คูมือครู 㪌»ÃСͺ¡ÒÃÊ͹ËÇÁ¡Ñº
˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ©ºÑº ÍÞ.
หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน
วิทยาศาสตร ชั้นประถมศึกษาปที่ ๕
กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ศิริรัตน วงศศิริ
รักซอน รัตนวิจิตตเวช
ภาพปกนี้มีขนาดเทากับหนังสือเรียนฉบับจริงของนักเรียน
กระบวนการสอนแบบ 5 Es ชวยสรางทักษะการเรียนรู กิจกรรมมุงพัฒนาทักษะการคิด คำถาม + แนวขอสอบเพื่อยกผลสัมฤทธิ์ O - NET กิจกรรมบูรณาการเตรียมพรอมสู ASEAN 2558
เอกสารประกอบคูมือครู
กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร
วิทยาศาสตร ชั้นประถมศึกษาปที่
5
สําหรับครู
คูมือครู Version ใหม
ลักษณะเดน
ขยายพื้นที่รูปเลมใหญขึ้นกวาเดิม จัดแบงพื้นที่ออกเปนโซน เพื่อคนหาขอมูลไดงาย สะดวก รวดเร็ว และดูเปนระเบียบ กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล
กระตุน ความสนใจ
Evaluate
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
เปาหมายการเรียนรู สมรรถนะของผูเรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค
หน า
โซน 1 กระตุน ความสนใจ
Engage
สํารวจคนหา
Explore
อธิบายความรู
Explain
ขยายความเขาใจ
Expand
ตรวจสอบผล
หน า
หนั ง สื อ เรี ย น
โซน 1
หนั ง สื อ เรี ย น
Evaluate
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
ขอสอบเนน การคิด แนว NT
O-NET บูรณาการเชื่อมสาระ
เกร็ดแนะครู
ขอสอบ
โซน 2
โซน 3
กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย
นักเรียนควรรู
โซน 3
โซน 2 บูรณาการอาเซียน มุม IT
No.
คูมือครู
คูมือครู
No.
โซน 1 ขั้นตอนการสอนแบบ 5Es
โซน 2 ชวยครูเตรียมสอน
โซน 3 ชวยครูเตรียมนักเรียน
เพื่อใหครูเตรียมจัดกิจกรรมการเรียน การสอน โดยแนะนําขั้นตอนการสอนและ การจัดกิจกรรมแบบ 5Es อยางละเอียด เพื่อใหนักเรียนบรรลุตามตัวชี้วัด
เพื่อชวยลดภาระครูผูสอน โดยแนะนํา เกร็ดความรูสําหรับครู ความรูเสริมสําหรับ นักเรียน รวมทั้งบูรณาการความรูสูอาเซียน และมุม IT
เพือ่ ใหครูสะดวกตอการจัดกิจกรรม โดยแนะนํา กิจกรรมบูรณาการเชื่อมระหวางกลุมสาระ วิชา กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย รวมถึงเนือ้ หา ทีเ่ คยออกขอสอบ NT/O-NET เก็งขอสอบ NT/O-NET และแนวขอสอบเนนการคิด พรอมคําอธิบาย และเฉลยอยางละเอียด
ที่ใชในคูมือครู
แถบสีและสัญลักษณ
แถบสีแสดงขั้นตอนการสอนและการจัดกิจกรรม แบบ 5Es เพื่อใหครูทราบวาเปนขั้นการสอนขั้นใด
1. แถบสี 5Es สีแดง
สีเขียว
กระตุน ความสนใจ
เสร�ม
สํารวจคนหา
Engage
2
•
เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใช เทคนิคกระตุน ความสนใจ เพื่อโยง เขาสูบทเรียน
สีสม
อธิบายความรู
Explore
•
เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนสํารวจ ปญหา และศึกษา ขอมูล
สีฟา
Explain
•
เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนคนหา คําตอบ จนเกิดความรู เชิงประจักษ
สีมวง
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
•
Evaluate
เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนนําความรู ไปคิดคนตอๆ ไป
•
เปนขั้นที่ผูสอน ประเมินมโนทัศน ของผูเรียน
2. สัญลักษณ สัญลักษณ
วัตถุประสงค
• เปาหมายการเรียนรู
• หลักฐานแสดง ผลการเรียนรู
• เกร็ดแนะครู
• นักเรียนควรรู
• บูรณาการอาเซียน
• มุม IT
คูม อื ครู
แสดงเปาหมายการเรียนรูที่นักเรียน ตองบรรลุตามตัวชี้วัด ตลอดจนสมรรถนะ ที่จะตองมี และคุณลักษณะที่พึงเกิดขึ้น กับนักเรียน แสดงรองรอยหลักฐานตามภาระงาน ที่ครูมอบหมาย เพื่อแสดงผลการเรียนรู ตามตัวชี้วัด แทรกความรูเสริมสําหรับครู ขอเสนอแนะ ขอควรระวัง ขอสังเกต แนวทางการจัด กิจกรรมและอืน่ ๆ เพื่อประโยชนในการ จัดการเรียนการสอน ขยายความรูเพิ่มเติมจากเนื้อหา เพื่อให ครูนําไปใชอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียน ไดมีความรูมากขึ้น ความรูห รือกิจกรรมเสริม ใหครูนาํ ไปใช เตรียมความพรอมใหกบั นักเรียนกอนเขาสู ประชาคมอาเซียนใน พ.ศ. 2558 โดย บูรณาการกับวิชาทีก่ าํ ลังเรียน แนะนําแหลงคนควาจากเว็บไซต เพื่อให ครูและนักเรียนไดเขาถึงขอมูลความรู ที่หลากหลาย ทั้งไทยและตางประเทศ
สัญลักษณ
ขอสอบ
วัตถุประสงค
O-NET
(เฉพาะวิ เฉพาะวิชา ชัน้ ทีส่ อบ O-NET O-NET)
• ชีแ้ นะเนือ้ หาทีเ่ คยออกขอสอบ
O-NET โดยยกตัวอยางขอสอบ พรอมวิเคราะหคาํ ตอบ อยางละเอียด
• เปนตัวอยางขอสอบทีม่ งุ เนน แนว NT O-NE T (เฉพาะวิ เฉพาะวิชา ชัน้ ทีส่ อบ NT เพือ่ เตรียมพรอมสอบ O-NET)
ขอสอบเนน การคิด แนว NT (เฉพาะวิชา ชัน้ ทีส่ อบ NT)
บูรณาการเชื่อมสาระ กิจกรรมสรางเสริม
การคิด และเปนแนวขอสอบ NT/O-NET ในระดับประถมศึกษา มีทงั้ ปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลย อยางละเอียด
• แนวขอสอบ NT ในระดับ
ประถมศึกษา มีทงั้ ปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลยอยางละเอียด โดยเนน - การอานออกเขียนได - การคิดเลข - ความสามารถดานการคิด และการใหเหตุผล
• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม
เชือ่ มกับสาระหรือกลุม สาระ การเรียนรู ระดับชัน้ หรือวิชาอืน่ ทีเ่ กีย่ วของ
• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม ซอมเสริมสําหรับนักเรียนทีค่ วร ไดรบั การพัฒนาการเรียนรู
• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม กิจกรรมทาทาย
ตอยอดสําหรับนักเรียนทีเ่ รียนรู ไดอยางรวดเร็ว และตองการ ทาทายความสามารถในระดับ ทีส่ งู ขึน้
คําแนะนําการใชคูมือครู การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอน คูมือครู รายวิชา วิทยาศาสตร ป.5 จัดทําขึ้นเพื่อใหครูผูสอนนําไปใชเปนแนวทางวางแผนการสอนเพื่อพัฒนา ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน และประกันคุณภาพผูเ รียน ตามนโยบายของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน (สพฐ.) โดยใชหนังสือเรียน วิทยาศาสตร ป.5 ของบริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด เปนสื่อหลัก (Core Material) ประกอบ เสร�ม การสอนและการจัดกิจกรรมการเรียนรูใหสอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดกลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร 3 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พ.ศ. 2551 โดยออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนตามหลักการสําคัญ ดังนี้ 1 ออกแบบการสอนเปนหนวยการเรียนรูอิงมาตรฐาน คูม อื ครู รายวิชา วิทยาศาสตร ป.5 วางแผนการสอนโดยแบงเปนหนวยการเรียนรูต ามลําดับสาระ (Standard) และ หมายเลขขอของมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั แตละหนวยจะกําหนดเปาหมายการสอนและจุดประสงคการเรียนรู (Objective Learning) กิจกรรมการเรียนรู (Learning Activities) และแนวทางการประเมินผลการเรียนรู (Learning Evaluation) ไวชัดเจน ครูผูสอนสามารถจัดทําแผนการสอนใหครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัด สมรรถนะ และคุณลักษณะ อันพึงประสงคที่เปนเปาหมายการเรียนรูตามที่กําหนดไวในสาระแกนกลาง (ตามแผนภูมิ) และสามารถบันทึกผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของผูเรียนแตละคนลงในเอกสาร ปพ.5 ไดอยางมั่นใจ แผนภูมิแสดงองคประกอบของการออกแบบการเรียนรูอิงมาตรฐานและเนนผูเรียนเปนสําคัญ
า
พผ
ูเ
จุดปร
ะสง
ค ก
ส ภา
รียน
ร
รู ีเรยน
มาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัดชั้นป
ทักษะการคิด การวัดประเมินผล การเรียนรู
กิจกรรมการเรียนรู
เทคนิคการสอน
คูม อื ครู
2 การจัดการเรียนรูที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ แนวคิ ด ในการจั ด การเรี ย นการสอนที่ ยึ ด ผู เ รี ย นเป น สํ า คั ญ พั ฒ นามาจากปรั ช ญาและทฤษฎี ก ารเรี ย นรู Constructivism ที่เชื่อวาการเรียนรูเปนกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในสมองของผูเรียนแตละคน ผูเรียนเปนผูสรางความรู โดยการเชื่อมโยงระหวางสิ่งที่ไดเรียนรูจากบทเรียนใหมกับความรูหรือประสบการณเดิมที่มีอยู ทฤษฎีนี้มีความเชื่อวา ผูเรียนทุกคนไดเรียนรูและมีการสั่งสมความรูความเขาใจเกี่ยวกับสิ่งตางๆ ติดตัวมากอน ทีจ่ ะเขาสูห อ งเรียน ซึง่ เปนการเรียนรูท เี่ กิดจากประสบการณและสิง่ แวดลอมรอบตัวผูเ รียนแตละคน ดังนัน้ การจัดกิจกรรม เสร�ม การเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ผูสอนจะตองคํานึงถึง
4
1. ความรูเดิมของผูเรียน วิธีการสอนที่ดีจะตองเริ่มตนจากจุดที่วา ผูเ รียนมีความรูอ ะไรมาบาง แลวจึงใหความรู หรือประสบการณใหม เพื่อตอยอดจาก ความรูเดิม นําไปสูการสรางความรู ความเขาใจใหม
2. ความรูเดิมของผูเรียนถูกตองหรือไม ผูส อนตองปรับเปลีย่ นความรูค วามเขาใจเดิม ของผูเรียนใหถูกตอง และเปนพฤติกรรม การเรียนรูใ หมทมี่ คี ณุ คาตอผูเรียน เพื่อสราง เจตคติหรือทัศนคติที่ดีตอการเรียนรู สิ่งเหลานั้น
3. ผูเรียนสรางความหมายสําหรับตนเอง ผูสอนตองสงเสริมใหผูเรียนนําความรู ความเขาใจที่เกิดขึ้นไปลงมือปฏิบัติ เพื่อขยายความรูใหลึกซึ้งและมีคุณคา ตอตัวผูเรียนมากที่สุด
แนวคิด Constructivism เนนใหผูเรียนสรางความรูโดยผานกระบวนการคิดและความอยากรูของตนเอง โดยมีผูสอนเปนผูสรางบรรยากาศ
การเรียนรูและกระตุนความสนใจ คอยจัดสถานการณใหผูเรียนเกิดความขัดแยงทางความคิดระหวางประสบการณเดิมกับประสบการณ ความรูใ หม เพือ่ กระตนุ ใหผเู รียนเชือ่ มโยงความรู ความคิด กับประสบการณทมี่ อี ยูเ ดิม แลวสังเคราะหเปนความรูห รือแนวคิดใหมๆ ไดดว ยตนเอง
3 การบูรณาการกระบวนการคิด การเรียนรูของผูเรียนแตละคนจะเกิดขึ้นที่สมอง ซึ่งเปนอวัยวะที่ทําหนาที่รูคิดภายใตสภาพแวดลอมที่เอื้ออํานวย และไดรบั การกระตนุ จูงใจอยางเหมาะสม สอดคลองกับสภาพจิตใจและความตองการของผูเ รียนแตละคน การจัดกิจกรรม การเรียนรูและสาระการเรียนรูที่สอดคลองกับความสนใจและมีความหมายตอผูเรียน จะชวยกระตุนใหสมองของผูเรียน สามารถรับรูและเรียนรูไดอยางมีประสิทธิภาพตามขั้นตอนการทํางานของสมอง ดังนี้ 1. สมองจะเรียนรูและสืบคน โดยการสังเกต คนหา ซักถาม และทดลอง ปฏิบัติ จนทําใหคนพบความรูความเขาใจ ไดอยางรวดเร็ว
2. สมองจะแยกแยะคุณคาของสิ่งตางๆ โดยการตัดสินใจวิพากษวิจารณ แสดง ความคิดเห็น ยอมรับหรือตอตานตาม อารมณความรูสึกที่เกิดขึ้นในขณะที่เรียนรู
3. สมองจะประมวลเนื้อหาสาระ โดยการสรุปเปนความคิดรวบยอดจาก เรื่องราวที่ไดเรียนรูใหมนําไปผสมผสานกับ ความรูห รือประสบการณเดิมทีถ่ กู จัดเก็บอยูใ น สมอง ผานการกลัน่ กรองเพือ่ สังเคราะหเปน ความรูค วามเขาใจใหมๆ หรือเปนทัศนคติใหม ที่จะเก็บบรรจุไวในสมองของผูเรียน
การเรียนรูที่มีประสิทธิภาพจึงตองเปนการเรียนรูที่เกิดจากกระบวนการคิดของผูเรียน เพราะการเรียนรูจะเกิดขึ้น เมื่อสมองรูคิด และตองเปนการคิดไดครบถวนตามขั้นตอนการทํางานของสมองผูเรียน โดยเริ่มตนจาก 1. ระดับการคิดพื้นฐาน ไดแก การสังเกต การจําแนก การคาดคะเน การสื่อความหมาย การรวบรวมขอมูล การสรุปผล เปนตน
คูม อื ครู
2. ระดับลักษณะการคิด ไดแก การคิดกวาง คิดลึกซึ้ง คิดไกล คิดหลากหลาย คิดคลอง คิดอยางมีเหตุผล เปนตน
3. ระดับกระบวนการคิด ไดแก กระบวนการคิดอยางมีวิจารณญาณ กระบวนการแกปญหา กระบวนการ คิดสรางสรรค กระบวนการคิดสังเคราะหวิจัย เปนตน
5Es การจัดกิจกรรมตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ขั้นตอนการสอนที่สัมพันธกับขั้นตอนการคิดและการทํางานทางสมองของผูเรียนที่นิยมใชอยางแพรหลาย คือ วัฏจักรการเรียนรู 5Es ซึ่งผูจัดทําคูมือครูไดนํามาใชเปนแนวทางออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในแตละหนวย ตามลําดับขั้นตอนการเรียนรู ดังนี้ ขั้นที่ 1
กระตุนความสนใจ
(Engage)
เสร�ม
5
เปนขัน้ ทีผ่ สู อนนําเขาสูบ ทเรียน เพือ่ กระตุน ความสนใจของผูเ รียนดวยเรือ่ งราวหรือเหตุการณทนี่ า สนใจโดยใชเทคนิควิธกี ารสอน และคําถามทบทวนความรูหรือประสบการณเดิมของผูเรียน เพื่อเชื่อมโยงผูเรียนเขาสูความรูของบทเรียนใหม ชวยใหผูเรียนสามารถ สรุปประเด็นสําคัญที่เปนหัวขอและสาระการเรียนรูของบทเรียนได จึงเปนขั้นตอนการสอนที่สําคัญ เพราะเปนการเตรียมความพรอม และสรางแรงจูงใจใฝเรียนรูแกผูเรียน
ขั้นที่ 2
สํารวจคนหา
(Explore)
เปนขัน้ ทีผ่ สู อนเปดโอกาสใหผเู รียนลงมือศึกษา สังเกต หรือรวมมือกันสํารวจ เพือ่ ใหเห็นขอบขายของปญหา รวมถึงวิธกี ารศึกษา คนควา การรวบรวมขอมูลความรูที่จะนําไปสูการสรางความเขาใจประเด็นปญหานั้นๆ เมื่อผูเรียนทําความเขาใจในประเด็นหัวขอที่จะ ศึกษาคนควาอยางถองแทแลว ก็ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมขอมูลความรู สํารวจตรวจสอบ โดยวิธีการตางๆ เชน สัมภาษณ ทดลอง อานคนควาขอมูลจากเอกสาร แหลงขอมูลตางๆ จนไดขอมูลความรูตามที่ตั้งประเด็นศึกษาไว
ขั้นที่ 3
อธิบายความรู
(Explain)
เปนขั้นที่ผูสอนมีปฏิสัมพันธกับผูเรียน เชน ใหการแนะนํา ตั้งคําถามกระตุนใหคิด เพื่อใหผูเรียนคนหาคําตอบ และนําขอมูล ความรูจากการศึกษาคนควาในขั้นที่ 2 มาวิเคราะห สรุปผล และนําเสนอผลที่ไดศึกษาคนความาในรูปแบบสารสนเทศตางๆ เชน เขียนแผนภูมิ แผนผังแสดงมโนทัศน เขียนความเรียง เขียนรายงาน เปนตน ในขั้นตอนนี้ฝกใหผูเรียนใชสมองคิดวิเคราะหและ สังเคราะหอยางเปนระบบ
ขั้นที่ 4
ขยายความเขาใจ
(Expand)
เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใชเทคนิควิธีการสอนตางๆ ที่สงเสริมใหผูเรียนนําความรูที่เกิดขึ้นไปคิดคนสืบคนตอๆ ไป เพื่อพัฒนาทักษะ การเรียนรูและการทํางานรวมกันเปนกลุม ระดมสมองเพื่อคิดสรางสรรครวมกัน ผูเรียนสามารถนําความรูที่สรางขึ้นใหมไปเชื่อมโยง กับประสบการณเดิมโดยนําขอสรุปทีไ่ ดไปใชอธิบายเหตุการณตา งๆ หรือนําไปปฏิบตั ใิ นสถานการณใหมๆ ทีเ่ กีย่ วของกับชีวติ ประจําวัน ของตนเอง เพื่อขยายความรูความเขาใจใหกวางขวางยิ่งขึ้น ในขั้นตอนนี้ฝกสมองของผูเรียนใหสามารถคิดริเริ่มสรางสรรคอยางมี คุณภาพ เสริมสรางวิสัยทัศนใหกวางไกลออกไป
ขั้นที่ 5
ตรวจสอบผล
(Evaluate)
เปนขัน้ ทีผ่ สู อนประเมินมโนทัศนของผูเ รียน โดยตรวจสอบจากความคิดทีเ่ ปลีย่ นไปและความคิดรวบยอดทีเ่ กิดขึน้ ใหม ตรวจสอบ ทักษะ กระบวนการปฏิบัติ การแกปญหา การตอบคําถามรวบยอด และการเคารพความคิดหรือยอมรับเหตุผลของคนอื่น เพื่อการ สรางสรรคความรูร ว มกัน ผูเ รียนสามารถประเมินผลการเรียนรูข องตนเอง เพือ่ สรุปผลวามีความรูอ ะไรเพิม่ ขึน้ มาบาง เกิดความเขาใจ มากนอยเพียงใด และจะนําความรูเหลานั้นไปประยุกตใชในการเรียนรูเรื่องอื่นๆ ไดอยางไร ผูเรียนจะเกิดเจตคติและเห็นคุณคาของ ตนเองจากผลการเรียนรูที่เกิดขึ้น ซึ่งเปนการเรียนรูที่มีความสุขอยางแทจริง
การจัดกิจกรรมการเรียนรูตามขั้นตอนวัฏจักรการสรางความรูแบบ 5Es จึงเปนรูปแบบการเรียนการสอนที่เนน ผูเ รียนเปนสําคัญอยางแทจริง เพราะสงเสริมใหผเู รียนไดลงมือปฏิบตั ติ ามขัน้ ตอนของกระบวนการสรางความรูด ว ยตนเอง และฝกฝนใหใชกระบวนการคิดและกระบวนการกลุมอยางชํานาญ กอใหเกิดทักษะชีวิต ทักษะการทํางานและทักษะการ เรียนรูท มี่ ปี ระสิทธิภาพ สงผลตอการยกระดับผลสัมฤทธิข์ องผูเ รียน ตามเปาหมายของการปฏิรปู การศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) ทุกประการ คูม อื ครู
O-NET การเพิ่มผลสัมฤทธิ์ O-NET
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามขัน้ ตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ในแตละหนวยการเรียนรู ทางผูจ ดั ทํา จะเสนอแนะวิธสี อนรูปแบบกิจกรรมการเรียนรู พรอมทัง้ ออกแบบเครือ่ งมือวัดผลประเมินผลทีส่ อดคลองกับตัวชีว้ ดั และสาระการเรียนรูแกนกลางไวทุกขั้นตอน โดยยึดหลักสําคัญ คือ เปาหมายของการวัดผลประเมินผล เสร�ม
6
1. การวัดผลทุกครั้งตองนําผล การวัดมาปรับปรุงพัฒนาผูเรียน เปนรายบุคคล
2. การประเมินผลมีเปาหมาย เพื่อพัฒนาการเรียนรูของผูเรียน จนเต็มศักยภาพ
3. การนําผลการวัดและประเมิน ทุกครั้งมาวางแผนปรับปรุงกิจกรรม การเรียนการสอน การเลือกเทคนิค วิธีการสอน และสื่อการเรียนรูให เหมาะสมกับสภาพจริงของผูเรียน
การทดสอบผูเรียน 1. การใชขอสอบอัตนัย เนนการอาน การคิดวิเคราะห และเขียนสรุปเพิ่มมากขึ้น 2. การใชคําถามกระตุนการคิด ควบคูกับการทําขอสอบที่เนนการคิดตลอดตอเนื่องตามลําดับกิจกรรมการเรียนรูและ ตัวชี้วัด 3. การทดสอบตองดําเนินการทั้งกอนเรียน ระหวางเรียน และเมื่อสิ้นสุดการเรียน การทดสอบระหวางเรียน ต อ งใช ข อ สอบทั้ ง ชนิ ด ปรนั ย และอั ต นั ย และเป น การทดสอบเพื่ อ วิ นิ จ ฉั ย ผลการเรี ย นของผู เ รี ย นแต ล ะคน เพื่อวัดการสอนซอมเสริมใหบรรลุตัวชี้วัดทุกตัว 4. การสอบกลางภาค (ถามี) ควรนําขอสอบหรือแบบฝกหัดที่นักเรียนสวนใหญทําผิดบอยๆ มาสรางเปนแบบทดสอบ อีกครัง้ เพือ่ ตรวจสอบความรูค วามเขาใจทีถ่ กู ตอง และประเมินความกาวหนาของผูเรียนแตละคน 5. การสอบปลายภาคเรียนเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามตัวชี้วัดที่สําคัญ ควรออกขอสอบใหมีลักษณะเดียวกับ ขอสอบ O-NET โดยเนนการคิดวิเคราะห สังเคราะห เชื่อมโยงประยุกตใช เพื่อสรางความคุนเคย และฝกฝน วิธีการทําขอสอบดวยความมั่นใจ 6. การนําผลการทดสอบของผูเรียนมาวิเคราะห โดยผลการสอบกอนการเรียนตองสามารถพยากรณผลการสอบ กลางภาค และผลการสอบกลางภาคตองทํานายผลการสอบปลายภาคของผูเ รียนแตละคน เพือ่ ประเมินพัฒนาการ ความกาวหนาของผูเรียนเปนรายบุคคล 7. ผลการทดสอบปลายป ปลายภาค ตองมีคาเฉลี่ยสอดคลองกับคาเฉลี่ยของการสอบ NT ที่เขตพื้นที่การศึกษา จัดสอบ รวมทั้งคาเฉลี่ยของการสอบ O-NET ชวงชั้นที่สอดคลองครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดสําคัญ เพือ่ สะทอนประสิทธิภาพของครูผสู อนในการออกแบบการเรียนรูแ ละประกันคุณภาพผูเ รียนทีต่ รวจสอบผลไดชดั เจน การจัดการเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ตองใหผูเรียนไดสั่งสมความรู สะสมความเขาใจไปทีละเล็ก ละนอยตามลําดับขัน้ ตอนของกิจกรรมการเรียนรู 5Es เพือ่ ใหผเู รียนไดเติมเต็มองคความรูอ ยางตอเนือ่ ง จนสามารถปฏิบตั ิ ชิ้นงานหรือภาระงานรวบยอดของแตละหนวยผานเกณฑประกันคุณภาพในระดับที่นาพึงพอใจ เพื่อรองรับการประเมิน ภายนอกจาก สมศ. ตลอดเวลา คูม อื ครู
ASEAN การเรียนรูสูประชาคมอาเซียน เพื่ออํานวยความสะดวกแกครูผูสอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรูบูรณาการอาเซียนศึกษา ผูจัดทําไดวิเคราะห มาตรฐานการเรียนรู และตัวชี้วัดที่มีสาระการเรียนรูสอดคลองกับองคความรูเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนในแงมุมตางๆ ครอบคลุมทัง้ ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรม อาเซียน เพื่อสงเสริมการเรียนรูใหผูเรียนเกิดความตระหนัก มีความรูความเขาใจเหมาะสมกับระดับชั้นและกลุมสาระ การเรียนรู โดยเสนอแนะวิธีการจัดกิจกรรมบูรณาการเนื้อหาสาระตางๆ ที่เปนประโยชนตอผูเรียนและเปนการชวย เตรียมความพรอมผูเ รียนทุกคนทีจ่ ะกาวเขาสูก ารเปนสมาชิกของประชาคมอาเซียนไดอยางมัน่ ใจตามขอตกลงปฏิญญา ชะอํา-หัวหิน วาดวยความรวมมือดานการศึกษาเพือ่ บรรลุเปาหมายประชาคมอาเซียนทีเ่ อือ้ อาทรและแบงปน จึงกําหนด เปนนโยบายใหกระทรวงศึกษาธิการจัดการเรียนรูเตรียมความพรอมผูเรียนเขาสูประชาคมอาเซียนภายในป พ.ศ. 2558 ตามแนวปฏิบัติที่สําคัญ ดังนี้
เสร�ม
7
การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน 1. การสรางความรูความเขาใจ และตระหนักถึงความสําคัญของ กฎบัตรอาเซียน และความรวมมือ ของ 3 เสาหลัก ซึง่ กฎบัตรอาเซียน ในขณะนี้มีสถานะเปนกฎหมายที่ ประเทศสมาชิกจะตองปฏิบัติตาม หลักการที่กําหนดไวเพื่อใหบรรลุ เปาหมายของกฎบัตรมาตราตางๆ
2. การสงเสริมหลักการ ประชาธิปไตยและการสราง สิ่งแวดลอมประชาธิปไตย เพื่อการอยูรวมกันอยางกลมกลืน ภายใตวิถีชีวิตอาเซียนที่มีความ หลากหลายดานสังคมและ วัฒนธรรม
4. การตระหนักในคุณคาของ สายสัมพันธทางประวัติศาสตร และมรดกทางวัฒนธรรมที่มี พัฒนาการรวมกัน เพื่อเชื่อม อัตลักษณและสรางจิตสํานึก ในการเปนประชากรของประชาคม อาเซียนรวมกัน
3. การสงเสริมการศึกษาดาน สิทธิมนุษยชน เพื่อสรางประชาคม อาเซียนใหเปนประชาคมเพื่อ ประชาชนอยางแทจริง สามารถ อยูรวมกันไดบนพื้นฐานการเคารพ ในคุณคาของศักดิ์ศรีแหงความ เปนมนุษยเทาเทียมกัน
5. การสงเสริมสันติภาพ ความ มั่นคง และความปรองดองในสังคม ทั้งระดับประเทศและภูมิภาคของ อาเซียนบนพื้นฐานสันติวิธีและการ อยูรวมกันดวยขันติธรรม
คูม อื ครู
การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
เสร�ม
8
1. การพัฒนาทักษะการทํางาน เพื่อเสริมสรางผูเรียนใหมีทักษะ วิชาชีพที่จําเปนสอดคลองกับ ความตองการของตลาดแรงงาน และสถานประกอบการในอาเซียน สามารถเทียบโอนผลการเรียน และการทํางานตามมาตรฐานฝมือ แรงงานในภูมิภาคอาเซียน
2. การเสริมสรางวินัย ความรับผิดชอบ และเจตคติรักการทํางาน สามารถพึ่งพาตนเอง มีทักษะชีวิต ดํารงชีวิตอยางมีความสุข เห็นคุณคา และภูมิใจในตนเอง ในฐานะที่เปนพลเมืองไทยและ อาเซียน
3. การเรียนรูเพื่อพัฒนาตนเอง อยางตอเนื่องตลอดชีวิต ใหมี ทักษะการทํางานตามมาตรฐาน อาชีพ และคุณวุฒิของวิชาชีพสาขา ตางๆ เพื่อรองรับการเตรียมเคลื่อน ยายแรงงานมีฝมือและการเปน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่ เขมแข็ง เพื่อสรางขีดความสามารถ ในการแขงขันในเวทีโลก
การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน 1. การเสริมสรางความรวมมือ ในลักษณะสังคมที่เอื้ออาทร ของประชากรอาเซียน โดยยึด หลักการสําคัญ คือ ความงดงาม ของประชาคมอาเซียนมาจาก ความแตกตางและหลากหลายทาง วัฒนธรรมที่ลวนแตมีคุณคาตอ มรดกทางวัฒนธรรมของอาเซียน ซึ่งประชาชนทุกคนตองอนุรักษ สืบสานใหยั่งยืน
2. การเสริมสรางคุณลักษณะ ของผูเรียนใหเปนพลเมืองอาเซียน ที่มีศักยภาพในการกาวเขาสู ประชาคมอาเซียนอยางมั่นใจ เปนผูที่มีสุขภาพสมบูรณแข็งแรง มีทักษะการสื่อสาร ทักษะการ ทํางาน ทักษะทางสังคม สามารถ ทํางานรวมกับผูอื่นไดอยาง สรางสรรค และมีองคความรู เกี่ยวกับอาเซียนที่จําเปนตอการ ดํารงชีวิตอยางมีคุณภาพ
4. การสงเสริมการเรียนรูดาน ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถชี วี ติ ความเปนอยูข องเพือ่ นบาน ในอาเซียน เพื่อสรางจิตสํานึกของ ความเปนประชาคมอาเซียนและ ตระหนักถึงหนาที่ของการเปน พลเมืองอาเซียนรวมกัน
3. การสงเสริมการเรียนรูภาษา อังกฤษเพื่อการสื่อสารและการ ทํางานตามมาตรฐานอาชีพที่ กําหนดและสนับสนุนการเรียนรู ภาษาอาเซียนและภาษาเพื่อนบาน เพื่อชวยเสริมสรางสัมพันธภาพทาง สังคม และการอยูรวมกันอยางสันติ ทามกลางความหลากหลายทาง วัฒนธรรม
5. การสรางความรูและความ ตระหนักเกี่ยวกับดานสิ่งแวดลอม ปญหาและผลกระทบตอคุณภาพ ชีวิตของประชากรในภูมิภาค รวมทั้งแนวทางการพัฒนาอยาง ยั่งยืน ใหเปนมรดกสืบทอดแก พลเมืองอาเซียนในรุนหลังตอๆ ไป
