ ่า 1) บาท ล งเป็น ื่อบุคคล ที่คริ ตชนคาทอลิกเ ็น ่ามี ่ นต่อค ามเชื่อค าม รัทธามากก ่า ื่อ ชนิดอื่นๆ 2) อุดม ารราย ัปดา ์เป็น ื่อ ิ่งพิมพ์ที่คริ ตชนคาทอลิก เปิดรับมากที่ ุด มากก ่าอุดม านต์รายเดือน าร ัด นัง ือ รัทธา ทั่ ไป และมากก ่า ื่อชนิดอื่นๆ อย่างไรก็ตามกลุ่มตั อย่างเ ็น ่า ื่อ ิ่งพิมพ์ที่มีผลต่อค ามเชื่อค าม รัทธามากที่ ุดคือ นัง ือ รัทธา ทั่ ไป โดยประเภทของ นัง ือ รัทธาที่ได้รับค ามนิยมมากที่ ุดคือ ประ ัตินักบุญ 3) ื่อโทรทั น์ทั้งรายการแ งธรรม และรายการ พระเจ้า ถิตกับเรานั้นถึงแม้จะมีกลุ่มตั อย่างคริ ตชนคาทอลิกเข้าถึง ื่อชนิดนี้น้อยก ่าครึ่งก็ตาม ากแต่เมื่อถามถึงผลต่อค ามเชื่อค าม รัทธากลุ่มตั อย่างที่เข้าถึง ื่อเ ล่านี้ ่ นใ ญ่เ ็น ่ามีผลต่อค ามเชื่อ ค าม รัทธาในระดับมาก และ 4) ื่ออื่นๆ ประกอบด้ ย ภาพยนตร์ า นา ซีดีเพลง า นา และ ื่ออินเตอร์เน็ต พบ ่า ื่อซีดีเพลง า นา ได้รับการเข้าถึงมากที่ ุด รองลงมาคือภาพยนตร์ า นา และ ื่อ อินเตอร์เน็ต โดยเ ็บไซต์ที่กลุ่มตั อย่างนิยมเข้าไป าข้อมูลด้าน า นา มากที่ ุดคือ เ ็บไซต์ของ ังฆมณฑลต่างๆ 2. ภาพค ามพึ ง พอใจของคริ ตชนคาทอลิ ก ด้ า นค าม ะด กในการเข้าถึง ื่อชนิดต่างๆ โดยภาพร มอยู่ในระดับปานกลาง ทั้งนี้พบ ่า คริ ตชนคาทอลิก ามารถเข้าถึง ื่อบุคคล “บาท ล ง” และ ื่ออินเตอร์เน็ตได้ ะด กร ดเร็ ที่ ุด และ ภาพค ามพึงพอใจ ของคริ ตชนคาทอลิกด้านคุณภาพและค ามเ มาะ มของ ื่อชนิด
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
105
ภาพและปัญ าการใช้ ื่อและเทคโนโลยีเพื่อ ่งเ ริมความศรัทธาของคริ ตชนคาทอลิกในประเทศไทย
ต่างๆ โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ทั้งนี้พบว่า คริ ตชนคาทอลิก เ ็นว่า ื่อบุคคล “บาท ลวง” มีคุณภาพและความเ มาะ ม ูง ุด อยู่ ในระดับมาก รองลงมาคือซีดีเพลงศา นา และอันดับที่ ามคือ ื่อ บุคคล “บราเดอร์/ซิ เตอร์” 3. ปัญ าที่ าำ คัญในการใช้ ื่อชนิดต่างๆ คือ กลุ่มตัวอย่าง ไม่ทราบรายละเอียดของ ื่อ โดยเฉพาะ ื่อที่มีการออกอากาศเป็นช่วง เวลา เช่น ื่อวิทยุ และ ื่อโทรทัศน์รายการต่าง ๆ ว่ามีการออกอากาศ ช่วงเวลาใด ช่องทางในการรับชม/รับฟัง เป็นต้น คา าคัญ Abstract
1) ศา นาคริ ต์ 3) ื่อและเทคโนโลยี
2) คาทอลิก
The goals of this research on the state and problem of media and technology usage for promoting the faith of Catholics in Thailand are 1) to study their usage of various types of media 2) to study their satisfaction of various types of media and 3) to study problems of usage to various types of media. Data were collected from samples of Catholics from all the ten dioceses in Thailand. These are the results : 1. Their usage of various types of media : 1) Priests, among human media, play the greatest role in their faith according to Catholics. 2) Weekly Udomsarn (อุดม าร), among printed media, gains the widest usage among Catholics. More particularly, they read it more than Monthly Udomsarn (อุดมศานต์), parish bulletins, general religious books, and other types of media. However, the sampled popula-
106 วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
พิเช ฐ รุ้งลาวัลย์ ธรรมรัตน์ เรือนงาม เจริญ ว่องประชานุกูล และ ุด ทัย นิยมธรรม
tion found that the type of printed media that influence their faith the most is general religious books, especially biographies of saints, which are most popular. 3) As for televised media, although less than half of the sampled Catholics watch “Lux Mundi” (แสงธรรม) and “Dominus Nobiscum” (พระเจ้าสถิตกับเรา), they found that these two programs strongly affect their faith. And 4) Among other types of media, including religious movies, religious music CDs, and internet resources, religious music CDs are accessed the most, followed by religious movies, and internet resources. The sampled Catholics tend to access diocesan websites more than other sites for religious information. 2. Catholics are moderately satisfied with accessibility of various types of media. They found the greatest convenience and promptness in priests and internet resources. Catholics are moderately satisfied with quality and appropriateness of various types of media, with the greatest satisfaction in priest, religious music CDs, and religious Brothers/Sisters, respectively. 3. A major obstacle in use media is ignorance of some details involving the media, especially timed broadcasts such as radio and television programs. They did not know the time periods and the channels of the broadcast, for example. 1) Christianity 3) Media and Technology
2) Catholics
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
107
ภาพและปัญ าการใช้ ื่อและเทคโนโลยีเพื่อ ่งเ ริมความศรัทธาของคริ ตชนคาทอลิกในประเทศไทย
ที่มาและความ าคัญของปัญ า ื่ อ และเทคโนโลยีเป็นปัจจัย ำ าคัญ อย่ า ง นึ่ ง ที่ จ ะทำ า ใ ้ ก ารเผยแพร่ ป ระชา ัมพันธ์ได้รับค าม าำ เร็จ การเลือกใช้ ื่อและ เทคโนโลยีได้อย่างถูกต้องและเ มาะ มจะ เป็ น การเ ริ ม ร้ า งค าม ั ม พั น ธ์ แ ละค าม เข้าใจอันดีระ ่างองค์กร ถาบันกับกลุ่มเป้า มายใ ้ ไ ด้ รั บ การ นั บ นุ น และค ามร่ ม มือ ซึ่งจะ ่งผลใ ้การดำาเนินงานขององค์กร ถาบั น ประ บผล ำ า เร็ จ ตาม ั ต ถุ ป ระ งค์ ใน ภาพปั จ จุบันนั้น ื่อและเทคโนโลยีมีอยู่ มากมาย ลายลัก ณะ ื่อแต่ละชนิดต่างก็ มี ิธีใช้ ข้อดีและข้อจำากัดต่างๆ กันไป ( ินัย ร ัตร์, 2549) ื่ อ ม ลชนเป็ น ื่ อ กลางในการเผย แพร่ข้อมูลข่า ารใน งก ้าง ไม่ ่าจะเป็นการ ใช้ ื่อในการใ ้ข่า าร การโน้มน้า ชักจูง ใจ การใ ้ค ามรู้ รือแม้แต่ ร้าง รรค์ค าม บันเทิงในรูปแบบต่างๆ ใ ้แก่บุคคล กลุ่ม บุคคล และ ังคม และยังจะได้ตระ นักถึง บทบาทและ น้ า ที่ ที่ ำ า คั ญ ของตั เองต่ อ ั ง คมในด้ า น า นา เพื่ อ ใ ้ ก าร ึ ก าแก่ ม ลมนุ ย์ ที่ อ ยู่ ใ น ั ง คมใ ้ ไ ด้ รั บ ประโยชน์ มากที่ ุด เพื่อขจัดค ามกดดันและค ามขัด แย้งใน ังคมและบทบาททางจิต ิทยา ังคม (Social Psychology) คือ การ ร้างพลังจิตใจ
108 วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
ของ มาชิกใน ังคมใ ้ดีขึ้น เพื่อการพักผ่อน ย่อนใจ รือแม้แต่การบำาบัดทางจิต (Psychotherapy) ซึ่ ง ื่ อ ม ลชนจะเ นอเรื่ อ ง รา ที่ มาชิก ังคมต้องการและชดเชยใน ิ่งที่ ังคมขาดไป (อรณี ฝูง รรณลัก ณ์, 2537) ื่ อ ม ลชนคาทอลิ ก ก็ เช่ น เดี ย กั น ถื อ เป็ น ื่ อ นึ่ ง ที่ ำ า คั ญ ในการใ ้ ข้ อ มู ล ข่า าร เพื่อการเผยแพร่ ลักธรรมคำา อน ใ ้แก่ผู้ นใจได้รู้และเข้าใจ ซึ่งเป็นการโน้ม น้า ใ ้ตระ นักรู้ถึงคุณค่าของ ลักคำา อน ต่างๆ ในด้านค ามเชื่อของ า นา ( ุ พักตร์ จารุจงกล ง ์, 2544) ดังนั้น คณะผู้ ิจัยจึง นใจที่จะ ึก าเพื่อ าแน ทางในการใช้ ื่อ และเทคโนโลยีเพื่อ ่งเ ริมค าม รัทธาของ คริ ตชนคาทอลิ ก ในประเท ไทย เพื่ อ จะ ทำาใ ้เกิดค ามมั่นใจในการพิจารณาเลือกใช้ ื่อและเทคโนโลยีที่นำาไป ู่การ ่งเ ริมค าม รัทธาได้อย่างมีประ ิทธิภาพและ อดคล้อง กับบริบทของ ังคมไทยอย่างแท้จริง วัต ประ งคของการวิ ัย 1. เพื่อ ึก าพฤติกรรมการเปิดรับ ื่อและเทคโนโลยีเพื่อ ่งเ ริมค าม รัทธา ของคริ ตชนคาทอลิกในประเท ไทย 2. เพื่ อ ึ ก าค ามพึ ง พอใจของ คริ ตชนเกี่ ย กั บ การใช้ ื่ อ และเทคโนโลยี
พิเช ฐ รุ้งลาวัลย์ ธรรมรัตน์ เรือนงาม เจริญ ว่องประชานุกูล และ ุด ทัย นิยมธรรม
ในเพื่ อ ่ ง เ ริ ม ค าม รั ท ธาของคริ ตชน คาทอลิกในประเท ไทย 3. เพื่ อ ึ ก าปั ญ าในการใช้ ื่ อ และเทคโนโลยีเพื่อ ่งเ ริมค าม รัทธาของ คริ ตชนคาทอลิกในประเท ไทย
3. ทราบถึงปัญ าในการใช้ ื่อและ เทคโนโลยี เ พื่ อ ่ ง เ ริ ม ค าม รั ท ธาของ คริ ตชนคาทอลิกในประเท ไทย
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่ใช้ในการ ึก า ิจัยครั้งนี้ ประ ยชน์ที่คาดว่าจะ ด้รับ คือ คริ ตชนคาทอลิกในประเท ไทย จำาน น 1. ทราบถึงพฤติกรรมการเปิดรับ ื่อ 363,463 คน ใน 10 เขต ังฆมณฑลของ และเทคโนโลยีเพื่อ ่งเ ริมค าม รัทธาของ พระ า นจักรคาทอลิกในประเท ไทย คริ ตชนคาทอลิกในประเท ไทย กลุ่มตั อย่างเป็นคริ ตชนคาทอลิก 2. ทราบค ามคิ ด เ ็ น ของคริ ต- ซึ่ง ังกัด ังฆมณฑลต่างๆ ทั่ ประเท จำาน น ชนเกี่ย กับการใช้ ื่อและเทคโนโลยีเพื่อ ่ง 400 คน (Yamane, 1973) โดยการ ุ่มแบบ เ ริมค าม รัทธาของคริ ตชนคาทอลิกใน แบ่ ง ชั้ น ทั้ ง นี้ ไ ด้ จั ด แบ่ ง ตาม ั ด ่ นของ ประเท ไทย จำาน นคริ ตชนในแต่ละ ังฆมณฑล แจกแจง ได้ตามตารางที่ 1 ตารางที่ 1 จำาน นประชากรและกลุ่มตั อย่าง แบ่ง ัด ่ นตามเขตการปกครอง (10 ังฆมณฑล) เ ตปกครอง 1. อัคร ังฆมณฑลกรุงเทพฯ 2. ังฆมณฑลราชบุรี 3. ังฆมณฑลจันทบุรี 4. ังฆมณฑลเชียงใ ม่ 5. ังฆมณฑลนคร รรค์ 6. ังฆมณฑล ุรา ฎร์ธานี 7. อัคร ังฆมณฑลท่าแร่- นองแ ง 8. ังฆมณฑลอุบลราชธานี 9. ังฆมณฑลนครราช ีมา 10. ังฆมณฑลอุดรธานี รวม
