คูมือครู 㪌»ÃСͺ¡ÒÃÊ͹ËÇÁ¡Ñº
˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ©ºÑº ÍÞ.
ภาพปกนี้มีขนาดเทากับหนังสือเรียนฉบับจริงของนักเรียน
กระบวนการสอนแบบ 5 Es ชวยสรางทักษะการเรียนรู กิจกรรมมุงพัฒนาทักษะการคิด คำถาม + แนวขอสอบเพื่อยกผลสัมฤทธิ์ O - NET กิจกรรมบูรณาการเตรียมพรอมสู ASEAN 2558
เอกสารประกอบคูมือครู
กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร
วิทยาศาสตร เลม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปที่
2
สําหรับครู
คูมือครู Version ใหม
ลักษณะเดน
ขยายพื้นที่รูปเลมใหญขึ้นกวาเดิม จัดแบงพื้นที่ออกเปนโซน เพื่อคนหาขอมูลไดงาย สะดวก รวดเร็ว และดูเปนระเบียบ กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล
กระตุน ความสนใจ
Evaluate
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
เปาหมายการเรียนรู สมรรถนะของผูเรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค
หน า
โซน 1 กระตุน ความสนใจ
Engage
สํารวจคนหา
Explore
อธิบายความรู
Explain
ขยายความเขาใจ
Expand
ตรวจสอบผล
หน า
หนั ง สื อ เรี ย น
โซน 1
หนั ง สื อ เรี ย น
Evaluate
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
O-NET บูรณาการเชื่อมสาระ
เกร็ดแนะครู
ขอสอบ
โซน 2
โซน 3
กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย
นักเรียนควรรู
โซน 3
โซน 2 บูรณาการอาเซียน มุม IT
No.
คูมือครู
คูมือครู
No.
โซน 1 ขั้นตอนการสอนแบบ 5Es
โซน 2 ชวยครูเตรียมสอน
โซน 3 ชวยครูเตรียมนักเรียน
เพื่อใหครูเตรียมจัดกิจกรรมการเรียน การสอน โดยแนะนําขั้นตอนการสอนและ การจัดกิจกรรมแบบ 5Es อยางละเอียด เพื่อใหนักเรียนบรรลุตามตัวชี้วัด
เพื่อชวยลดภาระครูผูสอน โดยแนะนํา เกร็ดความรูสําหรับครู ความรูเสริมสําหรับ นักเรียน รวมทั้งบูรณาการความรูสูอาเซียน และมุม IT
เพื่อใหครูสะดวกตอการจัดกิจกรรม โดย แนะนํากิจกรรมบูรณาการเชือ่ มระหวางสาระหรือ กลุมสาระการเรียนรู วิชา กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย รวมถึงเนื้อหาที่เคยออกขอสอบ O-NET แนวขอสอบ O-NET ที่เนนการคิด พรอมเฉลยและคําอธิบายอยางละเอียด
ที่ใชในคูมือครู
แถบสีและสัญลักษณ
แถบสีแสดงขั้นตอนการสอนและการจัดกิจกรรม แบบ 5Es เพื่อใหครูทราบวาเปนขั้นการสอนขั้นใด
1. แถบสี 5Es สีแดง
สีเขียว
กระตุน ความสนใจ
เสร�ม
สํารวจคนหา
Engage
2
•
เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใช เทคนิคกระตุน ความสนใจ เพื่อโยง เขาสูบทเรียน
สีสม
อธิบายความรู
Explore
•
เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนสํารวจ ปญหา และศึกษา ขอมูล
สีฟา
Explain
•
เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนคนหา คําตอบ จนเกิดความรู เชิงประจักษ
สีมวง
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
•
Evaluate
เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนนําความรู ไปคิดคนตอๆ ไป
•
เปนขั้นที่ผูสอน ประเมินมโนทัศน ของผูเรียน
2. สัญลักษณ สัญลักษณ
วัตถุประสงค
• เปาหมายการเรียนรู
• หลักฐานแสดง ผลการเรียนรู
• เกร็ดแนะครู
แทรกความรูเสริมสําหรับครู ขอเสนอแนะ ขอควรระวัง ขอสังเกต แนวทางการจัด กิจกรรมและอืน่ ๆ เพื่อประโยชนในการ จัดการเรียนการสอน ขยายความรูเพิ่มเติมจากเนื้อหา เพื่อให ครูนําไปใชอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียน ไดมีความรูมากขึ้น
•
ความรูห รือกิจกรรมเสริม ใหครูนาํ ไปใช เตรียมความพรอมใหกบั นักเรียนกอนเขาสู ประชาคมอาเซียนใน พ.ศ. 2558 โดย บูรณาการกับวิชาทีก่ าํ ลังเรียน
บูรณาการอาเซียน
•
คูม อื ครู
แสดงรองรอยหลักฐานตามภาระงาน ที่ครูมอบหมาย เพื่อแสดงผลการเรียนรู ตามตัวชี้วัด
• นักเรียนควรรู
มุม IT
แสดงเปาหมายการเรียนรูที่นักเรียน ตองบรรลุตามตัวชี้วัด ตลอดจนสมรรถนะ ที่จะตองมี และคุณลักษณะที่พึงเกิดขึ้น กับนักเรียน
แนะนําแหลงคนควาจากเว็บไซต เพื่อให ครูและนักเรียนไดเขาถึงขอมูลความรู ที่หลากหลาย ทั้งไทยและตางประเทศ
สัญลักษณ
ขอสอบ
วัตถุประสงค
O-NET
(เฉพาะวิชา ชัน้ ทีส่ อบ O-NET O-NET)
• ชีแ้ นะเนือ้ หาทีเ่ คยออกขอสอบ
O-NET โดยยกตัวอยางขอสอบ พรอมวิเคราะหคาํ ตอบ อยางละเอียด
• เปนตัวอยางขอสอบทีม่ งุ เนน แนว NT O-NE T (เฉพาะระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนตน)
แนว
O-NET
(เฉพาะระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนปลาย)
บูรณาการเชื่อมสาระ
กิจกรรมสรางเสริม
การคิดและเปนแนวขอสอบ NT/O-NET ในระดับมัธยมศึกษา ตอนตน มีทงั้ ปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลยอยางละเอียด
• เปนตัวอยางขอสอบทีม่ งุ เนน
การคิดและเปนแนวขอสอบ O-NET ในระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย มีทงั้ ปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลยอยางละเอียด
• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม
เชือ่ มกับสาระหรือกลุม สาระ การเรียนรู ระดับชัน้ หรือวิชาอืน่ ทีเ่ กีย่ วของ
• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม ซอมเสริมสําหรับนักเรียนทีค่ วร ไดรบั การพัฒนาการเรียนรู
• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม กิจกรรมทาทาย
ตอยอดสําหรับนักเรียนทีเ่ รียนรู ไดอยางรวดเร็ว และตองการ ทาทายความสามารถในระดับ ทีส่ งู ขึน้
คําแนะนําการใชคูมือครู การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอน คูม อื ครู รายวิชา วิทยาศาสตร ม.2 เลม 1 จัดทําขึน้ เพือ่ ใหครูผสู อนนําไปใชเปนแนวทางวางแผนการสอนเพือ่ พัฒนา ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน และประกันคุณภาพผูเ รียน ตามนโยบายของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน (สพฐ.) โดยใชหนังสือเรียน วิทยาศาสตร ม.2 เลม 1 ของบริษทั อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด เปนสือ่ หลัก (Core Material) ประกอบ เสร�ม การสอนและการจัดกิจกรรมการเรียนรูใหสอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดกลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร 3 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พ.ศ. 2551 โดยออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนตามหลักการสําคัญ ดังนี้ 1 ออกแบบการสอนเปนหนวยการเรียนรูอิงมาตรฐาน คูม อื ครู รายวิชา วิทยาศาสตร ม.2 เลม 1 วางแผนการสอนโดยแบงเปนหนวยการเรียนรูต ามลําดับสาระ (strand) และ หมายเลขขอของมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั แตละหนวยจะกําหนดเปาหมายการเรียนรูแ ละจุดประสงคการเรียนรู (Objective Learning) กิจกรรมการเรียนรู (Learning Activities) และแนวทางการประเมินผลการเรียนรู (Learning Evaluation) ไวชัดเจน ครูผูสอนสามารถจัดทําแผนการสอนใหครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัด สมรรถนะ และคุณลักษณะ อันพึงประสงคที่เปนเปาหมายการเรียนรูตามที่กําหนดไวในสาระแกนกลาง (ตามแผนภูมิ) และสามารถบันทึกผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของผูเรียนแตละคนลงในเอกสาร ปพ.5 ไดอยางมั่นใจ แผนภูมิแสดงความสัมพันธขององคประกอบการออกแบบการเรียนรูอิงมาตรฐานและเนนผูเรียนเปนสําคัญ
พผ
ูเ
จุ ด ป ร
ะสง
คก า
ส ภา
รี ย น
ร
รู ีเรยน
มาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัดชั้นป
ทักษะการคิด การวัดประเมินผล การเรียนรู
กิจกรรมการเรียนรู
เทคนิคการสอน คูม อื ครู
2 การจัดการเรียนรูที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ แนวคิ ด ในการจั ด การเรี ย นการสอนที่ ยึ ด ผู เ รี ย นเป น สํ า คั ญ พั ฒ นามาจากปรั ช ญาและทฤษฎี ก ารเรี ย นรู Constructivism ที่เชื่อวา การเรียนรูเปนกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในสมองของผูเรียนแตละคน ผูเรียนเปนผูสรางความรู โดยการเชื่อมโยงระหวางสิ่งที่ไดเรียนรูจากบทเรียนใหมกับความรูหรือประสบการณเดิมที่มีอยู ทฤษฎีนี้มีความเชื่อวา ผูเรียนทุกคนไดเรียนรูและมีการสั่งสมความรูความเขาใจเกี่ยวกับสิ่งตางๆ ติดตัวมากอน ทีจ่ ะเขาสูห อ งเรียน ซึง่ เปนการเรียนรูท เี่ กิดจากประสบการณและสิง่ แวดลอมรอบตัวผูเ รียนแตละคน ดังนัน้ การจัดกิจกรรม เสร�ม การเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ผูสอนจะตองคํานึงถึง
4
1. ความรูเดิมของผูเรียน วิธีการสอนที่ดีจะตองเริ่มตนจากจุดที่วา ผูเ รียนมีความรูอ ะไรมาบาง แลวจึงใหความรู หรือประสบการณใหม เพื่อตอยอดจาก ความรูเดิม นําไปสูการสรางความรู ความเขาใจใหม
2. ความรูเดิมของผูเรียนถูกตองหรือไม ผูส อนตองปรับเปลีย่ นความรูค วามเขาใจเดิม ของผูเรียนใหถูกตอง และเปนพฤติกรรม การเรียนรูใ หมทมี่ คี ณุ คาตอผูเรียน เพื่อสราง เจตคติหรือทัศนคติที่ดีตอการเรียนรู สิ่งเหลานั้น
3. ผูเรียนสรางความหมายสําหรับตนเอง ผูสอนตองสงเสริมใหผูเรียนนําความรู ความเขาใจที่เกิดขึ้นไปลงมือปฏิบัติ เพื่อขยายความรูใหลึกซึ้งและมีคุณคา ตอตัวผูเรียนมากที่สุด
แนวคิด Constructivism เนนใหผูเรียนสรางความรูโดยผานกระบวนการคิดและความอยากรูของตนเอง โดยมีผูสอนเปนผูสรางบรรยากาศ
การเรียนรูและกระตุนความสนใจ คอยจัดสถานการณใหผูเรียนเกิดความขัดแยงทางความคิดระหวางประสบการณเดิมกับประสบการณ ความรูใ หม เพือ่ กระตนุ ใหผเู รียนเชือ่ มโยงความรู ความคิด กับประสบการณทมี่ อี ยูเ ดิม แลวสังเคราะหเปนความรูห รือแนวคิดใหมๆ ไดดว ยตนเอง
3 การบูรณาการกระบวนการคิด การเรียนรูของผูเรียนแตละคนจะเกิดขึ้นที่สมอง ซึ่งเปนอวัยวะที่ทําหนาที่รูคิดภายใตสภาพแวดลอมที่เอื้ออํานวย และไดรบั การกระตนุ จูงใจอยางเหมาะสม สอดคลองกับสภาพจิตใจและความตองการของผูเ รียนแตละคน การจัดกิจกรรม การเรียนรูและสาระการเรียนรูที่สอดคลองกับความสนใจและมีความหมายตอผูเรียน จะชวยกระตุนใหสมองของผูเรียน สามารถรับรูและเรียนรูไดอยางมีประสิทธิภาพตามขั้นตอนการทํางานของสมอง ดังนี้ 1. สมองจะเรียนรูและสืบคน โดยการสังเกต คนหา ซักถาม และทดลอง ปฏิบัติ จนทําใหคนพบความรูความเขาใจ ไดอยางรวดเร็ว
2. สมองจะแยกแยะคุณคาของสิ่งตางๆ โดยการตัดสินใจวิพากษวิจารณ แสดง ความคิดเห็น ยอมรับหรือตอตานตาม อารมณความรูสึกที่เกิดขึ้นในขณะที่เรียนรู
3. สมองจะประมวลเนื้อหาสาระ โดยการสรุปเปนความคิดรวบยอดจาก เรื่องราวที่ไดเรียนรูใหมนําไปผสมผสานกับ ความรูห รือประสบการณเดิมทีถ่ กู จัดเก็บอยูใ น สมอง ผานการกลัน่ กรองเพือ่ สังเคราะหเปน ความรูค วามเขาใจใหมๆ หรือเปนทัศนคติใหม ที่จะเก็บบรรจุไวในสมองของผูเรียน
การเรียนรูที่มีประสิทธิภาพจึงตองเปนการเรียนรูที่เกิดจากกระบวนการคิดของผูเรียน เพราะการเรียนรูจะเกิดขึ้น เมื่อสมองรูคิด และตองเปนการคิดไดครบถวนตามขั้นตอนการทํางานของสมองผูเรียน โดยเริ่มตนจาก 1. ระดับการคิดพื้นฐาน ไดแก การสังเกต การจําแนก การคาดคะเน การสื่อความหมาย การรวบรวมขอมูล การสรุปผล เปนตน
คูม อื ครู
2. ระดับลักษณะการคิด ไดแก การคิดกวาง คิดลึกซึ้ง คิดไกล คิดหลากหลาย คิดคลอง คิดอยางมีเหตุผล เปนตน
3. ระดับกระบวนการคิด ไดแก กระบวนการคิดอยางมีวิจารณญาณ กระบวนการแกปญหา กระบวนการ คิดสรางสรรค กระบวนการคิดสังเคราะห เปนตน
5Es การจัดกิจกรรมตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ขั้นตอนการสอนที่สัมพันธกับขั้นตอนการคิดและการทํางานทางสมองของผูเรียนที่นิยมใชอยางแพรหลาย คือ วัฏจักรการเรียนรู 5Es ซึ่งผูจัดทําคูมือครูไดนํามาใชเปนแนวทางออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในแตละหนวย ตามลําดับขั้นตอนการเรียนรู ดังนี้ ขั้นที่ 1
กระตุนความสนใจ
(Engage)
เสร�ม
5
เปนขั้นที่ผูสอนนําเขาสูบทเรียน เพื่อกระตุนความสนใจของผูเรียนดวยเรื่องราวหรือเหตุการณที่นาสนใจโดยใชเทคนิควิธีการ และคําถามทบทวนความรูหรือประสบการณเดิมของผูเรียน เพื่อเชื่อมโยงผูเรียนเขาสูความรูของบทเรียนใหม ชวยใหผูเรียนสามารถ สรุปความสําคัญหัวขอและสาระการเรียนรูของบทเรียนได จึงเปนขั้นตอนการสอนที่สําคัญ เพราะเปนการเตรียมความพรอมและสราง แรงจูงใจใฝเรียนรูแกผูเรียน
ขั้นที่ 2
สํารวจคนหา
(Explore)
เปนขัน้ ทีผ่ สู อนเปดโอกาสใหผเู รียนลงมือศึกษา สังเกต หรือรวมมือกันสํารวจ เพือ่ ใหเห็นขอบขายของประเด็นหรือปญหา รวมถึง วิธีการศึกษาคนควา การรวบรวมขอมูลความรูที่จะนําไปสูการสรางความเขาใจประเด็นหรือปญหานั้นๆ เมื่อผูเรียนทําความเขาใจใน ประเด็นหรือปญหาที่จะศึกษาคนควาอยางถองแทแลว ก็ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมขอมูลความรู สํารวจตรวจสอบ โดยวิธีการตางๆ เชน สัมภาษณ ทดลอง อานคนควาขอมูลจากเอกสาร แหลงขอมูลตางๆ จนไดขอมูลความรูที่เกี่ยวของกับประเด็นหรือปญหาที่ศึกษา
ขั้นที่ 3
อธิบายความรู
(Explain)
เปนขั้นที่ผูสอนมีปฏิสัมพันธกับผูเรียน เชน ใหการแนะนํา ตั้งคําถามกระตุนใหคิด เพื่อใหผูเรียนคนหาคําตอบ และนําขอมูล ความรูจากการศึกษาคนควาในขั้นที่ 2 มาวิเคราะห สรุปผล และนําเสนอผลที่ไดศึกษาคนความาในรูปแบบสารสนเทศตางๆ เชน เขียนแผนภูมิ ผังมโนทัศน เขียนความเรียง เขียนรายงาน เปนตน ในขั้นตอนนี้ฝกใหผูเรียนใชสมองคิดวิเคราะหและสังเคราะห อยางเปนระบบ
ขั้นที่ 4
ขยายความเขาใจ
(Expand)
เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใชเทคนิควิธีสอนตางๆ ที่สงเสริมใหผูเรียนนําความรูที่เกิดขึ้นไปคิดคนสืบคนตอๆ ไป เพื่อพัฒนาทักษะ การเรียนรูและการทํางานรวมกันเปนกลุม ระดมสมองเพื่อคิดสรางสรรครวมกัน ผูเรียนสามารถนําความรูที่สรางขึ้นใหมไปเชื่อมโยง กับประสบการณเดิมโดยนําขอสรุปทีไ่ ดไปใชอธิบายเหตุการณตา งๆ หรือนําไปปฏิบตั ใิ นสถานการณใหมๆ ทีเ่ กีย่ วของกับชีวติ ประจําวัน ของตนเอง เพื่อขยายความรูความเขาใจใหกวางขวางยิ่งขึ้น ในขั้นตอนนี้ฝกสมองของผูเรียนใหสามารถคิดริเริ่มสรางสรรคอยางมี คุณภาพ เสริมสรางวิสัยทัศนใหกวางไกลออกไป
ขั้นที่ 5
ตรวจสอบผล
(Evaluate)
เปนขัน้ ทีผ่ สู อนประเมินมโนทัศนของผูเ รียน โดยตรวจสอบจากความคิดทีเ่ ปลีย่ นไปและความคิดรวบยอดทีเ่ กิดขึน้ ใหม ตรวจสอบ ทักษะ กระบวนการปฏิบัติ การแกปญหา การตอบคําถามรวบยอด หรือการเคารพความคิดหรือยอมรับเหตุผลของคนอื่น เพื่อการ สรางสรรคความรูร ว มกัน ผูเ รียนสามารถประเมินผลการเรียนรูข องตนเอง เพือ่ สรุปผลวามีความรูอ ะไรเพิม่ ขึน้ มาบาง เกิดความเขาใจ มากนอยเพียงใด และจะนําความรูเหลานั้นไปประยุกตใชในการเรียนรูเรื่องอื่นๆ หรือในชีวิตประจําวันไดอยางไร ผูเรียนจะเกิดเจตคติ และเห็นคุณคาของตนเองจากผลการเรียนรูที่เกิดขึ้น ซึ่งเปนการเรียนรูที่มีความสุขอยางแทจริง
การจัดกิจกรรมการเรียนรูตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es จึงเปนรูปแบบการเรียนการสอนที่เนนผูเรียน เปนสําคัญอยางแทจริง เพราะสงเสริมใหผูเรียนไดเรียนรูตามขั้นตอนของกระบวนการสรางความรูดวยตนเอง และ ฝกฝนใหใชกระบวนการคิดและกระบวนการกลุมอยางชํานาญ กอใหเกิดทักษะชีวิต ทักษะการทํางาน และทักษะการ เรียนรูที่มีประสิทธิภาพ สงผลตอการยกระดับผลสัมฤทธิ์ของผูเรียน ตามเปาหมายของการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) ทุกประการ คูม อื ครู
O-NET การเพิ่มผลสัมฤทธิ์ O-NET
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ในแตละหนวยการเรียนรู ทางผูจัดทํา จะเสนอแนะวิธีสอน รูปแบบกิจกรรมการเรียนรู พรอมทั้งออกแบบเครื่องมือวัดและประเมินผลที่สอดคลองกับตัวชี้วัด และสาระการเรียนรูแกนกลางไวทุกขั้นตอน โดยยึดหลักสําคัญ คือ หลักของการวัดและประเมินผล เสร�ม
6
1. การวัดและประเมินผลทุกครั้ง ควรนําผลมาปรับปรุงพัฒนาผูเรียน เปนรายบุคคล
2. การวัดและประเมินผลมี เปาหมาย เพื่อพัฒนาการเรียนรู ของผูเรียนจนเต็มศักยภาพ
3. การนําผลการวัดและประเมินผล ทุกครั้งมาวางแผนปรับปรุงกิจกรรม การเรียนการสอน การเลือกเทคนิค วิธีสอน และสื่อการเรียนรูให เหมาะสมกับสภาพจริงของผูเรียน
การทดสอบผูเรียน 1. การใชขอสอบอัตนัย เนนการอาน การคิดวิเคราะห และการเขียนเพิ่มมากขึ้น 2. การใชคําถามกระตุนการคิดควบคูกับการทําขอสอบที่เนนการคิดอยางตอเนื่องตามลําดับกิจกรรมการเรียนรู และตัวชี้วัด 3. การทดสอบตองดําเนินการทั้งกอนเรียน ระหวางเรียน และหลังเรียน การทดสอบควรใชขอสอบทั้งชนิดปรนัยและ อัตนัย และเปนการทดสอบเพื่อประเมินผลการเรียนของผูเรียนแตละคน เพื่อการสอนซอมเสริมใหบรรลุตัวชี้วัด ไดครบถวน 4. การสอบกลางภาค (ถามี) ควรนําแบบฝกหัดหรือขอสอบทีน่ กั เรียนสวนใหญไมสามารถตอบไดหรือไมครบถวนชัดเจน มา สรางเปนแบบทดสอบอีกครัง้ เพือ่ ตรวจสอบความรูค วามเขาใจทีถ่ กู ตอง และประเมินความกาวหนาของผูเ รียนแตละคน 5. การสอบปลายภาคเรียนเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามตัวชี้วัดที่สําคัญ ควรออกขอสอบใหมีลักษณะเดียวกับ ขอสอบ O-NET โดยเนนการคิดวิเคราะห สังเคราะห เชื่อมโยงประยุกตใช เพื่อสรางความคุนเคย และฝกฝน วิธีการทําขอสอบดวยความมั่นใจ 6. การนําผลการทดสอบของผูเรียนมาวิเคราะห โดยผลการสอบกอนการเรียนตองสามารถพยากรณผลการสอบ กลางภาค และผลการสอบกลางภาคตองทํานายผลการสอบปลายภาคของผูเ รียนแตละคน เพือ่ ประเมินพัฒนาการ ความกาวหนาของผูเรียนเปนรายบุคคล 7. ผลการทดสอบปลายป ปลายภาค ตองมีคาเฉลี่ยสอดคลองกับคาเฉลี่ยของการสอบ NT ที่เขตพื้นที่การศึกษา จัดสอบ รวมทั้งคาเฉลี่ยของการสอบ O-NET ชวงชั้นที่สอดคลองครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดสําคัญ เพือ่ สะทอนประสิทธิภาพของครูผสู อนในการออกแบบการเรียนรูแ ละประกันคุณภาพผูเ รียนทีต่ รวจสอบผลไดชดั เจน การจัดการเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ตองใหผูเรียนไดสั่งสมความรู ความเขาใจตามลําดับขั้นตอน ของกิจกรรมในวัฏจักรการเรียนรู 5Es เพื่อใหผูเรียนไดเติมเต็มองคความรูอยางตอเนื่อง จนสามารถปฏิบัติชิ้นงานหรือ ภาระงานรวบยอดของแตละหนวย ผานเกณฑประกันคุณภาพในระดับที่นาพึงพอใจ เพื่อรองรับการประเมินภายนอกจาก สมศ. ตลอดเวลา คูม อื ครู
ASEAN การเรียนรูสูประชาคมอาเซียน เพื่ออํานวยความสะดวกแกครูผูสอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรูบูรณาการอาเซียนศึกษา ผูจัดทําไดวิเคราะห มาตรฐานการเรียนรู และตัวชี้วัดที่มีสาระการเรียนรูสอดคลองกับองคความรูเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนในแงมุมตางๆ ครอบคลุมทัง้ ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรม อาเซียน เพื่อสงเสริมการเรียนรูใหผูเรียนเกิดความตระหนัก มีความรูความเขาใจเหมาะสมกับระดับชั้นและกลุมสาระ การเรียนรู โดยเสนอแนะวิธีการจัดกิจกรรมบูรณาการเนื้อหาสาระตางๆ ที่เปนประโยชนตอผูเรียนและเปนการชวย เตรียมความพรอมผูเ รียนทุกคนทีจ่ ะกาวเขาสูก ารเปนสมาชิกของประชาคมอาเซียนไดอยางมัน่ ใจตามขอตกลงปฏิญญา เสร�ม ชะอํา-หัวหิน วาดวยความรวมมือดานการศึกษาเพือ่ บรรลุเปาหมายประชาคมอาเซียนทีเ่ อือ้ อาทรและแบงปน จึงกําหนด 7 เปนนโยบายใหกระทรวงศึกษาธิการจัดการเรียนรูเตรียมความพรอมผูเรียนเขาสูประชาคมอาเซียนภายในป พ.ศ. 2558 ตามแนวปฏิบัติที่สําคัญ ดังนี้
การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน 1. การสรางความรูความเขาใจ และตระหนักถึงความสําคัญของ กฎบัตรอาเซียน และความรวมมือ ของ 3 เสาหลัก ซึง่ กฎบัตรอาเซียน ในขณะนี้มีสถานะเปนกฎหมายที่ ประเทศสมาชิกจะตองปฏิบัติตาม หลักการที่กําหนดไวเพื่อใหบรรลุ เปาหมายของกฎบัตรมาตราตางๆ
2. การสงเสริมหลักการ ประชาธิปไตยและการสราง สิ่งแวดลอมประชาธิปไตย เพื่อการอยูรวมกันอยางกลมกลืน ภายใตวิถีชีวิตอาเซียนที่มีความ หลากหลายดานสังคมและ วัฒนธรรม
4. การตระหนักในคุณคาของ สายสัมพันธทางประวัติศาสตร และมรดกทางวัฒนธรรมที่มี พัฒนาการรวมกัน เพื่อเชื่อม อัตลักษณและสรางจิตสํานึก ในการเปนประชากรของประชาคม อาเซียนรวมกัน
3. การสงเสริมการศึกษาดาน สิทธิมนุษยชน เพื่อสรางประชาคม อาเซียนใหเปนประชาคมเพื่อ ประชาชนอยางแทจริง สามารถ อยูรวมกันไดบนพื้นฐานการเคารพ ในคุณคาของศักดิ์ศรีแหงความ เปนมนุษยเทาเทียมกัน
5. การสงเสริมสันติภาพ ความ มั่นคง และความปรองดองในสังคม ทั้งระดับประเทศและภูมิภาคของ อาเซียนบนพื้นฐานสันติวิธีและการ อยูรวมกันดวยขันติธรรม
คูม อื ครู
การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
เสร�ม
8
1. การพัฒนาทักษะการทํางาน เพื่อเสริมสรางผูเรียนใหมีทักษะ วิชาชีพที่จําเปนสอดคลองกับ ความตองการของตลาดแรงงาน และสถานประกอบการในอาเซียน สามารถเทียบโอนผลการเรียน และการทํางานตามมาตรฐานฝมือ แรงงานในภูมิภาคอาเซียน
2. การเสริมสรางวินัย ความรับผิดชอบ และเจตคติรักการทํางาน สามารถพึ่งพาตนเอง มีทักษะชีวิต ดํารงชีวิตอยางมีความสุข เห็นคุณคา และภูมิใจในตนเอง ในฐานะที่เปนพลเมืองไทยและ อาเซียน
3. การเรียนรูเพื่อพัฒนาตนเอง อยางตอเนื่องตลอดชีวิต ใหมี ทักษะการทํางานตามมาตรฐาน อาชีพ และคุณวุฒิของวิชาชีพสาขา ตางๆ เพื่อรองรับการเตรียมเคลื่อน ยายแรงงานมีฝมือและการเปน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่ เขมแข็ง เพื่อสรางขีดความสามารถ ในการแขงขันในเวทีโลก
การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน 1. การเสริมสรางความรวมมือ ในลักษณะสังคมที่เอื้ออาทร ของประชากรอาเซียน โดยยึด หลักการสําคัญ คือ ความงดงาม ของประชาคมอาเซียนมาจาก ความแตกตางและหลากหลายทาง วัฒนธรรมที่ลวนแตมีคุณคาตอ มรดกทางวัฒนธรรมของอาเซียน ซึ่งประชาชนทุกคนตองอนุรักษ สืบสานใหยั่งยืน
2. การเสริมสรางคุณลักษณะ ของผูเรียนใหเปนพลเมืองอาเซียน ที่มีศักยภาพในการกาวเขาสู ประชาคมอาเซียนอยางมั่นใจ เปนผูที่มีสุขภาพสมบูรณแข็งแรง มีทักษะการสื่อสาร ทักษะการ ทํางาน ทักษะทางสังคม สามารถ ทํางานรวมกับผูอื่นไดอยาง สรางสรรค และมีองคความรู เกี่ยวกับอาเซียนที่จําเปนตอการ ดํารงชีวิตอยางมีคุณภาพ
4. การสงเสริมการเรียนรูดาน ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถชี วี ติ ความเปนอยูข องเพือ่ นบาน ในอาเซียน เพื่อสรางจิตสํานึกของ ความเปนประชาคมอาเซียนและ ตระหนักถึงหนาที่ของการเปน พลเมืองอาเซียนรวมกัน
3. การสงเสริมการเรียนรูภาษา อังกฤษเพื่อการสื่อสารและการ ทํางานตามมาตรฐานอาชีพที่ กําหนดและสนับสนุนการเรียนรู ภาษาอาเซียนและภาษาเพื่อนบาน เพื่อชวยเสริมสรางสัมพันธภาพทาง สังคม และการอยูรวมกันอยางสันติ ทามกลางความหลากหลายทาง วัฒนธรรม
5. การสรางความรูและความ ตระหนักเกี่ยวกับดานสิ่งแวดลอม ปญหาและผลกระทบตอคุณภาพ ชีวิตของประชากรในภูมิภาค รวมทั้งแนวทางการพัฒนาอยาง ยั่งยืน ใหเปนมรดกสืบทอดแก พลเมืองอาเซียนในรุนหลังตอๆ ไป
กระทรวงศึกษาธิการจึงประกาศนโยบายการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) เพื่อเรงพัฒนาเด็ก และเยาวชนไทยใหเปนทรัพยากรมนุษยของชาติที่มีทักษะและความชํานาญ พรอมเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและ การแขงขันทั้งในภูมิภาคอาเซียนและภูมิภาคอื่นๆ ของสังคมโลก ทั้งนี้ผูบริหารสถานศึกษา ครูผูสอน และผูปกครอง ควรรวมมือกันอยางใกลชิดในการดูแลชวยเหลือผูเรียนและจัดประสบการณการเรียนรูเพื่อพัฒนาผูเรียนจนเต็มศักยภาพ เพื่อกาวเขาสูการเปนพลเมืองอาเซียนอยางมีเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีความเปนมนุษยของตน คณะผูจัดทํา คูม อื ครู
ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง สาระที่ 1
วิทยาศาสตร (เฉพาะชั้น ม.2)*
สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดํารงชีวิต
มาตรฐาน ว 1.1 เขาใจหนวยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต ความสัมพันธของโครงสราง และหนาที่ของระบบตางๆ ของสิ่งมีชีวิต ที่ทํางานสัมพันธกัน มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู สื่อสารสิ่งที่เรียนรู และนําความรูไปใชในการ ดํารงชีวิตของตนเองและดูแลสิ่งมีชีวิต ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
ม.2
1. อธิบายโครงสรางและการทํางาน ของระบบยอยอาหาร ระบบ หมุนเวียนเลือด ระบบหายใจ ระบบขับถาย ระบบสืบพันธุของ มนุษยและสัตว รวมทั้งระบบ ประสาทของมนุษย
• ระบบยอยอาหาร ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบหายใจ ระบบ • หนวยการเรียนรูที่ 1 ขับถาย ระบบสืบพันธุ และระบบประสาทของมนุษย ในแตละ ระบบรางกายมนุษยและสัตว ระบบประกอบดวยอวัยวะหลายชนิดทีท่ าํ งานอยางเปนระบบ (ตอนที่ 1) • ระบบย อ ยอาหาร ระบบหมุ น เวี ย นเลื อ ด ระบบหายใจ • หนวยการเรียนรูที่ 2 ระบบขับถาย ระบบสืบพันธุของสัตว ประกอบดวยอวัยวะ ระบบรางกายมนุษยและสัตว หลายชนิดที่ทํางานอยางเปนระบบ (ตอนที่ 2)
2. อธิบายความสัมพันธของ ระบบตางๆ ของมนุษยและนํา ความรูไปใชประโยชน
• ระบบยอยอาหาร ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบหายใจ • หนวยการเรียนรูที่ 1 ระบบขับถาย ระบบสืบพันธุของมนุษย ในแตละระบบมีการ ระบบรางกายมนุษยและสัตว ทํางานที่สัมพันธกันทําใหมนุษยดํารงชีวิตอยูไดอยางปกติ (ตอนที่ 1) ถาระบบใดระบบหนึ่งทํางานผิดปกติ ยอมสงผลกระทบตอ • หนวยการเรียนรูที่ 2 ระบบอื่นๆ ดังนั้นจึงตองมีการดูแลรักษาสุขภาพ ระบบรางกายมนุษยและสัตว (ตอนที่ 2)
3. สังเกตและอธิบายพฤติกรรมของ มนุษยและสัตวที่ตอบสนองตอ สิ่งเราภายนอกและภายใน
• แสง อุ ณ หภู มิ และการสั ม ผั ส จั ด เป น สิ่ ง เร า ภายนอก • หนวยการเรียนรูที่ 2 สวนการเปลี่ยนแปลงระดับสารในรางกาย เชน ฮอรโมน ระบบรางกายมนุษยและสัตว จัดเปนสิ่งเราภายใน ซึ่งทั้งสิ่งเราภายนอกและสิ่งเราภายใน (ตอนที่ 2) มีผลตอมนุษยและสัตว ทําใหแสดงพฤติกรรมตางๆ ออกมา
4. อธิบายหลักการและผลของ การใชเทคโนโลยีชีวภาพ ในการขยายพันธุ ปรับปรุงพันธุ และเพิ่มผลผลิตของสัตว และนํา ความรูไปใชประโยชน
• เทคโนโลยีชีวภาพเปนการใชเทคโนโลยีเพื่อทําใหสิ่งมีชีวิต • หนวยการเรียนรูที่ 2 หรือองคประกอบของสิ่งมีชีวิตมีสมบัติตามตองการ ระบบรางกายมนุษยและสัตว • การผสมเทียม การถายฝากตัวออน การโคลน เปนการใช (ตอนที่ 2) เทคโนโลยีชีวภาพในการขยายพันธุ ปรับปรุงพันธุ และเพิ่ม ผลผลิตของสัตว
5. ทดลอง วิเคราะห และอธิบาย สารอาหารในอาหารมีปริมาณ พลังงานและสัดสวนที่เหมาะสม กับเพศและวัย
• แปง นํ้าตาล ไขมัน โปรตีน วิตามินซี เปนสารอาหารและ • หนวยการเรียนรูที่ 3 สามารถทดสอบได อาหารและสารเสพติด • การบริโภคอาหาร จําเปนตองใหไดสารอาหารที่ครบถวนใน สัดสวนทีเ่ หมาะสมกับเพศและวัย และไดรบั ปริมาณพลังงาน ที่เพียงพอกับความตองการของรางกาย
6. อภิปรายผลของสารเสพติดตอ ระบบตางๆ ของรางกาย และ แนวทางในการปองกันตนเอง จากสารเสพติด
• สารเสพติดแตละประเภทมีผลตอระบบตางๆ ของรางกาย • หนวยการเรียนรูที่ 3 ทําใหระบบเหลานัน้ ทําหนาทีผ่ ดิ ปกติ ดังนัน้ จึงตองหลีกเลีย่ ง อาหารและสารเสพติด การใชสารเสพติด และหาแนวทางในการปองกันตนเองจาก สารเสพติด
เสร�ม
9
_________________________________ * สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร. (กรุงเทพมหานคร : ชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย, 2551), หนา 15-101.