กระทรวงศึกษาธิการจึงประกาศนโยบายการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) เพื่อเรงพัฒนาเด็ก และเยาวชนไทยใหเปนทรัพยากรมนุษยของชาติที่มีทักษะและความชํานาญ พรอมเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและ การแขงขันทั้งในภูมิภาคอาเซียนและภูมิภาคอื่นๆ ของสังคมโลก ทั้งนี้ผูบริหารสถานศึกษา ครูผูสอน และผูปกครอง ควรรวมมือกันอยางใกลชดิ ในการดูแลชวยเหลือผูเ รียนและจัดประสบการณการเรียนรูเ พือ่ พัฒนาผูเ รียนจนเต็มศักยภาพ เพื่อกาวเขาสูการเปนพลเมืองอาเซียนอยางมีเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีความเปนมนุษยของตน คูม อื ครู
คณะผูจัดทํา
ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง สาระที่ 1
วิทยาศาสตร (เฉพาะชั้น ป.5)*
สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดํารงชีวิต
มาตรฐาน ว 1.1 เขาใจหนวยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต ความสัมพันธของโครงสราง และหนาที่ของระบบตางๆ ของสิ่งมีชีวิตที่ทํางาน สัมพันธกัน มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชในการดํารงชีวิตของตนเอง และดูแลสิ่งมีชีวิต
ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
ป.5
1. สังเกตและระบุสวนประกอบของ ดอกและโครงสรางที่เกี่ยวของกับ การสืบพันธุของพืชดอก
• ดอกโดยทั่วไป ประกอบดวยกลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรเพศผูและเกสรเพศเมีย • สวนประกอบของดอกที่ทําหนาที่เกี่ยวของกับการสืบพันธุ ไดแก เกสร เพศเมีย ประกอบดวยรังไข ออวุล และเกสรเพศผู ประกอบดวยอับเรณู และละอองเรณู
2. อธิบายการสืบพันธุของพืชดอก การขยายพันธุพืช และนําความรู ไปใชประโยชน
• พืชดอกมีการสืบพันธุทั้งแบบอาศัยเพศ และการสืบพันธุแบบไมอาศัยเพศ • การขยายพันธุพ ชื เพือ่ เพิม่ ปริมาณ และคุณภาพของพืช ทําไดหลายวิธี โดยการ เพาะเมล็ด การปกชํา การตอนกิ่ง การติดตา การทาบกิ่ง การเสียบยอด และ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
3. อธิบายวัฏจักรชีวิตของพืชดอก บางชนิด
• พืชดอกเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะออกดอก ดอกไดรับการผสมพันธุ กลายเปน ผล ผลมีเมล็ด ซึ่งสามารถงอกเปนตนพืชตนใหมหมุนเวียนเปนวัฏจักร
4. อธิบายการสืบพันธุและการ ขยายพันธุของสัตว
• สัตวมกี ารสืบพันธุแ บบอาศัยเพศ และการสืบพันธุแ บบไมอาศัยเพศ • การขยายพันธุสัตวโดยวิธีการคัดเลือกพันธุ และการผสมเทียมทําใหมนุษย ได สัตวที่มีปริมาณและคุณภาพตามที่ตองการ
5. อภิปรายวัฏจักรชีวิตของสัตว บางชนิด และนําความรูไปใช ประโยชน
• สัตวบางชนิด เชน ผีเสื้อ ยุง กบ เมื่อไขไดรับการผสมพันธุจะเจริญเปนตัวออน และตัวออนเจริญเติบโตเปนตัวเต็มวัย จนกระทัง่ สามารถสืบพันธุได หมุนเวียน เปนวัฏจักร • มนุษยนาํ ความรูเ กีย่ วกับวัฏจักรชีวติ ของสัตวมาใชประโยชนมากมาย ทัง้ ทางดาน การเกษตร การอุตสาหกรรม และการดูแลรักษาสิ่งแวดลอม
หนวยการเรียนรู ในหนังสือเรียน
เสร�ม
9
• หนวยการเรียนรูที่ 1 มหัศจรรยสิ่งมีชีวิต บทที่ 2 ศึกษาชีวิตพืช
• หนวยการเรียนรูที่ 1 มหัศจรรยสิ่งมีชีวิต บทที่ 3 เรียนรู ชีวิตสัตว
มาตรฐาน ว 1.2 เขาใจกระบวนการและความสําคัญของการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ความหลาก-
หลายทางชีวภาพ การใชเทคโนโลยีชีวภาพที่มีผลกระทบตอมนุษยและสิ่งแวดลอม มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู และจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชน
ชั้น ป.5
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
1. สํารวจ เปรียบเทียบ และระบุลกั ษณะ • ลักษณะของตนเองจะคลายคลึงกับคนในครอบครัว ของตนเองกับคนในครอบครัว 2. อธิบายการถายทอดลักษณะทาง • การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมเปนการถายทอดลักษณะบางลักษณะ พันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตในแตละรุน จากบรรพบุรษุ สูล กู หลาน ซึง่ บางลักษณะจะเหมือนพอหรือเหมือนแม หรืออาจ มีลักษณะเหมือนปู ยา ตา ยาย 3. จําแนกพืชออกเปนพืชดอก และพืชไมมีดอก
• พืชแบงออกเปนสองประเภท คือ พืชดอกกับพืชไมมีดอก
4. ระบุลักษณะของพืชดอกที่เปนพืช • พืชดอกแบงออกเปน พืชใบเลี้ยงเดี่ยวกับพืชใบเลี้ยงคู โดยสังเกตจากราก ใบเลี้ยงเดี่ยวและพืชใบเลี้ยงคู ลําตน และใบ โดยใชลักษณะภายนอกเปนเกณฑ 5. จําแนกสัตวออกเปนกลุม โดยใช ลักษณะภายในบางลักษณะ และ ลักษณะภายนอกเปนเกณฑ
• การจําแนกสัตวเปนกลุม โดยใชลักษณะภายนอกและลักษณะภายใน บางลักษณะเปนเกณฑ แบงออกไดเปนสัตวมีกระดูกสันหลัง และสัตวไมมี กระดูกสันหลัง • สัตวมีกระดูกสันหลังแบงเปนกลุมปลา สัตวครึ่งนํ้าครึ่งบก สัตวเลื้อยคลาน สัตวปก และสัตวเลี้ยงลูกดวยนํ้านม
หนวยการเรียนรู ในหนังสือเรียน • หนวยการเรียนรูที่ 1 มหัศจรรยสิ่งมีชีวิต บทที่ 1 การถายทอด ลักษณะทาง พันธุกรรม • หนวยการเรียนรูที่ 2 ความหลากหลายของ พืชและสัตว บทที่ 1 ความหลากหลายของพืช • หนวยการเรียนรูที่ 1 ความหลากหลายของ พืชและสัตว บทที่ 1 ความหลากหลายของสัตว
_________________________________ * สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ. สาระการเรียนรูแกนกลาง กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร. (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย, 2551), หนา 10 -100
คูม อื ครู
สาระที่ 3
สารและสมบัติของสาร
มาตรฐาน ว 3.1 เขาใจสมบัตขิ องสาร ความสัมพันธระหวางสมบัตขิ องสารกับโครงสรางและแรงยึดเหนีย่ วระหวางอนุภาค มีกระบวนการ สืบเสาะหาความรูและจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชน
ชั้น ป.5
เสร�ม
10
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
1. ทดลองและอธิบายสมบัติของวัสดุชนิด • ความยืดหยุน ความแข็ง ความเหนียว การนําความรอน การนําไฟฟา ตางๆ เกี่ยวกับความยืดหยุน ความและความหนาแนนเปนสมบัติตางๆ ของวัสดุ ซึ่งวัสดุตางชนิดกันจะมี แข็ง ความเหนียว การนําความรอน สมบัติบางประการแตกตางกัน การนําไฟฟา และความหนาแนน 2. สืบคนขอมูลและอภิปรายการนําวัสดุ ไปใชในชีวิตประจําวัน
สาระที่ 4
• ในชีวิตประจําวันมีการนําวัสดุตางๆ มาใชทําสิ่งของเครื่องใชตามสมบัติ ของวัสดุนั้นๆ
หนวยการเรียนรู ในหนังสือเรียน • หนวยการเรียนรูที่ 3 วัสดุในชีวิตประจําวัน บทที่ 1 สมบัติของวัสดุ กับการนําไปใช
แรงและการเคลื่อนที่
มาตรฐาน ว 4.1 เขาใจธรรมชาติของแรงแมเหล็กไฟฟา แรงโนมถวง และแรงนิวเคลียร มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู สื่อสาร สิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชนอยางถูกตองและมีคุณธรรม
ชั้น ป.5
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
1. ทดลองและอธิบายการหาแรงลัพธ • แรงลัพธของแรงสองแรงที่กระทําตอวัตถุโดยแรงทั้งสองอยูในแนวเดียวกัน ของแรงสองแรง ซึ่งอยูในแนว เทากับผลรวมของแรงทั้งสองนั้น เดียวกันที่กระทําตอวัตถุ 2. ทดลองและอธิบายความดันอากาศ • อากาศมีแรงกระทําตอวัตถุ แรงที่อากาศกระทําตั้งฉากตอหนึ่งหนวยพื้นที่ เรียกวา ความดันอากาศ 3. ทดลองและอธิบายความดันของ ของเหลว
• ของเหลวมีแรงกระทําตอวัตถุทุกทิศทาง แรงที่ของเหลวกระทําตั้งฉากตอ หนึ่งหนวยพื้นที่ เรียกวา ความดันของของเหลว ซึ่งมีความสัมพันธกบั ความลึก
4. ทดลองและอธิบายแรงพยุงของ ของเหลว การลอยตัวและการจม ของวัตถุ
• ของเหลวมีแรงพยุงกระทําตอวัตถุที่ลอยหรือจมในของเหลว การจมหรือ การลอยตัวของวัตถุขึ้นอยูกับนํ้าหนักของวัตถุและแรงพยุงของของเหลวนั้น
หนวยการเรียนรู ในหนังสือเรียน • หนวยการเรียนรูที่ 4 แรงและความดัน บทที่ 1 แรงลัพธ
• หนวยการเรียนรูที่ 4 แรงและความดัน บทที่ 2 แรงดันและ แรงพยุงตัว
มาตรฐาน ว 4.2 เขาใจลักษณะการเคลื่อนที่แบบตางๆ ของวัตถุในธรรมชาติ มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู และจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชน
ชั้น
ตัวชี้วัด
ป.5
1. ทดลองและอธิบายแรงเสียดทาน และนําความรูไปใชประโยชน
สาระที่ 5
สาระการเรียนรูแกนกลาง • แรงเสียดทานเปนแรงตานการเคลื่อนที่ของวัตถุ แรงเสียดทานมีประโยชน เชน ในการเดินตองอาศัยแรงเสียดทาน
หนวยการเรียนรู ในหนังสือเรียน • หนวยการเรียนรูที่ 4 แรงและความดัน บทที่ 3 แรงเสียดทาน
พลังงาน
มาตรฐาน ว 5.1 เขาใจความสัมพันธระหวางพลังงานกับการดํารงชีวิต การเปลี่ยนรูปพลังงาน ปฏิสัมพันธระหวางสารและพลังงาน ผลของการใชพลังงานตอชีวิตและสิ่งแวดลอม มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรู ไปใชประโยชน
ชั้น ป.5
ตัวชี้วัด 1. ทดลองและอธิบายการเกิดเสียง และการเคลื่อนที่ของเสียง
สาระการเรียนรูแกนกลาง • เสียงเกิดจากการสั่นของแหลงกําเนิดเสียงและเสียงเคลื่อนที่จากแหลงกําเนิด เสียงทุกทิศทาง โดยอาศัยตัวกลาง
2. ทดลองและอธิบายการเกิดเสียงสูง • แหลงกําเนิดเสียงสั่นดวยความถี่ตํ่า จะเกิดเสียงตํ่า แตถาสั่นดวยความถี่สูง เสียงตํ่า จะเกิดเสียงสูง 3. ทดลองและอธิบายเสียงดัง เสียงคอย • แหลงกําเนิดเสียงสั่นดวยพลังงานมาก จะทําใหเกิดเสียงดัง แตถาแหลง กําเนิดเสียงสั่นดวยพลังงานนอย จะเกิดเสียงคอย
คูม อื ครู
4. สํารวจและอภิปรายอันตราย ที่เกิดขึ้นเมื่อฟงเสียงดังมากๆ
หนวยการเรียนรู ในหนังสือเรียน
• เสียงดังมากๆ จะเปนอันตรายตอการไดยิน และเสียงที่กอใหเกิดความรําคาญ เรียกวา มลพิษทางเสียง
• หนวยการเรียนรูที่ 5 เสียงกับการไดยิน บทที่ 1 เสียงรอบ ตัวเรา
สาระที่ 6
กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก
มาตรฐาน ว 6.1 เขาใจกระบวนการตางๆ ที่เกิดขึ้นบนผิวโลกและภายในโลก ความสัมพันธของกระบวนการตางๆ ที่มีผลตอการ เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และสัณฐานของโลก มีกระบวนการสืบเสาะหาความรูและจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชน
ชั้น ป.5
ตัวชี้วัด
หนวยการเรียนรู ในหนังสือเรียน
สาระการเรียนรูแกนกลาง
1. สํารวจ ทดลอง และอธิบายการ เกิดเมฆ หมอก นํ้าคาง ฝน และลูกเห็บ
• ไอนํ้าในอากาศที่ควบแนนเปนละอองนํ้าเล็กๆ ทําใหเกิดหมอกและเมฆ ละอองนํ้าเล็กๆ ที่รวมกันเปนหยดนํ้า จะทําใหเกิดนํ้าคางและฝน • หยดนํ้าที่กลายเปนนํ้าแข็งแลวถูกพายุพัดวนในเมฆระดับสูงจนเปน กอนนํ้าแข็งขนาดใหญขึ้น แลวตกลงมาทําใหเกิดลูกเห็บ
2. ทดลองและอธิบายการเกิด วัฏจักรนํ้า
• วัฏจักรนํ้าเกิดจากการหมุนเวียนอยางตอเนื่อง ระหวางนํ้าบริเวณผิวโลกกับ นํ้าในบรรยากาศ
3. ออกแบบและสรางเครื่องมือ อยางงายในการวัดอุณหภูมิ ความชื้น และความกดอากาศ
• อุณหภูมิ ความชื้น ความกดอากาศ มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งสามารถตรวจสอบ โดยใชเครื่องมืออยางงายได
4. ทดลองและอภิปรายการเกิดลม และนําความรูไปใชประโยชนใน ชีวิตประจําวัน
• การเกิดลมเกิดจากการเคลื่อนที่ของอากาศตามแนวพื้นราบ อากาศบริเวณ ที่มีอุณหภูมิสูง มวลอากาศจะขยายตัวลอยตัวสูงขึ้น สวนอากาศบริเวณที่มี อุณหภูมิตํ่า มวลอากาศจะจมตัวลง และเคลื่อนที่ไปแทนที่ • พลังงานจากลมนําไปใชประโยชนไดมากมายในดานการผลิตกระแสไฟฟา และการทํากังหันลม
สาระที่ 7
เสร�ม
11
• หนวยการเรียนรูที่ 6 นํ้า ฟา และดวงดาว บทที่ 1 ปรากฏการณ ลมฟาอากาศ
ดาราศาสตรและอวกาศ
มาตรฐาน ว 7.1 เขาใจวิวัฒนาการของระบบสุริยะ กาแล็กซีและเอกภพ การปฏิสัมพันธภายในระบบสุริยะและผลตอสิ่งมีชีวิตบนโลก มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชน
ชั้น
ตัวชี้วัด
ป.5 1. สังเกตและอธิบายการเกิดทิศ และปรากฏการณการขึ้น - ตก ของดวงดาวโดยใชแผนที่ดาว
สาระที่ 8
หนวยการเรียนรู ในหนังสือเรียน
สาระการเรียนรูแกนกลาง • การที่โลกหมุนรอบตัวเองนี้ทําใหเกิดการกําหนดทิศ โดยโลกหมุนรอบ ตัวเองทวนเข็มนาฬกาจากทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออก เมื่อสังเกต จากขั้วเหนือ จึงปรากฏใหเห็นดวงอาทิตยและดวงดาวตางๆ ขึ้นทาง ทิศตะวัน ออก และตกทางทิศตะวันตก • แผนที่ดาวชวยในการสังเกตตําแหนงดาวบนทองฟา
• หนวยการเรียนรูที่ 6 นํ้า ฟา และดวงดาว บทที่ 2 ปรากฏการณ ในทองฟา
ธรรมชาติของวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 8.1 ใชกระบวนการทางวิทยาศาสตรและจิตวิทยาศาสตรในการสืบเสาะหาความรู การแกปญหา รูวาปรากฏการณทาง
ธรรมชาติที่เกิดขึ้นสวนใหญมีรูปแบบที่แนนอน สามารถอธิบายและตรวจสอบได ภายใตขอมูลและเครื่องมือที่มีอยู ในชวงเวลานั้นๆ เขาใจวา วิทยาศาสตร เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดลอมมีความเกี่ยวของสัมพันธกัน
ชั้น
ตัวชี้วัด
ป.5
1. ตัง้ คําถามเกีย่ วกับประเด็น หรือเรือ่ งหรือสถานการณทจี่ ะศึกษาตามทีก่ าํ หนดใหและตามความสนใจ 2 วางแผนการสังเกต เสนอการสํารวจ ตรวจสอบ หรือศึกษาคนควา และคาดการณสิ่งที่จะพบจาก การสํารวจตรวจสอบ 3. เลือกอุปกรณที่ถูกตองเหมาะสมในการสํารวจตรวจสอบใหไดขอมูลที่เชื่อถือได 4. บันทึกขอมูลในเชิงปริมาณและคุณภาพ และตรวจสอบผลกับสิ่งที่คาดการณไว นําเสนอผลและ ขอสรุป 5. สรางคําถามใหมเพื่อการสํารวจตรวจสอบตอไป 6. แสดงความคิดเห็นอยางอิสระ อธิบายและสรุปสิ่งที่ไดเรียนรู 7. บันทึกและอธิบายผลการสํารวจตรวจสอบตามความเปนจริง มีการอางอิง 8. นําเสนอ จัดแสดงผลงาน โดยอธิบายดวยวาจา หรือเขียนอธิบายแสดงกระบวนการและ ผลของงานใหผูอื่นเขาใจ
สาระการเรียนรู หนวยการเรียนรู แกนกลาง ในหนังสือเรียน
บูรณาการสูการจัด การเรียนการสอน ในทุกหนวยการเรียนรู
คูม อื ครู
คําอธิบายรายวิชา รายวิชา วิทยาศาสตร ชั้นประถมศึกษาปที่ 5 รหัสวิชา ว…………………………………
เสร�ม
12
ทดลองและอธิบายการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต การสืบพันธุ การขยายพันธุ และวัฏจักรชีวิตของพืชและสัตว การจําแนกพืชเปนพืชดอก พืชไมมีดอก พืชใบเลี้ยงเดี่ยว และพืชใบเลี้ยงคู โดยใชลักษณะภายนอกเปนเกณฑ การจําแนกสัตวเปนสัตวมีกระดูกสันหลังและสัตวไมมีกระดูกสันหลัง โดยใชลักษณะภายนอกและภายในเปนเกณฑ ประเภท สมบัติ และการเลือกใชวัสดุในชีวิตประจําวัน ลักษณะ ของแรงลัพธ ความดันอากาศ ความดันของของเหลว แรงพยุงของของเหลว แรงเสียดทานและประโยชนของ แรงเสียดทาน การเกิดเสียง ลักษณะและอันตรายของเสียง การเกิดเมฆ หมอก นํ้าคาง และลูกเห็บ การเกิด วัฏจักรนํ้า การวัดอุณหภูมิ ความชื้น ความกดอากาศ การเกิดลมและการนําไปใชประโยชน การเกิดทิศและ ปรากฏการณขึ้น - ตกของดวงดาว โดยใชกระบวนการทางวิทยาศาสตร การสืบเสาะหาความรู การสํารวจ ตรวจสอบ การสืบคนขอมูล การแกปญหา และการอภิปราย เพื่อใหเกิดความรู ความคิด ความเขาใจ สามารถสื่อสารสิ่งที่เรียนรู และนําความรูไปใชประโยชน ในชีวิตประจําวัน มีจิตวิทยาศาสตร จริยธรรม คุณธรรม และคานิยมที่ดีตอวิทยาศาสตร เทคโนโลยี และสิ่งแวดลอม ตัวชี้วัด ว 1.1 ว 1.2 ว 3.1 ว 4.1 ว 4.2 ว 5.1 ว 6.1 ว 7.1 ว 8.1
คูม อื ครู
กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร ภาคเรียนที่ 1-2 เวลา 80 ชั่วโมง/ป
ป.5/1 ป.5/1 ป.5/1 ป.5/1 ป.5/1 ป.5/1 ป.5/1 ป.5/1 ป.5/1
ป.5/2 ป.5/2 ป.5/2 ป.5/2
ป.5/3 ป.5/3
ป.5/4 ป.5/4
ป.5/3
ป.5/4
ป.5/2 ป.5/2
ป.5/3 ป.5/3
ป.5/4 ป.5/4
ป.5/2
ป.5/3
ป.5/4 ป.5/5 รวม 34 ตัวชี้วัด
ป.5/5 ป.5/5
ป.5/6
ป.5/7
ป.5/8
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÃÒÂÇÔªÒ¾×é¹°Ò¹
ÇÔ·ÂÒÈÒʵà ».õ
ªÑé¹»ÃжÁÈÖ¡ÉÒ»‚·Õè õ
¡ÅØ‹ÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ ÇÔ·ÂÒÈÒʵà µÒÁËÅÑ¡ÊÙµÃ᡹¡ÅÒ§¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ¢Ñé¹¾×é¹°Ò¹ ¾Ø·¸ÈÑ¡ÃÒª òõõñ
¼ÙŒàÃÕºàÃÕ§ ¹Ò§ÊÒÇÈÔÃÔÃѵ¹ Ç§È ÈÔÃÔ ´Ã. ÃÑ¡«ŒÍ¹ Ãѵ¹ ÇÔ¨Ôµµ àǪ ¼ÙŒµÃǨ
¹Ò§ÊÒÇÍÒ¹ØÃÑ¡É ÃÐÁ§¤Å ¹Ò§ÊÒÇ¢³ÔÉ°Ò ÇÃÒ¡ØÅ ¹Ò§ÊÒÇÃÒµÃÕ Êѧ¦ÇѲ¹
ºÃóҸԡÒà ¹Ò§ÇÅѾà âÍÀÒÊÇѲ¹Ò
¾ÔÁ¾ ¤ÃÑ駷Õè ÷
ʧǹÅÔ¢ÊÔ·¸ÔìµÒÁ¾ÃÐÃÒªºÑÞÞÑµÔ ISBN : 976-616-203-160-1 ÃËÑÊÊÔ¹¤ŒÒ ñõñøðóò
¤Œ¹¤ÇÒÁÃÙŒ¢ÂÒ¤ÇÒÁ¤Ô´¨Ò¡ ¾ÔÁ¾ ¤ÃÑ駷Õè ñ ÃËÑÊÊÔ¹¤ŒÒ ñõôøðóò
EB GUIDE
ที่พิมพกํากับหัวขอสําคัญในหนังสือเรียนหลักสูตรใหม ชั้น ป.๔ ขึ้นไป ผาน www.aksorn.com ไปยังแหลงความรูทั่วไทย-ทั่วโลก
ตรวจสอบผล Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
¤íÒ¹íÒ ´ŒÇ¡ÃзÃǧÈÖ¡ÉÒ¸Ô¡ÒÃä´ŒÁÕ¤íÒÊÑè§ãˌ㪌ËÅÑ¡ÊٵáÒÃÈÖ¡ÉÒ¢Ñé¹¾×é¹°Ò¹ ¾Ø·¸ÈÑ¡ÃÒª òõôô ã¹âçàÃÕ¹·ÑèÇä» ·Õè¨Ñ´¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ¢Ñé¹¾×鹰ҹ㹻‚¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ òõôö áÅШҡ¡ÒÃÈÖ¡ÉÒÇÔ¨ÑÂáÅеԴµÒÁ¼Å¡ÒÃ㪌ËÅÑ¡ÊٵáÒÃÈÖ¡ÉÒ¢Ñé¹ ¾×é¹°Ò¹ ¾Ø·¸ÈÑ¡ÃÒª òõôô ¨Ö§¹íÒä»Ê‹Ù¡ÒþѲ¹ÒËÅÑ¡ÊÙµÃ᡹¡ÅÒ§¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ¢Ñé¹¾×é¹°Ò¹ ¾Ø·¸ÈÑ¡ÃÒª òõõñ «Öè§ÁÕ ¤ÇÒÁàËÁÒÐÊÁáÅЪѴਹ à¾×èÍãˌʶҹÈÖ¡ÉÒä´Œ¹íÒä»ãªŒà»š¹¡Ãͺ·Ôȷҧ㹡ÒèѴËÅÑ¡ÊÙµÃʶҹÈÖ¡ÉÒ áÅШѴ¡Òà àÃÕ¹¡ÒÃÊ͹à¾×Íè ¾Ñ²¹Òà´ç¡áÅÐàÂÒǪ¹·Ø¡¤¹ã¹ÃдѺ¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ¢Ñ¹é ¾×¹é °Ò¹ãËŒÁ¤Õ ³ Ø ÀÒ¾´ŒÒ¹¤ÇÒÁÃÙŒ áÅзѡÉзըè Òí ໚¹ ÊíÒËÃѺ¡ÒôíÒçªÕÇÔµã¹Êѧ¤Á·ÕèÁÕ¡ÒÃà»ÅÕè¹á»Å§ áÅÐáÊǧËÒ¤ÇÒÁÃÙŒà¾×è;Ѳ¹Òµ¹àͧÍ‹ҧµ‹Íà¹×èͧµÅÍ´ªÕÇÔµ ÊíÒËÃѺ¡Å‹ØÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙŒÇÔ·ÂÒÈÒʵà »ÃСͺ´ŒÇ ø ÊÒÃЋ͠¤×Í ÊÒÃзÕè ñ ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡Ñº¡Ãкǹ¡ÒôíÒçªÕÇÔµ ÊÒÃзÕè ò ªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ ÊÒÃзÕè ó ÊÒÃáÅÐÊÁºÑµÔ¢Í§ÊÒà ÊÒÃзÕè ô áçáÅСÒÃà¤Å×è͹·Õè ÊÒÃзÕè õ ¾Åѧ§Ò¹ ÊÒÃзÕè ö ¡Ãкǹ¡ÒÃà»ÅÕè¹á»Å§¢Í§âÅ¡ ÊÒÃзÕè ÷ ´ÒÃÒÈÒʵà áÅÐÍÇ¡ÒÈ ÊÒÃзÕè ø ¸ÃÃÁªÒµÔ¢Í§ÇÔ·ÂÒÈÒʵà áÅÐà·¤â¹âÅÂÕ Ë¹Ñ§Ê×ÍàÃÕ¹ ÇÔ·ÂÒÈÒʵà ».õ àÅ‹Á¹Õ¨é ´Ñ ·íÒ¢Ö¹é ÊíÒËÃѺ㪌»ÃСͺ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ªÑ¹é »ÃжÁÈÖ¡ÉÒ»‚·Õè õ â´Â´íÒà¹Ô¹¡ÒèѴ·íÒãËŒÊÍ´¤ÅŒÍ§µÒÁ¡Ãͺ¢Í§ËÅÑ¡Êٵ÷ء»ÃСÒà ʋ§àÊÃÔÁ¡Ãкǹ¡ÒäԴ ¡ÒÃÊ׺àÊÒÐËÒ¤ÇÒÁÃÙŒ ¡ÒÃá¡Œ»˜ÞËÒ ¤ÇÒÁÊÒÁÒö㹡ÒÃÊ×èÍÊÒà ¡ÒõѴÊԹ㨠¡ÒùíÒä»ãªŒã¹ªÕÇÔµ ÃÇÁ·Ñé§Ê‹§àÊÃÔÁãËŒ¼ÙŒàÃÕ¹ÁÕ¨ÔµÇÔ·ÂÒÈÒʵà ¤Ø³¸ÃÃÁ áÅФ‹Ò¹ÔÂÁ·Õ¶è ¡Ù µŒÍ§àËÁÒÐÊÁ¡Ñº¡ÒôíÒçªÕÇµÔ ã¹Êѧ¤Áä·Â «Ö§è à¨ÃÔÞ¡ŒÒÇ˹ŒÒ´ŒÒ¹ÇÔ·ÂÒÈÒʵà áÅÐà·¤â¹âÅÂÕ Ë¹Ñ§Ê×ÍàÃÕ¹ ÇÔ·ÂÒÈÒʵà ».õ àÅ‹Á¹Õé ÁÕ ö ˹‹Ç ã¹áµ‹ÅÐ˹‹ÇÂẋ§à»š¹º·Â‹ÍÂæ «Ö觻ÃСͺ´ŒÇ ñ. ໇ÒËÁÒ¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ»ÃШíÒ˹‹Ç ¡íÒ˹´ÃдѺ¤ÇÒÁÃÙŒ ¤ÇÒÁÊÒÁÒö¢Í§¼ÙŒàÃÕ¹NjÒàÁ×èÍàÃÕ¹¨ºã¹ ᵋÅÐ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ µŒÍ§ºÃÃÅØÁҵðҹµÑǪÕéÇÑ´·Õè¡íÒ˹´äÇŒã¹ËÅ ¹ËÅÑÑ¡ÊٵâŒÍã´ºŒÒ§ ò. á¹Ç¤Ô´ÊíÒ¤ÑÞ á¡‹¹¤ÇÒÁÃÙŒ·Õè໚¹¤ÇÒÁÃÙŒ¤ÇÒÁࢌÒ㨤§·¹µÔ´µÑǼٌàÃÕ¹ ó. à¹×éÍËÒ ¤ÃºµÒÁËÅÑ¡ÊÙµÃ᡹¡ÅÒ§¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ¢Ñé¹¾×é¹°Ò¹ ¾.È. òõõñ ¹íÒàʹÍàËÁÒÐÊÁ¡Ñº¡ÒÃàÃÕ¹ ¡ÒÃÊ͹ã¹áµ‹ÅÐÃдѺªÑé¹ ô. ¡Ô¨¡ÃÃÁ ÁÕËÅÒ¡ËÅÒÂÃٻẺãËŒ¹Ñ¡àÃÕ¹»¯ÔºÑµÔ ẋ§à»š¹ (ñ) ¡Ô¨¡ÃÃÁ¹íÒÊ‹Ù¡ÒÃàÃÕ¹ ¹íÒࢌÒÊ‹Ùº·àÃÕ¹à¾×èÍ¡Ãе،¹¤ÇÒÁʹã¨á¡‹¼ÙŒàÃÕ¹ (ò) ¡Ô¨¡ÃÃÁ¾Ñ²¹Ò¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ ãËŒ¼ÙŒàÃÕ¹½ƒ¡»¯ÔºÑµÔà¾×è;Ѳ¹Ò¤ÇÒÁÃÙŒáÅзѡÉлÃШíÒ˹‹Ç (ó) ¡Ô¨¡ÃÃÁÃǺÂÍ´ ãËŒ¼ÙŒàÃÕ¹»¯ÔºÑµÔà¾×èÍáÊ´§¾ÄµÔ¡ÃÃÁ¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒÃǺÂÍ´ áÅлÃÐàÁÔ¹¼Å¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ µÒÁÁҵðҹµÑǪÕéÇÑ´»ÃШíÒ˹‹Ç ˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÇÔ·ÂÒÈÒʵà ».õ àÅ‹Á¹Õé ¹íÒàʹ͡ÒÃàÃÕ¹ÃÙ㌠ˌàËÁÒÐÊÁ¡ÑºÇÑ¢ͧ¼ÙàŒ ÃÕÂ¹ã¹ªÑ¹é »ÃжÁÈÖ¡ÉÒ »‚·Õè õ «Öè§à»š¹¡ÒÃÈÖ¡ÉÒÊÔ觷Õè¼ÙŒàÃÕ¹à¡ÕèÂÇ¢ŒÍ§ã¹¡ÒôíÒà¹Ô¹ªÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ â´Â㪌ÀÒ¾ á¼¹ÀÙÁÔ µÒÃÒ§¢ŒÍÁÙÅ ª‹ÇÂ㹡Òà ¹íÒàʹÍÊÒÃе‹Ò§æ «Ö觨Ъ‹ÇÂãËŒ¼ÙŒàÃÕ¹ÊÒÁÒöàÃÕ¹Ãٌ䴌§‹Ò¢Öé¹ ¤³Ð¼ÙŒ¨Ñ´·íÒ¨Ö§ËÇѧ໚¹Í‹ҧÂÔè§Ç‹Ò ˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÇÔ·ÂÒÈÒʵà ».õ àÅ‹Á¹Õé ¨Ð໚¹Ê×èÍ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹·Õè ÍíҹǻÃÐ⪹ µ‹Í¡ÒÃàÃÕ¹ÇÔ·ÂÒÈÒʵà à¾×èÍãËŒÊÑÁÄ·¸Ô¼ÅµÒÁÁҵðҹµÑǪÕéÇÑ´·Õè¡íÒ˹´äÇŒã¹ËÅÑ¡ÊÙµÃ᡹¡ÅÒ§¡Òà ÈÖ¡ÉÒ¢Ñé¹¾×é¹°Ò¹ ¾.È. òõõñ ·Ø¡»ÃСÒà ¤³Ð¼ÙŒ¨Ñ´·íÒ
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
Explain
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
คําชี้แจงในการใชสื่อ แนวคิดสําคัญ แกนความรูที่เปนความเขาใจ คงทนติดตัวผูเรียน ความหลาก
หลายของส
แนวคิดสําคั
ญ
ัตว
บทที่
ò
ÊÑµÇ µ‹Ò§æ ÁÕÁÒ¡Á ÀÒÂ㹺ҧÅѡɳ ÒÂËÅÒª¹Ô´ ¡ÒèíÒṡÊѵ Ç à»š Ð¢Í áÅÐÊÑµÇ äÁ‹ÁÕ¡Ãд §ÊÑµÇ à»š¹à¡³± ẋ§ÊÑµÇ Í ¹¡ÅØ‹Áâ´Â㪌ÅѡɳÐÀÒ¹͡áÅР͡໚¹Êͧ»ÃÐàÀ Ù¡ÊѹËÅѧ · ¤×Í ÊÑµÇ ÁÕ¡ ÅѡɳРÃд١ÊѹËÅѧ กิจกรรมนํา สูการเรียน
หน่วยการเรียนรู้ที่
ืชและสัตว์ หลากหลายของพ
ความ
๒
๒ ้ ระจา� หนว่ ยที่ รียนรูป เป้าหมายการเ ถต่อไปนี้
ามาร ผู้เรียนจะมีความรู้ความส ๓] เมื่อเรียนจบหน่วยนี้ ดอก และพืชไม่มีดอก [มฐ. ว๑.๒ ป.๕/ อกเป็นเกณฑ์ นพืช ี้ยงคู่ โดยใช้ลักษณะภายน ๑. จ�าแนกพืชออกเป็ ี้ยงเดี่ยวและพืชใบเล ืชดอกที่เป็นพืชใบเล ของพ ษณะ ก ั ล ระบุ ๒. ภายนอกเป็นเกณฑ์ ษณะ ก ั ๔] และล ป.๕/ าร [มฐ. ว๑.๒ ภายในบางประก ็นกลุ่มโดยใช้ลักษณะ ๓. จ�าแนกสัตว์ออกเป ] [มฐ. ว๑.๒ ป.๕/๕] ณาการสู่การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน บูร [มฐ. ว๘.๑ ป.๕/๑-๘
๑. จากภาพ เป น ๒. นักเรียนคิดว สัตวชนิดใด นักเรียนรูจักสัตว ทั้ง า สั แตกตางกันอยา ตวทั้ง ๒ ชนิดนี้ มีลักษณะที่เหม๒ ชนิดนี้หรือไม งไรบาง ือนกันหรือ
๕๘
48
มาตรฐานตัวชี้วัด ระบุตัวชี้วัดที่กําหนดไว ในแตละหนวย
เปาหมายการเรียนรู กําหนดระดับความรูความสามารถ ของผูเรียนเมื่อเรียนจบหนวย เน�้อหา ครบตามหลักสูตรแกนกลางฯ '๕๑ นําเสนอโดยใชภาษาที่เขาใจงาย เหมาะสมกับการเรียนการสอน
กิจกรรมนําสูการเรียนรู นําเขาสูบทเรียนโดยใชกระตุน ความสนใจและประเมินผลกอนเรียน
กิจกรรมพัฒนาการเรียนรู ใหผูเรียนฝกปฏิบัติเพื่อพัฒนา ความรูและทักษะประจําหนวย กจิ กรรมรวบยอด
ก ทํา ๓ วัฏจักรชีวิตของพืชดอเรียนรูการสืบพันธุแบบอาศัยเพศของพืชดอกนผลและ
ให ิสนธิจนเกิดเป ปฏ จากการที่นักเรียนได การ ด ิ ะเก จ ธุ น ั รากออกมา ื่อไดรับการผสมพ ทราบวา พืชดอกเม ไปปลูกสักระยะหนงึ่ เมลด็ พืชจะคอ ยๆ งอก ด็ พืช เมลด็ แลว เมือ่ นําเมล ¡Òà µŒ¹¾×ªÁÕ ÃÒ¡§Í¡ÍÍ¡ÁÒáÅŒÇ ËÅѧ¨Ò¡·ÕèàÁÅ紾תÁÕ ÉÒä´Œ¨Ò¡¡Ò÷íÒ¡Ô¨¡ÃÃÁµ‹Í仹Õé ÈÖ¡ à¨ÃÔÞàµÔºâµÍ‹ҧäÃ
กิจกรรมพัฒนาการเรียนรู บโตของตนถั่วเขียว และเขียนอธิบายวัฏจักรชี าดับภาพการเจริญเติ ที่ ๒
เรียงลํ ตนถั่วเขียวลงในสมุด ๑)
๒)
ตอนที่ ๑ แนวค ิด ครูใหนกั เรียนแบ สําคัญ ชวยกันสรุป การขยายพันธุพ งกลมุ ใหแตละกลุม เขียนสรุปคว ืช าม ตอนที่ ๒ ลองค และวัฏจักรชีวิตของพืช จากน รูเ กีย่ วกบั การสบื พันธุข องพืช ิด ดอ ั้นสงตัวแทนออก ๑. ดูภาพ และเข ลองทํา มานําเสนอหนา ก ียนช ชั้น อธิบายหนาที่ของ ื่อสวนประกอบของดอกไมลงใน สวนประกอบนั้น สมุดใหถูกตอง ๆ พรอมกับเขียน ๒ ๓ ๑ ●
วิตของ
๓)
๕
๔
๖ ักทดลอง
กิจกรรมหนูนอยน
๒. ดูภาพ และเข
ียนขั้นตอนการส
ืบพันธุแบบอาศั
ืช ฏจักรชีวิตของพ กิจกรรมที่ ๒ วั