ประชากร คน 115,945 15,674 41,010 61,847 16,463 7,065 54,394 26,301 6,170 18,594 6 46
จานวนกลุ่มตัวอย่าง คน 128 17 45 68 18 8 60 29 7 20 400
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
109
ภาพและปัญ าการใช้ ื่อและเทคโนโลยีเพื่อ ่งเ ริมความศรัทธาของคริ ตชนคาทอลิกในประเทศไทย
เครื่องมือที่ใช้ในการวิ ัย เครื่ อ งมื อ ที่ ใช้ ใ นการ ิ จั ย ครั้ ง นี้ เ ป็ น แบบ อบถามที่ผู้ ิจัย ร้างขึ้น โดยประยุกต์ มาจากเครื่ อ งมื อ ิ จั ย ของ ุ พั ก ตร์ จารุ จงกล ง ์ (2544) ที่ได้ทำาการ ิจัยเรื่อง ื่อ ที่มีประ ิทธิภาพในการเผยแผ่คริ ต์ า นา คาทอลิกประเท ไทยเขตกรุงเทพม านคร การเก รว รวมข้อมล ทำ า นั ง ื อ ขอค ามอนุ เ คราะ ์ ใ น การเก็ บ ข้ อ มู ล จาก ู น ย์ ิ จั ย ค้ น ค ้ า า นา และ ัฒนธรรม ิทยาลัยแ งธรรม จัด ่งไป ตามโบ ถ์ต่างๆ ในแต่ละ ังฆมณฑล ทั้ง 10 ั ง ฆมณฑลของพระ า นจั ก รคาทอลิ ก ใน ประเท ไทย ดำาเนินการเก็บร บร มข้อมูล ตั้งแต่ ันที่ 1 เม ายน 2557 จนถึง ันที่ 30 พฤ ภาคม 2557 ร มใช้เ ลาในการเก็บ ร บร มข้อมูลประมาณ 2 เดือน ได้จำาน น แบบ อบถามกลับคืนจำาน น 218 ชุด รป ลการวิ ัย พ ติกรรมการเป รั ื่อต่าง รป ล ไ ้ ังนี 1.1 ื่ อ บุ ค คลบาท ล ง(คุ ณ พ่ อ ) กลุ่มตั อย่าง ่ นใ ญ่ก่อน/ ลังพิธีบูชาขอบ พระคุณ จะเคย นทนา/ปรึก ากับบาท ล ง
110 วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
ร้อยละ 90 โดย นทนา/ปรึก าในเรื่อง ข้อค ามเชื่อเป็น ่ นใ ญ่ ร้อยละ 60.1 และ ่ นใ ญ่เ ็น ่าบาท ล ง (คุณพ่อ) มี ่ น ต่อค ามเชื่อค าม รัทธามาก ร้อยละ 66 1.2 ื่อบุคคล บราเดอร์/ซิ เตอร์ กลุ่มตั อย่าง ่ นใ ญ่ก่อน/ ลังพิธีบูชาขอบ พระคุณ จะเคย นทนา/ปรึก ากับบราเดอร์/ ซิ เตอร์ ร้อยละ 86 โดย นทนา/ปรึก าใน เรื่องข้อค ามเชื่อเป็น ่ นใ ญ่ ร้อยละ 52.3 และ ่ นใ ญ่เ ็น ่าบราเดอร์/ซิ เตอร์ มี ่ น ต่อค ามเชื่อค าม รัทธามาก ร้อยละ 49 1.3 ื่อบุคคล ครูคำา อน กลุ่มตั อย่าง ่ นใ ญ่ก่อน/ ลังพิธีบูชาขอบพระคุณ จะเคย นทนา/ปรึก าครูคำา อน ร้อยละ 71 โดย นทนา/ปรึก าในเรื่องข้อค ามเชื่อเป็น ่ นใ ญ่ ร้อยละ 46.3 และ ่ นใ ญ่เ ็น ่า ครูคาำ อน มี ่ นต่อค ามเชื่อค าม รัทธาใน ระดับปานกลาง ร้อยละ 44 1.4 ื่อ ิ่งพิมพ์ อุดม ารราย ัปดา ์ กลุ่มตั อย่าง ่ นใ ญ่เคยอ่านอุดม ารราย ัปดา ์ ร้อยละ 91 โดยอ่านนานๆ ครั้งเป็น ่ นใ ญ่ ร้อยละ 55 ทั้งนี้ ่ นใ ญ่รู้จักและ รับอุดม ารราย ัปดา ์จากการไปโบ ถ์แล้ มี างไ ้บริการ ร้อยละ 45 โดยคอลัมน์ที่ได้รับ ค ามนิยมมากที่ ุดคือ ข้อคิด ะกิดใจ ร้อยละ 60.1 โดยผู้ อ่ า น ่ นใ ญ่ เ ็ น ่ า อุ ด ม าร
พิเช ฐ รุ้งลาวัลย์ ธรรมรัตน์ เรือนงาม เจริญ ว่องประชานุกูล และ ุด ทัย นิยมธรรม
ราย ัปดา ์มีผลต่อความเชื่อความศรัทธาใน ระดับปานกลาง ร้อยละ 58 1.5 ื่อ ิ่งพิมพ์ อุดมศานต์รายเดือน กลุ่มตัวอย่าง ่วนใ ญ่เคยอ่านอุดมศานต์ราย เดือน ร้อยละ 76 โดยอ่านนานๆ ครั้งเป็น ่วนใ ญ่ ร้อยละ 57 ทั้งนี้ ่วนใ ญ่รู้จักและ รับอุดมศานต์รายเดือนจากการไปโบ ถ์แล้ว มีวางไว้บริการ ร้อยละ 43 โดยคอลัมน์ที่ได้ รับความนิยมมากที่ ุดคือ พระวาจาเป็นดัง ประทีป ่องทาง ร้อยละ 32.6 โดยผู้อ่าน ่วน ใ ญ่เ ็นว่าอุดมศานต์รายเดือนมีผลต่อความ เชื่อความศรัทธาในระดับปานกลาง ร้อยละ 57 1.6 ื่อ ิ่งพิมพ์ ารวัด กลุ่มตัว อย่าง ่วนใ ญ่เคยอ่าน ารวัด ร้อยละ 77 โดย อ่านทุกครั้งเป็น ่วนใ ญ่ ร้อยละ 49 ทั้งนี้ ่วนใ ญ่รู้จักและรับ ารวัดจากการไปโบ ถ์ แล้วมีวางไว้บริการ ร้อยละ 49.1 โดยผู้อ่าน ่วนใ ญ่เ ็นว่า ารวัดมีผลต่อความเชื่อความ ศรัทธาในระดับปานกลาง ร้อยละ 52 1.7 ื่อ ิ่งพิมพ์ นัง ือศรัทธาทั่วไป กลุ่มตัวอย่าง ่วนใ ญ่เคยอ่าน นัง ือศรัทธา ทั่วไป ร้อยละ 84 โดยอ่าน 1-2 วันต่อ ัปดา ์ เป็น ่วนใ ญ่ ร้อยละ 50 ทั้งนี้ประเภทของ นัง ือศรัทธาที่ได้รับความนิยมอ่านมากที่ ุด คือ ประวัตินักบุญ ร้อยละ 38.1 โดย ่วนใ ญ่ เ ็นว่ามีผลต่อความเชื่อความศรัทธาในระดับ
มาก คือ ร้อยละ 57 1.8 ื่อ ิ่งพิมพ์อื่นๆ กลุ่มตัวอย่าง ่วนใ ญ่เคยอ่าน ื่อ ิ่งพิมพ์อื่นๆ มากที่ ุดคือ นิตย ารแม่พระยุคใ ม่ นิตย ารราย 2 เดือน โดยคณะภคินีเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตร ร้อยละ 64.2 1.9 ื่อโทรทัศน์ รายการแ งธรรม กลุ่ ม ตั ว อย่ า ง ่ ว นใ ญ่ ไ ม่ เ คยชมรายการ แ งธรรม ร้อยละ 54 ในกลุ่มตัวอย่างที่เคยชม ่วนใ ญ่จะชมนานๆ ครั้ง ร้อยละ 83 โดย ชมผ่านทางโทรทัศน์ช่อง 9 มากกว่าการชม ย้อน ลังผ่านทางเว็บไซต์ ร้อยละ 62 และ ่วนใ ญ่ นใจชมเอง ร้อยละ 57 ทั้งนี้ผู้ที่เคย ชมรายการแ งธรรม ่วนใ ญ่เ ็นว่ารายการ มีผลต่อความเชื่อความศรัทธาในระดับปาน กลาง ร้อยละ 43 1.10 ื่อโทรทัศน์ รายการพระเจ้า ถิตกับเรา กลุ่มตัวอย่าง ่วนใ ญ่ไม่เคยชม รายการพระเจ้า ถิตกับเรา ร้อยละ 61 ใน กลุ่มตัวอย่างที่เคยชม ่วนใ ญ่จะชมนานๆ ครั้ง ร้อยละ 80 โดยชมผ่านทางโทรทัศน์ช่อง 11 มากกว่าการชมย้อน ลังผ่านทางเว็บไซต์ ร้อยละ 62 และ ่วนใ ญ่ นใจชมเอง ร้อยละ 54 ทั้งนี้ผู้ที่เคยชมรายการพระเจ้า ถิตกับเรา ่ ว นใ ญ่ เ ็ น ว่ า รายการมี ผ ลต่ อ ความเชื่ อ ความศรัทธาในระดับมาก ร้อยละ 46
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
111
ภาพและปัญ าการใช้ ื่อและเทคโนโลยีเพื่อ ่งเ ริมความศรัทธาของคริ ตชนคาทอลิกในประเทศไทย
1.11 ื่ อ วิ ท ยุ ค าทอลิ ก กลุ่ ม ตั ว อย่าง ่วนใ ญ่ไม่เคยฟังวิทยุคาทอลิก ร้อยละ 65 ในกลุ่มตัวอย่างที่เคยฟัง ่วนใ ญ่จะ ฟังนานๆ ครั้ง ร้อยละ 80 โดยคลื่นที่กลุ่ม ตัวอย่างฟังมากที่ ุดคือ คลื่นข่าวดี ท่าแร่เรดิโอ FM 104.5 MHz ร้อยละ 11.9 และ ่วน ใ ญ่ นใจรับฟังเอง ร้อยละ 64 ทั้งนี้ผู้ที่เคย รับฟังวิทยุคาทอลิก ่วนใ ญ่เ ็นว่ามีผลต่อ ความเชื่ อ ความศรั ท ธาในระดั บ ปานกลาง ร้อยละ 58 1.12 ื่อซีดีเพลงศา นา กลุ่มตัว อย่ า ง ่ ว นใ ญ่ เ คยฟั ง เพลงศา นาจากซี ดี ร้อยละ 90 ในกลุ่มตัวอย่างที่เคยฟัง ่วนใ ญ่ จะฟัง 1-2 วันต่อ ัปดา ์ ร้อยละ 37 ่วนใ ญ่ นใจรับฟังเอง ร้อยละ 60 ทั้งนี้ ผู้ที่เคยรับฟังเพลงศา นาจากซีดี ่วนใ ญ่ เ ็นว่ามีผลต่อความเชื่อความศรัทธาในระดับ มาก ร้อยละ 45 1.13 ื่อภาพยนตร์ศา นา กลุ่ม ตั ว อย่ า ง ่ ว นใ ญ่ เ คยชมภาพยนตร์ ศ า นา ร้อยละ 77 ในกลุ่มตัวอย่างที่เคยชม ่วนใ ญ่ จะชมนานๆ ครั้ง ร้อยละ 50 โดย ่วนใ ญ่ นใจรับชมเอง ร้อยละ 65 ทั้งนี้ผู้ที่เคยรับ ชมภาพยนตร์ศา นา ่วนใ ญ่เ ็นว่ามีผลต่อ ความเชื่อความศรัทธาในระดับปานกลาง และ ระดับมากเท่ากัน คือ ร้อยละ 46
112 วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
1.14 ื่ออินเตอร์เน็ต กลุ่มตัวอย่าง ่ ว นใ ญ่ เ คยใช้ อิ น เตอร์ เ น็ ต เพื่ อ การเข้ า ถึงข้อมูลด้านศา นา ร้อยละ 70 ในกลุ่ม ตัวอย่างที่เคยใช้ ่วนใ ญ่จะเข้าใช้ 1-2 วัน ต่อ ัปดา ์ ร้อยละ 43 ทั้งนี้เว็บไซต์ที่กลุ่ม ตัวอย่างนิยมเข้าไป าข้อมูลด้านศา นามาก ที่ ุดคือ เว็บไซต์ของ ังฆมณฑลต่างๆ ร้อยละ 48.6 โดย ่วนใ ญ่ นใจเอง ร้อยละ 79 ทั้งนี้ ผู้ท่ีเคยเข้าใช้อินเตอร์เน็ต ่วนใ ญ่เ ็นว่ามีผล ต่อความเชื่อความศรัทธาในระดับปานกลาง ร้อยละ 48 ภาพความพงพอใ ของคริ ตชนที่ มี ต่ อ ื่ อ และเทคโนโลยี เ พื่ อ ่ ง เ ริ ม ความ ศรัทธา 2.1 ภาพความพึ ง พอใจของ คริ ตชนด้านการเข้าถึง ื่อชนิดต่างๆ โดย ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ทั้งนี้พบว่า คริ ตชนคาทอลิ ก ามารถเข้ า ถึ ง ื่ อ บุ ค คล “บาท ลวง” และ ื่ออินเตอร์เน็ตได้ ะดวก ที่ ุด ่วนการเข้าถึง ื่อวิทยุคาทอลิกอยู่ใน ระดับปานกลาง 2.2 ภาพความพึงพอใจของคริ ตชนด้านคุณภาพและความเ มาะ มของ ื่อ ชนิดต่างๆ โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ทั้งนี้พบว่า คริ ตชนคาทอลิกเ ็นว่า ื่อบุคคล
พิเช ฐ รุ้งลาวัลย์ ธรรมรัตน์ เรือนงาม เจริญ ว่องประชานุกูล และ ุด ทัย นิยมธรรม
“บาท ล ง” มีคุณภาพและค ามเ มาะ ม ูง ุด อยู่ในระดับมาก รองลงมาคือ คุณภาพ และค ามเ มาะ มของซีดีเพลง า นา และ อันดับที่ ามคือ คุณภาพและค ามเ มาะ มของ ื่อบุคคล “บราเดอร์/ซิ เตอร์” ่ น อันดับ ุดท้ายคือ คุณภาพและค ามเ มาะ มของ ื่อ ิทยุคาทอลิก ในระดับปานกลาง าพปญ า นการ ช้ ื่อและเทค น ลยี เพื่อ ่งเ ริมความ รัทธา จากแบบ อบถามปลายเปิด พบ ่า คริ ตชนคาทอลิกมี ภาพปัญ าในการใช้ ื่อ และเทคโนโลยีเพื่อ ่งเ ริมค าม รัทธา ดัง ต่อไปนี้ 1. ต้ อ งการใ ้ มี ื่ อ เพิ่ ม มากขึ้ น ลาก ลายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ ื่ออินเตอร์เน็ ต เนื่ อ งจากเยา ชนมั ก ใช้ ื่ อ ชนิ ด นี้ กั น มาก 2. รายการโทรทั น์ ค าทอลิ ก ออก อากา ในช่ งเ ลาเช้ามาก คนที่ดู ่ นใ ญ่ เป็นผู้ ูงอายุที่ตื่นเช้า แต่ ัยทำางาน ัยรุ่น และ เด็กๆ แทบไม่มีโอกา ได้ดู 3. ื่ อ ที่ ดี คื อ การดำ า เนิ น ชี ิ ต ที่ เ ป็ น แบบอย่างของบาท ล ง บราเดอร์ ซิ เตอร์ และครูคำา อน ่ น ื่อเทคโนโลยีอื่นๆ เป็น เพียง ่ นเ ริมเท่านั้น ยิ่ง ื่อบุคคลเน้นเทค-
