คูมือครู 㪌»ÃСͺ¡ÒÃÊ͹ËÇÁ¡Ñº
˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ©ºÑº ÍÞ.
·Õè ȸ. ¨Ð»ÃСÒÈÃÒ¡Òú¹àÇçºä«µ µÑé§áµ‹ Á. ¤. ’55 ໚¹µŒ¹ä»
». หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน
วิทยาศาสตร
ชั้นประถมศึกษาปที่ ๓
กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ตนวิจสถานศึ ิตตเวชกษาสามารถเลือกใชได วงศศิริ รักซอน ตรัรวจฯ หนังศิสืรอิรนีัต้ผนานการตรวจโดยคณะผู
เอกสารประกอบคูมือครู
กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร
รายวิชา
วิทยาศาสตร
ู ร ค หรับ
สํา
ชั้นประถมศึกษาปที่
คูมือครูฉบับนี้ ประกอบดวย ● ● ● ● ●
คําแนะนําการใชคูมือครู แถบสี/สัญลักษณที่ใชสื่อความหมายในคูมือครู ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง วิทยาศาสตร ชั้น ป.3 คําอธิบายรายวิชา วิทยาศาสตร ชั้น ป.3 ตารางวิเคราะหเนื้อหากับมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด
ตารางแสดงความแตกตางระหวาง “ คูมือครู ” กับ “ หนังสือเรียน * ” ความแตกตาง
ขนาดตัวอักษร ปกดานหลัง ระบบการจัดพิมพ สวนเสริมดานหนา
คูมือครู ยอลงจากปกติ 20%
พิมพ 4 สี มี เอกสารหลักสูตร คําอธิบายรายวิชา มี กิจกรรมแบบ 5E ความรูเสริมสําหรับครู พิมพสอดแทรกไวตลอดทั้งเลม ●
หนังสือเรียน ขนาดปกติ 100% : ตัวอักษรใหญกวา ที่พิมพในคูมือครูนี้ มีใบอนุญาต/ใบประกันคุณภาพ พิมพ 4 สี
-
●
เนื้อหาในเลม
● ●
* ที่ ศธ. อนุญาตใหโรงเรียนใชได
มีเฉพาะเนื้อหาสาระตามที่ ศธ. อนุญาตฯ/สนพ.ประกันคุณภาพ
3
คําแนะนําการใชคูมือครู
: การจัดการเรียนรูสูหองเรียนคุณภาพ
คูมือครู รายวิชา วิทยาศาสตร ป.3 จัดทําขึ้นเพื่ออํานวยความสะดวกแกครูผูสอนในการวางแผนและเตรียม การสอนโดยใชหนังสือเรียน วิทยาศาสตร ป.3 ของบริษทั อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด เปนสือ่ หลัก (Core Material) เสร�ม ประกอบการออกแบบกิจกรรมการเรียนรูใหสอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดกลุมสาระการเรียนรู 2 วิทยาศาสตร ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 โดยจัดทําตามหลักการสําคัญ ดังนี้
1. ออกแบบการสอนเปนหนวยการเรียนรูอิงมาตรฐาน คูม อื ครู รายวิชา วิทยาศาสตร ป.3 จัดทําเปนหนวยการเรียนรูต ามลําดับสาระการเรียนรูท รี่ ะบุไวในมาตรฐาน การเรียนรูและตัวชี้วัด แตละหนวยจะกําหนดเปาหมายการสอนและจุดประสงคการเรียนรู (Objective Learning) กิจกรรมการเรียนรู (Learning Activities) และแนวทางการประเมินผลการเรียนรู (Learning Evaluation) ไวชดั เจน ครูผสู อนสามารถจัดทําแผนการสอนใหครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั ทีเ่ ปนเปาหมายการเรียนรูข องแตละ หนวยการเรียนรู (ตามแผนภูมิ) และสามารถบันทึกผลการจัดการเรียนการสอนไดอยางมั่นใจ
สภ
าพ
ผู
จุดป
น
ระส
เรีย
งค
ก
รู รียน เ ร า
มาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัดชั้นป
ทักษะการคิด การวัดประเมินผล การเรียนรู
กิจกรรมการเรียนรู
เทคนิคการสอน
แผนภูมิแสดงองคประกอบของการออกแบบการเรียนรูอิงมาตรฐานและเนนผูเรียนเปนสําคัญ
2. การจัดการเรียนรูที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ แนวคิดในการจัดการเรียนการสอนที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ พัฒนามาจากปรัชญาและทฤษฎีการเรียนรู Constructivism ที่เชื่อวาการเรียนรูเปนกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในสมองของผูเรียนแตละคน ผูเรียนเปนผูสราง ความรูโดยการเชื่อมโยงระหวางสิ่งที่ไดพบเห็นกับความรูหรือประสบการณเดิมที่มีอยู คูม อื ครู
ทฤษฎีนี้มีความเชื่อวา นักเรียนทุกคนไดเรียนรูและมีความรูความเขาใจสิ่งตางๆ ติดตัวมากอนที่จะเขาสู หองเรียน ซึง่ เปนการเรียนรูท เี่ กิดจากบริบทและสิง่ แวดลอมรอบตัวนักเรียนแตละคน ดังนัน้ การจัดกระบวนการเรียนรู เสร�ม ในแตละบทเรียน ผูสอนจะตองคํานึงถึง
3
1) ความรูเดิมของนักเรียน การสอนที่ดีจึงตองเริ่มตนจากจุดที่วา นักเรียนมีความรูอะไรมาบาง แลวจึงให ความรูห รือประสบการณใหมเพือ่ ตอยอด จากความรูเดิม
2) ความรูเ ดิมของนักเรียนถูกตอง หรือไม ผูสอนตองปรับเปลี่ยนความรู ความเขาใจเดิมของนักเรียนใหถูกตอง และเปนพฤติกรรมการเรียนรูใหมที่มี คุณคาตอนักเรียน เพื่อสรางเจตคติหรือ ทัศนคติที่ดีตอการเรียน
3) นั ก เรี ย นสร า งความหมาย สําหรับตนเอง ผูสอนตองสงเสริมให นักเรียนนําขอมูลความรูที่ไดไปลงมือ ปฏิ บั ติ และประยุ ก ต ใ ช ค วามรู อ ย า ง ถู ก ต อ ง ในบริ บ ทที่ เ ป น จริ ง ของชี วิ ต นักเรียน เพื่อขยายความรูใหลึกซึ้งและ มีคุณคาตอตัวนักเรียนมากที่สุด
แนวคิด Constructivism เนนใหผเู รียนสรางความรูโ ดยผานกระบวนการคิดและความอยากรูข องตนเอง โดยมีผูสอนเปนผูสรางบรรยากาศการเรียนรูและกระตุนความสนใจ คอยจัดสถานการณใหผูเรียนเกิดความ ขัดแยงทางความคิดระหวางประสบการณเดิมกับประสบการณความรูใ หม ผูเ รียนจะพยายามปรับขอมูลใหม กับประสบการณที่มีอยูเดิม แลวสรางเปนความรูใหมหรือแนวคิดใหมๆ ไดดวยตนเอง
3. การบูรณาการกระบวนการคิด การเรียนรูข องนักเรียนแตละคนจะเกิดขึน้ ทีส่ มอง ซึง่ ทําหนาทีร่ คู ดิ ภายใตสภาพแวดลอมทีเ่ อือ้ อํานวยและได รับการกระตนุ จูงใจอยางเหมาะสมสอดคลองกับสภาพจิตใจและความตองการของนักเรียน การจัดกระบวนการเรียนรู และสาระการเรียนรูท มี่ คี วามหมายตอผูเ รียน จะชวยกระตนุ ใหสมองรับรูแ ละสามารถเรียนรูไ ดอยางมีประสิทธิภาพ ตามขั้นตอนการทํางานของสมอง ดังนี้ 1) สมองจะเรียนรูและสืบคนโดย 2) สมองจะแยกแยะคุ ณค าของ การสังเกต คนหา ซักถาม และทดลอง สิง่ ตางๆ โดยการลงมติ ตัดสินใจ วิพากษ ปฏิบัติ จนคนพบความรูความเขาใจได วิจารณ แสดงความคิดเห็น ยอมรับหรือ อยางรวดเร็ว ตอตานตามอารมณความรูสึกที่เกิดขึ้น ในขณะที่เรียนรู
3) สมองจะประมวลเนื้อหาสาระ โดยการสรุปเปนความคิดรวบยอดจาก เรื่องราวที่ไดเรียนรูใหมนําไปผสมผสาน กับความรูหรือประสบการณเดิมที่ถูกจัด เก็บอยูในสมอง ผานการกลั่นกรองเพื่อ สังเคราะหเปนความรูความเขาใจใหมๆ หรือเปนเหตุผลทัศนคติใหมที่จะฝงแนน ในสมองของผูเรียน คูม อื ครู
เสร�ม
การเรียนรูที่มีประสิทธิภาพจึงตองเปนการเรียนรูที่เกิดจากกระบวนการคิดของผูเรียน เพราะการเรียนรูจะ เกิดขึ้นเมื่อสมองรูคิด และตองเปนการคิดไดครบถวนตามขั้นตอนการทํางานของสมองผูเรียน โดยเริ่มตนจาก
4
1) ระดับการคิดขั้นพื้นฐาน ไดแก 2) ระดับลักษณะการคิด ไดแก 3) ระดับกระบวนการคิด ไดแก การสังเกต การจําแนก การคาดคะเน การคิดกวาง คิดลึกซึ้ง คิดหลากหลาย กระบวนการคิ ด อย า งมี วิ จ ารณญาณ การสื่อความหมาย การรวบรวมขอมูล คิดไกล คิดคลอง คิดอยางมีเหตุผล กระบวนการแกปญหา กระบวนการคิด การสรุปผล เปนตน เปนตน สรางสรรค กระบวนการคิดสังเคราะห วิจัย เปนตน
4. การใชวัฏจักรการเรียนรู 5E รูปแบบการสอนที่สัมพันธกับกระบวนการคิดและการทํางานของสมองของผูเรียนที่นิยมใชอยางแพรหลาย คือ วัฏจักรการเรียนรู 5E ซึ่งผูจัดทําคูมือครูไดนํามาใชเปนแนวทางออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในคูมือครู ฉบับนี้ตามลําดับขั้นตอนการเรียนรู ดังนี้ ขั้นที่ 1 กระตุนความสนใจ (Engage) เปนขัน้ ทีผ่ สู อนนําเขาสูบ ทเรียน เพือ่ กระตุน ความสนใจของนักเรียนดวยเรือ่ งราว หรือเหตุการณทนี่ า สนใจ โดยใชเทคนิควิธกี ารสอนและคําถามทบทวนความรูห รือประสบการณเดิมของผูเ รียน เพือ่ เชือ่ มโยงผูเ รียนเขาสู บทเรียนใหม ชวยใหนักเรียนสามารถสรุปประเด็นสําคัญที่เปนหัวขอการเรียนรูของบทเรียนได จึงเปนขั้นตอน การสอนที่สําคัญ เพราะเปนการเตรียมความพรอมและสรางแรงจูงใจใฝเรียนรูแกผูเรียน ขั้นที่ 2 สํารวจคนหา (Explore) เปนขั้นที่ผูสอนเปดโอกาสใหผูเรียนสังเกต และรวมมือกันสํารวจ เพื่อใหเห็นปญหา รวมถึงวิธีการศึกษา คนควาขอมูลความรูที่จะนําไปสูความเขาใจประเด็นปญหานั้นๆ เมื่อนักเรียนทําความเขาใจในประเด็นหัวขอที่จะศึกษาคนควาอยางถองแทแลว ก็ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บ รวบรวมขอมูลความรู สํารวจตรวจสอบ โดยวิธกี ารตางๆ เชน สัมภาษณ ทดลอง อานคนควาขอมูลจากเอกสาร แหลงขอมูลตางๆ จนไดขอมูลความรูตามที่ตั้งประเด็นศึกษาไว ขั้นที่ 3 อธิบายความรู (Explain) เปนขั้นที่ผูสอนมีปฏิสัมพันธกับผูเรียน เชน ใหการแนะนํา ตั้งคําถามกระตุนใหคิด เพื่อใหผูเรียนไดคนหา คําตอบ และนําขอมูลความรูจากการศึกษาคนควาในขั้นที่ 2 มาวิเคราะห แปลผล สรุปผล และนําเสนอผล ที่ไดศึกษาคนความาในรูปแบบสารสนเทศตางๆ เชน เขียนแผนภูมิ แผนผังแสดงมโนทัศน เขียนความเรียง เขียนรายงาน เปนตน สมองของผูเรียนจะทําหนาที่คิดวิเคราะห สังเคราะหอยางเปนระบบ คูม อื ครู
ขั้นที่ 4 ขยายความเขาใจ (Expand) เปนขั้นที่ผูสอนไดใชเทคนิควิธีการสอนที่ชวยพัฒนาผูเรียนใหนําความรูที่เกิดขึ้นไปคิดคนตอๆ ไป เพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรูและการทํางานรวมกันเปนกลุม ระดมสมองเพื่อคิดสรางสรรครวมกัน นักเรียนสามารถนําความรูที่สรางขึ้นใหมไปเชื่อมโยงกับประสบการณเดิมโดยนําขอสรุปที่ไดไปอธิบาย ในเหตุการณตางๆ หรือนําไปปฏิบัติในสถานการณใหมๆ ที่เกี่ยวของกับชีวิตประจําวันของตนเอง เพื่อขยาย ความรูค วามเขาใจใหกวางขวางยิง่ ขึน้ สมองของผูเ รียนทําหนาทีค่ ดิ ริเริม่ สรางสรรคอยางมีคณ ุ ภาพ เสริมสราง วิสัยทัศนใหกวางไกลออกไป
เสร�ม
5
ขั้นที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluate) เปนขั้นที่ผูสอนประเมินมโนทัศนของผูเรียน โดยตรวจสอบจากความคิดที่เปลี่ยนไปและความคิดรวบยอด ที่เกิดขึ้นใหม ตรวจสอบทักษะ กระบวนการปฏิบัติ การแกปญหา การตอบคําถามรวบยอด และการเคารพ ความคิดหรือยอมรับเหตุผลของคนอื่นเพื่อการสรางสรรคความรูรวมกัน นักเรียนสามารถประเมินผลการเรียนรูของตนเอง เพื่อสรุปผลวานักเรียนมีความรูอะไรเพิ่มขึ้นมาบาง มากนอยเพียงใด และจะนําความรูเหลานั้นไปประยุกตใชในการเรียนรูเรื่องอื่นๆ ไดอยางไร นักเรียนจะเกิด เจตคติและเห็นคุณคาของตนเองจากผลการเรียนรูที่เกิดขึ้น ซึ่งเปนการเรียนรูที่มีความสุขอยางแทจริง การจัดกิจกรรมการเรียนรูตามวัฏจักรการสรางความรูแบบ 5E จึงเปนรูปแบบการเรียนการสอนที่เนน ผูเรียนเปนสําคัญ โดยสงเสริมใหผูเรียนใชกระบวนการสรางความรูดวยตนเอง และฝกฝนใหใชกระบวนการคิดและ กระบวนการกลุมอยางชํานาญ กอใหเกิดทักษะการเรียนรูและทักษะชีวิตที่มีคุณภาพ ตามเปาหมายของการปฏิรูป การศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) ทุกประการ คณะผูจัดทํา
คูม อื ครู
แถบสี และสัญลักษณ ที่ใชสื่อความหมายในคูมือครู 1. แถบสี
แถบสีแสดงขั้นตอนการสอนและการจัดกิจกรรม แบบ 5E เพื่อใหครูทราบวาเปนขั้นการสอนขั้นใด
เสร�ม
6
สีแดง
สีเขียว
สีสม
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
•
•
•
Engage
Explore
เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใช เทคนิคกระตุนความ สนใจ เพื่อโยงเขาสู บทเรียน
Explain
เปนขั้นที่ผูสอนให ผูเรียนสํารวจปญหา และศึกษาขอมูล
เปนขั้นที่ผูสอนให ผูเรียนคนหาคําตอบ จนเกิดความรูเชิง ประจักษ
สีฟา
สีมวง
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
•
Evaluate
•
เปนขั้นที่ผูสอนให ผูเรียนนําความรูไป คิดคนตอๆ ไป
เปนขั้นที่ผูสอน ประเมินมโนทัศน ของผูเรียน
2. สัญลักษณ สัญลักษณ เปาหมาย การเรียนรู หลักฐาน แสดงผล การเรียนรู เกร็ดแนะครู นักเรียนควรรู @
NET
มุม IT ขอสอบ บูรณาการ สูอาเซียน
คูม อื ครู
วัตถุประสงค • แสดงเปาหมายการเรียนรูที่นักเรียนตองบรรลุตามตัวชี้วัด •
แสดงรองรอยหลักฐานที่แสดงผลการเรียนรูตามตัวชี้วัด
•
แทรกความรูเสริมสําหรับครู ขอเสนอแนะ ขอควรระวัง ขอสังเกต แนวทางการจัด กิจกรรมและอืน่ ๆ เพื่อประโยชนในการจัดการเรียนการสอน
•
ขยายความรูเพิ่มเติมจากเนื้อหา เพื่อใหนักเรียนไดมีความรูมากขึ้น
•
แนะนําแหลงคนควาจากเว็บไซต เพื่อใหครูและนักเรียนไดเขาถึงขอมูลความรู ที่หลากหลาย
•
วิเคราะหแนวขอสอบ O-NET เพื่อใหครูเนนยํ้าเนื้อหา ที่มักออกขอสอบ O-NET
•
ขยายความรู แนะนํากิจกรรมเพื่อพัฒนานักเรียนใหมีความพรอม สําหรับเขาสูประชาคมอาเซียน
• ขอสอบ O-NET พิจารณาออก ขอสอบจากเนื้อหา ป.4, 5 และ 6
ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง (เฉพาะชั้น ป.3)* สาระที่ 1 สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดํารงชีวิต
มาตรฐาน ว 1.1 เขาใจกระบวนการและความสําคัญของการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม วิวัฒนาการของ สิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ การใชเทคโนโลยีชีวภาพที่มีผลกระทบตอมนุษยและ สิ่งแวดลอมมีกระบวนการสืบเสาะหาความรูและจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่เรียนรู และนํา ความรูไปใชประโยชน ชั้น
ตัวชี้วัด
ป.3 1. อภิปรายลักษณะตางๆ ของ สิ่งมีชีวิตใกลตัว
เสร�ม
7
สาระการเรียนรูแกนกลาง • สิ่งมีชีวิตแตละชนิดจะมีลักษณะแตกตางกัน
2. เปรียบเทียบและระบุลักษณะที่ คลายคลึงกันของพอแมกับลูก
• สิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะมีลักษณะภายนอกที่ปรากฏคลายคลึงกับ
3. อธิบายลักษณะที่คลายคลึงกัน ของพอแมกับลูกวาเปนการ ถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม และนําความรูไปใชประโยชน
• ลักษณะภายนอกที่คลายคลึงกันของพอแมกับลูกเปน
4. สืบคนขอมูลและอภิปราย เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตบางชนิดที่ สูญพันธุไปแลว และที่ดํารงพันธุ มาจนถึงปจจุบัน
• สิ่งมีชีวิตที่ไมสามารถปรับตัวใหเขากับสภาพแวดลอม
พอแมของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้น
การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม • มนุษยนําความรูที่ไดเกี่ยวกับการถายทอดลักษณะทาง พันธุกรรมมาใชประโยชนในการพัฒนาสายพันธุข องพืชและสัตว ที่เปลี่ยนแปลงไปไดก็จะสูญพันธุ ไปในที่สุด • สิ่งมีชีวิตที่สามารถปรับตัวเขากับสภาพแวดลอมที่ เปลี่ยนแปลงไปไดจะสามารถอยูรอดและดํารงพันธุตอไป
สาระที่ 2 สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดํารงชีวิต
มาตรฐาน ว 2.1 เขาใจสิ่งแวดลอมในทองถิ่น ความสัมพันธระหวางสิ่งแวดลอมกับสิ่งมีชีวิต ความสัมพันธระหวาง สิ่งมีชีวิตตางๆ ในระบบนิเวศ มีกระบวนการสืบเสาะหาความรูและจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่ เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชน ชั้น
ตัวชี้วัด
ป.3 1. สํารวจสิ่งแวดลอมในทองถิ่น ของตนและอธิบายความ สัมพันธของสิ่งมีชีวิตกับ สิ่งแวดลอม
สาระการเรียนรูแกนกลาง • สิ่งแวดลอมหมายถึงสิ่งที่อยูรอบๆ ตัวเรา มีทั้งสิ่งมีชีวิตและ
สิ่งไมมีชีวิต สิ่งมีชีวิตมีความสัมพันธกับสิ่งแวดลอมทั้งกับ สิ่งมีชีวิตดวยกันและกับสิ่งไมมีชีวิต
*สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร. (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย, 2551), หนา 1๐-1๐๐.