คูม อื ครู
สาระที่ 3
สารและสมบัติของสาร
มาตรฐาน ว 3.1 เขาใจสมบัตขิ องสาร ความสัมพันธระหวางสมบัตขิ องสารกับโครงสรางและแรงยึดเหนีย่ วระหวางอนุภาค มีกระบวนการสืบเสาะหาความรูและจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่เรียนรู และนําความรูไปใชประโยชน ชั้น ม.2
เสร�ม
10
ตัวชี้วัด 1. สํารวจและอธิบายองคประกอบ สมบัติของธาตุและสารประกอบ
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
• ธาตุ เปนสารบริสุทธิ์ที่ประกอบดวยอะตอมชนิดเดียวกันและ • หนวยการเรียนรูที่ 4 ไมสามารถแยกสลายเปนสารอืน่ ไดอกี โดยวิธกี ารทางเคมี สารและการเปลี่ยนแปลง • สารประกอบเปนสารบริสทุ ธิท์ ปี่ ระกอบดวยธาตุตงั้ แตสองธาตุ ขึ้นไป รวมตัวกันดวยอัตราสวนโดยมวลคงที่ และมีสมบัติ แตกตางจากสมบัตเิ ดิมของธาตุทเี่ ปนองคประกอบ
2. สืบคนขอมูลและเปรียบเทียบ • ธาตุแตละชนิดมีสมบัตบิ างประการทีค่ ลายกันและแตกตางกัน • หนวยการเรียนรูที่ 4 สมบัติของธาตุโลหะ ธาตุอโลหะ จึงสามารถจําแนกกลุม ธาตุตามสมบัตขิ องธาตุเปนธาตุโลหะ สารและการเปลี่ยนแปลง ธาตุกึ่งโลหะ และธาตุกัมมันตรังสี กึง่ โลหะ อโลหะ และธาตุกัมมันตรังสี และนําความรูไปใชประโยชน • ในชีวิตประจําวันมีวัสดุ อุปกรณและผลิตภัณฑตางๆ ที่ผลิต มาจากธาตุและสารประกอบ จึงควรเลือกใชใหถูกตอง เหมาะสมปลอดภัย และยั่งยืน 3. ทดลองและอธิบายหลักการแยกสาร • การกรอง การตกผลึก การสกัด การกลั่นและโครมาโทกราฟ • หนวยการเรียนรูที่ 4 ดวยวิธกี ารกรอง การตกผลึก การสกัด เปนวิธีการแยกสารที่มีหลักการแตกตางกัน และสามารถนํา สารและการเปลี่ยนแปลง การกลั่น และโครมาโทกราฟ และ ไปประยุกตใชในชีวิตประจําวัน นําความรูไ ปใชประโยชน
มาตรฐาน ว 3.2 เขาใจหลักการและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร การเกิดสารละลาย การเกิดปฎิกิริยา มีกระบวนการสืบเสาะหาความรูและจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่เรียนรู และนําความรูไปใชประโยชน ชั้น ม.2
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
1. ทดลองและอธิบายการ • เมื่อสารเกิดปฏิกิริยาเคมีจะมีพลังงานมาเกี่ยวของ ซึ่งอาจ • หนวยการเรียนรูที่ 5 เปลี่ยนแปลงสมบัติ มวล และ เปนการดูดพลังงานความรอน หรือคายพลังงานความรอน ปฎิกิริยาเคมี พลังงานเมื่อสารเกิดปฏิกิริยาเคมี • อุณหภูมิ ความเขมขน ธรรมชาติของสาร และตัวเรงปฏิกริ ยิ า รวมทั้งอธิบายปจจัยที่มีผลตอการ มีผลตอการเกิดปฏิกิริยาเคมีของสาร เกิดปฏิกิริยาเคมี 2. ทดลอง อธิบายและเขียน สมการเคมีของปฏิกิริยาของ สารตางๆ และนําความรูไปใช ประโยชน
• สมการเคมีใชเขียนแสดงการเกิดปฏิกิริยาเคมีของสาร ซึ่งมี • หนวยการเรียนรูที่ 5 ทั้งสารตั้งตนและสารผลิตภัณฑ ปฎิกิริยาเคมี • ปฏิกิริยาระหวางโลหะกับออกซิเจน โลหะกับนํ้า โลหะกับ กรด กรดกับเบส และกรดกับคารบอเนตเปนปฏิกิริยาเคมี ที่พบทั่วไป • การเลือกใชวัสดุและสารรอบตัวในชีวิตประจําวันไดอยาง เหมาะสมและปลอดภัย โดยคํานึงถึงปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น
3. สืบคนขอมูลและอภิปรายผลของ • สารเคมีและปฏิกิริยาเคมี มีทั้งประโยชนและโทษ สารเคมี ปฏิกิริยาเคมีตอสิ่งมีชีวิต ตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอมทั้งทางตรงและทางออม และสิ่งแวดลอม 4. สืบคนขอมูลและอธิบายการใช สารเคมีอยางถูกตอง ปลอดภัย วิธีปองกันและแกไขอันตราย ที่เกิดขึ้นจากการใชสารเคมี
คูม อื ครู
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
• หนวยการเรียนรูที่ 5 ปฎิกิริยาเคมี
• การใชสารเคมีตองมีความระมัดระวัง ปองกันไมใหเกิด • หนวยการเรียนรูที่ 5 อันตรายตอตนเองและผูอื่น โดยใชใหถูกตอง ปลอดภัยและ ปฎิกิริยาเคมี คุมคา • ผูใชสารเคมีควรรูจักสัญลักษณเตือนภัยบนฉลาก และรูวิธี การแกไข และการปฐมพยาบาลเบื้องตนเมื่อไดรับอันตราย จากสารเคมี
สาระที่ 4
แรงและการเคลื่อนที่
มาตรฐาน ว 4.1 เขาใจธรรมชาติของแรงแมเหล็กไฟฟา แรงโนมถวง และแรงนิวเคลียร มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชนอยางถูกตองและมีคุณธรรม ชั้น ม.2
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
1. ทดลองและอธิบายการหาแรงลัพธ • แรงเปนปริมาณเวกเตอร เมื่อมีแรงหลายแรงในระนาบ • หนวยการเรียนรูที่ 6 ของแรงหลายแรงในระนาบเดียวกัน เดียวกันกระทําตอวัตถุเดียวกัน สามารถหาแรงลัพธไดโดย แรง ที่กระทําตอวัตถุ ใชหลักการรวมเวกเตอร
เสร�ม
11
2. อธิ บ ายแรงลั พ ธ ที่ ก ระทํ า ต อ วั ต ถุ • เมื่อแรงลัพธมีคาเปนศูนยกระทําตอวัตถุที่หยุดนิ่ง วัตถุนั้น • หนวยการเรียนรูที่ 6 ที่ ห ยุ ด นิ่ ง หรื อ วั ต ถุ เ คลื่ อ นที่ ด ว ย ก็จะหยุดนิ่งตลอดไป แตถาวัตถุเคลื่อนที่ดวยความเร็วคงตัว แรง ความเร็วคงตัว ก็จะเคลื่อนที่ดวยความเร็วคงตัวตลอดไป
สาระที่ 5
พลังงาน
มาตรฐาน ว 5.1 เขาใจความสัมพันธระหวางพลังงานกับการดํารงชีวิต การเปลี่ยนรูปพลังงาน ปฏิสัมพันธระหวางสาร และพลังงาน ผลของการใชพลังงานตอชีวิตและสิ่งแวดลอม มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู สื่อสาร สิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชน ชั้น ม.2
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
1. ทดลองและอธิบายการสะทอนของ • เมื่อแสงตกกระทบผิววัตถุหรือตัวกลางอีกตัวกลางหนึ่ง แสง • หนวยการเรียนรูที่ 7 แสง การหักเหของแสง และนํา จะเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่โดยการสะทอนของแสง หรือ แสงและการเกิดภาพ ความรูไปใชประโยชน การหักเหของแสง • การนําความรูเ กีย่ วกับการสะทอนของแสง และการหักเหของ แสงไปใชอธิบายแวนตา ทัศนอุปกรณ กระจก เสนใยนําแสง 2. อธิ บ ายผลของความสว า งที่ มีต อ • นัยนตาของคนเราเปนอวัยวะใชมองดูสิ่งตางๆ นัยนตา • หนวยการเรียนรูที่ 7 มนุษย และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ มีองคประกอบสําคัญหลายอยาง แสงและการเกิดภาพ • ความสวางมีผลตอนัยนตามนุษย จึงมีการนําความรูเ กีย่ วกับ ความสวางมาชวยในการจัดความสวางใหเหมาะสมกับการ ทํางาน • ออกแบบวิธกี ารตรวจสอบวาความสวางมีผลตอสิง่ มีชวี ติ อืน่ 3. ทดลองและอธิบายการสะทอนของ • เมื่อแสงตกกระทบวัตถุ วัตถุจะดูดกลืนแสงสีบางสีไว และ • หนวยการเรียนรูที่ 7 แสง การหักเหของแสง และนํา สะทอนแสงสีทเี่ หลือออกมาทําใหเรามองเห็นวัตถุเปนสีตา งๆ แสงและการเกิดภาพ ความรูไปใชประโยชน • การนําความรูเกี่ยวกับการดูดกลืนแสงสี การมองเห็นสีของ วัตถุไปใชประโยชนในการถายรูปและในการแสดง
สาระที่ 6
กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก
มาตรฐาน ว 6.1 เขาใจกระบวนการตางๆ ที่เกิดขึ้นบนผิวโลกและภายในโลก ความสัมพันธของกระบวนการตางๆ ที่มีผล ตอการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และสัณฐานของโลก มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู และจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชน ชั้น ม.2
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
1. สํารวจ ทดลอง และอธิบาย • ดินมีลักษณะและสมบัติแตกตางกันตามวัตถุตนกําเนิดดิน • หนวยการเรียนรูที่ 8 ลักษณะของชั้นหนาตัดดิน สมบัติ ลักษณะภูมิอากาศ ลักษณะภูมิประเทศ พืชพรรณ สิ่งมีชีวิต โลกและการเปลี่ยนแปลง ของดิน และกระบวนการเกิดดิน และระยะเวลาในการเกิดดิน และตรวจสอบสมบัตบิ างประการ ของดิน • ชั้นหนาตัดดินแตละชั้นและแตละพื้นที่มีลักษณะ สมบัติ และ องคประกอบแตกตางกัน
คูม อื ครู
เสร�ม
12
ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
ม.2
2. สํารวจ วิเคราะหและอธิบาย การใชประโยชนและการปรับปรุง คุณภาพของดิน
• ดินในแตละทองถิน่ มีลกั ษณะและสมบัตติ า งกันตามสภาพของ • หนวยการเรียนรูที่ 8 ดิน จึงนําไปใชประโยชนตางกัน โลกและการเปลี่ยนแปลง • การปรับปรุงคุณภาพดินขึน้ อยูก บั สภาพของดิน เพือ่ ทําใหดนิ มีความเหมาะสมตอการใชประโยชน
3. ทดลองเลียนแบบเพื่ออธิบาย กระบวนการเกิด และลักษณะ องคประกอบของหิน
• กระบวนการเปลี่ ย นแปลงทางธรณี วิ ท ยาทั้ ง บนและใต • หนวยการเรียนรูที่ 8 พื้นผิวโลกทําใหเกิดหินที่มีลักษณะองคประกอบแตกตางกัน โลกและการเปลี่ยนแปลง ทั้งทางดานกายภาพ และทางเคมี
4. ทดสอบ และสังเกตองคประกอบ • หินแบงเปนหินอัคนี หินแปร และหินตะกอน หินแตละประเภท • หนวยการเรียนรูที่ 8 และสมบัติของหิน เพื่อจําแนก มีความสัมพันธกัน และนําไปใชประโยชนในอุตสาหกรรม โลกและการเปลี่ยนแปลง ประเภทของหิน และนําความรูไป การกอสรางและอื่นๆ ใชประโยชน 5. ตรวจสอบและอธิบายลักษณะทาง • เมื่ อ สภาวะแวดล อ มธรรมชาติ ที่ อ ยู ภ ายใต อุ ณ หภู มิ แ ละ • หนวยการเรียนรูที่ 8 กายภาพของแร และการนําไปใช ความดันที่เหมาะสม ธาตุและสารประกอบจะตกผลึกเปนแร โลกและการเปลี่ยนแปลง ประโยชน ที่มีลักษณะและสมบัติตางกัน ซึ่งตองใชวิธีตรวจสอบสมบัติ แตละอยางแตกตางกันไป • แรที่สํารวจพบในประเทศไทยมีหลายชนิด แตละชนิด ตรวจสอบทางกายภาพไดจากรูปผลึก ความถวงจําเพาะ ความแข็ง ความวาว แนวแตกเรียบ สีและสีผงของแร และนําไปใชประโยชนตางกัน เชน ใชทําเครื่องประดับ ใชในดานอุตสาหกรรม 6. สืบคนและอธิบายกระบวนการเกิด • ปโตรเลียม ถานหิน หินนํ้ามัน เปนเชื้อเพลิงธรรมชาติที่เกิด • หนวยการเรียนรูที่ 8 ลักษณะและสมบัติของปโตรเลียม จากกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา ซึ่งแตละชนิด โลกและการเปลี่ยนแปลง ถานหิน หินนํ้ามัน และการนําไป จะมีลักษณะ สมบัติและวิธีการนําไปใชประโยชนแตกตางกัน ใชประโยชน 7. สํารวจและอธิบายลักษณะแหลงนํา้ • แหลงนํ้าบนโลก มีทั้งนํ้าจืด นํ้าเค็ม โดยแหลงนํ้าจืดมีอยูทั้ง • หนวยการเรียนรูที่ 8 บนดิน ใตดิน และในบรรยากาศ ธรรมชาติ การใชประโยชนและ โลกและการเปลี่ยนแปลง • การใชประโยชนของแหลงนํ้า ตองมีการวางแผนการใช การ การอนุรักษแหลงนํ้าในทองถิ่น อนุรักษ การปองกัน การแกไข และผลกระทบ ดวยวิธีการที่ เหมาะสม 8. ทดลองเลียนแบบ และอธิบาย การเกิดแหลงนํ้าบนดิน แหลงนํ้าใตดิน
• แหลงนํา้ บนดินมีหลายลักษณะ ขึ้นอยูกับลักษณะภูมิประเทศ • หนวยการเรียนรูที่ 8 ลักษณะทางนํ้า และความเร็วของกระแสนํ้าในแตละฤดูกาล โลกและการเปลี่ยนแปลง • นํา้ บนดินบางสวนจะไหลซึมสูใ ตผวิ ดิน ถูกกักเก็บไวในชัน้ ดิน และหิน เกิดเปนนํ้าใตดิน ซึ่งสวนหนึ่งจะซึมอยูตามชองวาง ระหวางเม็ดตะกอน เรียกวา นํ้าในดิน อีกสวนหนึ่งจะไหล ซึมลึกลงไปจนถูกกักเก็บไวตามชองวางระหวางเม็ดตะกอน ตามรูพรุน หรือตามรอยแตกของหิน หรือชั้นหิน เรียกวา นํ้าบาดาล • สมบัติของนํ้าบาดาลขึ้นอยูกับชนิดของดิน แหลงแร และหิน ที่เปนแหลงกักเก็บนํ้าบาดาล และชั้นหินอุมนํ้า
9. ทดลองเลียนแบบและอธิบาย • การผุพังอยูกับที่ การกรอน การพัดพา การทับถม และ • หนวยการเรียนรูที่ 8 กระบวนการผุพงั อยูก บั ที่ การกรอน การตกผลึก เปนกระบวนการสําคัญทีท่ าํ ใหพนื้ ผิวโลกเกิดการ โลกและการเปลี่ยนแปลง การพัดพา การทับถม การตกผลึก เปลี่ยนแปลงเปนภูมิลักษณตางๆ โดยมีลม นํ้า ธารนํ้าแข็ง และผลของกระบวนการดังกลาว คลื่น และแรงโนมถวงของโลกเปนตัวการสําคัญ 10. สืบคน สรางแบบจําลอง และอธิบายโครงสราง และองคประกอบของโลก
คูม อื ครู
• โครงสรางของโลกประกอบดวยชั้นเปลือกโลก ชั้นเนื้อโลก • หนวยการเรียนรูที่ 8 และชั้นแกนโลก ซึ่งโครงสรางแตละชั้นจะมีลักษณะและ โลกและการเปลี่ยนแปลง สวนประกอบแตกตางกัน
สาระที่ 8
ธรรมชาติของวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 8.1 ใชกระบวนการทางวิทยาศาสตรและจิตวิทยาศาสตร ในการสืบเสาะหาความรู การแกปญหา รูวา ปรากฏการณทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นสวนใหญมีรูปแบบแนนอน สามารถอธิบายและตรวจสอบไดภายใต ขอมูลและเครื่องมือที่มีอยูในชวงเวลานั้นๆ เขาใจวา วิทยาศาสตร เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดลอม มีความเกี่ยวของสัมพันธกัน ชั้น ม.1 ม.3
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
1. ตั้งคําถามที่กําหนดประเด็น หรือตัวแปรทีส่ าํ คัญในการสํารวจ ตรวจสอบ หรือศึกษาคนควา เรื่องที่สนใจไดอยางครอบคลุม และเชื่อถือได
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-8
2. สรางสมมติฐานที่สามารถ ตรวจสอบไดและวางแผนการ สํารวจตรวจสอบหลายๆ วิธี
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-8
3. เลือกเทคนิควิธกี ารสํารวจตรวจสอบ ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพที่ได ผลเที่ยงตรงและปลอดภัย โดยใช วัสดุและเครื่องมือที่เหมาะสม
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-8
4. รวบรวมขอมูล จัดกระทําขอมูล เชิงปริมาณและคุณภาพ
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-8
5. วิเคราะหและประเมินความ สอดคลองของประจักษพยานกับ ขอสรุป ทั้งที่สนับสนุนหรือขัดแยง กับสมมติฐาน และความผิดปกติ ของขอมูลจากการสํารวจตรวจสอบ
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-8
6. สรางแบบจําลอง หรือรูปแบบ ที่อธิบายผลหรือแสดงผลของ การสํารวจตรวจสอบ
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-8
7. สรางคําถามที่นําไปสูการสํารวจ ตรวจสอบในเรื่องที่เกี่ยวของ และ นําความรูที่ไดไปใชในสถานการณ ใหม หรืออธิบายเกี่ยวกับแนวคิด กระบวนการ และผลของโครงงาน หรือชิ้นงานใหผูอื่นเขาใจ
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-8
8. บันทึกและอธิบายผลการสังเกต การสํารวจ ตรวจสอบ คนควา เพิ่มเติมจากแหลงความรูตางๆ ให ไดขอมูลที่เชื่อถือได และยอมรับ การเปลี่ยนแปลงความรูที่คนพบ เมื่อมีขอมูลและประจักษพยาน ใหมเพิ่มขึ้นหรือโตแยงจากเดิม
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-8
9. จัดแสดงผลงาน เขียนรายงาน และ/หรืออธิบายเกี่ยวกับแนวคิด กระบวนการ และผลของโครงงาน หรือชิ้นงานใหผูอื่นเขาใจ
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-8
เสร�ม
13
คูม อื ครู
จุดเนนการพัฒนาคุณภาพผูเรียน* การขับเคลื่อนหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 และการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษ ที่สอง (พ.ศ. 2552-2561) ใหประสบผลสําเร็จตามจุดเนนการพัฒนาคุณภาพผูเรียน โดยใหทุกภาคสวน รวมกันดําเนินการ กระทรวงศึกษาธิการไดกําหนดจุดเนนการพัฒนาคุณภาพผูเรียน ดังนี้ เสร�ม
14
ทักษะ ความสามารถ
คุณลักษณะ จุดเนนตามชวงวัย
ม. 4-6
แสวงหาความรู เพื่อแกปญหา ใชเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู ใชภาษาตางประเทศ (ภาษาอังกฤษ) มีทักษะการคิดขั้นสูง ทักษะชีวิต ทักษะการสื่อสารอยางสรางสรรคตามชวงวัย
ม. 1-3
แสวงหาความรูดวยตนเอง ใชเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู มีทักษะการคิดขั้นสูง ทักษะชีวิต ทักษะการสื่อสารอยางสรางสรรคตามชวงวัย
• อยูอยางพอเพียง
ป. 4-6
อานคลอง เขียนคลอง คิดเลขคลอง ทักษะการคิดขั้นพื้นฐาน ทักษะชีวิต ทักษะการสื่อสารอยางสรางสรรคตามชวงวัย
• ใฝเรียนรู
ป. 1-3
อานออก เขียนได คิดเลขเปน มีทักษะการคิดขั้นพื้นฐาน ทักษะชีวิต ทักษะการสื่อสารอยางสรางสรรคตามชวงวัย
• ใฝดี
• มุงมั่นในการศึกษา และการทํางาน
คุณลักษณะตามหลักสูตร
• รักชาติ ศาสน กษัตริย • ซื่อสัตยสุจริต • มีวินัย • ใฝเรียนรู • อยูอยางพอเพียง • มุงมั่นในการทํางาน • รักความเปนไทย • มีจิตสาธารณะ
* สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ. แนวทางการนําจุดเนนการพัฒนาผูเรียน สูการปฏิบัติ. (กรุงเทพมหานคร : ชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย, 2553), หนา 3-10.