โนโลยีมากๆ อาจ ่งผลใ ้ ่างจาก ัตบุรุ ออกไปมากขึ้น 4. การผลิต ื่อซีดีเพลง า นา ค ร เน้นกลุ่มเยา ชน เนื่องจากเป็น ัยที่ นใจและ ชอบฟังเพลง 5. ื่ อ ที่ เ ป็ น เพลงและ ี ดี โ อ าก า ม า ร ถ นำ า ขึ้ น อิ น เ ต อ ร์ เ น็ ต แ ล ะ ใ ้ Download ได้ก็จะดีมาก 6. ค รใ ้ แ ต่ ล ะเขต ั ด ประชา ั ม พันธ์เกี่ย กับเ ็บไซต์ ื่อ ิทยุ และ ื่อโทรทั น์ รายการต่างๆ ่ามีอะไรบ้าง เ ็บไซต์อะไร ื่อ ิทยุคลื่นไ น และ ื่อโทรทั น์ช่องอะไร เ ลาไ นบ้าง อ ิปราย ล ื่อบุคคล พบ ่า บาท ล งเป็น ื่อ บุ ค คลที่ ค ริ ตชนคาทอลิ ก เ ็ น ่ า มี ่ นต่ อ ค ามเชื่อค าม รัทธามากก ่า ื่อชนิดอื่นๆ ทั้งนี้ก็เพราะคริ ต์ า นจักรโรมันคาทอลิก ใ ้ค าม ำาคัญต่อการ ึก าอบรมเพื่อเตรียม บุ ค ลากร ู่ ก ารเป็ น า นบริ ก รอย่ า งต่ อ เนื่อง มีการจัดระบบและ ถาบันการ ึก า อบรม ู่การเป็น า นบริกรอย่างจริงจัง มี ทั้ ง แน ทางที่ เ ป็ น ากล ภายใต้ น่ ยงาน ที่รับผิดชอบ และแน ทางการประยุกต์ใ ้ เข้ากับชุมชนท้องถิ่น โดยเฉพาะการ ึก า
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
11
ภาพและปัญ าการใช้ ื่อและเทคโนโลยีเพื่อ ่งเ ริมความศรัทธาของคริ ตชนคาทอลิกในประเทศไทย
อบรมผู้ เ ตรี ย มตั เป็ น บาท ล ง ซึ่ ง ถื อ เป็ น า นบริ ก ร ำ า คั ญ ในคริ ต์ า นจั ก ร โรมันคาทอลิก ในภารกิจการปกครองดูแล ชุมชน การประกอบพิธีกรรมและการประกา เผยแผ่ คำ า อน (ไชโย กิ จ กุ ล , 2549: อ้างใน ุฒิชัย อ่องนา า, 2552) โดยมีการ จั ด ถ า น ที่ ำ า รั บ ก า ร ึ ก า อ บ ร ม ผู้ เ ตรี ย มเป็ น บาท ล งของคริ ต์ า นจั ก รโรมั น คาทอลิ ก โดยเฉพาะ ที่ เรี ย ก ่ า “ ามเณราลัย” (Seminary) ถานที่ เนื้อ า ิ ธี ก ารอบรม และผู้ ใ ้ ก ารอบรมต้ อ งมี ประ ิ ท ธิ ภ าพ และ อดคล้ อ งกั บ ถานการณ์แ ่งยุค มัย (เกรียง ักดิ์ โก ิท านิช, 2535) โดยจัดแบ่งการ ึก าอบรมเป็น าม ระดับ ได้แก่ ามเณราลัยเล็ก ามเณราลัย กลาง และ ามเณราลัยใ ญ่ โดย ามเณราลัยเล็ก มายถึง การ ึก าอบรมตั้งแต่ชั้น มั ธ ยม ึ ก าปี ที่ 1 จนถึ ง ชั้ น มั ธ ยม ึ ก าปี ที่ 6 ร มทั้งการอบรมพิเ 1-2 ปี ก่อน เข้ า ามเณราลั ย กลาง โดยมี จุ ด ประ งค์ เพื่ อ รั บ การฝึ ก อบรมบ่ ม นิ ั ย ใ ้ เ ป็ น ผู้ ที่ มี รั ท ธาในพระเจ้ า ตาม ุ ฒิ ภ า ะของเขา พร้ อ มทั้ ง คุ ณ ธรรมต่ า งๆ อบรมใ ้ เ ขามี ระเบียบ ินัย มีจิตใจเอื้ออาทร เป็นผู้ที่ ามารถดำ า เนิ น ชี ิ ต ร่ มกั บ คนอื่ น ใน ั ง คม ได้อย่างมีค าม ุข ามเณราลัยกลาง คือ
วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
การ ึก าอบรมที่ต่อเนื่องจาก ามเณราลัย เล็ก โดยใช้เ ลา 1 ปี เพื่อการพัฒนาค าม เชื่ อ รั ท ธา การมี ป ระ บการณ์ ชี ิ ต ในรู ป แบบต่างๆ ร มทั้งการใช้เ ลาเพื่อไตร่ตรอง พิ จ ารณาชี ิ ต ตอนเอง ่ า เ มาะ มกั บ การ ตอบรั บ จากพระเจ้ า ู่ ก ารเป็ น บาท ล ง รือไม่ (ไชโย กิจ กุล, 2549: อ้างใน ุฒิชัย อ่องนา า, 2552) และ ามเณราลัยใ ญ่ เป็น ถาบันการ ึก าอบรมขั้น ุดท้าย ใช้ เ ลาอย่างน้อย 8 ปี เพื่อพัฒนาชี ิตด้าน ุฒิภา ะ ชี ิตภายใน ติปัญญาและงานอภิบาล เพื่ อ ค ามพร้ อ ม ู่ ก ารเป็ น บาท ล งต่ อ ไป ( ุฒิชัย อ่องนา า และคณะ, 2553) ทั้งนี้ ามเณราลัยใ ญ่ รือ ถาบันแ งธรรม ใช้ ิธีการอบรม 3 แบบเป็น ลัก รือแน ทาง ำาคัญในการใ ้การอบรมอย่างมีบูรณาการ คื อ 1) การ ล่ อ เลี้ ย งโดยผู้ ใ ้ ก ารอบรม รือคณะผู้ใ ้การอบรม 2) โครงการอบรม ตนเอง และ 3) ชี ิตกลุ่ม ( ามเณราลัยแ ง ธรรม, 2545) อดคล้ อ งกั บ งาน ิ จั ย ของ ุ พักตร์ จารุจงกล ง ์ (2544) ที่ได้ทำาการ ึก าเรื่อง ื่อที่มีประ ิทธิภาพในการเผยแผ่ คริ ต์ า นาคาทอลิกในประเท ไทย พบ ่า บาท ล งเป็น ่ือบุคคลที่มี ่ นช่ ยในการ ัน มาเลื่อมใ รัทธาคริ ต์ า นามากที่ ุด ื่อ ิ่งพิมพ์ พบ ่า อุดม ารราย
พิเช ฐ รุ้งลาวัลย์ ธรรมรัตน์ เรือนงาม เจริญ ว่องประชานุกูล และ ุด ทัย นิยมธรรม
ั ป ดา ์ เ ป็ น ื่อ ิ่งพิมพ์ที่คริ ตชนคาทอลิก เปิดรับมากที่ ุด มากก ่าอุดม านต์รายเดือน าร ัด นัง ือ รัทธาทั่ ไป และมากก ่า ื่อชนิดอื่นๆ โดย ามารถเข้าถึงได้ด้ ยการไป โบ ถ์แล้ มี างไ ้ใ ้บริการ ามารถ ยิบไป อ่านได้ โดยมีกล่องไ ้ ำา รับการบริจาคค่าจัด พิมพ์ ซึ่ง ร้างค าม ะด ก และช่ ยใ ้การ เข้าถึง ื่อ ิ่งพิมพ์ชนิดนี้ได้ง่ายยิ่งขึ้น นับ ่า ื่ อ ิ่ ง พิ ม พ์ ถื อ เป็ น ื่ อ ที่ มี ป ระ ั ติ า ตร์ อั น ยา นาน โดยบรรดามิชชันนารียุคแรกๆ ได้ เ ็นค าม ำาคัญของ ื่อชนิดนี้ โดยมีการจัด พิมพ์ตั้งแต่ มัยกรุง รีอยุธยาตอนปลายใน มเด็จพระนารายณ์ม าราช โดยบาท ล ง ลังคลั ์ (Langlois) ซึ่งเป็นมิชชันนารีคณะ มิ ซังต่างประเท แ ่งกรุงปารี ในรา ปี ค. . 1674 โดยคุณพ่อใ ้เ ตุผล ่า “เพราะ ในกรุง ยาม กระดา ราคาตำ่ามาก คนงาน จ้างได้ในราคาถูกๆ คนแต่ง นัง ือก็อยู่ใน มิ ซังแล้ ” นอกจากนี้กลุ่มตั อย่างเ ็น ่า ื่อ ิ่ง พิมพ์ที่มีผลต่อค ามเชื่อค าม รัทธามากที่ ุด คือ นัง ือ รัทธาทั่ ไป โดยประเภทของ นัง ือ รัทธาที่ได้รับค ามนิยมมากที่ ุดคือ ประ ัตินักบุญ ื่อโทรทั น์ พบ ่า ทั้งรายการแ งธรรม และรายการพระเจ้า ถิตกับเรานั้นถึง
แม้จะมีกลุ่มตั อย่างคริ ตชนคาทอลิกเข้าถึง ื่อชนิดนี้น้อยก ่าครึ่งก็ตาม ากแต่เมื่อถาม ถึงผลต่อค ามเชื่อค าม รัทธากลุ่มตั อย่างที่ เข้าถึง ื่อเ ล่านี้ ่ นใ ญ่เ ็น ่ามีผลต่อค าม เชื่อค าม รัทธาในระดับมาก าเ ตุ นึ่งที่ ทำาใ ้การเข้าถึงน้อยอาจเป็นเพราะช่ งเ ลา ในการออกอากา นั้นเช้ามาก และเป็น ันพัก ผ่อน คน ่ นใ ญ่ที่ ามารถชมคือคนใน ัย 50 ขึ้นไป อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน ามารถ เข้าถึงได้โดยการชมย้อน ลังได้ทุกที่ทุกเ ลา ผ่านทางเ ็บไซต์ http://tv.catholic.or.th ื่อ ิทยุคาทอลิก พบ ่า มีการเข้าถึง ื่อชนิดนี้น้อยก ่า ื่อชนิดอื่นๆ การเข้าถึงที่ น้อยนี้มักพบกับ ื่อชนิดที่มีการออกอากา เป็ น ช่ งเ ลา ทั้ ง ื่ อ โทรทั น์ แ ละ ื่ อ ิ ท ยุ ปัญ า ลักๆ ของการเปิดรับ ื่อเ ล่านี้คือ ผู้รับไม่ ะด กในการรับ ื่อ ทั้งเรื่องของช่ ง เ ลา การไม่ทราบถึงข้อมูลรายการ ่าออก อากา ันไ น เ ลาใด คลื่นใด เป็นต้น อดคล้องกับงาน ิจัยของ ุ พักตร์ จารุจงกลง ์ (2544) ที่พบ ่า ื่อ ิทยุและ ื่อโทรทั น์ ไม่ มี ่ นใ ้ ั น มาเลื่ อ มใ รั ท ธาคริ ต์ า นา เนื่องจาก ื่อทั้ง องประเภทมีผู้ตอบ แบบ อบถามเคยรับชม ื่อ ิทยุโทรทั น์ รือ รับฟัง ื่อ ิทยุกระจายเ ียงเป็นจำาน นน้อย มาก อาจมาจากมีการประชา มั พันธ์ไม่มากพอ
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
115
ภาพและปัญ าการใช้ ื่อและเทคโนโลยีเพื่อ ่งเ ริมความศรัทธาของคริ ตชนคาทอลิกในประเทศไทย
่อื อื่นๆ ประกอบด้ ย ภาพยนตร์ า นา ซีดีเพลง า นา และ ื่ออินเตอร์เน็ต พบ ่า ื่อซีดีเพลง า นาได้รับการเข้าถึงมาก ที่ ุด รองลงมาคือภาพยนตร์ า นา และ ื่ออินเตอร์เน็ต อาจเนื่องมาจากลุ่มตั อย่าง ่ นใ ญ่อยู่ในช่ ง ัยระ ่าง 18-25 ปี ซึ่ง เป็นช่ ง ัยที่ นใจฟังเพลง ภาพยนตร์ และ อินเตอร์เน็ต ื่อต่างๆ เ ล่านี้จึงมีผลต่อคน ั ย นี้ เ ป็ น อย่ า งมาก อดคล้ อ งกั บ งาน ิ จั ย ของ ุ พักตร์ จารุจงกล ง ์ (2544) ที่พบ ่า เทปเพลงจะมีการเปิดในงานฉลองต่างๆ เช่น การฉลองประจำาปีของโบ ถ์ (ฉลอง ัด) โดย มี น่ ยงานออกจำ า น่ า ยและเปิ ด เพลงใน โอกา ดังกล่า โดยเนื้อ าเนื้อร้องจะมี าระ ทาง า นา ่ นทำานองและดนตรีมีการ ร้าง รรค์ทำาใ ้น่าฟัง จึงทำาใ ้ ื่อนี้มี ่ นช่ ยใ ้ ผู้รับฟัง นใจ และ ันมาเลื่อมใ รัทธาใน คริ ต์ า นา อย่างไรก็ตามในปัจจุบันมีการ
ลอมร ม ื่อประเภทต่างๆ เข้าไ ้ด้ ยกัน โดยมี บ ทบาทและได้ รั บ ค ามนิ ย มมากขึ้ น เช่น การดูรายการโทรทั น์ผ่านทางโทร ัพท์ มือถือ ดูผ่านอินเตอร์เน็ต เป็นต้น ดังนั้น ื่อภาพยนตร์ ื่อเพลง า นา ตลอดจน รายการโทรทั น์ า นาจึ ง ได้ มี ก ารปรั บ ตั โดยการใช้ ื่ อ ใ ม่ เพื่ อ เป็ น การเพิ่ ม ช่ อ ง ทางในการเข้าถึงได้ เช่น ในปัจจุบันคริ ตชน คาทอลิก ามารถเข้าชมรายการโทรทั น์ทั้ง รายการแ งธรรม และรายการพระเจ้า ถิต กับเราได้ผ่านทางอินเตอร์เน็ต โดยเ ็บไซต์ TV Catholic Online (http://tv.catholic. or.th) รืออาจเข้าชมได้ผ่านทางเครือข่าย ั ง คมออนไลน์ ซึ่ ง มี ผู้ นำ า ลิ ง ค์ ไ ปโพ ต์ ไ ้ ใ น เครือข่ายต่างๆ ซึ่งก็เป็นการเพิ่มช่องทางใน การเข้าถึงข้อมูลด้าน า นาได้เป็นอย่างดี ดัง ที่องค์ มเด็จพระ ันตะปาปายอ ์น ปอลที่ 2 (John Paul II, 1990) ทรงกล่า ไ ้ ่า