คูม อื ครู
มาตรฐาน ว 2.2 เขาใจความสําคัญของทรัพยากรธรรมชาติ การใชทรัพยากรธรรมชาติในระดับทองถิ่น ประเทศ และโลก นําความรูไปใชในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมในทองถิ่นอยางยั่งยืน ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
• ดิน หิน นํ้า อากาศ ปาไม สัตวปาและแร จัดเปน ทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสําคัญ • มนุษยใชทรัพยากรธรรมชาติในทองถิ่น เพื่อประโยชนตอการดํารงชีวิต 2. ระบุการใชทรัพยากรธรรมชาติที่กอ • มนุษยนําทรัพยากรธรรมชาติมาใชอยางมากมาย จึง ใหเกิดปญหาสิ่งแวดลอมในทองถิ่น สงผลกระทบตอสิ่งแวดลอมในทองถิ่น • มนุษยตองชวยกันดูแลและรูจักใชทรัพยากรธรรมชาติ 3. อภิปรายและนําเสนอการใช อยางประหยัดและคุมคา เพื่อใหมีการใชไดนานและ ทรัพยากรธรรมชาติอยางประหยัด ยั่งยืน คุมคา และมีสวนรวมในการปฏิบัติ
ป.3 1. สํารวจทรัพยากรธรรมชาติ และ อภิปรายการใชทรัพยากรธรรมชาติ ในทองถิ่น
เสร�ม
8
สาระที่ 3 สารและสมบัติของสาร
มาตรฐาน ว 3.1 เขาใจสมบัติของสาร ความสัมพันธระหวางสมบัติของสารกับโครงสรางและแรงยึดเหนี่ยว ระหวางอนุภาค มีกระบวนการสืบเสาะหาความรูและจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและ นําความรูไปใชประโยชน ชั้น
ตัวชี้วัด
ป.3 1.จําแนกชนิดและสมบัตขิ องวัสดุทเี่ ปน สวนประกอบของของเลน ของใช 2. อธิบายการใชประโยชนของวัสดุ แตละชนิด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
• ของเลนของใชอาจมีสวนประกอบหลายสวน และอาจ ทําจากวัสดุหลายชนิดซึ่งมีสมบัติแตกตางกัน • วัสดุแตละชนิดมีสมบัติแตกตางกัน จึงใชประโยชนได ตางกัน
มาตรฐาน ว 3.2 เขาใจหลักการและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร การเกิดสารละลาย การเกิด ปฏิกิริยา มีกระบวนการสืบเสาะหาความรูและจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรูไป ใชประโยชน ชั้น
ตัวชี้วัด
ป.3 1. ทดลองและอธิบายผลของการ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับวัสดุ เมื่อ ถูกแรงกระทํา หรือทําใหรอนขึ้น หรือทําใหเย็นลง 2. อภิปรายประโยชนและอันตราย ที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากการ เปลี่ยนแปลงของวัสดุ คูม อื ครู
สาระการเรียนรูแกนกลาง
• เมื่อมีแรงมากระทํา เชน การบีบ บิด ทุบ ดัด ดึง ตลอด จนการทําใหรอนขึ้นหรือทําใหเย็นลงจะทําใหวัสดุเกิด การเปลี่ยนแปลงรูปรางลักษณะ หรือมีสมบัติแตกตางไป จากเดิม • การเปลี่ยนแปลงของวัสดุอาจนํามาใชประโยชนหรือ ทําใหเกิดอันตรายได
สาระที่ 4 แรงและการเคลื่อนที่
มาตรฐาน ว 4.1 เขาใจธรรมชาติของแรงแมเหล็กไฟฟา แรงโนมถวง และแรงนิวเคลียร มีกระบวนการสืบเสาะ หาความรู สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชนอยางถูกตองและมีคุณธรรม ชั้น
ตัวชี้วัด
ป.3 1. ทดลองและอธิบายผลของการ ออกแรงที่กระทําตอวัตถุ 2. ทดลองการตกของวัตถุสูพื้นโลก และอธิบายแรงที่โลกดึงดูดวัตถุ
สาระการเรียนรูแกนกลาง
เสร�ม
9
• การออกแรงกระทําตอวัตถุแลวทําใหวัตถุเปลี่ยนแปลงการ เคลื่อนที่ โดยวัตถุที่หยุดนิ่งจะเคลื่อนที่ และวัตถุที่กําลัง เคลื่อนที่จะเคลื่อนที่เร็วขึ้นหรือเคลื่อนที่ชาลง หรือหยุด เคลื่อนที่ หรือเปลี่ยนทิศทาง • วัตถุตกสูพ นื้ โลกเสมอเนือ่ งจากแรงโนมถวงหรือแรงดึงดูด ของโลกกระทําตอวัตถุ และแรงนี้คือนํ้าหนักของวัตถุ
สาระที่ 5 พลังงาน
มาตรฐาน ว 5.1 เขาใจความสัมพันธระหวางพลังงานกับการดํารงชีวิต การเปลี่ยนรูปพลังงาน ปฏิสัมพันธระหวาง สารและพลังงาน ผลของการใชพลังงานตอชีวิตและสิ่งแวดลอม มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชน ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
ป.3 1. บอกแหลงพลังงานธรรมชาติที่ใช • การผลิตไฟฟาใชพลังงานจากธรรมชาติ ซึ่งบางแหลงเปน ผลิตไฟฟา แหลงพลังงานทีม่ จี าํ กัด เชน นํา้ มัน แกสธรรมชาติ บางแหลง เปนแหลงพลังงานหมุนเวียน เชน นํ้า ลม 2. อธิบายความสําคัญของพลังงาน • พลังงานไฟฟามีความสําคัญตอชีวิตประจําวัน เชน เปน แหลงกําเนิดแสงสวาง จึงตองใชไฟฟาอยางประหยัด เชน ไฟฟาและเสนอวิธีการใชไฟฟา ปดไฟเมื่อไมใชงาน รวมทั้งใชไฟฟาอยางปลอดภัย เชน อยางประหยัดและปลอดภัย เลือกใชอุปกรณตางๆ ที่มีมาตรฐาน
สาระที่ 6 กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก
มาตรฐาน ว 6.1 เขาใจกระบวนการตางๆ ที่เกิดขึ้นบนผิวโลกและภายในโลก ความสัมพันธของกระบวนการตางๆ ที่มีผลตอการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และสัณฐานของโลก มีกระบวนการสืบเสาะ หาความรูและจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชน ชั้น
ตัวชี้วัด
ป.3 1. สํารวจและอธิบายสมบัติทาง กายภาพของนํ้าจากแหลงนํ้า ในทองถิ่น และนําความรูไปใช ประโยชน
สาระการเรียนรูแกนกลาง
• นํ้าพบไดทั้งที่เปนของเหลว ของแข็ง และแกส นํ้าละลาย สารบางอยางได นํ้าเปลี่ยนแปลงรูปรางตามภาชนะที่บรรจุ และรักษาระดับในแนวราบ • คุณภาพของนํ้าพิจารณาจาก สี กลิ่น ความโปรงใสของนํ้า • นํ้าเปนทรัพยากรธรรมชาติที่มีความจําเปนตอชีวิต ทั้งใน การบริโภค อุปโภค จึงตองใชอยางประหยัด คูม อื ครู
มาตรฐาน ว 6.1 (ตอ) เสร�ม
ชั้น
10
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
• อากาศประกอบดวย แกสไนโตรเจน แกสออกซิเจน แกสคารบอนไดออกไซด และแกสอื่นๆ รวมทั้งไอนํ้า และฝุนละออง • อากาศมีความสําคัญตอการดํารงชีวิต สิ่งมีชีวิตทุกชนิด ตองใชอากาศในการหายใจ และอากาศยังมีประโยชนใน ดานอื่นๆ อีกมากมาย 3. ทดลองและอธิบายการเคลื่อนที่ของ • อากาศจะเคลื่อนจากบริเวณที่มีอุณหภูมิตํ่าไปยังบริเวณ อากาศที่มีผลจากความแตกตางของ ที่มีอุณหภูมิสูงกวา โดยอากาศที่เคลื่อนที่ในแนวราบ อุณหภูมิ ทําใหเกิดลม
ป.3 2. สืบคนขอมูลและอภิปราย สวนประกอบของอากาศ และ ความสําคัญของอากาศ
สาระที่ 7 ดาราศาสตรและอวกาศ
มาตรฐาน ว 7.1 เขาใจวิวัฒนาการของระบบสุริยะ กาแล็กซีและเอกภพ การปฏิสัมพันธภายในระบบสุริยะและ ผลตอสิ่งมีชีวิตบนโลก มีกระบวนการสืบเสาะหาความรูและจิตวิทยาศาสตร การสื่อสารสิ่งที่ เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชน ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
• โลกหมุนรอบตัวเองทําใหเกิดปรากฏการณตอไปนี้ ป.3 1. สังเกต และอธิบายการขึ้นตกของ ดวงอาทิตย ดวงจันทร การเกิดกลาง • ปรากฏการณขึ้นตกของดวงอาทิตยและดวงจันทร • เกิดกลางวันและกลางคืน โดยดานที่หันรับแสงอาทิตย วันกลางคืน และการกําหนดทิศ เปนเวลากลางวัน และดานตรงขามที่ไมไดรับแสงอาทิตย เปนเวลากลางคืน • กําหนดทิศโดยสังเกตจากการขึน้ และการตกของดวงอาทิตย ใหดา นทีเ่ ห็นดวงอาทิตยขนึ้ เปนทิศตะวันออก และดานทีเ่ ห็น ดวงอาทิตยตกเปนทิศตะวันตก เมือ่ ใชทศิ ตะวันออกเปนหลัก โดยใหดา นขวามืออยูท างทิศตะวันออก ดานซายมืออยูท าง ทิศตะวันตก ดานหนาจะเปนทิศเหนือและดานหลังจะเปน ทิศใต
คูม อื ครู
สาระที่ 8 ธรรมชาติของวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 8.1 ใชกระบวนการทางวิทยาศาสตรและจิตวิทยาศาสตรในการสืบเสาะหาความรู การแกปญหา รูวาปรากฏการณทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นสวนใหญมีรูปแบบที่แนนอน สามารถอธิบายและ ตรวจสอบได ภายใตขอมูลและเครื่องมือที่มีอยูในชวงเวลานั้นๆ เขาใจวา วิทยาศาสตร เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดลอมมีความเกี่ยวของสัมพันธกัน ชั้น
ตัวชี้วัด
ป.3 1. ตั้งคําถามเกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษาตามที่กําหนดใหหรือตาม ความสนใจ 2. วางแผนการสังเกต เสนอวิธีสํารวจตรวจสอบ ศึกษาคนควา โดย ใชความคิดของตนเอง ของกลุมและคาดการณสิ่งที่จะพบจาก การสํารวจตรวจสอบ 3. เลือกใชวัสดุอุปกรณ เครื่องมือที่เหมาะสมในการสํารวจ ตรวจสอบ และบันทึกขอมูล 4. จัดกลุมขอมูล เปรียบเทียบกับสิ่งที่คาดการณ ไว และ นําเสนอผล 5. ตั้งคําถามใหมจากผลการสํารวจตรวจสอบ 6. แสดงความคิดเห็นและรวบรวมขอมูลจากกลุมนําไปสูการสราง ความรู 7. บันทึกและอธิบายผลการสังเกต สํารวจตรวจสอบตาม ความเปนจริง มีแผนภาพประกอบคําอธิบาย 8. นําเสนอ จัดแสดงผลงาน โดยอธิบายดวยวาจา และเขียนแสดง กระบวนการและผลของงานใหผูอื่นเขาใจ
เสร�ม
11
สาระการเรียนรูแกนกลาง
-
คูม อื ครู
คําอธิบายรายวิชา เสร�ม
12
รายวิชา วิทยาศาสตร ชั้นประถมศึกษาปที่ 3 รหัสวิชา ว…………………………………
กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร ภาคเรียนที่ 1-2 เวลา 80 ชั่วโมง/ป
สืบคนขอมูล สํารวจ อภิปราย เปรียบเทียบ และอธิบาย ลักษณะตางๆ ของสิ่งมีชีวิตใกลตัว ลักษณะที่คลายคลึงกัน ของพอแมกับลูก การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม และนําความรูไปใชประโยชน สิ่งมีชีวิตบางชนิดที่สูญพันธุ ไปแลว และที่ ดํารงพันธุมาจนถึงปจจุบัน สิ่งแวดลอมในทองถิ่นตน ความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดลอม ทรัพยากรธรรมชาติและการใช ทรัพยากรธรรมชาติในทองถิ่น การใชทรัพยากรธรรมชาติที่กอใหเกิดปญหาสิ่งแวดลอมในทองถิ่น การใชทรัพยากรธรรมชาติ อยางประหยัด คุม คาและมีสว นรวมในการปฏิบตั ิ แหลงพลังธรรมชาติที่ใชผลิตไฟฟา ความสําคัญของพลังงานไฟฟา การใชไฟฟา อยางประหยัดและคุมคา จําแนก สํารวจ ทดลอง อภิปราย และอธิบาย ชนิดและสมบัติของวัสดุที่เปนสวนประกอบของของเลน ของใช การใช ประโยชนของวัสดุแตละชนิด ผลของการเปลีย่ นแปลงทีเ่ กิดขึน้ กับวัสดุเมือ่ ถูกกระทํา หรือทําใหรอ นขึน้ หรือทําใหเย็นลง ประโยชน และอันตรายทีเ่ กิดขึน้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของวัสดุ ผลของการออกแรงทีก่ ระทําตอวัตถุ การตกของวัตถุสูพื้นโลก แรงที่โลก ดึงดูดวัตถุ สมบัติทางกายภาพของนํ้าจากแหลงนํ้าในทองถิ่น และนําความไปใชประโยชน สวนประกอบของอากาศ ความสําคัญ ของอากาศ และการเคลื่อนที่ของอากาศที่มีผลจากความแตกตางของอุณหภูมิ การขึ้น-ตกของดวงอาทิตย ดวงจันทร การเกิด กลางวัน กลางคืน และการกําหนดทิศ โดยใชกระบวนการทางวิทยาศาสตร และจิตวิทยาศาสตรในการสืบเสาะหาความรู การสํารวจตรวจสอบ การสืบคนขอมูล บันทึก จัดกลุมขอมูล การอภิปราย และการแกปญหาเพื่อใหเกิดความรู ความคิด ความเขาใจ สามารถสื่อสารสิ่งที่เรียนรูและเห็น คุณคาของการนําความรูไ ปประยุกตใชในชีวติ ประจําวันมีความสามารถในการตัดสินใจ มีจติ วิทยาศาสตร จริยธรรม คุณธรรม และ คานิยมที่ดีตอวิทยาศาสตร เทคโนโลยี และสิ่งแวดลอม ตัวชี้วัด ว 1.2 ป.3/1, ป.3/2, ป.3/3, ป.3/4 ว 2.1 ป.3/1 ว 2.2 ป.3/1, ป.3/2, ป.3/3 ว 3.1 ป.3/1, ป.3/2 ว 3.2 ป.3/1, ป.3/2 ว 5.1 ป.3/1, ป.3/2 ว 6.1 ป.3/1, ป.3/2, ป.3/3 ว 7.1 ป.3/1 ว 8.1 ป.3/1, ป.3/2, ป.3/3, ป.3/4, ป.3/5, ป.3/6, ป.3/7, ป.3/8 รวม 28 ตัวชี้วัด