คูม อื ครู
คําอธิบายรายวิชา รายวิชา วิทยาศาสตร เลม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 รหัสวิชา ว…………………………………
กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร ภาคเรียนที่…………… เวลา 60 ชั่วโมง/ป
ศึกษา อธิบาย ทดลอง สืบคนขอมูล วิเคราะห สํารวจ ตรวจสอบ เกีย่ วกับโครงสรางและการทํางานของระบบ เสร�ม ยอยอาหาร ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบหายใจ ระบบขับถาย ระบบสืบพันธุของมนุษยและสัตว รวมทั้งระบบ 15 ประสาทของมนุษย ความสัมพันธในระบบตางๆ ของมนุษย พฤติกรรมของมนุษยและสัตวที่ตอบสนองตอ สิ่งเราทั้งภายนอกและภายใน หลักการและผลของการใชเทคโนโลยีชีวภาพในการขยายพันธุ ปรับปรุงพันธุ และเพิ่มผลผลิตของสัตวและนําความรูไปใชประโยชน สารอาหารในอาหารที่มีปริมาณพลังงานและสัดสวน ที่เหมาะสมกับเพศและวัย ผลของสารเสพติดตอระบบตางๆ ของรางกาย และแนวทางในการปองกันตนเอง จากสารเสพติด องคประกอบและสมบัติของธาตุและสารประกอบตางๆ สมบัติของธาตุโลหะ ธาตุอโลหะ ธาตุกึ่งโลหะ และธาตุกัมมันตรังสี หลักการแยกสารดวยวิธีการกรอง การตกผลึก การสกัด การกลั่น และ โครมาโทกราฟ โดยใชกระบวนการทางวิทยาศาสตร การสืบเสาะหาความรู การสํารวจตรวจสอบ การสืบคนขอมูล และ การอภิปราย เพื่อใหเกิดความรู ความคิด ความเขาใจ สามารถจะสื่อสารสิ่งที่ไดเรียนรู มีความสามารถในการตัดสินใจ เห็นคุณคาของการนําความรูไ ปใชในชีวติ ประจําวัน มีจติ วิทยาศาสตร จริยธรรม คุณธรรมและคานิยมทีเ่ หมาะสม ตัวชี้วัด ว 1.1 ว 3.1 ว 8.1
ม.2/1
ม.2/2
ม.2/3
ม.2/1
ม.2/2
ม.2/3
ม.2/4
ม.2/5
ม.2/6
ม.1-3/1 ม.1-3/2 ม.1-3/3 ม.1-3/4 ม.1-3/5 ม.1-3/6 ม.1-3/7 ม.1-3/8 ม.1-3/9
รวม 18 ตัวชี้วัด
คูม อื ครู
คูม อื ครู
หนวยการเรียนรูที่ 8 : โลกและการเปลี่ยนแปลง
หนวยการเรียนรูที่ 7 : แสงและการเกิดภาพ
หนวยการเรียนรูที่ 6 : แรง
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 หนวยการเรียนรูที่ 5 : ปฏิกิริยาเคมี
หนวยการเรียนรูที่ 4 : สารและการเปลี่ยนแปลง
หนวยการเรียนรูที่ 3 : อาหารและสารเสพติด
หนวยการเรียนรูที่ 2 : ระบบรางกายมนุษย และสัตว (ตอนที่ 2)
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 1 หนวยการเรียนรูที่ 1 : ระบบรางกายมนุษย และสัตว (ตอนที่ 1)
สาระที่ 3
16
✓✓ ✓ ✓
✓✓
✓✓
✓✓✓
✓✓✓✓
✓✓
✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓
สาระ สาระที่ 5 สาระที่ 6 สาระที่ 8 ที่ 4 ว มฐ. ว 6.1 มฐ. ว 8.1 มาตรฐาน ว 1.1 มฐ. ว 3.1 มฐ. ว 3.2 มฐ. 4.1 มฐ. ว 5.1 ตัวชี้วัด ตัวชี้วัด ตัวชี้วัด ตัวชี้วัด ตัวชี้วัด ตัวชี้วัด ตัวชี้วัด 1 2 3 4 5 6 1 2 3 1 2 3 4 1 2 1 2 3 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 1 2 3 4 5 6 7 8 9 สาระที่ 1
เสร�ม
หนวยการเรียนรู
มาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั
ตาราง วิเคราะหมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั รายวิชา วิทยาศาสตร ม.2
คําชี้แจง : ใหผูสอนใชตารางนี้ตรวจสอบความสอดคลองของเนื้อหาสาระการเรียนรูในหนวยการเรียนรูกับมาตรฐาน การเรียนรูและตัวชี้วัดชั้นป
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÃÒÂÇÔªÒ¾×é¹°Ò¹
วิทยาศาสตร เลม 1 วิชั้นทมัธยาศาสตร เลม 1 ยมศึกษาปที่ 2 ˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÃÒÂÇÔªÒ¾×é¹°Ò¹
¡ÅØ‹ÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙŒÇÔ·ÂÒÈÒʵà ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ¡ÅØ‹ÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙŒÇÔ·ÂÒÈÒʵà ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ผูเรียบเรียง รศ. ดร. ยุพา วรยศ ผูนายถนั เรียบเรีด ยศรี ง บุญเรือง มิสเตอร รศ. ดร. ยุโจพาบอยด วรยศ มิสเตอรดวอลเตอร นายถนั ศรีบุญเรือไวท ง ลอร มิสเตอรโจ บอยด ผูตรวจ มิสเตอรวอลเตอร ไวทลอร ดร. ฤทธิ์ วัฒนชัยยิ่งเจริญ ณฑรี เพ็ชรทวีพรเดช ผูนางกุ ตรวจ นางวัฤทธิ นธนา ดร. ์ วัฒทวี นชับยุญยิญาวั ่งเจริตญร นางกุณฑรี เพ็ชรทวีพรเดช บรรณาธิการ นางวันธนา ทวีบุญญาวัตร นายวิโรจน เตรียมตระการผล นางสาววราภรณ บรรณาธิการ ทวมดี นายวิโรจน เตรียมตระการผล นางสาววราภรณ ทวมดี
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2
พิมพครั้งที่ 1
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ ISBN พิมพค:รั้ง978-616-203-124-3 ที่ 1 รหั สสินคขาสิท2218002 สงวนลิ ธิ์ตามพระราชบัญญัติ ISBN : 978-616-203-124-3 รหัสสินคา 2218002
¤Œ¹¤ÇÒÁÃÙŒ¢ÂÒ¤ÇÒÁ¤Ô´¨Ò¡ ¾ÔÁ¾ ¤ÃÑ駷դŒè ¹1 ¤ÇÒÁÃÙŒ¢ÂÒ¤ÇÒÁ¤Ô´¨Ò¡ ÃËÑÊÊÔ¹¤ŒÒ 2248016
EB GUIDE EB GUIDE
ที่พิมพกํากับหัวขอสําคัญในหนังสือเรียนหลักสูตรแกนกลางฯ ผาน www.aksorn.com ไปยังแหลงความรูทั่วไทย-ทั่วโลก ที่พิมพกํากับหัวขอสําคัญในหนังสือเรียนหลักสูตรแกนกลางฯ ผาน www.aksorn.com ไปยังแหลงความรูคณะผู ทั่วไทย-ทั จัด่วโลก ทําคูมือครู
พัชรินทร แสนพลเมือง สายสุนีย งามพรหม จิตรา สังขเกื้อ
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÃÒÂÇÔªÒ¾×é¹°Ò¹
วิทยาศาสตร เลม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2
¡ÅØ‹ÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙŒÇÔ·ÂÒÈÒʵà ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
คํา
เตือ น
รศ. ดร. ยุพา วรยศ นายถนัด ศรีบุญเรือง มิสเตอรโจ บอยด มิสเตอรวอลเตอร ไวทลอร
หนังสือเลมนีไ้ ดรบั การคุม ครองตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ หามมิใหผใู ด ทําซํา้ คัดลอก เลียนแบบ ทําสําเนา จําลองงานจากตนฉบับหรือแปลงเปนรูปแบบอืน่ ในวิธตี า งๆ ทุกวิธี ไมวา ทัง้ หมดหรือบางสวน โดยมิไดรบั อนุญาตจากเจาของลิขสิทธิถ์ อื เปนการละเมิด ผูก ระทําจะตองรับผิดทัง้ ทางแพงและทางอาญา
พิมพครั้งที่ 6
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ ISBN : 978-616-203-124-3
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
¤íÒ¹íÒ วิทยาศาสตรเปนวิชาทีม่ บี ทบาทสําคัญยิง่ ตอสังคมทัง้ ในโลกปจจุบนั และอนาคต เพราะวิทยาศาสตร จะมีความเกี่ยวของกับเราทุกคนทั้งในการดําเนินชีวิตประจําวัน การประกอบอาชีพการงานตางๆ ตลอด จนเทคโนโลยี เครื่องมือเครื่องใชและผลผลิตตางๆ ที่มนุษยสรางสรรคขึ้นมา วิทยาศาสตรชวยพัฒนาความคิดของมนุษย ใหคิดเปนเหตุเปนผล คิดสรางสรรค คิดวิเคราะห วิจารณ มีทักษะสําคัญในการแสวงหาความรู สามารถแกไขปญหาอยางเปนระบบ สามารถตัดสินใจ โดยใชขอมูลที่หลากหลายและมีประจักษพยานที่ตรวจสอบได วิทยาศาสตรจึงเปนวัฒนธรรมของโลก สมัยใหมที่เราทุกคนจําเปนตองไดรับการพัฒนา สําหรับหนังสือเรียนรายวิชาพืน้ ฐาน วิทยาศาสตร ชุดนี้ สาระภายในเลมไดพฒ ั นามาจากหนังสือ ชุด New Understanding Science ของประเทศอังกฤษ โดยเรียบเรียงใหสอดคลองกับตัวชี้วัดและสาระ การเรียนรูแกนกลาง ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เนื้อหาภายใน เลมจะเรียงไปตามสาระ และแบงยอยเปนหนวยการเรียนรู การนําเสนอนอกจากเนื้อหาสาระแลว ก็จะ มีกจิ กรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตรแทรกคัน่ ไวให และทุกทายหนวยการเรียนรู จะมีกจิ กรรมสรางสรรค พัฒนาที่เปนกิจกรรมการทดลองทางวิทยาศาสตรทบทวนอีกครั้งหนึ่ง ทัง้ นี้ในแตละชัน้ จะแบงหนังสือเรียนออกเปน 2 เลม ใชประกอบการเรียนการสอนภาคเรียนละเลม ซึ่งในชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 จัดแบงเนื้อหาตามสาระ ดังนี้ วิทยาศาสตร ม.2 เลม 1 มีเนื้อหาเกี่ยวกับระบบรางกายมนุษยและสัตว อาหารและสารเสพติด สารและการเปลี่ยนแปลง วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 มีเนื้อหาเกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมี แรง แสง โลกและการเปลี่ยนแปลง ในการเรียบเรียงพยายามใหนักเรียนสามารถอานทําความเขาใจไดงาย ชัดเจน ไดรับความรู ตรงตามประเด็นในสาระการเรียนรูแกนกลาง และอํานวยความสะดวกทั้งตอครูผูสอนและนักเรียน หวังเปนอยางยิ่งวา หนังสือเรียนสาระการเรียนรูพื้นฐาน วิทยาศาสตรชุดนี้ จะมีสวนชวยใหการจัด การเรียนการสอนวิทยาศาสตร ระดับมัธยมศึกษาปที่ 1-3 สัมฤทธิผลตามเปาหมาย และมีสวนชวยให นักเรียนมีคุณภาพอยางที่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานไดกําหนดไว ¼ÙŒàÃÕºàÃÕ§
Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
ÊÒúÑÞ àÅ‹Á 1 ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè
1
ÃкºÃ‹Ò§¡ÒÂÁ¹ØÉ áÅÐÊÑµÇ (µÍ¹·Õè 1) ● ● ● ●
˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè
2
●
ÃкºÃ‹Ò§¡ÒÂÁ¹ØÉ áÅÐÊÑµÇ (µÍ¹·Õè 2) ● ● ● ●
˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè
3
●
● ●
●
4
ÃкºÊ׺¾Ñ¹¸Ø Ãкº»ÃÐÊÒ· ¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸ ¢Í§Ãкºµ‹Ò§æ ã¹Ã‹Ò§¡Ò ¡ÒÃáÊ´§¾ÄµÔ¡ÃÃÁà¾×è͵ͺʹͧµ‹ÍÊÔè§àÃŒÒ à·¤â¹âÅÂÕªÕÇÀҾ㹡ÒâÂÒ¾ѹ¸Ø »ÃѺ»Ãا¾Ñ¹¸Ø áÅÐà¾ÔèÁ¼Å¼ÅÔµ¢Í§ÊѵÇ
ÍÒËÒÃáÅÐÊÒÃàʾµÔ´ ●
˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè
¡ÒèѴÃкºã¹Ã‹Ò§¡Ò ÃкºÂ‹ÍÂÍÒËÒà ÃкºäËÅàÇÕ¹àÅ×Í´ ÃкºËÒÂ㨠Ãкº¢Ñº¶‹ÒÂ
●
ÍÒËÒà ÊÒÃÍÒËÒà ÍÒËÒáѺÊØ¢ÀÒ¾ âÀª¹Ò¡Òâͧà´ç¡ÇÑÂàÃÕ¹ ÊÒÃàʾµÔ´áÅмŵ‹ÍËҧ¡ÒÂ
ÊÒÃáÅСÒÃà»ÅÕè¹á»Å§ ● ●
¸ÒµØ áÅÐÊÒûÃСͺ ¡ÒÃá¡ÊÒÃ
ºÃóҹءÃÁ
àÅ‹Á 2
˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè
5 6 7 8
»¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ áç áʧ âÅ¡áÅСÒÃà»ÅÕè¹á»Å§
1-28 2 6 12 18 23
29-58 30 38 43 46 51
59-86 60 63 71 74 78
87-106 88 98
107
กระตุน ความสนใจ
1
˹‹Ç ¡Ò
Õè ÂÕ ¹ÃÙŒ· ÃàÃ
กระตุEngage นความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
1. อธิบายโครงสรางและการทํางานของระบบ ยอยอาหาร ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบหายใจ และระบบขับถายของมนุษยและสัตวได 2. อธิบายความสัมพันธของระบบตางๆ ของ มนุษย และนําความรูไปใชประโยชนได
ÃкºÃ‹Ò§¡ÒÂÁ¹ØÉ áÅÐÊÑµÇ (µÍ¹·Õè 1)
สมรรถนะของผูเรียน
ร่างกายประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ ที่ท�างานประสานกันเป็นระบบอวัยวะ เช่น ระบบทางเดินอาหาร ประกอบด้วยอวัยวะหลายอย่าง ที่ท�างานประสานกัน ซึ่งหากอวัยวะหนึ่งอวัยวะใดท�างานผิดปกติไปหรือท�างานไม่ได้ จะมีผลกระทบต่อ สิ่งมีชีวิตนั้น นอกจากการท�างานที่ประสานกันภายในระบบนั้น ระบบต่างๆ ของ ร่างกายไม่ว่าจะเป็นระบบย่อยอาหาร ระบบไหลเวียนเลือด ระบบหายใจ ระบบ ขับถ่าย ซึ่งแต่ละระบบจะต้องท�างานประสานกันเพื่อให้สิ่งมีชีวิตนั้นๆ ด�ารงอยู่ได้
1. ความสามารถในการคิด 2. ความสามารถในการแกปญหา
คุณลักษณะอันพึงประสงค
ตัวชี้วัดชั้นป • อธิบายโครงสร้าง และการท�างานของระบบย่อยอาหาร ระบบไหลเวียนเลือด ระบบหายใจ ระบบขับถ่าย ของมนุษย์และสัตว์ (ว 1.1 ม.2/1) • อธิบายความสัมพันธ์ของระบบต่างๆ ของมนุษย์ และ น�าความรู้ไปใช้ประโยชน์ (ว 1.1 ม.2/2)
1. มีวินัย 2. ใฝเรียนรู 3. มุงมัน่ ในการทํางาน
กระตุน ความสนใจ
Engage
ใหนักเรียนดูภาพหนาหนวยโดยดูรูปคนกอน แลวรวมกันสนทนาวานักเรียนเห็นอะไรบาง จากนั้นใหดูรูปปลาแลวรวมกันสนทนาอีกวา อวัยวะตางๆ ที่พบในคนนั้นจะพบในปลาหรือไม
เกร็ดแนะครู การเรียนการสอนเรื่องระบบรางกายของมนุษยและสัตวนั้น ครูควรนํา แบบจําลองหรือแผนภาพที่มีความสมจริง ดูนาสนใจ มาใชในการอธิบายถึง โครงสรางและการทํางานของอวัยวะตางๆ ในแตละระบบ ทั้งนี้เพื่อเปนการกระตุน การเรียนรูของนักเรียน อีกทั้งยังชวยใหนักเรียนเขาใจในเนื้อหาไดงายขึ้น
คูมือครู
1
กระตุน ความสนใจ กระตุEngage นความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุน ความสนใจ
Engage
ครูตั้งคําถามเพื่อกระตุนการเรียนรู โดยให นักเรียนมีปฏิสัมพันธโตตอบกับครูเปนระยะๆ ซึ่งคําถามนั้นควรมีความเชื่อมโยงกัน • รางกายของเราประกอบดวยระบบใดบาง (แนวตอบ ขึ้นอยูกับคําตอบของนักเรียน โดย รางกายของมนุษยประกอบดวยระบบตางๆ ที่ ทํางานประสานสัมพันธกัน เพื่อทําใหมนุษย สามารถดํารงชีวิตอยูไดอยางปกติสุข ซึ่งระบบ ตางๆ ในรางกาย ไดแก ระบบยอยอาหาร ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบหายใจ ระบบขับถาย ระบบสืบพันธุ และระบบประสาท) • แตละระบบนั้นประกอบดวยอวัยวะใดบาง (ครูอาจยกตัวอยาง 1 ระบบ ใหนักเรียนชวย กันตอบ) (แนวตอบ ขึ้นอยูกับระบบที่ครูยกตัวอยาง) • อวัยวะตางๆ นั้นประกอบขึ้นจากสิ่งใด (แนวตอบ อวัยวะตางๆ นั้นประกอบขึ้นจาก เนื้อเยื่อ ซึ่งเปนกลุมของเซลลที่มีรูปราง เหมือนกันมาอยูรวมกันเพื่อทําหนาที่อยางใด อยางหนึ่งโดยเฉพาะ)
1.1 ¡ÒèѴÃкºã¹Ã‹Ò§¡Ò ร่างกายของมนุษย์และสัตว์ประกอบขึ้นจากหน่วยที่มีขนาดเล็ก ที่สุด คือ เซลล์ จ�านวนมากมายหลายล้านเซลล์ โดยเซลล์บางชนิดมีรูปร่าง และหน้าที่เหมือนกัน บางชนิดมีรูปร่างและหน้าที่แตกต่างกัน เมื่อเซลล์ที่มี รูปร่างและหน้าทีเ่ หมือนกันมารวมตัวกันเพือ่ ท�าหน้าทีเ่ ฉพาะ เรียกว่า เนือ้ เยือ่ และเมื่อเนื้อเยื่อต่างๆ มารวมตัวกัน เรียกว่า อวัยวะ ซึ่งท�าหน้าที่แตกต่างกัน ในแต่ละส่วนของร่างกาย หากอวัยวะต่างๆ ท�างานไม่ประสานกัน ร่างกาย ก็จะไม่สามารถด�ารงอยู่ได้ ดังนั้นร่างกายจึงต้องมีการจัดระบบอวัยวะใน แต่ละส่วนให้ท�างานประสานกัน เพื่อให้มนุษย์และสัตว์สามารถด�ารงชีวิต อย่างเป็นปกติได้ ร่างกายมนุษย์ประกอบขึ้นจากเซลล์ ซึ�งเปนหน่วยที่เล็กที่สุดของสิ�งมีชีวิต
เซลล
เนื้อเยื่อ
อวัยวะ
ระบบรางกาย
ภาพที่ 1.1 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
ส�าหรับการจัดระบบในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ สามารถแบ่งออก ได้ 4 ระดับ ดังนี้ 1) ระดับเซลล์ ร่างกายของคนเราประกอบด้วยเซลล์ที่มีรูปร่างและ ขนาดแตกต่างกันไป ตามหน้าที่การท�างาน ตัวอย่างเช่น เซลล์สืบพันธุ์ (sex cell) มีหน้าที่น�าข้อมูลทางพันธุกรรมจาก พ่อแม่ถ่ายทอดให้แก่ลูก เซลล์กล้ามเนื้อ (muscle cell) สามารถหดตัวและคลายตัว เพื่อ ท�าให้อวัยวะต่างๆ เคลื่อนไหวได้ 1 เซลล์ประสาท (nerve cell) ท�าหน้าทีค่ วบคุมการแสดงพฤติกรรม ต่างๆ ของร่างกาย
2
นักเรียนควรรู 1 เซลลประสาท ประกอบดวยสวนสําคัญ 2 สวน คือ 1. ตัวเซลล เปนสวนที่มีนิวเคลียสและออรแกเนลลของเซลลอยู 2. ใยประสาท เปนสวนที่ยื่นออกมานอกตัวเซลล ซึ่งแบงออกเปน 2 ชนิด ไดแก 2.1 เดนไดรต (dendrite) ทําหนาที่รับกระแสประสาทเขาสูตัวเซลล 2.2 แอกซอน (axon) ทําหนาที่สงกระแสประสาทออกจากตัวเซลล
มุม IT ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดระบบในรางกายไดจากเว็บไซตของสํานักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน http://school.obec.go.th/padad/ scien32101/BODY/1BODY.html หรือ http://www.surin.js.ac.h/ 1ระบบในรางกาย/index.htm
2
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
หากการจัดระบบในรางกายมนุษยและสัตวผิดปกติในระดับใด ระดับหนึ่ง จะสงผลตอรางกายอยางไร 1. ทําใหมีภูมิคุมกันตํ่า 2. ทําใหรูสึกออนเพลีย เหนื่อยงาย 3. ระบบตางๆ ในรางกายทํางานผิดปกติ 4. รางกายจะปรับตัวได จึงไมมีผลแตอยางใด วิเคราะหคําตอบ หากการจัดระบบในรางกายผิดปกติในระดับใดระดับหนึง่ จะสงผลใหระบบตางๆ ในรางกายทํางานผิดปกติ ซึ่งทําใหไมสามารถ ดํารงชีวิตอยูได ดังนั้น ตอบขอ 3.
กระตุนความสนใจ Engage
สํารวจคนหา สํารวจค Exploreนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
สํารวจคนหา 1
Explore
ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4 คน โดยคละ ความสามารถ จากนั้นประชุมวางแผนและแบง หนาที่กันไปศึกษาเรื่องการจัดระบบในรางกาย ตามหัวขอ ดังนี้ 1. ระดับเซลล 2. ระดับเนื้อเยื่อ 3. ระดับอวัยวะ 4. ระดับระบบรางกาย จากนั้นใหสมาชิกแตละคนกลับมาสรุปสาระ สําคัญใหเพื่อนในกลุมฟง แลวรวมกันสรุปออกมา ในรูปแบบตางๆ เชน แผนผังความคิด ตาราง เปนตน เพื่อเตรียมออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน
เซลลเม็ดเลือดแดง (red blood cell) ของมนุษย รูปรางกลมแบน คลายลูกจัน ตรงกลางบุม มีหนาที่เกี่ยวของกับการลําเลียงแกสออกซิเจน และแกสคารบอนไดออกไซด เซลลบุผิว (epithelial cell) เปนเซลลที่อยูบนผิวอวัยวะตางๆ ในรางกาย ทั้งอวัยวะภายในและอวัยวะภายนอก 2) ระดับเนือ้ เยื่อ เนื้อเยื่อ คือ กลุมของเซลลที่มีรูปรางเหมือนกัน มาอยูร วมกันเพือ่ ทําหนาทีอ่ ยางใดอยางหนึง่ โดยเฉพาะ เนือ้ เยือ่ แบงออกเปน 4 ชนิด ดังนี้ 2.1) เนื้อเยื่อบุผิว (epithelial tissue) คือ เนื้อเยื่อที่หอหุม และเนื้อเยื่อที่บุอวัยวะตางๆ เชน เนื้อเยื่อบุกระเพาะอาหาร เนื้อเยื่อบุปอด 2.2) เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (connective tissue) คือ เนื้อเยื่อที่ทํา หนาที่เปนโครงรางของรางกาย เชน กระดูก (bone) กระดูกออน (cartilage) และหลอดเลือด เปนตน 2.3) เนื้อเยื่อกลามเนื้อ (muscular tissue) ประกอบดวยเซลล ทีห่ ดตัวและคลายตัวได จําแนกออกเปน 3 ชนิด คือ กลามเนือ้ ลาย (skeleton muscle) กลามเนื้อเรียบ (smooth muscle) และกลามเนื้อหัวใจ (cardiac muscle) 2.4) เนื้ อ เยื่ อ ประสาท (nervous tissue) ประกอบด ว ย เซลลประสาทที่มีรูปรางเฉพาะ ทําหนาที่สงสัญญาณที่ถูกกระตุนไปสูสมอง และรับคําสั่งจากสมองสงกลับไปสูอวัยวะที่ถูกกระตุน เพื่อตอบสนองโดย การแสดงออกในลักษณะตางๆ
เนือ้ เยือ่ เกีย่ วพัน
เนือ้ เยือ่ บุผวิ
มุม IT ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเนื้อเยื่อไดจาก http://th.wikipedia.org/wiki/เนื้อเยื่อ
เนือ้ เยือ่ กลามเนือ้ ภาพที่ 1.2 เนื้อเยื่อตางๆ ในรางกาย ซึ่งทําหนาที่แตกตางกัน (ที่มาของภาพ : biology insights)
เนือ้ เยือ่ ประสาท
http://www.aksorn.com/LC/Sci B1/M2/01
EB GUIDE
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ใหนักเรียนอธิบายความสัมพันธของคําวาเซลล เนื้อเยื่อ อวัยวะ และ ระบบรางกาย
แนวตอบ รางกายของมนุษยและสัตวประกอบขึ้นจากหนวยพื้นฐานที่มี ขนาดเล็กที่สุด เรียกวา เซลล ซึ่งเซลลแตละชนิดจะมีขนาด รูปราง และ หนาที่แตกตางกัน เมื่อเซลลที่มีรูปรางและหนาที่เหมือนกันมารวมกลุมกัน เพื่อทําหนาที่เฉพาะ เรียกวา เนื้อเยื่อ เมื่อเนื้อเยื่อตางๆ มารวมตัวกัน เรียกวา อวัยวะ และเมื่ออวัยวะหลายอวัยวะมาทํางานประสานกัน เรียกวา ระบบรางกาย
3
เกร็ดแนะครู ขณะที่นักเรียนแตละกลุมประชุมแบงหนาที่และรวมกันอภิปรายนั้น ครูควร สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม วานักเรียนแตละคนใหความรวมมือในการทํางาน หรือไม และคอยใหคําแนะนําเพื่อใหนักเรียนไดชวยกันทํางาน
นักเรียนควรรู 1 เซลลเม็ดเลือดแดง ปริมาณอัดแนนของเม็ดเลือดแดง (Haematocrit : HCT) ปกติในเพศชายจะมีคาประมาณ 40-54% สวนในเพศหญิงประมาณ 36-47% และ ปริมาณความเขมขนของเฮโมโกลบิน (Haemoglobin : HBG) ปกติในเพศชายจะ มีคา ประมาณ 13.0-18.0 gm% (gm% คือ กรัมตอเลือด 100 มิลลิลติ ร) สวนใน เพศหญิงมีคาประมาณ 11.5-16.5 gm% ซึ่งหากตรวจพบวาปริมาณทั้งสองมีคา ตํ่ากวาเกณฑ จะถือวามีภาวะโลหิตจาง คูมือครู
3
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
Explain
ครูสุมนักเรียน 2-3 กลุม ออกมานําเสนอเนื้อหา ที่สรุปไว โดยครูและนักเรียนกลุมอื่นๆ รวมกัน เสนอแนะเพิ่มเติมในประเด็นที่อาจขาดหายไป และ อภิปรายเพื่อใหไดขอสรุปรวมกันที่ถูกตองครบถวน ใหนักเรียนจับคูกัน ดูภาพแสดงอวัยวะตางๆ ในรางกาย (ภาพที่ 1.3) ในหนังสือเรียน หนา 4 โดยใหนักเรียนปดชื่อของอวัยวะและขอความทาง ดานซายมือไว แลวชวยกันพิจารณาภาพและบอก วาอวัยวะตางๆ แตละหมายเลขนั้นคืออะไร จากนั้นครูตั้งคําถามเพื่อชักนําใหนักเรียนได คิดวิเคราะห • นักเรียนจะมีวิธีการปฏิบัติตนอยางไร เพื่อให ระบบตางๆ ในรางกายทํางานประสาน สัมพันธกันอยางมีประสิทธิภาพ (แนวตอบ ขึ้นอยูกับคําตอบของนักเรียน เชน รักษาสุขภาพกายและสุขภาพจิตใหดี รับประทานอาหารที่มีประโยชน ออกกําลังกายสมํ่าเสมอ ตรวจสุขภาพ เปนประจํา เปนตน)
ภาพแสดงอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย
1 2 3 4 5 6 7
1
สมอง : เป็นส่วนหนึ�งของระบบประสาท
ท�าหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ศูนย์กลาง ของความคิด ความจ�า และอารมณ์ต่างๆ ปอด : เป็นอวัยวะหนึ�งของระบบหายใจ ท�าหน้าที่แลกเปลี่ยนแก๊สออกซิเจนและ คาร์บอนไดออกไซด์ให้กับร่างกาย ไต : เป็นอวัยวะหนึ�งของระบบขับถ่าย ท�าหน้าที่กรองของเสียออกจากเลือด กระดูก : เป็นส่วนหนึ่งของระบบค�้าจุน ท�าหน้าที่ช่วยพยุงและปองกันอันตราย ช่วยในการเคลื่อนไหว หัวใจ : เป็นส่วนหนึ�งของระบบหมุนเวียน ของร่างกาย ท�าหน้าที่สูบฉ�ดเลือดให้หมุน เวียนไปทั�วร่างกาย กระเพาะอาหาร : เป็นส่วนหนึ�งของระบบ ย่อยอาหาร ท�าหน้าที่คลุกเคล้าและย่อย อาหาร อวัยวะเพศ : เป็นส่วนหนึง� ของระบบสืบพันธุ์ ท�าหน้าที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์
2
1
5 6
2 3
7
4
ภาพที่ 1.3 (ที่มาของภาพ : children’s science encyclopedia)
3) ระดับอวัยวะ อวัยวะทั่วไปเกิดจากเนื้อเยื่อหลายชนิดรวมกัน ท�าหน้าที่อย่างเดียวกัน ร่างกายของมนุษย์จะประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ หลายอวัยวะ ซึ่งท�าหน้าที่ประสานกัน โดยมีระบบการท�างานแตกต่างกัน ออกไป หากระบบอวัยวะทั้งหมดของร่างกายท�างานร่วมกันได้อย่างมี ประสิทธิภาพก็จะท�าให้เรามีสุขภาพดี 4) ระดับระบบร่างกาย อวัยวะหลายชนิดท�างานประสานกันเพื่อ ท�าหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ เรียกว่า ระบบร่างกาย ร่างกายของ มนุษย์ประกอบด้วยระบบร่างกายหลายระบบ โดยแต่ละระบบจะท�างาน ประสานสัมพันธ์กัน เพื่อให้เราสามารถด�ารงชีวิตได้อย่างเป็นปกติ ถ้าระบบ ร่างกายใดท�างานผิดปกติหรือบกพร่อง จะส่งผลกระทบต่อการท�างานของ ระบบอื่นๆ ในร่างกายด้วย 4
นักเรียนควรรู 1 สมอง อาหารที่ชวยบํารุงสมอง ตัวอยางเชน • กรดไขมันโอเมกา-3 (omega 3) พบมากในปลาทะเล เชน ปลาทู ปลาทูนา เปนตน • โคลีน (choline) พบในขาวกลอง ขาวโพด ผักใบเขียวตางๆ เปนตน • แมงกานีส (manganese) พบมากในอาหารทะเล ตับหมู ผักใบเขียว แอปเปล มะมวง เปนตน • กรดโฟลิก (folic acid) พบมากในกลวย สม มะนาว ถั่วเหลือง ธัญพืช เปนตน 2 ไต หากไตทํางานผิดปกติจะทําใหของเสียคั่งคางภายในรางกายมีปริมาณสูง ซึ่งทําใหมีอาการปสสาวะนอยแตบอยครั้ง ปสสาวะลําบาก และมีเลือดออกปนมา กับปสสาวะ
4
คูมือครู
กิจกรรมสรางเสริม ใหนักเรียนเปรียบเทียบการทํางานของอวัยวะในรางกายกับสิ่งที่มนุษย ประดิษฐขนึ้ เชน สมอง ทําหนาทีเ่ ทียบไดกับเครื่องคิดเลขหรือคอมพิวเตอร มีหนาที่คิดคํานวณและเก็บขอมูลตางๆ เปนตน (กําหนดอวัยวะตางๆ ไดแก ตา ฟน ปอด หัวใจ ลําไส และไขกระดูก) ทําเปนใบงานสงครูผูสอน
กิจกรรมทาทาย ใหนักเรียนยกตัวอยางสิ่งที่เปนอันตรายตอระบบตางๆ ในรางกาย และ แนวทางการปองกัน เขียนเปนใบงานสงครูผูสอน
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
กิจกรรม
พั ฒ นาทั ก ษะ วิทยาศาสตร์
1.1
ร่างกายของมนุษย์และสัตว์ประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ ที่ท�าหน้าที่แตกต่างกัน ซึ่งท�างานประสานสัมพันธ์กัน เป็นระบบ เพื่อให้สามารถด�ารงชีวิตได้เป็นปกติ จุดประสงค์ : เพื่อศึกษาต�าแหน่งและหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย อุปกรณ์
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
Expand าใจ ขยายความเข
Evaluate ตรวจสอบผล
ขยายความเขาใจ
อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย
วิธีการปฏิบัติ
• แผนภาพร่างกาย มนุษย์ • กรรไกร • กาว • นาฬิกาจับเวลา
ขยายความเขาใจ
1 . ให้นักเรียนจับคู่และศึกษาต�าแหน่ง ชื่อ และหน้าที่ของอวัยวะแต่ละอย่าง ภายในระยะเวลา 5 นาที แล้วปิดหนังสือ 2. ตัดภาพอวัยวะ และป้ายชื่ออวัยวะออกมา 3. ให้นกั เรียนแต่ละคูช่ ว่ ยกันพิจารณาว่า จะวางภาพอวัยวะแต่ละส่วนลงบนภาพโครงร่างของร่างกายทีบ่ ริเวณใด จากนัน้ วางชื่ออวัยวะส่วนต่างๆ ไว้ โดยรอบ ลากลูกศรชี้จากอวัยวะไปยังป้ายชื่อที่ตรงกัน 4. ให้นักเรียนแต่ละคู่น�าค�าตอบที่ ได้มาเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่น เพื่อหาค�าตอบที่ถูกต้อง ติดภาพโครงร่างของร่างกาย ที่เสร็จสมบูรณ์แล้วลงในสมุด พร้อมทั้งเขียนหน้าที่ของอวัยวะแต่ละชนิดลงด้านข้าง หรือใต้ป้ายชื่ออวัยวะนั้น
Expand
ครูมอบหมายใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5 คน ศึกษาอวัยวะตางๆ ในรางกาย ตามประเด็น ดังนี้ 1. หนาที่ 2. ความผิดปกติหรือบกพรอง 3. ผลกระทบตอรางกาย 4. วิธีการดูแลรักษาเพื่อไมใหเกิดความผิดปกติ โดยใหศึกษาอวัยวะอยางนอย 10 อวัยวะ ทําเปนใบงานสงครูผูสอน
ตรวจสอบผล
Evaluate
ใหนักเรียนทําใบงานเรื่องอวัยวะตางๆ ในรางกาย และปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 1.1
ไต กระเพาะอาหาร หัวใจ ล�าไส้ ตับ สมอง ปอด อวัยวะสืบพันธุ์ ภาพที่ 1.4 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
5
แนวตอบ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.1 1. ปอด อยูบริเวณทรวงอก ทําหนาที่แลกเปลี่ยนแกสระหวางสิ่งแวดลอมกับรางกาย 2. ไต อยูบ ริเวณสวนลางของชองทอง ไตขางขวาอยูติดกับตับ สวนไตขางซายอยูใตกะบังลมและติดกับมาม ทําหนาที่กรองของเสียออกจากเลือด และขับออกจากรางกายพรอมกับนํ้าในรูปของปสสาวะ 3. กระเพาะอาหาร วางตัวอยูทางดานซายของชองทอง โดยอยูระหวางหลอดอาหารและลําไสเล็กตอนตน ทําหนาที่ยอยสลายสารอาหาร ผลิตเอนไซมที่ใชในการยอยโปรตีน คือ เอนไซมเพปซิน (pepsin) และยัง ทําหนาที่ดูดซึมนํ้า ไอออนตางๆ รวมทั้งแอลกอฮอลอีกดวย 4. อวัยวะสืบพันธุ อยูบริเวณสวนลางของชองทอง ทําหนาที่เกี่ยวกับระบบสืบพันธุ 5. หัวใจ วางตัวอยูบริเวณกลางชองอก ถูกขนาบขางดวยปอด ทําหนาที่สูบฉีดเลือดไปยังสวนตางๆ ของรางกาย 6. ตับ วางตัวอยูทางขวาดานบนของชองทอง ใตกะบังลม ทําหนาที่ผลิตนํ้าดี 7. ลําไสเล็กและลําไสใหญ ลําไสเล็กอยูตอจากกระเพาะอาหาร ทําหนาที่ยอยอาหาร และดูดซึมสารอาหาร สวนลําไสใหญอยูตอจากลําไสเล็ก ทําหนาที่ดูดซึมนํ้าและแรธาตุกลับสูกระแสเลือด และขับกากอาหาร ออกนอกรางกายในรูปอุจจาระ 8. สมอง อยูภายในกะโหลกศีรษะ ทําหนาที่ควบคุมการทํางานของอวัยวะตางๆ ในรางกาย คูมือครู
5
กระตุน ความสนใจ กระตุEngage นความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุน ความสนใจ
Engage
ครูนํารูปฟองนํ้าและไฮดรา มาใหนักเรียนดู แลวถามนักเรียนวารูจักสัตวพวกนี้หรือไม จากนั้น รวมกันอภิปรายเกี่ยวกับลักษณะรูปราง แหลงที่อยู และการดํารงชีวิตของทั้งฟองนํ้าและไฮดรา โดยมี แนวการอภิปราย ดังนี้ 1. ฟองนํ้า เปนสิ่งมีชีวิตในไฟลัมพอริเฟอรา (porifera) มีรูปรางคลายแจกันที่มีรูพรุนเล็กๆ ทั่วตัว ซึ่งเปนชองทางใหนํ้าผานเขาไปในลําตัว สวนใหญอาศัยอยูในทะเล 2. ไฮดรา เปนสิ่งมีชีวิตในไฟลัมไนดาเรีย (cnidaria) ลําตัวยาวเปนรูปทรงกระบอกสูง ปลาย ดานหนึ่งประกอบดวยหนวดเสนเล็กๆ รอบปาก ซึ่งสามารถมองเห็นไฮดราไดดวยตาเปลาใน แหลงนํ้าจืดที่สะอาด เชน บึง คลอง แมนํ้า เปนตน จากนั้นครูตั้งคําถามเพื่อนําเขาสูบทเรียน • นักเรียนคิดวาระบบยอยอาหารของฟองนํ้า และไฮดรามีความเหมือนหรือแตกตางจาก สัตวทั่วไปอยางไร (แนวตอบ ระบบยอยอาหารของฟองนํ้าและ ไฮดราแตกตางจากสัตวทั่วไป ซึ่งนักเรียนจะ ไดศึกษาตอไป)
1.2 ÃкºÂ‹ÍÂÍÒËÒà อาหารต่างๆ ทีบ่ ริโภคเข้าสูร่ า่ งกาย ล้วนแล้วแต่มโี มเลกุลขนาดใหญ่ เกินกว่าที่จะล�าเลียงเข้าสู่เซลล์ของร่างกายได้ จึงต้องผ่านกระบวนการที่ท�า ให้มีโมเลกุลขนาดเล็กลงจนสามารถล�าเลียงเข้าสู่เซลล์ได้ เรียกว่า การย่อย 1 การย่อยอาหาร คือ การท�าให้อาหารที่มีโมเลกุลใหญ่กลายเป็นสาร อาหารที่มีโมเลกุลเล็กลงจนสามารถผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้ ซึ่งการย่อยอาหาร ในร่างกายมี 2 วิธี คือ การย่อยเชิงกล (การบดเคี้ยวอาหารโดยฟัน) และการ ย่อยเชิงเคมี (ใช้เอนไซม์ท�าให้โมเลกุลของอาหารมีขนาดลดลง)
1.2.1 ระบบย่อยอาหารของสัตว
หากแบ่งตามลักษณะของระบบทางเดินอาหารของสัตว์ สามารถแบ่ง ออกได้เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ 1) การย่อยอาหารของสัตว์ที่ไม่มีทางเดินอาหาร สัตว์ที่มีระบบ การย่อยอาหารแบบนีจ้ ะเป็นสัตว์กลุม่ แรกทีม่ โี ครงสร้างซึง่ ท�าหน้าทีก่ นิ อาหาร และแปรสภาพสารอาหาร แต่จะไม่มรี ะบบทางเดินอาหารทีช่ ดั เจน จะมีเพียง เซลล์ที่ท�าหน้าที่ดักจับอาหารแล้วสร้างเป็นถุงอาหาร และย่อยสลายด้วย เอนไซม์จากไลโซโซม
อาหาร
ของเสีย
ถุงอาหาร
ภาพที่ 1.5 ฟองน�้ามีเซลล์ที่ท�าหน้าที่ดักจับอาหาร แล้วสร้างเป็นถุงอาหารภายในเซลล์ (ที่มาของภาพ : http://www.mun.ca/biology/scarr/porifera.htm)
ชองวาง กลางล�าตัว ภาพที่ 1.6 ไฮดรามีทางเดินอาหารแบบไม่สมบูรณ์ อาหารจะเข้าและออกจากร่างกายทางช่องปาก ซึ่ง การย่อยอาหารเกิดขึ้นในช่องว่างกลางล�าตัว (ที่มาของภาพ : life)
2) การย่อยอาหารของสัตว์ที่มีทางเดินอาหารไม่สมบูรณ์ สัตว์ที่มี ทางเดินอาหารแบบไม่สมบูรณ์ (incomplete digestive tract) จะมีโครงสร้าง ที่เป็นช่องเปิดเพื่อน�าอาหารเข้าสู่ร่างกาย ได้แก่ ปาก (mouth) โดยอวัยวะ ส่วนนี้ยังท�าหน้าที่เป็นทวารหนัก (anus) ปล่อยเศษอาหารกลับออกสู่ ภายนอกด้วย สัตว์ในกลุ่มนี้ ได้แก่ ไฮดรา และพลานาเรีย การจับอาหารหรือล่าเหยื่อของสัตว์กลุ่มนี้จะใช้หนวดหรืองวง จับอาหารเข้าสู่ปาก และผ่านเข้าไปในช่องว่างกลางล�าตัว (gastrovascular cavity) หรือทางเดินอาหารที่ประกอบด้วยเซลล์ที่ท�าหน้าที่ย่อยสลายอาหาร ด้วยการสร้างเอนไซม์มาย่อยอาหารจนมีโมเลกุลเล็กลง และล�าเลียงเข้าสู่ เซลล์ของร่างกาย
6
นักเรียนควรรู 1 การยอยอาหาร อาหารที่มีโมเลกุลใหญจะถูกยอยใหเปนโมเลกุลขนาดเล็ก ดังนี้ กลูโคส 1. คารโบไฮเดรต กรดอะมิโน 2. โปรตีน กรดไขมัน+กลีเซอรอล 3. ไขมัน
มุม IT ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบยอยอาหารไดจากเว็บไซตครูใหญ ชีววิทยา ออนไลน http://kruyaibio.wordpress.com/tag/ระบบยอยอาหาร/ หรือ http://www.cedarville.edu/personal/jwf/bio100/lecturequiz21b.swf
6
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ขอใดกลาวถูกตองเกี่ยวกับระบบยอยอาหาร 1. การยอยอาหารจะตองมีเอนไซมเขามาเกี่ยวของเสมอ 2. การยอยอาหารในรางกายมนุษยเริ่มตนที่กระเพาะอาหาร 3. ระบบยอยอาหารของสัตวทุกชนิดมีกระบวนการเหมือนกัน 4. การยอยอาหารเปนกระบวนการที่ทําใหอาหารมีโมเลกุลเล็กลง วิเคราะหคําตอบ ระบบยอยอาหารของสัตวแตละชนิดรวมทั้งมนุษย จะมีความแตกตางกัน ซึ่งการยอยอาหารเปนกระบวนการที่ทําใหอาหารมี โมเลกุลเล็กลงจนสามารถผานเยื่อหุมเซลลได การยอยอาหารมี 2 วิธี คือ การยอยเชิงกล (การบดเคี้ยวอาหารโดยฟน) และการยอยเชิงเคมี (ใชเอนไซมทําใหโมเลกุลของอาหารมีขนาดเล็กลง) ซึ่งการยอยอาหาร ในรางกายมนุษยเริ่มตนที่ปากโดยวิธีการยอยเชิงกล ดังนั้น ตอบขอ 4.