“...เพราะ ่าการประกา ข่า ดีอย่างแท้จริงของ ัฒนธรรม มัยใ ม่นั้น ขึ้นอยู่ กับการแพร่อิทธิพลของ ื่อเป็นอย่างมาก การใช้ ื่ออย่างง่ายๆ เพื่อเผยแพร่ข่า ารคริ ตชนและการ อนที่แท้จริงของพระ า นจักรนั้นไม่เพียงพอ จำาเป็นที่ จะต้องผ มผ านด้ ยข้อค ามเข้าไปใน ัฒนธรรมแบบใ ม่ โดยการ ื่อ าร มัย ใ ม่ด้ ยเช่นเดีย กัน นี่คือประเด็นที่ยุ่งยาก เพราะ ัฒนธรรมแบบใ ม่ไม่ได้แค่ เริ่มต้นขึ้นจากอะไรก็ตามที่ ุดท้ายแล้ แ ดงออกใ ้เ ็นได้ แต่จากข้อเท็จจริงที่ ่า นทางแน ใ ม่ของการ ื่อ ารนั้นมีอยู่จริง ด้ ยภา าใ ม่ เทคนิคใ ม่ และ จิต ิทยาใ ม่”
116 วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
พิเช ฐ รุ้งลาวัลย์ ธรรมรัตน์ เรือนงาม เจริญ ว่องประชานุกูล และ ุด ทัย นิยมธรรม
ในขณะที่ มี ช่ อ งทางในการเข้ า ถึ ง ข้อมูลด้าน า นามากมายเช่นนี้ การประชาัมพันธ์ถึงช่องต่างดังกล่า จึงมีค ามจำาเป็น เพื่ อ ใ ้ บ รรดาคริ ตชนที่ นใจ ามารถเข้ า ถึ ง ข้ อ มู ล ได้ ตามช่ อ งทางที่ ต นเอง ะด ก ตามที่มีกลุ่มตั ตั อย่างเ นอแนะ ่า ค รใ ้ แต่ละเขต ัดประชา ัมพันธ์เกี่ย กับเ ็บไซต์ ื่อ ิทยุ และ ื่อโทรทั น์รายการต่างๆ ่า มีอะไรบ้าง เ ็บไซต์อะไร ื่อ ิทยุคลื่นไ น และ ื่ อ โทรทั น์ ช่ อ งอะไร เ ลาไ นบ้ า ง ซึ่ง อดคล้องกับงาน ิจัยของ ุ พักตร์ จารุจงกล ง ์ (2544) ที่พบ ่า คำาแนะนำาเพิ่มเติม ที่กลุ่มตั อย่างแ ดงค ามคิดเ ็น ่า ค รทำา ประชา ัมพันธ์ใ ้กับคริ ต า นิกชนทราบ โดยอธิ ก ารโบ ถ์ แจ้ ง ข่ า ารข้ อ มู ล ของ ื่ อ บรร านุกรม ินัย ร ัตร์. 2549. แนว น้มการ ช้ ื่อ และเทค น ลยีเพื่อการประชา ัมพันธ์ อ านักงานค ะกรรมการ วั นธรรมแ ่งชาติ กระทรวง วั นธรรม นช่วงปี พ 254 255 ปริญญานิพนธ์การ ึก า ม าบัณฑิต าขา ิชาเทคโนโลยี การ ึก า บัณฑิต ิทยาลัย ม า ิทยาลัย รีนครินทร ิโรฒ.
ทิ ยุโทรทั น์ และ ิทยุกระจายเ ียง เมื่อ คริ ต์ า นิกชนไปร่ มพิธีมิ ซาที่โบ ถ์ใน ัน อาทิตย์ ้อเ นอแนะ นการวิจัยครังต่อ ป 1. ค รมี ก าร ึ ก าเฉพาะเจาะจง ในช่ ง ัยต่างๆ โดยเฉพาะ เช่น กลุ่มเยา ชน กลุ่มผู้ ูงอายุ เป็นต้น เพื่อใ ้ได้ข้อมูลที่ลึกขึ้น ชัดเจนขึ้น 2. ค รทำาการ ึก าโดยเน้น ื่อใ ม่ (New Media) ซึ่งมีบทบาท และมีอิทธิพลต่อ คน และ ังคมในปัจจุบันเป็นอย่างมาก เพื่อ าแน ทางในการใช้ ื่อใ ม่ในการประกา พระ าจา
ุฒิชัย อ่องนา า, บาท ล ง. 2552. การ ึก าอบรมของผู้เตรียมตั เป็น บาท ล งของคริ ต์ านจักร คาทอลิกในประเท ไทย. วาร าร แ งธรรมปริทั น์ (กันยายน-ธัน าคม 2009/2552.) : 10-30.
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2014/2557
117
ภาพและปัญ าการใช้ ื่อและเทคโนโลยีเพื่อ ่งเ ริมความศรัทธาของคริ ตชนคาทอลิกในประเทศไทย
ุฒิชัย ่ งนา า, บาท ล ง และคณะ. 2553. บทบาทข งผู้ปกคร งต่ การ บรมผู้เตรียมตั เป็นบาท ล ง คาท ลิกใน ามเณราลัยเล็กข ง คริ ต์ า นจักรคาท ลิกใน ประเท ไทย : กรณี ึก า ังฆมณฑล จันทบุรี ังฆมณฑลเชียงใ ม่ และ ัคร ังฆมณฑลท่าแร่- น งแ ง. วาร ารวิชาการวิทยาลัยแ ง ธรรม (กรกฎาคมธัน าคม 2010/2553.) : 71-80. ุ พักตร์ จารุจงกล ง ์. 2544. ื่อที่มี ประ ิทธิภาพในการเ ยแ ่คริ ต ศา นาคาทอลิกประเทศไทย ิทยานิพนธ์นิเท า ตรม าบัณฑิต บัณฑิต ิทยาลัย ม า ิทยาลัย เซนต์จ ์น. รณี ฝูง รรณลัก ณ์. 2537. การเป รั การคา วังประโยชน และความ พงพอใ ในรายการธรรมะทาง ื่อ โทรทัศนของ มาชิกชมรมทาง พระพทธศา นาใน กรงเทพม านคร ิทยานิพนธ์ นิเท า ตรม าบัณฑิต บัณฑิต ิทยาลัย จุ าลงกรณ์ม า ิทยาลัย.
118 วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
Jenkins, H. 2006. Convergence Media Collide. New York : New York University. John Paul II, Pope. 1990.
date. Vatican : Holy See. Laguna, Grace A. Speech. 1927. Its Function and Development. New Haven : Yale University. Montfort, N. 2003. T Reade. MA : MIT. Paul VI, Pope. 1975.
Vatican : Holy See. Putnam, R.D. 2002. Democracies in New York : Oxford University.
อของสำ งค์ประกอบที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน านักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏ ComponentstheAffecting the Operative Efficiency in Offices of President in Rajabhat Universities. ดร.โสพิศ คำานวนชัย
* อาจารย์ประจำาคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี
รศ.ดร.ปรีชา หงษ์ไกรเลิศ
* อาจารย์ประจำาหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการ มหาวิทยาลัยสยาม
Dr.Sopit Kamnuanchai
* Lecturer at Faculty of Management, Thepsatri Rajabhat University.
Assoc.Prof.Dr.Pricha Hongskrailers
* Lecturer of The Doctor of Philosophy Program in Management, Siam University.
องค์ประกอบที่มีผลต่อประ ิทธิภาพการปฏิบัติงานของ ำานักงานอธิการบดี ม าวิทยาลัยราชภัฏ
บทคัดย่อ
ัตถุประ งค์ในการ ิจัยครั้งนี ้ เพื่อ ึก าองค์ประกอบที่มีผลต่อ ประ ิทธิภาพการปฏิบัติงานของ า� นักงานอธิการบดี ม า ิทยาลัย ราชภัฏ กลุ่มตั อย่างจ�าน น 256 คน ประกอบด้ ยอธิการบดี รองอธิการบดี คณบดี ผู้อ�าน ยการ �านักงานอธิการบดี และ ั น้า กลุ่มภารกิจที่ปฏิบัติงานการเงิน งานบริ ารบุคคล งานนโยบายและ แผน และงานพัฒนานัก ึก า ใช้ ถิติการ ิเคราะ ์องค์ประกอบเชิง �าร จ ซึ่ง กัดองค์ประกอบ ลักด้ ย ิธี ิเคราะ ์องค์ประกอบ ลัก โดยการ มุนแกนแบบออโธกอนอล ด้ ย ิธีแ ริแมกซ์ ได้องค์ประกอบ 4 องค์ประกอบดังนี ้ องค์ประกอบที ่ 1 เป็นองค์ประกอบด้านโครง ร้าง และการด�าเนินงาน ตั แปรที่มีค าม �าคัญมากที่ ุดคือการจัดคนเข้า ท�างาน การมอบ มายงานยึดตามเกณฑ์ค ามช�านาญเฉพาะทางตาม น้าที่และค าม ามารถของแต่ละบุคคล โดยองค์ประกอบนี้เป็นแ ล่ง ค ามแปรปร นร่ ม 8.034 รือคิดเป็นร้อยละ 22.316 องค์ประกอบ ที่ 2 เป็นองค์ประกอบด้านภา ะผู้น�าและการบริ ารงาน ตั แปรที่มี ค าม า� คัญมากที่ ุด คือ ผู้บริ ารมีค ามมุ่งมั่นในการท�างานเพื่อผล �าเร็จโดยร มของม า ิทยาลัยเป็น ลัก โดยองค์ประกอบนี้เป็นแ ล่ง ค ามแปรปร นร่ ม 6.186 รือคิดเป็นร้อยละ 17.182 องค์ประกอบ ที่ 3 เป็นองค์ประกอบด้านเทคโนโลยี ตั แปรที่มีค าม �าคัญมากที่ ุด คือ �านักงานอธิการบดีมีการพัฒนาระบบเทคโนโลยี าร นเท อย่าง ต่อเนื่อง โดยองค์ประกอบนี้เป็นแ ล่งค ามแปรปร นร่ ม 6.082 รือ คิดเป็นร้อยละ 16.894 องค์ประกอบที่ 4 เป็นองค์ประกอบด้าน ค ามพึงพอใจในงาน ตั แปรที่มีค าม �าคัญมากที่ ุดคือ ผู้ปฏิบัติงาน ใน �านักงานอธิการบดี มีค ามภาคภูมิใจที่ได้ท�างานใน น่ ยงาน โดย องค์ประกอบนี้เป็นแ ล่งค ามแปรปร นร่ ม 5.940 รือคิดเป็นร้อย ละ 16.500 คำา ำาคั 1) องค์ประกอบ 2) ประ ิทธิภาพ 3) ม า ิทยาลัยราชภัฏ
120 วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
โ พิ คำาน นชัย และปรีชา ง ์ไกรเลิ
Abstract
The purpose of this research was to study the components affecting the operative efficiency in the Offices of the President in Rajabhat Universities. The 256 samples used were presidents, vice presidents, deans, directors of presidential office, heads of financial mission, heads of personnel department, heads of policy and plan department, and heads of student development department. The statistics employed was a component analysis survey with a component extraction using a component analysis with orthogonal rotation via varimax method. Upon analyzing the data, the four components found accordingly. Component one was a component regarding organization structure and work procedures, in which the most important variables found were staffs supplying, and assigning job responsibilities based on expertise and capabilities. This component yielded variance at 8.304, which were 22.316 of percentage. Component two was a component concerning leadership and work administration, in which the most important variable found was the administrative committee’s determination for work success. This component yielded variance at 6.186, which were 17.182 of percentage. Component three was a component about technology, in which the most important variable found was presidential office with continuous development of information technology. This component yielded variance at 6.082, which were 16.894 of percentage. Component four was a component regarding satisfaction for the work done, in which the most important variable found
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธัน าคม 2014/2557
121
องค์ประกอบที่มีผลต่อประ ิทธิภาพการปฏิบัติงานของ ำานักงานอธิการบดี ม าวิทยาลัยราชภัฏ
was pride of staffs in presidential offices to work in these offices. This component yielded variance at 5.940, which were 16.500 of percentage.