คูม อื ครู
ตาราง
ÇÔà¤ÃÒÐË Áҵðҹ¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙጠÅеÑǪÕÇé ´Ñ ÃÒÂÇÔªÒ ÇÔ·ÂÒÈÒʵà ».3
คําชี้แจง : ใหผสู อนใชตารางน�ต้ รวจสอบวา เน�อ้ หาสาระการเรียนรูใ นหนวยการเรียนรูส อดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั ชั้นปในขอใดบาง
มาตรฐาน การเรียนรู
สาระการเรียนรู ตัวชี้วัด ชั้น ป.3 สาระที่ 1 สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดํารงชีวิต 1. อภิปรายลักษณะตางๆ ของสิ่งมีชีวิต ใกลตัว
มฐ. ว 1.2
มฐ. ว 2.2 มฐ. ว 3.1 มฐ. ว 3.2 มฐ. ว 4.1
1
2
1
2
หนวยที่ 3 บทที่ 1
2
หนวยที่ หนวยที่ หนวยที่ หนวยที่ 4 5 6 7 บทที่ บทที่ บทที่ บทที่ 3
1
2
1
2
1
2
1
เสร�ม
13
2
✓
2. เปรียบเทียบและระบุลกั ษณะทีค่ ลายคลึงกัน ✓ ของพอแมกับลูก 3. อธิบายลักษณะที่คลายคลึงกันของพอแม กับลูกวา เปนการถายทอดลักษณะทาง ✓ พันธุกรรม และนําความรูไปใชประโยชน 4. สืบคนขอมูลและอภิปรายเกี่ยวกับ สิ่งมีชีวิตบางชนิดที่สูญพันธุ ไปแลว และที่ดํารงพันธุมาจนถึงปจจุบัน
มฐ. ว 2.1
หนวยที่ หนวยที่ 1 2 บทที่ บทที่
สาระที่ 2 ชีวิตกับสิ่งแวดลอม 1. สํารวจสิ่งแวดลอมในทองถิ่นของตน และ อธิบายความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตกับ สิ่งแวดลอม
✓
✓
1. สํารวจทรัพยากรธรรมชาติ และอภิปราย การใชทรัพยากรธรรมชาติในทองถิ่น
✓
2. ระบุการใชทรัพยากรธรรมชาติทกี่ อ ใหเกิด ปญหาสิ่งแวดลอมในทองถิ่น
✓
3. อภิปรายและนําเสนอการใชทรัพยากร ธรรมชาติอยางประหยัด คุมคา และ มีสวนรวมในการปฏิบัติ สาระที่ 3 สารและสมบัติของสาร 1. จําแนกชนิดและสมบัติของวัสดุที่เปน สวนประกอบของของเลน ของใช 2. อธิบายการใชประโยชนของวัสดุ แตละชนิด 1. ทดลองและอธิบายผลของการเปลีย่ นแปลง ทีเ่ กิดขึน้ กับวัสดุ เมือ่ ถูกแรงกระทํา หรือ ทําใหรอ นขึน้ หรือทําใหเย็นลง 2. อภิปรายประโยชนและอันตรายทีอ่ าจเกิดขึน้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของวัสดุ สาระที่ 4 แรงและการเคลื่อนที่ 1. ทดลองและอธิบายผลของการออกแรงที่ กระทําตอวัตถุ 2. ทดลองการตกของวัตถุสูพื้นโลก และ อธิบายแรงที่โลกดึงดูดวัตถุ
✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓
คูม อื ครู
สาระการเรียนรู
มาตรฐาน เสร�ม การเรี ยนรู ตัวชี้วัด ชั้น ป.3 14
มฐ. ว 5.1
มฐ. ว 6.1 มฐ. ว 7.1
มฐ. ว 8.1
หนวยที่ หนวยที่ 1 2 บทที่ บทที่ 1
2
1
2
หนวยที่ 3 บทที่ 1
2
หนวยที่ หนวยที่ หนวยที่ หนวยที่ 4 5 6 7 บทที่ บทที่ บทที่ บทที่ 3
1
2
สาระที่ 5 พลังงาน 1. บอกแหลงพลังงานธรรมชาติที่ใชผลิต ไฟฟา 2. อธิบายความสําคัญของพลังงานไฟฟา และเสนอวิธีการใชไฟฟาอยางประหยัด และปลอดภัย สาระที่ 6 กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก 1. สํารวจและอธิบายสมบัติทางกายภาพ ของนํ้าจากแหลงนํ้าในทองถิ่น และนํา ความรูไปใชประโยชน 2. สืบคนขอมูลและอภิปรายสวนประกอบ ของอากาศ และความสําคัญของอากาศ 3. ทดลองและอธิบายการเคลื่อนที่ของ อากาศที่มีผลจากความแตกตางของ อุณหภูมิ สาระที่ 7 ดาราศาสตรและอวกาศ 1. สังเกต และอธิบายการขึ้นตกของ ดวงอาทิตย ดวงจันทร การเกิดกลางวัน กลางคืน และการกําหนดทิศ สาระที่ 8 ธรรมชาติของวิทยาศาสตรและ เทคโนโลยี 1. ตั้งคําถามเกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษาตามที่ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ กําหนดใหหรือตามความสนใจ 2. วางแผนการสังเกต เสนอวิธีสํารวจ ตรวจสอบ ศึกษาคนควา โดยใชความคิด ของตนเอง ของกลุมและคาดการณสิ่งที่ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ จะพบจากการสํารวจ ตรวจสอบ 3. เลือกใชวสั ดุอปุ กรณ เครือ่ งมือทีเ่ หมาะสม ในการสํารวจตรวจสอบ และบันทึกขอมูล ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓
1
2
1
2
1
2
✓ ✓
✓ ✓ ✓
✓
✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓
4. จัดกลุมขอมูล เปรียบเทียบกับสิ่งที่ คาดการณ ไวและนําเสนอผล
✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓
5. ตั้งคําถามใหมจากผลการสํารวจ ตรวจสอบ
✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓
6. แสดงความคิดเห็นและรวบรวมขอมูล จากกลุมนําไปสูการสรางความรู
✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓
7. บันทึกและอธิบายผลการสังเกต สํารวจ ตรวจสอบตามความเปนจริง มีแผนภาพ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ประกอบคําอธิบาย 8. นําเสนอ จัดแสดงผลงาน โดยอธิบายดวย วาจา และเขียนแสดงกระบวนการและผล ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ของงานใหผูอื่นเขาใจ
คูม อื ครู
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Elaborate
Evaluate
˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÃÒÂÇÔªÒ¾×é¹°Ò¹
ÇÔ·ÂÒÈÒʵà ».ó
ªÑé¹»ÃжÁÈÖ¡ÉÒ»‚·Õè ó
¡ÅØ‹ÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ ÇÔ·ÂÒÈÒʵà µÒÁËÅÑ¡ÊÙµÃ᡹¡ÅÒ§¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ¢Ñé¹¾×é¹°Ò¹ ¾Ø·¸ÈÑ¡ÃÒª òõõñ
¼ÙŒàÃÕºàÃÕ§ ¹Ò§ÊÒÇÈÔÃÔÃѵ¹ Ç§È ÈÔÃÔ ´Ã. ÃÑ¡«ŒÍ¹ Ãѵ¹ ÇÔ¨Ôµµ àǪ ¼ÙŒµÃǨ
¹Ò§ÊÒÇÍÒ¹ØÃÑ¡É ÃÐÁ§¤Å ¹Ò§ÊÒÇ¢³ÔÉ°Ò ÇÃÒ¡ØÅ ¹Ò§ÊÒÇÃÒµÃÕ Êѧ¦ÇѲ¹
ºÃóҸԡÒà ¹Ò§ÇÅѾà âÍÀÒÊÇѲ¹Ò
¾ÔÁ¾ ¤ÃÑ駷Õè ñ
ʧǹÅÔ¢ÊÔ·¸ÔìµÒÁ¾ÃÐÃÒªºÑÞÞÑµÔ : 978-616-203-245-5
ISBN
ÃËÑÊÊÔ¹¤ŒÒ ñóñøðóö
¤Œ¹¤ÇÒÁÃÙŒ¢ÂÒ¤ÇÒÁ¤Ô´¨Ò¡
EB GUIDE
ที่พิมพกํากับหัวขอสําคัญในหนังสือเรียนหลักสูตรใหม ชั้น ป.๔ ขึ้นไป ผาน www.aksorn.com ไปยังแหลงความรูทั่วไทย-ทั่วโลก
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Elaborate
Evaluate
(ยอจากฉบับนักเรียน 30%)
¤íÒ¹íÒ ´ŒÇ¡ÃзÃǧÈÖ¡ÉÒ¸Ô¡ÒÃä´ŒÁÕ¤íÒÊÑè§ãˌ㪌ËÅÑ¡ÊٵáÒÃÈÖ¡ÉÒ¢Ñé¹¾×é¹°Ò¹ ¾Ø·¸ÈÑ¡ÃÒª òõôô ã¹âçàÃÕ¹·ÑèÇä» ·Õè¨Ñ´¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ¢Ñé¹¾×鹰ҹ㹻‚¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ òõôö áÅШҡ¡ÒÃÈÖ¡ÉÒÇÔ¨ÑÂáÅеԴµÒÁ¼Å¡ÒÃ㪌ËÅÑ¡ÊٵáÒÃÈÖ¡ÉÒ¢Ñé¹ ¾×é¹°Ò¹ ¾Ø·¸ÈÑ¡ÃÒª òõôô ¨Ö§¹íÒä»Ê‹Ù¡ÒþѲ¹ÒËÅÑ¡ÊÙµÃ᡹¡ÅÒ§¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ¢Ñé¹¾×é¹°Ò¹ ¾Ø·¸ÈÑ¡ÃÒª òõõñ «Öè§ÁÕ ¤ÇÒÁàËÁÒÐÊÁáÅЪѴਹ à¾×Íè ãˌʶҹÈÖ¡ÉÒä´Œ¹Òí ä»ãªŒà»š¹¡Ãͺ·Ôȷҧ㹡ÒèѴËÅÑ¡ÊÙµÃʶҹÈÖ¡ÉÒ áÅШѴ¡Òà àÃÕ¹¡ÒÃÊ͹à¾×Íè ¾Ñ²¹Òà´ç¡áÅÐàÂÒǪ¹·Ø¡¤¹ã¹ÃдѺ¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ¢Ñ¹é ¾×¹é °Ò¹ãËŒÁ¤Õ ³ Ø ÀÒ¾´ŒÒ¹¤ÇÒÁÃÙŒ áÅзѡÉзըè Òí ໚¹ ÊíÒËÃѺ¡ÒôíÒçªÕÇÔµã¹Êѧ¤Á·ÕèÁÕ¡ÒÃà»ÅÕè¹á»Å§ áÅÐáÊǧËÒ¤ÇÒÁÃÙŒà¾×è;Ѳ¹Òµ¹àͧÍ‹ҧµ‹Íà¹×èͧµÅÍ´ªÕÇÔµ ÊíÒËÃѺ¡Å‹ØÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙŒÇÔ·ÂÒÈÒʵà »ÃСͺ´ŒÇ ø ÊÒÃЋ͠¤×Í ÊÒÃзÕè ñ ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡Ñº¡Ãкǹ¡ÒôíÒçªÕÇÔµ ÊÒÃзÕè ò ªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ ÊÒÃзÕè ó ÊÒÃáÅÐÊÁºÑµÔ¢Í§ÊÒà ÊÒÃзÕè ô áçáÅСÒÃà¤Å×è͹·Õè ÊÒÃзÕè õ ¾Åѧ§Ò¹ ÊÒÃзÕè ö ¡Ãкǹ¡ÒÃà»ÅÕè¹á»Å§¢Í§âÅ¡ ÊÒÃзÕè ÷ ´ÒÃÒÈÒʵà áÅÐÍÇ¡ÒÈ ÊÒÃзÕè ø ¸ÃÃÁªÒµÔ¢Í§ÇÔ·ÂÒÈÒʵà áÅÐà·¤â¹âÅÂÕ Ë¹Ñ§Ê×ÍàÃÕ¹ ÇÔ·ÂÒÈÒʵà ».ó àÅ‹Á¹Õé¨Ñ´·íÒ¢Öé¹ÊíÒËÃѺ㪌»ÃСͺ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ªÑé¹»ÃжÁÈÖ¡ÉÒ»‚·Õè ó â´Â´íÒà¹Ô¹¡ÒèѴ·íÒãËŒÊÍ´¤ÅŒÍ§µÒÁ¡Ãͺ¢Í§ËÅÑ¡Êٵ÷ء»ÃСÒà ʋ§àÊÃÔÁ¡Ãкǹ¡ÒäԴ ¡ÒÃÊ׺àÊÒÐËÒ¤ÇÒÁÃÙŒ ¡ÒÃá¡Œ»˜ÞËÒ ¤ÇÒÁÊÒÁÒö㹡ÒÃÊ×èÍÊÒà ¡ÒõѴÊԹ㨠¡ÒùíÒä»ãªŒã¹ªÕÇÔµ ÃÇÁ·Ñé§Ê‹§àÊÃÔÁãËŒ¼ÙŒàÃÕ¹ÁÕ¨ÔµÇÔ·ÂÒÈÒʵà ¤Ø³¸ÃÃÁ áÅФ‹Ò¹ÔÂÁ·Õ¶è ¡Ù µŒÍ§àËÁÒÐÊÁ¡Ñº¡ÒôíÒçªÕÇµÔ ã¹Êѧ¤Áä·Â «Ö§è à¨ÃÔÞ¡ŒÒÇ˹ŒÒ´ŒÒ¹ÇÔ·ÂÒÈÒʵà áÅÐà·¤â¹âÅÂÕ Ë¹Ñ§Ê×ÍàÃÕ¹ ÇÔ·ÂÒÈÒʵà ».ó àÅ‹Á¹Õé ÁÕ ÷ ˹‹Ç ã¹áµ‹ÅÐ˹‹ÇÂẋ§à»š¹º·Â‹ÍÂæ «Ö觻ÃСͺ´ŒÇ ñ. ໇ÒËÁÒ¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ»ÃШíÒ˹‹Ç ¡íÒ˹´ÃдѺ¤ÇÒÁÃÙŒ ¤ÇÒÁÊÒÁÒö¢Í§¼ÙŒàÃÕ¹NjÒàÁ×èÍàÃÕ¹¨ºã¹ ᵋÅÐ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ µŒÍ§ºÃÃÅØÁҵðҹµÑǪÕéÇÑ´·Õè¡íÒ˹´äÇŒã¹ËÅÑ¡ÊٵâŒÍã´ºŒÒ§ ò. á¹Ç¤Ô´ÊíÒ¤ÑÞ á¡‹¹¤ÇÒÁÃÙŒ·Õè໚¹¤ÇÒÁÃÙŒ¤ÇÒÁࢌÒ㨤§·¹µÔ´µÑǼٌàÃÕ¹ ó. à¹×éÍËÒ ¤ÃºµÒÁËÅÑ¡ÊÙµÃ᡹¡ÅÒ§¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ¢Ñé¹¾×é¹°Ò¹ ¾.È. òõõñ ¹íÒàʹÍàËÁÒÐÊÁ¡Ñº¡ÒÃàÃÕ¹ ¡ÒÃÊ͹ã¹áµ‹ÅÐÃдѺªÑé¹ ô. ¡Ô¨¡ÃÃÁ ÁÕËÅÒ¡ËÅÒÂÃٻẺãËŒ¹Ñ¡àÃÕ¹»¯ÔºÑµÔ ẋ§à»š¹ (ñ) ¡Ô¨¡ÃÃÁ¹íÒÊ‹Ù¡ÒÃàÃÕ¹ ¹íÒࢌÒÊ‹Ùº·àÃÕ¹à¾×èÍ¡Ãе،¹¤ÇÒÁʹã¨á¡‹¼ÙŒàÃÕ¹ (ò) ¡Ô¨¡ÃÃÁÊíÒÃǨ ¡Ô¨¡ÃÃÁ·´Åͧ ໚¹¡Ô¨¡ÃÃÁãËŒ¼ÙŒàÃÕ¹䴌ŧÁ×Í»¯ÔºÑµÔà¾×èͽƒ¡·Ñ¡ÉСÃкǹ¡Ò÷ҧ ÇÔ·ÂÒÈÒʵà (ó) ¡Ô¨¡ÃÃÁ¾Ñ²¹Ò¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ ãËŒ¼ÙŒàÃÕ¹½ƒ¡»¯ÔºÑµÔà¾×è;Ѳ¹Ò¤ÇÒÁÃÙŒáÅзѡÉлÃШíÒ˹‹Ç (ô) ¡Ô¨¡ÃÃÁÃǺÂÍ´ ãËŒ¼ÙŒàÃÕ¹»¯ÔºÑµÔà¾×èÍáÊ´§¾ÄµÔ¡ÃÃÁ¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒÃǺÂÍ´ áÅлÃÐàÁÔ¹¼Å¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ µÒÁÁҵðҹµÑǪÕéÇÑ´»ÃШíÒ˹‹Ç ˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÇÔ·ÂÒÈÒʵà ».ó àÅ‹Á¹Õé ¹íÒàʹ͡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒãËŒàËÁÒÐÊÁ¡ÑºÇÑ¢ͧ¼ÙŒàÃÕ¹㹪Ñé¹»ÃжÁÈÖ¡ÉÒ »‚·Õè ó «Öè§à»š¹¡ÒÃÈÖ¡ÉÒÊÔ觷Õè¼ÙŒàÃÕ¹à¡ÕèÂÇ¢ŒÍ§ã¹¡ÒôíÒà¹Ô¹ªÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ â´Â㪌ÀÒ¾ á¼¹ÀÙÁÔ µÒÃÒ§¢ŒÍÁÙÅ ª‹ÇÂ㹡Òà ¹íÒàʹÍÊÒÃе‹Ò§æ «Ö§è ¨Ðª‹ÇÂãËŒ¼àŒÙ ÃÕ¹ÊÒÁÒöàÃÕ¹ÃÙäŒ ´Œ§Ò‹ Â¢Ö¹é ¤³Ð¼Ù¨Œ ´Ñ ·íÒ¨Ö§ËÇѧ໚¹Í‹ҧÂÔ§è Ç‹Ò Ë¹Ñ§Ê×ÍàÃÕ¹ àÅ‹Á¹Õé ¨Ð໚¹Ê×Íè ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹·ÕÍè Òí ¹Ç»ÃÐ⪹ µÍ‹ ¡ÒÃàÃÕ¹ÇÔ·ÂÒÈÒʵà à¾×Íè ãËŒÊÁÑ Ä·¸Ô¼ÅµÒÁÁҵðҹµÑǪÕÇé ´Ñ ·Õ¡è Òí ˹´ äÇŒã¹ËÅÑ¡ÊÙµÃ᡹¡ÅÒ§¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ¢Ñé¹¾×é¹°Ò¹ ¾.È. òõõñ ·Ø¡»ÃСÒà ¤³Ð¼ÙŒ¨Ñ´·íÒ
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Elaborate
Evaluate
คําชี้แจงในการใชสื่อ บทที่
๑
การ¶‹ายทอดÅักɳТอ§สÔ่§ÁีªีวÔต กิจกรรมน�าสูก่ ารเรียน
?