วฏั จักรชีวิตเปนอยางไร ะ เปนตน ปญหา พืชดอกมี เมล็ดถั่วเขียว เมล็ดมะร พืช เชน เมล็ดพริก อุปกรณ ๑. เมล็ด สติกใสทราย ๑ ถุง กใสทราย ๒. ถุงพลา สติ ็ดพืชลงในถุงพลา อ งถึง และพรมนํ้า ดดส มใหแตละกลุมปลูกเมล วิธีทํา ๑. แบงกลุม นําถุงทรายไปวางไวในบรเิ วณทีม่ แี สงแ ๒. ทุกกลุ สัปดาห ประกอบ ทุกวัน เปนเวลา ๓-๔ลงเปนระยะๆ บันทึกผล และวาดแผนภาพ าเสนอหนาชั้น านํ ๓. สังเกตการเปลยี่ นแป ตนม ม กลุ ของ ช พื น ๒๕ ๔. ใหแตละกลุมนําต
กิจกรรมสํารวจ กิจกรรมทดลอง เปนกิจกรรมที่ใหผูเรียนไดลงมือปฏิบัติ เพื่อฝกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
๗
➜
ยเพศของพืชปร
ะกอบภาพ
➜
๒๗
กิจกรรมรวบยอด ใหผูเรียนฝกปฏิบัติเพื่อแสดง พฤติกรรมการเรียนรูรวบยอด และประเมินผลการเรียนรูตาม มาตรฐานตัวชี้วัดประจําหนวย
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ Expand
สารบัญ
● ตารางวิเคราะหมาตรฐานการเรียนรู
หนวยการเรียนรูที่
๑ มหัศจรรยสิ่งมีชีวิต
บทที่ ๑ การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม บทที่ ๒ ศึกษาชีวิตพืช บทที่ ๓ เรียนรูชีวติ สัตว หนวยการเรียนรูที่
Evaluate
ก
๑
๒ ๑๒ ๒๙
๒ ความหลากหลายของพืชและสัตว ๔๘
บทที่ ๑ ความหลากหลายของพืช บทที่ ๒ ความหลากหลายของสัตว หนวยการเรียนรูที่
ตรวจสอบผล
๓ วัสดุในชีวิตประจําวัน
๔๙ ๕๘
๗๓
บทที่ ๑ สมบัติของวัสดุกับการนําไปใช
๗๔
๔ แรงและความดัน
๙๕
หนวยการเรียนรูที่
บทที่ ๑ แรงลัพธ บทที่ ๒ แรงดันและแรงพยุงตัว บทที่ ๓ แรงเสียดทาน หนวยการเรียนรูที่
๕ เสียงกับการไดยิน
๑๒๖
๖ นํ้า ฟา และดวงดาว
๑๓๙
บทที่ ๑ เสียงรอบตัวเรา หนวยการเรียนรูที่
บทที่ ๑ ปรากฏการณลมฟาอากาศ บทที่ ๒ ปรากฏการณในทองฟา ● บรรณานุกรม
๙๖ ๑๐๒ ๑๑๖ ๑๒๗ ๑๔๐ ๑๖๑
๑๗๐
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
ตารางÇÔà¤ÃÒÐË Áҵðҹ¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒáÅеÑǪÕéÇÑ´ ÃÒÂÇÔªÒ ÇÔ·ÂÒÈÒʵà ».๕ คําชี้แจง : ใหผูสอนใชตารางน�้ตรวจสอบวา เน�้อหาสาระการเรียนรูในหนวยการเรียนรูสอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดชั้นป ในขอใดบาง
มาตรฐาน การเรียนรู
มฐ. ว๑.๑
สาระการเรียนรู
หนวยที่ ๑ หนวยที่ ๒ หนวยที่ ๓ หนวยที่ ๔ หนวยที่ ๕ หนวยที่ ๖ บทที่
ตัวชี้วัดชั้น ป.๕
บทที่
๑ ๒ ๓ ๑ ๒
สาระที่ ๑ สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดํารงชีวิต ๑. สังเกตและระบุสว นประกอบของดอกและโครงสรางทีเ่ กีย่ วของ กับการสืบพันธุข องพืชดอก
✓
๒. อธิบายการสืบพันธุข องพืชดอก การขยายพันธุพ ชื และนําความรูไ ปใช ประโยชน
✓
๓. อธิบายวัฏจักรของพืชดอกบางชนิด
✓
๔. อธิบายการสืบพันธุและการขยายพันธุของสัตว
✓
๕. อภิปรายวัฏจักรชีวิตของสัตวบางชนิด และนําความรูไปใชประโยชน
✓
บทที่
บทที่
บทที่
บทที่
๑
๑ ๒ ๓
๑
๑ ๒
๑. สํารวจ เปรียบเทียบ และระบุลกั ษณะของตนเองกับคนในครอบครัว ✓ ๒. อธิบายการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตในแตละรุน ✓
มฐ. ว๑.๒
๓. จําแนกพืชออกเปนพืชดอกและพืชไมมีดอก
✓
๔. ระบุลักษณะของพืชดอกที่เปนพืชใบเลี้ยงเดี่ยวและพืชใบเลี้ยงคู โดยใชลักษณะภายนอกเปนเกณฑ
✓
๕. จําแนกสัตวออกเปนกลุม โดยใชลักษณะภายในบางลักษณะ และลักษณะภายนอกเปนเกณฑ
มฐ.ว ๓.๑
มฐ. ว๔.๑
✓
สาระที่ ๓ สารและสมบัติของสาร ๑. ทดลองและอธิบายสมบัติของวัสดุชนิดตางๆ เกี่ยวกับความยืดหยุน ความแข็ง ความเหนียว การนําความรอน การนําไฟฟา และความ หนาแนน
✓
๒. สืบคนขอมูลและอภิปรายการนําวัสดุไปใชในชีวิตประจําวัน
✓
สาระที่ ๔ แรงและการเคลื่อนที่ ๑. ทดลองและอธิบายการหาแรงลัพธของแรงสองแรง ซึง่ อยูใ นแนว เดียวกันทีก่ ระทําตอวัตถุ
✓
๒. ทดลองและอธิบายความดันอากาศ
✓
๓. ทดลองและอธิบายความดันของของเหลว
✓
๔. ทดลองและอธิบายแรงพยุงของของเหลว การลอยตัว และการจม ของวัตถุ
✓
มฐ. ว๔.๒ ๑. ทดลองและอธิบายแรงเสียดทาน และนําความรูไปใชประโยชน
✓
หมายเหตุ : สาระที่ ๒ ชีวิตกับสิ�งแวดลอม มฐ. ว๒.๑ และ มฐ. ว๒.๒ ในหลักสูตรแกนกลางฯ กําหนดใหเรียนในชั้น ป.๓ และ ป.๖
µ‹Í ก
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
ตารางÇÔà¤ÃÒÐË Áҵðҹ¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒáÅеÑǪÕéÇÑ´ ÃÒÂÇÔªÒ ÇÔ·ÂÒÈÒʵà ».๕ มาตรฐาน การเรียนรู
มฐ. ว๕.๑
มฐ. ว๖.๑
มฐ. ว๗.๑
มฐ. ว๘.๑
ข
สาระการเรียนรู
หนวยที่ ๑ หนวยที่ ๒ หนวยที่ ๓ หนวยที่ ๔ หนวยที่ ๕ หนวยที่ ๖ บทที่
ตัวชี้วัดชั้น ป.๕
บทที่
๑ ๒ ๓ ๑ ๒
บทที่
บทที่
บทที่
บทที่
๑
๑ ๒ ๓
๑
๑ ๒
สาระที่ ๕ พลังงาน ๑. ทดลองและอธิบายการเกิดเสียง และการเคลือ่ นทีข่ องเสียง
✓
๒. ทดลองและอธิบายการเกิดเสียงสูงเสียงตํ่า
✓
๓. ทดลองและอธิบายเสียงดังเสียงคอย
✓
๔. สํารวจและอภิปรายอันตรายที่เกิดขึ้นเมื่อฟงเสียงดังมากๆ
✓
สาระที่ ๖ กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก ๑. สํารวจ ทดลอง และอธิบาย การเกิดเมฆ หมอก นํ้าคาง ฝน และลูกเห็บ
✓
๒. ทดลองและอธิบายการเกิดวัฏจักรนํ้า
✓
๓. ออกแบบและสรางเครื่องมืออยางงายในการวัดอุณหภูมิ ความชื้น และความกดอากาศ
✓
๔. ทดลองและอธิบายการเกิดลม และนําความรูไปใชประโยชน ในชีวิตประจําวัน
✓
สาระที่ ๗ ดาราศาสตรและอวกาศ ๑. สังเกตและอธิบายการเกิดทิศ และปรากฏการณขนึ้ -ตกของดวงดาว โดยใชแผนที่ดาว
✓
สาระที่ ๘ ธรรมชาติของวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ๑. ตั้งคําถามเกี่ยวกับประเด็น หรือเรื่อง หรือสถานการณที่จะศึกษา ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ตามที่กําหนดใหและตามความสนใจ
✓
✓ ✓ ✓
✓
✓ ✓
๒. วางแผนการสังเกต เสนอการสํารวจตรวจสอบ หรือศึกษาคนควา ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ และคาดการณสิ�งที่จะพบจากการสํารวจตรวจสอบ
✓
✓ ✓ ✓
✓
✓ ✓
๓. เลือกอุปกรณที่ถูกตองเหมาะสมในการสํารวจตรวจสอบใหไดขอมูล ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ที่เชื่อถือได
✓
✓ ✓ ✓
✓
✓ ✓
๔. บันทึกขอมูลในเชิงปริมาณและคุณภาพ และตรวจสอบผล กับสิ�งที่คาดการณไว นําเสนอผลและขอสรุป
✓ ✓ ✓ ✓ ✓
✓
✓ ✓ ✓
✓
✓ ✓
๕. สรางคําถามใหมเพื่อการสํารวจตรวจสอบตอไป
✓ ✓ ✓ ✓ ✓
✓
✓ ✓ ✓
✓
✓ ✓
๖. แสดงความคิดเห็นอยางอิสระ อธิบายและสรุปสิ�งที่ไดเรียนรู
✓ ✓ ✓ ✓ ✓
✓
✓ ✓ ✓
✓
✓ ✓
๗. บันทึกและอธิบายผลการสํารวจตรวจสอบตามความเปนจริง มีการอางอิง
✓ ✓ ✓ ✓ ✓
✓
✓ ✓ ✓
✓
✓ ✓
๘. นําเสนอ จัดแสดงผลงาน โดยอธิบายดวยวาจา หรือเขียนอธิบาย ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ แสดงกระบวนการและผลของงานใหผูอื่นเขาใจ
✓
✓ ✓ ✓
✓
✓ ✓
กระตุน้ ความสนใจ กระตุEngage ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
อธิบายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุน้ ความสนใจ
หน่วยการเรียนรู้ที่
ÁËÑȨÃàÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ
ñ
Engage
ใหนักเรียนสังเกตภาพในหนานี้ แลวครูถาม นักเรียนวา • สัตวในภาพคือสัตวชนิดใด สังเกตไดจาก สิ่งใด (ตอบ สิงโต สังเกตจากลักษณะรูปราง โครงสรางภายนอก สีขน) • ลูกสัตวที่นั่งอยูเปนลูกสัตวชนิดใด สังเกต จากสิ่งใด (ตอบ ลูกสิงโต สังเกตจากลักษณะรูปราง โครงสรางภายนอก และสีขน วามีลักษณะ เหมือนกับแมสิงโต) ครูชวนนักเรียนสนทนาเกี่ยวกับชื่อหนวยการ เรียนรูวา ถากลาวถึงคําวา “มหัศจรรยสิ่งมีชีวิต” นักเรียนจะจินตนาการถึงสิ่งใด ใหนักเรียนผลัดกัน แสดงความคิดเห็นอยางอิสระ
เป้าหมายการเรียนรูป ้ ระจ�าหน่วยที่ ๑ เมื่อเรียนจบหน่วยนี้ ผู้เรียนจะมีความรู้ความสามารถต่อไปนี้ ๑. ส�ารวจ เปรียบเทียบ และระบุลักษณะของตนเองกับคนในครอบครัว [มฐ. ว๑.๒ ป.๕/๑] ๒. อธิบายการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตในแต่ละรุ่น [มฐ. ว๑.๒ ป.๕/๒] ๓. สังเกตและระบุส่วนประกอบของดอกและโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับการสืบพันธุ์ของพืชดอก [มฐ. ว๑.๑ ป.๕/๑] ๔. อธิบายการสืบพันธุ์ของพืชดอก การขยายพันธุ์พืชและน�าความรู้ไปใช้ประโยชน์ [มฐ. ว๑.๑ ป.๕/๒] ๕. อธิบายวัฏจักรชีวิตของพืชดอกบางชนิด [มฐ. ว๑.๑ ป.๕/๓] ๖. อธิบายการสืบพันธุ์และการขยายพันธุ์ของสัตว์ [มฐ. ว๑.๑ ป.๕/๔] ๗. อภิปรายวัฏจักรชีวิตของสัตว์บางชนิด และน�าความรู้ไปใช้ประโยชน์ [มฐ. ว๑.๑ ป.๕/๕] [มฐ. ว๘.๑ ป.๕/๑-๘ บูรณาการสู่การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน]
เกร็ดแนะครู กอนเริ่มการเรียนสอน ครูอธิบายใหนักเรียนเขาใจเกี่ยวกับการเรียนวิชา วิทยาศาสตร ซึ่งเปนการปลูกฝงใหนักเรียนรูจักใชความคิดของตนเอง สามารถ เสาะหาความรูและวิเคราะหไดโดยใชวิธีการทางวิทยาศาสตร ซึ่งมีขั้นตอน ดังนี้ 1. การสังเกต คือ การใชประสาทสัมผัส รวมทั้งเครื่องมือ สังเกตขอเท็จจริง และขอมูล แลวบันทึกขอมูลตางๆ ที่ไดจากการสังเกตอยางเปนระบบ 2. การตั้งปญหา ขอมูลและขอเท็จจริงที่ไดจากการสังเกตทําใหเกิดความสงสัย นําไปสูการตั้งปญหา 3. การตั้งสมมติฐาน คือ การคาดเดาคําตอบที่เปนไปไดของปญหานั้น 4. การตรวจสอบสมมติฐาน ทําไดหลายวิธี อาจใชวิธีรวบรวมขอมูล สํารวจ หรือทดลอง 5. การวิเคราะหผลและการสรุปผล ถาไดผลการทดลองสอดคลองกับสมมติฐาน แสดงวาสมมติฐานนั้นคือคําตอบของปญหา แตถาไมสอดคลองก็จําเปนตองเลือก สมมติฐานใหมมาตรวจสอบตอไป คู่มือครู
1
กระตุน้ ความสนใจ กระตุEngage ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
อธิบายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
บทที่
1. สํารวจ เปรียบเทียบ และระบุลักษณะของ ตนเองกับคนในครอบครัว (ว 1.2 ป.5/1) 2. อธิบายการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ของสิ่งมีชีวิตในแตละรุน (ว 1.2 ป.5/2)
การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม แนวคิดส�าคัญ
สมรรถนะของผูเรียน
¤¹àÃÒ¨ÐÁÕÅѡɳФŌÒ¤ÅÖ§¡Ñº¤¹ã¹¤Ãͺ¤ÃÑǢͧàÃÒ Åѡɳе‹Ò§æ ·Õè¤ÅŒÒ¤ÅÖ§¡Ñ¹¹Õé ໚¹¡Òö‹Ò·ʹÅѡɳкҧÅѡɳШҡºÃþºØÃÉØ ÊÙÅ‹ ¡Ù ËÅÒ¹ àÃÕÂ¡Ç‹Ò ¡Òö‹Ò·ʹÅѡɳзҧ ¾Ñ¹¸Ø¡ÃÃÁ «Ö觺ҧÅѡɳШÐàËÁ×͹¾‹ÍËÃ×ÍàËÁ×͹áÁ‹ ËÃ×ÍÍÒ¨ÁÕÅѡɳÐàËÁ×͹»Ù† Â‹Ò µÒ ÂÒÂ
1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแกปญ หา
กิจกรรมน�าสู่การเรียน
คุณลักษณะอันพึงประสงค 1. ใฝเรียนรู 2. มุงมั่นในการทํางาน
กระตุน้ ความสนใจ
Engage
1. ใหนักเรียนลองนึกถึงสมาชิกในครอบครัวตนเอง วามีลักษณะหนาตาคลายคลึงกันหรือไม 2. ใหนักเรียนดูภาพในหนานี้ แลวชวยกันบอกวา ลูกสุนัขตัวไหนมีแมชื่ออะไร (ตอบ สีนวล - ปุกปุย แบล็ค - สีนิล ไลกา - ไมโล) 3. ครูตงั้ ประเด็นคําถามใหนกั เรียนรวมกันอภิปราย วา สิง่ ใดเปนสาเหตุใหลกู มีลกั ษณะคลายคลึงกับ พอแมหรือคลายคลึงกับคนในครอบครัวของเรา
สีนวล
แบล็ค
ไลก้า
ไมโล
ปุกปุย
สีนิล
๑. จากภาพ ให้นักเรียนจับคู่แม่สุนัขกับลูกสุนัข ๒. จากค�าตอบข้อที่ ๑. นักเรียนสังเกตจากสิ่งใด 2
เกร็ดแนะครู ครูจัดกระบวนการเรียนรูโดยการใหนักเรียนปฏิบัติ ดังนี้ 1. สํารวจ สังเกตลักษณะของตนเองกับคนในครอบครัว 2. ศึกษาขอมูลและอธิบายการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต 3. เปรียบเทียบขอมูลและอภิปรายลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่มีการถายทอดลักษณะ ทางพันธุกรรม จนเกิดเปนความรูความเขาใจวา สิ่งมีชีวิตมีการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม จากบรรพบุรุษสูลูกหลาน ซึ่งบางลักษณะจะเหมือนพอหรือเหมือนแม หรืออาจมี ลักษณะเหมือน ปู ยา ตา ยาย
2
คู่มือครู
ñ
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
Engage
ส�ารวจค้ Exploreนหา
อธิบายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
ส�ารวจค้นหา
การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต
สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีลักษณะเฉพาะที่ท�าให้มองเห็นความแตกต่างระหว่าง พวกหรือกลุ่มได้ชัดเจน เช่น คนในแต่ละครอบครัว แมวที่ต่างสายพันธ์ุ มดด�า กับมดแดง เป็นต้น
▲▲
Explore
1. ใหนักเรียนดูภาพ หนา 3 แลวใหนักเรียน รวมกันอภิปรายวา ทําไมสิ่งมีชีวิตแตละชนิด จึงมีลักษณะแตกตางกันชัดเจน ทําใหเรารูวา ไมใชสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน 2. ใหนักเรียนศึกษาขอมูล หนา 3 แลวใหรวมกัน อภิปรายขั้นตอนการถายทอดลักษณะทาง พันธุกรรม 3. ใหนักเรียนรวมกันยกตัวอยางวา สิ่งใดบาง ที่มีการถายทอดทางพันธุกรรม
ภาพที่ ๑.๑ สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีลักษณะเฉพาะแตกต่างกันอย่างเด่นชัด
ถา้ สังเกตลักษณะของคนรอบๆ ตัว จะเห็นว่ามีลกั ษณะบางอย่างคล้ายคลึงกัน และมีลักษณะบางอย่างแตกต่างกัน จึงท�าให้คนแต่ละคนมีลักษณะเฉพาะที่ไม่ เหมือนใครๆ ลักษณะทีแ่ ตกต่างกันของคนแต่ละคน เป็นลักษณะทีค่ นเราได้รบั การถ่ายทอด มาจากบรรพบุรุษของเรา โดยลูกได้รับการถ่ายทอดลักษณะจากพ่อ แม่ ซึ่งพ่อได้ รับการถ่ายทอดลักษณะจากปู่ ย่า และแม่ได้รับการถ่ายทอดลักษณะจากตา ยาย ลักษณะเหล่านี้ เรียกว่า ลักษณะทางพันธุกรรม 1 ลักษณะทางพันธุกรรม หมายถึง ลักษณะทุกชนิดของสิ่งมีชีวิต ซึง่ ถ่ายทอด รรม หมายถึ จากพ่อแม่ไปสู่ลูกได้ และถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งเรื่อยๆ ไป เช่น สีผม ลักษณะของเส้นผม สีผิว เป็นต้น 3
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 53 ออกเกี่ยวกับเรื่อง ลักษณะทางพันธุกรรม ขอมูลแสดงลักษณะทางพันธุกรรมของบุคคลในครอบครัวหนึ่ง เปนดังนี้ ลักษณะทาง พันธุกรรม สีผิว
ลูก
พอ
แม
ปู
ยา
ตา
ยาย
คลํ้า
คลํ้า
ขาว
ขาว
คลํ้า
ขาว
ขาว
สันจมูก
โดง
แบน
โดง
โดง
แบน
โดง
โดง
ลิ้น
หอได หอไมได หอได หอไมได หอไมได หอไมได หอได
จากขอมูลในตาราง ลูกไดรับการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมสวนใหญ จากใคร 1. พอ และ ยา 2. แม และ ยาย 3. แม และ ยา 4. ปู และ ยาย วิเคราะหคําตอบ จากขอมูลจะเห็นไดวา ลูกไดรับการถายทอดลักษณะ ทางพันธุกรรมจาก แมและยาย 2 ลักษณะ ไดแก สันจมูกโดง และหอลิ้นได ซึ่งมากกวาที่ไดรับถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากคนอื่นๆ ในครอบครัว ดังนั้น ขอ 2. จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง
นักเรียนควรรู 1 ลักษณะทางพันธุกรรม มีทั้งลักษณะภายนอกที่มองเห็นดวยตาเปลา เชน รูปราง สีผม สีผิว เปนตน และลักษณะภายในที่สังเกตยาก เชน หมูเลือด ลักษณะโครงสรางของเซลล เปนตน ซึ่งนักเรียนจะไดเรียนรูตอไปในชั้นที่สูงขึ้น
มุม IT ครูและนักเรียนศึกษาขอมูลเกี่ยวกับการแสดงออกของลักษณะทางพันธุกรรม ไดจากเว็บไซต www.rakbankerd.com โดยมีวิธีการ ดังนี้ • คลิก ปศุสัตวเศรษฐี • คลิก การปรับปรุงพันธุสัตว • คลิก การคัดเลือกและการปรับปรุงพันธุสัตว • คลิก การแสดงออกของลักษณะทางพันธุกรรม คู่มือครู
3
กระตุ้นความสนใจ Engage
ส�ารวจค้นหา Exploreนหา ส�ารวจค้
อธิบายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
ส�ารวจค้นหา
Explore
1. ครูชวนนักเรียนสนทนาวา นักเรียนคิดวาตนเอง เหมือนพอแมหรือไม และเหมือนอยางไร 2. ใหนักเรียนศึกษารายละเอียดของกิจกรรมที่ 1 หนา 4 เพื่อศึกษาลักษณะทางพันธุกรรม 3. ใหนักเรียนนําผลการสํารวจของตนเอง มาแลกเปลี่ยนเรียนรูกับเพื่อน
๑. ลักษณะของตนเองกับคนในครอบครัว 1 คนเราเมื่อเจริญเติบโตเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ จะสามารถสืบพันธุ์ออกลูก ออกหลานได้ ลูกหลานที่ด�ารงพันธุ์ต่อไปจะได้รับการถ่ายทอดลักษณะจากพ่อ แม่และบรรพบุรุษ เช่น ลักษณะรูปร่างหน้าตา ความสูง สีผม สีผิว สีตา เป็นต้น ÅͧÁÒÊíÒÃǨ¡Ñ¹Ç‹Ò µÑǹѡàÃÕ¹ ÁÕÅѡɳÐã´ºŒÒ§àËÁ×͹¡ÑºÊÁÒªÔ¡¤¹Í×è¹æ 㹤Ãͺ¤ÃÑÇ
กิจกรรมหนูน้อยนักส�ารวจ กิจกรรมที่ ๑ ลักษณะทางพันธุกรรม
ปัญหา วิธีทํา
ตัวนักเรียนและสมาชิกในครอบครัวของนักเรียนมีลักษณะเหมือนกัน หรือไม่ ๑. ให้นักเรียนส�ารวจและสังเกตลักษณะทางพันธุกรรมของตนเองและ สมาชิกในครอบครัว ๒. ขีด ลงในตารางตามความเป็นจริง และบันทึกข้อมูล
ตัวอย่างตารางบันทึกผล สิ่งที่สังเกต ๑. เส้นผม ๒. สีผม ๓. หนังตา 2 ๔. ลักยิ้ม ๕. ความสูง
ลักษณะทาง พันธุกรรม
สมาชิกในครอบครัว ฉัน พ่อ แม่ พี่ น้อง ปู่ ย่า ตา ยาย
หยักศก เหยียดตรง ผมสีด�า ผมสีอื่น ชั้นเดียว สองชั้น มีลักยิ้ม ไม่มีลักยิ้ม สูง เตี้ย
ึกผลกำรส�ำรวจ ใหนักเรียนบันท จ�ำตัวนักเรียน ระ ลงในสมุดป
4
นักเรียนควรรู 1 วัยเจริญพันธุ เปนวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางรางกายและจิตใจอยางมาก ซึ่งเปนผลมาจากการทํางานของฮอรโมนที่สงผลตออารมณและรางกาย เพื่อให เตรียมพรอมกับการมีเพศสัมพันธ โดยในผูหญิงจะนับตั้งแตเมื่อเริ่มมีประจําเดือน ไปจนหมดประจําเดือน (อายุ 15 -49 ป) สวนในผูชายจะเริ่มเขาสูวัยเจริญพันธุ ตั้งแตเมื่อรางกายผลิตอสุจิ (ประมาณ 10 ปขึ้นไป) ทั้งนี้แตละคนอาจเขาสู วัยเจริญพันธุในชวงอายุที่แตกตางกัน 2 ลักยิ้ม (dimple) คือ รอยเล็กๆ ที่บุมลงไปที่แกม เกิดจากเนื้อที่ทับซอนกัน โดยเฉพาะเวลายิ้ม ปกติมีอยูทั้งสองแกม ลักยิ้มเปนพันธุกรรมลักษณะเดน
4
คู่มือครู
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
การที่ลูกสาวไวผมยาวเหมือนแม เปนลักษณะทางพันธุกรรมที่ไดรับการ ถายทอดหรือไม เพราะอะไร แนวตอบ ไมเปน เพราะการไวผมยาวเปนความชอบสวนบุคคลที่ไมไดมี การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
Engage
Explore
อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบายความรู้
จากการท�ากิจกรรมที่ ๑ นักเรียนจะเห็นว่า ตัวเองและพี่น้องมีลักษณะ บางลักษณะเหมือนพ่อ และมีลักษณะบางลักษณะเหมือนแม่ บางลักษณะถ้าไม่ เหมือนพ่อแม่ ก็อาจเป็นลักษณะที่เหมือนปู่ ย่า ตา ยาย ซึ่งลักษณะที่ถ่ายทอด จากพ่อแม่สู่ลูกหลานได้นั้นเป็นลักษณะทางพันธุกรรม 1 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของคน ท�าให้เราและผู้อื่นสามารถ ทราบได้วา่ เราเป็นลูกของพ่อแม่ เพราะเรามีลกั ษณะบางอย่างเหมือนพ่อแม่ เช่น มีใบหน้าเหมือนแม่ มีผิวคล�้าและมีรูปร่างสูงเหมือนพ่อ เป็นต้น
เก่ง
พ่อเด่น
แม่แก้ว อาแตว
ป้าเกด
Explain
1. ครูสุมนักเรียน 4 - 5 คน ใหนําเสนอผลการ สํารวจของตนเอง 2. ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายผลการทํากิจกรรม จนสรุปไดวา ลูกจะมีลักษณะบางอยางที่ เหมือนพอหรือเหมือนแม และอาจมีลักษณะ บางอยางเหมือนปู ยา ตา ยาย ลักษณะที่มี การถายทอดจากรุนสูรุน เรียกวา ลักษณะทาง พันธุกรรม 3. ครูถามนักเรียนวา • หากนักเรียนไมเหมือนพอแมของตนเองเลย แสดงวาไมมีการถายทอดลักษณะทาง พันธุกรรมใชหรือไม (แนวตอบ ไมใช เพราะลักษณะทางพันธุกรรม จะอยูในยีนที่อยูในเซลลสืบพันธุ และถายทอดไปสูลูกทางเซลลสืบพันธุ แตลักษณะดังกลาวอาจไมปรากฏในรุนลูก) 4. ใหนักเรียนศึกษาแผนภาพ หนา 5 แลวชวย กันบอกวา ลักษณะใดบางที่ไดรับการถายทอด ทางพันธุกรรม
น้าไก่
ย่านิด
ปู่เอก
ครอบครัวสุขสอน
▲▲
ตาตูน ยายเล็ก
ครอบครัวสีเมือง
ภาพที่ ๑.๒ แผนภาพแสดงการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมในครอบครัว
5
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
การที่พี่นองฝาแฝดชอบกินไอศกรีมรสช็อกโกแลตเหมือนกัน เปนการ ถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมหรือไม เพราะอะไร แนวตอบ ไมเปน เพราะความชอบรสชาติเปนความชอบสวนบุคคล ที่ไมไดมีการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
นักเรียนควรรู 1 การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม จะถูกถายทอดไปทาง ยีน ที่อยูในเซลล สืบพันธุ ซึ่งสามารถถายทอดจากรุนหนึ่งไปยังอีกรุนหนึ่งได เชน จากพอ - แม ไปสู รุนลูกหลานสืบตอเนื่องกันไปเรื่อยๆ โดยลักษณะตางๆ ที่ถายทอดไปนั้น บางลักษณะจะไมปรากฏในรุนลูก แตอาจจะปรากฎในรุนหลานหรือเหลนก็ได ทําใหมีความแตกตางของลักษณะทางพันธุกรรม เปนผลใหเกิดความหลากหลาย ของสิ่งมีชีวิตและดํารงเผาพันธุไวได
คู่มือครู
5
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
Engage
Explore
อธิบายความรู้
อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
Explain
1. ใหนักเรียนสังเกตลักษณะของตนเอง ตาม ตัวอยางการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม แลวสรุปลักษณะทางพันธุกรรมของตนเอง ลงในสมุด เชน • ฉันมีผมเหยียดตรง มีหนังตาสองชั้น หอลิ้น ไมได มีติ่งหู ไมมีลักยิ้ม 2. ครูถามนักเรียนวา ใครมีลักยิ้มบาง ใหนักเรียน ยกมือ จากนั้นใหนักเรียนยืนขึ้นแลวโชวลักยิ้ม ของตนเองใหเพื่อนๆ ดู 3. ครูถามนักเรียนวา ใครหอลิ้นได ใหนักเรียน ยกมือ จากนั้นใหนักเรียนยืนขึ้นแลวหอลิ้นให เพื่อนๆ ดู 4. ครูถามนักเรียนที่มีลักยิ้ม และนักเรียนที่หอลิ้น ไดวา ใครในครอบครัวของนักเรียนที่มีลักษณะ เชนนี้อีกบาง 5. ครูอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจวา ถึงแมวา คนเราจะมีการถายทอดลักษณะพันธุกรรมจาก รุนสูรุน แตคนเราก็จะมีลักษณะบางอยางที่ แตกตางออกไปที่ไมเหมือนกับคนในครอบครัว ซึ่งเรียกวา การแปรผันทางพันธุกรรม
ภาพที่ ๑.๓ ตัวอย่างการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมในมนุษย์
▲▲
ผมหยิกหยักศก
▲▲
ผมเหยียดตรง
▲▲
ห่อลิ้นได้
▲▲
▲▲
มีลักยิ้ม
▲▲
ไม่มีลักยิ้ม
มีขวัญเดียว
▲▲
มีสองขวัญ
▲▲
▲▲
หนังตาชั้นเดียว
ห่อลิ้นไม่ได้
▲▲
▲▲
▲▲
▲▲
มีติ่งหู
หนังตาสองชั้น
▲▲
หัวแม่มืองอน
▲▲
แนวผมทีห่ น้าผากแหลม
▲▲
ไม่มีติ่งหู
หัวแม่มือไม่งอน
แนวผมที่หน้าผากตรง
แม้วา่ เรากับสมาชิกในครอบครัวของเราจะมีลกั ษณะบางอย่างเหมือนกัน แต่ทกุ คนก็จะมีลกั ษณะเฉพาะตัวทีแ่ ตกต่างจากคนอืน่ ทีท่ า� ให้รวู้ า่ เราเป็นใคร และ มีลกั ษณะอย่างไร เช่น ตัวเราและพีน่ อ้ งของเรามีลกั ษณะบางอย่างทีค่ ล้ายกับพ่อ แม่ แต่ก็จะมีบางอย่างที่แตกต่างกัน ทั้งๆ ที่เป็นพี่น้องที่มาจากพ่อแม่เดียวกัน 1 ความแปรผันทางพันธุกรรม ความแตกต่างนี ้ เรียกว่า ความแปรผั 6
นักเรียนควรรู 1 ความแปรผันทางพันธุกรรม คือ ความแตกตางอันเนื่องมาจากลักษณะทาง พันธุกรรมที่แตกตางกัน ทําใหสิ่งมีชีวิตแตละชนิดมีลักษณะเฉพาะตัว เชน ชางจะมี ลักษณะเฉพาะตัว เราจึงสามารถแยกชางออกจากวัวหรือควายได หรือในสิ่งมีชีวิต ชนิดเดียวกันก็มีลักษณะเฉพาะตัว เชน การมีลักยิ้ม การมีติ่งหู เปนตน
มุม IT ครูและนักเรียนสามารถคนควาเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคติดตอทางพันธุกรรม ไดจาก เว็บไซต http://www.familynetwork.or.th/node/86 http://www.thaiheathsearch.com/health-center/Dnieper
6
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 53 ออกเกี่ยวกับเรื่อง ลักษณะทางพันธุกรรม ขอมูลแสดงลักษณะทางพันธุกรรมของบุคคลในครอบครัวหนึ่ง เปนดังนี้ ลักษณะทาง พันธุกรรม เสนผม
ลูก
พอ
เรียบ
เรียบ หยักศก หยักศก เรียบ หยักศก หยักศก
ลักยิ้ม
มี
หนังตา
ไมมี
แม มี
ปู มี
ชั้นเดียว 2 ชั้น ชั้นเดียว 2 ชั้น
ยา ไมมี 2 ชั้น
ตา มี
ยาย มี
2 ชั้น ชั้นเดียว
จากขอมูลในตาราง ลูกไดรับการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมสวนใหญ จากใคร 1. พอ และ ยา 2. ปู และ ตา 3. แม และ ยาย 4. ยา และ ยาย วิเคราะหคําตอบ จากขอมูลจะเห็นวา ลูกไดรับการถายทอดลักษณะทาง พันธุกรรมจากแมและยาย 2 ลักษณะ ไดแก มีลักยิ้ม และหนังตามีชั้นเดียว ซึ่งเปนการไดรับการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมสวนใหญ ดังนั้น ขอ 3.