1) Component 2) Efficiency 3) Rajabhat University
ที่มาและความ ำาคั ของป า ังคมโลกมีการแข่งขันกันในอัตราที่ ค่อนข้าง ูงและ ่งผลกระทบใน งก ้าง การ เปลี่ยนแปลงของ ังคมโลก ซึ่งเป็นผลมาจาก ภา การณ์ที่เรียก ่า โลกไร้พรมแดน ท�าใ ้ การจัดระเบียบทาง ังคม เ ร ฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี าร นเท และการ ื่อ ารเป็นไป อย่างร ดเร็ และทั่ ถึง การเชื่อมโยงกันของ ประเท ต่างๆ ต้องเผชิญกับปัญ าที่ท้าทาย และการแข่งขันที่เข้มข้น ประชาคมโลกจึง ต้อง ร้างค ามร่ มมือกันภายใต้กติกาและ ร้างขีดค าม ามารถในการพึ่งพาตนเองเพื่อ การปรั บ ตั และเปลี่ ย นแปลงอย่ า งร ดเร็ ประเท ไทยได้ ก� า นด าระแ ่ ง ชาติ ใ ้ ด� า เนินการปฏิรูป 3 เรื่อง ลัก ได้แก่ ปฏิรูป การเมือง ปฏิรูปการ ึก าและปฏิรูปราชการ ใ ้มีค าม อดคล้อง ทัน มัย ก้า น้า มีประิทธิภาพและประ ิทธิผล ( ิจิตร รี อ้าน, 2547)
122 วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
การบริ ารจั ด การภายในม า ิ ท ยาลั ย ราชภั ฏ จะบรรลุ ต ามพั น ธกิ จ ลั ก ของ ม า ิทยาลัยได้อย่างมีประ ิทธิภาพนั้น จะ ต้ อ งได้ รั บ ค ามร่ มมื อ จากทุ ก น่ ยงาน ภายในม า ิทยาลัย เนื่องจากม า ิทยาลัย ราชภัฏ เป็น ถาบันอุดม ึก าเพื่อการพัฒนา ท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติม า ิทยาลัย ราชภัฏ พ. . 2547 มีลัก ณะเป็นองค์การ ขนาดใ ญ่ ที่ มี ลั ก ณะของงานก ้ า งข าง ลับซับซ้อนมากคือ มีทั้งงานด้าน ิชาการซึ่ง เป็น น่ ยงาน ลักในการผลิตบัณฑิต และ งาน นับ นุนซึ่งเป็น น่ ยงานเ ริมใ ้การ ผลิ ต บั ณ ฑิ ต ของม า ิ ท ยาลั ย บรรลุ ต าม ัตถุประ งค์อย่างมีประ ิทธิภาพและตอบ นองภารกิจอื่นในฐานะที่เป็นม า ิทยาลัย ของท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติม า ิทยาลัย ราชภัฏ ประกอบด้ ย �านักและ ูนย์ต่างๆ เช่น ถาบัน ิจัยและพัฒนา �านัก ิทยบริการ และเทคโนโลยี าร นเท และ � า นั ก งาน
โ พิ คำาน นชัย และปรีชา ง ์ไกรเลิ
อธิการบดี เป็นต้น ซึ่ง �านักต่างๆ เ ล่านี้ จะ ต้องเกี่ย ข้องกับผู้รับบริการจ�าน นมากทั้ง อาจารย์ ข้าราชการ พนักงานราชการ พนัก- งานม า ิทยาลัย นัก ึก า ตลอดจนบุคคล ภายนอก โดยเฉพาะ �านักงานอธิการบดี ซึ่ง เป็น น่ ยงาน ลักที่มีภารกิจ นับ นุนการ บริ ารจัดการและใ ้บริการแก่ผู้รับบริการทั้ง ภายในและภายนอก เป็น น่ ยงานใ ญ่ที่มี น่ ยงานย่อย ลาย น่ ยงาน อาทิเช่น กอง กลาง กองคลัง กองบริ ารงานบุคคล กอง นโยบายและแผน กองกฎ มาย กองอาคาร ถานที่ กองพัฒนานัก ึก า เป็นต้น ซึ่งใน แต่ละ น่ ยงานย่อยของ �านักงานอธิการบดี จะมีภารกิจ ลักที่ �าคัญ ในการขับเคลื่อนใ ้ ภารกิจของ น่ ยงานต่างๆ ของม า ิทยาลัย ราชภัฏบรรลุ ัตถุประ งค์ได้อย่างมีประ ิทธิภาพดังนี้ คือ 1) ด�าเนินการเกี่ย กับงาน กฎ มาย งานนิติกรรมและ ัญญา งานเกี่ย กับค ามผิดทางละเมิด และงานคดีที่อยู่ใน อ�านาจ น้าที่ของม า ิทยาลัย 2) ด�าเนิน เกี่ย กับงานบริ ารงานบุคคล และจัดระบบ บริ ารจัดการงานด้าน นับ นุน ิชาการของ ม า ิทยาลัย 3) ด�าเนินการเกี่ย กับงานการ เงิน การบัญชี การพั ดุ และงบประมาณ ของม า ิทยาลัย 4) ด�าเนินการเกี่ย กับงาน ธุรการ งาน ารบรรณ งานบริ ารทั่ ไป งาน
ช่ ยอ�าน ยการและเลขานุการ งาน ั ดิการ งานพั ฒ นาอาคาร ถานที่ แ ละ ิ่ ง แ ดล้ อ ม งานยานพา นะ และงานประชา ัมพันธ์ของ ม า ิทยาลัย 5) เ นอค ามเ ็นเพื่อประกอบ การพิ จ ารณาของผู้ บ ริ ารในการก� า นด นโยบายจัดท�าแผนงาน รือโครงการของ ม า ิทยาลัย พิจารณาจัดท�าและ ิเคราะ ์ แผนงานและโครงการจัดตั้งงบประมาณประ จ�าปีของม า ิทยาลัย เป็นต้น จากภารกิ จ ลั ก ที่ � า คั ญ ของ � า นั ก งานอธิการบดี ม า ิทยาลัยราชภัฏ จึงถือได้ ่า �านักงานอธิการบดี เป็น ั ใจ �าคัญของ ม า ิทยาลัย ที่จะท�า น้าที่ช่ ยขับเคลื่อนใ ้ ภารกิจของม า ิทยาลัยบรรลุเป้า มายของ การเป็น ถาบันอุดม ึก า เพื่อพัฒนาท้อง ถิ่นอย่างแท้จริง ผู้ ิจัยซึ่งเป็นผู้ นึ่งที่ปฏิบัติ น้าที่ในม า ิทยาลัยราชภัฏ ได้ตระ นัก ถึงค าม �าคัญในเรื่องดังกล่า และต้องการ ทราบ ่า ประ ิทธิภาพการปฏิบัติงานของ �านักงานอธิการบดี ม า ิทยาลัยราชภัฏ มี องค์ ป ระกอบอะไรที่ มี ผ ลต่ อ ประ ิ ท ธิ ภ าพ ในการปฏิ บั ติ ง านของ � า นั ก งานอธิ ก ารบดี ม า ิทยาลัยราชภัฏ จึงมีค าม นใจที่จะ ึก าถึงองค์ประกอบที่มีผลต่อประ ิทธิภาพ การปฏิบัติงานของ �านักงานอธิการบดี ม าิทยาลัยราชภัฏ
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธัน าคม 2014/2557
123
องค์ประกอบที่มีผลต่อประ ิทธิภาพการปฏิบัติงานของ ำานักงานอธิการบดี ม าวิทยาลัยราชภัฏ
วัต ประ งค์ของการวิ ัย เพื่ อ ึ ก าองค์ ป ระกอบที่ มี ผ ลต่ อ ประ ิ ท ธิ ภ าพการปฏิ บั ติ ง านของ � า นั ก งาน อธิการบดี ม า ิทยาลัยราชภัฏ ประ ยชน์ที่ ดรับ ผู้ บ ริ ารและผู้ ป ฏิ บั ติ ง านใน � า นั ก งานอธิการบดี ม า ิทยาลัยราชภัฏ ได้ทราบ ถึงองค์ประกอบที่มีผลต่อประ ิทธิภาพในการ ปฏิบัติงานของ �านักงานอธิการบดี เพื่อเป็น แน ทางพัฒนาการปฏิบัติงานใ ้มีประ ิทธิภาพต่อไป กรอบแนวคิด นการ ก า จากการทบท นแน คิด ทฤ ฎี และ งาน ิ จั ย ที่ เ กี่ ย ข้ อ งผู้ ิ จั ย ได้ ท� า การ ึ ก า แน คิ ด และทฤ ฎี แ ละน� า แน คิ ด มา ร้ า ง เป็นกรอบที่จะ ึก าโดย ึก าองค์ประกอบ ทั้ง มด 6 องค์ประกอบ ประกอบด้ ย ตั แปร ที่ ึก าดังนี้ 1. โครง ร้างองค์การ มายถึง การ จัดแบ่ง ่ นงานต่างๆ ตามภารกิจของ �านัก งานอธิการบดี ม า ิทยาลัยราชภัฏ ที่มีค าม ชัดเจน มีการก�า นดอ�านาจ น้าที่และค าม รับผิดชอบตามบทบาทและลัก ณะของงาน ไ ้อย่างชัดเจน มีการกระจายอ�านาจในการ
124 วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
ตัด ินใจแก่ผู้ปฏิบัติงาน และใ ้ผู้ปฏิบัติงาน ได้ท�างานตามค ามช�านาญเฉพาะอย่าง มี ระบบการประ านงานเพื่อใ ้มีค ามคล่องตั ในการประ านงานระ ่างภารกิจต่างๆ ของ �านักงานอธิการบดี ค าม ัมพันธ์เป็นไปใน ลัก ณะที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ 2. ภา ะผู้น�า มายถึง ค ามรู้ ค าม ามารถของผู้ บ ริ ารม า ิ ท ยาลั ย ราชภัฏ ที่มีอิทธิพลต่อผู้ตามในการโน้มน้า ชักจูง เปลี่ยนแปลงการกระท�าของบุคคลและ กลุ่มใ ้ ามารถร มพลังช่ ยกันท�างานด้ ย ค ามเต็มใจ มีค ามรู้ค าม ามารถใน น้าที่ ทางการบริ าร มีค ามมุ่งมั่นทุ่มเทในการ ท�างาน มี ิ ัยทั น์ และ ามารถ่ายทอด ิ ัย ทั น์ ที่ ต้ อ งการได้ อ ย่ า งชั ด เจน พร้ อ มทั้ ง มี พฤติกรรมที่ใ ้ค าม �าคัญทั้งคนและผลงาน เน้นการเปลี่ยนแปลง 3. ัฒนธรรมองค์การ มายถึง ิ่ง ที่บุคคลในองค์การมีค ามเชื่อ มีค ามเข้าใจ และยอมรับร่ มกัน ่า ิ่งใดค รท�า และ ิ่งใด ไม่ค รท�า และยึดถือเป็นแน ปฏิบัต ิ ไม่ ่าจะ เป็นในเรื่องของ ค่านิยม ค ามเชื่อ ทั นคติ และแน ทางในการปฏิบัติงาน มีค่านิยมของ การท�างานเป็นทีม เน้น ่งเ ริมใ ้คิดค้น ิ่ง ใ ม่ๆ ท�างานเชิงรุก มีจิต �านึกที่ดีในการ ปฏิบัติงาน ยอมรับร่ มกัน ่าทุกคนเป็น ่ น
โ พิ คำาน นชัย และปรีชา ง ์ไกรเลิ
นึ่งขององค์การ 4. การมี ่ นร่ ม มายถึง กระบ น การที่ผู้บริ ารและผู้ปฏิบัติงาน ของ �านักงาน อธิการบดี ม า ิทยาลัยราชภัฏ มีพฤติกรรม ร่ มกั น โดยเน้ น การมี ่ นร่ มในการแ ดง ค ามคิดเ ็นในเรื่องของการ างแผน การก�า นดนโยบาย และ ัตถุประ งค์ขององค์การ การใ ้อ�านาจในการตัด ินใจ ร่ มแก้ไขปัญ า ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ใ ้อิ ระกับผู้ปฏิบัติงานใน การด�าเนินงานที่รับผิดชอบ ตลอดจนใ ้ค าม ไ ้ างใจซึ่งกันและกันในองค์การ 5. เทคโนโลยี าร นเท มายถึง การที่ �านักงานอธิการบดี ม า ิทยาลัยราชภัฏ ได้น�าเอาเทคโนโลยี าร นเท คือ ระบบ าร นเท ต่างๆ ที่อา ัยเทคโนโลยีทางด้าน คอมพิ เตอร์ มาใช้ในการค้น า ประม ลผล และจัดเก็บข้อมูล ใ ้ได้ซึ่ง าร นเท ที่เป็น ประโยชน์ เพื่อใช้ประกอบการตัด ินใจในการ ปฏิบัติงานใ ้มีประ ิทธิภาพ 6. ค ามพึงพอใจในงาน มายถึง ค ามรู้ ึกของบุคคลที่มีต่อการท�างานในเชิง บ ก ากได้รับการตอบ นองที่ดี ไม่ ่าจะ เป็นค่าตอบแทน ผลประโยชน์เกื้อกูลที่เ มาะ ม ได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่ มงานและ ผู้บริ าร มีค ามพอใจ มีค ามภาคภูมิใจที่ ได้ท�างานใน น่ ยงาน ท�าใ ้บุคคลเกิดค าม