กระตุนความสนใจ Engage
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
สํารวจค Exploreนหา
อธิบExplain ายความรู
สํารวจคนหา
ใหนักเรียนรวมกลุม กลุมละ 3 คน แบงหนาที่ กันไปศึกษาเรื่องระบบยอยอาหารของสัตว จาก หนังสือเรียน หนา 6-7 โดยใหแตละคนสรุปสาระ สําคัญแลวนํามาเลาใหเพื่อนฟง จากนั้นชวยกัน อภิปรายซักถามและสรุปรวมกัน
3) การย่อยอาหารของสัตว์ที่มีทางเดินอาหารสมบูรณ์ สัตว์กลุ่มนี้ มีการพัฒนาของระบบย่อยอาหารและทางเดินอาหารที่สมบูรณ์ ซึ่งจะ ประกอบด้วย ปาก ท�าหน้าทีเ่ ป็นช่องเปิดน�าอาหารเข้าสูร่ ะบบทางเดินอาหาร คอหอย (pharynx) ท�าหน้าที่บีบตัวน�าส่งอาหารผ่านหลอดอาหาร (esopha1 gus) เข้าสู่ถุงพักอาหาร (crop) หรือกระเพาะอาหาร (stomach) เพื่อเกิด การย่อยอาหารให้สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และส่งผ่านล�าไส้ (intestine) ที่ จ ะมี การย่ อ ยสลายสารอาหารให้ มี ข นาดเล็ ก ลงและดู ด ซึ ม สารอาหาร บางชนิดด้วย ส่วนกากอาหารจะถูกปล่อยออกทางช่องทวารหนัก (anus) สัตว์ ในกลุ่มนี้จะมีการพัฒนาระบบทางเดินอาหารและเซลล์ ในแต่ละส่วน ให้มีหน้าที่แตกต่างกัน เช่น เซลล์ที่คอหอยและหลอดอาหาร จะเป็นเซลล์ กล้ามเนื้อที่แข็งแรง สามารถบีบตัวเพื่อส่งอาหารผ่านเข้าสู่กระเพาะพัก อาหารได้ เซลล์ในกระเพาะอาหารจะมีความคงทนต่อสภาพแวดล้อมที่เป็น กรด ซึ่งเกิดขึ้นในกระบวนการย่อยสลายสารอาหารได้ดี เป็นต้น สัตว์ที่มีทางเดินอาหารสมบูรณ์ ตัวอย่างเช่น 1. ปลา ระบบย่อยอาหารของปลาเริ่มจากปากไปยังคอหอย กระเพาะอาหารและล�าไส้ มีอวัยวะช่วยในการย่อยอาหาร ได้แก่ ตับ และ ตับอ่อน หลังจากการย่อยและการดู ดซึม กากอาหารจะถูกส่งออกทาง 2 ทวารหนัก ซึ่งปลาที่กินพืชเป็นอาหารจะมีทางเดินอาหารยาวกว่าปลาที่กิน เนื้อสัตว์
อธิบายความรู
Explain
ครูสุมนักเรียน 3 กลุม ออกมาสรุปสาระสําคัญ จากการศึกษา กลุม ละ 1 หัวขอ โดยครูและนักเรียน คนอื่นๆ รวมกันเสนอแนะ เพื่อใหไดขอสรุปที่ ถูกตองรวมกัน
ขยายความเขาใจ
Expand
ครูยกตัวอยางสัตวหลากหลายชนิดใหนักเรียน ชวยกันตอบวาสัตวแตละชนิดนั้นมีทางเดินอาหาร แบบใด ตัวอยางเชน • สัตวที่มีทางเดินอาหารไมสมบูรณ เชน แมงกะพรุน ดอกไมทะเล ปะการัง พลานาเรีย พยาธิ เปนตน • สัตวที่มีทางเดินอาหารสมบูรณ เชน ไสเดือน หอย ดาวทะเล หมึก กบ ไก แมงมุม สุนัข เปนตน
ปาก
ทวารหนัก ตับ
Explore
ล�าไส้เล็ก
หลอดอาหาร
ภาพที่ 1.7 ระบบย่อยอาหารของปลา (ที่มาของภาพ : life)
ทวารหนัก กระเพาะอาหาร
ปาก
2. แมลง ทางเดินอาหารของแมลงเป็นท่อยาวเช่นเดียวกับ ทางเดินอาหารของปลา โดยระบบย่อยอาหารจะมีต่อมน�้าลายและต่อม สร้างน�้าย่อยส�าหรับย่อยอาหาร อาหารเข้าสู่ร่างกายทางปาก ผ่านไปยัง ทางเดินอาหาร และกากอาหารจะถูกขับออกทางทวารหนัก
ตอมน�า้ ลาย ภาพที่ 1.8 ระบบย่อยอาหารของแมลง (ที่มาของภาพ : life)
7
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ลําดับทางเดินอาหารในสัตวพวกปลาเปนไปตามลักษณะใด 1. ปาก หลอดอาหาร ถุงพักอาหาร ทวารหนัก 2. ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ทวารหนัก 3. ปาก คอหอย กระเพาะอาหาร ลําไส ทวารหนัก 4. ปาก คอหอย หลอดอาหาร ถุงพักอาหาร ทวารหนัก
วิเคราะหคําตอบ ลําดับทางเดินอาหารในสัตวพวกปลา เริ่มตั้งแตปากไป ยังคอหอย กระเพาะอาหาร และลําไส โดยมีอวัยวะชวยในการยอยอาหาร ไดแก ตับและตับออน ซึ่งหลังจากการยอยและการดูดซึม กากอาหารจะ ถูกสงออกทางทวารหนัก ดังนั้น ตอบขอ 3.
นักเรียนควรรู 1 ถุงพักอาหาร หรือกระเพาะพักอาหาร พบในสัตวปก เชน นก เปด ไก เปนตน เปนสวนที่อยูตอจากหลอดอาหาร ซึ่งมีลักษณะพองออกจนเปนถุงเพื่อ เปนที่พักของอาหารที่จะนํากลับมายอยภายหลัง 2 ปลาที่กินพืช จะมีทางเดินอาหารยาวกวาปลาที่กินสัตว (มีลําไสยาวกวา) ซึ่งการยอยพืชหรือเซลลูโลส (cellulose) โดยเอนไซมเซลลูเลส (cellulase) ที่ได จากแบคทีเรียในลําไสนั้นเกิดขึ้นไดชา ดังนั้นการมีลําไสยาวจะชวยเพิ่มระยะเวลา ในการยอยพืช และชวยเพิ่มพื้นที่ผิวสัมผัสสําหรับการยอยและดูดซึมอาหารอีกดวย
คูมือครู
7
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา Exploreนหา สํารวจค
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุEngage นความสนใจ
กระตุน ความสนใจ
Engage
ครูเปดวีดิทัศนเกี่ยวกับระบบยอยอาหารของ มนุษยใหนักเรียนดูและสรุปสาระสําคัญลงในสมุด โดยครูอาจนํามาจากเว็บไซตตามมุม IT ดานลาง จากนั้นตั้งคําถามเพื่อใหนักเรียนรวมกัน อภิปราย • ระบบยอยอาหารมีความสําคัญอยางไรตอ การดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิต (แนวตอบ ระบบยอยอาหารเปนระบบที่ ทําหนาที่ยอยอาหารที่มีโมเลกุลใหญ ใหเปน สารอาหารที่มีโมเลกุลเล็กลงจนสามารถถูก ดูดซึมผานเยื่อหุมเซลลไปเลี้ยงสวนตางๆ ของรางกายได ซึ่งอาหารมีความสําคัญตอการ ดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิต หากระบบยอยอาหาร ทํางานผิดปกติ อาจทําใหสิ่งมีชีวิตเกิดโรค หรือเสียชีวิตในที่สุด)
สํารวจคนหา
1.2.2 ระบบย่อยอาหารของมนุษย
อาหารทีเ่ รากินเข้าไปประกอบด้วยสารอาหารโมเลกุลใหญ่หลายชนิด เช่น คาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน เป็นต้น ร่างกายดูดซึมไปใช้ประโยชน์ ไม่ได้ จะต้องผ่านกระบวนการท�าให้สารอาหารมีโมเลกุลเล็กลงจนสามารถ ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ ได้ โดยมีเอนไซม์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ระบบย่อยอาหาร ของมนุษย์ประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ ดังต่อไปนี้ ปาก หลอดอาหาร ตับ
กระเพาะอาหาร ตับออน
ล�าไส้เล็ก
ล�าไส้ใหญ
ภาพที่ 1.9 โครงสร้างระบบย่อยอาหารของมนุษย์ (ที่มาของภาพ : biology insights)
Explore
1) ปาก (mouth) เมื่ออาหารเข้าสู่ปากจะเกิดการย่อยเชิงกลโดย การบดเคี้ยว และมีการย่อยทางเคมีโดยเอนไซม์อะไมเลส (amylase) จาก ต่อมน�้าลาย เอนไซม์นี้จะย่อยคาร์โบไฮเดรตให้มีโมเลกุลเล็กลง แต่ร่างกาย ยังไม่สามารถน�าไปใช้ได้ เนื่องจากยังมีโมเลกุลขนาดใหญ่ เพราะอาหารอยู่ ในปากไม่นานพอที่จะย่อยจนได้น�้าตาลที่มีโมเลกุลขนาดเล็กที่ร่างกายจะน�า ไปใช้ได้ จากนั้นอาหารในปากจะถูกส่งลงสู่หลอดอาหารโดยการท�าของลิ้น 1 เรียกว่า การกลืนอาหาร (swallow) เพื่อส่งไปย่อยต่อในอวัยวะส่วนอื่นๆ
ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5 คน ศึกษาเรื่อง ระบบยอยอาหารของมนุษยจากหนังสือเรียน หนา 8-10 แลวสรุปออกมาในรูปของแผนผังความคิด โดยอาจวาดภาพประกอบและระบายสีใหสวยงาม เพื่อเตรียมออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน
คาร์โบไฮเดรต
เอนไซม์อะไมเลส
น�้าตาลโมเลกุลขนาดเล็ก
2) หลอดอาหาร มุมมุมITIT(esophagus) มีลักษณะเป็นท่อตรงต่อจาก คอหอยไปยังกระเพาะอาหาร ยาวประมาณ 25 เซนติเมตร กล้ามเนื้อของ ีกวกั ารสร้ าบงน�โครงสร ้าย่อยางและหน อาหารจะเคลื นที ่ผ่านหลอดอาหาร ศึหลอดอาหารจะไม่ กศึษาเพิ กษาเพิ ่มเติ่มมเติเกีมม่ยเกี ่ยวกั บโครงสร างและหน าทีา่ข่อทีองเซลล ่ของเซลล ไดไจดากจากhttp://www. http://www. โดยการหดตัวและคลายตัวของชั้นกล้ามเนื้อ ซึ่งบีบตัวในลักษณะลูกคลื่น ภาพที่ 1.10 การหดตัวและการคลายตัวของชัratchanee.thport.com/E-learning/structure_cell.html ้น ratchanee.thport.com/E-learning/structure_cell.html กล้ามเนื้อบริเวณหลอดอาหาร ท�าให้อาหารเคลื่อน เป็นระยะๆ เรียกว่า เพอริส ทัลซีส (peris talsis) จนอาหารเคลื่อนที่ลงสู่ ลงสู่กระเพาะอาหาร (ที่มาของภาพ : biology expression) กระเพาะอาหารจนหมด 8
นักเรียนควรรู 1 การกลืนอาหาร หลังจากอาหารถูกเคี้ยวและผสมคลุกเคลากับนํ้าลายจน ออนนิ่มแลว อาหารจะถูกกลืนตามขั้นตอน ดังนี้ 1. เพดานออนจะถูกดันยกขึ้นไปปดชองจมูก เพื่อปองกันไมใหอาหารเขาไป ในชองจมูกและเกิดอาการสําลัก 2. ฝาปดกลองเสียงจะเลื่อนมาปดหลอดลมไว ปองกันไมใหอาหารตกเขาสู หลอดลม 3. กลองเสียงถูกยกขึ้น ทําใหรูเปดของชองคอมีขนาดใหญขึ้น 4. กลามเนื้อบริเวณคอหอยหดตัว เพื่อชวยใหกอนอาหารเคลื่อนลงไปใน หลอดอาหาร โดยไมตกลงไปในหลอดลม หรือเคลื่อนขึ้นไปในชองจมูก
8
คูมือครู
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับขนาดของอาหารกับการยอยอาหาร การสับหรือบดอาหารใหมีขนาดเล็กจะมีผลตอการยอยอยางไร 1. กลืนงายและดูดซึมงาย 2. ชิ้นอาหารมีขนาดเล็ก ดูดซึมงาย 3. อาหารซึมผานผนังลําไสเล็กไดงาย 4. อาหารมีพื้นที่ผิวสัมผัสกับนํ้ายอยไดมาก วิเคราะหคําตอบ การสับหรือบดอาหารใหมีขนาดเล็กจะทําใหมีพื้นที่ ผิวสัมผัสกับนํ้ายอยไดมาก ซึ่งชวยใหการยอยเร็วขึ้น ดังนั้น ตอบขอ 4.
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบายความรู
ใหนักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมา นําเสนอแผนผังความคิด โดยครูและนักเรียน คนอื่นๆ รวมกันเสนอแนะเพื่อใหไดขอสรุปที่ ถูกตอง ซึ่งหากมีขอผิดพลาดใด ใหแตละกลุม นําไปปรับปรุงแกไข และนําสงครูผูสอน จากนั้นใหนักเรียนทํากิจกรรมในแบบวัดและ บันทึกผลการเรียนรู กิจกรรมที่ 1.3
3) กระเพาะอาหาร (stomach) เป็นส่วนทางเดินอาหารที่ใหญ่ ที่สุด มีความจุประมาณ 2-3 ลิตร มีกล้ามเนื้อหนาและแข็งแรงมาก รวมทั้ง มีความยืดหยุ่นดี เมื่ออาหารมาถึงกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารจะสร้ 1 าง ของเหลวออกมา 3 ชนิด คือ น�้าย่อย กรดเกลือ และเอนไซม์ ส�าหรับ ย่อยสลายโปรตีนให้ได้เป็นโปรตีนสายสั้นๆ ส่วนคาร์ โบไฮเดรตและไขมัน จะไม่ถกู ย่อยทีก่ ระเพาะอาหาร อาหารทุกชนิดจะคลุกเคล้ากับสารต่างๆ ด้วย การหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะอาหาร โปรตีน
เอนไซม์เปปซิน
กรดอะมิโน
4) ล�าไส้เล็ก (small intestine) เป็นทางเดินอาหารที่ยาวที่สุด ซึ่ง ยาวประมาณ 7-8 เมตร ผนังด้านในมีบริเวณที่ยื่นเข้าไปภายใน เรียกว่า วิลลัส (villus) เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวในการดูดซึมอาหาร เมื่ออาหารผ่านจาก 2 กระเพาะอาหารลงสู่ล�าไส้เล็กตอนบน ผนังล�าไส้เล็กจะสร้างเอนไซม์ย่อย โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต นอกจากนี้อวัยวะอื่นๆ เช่น ตับ ตับอ่อน สามารถผลิตเอนไซม์และสารประกอบต่างๆ ส่งไปยังล�าไส้เล็ก เพื่อช่วย ในกระบวนการย่อยอาหาร ส่วนอาหารที่ไม่ถูกย่อยหรือย่อยไม่ได้จะถูกส่ง ต่อไปยังล�าไส้ใหญ่ สารอาหารที่มีโมเลกุลเล็กรวมทั้งวิตามิน แร่ธาตุ และน�้า จะถูก ดูดซึมผ่านผนังล�าไส้เล็กเข้าสู่หลอดเลือดฝอยและหลอดน�้าเหลือง แล้ว ล�าเลียงต่อไปยังเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย
Explain
✓ แบบวัดฯ ใบงาน แบบฝกฯ ว�ทยาศาสตร ม.2 กิจกรรมที่ 1.3 หนวยที่ 1 ระบบรางกายมนุษย และสัตว (ตอนที่ 1)
ภาพที่ 1.11 อาหารประเภทโปรตีนจะถูกย่อย บริเวณกระเพาะอาหาร (ที่มาของภาพ : biology expression)
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
กิจกรรมที่ 1.3 ใหนักเรียนศึกษาระบบยอยอาหารของมนุษยตามขั้นตอน 10 ดังนี้ (ว 1.1 ม.2/1) 1. สืบคนขอมูลระบบยอยอาหารของมนุษย จากหนังสือในหองสมุด อินเทอรเน็ต หรือแหลง เรียนรูตางๆ 2. พิจารณาภาพระบบยอยอาหารของมนุษย แลวเติมหมายเลขลงในภาพ พรอมทั้งบอกลักษณะ ทางเดินอาหารใหถูกตอง 3. จับคูก นั เปรียบเทียบคําตอบ และนําคําตอบเปรียบเทียบกับเพือ่ นคูอ นื่ ๆ เพือ่ หาคําตอบทีถ่ กู ตอง 2
……………
1
……………
3
……………
ฉบับ
เฉลย
4
……………
5
……………
1
ปาก อะไมเลส มีเอนไซม ………………………….. แปง ยอย ………………………………….. นํ้าตาล ได ………………………………………
2
หลอดอาหาร บีบอาหารลง ทําหนาที่ ………………………….. สูก ระเพาะ โดยการหดตัว และคลายตัวของกลามเนือ้
……………………………………………… ………………………………………………
3
กระเพาะอาหาร เปปซิน มีเอนไซม …………………………. โปรตีน ยอย …………………………………… เปปไทด ได ……………………………………….
………………………………………………
5
ลําไสใหญ เก็บกากอาหารและ ทําหนาที่ …………………………………………. ดูดซึมนํ้าออกจากกากอาหาร
……………………………………………………………… ……………………………………………………………… ……………………………………………………………..
4
ลําไสเล็ก ยอยคารโบไฮเดรตได นํ้าตาลโมเลกุลเล็ก
…………………………………………………………………..
กรดอะมิโน ยอยโปรตีนได …………………………………….. น+กลีเซอรอล ยอยไขมันได กรดไขมั ……………………………………….
4
ภาพที่ 1.12 ผนังด้านในของล�าไส้เล็กมีบริเวณที่ยื่นเข้าไปภายใน เรียกว่า วิลลัส เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการ ย่อยอาหาร (ที่มาของภาพ : biology expression)
9
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
อาการทองผูกเกิดจากการทํางานผิดปกติของอวัยวะใด 1. ลําไสเล็ก 2. ลําไสใหญ 3. ทวารหนัก 4. กระเพาะอาหาร
วิเคราะหคําตอบ อาหารที่เหลือจากการยอยและอาหารที่ยอยไมไดจะ ถูกสงไปยังลําไสใหญ โดยลําไสใหญจะทําหนาที่ดูดนํ้าและแรธาตุกลับ คืนสูรางกาย สวนที่เปนกากอาหารจะเคลื่อนที่ไปรวมกันที่ปลายของ ลําไสใหญ เพื่อรอขับถายออกทางทวารหนัก หากลําไสใหญทํางาน ผิดปกติจะทําใหมีอาการทองผูก ดังนั้น ตอบขอ 2.