คู่มือครู
จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
อธิบายความรู้
Engage
Explore
Explain
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
Expand าใจ ขยายความเข้
Evaluate ตรวจสอบผล
ขยายความเข้าใจ
▲▲
1. ใหนักเรียนศึกษารายละเอียด กิจกรรมที่ 2 หนา 7 เพื่อศึกษาลักษณะของตนเองกับ ลูกพี่ลูกนอง 2. ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายผลการทํากิจกรรม จนไดขอสรุปวา ตนเองมีลักษณะบางอยาง คลายคลึงกับลูกพี่ลูกนอง และมีลักษณะ บางอยางแตกตางจากลูกพี่ลูกนอง 3. ใหนักเรียนจัดทําแผนภูมิครอบครัว (family tree) ของตนเอง โดยศึกษารายละเอียดจาก กิจกรรมรวบยอดตอนที่ 2 ขอ 1 หนา 10
1
ภาพที ่ ๑.๔ ฝาแฝดเหมือนจะมีลกั ษณะทางพันธุกรรม เหมือนกันค่อนข้างมาก
▲▲
ภาพที่ ๑.๕ พี่น้องสายเลือดเดียวกัน จะมีลักษณะ ทางพันธุกรรมบางอย่างเหมือนกัน และมีบางอย่าง แตกต่างกัน
กิจกรรมหนูน้อยนักส�ารวจ
2 กิจกรรมที่ ๒ ลักษณะของฉันกับลูกพี่ลูกน้อง
ปัญหา วิธีทํา
Expand
ตรวจสอบผล
Evaluate
ครูประเมินผลงานแผนภูมิครอบครัววา มีความถูกตองเรียบรอย และบันทึกขอมูลได ครบถวน
ตัวนักเรียนและลูกพี่ลูกน้องมีลักษณะเหมือนกันหรือไม่ ๑. ให้นักเรียนเลือกลูกพี่ลูกน้องของตนเอง ๑ คน ๒. สังเกตลักษณะทางพันธุกรรมของตนเองและลูกพี่ลูกน้อง เช่น สีผม สีผิว สีดวงตา ลักษณะเส้นผม หรืออื่นๆ เป็นต้น และบันทึกข้อมูล ๓. เปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างของตนเองกับลูกพีล่ กู น้อง ลงในสมุด
จากการท�ากิจกรรมที่ ๒ นักเรียนจะพบว่า ตัวนักเรียนและลูกพี่ลูกน้อง อาจมีลักษณะบางอย่างที่คล้ายคลึงกันหรือแตกต่างกัน ซึ่งเป็นผลมาจากความ แปรผันทางพันธุกรรม และลักษณะเหล่านี้สามารถถ่ายทอดสู่ลูกหลานต่อไปได้ à¾×è͹æ ŋФÃѺ ÁÕÅѡɳÐã´ºŒÒ§ ·ÕèäÁ‹àËÁ×͹¡Ñº¤¹ã¹¤Ãͺ¤ÃÑÇàÅ 7
ขอสอบเนน การคิด
ขอใดเปนลักษณะทางพันธุกรรม 1. รอยสัก 2. สีผิว 3. เสียงพูด 4. กลิ่นตัว
แนว NT O-NE T
วิเคราะหคําตอบ ลักษณะทางพันธุกรรม เปนลักษณะที่ถายทอดจากพอแม ไปสูลูก หรือจากรุนหนึ่งไปยังรุนตอๆ ไปได เชน ลักษณะเสนผม สีผม สีผิว สีดวงตา เปนตน ดังนั้น ขอ 2. จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง
นักเรียนควรรู 1 ฝาแฝด (twins) ที่มีหนาตาคลายคลึงกันมาก เรียกวา ฝาแฝดเหมือน เกิดจาก การที่ไขที่ไดรับการผสมแลว แบงตัวเปน 2 เซลลแยกออกจากกัน แตละเซลลเกิด เปนทารกแตละคน ทําใหมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกัน จึงมีลักษณะหนาตา คลายคลึงกัน เปนทารกเพศเดียวกัน และใชรกอันเดียวกัน สวนฝาแฝดที่มีหนาตาไมเหมือนกัน เรียกวา ฝาแฝดไมเหมือนกัน เกิดจาก การที่ไข 2 ใบ ถูกผสมโดยอสุจิ 2 ตัว ทารกในครรภมีรกของตัวเอง อาจจะเปน เพศเดียวกันหรือไมก็ได และอาจมีหนาตาเหมือนกันไมมากนัก 2 ลูกพี่ลูกนอง (cousin) หมายถึง พี่นองในครอบครัวเดียวกัน แตตางพอแมกัน ซึ่งอาจเปนลูกของลุง ปา นา อา
คู่มือครู
7
กระตุน้ ความสนใจ
ส�ารวจค้นหา Exploreนหา ส�ารวจค้
อธิบายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุEngage ้นความสนใจ
กระตุน้ ความสนใจ
Engage
ครูชวนนักเรียนสนทนาวา พืชมีการถายทอด ลักษณะทางพันธุกรรมหรือไม ลักษณะพันธุกรรม ใดบางที่มีการถายทอดในพืช
ส�ารวจค้นหา
Explore
1. ใหนักเรียนแบงกลุม ใหแตละกลุมทํากิจกรรม พัฒนาการเรียนรู หนา 8 2. ใหแตละกลุมรวมกันอภิปรายการถายทอด ลักษณะทางพันธุกรรมไปยังรุน ลูกและรุน หลาน
๒. การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตในแต่ละรุ่น การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม นอกจากจะมีในมนุษย์แล้ว สิง่ มีชวี ติ 1 ชนิดอื่น เช่น พืช สัตว์ เป็นต้น ก็มีการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมเช่นกัน สิ่งมีชีวิตต่างๆ สามารถถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมไปสู่ลูกหลานได้ 2 ลักษณะทางพันธุกรรมทีส่ ง่ ผ่านจากพ่อแม่ไปสูล่ กู จะอยู่ในยียีน ซึง่ เป็นสารประกอบ ที่ควบคุมการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต ท�าให้ลูกที่เกิดมามี ลักษณะบางอย่างเหมือนกับพ่อแม่ ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµÁÕ¡Òö‹Ò·ʹÅѡɳзҧ¾Ñ¹¸Ø¡ÃÃÁ ã¹áµ‹ÅÐÃØ‹¹Í‹ҧäà ÈÖ¡ÉÒ¨Ò¡¡Ô¨¡ÃÃÁµ‹Í仹Õé
กิจกรรมพัฒนาการเรียนรู้ ๑. แบ่งกลุ่ม ให้แต่ละกลุ่มศึกษาแผนภาพแสดงการผสมพันธุ์ของกระต่ายขนสีขาว กับกระต่ายขนสีด�า ๒. ร่วมกันอภิปรายการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมไปยังรุ่นลูกและรุ่นหลาน
×
รุ่นพ่อแม่
×
รุ่นลูก
รุ่นหลาน สีขาว ๓
สีด�า ๑
8
นักเรียนควรรู 1 พืช ลักษณะที่ถายทอดทางพันธุกรรมในพืช เชน โครงสรางของลําตน รูปราง ของผล ดอก ใบ การเรียงตัวของใบ กลีบดอก สี ลักษณะของเมล็ด ทําใหพืชมีความ หลากหลายทางพันธุกรรมสามารถนําไปขยายพันธุและปรับปรุงพันธุใหดีขึ้นได 2 ยีน (gene) เปนหนวยพื้นฐานของพันธุกรรม โดยในยีนจะมีรหัสที่ควบคุม สิ่งมีชีวิตใหเจริญเติบโตและมีพัฒนาการแตกตางกันออกไป คนทุกคนมีจํานวนและชนิดของยีนเทากัน แตมีรหัสยีนแตกตางกัน การรวมกัน ของยีนทําใหคนเรามีลักษณะแตกตางกันออกไป
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 51 ออกเกี่ยวกับเรื่อง การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม แผนผังการผสมพันธุหนูขนสีดํากับหนูขนสีขาว รุนพอแม ขนสีดํา
คู่มือครู
ขนสีขาว
ขนสีดํา
ขนสีดํา
ขนสีดํา
จากแผนผัง ขอใดสรุปถูกตอง 1. ลูกไดขนสีดํา 75 % 2. ลูกไดขนสีดํา 50 % 3. ขนสีดําเปนลักษณะเดน 4. ขนสีขาวเปนลักษณะดอย วิเคราะหคําตอบ จากกฎของเมนเดล ถารุนพอแมเปนพันธุแท ลักษณะ ที่ปรากฏออกมาในรุนลูก เรียกวา ลักษณะเดน ดังนั้น ขอ 3. จึงเปน
คําตอบที่ถูกตอง
8
ขนสีดํา
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
Engage
Explore
อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบายความรู้
ò
จากการท�ากิจกรรม ท�าให้นักเรียนทราบว่า กระต่ายในรุ่นลูกจะปรากฏ ลักษณะขนสีขาวซึ่งเป็นลักษณะเด่นทั้งหมด ส่วนในรุ่นหลานจะปรากฏกระต่าย ขนสีขาว ๓ ตัว และกระต่ายขนสีด�า ๑ ตัว ซึ่งลักษณะเหล่านี้ถ่ายทอดมาจาก ยีนที่อยู่ในเซลล์สืบพันธ์ุของพ่อกระต่ายและแม่กระต่ายนั่นเอง ¾‹Í
ÃØ‹¹¾‹ÍáÁ‹ à«ÅÅ Ê׺¾Ñ¹¸ Ø ÃØ‹¹ÅÙ¡ à«ÅÅ Ê׺¾Ñ¹¸ Ø ÃØ‹¹ËÅÒ¹ ▲▲
R Rr R
áÁ‹
X
RR
rr
r
R Rr r
RR
Rr
¢¹ÊÕ¢ÒÇ
¢¹ÊÕ¢ÒÇ
Rr R Rr
r
Explain
1. ใหนักเรียนศึกษาขอมูล หนา 9 แลวรวมกัน พูดสรุปกฎของการถายทอดลักษณะทาง พันธุกรรม 2. ครูถามนักเรียนวา • การที่สิ่งมีชีวิตสามารถถายทอดลักษณะทาง พันธุกรรมได มีประโยชนอยางไร (แนวตอบ ทําใหสามารถดํารงลักษณะทาง พันธุกรรมที่แตกตางจากสายพันธุอื่น และ ทําใหสามารถเจาะจงไดวา เปนสิ่งมีชีวิต สายพันธุใด)
Rr r rr
¢¹ÊÕ¢ÒÇ ¢¹ÊÕ´íÒ
R á·¹ ÂÕ¹¢Í§ ¡Ãе‹Ò¢¹ÊÕ¢ÒÇ r á·¹ ÂÕ¹¢Í§ ¡Ãе‹Ò¢¹ÊÕ´íÒ
ภาพที่ ๑.๖ แผนภาพแสดงลักษณะทางพันธุกรรมซึ่งจะถ่ายทอดมาสู่รุ่นลูกโดยผ่านยีนที่อยู่ในเซลล์สืบพันธ์ุ
นักวิทยาศาสตร์ ผู้ซึ่งท�าการศึกษาเกี่ยวกับการถ่ายทอดลักษณะทาง 1 พันธุกรรมนี้ คือ เกรเกอร เมนเดล ได้สรุปกฎของการถ่ายทอดลักษณะทาง พันธุกรรม ไว้ดังนี้ ลักษณะต่างๆ ของสิ่งมีชีวิตจะถูกควบคุมโดยยีนที่อยู่ในเซลล์สืบพันธุ์ และจะถ่ายทอดไปยังลูกหลานทางเซลล์สืบพันธุ์ การถ่ายทอดลักษณะแต่ละลักษณะเป็นอิสระต่อกัน และไม่เกี่ยวข้อง กับลักษณะอื่น ถ้ารุ่นพ่อแม่พันธ์ุแท้ ลักษณะที่ปรากฏออกมาในรุ่นลูก เรียกว่า ลักษณะเด่น ส่วนลักษณะที่ปรากฏออกมาในรุ่นหลาน เรียกว่า ลั ลักษณะด้อย สัดส่วนของลักษณะเด่นต่อลักษณะด้อย จะเป็น ๓ : ๑ เสมอ ●
●
●
●
http://www.aksorn.com/lib/p/sci_01 (เรื่อง เกรเกอร์ เมนเดล)
EB GUIDE
9
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
ถาผสมกุหลาบสีแดงพันธุเดนกับกุหลาบสีขาวพันธุดอย โดยในรุนหลาน มีกุหลาบจํานวน 100 ตน จะเปนกุหลาบสีขาวกี่ตน 1. 100 ตน 2. 75 ตน 3. 50 ตน 4. 25 ตน
นักเรียนควรรู 1 เกรเกอร เมนเดล เปนนักบวชชาวออสเตรีย เขาไดทําการศึกษาเกี่ยวกับ การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมเปนคนแรก จนไดรับการยกยองวาเปน บิดาแหงวิชาพันธุศาสตร
วิเคราะหคําตอบ สัดสวนของลักษณะเดนตอลักษณะดอย ในรุนหลาน ที่รุนพอแมเปนพันธุแท คือ 3 : 1 ถามีกุหลาบรุนหลาน 100 ตน จะได พันธุเดน 75 ตน และพันธุดอย 25 ตน ดังนั้น ขอ 4. จึงเปนคําตอบ
ที่ถูกตอง
เกรเกอร เมนเดล (ค.ศ. 1822 - 1884)
คู่มือครู
9
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
อธิบายความรู้
Engage
Explore
Explain
ขยายความเข้าใจ
ขยายความเข้าใจ Expand าใจ ขยายความเข้
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
Expand
1. ใหนักเรียนแบงกลุม ใหแตละกลุมไปศึกษา ประวัติของ เกรเกอร เมนเดล เพิ่มเติมจาก แหลงการเรียนรูอื่นๆ แลวนําขอมูลมานําเสนอ หนาชั้นเรียน 2. ใหนักเรียนทํากิจกรรมรวบยอด ตอนที่ 2 หนา 10 และตอนที่ 3 หนา 11 ลงในสมุด 3. ใหนักเรียนทํากิจกรรมรวบยอดที่ 1.2 จาก แบบวัดฯ วิทยาศาสตร ป.5 ✓ แบบวัดฯ ใบงาน แบบฝกฯ ว�ทยาศาสตร ป.5 กิจกรรมรวบยอดที่ 1.2 ประเมินตัวช�้วัด ว 1.2 ป.5/2
กิจกรรมรวบยอด ตอนที่ ๑ แนวคิดสําคัญ ช่วยกันสรุป ครูให้นักเรียนช่วยกันพูดสรุปการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต และ ให้เขียนลงในสมุด ตอนที่ ๒ ลองคิด ลองทํา ๑. จัดทํา “แผนภูมิครอบครัว” ของตนเอง โดยให้ติดรูปของสมาชิกในครอบครัวลงใน กระดาษวาดเขียนตามตัวอย่างแผนภูมิ และตกแต่งให้สวยงาม จากนั้นสังเกตและ บันทึกข้อมูลตามประเด็นที่กําหนด ตัวอย่าง “แผนภูมิครอบครัว”
กิจกรรมรวบยอดที่ 1.2 แบบประเมินตัวชี้วัด ว 1.2 ป.5/2 • อธิบายการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตในแตละรุน ชุดที่ 1
10 คะแนน
ปู
ตอบคําถามตอไปนี้
1) สิ่งมีชีวิตมีการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมอยางไร
ย่ำ
ตำ
ยำย
สิง่ มีชวี ติ จะมีการถายทอดลักษณะจากพอแมไปสูล กู โดยอาจมีลกั ษณะบางอยาง คลายคลึงกับพอหรือมีลักษณะบางอยางคลายคลึงกับแม
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
2) สมโชคเปนนักกีฬาวายนํ้าเหมือนกับคุณพอ เปนการถายทอดลักษณะทาง พันธุกรรมหรือไม เพราะอะไร
ไมใชการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เพราะการวายนํ้าเปนทักษะที่ตอง ฉบับ ฝกฝนดวยตนเอง เฉลย
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
ลุง/ปำ
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
3) เพราะเหตุใดวิภาวีจึงมีหนาตาเหมือนคุณตาของเธอได
เพราะวิภาวีไดรับการถายทอดลักษณะจากคุณตาผานทางคุณแมซึ่งเปนลูกของ คุณตา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
พ่อ
อำ
ลุง/ปำ
แม่
นำ
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
4) เพราะเหตุใดนัทนนทจึงไมมีรูปรางหนาคลายคลึงกับณัฐพล ซึ่งเปนเพื่อน สนิทกัน และชอบสิง่ ตางๆ เหมือนกัน เชน ชอบเลนฟุตบอลเหมือนกัน ชอบ กินขาวผัดปูเหมือนกัน ชอบดื่มนมรสช็อกโกแลตเหมือนกัน เพราะนัทนนทและณัฐพลตางไดรับการถายทอดลักษณะจากพอแมของตนเอง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
5) ลักษณะทางพันธุกรรมใดบางที่สามารถถายทอดมาสูลูกได บอกมา 4 อยาง
พี่
(ตัวอยาง) รูปรางหนาตา ความสูง สีผิว สีผม ลักษณะเสนผม ลักยิ้ม
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
ตัวชี้วัด ว 1.2 ขอ 2
ไดคะแนน คะแนนเต็ม
10
5
ตัวฉัน
นอง
ประเด็นที่บันทึกข้อมูล ๑) ลักษณะที่พ่อได้รับการถ่ายทอดจากปู่ ย่า ๒) ลักษณะที่แม่ได้รับการถ่ายทอดจากตา ยาย ๓) ลักษณะที่ฉันและพี่น้องได้รับการถ่ายทอดจากพ่อแม่เหมือนกัน ๔) ลักษณะที่ฉันไม่เหมือนพ่อแม่ แต่เหมือนปู่ ย่า ตา หรือยาย
10
เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจวา โรคบางชนิดมีการถายทอดทาง พันธุกรรมได เชน โรคเบาหวาน โรคเลือดใส โรคกลามเนื้อลีบ
มุม IT ครูอานขอมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคทางพันธุกรรม ไดจาก เว็บไซต www.thaibiotech.info โดยคลิกที่ โรคทางพันธุกรรม (genetic disorder) คืออะไร ในหัวขอความรูทางเทคโนโลยีชีวภาพ (Topics of biotechnology)
10
คู่มือครู
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 51 ออกเกี่ยวกับเรื่อง การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม โรคใดมีการถายทอดทางพันธุกรรมได 1. ฟนผุ 2. ตาแดง 3. เบาหวาน 4. ไวรัสตับอักเสบบี วิเคราะหคําตอบ โรคเบาหวานเปนภาวะที่รางกายมีระดับนํ้าตาลกลูโคส ในเลือดสูงกวาปกติและจัดเปนโรคทางพันธุกรรมชนิดหนึ่ง กลาวคือหาก ใครมีพอ แม หรือญาติพี่นองที่เปนโรคเบาหวาน ก็มีโอกาสที่จะเปนโรคนี้ได ดังนั้น ขอ 3. เปนคําตอบที่ถูกตอง
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
อธิบายความรู้
ขยายความเข้าใจ
Engage
Explore
Explain
Expand
ตรวจสอบผล Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate
ตรวจสอบผล
Evaluate
1. ครูตรวจสอบผลงานการสืบคนขอมูลประวัติ เกรเกอร เมนเดล วาถูกตองครบถวนหรือไม 2. ครูตรวจสอบความถูกตองของกิจกรรม รวบยอด ตอนที่ 2 และตอนที่ 3
๒. สังเกตภาพการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสุนัข แล้วตอบคําถาม
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู พ่อส�าลี
1. ผลงานแผนภาพครอบครัว 2. ผลงานประวัติ เกรเกอร เมนเดล 3. กิจกรรมรวบยอดที่ 1.2 จากแบบวัดฯ วิทยาศาสตร ป.5
แม่นิล ลูกเกาลัด
๑) ลักษณะใดบ้างที่เกาลัดได้รับการถ่ายทอดจากพ่อส�าลี ๒) ลักษณะใดบ้างที่เกาลัดได้รับการถ่ายทอดจากแม่นิล ๓) ลักษณะใดของเกาลัดที่ไม่เหมือนทั้งพ่อส�าลีและแม่นิล ตอนที่ ๓ คําถามวิทย์คิดสนุก ตอบคําถามต่อไปนี้ลงในสมุด ๑) สุชาติพดู ภาษาอังกฤษเก่งเหมือนพ่อ เป็นการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม หรือไม่ เพราะอะไร ๒) การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมมีปรากฏในพืชหรือไม่ ยกตัวอย่างลักษณะ ทางพันธุกรรมของพืชมา ๒ อย่าง ๓) ลักษณะทางพันธุกรรมหมายถึงอะไร ยกตัวอย่างลักษณะทางพันธุกรรมของ สัตว์มา ๒ อย่าง ๔) ลักษณะบางลักษณะของลูกทีแ่ ตกต่างออกไปจากพ่อ แม่ ปู ่ ย่า ตา ยาย เรียกว่า อะไร ๕) ยกตัวอย่างลักษณะทางพันธุกรรมทีแ่ ตกต่างกันระหว่างคนไทยกับคนฝรัง่ มา ๓ ลักษณะ 11
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับเรื่อง การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม โรคใดไมถายทอดทางพันธุกรรม 1. โรคเบาหวาน 2. โรคเลือดใส 3. โรคเหน็บชา 4. โรคกลามเนื้อลีบ วิเคราะหคําตอบ โรคเหน็บชาเกิดจากภาวะทางโภชนาการที่ขาด วิตามิน B1 หากรางกายไดรับวิตามิน B1 อยางเพียงพอ อาการเหน็บชาก็จะ หายไป ดังนั้น ขอ 3. จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง
เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจวา คนไทยกับคนฝรั่ง มีลักษณะทาง พันธุกรรมที่แตกตางกัน เชน สีผม สีผิว สีตา ความสูง ลักษณะรูปรางหนาตา เปนตน ซึ่งลักษณะเหลานี้จะสามารถถายทอดจากบรรพบุรุษไปยังรุนลูกรุนหลานได โดยผานทางหนวยที่ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรม ที่เรียกวา ยีน (gene)
กิจกรรมทาทาย ใหนักเรียนเขียนแผนภาพแสดงลักษณะการถายทอดลักษณะทาง พันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตมา 1 ลักษณะ โดยกําหนดยีนเดน และยีนดอยของ สิ่งมีชีวิตขึ้นเอง (ดูตัวอยางในหนังสือ หนา 9) คู่มือครู
11
กระตุน้ ความสนใจ กระตุEngage ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
อธิบายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
บทที่
1. สังเกตและระบุสวนประกอบของดอกและ โครงสรางที่เกี่ยวของกับการสืบพันธุของ พืชดอก (ว 1.1 ป.5/1) 2. อธิบายการสืบพันธุของพืชดอก การขยายพันธุ พืชและนําความรูไปใชประโยชน (ว 1.1 ป.5/2) 3. อธิบายวัฏจักรชีวิตของพืชดอกบางชนิด (ว 1.1 ป.5/3)
ศึกษาชีวิตพืช
ò
แนวคิดส�าคัญ ¾×ª´Í¡àÁ×èÍà¨ÃÔÞàµÔºâµàµçÁ·Õè¨ÐÍÍ¡´Í¡ àÁ×èÍ´Í¡ä´ŒÃѺ¡ÒüÊÁ¾Ñ¹¸Ø ¨Ð¡ÅÒÂ໚¹¼Å ¼ÅÁÕ àÁÅç´ «Öè§ÊÒÁÒöÍ͡໚¹µŒ¹¾×ªµŒ¹ãËÁ‹ËÁعàÇÕ¹໚¹Çѯ¨Ñ¡Ã ´Í¡¢Í§¾×ªâ´Â·ÑèÇä»»ÃСͺ´ŒÇ ¡ÅÕºàÅÕé§ ¡ÅÕº´Í¡ à¡ÊÃà¾È¼ÙŒ áÅÐà¡ÊÃà¾ÈàÁÕ ʋǹ»ÃСͺ¢Í§´Í¡·Õè·íÒ˹ŒÒ·Õèà¡ÕèÂǡѺÊ׺¾Ñ¹¸Ø 䴌ᡋ à¡ÊÃà¾ÈàÁÕ »ÃСͺ´ŒÇÂÃѧ䢋 ÍÍÇØÅ áÅÐà¡ÊÃà¾È¼ÙŒ »ÃСͺ´ŒÇÂÍѺàó٠áÅÐÅÐÍͧàó٠¾×ª´Í¡ÁÕ¡ÒÃÊ׺¾Ñ¹¸Ø ·Ñé§áººÍÒÈÑÂà¾È áÅСÒÃÊ׺¾Ñ¹¸Ø ẺäÁ‹ÍÒÈÑÂà¾È ¡ÒâÂÒ¾ѹ¸Ø ¾×ª à¾×èÍà¾ÔèÁ»ÃÔÁÒ³áÅФسÀÒ¾¢Í§¾×ª·íÒä´ŒËÅÒÂÇÔ¸Õ â´Â¡ÒÃà¾ÒÐàÁÅç´ ¡Òû˜¡ªíÒ ¡Òõ͹¡Ôè§ ¡ÒõԴµÒ ¡Ò÷Һ¡Ôè§ ¡ÒÃàÊÕºÂÍ´ áÅСÒÃà¾ÒÐàÅÕé§à¹×éÍàÂ×èÍ
สมรรถนะของผูเรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแกปญ หา
คุณลักษณะอันพึงประสงค
กิจกรรมน�าสู่การเรียน
1. ใฝเรียนรู 2. มุงมั่นในการทํางาน
กระตุน้ ความสนใจ
Engage
1. ใหนักเรียนสังเกตภาพดอกไมในหนานี้ แลวบอกวา เห็นสวนประกอบใดของดอกไม ในภาพบาง (ตอบ กลีบดอก และเกสร) 2. ครูนําดอกไมจริง 2 - 3 ชนิด ที่สามารถหาได มาใหนักเรียนดู แลวรวมกันบอกวา ดอกไม มีสวนประกอบใดบาง
จากภาพ ดอกไม้ทั้ง ๒ ดอกนี้ มีส่วนประกอบเหมือนกันหรือ แตกต่างกันอย่างไรบ้าง 12
เกร็ดแนะครู ครูจัดกระบวนการเรียนรูโดยใหนักเรียนปฏิบัติ ดังนี้ • สังเกตสวนประกอบของดอกไม • ศึกษาขอมูลการสืบพันธุของพืชดอกและการขยายพันธุพืช • ทดลองขยายพันธุพืช • ทดลองปลูกพืชเพื่อศึกษาวัฎจักรชีวิตพืช แลวสรุปผล จนเกิดเปนความรูความเขาใจวา พืชที่มีดอกใชเกสรเพศผูและเกสรเพศเมีย ในการสืบพันธุแบบอาศัยเพศ โดยละอองเรณูจากเกสรเพศผูจะปลิวไปตกบนยอด เกสรเพศเมียและเกิดการสืบพันธุขึ้น นอกจากนี้พืชบางชนิดยังสามารถสืบพันธุ แบบไมอาศัยเพศได เชน กลวย ไผ พุทธรักษา เปนตน ซึ่งเราสามารถนําความรู มาใชในการขยายพันธุพืชได เพื่อใหไดตนพืชใหมที่แข็งแรงสมบูรณ และสามารถ สืบพันธุตอไปไดเปนวัฎจักรของพืช
12
คู่มือครู
ส�ารวจค้นหา
กระตุ้นความสนใจ Engage
ส�ารวจค้ Exploreนหา
อธิบายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
ส�ารวจค้นหา 1
๑ การสืบพันธ์ุของพืชดอก
พืชในโลกนี้มีมากมายหลายชนิด พืชบางชนิดมีดอก พืชบางชนิดไม่มีดอก พืชดอกสามารถสืบพันธ์ุได้ทั้งแบบอาศัยเพศและแบบไม่อาศัยเพศ การสืบพันธ์ุ แบบอาศัยเพศของพืชดอกจะอาศัยดอกในการสืบพันธุ ์ ซึง่ ต้องอาศัยส่วนประกอบ ของดอกที่ท�าหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสืบพันธุ์ ๑. ส่วนประกอบของดอก ดอกของพืชแต่ละชนิดมีลกั ษณะแตกต่างกัน ดอกของพืชบางชนิดมีสสี นั สวยงาม บางชนิดมีกลิน่ หอม บางชนิดมีนา�้ หวาน สิง่ เหล่านี ้ ดอกใช้เป็นการดึงดูด แมลงให้มาตอมเพื่อช่วยในการผสมพันธุ์ ดอกของพืชประกอบด้วยส่วนต่างๆ ๔ ส่วน ดังนี้ ๒ ๑ ๒
๔
๔
๓
๓ ๑
Explore
1. ใหนักเรียนรวมกันศึกษาภาพสวนประกอบของ ดอกไม หนา 13 2. ครูถามนักเรียนวา • ดอกไมทกุ ชนิดมีสว นประกอบครบทัง้ 4 สวน หรือไม (ตอบ ไมทุกชนิด ดอกไมบางชนิดอาจไมมี สวนประกอบสวนใดสวนหนึ่ง) • สวนประกอบใดของดอกไมที่ใชในการ สืบพันธุ (ตอบ เกสรเพศผู และเกสรเพศเมีย) • ดอกไมที่มีลักษณะของสวนประกอบ แตละสวนแตกตางกัน เชน มีสีของกลีบดอก ไมเหมือนกัน มีลักษณะเกสรเพศผูและเกสร เพศเมียตางกัน จะสามารถใชดอกสืบพันธุ ไดเหมือนกันหรือไม อยางไร (แนวตอบ สามารถใชดอกสืบพันธุได โดย การถายละอองเรณู จนเซลลสืบพันธุเพศผู ผสมกับเซลลสืบพันธุเพศเมีย และเกิดการ ปฏิสนธิ)
๑) กลีบเลี้ยง เป็นส่วนของดอกที่อยู่ด้านนอกสุด มักมีสีเขียว ท�าหน้าที่
ห่อหุ้มส่วนของดอกในขณะที่ยังตูมอยู่ เพื่อป้องกันอันตรายจากแมลง ๒) กลีบดอก เป็นชั้นที่อยู่ถัดจากกลีบเลี้ยง มักมีสีสวยงาม ท�าหน้าที่ ห่อหุม้ เกสรขณะทีเ่ กสรยังอ่อนอยู ่ และมีกลิน่ หอมเพือ่ ช่วยล่อแมลงให้มาผสมเกสร ๓) เกสรเพศผู เป็ ้ เป็นชั้นที่อยู่ถัดจากกลีบดอก มักมีอยู่หลายอัน ท�าหน้าที่ สร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ ๔) เกสรเพศเมีย เป็นส่วนประกอบที่อยู่ชั้นในสุด ท�าหน้าที่ สร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย 13
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
สวนประกอบใดของพืชดอกที่เกี่ยวของกับการสืบพันธุแบบอาศัยเพศ โดยตรง 1. กลีบเลี้ยง และกลีบดอก 2. กลีบดอก และเกสรเพศผู 3. เกสรเพศผู และเกสรเพศเมีย 4. เกสรเพศเมีย และกลีบเลี้ยง
วิเคราะหคําตอบ การสืบพันธุแบบอาศัยเพศของพืชดอกจะมีการรวมกัน ของเซลลสืบพันธุเพศผู ซึ่งสรางจากเกสรเพศผู และเซลลสืบพันธุเพศเมีย ซึ่งสรางจากเกสรเพศเมีย ดังนั้น ขอ 3. จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง
เกร็ดแนะครู ในการเรียนเรื่องสวนประกอบของดอกไม ครูอาจรวบรวมดอกไมหลายๆ ชนิดที่ พบเห็นไดทั่วไปมาใหนักเรียนดู และใหชวยกันบอกชื่อดอกไมที่รูจัก จากนั้นครูใหนักเรียนแบงกลุม แลวใหแตละกลุมออกมาสังเกตดอกไมที่ครูวาง รวมกันไวที่หนาชั้น และจดบันทึกการสังเกตวาไดขอมูลอะไรบาง แลวผลัดกัน นําเสนอขอมูล
นักเรียนควรรู 1 การสืบพันธุ (reproduction) หมายถึง การใหกําเนิดสิ่งมีชีวิตตัวใหมหรือ ตนใหมจากสิ่งมีชีวิตตัวเดิมหรือตนเดิมที่มีอยูกอนแลว
คู่มือครู
13
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
Engage
ส�ารวจค้นหา
Exploreนหา ส�ารวจค้
อธิบายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
Explore
1. ใหนักเรียนแบงกลุม ใหแตละกลุมศึกษาขั้นตอน การทํากิจกรรมที่ 1 สวนประกอบของดอก หนา 14 2. ใหแตละกลุมสํารวจดอกไมแตละชนิด แลวบันทึกผล
¹Ñ¡àÃÕ¹¤Ô´Ç‹Ò´Í¡äÁŒáµ‹ÅЪ¹Ô´ ÁÕʋǹ»ÃСͺ ¤ÃºµÒÁ·ÕèàÃÕ¹ÁÒËÃ×ÍäÁ‹ ÅͧÁÒ ·íÒ¡Ô¨¡ÃÃÁµ‹Í仹Õé
กิจกรรมหนูน้อยนักส�ารวจ กิจกรรมที่ ๑ ส่วนประกอบของดอก
ปัญหา อุปกรณ์ วิธีทํา
ดอกของพืชแต่ละชนิดมีส่วนประกอบครบทั้ง ๔ ส่วนหรือไม่ ๑. ดอกไม้ ๕ ชนิด ชนิดละ ๑ ดอก ๒. แว่นขยาย ๑ อัน ๑. แบ่งกลุ่ม ให้แต่๑๓ละกลุ่มน�าดอกไม้มากลุ่มละ ๕ ชนิด ๒. ส�ารวจส่วนประกอบของดอกไม้แต่ละชนิด โดยขีด ลงในตาราง ๓. น�าผลการส�ารวจมาเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่น
ตัวอย่างตารางบันทึกผล ชื่อดอกไม้
กลีบเลี้ยง
ส่วนประกอบของดอก กลีบดอก เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย
๑. ๒. ๓. ๔. ๕.