รู้ ึกกระตือรือร้น มีค ามมุ่งมั่นที่จะท�างาน มีข ัญและก�าลังใจ มีค ามรู้ ึกเป็น ุข และ ปรา จากค าม ิตกกัง ล บเ การ ิ ัย ในการ ิจัยครั้งนี ้ ผู้ ิจัยได้ก�า นด ขอบเขตในการ ิจัยประกอบด้ ย 1. องค์การ คือ �านักงานอธิการบดี ม า ิทยาลัยราชภัฏ จ�าน น 40 แ ่ง ซึ่งแบ่ง เป็นกลุ่มภูมิภาคประกอบด้ ย 1) กลุ่มภาค เ นือ 8 แ ่ง 2) กลุ่มภาคตะ ันออกเฉียงเ นือ มี 12 แ ่ง 3) กลุ่มภาคกลางและภาคตะ ัน ออกมี 5แ ่ง 4) กลุ่มภาคตะ ันตกและภาคใต้ มี 9 แ ่ง และ 5) กลุ่มกรุงเทพม านครมี 6 แ ่ง 2. ประชากรในการ ึ ก า คื อ อธิการบดี รองอธิการบดี คณบดี ผู้อ�าน ย การ �านักงานอธิการบดี และ ั น้ากลุ่ม ภารกิจที่ปฏิบัติงานการเงิน งานบริ ารงาน บุคคล งานนโยบายและแผน และงานพัฒนา นัก ึก า ม า ิทยาลัยราชภัฏ จ�าน น 40 แ ่ง ร ม 708 คน 3. กลุ่มตั อย่างคือ ผู้บริ ารใน ังกัด �านักงานอธิการบดี ม า ิทยาลัยราชภัฏร ม 256 คน ได้มาโดย ิธีการ ุ่มตั อย่างแบบแบ่ง ชั้น (Stratified Random Sampling) โดย
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธัน าคม 2014/2557
125
องค์ประกอบที่มีผลต่อประ ิทธิภาพการปฏิบัติงานของ ำานักงานอธิการบดี ม าวิทยาลัยราชภัฏ
ใช้กลุ่มภูมิภาคเป็นชั้น (Strata) และผู้บริ าร � า นั ก งานอธิ ก ารบดี (ผู้ บ ริ ารระดั บ ู ง ผู้บริ ารระดับกลาง และผู้บริ ารระดับต้น) ม าวิทยาลัยราชภัฏเป็น น่วยการ ุ่ม (Sampling Unit) ลังจากนั้นได้มีการ ุ่มตัวอย่าง แบบง่าย (Simple Random Sampling) เพื่อใ ้ได้กลุ่มตัวอย่างในแต่ละชั้น ซึ่งในการ วิจัยครั้งนี้มีผู้บริ ารเป็น น่วยการ ุ่ม
รปผลการวิ ัย 1. ผลการวิ เ คราะ ์ น�้ า นั ก องค์ ประกอบของตัวแปรที่มีผลต่อองค์ประกอบ ที่มีผลต่อประ ิทธิภาพในการปฏิบัติงานของ � า นั ก งานอธิ ก ารบดี ม าวิ ท ยาลั ย ราชภั ฏ ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ดังตารางที ่ 1-4
ตารางที่ แ ดงองค์ประกอบที ่ 1 ด้านโครง ร้างและการด�าเนินงาน ตัวแปร
องค์ประกอบ
VAR3 การจัดคนเข้าท�างาน การมอบ มายงานยึดตามเกณฑ์ความ ช�านาญเฉพาะทางตาม น้าที่และความ ามารถของแต่ละบุคคล VAR4 มีการจัด ายการบังคับบัญชาที่คล่องตัวและเอื้อประโยชน์ต่อการ ประ านงานระ ว่างฝ่าย และภารกิจงานต่างๆ VAR2 มีการกระจายอ�านาจในการบริ ารและการตัด ินใจแก่ผู้บริ าร ระดับรองตาม ายการบังคับบัญชาและแก่ผู้ปฏิบัติงาน VAR1 โครง ร้างการบริ ารงานของ า� นักงานอธิการบดี มีการจัดแบ่ง ฝ่ายงานและมีการก�า นดอ�านาจ น้าที่รับผิดชอบไว้อย่างชัดเจน VAR13 �านักงานอธิการบดี มีค่านิยมที่เป็นเอกลัก ณ์ และยอมรับร่วมกัน ว่าทุกคนเป็น ่วน นึ่งของม าวิทยาลัยราชภัฏ VAR14 �านักงานอธิการบดีมีค่านิยมที่ ่งเ ริมใ ้ผู้ปฏิบัติงานมี จิต าธารณะและจิต า� นึกที่ดีในการปฏิบัติงาน VAR6 มีการใช้กฎ ระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ ในการควบคุมการปฏิบัติงาน อย่างเคร่งครัด VAR16 �านักงานอธิการบดี ่งเ ริมใ ้ผู้ปฏิบัติงาน ท�างานเป็นทีม โดยใ ้ เข้ามามี ่วนร่วมในการวางแผน การด�าเนินงานและการประเมินผล
126 วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
นำา นัก ป คะแนน องค์ประกอบ องค์ประกอบ 0.729 0.236 0.723
0.213
0.700
0.204
0.689
0.229
0.653
0.185
0.644
0.152
0.628
0.203
0.628
0.133
โ พิ คำาน นชัย และปรีชา ง ์ไกรเลิ
ารางที่ 1 (ต่อ) ั แปร
งค์ประก บ
VAR5 การด�าเนินงานในแต่ละฝ่าย แต่ละภารกิจงาน มีการประ านงาน ทั้งที่เป็นทางการและอย่างไม่เป็นทางการ VAR17 �านักงานอธิการบดี นับ นุนใ ้มีการพัฒนาการน�าแนวคิดใ ม่ๆมา ใช้ในการปรับปรุงการปฏิบัติงานเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น VAR18 �านักงานอธิการบดีมีการถ่ายทอดค่านิยม วิธีการปฏิบัติต่างๆ ใ ้แก่ มาชิกใ ม่เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเรียนรู้ทั้งที่เป็นทางการ และไม่เป็นทางการ VAR15 �านักงานอธิการบดีมีการกระตุ้นใ ้ผู้ปฏิบัติงานประพฤติ ปฏิบัต ิ ตามค่านิยมร่วมวิ ัยทัศน์ และวัตถุประ งค์ที่ก�า นดไว้อย่างชัดเจน VAR19 �านักงานอธิการบดีเปิดโอกา ใ ้ผู้ปฏิบัติงานมี ่วนร่วมแ ดง ความคิดเ ็นในการวางแผน การก�า นดนโยบาย วัตถุประ งค์ และเป้า มายการด�าเนินกิจกรรมขององค์การ VAR20 มีการเ นอแนวคิดและแนวทางปฏิบัติงานพร้อมทั้งอธิบายวิธีการ ท�างานระ ว่างผู้บริ ารกับผู้ปฏิบัติงาน คาค ามแปรปร นร ม
นำา นัก งค์ประก บ 0.622
ป คะแนน งค์ประก บ 0.182
0.617
0.121
0.609
0.113
0.595
0.106
0.498
0.035
0.481
0.025
0 4 ร คิ เปนร ยละ 22 16
ตารางที ่ 1 องค์ประกอบที ่ 1 เป็นองค์ ประกอบด้านโครง ร้างและการด�าเนินงาน ามารถบรรยายได้ด้วยตัวแปร 14 ตัว ตัวแปร ที่มีน�้า นักตั้งแต่ 0.481-0.729 ตัวแปรที่มี ความ �าคัญ 3 ล�าดับแรกคือ 1) การจัดคน เข้าท�างาน การมอบ มายงานยึดตามเกณฑ์ ความช�านาญเฉพาะทางตาม น้าที่และความ ามารถของแต่ละบุคคล 2) มีการจัด ายการ
บังคับบัญชา ที่คล่องตัวและเอื้อประโยชน์ต่อ การประ านงานระ ว่างฝ่าย และภารกิจงาน ต่างๆ และ 3) มีการกระจายอ�านาจในการ บริ ารและการตัด ินใจแก่ผู้บริ ารระดับรอง ตาม ายการบังคับบัญชาและแก่ผู้ปฏิบัติงาน องค์ประกอบนี้เป็นแ ล่งความแปรปรวนร่วม 8.034 รือคิดเป็นร้อยละ 22.316 ของความ แปรปรวนทั้ง มด
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธัน าคม 2014/2557
127
องค์ประกอบที่มีผลต่อประ ิทธิภาพการปฏิบัติงานของ ำานักงานอธิการบดี ม าวิทยาลัยราชภัฏ
ตารางที่ แ ดงองค์ประกอบที ่ 2 ด้านภาวะผู้นา� และการบริ ารงาน ตัวแปร
องค์ประกอบ
VAR11 ผู้บริ ารมีความมุ่งมั่นในการท�างานเพื่อผล �าเร็จโดยรวมของ ม าวิทยาลัยเป็น ลัก VAR12 ผู้บริ ารมีความ ามารถในการถ่ายทอดวิ ัยทัศน์ที่ต้องการ ในอนาคตได้อย่างชัดเจน VAR10 ผู้บริ ารจะแ ดงความชมเชย ใ ้รางวัล รือเลื่อนต�าแ น่งที่ ูงขึ้น ใ ้กับผู้ปฏิบัติงานที่ท�างาน า� เร็จตามเป้า มาย VAR9 ผู้บริ ารมีความ ามารถในการโน้มน้าว ชักจูง ใช้อิทธิพลต่อผู้ตาม ใ ้ปฏิบัติงานด้วยความเต็มใจ ได้เป็นอย่างดี VAR23 เปิดโอกา ใ ้ผู้ปฏิบัติงาน ท�างานตามความรู้ ความ ามารถ และตามแนวคิดของตนเอง VAR21 มีการมอบอ�านาจ ความรับผิดชอบใ ้แก่ผู้ปฏิบัติงานอย่างทั่วถึง และเ มาะ ม VAR8 ผู้บริ ารมีความ ามารถในการพัฒนาระบบงาน เพื่อใ ้การด�าเนิน งาน อดคล้องกับยุทธศา ตร์และภารกิจ ลักของม าวิทยาลัย VAR7 ผู้บริ ารมีความรู ้ ในเรื่อง น้าที่ทางการบริ าร ได้แก่ การวางแผน การจัดองค์การ การจัดคนเข้าท�างาน การควบคุม และการประเมิน ผลการปฏิบัติงาน VAR22 เมื่อเกิดปัญ าในการด�าเนินกิจกรรม ผู้บริ ารและผู้ปฏิบัติงาน ทุกระดับ มี ่วนร่วมในการพิจารณาแก้ไขปัญ าร่วมกัน VAR24 ผู้บริ ารน�าข้อเ นอแนะและความคิดเ ็นของผู้ปฏิบัติงาน ไปใช้อย่าง ม�า่ เ มอ ค่าความแปรปรวนร่วม
0.727
0.322
0.695
0.287
0.629
0.214
0.578
0.174
0.577
0.147
0.573
0.143
0.562
0.150
0.555
0.143
0.554
0.135
รอคิด ปนรอยละ
ตารางที ่ 2 องค์ประกอบที ่ 2 เป็น องค์ประกอบด้านภาวะผู้น�าและการบริ าร งาน ามารถบรรยายได้ด้วยตัวแปร 10 ตัว ตัวแปรที่มีน�้า นักตั้งแต่ 0.554-0.755 ตัวแปร
วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
นำา นัก ป คะแนน องค์ประกอบ องค์ประกอบ 0.755 0.348
ที่มีความ �าคัญ 3 ล�าดับแรกคือ 1) ผู้บริ าร มีความมุ่งมั่นในการท�างานเพื่อผล �าเร็จโดย รวมของม าวิทยาลัยเป็น ลัก 2) ผู้บริ าร มี ค วาม ามารถในการถ่ า ยทอดวิ ั ย ทั ศ น์ ที่
โ พิ คำาน นชัย และปรีชา ง ์ไกรเลิ
ต้องการในอนาคตได้อย่างชัดเจน และ 3) ผู้ บริ ารจะแ ดงค ามชมเชย ใ ้ราง ัล รือ เลื่อนต�าแ น่งที่ ูงขึ้นใ ้กับผู้ปฏิบัติงานที่ท�า
งาน า� เร็จตามเป้า มาย องค์ประกอบนี้เป็น แ ล่งค ามแปรปร นร่ ม 6.186 รือคิดเป็น ร้อยละ 17.182 ของค ามแปรปร นทั้ง มด
ารางที่ แ ดงองค์ประกอบที ่ 3 ด้านเทคโนโลยี ั แปร
งค์ประก บ
VAR28 �านักงานอธิการบดีมีการพัฒนาระบบเทคโนโลยี าร นเท อย่างต่อเนื่อง VAR27 �านักงานอธิการบดีมีซอฟต์แ ร์ (โปรแกรม �านักงาน) ที่เ มาะ ม กับลัก ณะงานที่ปฏิบัติ VAR29 �านักงานอธิการบดีมีระบบเครือข่าย าร นเท ที่มีประ ิทธิภาพ ตอบ นองต่อการปฏิบัติงาน VAR26 �านักงานอธิการบดีมีเครื่องมือและอุปกรณ์ทางเทคโนโลยี าร นเท (เครื่องคอมพิ เตอร์ เครื่องพิมพ์ ฯลฯ) ที่ใช้ในการ ปฏิบัติงาน มีอย่างเพียงพอ VAR30 �านักงานอธิการบดีมีการพัฒนาเครือข่ายระบบ าร นเท ( ังคมออนไลน์) เพื่อใช้ในการประ านงาน ติดต่อ ื่อ าร VAR25 �านักงานอธิการบดีมีระบบ าร นเท (MIS) เป็นเครื่องมือในการ บริ ารจัดการภารกิจต่างๆ คาค ามแปรปร นร ม