นักเรียนควรรู 1 เอนไซม เอนไซมในกระเพาะอาหาร ไดแก เพปซิน (pepsin) และเรนนิน (rennin) 2 ผนังลําไสเล็กจะสรางเอนไซม เอนไซมที่เกี่ยวของกับการยอยโปรตีนใน ลําไสเล็ก ไดแก ทริปซิน (trypsin) ไคโมทริปซิน (chymotrypsin) และคารบอกซิเพปทิเดส (carboxypeptidase) 1. การยอยไขมันในลําไสเล็กจะเกิดขึ้นสมบูรณ โดยการทํางานรวมกันของ นํ้าดีจากตับออนและเอนไซมไลเปส (lipase) 2. การยอยคารโบไฮเดรตในลําไสเล็ก เปนกระบวนการยอยนํ้าตาลโมเลกุลคู ใหเปนนํ้าตาลโมเลกุลเดี่ยว โดยเอนไซมมอลเทส (maltase) ซูเครส (sucraes) และแลกเตส (lactaes)
คูมือครู
9
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
Expand
ใหนักเรียนกลุมเดิมที่ทํากิจกรรมในตอนตน ตัดกระดาษสีทั้งหมด 3 สี เปนรูปวงกลมขนาด ตางกัน 3 ขนาด (ใหญ กลาง เล็ก) ดังนี้ • กระดาษสีแดง แทน อาหารจําพวกโปรตีน • กระดาษสีฟา แทน อาหารจําพวก คารโบไฮเดรต • กระดาษสีเขียว แทน อาหารจําพวกไขมัน จากนั้นใหแตละกลุมทําใบงานเรื่อง การยอย อาหาร โดยวาดภาพโครงสรางรางกายมนุษยและ อวัยวะในระบบยอยอาหารลงในกระดาษ A4 (ดูตัวอยางจากหนังสือเรียน หนา 8) และนํา กระดาษสีที่เตรียมไว ติดลงในภาพอวัยวะที่มีการ ยอยอาหารแตละชนิด โดยติดตามขนาดโมเลกุล ของอาหาร
5) ตับ (liver) เป็นอวัยวะซึ่งนับว่าเป็นต่อมที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย อยู่บริเวณช่องท้องใต้กะบังลม ท�าหน้าที่สร้างน�้าดี (bile) ส่งไปเก็บไว้ใน ถุงน�้าดี (gall bladder) น�้าดีมีหน้าที่ท�าให้ไขมันแตกตัวออกเป็นเม็ดเล็กๆ เพื่อช่วยให้เอนไซม์จากตับอ่อนย่อยสลายไขมันได้ดีขึ้น 6) ตับอ่อน (pancreas) อยู่ระหว่างกระเพาะอาหารกับล�าไส้เล็ก ตอนบน ท�าหน้าที่สร้างน�้าย่อยหลายชนิด สร้างเอนไซม์และสารประกอบ โซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต ซึ่งมีสมบัติเป็นเบส เพื่อปรับสภาพความเป็น กรดของอาหารทีส่ ง่ มาจากกระเพาะอาหาร ให้มสี มบัตเิ ป็นกลางเหมาะส�าหรับ 1 การท�างานของเอนไซม์ ตับ
ถุงน�า้ ดี
ตับออน
ล�าไส้เล็ก ภาพที่ 1.13 ตับ ตับอ่อน และถุงน�้าดี เป็นอวัยวะที่ไม่เกิดกระบวนการย่อยอาหารโดยตรง แต่มีส่วนใน กระบวนการย่อย (ที่มาของภาพ : biology insights)
ภาพที่ 1.14 ล�าไส้ใหญ่ท�าหน้าที่ดูดน�้าและแร่ธาตุ กลับคืนสู่ร่างกาย (ที่มาของภาพ : biology expression)
7) ล�าไส้ใหญ่ (large intestine) มีความยาวประมาณ 1.5 เมตร กว้าง 6 เซนติเมตร อาหารที่เหลือจากการย่อยและอาหารที่ย่อยไม่ได้ เช่น ใยอาหารจะถูกส่งลงสู่ล�าไส้ใหญ่ โดยล�าไส้ใหญ่จะท�าหน้าที่ดูดน�้าและแร่ธาตุ กลับคืนสู่ร่างกาย ส่วนที่เป็นกากอาหารจะเคลื่อนที่ไปรวมกันที่ปลายของ ล�าไส้ใหญ่รอขับถ่ายออกทางทวารหนักต่อไป
à͹ä«Á ໚¹ÊÒÃâÁàÅ¡ØÅãËÞ‹¨Òí ¾Ç¡â»ÃµÕ¹·Õ·è Òí ˹ŒÒ·Õàè »š¹µÑÇà˧»¯Ô¡ÃÔ ÂÔ ÒªÕÇà¤ÁÕã¹Ã‹Ò§¡Ò¢ͧÊÔ§è ÁÕªÇÕ µÔ «Öè§à͹ä«Á ÁÕÊÁºÑµÔ·ÕèÊíÒ¤ÑÞ ´Ñ§¹Õé 1. ໚¹ÊÒûÃÐàÀ·â»ÃµÕ¹·ÕÊè ÃÒ§¢Ö¹é ¨Ò¡à«ÅŠʧÔè ÁÕªÇÕ µÔ «Ö§è ¨Ð·íҧҹ䴌´ãÕ ¹ÊÀÒÇзÕàè ËÁÒÐÊÁµ‹Ò§¡Ñ¹ä» ã¹áµ‹ÅЪ¹Ô´¢Í§à͹ä«Á 2. ໚¹µÑÇà˧»¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ㹡Ãкǹ¡ÒËÍÂÍÒËÒà áÅÐàÁ×èÍÊÔé¹ÊØ´»¯Ô¡ÔÃÔÂÒáÅŒÇà͹ä«Á Âѧ¤§ÁÕ ÊÀÒ¾à´ÔÁ «Öè§ÊÒÁÒö¡ÅѺä»à˧»¯Ô¡ÔÃÔÂҢͧÊÒÃâÁàÅ¡ØÅÍ×è¹ä´Œ 3. ÁÕ¤ÇÒÁ¨íÒà¾Òе‹ÍÊÒ÷Õè¨Ðà¡Ô´»¯Ô¡ÔÃÔÂÒ
10
เกร็ดแนะครู ใบงานที่ครูมอบหมายใหนักเรียนทํานั้น ครูอาจถายเอกสารขยายรูปโครงสราง รางกายมนุษยจากหนังสือเรียน หนา 8 หรือหาภาพที่มีลักษณะคลายคลึงกันมา แจกใหนักเรียนทํากิจกรรม
นักเรียนควรรู 1 การทํางานของเอนไซม ปจจัยที่มีผลตอการทํางานของเอนไซม ไดแก 1. อุณหภูมิ เอนไซมแตละชนิดทํางานไดดีในภาวะที่มีอุณหภูมิตางกัน โดยเอนไซมในรางกายมนุษยสวนใหญจะทํางานไดดีที่อุณหภูมิประมาณ 37 ํC 2. ความเปนกรด-เบส เอนไซมในกระเพาะอาหารทํางานไดดีในภาวะเปน กรด เอนไซมในลําไสเล็กทํางานไดดีในภาวะเปนเบส 3. ความเขมขน เอนไซมที่มีความเขมขนมากจะทํางานไดดีกวาเอนไซมที่มี ความเขมขนนอย
10
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ถาทอนํ้าดีเกิดการอุดตันจะเกิดสิ่งใดขึ้น 1. ตับสรางนํ้าดีไมได 2. ไขมันถูกดูดซึมไดนอย 3. กรดไขมันมีขนาดใหญ 4. การยอยไขมันเกิดไดยาก วิเคราะหคําตอบ นํ้าดีสรางมาจากตับ มีหนาที่ทําใหไขมันแตกตัวออก เปนเม็ดเล็กๆ เพื่อชวยใหเอนไซมจากตับออนยอยสลายไขมันไดดีขึ้น ดังนั้น หากทอนํ้าดีเกิดการอุดตัน นํ้าดีจะสงมายังลําไสเล็กไดนอย ซึ่งสงผลใหการ ยอยไขมันเกิดไดยาก ตอบขอ 4.
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
Engage
Explore
Explain
Expand
กิจกรรม
พั ฒ นาทั ก ษะ วิทยาศาสตร
Evaluate
Evaluate
ใหนักเรียนนําใบงานเรื่อง การยอยอาหารมา สงครูผูสอน แลวใหแตละกลุมทํากิจกรรมพัฒนา ทักษะวิทยาศาสตร 1.2 บันทึกผลสงครูผูสอน
1.2
การยอยอาหารเปนกระบวนการทีซ่ บั ซอนและเขาใจยาก ดังนัน้ จึงจําเปนตองใชแบบจําลองมาชวยในการอธิบาย ระบบการยอยอาหารที่เกิดขึ้น นักเรียนอาจทําแบบจําลองของลําไสเล็กในการทดลองเรื่องตอไปนี้ และใชแบบจําลองนี้ เพื่อศึกษาวามีสิ่งใดเกิดขึ้นบาง หลังจากเกิดการยอยอาหารทางเคมีแลว การทดลองเรื่อง การยอยสารอาหาร จุดประสงค : เพื่อศึกษาเปรียบเทียบขนาดอนุภาคของอาหารที่เกิดขึ้นในระบบยอยอาหาร ÇÔ¸Õ¡Ò÷´Åͧ
Evaluate ตรวจสอบผล
ตรวจสอบผล
การยอยสารอาหาร
ÍØ»¡Ã³ áÅÐÊÒÃà¤ÁÕ
ตรวจสอบผล
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู 1. ใบงานเรื่อง การยอยอาหาร 2. แบบบันทึกผลการทํากิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 1.2
ÀÒ¾»ÃСͺ¡Ò÷´Åͧ
• หลอดทดลอง 1. นําแปงมันละลายนํ้าและสารละลายกลูโคส อยางละ 2 ลูกบาศก ผูกหัวและทาย ขนาดใหญ 1 หลอด เซนติเมตร ใสลงในถุงกระดาษเซลโลเฟนชุบนํ้า แลวใชดายผูกหัว • หลอดทดลอง และทายถุง หลอดทดลอง (รางกาย) ขนาดกลาง 2 หลอด 2. นําถุงกระดาษเซลโลเฟนจากขอ 1. ใสลงในหลอดทดลองขนาดใหญ • ถุงกระดาษเซลโลเฟน ที่มีนํ้าอยู 10 ลูกบาศกเซนติเมตร ทิ้งไวประมาณ 20 นาที ถุงกระดาษเซลโลเฟน • เสนดาย (ลําไสเล็ก) 3. นํานํ้าในหลอดทดลองในขอ 2. มาใส ในหลอดทดลองขนาดกลาง 2 • สารละลายไอโอดีน แปง (อาหารที่ยังไมยอย) และ หลอด แลวทดสอบ ดังนี้ กลูโคส (อาหารที่ยอยแลว) • สารละลายเบเนดิิกต หลอดทดลองที่ 1 หยดสารละลายไอโอดีน 3 หยด • หลอดหยด 2 หลอด นํ้า (เลือด) หลอดทดลองที่ 2 หยดสารละลายเบเนดิกต 3 หยด แลวนําไปตม • สารละลายกลูโคส ภาพที่ 1.15 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) ใหเดือด สังเกตและบันทึกผล • แปงมันละลายนํ้า • ชุดตะเกียงแอลกอฮอล
1. ใหนักเรียนเขียนรายงานสั้นๆ เกี่ยวกับการทดลองที่ประกอบดวยรายละเอียด ตอไปนี้
• หัวขอเรื่อง และจุดมุงหมาย • ภาพวาด และทําปายบอกสวนตางๆ ของภาพ • รายละเอียดวานักเรียนไดทําอะไร • ผลการทดลอง • สรุปและอภิปรายผลการทดลอง 2. เพราะเหตุใดอาหารจึงตองผานกระบวนการยอยเพื่อทําใหละลายนํ้า 3. สมมติ ใหนักเรียนเปนแผนขนมปงที่ประกอบดวยแปงและเสนใย ใหบอกรายละเอียดการเดินทางของ นักเรียนผานระบบยอยอาหาร และบอกดวยวามีอะไรเกิดขึ้นกับแปงและเสนใย
http://www.aksorn.com/LC/Sci B1/M2/02
EB GUIDE
11
แนวตอบ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.2 1. ขึ้นอยูกับรายงานของนักเรียนแตละกลุม โดยมีแนวการสรุปผลการทดลอง ดังนี้ “จากการทดลอง แปงเปรียบเสมือนอาหารที่ยังไมยอย กลูโคสเปรียบเสมือนอาหารที่ยอยแลว ถุงกระดาษ เซลโลเฟนเปรียบเสมือนผนังลําไสเล็ก ซึ่งอาหารที่ผานการยอยโดยเอนไซมจะมีโมเลกุลขนาดเล็กที่จะถูกดูดซึม ผานเยื่อหุมเซลลสงไปยังเซลลตางๆ ทั่วรางกายได สวนแปงที่มีโมเลกุลขนาดใหญจะไมสามารถถูกดูดซึมได” 2. อาหารที่ผานกระบวนการยอยจะมีโมเลกุลเล็กลงและละลายนํ้าได ซึ่งจะชวยใหสามารถเกิดกระบวนการแพร ผานเยื่อหุมเซลลได 3. เมื่อรับประทานขนมปง จะเกิดการบดเคี้ยวโดยฟน เพื่อทําใหขนมปงมีขนาดเล็กลง มีเอนไซมอะไมเลสที่ สรางจากตอมนํ้าลายมายอยคารโบไฮเดรตในขนมปงใหเปนโพลีแซคคาไรดสายสั้นๆ ที่พรอมจะแตกตัวเปน ไดแซคคาไรด (นํ้าตาลโมเลกุลคู) โดยมีลิ้นชวยคลุกเคลาอาหารเพื่อกลืนและสงผานไปยังหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร จนไปถึงลําไสเล็กจะเกิดการยอยอีกครั้งโดยเอนไซมที่ยอยนํ้าตาลโมเลกุลคูใหเปนนํ้าตาล โมเลกุลเดี่ยว เพื่อดูดซึมเขาสูเซลลตางๆ ซึ่งในทุกขั้นตอนนั้นใยอาหารจะถูกสงผานตามทางเดินอาหารโดย ไมเกิดการยอย จนในที่สุดสงไปยังลําไสใหญ และถูกขับถายออกทางทวารหนักในรูปของอุจจาระ
คูมือครู
11
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา Exploreนหา สํารวจค
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุEngage นความสนใจ
กระตุน ความสนใจ
Engage
ครูทบทวนเรื่องระบบยอยอาหาร จากนั้น ตั้งคําถามเพื่อกระตุนความสนใจของนักเรียน • อาหารที่ผานการยอยแลวนั้น สงผานไปยัง สวนตางๆ ของรางกายไดอยางไร (แนวตอบ อาหารที่ผานการยอยแลวจะถูก ลําเลียงไปยังสวนตางๆ ของรางกายโดยเลือด ในระบบไหลเวียนเลือด)
สํารวจคนหา
1.3 ÃкºäËÅàÇÕ¹àÅ×Í´
เนือ้ เยือ่
1.3.1 ระบบไหลเวียนเลือดของสัตว
Explore หลอดเลือดด�า
ใหนักเรียนศึกษาเรื่องระบบไหลเวียนเลือด ของสัตว จากหนังสือเรียน หนา 12-13 จากนั้น ทํากิจกรรมในแบบวัดและบันทึกผลการเรียนรู กิจกรรมที่ 1.7
ระบบไหลเวียนเลือดแบบเปิด หลอดเลือดแดง
✓ แบบวัดฯ ใบงาน แบบฝกฯ ว�ทยาศาสตร ม.2 กิจกรรมที่ 1.7 หนวยที่ 1 ระบบรางกายมนุษย และสัตว (ตอนที่ 1) กิจกรรมที่ 1.7 ใหนักเรียนนําสัตวแตละชนิดที่กําหนดใหใสในชองประเภท การหมุนเวียนเลือดใหถูกตอง (ว 1.1 ม.2/1)
หลอดเลือดฝอย
หลอดเลือดด�า
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
10
ระบบไหลเวียนเลือดแบบปิด ไสเดือนดิน
สารอาหารที่ถูกย่อยจนมีขนาดเล็กและแพร่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ของ ผนังล�าไส้เล็กเข้าสูห่ ลอดเลือดฝอย โดยอาศัยเลือดล�าเลียงสารอาหารเหล่านี้ ไปยังเซลล์ทั่วร่างกาย ซึ่งนอกจากจะล�าเลียงอาหารแล้วเลือดยังล�าเลียง แก๊สของเสีย และสารอื่นๆ อีกด้วย
หลอดเลือดแดง
ปลา
หนู
กุง
กั้ง
เตา
ตั๊กแตน
ปูทะเล
ดวง
หอยทาก
ภาพที่ 1.16 (ที่มาของภาพ : life)
การไหลเวียนเลือดในร่างกายของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เป็นแบบ ระบบเปิด คือ การไหลเวียนของเลือดที่ออกจากหัวใจไม่ได้ไหลอยู่ในหลอด เลือดตลอด แต่มีบางช่วงเลือดจะไหลเข้าไปในช่องว่างของล�าตัว ซึ่งพบใน สัตว์พวกหอย แมลง กุ้ง ปู เป็นต้น การไหลเวียนเลือดในสัตว์มีกระดูกสันหลังเป็นแบบระบบปิด คือ เลือดที่ออกจากหัวใจจะไหลผ่านหลอดเลือดตลอด จนกลับคืนสู่หัวใจ ตัวอย่างระบบไหลเวี ยนเลือดของสัตว์บางชนิด ดังนี้ 1 1) แมลง มีระบบไหลเวียนเลือดแบบเปิด ประกอบด้วยหัวใจ (heart) ซึ่งเป็นส่วนของเส้นเลือดที่มีลักษณะโปงออกเป็นช่วงๆ มีรูเล็กๆ ท�าหน้าที่สูบฉีดเลือดไปทางด้านหัวสู่เนื้อเยื่อต่างๆ เรียกรูนี้ว่า ออสเทีย (ostia) ท�าหน้าที่รับเลือดจากส่วนต่างๆ ในล�าตัวไหลเข้าสู่หัวใจโดยมีลิ้น ภายในออสเทียกั้นไม่ให้เลือดไหลออกจากหัวใจ มีหลอดเลือดเส้นเดียว เหนือทางเดินอาหาร ไม่มีหลอดเลือดฝอย แต่มีช่องว่างในล�าตัว เรียกว่า ฮีโมซีล (hemocoel) ท�าหน้าที่รับเลือดจากหลอดเลือด เพื่อล�าเลียงสารไปสู่ ส่วนต่างๆ ของร่างกายและเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนแก๊ส ซึ่งจะล�าเลียงแก๊ส นทางทอลม (trachial system) ไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายผ่านทาง ออสเทีย หัวใจ
ฉบับ
เฉลย
เปด ระบบหมุนเวียนเลือดแบบ …………………….
ปด ระบบหมุนเวียนเลือดแบบ …………………….
กุง 1. …………………………… ตั๊กแตน 2. …………………………… หอยทาก 3. …………………………… กั้ง 4. …………………………… ปูทะเล 5. ……………………………
ไสเดือนดิน 1. …………………………… ปลา 2. …………………………… หนู 3. …………………………… เตา 4. …………………………… ดวง 5. ……………………………
ภาพที่ 1.17 ระบบไหลเวียนเลือดของแมลง (ที่มาของภาพ : biology insights)
12
8
นักเรียนควรรู 1 แมลง เลือดของแมลงไมมีสีหรือมีสีฟาออนๆ เพราะไมมีเฮโมโกลบิน (haemoglobin) ในเม็ดเลือดแดง แตมีเฮโมไซยามิน (haemocyamin) ซึ่งเลือด ของแมลงเปนสวนประกอบของเลือดและนํ้าเหลือง จึงเรียกวา เฮโมลิมพ (haemolymph)
มุม IT ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบไหลเวียนเลือดแบบเปดและแบบปดไดจากเว็บไซต http://www.myfirstbrain.com/student_viev.aspx/ID=35118 หรือ http://www. ehow.com/about_6594843_difference-closed-open-circulatory-system.htm
12
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ระบบไหลเวียนเลือดมีความสําคัญตอรางกายอยางไร แนวตอบ ระบบไหลเวียนเลือดมีหนาที่ลําเลียงสารอาหารตางๆ ที่ได จากกระบวนการยอยอาหาร เพื่อนําไปเลี้ยงสวนตางๆ ของรางกาย ซึ่ง ทําใหรางกายมีการเจริญเติบโต อีกทั้งระบบไหลเวียนเลือดยังมีหนาที่ใน การลําเลียงแกสที่นําไปใชในกระบวนการหายใจ และลําเลียงของเสีย ตางๆ ไปยังไตซึ่งเปนอวัยวะในระบบขับถายอีกดวย ดังนั้น จะเห็นไดวา ระบบไหลเวียนเลือดมีหนาที่สําคัญหลายประการ และทํางานประสาน สัมพันธกับระบบอื่นๆ ในรางกายอีกดวย
กระตุน ความสนใจ กระตุEngage นความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุน ความสนใจ 2) ปลา มีระบบไหลเวียนเลือดแบบปิด ประกอบด้วยหัวใจ 2 ห้อง หัวใจห้องบน (atrium) ท�าหน้าที่รับเลือดที่มีออกซิเจนต�่าจากส่วนต่างๆ ของร่างกายแล้วส่งต่อไปยังหัวใจห้องล่าง (ventricle) ซึ่งท�าหน้าที่สูบฉีด เลือดที่มีออกซิเจนต�่าไปยังเหงือก จากนั้น เหงือกจะท�าหน้าที่แลกเปลี่ยน แก๊สออกซิเจนในน�้ากับเลือด เลือดที่ผ่านเหงือกจะมีออกซิเจนสูง ซึ่งจะส่ง ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ทั่วร่างกายผ่านทางหลอดเลือด (blood vessel)
1.3.2 ระบบไหลเวียนเลือดของมนุษย
ระบบการไหลเวียนเลือดในร่างกายของมนุษย์ประกอบด้วยหัวใจ เป็นอวัยวะส�าคัญ ท�าหน้าที่สูบฉีดเลือดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยมี หลอดเลือดเป็นท่อล�าเลียงเลือด ซึ่งจัดเป็นการหมุนเวียนเลือดแบบปิด ดังนั้นระบบหมุนเวียนเลือดของคนเราจึงประกอบด้วยส่วนส�าคัญ 3 ส่วน คือ หัวใจ หลอดเลือ1ด และเลือด 1) หัวใจ หัวใจของมนุษย์อยู่ระหว่างปอดทั้ง 2 ข้าง ค่อนมาทาง ซ้ายเล็กน้อย ท�าหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย หัวใจคน แบ่งเป็น 4 ห้อง ห้องบน 2 ห้อง ซึ่งเรียกว่า เอเทรียม (atrium) มีผนังบาง ส่วนห้องล่างมีผนังหนา 2 เรียกว่า เวนทริเคิล (ventricle) ระหว่างห้องบนและ ห้องล่างจะมีลิล้นิ หัวใจ (valve) คอยปิด-เปิดเพื่อปองกันเลือดไหลย้อนกลับ หัวใจจะรับเลือดที่มีออกซิเจนสูงจากปอดเข้าทางหัวใจห้อง บนซ้ายผ่านต่อมายังหัวใจห้องล่างซ้าย เพื่อส่งออกไปยังอวัยวะต่างๆ ของ ร่างกาย และจะรับเลือดที่มีออกซิเจนต�่าจากส่วนต่างๆ ของร่างกายกลับเข้า สู่หัวใจทางหัวใจห้องบนขวา และผ่านต่อไปยังหัวใจห้องล่างขวา ส่งไปยัง ปอด เพื่อแลกเปลี่ยนแก๊สและกลับเข้าสู่หัวใจอีกครั้ง หมุนเวียนอย่างเป็น ระบบเช่นนี้ตลอดเวลา หลอดเลือดแดงใหญ น�าเลือดไปเลี้ยงสวน ตางๆ ของรางกาย หลอดเลือดด�า น�าเลือดจากรางกาย เข้าสูหัวใจ
Engage
ครูตงั้ คําถามเพือ่ กระตุน การเรียนรูข องนักเรียน • นักเรียนบอกไดหรือไมวาในรางกายนักเรียน มีเลือดอยูประมาณเทาใด (แนวตอบ ในรางกายของมนุษยมีเลือดอยู ประมาณ 6 ลิตร (6,000 ลูกบาศกเซนติเมตร ซึ่งเทากับนํ้าอัดลมประมาณ 18 กระปอง) ถารางกายเสียเลือดไปหนึ่งในสามของเลือด ทั้งหมด (2 ลิตร) จะทําใหตายได) • มนุษยมีระบบไหลเวียนเลือดแบบใด (แนวตอบ มนุษยมีระบบไหลเวียนเลือด แบบปด) จากนั้นครูหาภาพโครงสรางของหัวใจมาให นักเรียนพิจารณา แลวใหนักเรียนชวยกันระบุวา สวนตางๆ ที่เห็นนั้นคืออะไรบาง
เหงือก
หัวใจ ภาพที่ 1.18 ระบบหมุนเวียนเลือดของปลา (ที่มาของภาพ : biology insights)
สํารวจคนหา
Explore
ใหนกั เรียนแตละคนศึกษาเรือ่ งหัวใจ จาก หนังสือเรียน หนา 13 แลวทํากิจกรรมพัฒนา ทักษะวิทยาศาสตร 1.3 ขอ 1 โครงสราง และการทํางานของหัวใจ
หลอดเลือดแดง น�าเลือดไปปอด หลอดเลือดด�าน�าเลือด จากปอดเข้าสูหัวใจ
หัวใจห้องบนขวา
หัวใจห้องบนซ้าย
หัวใจห้องลางขวา
หัวใจห้องลางซ้าย
ภาพที่ 1.19 หัวใจของมนุษย์แบ่งเป็น 4 ห้อง ท�าหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย (ที่มาของภาพ : biology insights)
13
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
เพราะเหตุใดกลามเนื้อหัวใจหองลางจึงหนากวากลามเนื้อหัวใจหองบน 1. หัวใจหองลางตองรับเลือดจากสวนตางๆ ของรางกาย 2. หัวใจหองลางตองบีบตัวเพื่อสงเลือดไปยังสวนตางๆ ของรางกาย 3. เลือดที่เขาสูหัวใจหองลางมีความดันสูงกวาเลือดที่เขาสูหัวใจหองบน 4. เลือดที่เขาสูหัวใจหองลางมีปริมาณมากกวาเลือดที่เขาสูหัวใจหองบน
วิเคราะหคําตอบ การที่กลามเนื้อหัวใจหองลางมีผนังหนากวาหองบน เนื่องจากเปนกลามเนื้อที่ทําหนาที่บีบตัว เพื่อดันเลือดใหออกจากหัวใจ ไปยังสวนตางๆ ของรางกายและไปยังปอด จึงจําเปนตองมีกลามเนื้อที่มี ความแข็งแรงและหนากวากลามเนื้อหัวใจหองบน ที่ทําหนาที่รับและเก็บ เลือดเพื่อสงตอมายังหัวใจหองลางเทานั้น ดังนั้น ตอบขอ 2.
นักเรียนควรรู 1 หัวใจ อาการแสดงที่บงบอกวาอาจเปนโรคหัวใจขาดเลือด มีดังนี้ 1. เจ็บแนนๆ อึดอัดบริเวณกลางหนาอก อาจเปนบริเวณอกดานซายหรือ ทั้งสองดาน 2. กรณีที่เกิดหลอดเลือดหัวใจอุดตัน กลามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน อาการ จะรุนแรงมากขึ้น และอาจมีอาการอื่นๆ รวมดวย เชน เหงื่อออกมาก เปนลม เปนตน 2 ลิ้นหัวใจ เมื่อลิ้นหัวใจไมสามารถเปดไดอยางเต็มที่เนื่องจากสาเหตุใดๆ ก็ตาม ทําใหเลือดไหลผานไมสะดวก เรียกวา “ลิ้นหัวใจตีบ” แตเมื่อลิ้นหัวใจปด ไมสนิท มีรูหรือชองใหเลือดไหลยอนกลับได เรียกวา “ลิ้นหัวใจรั่ว” ซึ่งเมื่อลิ้นหัวใจ ผิดปกติเพียงเล็กนอยจะไมแสดงอาการใดๆ โดยอาการตางๆ จะปรากฏเมื่อหัวใจ ไมสามารถทนรับกับปริมาณเลือดที่เพิ่มขึ้นไดอีกตอไป อาการที่เกิดจึงเปนอาการ ของภาวะหัวใจลมเหลว (heart failure) เชน หอบ เหนื่อย ขาบวม หัวใจเตนเร็ว เปนตน คูมือครู
13
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา Exploreนหา สํารวจค
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุEngage นความสนใจ
กระตุน ความสนใจ
Engage
ใหนักเรียนจับคูกันลองคลําชีพจรบริเวณขอมือ แลวนับจํานวนครั้งของชีพจรในเวลา 1 นาที จากนั้นครูตั้งคําถามเพื่อกระตุนการเรียนรู • นักเรียนคิดวาการคลําชีพจรนั้นนอกจากจะ คลําบริเวณขอมือแลว ยังมีจุดอื่นอีกหรือไม (แนวตอบ จุดที่สามารถคลําชีพจรไดมีหลายจุด ไดแก ขอมือ ขมับ ขาหนีบ หนาอก ตนคอ และขอพับตางๆ) • ชีพจรเกิดจากสิ่งใด (แนวตอบ ขึ้นอยูกับคําตอบของนักเรียน ซึ่งนักเรียนจะไดศึกษาตอไป)
สํารวจคนหา
หลอดเลือดแดง
หลอดเลือดด�า
Explore
ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 6 คน ศึกษาเรื่อง หลอดเลือด และเลือด จากหนังสือเรียน หนา 14-16 จากนั้นใหรวมกันสรุปสาระสําคัญในรูปของแผนผัง ความคิด หรือตาราง หรือรูปแบบอื่นที่นาสนใจ โดยอาจวาดภาพประกอบและระบายสีใหสวยงาม เพื่อเตรียมออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน
หลอดเลือดฝอย ภาพที่ 1.20 ลักษณะของหลอดเลือดทั้ง 3 ชนิด ซึ่งมีขนาดและความหนาของผนังแตกต่างกัน (ที่มาของภาพ : biology expression)
น�า้ เลือด เม็ดเลือดแดง
เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด
ภาพที่ 1.21 ลักษณะของเลือดเมื่อส่องดูด้วย กล้องจุลทรรศน์ (ทีม่ าของภาพ : http://legacy.owensboro.kctcs.edu/ http://legacy.owensboro.kctcs.edu/ GCaplan/anat2/notes/Notes6%20Blood%20 Cells.htm)
2) หลอดเลือด แบ่งออกเป็น 3 ชนิด ดังนี้ 2.1) หลอดเลือดแดงหรือหลอดเลือดอารเทอรี (artery) คือ หลอดเลือดทีน่ า� เลือดออกจากหัวใจ ผนังของหลอดเลือดมีชนั้ กล้ามเนือ้ เรียบ ที่หนามากและยืดหยุ่นตัวได้ดี ท�าให้สามารถรักษาแรงดันเลือดให้คงที่ได้ เลือดทีอ่ ยู่ในหลอดเลือดแดงเป็นเลือดทีม่ แี ก๊สออกซิเจนสูง เรียกว่า เลือดแดง ยกเว้นหลอดเลือดแดงที่น�าเลือดออกจากหัวใจไปยังปอด ภายในเลือดจะมี แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์สูง เรียกว่า เลือดด�า เมื่อหัวใจบีบตัวส่งเลือดไปตาม หลอดเลือดแดงท�าให้เส้นเลือดขยายตัวและพองออกเมื่อเลือดผ่านไปแล้ว เส้นเลือดจะหดตัวคืนสู่รูปเดิม ถ้าหลอดเลือดแดงอยู่ใกล้ผิวหนังเราจะเห็น การโปงและยุบตัวของผิวหนัง ถ้าใช้นิ้วมือ1แตะดูจะรู้สึกถึงการพองตัวและ หดตัวของหลอดเลือดแดงที่เรียกว่า ชีพจร (pulse) 2.2) หลอดเลือดดําหรือหลอดเลือดเวน (vein) คือ หลอดเลือด ทีน่ า� เลือดกลับสูห่ วั ใจ มีผนังบางกว่าจึงบรรจุเลือดได้มากกว่าหลอดเลือดแดง เนื่องจากมีความดันเลือดภายในต�่า จึงมีลิ้นคอยกั้นไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ เป็นระยะ เลือดทีอ่ ยูภ่ ายในหลอดเลือดด�า มีปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ สูง เรียกว่า เลือดด�า ยกเว้นหลอดเลือดด�าที่น�าเลือดออกจากปอดเข้าสู่หัวใจ จะเป็นเลือดแดง 2.3) หลอดเลือดฝอย (capillary) คือ หลอดเลือดที่อยู่ระหว่าง ปลายหลอดเลือดแดงกับปลายหลอดเลือดด�า หลอดเลือดฝอยมีขนาดเล็ก มาก ผนังประกอบด้วยเซลล์ชั้นเดียว จึงมีประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยน แก๊สและสารต่างๆ ได้ดี 3) เลือด (blood) ในร่างกายของคนเรามีเลือดอยู่ประมาณ 6,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร (6 ลิตร) หรือประมาณ 7-9 เปอร์เซ็นต์ของน�้าหนักตัว มีสมบัติเป็นเบสอ่อน (pH ประมาณ 7.3-7.4) แต่ละคนจะมีเลือดไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเพศ อายุ น�้าหนัก และสุขภาพร่างกาย เลือดประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ที่เป็นของเหลว และส่วนที่เป็นของแข็ง 3.1) สวนที่เปนของเหลว คือ น�้าเลือดหรือพลาสมา (plasma) ประกอบด้วยน�้าและสารต่างๆ ซึ่งได้แก่ สารอาหารที่ถูกย่อยแล้วรวมทั้ง วิตามิน เกลือแร่ ฮอร์โมน และสารอื่นๆ ที่ละลายน�้าได้ สารเหล่านี้จะอยู่ ในรูปของสารละลาย น�้าเลือดมีประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ของเลือดทั้งหมด ท�าหน้าที่ล�าเลียงอาหารที่ถูกดูดซึมจากล�าไส้เล็กไปสู่ส่วนต่างๆ ทั่วร่างกาย รวมทั้งล�าเลียงของเสียที่เป็นของเหลวจากเซลล์ เช่น ยูเรีย มาสู่ไต ซึ่งไตจะ แยกสกัดเอายูเรียออกจากเลือดแล้วขับถ่ายออกมาในรูปของปัสสาวะ
14
เกร็ดแนะครู ขณะที่นักเรียนคลําชีพจรนั้น ครูควรบอกวา ไมควรใชนิ้วหัวแมมือคลําชีพจร เพราะหลอดเลือดบริเวณนิ้วหัวแมมือมีการพองตัวและหดตัวอยางแรง ซึ่งอาจทําให สับสนระหวางชีพจรของคนที่ถูกคลํากับชีพจรของตนเองได
นักเรียนควรรู 1 ชีพจร ในคนปกติชีพจรจะเตนเปนจังหวะสมํ่าเสมอ ซึ่งอัตราการการเตน ของชีพจรจะแตกตางกัน ขึ้นอยูกับวัย ดังนี้ 1. ผูใหญ ชีพจรเตนประมาณ 60-80 ครั้งตอนาที 2. เด็ก ชีพจรเตนประมาณ 90-100 ครั้งตอนาที 3. ทารก ชีพจรเตนประมาณ 120-130 ครั้งตอนาที
14
คูมือครู
บูรณาการเชื่อมสาระ
ในการศึกษาเรื่อง หลอดเลือด เมื่อครูกระตุนความสนใจของนักเรียนโดย การใหลองคลําชีพจรนั้น สามารถนําไปบูรณาการเชื่อมกับกลุมสาระการเรียนรู สุขศึกษาและพลศึกษา วิชาสุขศึกษา เรื่อง การปฐมพยาบาล
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
คนเราแตละคนจะมีเลือดในปริมาณเทากันหรือไม อยางไร แนวตอบ ไมเทากัน ซึง่ ปริมาณเลือดในรางกายของแตละคนจะขึน้ อยูก บั วัย เพศ อายุ นํ้าหนัก ความแข็งแรงสมบูรณของรางกาย โดยแตละคนนั้น จะมีเลือดอยูประมาณรอยละ 7.8 ของนํ้าหนักตัว หรือประมาณ 5-6 ลิตร
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบายความรู 3.2) สวนที่เปนเม็ดเลือด เปนสวนที่ ไม ใชของเหลว มีอยู ประมาณ 50 เปอรเซ็นตของเลือดทั้งหมด ประกอบดวย 1. เซลลเม็ดเลือดแดง (erythrocyte) มีรูปรางกลม แบน ตรงกลางบุม ไมมนี วิ เคลียส สรางโดยไขกระดูก มีอายุประมาณ 120 วัน หลังจากนั้นจะถูกทําลายที่ตับและมาม ขณะเกิดใหมมีนิวเคลียส แตจะ 1 สลายไปเมื่อโตเต็มที่ ภายในเซลลมีสารโปรตีนที่ เรียกวา เฮโมโกลบิน (haemoglobin) ทําหนาที่จับกับออกซิเจนเพื่อลําเลียงไปสูเซลลทั่วรางกาย 2 2. เซลลเม็ดเลือดขาว (leucocyte) สรางโดยมามและ ไขกระดูก มีนิวเคลียส และมีขนาดใหญกวาเม็ดเลือดแดง มีหลายชนิด ซึ่งแตละชนิดจะทําหนาที่แตกตางกัน บางชนิดจับและทําลายเชื้อโรคที่เขาสู รางกาย โดยยืน่ ผนังเซลลมาลอมเชือ้ โรคหรือสิง่ แปลกปลอมและยอยทําลาย บางชนิดสรางแอนติบอดี ซึ่งเปนสารที่ทําหนาที่เปนภูมิคุมกันของรางกาย นักวิทยาศาสตรสามารถกระตุน ใหรา งกายมีภมู คิ มุ กัน โรคแตละชนิดได โดยสรางแอนติบอดีขึ้นดวยการฉีดสารโปรตีนเขาไปใน รางกาย เพื่อกระตุนใหรางกายสรางแอนติบอดี เรียกสารกระตุนภูมิคุมกัน นี้วา วัคซีน ซึ่งทําจากเชื้อโรคที่ตายแลวหรือเชื้อโรคที่ทําใหออนฤทธิ์ลงจน ไมสามารถทําใหเกิดโรคได
Explain
ใหนักเรียนแตละกลุมอาสาออกมานําเสนอ ผลงานของกลุมที่สรุปสาระสําคัญของเรื่องที่ศึกษา โดยใหครูและนักเรียนคนอื่นๆ รวมกันเสนอแนะ และซักถามขอสงสัย จากนั้นใหนักเรียนแตละคน ทํากิจกรรมในแบบวัดและบันทึกผลการเรียนรู กิจกรรมที่1.6 ✓ แบบวัดฯ ใบงาน แบบฝกฯ ว�ทยาศาสตร ม.2 กิจกรรมที่ 1.6 หนวยที่ 1 ระบบรางกายมนุษย และสัตว (ตอนที่ 1) กิจกรรมที่ 1.6 ใหนกั เรียนปฏิบตั ติ ามคําแนะนําตอไปนี้ (ว 1.1 ม.2/1) 1. บอกหนาที่ของสวนประกอบของเลือด
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
10
นํ้าเลือด
ลําเลียงสารตางๆ ที่อยูใน พลาสมา ………………………………………………………. ……………………………………………………….