หน่วยการเรียนรู้ที่
ภาพที่ ๑
สิ่งมีชีวิตในภาพ มีลักษณะเหมือนหรื อ แตกต่างกันหรื อไม่ อย่างไร
๑
¨Ò¡ÀÒ¾·Õè ñ ภาพที่ ๒ áÅÐÀÒ¾·Õè ò ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµã¹ÀÒ¾ ¨Ñ´à»š¹ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµª¹Ô´à´ÕÂǡѹ ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµã¹ÀÒ¾ÁÕÅѡɳРËÃ×ÍäÁ‹ à¾ÃÒÐÍÐäà ·ÕèàËÁ×͹¡Ñ¹ËÃ×Íᵡµ‹Ò§¡Ñ¹ Í‹ҧäÃ
ชีวิตสัมพันธ์
เป้าหมายการเรียนรู้ประจ�าหน่วยที่ ๑
แนวคิดส�าคัญ
เมื่อเรียนจบหน่วยนี้ ผู้เรียนจะมีความรู้ความสามารถ ดังนี้ ๑. อภิปรายลักษณะต่างๆ ของสิ่งมีชีวิตใกล้ตัว [มฐ. ว๑.๒ ป.๓/๑] ๒. เปรียบเทียบและระบุลักษณะที่คล้ายคลึงกันของพ่อแม่กับลูก [มฐ. ว๑.๒ ป.๓/๒] ๓. อธิบายลักษณะที่คล้ายคลึงกันของพ่อแม่กับลูกว่าเป็นการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมและน�าความรู้ไปใช้ประโยชน์ [มฐ. ว๑.๒ ป.๓/๓] ๔. สืบค้นข้อมูลและอภิปรายเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตบางชนิดที่สูญพันธุ์ ไปแล้วและที่ด�ารงพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน [มฐ. ว๑.๒ ป.๓/๔] ๕. ส�ารวจสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นของตนและอธิบายความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม [มฐ. ว๒.๑ ป.๓/๑] [มฐ. ว๘.๑ ป.๓/๑-๘ บูรณาการสู่การจัดการเรียนการสอน]
สิง่ มีชวี ติ แต่ละชนิดจะมีลกั ษณะแตกต่างกัน สิง่ มีชวี ติ ชนิดเดียวกันจะมีลกั ษณะภายนอกทีป่ รากฏ คล้ายคลึงกับพ่อแม่ของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นๆ ซึ่งลักษณะภายนอกที่คล้ายคลึงกันของพ่อแม่กับลูกเกิดจาก การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม และมนุษย์ได้น�าความรู้เกี่ยวกับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม มาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาสายพันธุ์ของพืชและสัตว์ 2
กิจกรรมนําสูการเรียน นําเขาสูบทเรียนโดยใชกระตุน ความสนใจและประเมินผลกอนเรียน
มาตรฐานตัวชี้วัด ระบุตัวชี้วัดที่กําหนดไว ในแตละหนวย
เปาหมายการเรียนรู กําหนดระดับความรูความสามารถ ของผูเรียนเมื่อเรียนจบหนวย เน�้อหา ครบตามหลักสูตรแกนกลางฯ '๕๑ นําเสนอโดยใชภาษาที่เขาใจงาย เหมาะสมกับการเรียนการสอน
กิจกรรมพัฒนาการเรียนรู ใหผูเรียนฝกปฏิบัติเพื่อพัฒนาความรู และทักษะประจําหนวย
บทที่
จากแผนภาพการผลิตนํ้าประปา นักเรียนจะเห็นวา นํ้าประปาผลิต มาจากแหลงนํา้ ตามธรรมชาติ แลวนํามาผานกระบวนการผลิตหลายขัน้ ตอน ดังนั้นเราจึงตองใชนํ้าอยางประหยัดและรูคุณคา การใชนํ้าอยางประหยัด สามารถปฏิบัติได ดังนี้ การใชนํ้าอยางประหยัด
๒) ปดกอกนํ้าใหสนิทเมื่อไมใชงาน ๓) ตรวจสอบรอยรั่วของทอนํ้าภายในบาน ถาหากพบเห็นใหแจงชางประปาเพื่อซอมแซมทันที ๔) นํานํา้ ที่ใชแลวกลับมาใชอกี เชน นํานํา้ สุดทายจากการซักผา ไปรดตนไม เปนตน
นํา้ เปนสิง่ จําเปนตอการดํารงชีวติ ของคน ดังนัน้ เราจึงควรใชนาํ้ อยาง ประหยัด เพื่อลดคาใชจายในครอบครัว และปองกันภาวะการขาดแคลนนํ้า กิจกรรมพัฒนาการเรียนรูท ี่ ๓
แบงกลุม ใหแตละกลุมสืบคนขอมูลเรื่องวิธีการใชนํ้าอยางประหยัด แลวจัดทํา แผนพับ เพื่อสรางจิตสํานึกในการใชนํ้าอยางประหยัดและรูคุณคา คําถามจุดประกาย
๑. นํ้ามีความสําคัญตอการดํารงชีวิตของคน สัตว และพืชอยางไร ๒. นักเรียนคิดวาแหลงนํ้าตามธรรมชาติจะหมดไปจากโลกไดหรือไม เพราะเหตุใด
กิจกรรมรวบยอด
ตอนที่ ๑ แนวคิดส�ำคัญ ช่วยกันสรุป ครูให้นักเรียนช่วยกันพูดสรุปการถ่ายทอดลักษณะจากพ่อแม่ไปสู่ลูก และการ น�าความรู้เกี่ยวกับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมไปใช้ประโยชน์ว่ามีอะไรบ้าง จากนั้นบันทึกลงในสมุด ตอนที่ ๒ ลองท�ำดู หนูท�ำได้ ๑) จัดท�าแผนภาพครอบครัวของตนเองลงในกระดาษวาดเขียน และตกแต่ง ให้สวยงาม แล้วเขียนบอกลักษณะภายนอกของตนเองว่ามีลักษณะใดบ้าง ที่คล้ายคลึงกับพ่อแม่ ๒) แบ่งกลุ่ม ให้แต่ละกลุ่มสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับการน�าความรู้เรื่องการถ่ายทอด ลักษณะทางพันธุกรรมไปใช้ประโยชน์ เช่น การปรับปรุงพันธุ์พืชหรือสัตว์ แล้วน�าข้อมูลที่ได้มาน�าเสนอหน้าชั้นเรียน ตอนที่ ๓ ฝึกคิด พิชิตค�ำถำม ตอบค�ำถำมต่อไปนี้ลงในสมุด ๑) เพราะเหตุใด กระต่ายกับเต่าจึงมีลักษณะแตกต่างกัน ๒) ลักษณะใดบ้างของคนที่สามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปสู่ลูกได้ ๓) ถ้าผสมพันธุ์สุนัขสีขาวกับสุนัขสีด�า ปรากฏว่าได้ลูกสุนัขสีขาวทั้งหมด ลักษณะเด่นของลูกสุนัขคืออะไร ๔) มนุษย์นา� ความรูเ้ รือ่ งการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมไปใช้ประโยชน์ดา้ นใด
๑) ใชนํ้าทํากิจกรรมตางๆ อยางประหยัด เชน ใชภาชนะรองนํ้า ขณะแปรงฟนไมเปดนํ้าทิ้งไว ใชฝกบัวอาบนํ้าแทนการใชขันตัก เปนตน
?
กิจกรรมรวบยอด ใหผูเรียนฝกปฏิบัติเพื่อแสดงพฤติกรรม การเรียนรูรวบยอด และประเมินผลการเรียนรู ตามมาตรฐานตัวชี้วัดประจําหนวย
ค�ำถำมบูรณำกำรสู่ชีวิต
๑. ถ้ามีคนมาล้อเลียนว่า นักเรียนมีลักษณะไม่เหมือนพ่อแม่หรือพี่น้อง นักเรียนจะ อธิบายอย่างไรให้เข้าใจว่า สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ๒. คุณพ่อของนักเรียนเป็นนักฟุตบอล นักเรียนก็ชอบเล่นฟุตบอลเหมือนคุณพ่อ การชอบเล่นฟุตบอลเป็นการถ่ายทอดลักษณะจากคุณพ่อหรือไม่ เพราะอะไร ๓. นักเรียนได้รับประโยชน์จากการพัฒนาสายพันธุ์พืชและสัตว์อย่างไร
๑๑๘
คําถามจุดประกาย เปนคําถามกระตุนใหผูเรียน ฝกทักษะการคิด
คําถามบูรณาการสูชีวิต เปนคําถามกระตุนใหผูเรียน รูจักคิด นําความรูมาประยุกตใช ในชีวิตประจําวันหรือแกปญหา
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Elaborate
Evaluate
(ยอจากฉบับนักเรียน 30%)
สารบัญ หนวยการเรียนรูที่
๑ ชีวิตสัมพันธ
๑
บทที่ ๑ การถายทอดลักษณะของสิ�งมีชีวิต บทที่ ๒ ชีวิตทีร่ อดมาได บทที่ ๓ สิ�งมีชีวติ กับสิ�งแวดลอม
๒ ๑๓ ๒๐
๒ ทรัพยากรที่รัก บทที่ ๑ ทรัพยากรในทองถิ�น บทที่ ๒ รวมใจกัน…อนุรักษทรัพยากร
๒๙
๓ วัสดุรอบตัวเรา บทที่ ๑ ชนิด สมบัติ และประโยชนของวัสดุ บทที่ ๒ การเปลี่ยนแปลงของวัสดุ
๕๒
๔ แรงและการเคลื่อนที่ บทที่ ๑ วัตถุกับแรงกระทํา บทที่ ๒ แรงโนมถวงของโลก
๗๕
๕ ไฟฟาในบานเรา บทที่ ๑ การผลิตไฟฟา บทที่ ๒ การใชไฟฟาในบาน
๘๙
หนวยการเรียนรูที่
หนวยการเรียนรูที่
หนวยการเรียนรูที่
หนวยการเรียนรูที่
หนวยการเรียนรูที่
๗๖ ๘๑ ๙๐ ๙๙
๑๐๗
๗ ปรากฏการณบนโลก
๑๓๑
บทที่ ๑ ปรากฏการณในทองฟา ● บรรณานุกรม
๕๓ ๖๕
๖ นํ้าและอากาศบนโลก
บทที่ ๑ นํ้าเพื่อชีวิต บทที่ ๒ อากาศรอบตัวเรา หนวยการเรียนรูที่
๓๐ ๔๖
๑๐๘ ๑๒๐
๑๓๒ ๑๔๐
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล Evaluate
Expand
กระตุนความสนใจ ครูถามคําถามแลวใหนักเรียน แสดงความคิดเห็นอยางอิสระ • สิ่งมีชีวิตในภาพมีลักษณะใดที่ คลายคลึงกับพอแมบาง • เพราะเหตุใด สิ่งมีชีวิตในภาพ จึงมีลักษณะคลายคลึงกับพอแม
?
หนวยการเรียนรูที่
ñ
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµã¹ÀÒ¾ ÁÕÅѡɳÐàËÁ×͹ËÃ× Í áµ¡µ‹Ò§¡Ñ¹ËÃ× ÍäÁ‹ Í‹ҧäÃ
ªÕÇÔµÊÑÁ¾Ñ¹¸
เปาหมายการเรียนรูประจําหนวยที่ ๑
เมื่อเรียนจบหนวยนี้ ผูเรียนจะมีความรูความสามารถ ดังนี้ ๑. อภิปรายลักษณะตางๆ ของสิ่งมีชีวิตใกลตัว [มฐ. ว๑.๒ ป.๓/๑] ๒. เปรียบเทียบและระบุลักษณะที่คลายคลึงกันของพอแมกับลูก [มฐ. ว๑.๒ ป.๓/๒] ๓. อธิบายลักษณะที่คลายคลึงกันของพอแมกับลูกวาเปนการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมและนําความรูไปใชประโยชน [มฐ. ว๑.๒ ป.๓/๓] ๔. สืบคนขอมูลและอภิปรายเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตบางชนิดที่สูญพันธุ ไปแลวและที่ดํารงพันธุมาจนถึงปจจุบัน [มฐ. ว๑.๒ ป.๓/๔] ๕. สํารวจสิ่งแวดลอมในทองถิ่นของตนและอธิบายความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดลอม [มฐ. ว๒.๑ ป.๓/๑] [มฐ. ว๘.๑ ป.๓/๑-๘ บูรณาการสูการจัดการเรียนการสอน]
คูมือครู
1
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
(หนาพิมพและตัวอักษรในกรอบนี้มีขนาดเล็ กวาฉบับนักเรียน 30%) (ยอกจากฉบั
เปาหมายการเรียนรู
º··Õè
เมื่อเรียนจบ นักเรียนจะสามารถ ปฏิบัติสิ่งเหลานี้ได 1. อภิปรายลักษณะตางๆ ของสิ่งมี ชีวิตใกลตัว (ว 1.2 ป.3/1) 2. เปรียบเทียบและระบุลักษณะที่ คลายคลึงกันของพอแมกับลูก (ว 1.2 ป.3/2) 3. อธิบายลักษณะที่คลายคลึงกันของ พอแมกับลูกวาเปนการถายทอด ลักษณะทางพันธุกรรม และนํา ความรูไปใชประโยชน (ว 1.2 ป.3/3)
ñ
กิจกรรกิมจนกํารสูรก มานราํ เสูรีกยานรเรียน
เกร็ดแนะครู ครูจัดกระบวนการเรียนรูโดยการ ใหนักเรียน • สํารวจ สังเกต • สืบคนขอมูล • เปรียบเทียบขอมูล • วิเคราะหจากประเด็นคําถาม และภาพ จนเกิดเปนความรูความเขาใจวา สิ่งมีชีวิตแตละชนิดจะมีลักษณะที่ แตกตางกัน สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน จะมีลักษณะคลายคลึงกับพอแม ของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้น เพราะสิ่งมีชีวิต จะไดรับการถายทอดลักษณะจาก พอแม เรียกวา การถายทอดลักษณะ ทางพันธุกรรม
กระตุนความสนใจ
¡Òö‹Ò·ʹÅѡɳТͧÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ
ภาพที่ ๑ ¨Ò¡ÀÒ¾·Õè ñ ภาพที่ ๒ áÅÐÀÒ¾·Õè ò ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµã¹ÀÒ¾ ¨Ñ´à»š¹ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµª¹Ô´à´ÕÂǡѹ ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµã¹ÀÒ¾ÁÕÅѡɳРËÃ×ÍäÁ‹ à¾ÃÒÐÍÐäà ·ÕèàËÁ×͹¡Ñ¹ËÃ×Íᵡµ‹Ò§¡Ñ¹ Í‹ҧäÃ
แนวคิดสําคัญ สิง่ มีชวี ติ แตละชนิดจะมีลกั ษณะแตกตางกัน สิง่ มีชวี ติ ชนิดเดียวกันจะมีลกั ษณะภายนอกทีป่ รากฏ คลายคลึงกับพอแมของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นๆ ซึ่งลักษณะภายนอกที่คลายคลึงกันของพอแมกับลูกเกิดจาก การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม และมนุษย ไดนําความรูเกี่ยวกับการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม มาใชประโยชนในการพัฒนาสายพันธุของพืชและสัตว ๒
นักเรียนดูภาพหนา 2 และชวยกัน บอกวา • จากภาพ จัดเปนสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันหรือไม เพราะอะไร (ตอบ ไมใช เพราะสิ่งมีชีวิตดังกลาวมีลักษณะแตกตางกัน) • สิ่งมีชีวิตในภาพมีลักษณะที่เหมือนกันหรือแตกตางกันอยางไร (แนวตอบ เหมือนกัน เชน วัวและควายมี 4 ขา มีเขา มีขนปกคลุมลําตัว แตกตางกัน เชน ควายมีเขายาวและใหญกวาวัว และสีของลําตัว คือ วัวมีสีขาวปนกับนํ้าตาลออน สวนควายมีสีเทา)
2
คูมือครู
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
Engage
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล Evaluate
Expand
สํารวจคนหา
๑ ลักษณะภายนอกของสิ่งมีชีวิต
สิ่งมีชีวิตบนโลกมีมากมายหลายชนิด สิ่งมีชีวิตแตละชนิดจะมีลักษณะ ทีแ่ ตกตางกัน แมวา สิง่ มีชวี ติ นัน้ จะเปนสิง่ มีชวี ติ ชนิดเดียวกันก็ตาม เราก็ยงั สังเกตเห็นความแตกตางไดเชนเดียวกัน ซึ่งนักเรียนสามารถศึกษาไดจาก กิจกรรมตอไปนี้ กิจกรรมหนูนอยนักสํารวจ
(ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้)
กิจกรรมที่ ๑ พืชรอบตัวเรา
ปญหา
พืชแตละชนิดมีลักษณะเหมือนกันหรือแตกตางกันอยางไร
อุปกรณ
๑. กระดาษ ๑ แผน ๒. ดินสอและยางลบ
วิธที าํ
๑. สํารวจพืชทีต่ นเองสนใจในบริเวณโรงเรียนมาคนละ ๒ ชนิด แลววาดภาพ ของพืชที่สังเกตไดลงบนกระดาษ ๒. เปรียบเทียบลักษณะภายนอกของพืชทีส่ งั เกตไดวา มีลกั ษณะทีเ่ หมือนกัน หรือแตกตางกันอยางไร โดยสรุปเปนขอๆ ๓. นําขอมูลที่ไดมาอภิปรายรวมกันในชั้นเรียน
หมายเหตุ : ครูอาจใหนักเรียนหาภาพพืชที่นักเรียนสนใจจากอินเทอรเน็ตก็ได
ภาพที่ ๑.๑ ตนตําลึง มีลําตนเปนเถาเลื้อย และมีลําตนขนาดเล็ก
ภาพที่ ๑.๒ ตนมะมวง มีลําตนตั้งตรง และมี ขนาดสูงใหญ
▲
▲
จากการทํากิจกรรม นักเรียนจะเห็นไดวา พืชแตละชนิดจะมี ลักษณะที่แตกตางกัน เชน ตําลึงเปนพืชที่มีลําตนขนาดเล็ก และเปนเถาเลื้อย ลักษณะของใบเปนรูปคอนขางเหลี่ยม สวนตนมะมวงเปนพืชทีม่ ลี าํ ตนสูงใหญและตัง้ ตรง ใบเรียวยาว เปนตน