นำา นัก งค์ประก บ 0.844
ป คะแนน งค์ประก บ 0.256
0.830
0.247
0.798
0.218
0.781
0.250
0.774
0.211
0.773
0.222
6 0 2 ร คิ เปนร ยละ 16 4
ตารางที ่ 3 องค์ประกอบที ่ 3 เป็น องค์ประกอบด้านเทคโนโลยี ามารถบรรยาย ได้ด้ ยตั แปร 6 ตั ตั แปรที่มีนา�้ นักตั้งแต่ 0.773-0.844 ตั แปรที่มีค าม า� คัญ 3 ล�าดับ แรกคือ 1) �านักงานอธิการบดีมีการพัฒนา ระบบเทคโนโลยี าร นเท อย่ า งต่ อ เนื่ อ ง
2) �านักงานอธิการบดีมีซอฟต์แ ร์ (โปรแกรม � า นั ก งาน) ที่ เ มาะ มกั บ ลั ก ณะงานที่ ปฏิบัติ และ 3) �านักงานอธิการบดีมีระบบ เครื อ ข่ า ย าร นเท ที่ มี ป ระ ิ ท ธิ ภ าพตอบ นองต่อการปฏิบัติงาน องค์ประกอบนี้เป็น แ ล่งค ามแปรปร นร่ ม 6.082 รือคิดเป็น ร้อยละ 16.894 ของค ามแปรปร นทั้ง มด
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธัน าคม 2014/2557
129
องค์ประกอบที่มีผลต่อประ ิทธิภาพการปฏิบัติงานของ ำานักงานอธิการบดี ม าวิทยาลัยราชภัฏ
ตารางที่ แ ดงองค์ประกอบที ่ 4 ด้านค ามพึงพอใจในงาน ตัวแปร
องค์ประกอบ
VAR31 ผู้ปฏิบัติงานใน า� นักงานอธิการบดีมีค ามภาคภูมิใจ ที่ได้ท�างานใน น่ ยงานนี้ VAR33 ผลการปฏิบัติงานได้รับการยอมรับและ นับ นุนจากเพื่อนร่ มงาน VAR32 ผู้ปฏิบัติงานมีค ามพึงพอใจในงานที่ทา� อยู่ VAR34 ผู้ปฏิบัติงานมีค ามรู้ ึกมั่นคง เจริญก้า น้าใน น้าที่รับผิดชอบ VAR36 ผู้ปฏิบัติงานได้รับการยอมรับจากผู้บริ ารในเรื่องค ามรู้ค าม ามารถ VAR35 ผู้ปฏิบัติงานมีค่าตอบแทนและผลประโยชน์เกื้อกูลตลอดจนบริการ ที่ได้จากการท�างาน เ มาะ มกับงานที่รับผิดชอบ ค่าความแปรปรวนร่วม
0.767 0.742 0.719 0.647 0.609
0.327 0.299 0.265 0.218 0.185
รอคิด ปนรอยละ
ตารางที ่ 4 องค์ประกอบที ่ 4 เป็นองค์ ประกอบด้านค ามพึงพอใจในงาน ามารถ บรรยายได้ด้ ยตั แปร 6 ตั ตั แปรที่มีน�้า นักตั้งแต่ 0.609-0.789 ตั แปรที่มีค าม �าคัญ 3 ล�าดับแรกคือ 1) ผู้ปฏิบัติงานใน � า นั ก งานอธิ ก ารบดี มี ค ามภาคภู มิ ใจที่ ไ ด้ ท�างานใน น่ ยงานนี้ 2) ผลการปฏิบัติงาน ได้รับการยอมรับและ นับ นุนจากเพื่อนร่ ม งาน และ 3) ผู้ปฏิบัติงานมีค ามพึงพอใจใน งานที่ท�าอยู่ องค์ประกอบนี้เป็นแ ล่งค าม แปรปร นร่ ม 5.940 รือคิดเป็นร้อยละ 16.500 ของค ามแปรปร นทั้ง มด อภิปรายผล จากการ ึ ก าครั้ ง ผู ้ ึ ก ามี ค าม
130 วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
นำา นัก ป คะแนน องค์ประกอบ องค์ประกอบ 0.789 0.342
นใจที่จะจัดกลุ่มตั แปรโดยจะท�าการแยก เป็นองค์ประกอบใ ้เป็นกลุ่มเพื่อที่จะ ึก า ค าม � า คั ญ ของแต่ ล ะองค์ ป ระกอบและ ท�าการจัดกลุ่มใ ้ตั แปรย่อยที่มีค าม �าคัญ อยู ่ ใ นกลุ ่ ม ที่ มี ค ่ า คะแนนอยู ่ ใ นแต่ ล ะองค์ ประกอบพบ ่า ในด้านโครง ร้างและการ ด�าเนินงานนั้น จะมีกลุ่มตั แปรย่อยที่เป็น ตั แปร �าคัญในองค์ประกอบได้แก่ตั แปร เรื่องการจัดคนเข้าท�างาน การมอบ มายงาน องค์การจะต้องยึดตามเกณฑ์ค ามช�านาญ เฉพาะทางตาม น้าที่และค าม ามารถของ แต่ละบุคคล มีการจัด ายการบังคับบัญชา ที่ท�าใ ้เกิดค ามคล่องตั และเอื้อประโยชน์ ต่อการประ านงานระ ่างฝ่าย และแต่ละ ภารกิจงานต่างๆ ที่มีในองค์การ พร้อมทั้ง
โ พิ คำาน นชัย และปรีชา ง ์ไกรเลิ
ต้องมีการกระจายอ�านาจในการบริ ารและ การตัด ินใจแก่ผู้บริ ารระดับรองตาม าย การบังคับบัญชาและแก่ผู้ปฏิบัติงาน ซึ่ง อด คล้องกับแน คิดของ Mintzberg (1983) กล่า ่าโครง ร้างองค์การที่มีประ ิทธิภาพ มีอยู ่ 5 รูปแบบคือ 1) โครง ร้างแบบง่าย (Simple Structure) 2) โครง ร้างราชการ แบบเครื่องจักร (Machine Bureaucracy) 3) โครง ร้างราชการแบบ ิชาชีพ (Professional Bureaucracy) และ 4) โครง ร้าง แบบ าขา (Divisionalized Form) และ เนื่ อ งจาก � า นั ก งานอธิ ก ารบดี เ ป็ น น่ ย งานราชการ โครง ร้างที่มีประ ิทธิภาพคือ โครง ร้างราชการแบบเครื่องจักร (Machine Bureaucracy) เป็นโครง ร้างที่มี ายการ บังคับบัญชา และค ามรับผิดชอบที่ชัดเจน มี กฎ ระเบียบ และ ิธีปฏิบัติงาน จ�าน นมาก มี การแบ่งงานตามค ามช�านาญเฉพาะด้าน ูง โดยเฉพาะงาน ลัก (Line) และงาน นับ นุน (Staff) ลัก ณะของงานเป็นงานประจ�า การ ื่อ ารและการไ ลของข้อมูล าร นเท จะ เป็นไปตาม ายการบังคับบัญชา การค บคุม อา ัยมาตรฐานของการท�างาน และมีการร ม ูนย์การตัด ินใจ ด้ า นภา ะผู ้ น� า และการบริ ารงาน นั้นจะมีกลุ่มตั แปรย่อยที่เป็นตั แปร �าคัญ
ในองค์ประกอบได้แก่ ผู้บริ ารต้องมีค าม มุ ่ ง มั่ น ในการท� า งานเพื่ อ ผล � า เร็ จ ในภาพ ร มเรื่องต่างๆ ของม า ิทยาลัยเป็น ลัก ผู้ บริ ารมีค าม ามารถในการถ่ายทอด ิ ัย ทั น์ในอนาคตได้อย่างชัดเจน ผู้บริ ารจะ ต้องแ ดงค ามชมเชย ใ ้ราง ัล รือเลื่อน ต�าแ น่งผู้ปฏิบัติงานใ ้ ูงขึ้นกรณีที่ท�างาน า� เร็จตามเป้า มาย อดคล้องกับแน คิด ของ Nanus (1992) กล่า ่าภา ะผู้น�าที่ ่งผล ต่อประ ิทธิภาพในยุคแ ่งการเปลี่ยนแปลง คือ เป็นผู้ก�า นดทิ ทางองค์การ (Direction Setter) เป็นผู้นา� ที่เลือกและก�า นด เป้า มายในอนาคต ซึ่งจะ อดคล้องต่อปัจจัย ภาพแ ดล้อมภายนอกขององค์การ องค์การ ที่ มี ป ระ ิ ท ธิ ภ าพต้ อ งมี ก ารก� า นดทิ ทาง ขององค์การใ ้ชัดเจน ผู้ที่ท�า น้าที่ก�า นด ทิ ทางองค์การนั้นต้องมี ิ ัยทั น์ต้องมีค าม ามารถในการก�า นดแน ทางค ามก้า น้า ขององค์การ เป็นผู้น�าเอาเทคโนโลยี มัยใ ม่ มาประยุกต์ใช้ ถ้าผู้นา� ามารถก�า นดทิ ทาง องค์การได้แล้ ก็ ามารถที่จะ ร้าง ิ ัยทั น์ รื อ ใ ้ ทุ ก คนในองค์ ก ารมี ค ามปรารถนา ร่ มกัน ที่จะท�าใ ้เป็นจริงได้ เป็นผู้นา� ที่รับ ผิดชอบในการกระตุ้นและเกื้อ นุนใ ้เกิดการ เปลี่ยนแปลงภายในองค์การทั้งด้านบุคลากร ทรัพยากรและ ิ่งอ�าน ยค าม ะด กต่างๆ
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธัน าคม 2014/2557
131
องค์ประกอบที่มีผลต่อประ ิทธิภาพการปฏิบัติงานของ ำานักงานอธิการบดี ม าวิทยาลัยราชภัฏ
เป็ น ผู ้ ก� า นด ิ ั ย ทั น์ ู ่ ค าม � า เร็ จ ใน อนาคตได้ การเป็นผู้น�าการเปลี่ยนแปลงที่ ดี จ ะต้ อ งคาดการณ์ เ ตุ ก ารณ์ ล ่ ง น้ า ใน อนาคตได้ดี มีแน คิดในการเปลี่ยนแปลง อย่ า งไม่ ยุ ด นิ่ ง ิ ั ย ทั น์ ข องผู ้ น� า การ เปลี่ยนแปลงจะชัดเจนในเรื่องการพัฒนา การ นับ นุน การ ิจัยทดลอง การกระจายอ�า นาจ การตัด ินใจ ู่ระดับปฏิบัติการ มีค าม ยื ด ยุ ่ น ในการปฏิบัติงานเพื่อใ ้ อดคล้อง ต่ อ การเปลี่ ย นแปลงที่ ดี ก ่ า ในอนาคต ใน ท�านองเดีย กัน Bernard (1990) กล่า ่า ผู้น�าค รเป็นผู้น�าที่ผู้ตามไ ้ใจ จงรักภักดี และ ค รมี ่ นประกอบที่ �าคัญ เพื่อช่ ยใ ้ผู้ตาม ามารถ ร้างค ามพึงพอใจในตนเองภายใต้ ภา ะของเปลี่ยนแปลงได้ ่ นประกอบที่ �าคัญคือ แรงจูงใจ (Inspirational Motivation) เป็นพฤติกรรรมที่ผู้น�าจะจูงใจและ ร้าง แรงบันดาลใจใ ้ผู้ตามท�างาน โดยการมอบ มายงานที่ท้าทายและมีค าม มายใ ้ ด้านเทคโนโลยีนั้นจะมีกลุ่มตั แปร ย่ อ ยที่ เ ป็ น ตั แปร � า คั ญ ในองค์ ป ระกอบ ได้แก่ า� นักงานอธิการบดีต้องมีการพัฒนา ระบบเทคโนโลยี าร นเท อย่างต่อเนื่อง มี ซอฟต์แ ร์ (โปรแกรม �านักงาน) ที่เ มาะ ม กับลัก ณะงานที่ปฏิบัต ิ และมีระบบเครือข่าย าร นเท ที่มีประ ิทธิภาพตอบ นองต่อการ
132 วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
ปฏิบัติงาน อดคล้องกับแน คิดของครรชิต มาลัย ง ์ (2549) ได้กล่า ่า เทคโนโลยี าร นเท มี ค าม � า คั ญ ในชี ิ ต ประจ� า ั น ของมนุ ย์ทุกคนมากขึ้น ่ น นึ่งเพื่ออ�าน ย ค าม ะด กในการด�ารงชี ิต ช่ ยใ ้ ามารถ ติดต่อ ื่อ ารกันได้อย่างร ดเร็ ช่ ย ร้าง ค าม ามารถในการแข่ ง ขั น ของ น่ ยงาน และช่ ย ร้างประ ิทธิภาพในการท�างานของ ผู้ปฏิบัติงาน นอกจากนี้ รี มรัก อินทุจันทร์ยง (2549) ได้กล่า ่า เทคโนโลยี าร นเท ช่ ยเพิ่มประ ิทธิภาพในการปฏิบัติงานของ องค์การ ในเรื่องของการลดเ ลาในการปฏิบัติ งาน การลดกระบ นงานในการปฏิบตั งิ าน และ การเพิ่มผลผลิต ท�าใ ้เ ลาที่ใช้ในการ ร้าง ผลผลิ ต ต่ อ น่ ยลดลง ามารถลดต้ น ทุ น การผลิตได้ นอกจากนี้เทคโนโลยี าร นเท ยังช่ ยเพิ่มประ ิทธิภาพการตัด ินใจของผู้ บริ าร และเพิ่มค าม ามารถในการแข่งขัน ได้ด้ ยการ ร้างผลิตภัณฑ์ รือบริการใ ม่ ด้ า นค ามพึ ง พอใจในงานนั้ น จะมี กลุ่มตั แปรย่อยที่เป็นตั แปร �าคัญในองค์ ประกอบได้ แ ก่ ผู ้ ป ฏิ บั ติ ง านใน � า นั ก งาน อธิการบดี ต้องมีค ามภาคภูมิใจที่ได้ทา� งาน ใน น่ ยงานนี ้ มีผลการปฏิบัติงาน ได้รับการ ยอมรับและ นับ นุนจากเพื่อนร่ มงาน ทั้งนี้ ผู้ปฏิบัติงานจะต้องมีค ามพึงพอใจในงานที่