ภาพที่ 1.22 เซลลเม็ดเลือดขาวจับและทําลาย เชื้อโรค (ที่มาของภาพ : biology expression)
เซลลเม็ดเลือดขาว
กําจัดเชื้อโรคและ สิ่งแปลกปลอม ………………………………………………………. ……………………………………………………….
เกล็ดเลือด
เลือดคน
ชวยทําใหเลือดแข็งตัว เวลาเกิดบาดแผล ………………………………………………………. ……………………………………………………….
เซลลเม็ดเลือดแดง
ขนสงออกซิเจนจากปอด ไปสูเซลลทั่วรางกาย ………………………………………………………. ……………………………………………………….
ฉบับ
เฉลย
ʋǹ»ÃСͺ¢Í§àÅ×Í´
ÅѡɳÐ
นํา้ เลือด
ของเหลวสีเหลืองออน
ʋǹ»ÃСͺ¢Í§àÅ×Í´
ÅѡɳÐ
เซลลเม็ดเลือดแดง
2. อธิบายการทํางานของเกล็ดเลือดเมื่อรางกายไดรับบาดแผล
¨íҹǹà«ÅÅ ã¹àÅ×Í´ Á¹ØÉ 1 Ë´
เมื่อรางกายไดรับบาดแผล ผนังของเสนเลือดฉีกขาด เกล็ดเลือดจะเคลื่อนที่มายังบริเวณบาดแผล และปลอยสารบางอยางซึ่งทํางานรวมกับวิตามินเคและแคลเซียมทําใหไดเสนใยรางแหเพื่ออุด บาดแผลทําใหเลือดหยุดไหล ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
250 ลานเซลล
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
เซลลเม็ดเลือดขาว
8 แสนเซลล
เกล็ดเลือด
13 ลานเซลล
7
ภาพที่ 1.23 สวนประกอบของเลือด (ที่มาของภาพ : biology expression)
http://www.aksorn.com/LC/Sci B1/M2/03
EB GUIDE
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับปริมาณแกสในเลือด ถาในเลือดมีปริมาณ CO2 มาก และมีปริมาณ O2 นอย จะทําใหเกิด อาการใด 1. ไอ 2. หาว 3. จาม 4. สะอึก วิเคราะหคําตอบ จากคําตอบทั้งสี่นั้น อธิบายได ดังนี้ • การไอ เปนการหายใจอยางรุนแรงเพื่อปองกันไมใหสิ่งแปลกปลอม หลุดเขาไปในกลองเสียงและหลอดลม • การหาว เกิดจากการที่มีปริมาณแกสคารบอนไดออกไซดสะสมอยูใน เลือดมากเกินไป จึงตองขับออกจากรางกาย โดยการหายใจเขายาวและลึก • การจาม เกิดจากการหายใจเอาอากาศที่ไมสะอาดเขาไป รางกายจึง พยายามขับสิ่งแปลกปลอมนั้นออกมา • การสะอึก เกิดจากกะบังลมหดตัวเปนจังหวะๆ ขณะหดตัวอากาศจะ ถูกดันผานลงสูปอดทันที ทําใหสายเสียงสั่น จึงเกิดเสียงขึ้น ดังนั้น ตอบขอ 2.
15
นักเรียนควรรู 1 เฮโมโกลบิน เซลลเม็ดเลือดแดงของมนุษยแตละเซลลจะมีเฮโมโกลบินอยู 280 ลานโมเลกุล โดยแตละอะตอมของธาตุเหล็กทีเ่ ปนองคประกอบของเฮโมโกลบิน สามารถรวมตัวกับโมเลกุลของแกสออกซิเจนไดอยางหลวมๆ ไดเปนออกซิเฮโมโกลบิน แตโมเลกุลของแกสคารบอนไดออกไซดสามารถรวมตัวกับเฮโมโกลบินไดอยาง ถาวร ทําใหโมเลกุลของแกสออกซิเจนจับกับเฮโมโกลบินไมได จึงทําใหรางกาย ไดรับออกซิเจนนอยลง สงผลใหมีอาการตามัว หูไมไดยิน หมดความรูสึกและอาจ เสียชีวิต 2 เซลลเม็ดเลือดขาว แบงออกเปน 5 ชนิด ไดแก นิวโทรฟลส (neutrophil) ลิมโฟไซต (lymphocyte) โมโนไซต (monocyte) เบโซฟลส (basophil) และ อีโอสิโนฟลส (eosinophil)
คูมือครู
15
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
Expand
ครูสมุ นักเรียนออกมาหนาชัน้ เรียนประมาณ 10 คน ใหนักเรียนรวมกันแสดงบทบาทสมมติ เกี่ยวกับเหตุการณในการแข็งตัวของเลือด ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5 คน รวมกัน ทบทวนเนื้อหาสาระเรื่อง ระบบไหลเวียนเลือด จากนั้นใหรวมกันสรุปเกี่ยวกับการไหลเวียนเลือด ในรางกายของมนุษย ในรูปของแผนผังแสดง ทิศทางการไหลเวียนเลือด ทําเปนใบงาน สงครูผูสอน
ภาพที่ 1.24 เกล็ดเลือดมีส่วนช่วยในการแข็งตัว ของเลือด เมื่อเกิดบาดแผลเล็กๆ (ที่มาของภาพ : life)
ในกรณี ที่ โ รคบางชนิ ด จะแสดงอาการรวดเร็ ว และ รุนแรงมาก ถ้ารอให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันอาจไม่ทันการ จึงจ�าเป็นต้องฉีด แอนติบอดีให้แก่ร่างกายที่เรียกว่า เซรุม ซึ่งการผลิตเซรุ่มมีหลายวิธี โดย วิธที นี่ ยิ มท�า คือ ผลิตจากสัตว์ เช่น1ม้าหรือกระต่ายที่ได้รบั การปลูกภูมคิ มุ้ กัน 3. เกล็ดเลือด (platelets) เป็นชิ้นส่วนของเซลล์ที่มี รูปร่างเป็นแผ่นเล็กๆ ปนอยู่ในน�้าเลือด ไม่มีนิวเคลียส มีอายุประมาณ 10 วัน มีหน้าที่ช่วยให้เลือดแข็งตัวเมื่อเกิดบาดแผลเล็กๆ เกล็ดเลือดจะ ท�าให้เกิดเส้นใย (fibrin) ปกคลุมบาดแผล ท�าให้เลือดหยุดไหล ปองกันไม่ให้ ร่างกายเสียเลือดมากเกินไป 3) การไหลเวียนเลือด การไหลเวียนเลือดผ่านหัวใจเริ่มจากเลือด จากส่วนต่างๆ ของร่างกายซึ่งเป็นเลือดที่มีแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์สูง มีออกซิเจนต�่า เข้าสู่หัวใจทางห้องบนขวาแล้วไหลผ่านลิ้นหัวใจลงสู่ห้อง ล่างขวา จากนั้นหัวใจบีบตัวส่งเลือดไปตามหลอดเลือดอาร์เทอรีไปยังปอด ทั้ง 2 ข้าง เพื่อแลกเปลี่ยนแก๊สออกซิเจนกับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ จากนั้นเลือดที่มีออกซิเจนสูงจากปอดจะไหลกลับสู่หัวใจทางหลอดเลือดเวน เข้าสู่หัวใจห้องบนซ้าย ไหลผ่านลิ้นหัวใจลงสู่ห้องล่างซ้าย จากนั้นหัวใจจะ บีบตัวส่งเลือดที่มีออกซิเจนสูงออกทางหลอดเลือดอาร์เทอรีไปเลี้ยงส่วน ต่างๆ ของร่างกายต่อไป หัว ปอด
หัวใจ ตับ
ทางเดินอาหาร ไต อวัยวะอื่นๆ
ภาพที่ 1.25 การไหลเวียนเลือดในร่างกายมนุษย์ (ที่มาของภาพ : biology expression)
16
นักเรียนควรรู 1 เกล็ดเลือด เมือ่ รางกายมีบาดแผล ผนังของหลอดเลือดฉีกขาด เกล็ดเลือด จะเคลื่อนที่มายังบริเวณที่หลอดเลือดฉีกขาดนี้ และจะปลอยสารบางอยางที่ ดึงดูดเกล็ดเลือดมารวมตัวกัน นอกจากนี้ยังมีสารที่ปลอยออกมาจากเซลลที่ไดรับ อันตราย ซึ่งเมื่อรวมกับสารในพลาสมาที่มีสวนเกี่ยวของกับการแข็งตัวของเลือด เชน วิตามินเค แคลเซียม เปนตน จะกระตุนใหโพรทรอมบิน (prothrombin) ในพลาสมาเปลีย่ นเปนทรอมบิน (thrombin) ซึง่ ทรอมบินเปนเอนไซมทเี่ ปลีย่ น ไฟบริโนเจน (fifibrinogen) ในพลาสมาใหเปนไฟบริน (fifibrin) สานกันเปนรางแห โปรตีน โดยจะรวมกับเกล็ดเลือดและเซลลเม็ดเลือดแดง ไปอุดบาดแผลเพือ่ ปองกัน การไหลของเลือดออกทางบาดแผล
16
คูมือครู
กิจกรรมสรางเสริม ใหนักเรียนทําใบงานโดยเขียนแผนผังความคิดสรุปสาระสําคัญเรื่อง ระบบไหลเวียนเลือดของมนุษย
กิจกรรมทาทาย “หากเปรียบระบบหมุนเวียนเลือดเหมือนกับรถไฟ ซึ่งรถไฟจะประกอบ ดวยตูรถไฟหลายๆ ตู และรถไฟจะตองวิ่งบนราง เมื่อวิ่งไปถึงสถานี รถไฟ ก็จะจอด คนบนรถไฟก็จะลง ขณะเดียวกันคนที่อยูในสถานีก็จะขึ้นรถไฟ” จากขอความขางตน ใหนักเรียนลองเปรียบเทียบสิ่งตางๆ เกี่ยวกับรถไฟ กับระบบไหลเวียนเลือด ดังนี้ • ตูรถไฟ • รางรถไฟ • สถานีรถไฟ • คนลงรถไฟ • คนขึ้นรถไฟ
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
Engage
Explore
Explain
Expand
กิจกรรม
พั ฒ นาทั ก ษะ วิทยาศาสตร์
Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate
ตรวจสอบผล
Evaluate
ใหนักเรียนทําใบงานเรื่องการไหลเวียนเลือด ในรางกายของมนุษย สงครูผูสอน จากนั้นใหทํา กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.3 ขอที่ 2 การวัดชีพจร
1.3
1. โครงสรางและการท�างานของหัวใจ การทดลองเรื่อง โครงสร้างและการท�างานของหัวใจ จุดประสงค์ : เพื่อศึกษาโครงสร้างและการท�างานของหัวใจ อุปกรณ์
ตรวจสอบผล
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู
วิธีการปฏิบัติ
Àา¾ประกอบ
• แผนภาพหัวใจของ 1. ให้นกั เรียนบอกชือ่ ส่วนต่างๆ ของหัวใจ พร้อมทัง้ อธิบายหน้าทีข่ อง มนุษย์ แต่ละส่วน • บัตรค�าการท�างานของ 2. ให้นกั เรียนเขียนค�าอธิบายสั้นๆ มา 2 ประโยคเกี่ยวกับการท�างาน หัวใจ ของหัวใจ ที่ต้องท�างานตลอดชีวิตของคนคนหนึ่ง 3. แบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4 - 5 คน ให้แต่ละกลุ่มช่วยกันพิจารณาบัตรค�า ที่ก�าหนดให้ และน�ามาเรียงล�าดับเหตุการณ์เกี่ยวกับการไหลเวียน เลือดให้ถูกต้อง แล้วลอกข้อความลงในสมุดของนักเรียน ลิ้นหัวใจ
หลอดเลือดน�าเลือดไปเลี้ยงร่างกาย
หัวใจห้องล่างขวา
หัวใจห้องบนซ้าย
หลอดเลือดน�าเลือดจากร่างกาย
หัวใจห้องบนขวา
กล้ามเนื้อหัวใจ
หลอดเลือดน�าเลือดไปยังปอด
หัวใจห้องล่างซ้าย
1 2
1. ใบงานเรื่อง การหมุนเวียนเลือดในรางกายของ มนุษย 2. แบบบันทึกผลการทํากิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 1.3
9 8
3
7 6
4
5
ภาพที่ 1.26 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
2. การวัดชีพจร การทดลองเรื่อง การวัดชีพจร จุดประสงค์ : เพื่อศึกษาอัตราการเต้นของหัวใจขณะท�ากิจกรรมแต่ละชนิด อุปกรณ์และสารเคมี • นาฬิกาจับเวลา • กล้องจุลทรรศน์ ชนิดสเตอริโอ • น�้ามันที่ ใช้กับ กล้องจุลทรรศน์ • หลอดหยดสาร • หูฟังแพทย์
วิธีการปฏิบัติ
Àา¾ประกอบ
1. ให้นกั เรียนแต่ละคนวัดชีพจรของตนเองขณะนัง่ พัก โดยใช้นวิ้ แตะที่ ข้อมือ (ดังภาพ) วัดการเต้นของชีพจร ภายใน 30 วินาที ซึ่งเมื่อน�า จ�านวนที่นับได้มาคูณด้วย 2 จะได้การเต้นของหัวใจเป็นครั้ง/นาที 2. ให้นกั เรียนใช้หฟู งั ของแพทย์แนบตรงหน้าอกด้านซ้าย เพือ่ ฟังการ เปิด-ปิดของลิ้นหัวใจ 3. ท�าการทดลองซ�้าตามข้อ 1. - 2. แต่วัดชีพจรหลังจากเดินไปมาจาก หน้าห้องไปหลังห้อง 10 รอบ 4. หยดน�้ามันลงบนหลังนิ้วมือระหว่างเล็บกับข้อนิ้วข้อแรก แล้วใช้ กล้องจุลทรรศน์สอ่ งดู โดยใช้กา� ลังขยายต�า่ เพือ่ หาหลอดเลือดแดง ภาพที่ 1.27 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) ขนาดเล็กๆ
1. ชีพจรหมายถึงอะไร อัตราการเต้นของชีพจรของนักเรียนขณะนั่งพักมีค่าเท่าใด 2. เมือ่ เปรียบเทียบอัตราการเต้นของชีพจรในขณะพักกับขณะเดินไปมา 10 รอบ เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร 17
แนวตอบ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.3 1. โครงสรางและการทํางานของหัวใจ 1. สวนตางๆ ของหัวใจและหนาที่ของแตละสวน 1. หลอดเลือดเวน : นําเลือดจากหัวใจไปยังปอด 2. หลอดเลือดเวน : นําเลือดจากรางกายเขาสูหัวใจ 3. หัวใจหองบนขวา : รับเลือดจากรางกาย สงไปยังหัวใจหองลางขวา 4. หัวใจหองลางขวา : สูบฉีดเลือดไปยังปอด 5. กลามเนื้อหัวใจ : บีบตัวและคลายตัวในการทํางานของหัวใจ 6. หัวใจหองลางซาย : สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสวนตางๆ ในรางกาย 7. ลิ้นหัวใจ : ปด-เปดควบคุมการไหลของเลือดในหัวใจ 8. หัวใจหองบนซาย : รับเลือดจากปอด สงตอไปยังหัวใจหองลางซาย 9. หลอดเลือดอารเทอรี : นําเลือดจากหัวใจไปยังสวนตางๆ ในรางกาย 2. หัวใจทําหนาที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสวนตางๆ ของรางกาย หากหัวใจ หยุดทํางานคนเราจะไมสามารถมีชีวิตอยูได
3.
หลอดเลือดนําเลือดจากรางกาย
หลอดเลือดนําเลือดไปเลี้ยงรางกาย
หัวใจหองบนขวา
หัวใจหองลางซาย
ลิ้นหัวใจ
ลิ้นหัวใจ
หัวใจหองลางขวา
หัวใจหองบนซาย
หลอดเลือดนําเลือดไปยังปอด
หลอดเลือดนําเลือดจากปอดมาหัวใจ
2. การวัดชีพจร 1. ชีพจร เปนแรงสะเทือนของกระแสเลือดที่เกิดจากการบีบตัวของหัวใจหอง ลางซาย ทําใหผนังหลอดเลือดอารเทอรีขยายออกเปนจังหวะ ซึ่งสามารถ จับชีพจรไดในหลายจุด ไดแก ขอมือ ขมับ ขาหนีบ หนาอก ตนคอ และ ขอพับตางๆ 2. เสนสีแดงเล็กๆ บนหลังนิ้วมือนั่นคือ หลอดเลือดฝอย คูมือครู
17
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา Exploreนหา สํารวจค
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุEngage นความสนใจ
กระตุน ความสนใจ
Engage
ครูนําภาพสัตวตางๆ เชน ไฮดรา ยุง แมลงปอ ปลา กุง ปู เปนตน มาใหนักเรียนดูแลวตั้งคําถาม ใหนักเรียนชวยกันคิดวิเคราะห • นักเรียนคิดวาสัตวตางๆ ในภาพใชอวัยวะใด ในการหายใจ (แนวตอบ ไฮดรา เซลลรางกายมีการ แลกเปลี่ยนแกสกับสิ่งแวดลอมโดยตรง ยุงและแมลงปอ ใชทอลม ปลา กุง และปู ใชเหงือก) จากนั้นใหนักเรียนชวยกันยกตัวอยางสิ่งมีชีวิต ที่มีการหายใจเชนเดียวกับสัตวทั้ง 3 กลุม ขางตน โดยครูคอยเสนอแนะเพิ่มเติม
สํารวจคนหา
Explore
ใหนักเรียนแตละคนศึกษาเรื่องระบบหายใจ ของสัตว จากหนังสือเรียน หนา 18 และหากมี ขอสงสัยใด ใหสอบถามครูผูสอน
1.4 ÃкºËÒÂ㨠การด�ารงชีวิตของมนุษย์และสัตว์ นอกจากจะมีความต้องการใช้ สารอาหารแล้ว ยังจ�าเป็นต้องมีการหายใจเอาแก๊สออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย เพื่อใช้ในกระบวนการย่อยสลายสารอาหาร จึงนับได้ว่าการหายใจเป็นระบบ ที่มีความจ�าเป็นอย่างยิ่งส�าหรับการด�ารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตโดยทั่วไป O2 CO2
1.4.1 ระบบหายใจของสั 1 ตว
CO2
O2
ภาพที่ 1.28 การแลกเปลี่ยนแก๊สของไฮดราโดย การแพร่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์โดยตรง (ทีม่ าของภาพ : http://www.vcharkarn.com/vcafe /42796/1)
ทอลม ชองหายใจ ถุงลม ภาพที่ 1.29 โครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ ของแมลง life (ที่มาของภาพ : life)
สัตว์ชั้นต�่าพวกโพรติสต์ (protist) ส่วนมากอาศัยอยู่ในน�้า จะมีการ แลกเปลี่ยนแก๊สออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ โดยวิธีการแพร่ผ่าน ผนังเซลล์และเยื่อหุ้มเซลล์ โดยตรง ส่วนสัตว์ที่อาศัยอยู่บนบก จะมีปอด เป็นอวัยวะส�าหรับแลกเปลี่ยนแก๊สกับบรรยากาศ ผ่านโครงสร้างต่างๆ ของ ระบบหายใจ ซึ่งจะแตกต่างกันไปในสัตว์แต่ละชนิด 2 1) ไฮดรา เป็นสิง่ มีชวี ติ ที่ไม่มอี วัยวะในการหายใจ มีการแลกเปลีย่ น แก๊สออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ โดยการแพร่ ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์โดยตรง 2) แมลง มีช่องหายใจเล็กๆ ข้างล�าตัวบริเวณท้อง ซึ่งจะติดกับ ท่อลม ท่อลมมีลักษณะแตกเป็นแขนงไปยังเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย ท�าหน้าที่ ในการแลกเปลี่ยนแก๊ส โดยแก๊สออกซิเจนจากภายนอกจะแพร่เข้าสู่เซลล์ โดยผ่านท่อลมก่อน ส่วนแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ภายในเซลล์จะแพร่ออก สู่อากาศผ่านท่อลม และเคลืื่อนที่ย้อนกลับออกสู่ภายนอกร่างกาย 3) ปลา มีอวัยวะที่ใช้หายใจ คือ เหงือก มีหน้าที่ในการแลกเปลี่ยน แก๊สออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ มีลักษณะเป็นซี่เล็กๆ เรียงตัวกัน เป็นแผง โดยแต่ละซี่จะมีหลอดเลือดฝอยมาเลี้ยงจ�านวนมาก นอกจากปลา แล้ว ยังมีสัตว์น�้าชนิดอื่นอีก เช่น กุ้ง ปู เป็นต้น ที่มีเหงือกเป็นอวัยวะหายใจ เนื่องจากปริมาณออกซิเจนในน�้ามีน้อยกว่าในอากาศ สัตว์น�้าเหล่านี้จ�าเป็น ต้องมีโครงสร้างที่มีพื้นที่ผิวมากๆ ในการแลกเปลี่ยนแก๊ส จึงมีเหงือกที่มี ลักษณะเป็นซี่เล็กๆ เพื่อเป็นการเพิ่มพื้นที่ผิวให้สามารถแลกเปลี่ยนแก๊สได้ มากขึ้น น�้าเข้า
ภาพที่ 1.30 ระบบหายใจของปลาการแลกเปลี่ยน แก๊สเกิดขึ้นที่เหงือก (ที่มาของภาพ : life)
เหงือก
18
นักเรียนควรรู 1 โพรติสต อาจเปนสิ่งมีชีวิตเซลลเดียวหรือสิ่งมีชีวิตหลายเซลลที่มีโครงสราง งายๆ ไมมีการจัดเรียงตัวของเซลลตางๆ เปนเนื้อเยื่อ แตละเซลลจะสามารถ ทําหนาที่ของสิ่งมีชีวิตได เซลลเปนเเบบยูคาริโอต อาจมีโครงสรางที่ใชเคลื่อนที่ คลายสัตว เเละอาจมีคลอโรฟลลทําใหสังเคราะหดวยเเสงไดเหมือนพืช เชน รา สาหราย ยีสต โปรโตซัว ไวรัส เปนตน 2 ไฮดรา อยูในไฟลัมไนดาเรีย (Cnidaria) อาศัยอยูในแหลงนํ้าจืดที่คอนขาง สะอาด สามารถมองเห็นไดดวยตาเปลา ลําตัวยาวเปนรูปทรงกระบอกสูง ปลาย ดานหนึ่งประกอบดวยหนวดเสนเล็กๆ ลอมรอบปาก บางครั้งจะพบปุมเล็กๆ ยื่นยาวออกมาขางลําตัว เรียกวา หนอ (bud) หนอเหลานี้สามารถหลุดออกมา เจริญเปนตัวไฮดราใหมได ซึ่งเรียกการสืบพันธุวิธีนี้วา การแตกหนอ (budding)
18
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
การที่เหงือกของปลามีลักษณะเปนซี่เล็กๆ มีผลตอระบบหายใจอยางไร 1. ชวยใหนํ้าซึมผานไดดี 2. ชวยเพิ่มพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนแกส 3. ชวยใหดูดซึมแกสคารบอนไดออกไซดไดดี 4. ชวยใหปลาไมตองขึ้นมาหายใจเหนือนํ้าบอยๆ วิเคราะหคําตอบ เนื่องจากแกสออกซิเจนในนํ้ามีปริมาณนอยกวาใน อากาศ การที่เหงือกของปลามีลักษณะเปนซี่เล็กๆ จะชวยเพิ่มพื้นที่ใน การแลกเปลี่ยนแกสระหวางนํ้ากับเซลลของเหงือก ดังนั้น ตอบขอ 2.
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา สํารวจค Exploreนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุEngage นความสนใจ
กระตุน ความสนใจ 1.4.2 ระบบหายใจของมนุษย
การด�ารงชีวิตของคนเราต้องการแก๊สออกซิเจน ซึ่งได้จากการ หายใจเข้า ถ้าเกิดอุบัติเหตุท�าให้หยุดหายใจไปเพียง 2-3 นาที อาจท�าให้ ถึงตายได้ ระบบหายใจของมนุษย์มีสิ่งที่ควรศึกษา ดังนี้ 1) อวัยวะที่ช่วยในการหายใจ อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับระบบหายใจ ของคน เริ่มต้นที่ปากและจมูกไปสู่หลอดลม ซึ่งเป็นท่อกลวงมีกระดูกอ่อน เป็นวงแหวนแทรกอยู่ ช่วยให้หลอดลมไม่ยุบหรือแฟบ เป็นการปองกัน อันตรายให้แก่หลอดลม ปลายของหลอดลมแตกเป็น 2 แขนง เรียกว่า แขนงปอด เมื่อเข้าไปภายในปอดจะแตกแขนงเล็กๆ มากมาย เรียกว่า หลอดลมฝอย ปลายหลอดลมฝอยจะมีถุงเล็กๆ เรียกว่า ถุงลม 1ซึ่งจะมี หลอดเลือดฝอยมาหล่อเลี้ยง ปอดของคนเราไม่มีกล้ามเนื้อจึงไม่สามารถหดตัวและคลายตัว ได้เอง ดังนั้นการน�าเอาอากาศภายนอกเข้าสู่ปอดและขับแก๊สต่างๆ ออก จากปอด จึงต้องอาศัยการท�างานประสานกันของอวัยวะต่างๆ ได้แก่ กล้ามเนื้อของกระดูกซี่โครง และกล้ามเนื้อกะบังลม 2 2) การผ่านเข้าออกของอากาศโดยการหายใจ เป็นการรับอากาศ จากภายนอกผ่านปากหรือจมูกลงสูป่ อด และปล่อยอากาศจากปอดกลับออก สู่ภายนอกร่างกาย เป็นการท�างานร่วมกันของกระดูกซี่โครงและกะบังลม ดังนี้ 2.1) การหายใจเขา กระดูกซี่โครงเลื่อนสูงขึ้น กะบังลมเลื่อน ต�า่ ลง ท�าให้ปริมาตรของช่องอกมีมากขึน้ (ช่องอกขยายตัว) ความดันอากาศ ลดต�่าลง อากาศภายนอกผ่านเข้าสู่ปอดเป็นจังหวะการหายใจเข้า 2.2) การหายใจออก กระดูกซี่โครงเลื่อนต�่าลง กะบังลมเลื่อน สูงขึ้น ท�าให้ปริมาตรของช่องอกน้อยลง (ช่องอกหดตัว) ความดันอากาศใน ช่องอกสูงขึน้ ท�าให้อากาศออกจากปอดสูภ่ ายนอกเป็นจังหวะการหายใจออก อากาศเข้า
หลอดลม
หลอดลมฝอย ถุงลม
ภาพที่ 1.31 ปอด เป็นอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการ หายใจของคน การแลกเปลี่ยนแก๊สจะเกิดขึ้นที่ บริเวณถุงลม (ที่มาของภาพ : biology insights)
กระดูกซี่โครง เลื่อนต�่าลง
กะบังลม เลื่อนต�่าลง
กะบังลม เลื่อนสูงขึ้น หายใจออก
ครูบอกใหนักเรียนทุกคนหายใจเขาลึกๆ และ หายใจออกชาๆ แลวใหนักเรียนสังเกตลักษณะ ของหนาทองวามีการพองและยุบอยางไร จากนั้น ใหนักเรียนจับคูกัน ปฏิบัติเชนเดิม แตใหสังเกต ลักษณะหนาทองของเพื่อน รวมทั้งสังเกตวามี อวัยวะสวนอื่นๆ เคลื่อนที่อีกหรือไม แลวครู ตั้งคําถามเพื่อกระตุนการคิด • ขณะหายใจเขา และหายใจออก หนาทองมี ลักษณะอยางไร (แนวตอบ เมื่อหายใจเขาหนาทองจะขยาย เมื่อหายใจออกหนาทองจะแฟบลง) • นักเรียนคิดวามีอวัยวะใดบางที่เกี่ยวของกับ การหายใจ (แนวตอบ ขึ้นอยูกับคําตอบของนักเรียน โดยสวนใหญอาจตอบวา จมูก หลอดลม ปอด ถุงลม) เมือ่ นักเรียนตอบคําถามแลว ใหครูอธิบาย เพิม่ เติมวา นอกจากอวัยวะตางๆ ทีน่ กั เรียน ตอบมานัน้ ยังมีอวัยวะอืน่ ๆ อีกทีม่ สี ว นชวยในการ หายใจ ซึง่ นักเรียนจะไดศกึ ษาตอไป
สํารวจคนหา
อากาศออก
กระดูกซี่โครง เลื่อนสูงขึ้น
หายใจเข้า
แขนงปอด
Engage
ภาพที่ 1.32 การท�างานของกะบังลมและกล้ามเนื้อ ยึดกระดูกซี่โครงในกระบวนการหายใจ (ที่มาของภาพ : biology insights)
Explore
ใหนักเรียนอานเนื้อหาเรื่อง การผานเขาออก ของอากาศโดยการหายใจ และดูภาพการทํางาน ของกะบังลมและกลามเนื้อยึดกระดูกซี่โครงใน กระบวนการหายใจ จากหนังสือเรียน หนา 19 (ภาพที่ 1.32) จากนั้นใหทํากิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 1.4 ขอ 2. อากาศเขา-ออกปอด ไดอยางไร
19
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ในขณะที่เราหายใจเขา ขอใดกลาวถึงความสัมพันธระหวางกะบังลมกับ กระดูกซี่โครงไดถูกตอง 1. ทั้งกะบังลมและกระดูกซี่โครงเลื่อนตํ่าลง 2. ทั้งกะบังลมและกระดูกซี่โครงเลื่อนสูงขึ้น 3. กะบังลมเลื่อนสูงขึ้น กระดูกซี่โครงเลื่อนตํ่าลง 4. กะบังลมเลื่อนตํ่าลง กระดูกซี่โครงเลื่อนสูงขึ้น วิเคราะหคําตอบ ในขณะหายใจเขา กระดูกซี่โครงจะเลื่อนสูงขึ้น กะบังลมเลือ่ นตํา่ ลง ทําใหปริมาตรชองอกมีมากขึน้ ความดันอากาศลดตํา่ ลง อากาศภายนอกรางกายจะผานเขาสูปอด ซึ่งหากเปนการหายใจออกจะมี ลักษณะตรงขามกัน ดังนั้น ตอบขอ 4.