1. ครูใหนักเรียนยกตัวอยางพืชที่ นักเรียนรูจัก แลวรวมกันอภิปราย เกี่ยวกับลักษณะของพืชที่เพื่อน ยกตัวอยางมาวามีลักษณะอยางไร 2. ครูใหนักเรียนทํากิจกรรมที่ 1 โดยใหนกั เรียนสํารวจพืชทีน่ กั เรียน สนใจมา 2 ชนิด พรอมทั้งวาดภาพ ประกอบ แลวระบุลักษณะของพืช ชนิดนั้น 3. ครูใหนักเรียนนําผลการสํารวจมา อภิปรายรวมกันในชั้นเรียน และ สังเกตวา นักเรียนระบุลักษณะที่ แตกตางกันของพืชไดถูกตอง หรือไม
อธิบายความรู ครูและนักเรียนรวมกันสรุปผลการ สํารวจและระบุลักษณะที่แตกตางกัน ของพืชแตละชนิดวามีอะไรบาง โดย ครูอาจยกตัวอยางจากผลการสํารวจ ของนักเรียนประกอบ
บูรณาการสูอาเซียน ครูอธิบายเกี่ยวกับดอกไม ประจําชาติของแตละประเทศ ในกลุมอาเซียน ใหนักเรียนฟง ดังนี้ บรูไน-ดอกสันชวา กัมพูชา-ดอกลําดวน อินโดนีเซีย-ดอกกลวยไมราตรี ลาว-ดอกลีลาวดี มาเลเซีย-ดอกพูระหง เมียนมาร-ดอกประดู ฟลิปปนส-ดอกมะลิ สิงคโปร-ดอกกลวยไมแวนดา ไทย-ดอกราชพฤกษ เวียดนาม-ดอกบัว
คูมือครู
3
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
Engage
(ยอจากฉบับนักเรียน 30%)
สํารวจคนหา 1. ครูใหนักเรียนชวยกันยกตัวอยาง สัตวทนี่ กั เรียนรูจ กั มา 4 - 5 ตัวอยาง แลวใหนกั เรียนชวยกันระบุลกั ษณะ ของสัตววามีลักษณะแตกตางกัน อยางไร 2. ครูใหนักเรียนทํากิจกรรมที่ 2 โดยใหนักเรียนวาดภาพสัตวที่มี ลักษณะแตกตางกัน และสัตวชนิด เดียวกันที่มีลักษณะแตกตางกัน พรอมทัง้ ระบุลกั ษณะทีแ่ ตกตางกัน 3. ครูใหนักเรียนนําผลการสํารวจมา อภิปรายรวมกันในชั้นเรียน
ส ว นพื ช ชนิ ด เดี ย วกั น ก็ จ ะมี ลั ก ษณะ ที่ปรากฏคลายคลึงกัน เชน ตนทานตะวัน จะมีใบสีเขียวเขม มีรปู รางกลมรี ขอบใบหยัก โคนใบโคงเวาเปนรูปหัวใจ มีดอกสีเหลือง และกลีบดอกเรียงซอนกัน เปนตน ▲
ภาพที่ ๑.๓ ตนทานตะวัน สายพันธุเดียวกัน จะมีลกั ษณะ ภายนอกคลายคลึงกัน
กิจกรรมหนูนอ ยนักสํารวจ
บูรณาการสูอาเซียน
กิจกรรมที่ ๒ สัตวที่ฉันชอบ
ครูอธิบายเกีย่ วกับสัตวประจําชาติ ของแตละประเทศในกลุมอาเซียน ใหนักเรียนฟง ดังนี้ • กัมพูชา-กูปรี • อินโดนีเซีย-มังกรโคโมโด • ลาว-ชาง • มาเลเซีย-เสือโครงมลายู • เมียนมาร-นกแวนสีเทา • ฟลิปปนส-ควาย • สิงคโปร-สิงโต • ไทย-ชาง • เวียดนาม-ควาย • บรูไน-ไมมีสัตวประจําชาติ
(ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้)
ปญหา
สัตวแตละชนิดมีลักษณะเหมือนกันหรือแตกตางกันอยางไร
อุปกรณ
๑. กระดาษวาดเขียน ๒ แผน ๒. ดินสอ ๑ แทง
วิธีทํา
๑. ใหนักเรียนแตละคนวาดภาพสัตวตางชนิดกันอยางละ ๑ ภาพ ลงบน กระดาษวาดเขียนแลวเปรียบเทียบลักษณะภายนอกวามีลักษณะ แตกตางกันอยางไร ๒. ใหนกั เรียนวาดภาพสัตวชนิดเดียวกัน เชน สุนขั ไทยกับสุนขั ตางประเทศ แมวไทยกับแมวตางประเทศ เปนตน ลงบนกระดาษวาดเขียนอีก หนึ่งแผน แลวเปรียบเทียบลักษณะของสัตวทั้งสองตัววามีลักษณะ เหมือนกันและแตกตางกันอยางไรบาง ๓. นําผลงานของตนเองมาอภิปรายรวมกันในชั้นเรียน
หมายเหตุ : ครูอาจใหนักเรียนหาภาพสัตวที่นักเรียนสนใจจากอินเทอรเน็ตก็ได
๔
4
คูมือครู
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
Explain
ตรวจสอบผล Evaluate
Expand
อธิบายความรู
จากการทํากิจกรรม นักเรียนจะเห็นไดวา สัตวแตละชนิดจะมีลักษณะ ภายนอกที่แตกตางกัน สวนสัตวชนิดเดียวกันมีลกั ษณะภายนอกทีค่ ลายคลึงกัน แตจะมีลกั ษณะ เฉพาะตัวแตกตางกัน เชน µÑÇÍ‹ҧÅѡɳТͧÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ
เปด กับหาน เปดจะมีขนาดลําตัวเล็กกวาหาน มีคอและขา สั้นกวาหาน ปากของเปดจะมีลักษณะ แบนและไมมีโหนกจมูก สวนปากของหานจะมีโหนกจมูก ●
●
เปด
หาน
1. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปผลการ อภิปรายลักษณะที่แตกตางกันของ สัตวแตละชนิด โดยยกตัวอยาง จากผลการสํารวจของนักเรียน 2. ครูอธิบายใหนักเรียนเขาใจวา สัตวแตละชนิดจะมีลักษณะที่ แตกตางกัน 3. ใหนักเรียนดูภาพและอานขอมูล หนา 5 และรวมกันบอกลักษณะ ที่แตกตางกันของสัตวในภาพ 4. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปวา สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะใกลเคียงกัน ก็จะมีลกั ษณะทีแ่ ตกตางกันเชนกัน
แมววิเชียรมาศ กับเสือโครง แมววิเชียรมาศจะมีขนาดลําตัวเล็กกวาเสือโครง สีขนของแมวจะมีสีนํ้าตาลออน สวน เสือโครงจะสีเหลืองสมและมีลายสีนํ้าตาล ใบหนาของแมววิเชียรมาศจะมี สีนํ้าตาลเขม สวนใบหนาของเสือโครงจะมี สีเหลืองสมและสีขาว และมีลายสีนํ้าตาล แมววิเชียรมาศ ●
●
●
เสือโครง
สุนัขพันธุไทย กับสุนัขพันธุตางประเทศ สุนัขพันธุปอมเมอเรเนียนจะมีขนาดเล็กกวาสุนัข พันธุไทยหลังอาน สุนัขพันธุปอมเมอเรเนียนมีขนยาวและฟู สวนสุนัขพันธุไทยหลังอานจะมีขนสั้นเกรียน ●
●
สุนัขพันธุปอมเมอเรเนียน
สุนัขพันธุไทยหลังอาน
๕
คูมือครู
5
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand
Evaluate
(ยอจากฉบับนักเรียน 30%)
ขยายความเขาใจ 1. ครูใหนกั เรียนดูภาพสุนขั ในหนา 6 แลวใหนักเรียนระบุลักษณะของ สุนัขในภาพวามีลักษณะใดบางที่ คลายคลึงกัน 2. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปวา สิง่ มีชวี ติ แตละชนิดยอมเกิดจาก สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันและมี ลักษณะคลายคลึงกับพอหรือแม ของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้น 3. ครูถามคําถามจุดประกายและให นักเรียนชวยกันตอบ
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดตองเกิดมาจากสิ่งมี ชีวิตชนิดเดียวกัน และลูกของสิ่งมีชีวิต ก็จะมีลักษณะคลายคลึงกับพอแม เชน ลูกสุนัขจะมีสขี น ลักษณะเสนขน เหมือนกับพอแมของมัน ซึ่งลักษณะ ดังกลาวสามารถถายทอดจากพอแม ไปสูล กู และรุนตอไปได
ตรวจสอบผล
?
ครูใหนักเรียนเลือกพืชและสัตว มาอยางละ 2 ชนิดแลวเปรียบเทียบ ลักษณะที่แตกตางกัน พรอมกับติด ภาพประกอบ
ภาพที่ ๑.๔ ลูกสุนัขจะมีลักษณะรูปราง หนาตา และสีขนคลายคลึงกับแมของมัน (ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้) ▲
คําถามจุดประกาย
๑. เพราะเหตุใด สิ่งมีชีวิตแตละชนิดจึงมีลักษณะแตกตางกัน ๒. สุนขั พันธุบ างแกวและสุนขั พันธุพ ดุ เดิล มีลกั ษณะทีเ่ หมือนกันและแตกตางกันอยางไร ๓. นักเรียนมีลกั ษณะคลายคลึงกับใคร เพราะเหตุใด
๒ การถายทอดลักษณะจากพอแมไปสูลูก นักเรียนเคยสังเกตสิง่ มีชวี ติ รอบๆ ตัวหรือไมวา ทําไมตัวเราหรือพีน่ อ งเรา จึงมีลักษณะคลายคลึงกับพอแม ทําไมลูกสุนัขจึงมีสี ขนเหมือนกับพอแมของมัน นักเรียนคิดวาสิง่ มีชวี ติ ไดรับลักษณะตางๆ มาจากใคร
ภาพที่ ๑.๕ คนแตละคนจะมีลักษณะ แตกตางกัน เพราะไดรับการถายทอด ลักษณะจากพอและแมของตนเอง
6
คูมือครู
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
กระตุนความสนใจ
กิจกรรมหนูนอยนักสํารวจ
(ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้)
กิจกรรมที่ ๓ ฉันเหมือนใคร
ปญหา
นักเรียนมีลักษณะคลายคลึงกับพอแมของตนเองอยางไรบาง
วิธีทํา
๑. ใหนักเรียนสํารวจลักษณะตางๆ ของตนเอง เปรียบเทียบกับพอแม (หรือรูปถายของพอแม) วามีลักษณะใดบางที่คลายคลึงกับพอแม ๒. บันทึกผลลงในสมุด และนําขอมูลมารวมกันอภิปราย µÑÇÍ‹ҧµÒÃÒ§ºÑ¹·Ö¡
ลักษณะของฉัน ๑. เสนผม ๒. หนังตา ๓. สีผิว ๔. ลักยิ้ม
ลักษณะของฉันคลายคลึงกับ
พอ
แม
ลักษณะที่ปรากฏ
ารวจ บันทึกผลการสํ นักเรียน ว ั ต า จํ ระ ป ด ุ ลงในสม
ครูสุมเรียกนักเรียนออกมา 2 คน แลวใหเพื่อนๆ ชวยกันสังเกตวา ลักษณะของนักเรียนทั้ง 2 คน แตกตางกันอยางไรบาง จากนั้น ใชคําถามถามนักเรียนวา • เพราะเหตุใด ลักษณะของเพื่อน ทั้ง 2 คน จึงแตกตางกัน (ตอบ เพราะทั้ง 2 คน ตางไดรับ การถายทอดลักษณะจากพอแม ของตนเอง) • เพื่อนทั้ง 2 คน มีลักษณะใดที่ แตกตางกันบาง (ตอบ ขึ้นอยูกับขอมูลของ นักเรียนแตละคน)
สํารวจคนหา
จากการทํากิจกรรม นักเรียนจะเห็นไดวา ตัวนักเรียนมีลกั ษณะบางอยาง ที่คลายคลึงกับพอแม เพราะนักเรียนไดรับการถายทอดลักษณะบางอยาง จากพอและยังไดรับการถายทอดลักษณะบางอยางจากแม เชน นักเรียนมี ผิวสีขาวเหมือนพอ และมีผมเหยียดตรงเหมือนแม เปนตน การถายทอด ลักษณะตางๆ จากพอแมไปสูลูก เราเรียกวา การถายทอดลักษณะทาง พันธุกรรม Åѡɳе‹Ò§æ ·ÕèÊÒÁÒö¶‹Ò·ʹ ¨Ò¡¾‹ÍáÁ‹ÊÙ‹ÅÙ¡ÁÕÍÐäúŒÒ§ Åͧ´ÙµÑÇÍ‹ҧ䴌ã¹Ë¹ŒÒ¶Ñ´ä»¹Ð¤ÃѺ
ครูใหนักเรียนทํากิจกรรมที่ 3 โดยเปรียบเทียบลักษณะของตนเอง วา มีลักษณะใดบางที่คลายคลึงกับ พอแม และคลายคลึงกันอยางไร
อธิบายความรู 1. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปผล การทํากิจกรรมวาตัวนักเรียนจะมี ลักษณะบางอยางที่คลายคลึงกับ พอแมของนักเรียน 2. ครูอธิบายใหนักเรียนเขาใจวา นักเรียนจะไดรับการถายทอด ลักษณะบางอยางจากพอแม เรียกวา การถายทอดลักษณะทาง พันธุกรรม
๗
คูมือครู
7
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ Expand
Explain
ตรวจสอบผล Evaluate
(ยอจากฉบับนักเรียน 30%)
อธิบายความรู 1. ครูใหนักเรียนดูภาพตัวอยางการ ถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ในหนานี้วามีอะไรบาง แลวให นักเรียนเปรียบเทียบลักษณะ ดังกลาวกับลักษณะของตนเองวา มีลักษณะใดบางที่ตรงกับลักษณะ ของนักเรียน 2. ครูใหนักเรียนยกตัวอยางลักษณะ อื่นๆ ที่สามารถถายทอดจากพอ แมไปสูลูกไดมา 4-5 ตัวอยาง
ลักษณะที่ถายทอดจากพอแมไปสูลูก ๑. ลักษณะหนาผาก ๒. ลักษณะเสนผม ๓. ลักษณะติ่งหู
ตัวอยาง
หนาผาก มีรอยหยัก
ขยายความเขาใจ
หนาผากกวาง
๔. ลักษณะสีผิว
ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติ ของเกรเกอร โยฮันน เมนเดล บิดาแหงวิชาพันธุศาสตร
ผิวขาว
ผิวดํา
ผมตรง
ผมหยักศก
๕. ลักษณะลิ้น
หอลิ้นได
มีติ่งหู
๖. ลักษณะนิ้วมือ
หอลิ้นไมได
วิทยาศาสตร ทยาศาสตรฉลาดรู เกรเกอร โยฮันน เมนเดล (๒๒ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๘๒๒ ๖ มกราคม ค.ศ. ๑๘๘๔) เกิดทีเ่ มืองไฮนเซนดรอฟ ประเทศออสเตรีย เขาได ท ดลองผสมพั น ธุ ต น ถั่ ว ลั น เตา เพื่ อ ศึ ก ษาการถ า ยทอด ลักษณะทางพันธุกรรมของพืชและไดคนพบวาตนถั่วลันเตามีการ ถายทอดลักษณะจากพอแมไปสูลูก ทําใหเขาไดรับการยกยองให เปน บิดาแหงวิชาพันธุศาสตร
๘
8
คูมือครู
ไมมีติ่งหู
หัวแมมือ งอน
หัวแมมือ ตั้งตรง
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand
Evaluate
ขยายความเขาใจ 1. ครูอธิบายใหนักเรียนเขาใจวา ลักษณะทางพันธุกรรมสามารถ แบงออกเปน 3 ลักษณะ คือ ลักษณะเดน ลักษณะดอย และ ลักษณะที่แปรผัน โดยยกตัวอยาง จากผลการสํารวจลักษณะของ ตนเองในกิจกรรมหนูนอ ยนักสํารวจ กิจกรรมที่ 3 ประกอบ 2. ครูใหนักเรียนดูภาพหนา 10 แลวอธิบายใหนักเรียนเขาใจวา สิ่งมีชีวิตชนิดอื่นตางก็มีการ ถายทอดลักษณะจากพอแมสลู กู ได เชนเดียวกันกับคน 3. ครูถามคําถามจุดประกายในหนา 10 แลวใหนักเรียนชวยกันตอบคําถาม
แผนภาพ การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
ปู
ยา
ตา
พอ
ยาย
แม
ตรวจสอบผล
ลูก
ภาพที่ ๑.๖ สมาชิกในครอบครัวอาจมีลักษณะบางอยางที่แตกตางกัน เพราะบุคคลนั้นอาจไดรับการถายทอด ลักษณะบางอยางจาก ปู ยา ตา ยาย หรือเกิดลักษณะบางอยางที่แปรผันไป
การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เราสามารถสรุปได ๓ ลักษณะ ดังนี้
ทําแผนภาพครอบครัวของตนเอง โดยศึกษารายละเอียดจากกิจกรรม รวบยอด ตอนที่ 2 ขอ 1 หนา 12
๑. ลักษณะเดน คือ ลักษณะที่ปรากฏในทุกรุนของสิ่งมีชีวิต ๒. ลักษณะดอย คือ ลักษณะทีป่ รากฏใหเห็นในบางรุน เทานัน้ เพราะ ถูกลักษณะเดนขมเอาไว ๓. ลักษณะที่แปรผัน คือ ลักษณะที่แตกตางจากลักษณะของสมาชิก ในครอบครัว และสามารถถายทอดไปยังรุนตอๆ ไปได ๙
คูมือครู
9
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
Engage
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Elaborate
Evaluate
(ยอจากฉบับนักเรียน 30%)
สํารวจคนหา ครูตั้งประเด็นใหนักเรียนอภิปราย รวมกันวา เราสามารถนําความรู เกี่ยวกับการถายทอดลักษณะทาง พันธุกรรมไปใชประโยชนอยางไรบาง
สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ก็มีการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมไดเชนเดียวกับคน เชน ลูกแมวมีลักษณะที่คลายคลึงกับพอและแมของแมว เมล็ดทานตะวัน ที่นํามาปลูกก็จะเจริญเติบโตเปนตนทานตะวันไดเชนเดียวกัน เปนตน
อธิบายความรู 1. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปผล การอภิปรายการนําความรูเ กีย่ วกับ การถายทอดลักษณะทาง พันธุกรรมไปใชประโยชน 2. ครูอธิบายใหนักเรียนเขาใจวา ใน การปรับปรุงพันธุพืชและพันธุสัตว มีขั้นตอนอยางไรบาง 3. ใหนักเรียนอานขอมูลหัวขอที่ 3 หนา 10 - 11 เพื่อใหเกิดความ เขาใจ
▲
ภาพที่ ๑.๗ ลูกแมวจะมีลักษณะคลายกับพอแม ของมัน
?