ึกผลกำรส�ำรวจ ใหนักเรียนบันท จ�ำตัวนักเรียน ระ ลงในสมุดป
จากการส�ารวจดอกไม้ชนิดต่างๆ จะพบว่า ดอกไม้บางชนิดมีสว่ นประกอบ ครบทั้ง ๔ ส่วน แต่บางชนิดมีส่วนประกอบไม่ครบ ๔ ส่วน เราจึงจ�าแนกประเภท ของดอกไม้ โดยใช้ส่วนประกอบของดอกเป็นเกณฑ์ ได้ ดังข้อมูลในหน้าต่อไป 14
เกร็ดแนะครู ในขั้นสํารวจคนหา ครูควรวางแผนรวมกับนักเรียนเพื่อใหนักเรียนเตรียมดอกไม คละกัน ทั้งที่มีสวนประกอบครบทั้ง 4 สวน และมีสวนประกอบไมครบทั้ง 4 สวน และควรเปนดอกไมที่หาไดงายในทองถิ่น หรือดอกไมที่ปลูกอยูตามบานของนักเรียน
มุม IT ครูและนักเรียนอานขอมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสวนประกอบของดอกไม ไดจาก เว็บไซต www.panmai.om โดยคลิกที่ วาดวยเรื่องของดอกไม
14
คู่มือครู
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T ดอกไมในขอใดจัดเปนดอกสมบูรณ 1. ดอกจําปา 2. ดอกตําลึง 3. ดอกมะละกอ 4. ดอกพูระหง
วิเคราะหคําตอบ ดอกสมบูรณ หมายถึง ดอกไมที่มีสวนประกอบครบทั้ง 4 สวน คือ กลีบเลีย้ ง กลีบดอก เกสรเพศผู และเกสรเพศเมีย อยูใ นดอก เดียวกัน เชน ดอกบัว ดอกกุหลาบ ดอกพูระหง ดอกชบา ดอกมะเขือ เปนตน ดังนั้น ขอ 4. จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
Engage
Explore
อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบายความรู้
1. ใหแตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอ ผลการสํารวจหนาชั้น 2. ใหแตละกลุมบันทึกผลการสํารวจดอกไมของ เพื่อนกลุมอื่นที่ไมซํ้ากับกลุมของตนเองดวย 3. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปวา มีดอกไม ตางชนิดกันที่นํามาสํารวจทั้งหมดกี่ชนิด เปนดอกไมชนิดใดบาง 4. ใหนักเรียนนําขอมูลการสํารวจมารวมกัน สรุปวา • มีดอกไมที่มีสวนประกอบครบทั้ง 4 สวน หรือไม เปนดอกอะไรบาง • มีดอกไมที่มีเกสรเพศผูและเกสรเพศเมียอยู ในดอกเดียวกันหรือไม เปนดอกอะไรบาง • มีดอกไมที่มีเกสรเพศผูหรือเกสรเพศเมีย เพียงอยางเดียวหรือไม เปนดอกอะไรบาง 5. ใหแตละกลุมศึกษาแผนผังความคิดการ จําแนกดอกของพืชในหนานี้ แลวจําแนกดอก ของพืชโดยใชเกณฑที่ไดศึกษา 6. ใหแตละกลุมนําเสนอการจําแนกดอกของพืช แลวเปรียบเทียบกับกลุมอื่น 7. ครูถามนักเรียนวา • ถาไมจาํ แนกดอกของพืชโดยใชสว นประกอบ ของดอก หรือเกสรเปนเกณฑ จะสามารถ จําแนกดอกของพืชโดยใชเกณฑอะไร ไดอีกบาง (แนวตอบ เชน จํานวนกลีบดอก สีของดอก เปนตน)
ÈÖ¡ÉÒá¼¹¼Ñ§¤ÇÒÁ¤Ô´áÊ´§¡ÒèíÒṡ´Í¡¢Í§¾×ª à¾×èÍãˌࢌÒã¨ÂÔ觢Ö鹤‹Ð ดอกบัว ดอกพริก ดอกกุหลาบ ดอกพู่ระหง ดอกมะเขือ
มีส่วนประกอบ ครบ ๔ ส่วน ในหนึ่งดอก ลักษณะ
ตัวอย่าง
มีส่วนประกอบ ไม่ครบ ๔ ส่วน ในหนึ่งดอก
ดอกมะระ ดอกต�าลึง ดอกบวบ ดอกฟักทอง ดอกมะพร้าว ดอกมะละกอ
ลักษณะ
ตัวอย่าง
1
ดอกสมบูรณ
ดอกไมสมบูรณ
2
ใช้ สวนประกอบของดอก เป็นเกณฑ์
การจําแนกดอกของพืช ใช้ เกสรเพศผูและเกสรเพศเมีย เป็นเกณฑ์ ดอกไมสมบูรณเพศ
ดอกสมบูรณเพศ ลักษณะ
ตัวอย่าง
ลักษณะ
ตัวอย่าง
มีเกสรเพศผู้และ เกสรเพศเมียอยู่ ในดอกเดียวกัน
ดอกพู่ระหง ดอกกล้วยไม้ ดอกกุหลาบ ดอกมะเขือ ดอกข้าว ดอกบัว
มีเกสรเพศผู้หรือ เกสรเพศเมียเพียง อย่างเดียวในดอก หนึ่งดอก
ดอกข้าวโพด ดอกฟักทอง ดอกมะละกอ ดอกมะยม ดอกต�าลึง ดอกบวบ
Explain
15
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
เพราะเหตุใด จึงจัดวา ดอกฟกทอง เปนดอกไมสมบูรณเพศ
แนวตอบ ดอกไมสมบูรณเพศ คือ ดอกที่มีเพียงเกสรเพศผูหรือเกสร เพศเมียอยางเดียวเทานั้น โดยดอกฟกทองมีเกสรเพศผูและเกสรเพศเมีย อยูแยกดอกกัน จึงจัดวาเปนดอกไมสมบูรณเพศ
นักเรียนควรรู 1 ดอกสมบูรณ ตองเปนดอกสมบูรณเพศเสมอ เนื่องจากในหนึ่งดอกมี สวนประกอบของเกสรเพศผูและเกสรเพศเมียอยูในดอกเดียวกัน แตดอกสมบูรณเพศ อาจไมเปนดอกสมบูรณ เนื่องจากในหนึ่งดอกอาจมีสวนประกอบของดอกไมครบทั้ง 4 สวน 2 ดอกไมสมบูรณ คือ ดอกไมที่มีสวนประกอบของดอกไมไมครบทั้ง 4 สวน เชน ดอกบานเย็นขาดกลีบดอก ดอกหนาวัวขาดกลีบเลี้ยงและกลีบดอก
คู่มือครู
15
กระตุ้นความสนใจ Engage
ส�ารวจค้นหา Exploreนหา ส�ารวจค้
อธิบายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
ส�ารวจค้นหา
Explore
1. ใหแตละกลุมศึกษาขอมูลการสืบพันธุของ พืชดอก จากหนังสือ หนา 16 - 18 2. ใหแตละกลุมสืบคนขอมูลวา พืชชนิดใดบาง ที่มีการสืบพันธุแบบอาศัยเพศ
๒. ขั้นตอนการสืบพันธุ์ของพืชดอก การสืบพันธุ์ของพืชดอกต้องอาศัยส่วนประกอบของดอกที่ท�าหน้าที่ เกี่ยวข้องกับการสืบพันธุ์ ซึ่งได้แก่ เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมีย à¡Ê÷Ñé§ ò ª¹Ô´¹Õé ÁÕʋǹ»ÃСͺÍÐäúŒÒ§ ÈÖ¡ÉÒä´Œ¨Ò¡ÀÒ¾µ‹Í仹Õé
2
1
อับเรณู
3
ยอดเกสรเพศเมีย
ละอองเรณู
รังไข่
4
ออวุล ก้านชูอับเรณู
เซลล์ไข่
ส่วนประกอบ ของเกสรเพศเมีย
ส่วนประกอบ ของเกสรเพศผู ▲▲
ภาพที่ ๑.๗ ภาพแสดงส่วนประกอบของเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย
๑) การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ เมื เพศ เมื่อพืชดอกเจริญ เติบโตเต็มที่จะเริ่มออกดอก ภายในดอกมีการสร้างเซลล์ สืบพันธุ์ โดยเกสรเพศผู้สร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้หรือ ละอองเรณูเก็บไว้ในอับเรณู ส่วนเกสรเพศเมียจะมี รังไข่ และภายในรังไข่มีออวุล ซึ่งท�าหน้าที่เก็บ เซลล์สืบพันธุ์เพศเมียหรือเซลล์ ไข่เอาไว้
เกสรเพศเมีย เกสรเพศผู้
ภาพที่ ๑.๘ ๑.๘ เกสรเพศผู เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย เป็นที่เก็บเซลล์สืบพันธ์ุ
16
นักเรียนควรรู
ขอสอบ
ขอสอบป ’ 50 ออกเกี่ยวกับเรื่องการสืบพันธุของพืชดอก
1 อับเรณู (anther) เปนสวนหนึ่งของเกสรตัวผู มีลักษณะเปนกระเปาะ เปนแหลงสรางและเก็บละอองเรณู
➀
2 ละอองเรณู (pollen grain) คือ เซลลสืบพันธุเพศผูของพืชดอกซึ่งอยูภายใน อับเรณูของเกสรเพศผู
➁
3 รังไข (ovary) เปนอวัยวะเซลลสืบพันธุเพศเมีย 4 ออวุล (ovule) เปนโครงสรางภายในรังไขของพืชดอก เปนที่กําเนิดของ เซลลไข
16
คู่มือครู
O-NET
➂ ➃
จากภาพ ถาเกิดการปฏิสนธิแลว สวนประกอบของดอกไมหมายเลขใด ที่เจริญเติบโตเปนเมล็ด 1. หมายเลข 1 2. หมายเลข 2 3. หมายเลข 3 4. หมายเลข 4 วิเคราะหคําตอบ หลังจากการปฏิสนธิอับเรณู (1) และคอเกสรตัวเมีย (3) จะหลุดลวงหรือเหี่ยวแหงไป สวนรังไข (2) จะเจริญกลายเปนผล ออวุล (4) เจริญไปเปนเมล็ด ดังนั้น ขอ 4. จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
Engage
Explore
อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบายความรู้ 1
การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศเริ่มจากการถ่ายละอองเรณู ละอองเรณู ตกลงบนยอดเกสรเพศเมีย และได้รับอาหารที่ยอดเกสรเพศเมีย จะงอกหลอด แทงเข้าไปตามก้านเกสรเพศเมียของรังไข่และเข้าไปผสมกับเซลล์ไข่ภายในออวุล เกิดการปฏิสนธิ
ขั้นที่ ๑ ละอองเรณูปลิวไปตกบน ยอดเกสรเพศเมีย
ขั้นที่ ๒ ขั้นที่ ๓ ละอองเรณูงอกหลอดไป ละอองเรณูงอกเป็นหลอดยาวเข้าไป ผสมกับเซลล์ไข่ เกิดการปฏิสนธิ ตามเกสรเพศเมีย ▲▲ ภาพที่ ๑.๙ แผนภาพแสดงขั้นตอนการปฏิสนธิของพืชดอก
หลังจากการปฏิสนธิ ยอดและก้านชูเกสรเพศเมียก็จะเหี่ยวลง กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมียก็จะแห้งแล้วร่วงหลุดไป ส่วน รังไข่และออวุลจะมีการเจริญเติบโตต่อไป โดยรังไข่เจริญกลายเป็นผล ผนังรังไข่ เจริญเป็นเปลือกและเนื้อของผลไม้ ออวุลเจริญไปเป็นเมล็ด ภายในเมล็ดจะเก็บ ต้นอ่อนและเก็บสะสมอาหารไว้ภายใน เพื่อเกิดเป็นต้นใหม่ต่อไป การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของพืชดอกสามารถเขียนแสดงเป็น แผนภาพได้ ดังนี้ http://www.aksorn.com/lib/p/sci_01 (เรื่อง ผลของพืช)
Explain
1. ใหแตละกลุมสงตัวแทนออกมาอธิบายขั้นตอน การสืบพันธุของพืชดอก 2. ครูถามนักเรียนวา • หากดอกของพืชมีเกสรเพียงชนิดเดียว จะสืบพันธุแบบอาศัยเพศไดหรือไม อยางไร (ตอบ ได โดยถายละอองเรณูขามดอก) • การถายละอองเรณูขามดอกที่อยูใน ตนเดียวกันมักเกิดดอกสมบูรณเพศที่มี ลักษณะอยางไร (ตอบ ดอกที่มีเกสรเพศผูที่อยูสูงกวา เกสรเพศเมีย) 3. ครูอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจวา หลังจากการปฏิสนธิ สวนตางๆ ของดอกไม จะมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้ • รังไข เจริญเปนผล • ผนังรังไข เจริญเปนเปลือกและเนื้อของผล • ออวุล เจริญเปนเมล็ด • เยื่อหุมออวุล เจริญเปนเปลือกหุมเมล็ด • โพลารนิวเคลียส เจริญเปนเนื้อเยื่อ เอนโดสเปรมสะสมอาหารในเมล็ด • กลีบเลี้ยง กลีบดอก ยอดเกสรเพศเมีย กานเกสรเพศเมีย จะเหี่ยวแหงสลายตัวไป 4. ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายวา การสืบพันธุ แบบอาศัยเพศ และการสืบพันธุแบบ ไมอาศัยเพศตางกันอยางไร
EB GUIDE
17
เกร็ดแนะครู หลังจากครูสอน เรื่อง การสืบพันธุแบบอาศัยเพศแลว ครูใหนักเรียนชวยกันสรุปเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้ง ดังนี้ ขอมูล
การสืบพันธุแบบอาศัยเพศ
วิธีการ
มีการถายละอองเรณู เกิดการปฎิสนธิ และเกิดเมล็ด
ความแข็งแรง
ไดตนที่แข็งแรง มีรากแกว
ลักษณะ
กลายพันธุไปจากตนแม
พืชที่นิยมปลูก
ผักตางๆ เชน คะนา ผักบุง หรือเมื่อตองการหาพืชลักษณะใหม
นักเรียนควรรู 1 การถายละอองเรณู การถายละอองเรณูภายในดอกเดียวกัน เกิดจากละอองเรณูไปตกลงบนยอดเกสรเพศเมีย ภายในดอกเดียวกัน ซึ่งวิธีนี้จะเกิดขึ้นในดอกสมบูรณเพศที่มีเกสรเพศผูอยูสูงกวาเกสรเพศเมีย การถายละอองเรณูขามดอกและอยูคนละตนกัน ละอองเรณูจากดอกไมดอกหนึ่งไปตกลงบนยอดเกสรเพศเมียของ ดอกไมอีกดอกหนึ่ง ซึ่งวิธีนี้เกิดขึ้นไดกับดอกสมบูรณเพศ ที่เกสรเพศผูอยูตํ่ากวาเกสรเพศเมีย และดอกไมสมบูรณเพศ
คู่มือครู
17
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
อธิบายความรู้
Engage
Explore
Explain
ขยายความเข้าใจ
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
Expand าใจ ขยายความเข้
Expand
1. ใหนักเรียนติดภาพดอกไมที่ตนเองชอบ คนละ 1 ชนิด ลงในสมุด แลวเขียนแสดง สวนประกอบของดอกไม 2. ใหนักเรียนทํากิจกรรมรวบยอด ตอนที่ 2 ขอ 1 - 2 หนา 27
ตรวจสอบผล
Evaluate ตรวจสอบผล
เกสรเพศเมีย
กลีบดอก
เกสรเพศผู้
พืชสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ และเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย
รังไข่
Evaluate เมล็ดตกในที่ที่เหมาะสม จะเกิดการงอกเป็นต้นใหม่ และเจริญเติบโตต่อไป
1. ครูตรวจสอบผลงานการบอกสวนประกอบของ ดอกวาถูกตองและสัมพันธกับภาพหรือไม 2. ครูตรวจสอบความถูกตองของการทํากิจกรรม รวบยอด ตอนที่ 2 ขอ 1 - 2
เมล็ดแพร่กระจาย โดยวิธีต่างๆ
เกิดการถ่าย ละอองเรณู
เกิดการปฏิสนธิ และออวุล เจริญไปเป็นเมล็ด
เมล็ด
▲▲
ภาพที่ ๑.๑๐ แผนภาพแสดงการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของพืชดอก ซึ่งเริ่มจากการถ่ายละอองเรณู
๒) การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ พืชดอกสามารถสืบพันธุ์โดยไม่อาศัยเซลล์สืบพันธุ์ ได้ การสืบพันธุ์ ในลักษณะนี้จะไม่มีการปฏิสนธิ แต่จะเป็นการเพิ่มจ�านวนพืชโดยใช้ส่วนต่างๆ บพันธุแ์ บบไม่อาศัยเพศ ในการแพร่พนั ธุแ์ ทน เรียกว่า การสื ซึง่ สามารถเกิดขึน้ ได้เองตามธรรมชาติ ได้แก่ การแตกหน่อ 1 ของพืชดอกบางชนิด เช่น กล้วย ไผ่ พุทธรักษา ลิน้ มังกร เป็นต้น 2 การแตกต้นใหม่จากใบพืช เช่น ใบต้นตายใบเป็น ใบของ ภาพที่ ๑.๑๑ กล้วยสืบพันธ์ุ โดยแตกหน่อ ต้นบีโกเนีย เป็นต้น ▲▲
18
นักเรียนควรรู 1 ลิ้นมังกร เปนไมประดับที่มีความหลากหลายของสายพันธุมาก สามารถปลูกได ทั้งภายในอาคารบานเรือนและกลางแจง วิธีการขยายพันธุลิ้นมังกร โดยการแยกหนอจะใชระยะเวลาไมนานและตนลูกที่ได จะมีลักษณะเหมือนกับตนแมทุกประการ จึงเหมาะแกการขยายพันธุในเชิงการคา 2 ตนตายใบเปน หรือตนควํ่าตายหงายเปน จัดเปนพืชลมลุกใบเดี่ยว ขอบใบหยัก ดอกออกเปนชอที่ยอดกลีบ รอบกลีบดอกแยกเปนแฉก กลีบดอกมีลักษณะเปนหลอด สีแดง ผลเมื่อแหงจะแตกออกได และการปลูกก็ทําไดงาย เพียงแคใชใบวางลงบนดิน ก็สามารถหยั่งรากและเจริญงอกงามได
18
คู่มือครู
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
นักเรียนคิดวา การสืบพันธุแบบไมอาศัยเพศมีผลดีหรือไมดีตอการ ดํารงพันธุของพืชดอกอยางไร แนวตอบ มีผลดี เพราะถาพืชดอกไมสามารถสืบพันธุโดยใชดอกได ก็ยังสามารถสืบพันธุแบบไมอาศัยเพศได ทําใหไมสูญพันธุ
กระตุน้ ความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุEngage ้นความสนใจ
ส�ารวจค้ Exploreนหา
กระตุน้ ความสนใจ
Engage
ครูชวนนักเรียนสนทนาเกี่ยวกับการ ขยายพันธุพืชวามีวิธีใดบาง
๒ การขยายพันธ์ุพืช
การขยายพันธุ์พืช คือ การท�าให้ต้นพืชมีจ�านวนเพิ่มขึ้น ซึ่งท�าได้หลายวิธี นอกจากใช้วิธีเพาะเมล็ด ซึ่งเป็นการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศแล้ว เรายังสามารถ ขยายพันธุ์พืชโดยการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศได้อีกหลายวิธี เช่น การปักช�า การตอนกิ่ง การติดตา การทาบกิ่ง การเสียบยอด การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เป็นต้น ๑. การเพาะเมล็ด 1 การเพาะเมล็ดเป็นการน�าเมล็ดพันธุ์ ทีผ่ า่ นการคัดเลือกคุณภาพมาปลูกในพืน้ ที่ ทีเ่ ตรียมไว้ เช่น กระบะเพาะ แปลงเพาะ หรือ ภาชนะต่างๆ โดยปฏิบตั ิ ดังนี้ ๑) เตรียมดินโดยการดายหญ้า ออกให้หมด ขุดพลิกดินด้านล่างขึ้นมา ภาพที่ ๑.๑๒ การเพาะเมล็ด ท�าให้ได้พืชที่มีราก แล้วตากดินเอาไว้ ๒-๓ วัน เพือ่ ฆ่าเชือ้ โรค แข็งแรง ๒) ยอ่ ยดินให้รว่ นซุย จากนัน้ ใส่ปยุ๋ คอกผสมให้เข้ากัน แล้วน�าไปใส่ภาชนะ หรือแปลงเพาะที่เตรียมไว้ ๓) หว่าน โรย หรือหยอดเมล็ดพันธุ์ลงหลุม ในภาชนะ หรือแปลงเพาะ ที่เตรียมไว้ แล้วใช้ดินกลบและรดน�้าให้ชุ่ม ๔) ดูแลจนเมล็ดงอกเป็นต้นกล้าและเจริญเติบโตแข็งแรงดีแล้ว จึงย้าย ต้นกล้าไปปลูกในบริเวณที่ต้องการหรือในแปลงต่อไป ▲▲
ส�ารวจค้นหา
Explore
ใหนักเรียนแบงกลุม 7 กลุม ใหแตละกลุม สืบคนขอมูลเกี่ยวกับการขยายพันธุพืชจากแหลง เรียนรูอื่น ๆ ดังนี้ • กลุมที่ 1 การเพาะเมล็ด • กลุมที่ 2 การปกชํา • กลุมที่ 3 การตอนกิ่ง • กลุมที่ 4 การติดตา • กลุมที่ 5 การทาบกิ่ง • กลุมที่ 6 การเสียบยอด • กลุมที่ 7 การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
อธิบายความรู้
Explain
1. ใหกลุมที่ 1 ออกมานําเสนอขอมูลเรื่อง การเพาะเมล็ด 2. ใหเพื่อนกลุมอื่นซักถามขอมูลเพิ่มเติมหากมี ประเด็นที่ยังไมเขาใจ 3. ใหนักเรียนรวมกันสรุปขอดีของการเพาะเมล็ด 4. ครูอธิบายเพื่อเชื่อมโยงเกี่ยวกับการถายทอด ลักษณะทางพันธุกรรมวา การเพาะเมล็ด มีโอกาสกลายพันธุได เพราะมีการถายทอด ลักษณะพันธุกรรมจากยีนของพอแม ซึ่งเปน วิธีที่ใชปรับปรุงลักษณะพันธุพืช
การขยายพันธุโ์ ดยการเพาะเมล็ดมีขอ้ ดี หลายประการ เช่น ได้ต้นพืชที่มีรากแข็งแรง มีโอกาสกลายพันธ์ุไปในลักษณะที่ดีกว่าต้นพ่อและต้นแม่ มีอายุยาวนานกว่าพืชที่ปลูกด้วยส่วนอื่นๆ ของต้น
19
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
การขยายพันธุพืชโดยวิธีใด เมื่อนําไปปลูกแลวไดผลคลายกับการ ขยายพันธุโดยวิธีการตอนมากที่สุด 1. การตอกิ่ง 2. การติดตา 3. การโนมกิ่ง 4. การทาบกิ่ง
วิเคราะหคําตอบ การโนมกิ่ง เมื่อกิ่งงอกรากจะตัดกิ่งนั้นไปปลูก ซึ่งจะ คลายกับการตอน คือกิ่งที่ไดไมมีรากแกว ตนที่ไดมีลักษณะเหมือนเดิม ดังนั้น ขอ 3. จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง
นักเรียนควรรู 1 เมล็ดพันธุ ในการเพาะเมล็ดจะตองเลือกใชเมล็ดที่มีคุณภาพดี และตองมี การจัดสภาพแวดลอมใหเหมาะสมกับการงอกของเมล็ด เพื่อใหเมล็ดมีความพรอม ในการงอก นอกจากนี้ยังตองเก็บรักษาเมล็ดพันธุใหถูกวิธี เพื่อชวยรักษาคุณภาพ ของเมล็ดไวใหคงอยูหรือลดลงนอยที่สุด เนื่องจากเมล็ดพันธุเปนสิ่งมีชีวิตที่มีการ หายใจเกิดอยางตอเนื่องตลอดเวลาของการเก็บรักษา
มุม IT ครูและนักเรียนสามารถคนควาขอมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการขยายพันธุพืชวิธี ตางๆ ไดจากเว็บไซต http://www.mju.ac.th/dbresearch/...fruit/fruit040.htm
คู่มือครู
19
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
Engage
Explore
อธิบายความรู้
อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
Explain
1. ใหกลุม ที่ 2 ออกมานําเสนอขอมูลเรือ่ งการปกชํา 2. ใหเพื่อนกลุมอื่นซักถามขอมูลเพิ่มเติมหากมี ขอสงสัย 3. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา เวลานํากิ่งชํามาปก ให ปกเอนๆ ใหปลายกิ่งชี้ไปทางทิศตะวันตก ตาที่ แตกขึ้นมาใหมจึงจะชี้ไปทางทิศตะวันออก เพื่อ ใหไดรับแสงและกระตุนใหเจริญเติบโตตอไป 4. ใหนักเรียนรวมกันสรุปขอดีของการปกชํา 5. ใหกลุมที่ 3 ออกมานําเสนอขอมูลเรื่อง การตอนกิ่ง 6. ใหเพื่อนกลุมอื่นซักถามขอมูลเพิ่มเติมหากมี ขอสงสัย 7. ครูถามนักเรียนวา • ทําไมจึงตองมีการขูดเนื้อเยื่อลําเลียงกิ่งออก (แนวตอบ เพื่อตัดทออาหารและเนื้อเยื่อเจริญ ของกิ่งใหขาดจากกัน เพื่อกระตุนใหเกิดราก)
๒. การปักชํา การปักช�าเป็นการขยายพันธ์พุ ชื โดยการตัดส่วนต่างๆ ของพืช เช่น กิ่ง ก้าน ใบ ล�าต้น ราก เป็นต้น ออกจาก ต้นเดิมมาปักลงดิน หรือทราย หรือวัสดุ เพาะช�า ที่มีความชื้นพอสมควร แล้ว ่ ๑.๑๓ การปักช�าให้ดอกและผลเร็วกว่าการ รดน�า้ ทุกวันหรือน�ามาปักลงในน�า้ รอจน ภาพที เพาะเมล็ด เกิดแตกยอดอ่อน พร้อมกับรากแตกออกมาจากส่วนที่ปักลงดินหรือส่วนที่แช่ใน น�้า เมื่อรากมีปริมาณมากและแข็งแรง จึงน�ากิ่งนั้นไปปลูกในดิน ▲▲
การขยายพันธุ์โดยการปกช�ามีข้อดี คือ พืชให้ดอกและผลเร็วกว่า การเพาะเมล็ด แต่สามารถใช้วิธีนี้ได้กับพืชบางชนิดเท่านั้น พืชที่ นิยมขยายพันธุ์โดยการปกช�า เช่น พู่ระหง ชบา เข็ม พลูด่าง เป็นต้น
๓. การตอนกิ่ง การตอนกิ่งเป็นการขยายพันธุ์พืชโดยการท�าให้กิ่งเกิดราก ขณะที่กิ่งยัง ติดอยู่กับต้นแม่ ต้นใหม่ที่ได้ การตอนกิ่งมีวิธีท�า ดังนี้ ๑) เลือกกิง่ ทีต่ งั้ ตรง ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป ๒) ควั่นรอบๆ กิ่ง โดยให้รอยควั่นห่างกัน ใช้ดินพอกรอบๆ ประมาณ ๐.๕-๑ นิ้ว แล้วลอกเปลือกที่อยู่ระหว่าง รอยควั่นและหุ้ม ด้วยกาบมะพร้าว รอยควั่นออก ชุ่มน�้า 1 ๓) ใช้สนั มีดขูดเนือ้ เยือ่ ล�าเลียงกิง่ ออกให้หมด ภาพที่ ๑.๑๔ การตอนกิ่งพืชจะให้ ▲▲
ผลผลิตเร็ว
20
นักเรียนควรรู 1 ขูดเนื้อเยื่อลําเลียง เปนขั้นตอนหนึ่งในการตอนกิ่ง หลักการตอนกิ่ง คือ การทําใหเกิดแผลกับลําตนหรือกิ่ง โดยขูดเนื้อเยื่อลําเลียงเพื่อตัดทออาหาร และ เนื้อเยื่อเจริญของกิ่งนั้นใหขาดจากกัน (แตทอลําเลียงนํ้ายังคงอยูเหมือนเดิม) ทําใหอาหารที่ลําเลียงมาจากยอดมีการสะสมอยูบริเวณเหนือรอยแผล ประกอบกับ เนื้อเยื่อเจริญบริเวณแผลถูกตัดขาด ทําใหมีการกระตุนใหเนื้อเยื่อเจริญสวนนั้น เกิดการแบงเซลลอยางรวดเร็ว และมีเซลลบางสวนพัฒนาไปเปนราก เพื่อทําหนาที่ ดูดนํ้าและธาตุอาหาร
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 53 ออกเกี่ยวกับเรื่อง การขยายพันธุพืช การขยายพันธุพืชดวยวิธีการตอนกิ่งมีผลดีอยางไร 1. ไดพืชที่มีรากแข็งแรง 2. ไดพืชที่มีลําตนแข็งแรง 3. ไดพืชที่มีลักษณะเหมือนตนเดิม 4. ไดพืชที่เจริญเติบโตไดเร็วขึ้น วิเคราะหคําตอบ การตอนกิ่งเปนการทําใหกิ่งเกิดรากขณะที่ยังติดกับ ตนแม เมื่อกิ่งออกรากไดสักระยะหนึ่งจึงตัดไปปลูก พืชตนใหม (กิ่งตอน) จึงมีลกั ษณะทางพันธุกรรมเหมือนตนเดิม แตจะไมมรี ากแกว ดังนัน้ ขอ 3.
จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง
20
คู่มือครู
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
Engage
Explore
อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบายความรู้
๔) น�าดินร่วนค่อนข้างเหนียวมาหุ้มที่รอยควั่นจนมิด จากนั้นหุ้มด้วย กาบมะพร้าวชุ่มน�้า แล้วใช้เชือกมัดหัวและท้ายให้แน่น ๕) ใช้ถุงพลาสติกพันทับอีกครั้ง เพื่อป้องกันน�้าเข้า ๖) ดูแลรดน�้าประมาณ ๒-๓ สัปดาห์ จะเห็นรากงอกออกมา เมื่อราก งอกยาวพอสมควรแล้ว จึงตัดบริเวณใต้รอยควั่น เพื่อน�ากิ่งตอนไปปลูก 1 ๔. การติดตา การติดตาเป็นการน�าแผ่นตาของกิง่ พันธุด์ ี ไปติดเชือ่ มประสานบนต้นตอ เพื่อให้เจริญเป็นต้นพืชต้นเดียวกัน โดยน�าเอาแผ่นตาของพืชพันธุ์ดีไปติดเข้ากับ ต้นตอ เพื่อให้ตาเจริญเติบโตเป็นพืชต้นใหม่ต่อไป การติดตาแบ่งเป็น ๕ วิธี แต่ในชั้นนี้จะเรียนเพียง ๑ วิธี คือ การติดตา แบบตัวที การติดตาแบบตัวทีมีวิธีท�า ดังนี้ ๑) คัดเลือกต้นพันธุ์ดี และต้นพันธุ์พื้นเมืองที่จะน�ามาติดตา ๒) เลือกกิ่งต้นตอที่เป็นสีเขียวปนน�้าตาล จากนั้นใช้มีดคมๆ กรีดเปลือก ล�าต้นของต้นตอให้เป็นรูปตัวที (T) ยาวประมาณ ๖-๗ เซนติเมตร ๓) ใช้ปลายมีดเปิดเปลือกไม้ เฉือนแผ่นตาจากกิ่งพันธุ์ดีออกมา
Explain
1. ใหกลุมที่ 4 ออกมานําเสนอขอมูลเรื่อง การติดตา 2. ใหเพื่อนกลุมอื่นซักถามขอมูลเพิ่มเติมหากมี ขอสงสัย 3. ใหนักเรียนเปรียบเทียบวา ตนที่ไดจาก การตอนกับตนที่ไดจากการติดตา มีลักษณะ เหมือนกันหรือแตกตางกันอยางไร ในประเด็น เหลานี้ • รากแกว • ลักษณะที่เหมือนตนเดิม
กรีดแผลต้นตอ เป็นรูปตัว T
กรีดเปลือกตนตอ พันธุพื้นเมือง
น�ำแผ่นตำตนพันธุดีมำ เมื่อแผ่นตำเจริญเปน เสียบแลวพันดวยแผ่น ตนใหม่แลว ใหตัด แผ่นพลำสติกออก พลำสติก ▲▲ ภาพที่ ๑.๑๕ ภาพแสดงขั้นตอนการติดตาแบบตัวที
http://www.aksorn.com/lib/p/sci_01 (เรื่อง การติดตา)
EB GUIDE
21
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
การขยายพันธุพืชโดยวิธีการติดตา สวนของตาที่นํามาติด จะทําหนาที่หลักตรงกับขอใด 1. หาอาหาร 2. ลําเลียงอาหาร 3. ออกดอกออกผล 4. หาอาหารและลําเลียงอาหาร
นักเรียนควรรู 1 การติดตา นิยมใชในการทําตนไมแฟนซี เชน การผลิตตนเฟองฟาที่มีดอก หลายสีในตนเดียวกัน ทําไดโดยเฉือนแผนตาออกมาจากตนเฟองฟาที่มีดอกสีตางๆ แลวนําแผนตาแตละแผนมาเชื่อมประสานกับกิ่งพันธุเฟองฟาที่ใชเปนตนตอ เมื่อตาเจริญเติบโตขึ้นก็จะไดกิ่งที่มีดอกเฟองฟาสีตางๆ อยูในตนเดียวกัน
วิเคราะหคําตอบ แผนตาที่นํามาติดกับตนตอพันธุพื้นเมืองจะเจริญเปน ตนใหม โดยทําหนาที่เปนระบบยอดในตนพืชและออกดอกออกผลตอไป ดังนั้น ขอ 3. จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง
คู่มือครู
21
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
Engage
Explore
อธิบายความรู้
อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
Explain
1. ใหกลุมที่ 5 ออกมานําเสนอขอมูลเรื่อง การทาบกิ่ง 2. ใหเพื่อนกลุมอื่นซักถามขอมูลหากมีขอสงสัย 3. ครูถามนักเรียนวา • การทาบกิ่งใหผลผลิตเชนเดียวกับการ ขยายพันธุพืชวิธีใด (แนวตอบ การติดตา กลาวคือ • มีตนตอเปนพันธุที่แข็งแรง หาอาหารเกง • มีกิ่งพันธุที่ใหผลผลิตดี เปนลําตนอยู ดานบน)
๔) น�าแผ่นตาของต้นพันธุด์ มี าเสียบเข้าไปในรอยกรีดของต้นตอพืน้ เมือง ๕) ใช้แผ่นพลาสติกพันให้แน่น โดยพันจากด้านล่างขึน้ ด้านบนเพือ่ ป้องกัน น�้าเข้าตา เพราะถ้าน�้าเข้าอาจท�าให้ตาเน่าได้ และควรเปิดส่วนของตาไว้ ๖) ทิง้ ไว้ประมาณ ๒-๓ สัปดาห์ เมือ่ แผ่นตาติดกับต้นตอแล้วแตกกิง่ ก้าน ออกมา จึงตัดยอดของต้นตอทิ้งไป แล้วกรีดแผ่นพลาสติกออก พืชที่นิยมติดตามักเป็นไม้เนื้ออ่อน เช่น กุหลาบ โกสน ชบา เฟองฟ้า เป็นต้น
1
๕. การทาบกิ่ง กิ่งของต้นพันธ์ุดี การทาบกิง่ เป็นการขยายพันธุพ์ ชื โดยการใช้กิ่งของต้นพันธุ์ดีมาทาบกับกิ่ง ของต้นตอพันธุ์พื้นเมือง การทาบกิ่งมีวิธีท�า ดังนี้ ต้นตอ พันธ์ุพื้นเมือง ๑) น�าต้นตอพันธุพ์ นื้ เมืองมาปลูก ลงในถุงพลาสติก เมือ่ เจริญเติบโตได้ขนาด ต้นตอที่ ทาบกิ่งพันธ์ุดี พอเหมาะ จึงน�าไปทาบกับกิ่งพันธุ์ดีที่มี ภาพที่ ๑.๑๖ การทาบกิ่งต้องเลือกกิ่งที่มีขนาด ใกล้เคียงกัน ขนาดใกล้เคียงกัน ๒) ใช้มีดคมๆ เฉือนเอาเปลือกด้านที่หันเข้าหากันออกทั้ง ๒ กิ่ง แล้วน�า มาทาบติดกันให้สนิท ๓) ใช้แผ่นพลาสติกพันให้แน่น ทิ้งไว้ ๒-๓ สัปดาห์ จนเนื้อเยื่อของกิ่งทั้ง ๒ กิ่ง ประสานกันจนเป็นเนื้อเดียวกัน ๔) ตัดกิง่ พันธุด์ ีใต้บริเวณทีท่ าบเอาไว้ออก จากนัน้ ให้นา� ต้นพันธุพ์ นื้ เมือง ที่มียอดเป็นต้นพันธุ์ดีไปปลูก ▲▲
22
เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจวา การติดตา การตอกิ่ง และการทาบกิ่ง เปนการขยายพันธุพืชโดยใชสวนตางๆ ของพืชตนหนึ่งสรางประสานติดกับสวนของ ลําตนหรือกิ่งของพืชอีกตนหนึ่ง ทําใหไดลักษณะและคุณภาพตรงตามพันธุเดิม ทุกประการ ไมกลายพันธุ ซึ่งทั้ง 3 วิธีนี้ นิยมใชขยายพันธุพืชจําพวกไมผลและ ไมประดับ
นักเรียนควรรู 1 การทาบกิ่ง ตนพืชที่ไดจากการทาบกิ่งจะมีสวนยอดเปนพันธุดี โดยจะทํา หนาที่เปนลําตนของตนพืชใหม สวนตนตอพันธุพื้นเมืองที่นํามาทาบติดกับกิ่งของ ตนพันธุดี จะทําหนาที่เปนระบบรากเพื่อหาอาหารใหกับตนพันธุดี
22
คู่มือครู
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
นักเรียนสามารถขยายพันธุมะมวงดวยการตอนและการทาบกิ่ง ขอใดสรุปไดถูกตอง 1. การตอนใหดอกและผลชากวาการทาบกิ่ง 2. ตนที่ไดจากการตอนมีลักษณะเหมือนเดิม 3. ตนที่ไดจากการทาบกิ่งมีลักษณะเหมือนตนตอ 4. ตนที่ไดจากการตอนแข็งแรงกวาตนที่ไดจากการทาบกิ่ง วิเคราะหคําตอบ การตอนกิ่งจะทําใหตนตอนที่ไดไมมีรากแกว แตตนตอนจะมีลักษณะเหมือนเดิมทุกประการ เพราะไมไดเกิดการถายทอด ลักษณะทางพันธุกรรมผานทางยีนที่อยูในเซลลสืบพันธุ ดังนั้น ขอ 2.
จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบายความรู
๖. การเสียบยอด การเสียบยอดเป็นการตัดเอายอดของต้นพันธุ์ดีที่ต้องการมาเสียบลงบน ตอของต้นพันธุ์พื้นเมือง หรือพันธุ์ธรรมดาที่หาได้ง่าย เพื่ออาศัยรากแก้วของ ต้นตอในการเลี้ยงยอดของกิ่งพันธุ์ดีให้เจริญเติบโตขึ้น การเสียบยอดมีวิธีท�า ดังนี้ ๑) ตัดยอดต้นตอให้สงู จากพืน้ ดิน ประมาณ ๑๐ เซนติเมตร แล้วผ่ากลาง ล�าต้นของต้นตอให้ลึกประมาณ ๓-๔ เซนติเมตร ๒) เฉือนยอดพันธุ์ดีเป็นรูปลิ่มยาวประมาณ ๓-๔ เซนติเมตร ๓) เสียบยอดพันธุ์ดีลงในแผลต้นตอ ให้รอยแผลตรงกัน แล้วใช้เชือกมัดด้านบน และด้านล่างของรอยแผลต้นตอให้แน่น ๔) ทิ้งเอาไว้ประมาณ ๕-๗ สัปดาห์ รอยแผลจะประสานกันดี และน�าออกมาพัก ภาพที ่ ๑.๑๗ การเสียบยอดใช้เวลาน้อยกว่า การปักช�าและน�ามาสร้างต้นไม้แฟนซีได้ ไว้ในโรงเรือนเพื่อรอการปลูกต่1อไป ๗. การเพาะเลี้ยงเนือ้ เยื่อ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเป็นการขยายพันธุ์พืชที่ท�าให้ได้พืชต้นใหม่ที่มี คุณภาพดีจ�านวนมากในคราวเดียวกันและใช้ระยะเวลาอันรวดเร็ว การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมีขั้นตอน ดังนี้ คือ การน�าธาตุอาหารหลักที่พืชต้องใช้ ๑) การเตรียมอาหารเพาะเลี้ยง คื ในการเจริญเติบโต เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม และ ธาตุอาหารอื่นๆ มาผสมกับวุ้น ฮอร์โมนพืช วิตามิน และน�้าตาล ในอัตราส่วนที่ 2 พอเหมาะแล้วน�าไปฆ่าเชื้อ แล้วใส่ลงในขวดที่ใช้เพาะเลี้ยง เพื่อใช้เป็นอาหารให้ กับเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ของพืชที่ท�าการเพาะเลี้ยง
Explain
1. ใหกลุมที่ 6 ออกมานําเสนอขอมูลเรื่อง การเสียบยอด 2. ใหเพื่อนกลุมอื่นซักถามขอมูลเพิ่มเติมหากมี ขอสงสัย 3. ใหกลุมที่ 7 ออกมานําเสนอขอมูลเรื่อง การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ 4. ใหเพื่อนกลุมอื่นซักถามขอมูลเพิ่มเติมหากมี ขอสงสัย 5. ครูถามนักเรียนวา • การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมีขอดีอยางไรบาง (แนวตอบ • ทําใหไดพืชที่ปราศจากโรค • ตนที่ไดเหมือนตนเดิมทุกประการ • ไดตนพืชจํานวนมากในคราวเดียวกัน)
▲▲
23
บูรณาการเชื่อมสาระ
ครูบูรณาการเนื้อหาในสวนนี้กับกลุมสาระการงานอาชีพและเทคโนโลยี ในหัวขอเดียวกัน คือ การคัดเลือกและขยายพันธุพืช เพื่อใหนักเรียนไดเขาใจ และเลือกใชวิธีการขยายพันธุพืชไดอยางถูกตอง เหมาะสม
กิจกรรมสรางเสริม ใหนักเรียนเลือกวิธีการขยายพันธุมา 1 วิธี โดย • บอกชนิดพืชที่ตองการขยายพันธุ • บอกเหตุผลที่เลือกวิธีการนี้ในการขยายพันธุพืช • บอกประโยชนหรือขอดีของวิธีการขยายพันธุพืชที่เลือก
นักเรียนควรรู 1 เนื้อเยื่อ คือ เซลลที่รวมกลุมกัน เนื้อเยื่อของพืชที่สามารถนําไปเพาะเลี้ยงได เชน ลําตน ตา ใบ ราก สวนตางๆ ของดอก สวนของผล เปนตน 2 ฆาเชื้อ การฆาเชื้อจุลินทรียในอาหารเพาะเลี้ยง ทําไดโดยนําขวดที่บรรจุอาหาร แลวไปนึง่ ฆาเชือ้ ดวยหมอนึง่ ความดันไอนํา้ ทีอ่ ณ ุ หภูมิ 121 ˚C เปนเวลา 15 - 20 นาที
มุม IT ครูและนักเรียนคนควาเพิ่มเติม เรื่องการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ จากเว็บไซต http://www.ku.ac.th/e-magazine/july44/.../plant 1.html
คูมือครู
23
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
อธิบายความรู้
Engage
Explore
Explain
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
Expand าใจ ขยายความเข้
Evaluate ตรวจสอบผล
Expand
1. ใหแตละกลุมวางแผนการขยายพันธุพืช โดยศึกษารายละเอียดจากกิจกรรมพัฒนา การเรียนรูที่ 1 หนา 24 2. ใหแตละกลุม เปรียบเทียบขอมูลการขยายพันธุพ ชื ทั้ง 7 วิธี วาเหมือนหรือแตกตางกันอยางไรบาง 3. ใหนักเรียนทํากิจกรรมรวบยอดตอนที่ 2 ขอ 3 หนา 28 ลงในสมุด
ตรวจสอบผล
ขยายความเข้าใจ
Evaluate
๒) การเพาะเลี้ยงเนือ้ เยื่อ คือ การน�าเอาเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ของพืช เช่น ยอดอ่อน ตาอ่อน เป็นต้น ที่เราต้องการขยายพันธุ์มาท�าความสะอาด และน�าไปฆ่าเชื้อ แล้วจึงน�าไปวางบนอาหารเพาะเลี้ยง จนเกิดเป็นต้นอ่อน ของพืชจ�านวนมาก ๓) การย้ายเลีย้ งต้นอ่อน แยกต้นอ่อนออกจากกัน เพือ่ น�าไปเพาะเลีย้ ง บนอาหารเพาะเลีย้ งใหม่จนต้นอ่อนแข็งแรง จึงน�าไปปลูกในแปลงเพาะเลีย้ งต่อไป
1. ครูประเมินผลงานการขยายพันธุพืช โดยพิจารณาจาก ตนพืชที่ขยายพันธุได และการอธิบายขั้นตอนการทํางาน 2. ครูตรวจสอบการเปรียบเทียบขอมูลการขยาย พันธุพืช โดยพิจารณาจากรายละเอียดของ ขอมูล และความถูกตองของขอมูล 3. ครูตรวจสอบความถูกตองของการตอบคําถาม จากภาพ
เนื้อเยื่อที่น�ามาเพาะ
อาหารเพาะเลี้ยง น�าต้นอ่อน ที่แข็งแรง มาปลูก กลุม่ ต้นอ่อนทีเ่ กิดขึน้
การเพาะเลี้ ย งเนื้ อ เยื่ อ นิ ย มใช้ กั บ พื ช ที่ มี ป ญ หาในการขยายพั น ธุ ์ ห รื อ พื ช ที่ มี ปญหาเรื่องโรค เช่น กล้วยไม้ ขิง ปจจุบัน มีการน�าวิธีนี้มาใช้กับพืชเศรษฐกิจส�าคัญ บางชนิด เพือ่ ให้เพียงพอกับความต้องการ ของตลาด เช่น กล้วยไม้ ข้าว สัก คาร์เนชัน ่ เป็นต้น
แยกต้นอ่อน ออกจากขวด ▲▲
ภาพที1 ่ ๑.๑๘ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเป็นการคัดลอก พันธ์ุพืชวิธีหนึ่ง
กิจจกรรมพั กรรมพัฒนาการเรียนรู้ที่ ๑ แบ่งกลุ่ม กลุ่มละ ๕-๖ คน แล้วให้แต่ละกลุ่มท�าการขยายพันธุ์พืช โดยปฏิบัติดังนี้ ๑) เลือกต้นพืชมา ๑ ชนิด วางแผนการขยายพันธุ์พืช ๒) ขยายพันธุ์พืชแบบไม่อาศัยเพศมา ๒ วิธี ตามที่ได้เรียนรู้ ๓) เมื่อมีรากงอกหรือได้พืชต้นใหม่แล้ว ให้แต่ละกลุ่มน�าเสนอขั้นตอนการท�างานจน ได้ผลงานออกมา 24
นักเรียนควรรู 1 การคัดลอกพันธุ การโคลนนิ่ง คือ การคัดลอกพันธุ หรือการสรางสิ่งมีชีวิต ขึ้นมาใหม โดยมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนเดิมทุกประการ การโคลนนิ่ง เกิดอยูเสมอในธรรมชาติ เชน การเกิดฝาแฝดเหมือน
มุม IT ครูและนักเรียนศึกษาขอมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช ไดจาก เว็บไซต www.nstda.com ซึ่งเปนเว็บไซตของสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตรและ เทคโนโลยีแหงชาติ (สสวท.) โดยมีวิธีการ ดังนี้ • คลิก คลังความรู • พิมพคําวา การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช ในชองคนหาแลวคลิก
24
คู่มือครู
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
เหตุผลหลักของการขยายพันธุพืชโดยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อคือขอใด 1. ตองการพืชที่มีระบบรากแข็งแรง 2. ทําใหไดพืชที่สามารถเจริญเติบโตไดดี 3. ตองการใชประโยชนจากพืชชนิดนั้นในปริมาณมาก 4. เพื่อชวยใหพืชชนิดนั้นออกดอกออกผลไดเร็วขึ้น วิเคราะหคําตอบ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจะทําใหไดตนพืชปริมาณมาก ในระยะเวลาอันรวดเร็ว และปราศจากโรค เพื่อเก็บรักษาพันธุพืชไมให สูญพันธุ ดังนั้น ขอ 3. จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง
กระตุน้ ความสนใจ
ส�ารวจค้นหา ส�ารวจค้ Exploreนหา
อธิบายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุEngage ้นความสนใจ
กระตุน้ ความสนใจ
๓ วัฏจักรชีวิตของพืชดอก
จากการที่นักเรียนได้เรียนรู้การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของพืชดอก ท�าให้ ทราบว่า พืชดอกเมื่อได้รับการผสมพันธุ์จะเกิดการปฏิสนธิจนเกิดเป็นผลและ 1 เมล็ดแล้ว เมือ่ น�าเมล็ดพืชไปปลูกสักระยะหนึง่ เมล็ดพืชจะค่อยๆ งอกรากออกมา ËÅѧ¨Ò¡·ÕèàÁÅ紾תÁÕÃÒ¡§Í¡ÍÍ¡ÁÒáÅŒÇ µŒ¹¾×ªÁÕ¡Òà à¨ÃÔÞàµÔºâµÍ‹ҧäà ÈÖ¡ÉÒä´Œ¨Ò¡¡Ò÷íÒ¡Ô¨¡ÃÃÁµ‹Í仹Õé
Engage
ครูชวนนักเรียนสนทนาวาใครเคยปลูกพืชบาง เมื่อปลูกพืชไปสักระยะ ตนพืชมีการเปลี่ยนแปลง อยางไรบาง
ส�ารวจค้นหา
Explore
1. ใหแตละกลุมศึกษารายละเอียดของกิจกรรม ที่ 2 วัฏจักรชีวิตของพืช หนา 25 2. ใหแตละกลุมปฏิบัติกิจกรรมที่ 2 และรวมกัน สรุปผลการทํากิจกรรม
กิจกรรมพัฒนาการเรียนรู้ที่ ๒ เรียงล�าดับภาพการเจริญเติบโตของต้นถั่วเขียว และเขียนอธิบายวัฏจักรชีวิตของ ต้นถั่วเขียวลงในสมุด ๑) ๒) ๓)
กิจกรรมหนูน้อยนักส�ารวจ กิจกรรมที่ ๒ วัฏจักรชีวิตของพืช
ปัญหา อุปกรณ์ วิธีทํา
พืชดอกมีวัฏจักรชีวิตเป็นอย่างไร ๑. เมล็ดพืช เช่น เมล็ดพริก เมล็ดถั่วเขียว เมล็ดมะระ เป็นต้น ๒. ถุงพลาสติกใส่ทราย ๑ ถุง ๑. แบ่งกลุ่ม ให้แต่ละกลุ่มปลูกเมล็ดพืชลงในถุงพลาสติกใส่ทราย ๒. ทุกกลุม่ น�าถุงทรายไปวางไว้ในบริเวณทีม่ แี สงแดดส่องถึง และพรมน�้า ทุกวัน เป็นเวลา ๓-๔ สัปดาห์ ๓. สังเกตการเปลีย่ นแปลงเป็นระยะๆ บันทึกผล และวาดแผนภาพประกอบ ๔. ให้แต่ละกลุ่มน�าต้นพืชของกลุ่มตนมาน�าเสนอหน้าชั้น 25
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
เมื่อนําเมล็ดไปเพาะ สิ่งใดที่งอกออกจากเมล็ดเปนอันดับแรก
แนวตอบ เมื่อนําเมล็ดพืชไปปลูกสักระยะหนึ่ง สิ่งแรกที่จะงอกออกจาก เมล็ดคือราก ตอจากนั้นลําตนจะงอกออกมาจนเปนตนพืชตนเล็กๆ และ จะมีใบเกิดขึ้น เมื่อพืชเจริญเติบโตเต็มที่จะออกดอก และเมื่อดอกไดรับการ ผสมพันธุก็จะเกิดเปนผล ซึ่งภายในผลของพืชมีเมล็ดที่สามารถเจริญเติบโต เปนตนใหมตอไป ถามีสภาวะแวดลอมที่เหมาะสม
เกร็ดแนะครู ในขั้นสํารวจคนหา ครูแนะนําใหนักเรียนใชพืชที่มีวัฏจักรชีวิตระยะสั้น เชน ผักสวนครัว เพื่อทําใหศึกษาไดงาย เพราะใชเวลาในแตละชวงของวัฏจักรชีวิต ไมนานมาก
นักเรียนควรรู 1 เมล็ดพืชที่แกจัด จะมีวิธีกระจายเมล็ดพันธุแตกตางกัน ไดแก • อาศัยลมพาไป เมล็ดพวกนี้จะมีลักษณะแบนๆ อาจมีโครงสราง เชน ปก ที่ชวยใหเมล็ดปลิวไปไดไกลๆ เชน นุน ฝาย ธูปฤๅษี ยาง • อาศัยนํ้าพาไป มีเมล็ดและผลที่ลอยนํ้าได เชน มะพราว ตีนเปด • อาศัยสัตวหรือคนพาไป มักมีขอหรือหนามสําหรับเกี่ยว เชน หญาเจาชู • การดีดตัวของเมล็ด เมื่อแกจัดและไดรับนํ้าฝนจะแตกกระจายดีดเมล็ด ขางในใหกระเด็นออกไปไกล เชน ตอยติ่ง คู่มือครู
25
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
Engage
Explore
อธิบายความรู้
อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
Explain
1. ใหแตละกลุมผลัดกันนําเสนอผลการทํา กิจกรรมของกลุม 2. ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายผลการทํากิจกรรม จนไดขอสรุปวา วัฎจักรชีวิตของพืชดอก เริ่มจาก ผลและเมล็ด
ดอก
ตนกลา
ตนเจริญเต็มที่
3. ครูถามนักเรียนวา • วัฏจักรชีวิตของพืชดอกแตละชนิดมีระยะ เวลาเทากันหรือไม อยางไร (ตอบ ไมเทากัน ขึ้นอยูกับอายุและชวงเวลา ที่ใชในการเจริญเติบโตของพืชชนิดนั้นๆ)
จากการท�ากิจกรรมที่ ๒ ท�าให้นักเรียนทราบว่า เมื่อเราน�าเมล็ดพืชไปปลูก สักระยะหนึ่ง เมล็ดพืชจะค่อยๆ งอกรากออกมา จากนั้นล�าต้นจะงอกออกมาจน เป็นต้นพืชต้นเล็กๆ และเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นและสูงขึ้น เมื่อต้นพืชเจริญเติบโต เต็มที่ พืชจะออกดอก เมื่อดอกได้รับการผสมพันธุ์ก็จะเกิดเป็นผล ซึ่งภายในผล ของพืชบรรจุเมล็ดที่สามารถเจริญเติบโตเป็นพืชต้นใหม่ต่อไปได้อีกถ้ามีสภาพ แวดล้อมทีเ่ หมาะสม การเปลีย่ นแปลงทีเ่ กิดขึน้ นี ้ เรียกว่า วัฏจักรชีวติ ของพืชดอก ซึ่งจะเกิดหมุนเวียนต่อกันไปเช่นนี้เรื่อยๆ วัฏจักรของพืชแต่ละชนิดมีระยะเวลาแตกต่างกัน พืชบางชนิดมีวฏั จักรชีวติ สั้นๆ เช่น ต้นข้าวมีวัฏจักรชีวิตประมาณ ๕ เดือน ต้นกระเจี๊ยบแดงมีวัฏจักรชีวิต ประมาณ ๔ เดือน พืชบางชนิดมีวัฏจักรชีวิตยาวนานหลายปี เช่น มะม่วง ขนุน ยาง มะพร้าว เป็นต้น เมื่อน�าเมล็ดไปปลูก เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่ ต้นถั่วจะออกดอก เมื่อดอกได้รับการ ผสมพันธ์ุจะออกฝัก (ผล)
▲▲
1
เมล็ดงอกเป็นต้นอ่อน และเจริญเติบโตขึ้น
ภาพที่ ๑.๑๙ แผนภาพแสดงวัฏจักรชีวิตของต้นถั่ว ซึ่งมีวัฏจักรชีวิตยาวนานประมาณ ๑ ปี
26
นักเรียนควรรู 1 เมล็ดงอก เมล็ดที่สามารถงอกได แสดงวาเมล็ดมีการเจริญเติบโตและมีชีวิต การที่เมล็ดมีชีวิตอยูไดนอย อาจเนื่องจากการเจริญเติบโตของเมล็ดไมเหมาะสม ขณะที่อยูบนตนแม หรือเนื่องจากไดรับอันตราย ขณะการเก็บเกี่ยวหรือขบวนการ ในการผลิตเมล็ดไมดีพอ
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 51 ออกเกี่ยวกับเรื่อง วัฏจักรชีวิตของพืชดอก ระยะที่ 4 ดอก ระยะที่ 3
ผลและเมล็ด วัฏจักรชีวิตของพืชดอก
ตนเจริญเต็มที่
ระยะที่ 1 ตนกลา ระยะที่ 2
จากแผนภาพ การใสปุยระยะใดชวยเรงการออกดอกของพืชไดดีที่สุด 1. ระยะที่ 1 2. ระยะที่ 2 3. ระยะที่ 3 4. ระยะที่ 4 วิเคราะหคําตอบ ในระยะที่ 3 ของวัฏจักรชีวิตพืชดอก เปนระยะที่พืชกําลัง เจริญเติบโตเต็มที่พรอมจะออกดอก หากตองการใสปุยเพื่อเรงใหพืชออกดอก เร็วขึ้น จึงควรใสปุยในชวงนี้ ดังนั้น ขอ 3. จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง
26
คู่มือครู
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
ขยายความเขาใจ
กิจกรรมรวบยอด ตอนที่ ๑ แนวคิดสําคัญ ช่วยกันสรุป ครูให้นกั เรียนแบ่งกลุม่ ให้แต่ละกลุม่ เขียนสรุปความรูเ้ กีย่ วกับการสืบพันธุข์ องพืชดอก การขยายพันธุ์พืช และวัฏจักรชีวิตของพืช จากนั้นส่งตัวแทนออกมาน�าเสนอหน้าชั้น ตอนที่ ๒ ลองคิด ลองทํา ๑. ดูภาพ และเขียนชื่อส่วนประกอบของดอกไม้ลงในสมุดให้ถูกต้อง พร้อมกับเขียน อธิบายหน้าที่ของส่วนประกอบนั้นๆ ๓ ๒ ๑
๕
๖
Expand
1. ใหนักเรียนศึกษาขอมูลวัฏจักรชีวิตของพืชดอก ทีส่ นใจ 1 ชนิด แลวเขียนแผนภาพแสดงวัฏจักร ชีวติ ของพืชดอกลงในสมุด 2. ใหนักเรียนทํากิจกรรมรวบยอด ตอนที่ 3 หนา 28 โดยตอบคําถามลงในสมุด
๔
๗
๒. ดูภาพ และเขียนขั้นตอนการสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศของพืชประกอบภาพ
27
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
วิธีขยายพันธุพืชขอใดที่มีโอกาสเกิดการกลายพันธุมากที่สุด 1. เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ 2. ติดตา 3. เพาะเมล็ด 4. โนมกิ่ง
วิเคราะหคําตอบ การเพาะเมล็ดเปนการสืบพันธุแบบอาศัยเพศ ทําให ตนออนในเมล็ดไดรับการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมครึ่งหนึ่ง จากตนที่ เปนพอพันธุและตนที่เปนแมพันธุ ทําใหตนใหมที่งอกจากเมล็ดจะกลายพันธุ ไปจากตนแมพันธุพอพันธุ ดังนั้น ขอ 3. จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง
เกร็ดแนะครู ในขั้นขยายความเขาใจ ครูควรใหนักเรียนไดอธิบายสิ่งที่ไดเรียนรูมาแลว และสงเสริมใหนักเรียนนําสิ่งที่ไดเรียนรูไปประยุกตใช หรือขยายความรูและทักษะ ในสถานการณใหม เชน การสํารวจและสังเกตวัฏจักรชีวิตของพืชดอกที่มีการปลูก ในทองถิ่น ครูอาจหาวีดิทัศนเกี่ยวกับสารคดีชีวิตพืชมาใหนักเรียนดูและรวมกันอภิปราย ในประเด็นตางๆ ที่สงสัย
บูรณาการเชื่อมสาระ
ครูบูรณาการเชื่อมสาระวิทยาศาสตร กับสาระการงานอาชีพฯ เรื่อง การปลูกพืชและการดูแลรักษา โดยใหนักเรียนนําความรูเรื่องวัฏจักรชีวิต พืชดอก ไปใชในการปลูกพืชและดูแลรักษาพืชจนถึงการเก็บเกี่ยวผลผลิต
คูมือครู
27
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
อธิบายความรู้
ขยายความเข้าใจ
Engage
Explore
Explain
Expand
ตรวจสอบผล
ตรวจสอบผล Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate
Evaluate
1. ครูตรวจสอบผลงานแผนภาพวัฏจักรชีวิตของ พืชดอกวา มีความถูกตองสมบูรณและอธิบาย ไดถูกตอง 2. ครูตรวจสอบความถูกตองของการตอบคําถาม จากกิจกรรมรวบยอด ตอนที่ 3
๓. ดูภาพการขยายพันธ์พุ ชื และเขียนบอกว่าเป็นการขยายพันธ์โุ ดยวิธใี ด และใช้สว่ นใด ในการขยายพันธ์ุ
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู 1. ผลงานสวนประกอบของดอกไม 2. ผลงานตนพืชที่ขยายพันธุ และขั้นตอน การทํางาน 3. ผลงานแผนภาพวัฏจักรชีวิตของพืชดอก ที่นักเรียนสนใจ
๑)
๒)
๓)
๔)
๔. สืบค้นข้อมูลวัฏจักรชีวิตของพืชดอกที่สนใจมา ๑ ชนิด แล้วเขียนแผนภาพแสดง วัฏจักรชีวิตของพืชชนิดนี้ลงในสมุด ตอนที่ ๓ คําถามวิทย์คิดสนุก ตอบคําถามต่อไปนี้ลงในสมุด ๑) ดอกของพืชมีความส�าคัญต่อพืชดอกอย่างไร 1 ๒) เมื่อดอกได้รับการผสมพันธุ์แล้ว ส่วนใดเปลี่ยนแปลงไปเป็นผล ๓) การถ่ายละอองเรณู2คืออะไร ๔) การสืบพันธุ์ของพืชแบบอาศัยเพศกับแบบไม่อาศัยเพศแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร ๕) การขยายพันธุ์พืชดอกแบบไม่อาศัยเพศ วิธีใดที่ให้ผลเร็วและไม่กลายพันธุ์ 28
นักเรียนควรรู 1 ผล ในพืชดอก เปนสวนที่เจริญมาจากรังไข (Ovary) หลังจากที่ดอกไมไดรับ การปฏิสนธิแลว ภายในผลจะมีเมล็ดอยู ซึ่งเมล็ดคือ ออวุล (Ovule) ที่เจริญเติบโต เต็มที่ 2 การถายละอองเรณู หมายถึง การที่ละอองเรณูไปตกลงบนยอดเกสรตัวเมีย โดยอาศัยนํ้า ลม แมลง นก คน หรือสัตวอื่นเปนตัวพาไป อาจจะเกิดในดอกเดียวกัน หรือระหวางดอกในตนเดียวกัน หรือดอกที่อยูคนละตนหรือคนละสถานที่ก็ได
28
คู่มือครู
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
ถาตองการขยายพันธุพืชโดยใชตนไมที่เปนตนตอเดียว แตมีหลายกิ่งและ ออกดอกหลายสีเหมือนตนเฟองฟา ควรขยายพันธุพืชดวยวิธีใด 1. การเพาะเมล็ด 2. การปกชํา 3. การติดตา 4. การตอนกิ่ง วิเคราะหคําตอบ การติดตา เปนวิธีการขยายพันธุพืชที่ชวยเปลี่ยนยอดตน ที่มีลักษณะไมดีใหเปนพันธุดีได เพราะมีตนตอที่แข็งแรง ทําใหขยายพันธุได จํานวนมาก และกิ่งพันธุแตละกิ่งจะมีหลายตา ทําใหไดพืชที่ใหผลผลิตหลาย อยางในตนเดียวกันได ดังนั้น ขอ 3. จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง
กระตุน้ ความสนใจ กระตุEngage ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
อธิบายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
บทที่
เรียนรู้ชีวิตสัตว์
ó
เปาหมายการเรียนรู
1. อธิบายการสืบพันธุและการขยายพันธุของ สัตว (ว 1.1 ป.5/4) 2. อภิปรายวัฏจักรชีวิตของสัตวบางชนิด และ นําความรูไปใชประโยชน (ว 1.1 ป.5/5)
แนวคิดส�าคัญ
สมรรถนะของผูเรียน
ÊÑµÇ µÒ‹ §æ ÁÕ¡ÒÃÊ׺¾Ñ¹¸Øá ººÍÒÈÑÂà¾È áÅСÒÃÊ׺¾Ñ¹¸Øá ººäÁ‹ÍÒÈÑÂà¾È ¡ÒâÂÒ¾ѹ¸ØÊ µÑ Ç ·íÒãËŒÊÑµÇ à¾ÔèÁ¨íҹǹÁÒ¡¢Öé¹ ¡ÒâÂÒ¾ѹ¸Ø ÊÑµÇ â´Â¡ÒäѴàÅ×Í¡¾Ñ¹¸Ø áÅСÒüÊÁà·ÕÂÁ ·íÒãˌ䴌 ÊÑµÇ ·ÕèÁÕ»ÃÔÁÒ³áÅФسÀÒ¾µÒÁ·Õ赌ͧ¡Òà ÊÑµÇ ºÒ§ª¹Ô´àÁ×èÍä´ŒÃѺ¡ÒüÊÁ¾Ñ¹¸Ø ¨Ðà¨ÃÔÞ໚¹µÑÇ͋͹ ¨Ò¡¹Ñé¹µÑÇ͋͹à¨ÃÔÞàµÔºâµà»š¹ µÑÇàµçÁÇÑ ¨¹¡ÃзÑè§ÊÒÁÒöÊ׺¾Ñ¹¸Ø ä´Œ ËÁعàÇÕ¹໚¹Çѯ¨Ñ¡Ã «Ö觡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒà¡ÕèÂǡѺÇѯ¨Ñ¡ÃªÕÇÔµ ¢Í§ÊÑµÇ ·íÒãËŒ¹íÒ¤ÇÒÁÃÙŒÁÒ㪌»ÃÐ⪹ ä´ŒÁÒ¡ÁÒ·Ñ駴ŒÒ¹¡ÒÃà¡ÉµÃ ¡ÒÃÍصÊÒË¡ÃÃÁ áÅСÒà ´ÙáÅÃÑ¡ÉÒÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ
1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแกปญ หา
คุณลักษณะอันพึงประสงค 1. ใฝเรียนรู 2. มุงมั่นในการทํางาน
กิจกรรมน�าสู่การเรียน
กระตุน้ ความสนใจ
Engage
1. ใหนักเรียนดูภาพในหนานี้ แลวชวยกันบอกวา สัตวในภาพกําลังแสดงพฤติกรรมอะไร (ตอบ ภาพซาย แมลงกําลังผสมพันธุ ภาพขวา นกกําลังแสดงการเกี้ยวพาราสี เพื่อการผสมพันธุ) 2. ครูชวนนักเรียนสนทนาวา สัตวตางๆ มีการ ผสมพันธุเพื่ออะไร
๑. สัตว์ในภาพ ๒ ภาพ ก�าลังแสดงพฤติกรรมอะไร ๒. การแสดงพฤติกรรมของสัตว์ในภาพมีจุดประสงค์อย่างไร 29
เกร็ดแนะครู ครูจัดกระบวนการเรียนรูโดยใหนักเรียนปฏิบัติ ดังนี้ • ศึกษาขอมูลการสืบพันธุและการขยายพันธุสัตว • สังเกตการสืบพันธุของสัตวบางชนิด • ทดลองเลี้ยงสัตวเพื่อศึกษาวัฏจักรชีวิต จนเกิดเปนความรูความเขาใจวา การสืบพันธุของสัตวมีทั้งแบบอาศัยเพศ และแบบไมอาศัยเพศ ทั้งนี้เพื่อใหสัตวเพิ่มจํานวนมากขึ้น ซึ่งเมื่อสัตวเจริญเติบโตขึ้น จะสามารถสืบพันธุหมุนเวียนเปนวัฏจักรของสัตว มีประโยชนตอดานเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการดูแลสิ่งแวดลอม
คู่มือครู
29
กระตุ้นความสนใจ Engage
ส�ารวจค้นหา Exploreนหา ส�ารวจค้
อธิบายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
ส�ารวจค้นหา
Explore
1. ใหนักเรียนศึกษาขอมูล หนา 30 - 33 2. ใหนักเรียนรวมกันเปรียบเทียบความแตกตาง ของการปฏิสนธิภายนอกรางกายกับการปฏิสนธิ ภายในรางกาย 3. ครูถามนักเรียนวา • ทําไมอสุจิจึงมีหางยาว (แนวตอบ เพราะชวยผลักดันใหอสุจิเคลื่อนที่ ไปขางหนาอยางรวดเร็วเพื่อผสมกับไข)
๑ การสืบพันธ์ุของสัตว์
สัตว์ต่างๆ มีการสืบพันธ์ุ จึงท�าให้สัตว์สามารถด�ารงพันธุ์อยู่ได้ การสืบพันธุ์ 1 ของสัตว์มี ๒ ลักษณะ ได้แก่ การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ และการสืบพันธุ์แบบ ไม่อาศัยเพศ ๑. การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของสัตว์จะ เกิดขึ้นเมื่อสัตว์เจริญเติบโตเต็มที่ มีการสร้าง เซลล์ไข่ เซลล์สืบพันธุ์ โดยสั2 ตว์ตัวผู้สร้างเซลล์สืบพันธุ์ อสุจิ และสั3ตว์ตัวเมียสร้างเซลล์ อสุจิ เพศผู้ เรียกว่า อสุ ไข่ เมื่ออสุจิเข้าไปผสม สืบพันธุ์เพศเมีย เรียกว่า ไข่ กับไข่จะเกิดการปฏิสนธิ แล้วเจริญเติบโตเป็น สัตว์ตัวใหม่ต่อไป ภาพที่ ๑.๒๐ การปฏิสนธิเกิดขึน้ ได้เมือ่ อสุจผิ สมกับไข่ การปฏิสนธิของสัตว์มี ๒ ลักษณะ ดังนี้ งกาย ๑) การปฏิสนธิภายนอกร่างกาย หมายถึ ง การทีเ่ ซลล์สบื พันธุเ์ พศผู ้ (อสุจ)ิ ผสมกับเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย (ไข่) โดยมีน�้าเป็นตัวกลางช่วยให้อสุจิเคลื่อนที่ไป ผสมกับไข่ เป็นการผสมพันธุ์ภายนอกร่างกายตัวเมีย หลังจากนั้นไข่ที่ได้รับการ ผสมแล้วจะฟักเป็นตัวต่อไป สัตว์ที่มีการปฏิสนธิภายนอกร่างกาย เช่น กุ้ง ปู ปลาส่วนใหญ่ เช่น ปลากัด ปลาช่อน สัตว์สะเทินน�้าสะเทินบกทุกชนิด เช่น คางคก อึ่งอ่าง กบ เขียด เป็นต้น ▲▲
30
ภาพที่ ๑.๒๑ ๑.๒๑ ปาดตี ปาดตีนเหลืองก�าลังผสมพันธุ์ โดยมีการ ปฏิสนธิภายนอกร่างกาย ตัวเมีย (สีเขียวอมฟ้า) มีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ (สีน�้าตาล)
นักเรียนควรรู 1 การสืบพันธุแบบอาศัยเพศ พบในมนุษย สัตวมีกระดูกสันหลังทุกชนิด ไดแก ปลา สัตวปก สัตวสะเทินนํ้าสะเทินบก สัตวเลื้อยคลาน และสัตวเลี้ยงลูกดวยนํ้านม สัตวเหลานี้ไมสามารถสืบพันธุแบบไมอาศัยเพศได 2 อสุจิ สรางจากอัณฑะของสัตวเพศผู ซึ่งอสุจิมีขนาดเล็กมาก ไมสามารถ มองเห็นไดดวยตาเปลา มีสวนประกอบอยู 3 สวน คือ หัว ลําตัว และหาง 3 ไข สรางมาจากรังไขของสัตวเพศเมีย โดยทั่วไปมีลักษณะกลม มีขนาด แตกตางกันไปตามชนิดของสัตว ไขของสัตวมักมีอาหารสะสมอยูเพื่อเลี้ยงตัวออน ที่อยูภายในไข เชน ไขแดงของไขไกและไขเปด
30
คู่มือครู
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
ขอใดกลาวถูกตองเกี่ยวกับการสืบพันธุแบบอาศัยเพศ 1. มีการปฏิสนธิภายในเทานั้น 2. มีการปฏิสนธิภายนอกเทานั้น 3. มีการสรางเซลลสืบพันธุและมีการปฏิสนธิภายในเทานั้น 4. มีการผสมกันระหวางเซลลสืบพันธุเพศผูและเซลลสืบพันธุเพศเมีย วิเคราะหคําตอบ การสืบพันธุแบบอาศัยเพศของสัตว เกิดจากเซลลอสุจิ และเซลลไขมาผสมกัน และเกิดการปฏิสนธิขึ้น จะไดเปนเซลลใหม ซึ่งสามารถเจริญพัฒนาไปเปนตัวตอไป ดังนั้น ขอ 4. จึงเปนคําตอบ
ที่ถูกตอง
กระตุนความสนใจ Engage
สํารวจคนหา สํารวจค Exploreนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
สํารวจคนหา กิจกรรมหนูน้อยนักส�ารวจ
1 กิจกรรมที่ ๑ การเลี้ยงปลากัด
ปัญหา อุปกรณ์ วิธีทํา
ปลากัดมีการปฏิสนธิแบบใด ๑. ปลากัดตัวผู้ ๑ ตัว ปลากัดตัวเมีย ๑ ตัว แยกเลี้ยงในขวด ขวดละ ๑ ตัว ๒. อ่างดินหรือขวด ๑ ใบ ๓. กระชอนช้อนปลา ๑ อัน ๔. พืชน�้า เช่น สาหร่าย ๕. อาหารปลา เช่น ไรน�้า ไข่แดงสุกตีกับน�้าให้แตก ๑. น�าขวดที่ใส่ปลากัดขวดละ ๑ ตัว มาวางข้างกัน โดยเลี้ยงไว้ประมาณ ๑๕-๓๐ วัน สังเกตดูปลากัดตัวเมียจะเห็นว่าตั้งท้อง ๒. น�าปลากัดตัวผู้และตัวเมียในขวดมาปล่อยลงในอ่างดิน ระวังอย่าให้ ถูกแดดจัดและลมแรง เมื่อปลากัดตัวผู้สร้างหวอดที่มีลักษณะเป็นฟองน�้าเล็กๆ ส�าหรับใช้ เป็นที่วางไข่เสร็จแล้ว หลังจากนั้น ๒-๓ วัน ปลากัดตัวผู้ก็จะรัด ล�าตัวปลากัดตัวเมีย ท�าให้ตัวเมียออกไข่ครั้งละประมาณ ๑๐ ฟอง ปลากัดตัวผู้จะปล่อยน�้าเชื้อออกมาผสมกับไข่ในน�้า แล้วจะอมไข่ ไปพ่นไว้ที่หวอด ๓. สังเกตการเปลี่ยนแปลงของไข่ที่ได้รับ การผสมแล้วในหวอดจนฟักเป็นตัว เมือ่ ไข่ฟกั เป็นตัวแล้ว ให้ตกั ปลากัดตัวผูอ้ อก เพื่อไม่ให้กินลูกปลา
Explore
ใหนักเรียนทํากิจกรรมที่ 1 เพื่อศึกษาการ ปฏิสนธิของปลากัด โดยปฏิบัติ ดังนี้ 1) ศึกษาขั้นตอนการทํากิจกรรมที่ 1 จาก หนังสือ หนา 31 หากมีขอสงสัยใหถามครู 2) ใหแตละกลุมชวยกันตั้งคําถามเกี่ยวกับการ ทดลอง (กําหนดปญหา) ซึ่งควรจะไดวา • ปลากัดมีการปฏิสนธิแบบใด จากนั้นใหนักเรียนชวยกันคาดเดา คําตอบลวงหนา (ตั้งสมมติฐาน) 3) ใหแตละกลุมทํากิจกรรมตามขั้นตอน (ตรวจสอบสมมติฐาน) 4) สมาชิกในกลุมบันทึกผลการทํากิจกรรม และรวมกันอภิปรายเพื่อสรุปผล (วิเคราะห ผลและสรุปผล)
●▲▲
●▲ ▲
วิทยาศาสตร์ฉลาดรู้
ปลากัดตัวเมียจะใช้เวลาออกไข่ประมาณ ๓ ชั่วโมง เมื่อปลากัดตัวเมียออกไข่หมดแล้ว ต้องรีบตักปลากัดตัวเมียออก เพื่อไม่ให้กินไข่ตัวเอง
31
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
สัตวในขอใดมีการปฏิสนธิภายนอกรางกายทั้งหมด 1. วาฬ นก งู 2. กบ จระเข สุนัข 3. เตา ปลานิล คางคก 4. ปลาชอน เขียด กุง
วิเคราะหคําตอบ สัตวที่มีการปฏิสนธิภายนอกรางกาย ไดแก สัตวครึ่งนํ้า ครึ่งบก ปลาตางๆ และสัตวที่ออกลูกเปนไขบางชนิด ดังนั้น ขอ 4.
จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง
นักเรียนควรรู 1 ปลากัด เปนปลานํา้ จืดขนาดเล็ก มีรปู รางเพรียวยาวและแบนขาง หัวมีขนาดเล็ก ครีบกนยาวจรดครีบหาง หางแบนกลม มีอวัยวะชวยหายใจบนผิวนํ้าไดโดยใชปาก ฮุบอากาศโดยไมตองผานเหงือกเหมือนปลาทั่วไป
มุม IT ครูและนักเรียนศึกษาขอมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับปลากัด ไดจากเว็บไซต www.kanchanapisek.com โดยมีวิธีการ ดังนี้ • คลิก โครงการสารานุกรมไทยฉบับเยาวชน • คลิก เลม 1-36 • คลิก เลมที่ 30 • คลิก เรื่องที่ 7 ปลากัด คูมือครู
31
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
Engage
Explore
อธิบายความรู้
อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
Explain
1. ใหแตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอผลการ ทํากิจกรรม 2. ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายผลการทํากิจกรรม จนสรุปไดวา ปลากัดมีการปฏิสนธิภายนอก รางกาย เพราะไขของปลากัดตัวเมียไดรับการ ผสมกับนํ้าเชื้อของปลากัดตัวผูภายนอกรางกาย 3. ใหนักเรียนชวยกันยกตัวอยางสัตวที่มีการ ปฏิสนธิภายนอกรางกายเพิ่มเติม 4. ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายการปฏิสนธิภายใน รางกาย ซึ่งมีทั้งสัตวที่ออกลูกเปนตัวและสัตว ออกลูกเปนไข 5. ใหนักเรียนชวยกันยกตัวอยางสัตวที่มีการ ปฏิสนธิภายในรางกายที่ออกลูกเปนตัว และ สัตวที่มีการปฏิสนธิในรางกายที่สัตวออกลูก เปนไขเพิ่มเติม
จากการท�ากิจกรรมที่ ๑ จะเห็นได้ว่า ไข่ของปลากัดตัวเมียจะได้รับ การผสมกับน�้าเชื้อของปลากัดตัวผู้ภายนอกร่างกายของปลากัดตัวเมีย และไข่ที่ ได้รับการผสมแล้ว จะเจริญเติบโตเป็นลูกปลากัดตัวเล็กๆ แสดงว่า ปลากัดมีการ ปฏิสนธิภายนอกร่างกาย ๒) การปฏิสนธิภายในร่างกาย หมายถึง การที่เซลล์สบื พันธุเ์ พศผู้ (อสุจิ) เข้าไปผสมกับเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย (ไข่) ภายในร่างกายของสัตว์ตัวเมีย จากนั้น ไข่ที่ได้รบั การผสมแล้ว ก็จะเจริญเติบโตภายในร่างกายของสัตว์ตวั เมีย ท�าให้สตั ว์ ตัวเมียตัง้ ท้อง และเมือ่ ครบก�าหนดคลอด สัตว์ตวั เมียจะออกลูกเป็นตัวทีม่ ลี กั ษณะ เหมือนพ่อแม่ แต่มีขนาดเล็กกว่า สัตว์ที่มีการปฏิสนธิภายในร่างกายและออกลูกเป็นตัว ได้แก่ สัตว์ 1 เลี้ยงลูกด้วยน�้านม นม เช่น แมว สุนัข ช้าง ม้า วัว ควาย เป็นต้น
▲▲
ภาพที่ ๑.๒๒ สิ ๑.๒๒ สิงโต โต และกระต่ และกระต่าย มี ย มีการปฏิสนธิภายในร่างกาย งกาย และออกลู และออกลูกเป็นตัวซึ่งมีลักษณะเหมือนกับพ่อแม่
สัตว์บางชนิดมีการปฏิสนธิภายในร่างกายเช่นเดียวกัน แต่ไข่ที่ได้รับ การผสมแล้ว มีมีการเจริญเติบโตภายนอกร่างกายของสัตว์ตัวเมีย โดยสัตว์ตัวเมีย จะออกลูกเป็นไข่ทมี่ เี ปลือกแข็งหรือมีเปลือกเหนียวหุม้ แล้วฟักเป็นตัวนอกร่างกาย ของสัตว์ตัวเมีย ได้ ได้แก่ สัตว์เลื้อยคลาน เช่น เต่ เต่า งูบางชนิด สัตว์ปีก เช่น นก ยคลาน เช่ ไก่ ห่านน เป็ เป็นต้น เป็ด ไก่ 32
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
นักเรียนควรรู 1 สัตวเลี้ยงลูกดวยนํ้านม โดยทั่วไปจะออกลูกเปนตัว แตมีเพียง 2 ชนิดเทานั้น ที่ออกลูกเปนไขที่มีเปลือกแข็งหุม ไดแก ตุนปากเปด และตัวกินมดหนาม (อีคิดนา) และเมื่อตัวออนฟกออกจากไขแลว ก็จะกินนมแมเพื่อใหเจริญเติบโตตอไป สัตวทั้ง 2 ชนิดนี้จะพบเฉพาะในออสเตรเลียและเกาะนิวกินีเทานั้น
ตุนปากเปด
32
คู่มือครู
ตัวกินมดหนาม
การลาสัตวในฤดูผสมพันธุหรือฤดูวางไขของสัตว มีผลตอวัฏจักรชีวิต ของสัตวอยางไร แนวตอบ อาจทําใหวัฏจักรชีวิตของสัตวไมสามารถดําเนินตอไปไดและ เมื่อเกิดขึ้นมากๆ ก็อาจทําใหสัตวสูญพันธุได
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
ส�ารวจค้ Exploreนหา
Engage
ส�ารวจค้นหา
๒. การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ เป็นการสืบพันธุ์ของสัตว์ที่เกิดขึ้นโดย ไม่ต้องมีการผสมกันระหว่างอสุจิของสัตว์เพศผู้และไข่ของสัตว์เพศเมีย การสืบพันธุแ์ บบไม่อาศัยเพศนีม้ กั พบในสัตว์ชนั้ ต�า่ หรือสัตว์ทมี่ เี ซลล์เดียว โดยจะมีการสืบพันธุ์ด้วยวิธีการต่างๆ ดังนี้ การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ ๑) การงอกใหม ล�าตัว ท่อนที่ขาดออกจากตัวเดิม จะสามารถงอกกลายเป็น ตัวใหม่ที่สมบูรณ์ได้
1 ดาวทะเล พลานาเรีย (หนอนตัวแบน)
๒) การแบงเซลลเปน ๓) การแตกหนอ เป็นการ ๒ สวน จากสัตว์เซลล์เดียว สร้างหน่อบนส่วนใดส่วนหนึ่ง ๑ ตัว สามารถแบ่งเซลล์ออก ของร่างกาย เมือ่ หน่อเจริญขึน้ เป็น ๒ ส่วน เหมือนๆ กันได้ จะหลุดออกไปเป็นตัวใหม่
2 อะมีบา3 ยูกลีนา 4 พารามีเซียม
เซลล์เดิม
เซลล์ใหม่ ที่เจริญขึ้น
▲▲
ภาพที่ ๑.๒๓ พารามีเซียมสืบพันธ์ุโดยการแบ่งเซลล์
ไฮดรา ปะการัง ฟองน�้า
การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ สั ตว์ จ ะไม่ มีการกลายพั น ธุ ์ ห รื อสร้ า ง ความหลากหลายทางพันธุกรรม ข้อดี ของการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ คือ สิ่งมีชีวิตสามารถเพิ่มจ�านวนเองได้โดย ไม่ต้องหาคู่ สัตว์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ เช่น ฟองน�า้ ปะการัง สามารถเพิม่ จ�านวนได้ โดยไม่ต้องรอเวลาและพลังงานในการ สร้างเซลล์สืบพันธุ์และการปฏิสนธิ
Explore
ใหนักเรียนทํากิจกรรมที่ 2 เพื่อศึกษา การสืบพันธุของไฮดรา โดยปฏิบัติ ดังนี้ 1) ศึกษาขั้นตอนการทํากิจกรรมที่ 2 จาก หนังสือ หนา 34 หากมีขอสงสัยใหถามครู 2) ใหแตละกลุมชวยกันตั้งคําถามเกี่ยวกับ กิจกรรม ซึ่งควรจะไดวา • ไฮดรามีการสืบพันธุลักษณะใด จากนั้นใหนักเรียนชวยกันคาดเดาคําตอบ ลวงหนากอนทําการทดลอง 3) ใหแตละกลุมทํากิจกรรมตามขั้นตอน 4) สมาชิกในกลุมบันทึกผลการทํากิจกรรม และรวมกันอภิปรายเพื่อสรุปผล
อธิบายความรู้
Explain
1. ใหแตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอผลการ ทํากิจกรรม 2. ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายผลการทํากิจกรรม จนสรุปไดวา ไฮดรามีการงอกสวนใหมซึ่งติด อยูกับตัวเดิมและสวนที่งอกใหมหลุดออกจาก ไฮดราตัวเดิม เจริญเติบโตเปนไฮดราตัวใหม 3. ครูถามนักเรียนวา • นักเรียนคิดวาสัตวมีกระดูกสันหลัง มีการ สืบพันธุแบบงอกใหมไดหรือไม (แนวตอบ ไมได เพราะสัตวมีกระดูกสันหลัง มีโครงสรางของรางกาย และเซลลใน รางกายมีความซับซอนกวาสัตวไมมี กระดูกสันหลัง)
33
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
สิ่งมีชีวิตในขอใดมีการสืบพันธุตางจากขออื่น 1. ไฮดรา 2. ปะการัง 3. ฟองนํ้า 4. ดาวทะเล
วิเคราะหคําตอบ ดาวทะเล มีการสืบพันธุแ บบไมอาศัยเพศดวยการงอกใหม ซึ่งสามารถสรางสวนของรางกายที่ขาดหายไปขึ้นมาทดแทนใหเหมือนเดิมได ดังนั้น ขอ 4. จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง
นักเรียนควรรู 1 ดาวทะเล เมื่อถูกตัดออกเปนสองสวน แตละสวนจะสามารถงอกเปนดาวทะเล ตัวใหมทงั้ ตัวได จัดเปนสัตวมชี วี ติ ทีเ่ ปนโคลน (clone) เพราะเปนสิง่ มีชวี ติ ทีม่ าจาก เซลลเดียวกัน และมีสารพันธุกรรมที่เหมือนกันทุกประการ 2 อะมีบา เปนสัตวเซลลเดียวชนิดหนึ่ง มีรูปรางที่ไมคงที่ มักอาศัยอยูตาม แหลงนํ้า ดิน โคลนเลน 3 ยูกลีนา เปนสัตวเซลลเดียวชนิดหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะคลายพืชและสัตว คือ มีคลอโรฟลลและกินอาหารเหมือนพืช และเคลื่อนที่ไดเหมือนสัตว โดยใชหนวด ทางดานหัว 1 เสน โบกพัดนํ้าทําใหดึงตัวไปขางหนาได 4 พารามีเซียม เปนสัตวเซลลเดียวชนิดหนึ่ง อาศัยอยูตามแหลงนํ้าจืดตาม ธรรมชาติ มีขนรอบๆ ตัว เรียกวา ซีเลีย ทําหนาที่โบกพัดใหตัวเคลื่อนที่และทําให มีการหมุนเวียนนําอาหารมาตามกระแสนํ้าเขาสูรองปาก คู่มือครู
33
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
อธิบายความรู้
Engage
Explore
Explain
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
Expand าใจ ขยายความเข้
Evaluate ตรวจสอบผล
Expand
1. ใหนักเรียนจัดทําบัตรภาพสัตว และบันทึก ขอมูลตามรายละเอียดของกิจกรรมรวบยอด ตอนที่ 2 ขอ 1 หนา 45 2. ใหนักเรียนดูภาพจากกิจกรรมรวบยอด ตอนที่ 2 ขอ 2 หนา 45 แลวเขียนอธิบาย ผลการอภิปราย
ตรวจสอบผล
ขยายความเข้าใจ
Evaluate
1. ครูตรวจสอบผลงานบัตรภาพสัตววา ภาพและ การบันทึกขอมูลถูกตองสัมพันธกันหรือไม 2. ครูตรวจสอบผลการอภิปรายวา ถูกตองชัดเจน หรือไม
กิจกรรมหนูน้อยนักส�ารวจ กิจกรรมที่ ๒ การสืบพันธ์ุของไฮดรา
ปัญหา อุปกรณ์ วิธีทํา
ไฮดรามีการสืบพันธุ์ลักษณะใด ๑. อ่างแก้วหรือขวดแก้วใส ๑ ใบ ๒. ตัวไฮดรา ประมาณ ๒-๓ ตัว ๓. หลอดดูด ๑ หลอด ๔. พืชน�้า เช่น สาหร่าย ๕. ก้อนหิ1น ๖. ไรแดง ๑. แบ่งกลุม่ ให้แต่ละกลุม่ น�าน�า้ ฝน หรือน�า้ ประปาทีท่ งิ้ ค้างคืนไว้ประมาณ ๓-๕ คืน ใส่ในอ่างแก้วหรือขวดแก้วใส ๒. ใส่ก้อนหินและสาหร่ายให้เหมาะสมกับภาชนะ แล้วตั้งทิ้งไว้ ๒ วัน ๓. ให้ใช้หลอดดูดไฮดราจากภาชนะเดิมมาใส่ในอ่างแก้วหรือขวดแก้วใส ตั้งภาชนะไว้ในที่เย็น และไม่ถูกแสงแดด ๔. ให้อาหารไฮดรา โดยใช้หลอดดูดไรแดงปล่อยลงในภาชนะใกล้กบั หนวด ของไฮดรา อาจให้อาหารวันเว้นวันหรือทุกวันก็ได้ ๕. สังเกตลักษณะที่ตัวไฮดรา และจ�านวนของไฮดรา แล้วบันทึกผล
วิทยาศาสตร์ ทยาศาสตร์ฉลาดรู้
ไฮดราเป็ น สั ต ว์ ที่ ไ ม่ มี ก ระดู ก สั น หลั ง จ�าพวกเดียวกับแมงกะพรุน ดอกไม้ทะเลและ ปะการัง อาศัยอยู่ในแหล่งน�้าจืดที่สะอาด เช่น บ่อ บึง ทะเลสาบ แม่น�้า เป็นต้น มักเกาะตาม ส่วนต่างๆ ของพืชน�้า ถ้าในสภาวะปกติ ไฮดราจะสืบพันธ์ุแบบ อาศัยเพศ แต่ถ้าสภาวะแวดล้อมไม่เหมาะสม ไฮดราก็จะสืบพันธ์ุโดยวิธีแตกหน่อเพื่อขยายพันธ์ุต่อไป
ส่วนที่แตกหน่อจากตัวเดิม
34
นักเรียนควรรู 1 ไรแดง เปนสัตวไมมีกระดูกสันหลังจําพวกกุง ลําตัวมีสีแดงเรื่อ ถาอยูรวมกัน เปนจํานวนมากจะมองเห็นไรแดงมีสีแดงเขม โดยไรแดงเพศเมียจะมีขนาดใหญกวา ไรแดงเพศผู ไรแดง เปนอาหารธรรมชาติที่ดีสําหรับการอนุบาลสัตวนํ้าวัยออน โดยเฉพาะ ปลาสวยงามและสัตวนํ้าเศรษฐกิจตางๆ
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 51 ออกเกี่ยวกับเรื่อง การขยายพันธุสัตว การผสมพันธุสัตวในลักษณะใดที่ชวยปองกันการถายทอดลักษณะที่ไมดี ของพอไปสูลูก 1. ผสมกันตามธรรมชาติ 2. ผสมกับพันธุแทลักษณะดี 3. ผสมระหวางญาติใกลชิด 4. ผสมกับพันธุที่มีลักษณะเหมือนพอ วิเคราะหคําตอบ การขยายพันธุสัตวจําเปนตองมีการคัดเลือกพันธุ เพื่อใหลูกที่เกิดมามีลักษณะดีตรงตามที่ตองการ หรือเพื่อปองกันไมให ลักษณะที่ไมดีของพอพันธุ แมพันธุที่มีอยูถายทอดไปยังลูกได ดังนั้น
ขอ 2. จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง
34
คู่มือครู
กระตุน้ ความสนใจ
ส�ารวจค้นหา ส�ารวจค้ Exploreนหา
อธิบายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุEngage ้นความสนใจ
กระตุน้ ความสนใจ
จากการท�ากิจกรรมที่ ๒ นักเรียนจะพบว่า ไฮดรามีการงอกส่วนใหม่ซึ่งติด อยูก่ บั ตัวเดิม และส่วนทีง่ อกใหม่นนั้ หลุดออกจากตัวเดิมกลายเป็นไฮดราตัวใหม่ การสืบพันธุ์ลักษณะเช่นนี้ เรียกว่า การแตกหน่อ
๒ การขยายพันธ์ุสัตว์
ในปัจจุบันนี้คนรู้จักใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการขยายพันธุ์สัตว์ เพื่อให้ สัตว์มีจ�านวนเพิ่มขึ้น และมีปริมาณเพียงพอกับประชากรที่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้ง มีคุณภาพตามต้องการ การขยายพันธุ์สัตว์ ให้ได้ผลดีนั้น ต้องมีการคัดเลือกพันธุ์สัตว์ตามต้องการ เมื่อคัดเลือกพันธุ์แล้วจึงท�าการขยายพันธุ์สัตว์โดยวิธีการต่างๆ ๑. การคัดเลือกพันธุ์สัตว์ การคัดเลือกพันธุ ์ หมายถึง การเลือกสรรเอาสัตว์พนั ธุท์ ตี่ อ้ งการไว้ โดย พิจารณาจากรูปร่างลักษณะของสัตว์ที่แสดงถึงความสมบูรณ์ของสัตว์ว่าสามารถ ให้ผลผลิตสูง และจากสายพันธุ์ที่ดีของสัตว์ชนิดนั้น การคัดเลือกพันธุ์สัตว์มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ ๑) เพื่อให้ได้สัตว์ที่ให้ผลผลิตดีตามต้องการ เช่น ให้ปริมาณน�้านมมาก ให้ปริมาณเนื้อแดงมาก มีไข่ดก เป็นต้น ๒) เพื่อน�าสัตว์ ไปใช้เป็นพ่อพันธุ์หรือ แม่พันธุ์ ๓) เพือ่ ให้ได้สตั ว์ทมี่ คี วามทนทานต่อ สภาพดินฟ้าอากาศ และโรคต่างๆ ๔) เพื่อการผสมพันธ์ุให้ได้พันธ์ุใหม่ที่ ภาพที่ ๑.๒๔ หมูที่เป็นพ่อพันธ์ุจะต้องมี มีคุณภาพดีขึ้นกว่าเดิม ลักษณะทีด่ แี ละแข็งแรง
Engage
1. ครูชวนนักเรียนสนทนาเกี่ยวกับการขยายพันธุ สัตววาสามารถทําไดอยางไรบาง 2. ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายความจําเปนใน การขยายพันธุสัตว เพื่อการผลิตอาหารเลี้ยง ประชากรในโลก
ส�ารวจค้นหา
Explore
1. ใหนักเรียนศึกษาขอมูลการคัดเลือกพันธุสัตว หนา 35 2. ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายวัตถุประสงคของ การคัดเลือกพันธุสัตว 3. ใหแตละกลุมทํากิจกรรมพัฒนาการเรียนรูที่ 1 หนา 36
▲▲
35
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
ขอใดเปนเหตุผลสําคัญในการคัดเลือกพันธุสัตว 1. เพื่อใหไดพันธุที่ดีเหมือนเดิม 2. เพื่อชวยแกลักษณะที่เลวของสัตวใหดีขึ้น 3. เพื่อชวยรักษาลักษณะของพันธุแทเอาไว 4. เพื่อใหไดพันธุที่แข็งแรงโตเร็ว และเปนที่นิยมของผูบริโภค
วิเคราะหคําตอบ การคัดเลือกพันธุสัตวเพื่อใหไดพันธุสัตวที่ใหผลผลิต ที่ดี ทั้งนี้เพื่อใหสามารถผลิตอาหารเลี้ยงประชากรโลกได ดังนั้น ขอ 4.
จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง
บูรณาการอาเซียน ครูอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจวา ความตองการบริโภคเนื้อสุกรมีแนวโนม เพิม่ ขึน้ ในภูมภิ าคอาเซียน สงผลใหประเทศตางๆ ในกลุม อาเซียนเรงพัฒนาศักยภาพ การผลิตสุกรเพิ่มมากขึ้น ซึ่งประเทศไทยมีโอกาสอยางมากในการขยายตลาดสงออก ในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เนื่องจากผลิตภัณฑสุกรของไทยไดรับการยอมรับ จากประเทศในกลุม อาเซียนถึงมาตรฐานการผลิต ตัง้ แตในระดับฟารมไปจนถึงระดับ โรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ
มุม IT ครูและนักเรียนคนควาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการโคลนนิ่ง ไดจากเว็บไซต http://www.stkc.go.th/subforum.php?exforumid=30
คู่มือครู
35
กระตุ้นความสนใจ Engage
ส�ารวจค้นหา Exploreนหา ส�ารวจค้
อธิบายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
ส�ารวจค้นหา
Explore
1. ครูอาจเปดวีดิทัศนการผสมเทียมสัตว ใหนักเรียนดู แลวรวมกันสนทนาเกี่ยวกับ วีดิทัศนที่ใหดู 2. ใหนักเรียนศึกษาขอมูลการผสมเทียม หนา 36 - 38
ตัวอย่างการคัดเลือกพันธุ์และขยายพันธุ์สัตว์
ไก่พันธุ์เซี่ยงไฮ้
ไก่พันธุ์ผสมที่มีลักษณะดี ดังนี้ • โตเร็ว • ทนทานโรค • ไข่ดก • เนื้อแน่น
โคพันธุ์บังคาลา
วัวพันธุ์ผสมที่มีลักษณะดี ดังนี้ • ทนทานต่อสภาพแวดล้อมของไทย • มีน�้านมมาก
(ไข่ดก)
(โตเร็ว)
1
โคพันธุ์โฮลสไตน์ (นํ้านมมาก)
ไก่พันธุ์โรดแดง
(ทนทานต่อสภาพแวดล้อม)
กิจกรรมพัฒนาการเรียนรู้ที่ ๑ ๑. แบ่งกลุ่ม ให้แต่ละกลุ่มสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับการคัดเลือกพันธ์ุสัตว์มา ๑ ชนิด ๒. ร่วมกันอภิปรายภายในกลุ่ม จากนั้นน�าเสนอข้อมูลหน้าชั้น
๒. การผสมเทียม การผสมเทียม คือ การน�าน�้าเชื้อจากสัตว์เพศผู้มาผสมกับไข่ของสัตว์ เพศเมีย โดยที่สัตว์ ไม่ต้องผสมพันธุ์กันเองตามธรรมชาติ ปัจจุบันเป็นวิธีที่นิยม มาก เพราะน�้าาเชื ใช้กันมาก เชื้อจากสัตว์พ่อพันธุ์สามารถเก็บไว้ได้เป็นเวลานานหลายปี โดยการแช่ไว้ในที่เย็นจัด งกาย และ การผสมเทียมสามารถท�าได้ทั้งสัตว์ที่มีการปฏิสนธิภายในร่างกาย สัตว์ที่มีการปฏิสนธิภายนอกร่างกาย งกาย ตว์ที่นิยมท�าการ ๑) การผสมเทียมสัตว์ที่มีการปฏิสนธิภายในร่างกาย สั ม เช่น โค สุ โค สุกร กระบื ร กระบือ เป็นต้น โดยการรีดเอาน�้าเชื้อจากสัตว์พ่อพันธุ์ ผสมเทียม เช่ แล้วน�ามาฉีดเข้าไปในมดลูกของสัตว์เพศเมียในระยะทีม่ กี ารตกไข่ หรือในระยะที่ สัตว์เพศเมียพร้อมที่จะท�าการผสมพันธุ์ แล้วท�าให้เกิดการปฏิสนธิระหว่างไข่กับ อสุจิภายในร่างกายของสัตว์ที่ใช้เป็นแม่พันธุ์ 36
นักเรียนควรรู 1 โคพันธุโฮลสไตน เปนโคนมพันธุที่กรมปศุสัตวใชเปนพันธุหลักในการปรับปรุง พันธุโคนมของประเทศ โคพันธุนี้มีถิ่นกําเนิดในประเทศเนเธอรแลนด โคพันธุโฮลสไตนมีขนาดใหญ ผลิตนํ้านมเฉลี่ย 6,000 - 7,000 กิโลกรัมตอระยะ การใหนม มีนิสัยคอนขางเชื่อง รีดนมงาย ไมเตะ สวนใหญมีสีขาวดํา โดยสีขาวหรือ สีดําจะมากกวาหรือนอยกวาก็ได จึงถูกเรียกวา โคนมพันธุขาวดํา
มุม IT ครูและนักเรียนศึกษาขอมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผสมเทียม ไดจากเว็บไซต www.dld.go.th ซึ่งเปนเว็บไซตของกรมปศุสัตว
36
คู่มือครู
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
เทคโนโลยีดานการผสมเทียมสัตว มีผลดีตอการผลิตอาหารเลี้ยง ประชากรในโลกอยางไร แนวตอบ ทําใหสามารถเพิ่มผลผลิตของสัตวไดเปนจํานวนมาก ทําใหมี อาหารเพียงพอตอจํานวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอยางรวดเร็ว
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
Engage
Explore
อธิบายความรู้
ขยายความเข้าใจ Expand าใจ ขยายความเข้
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบExplain ายความรู้
อธิบายความรู้
๒) การผสมเทียมสัตว์ทมี่ กี ารปฏิสนธิภายนอกร่างกาย สัตว์ทนี่ ยิ มท�าการ ผสมเทียม เช่น ปลาบึก ปลาสวาย ปลานิล เป็นต้น โดยการรีดน�้าเชื้อจากปลา ตัวผู้ และรีดไข่จากปลาตัวเมียออกมา แล้วน�าไข่กับน�้าเชื้อมาผสมกันในภาชนะ ที่ได้เตรียมไว้ ใช้ขนไก่คนเบาๆ ให้น�้าเชื้อผสมกับไข่อย่างทั่วถึง แล้วน�าไข่ปลา ที่ผสมแล้วเทเบาๆ ลงในบ่อฟัก เพื่อให้ไข่ฟักเป็นตัวต่อไป ตัวอย่างการผสมเทียมปลาบึก เมื่อชาวประมงจับปลาบึกได้ จะต้องให้เจ้าหน้าที่กรมประมงชั่งน�้าหนัก และวัด ความยาวและตรวจสอบความสมบูรณ์ของน�า้ เชือ้ และไข่กอ่ น จากนัน ้ เจ้าหน้าทีจ่ ะฉีด ฮอร์โมนกระตุ้นให้ปลาตัวเมียไข่สุกเร็วขึ้น เมื่อพร้อมแล้วจะน�าปลาตัวเมียมารีดไข่ แล้วรีดน�้าเชื้อจากปลาตัวผู้ น�าไข่กับน�้าเชื้อผสมกันด้วยน�้าจากล�าน�้าโขง และน�าไข่ที่ ได้รับการผสมแล้วมาอนุบาลไว้จนปลาโตขึ้น จึงน�าไปปล่อยตามแหล่งน�้าธรรมชาติ
▲▲
ภาพที่ ๑.๒๕ ฉีดฮอร์โมน กระตุ้นปลาตัวเมีย
▲▲
ภาพที่ ๑.๒๖ รีดน�้าเชื้อจาก ปลาตัวผู้
▲▲
Explain
1. ใหแตละกลุมรวมกันอภิปรายความแตกตาง ของการผสมเทียมสัตวที่มีการปฏิสนธิภายใน รางกาย และสัตวที่มีการปฏิสนธิภายนอก รางกาย 2. ใหแตละกลุม รวมกันอภิปรายประโยชนของ การผสมเทียม
ขยายความเข้าใจ
Expand
1. ใหนักเรียนทํากิจกรรมพัฒนาการเรียนรูที่ 2 หนา 38 ลงในสมุด 2. ใหแตละกลุมสืบคนขอมูลการผสมเทียมสัตว มา 1 ชนิด แลวจัดทําเปนรายงาน จากนั้น สงตัวแทนออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน
ภาพที่ ๑.๒๗ เทน�้าเชื้อผสม กับไข่ที่เตรียมไว้และใช้ขนไก่ คนเบาๆ
»˜¨¨ØºÑ¹¡ÒâÂÒ¾ѹ¸Ø ÊÑµÇ â´ÂÇÔ¸Õ¡ÒüÊÁà·ÕÂÁ à¾ÒйíéÒàª×éͨҡÊÑµÇ ¾‹Í¾Ñ¹¸Ø ´Õ ÊÒÁÒöà¡çº¹íéÒàª×éÍ ä´Œà»š¹àÇÅÒ¹Ò¹ËÅÒ»‚ â´Â¡ÒÃ᪋änj㹷ÕèàÂ繨Ѵ http://www.aksorn.com/lib/p/sci_01 (เรื่อง ปลาบึก)
EB GUIDE
37
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
ถามีวัวตัวเมียพันธุพื้นเมือง ตองการไดลูกที่มีพันธุที่ดีขึ้น จะตองทํา อยางไร จึงจะประหยัดและสะดวกที่สุด 1. ซื้อวัวตัวผูพันธุดีมาเลี้ยงคูกัน 2. นํานํ้าเชื้อตัวผูพันธุดีมาผสมเทียม 3. นําวัวตัวเมียไปเขาฝูงที่มีวัวตัวผูพันธุดี 4. นําวัวตัวเมียไปผสมพันธุกับวัวตัวผูพันธุดี
วิเคราะหคําตอบ การใชเทคโนโลยีเรื่องการผสมเทียมเขามาชวยในการ ผสมพันธุสัตว ชวยประหยัดคาใชจาย และระยะเวลาที่ตองรอใหสัตว ผสมพันธุกันเองตามธรรมชาติ ดังนั้น ขอ 2. จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง
เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนฟงวา การผสมเทียมในประเทศไทยเริ่มขึ้นโดย ในป พ.ศ. 2496 ศาสตราจารย ลาเกอรลอฟ ชาวสวีเดน ผูเชี่ยวชาญจาก FAO. ไดเดินทางมาสํารวจการเลี้ยงปศุสัตวในประเทศไทย จากนั้นไดเขาเฝาพระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัวรัชกาลปจจุบันเพื่อทูลเกลาฯ ถวายโครงการผลิตโคนมลูกผสม ดวยวิธีการผสมเทียม ปจจุบันงานผสมเทียมของประเทศไทยมีความเจริญกาวหนามากขึ้น ดวยความ มุงมั่นที่จะพัฒนางาน รวมทั้งการวางรากฐานที่ดีของนายสัตวแพทยทศพร สุทธิคํา ทําใหทานไดรับขนานนามวาเปน “บิดาแหงการผสมเทียมของประเทศไทย”
คู่มือครู
37
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
อธิบายความรู้
Engage
Explore
Explain
ขยายความเข้าใจ
✓ แบบวัดฯ ใบงาน แบบฝกฯ ว�ทยาศาสตร ป.5 กิจกรรมรวบยอดที่ 1.6 แบบประเมินตัวช�้วัด ว 1.1 ป.5/4 2 เติมแผนภูมิการผสมเทียมใหถูกตอง การผสมเทียม ความหมาย
ลักษณะ
การนํานํ้าเชื้อของสัตว เพศผูมาผสมกับไขของ สัตวเพศเมีย โดยสัตว ไมตองผสมพันธุกันเอง ……………………………………………… ตามธรรมชาติ ………………………………………………
ปฏิสนธิ ภายนอกรางกาย
………………………………………………
นํานํ้าเชื้อกับไข วิธีการ ……………………………….
นํานํ้าเชื้อของ วิธีการ ……………………………….
………………………………………………
………………………………………………
………………………………………………
………………………………………………
………………………………………………
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
Expand าใจ ขยายความเข้
Evaluate ตรวจสอบผล
Expand
ใหนักเรียนทํากิจกรรมรวบยอดที่ 1.6 จาก แบบวัดฯ วิทยาศาสตร ป.5
………………………………………………
ขยายความเข้าใจ
ปฏิสนธิ ภายในรางกาย
………………………………………………
ผสมกันในภาชนะ และ นําไปเทลงในบอฟก ………………………………………………
………………………………………………
………………………………………………
………………………………………………
สัตวเพศผูไปฉีดเขาใน มดลูกของสัตวเพศเมีย ในระยะที่มีการตกไข
………………………………………………
………………………………………………
………………………………………………
………………………………………………
………………………………………………
………………………………………………
………………………………………………
ตัวอยางสัตว เชน ………………………………………………
ตัวอยางสัตว เชน ………………………………………………
…………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………..
ปลาบึก ปลาสวาย
ฉบับ
เฉลย
โค กระบือ แพะ หมู
ตัวชี้วัด ว 1.1 ขอ 4
▲▲
ไดคะแนน คะแนนเต็ม
5
เกณฑประเมินชิ้นงาน
ขอ 1 การตอบคําถาม (มี 5 ขอ ขอละ 2 คะแนน) • ตอบคําถามไดถูกตอง และมีใจความสําคัญครบถวน
ขอ 2 การเติมแผนภูมิ (5 คะแนน)
• เติมขอความลงในแผนภูมิไดถูกตอง และมีใจความสําคัญครบถวน แหงละ
2 คะแนน 1 คะแนน
21
ตรวจสอบผล
๓) ประโยชน์ของการผสมเทียม การผสมเทียมสัตว์มีประโยชน์ ดังนี้ (๑) ปรับปรุงพันธุส์ ตั ว์ให้ดขี นึ้ ได้อย่างรวดเร็ว เพราะน�า้ เชือ้ ทีร่ ดี เก็บ จากพ่อพันธุ์ สามารถฉีดให้กับสัตว์ตัวเมียได้ครั้งละหลายๆ ตัว ท�าให้ได้สัตว์ ลูกผสมพันธุ์ดีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (๒) ท�าให้เกษตรกรไม่ต้อง เลี้ยงดูสัตว์พ่อพันธุ์ซึ่งหายากและราคา แพง ตัดปัญหาเรื่องการขนส่งสัตว์ ไป ผสมพันธุ์ เพราะมีบริการน�าน�้าเชื้อไป ผสมให้ถึงคอกสัตว์ทุกแห่ง (๓) สามารถผสมพันธุ์สัตว์ ต่างขนาดกันได้ (๔) ป้องกันโรคติดต่อทีเ่ กิด ่ ๑.๒๘ ปัจจุบันมีบริการผสมเทียมด้วยน�้าเชื้อ จากการผสมพันธุแ์ ละป้องกันโรคระบาด ภาพที จากพ่อโคพันธ์ุดี ซึ่งช่วยอ�านวยความสะดวกให้กับ ที่มาจากการเคลื่อนย้ายสัตว์ เกษตรกร
Evaluate
1. ครูตรวจสอบการอธิบายขั้นตอนการผสมเทียม ปลานิลวาอธิบายไดชัดเจน ถูกตองหรือไม 2. ครูประเมินผลรายงานเรื่องการผสมเทียมสัตว โดยพิจารณาจากขอมูลครบถวน สมบูรณ รูปเลมรายงานเรียบรอย และนําเสนอไดถูกตอง นาสนใจ 3. ครูตรวจสอบการเติมขอมูลการผสมเทียม ในแผนภูมิวาถูกตองหรือไม
กิจกรรมพั จกรรมพัฒนาการเรียนรู้ที่ ๒ อ่านสถานการณ์ที่กา� หนด หนด และใช้ และใช้ความรู้ตอบค�าถามลงในสมุด ลุงมีเป็นเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลานิลอยู่ใกล้ๆ บ้านน้องพลอย ลุงมีทราบว่า น้องพลอยได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องการผสมเทียมปลานิล จึงซักถามขั้นตอนการ งพลอย ผสมเทียมปลานิลกับน้องพลอย ถ้าหากนักเรียนเป็นน้องพลอย งพลอย นักเรียนจะอธิบายขั้นตอนการผสมเทียมปลานิล ให้ลุงมีฟังอย่างไร 38
ขอสอบ
เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจ เกี่ยวกับขอสอบ O-NET ขอนี้ ดังนี้ ใชเซลลสืบพันธุ (การปฏิสนธิ) การผสมเทียมปลา การเกิดฝาแฝดเหมือน การผสมเกสรของกลวยไม การถายฝากตัวออนโคนม การถายละอองเรณู การผสมเทียมของวัว
ใชเซลลรางกาย (การโคลน) การแตกหนอของไฮดรา การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การปลูกพืชจากหัวหรือหนอ การโคลนลูกแกะดอลลี่ การปกชําใหเกิดตนใหม การแตกหนอของยีสต
O-NET
ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับเรื่อง การขยายพันธุพืชและสัตว ขอความตอไปนี้ขอใดจัดเปนการโคลนทั้งหมด (ตอบ 2 ขอ) 1. การผสมเทียมปลา การแตกหนอของไฮดรา 2. การเกิดฝาแฝดเหมือน การผสมเกสรของกลวยไม 3. การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การปลูกพืชจากหัวหรือหนอ 4. การถายฝากตัวออนโคนม การโคลนลูกแกะดอลลี่ 5. การถายละอองเรณู การผสมเทียมของวัว 6. การปกชําใหเกิดตนใหม การแตกหนอของยีสต วิเคราะหคําตอบ การโคลน หมายถึง การสรางสิ่งมีชีวิตใหมขึ้นมา โดยไมไดอาศัยการปฏิสนธิของเซลลสืบพันธุเพศผูและเพศเมีย แตอาศัย เซลลรางกายของสิ่งมีชีวิตที่เปนตนแบบ ดังนั้น ขอ 3. และ ขอ 6.
จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง
38
คู่มือครู
กระตุน้ ความสนใจ กระตุEngage ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
อธิบายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุน้ ความสนใจ
๓ วัฏจักรชีวิตของสัตว์
สัตว์เป็นสิง่ มีชวี ติ ทีส่ ามารถเจริญเติบโตและสืบพันธุอ์ อกลูกออกหลานได้ เพือ่ ด�ารงเผ่าพันธุ์ให้คงอยูต่ อ่ ไป เมือ่ ลูกสัตว์เกิดมาหรือฟักออกจากไข่ ยังเจริญเติบโต ไม่เต็มที ่ จากนัน้ จะค่อยๆ เปลีย่ นแปลงและเจริญเติบโตขึน้ จนเป็นตัวเต็มวัย และ สามารถสืบพันธุอ์ อกลูกออกหลานได้ การเปลีย่ นแปลงทีเ่ กิดขึน้ นี ้ เรียกว่า วัฏจักร ชีวติ ของสัตว์ ซึง่ จะเกิดขึน้ หมุนเวียนต่อกันไปเช่นนีเ้ รือ่ ยๆ
กิจกรรมพัฒนาการเรียนรู้ที่ ๓
Engage
1. ใหนักเรียนดูภาพในหนานี้ แลวถามนักเรียนวา • จากภาพมีสัตวกี่ชนิด อะไรบาง (ตอบ 3 ชนิด คือ ยุง ไก และแรด) 2. ใหนักเรียนชวยกันเรียงลําดับวัฏจักรชีวิตของ สัตวแตละชนิด ซึ่งไดดังนี้ ① ⑤ ② •④ ⑦ ⑨ •③ ➇ •⑥ 3. ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายวัฏจักรชีวิตของ สัตวทั้ง 3 ชนิดวา เหมือนหรือตางกันอยางไร
จากภาพ มีสัตว์ ๓ ชนิด ให้เรียงล�าดับวัฏจักรชีวิตของสัตว์ทั้ง ๓ ชนิดให้ถูกต้อง
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
39
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
หากวัฏจักรชีวิตของสัตวชวงใดชวงหนึ่งถูกทําลายลง จะสงผลกระทบตอ สัตวอยางไร แนวตอบ ทําใหวัฏจักรชีวิตของสัตวนั้นหยุดชะงักลง เชน เราทําลาย แหลงที่มีนํ้าขัง ทําใหยุงลายไมมีที่วางไข และลูกนํ้ายุงลายถูกกําจัดไป เปนตน
มุม IT ครูศึกษาขอมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเจริญเติบโตของสัตว ไดจากเว็บไซต www.myfistbrain.com โดยวิธีการ ดังนี้ • คลิก บทเรียนวิทยาศาสตร • คลิก ฟสิกส-เคมี-ชีวะ • คลิก ชีววิทยา • พิมพคําวา การเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตในชองคนหา แลวคลิก • คลิก การเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต : การเจริญเติบโตของสัตว
คู่มือครู
39
Exploreนหา ส�ารวจค้
อธิบายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
Explore
๑. วัฏจักรชีวิตของสัตว์ที่ออกลูกเป็นไข่ สัตว์ที่ออกลูกเป็นไข่ เมื่อสัตว์ตัวเมียออกไข่ ไข่จะฟักเป็นตัวภายหลัง ซึ่งวัฏจักรชีวิตของสัตว์ที่ออกลูกเป็นไข่ แบ่งได้ดังนี้ ๑) วัฏจักรชีวิตของสัตว์ที่มี ๓ ระยะ สัตว์บางชนิดมีวัฏจักรชีวิตแบ่งเป็น ๓ ระยะ เช่น ไก่ จิ้งจก งู ปลา แมลงบางชนิด เช่น ตั๊กแตน แมลงสาบ เป็นต้น
ไข่
ระย
วัฏจักรชีวิต ของสัตว์ ที่มี ๓ ระยะ
ะท ี่ ๑
มวยั
ไข่
1. ใหนักเรียนแบงเปน 3 กลุม ใหแตละกลุมศึกษา วัฏจักรชีวิตของสัตว ดังนี้ • กลุมที่ 1 เลี้ยงลูกนํ้ายุง • กลุมที่ 2 เลี้ยงไขกบ • กลุมที่ 3 เลี้ยงหนอนผีเสื้อ 2. ใหนักเรียนแบงกลุม ใหแตละกลุมทํากิจกรรม ที่ 3 เพื่อศึกษาวัฏจักรชีวิตของสัตว โดยปฏิบัติ ดังนี้ 1) ศึกษาขั้นตอนการทํากิจกรรมที่ 3 จากหนังสือ หนา 43 หากมีขอสงสัยใหซักถามครู 2) ใหแตละกลุมกําหนดปญหาในการทดลอง จากนั้นชวยกันตั้งสมมติฐาน 3) ใหแตละกลุมทําการทดลองเพื่อตรวจสอบ สมมติฐาน 4) สมาชิกในกลุมชวยกันบันทึกผลการทํา กิจกรรม และรวมกันอภิปรายเพื่อสรุปผล
ที่ ๓
ส�ารวจค้นหา
ตัวเต ็
Engage
ส�ารวจค้นหา
ระยะ
กระตุ้นความสนใจ
2
ตัวเต็มวัย
1
ตัวอ่อน
ตวั ออ่ น
▲▲
ระยะท ี่ ๒
ภาพที่ ๑.๒๙ วัฏจักรชีวิตของตั๊กแตน
ส่วนสัตว์สะเทินน�้าสะเทินบก เช่น กบ คางคก อึ่งอ่าง เป็นต้น จะมี การเปลี่ยนแปลงรูปร่างระหว่างการเจริญเติบโตของตัวอ่อนอย่างเห็นได้ชัด
ตัวอ่อน (ลูกอ๊อด)
ไข่ ▲▲
ตัวอ่อนที่มีการ เปลี่ยนแปลงรูปร่าง
3
ตัวเต็มวัย
ภาพที่ ๑.๓๐ วัฏจักรชีวิตของกบ จะมีการเปลี่ยนแปลงในระยะตัวอ่อนอย่างชัดเจน
40
นักเรียนควรรู 1 ตัวออน (Nymph) ในที่นี้หมายถึง ตัวออนของแมลงที่มีรูปรางลักษณะ ใกลเคียงกับตัวเต็มวัย ซึ่งจะมีความแตกตางกับตัวเต็มวัยเพียงเล็กนอย เชน ตัวออนของตั๊กแตน ตัวออนของจิ้งหรีด เปนตน 2 ตัวเต็มวัย หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่เจริญเติบโตเต็มที่พรอมจะสืบพันธุได 3 วัฏจักรชีวิตของกบ แบงเปน 3 ระยะ ไดแก ไข ตัวออน และตัวเต็มวัย แตในระยะตัวออนจะมีการเปลี่ยนแปลงเปนระยะตางๆ ดังนี้ • ตัวออนระยะที่ 1 เรียกวา ลูกออด • ตัวออนระยะที่ 2 ขาคูหลังเริ่มงอก • ตัวออนระยะที่ 3 ขาหนาเริ่มงอก และหางเริ่มหดสั้นลง
40
คู่มือครู
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
ตั๊กแตน เปนสัตวที่มีการเจริญเติบโตและเปลี่ยนแปลงรูปรางตามขอใด ตัวออน ตัวออนในนํ้า ตัวเต็มวัย 1. ไข ตัวออน ตัวเต็มวัย 2. ไข ตัวออน ดักแด ตัวเต็มวัย 3. ไข ดักแด ตัวเต็มวัย 4. ไข วิเคราะหคําตอบ ตั๊กแตนเปนสัตวที่มีวัฎจักรชีวิตเปน 3 ระยะคือ ไข ตัวออน และตัวเต็มวัย ดังนั้น ขอ 2. จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
Engage
Explore
อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบายความรู้
๒) วัฏจักรชีวิตของสัตว์ที่มี ๔ ระยะ ลูกสัตว์บางชนิดเมื่อฟักออกจากไข่ แล้ว จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างแบบสมบูรณ์เป็น ๔ ระยะ ได้แก่ ไข่ ตัวอ่อน ดักแด้ และตัวเต็มวัย สัตว์ที่มีวัฏจักรชีวิตเช่นนี้เป็นสัตว์จ�าพวกแมลง เช่น ผีเสื้อ แมลงวัน ยุง ด้วงกว่าง หิ่งห้อย เป็นต้น
ะ ระย
ที่ ๓
้
ตัวอ่อ
มอด
ตัวออน (ลูกนํ้า) ดักแด (ตัวโมง)
1 น
ดักแด้
ะ ระย
▲▲
3. ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายวัฏจักรชีวิตของกบ จนไดขอสรุปวา กบมีวัฏจักรชีวิตเปน 3 ระยะ ดังนี้
ภาพที่ ๑.๓๑ วัฏจักรชีวิตของมอด แมลงวัน
ยุง
ตัวโม่ง
ไข
ไข่ ดักแด้
ไข่
ลูกน�้า ▲▲
ไข
ยุง
หนอน
ที่ ๒
ตัว
ด ดักแ
วัฏจักรชีวิต ของสัตว์ ที่มี ๔ ระยะ
1. ใหกลุมที่ 1 - 3 ผลัดกันสงตัวแทนออกมา รายงานผลการทํากิจกรรมจนครบทั้ง 3 กลุม 2. ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายวัฏจักรของยุง จนไดขอสรุปวา ยุงมีวัฏจักรชีวิตเปน 4 ระยะ ดังนี้
ไข่
ี่ ๑ ยะท ระ ไข่
ระย
๔ ะท ี่ ม ็เต วยั
Explain
ตัวเต็มวัย (กบ)
ตัวออน (ลูกออด)
หนอน
ภาพที่ ๑.๓๒ วัฏจักรชีวิตของยุง
▲▲
ภาพที่ ๑.๓๓ วัฏจักรชีวิตของแมลงวัน
ไข่
4. ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายวัฏจักรชีวิตของ ผีเสื้อจนไดขอสรุปวา ผีเสื้อมีวัฏจักรชีวิตเปน 4 ระยะ ดังนี้
หนอน
ไข
2
ผีเสื้อกลางคืน
ผีเสื้อ
ดักแด้ ▲▲
ตัวออน (หนอน)
ภาพที่ ๑.๓๔ วัฏจักรชีวิตของผีเสื้อกลางคืน
41
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
สัตวคูใดที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปรางแบบสมบูรณเปน 4 ระยะ หลังจากที่ ฟกออกจากไข 1. มด จิ้งหรีด 2. แมลงปอ ตั๊กแตน 3. ผีเสื้อ แมลงวัน 4. ยุง เพลี้ย
วิเคราะหคําตอบ ผีเสื้อและแมลงวันเปนสัตวที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปราง ครบ 4 ระยะ คือ ไข ตัวออน ดักแด และตัวเต็มวัย ดังนั้น ขอ 3. จึงเปน
ดักแด
นักเรียนควรรู 1 ตัวออน (Larva) ในที่นี้หมายถึง ตัวออนที่มีความแตกตางจากตัวเต็มวัยโดย สิ้นเชิง ทั้งในเรื่องของรูปรางลักษณะ สีสัน การกินอาหาร เชน ตัวออนของดวง ตัวออนของผึ้ง เปนตน 2 ผีเสื้อกลางคืน (moth) มีหนวด 2 เสนที่หัว หนวดมีลักษณะเปนซี่ๆ คลายขนนก มีสีทึมๆ ลําตัวอวน เวลาเกาะจะกางปกออกทําใหมองดูคลายกระโจม ออกหากินในเวลากลางคืน ชอบบินเขาหาแสงไฟ
คําตอบที่ถูกตอง
คู่มือครู
41
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
Engage
Explore
อธิบายความรู้
อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
Explain
1. ใหแตละกลุมศึกษาขอมูลวัฏจักรชีวิตของสัตว หนา 40 - 42 2. ใหแตละกลุมนําขอมูลที่อานมาสรุปเปนแผนผัง ความคิด จากนั้นสงตัวแทนออกมานําเสนอ แผนผังความคิดที่หนาชั้นเรียน 3. ใหนักเรียนเปรียบเทียบวัฏจักรชีวิตของยุง กับ ผีเสื้อ วามี 4 ระยะ เหมือนกัน แตแตกตางกัน อยางไร (ตอบ วัฏจักรชีวิตระยะที่ 1 - 3 ของยุงเจริญอยู ในนํ้า ขณะที่วัฏจักรชีวิตระยะที่ 1 - 3 ของผีเสื้อ เจริญเติบโตอยูบนบก)
๒. วัฏจักรชีวติ ของสัตว์ทอี่ อกลูกเป็นตัว สัตว์ทอี่ อกลูกเป็นตัวจะมีวฏั จักรชีวติ เริม่ จากลูกสัตว์ทคี่ ลอดจากท้องแม่ (ตัวอ่อน) จะมีลักษณะรูปร่างคล้ายคลึงกับพ่อแม่แต่มี ขนาดเล็กกว่า อวัยวะต่างๆ ยังเจริญเติบโต ไม่เต็มที ่ และในระหว่างการเจริญเติบโตเป็น ตัวเต็มวัย จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ลักษณะ สัตว์ประเภทนี้มีวัฏจักรชีวิต เป็น ๒ ระยะ ดังนี้
▲▲
ภาพที่ ๑.๓๕ ลูกหมีเกิดมามีลักษณะเหมือน พ่อแม่
ระยะที่ ๑
ตวั อ่อน วัฏจักรชีวิต ของสัตว์ ที่มี ๒ ระยะ
ตวั เตม ต็มวัย
สัตว์ที่ออกลูกเป็นตัว ได้แก่ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน�้านม เช่น สุนัข 1 2 แมว ช้าง ม้า วัว ควาย หนู วาฬ โลมา พะยูน แมวน�้า เป็นต้น ปลาบางชนิด เช่น ปลาหางนกยูง ปลาสอด ปลาเข็ม เป็นต้น
▲▲
ภาพที่ ๑.๓๖ ลูกวัวเกิดมามีลักษณะเหมือน พ่อแม่
▲▲
▲▲
▲▲
ภาพที ่ ๑.๓๗ ลูกพะยูนเกิดมามีลกั ษณะเหมือน พ่อแม่
42
นักเรียนควรรู 1 วาฬ เปนสัตวเลี้ยงลูกดวยนํ้านมที่มีขนาดใหญที่สุดในโลก ออกลูกเปนตัว ถึงแมวาวาฬจะเปนสัตวที่อาศัยอยูในนํ้า แตวาฬไมใชสัตวประเภทปลา เนื่องจาก วาฬหายใจดวยปอด ซึ่งเหมือนกับคน วาฬจึงตองขึ้นมาหายใจเหนือผิวนํ้าอยูตลอด 2 โลมา เปนสัตวเลี้ยงลูกดวยนํ้านม อาศัยอยูในนํ้า มีเชื้อสายใกลเคียงกับ “วาฬ” โลมาเปนสัตวที่มีสติปญญาสูงชนิดหนึ่ง เพราะโลมามีขนาดสมองที่มีขนาดใหญ เมื่อเทียบกับลําตัว มีสมองที่มีความซับซอน จนทําใหมีนักวิทยาศาสตรผูหนึ่งกลาววา โลมาอาจจะฉลาดเทากับมนุษยก็เปนได
42
คู่มือครู
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
สัตวในขอใดที่มีการปฏิสนธิภายในและออกลูกเปนตัว 1. กบ 2. โลมา 3. เตา 4. แมลงวัน วิเคราะหคําตอบ โลมา เปนสัตวที่อาศัยอยูในนํ้า มีการปฏิสนธิภายใน และออกลูกเปนตัว จัดเปนสัตวเลี้ยงลูกดวยนํ้านม โดยมีตอมนํ้านมอยู สองขางของชองเพศ ดังนั้น ขอ 2. จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
Engage
Explore
อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบายความรู้ กิจกรรมหนูน้อยนักส�ารวจ กิจกรรมที่ ๓ วัฏจักรชีวิตของสัตว์
ปัญหา อุปกรณ์ วิธีทํา
สัตว์ที่มีวัฏจักรชีวิตเป็น ๔ ระยะ มีการเปลี่ยนแปลงแตกต่างกันอย่างไร เตรียมอุปกรณ์ตามความเหมาะสมกับสัตว์ที่ทดลองเลี้ยง ๑. ครูแบ่งนักเรียนในชั้นเป็น ๓ กลุ่ม ให้เลี้ยงสัตว์ตามที่ก�าหนด กลุ่มที่ ๑ เลี้ยงลูกน�้ายุง และสังเกตการเปลี่ยนแปลงทุกวัน กลุ่มที่ ๒ เลี้ยงไข่กบ และสังเกตการเปลี่ยนแปลงทุกวัน กลุ่มที่ ๓ เลี้ยงหนอนผีเสื้อ และสังเกตการเปลี่ยนแปลงทุกวัน ๒. บันทึกผลการเปลี่ยนแปลงลงในตาราง พร้อมกับเขียนแผนภาพแสดง วัฏจักรชีวิตของสัตว์ตามที่สังเกตได้ ๓. น�าผลการทดลองมาเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่น และสรุปเป็นองค์ความรู้
สําหรับครู ๑. ครูแนะน�าวิธีเลี้ยงและการให้อาหารสัตว์แต่ละชนิดแก่นักเรียนทุกกลุ่ม ๒. ครูให้นักเรียนคอยรายงานผลเป็นระยะๆ ๓. ครูอาจให้นักเรียนทดลองเลี้ยงสัตว์ชนิดอื่นที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นก็ได้
Explain
1. ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายวัฏจักรชีวิตของ สัตวที่ออกลูกเปนตัว 2. ใหนักเรียนชวยกันยกตัวอยางชื่อสัตวที่มี วัฏจักรชีวิตเปน 2 ระยะ เพิ่มเติมใหได มากที่สุด 3. ครูถามนักเรียนวา • มนุษยมีวัฏจักรชีวิตเปนกี่ระยะ เพราะอะไร (ตอบ 2 ระยะ ไดแก ตัวออน และตัวเต็มวัย เพราะมนุษยจัดเปนสัตวเลี้ยงลูกดวยนํ้านม ชนิดหนึ่ง)
จากการท�ากิจกรรมที่ ๓ ท�าให้นักเรียนทราบว่า สัตว์บางชนิด เช่น ยุง 1 กบ ผีเสื้อ เป็นต้น เมื่อไข่ที่ได้รับการผสมพันธุ์จะเจริญเป็นตัวอ่อน และตัวอ่อน เจริญเติบโต ซึ่งในระหว่างช่วงนี้ตัวอ่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างอย่างเห็น ได้ชดั จนกลายเป็นตัวเต็มวัย จนกระทัง่ สามารถสืบพันธุ์ได้ หมุนเวียนเป็นวัฏจักร
➜ ➜
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
ตัวโมงของลูกนํ้ายุงเทียบไดกับวัฏจักรชีวิตของผีเสื้อในระยะใด 1. ไข 2. ตัวออน 3. ดักแด 4. ตัวเต็มวัย
วิเคราะหคําตอบ ตัวโมงของลูกนํ้ายุง เปนระยะที่หยุดกินอาหารและเปน ระยะสุดทายกอนที่จะเขาสูระยะตัวเต็มวัย ซึ่งจะเทียบไดกับระยะดักแดของ ผีเสื้อ ดังนั้น ขอ 3. จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง
➜
เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจวา สัตวตางๆ มีประโยชนตอคนเรา การนํา สัตวมาทําการทดลองควรทําดวยความเมตตา ไมแกลงหรือทําอันตรายสัตวเพราะ ความสนุกสนาน เพราะไมวาจะเปนสัตวชนิดใดก็ตามก็เปนสิ่งมีชีวิตเชนเดียวกับ คนเรา ดังนั้น เราจึงตองรูจักคุณคาของสิ่งมีชีวิต
นักเรียนควรรู 1 ผีเสื้อ (butterfifly) มีลักษณะ ดังนี้ • มีหนวด 2 เสนที่หัว หนวดเปนเสนมีตุมที่ปลายหนวด • มีสีสันสดใส ลําตัวเรียวยาว • เวลากางปกจะพับปกไว • ออกหากินในเวลากลางวัน คู่มือครู
43
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
Engage
Explore
อธิบายความรู้
อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
Explain
1. ใหแตละกลุมรวมกันอภิปรายวาจะนําความรู เรื่องวัฏจักรชีวิตของสัตวไปใชประโยชนได อยางไรบาง 2. ใหแตละกลุมสงตัวแทนออกมารายงาน แลวครู จดลงบนกระดาน ในประเด็นที่แตละกลุมเสนอ ขอมูลไมซํ้ากัน 3. ใหนักเรียนนําขอมูลบนกระดาน เปรียบเทียบ กับในหนังสือ หนา 44 แลวรวมกันสรุปเปน องคความรู
๓. การใช้ประโยชน์จากวัฏจักรชีวิตของสัตว์ การเรียนรู้เกี่ยวกับวัฏจักรชีวิตของสัตว์ ท�าให้มนุษย์น�าความรู้มาใช้ ประโยชน์มากมาย ทั้งด้านการเกษตร ด้านอุตสาหกรรม และด้านการดูแลรักษา สิ่งแวดล้อม การใช้ประโยชน์จาก วัฏจักรของสัตว์
๑) ด้านการเกษตร
๒) ด้านอุตสาหกรรม
ใช้ความรู้เกี่ยวกับวัฏจักร ชีวิตของสัตว์มาเพาะเลี้ยง สัตว์ เพื่อการใช้งานด้าน ต่างๆ เช่น - ใช้แรงงาน - ใช้เป็นพาหนะ
ใช้ความรู้เกี่ยวกับวัฏจักร ชีวิตของสัตว์มาเพิ่ม ผลผลิต เช่น - ด้านอาหาร - การผลิตเส้นไหม
๓) ด้านการดูแลรักษาสิ�งแวดล้อม ดูแลสิ่งแวดล้อม เช่น 1 การก�าจัดลูกน�้ายุงลาย การอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ เช่น - ไม่จับสัตว์น�้าในฤดูวางไข่ - ช่วยเพาะพันธ์ุสัตว์ที่ใกล้ สูญพันธ์ุ
¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒà¡ÕèÂǡѺÇѯ¨Ñ¡ÃªÕÇÔµ¢Í§ÊÑµÇ ¹Í¡¨Ò¡¨Ð¹íÒÁÒ㪌»ÃÐ⪹ ã¹´ŒÒ¹ÍØ»âÀ¤ ºÃÔâÀ¤áÅŒÇ àÃÒ¤ÇùíÒ¤ÇÒÁÃÙŒÁÒ㪌㹴ŒÒ¹¡ÒÃ͹ØÃÑ¡É ¾Ñ¹¸Ø ÊÑµÇ áÅСÒôÙáÅÃÑ¡ÉÒÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ´ŒÇ 44
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
นักเรียนควรรู 1 ยุงลาย เปนพาหะนําโรคไขเลือดออก ดังนั้นจึงมีการรณรงคใหกําจัดลูกนํ้า ยุงลาย โดยใหปฏิบัติ ดังนี้ • ปดฝาโองนํ้าใหมิดชิด เพื่อไมใหยุงลายลงไปวางไขได • ทําลายแหลงที่มีนํ้าขังบริเวณบานและชุมชน • ใชทรายเคมีกําจัดลูกนํ้า (ทรายอะเบท) โดยใสลงในจานของขารองตู กับขาว
เสนใยไหมไดจากสวนใดของไหม 1. ตัวไหมในระยะตัวออน 2. ตัวไหมในระยะตัวเต็มวัย 3. รังไหมในระยะเปนตัวหนอน 4. รังไหมในระยะที่เปนดักแด
วิเคราะหคําตอบ ในระยะดักแด ตัวหนอนจะสรางรังไหมหอหุมตัวเอง และรังไหมจะสามารถสาวออกเปนเสนใยเสนเล็กๆ ได ดังนั้น ขอ 4.
จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง
ยุงลาย
44
คู่มือครู
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
อธิบายความรู้
Engage
Explore
Explain
ขยายความเข้าใจ Expand าใจ ขยายความเข้
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
ขยายความเข้าใจ
กิจกรรมรวบยอด ตอนที่ ๑ แนวคิดสําคัญ ช่วยกันสรุป ครู ให้นักเรียนแบ่ง1กลุ่ม แล้วให้แต่ละกลุ่มสรุปความรู้เกี่ยวกับการสืบพันธ์ุของสัตว์ การขยายพันธ์ุสัตว์ และวัฏจักรชีวิตของสัตว์ จากนั้นเขียนแสดงเป็นแผนผังความคิด และส่งตัวแทนน�าเสนอผลงาน ตอนที่ ๒ ลองคิด ลองทํา ๑. วาดภาพหรือติดภาพสัตว์ที่นักเรียนชอบมากที่สุดลงในสมุด และบันทึกข้อมูลตาม ตัวอย่าง
(ติดภาพ)
Expand
1. ใหแตละกลุมไปสืบคนขอมูลวัฏจักรชีวิต ของสัตวชนิดอื่นๆ (นอกเหนือจากที่เรียนใน บทเรียน) เชน หมึก หอย แมงมุม เห็บ มด กิ้งกือ แลวผลัดกันนําเสนอเพื่อขยายความรู ความเขาใจ 2. ใหนักเรียนศึกษาและเขียนแผนภาพวัฏจักร ชีวิตของสัตวในทองถิ่นมา 1 ชนิด โดยทํา ลงในสมุด หรือทํากิจกรรมรวบยอดที่ 1.7 จากแบบวัดฯ วิทยาศาสตร ป.5 ✓ แบบวัดฯ ใบงาน แบบฝกฯ ว�ทยาศาสตร ป.5 กิจกรรมรวบยอดที่ 1.7 แบบประเมินตัวช�้วัด ว 1.1 ป.5/5
สัตว์ที่ฉันชอบมากที่สุด คือ มีการสืบพันธุ์แบบ ึกขอมูล ใหนักเรียนบันทตัวนักเรียน มีการปฏิสนธิ ำ จ� ระ ป ด ุ สม ลงใน ออกลูกเป็น มีขั้นตอนการสืบพันธุ์ ดังนี้
กิจกรรมรวบยอดที่ 1.7 แบบประเมินตัวชี้วัด ว 1.1 ป.5/5 • อธิบายวัฏจักรชีวิตของสัตวบางชนิด และนําความรูไปใชประโยชน ชุดที่ 1
10 คะแนน
สืบคนขอมูลวัฏจักรชีวิตของสัตวที่สนใจ มา 1 ชนิด แลวเขียนแผนภาพแสดงวัฏจักรชีวิตของสัตว ชนิดนี้ จากนั้นเขียนอธิบายวัฏจักรชีวิตของสัตวประกอบแผนภาพ (ตัวอยาง)
๒. ดูภาพและร่วมกันอภิปรายว่า สิ่งมีชีวิตในภาพมีการสืบพันธ์ุแบบใด และมีลักษณะ การสืบพันธ์ุอย่างไร
หนอนไมไผ
ฉบับ
เฉลย ไข
ดักแด
ผีเสื้อกลางคืน
ผีเสื้อกลางคืน วัฏจักรชีวิตของ ........................................................................................................................................................................................... 1. ผีเสื้อกลางคืนตัวเมียวางไข สัตวชนิดนี้มีวัฏจักรชีวิต ดังนี้ ................................................................................................................................................................
๑) พลานาเรีย
๒) อะมีบา
2. ไขฟกเปนตัวออน (หนอนไมไผ) 3. ตัวออนพัฒนาเปนดักแด 4. ดักแดเจริญเปนตัวเต็มวัย ซึ่งเปนผีเสื้อกลางคืนชนิดหนึ่ง ............................................................................................................................................................................................................................................................... ...............................................................................................................................................................................................................................................................
๓) ดาวทะเล
...............................................................................................................................................................................................................................................................
ตัวชี้วัด ว 1.1 ขอ 5
ไดคะแนน คะแนนเต็ม
10
๓. แบ่งกลุ่ม ให้แต่ละกลุ่มสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับการผสมเทียมสัตว์ ๑ ชนิด และจัดทํา เป็นรายงาน พร้อมกับติดภาพประกอบ จากนั้นส่งตัวแทนออกมารายงานหน้าชั้น
23
45
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
การผสมเทียมมีวิธีการอยางไร 1. สัตวที่มี 2 เพศ ผสมพันธุในตัวเอง 2. สัตวตางชนิดผสมพันธุกัน 3. สัตวเพศผูปลอยอสุจิในสัตวเพศเมีย 4. การนํานํ้าเชื้อจากสัตวเพศผูผสมกับไขของสัตวเพศเมีย
วิเคราะหคําตอบ การผสมเทียม เปนการนํานํ้าเชื้อจากสัตวเพศผูมาผสม กับไขของสัตวเพศเมีย โดยที่สัตวไมตองผสมพันธุกันเองตามธรรมชาติ ดังนั้น ขอ 4. จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง
นักเรียนควรรู 1 การขยายพันธุสัตว ประเทศไทยไดมีการศึกษา และพัฒนาการใชเทคโนโลยี ในการเพิ่มผลทางการเกษตรที่เกี่ยวของกับสัตวเพิ่มขึ้น โดยใชเทคโนโลยีชีวภาพ เชน การผสมเทียม การฝากถายตัวออน การโคลนนิ่ง พันธุวิศวกรรม ทําใหสามารถนํา ไปใชประโยชนในดานตางๆ เชน ดานการเกษตรกรรม อุตสาหกรรมการแพทย และดานอาหาร ทําใหประเทศไทยมีผลผลิตเพื่อใชในการอุปโภคและบริโภคอยาง เพียงพอ ไมประสบปญหาหารขาดแคลนอาหาร และยังสามารถเปนสินคาสงออกที่ สําคัญของประเทศไดอีกดวย
คู่มือครู
45
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
อธิบายความรู้
Engage
Explore
Explain
ขยายความเข้าใจ
ขยายความเข้าใจ Expand าใจ ขยายความเข้
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
Expand
1. ใหนกั เรียนอานจดหมายหนา 46 แลวใชความรู เรื่องวัฏจักรชีวิตเขียนตอบจดหมาย 2. ครูสมุ เรียกนักเรียนครัง้ ละ 1 คน อานจดหมาย ที่ตนเองเขียนตอบไป 3. ใหเพื่อนๆ รวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ ตอบจดหมายของเพื่อนวา ตอบไดชัดเจน ตรงประเด็นหรือไม 4. ใหนักเรียนทํากิจกรรมรวบยอด ตอนที่ 3 หนา 46 ลงในสมุด
๔. ศึกษาและเขียนแผนภาพวัฏจักรชีวิตของสัตว์ในท้องถิ่นที่สนใจมา ๑ ชนิด (ไม่ซ�้า กับในบทเรียน) และเขียนอธิบายวัฏจักรของสัตว์ชนิดนั้นลงในสมุด ๕. ใช้ความรู้ที่เรียนมา เขียนตอบจดหมายฉบับนี้ลงในสมุด สวัสดีครับ เพื่อนๆ ผมเกิดมาก�าพร้าพ่อแม่ ผมอาศัยอยู่ในแอ่งน�้าเล็กๆ แห่งหนึ่ง ในแอ่งน�้าที่ผม อยู่มีสัตว์รูปร่างประหลาดๆ อยู่มากมาย ลุงปลาช่อนบอกว่า พวกเขาเป็นพี่น้อง ของผม แต่ท�าไมผมจึงมีรูปร่างไม่เหมือนพวกเขาเลยครับ พวกเขาบางตัวก็มี รูปร่างคล้ายผม แต่มขี าด้วย บางตัวก็มรี ป ู ร่างไม่เหมือนผม ผมผิดปกติหรือเปล่า แล้วพ่อแม่ของผมล่ะครับหน้าตาเป็นอย่างไร เพื่อนๆ ช่วยบอกผมหน่อยนะครับ จาก ลูกออด
๖. แบ่งกลุ่ม ให้แต่ละกลุ่มสืบค้นข้อมูลและร่วมกันอภิปรายว่า จะน�าความรู้เรื่อง วัฏจักรชีวิตของสัตว์ไปใช้ประโยชน์อย่างไรบ้าง และบันทึกข้อมูล ตอนที่ ๓ คําถามวิทย์คิดสนุก ตอบคําถามต่อไปนี้ลงในสมุด ๑) การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศของสัตว์มีลักษณะอย่างไร ๒) สัตว์ประเภทใดมีการปฏิสนธิภายนอกร่างกาย ๓) สัตว์ที่มีลักษณะอย่างไรที่คนคัดเลือกมาขยายพันธุ์ บอกมา ๓ ลักษณะ ๔) การผสมเทียมมีวิธีการอย่างไร ๕) สัตว์ชนิดใดที่มีการเปลี่ยนแปลงเป็น ๓ ระยะ บอกมา ๓ ชนิด ๖) สัตว์ชนิดใดบ้าง มีวัฏจักรชีวิตดังแผนภาพ ไข่ บอกมา ๓ ชนิด ตัวเต็มวัย
ตัวอ่อน
ดักแด้ 46
เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจวา วัฏจักรชีวิตของแมลงที่มีการ เปลี่ยนแปลงรูปรางแบบสมบูรณ จะมีการเปลี่ยนแปลงเปน 4 ระยะ ไดแก • ระยะที่ 1 ไข • ระยะที่ 2 ตัวออน ซึ่งมีรูปรางแตกตางจากพอแมมาก และกินอาหาร แตกตางจากพอแม และลอกคราบหลายครัง้ เมือ่ เจริญเต็มทีจ่ ะหยุดกินอาหาร เพือ่ เขาสูร ะยะที่ 3 • ระยะที่ 3 ดักแด ระยะนี้แมลงบางชนิดจะปนใยไหมหอหุมตัวเอง ในระยะนี้ มันจะหยุดนิ่งและมีการเปลี่ยนแปลงรูปรางลักษณะไปเปนแมลงที่สมบูรณ • ระยะที่ 4 ตัวเต็มวัย เมื่อครบกําหนด ตัวเต็มวัยก็จะเจาะรังใยไหมออกมา
46
คู่มือครู
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
ยุงมีการเปลี่ยนแปลงรูปรางเพื่อการเจริญเติบโตเหมือนสัตวในขอใด 1. ผีเสื้อ 2. จิ้งหรีด 3. แมลงสาบ 4. ตั๊กแตน วิเคราะหคําตอบ ยุงมีการเปลี่ยนแปลงรูปรางขณะเจริญเติบโตเปน 4 ขั้น คือ ไข ตัวออน ดักแด และตัวเต็มวัย ซึ่งผีเสื้อก็มีการเปลี่ยนแปลง รูปรางขณะเจริญเติบโตเปน 4 ขั้นเชนเดียวกัน ดังนั้น ขอ 1. จึงเปน
คําตอบที่ถูกตอง
กิจกรรมทาทาย ใหนักเรียนเลือกสัตวที่นักเรียนสนใจมา 1 ชนิด โดยให • เขียนวัฏจักรชีวิตของสัตวที่เลือกมา • อธิบายลักษณะในแตละระยะของสัตวที่มีการเปลี่ยนแปลง • บอกประโยชนของสัตวชนิดนี้
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
อธิบายความรู้
ขยายความเข้าใจ
Engage
Explore
Explain
Expand
ตรวจสอบผล Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate
ตรวจสอบผล
สาระส�าคัญ จดจ�าไว้
การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมในครอบครัว ท�าให้คนที่อยู่ ในครอบครัวเดียวกัน มีลักษณะ บางอย่างเหมือนกัน
ืช ด อ
ศ ึก ษ า
ก
พ
รร ม า ง พั น ธ ุก
์ุของ
รอบ
ก า ร สื บ
ยทอ
ในค
ค ร ัว
ถ ่า การ
องคน
การขยายพันธุพ์ ชื เป็นการท�าให้ ต้นพืชมีจา� นวนเพิม่ ขึน้ ท�าได้หลาย วิธี เช่น เพาะเมล็ด ปักช�า ติดตา ทาบกิ่ง
พัน ธ
ลัก ษ ณ ะ ข
ณะท ด ล ัก ษ
พืชดอกมีการสืบพันธุ์ ๒ แบบ แบบอาศัยเพศ การสืบพันธุท์ มี่ กี ารผสมกันของเซลล์ สืบพันธุ์เพศผู้กับเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย แบบไม่อาศัยเพศ การสืบพันธุท์ ี่ไม่มกี ารผสมกันของ เซลล์สืบพันธุ์เพศผู้กับเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย
การขยายพันธ์ุพืช
ชีวิ ต พืช
วัฏจักรชีวิตของสัตว์ เมื่อสัตว์ ได้รับการผสมพันธุ์จะเจริญเป็น ตัวอ่อน ▲ตัวเต็มวัย ▲สืบพันธุ์ ▲ออกลูก
วัฏจักรชีวิตของพืชดอก เริ่มเมื่อพืชดอกเจริญเติบโต ▲ออกดอก ดอกได้รับการผสม ▲เกิดผล ผลมีเมล็ด เมล็ดงอกเป็นพืชต้นใหม่
สืบพันธ์ุของสัตว์
พ ยาย การข
ตั ว์ วฏั จกั รของส
ก าร
เรยี นรชู้ วี ติ สตั ว์
นั ธส์ุ ตั ว์
1. ครูตรวจสอบการเขียนแผนภาพวัฏจักรชีวิต ของสัตววา ถูกตองชัดเจนหรือไม และเขียน อธิบายไดถูกตอง สัมพันธกับแผนภาพหรือไม 2. ครูพิจารณาการตอบจดหมายของนักเรียนวา ใชความรูมาตอบจดหมายหรือไม และตอบ ไดถูกตองชัดเจนหรือไม 3. ครูตรวจสอบการตอบคําถามจากกิจกรรม รวบยอด ตอนที่ 3 วาถูกตองหรือไม
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู
วฏั จกั รชวี ติ ของพชื ดอก
ÁËÑȨÃàÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ
Evaluate
1. 2. 3. 4.
สัตว์มีการสืบพันธุ์ ๒ แบบ แบบอาศัยเพศ เพศ เป็ เป็นการสืบพันธุ์ที่มีการผสม ระหว่างอสุจิกับไข่ แบบไม่อาศัยเพศ เป็ เพศ นการสืบพันธุ์ที่ไม่ต้องมี การผสมระหว่างอสุจิกับไข่
ใบบันทึกผลกิจกรรมหนูนอยนักสํารวจ บัตรภาพสัตว และการบันทึกขอมูล รายงานการผสมเทียมสัตว แผนภาพวัฏจักรชีวิตของสัตว และการเขียน อธิบายประกอบแผนภาพ
การคัดเลือกพันธุ์สัตว์ เป็นการเลือกสัตว์ที่มีลักษณะดี เช่น แข็งแรง ทนทาน คือ การน�าน�้าเชื้อจากสัตว์เพศผู้มาผสม การผสมเทียมม คื กับไข่ของสัตว์เพศเมียโดยสัตว์ ไม่ต้องผสมพันธุ์กันเอง ตามธรรมชาติ
ตรวจสอบตนเอง
นักเรียนลองสังเกตตนเองดูว่า ปฏิบัติสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่ เปรียบเทียบลักษณะของตนเองกับคนในครอบครัวได้ อธิบายการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตได้ บอกส่วนประกอบของดอกไม้ชนิดต่างๆ ได้ถูกต้อง บอกส่วนประกอบของดอกที่เกี่ยวข้องกับการสืบพันธ์ุ และอธิบายการสืบพันธ์ุของพืชดอกได้ถูกต้อง อธิบายการขยายพันธ์ุพืช และน�าไปปฏิบัติได้ อธิบายวัฏจักรชีวิตของพืชดอกบางชนิดได้ อธิบายการสืบพันธ์ุและการขยายพันธ์ุสัตว์ โดยการคัดเลือกพันธ์ุและการผสมเทียมได้ อธิบายวัฏจักรชีวิตของสัตว์บางชนิด และน�าไปใช้ประโยชน์ ได้
47
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
ขอใดไมใชวิธีการหรือขั้นตอนการขยายพันธุสัตว 1. การคัดแยกพันธุ 2. การผสมเทียม 3. การฝากถายตัวออน 4. การผสมพันธุตามธรรมชาติ
วิเคราะหคําตอบ การขยายพันธุสัตวใหไดผลดีนั้น ตองมีการคัดเลือกพันธุ สัตว เพื่อใหไดผลผลิตดีตามตองการ ซึ่งมีหลายวิธี เชน การผสมเทียม การ ฝากตัวออน การโคลนนิ่ง เปนตน ดังนั้น ขอ 4. จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง
เกร็ดแนะครู เมื่อเรียนจบหนวยนี้แลว ครูใหนักเรียนชวยกันสรุปความรูทั้งหมดที่ไดจาก หนวยการเรียนรูนี้ โดยครูใชเทคนิคการเขียนแผนผังความคิดเปนเครื่องมือในการ ใหนักเรียนไดระดมสมองในการสรุปบทเรียน โดยใหนักเรียนผลัดกันออกมาเขียน สิ่งที่ตนเองรูในรูปแผนผังความคิด เมื่อเรียนจบหนวยแลว ครูใหนักเรียนแตละคนตรวจสอบตนเองในแตละหัวขอ ถานักเรียนสามารถปฏิบัติไดในแตละหัวขอ แสดงวาเกิดความรูความเขาใจติดตัว คงทน แตถาหัวขอใดนักเรียนปฏิบัติไมได ใหครูชวยสอนซอมเสริม
คู่มือครู
47