นักเรียนควรรู 1 ถุงลม บุคคลที่สูบบุหรี่จัด อาจเปนโรคถุงลมโปงพอง (emphysema) เพราะ บุหรี่ทําใหถุงลมขาดความยืดหยุน เมื่อถุงลมหลายๆ ถุงแตกแลวอาจรวมตัวเปน ถุงลมขนาดใหญ (โปงพอง) ทําใหจํานวนถุงลมลดนอยลง ซึ่งจะมีอาการไอเรื้อรัง มีเสมหะ หอบ เหนื่อย เพราะไดรับออกซิเจนไมเพียงพอ หายใจมีเสียง หายใจ ลําบาก เพราะหลอดลมตีบขึ้น ซึ่งอาการจะมากขึ้นตามการเสื่อมของถุงลมในปอด 2 การหายใจ การหายใจอยางถูกวิธีนั้น ตองหายใจอยางชาๆ และลึกๆ เมื่อหายใจเขาทองจะพองออก เมื่อหายใจออกทองจะยุบลง โดยทรวงอกจะ ไมเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนไหวนอยมาก ซึ่งการหายใจที่ถูกวิธีจะชวยใหรางกาย ผอนคลาย เนื่องจากไดรับออกซิเจนอยางเพียงพอ
คูมือครู
19
กระตุนความสนใจ Engage
สํารวจคนหา
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
Exploreนหา สํารวจค
สํารวจคนหา
Explore
ใหนักเรียนศึกษาเรื่องการหายใจระดับเซลล จากหนังสือเรียน หนา 20
อธิบายความรู
Explain
ครูตั้งคําถามเพื่อใหนักเรียนไดอธิบายความรูที่ ไดศึกษามา • ใหนักเรียนบอกชื่ออวัยวะที่เกี่ยวของกับการ หายใจ โดยเรียงลําดับจากการที่อากาศเขาสู รางกาย (แนวตอบ อวัยวะที่เกี่ยวของกับการหายใจ ไดแก จมูกหรือปาก หลอดลม แขนงปอด หลอดลมฝอย ถุงลม ซึ่งในการหายใจเขาและ ออกนั้นยังตองอาศัยการทํางานของกลามเนื้อ กระดูกซี่โครงและกลามเนื้อกะบังลมดวย) • ใหนักเรียนอธิบายการทํางานของกลามเนื้อ กระดูกซี่โครงและกลามเนื้อกะบังลม ขณะที่ มีการหายใจเขา และหายใจออก (แนวตอบ ขณะหายใจเขา กลามเนื้อกระดูก ซี่โครงจะเลื่อนสูงขึ้น และกลามเนื้อกะบังลม เลื่อนตํ่าลง ทําใหปริมาตรชองอกขยาย ในทางกลับกันขณะที่หายใจออก กลามเนื้อ กระดูกซี่โครงจะเลื่อนตํ่าลง และกลามเนื้อ กะบังลมเลื่อนสูงขึ้น ทําใหปริมาตรชองอก นอยลง)
เลือดจากหัวใจ
เลือดกลับ สู่หัวใจ
CO2 O2
ภาพที่ 1.33 การแลกเปลี่ยนแก๊สที่ถุงลม (ที่มาของภาพ : biology insights) เซลลรางกาย
อาหาร
CO2 + น�้า O2
หลอดเลือดฝอย ภาพที่ 1.34 การแลกเปลี่ยนแก๊สที่เซลล์ (ที่มาของภาพ : biology expression) expression
3) การหายใจระดับเซลล์ การหายใจระดับเซลล์ คือ กระบวนการ แลกเปลี่ยนแก๊สสู่เซลล์ เกิดปฏิกิริยาระหว่างสารอาหารและออกซิเจน พร้อมทั้งปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ น�้า และพลังงานออกมา 3.1) การแลกเปลี่ยนแกสที่ถุงลม เมื่ออากาศเข้าสู่ปอดจะไป อยู่ในถุงลม ซึ่งปอดแต่ละข้างจะมีถุงลมประมาณ 150 ล้านถุง แต่ละถุง มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่ถึง 0.1 มิลลิเมตร โดยถุงลมแต่ละอันจะมี หลอดเลือดฝอยมาห่อหุ้ม และเกิดการแลกเปลี่ยนแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ออกซิเจน ไนโตรเจน และไอน�้า ผ่านเข้าและออกจากถุงลมโดยผ่านเยื่อ บางๆ ของถุงลม เลื อ ดจากหั ว ใจมาสู ่ ป อด เป็ น เลื อ ดที่ มี อ อกซิ เ จนต�่ า คาร์บอนไดออกไซด์สงู เมือ่ มาสูถ่ งุ ลมจะมีการแลกเปลีย่ นแก๊สโดยออกซิเจน ในถุงลมจะแพร่เข้าสู่เลือด ขณะเดียวกันคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดจะแพร่ เข้าสู่ถุงลม แล้วขับออกทางลมหายใจออก 3.2) การแลกเปลี่ยนแกสที่เซลล เลือดจะพาแก๊สออกซิเจน และสารอาหารไปสู่เซลล์ทั่วร่างกาย เมื่อแก๊สออกซิเจนและสารอาหาร เข้าสู่เซลล์จะเกิดปฏิกิริยาระหว่างแก๊สออกซิเจนและสารอาหาร ซึ่งได้ 1 พลังงานออกมา กระบวนการนี้เรียกว่า กระบวนการหายใจ ปฏิกิริยานี้เกิด ขึ้นอย่างช้าๆ นอกจากนี้แล้วยังได้น�้าและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็น ของเสียที่แพร่เข้าสู่เลือด เลือดจะพาของเสียเหล่านี้ไปสู่ถุงลมในปอด เพื่อ ขับถ่ายออกมาทางลมหายใจออกต่อไป เลือดที่มีแกสออกซิเจนสูง
แลกเปลี่ยนแกส ที่ถุงลม
เซลลรางกาย
แลกเปลี่ยนแกส ที่เซลล
เลือดที่มีแกสคารบอนไดออกไซดสูง ภาพที่ 1.35 การแลกเปลี่ยนแก๊สและการหมุนเวียนเลือดในร่างกายมนุษย์ (ที่มาของภาพ : biology expression)
à«ÅÅ µÍŒ §¡ÒÃá¡ ÊÍÍ¡«ÔਹáÅÐÍÒËÒÃà¾×Íè à¼Ò¼ÅÒÞãËŒà¡Ô´à»š¹¾Åѧ§Ò¹·ÕÃè Ò‹ §¡Ò¹íÒä»ãªŒä´Œ ¶ŒÒËҧ¡Ò ·íҧҹ˹ѡ ËÑÇ㨨Ðൌ¹àÃçÇ¢Öé¹ ·Ñ駹Õéà¾ÃÒÐËҧ¡ÒµŒÍ§¡ÒÃá¡ ÊÍÍ¡«Ôਹà¾ÔèÁ¢Öé¹ ¶ŒÒ»ÃÔÁҳᡠÊÍÍ¡«Ôਹ ࢌÒÊÙ‹à«ÅÅ äÁ‹à¾Õ§¾Í à«ÅÅ ¨ÐÊÅÒÂÍÒËÒÃà¾×2èÍãËŒà¡Ô´¾Åѧ§Ò¹â´ÂäÁ‹ãªŒÍÍ¡«Ôਹ àÃÕÂ¡Ç‹Ò ¡ÒÃËÒÂã¨áºº äÁ‹ãªŒÍÍ¡«Ôਹ ¼Å¼ÅÔµ·Õèä´Œ ¤×Í ¡Ã´áÅ¡µÔ¡ «Öè§à»š¹ÊÒà˵آͧ¡ÒÃà¡Ô´µÐ¤ÃÔÇ
20
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
นักเรียนควรรู 1 กระบวนการหายใจ สมการเคมีแสดงกระบวนการหายใจ มีดังนี้ อาหาร + แกสออกซิเจน
แกสคารบอนไดออกไซด + พลังงาน
2 กรดแลกติก เปนสารที่เกิดจากการสลายกลูโคสในรางกาย หรือสลาย ไกลโคเจนในกลามเนื้อ ซึ่งคนปกติจะมีคากรดแลกติกในเลือดตํ่ามาก แตใน บางชวงอาจมีคาสูงได เชน หลังการออกกําลังกายอยางหนัก ซึ่งเปนสาเหตุให กลามเนื้อออนลา
มุม IT ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบหายใจ ไดจากเว็บไซต http://www.med.cmu. ac.th/dept/vascular/human/lesson/lesson3.php
20
คูมือครู
โรคถุงลมโปงพอง มีผลตอการแลกเปลี่ยนแกสที่ถุงลมอยางไร จงอธิบายมาพอสังเขป แนวตอบ ผูปวยโรคถุงลมโปงพอง จะมีจํานวนถุงลมลดนอยลง ซึ่งมีผล ตอการแลกเปลี่ยนแกสที่ถุงลม เนื่องจากบริเวณรอบถุงลมแตละอันจะมี หลอดเลือดฝอยมาหอหุม ซึ่งเปนบริเวณที่เกิดการแลกเปลี่ยนแกสระหวาง หลอดเลือดฝอยกับถุงลม โดยแกสออกซิเจนจะแพรจากถุงลมเขาสูเลือด ขณะเดียวกันแกสคารบอนไดออกไซดในเลือดจะแพรเขาสูถุงลม แลวขับ ออกทางลมหายใจออก ดังนั้น ผูที่เปนโรคนี้จึงมีอาการหอบ เหนื่อยงาย เพราะรางกายไดรับออกซิเจนไมเพียงพอ
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
กิจกรรม
1.4
1. โครงสรางของปอด การทดลองเรื่อง โครงสร้างของปอด จุดประสงค์ : เพื่อศึกษาโครงสร้างของปอด อุปกรณ์
วิธีการปฏิบัติ
Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
ขยายความเขาใจ
พั ฒ นาทั ก ษะ วิทยาศาสตร์
• ปอดหมู หรือ แบบจ�าลองปอด ของมนุษย์ • แผนภาพของปอด
ขยายความเขาใจ
Àา¾ประกอบ
Expand
ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกีย่ วกับ โครงสรางและหนาทีข่ องระบบหายใจของมนุษย และสัตวชนิดตางๆ วามีความเหมือนกันหรือ แตกตางกันอยางไร เพือ่ ใหไดขอ สรุปทีต่ รงกัน จากนัน้ ใหนกั เรียนจับคูก นั ศึกษาคนควาเพิม่ เติม เกีย่ วกับวิธีการดูแลรักษาระบบหายใจใหทํางาน ไดอยางปกติ ทําเปนใบงานสงครูผูสอน
1. ให้ นั ก เรี ย นดู ส ่ ว นส� า คั ญ ของปอดจากปอดหมู หรือแบบจ�าลองปอดของมนุษย์ โดยตั้งประเด็น การศึกษา ดังนี้ • ปอดมีลักษณะคล้ายอะไร (บอกรายละเอียดขณะ ที่อยู่ ในร่างกาย ขนาด สี เนื้อปอด) • เส้นทางเดินของอากาศภายในปอด (บอกชือ่ และ รายละเอียดของแต่ละส่วน) • เราหายใจได้อย่างไร (มีอะไรเกิดขึ้นกับ ภาพที่ 1.36 (ที่มาของภาพ : life) กระดูกซี่โครง และกะบังลม)
1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 2-3 คน ศึกษาแผนภาพของปอด โดยชี้บอกชื่อส่วนต่างๆ 2. นักเรียนทั้งกลุ่มช่วยกันเขียนเรื่องย่อเกี่ยวกับปอดในหัวข้อ “เราหายใจได้อย่างไร” โดยระบุรายละเอียด โครงสร้างของปอด และระบบทางเดินของอากาศ
2. อากาศเขา-ออกปอดไดอย่างไร การทดลองเรื่อง อากาศเข้า-ออกปอดได้อย่างไร จุดประสงค์ : เพื่อทดลองและเปรียบเทียบการท�างานของปอดจ�าลองกับการท�างานของปอดในร่างกาย อุปกรณ์
Çิ¸ีการทดลอ§
Àา¾ประกอบ
• แบบจ�าลองการท�างาน 1. จัดอุปกรณ์ปอดจ�าลอง ดังรูป ของปอด 2. ดึงแผ่นยางลงอย่างช้าๆ สังเกตการเปลี่ยนแปลง ของลูกโปง บันทึกผลการทดลอง 3. ปล่อยแผ่นยางคืนสูส่ ภาพเดิม สังเกตการเปลีย่ นแปลง ของลูกโปง บันทึกผลการทดลอง 4. ใช้นิ้วดันแผ่นยางเข้าไปข้างในเบาๆ สังเกตการ เปลี่ยนแปลงของลูกโปง บันทึกผลการทดลอง
ภาพที่ 1.37 (ที่มาของภาพ : biology insights)
1. ให้นักเรียนคัดลอกภาพแบบจ�าลองแสดงการท�างานของปอดมนุษย์ลงในสมุดของนักเรียน 2. บ่งชี้ส่วนต่างๆ ในภาพว่าตรงกับอวัยวะส่วนใดของปอด และอธิบายด้วยว่า แต่ละส่วนมีการท�างานอย่างไร เมื่อนักเรียนหายใจเข้าและออก 3. มีอวัยวะส่วนอื่นใดของปอดอีกบ้างที่ช่วยในการหายใจ แต่ไม่ปรากฏในแบบจ�าลองนี้ 21
แนวตอบ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.4 1. โครงสรางปอด หลอดลม 1.
2. อากาศเขา-ออกปอดไดอยางไร
แขนงปอด หลอดลมฝอย ถุงลม
2. พิจารณาคําตอบของนักเรียน โดยอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน 3. พิจารณาคําตอบของนักเรียน โดยอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน
ชองอก ปอด กะบังลม
เมื่อหายใจเขา การดึงแผนยาง เปรียบไดกับกะบังลมเลื่อนตํ่าลง ทําให ปริมาตรชองอกมีมากขึ้น ความดันอากาศในชองอกลดตํ่าลง ดังนั้น อากาศ จากภายนอกจึงผานเขาสูลูกโปง (ปอด) ลูกโปงจึงพองออก เมื่อหายใจออก เมื่อปลอยแผนยางกลับ เปรียบไดกับกะบังลมเลื่อนสูงขึ้น ทําใหปริมาตรชองอกลดลง ความดันอากาศในชองอกสูงขึ้น ดังนั้น อากาศจาก ลูกโปง (ปอด) จึงผานออกสูภายนอก ลูกโปงจึงแฟบ อวัยวะสวนอื่นที่ชวยในการหายใจ คือ กลามเนื้อกระดูกซี่โครง คูมือครู
21
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
Engage
Explore
Explain
Expand
ตรวจสอบผล
ตรวจสอบผล Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate
Evaluate
ใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 1.4 ขอ 1. และขอ 3. โดยใหบันทึก ผลการทํากิจกรรมและตอบคําถามหลังกิจกรรม ทํารายงานสงครูผูสอน
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู 1. ใบงานเรื่อง วิธีการดูแลรักษาระบบหายใจให ทํางานไดอยางปกติ 2. แบบบันทึกผลการทํากิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 1.4
3. การวัดการหายใจ นักเรียนสามารถค้นหาความสัมพันธ์ระหว่างการออกก�าลังกับระบบการหายใจ อัตราการเต้นของหัวใจ และ อัตราการหายใจ โดยการวัดอย่างง่ายๆ ดังต่อไปนี้ การทดลองเรื่อง การวัดการหายใจ จุดประสงค์ : เพื่อทดลองและเปรียบเทียบอัตราการหายใจในขณะพักกับขณะออกก�าลังกาย อุปกรณ์และสารเคมี
วิธีการปฏิบัติ
• นาฬิกาจับเวลา • น�้าปูนใส • หลอดทดลอง 3 หลอด • เครื่องมือวัดปริมาตร ปอด • เทอร์มอมิเตอร์วัดไข้ • กระดาษบันทึก • ดินสอสี • แว่นตานิรภัย
1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3-4 คน ให้ทุกคนในกลุ่มช่วยกันท�างาน เพื่อให้การวัดแต่ละเรื่องเป็นไปอย่างรวดเร็วและ ถูกต้อง โดยท�าการวัดก่อนและหลังออกก�าลังกาย แล้วน�าผลมาเปรียบเทียบกัน 2. ให้นักเรียนท�าการวัด 5 รายการตามที่ก�าหนดไว้ข้างล่างนี้ จากค�าแนะน�าการทดลองที่ ได้อธิบายรายละเอียดไว้ อ่านค�าแนะน�าให้เข้าใจก่อนเริ่มต้นท�าการทดลอง 3. นักเรียนทุกคนต้องช่วยกันวัดรายการต่างๆ ของร่างกายแต่ละคนขณะพัก บันทึกข้อมูล 4. เมื่อเสร็จแล้วให้คนที่ 1 ออกก�าลังกายเป็นเวลา 3 นาที เมื่อครบแล้วให้ 2 คนที่เหลือช่วยวัดตามรายการต่างๆ ให้เสร็จ โดยเร็ว บันทึกข้อมูล เมื่อเสร็จแล้วให้คนที่ 2 และคนที่ 3 ไปออกก�าลังตามล�าดับ คนที่เหลือช่วยกันวัดและบันทึกข้อมูล เช่นเดียวกัน สิ่งที่จะต้องวัด • อัตราการเต้นของหัวใจ : วัดอัตราการเต้นของชีพจรในช่วงเวลา 30 วินาที • วัดอุณหภูมิของร่างกาย : วัดอุณหภูมิที่ผิวหนังด้วยเทอร์มอมิเตอร์วัดไข้ • ความจุของปอด : ใช้เครื่องมือวัดปริมาตรปอด • อัตราการสูดลมหายใจ : โดยการนับจ�านวนครั้งที่หายใจ/นาที • อัตราการหายใจ : โดยวัดปริมาณของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่ออกมากับลมหายใจออก
1. จากผลการทดลองการวัดการหายใจ การหายใจ นักเรียนคิดว่าจะสามารถทราบถึงความแข็งแรงของร่างกายได้หรือไม่ อย่างไร 2. ในระหว่างการออกก�าลังกาย เมื่อวัดอัตราการเต้นของหัวใจ และอัตราการหายใจให้ผลเป็นอย่างไร จงอธิบายและให้เหตุผลประกอบ 3. อธิบายเปรียบเทียบอัตราการเต้นของหัวใจและอัตราการหายใจของตนเองก่อนและหลังการออกก�าลังกาย
22
แนวตอบ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.4 (ตอ) 3. การวัดการหายใจ 1. การวัดการหายใจสามารถบอกใหทราบถึงความแข็งแรงของรางกายได เนื่องจากคนที่แข็งแรงจะสามารถออกกําลังกายไดนาน ซึ่งจะมีการ หายใจชากวาคนที่รางกายออนแอ และอัตราการหายใจจะกลับคืนสู ภาวะปกติไดเร็วกวาอีกดวย 2. ในขณะออกกําลังกายจะมีอัตราการเตนของหัวใจเร็วกวาปกติ และมี การหายใจถี่ เพื่อรับแกสออกซิเจนไปทดแทนแกสคารบอนไดออกไซดที่ เกิดจากกระบวนการเผาผลาญสารอาหารใหเกิดเปนพลังงาน 3. กอนออกกําลังกาย จะมีอัตราการเตนของหัวใจและการหายใจที่ชากวา หลังการออกกําลังกาย เนื่องจากการออกกําลังกายจะตองใชพลังงานที่ เกิดจากการสลายสารอาหาร และเกิดแกสคารบอนไดออกไซด จึงตอง หายใจชาเพื่อรับแกสออกซิเจนไปทดแทน
22
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
เมื่อนักเรียนวิ่งเปนระยะทางไกลๆ อัตราการหายใจจะสูงขึ้น เนื่องมาจากหลายปจจัย ยกเวนขอใด 1. ปองกันไมใหรางกายขาดสารอาหาร 2. เพื่อชวยระบายความรอนออกจากรางกาย 3. เพื่อทําใหสัมพันธกับการเผาผลาญสารอาหารในรางกาย 4. เพื่อขับแก็ส CO2 ออกจากรางกาย และรับแกส O2 เขาสูรางกาย
วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให ตั้งแตขอ 2.-4. ลวน เกี่ยวของกับกระบวนการหายใจ แตขอ 1. เกี่ยวของกับการบริโภคอาหาร ดังนั้น ตอบขอ 1.
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา สํารวจค Exploreนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุEngage นความสนใจ
กระตุน ความสนใจ
ครูรวมสนทนากับนักเรียนวารางกายของเรามี ระบบตางๆ มากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ระบบ ขับถายที่จะชวยกําจัดของเสียออกจากรางกาย ทั้งนี้เพื่อทําใหรางกายเกิดสมดุล จากนั้นตั้งคําถาม เพื่อกระตุนการเรียนรูของนักเรียน • เมื่อกลาวถึงระบบขับถาย นักเรียนนึกถึง สิ่งใด (แนวตอบ พิจารณาจากคําตอบของนักเรียน โดยอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน) • รางกายมนุษยมีการกําจัดของเสียออกจาก รางกายในรูปแบบใดบาง (แนวตอบ เหงื่อ ปสสาวะ อุจจาระ ลมหายใจ)
1.5 Ãкº¢Ñº¶‹Ò การสลายสารอาหารภายในเซลล์ รวมถึงการสังเคราะห์สารต่างๆ ท�าให้เกิดสารหลายชนิด ทั้งที่ร่างกายน�าไปใช้ได้และของเสียที่เป็นอันตราย ต่อร่างกาย ซึง่ ร่างกายต้องก�าจัด เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ ยูเรีย แอมโมเนีย กรดยูริก แก๊ส เป็นต้น การก�าจัดของเสียต่างๆ ดังกล่าวนั้น เรียกว่า การ ขับถาย
เฟลมเซลล
1.5.1 ระบบขับถ่ายของสัตว
การด�ารงชีวิตของสัตว์โดยทั่วไป จะมีปฏิกิริยาเคมีต่างๆ เกิดขึ้นใน เซลล์ของร่างกาย เป็นผลให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์และของเสียที่ต้อง ก�าจัดออกด้วยการขับถ่าย ซึ่งสัตว์แต่ละชนิดจะมีอวัยวะและกระบวนการ ก�าจัดของเสียออกจากร่างกายที่แตกต่างกันไป ■ ฟองน�้า มีโครงสร้างที่ไม่ซับซ้อน ท�าหน้าที่ก�าจัดของเสียไปยัง สิ่งแวดล้อม โดยการแพร่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ 1 ■ ไส้เดือนดิน ใช้เเนฟริ นฟริเดียม (nephridium) รับของเสียที่มาตาม ท่อ และมีท่อเปิดออกเป็นรูเปิดข้างล�าตัว ■ พลานาเรีย ใช้อวัยวะที่พัฒนาขึ้นจ�าเพาะในการขับถ่าย เป็น ตัวกรองของเสีย ซึ่งเป็นท่อกระจายอยู่ทั้งสองข้างตลอดความยาวของล� าตัว 2 และมีรูเปิดขับของเสียออกข้างล�าตัว เรียกว่า เฟลมเซลล (flame cell) ■ แมลง ใช้อวัยวะขับถ่ายที่เรียกว่า ทอมัลพิเกียน (mulphigian tubule) ซึง่ เป็นท่อขนาดเล็กจ�านวนมากทีอ่ ยูร่ ะหว่างกระเพาะอาหารกับล�าไส้ ท�าหน้าที่ดูดซึมของเสียจากเลือด และส่งต่อไปยังทางเดินอาหาร แล้วขับ ออกนอกร่างกายผ่านช่องทวารหนัก ■ ไฮดรา ขับของเสียออกจากเซลล์ โดยการแพร่ผ่านออกไปสะสม และรวมกันไว้ที่ช่องว่างกลางล�าตัว ก่อนที่จะขับของเสียออกทางปาก ■ ปลา มีอวัยวะขับถ่าย คือ ไต มีลักษณะเป็นท่อยาว อยู่ภายใน ช่องท้องค่อนไปทางด้านบนของล�าตัว ของเสียที่ส่งมาสู่ไตจะถูกส่งต่อไปยัง กระเพาะปัสสาวะ และขับออกนอกร่างกายทางทวารหนัก
Engage
ภาพที่ 1.38 ระบบขับถ่ายของพลานาเรีย (ที่มาของภาพ : life)
สํารวจคนหา
Explore
ใหนักเรียนดูภาพระบบขับถายของสัตวตางๆ จากหนังสือเรียน หนา 23 แลวรวมกันอภิปราย เกี่ยวกับอวัยวะขับถายของสัตวนั้นๆ จากนั้น จึงคอยอานเนื้อหา แลวสรุปขอความสั้นๆ ลงในสมุด
เนฟริเดียม
ภาพที่ 1.39 ระบบขับถ่ายของไส้เดือนดิน (ที่มาของภาพ : life) life)
ไต
ทอมัลพิเกียน
ภาพที่ 1.40 ระบบขับถ่ายของแมลง (ที่มาของภาพ : life)
ภาพที่ 1.41 ระบบขับถ่ายของปลา (ที่มาของภาพ : life)
23
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
เพราะเหตุใดสิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะตองมีระบบขับถาย หรือมีการกําจัด ของเสียออกจากรางกาย
แนวตอบ เนื่องจากเมื่อสิ่งมีชีวิตกินอาหารเขาไป อาหารจะผาน กระบวนการยอยซึ่งทําใหเกิดของเสียตางๆ ที่รางกายไมตองการ ไดแก นํ้า ยูเรีย แกสคารบอนไดออกไซด และกากอาหาร ดังนั้นรางกายจึงตอง มีกระบวนการกําจัดของเสียตางๆ เหลานี้ออกจากรางกาย โดยอาศัย กระบวนการในระบบขับถาย
นักเรียนควรรู 1 เนฟริเดียม แตละปลองของไสเดือนดินจะมีเนฟริเดียม 1 คู ที่ไมเชื่อมติดกัน โดยจะอยูทางดานขางของลําตัว เนฟริเดียมจะมีปลายขางหนึ่งที่เปดออกอยูใน ชองวางของลําตัว มีลักษณะเปนปากแตร เรียกวา เนโฟรสโตม (nephrostome) 2 เฟลมเซลล ประกอบไปดวยกลุมของเซลลที่ทําหนาที่ขับถาย มีลักษณะเปน เบาเล็กๆ ยื่นออกมาขางๆ ทอขับถาย แตละอันจะมีชองวางตรงกลาง ซึ่งใน ชองวางนี้มีซีเลีย (cilia) ทําหนาที่พัดโบกนํ้าและของเสียเขาสูทอขับถาย
มุม IT ศึกษาเพิม่ เติมเกีย่ วกับระบบขับถายของสัตวและมนุษย ไดจากเว็บไซต คลังความรูสูความเปนเลิศทางวิทยาศาสตร คณิตศาสตรและเทคโนโลยี http://www.scimath.org/socialnetwork/groups/viewgroup/151ระบบขับถาย+ (Excretory+System) คูมือครู 23
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา Exploreนหา สํารวจค
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุEngage นความสนใจ
กระตุน ความสนใจ
Engage
ครูสอบถามนักเรียนวากิจวัตรประจําวันของ มนุษยเราหลังตื่นนอน จะตองทําอะไรบาง จากนั้นใหตั้งคําถามกระตุนการเรียนรูของนักเรียน • เหตุใดเราจึงตองมีการปสสาวะและ ถายอุจจาระ (แนวตอบ การปสสาวะและถายอุจจาระเปนวิธี กําจัดของเสียออกจากรางกาย) • นอกจากการขับถายของเสียในรูปของ ปสสาวะและอุจจาระแลว นักเรียนคิดวา รางกายของเรายังมีการกําจัดของเสีย ออกทางใดอีกบาง และในรูปของสารใด (แนวตอบ กําจัดของเสียออกทางผิวหนัง ในรูปของเหงื่อ หรือทางการหายใจออก ในรูปของแกสคารบอนไดออกไซด)
สํารวจคนหา
1.5.2 ระบบขับถายของมนุษย
ไต ทอไต
กระเพาะปสสาวะ ภาพที่ 1.42 ตําแหนงของไตในรางกายมนุษย (ที่มาของภาพ : biology insights)
Explore
ครูแบงนักเรียนออกเปน 4 กลุม ใหนักเรียน แตละคนในกลุมศึกษาเรื่องตางๆ จากหนังสือเรียน หนา 24-25 ดังนี้ นักเรียนในกลุมที่ 1 ศึกษาเรื่อง ไต นักเรียนในกลุมที่ 2 ศึกษาเรื่อง ผิวหนัง นักเรียนในกลุมที่ 3 ศึกษาเรื่อง ปอด นักเรียนในกลุมที่ 4 ศึกษาเรื่อง ลําไสใหญ จากนั้นใหนักเรียนแตละคนแยกตัวไปรวมกลุม กับเพื่อนที่ศึกษาเรื่องตางกัน โดยจับกลุมใหมเปน กลุม 4 คน ใหแตละคนสรุปเรื่องที่ตนเองศึกษาให เพื่อนในกลุมฟง จากนั้นรวมกันสรุปสาระสําคัญเปน แผนผังความคิดเกี่ยวกับอวัยวะในระบบขับถาย วิธีกําจัดของเสีย และมีการกําจัดของเสียออกมา ในรูปใด
ตารางที่ 1.1 ปริมาณสารตางๆ ในนํ้าเลือดและในนํ้าปสสาวะ ÊÒÃ
24
EB GUIDE
เกร็ดแนะครู กอนเขาสูการเรียนการสอน ครูอาจสอบถามนักเรียนวา ใครกระหายนํ้าบาง ซึ่งหากนักเรียนกระหายนํ้า ใหครูนํานํ้ามาใหดื่ม ซึ่งเมื่อนักเรียนดื่มนํ้าไปสักครู ใหครูสอบถามนักเรียนคนที่ดื่มนํ้าเขาไปวา รูสึกปวดปสสาวะหรือไม แลวจึงอธิบาย เขาสูเนื้อหาเรื่อง ไต
นักเรียนควรรู 1 ไต เมื่อปลายป พ.ศ. 2548 สมาคมโรคไตแหงประเทศไทยไดรับคําเชิญชวน จากองคกรสากล สมาพันธมูลนิธิโรคไต (International Federation of Kidney Foundation : IFKF) และสมาคมโรคไตนานาชาติ (International Society of Nephrology : ISN) ในการรณรงคเรื่องโรคไต โดยกําหนดใหวันพฤหัสบดีที่สอง ของเดือนมีนาคมของทุกป เปนวันไตโลก
24
คูมือครู
การขับถายที่สําคัญที่สุดของคนและสัตวชั้นสูงทั่วไป คือ การกําจัด ของเสียออกทางไต โดยจะขับถายในรูปของระบบขับถายปสสาวะ (urinary system) นอกจากนี้ยังมีการกําจัดของเสียทางผิวหนังในรูปของเหงื่อ การ กําจัดของเสียทางปอด โดยการหายใจออก และการกําจัดของเสียทาง ลําไสใหญโดยการถ 1 ายอุจจาระอีกดวย 1) ไต เปนอวัยวะหลักในการขับถายของเสีย ลักษณะคลายเมล็ดถัว่ อยูคอนไปทางดานหลังของชองทองสองขางของกระดูกสันหลัง ทําหนาที่ กรองของเสียที่รางกายไมตองการ และรักษาสมดุลของนํ้า แรธาตุ และสาร บางชนิดอีกดวย การทํางานของไต ภายในไตประกอบดวยหนวยไต (nephron) จํานวนมาก ทําหนาทีก่ รองเลือด เลือดทีม่ อี อกซิเจนสูงเขาไตทางหลอดเลือด แดง (renal artery) สารที่เปนประโยชนตอรางกาย เชน นํ้า กลูโคส เปนตน จะถูกดูดกลับเขาสูหลอดเลือดฝอย ลําเลียงไปกับเลือดกลับสูหัวใจทาง หลอดเลือดดํา (renal vein) สวนของเสียที่รางกายไมตองการ จะสลายเปน นํ้าปสสาวะ และลําเลียงไปยังกระเพาะปสสาวะเพื่อรอขับออกนอกรางกาย ตามปกติกระเพาะปสสาวะสามารถรองรับนํา้ ปสสาวะไดประมาณ 250 ลูกบาศกเซนติเมตร เมื่อกระเพาะปสสาวะเต็มจะเริ่มรูสึกปวดทองนอย แสดงใหทราบวาตองการถายปสสาวะออก โดยเฉลี่ยใน 1 วัน เราสามารถ ถายปสสาวะไดถึง 1,000-1,500 ลูกบาศกเซนติเมตร ขึ้นอยูกับปริมาณ นํ้าที่มีอยูในรางกาย แตบางครั้งเราก็สามารถถายปสสาวะไดกอนที่จะรูสึก ปวดทองนอย
»ÃÔÁÒ³ÊÒõ‹Ò§æ (g/cm3) ¹íéÒàÅ×Í´ ¹íéÒ»˜ÊÊÒÇÐ
นํ้า
92
95
โปรตีน
7
0
คลอไรด
0.37
0.6
กลูโคส
0.1
0
ยูเรีย
0.03
2
http://www.aksorn.com/LC/Sci B1/M2/04
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
หากไตทํางานผิดปกติ จะสามารถสังเกตไดจากสิ่งใด 1. เหงื่อ 2. อุจจาระ 3. ปสสาวะ 4. ลมหายใจออก วิเคราะหคําตอบ ไตมีหนาที่กรองของเสียที่รางกายไมตองการออกจาก เลือด ซึ่งของเสียนั้นจะสลายเปนนํ้าปสสาวะแลวถูกขับออกนอกรางกาย ดังนั้นหากไตทํางานผิดปกติ จะทําใหการปสสาวะเกิดความผิดปกติ หรือนํ้าปสสาวะมีองคประกอบเปลี่ยนแปลงไป ตอบขอ 3.