คําถามจุดประกาย
▲
ภาพที่ ๑.๘ ตนทานตะวันที่เจริญเติบโตขึ้นมาใหม มีลักษณะใกลเคียงกับตนเดิม
(ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้)
๑. ถาเรามีลักษณะแตกตางจากพอแม เราอาจมีลักษณะคลายกับใครบาง ๒. สมาชิกในครอบครัวของนักเรียนมีผิวขาวเปนสวนใหญ ลักษณะเดนคืออะไร ๓. ถาผสมถั่วตนสูงกับถั่วตนเตี้ย แลวไดถั่วตนสูงทั้งหมด ลักษณะเดนคืออะไร
๓ การนําความรูเกี่ยวกับการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ไปใชประโยชน
มนุษยนําความรูเกี่ยวกับการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมมาใชใน การพัฒนาสายพันธุของพืชและสัตว เพื่อใหมีลักษณะตรงตามตองการ เชน ใหผลผลิตสูง มีความตานทานโรค เปนตน ๑๐
10
คูมือครู
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand
Evaluate
ขยายความเขาใจ
มนุษย ไดนําความรูเกี่ยวกับการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมมาใช ประโยชนในดานเศรษฐกิจและการผลิตอาหาร ตัวอยางเชน ขาวโพดพันธุน ครสวรรค ๓ เปนพันธุ ผสมระหวางพันธุต ากฟา ๑ (พันธุแ ม) และ พันธุตากฟา ๓ (พันธุพอ) มีลักษณะเดน คือ ใหผลผลิตสูง มีความตานทานตอ โรครานํา้ คาง และโรคราสนิม และทนตอ สภาพอากาศแหงแลงไดดี
1. ครูอธิบายตัวอยางการนําความรู เกี่ยวกับการถายทอดลักษณะ ทางพันธุกรรมมาใชประโยชน ใหนักเรียนเขาใจวา มนุษยนํา ความรูเกี่ยวกับการถายทอด ลักษณะทางพันธุกรรมมาใชใน ดานเศรษฐกิจและการผลิตอาหาร เพือ่ ชวยลดตนทุนในการดูแลพืช และสัตว และใหผลผลิตเพิ่มขึ้น 2. ครูถามคําถามจุดประกายในหนานี้ และใหนักเรียนชวยกันตอบ
ตรวจสอบผล
โคนมสายพันธุหลักของไทยมีชื่อวา โคนมพันธุท เี อ็มแซด (TMZ : Thai Milking Zebu) โดยไดจากการผสมพันธุระหวาง โคนมพันธุยุโรปกับโคนมเขตรอนพันธุซีบู (Zebu) เพือ่ ใหเลีย้ งภายในประเทศไทยได ใหปริมาณนํ้านมดิบมาก และยังทนตอ สภาพอากาศรอนไดดี
?
คําถามจุดประกาย
(ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้)
๑. การปรับปรุงและพัฒนาสายพันธุพืชและสัตว มีผลทางดานเศรษฐกิจอยางไร ๒. ถาตองการเลี้ยงสัตวพันธุยุโรปในประเทศไทย นักเรียนจะทําอยางไร ๓. นักเรียนจะมีวิธีในการคัดเลือกพันธุพืชและสัตวในการนํามาผสมพันธุกันอยางไร
สืบคนขอมูลการนําความรูเ กีย่ วกับ การนําการถายทอดลักษณะทาง พันธุกรรมไปใชประโยชน โดยศึกษา รายละเอียดจากกิจกรรมรวบยอด ตอนที่ 2 ขอ 2) หนา 12
นักเรียนควรรู โคนมพันธุทีเอ็มแซด (TMZ : Thai Milking Zebu) เปนโคนมลูกผสม สายพันธุหลักของประเทศไทย และ มีการเลี้ยงและศึกษาที่ศูนยวิจัย และบํารุงพันธุสัตวลําพญา จังหวัด นครราชสีมา
๑๑
คูมือครู
11
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
Engage
Explore
Explain
Expand
หลักฐาน แสดงผลการเรียนรู 1. ใบบันทึกผลการทํากิจกรรม หนูนอยนักสํารวจ 2. แผนภาพครอบครัว และการ เปรียบเทียบลักษณะของตนเองกับ สมาชิกในครอบครัว 3. ขอมูลเกี่ยวกับการนําความรู เรื่องการถายทอดลักษณะ ทางพันธุกรรมไปใชประโยชน
Evaluate
(ยอจากฉบับนักเรียน 30%)
ตรวจสอบผล 1. ทํากิจกรรมรวบยอดตอนที่ 1 และ 3 2. ครูถามคําถามบูรณาการสูชีวิต และใหนักเรียนชวยกันตอบ
ตรวจสอบผล
º··Õè
กิจกรรมรวบยอด (ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้)
ตอนที่ ๑ แนวคิดสําคัญ ชวยกันสรุป ครูใหนักเรียนชวยกันพูดสรุปการถายทอดลักษณะจากพอแมไปสูลูก และการ นําความรูเกี่ยวกับการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมไปใชประโยชนวามีอะไรบาง จากนั้นบันทึกลงในสมุด ตอนที่ ๒ ลองทําดู หนูทําได ๑) จัดทําแผนภาพครอบครัวของตนเองลงในกระดาษวาดเขียน และตกแตง ใหสวยงาม แลวเขียนบอกลักษณะภายนอกของตนเองวามีลักษณะใดบาง ที่คลายคลึงกับพอแม ๒) แบงกลุม ใหแตละกลุมสืบคนขอมูลเกี่ยวกับการนําความรูเรื่องการถายทอด ลักษณะทางพันธุกรรมไปใชประโยชน เชน การปรับปรุงพันธุพืชหรือสัตว แลวนําขอมูลที่ไดมานําเสนอหนาชั้นเรียน ตอนที่ ๓ ฝกคิด พิชิตคําถาม ตอบคําถามตอไปนี้ลงในสมุด ๑) เพราะเหตุใด กระตายกับเตาจึงมีลักษณะแตกตางกัน ๒) ลักษณะใดบางของคนที่สามารถถายทอดจากพอแมไปสูลูกได ๓) ถาผสมพันธุสุนัขสีขาวกับสุนัขสีดํา ปรากฏวาไดลูกสุนัขสีขาวทั้งหมด ลักษณะเดนของลูกสุนัขคืออะไร ๔) มนุษยนาํ ความรูเ รือ่ งการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมไปใชประโยชนดา นใด คําถามบูรณาการสูชีวิต
(ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้)
๑. ถามีคนมาลอเลียนวา นักเรียนมีลักษณะไมเหมือนพอแมหรือพี่นอง นักเรียนจะ อธิบายอยางไรใหเขาใจวา สิ่งนี้ไมใชเรื่องผิดปกติ ๒. คุณพอของนักเรียนเปนนักฟุตบอล นักเรียนก็ชอบเลนฟุตบอลเหมือนคุณพอ การชอบเลนฟุตบอลเปนการถายทอดลักษณะจากคุณพอหรือไม เพราะอะไร ๓. นักเรียนไดรับประโยชนจากการพัฒนาสายพันธุพืชและสัตวอยางไร
12
คูมือครู
กระตุน ความสนใจ Engage
º··Õè
ò
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
ªÕÇÔµ·ÕèÃÍ´ÁÒä´Œ ภาพที่ ๑
เมื่อเรียนจบหนวยนี้ นักเรียนจะ สามารถปฏิบัติสิ่งเหลานี้ได • สืบคนขอมูลและอภิปราย เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตบางชนิดที่ สูญพันธุไปแลวและที่ดํารงพันธุ มาจนถึงปจจุบัน (ว 1.2 ป.3/4)
กิจกรรมนําสูก ารเรียน
เกร็ดแนะครู ครูจัดกระบวนการเรียนการสอน โดยการใหนักเรียน • สํารวจสังเกต • สืบคนขอมูล • วิเคราะหจากประเด็นคําถาม และภาพ จนเกิดเปนความรูความเขาใจวา สิ่งมีชีวิตตางๆ บนโลก บางชนิดได สูญพันธุไ ปแลว และสิง่ มีชวี ติ บางชนิด ยังคงดํารงพันธุอยูจนถึงปจจุบัน เพราะสิง่ มีชวี ติ มีการปรับตัวใหเขากับ สิ่งแวดลอมที่เปลี่ยนแปลงไปได
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµª¹Ô´ã´·ÕèàÃÒÊÒÁÒö ¾ºàËç¹ä´Œã¹»˜¨¨ØºÑ¹
กระตุนความสนใจ
ภาพที่ ๒ แนวคิดสําคัญ สิ่งมีชีวิตตางๆ ที่เกิดขึ้นบนโลก บางชนิดไดสูญพันธุ ไปแลว เนื่องจากไมสามารถปรับตัว ใหเขากับสภาพแวดลอมที่เปลี่ยนแปลงไปได สวนสิ่งมีชีวิตที่สามารถปรับตัวใหเขากับสภาพแวดลอม ที่เปลี่ยนแปลงไปไดก็จะสามารถอยูรอดและดํารงเผาพันธุมาจนถึงปจจุบัน ๑๓
นักเรียนดูภาพหนา 13 แลวชวยกัน บอกวา • สิ่งมีชีวิตในภาพที่ 1 และภาพที่ 2 เปนสิ่งมีชีวิตชนิดใด (ตอบ • ภาพที่ 1 ไดโนเสาร • ภาพที่ 2 ชาง) • นักเรียนเคยพบเห็นสิ่งมีชีวิต ชนิดใดหรือไมเคยพบเห็นสิ่งมี ชีวิตใด (ตอบ เห็นชาง แตไมเคยพบเห็น ไดโนเสาร) • สิ่งมีชีวิตในภาพใดที่เรายัง พบเห็นไดในปจจุบัน (ตอบ ชาง)
คูมือครู
13
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
Engage
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
(ยอจากฉบับนักเรียน 30%)
สํารวจคนหา 1. ครูใหนักเรียนสนทนาแสดงความ คิดเห็นเกี่ยวกับปญหาสิ่งแวดลอม ตางๆ วาสงผลกระทบตอการดํารง ชีวิตของสิ่งมีชีวิตอยางไรบาง 2. ครูใหนักเรียนทํากิจกรรมพัฒนา การเรียนรู โดยใหนักเรียนสืบคน ขอมูลเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตชนิดตางๆ แลวบอกวาสิ่งมีชีวิตชนิดใดบาง ที่สูญพันธุไปแลว
๑ สิ่งมีชีวิตที่เคยมีอยูและสูญพันธุไปแลว
สิ่งแวดลอมที่เราอาศัยอยูมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่ง อาจเกิดจากการเปลีย่ นแปลงตามธรรมชาติ และเกิดขึน้ จากการเปลีย่ นแปลง ของมนุษย นักเรียนคิดวาปญหาสิ่งแวดลอมจะสงผลกระทบตอการดําเนิน ชีวิตของสิ่งมีชีวิตอยางไร สืบคนขอมูลของสัตวที่กําหนดใหวาสัตวชนิดใดที่ยังไมสูญพันธุ และสัตวชนิดใด ที่สูญพันธุไปแลว
อธิบายความรู 1. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปผล การทํากิจกรรมพัฒนาการเรียนรู 2. ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายวา นักเรียนจะทราบไดอยางไรวา ไดโนเสารเคยมีชีวิตอยูบนโลกนี้
หมีขั้วโลก
บูรณาการสูอาเซียน ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา สัตวที่อาศัยอยูในกลุมประเทศ อาเซียน และไดสูญพันธุไปแลว ไดแก เสือโครงชวา ซึ่งอาศัยอยูใน ประเทศอินโดนีเซีย และสมันซึ่ง อาศัยอยูในประเทศไทย ครูเนนยํ้าใหนักเรียนเขาใจวา พืชและสัตวตางๆ ที่มีอยูในแตละ ประเทศถือเปนสิ่งแวดลอมทาง ธรรมชาติที่พลเมืองในประเทศ ตองชวยกันอนุรักษ
คูมือครู
ตัวนิ่ม
ไดโนเสาร
นกโดโด โลมา
กระซู
ยีราฟ
จากการทํากิจกรรมนักเรียนจะเห็นไดวา สัตวบางชนิดเคยมีชีวิตอยูบน โลกนี้แตไดสูญพันธุ ไปแลว สวนสัตวบางชนิดยังมีชีวิตอยูและสามารถ พบเห็นไดในปจจุบัน ¹Ñ¡àÃÕ¹¨Ð·ÃҺ䴌Í‹ҧäÃÇ‹Ò ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµª¹Ô´ã´à¤ÂÁÕªÕÇÔµÍÂÙ‹º¹âÅ¡¹Õé ᵋ㹻˜¨¨ØºÑ¹ä´ŒÊÙ޾ѹ¸Ø ä»áÅŒÇ
๑๔
14
(ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้)
กิจกรรมพัฒนาการเรียนรู
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand
Evaluate
อธิบายความรู
เราสามารถศึกษาสิ่งมีชีวิต ที่สูญพันธุไปแลวไดโดยดู จากหลั ก ฐานต า งๆ เช น ซากฟอสซิลของไดโนเสาร โครงกระดูกของสัตว ภาพวาด ภาพที่ ๑.๙ ซากฟอสซิลและโครงกระดูกของสัตว หรือภาพถายของสัตวชนิดนัน้ เปนหลักฐานที่ใชแสดงวาสัตวชนิดนั้นเคยมีชีวิตอยู เปนตน ปจจัยที่ทําใหสิ่งมีชีวิตสูญพันธุหรือใกลสูญพันธุ การที่สิ่งมีชีวิตบางชนิดสูญพันธุ ไป หรือใกลสูญพันธุ มีสาเหตุ ดังนี้ ▲
๑) ภัยธรรมชาติ เชน แผนดินไหว ๒) โครงสรางทางรางกาย รูปราง ไฟปา ภูเขาไฟปะทุอยางรุนแรง เปนตน ของสัตวมีสวนทําใหสัตวสูญพันธุ เชน ทําใหสิ่งแวดลอมเปลี่ยนแปลงไปอยาง สมันมีเขาแตกกิ่งกานสาขา จึงหลบหนี รวดเร็ว สิง่ มีชวี ติ อาจลมตายและสูญพันธุ การลาของผูลาไดยาก เปนตน ในที่สุด เชน ไดโนเสาร เปนตน ๓) การกระทําของมนุษ ย เชน มนุษยลาสัตวเพื่อทําการคาหรือความ เพลิดเพลิน และการตัดไมทําลายปาซึ่ง เปนที่อยูอาศัยของสัตวปาหลายชนิด ทําใหสตั วปา มีจาํ นวนลดนอยลง เปนตน
?