โ พิ คำาน นชัย และปรีชา ง ์ไกรเลิ
ท�าอยู่ในปัจจุบันด้ ย อดคล้องกับแน คิด เกี่ย กับค ามพึงพอใจในงานของ Maslow (1965) ล�าดับขั้นที่ 4 ที่กล่า ่า มนุ ย์มีค าม ต้องการที่จะได้รับการยกย่อง เชิดชูจากบุคคล ที่อยู่รอบข้าง และ ังคม ซึ่งค ามต้องการใน ขั้นนี้ถ้าได้รับการตอบ นองแล้ จะก่อใ ้เกิด ค ามภาคภูมิใจในตนเอง ในท�านองเดีย กัน Herzberg (1966) เจ้าของทฤ ฎี องปัจจัย (Two-Factor Theory) ได้กล่า ่า มนุ ย์จะ มีค ามพึงพอใจในงานเมื่อเกิดค าม �าเร็จใน การปฏิบัติงาน การได้รับการยอมรับนับถือ ลัก ณะของงานที่ปฏิบัต ิ ค ามรับผิดชอบใน งานที่ได้รับมอบ มาย และมีค ามก้า น้าใน การปฏิบัติงาน โดย Herzberg มีค ามเชื่อ ่า ปัจจัยจูงใจเป็นปัจจัยที่ า� คัญ ที่จะกระตุ้นใ ้ ผู้ปฏิบัติงานเกิดค ามพึงพอใจในการปฏิบัติ งาน และท�าใ ้การปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงาน เป็นไปอย่างมีประ ิทธิภาพ ถ้า าก ่าผู้ปฏิบัติ งานได้รับการตอบ นองในปัจจัยนี้อย่างเพียง พอ
มีการจัด ายการบังคับบัญชาที่คล่องตั และ เอื้ อ ประโยชน์ ต ่ อ การประ านงานระ ่ า ง ฝ่าย และภารกิจงานต่างๆ 2. ค รก� า นดภาระ น้ า ที่ ใ ้ กั บ ผู้บริ าร โดย น้าที่ �าคัญของผู้บริ ารนั้น จะต้ อ งมี ค ามมุ ่ ง มั่ น ในการท� า งานเพื่ อ ผล �าเร็จในภาพร มของม า ิทยาลัยเป็น ลัก ก่อน ่ นในล�าดับถัดมาได้แก่ผู้บริ ารจะ ต้องมีค าม ามารถในการถ่ายทอด ิ ัยทั น์ องค์การได้อย่างชัดเจนด้ ย 3. ค รพัฒนาระบบเทคโนโลยี ารนเท อย่างต่อเนื่อง มีการผลิตซอฟต์แ ร์ (โปรแกรม �านักงาน) ที่เ มาะ มกับลัก ณะ งานที่ปฏิบัต ิ และมีระบบเครือข่าย าร นเท ที่มีประ ิทธิภาพตอบ นองต่อการปฏิบัติงาน 4. ค รมี กิ จ กรรม รื อ ิ ธี ก ารที่ ามารถ ร้างผู้ปฏิบัติงานใ ้มีค ามภาคภูมิใจ ที่ได้ทา� งานใน น่ ยงานนี ้ และท�าใ ้ ามารถ ร้ า งผลการปฏิ บั ติ ง านเป็ น ที่ ย อมรั บ และ นับ นุนจากเพื่อนร่ มงาน
เ น แนะ งงาน ิ ัย 1. ค รมีการด�าเนินการเรื่องการจัด คนเข้าท�างาน การมอบ มายงาน องค์การ จะต้องยึดตามเกณฑ์ค ามช�านาญเฉพาะทาง ตาม น้าที่และค าม ามารถของแต่ละบุคคล
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธัน าคม 2014/2557
133
องค์ประกอบที่มีผลต่อประ ิทธิภาพการปฏิบัติงานของ ำานักงานอธิการบดี ม าวิทยาลัยราชภัฏ
บรร านกรม ครรชิต มาลัย ง ์ และประ ิทธิ์ ทีฆพุฒิ. 2549. การ ัดการ ทค น ลยี าร น ท กรุงเทพฯ : ดอก ญ้า. ิจิตร รี อ้าน. 2547. ผลกระทบ ของการปฏิรูปอุดม ึก าไทยต่อ ังคมฐานค ามรู้. อน ารอดม ก า (ตุลาคม) : 316. รี มรัก อินทุจันทร์ยง. 2549. ระบบ าร น ท พ่อการ ัดการ กรุงเทพฯ : ม า ิทยาลัย ธรรม า ตร์.
134 วาร ารวิชาการ วิทยาลัยแ งธรรม
Herzberg, F. 1966. New York : The World. Maslow, A.M. 1965. lllinois : Richard D, Irwin and the Dorsey. Mintzberg, H. 1983. New Jersey : Prentice Hall. Nanus, B. 1992. San Francisco : Jossey-Bass.
าร าร ิชาการ ิทยาลัยแ งธรรม Sa e n g th a m Co lle g e Jo u rn a l
ใบสมัครสมาชิก วารสารวิชาการ วิทยาลัยแสงธรรม มาชิกในนาม............................................................................................................... ที่อยู่ ( าำ รับจัด ่ง าร าร ิชาการ) เลขที่.................................ถนน.................................... แข ง/ตำาบล...................................................เขต/อำาเภอ.................................................. จัง ัด..................................................................ร ั ไปร ณีย์...................................... โทร ัพท์.....................................................................โทร าร......................................... มีค ามประ งค์ มัครเป็น มาชิก าร าร ิชาการ ิทยาลัยแ งธรรม 1 ปี (2 ฉบับ) อัตราค่า มาชิก 200 บาท าร าร ิชาการ ิทยาลัยแ งธรรม 2 ปี (4 ฉบับ) อัตราค่า มาชิก 400 บาท าร าร ิชาการ ิทยาลัยแ งธรรม 3 ปี (6 ฉบับ) อัตราค่า มาชิก 500 บาท ชำาระเงินโดย ิธี ธนาณัติ ( ั่งจ่าย “บาท ล งอภิ ิทธิ์ กฤ เจริญ”) ปณ. อ้อมใ ญ่ 73160 โอนเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงไทย าขา ามพราน ชื่อบัญชี “ าร าร ิชาการ ิทยาลัยแ งธรรม” เลขที่บัญชี 734-0-27562-2 (พร้อม ่งเอก ารการโอนมาที่ Fax. 0-2429-0819) ที่อยู่ที่ต้องการใ ้ออกใบเ ร็จรับเงิน ตามที่อยู่ที่จัด ่ง ที่อยู่ใ ม่ในนาม....................................................................................................... เลขที่.........................ถนน.............................แข ง/ตำาบล..................................... เขต/อำาเภอ............................จัง ัด...............................ร ั ไปร ณีย์................... .............................................(ลงนามผู้ มัคร) ........./............./.......... ( ันที่) ง่ ใบ มัครมาที่ : ศูนย์วิจัยค้นคว้าศา นาและวัฒนธรรม วิทยาลัยแ งธรรม เลขที่ 20 มู่ 6 ต.ท่าข้าม อ. ามพราน จ.นครปฐม 73110 รือที่ โทร าร 0 2 429 0819
รูปแบบและเงื่อนไขการ ่งต้นฉบับบทค าม
www.saengtham.ac.th/journal
1. การพิมพ์ผลงานทาง ิชาการค รจัดพิมพ์ด้ ย Microsoft Word for Windows รือซอฟท์แ ร์อื่นที่ ใกล้เคียงกัน พิมพ์บนกระดา ขนาด A4 น้าเดีย ประมาณ 30 บรรทัด ต่อ 1 น้า TH SarabunPSK ขนาดของตั อัก รเท่ากับ 16 และใ ่เลข น้าตั้งแต่ต้นจนจบบทค าม 2. ต้องมีชื่อเรื่องบทค ามทั้งภา าไทยและภา าอังกฤ 3. ใ ้ข้อมูลเกี่ย กับผู้เขียนบทค ามทุกคน ได้แก่ ชื่อ-นาม กุลของผู้เขียน น่ ยงานที่ ังกัด ตำาแ น่ง ทาง ิชาการ (ถ้ามี) E-mail รือโทร ัพท์ ากเป็น ิทยานิพนธ์ ต้องมีชื่อและ ังกัดของอาจารย์ที่ปรึก า ด้ ย ทั้งภา าไทยและภา าอังกฤ 4. ทุกบทค ามจะต้องมีบทคัดย่อภา าไทย และ Abstract จะต้องพิมพ์คำา ำาคัญในบทคัดย่อภา าไทย และ พิมพ์ Keywords ใน Abstract ของบทค ามด้ ย 5. บทค าม ิจัยค ามยา ไม่เกิน 12 น้า บทค าม ิชาการค ามยา ไม่เกิน 8 น้า (ร มบรรณานุกรมแล้ ) 6. เชิงอรรถอ้างอิง (ถ้ามี) 7. บรรณานุกรมตามมาตรฐาน APA แยกผลงานภา าไทยและภา าอังกฤ (เรียงตามลำาดับตั อัก ร) 8. บทค าม ิจัยค รมี ั ข้อดังนี้ ชื่อเรื่องบทค าม ิจัย(ภา าไทยและภา าอังกฤ ) ชื่อผู้เขียนพร้อมข้อมูล ่ นตั ของทุกคน(รายละเอียดตามข้อ 3) บทคัดย่อภา าไทย และ Abstract ค าม ำาคัญของเนื้อ า ัตถุประ งค์ มมติฐานของการ ิจัย ประโยชน์ที่ได้รับ ขอบเขตการ ิจัย นิยาม ัพท์(ถ้ามี) ิธีการดำาเนิน การ ผลการ ิจัย ข้อเ นอแนะ และบรรณานุกรม/References 9. ค่าใช้จ่ายในการตร จประเมิน จำาน น 2,400 บาท โดยโอนเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงไทย าขา ามพราน ชื่อบัญชี “ าร าร ิชาการ ิทยาลัยแ งธรรม” เลขที่บัญชี 734-0-27562-2 (พร้อม ่งเอก าร การโอนมาที่ Fax. 0-2429-0819 รือที่อีเมล cheat_p@hotmail.com) ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายดังกล่า ผู้ ่ง บทค ามเป็นผู้รับผิดชอบ และจะไม่ได้รับคืนในทุกกรณี 10. กองบรรณาธิการนำ า บทค ามที่ท่าน ่งมาเ นอต่ อ ผู้ ท รงคุ ณ ุ ฒิ เ พื่ อ ประเมิ น คุ ณ ภาพค ามเ มาะ ม ของบทค ามก่อนการตีพิมพ์ ในกรณีที่ผลการประเมินระบุใ ้ต้องปรับปรุง รือแก้ไข ผู้เขียนจะต้อง ดำาเนินการใ ้แล้ เ ร็จภายในระยะเ ลา 15 ันนับจาก ันที่ได้รับผลการประเมินบทค าม ากท่าน ต้องการ อบถามกรุณาติดต่อกับกองบรรณาธิการ าร าร ิชาการ โทร ัพท์ (02) 4290100 โทร าร (02) 4290819 รือ E-mail: cheat_p@hotmail.com
ขั้นตอนการจัดทำา
วารสารวิชาการ วิทยาลัยแสงธรรม Saesngtham College Journal
เริ่มต้น ประกาศรับบทความต้นฉบับ รับบทความต้นฉบับ แก้ไข กอง บก. ตรวจรูปแบบทั่วไป
ไม่ผ่าน
แจ้งผู้เขียน
ผ่าน ส่งผู้ทรงคุณวุฒิ ข
ก้ไ อ้ งแ
ผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาบทความ
ไม่ผ่าน
แจ้งผู้เขียน
ไม่ต
แก้ไ
ข
ผ่าน กองบรรณาธิการแจ้งยืนยัน การรับบทความ จัดพิมพ์เผยแพร่ จบ
แจ้งผู้เขียน แก้ไข
จบ