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบายความรู 2) ผิวหนั 1 ง ของเสียที่ถูกขับออกทางผิวหนังจะอยู่ในรูปของเหลว ที่เรียกว่า เหงื่อ (sweat) ซึ่งเหงื่อจะถูกขับออกตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ฝามือ ฝาเท้า ใต้รักแร้ และแผ่นหลัง เป็นต้น แต่ละวันร่างกายจะ สูญเสียน�้าในรูปของเหงื่อประมาณ 500 - 1,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร และ ยิ่งในวันที่อากาศร้อนหรือออกก�าลังใหม่ๆ อาจมีเหงื่อออกได้มากถึง 2,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร ถ้านักเรียนลองชิมเหงื่อจะรู้สึกเค็ม เพราะเหงื่อประกอบด้วยน�้า และเกลือแร่ เมื่อเหงื่อระเหยเอาน�้าออกไปจะเหลือเกล็ดเกลือเกาะตาม ผิวหนัง จึงท�าให้เรารู้สึกเหนียวตัว 3) ปอด ปอดท�าหน้าที่แลกเปลี่ยนแก๊ส ซึ่งจะเกิดขึ้นที่ถุงลมใน ปอด ดังแสดงในตารางต่อไปนี้
รูขุมขน
2
ตอมเหงื่อ
ใหตัวแทนนักเรียนแตละกลุมออกมานําเสนอ ผลงานสรุปเกี่ยวกับระบบขับถาย โดยครูและ นักเรียนคนอื่นๆ รวมกันเสนอแนะและซักถาม ขอสงสัย จากนั้นครูตั้งคําถามเพื่อใหนักเรียนไดอธิบาย ความรูที่ศึกษามา • ใหนักเรียนอธิบายขั้นตอนการกรองของเสีย ของไต (แนวตอบ เลือดที่มีออกซิเจนสูง (ในหลอดเลือดอารเทอรี) ไต (หนวยไต)
ตารางที่ 1.2 ปริมาณแกสต่างๆ และไอน�้าในลมหายใจเข้าและลมหายใจออก แก ส
ลมËายã¨เ¢้า
ลมËายã¨ออก
ออกซิเจน
21%
17%
คาร์บอนไดออกไซด์
0.04%
4%
ไนโตรเจน
79%
79%
ไอน�้า
ไม่คงที่
อิ่มตัว
ภาพที่ 1.43 การก�าจัดของเสียทางผิวหนังในรูป ของเหงื่อ (ที่มาของภาพ : life)
ออกซิเจน
สารที่มีประโยชน
ของเสีย
ดูดกลับเขาหลอดเลือดฝอย สลายเปนปสสาวะ) • หากนักเรียนดื่มนํ้าเขาไป รางกายจะมีวิธี กําจัดนํ้าออกอยางไรบาง (แนวตอบ กําจัดออกในรูปของปสสาวะ เหงื่อและลมหายใจออก)
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และไอน�้าเป็นของเสียที่เกิดจากการสลาย สารอาหารเพื่อสร้างเป็นพลังงานของเซลล์ ที่เรียกว่า กระบวนการหายใจ ดังสมการ อาหาร
Explain
คาร์บอนไดออกไซด์
4) ล�าไส้ใหญ่ แบ่งออกเป็นล�าไส้ใหญ่ส่วนขึ้น ล�าไส้ใหญ่ส่วนขวาง ล�าไส้ใหญ่ส่วนลง ล�าไส้ส่วนตรง และทวารหนัก อาหารแต่ละมื้อที่รับประทานเข้าไปจะผ่านกระบวนการย่อยที่ กระเพาะอาหาร และล�าไส้เล็ก แล้วจึงถูกส่งต่อมาสะสมยังล�าไส้ใหญ่ในรูป ของกากอาหาร กระบวนการทั้งหมดนี้จะใช้เวลาประมาณ 22 - 23 ชั่วโมง ซึ่งตลอดระยะเวลาการเคลื่อนผ่านของอาหารนั้น จะมีการดูดซึมน�้าและ สารอาหารกลับคืนสู่ร่างกาย โดยการดูดซึมจะเกิดที่ล�าไส้ใหญ่มากที่สุด ส่วนกากที่เหลือ คือ อุจจาระ (feces) จะถูกขับออกทางทวารหนักต่อไป
ภาพที่ 1.44 การขับถ่ายของเสียทางล�าไส้ใหญ่ ในรูปอุจจาระ (ที่มาของภาพ : biology expression)
25
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ขอใดเปนสาเหตุที่ทําใหรางกายมีอาการออนเพลียไดงาย 1. เสียเหงื่อปริมาณมาก 2. หายใจเขา-ออกอยางถี่ๆ 3. ถายอุจจาระไมเปนเวลา 4. กลั้นปสสาวะไวเปนเวลานาน
วิเคราะหคําตอบ เมื่อรางกายขับเหงื่อออกมาปริมาณมาก และไมไดรับ นํ้าเขาไปชดเชยสวนที่เสียไป รางกายจะสูญเสียนํ้าและเกลือแร สงผลให เกิดอาการออนเพลีย ซึม กลามเนื้อออนแรง เปนตะคริว และอาจหมดสติ ดังนั้น ตอบขอ 1.
นักเรียนควรรู 1 เหงื่อ แบงออกเปน 2 ชนิด ไดแก 1. เหงื่อที่ผลิตจาก eccrine sweat gland ซึ่งตอมเหงื่อชนิดนี้พบทั่วรางกาย ผลิตเหงื่อที่มีลักษณะใสเหมือนนํ้า ไมมีกลิ่น 2. เหงื่อที่ผลิตจาก apocrine sweat gland ซึ่งตอมเหงื่อชนิดนี้พบบางแหง ในรางกาย เชน รักแร ขาหนีบ ทวารหนัก หัวหนาว แผนหลัง เปนตน ผลิตเหงื่อลักษณะเหนียว ไส และมีสวนผสมของไขมันอยูมาก จึงมีกลิ่น ซึ่งกลิ่นนี้จะชวยกระตุนอารมณทางเพศได 2 ตอมเหงื่อ ทั่วรางกายมีประมาณ 2,000,000 ตอม พบมากที่สุดบริเวณฝามือ ฝาเทา และพบนอยที่สุดบริเวณหลังและขา
คูมือครู
25
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
Expand าใจ ขยายความเข
Evaluate ตรวจสอบผล
Expand
ครูตั้งคําถามเกี่ยวกับวิธีการดูแลรักษา ระบบขับถาย • นักเรียนมีวิธีการดูแลรักษาระบบขับถาย ดวยวิธีใดบาง (แนวตอบ พิจารณาจากคําตอบของนักเรียน โดยอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน ตัวอยางเชน 1. ไมรับประทานอาหารที่มีรสเค็มจัด เพราะจะทําใหไตตองทํางานหนัก 2. ไมกลั้นปสสาวะ เพราะอาจทําใหเปน โรคนิ่ว 3. รับประทาอาหารที่มีใยอาหารสูง เพื่อ ชวยในการขับถายอุจจาระ 4. ดูแลรักษาผิวพรรณใหสะอาดอยูเสมอ 5. อยูในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ ฯลฯ)
ตรวจสอบผล
ขยายความเขาใจ
Evaluate
ใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 1.5 โดยใหเขียนรายงานและ ตอบคําถามลงในสมุดสงครูผูสอน
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู แบบบันทึกผลการทํากิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 1.5
กิจกรรม
พั ฒ นาทั ก ษะ วิทยาศาสตร์
1.5
1. การควบคุมปริมาณน�้าในร่างกาย จุดประสงค์ : เพื่อเปรียบเทียบปริมาณน�้าที่ร่างกายได้รับและสูญเสียไปใน 1 วัน ในแต่ละวันร่างกายได้รับน�้าและสูญเสียน�้า (ดังแสดงในภาพ) ให้นักเรียนศึกษาว่าในวันหนึ่งๆ ร่างกายได้รับ น�้าจากทางใดบ้าง ในปริมาณเท่าใด และร่างกายสูญเสียน�้าทางใดบ้าง ในปริมาณเท่าใด โดยบันทึกลงในตาราง ปริมาณน�้าที่ร่างกายได้รับ
รายการ
อาหาร น�้าดื่ม การหายใจ อุจจาระ
เหงื่อ
ปัสสาวะ = 100 cm3
ลมหายใจออก
ปริมาณน�้าที่ร่างกายสูญเสียไป ภาพที่ 1.45 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) ACT.
ปริมาณ
ปริมาณน�้าที่ได้รับ (cm3)
ปริมาณน�้าที่สูญเสีย (cm3)
อาหาร ดื่มน�้า การหายใจ เหงื่อ อุจจาระ น�้าปัสสาวะ ลมหายใจ รวม
? 1. จงอธิบายถึงปริมาณน�า้ ที่ร่างกายได้รับและสูญเสียไป ไป ว่าเป็นอย่างไร 2. นักวิ่งมาราธอนต้องดื่มน�า้ มากกว่าปกติเพราะเหตุใด จงอธิ ด บาย
2. การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย จุดประสงค์ : เพื่อศึกษาการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย มนุษย์เป็นสัตว์เลือดอุ่นซึ่งอุณหภูมิของร่างกายจะคงที่อยู่ประมาณ ระมาณ 37 องศาเซลเซียส กระบวนการควบคุม อุณหภูมิของร่างกายให้ปกติ คือ การระเหยของเหงื การระเหยของเหงื่อที่ควบคุมการระเหยโดยสมอง การระเหยโดยสมอง ดังภาพ
ภาพที่ 1.46 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
จากภาพ ในวันที่อากาศร้อนจัดและวันที่อากาศหนาวจัด คนเรามีวิธีควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้เป็นปกติ 26 ได้อย่างไร
แนวตอบ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.5 1. การควบคุมปริมาณนํ้าในรางกาย 1. รางกายจะมีกลไกควบคุมปริมาณนํ้าที่ไดรับเขาไปและขับออกจากรางกาย โดยมีชองทางและอาศัยกระบวนการตางๆ หลายรูปแบบ ไดแก การรับเขามาพรอมกับอาหาร การดื่มนํ้า การหายใจเขา การขับถายออกทางปสสาวะ เหงื่อ อุจจาระ และลมหายใจออก ซึ่งทุกระบบจะชวยปรับใหมีปริมาณนํ้าในรางกายสมดุลอยูตลอดเวลา 2. นักวิ่งมาราธอนจะสูญเสียนํ้าออกจากรางกายมาก เนื่องจากการออกกําลังกายจะทําใหเกิดความรอนขึ้นในรางกาย ซึ่งถูกระบาย ออกนอกรางกายในรูปของเหงื่อในปริมาณมาก ระบบประสาทจึงสั่งการใหรางกายตองการนํ้ามาชดเชยสวนที่เสียไป ทําใหรูสึก กระหายนํ้า นักวิ่งมาราธอนจึงตองดื่มนํ้ามากกวาปกติ 2. การควบคุมอุณหภูมิของรางกาย ภาพที่ 1 ในวันที่อากาศรอนจัด ความรอนจากอากาศจะถายโอนใหกับรางกาย อุณหภูมิของรางกายสูงขึ้น รางกายจึงตองระบาย ความรอนออกทางเหงื่อ วิธีคลายความรอน คือ ใสเสื้อผาบางๆ หรือนอยชิ้น ภาพที่ 2 ในวันที่อากาศหนาวจัด ความรอนภายในรางกายจะถายโอนสูสิ่งแวดลอม รางกายจึงไมคอยมีเหงื่อ ซึ่งวิธีปองกัน คือ ใสเสื้อผาหนาๆ
26
คูมือครู
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
กิจกรรม
1. การย่อยคารโบไฮเดรต เมื่ออาหารเข้าสู่ปากจะมีกระบวนการย่อยทางเคมีเกิดขึ้น โดยในปากมีต่อมน�้าลายท�าหน้าที่สร้างน�้าลายและ เอนไซม์อะไมเลส ซึ่งย่อยคาร์ โบไฮเดรตให้มีโมเลกุลเล็กลง การทดลองเรื่อง การย่อยคาร์ โบไฮเดรต จุดประสงค์ : เพื่อศึกษาการย่อยคาร์ โบไฮเดรตภายในปาก อุปกรณ์และสารเคมี
Çิ¸ีการทดลอ§
• หลอดทดลองขนาดกลาง 1. ใส่ข้าวสุกประมาณ 1 ช้อน เบอร์ 2 ลงในหลอดทดลองที่ 1 2 หลอด 2. ตักข้าวสุกประมาณ 1 ช้อน ใส่ปากเคี้ยวให้ละเอียดประมาณ 1 นาที แล้วใส่ ในหลอดทดลองที่ 2 • ข้าวสุก • สารละลายเบเนดิกต์ 3. ใส่สารละลายเบเนดิกต์ลงในหลอดทดลองทั้งสองหลอด หลอดละ 3 หยด • บีกเกอร์ • น�้า 4. น�าหลอดทดลองทั้งสองไปแช่ ในน�้าเดือดประมาณ 2-5 นาที สังเกตและบันทึกผลลงในตารางที่นักเรียนออกแบบเอง • ตะเกียงแอลกอฮอล์ • สามขาและตะแกรงลวด
? 1. เมื่อน�าหลอดทดลองทั้งสองไปแช่ ในน�้าเดือดประมาณ 2-5 นาที มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไร 2. สารอาหารที่ตรวจพบในหลอดทดลองทั้งสองคือสารใด
2. แกสในลมหายใจ ในลมหายใจเข้าและลมหายใจออกจะประกอบด้วยแก๊สต่างๆ ในปริมาณต่างกัน การทดลองเรื่อง เปรียบเทียบปริมาณแกสคาร์บอนไดออกไซด์ ในลมหายใจเข้าและลมหายใจออก จุดประสงค์ : เพื่อศึกษาเปรียบเทียบปริมาณแกสคาร์บอนไดออกไซด์ ในลมหายใจเข้าและลมหายใจออก อุปกรณ์และสารเคมี
Çิ¸ีการทดลอ§
• ขวดแก้วรูปชมพู่ 2 ใบ 1 . ติดตั้งอุปกรณ์ส�าหรับทดลอง ประกอบด้วยขวดแก้วรูปชมพู่ 2 ใบ ซึ่ง แต่ละใบบรรจุสารละลายแคลเซียมไฮดรอกไซด์ปริมาณเท่ากัน ปิดปาก • จุกยางที่มีแท่งแก้ว ขวดด้วยจุกยางที่มีหลอดแก้วต่ออยู่ ดังภาพ เสียบอยู่ • สารละลาย 2. ให้นักเรียนใช้ปากอมหลอดแก้วบริเวณ E หายใจเข้า-ออกเบาๆ อากาศ แคลเซียมไฮดรอกไซด์ ที่นักเรียนหายใจเข้าจะผ่านทางหลอดแก้ว A เกิดฟองอากาศใน ขวดที่ 1 จากนั้นอากาศจะผ่านหลอดแก้ว B เข้าสู่ปาก ปริมาณแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์ ในอากาศจะถูกสารละลายแคลเซียมไฮดรอกไซด์ ดูดไว้ และเมื่อนักเรียนหายใจออก ลมหายใจออกจะผ่านหลอดแก้ว C ลงสูส่ ารละลายน�า้ ปูนใสในขวดที ่ 2 และออกสูภ่ ายนอกทางหลอดแก้ว D ซึ่งปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ในลมหายใจออกจะถูกสารละลาย แคลเซียมไฮดรอกไซด์ดูดไว้ ในขวดที่ 2 3. ท�าการทดลองตามข้อ 2. ประมาณ 2 นาที สังเกตและบันทึกผลลงใน ตารางที่นักเรียนออกแบบเอง
Àา¾ประกอบ
ลมหายใจเขากับลมหายใจออกตางกันอยางไร 1. ลมหายใจเขามีปริมาณแกสออกซิเจนนอยกวาลมหายใจออก 2. ลมหายใจเขาและลมหายใจออกมีปริมาณแกสตางๆ เทากัน 3. ลมหายใจออกมีปริมาณแกสคารบอนไดออกไซดมากกวาลมหายใจเขา 4. ลมหายใจออกมีปริมาณแกสคารบอนไดออกไซดนอ ยกวาลมหายใจเขา
วิเคราะหคําตอบ ปริมาณแกสตางๆ ในลมหายใจเขาและลมหายใจออก จะแตกตางกัน โดยลมหายใจเขาจะมีปริมาณแกสออกซิเจนมาก ปริมาณ แกสคารบอนไดออกไซดนอย แตในทางกลับกัน ลมหายใจออกจะมี ปริมาณแกสออกซิเจนนอย แตมีปริมาณแกสคารบอนไดออกไซดมาก ดังนั้น ตอบขอ 3.
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
Expand
ครูและนักเรียนทบทวนเนื้อหาเรื่อง ระบบ ยอยอาหาร โดยครูอาจใชคําถามที่เกี่ยวของกับ กิจกรรมสรางสรรคพัฒนาประจําหนวยการเรียนรู ที่ 1 ขอ 1. การยอยคารโบไฮเดรต • ภายในชองปากเกิดกระบวนการยอยอาหาร หรือไม อยางไร (แนวตอบ เกิดการยอย ทั้งการยอยเชิงกล โดยการเคี้ยว และการยอยเชิงเคมี โดยเอนไซมอะไมเลส (ยอยแปง)) • การทดสอบสารอาหารจําพวก คารโบไฮเดรต มีวิธีทดสอบอยางไร (แนวตอบ มี 2 วิธี คือ 1. ทดสอบแปง โดยหยดสารละลาย ไอโอดีนลงบนอาหาร หากเปลี่ยน เปนสีมวง แสดงวามีแปงอยู 2. ทดสอบนํ้าตาล โดยหยดสารละลาย เบเนดิกต แลวนําไปตม หากเกิด ตะกอนสีอิฐ แสดงวามีนํ้าตาลอยู) ใหนักเรียนทํากิจกรรมเรื่อง การยอย คารโบไฮเดรต บันทึกผลและตอบคําถาม หลังกิจกรรม จากนั้นใหนักเรียนทํากิจกรรมเรื่อง แกสใน ลมหายใจ บันทึกผลและตอบคําถามหลังกิจกรรม
E A
B
C
1
D
2
? 1. ตะกอนสีขาวขุ่นในขวดแก้วรูปชมพู่ที่สังเกตเห็นจากการทดลอง เกิดขึ้นได้อย่างไร จงอธิบาย 2. ปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ในลมหายใจเข้า และลมหายใจออก มีปริมาณเท่ากัน หรือต่างกันอย่างไร
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
Expand าใจ ขยายความเข
ขยายความเขาใจ
1
สรางสรรค์พัฒนาประจ�าหน่วยการเรียนรู้ที่
ขยายความเขาใจ
27
แนวตอบ กิจกรรมสรางสรรคพัฒนาประจําหนวยการเรียนรูที่ 1 1. การยอยคารโบไฮเดรต 1. หลอดทดลองที่ 1 ไมเกิดการเปลี่ยนแปลง หลอดทดลองที่ 2 เกิดตะกอนสีสม เหลือง หรือแดงอิฐ 2. สารอาหารในหลอดทดลองที่ 1 คือ แปง ซึ่งไมทําปฏิกิริยากับสารละลาย เบเนดิกต สารอาหารในหลอดทดลองที่ 2 คือ นํ้าตาล ซึ่งทําปฏิกิริยากับสารละลาย เบเนดิกต 2. แกสในลมหายใจ 1. ตะกอนสีขาวขุนเกิดจากปฏิกิริยาระหวางแกสคารบอนไดออกไซดกับ นํ้าปูนใส 2. ปริมาณแกสคารบอนไดออกไซดในลมหายใจเขาและลมหายใจออกมี ปริมาณตางกัน โดยลมหายใจเขาจะมีปริมาณแกสคารบอนไดออกไซดตํ่า แตลมหายใจออกจะมีแกสคารบอนไดออกไซดสูง คูมือครู
27
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
Engage
Explore
Explain
Expand
ตรวจสอบผล
Evaluate
ครูตั้งคําถามที่เชื่อมโยงกับขอความในสรุป ทบทวนประจําหนวยการเรียนรูที่ 1 เพื่อทดสอบ ความเขาใจของนักเรียน จากนั้นใหนักเรียนอาน สรุปทบทวนเพื่อชวยในการจดจําสาระสําคัญตางๆ ที่ไดเรียนมา
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู 1. ใบงานเรื่อง การยอยอาหาร 2. ใบงานเรือ่ ง การไหลเวียนเลือดในรางกายของ มนุษย 3. ใบงานเรื่อง วิธีการดูแลรักษาระบบหายใจให ทํางานไดอยางปกติ 4. แบบบันทึกผลการทํากิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 5. แบบบันทึกผลการทํากิจกรรมสรางสรรคพัฒนา ประจําหนวยการเรียนรูที่ 1
ตรวจสอบผล Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate
สรุปทบทวน
ประจ�าหน่วยการเรียนรู้ที่
1
■ การจัดระบบในร่างกายมนุษ ย์และสัตว์ แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่ ระดับเซลล์ ระดับเนื้อเยื่อ ระดับอวัยวะ และระดับระบบร่างกาย ซึ่งแต่ละระบบจะท�างานประสานสัมพันธ์กัน เพื่อให้มนุษย์และสัตว์สามารถ ด�ารงชีวิตอย่างเป็นปกติได้ ■ การย่อยอาหาร คือ การท�าให้อาหารที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่กลายเป็นสารอาหารที่มีโมเลกุลเล็กลง จนสามารถผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้ การย่อยอาหารแบ่งได้ 2 วิธี คือ การย่อยเชิงกล และการย่อยเชิงเคมี ■ ระบบย่อยอาหารของสัตว์ แบ่งออกได้ 3 กลุ่ม ได้แก่ การย่อยอาหารของสัตว์ที่ไม่มีทางเดินอาหาร เช่น ฟองน�้า เป็นต้น การย่อยอาหารของสัตว์ที่มีทางเดินอาหารไม่สมบูรณ์ เช่น ไฮดรา พลานาเรีย เป็นต้น และการ ย่อยอาหารของสัตว์ที่มีทางเดินอาหารสมบูรณ์ เช่น แมลง ปลา สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน�้านม เป็นต้น ■ ระบบย่อยอาหารของมนุษ ย์ ประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ ได้แก่ ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ล�าไส้เล็ก ตับ ตับอ่อน และล�าไส้ใหญ่ ซึ่งมีหน้าที่แตกต่างกัน ■ ระบบไหลเวียนเลือด แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ ระบบไหลเวียนเลือดแบบเปิด คือ เลือดที่ออกจาก หัวใจไม่ได้ไหลอยู่ในหลอดเลือดตลอด แต่บางช่วงไหลเข้าไปในช่องว่างของล�าตัว และระบบไหลเวียนเลือดแบบปิด คือ เลือดที่ออกจากหัวใจจะไหลผ่านหลอดเลือดตลอด ■ ระบบไหลเวียนเลือดของมนุษย์ ประกอบด้วยส่วนส�าคัญ ได้แก่ หัวใจ หลอดเลือด และเลือด ซึ่งระบบ ไหลเวียนเลือดมีหน้าที่ล�าเลียงสารอาหารที่ผ่านกระบวนการย่อยอาหารไปยังส่วนต่างๆ ทั่วร่างกาย และล�าเลียง ของเสียที่ร่างกายไม่ต้องการอีกด้วย ■ อวัยวะหายใจในสัตว์ สัตว์ต่างๆ มีอวัยวะในการหายใจต่างกัน เช่น ไฮดรา มีการแลกเปลี่ยนแก๊สผ่าน เยื่อหุ้มเซลล์โดยตรง แมลง ใช้ช่องเล็กๆ ข้างล�าตัวซึ่งติดกับท่อลม ปลา ใช้เหงือก เป็นต้น ■ อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับระบบหายใจของมนุษย์ เริ่มต้นที่ปากและจมูกไปสู่หลอดลมและเข้าสู่ปอด ซึ่งการ ผ่านเข้าออกของอากาศเป็นการท�างานร่วมกันของกล้ามเนื้อยึดกระดูกซี่โครงและกะบังลม ■ ระบบขับถ่ายของสัตว์ สัตว์แต่ละชนิดมีอวัยวะและกระบวนก�าจัดของเสียออกจากร่างกายแตกต่างกัน เช่น ฟองน�้า ก�าจัดของเสียโดยผ่านเยื่อหุ้มเซลล์โดยตรง พลานาเรีย ใช้เฟรมเซลล์ ไส้เดือนดิน ใช้เนฟริเดียม แมลง ใช้ท่อมัลพิเกียน ปลา ใช้ไต เป็นต้น ■ ระบบขับถ่ายของมนุษ ย์ มนุษย์มีการก�าจัดของเสียออกจากร่างกายได้หลายทาง ทั้งทางไตในรูปของ ปัสสาวะ ทางผิวหนังในรูปของเหงื่อ ทางปอดโดยการหายใจออก และทางล�าไส้ใหญ่ในรูปของอุจจาระ
28
เกร็ดแนะครู เมื่อจบการเรียนการสอนในหนวยการเรียนรูที่ 1 แลว ครูอาจใหนักเรียน เขียนสรุปเนื้อหาสาระสําคัญทั้งหมดที่ไดเรียนไปทั้งหนวยการเรียนรู ออกมาเปน แผนผังความคิดในรูปแบบที่เขาใจงายแลวนําสงครูผูสอน เพื่อใหครูไดตรวจสอบ ความเขาใจของนักเรียนอีกครั้งหนึ่ง และนักเรียนสามารถนําแผนผังความคิดนี้ไป ใชอานประกอบเพื่อเตรียมตัวสอบในเรื่องระบบยอยอาหาร ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบหายใจ และระบบขับถายของมนุษยและสัตวได
28
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ใหนักเรียนอธิบายความสัมพันธของระบบยอยอาหาร ระบบ ไหลเวียนเลือด ระบบหายใจ และระบบขับถาย มาพอสังเขป แนวตอบ ระบบยอยอาหารจะทําหนาที่ยอยอาหารที่เรารับประทาน เขาไปใหกลายเปนสารอาหารโมเลกุลเล็กที่สามารถถูกดูดซึมเขาสู กระแสเลือดได ซึ่งระบบไหลเวียนเลือดจะชวยลําเลียงสารอาหารไปยัง สวนตางๆ ของรางกาย สวนของเสียที่ไมสามารถยอยไดจะถูกสงไปยัง อวัยวะในระบบขับถาย ที่จะชวยกําจัดของเสียออกจากรางกาย ซึ่งนอกจากการลําเลียงสารอาหารแลว ระบบไหลเวียนเลือดยังมีความ สัมพันธกับระบบหายใจ โดยเลือดจะทําหนาที่ลําเลียงแกสตางๆ ไป แลกเปลี่ยนที่ถุงลม ซึ่งแกสคารบอนไดออกไซดและไอนํ้าที่เปนของเสีย จากกระบวนการหายใจจะถูกขับออกจากรางกาย โดยอาศัยการทํางาน ของระบบขับถายเชนกัน