คําถามจุดประกาย
๔) ลั ก ษณะที่ อ ยู อ าศั ย สั ตว ที่ อาศัยอยูในบริเวณที่มักพบเห็นไดงาย จะมีโอกาสถูกลาไดงา ย เชน สมันอาศัย อยูในปาโปรง เปนตน
ขยายความเขาใจ 1. ครูนําขอมูลเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่เคยมีชีวิตอยูและสูญพันธุไปแลว มาเลาใหนักเรียนฟง เชน ชางแมมมอธ เสือเขี้ยวดาบ นกโดโด เปนตน 2. ครูถามคําถามจุดประกายในหนานี้ และใหนักเรียนชวยกันตอบ
ตรวจสอบผล ใหนักเรียนทํากิจกรรมรวบยอด ตอนที่ 2 หนา 19
(ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้)
นักเรียนควรรู
๑. นักเรียนคิดวา สาเหตุสําคัญที่สุดที่ทําใหสิ่งมีชีวิตสูญพันธุคืออะไร ๒. นักเรียนสามารถศึกษาลักษณะของไดโนเสารชนิดตางๆ ไดอยางไร ๓. สิ่งแวดลอมมีผลตอการสูญพันธุหรือการดํารงพันธุของสิ่งมีชีวิตอยางไร ๑๕
@
1. ครูอธิบายใหนักเรียนเขาใจวา เราสามารถศึกษาสิ่งมีชีวิตที่จะ สูญพันธุไปแลว โดยดูจากซาก ฟอสซิลโครงกระดูก ภาพวาดหรือ ภาพถายของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้น 2. ครูตั้งประเด็นใหนักเรียนรวมกัน อภิปรายเกี่ยวกับสาเหตุที่ทําให สิ่งมีชีวิตสูญพันธุหรือใกลสูญพันธุ วามีอะไรบาง 3. ครูสังเกตการอภิปรายของนักเรียน และรวมกันสรุปผลการอภิปราย
มุม IT
ครูสืบคนเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุไปแลวไดจากเว็บไซต www.komkid.com ซึ่งเปนเว็บไซตที่รวบรวมขอมูลเกี่ยวกับความรูรอบตัวโดยมีวิธีการดังนี้ 1. ชี้เมาสที่ ธรรมชาติวิทยา 2. คลิก สัตวสูญพันธุ
ซากฟอสซิล คือ รองรอยของสิ่งมี ชีวิตซึ่งอาจเปนชิ้นสวนของสิ่งมีชีวิต ที่ยอยสลายไดยาก เชน กระดูก ฟน เขีย้ ว เปนตน หรืออาจเปนรองรอย ขณะที่สิ่งมีชีวิตชนิดนั้นยังมีชีวิตอยู เชน รอยเทา รอยคลาน เปนตน แหลงที่มีการขุดพบซากฟอสซิล ไดโนเสารขนาดใหญ และมีการจัด แสดงซากฟอสซิลของไดโนเสาร และโครงกระดูกของไดโนเสาร ในประเทศไทย ตั้งอยูที่แหลง ไดโนเสารภูกุมขาว จังหวัดกาฬสินธุ คูมือครู
15
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา Explore
Engage
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
(ยอจากฉบับนักเรียน 30%)
กระตุนความสนใจ ครูและนักเรียนสนทนาแสดง ความคิดเห็นวา เพราะอะไรสิ่งมีชีวิต บางชนิดจึงสามารถดํารงพันธุอยู จนถึงปจจุบัน
สํารวจคนหา 1. ครูยกตัวอยางการปรับตัวของ สิ่งมีชีวิตตางๆ ดังนี้ • การหุบใบของไมยราบ • การเปลี่ยนสีลําตัวของจิ้งจก • การขดตัวเปนวงกลมของกิ้งกือ • การหดหัวและเทาเขาในกระดอง ของเตา 2. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปราย ตัวอยางการปรับตัวของสิ่งมีชีิวิต วามีประโยชนอยางไร และลักษณะ ของการปรับตัวเปนอยางไร 3. ครูยกตัวอยางการปรับตัวของ สิ่งมีชีวิตตางๆ ดังนี้ • ผักบุงมีลําตนกลวง • ตะบองเพชรเปลีย่ นใบเปนหนาม • ปลามีรูปรางเพรียว • ยีราฟมีคอยาว • นกมีปากแหลมคม 4. ครูใหนักเรียนอภิปรายตัวอยาง การปรับตัวของสิ่งมีชีวิตวามี ประโยชนอยางไร และลักษณะ ของการปรับตัวเปนอยางไร 5. ครูใหนักเรียนเปรียบเทียบลักษณะ การปรับตัวในขอ 1 กับขอ 3 และ สรุปผล
อธิบายความรู 1. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปผล การอภิปรายวา การปรับตัว ชั่วคราวของพืชและสัตว เปนการ เปลี่ยนแปลงรูปรางหรือลักษณะ ภายนอกในชวงเวลาสั้นๆ และ สามารถเปลี่ยนกลับมาเปน ลักษณะเดิมได 2. ใหนักเรียนอานขอมูลในหนานี้
16
คูมือครู
๒ การปรับตัวของสิ่งมีชีวิต
สิ่งมีชีวิตที่สามารถอยูรอดมาไดจะมีการปรับตัวใหเหมาะสมกับสภาพ แวดลอม เพือ่ การอยูร อด เชน การปรับเปลีย่ นโครงสรางของรางกาย การพรางตา ศัตรู เปนตน ซึ่งแบงออกไดเปน ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๑. การปรับตัวชั่วคราว การปรับตัวชั่วคราว เปนการเปลี่ยนแปลงรูปรางลักษณะภายนอก ของสิง่ มีชวี ติ ในชวงเวลาสัน้ ๆ และสามารถเปลีย่ นกลับมาเปนลักษณะเดิมได เชน ตนไมที่ปลูกบริเวณที่รมจะโนมลําตนเขาหาแสงแดด กิ้งกาจะเปลี่ยนสี ลําตัวใหกลมกลืนกับสิ่งแวดลอม เปนตน
▲
ภาพที่ ๑.๑๐ ตนไมเอนลําตนเขาหาแสงเพื่อการ สรางอาหาร
▲
ภาพที่ ๑.๑๑ กิ้งกาเปลี่ยนสีลําตัวใหกลมกลืนกับ สิ่งแวดลอมเพื่อพรางตัวจากศัตรู และเพื่อลาเหยื่อ
๒. การปรับตัวถาวร การปรับตัวถาวร เปนการเปลี่ยนแปลงรูปรางลักษณะที่เกิดจากการ ถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การปรับตัวถาวรของสิ่งมีชีวิต มีดังนี้ ๑) การปรับตัวถาวรของพืช พืชแตละชนิดมีการปรับตัวใหเขากับ สภาพแวดลอมแตกตางกัน ซึ่งนักเรียนสามารถศึกษาไดจากกิจกรรมนี้ ๑๖
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล
Engage
Evaluate
สํารวจคนหา (ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้)
กิจกรรมหนูนอยนักทดลอง กิจกรรมเรื่อง การปรับตัวของพืชนํ้า
ปญหา
พืชนํ้ามีการปรับตัวใหเหมาะสมตอการดํารงชีวิตอยางไร
อุปกรณ
๑. ผักบุงหรือผักกระเฉด ๑ ตน ๒. ตนถั่วหรือพืชบกชนิดอื่นๆ ๑ ตน ๓. ตูเลี้ยงปลาหรือกะละมัง ๑ ใบ
วิธีทํา
๑. สังเกตลักษณะของผักบุงและตนถั่ววามีลักษณะแตกตางกันอยางไร แลวบันทึกผล ๒. เติมนํ้าลงในภาชนะที่เตรียมไวประมาณ ๓ ใน ๔ ของความจุภาชนะ ๓. นําตนผักบุงไปแชลงในนํ้า ใชมือกดผักบุงใหจมนํ้า แลวปลอยมือ จากนั้นสังเกต แลวบันทึกผล ๔. ทําการทดลองซํ้าขอ ๓ โดยเปลี่ยนจากตนผักบุงเปนตนถั่ว สังเกต แลวบันทึกผล
จากการทดลอง นักเรียนจะเห็นไดวา พืชบกและพืชนํา้ จะมีลกั ษณะ แตกตางกัน โดยพืชนํา้ บางชนิดจะมีทนุ ชวยพยุงลําตนใหลอยอยูบ นผิวนํา้ ได เชน ผักกระเฉด เปนตน หรือมีลําตนกลวงเพื่อชวยในการลอยนํ้า เชน ผักบุง เปนตน ภาพที่ ๑.๑๒ พืชนํ้าบางชนิด เชน ผักตบชวา บัว
1. ครูใหนักเรียนสนทนาแสดงความ คิดเห็นวา พืชนํ้าและพืชบก มีลักษณะใดแตกตางกันบาง 2. ครูใหนักเรียนทํากิจกรรมเรื่อง การปรับตัวของพืชนํ้า
อธิบายความรู 1. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปผล การทดลองการปรับตัวของพืชนํ้า 2. ครูอธิบายใหนักเรียนเขาใจวา ลักษณะของพืชบกและพืชนํ้า แตกตางกันอยางไรบาง
ขยายความเขาใจ ครูใหนกั เรียนรวบรวมขอมูลเพิม่ เติม เกี่ยวกับการปรับตัวถาวรแบบตางๆ ของพืชแลวบันทึกขอมูลไว และนํามา แลกเปลี่ยนกันในชั้นเรียน
▼
ลําตนมีรูพรุน เพื่อใหลอยนํ้าได
คูมือครู
17
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ Explain
Expand
Evaluate
(ยอจากฉบับนักเรียน 30%)
อธิบายความรู 1. ครูอธิบายใหนักเรียนเขาใจวา การปรับตัวถาวรของสัตวสามารถ แบงออกได 3 ลักษณะ คือ • การปรับตัวทางดานรูปราง • การปรับตัวทางดาน โครงสราง • การปรับตัวทางดานพฤติกรรม 2. ใหนกั เรียนอานขอมูลในหนานี้ และรวมกันสรุปลักษณะการปรับตัว ถาวรของสัตว 3. ครูตงั้ ประเด็นคําถามแลวให นักเรียนชวยกันตอบ • เพราะอะไรสิ่งมีชีวิตจึงตองมี การปรับตัวใหเขากับ สภาพแวดลอมที่อาศัยอยู (ตอบ เพื่อใหสามารถดํารงชีวิต อยูรอดได) • การที่เปดมีเทาเปนพังผืด เปนการปรับตัวลักษณะใด เพราะอะไร (ตอบ เปนการปรับตัวดานรูปราง เพราะเปนการปรับลักษณะ ของเทา ซึ่งเปนอวัยวะภายนอก เพื่อชวยในการวายนํ้า)
๒) การปรับตัวถาวรของสัตว แบงออกเปน ๓ ลักษณะ ดังนี้ (๑) การปรับตัวทางดานรูปราง เปนการปรับลักษณะของสัตว เพื่อใหเหมาะสมกับสิ่งแวดลอม เชน ตั๊กแตนใบไม จะมีรูปราง คลายกับใบไม ชวยในการ พรางตัว
สุนขั ในเขตอากาศหนาว จะมีขนยาวและมีชนั้ ไขมันหนาเพือ่ ใหรา งกาย อบอุน เชน สุนัขพันธุ เซนตเบอรนารด เปนตน
คูมือครู
สุนขั ในเขตอากาศรอน จะมีขนสั้นเกรียน และไมมี ชัน้ ไขมันหนาใตผวิ หนัง เชน สุนัขพันธุไทยหลังอาน เปนตน
(๓) การปรับตัวทางดานพฤติกรรม เปนการปรับพฤติกรรมดาน การดําเนินชีวิตของสัตว เชน สัตวที่จําศีลในฤดูหนาว เชน หมีขั้วโลก จะไมเคลื่อนไหว รางกาย เพื่อ ลดการใช พลังงาน
?
๑๘
18
ตั๊กแตนกิ่งไม จะมีรูปรางและสีของ ลําตัวคลายกับกิ่งไม ชวยในการพรางตัว
(๒) การปรับตัวทางดานโครงสราง เปนการปรับการทํางานของ อวัยวะภายในของรางกายของสัตว เชน
ขยายความเขาใจ 1. ใหนักเรียนสืบคนขอมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับการปรับตัวแบบตางๆ ของสัตว แลวบันทึกขอมูลไว และ นํามาแลกเปลี่ยนกันในชั้นเรียน 2. ครูถามคําถามจุดประกายในหนานี้ แลวใหนักเรียนชวยกันตอบ
ตรวจสอบผล
คําถามจุดประกาย
คางคาวเปนสัตวที่ไมชอบแสง จึงตองออกหากิน ในเวลา กลางคืน
(ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้)
๑. เพราะเหตุใด สิ่งมีชีวิตบางชนิดจึงสามารถดํารงเผาพันธุอยูไดจนถึงปจจุบัน ๒. สัตวที่อยูในเขตอากาศรอนกับสัตวที่อยูในเขตอากาศหนาวมีลักษณะแตกตางกัน อยางไร ๓. ลําตนของพืชนํ้ามีลักษณะที่แตกตางจากลําตนของพืชบกอยางไร
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
Engage
Explore
Explain
Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
ตรวจสอบผล º··Õè
กิจกรรมรวบยอด (ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้)
ตอนที่ ๑ แนวคิดสําคัญ ชวยกันสรุป ครูใหนักเรียนชวยกันพูดสรุปสาเหตุที่ทําใหสิ่งมีชีวิตบางชนิดสูญพันธุหรือใกล สูญพันธุ และการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตวามีลักษณะใดบาง จากนั้นบันทึกลงในสมุด ตอนที่ ๒ ลองทําดู หนูทําได จัดทําบัตรภาพสิ่งมีชีวิตที่นักเรียนสนใจมาคนละ ๑ ชนิด แลวบันทึกขอมูล ตามตัวอยาง ชือ่ สัตว : …………………………………………………………………………………………………………… ลักษณะรูปราง : ………………………………………………………………………………………… ติดภาพ
ึกขอมูลลงใน ีย าพ รภ บัต ที่นักเร
บันท …………………………………………………………………………………………. นจัดทํา
1. ทํากิจกรรมรวบยอดตอนที่ 1 และ 3 2. ครูถามคําถามบูรณาการสูชีวิต และใหนักเรียนชวยกันตอบ
หลักฐาน แสดงผลการเรียนรู 1. การตอบคําถามในกิจกรรม พัฒนาการเรียนรู 2. ใบบันทึกผลกิจกรรมหนูนอย นักทดลอง 3. บัตรภาพสิ่งมีชีวิต
อาหาร : ………………………………………………………………………………………………………… ที่อยูอาศัย : …………………………………………………………………………………………………. สูญพันธุไปแลว
ยังไมสูญพันธุ
ตอนที่ ๓ ฝกคิด พิชิตคําถาม ตอบคําถามตอไปนี้ลงในสมุด ๑) นักเรียนทราบไดอยางไรวา ไดโนเสารเคยมีชีวิตอยูบนโลก ๒) สาเหตุสําคัญที่ทําใหสมันสูญพันธุคืออะไร ๓) ยกตัวอยางการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตมา ๓ ตัวอยาง พรอมทั้งบอกสาเหตุ ที่ทําใหสิ่งมีชีวิตมีการปรับตัว ๔) การปรับตัวของสิ่งมีชีวิตมีผลตอการดํารงพันธุอยางไร คําถามบูรณาการสูชีวิต
(ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้)
๑. นักเรียนคิดวา การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดลอมในปจจุบันในลักษณะใดบาง ที่เปนสาเหตุสําคัญที่อาจทําใหสิ่งมีชีวิตบางชนิดตองสูญพันธุไป ๒. นักเรียนคิดวา การชวยกันดูแลรักษาสิ่งแวดลอม มีสวนชวยไมใหสัตว บางชนิดสูญพันธุไดหรือไม อยางไร
คูมือครู
19
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
เปาหมายการเรียนรู เมื่อเรียนจบ นักเรียนจะสามารถ ปฏิบัติสิ่งเหลานี้ได • สํารวจสิ่งแวดลอมในทองถิ่น ของตนและอธิบายความสัมพันธ ของสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดลอม (ว 2.1 ป.3/1)
(ยอจากฉบับนักเรียน 30%)
º··Õè
ó
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ ภาพที่ ๑ ผึ้งกับดอกไม
กิจกรรมนําสูก ารเรียน กิจกรรมนําสูก ารเรียน
เกร็ดแนะครู ครูจัดกระบวนการเรียนการสอน โดยการใหนักเรียน • สํารวจ สังเกต • อภิปราย • อธิบาย • วิเคราะหจากประเด็นคําถาม และภาพ จนเกิดเปนความรูความเขาใจวา สิ่งตางๆ ที่อยูรอบตัวเราทั้งสิ่งมีชีวิต และสิ่งไมมีชีวิตจะมีความสัมพันธ กับสิ่งแวดลอมและกับสิ่งมีชีวิต ดวยกันเอง
กระตุนความสนใจ
¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸ ¢Í§¼Ö駡Ѻ´Í¡äÁŒ ภาพที่ ๒ สิงโตกับวัวกระทิง áÅÐÊԧⵡѺÇÑÇ¡Ãзԧ ÁÕ¤ÇÒÁᵡµ‹Ò§¡Ñ¹Í‹ҧäà ¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸ ¢Í§ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµã¹ÀÒ¾ ÁÕÅѡɳÐÍ‹ҧäÃ
นักเรียนดูภาพหนา 20 แลวชวยกัน บอกวา • ความสัมพันธของผึ้งกับดอกไม แนวคิดสําคัญ และสิงโตกับวัวกระทิงมีความ แตกตางกันอยางไร สิ่งตางๆ ที่อยูรอบตัวเรามีทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งไมมีชีวิต เรียกวา สิ่งแวดลอม ซึ่งสิ่งมีชีวิตตางๆ (ตอบ ความสัมพันธของผึ้งกับ จะมีความสัมพันธกับสิ่งแวดลอมทั้งกับสิ่งมีชีวิตและสิ่งไมมีชีวิต ดอกไม เปนความสัมพันธที่ผึ้ง และดอกไมไดรับประโยชน ๒๐ รวมกัน เพราะผึ้งกินนํ้าหวาน จากดอกไม และดอกไมอาศัย ผึ้งในการผสมเกสร สวนสิงโต กับวัวกระทิง เปนความสัมพันธที่สิงโตไดประโยชนแตเพียงฝายเดียว เพราะสิงโตกินวัวกระทิงเปนอาหาร) • ความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตในภาพมีลักษณะอยางไร (ตอบ ผึ้งกับดอกไมจะไดรับประโยชนรวมกัน สวนสิงโตกับวัวกระทิง สิงโตจะไดรับประโยชนฝายเดียว)
20
คูมือครู
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
กระตุนความสนใจ
๑ ความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดลอม
ลองสังเกตรอบๆ ตัวเรา นักเรียนจะพบสิ่งตางๆ มากมาย ซึ่งมีทั้ง สิ่งที่มีชีวิต เชน คน สุนัข ตนไม เปนตน และสิ่งไมมีชีวิต เชน นํ้า ทราย กอนหิน บาน ถนน เปนตน สิ่งตางๆ เหลานี้เรียกวา สิ่งแวดลอม นักเรียนเคยสังเกตไหมวา สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยูรวมกับสิ่งไมมีชีวิต มีความสัมพันธกันอยางไรบาง นักเรียนสามารถศึกษาไดจากกิจกรรมนี้ กิจกรรมหนูนอยนักสํารวจ
(ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้)
กิจกรรมเรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดลอม
ปญหา
สิง่ มีชวี ติ ตางๆ มีความสัมพันธกบั สิง่ แวดลอมอยางไรบาง
วิธีทํา
๑. แบงกลุม ใหแตละกลุม สํารวจสิง่ มีชวี ติ ในบริเวณสวนของโรงเรียนวา มีความสัมพันธกบั สิง่ แวดลอมอยางไร แลวบันทึกผล ๒. นําผลการสํารวจมาอภิปรายรวมกันในชัน้ เรียน และหาขอสรุปวา สิง่ มีชวี ติ มีความสัมพันธกบั สิง่ แวดลอมอยางไร โดยมีครูเปนผูน าํ การอภิปราย
1. ครูใหนักเรียนสํารวจสิ่งตางๆ รอบตัววามีอะไรบางที่เปน สิ่งมีชีวิต และสิ่งไมมีชีิวิต 2. ครูถามคําถามนักเรียนวา • นักเรียนมีความสัมพันธกับสิ่งที่ นักเรียนยกตัวอยางอยางไรบาง (แนวตอบ ขึ้นอยูกับขอมูลของ นักเรียนแตละคน)
สํารวจคนหา 1. ครูใหนักเรียนทํากิจกรรมหนูนอย นักสํารวจ แลวนําผลการสํารวจมา อภิปรายรวมกันวา สิ่งมีชีวิตตางๆ มีความสัมพันธกับสิ่งแวดลอม อยางไร 2. ครูสังเกตการอภิปรายรวมกัน ภายในกลุมของนักเรียน
µÑÇÍ‹ҧµÒÃÒ§ºÑ¹·Ö¡
สิ่งมีชีวิตที่พบ
ความสัมพันธกับสิ่งแวดลอม ารวจ บันทึกผลการสํ นักเรียน ว ั ต า จํ ระ ป ด ุ ลงในสม
จากการทํากิจกรรม นักเรียนจะเห็นไดวา สิ่งมีชีวิตมีความสัมพันธกับ สิ่งแวดลอมในดานตางๆ ซึ่งสามารถสรุปได ดังนี้ ๒๑
คูมือครู
21
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
(ยอจากฉบับนักเรียน 30%)
อธิบายความรู 1. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปผลการ ทํากิจกรรมหนูนอยนักสํารวจ 2. ครูอธิบายใหนักเรียนเขาใจวา สิ่งมีชีวิตตางๆ จะมีความสัมพันธ กับสิ่งแวดลอม คือ เปนแหลงที่อยู อาศัย เปนแหลงอาหาร เปนแหลง สืบพันธุ และเปนแหลงหลบภัย 3. ใหนักเรียนอานขอมูลหนา 22 และรวมกันสรุปความสัมพันธ ของสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดลอม
นักเรียนควรรู ปะการัง เปนสัตวไมมีกระดูกสันหลังชนิดหนึ่ง อาศัยอยูบริเวณ ชายฝงทะเลนํ้าตื้น และอยูรวมกัน เปนกลุม สืบพันธุไ ดทงั้ แบบอาศัยเพศ และแบบไมอาศัยเพศ
๑. เปนแหลงที่อยูอาศัย ๑) บริเวณปาไมเปนแหลงทีอ่ ยูอ าศัยของพืช เชน เต็ง รัง สัก สน เปนตน และสัตวบก เชน เสือ กวาง ลิง ชาง เปนตน ๒) บริเวณแหลงนํ้าเปนที่อยูอาศัยของพืชนํ้า เชน ผักบุง สาหราย ผักตบชวา เปนตน และสัตวนํ้า เชน กุง หอย ปู ปลา เปนตน ๒. เปนแหลงอาหาร แหลงอาหารของสิง่ มีชวี ติ จะมีอยูท วั่ ไปตามธรรมชาติ เชน ทุงหญาเปนแหลงอาหารของวัว หนองนํ้าเปนแหลงอาหาร ของนกนํ้าชนิดตางๆ เปนตน สวนพืชจะไดรับอาหารจาก ธาตุอาหารตางๆ ที่อยูในดิน ๓. เปนแหลงสืบพันธุและเลี้ยงดูลูกออน สิ่งมีชีวิตอาศัยสิ่งแวดลอมเปนแหลงสืบพันธุและเลี้ยงดู ลูกออน เชน สัตวนาํ้ ออกลูกเปนไขหรือเปนตัวในนํา้ สัตวบก จะใชแหลงทีอ่ ยูอ าศัยเปนแหลงสืบพันธุแ ละเลีย้ งดูลกู ออนจน เจริญเปนตัวเต็มวัย
นักเรียนควรรู ปาชายเลน เปนปาไมไมผลัดใบ ที่อยูบริเวณชายฝงทะเล ซึ่งสัตวนํ้า บางชนิดจะอาศัยปาชายเลน เปนสถานที่สําหรับวางไขและ เปนแหลงหลบภัย พืชที่พบบริเวณ ปาชายเลน เชน โกงกาง แสม ตะบูน ปรง เปนตน
๔. เปนแหลงหลบภัย แหลงหลบภัยที่สําคัญของสิ่งมีชีวิต เชน ๑) ปะการังและปาชายเลน เปนแหลงหลบภัยของสัตวนาํ้ ๒) ดิน เปนแหลงหลบภัยของสัตวที่อาศัยอยูใตดิน เชน ไสเดือน ตัวตุน เปนตน ๓) ปาไม เปนแหลงหลบภัยของสัตวปา เชน เสือ ชาง หมี กวาง เปนตน ๒๒
22
คูมือครู
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand
Evaluate
ขยายความเขาใจ
กิจกรรมพัฒนาการเรียนรูท ี่ ๑ (ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้)
พิจารณาความสัมพันธจากภาพที่กําหนดให แลวบอกความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิต กับสิ่งแวดลอม ๑ ๒
?
ตรวจสอบผล
๔
๓
คําถามจุดประกาย
1. ครูใหนักเรียนทํากิจกรรมพัฒนา การเรียนรูที่ 1 โดยใหนักเรียน ดูภาพแลวบอกความสัมพันธ ของสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดลอม 2. ครูสังเกตการตอบคําถามของ นักเรียนวา นักเรียนสามารถตอบ คําถามไดถูกตองหรือไม 3. ครูถามคําถามจุดประกายใน หนานี้แลวใหนักเรียนชวยกันตอบ
ครูใหนักเรียนวาดภาพแสดงความ สัมพันธของสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดลอม ใหครบทั้ง 4 ลักษณะ คือ เปนแหลง ทีอ่ ยูอ าศัย เปนแหลงอาหาร เปนแหลง สืบพันธุ และเปนแหลงหลบภัย
(ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้)
๑. เพราะเหตุใด สิ่งแวดลอมที่มีความอุดมสมบูรณจึงมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยูมากมาย ๒. ถาความสัมพันธของสิ่งมีชีิวิตกับสิ่งแวดลอมในดานเปนแหลงอาหารขาดหายไป สิ่งมีชีวิตจะดํารงชีวิตอยูไดหรือไม เพราะเหตุใด ๓. จากคํากลาวที่วา “สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอมมีความสัมพันธกัน โดยไมสามารถ แยกออกจากกันได” นักเรียนเห็นดวยหรือไม เพราะอะไร
๒ ความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต สิง่ มีชวี ติ ตางๆ นอกจากจะมีความสัมพันธ กับสิ่งแวดลอมแลว ยังมีความสัมพันธกับ สิ่งมีชีวิตดวยกันเองอีกดวย
Åͧ·íÒ¡Ô¨¡ÃÃÁã¹Ë¹ŒÒµ‹Íä» à¾×èÍÈÖ¡ÉÒ¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸ ÃٻẺµ‹Ò§æ ¢Í§ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ ¡ÑºÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ ๒๓
คูมือครู
23
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา Engage
Explore
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
(ยอจากฉบับนักเรียน 30%)
กระตุนความสนใจ ครูใหนักเรียนชวยกันยกตัวอยาง สิ่งมีชีวิตที่มีความสัมพันธกันมา ประมาณ 4 - 5 ตัวอยาง แลวชวยกัน บอกวา สิ่งมีชีวิตที่ยกตัวอยางมา มีความสัมพันธกันอยางไร
กิจกรรมพัฒนาการเรียนรูท ี่ ๒ (ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้)
ดูภาพ แลวบอกรูปแบบความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตของแตละภาพ รูปแบบความสัมพันธของสิ่งมีชีวิต เหยื่อกับผูลา พึ่งพากันแบบไมสามารถแยกจากกันได ตางฝายตางไดประโยชนรวมกัน ฝายหนึ่งไดประโยชนแตอีกฝายไมเสียประโยชน ฝายหนึ่งไดประโยชนโดยเบียดเบียนและอาจทําลายอีกฝายหนึ่ง ●
สํารวจคนหา
●
●
1. ครูตั้งประเด็นใหนักเรียนรวมกัน อภิปรายเกี่ยวกับความสัมพันธ ระหวางสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต ที่นักเรียนเคยพบเห็นวามีอะไรบาง 2. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปผล การอภิปรายวา นอกจากสิ่งมีชีวิต จะมีความสัมพันธกับสิ่งแวดลอม แลว ยังมีความสัมพันธกับสิ่งมีชีวิตดวยกันเองดวย 3. ครูใหนักเรียนทํากิจกรรม พัฒนาการเรียนรูที่ 2 โดยให นักเรียนดูภาพแลวบอกความ สัมพันธของสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต 4. ครูสังเกตการตอบคําถามของ นักเรียนวา สามารถบอกความ สัมพันธของสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต ไดถูกตองหรือไม
●
●
๒
๑
นกกับปลา
๓
๔
ผึ้งกับดอกไม
๕
๒๔
คูมือครู
งูกับกบ
๖
รากับสาหราย (ไลเคน)
24
พลูดางกับตนไมใหญ
เห็บกับสุนัข
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
อธิบายความรู
จากการทํากิจกรรม ทําใหสามารถจําแนกลักษณะความสัมพันธระหวาง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตเปน ๕ ลักษณะ ดังนี้ ๑. ภาวะลาเหยื่อ สิง่ มีชวี ติ ฝายหนึง่ ไดประโยชนจากการจับ สิ่งมีชีวิตอีกฝายหนึ่งกินเปนอาหาร เราเรียก ฝายที่ถูกกินวา เหยื่อ และเรียกฝายที่กินวา ผูลา เชน นกกินหนอน เสือกินกวาง เปนตน
▲
ภาพที่ ๑.๑๔ ไลเคนเกิดจากการ อยูรวมกันของรากับสาหรายโดยที่ ไมสามารถแยกออกจากกันได
▲
ภาพที่ ๑.๑๓ ผูลาจะไดรับประโยชน จากการไดกินเหยื่อเปนอาหาร ผูลา จึงสามารถดํารงชีวิตอยูได
๒. ภาวะพึ่งพากัน เปนความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตที่อาศัย อยูรวมกันและไดรับประโยชนรวมกัน โดยไม สามารถแยกออกจากกันได เชน รากับสาหราย ที่อยูรวมกัน เรียกวา ไลเคน
1. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปผล จากการทํากิจกรรมพัฒนาการเรียนรู ที่ 2 วา ความสัมพันธระหวาง สิง่ มีชวี ติ กับสิง่ มีชวี ติ แบงออกเปน 5 ลักษณะ 2. ครูอธิบายใหนกั เรียนเขาใจเกีย่ วกับ ความสัมพันธแบบเหยื่อกับผูลา และความสัมพันธแบบพึ่งพากัน 3. ครูอธิบายขอมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ไลเคน 4. ครูตั้งประเด็นคําถามใหนักเรียน ชวยกันตอบ • ตอไทรเปนแมลงชนิดหนึ่งที่ อาศัยอยูในลูกไทรตลอดชีวิต ตนไทรสืบพันธุตอไปไดเพราะ ตอไทรทําหนาที่ผสมเกสร ความสัมพันธของตอไทรกับ ตนไทรเปนแบบใด (ตอบ แบบพึ่งพาอาศัยกัน)
วิทยาศาสตรฉลาดรู ไลเคน เปนสิง่ มีชวี ติ ชนิดหนึง่ ทีเ่ กิดจากการอยู รวมกันของรากับสาหราย โดยราไดรับอาหารจาก การสรางอาหารของสาหราย และสาหรายจะอาศัย ราเปนที่ยึดเกาะ ไลเคนจะเจริญงอกงามไดดีในฤดูฝน เกาะอยู ตามลําตนของพืชและพบมากในบริเวณทีท ่ ม ี่ อี ากาศ บริสุทธิ์
๒๕
คูมือครู
25
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ Explain
Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
(ยอจากฉบับนักเรียน 30%)
อธิบายความรู 1. ครูอธิบายใหนกั เรียนเขาใจเกีย่ วกับ ความสัมพันธอกี 3 รูปแบบในหนานี้ 2. ครูตั้งประเด็นคําถามใหนักเรียน ชวยกันตอบ • ความสัมพันธแบบไดประโยชน รวมกัน และความสัมพันธแบบ พึ่งพากันเหมือนกันอยางไร (ตอบ สิ่งมีชีวิตที่มีความสัมพันธกัน ตางฝายตางไดประโยชน) • ความสัมพันธแบบไดประโยชน รวมกัน และความสัมพันธแบบ พึ่งพากันแตกตางกันอยางไร (ตอบ ความสัมพันธแบบได ประโยชนรวมกัน สิ่งมีชีวิต สามารถแยกจากกันได สวนความ สัมพันธแบบพึ่งพากัน สิ่งมีชีวิตจะ ไมสามารถแยกจากกันได ตอง พึ่งพากันไปตลอดการดํารงชีวิต) • ความสัมพันธแบบใดบางที่สิ่งมี ชีวิตฝายหนึ่งไดประโยชน แตอีก ฝายหนึ่งเสียประโยชน (ตอบ ความสัมพันธแบบเหยื่อกับ ผูลา และแบบปรสิต)
ขยายความเขาใจ 1. ครูและนักเรียนรวมกันสนทนา แสดงความคิดเห็นวา ความ สัมพันธของสิ่งมีชีวิตในรูปแบบ ตางๆ กอใหเกิดผลดีและผลเสีย ตอสิ่งมีชีวิตอยางไร 2. ครูถามคําถามจุดประกายในหนานี้ และใหนักเรียนชวยกันตอบ
๓. ภาวะการไดประโยชนรวมกัน ความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตที่ตางฝาย ตางก็ ใหประโยชนซึ่งกันและกัน เชน ผีเสื้อ กับดอกไม โดยผีเสื้อดูดนํ้าหวานจากดอกไม และดอกไมอาศัยผีเสื้อชวยผสมเกสร เปนตน
▲
ภาพที่ ๑.๑๖ กลวยไมอาศัยตนไมใหญ เปนทีพ่ กั พิงเพือ่ สรางอาหาร
๒๖
นักเรียนควรรู ตนกาฝาก เปนพืชที่อาศัยอยูตาม ราก ลําตน หรือกิ่งไมของพืชชนิดอื่น เพื่อแยงนํ้าและอาหาร โดยจะงอก รากทะลุเขาไปในเปลือกของตนไม เรียกวา รากเบียน
26
คูมือครู
คําถามจุดประกาย
ภาพที่ ๑.๑๕ สีสันของดอกไม จะชวยลอผีเสื้อมาชวยผสมเกสร
๔. ภาวะอิงอาศัย ความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตที่ฝายหนึ่ง ไดรับประโยชน แตอีกฝายหนึ่งก็ไมไดรับและ ไมเสียประโยชน เชน กลวยไมเกาะอยูบน ตนไมใหญเพื่อรับแสงแดด เปนตน
๕. ภาวะปรสิต ความสัมพันธของสิง่ มีชวี ติ ทีฝ่ า ยหนึง่ ได รับประโยชน แตอีกฝายหนึ่งเสียประโยชน เชน เห็บอาศัยอยูบนตัวสุนัข เพื่อดูดเลือดจากสุนัข ตนกาฝากเกาะบนตนไมใหญ เพื่อดูดนํ้าและ อาหารจากตนไม เปนตน
?
▲
▲
ภาพที่ ๑.๑๗ กาฝากจะอาศัยอยู ตามราก กิง่ ไม หรือลําตนของพืช เพือ่ แยงนํา้ และอาหารจากพืช
(ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้)
๑. คน พืช และสัตว จะมีความสัมพันธกันในลักษณะใดบาง ๒. สิ่งมีชีวิตทุกชนิดสามารถดํารงชีวิตอยูไดดวยตนเองหรือไม เพราะอะไร ๓. ความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต กอใหเกิดผลดีตอสิ่งแวดลอมอยางไร
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
Engage
Explore
Explain
Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
ตรวจสอบผล º··Õè
กิจกรรมรวบยอด (ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้)
ตอนที่ ๑ แนวคิดสําคัญ ชวยกันสรุป ครูใหนกั เรียนชวยกันพูดสรุปความสัมพันธของสิง่ มีชวี ติ กับสิง่ แวดลอม และความสัมพันธระหวางสิง่ มีชวี ติ กับสิง่ มีชวี ติ จากนัน้ บันทึกลงในสมุด ตอนที่ ๒ ลองทําดู หนูทําได ๑) วาดภาพหรือติดภาพความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดลอมที่นักเรียน สนใจ แลวบันทึกขอมูลวาสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นมีความสัมพันธกับสิ่งแวดลอม อยางไร จากนั้นผลัดกันนําเสนอผลงานหนาชั้นเรียน ๒) เขียนแผนผังความคิดแสดงความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต พรอมทั้งยกตัวอยางความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตที่ไมซํ้ากับในบทเรียน ตอนที่ ๓ ฝกคิด พิชิตคําถาม ตอบคําถามตอไปนี้ลงในสมุด ๑) สิ่งมีชีวิตมีความสัมพันธกับสิ่งแวดลอมอยางไรบาง ๒) เตาทะเลขึ้นมาวางไขบนหาดทราย แสดงวาเตาทะเลมีความสัมพันธกับ หาดทรายอยางไร ๓) เห็บบนตัวสุนัข พลูดางบนตนไมใหญ เปนความสัมพันธแบบเดียวกันหรือไม เพราะอะไร ๔) ความสัมพันธแบบภาวะอิงอาศัย และความสัมพันธแบบภาวะพึ่งพากัน เปนความสัมพันธที่เหมือนกันหรือแตกตางกันอยางไร คําถามบูรณาการสูชีวิต
1. ทํากิจกรรมรวบยอดตอนที่ 1 - 3 2. ครูถามคําถามบูรณาการสูชีวิต และใหนักเรียนชวยกันตอบ
หลักฐาน แสดงผลการเรียนรู 1. ใบบันทึกผลกิจกรรมหนูนอย นักสํารวจ 2. ภาพความสัมพันธของสิ่งมีชีวิต กับสิ่งแวดลอม 3. แผนผังความคิดแสดงความสัมพันธ ระหวางสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต
(ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้)
๑. ถาตนไมของนักเรียนมีตนกาฝากมาเกาะอยู ตนไมของนักเรียนจะเจริญเติบโต ไดดีหรือไม เพราะอะไร ๒. การศึกษาความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตระหวางคน สัตว และพืช สามารถนํามา ใชในชีวิตประจําวันไดอยางไรบาง
คูมือครู
27
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
Engage
Explore
Explain
Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
(ยอจากฉบับนักเรียน 30%)
ตรวจสอบผล
สาระสําคัญ จดจําไว
การถายทอดลักษณะจากพอแมไปสูลูก เรียกวา การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การถา ยทอ ดลกั ษ ณ ะจ ากพ ลัก ษ ณ ะ ภ า อ แ ม ยน อ ก ข องสิ�ง ส ลู ม ี ช ีว ิต สิ่งมีชีวิตตางชนิดกัน จะมีลักษณะภายนอก ี ช ีว ิต แตกตางกัน งสิ�งม
ชน ะโย
ใชสําหรับพัฒนาสายพันธุพืชและสัตว เพื่อการผลิตอาหาร
การนาํ ไ ป ใช ป ร
เมื่อเรียนจบหนวยแลว ครูให นักเรียนแตละคนตรวจสอบตนเอง ในแตละหัวขอ ถานักเรียนสามารถ ปฏิบัติในแตละหัวขอได แสดงวา เกิดความรูความเขาใจติดตัวคงทน แตถาหัวขอใด นักเรียนปฏิบัติ ไมได ใหครูสอนซอมเสริม
กู
เกร็ดแนะครู ครูแนะนําใหนักเรียนใชแผนผัง ความคิดนี้ในการทบทวนสาระสําคัญ ในบทเรียน
ณ
ี่รอ ช ีว ิต ท
ดม าไ ด
การปรบั
ปแลว
ตวั ของสง�ิ มชี วี ติ
การปรับตัวชั่วคราว การปรับตัวถาวร
กา
ยท ร ถ า
ัก ษ อด ล
ะขอ
่สี
ส�งิ มีช ีวิตท
ันธไุ ูญ พ
ªÕÇÔµÊÑÁ¾Ñ¹¸
ส ิ � งม ี ช
ีวิตกับสิ�ง อม แวดล
วี ติ ความสมั พนั ธระหวา งสงิ� มชี วี ติ กบั สงิ� มชี
ปจจัยที่ทําใหสิ่งมีชีวิตสูญพันธุ ภัยธรรมชาติ โครงสรางทางรางกาย การลาของมนุษย ลักษณะที่อยูอาศัย
ตนไมโนมลําตนเขาหาแสง ตั๊กแตนใบไมมีรูปรางเหมือน ใบไม
ชี วี ติ กบั สง�ิ แวดลอ ม ะหวา งสง�ิ ม ร ธ ั น พ มสมั ควา
เปนแหลงที่อยูอาศัย เปนแหลงอาหาร เปนแหลงสืบพันธุและเลี้ยงดูลูกออน เปนแหลงหลบภัย
ภาวะลาเหยื่อ ภาวะอิงอาศัย ภาวะพึ่งพากัน ภาวะปรสิต ภาวะการไดประโยชนรวมกัน
ตรวจสอบตนเอง นักเรียนลองสังเกตตนเองดูวา ปฏิบัติตามสิ�งตางๆ เหลาน�้ ไดหรือไม อภิปรายเกี่ยวกับลักษณะตางๆ ของสิ�งมีชีวิตใกลตัวได เปรียบเทียบและระบุลักษณะที่คลายคลึงกันของพอแมกับลูกได อธิบายลักษณะที่คลายคลึงกันของพอแมกับลูกวาเปนการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมได สืบคนขอมูลและอภิปรายเกี่ยวกับสิ�งมีชีวิตที่สูญพันธุไปแลว และดํารงพันธุมาจนถึงปจจุบันได สํารวจสิ�งแวดลอมและอธิบายความสัมพันธของสิ�งมีชีวิตกับสิ�งแวดลอมได
๒๘
28
คูมือครู