8858649121349

Page 1

คูมือครู 㪌»ÃСͺ¡ÒÃÊ͹ËÇÁ¡Ñº

˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ©ºÑº ÍÞ.

ภาพปกนี้มีขนาดเทากับหนังสือเรียนฉบับจริงของนักเรียน

กระบวนการสอนแบบ 5 Es ชวยสรางทักษะการเรียนรู กิจกรรมมุงพัฒนาทักษะการคิด คำถาม + แนวขอสอบเพื่อยกผลสัมฤทธิ์ O - NET กิจกรรมบูรณาการเตรียมพรอมสู ASEAN 2558


เอกสารประกอบคูมือครู

กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร

วิทยาศาสตร เลม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปที่

2

สําหรับครู

คูมือครู Version ใหม

ลักษณะเดน

ขยายพื้นที่รูปเลมใหญขึ้นกวาเดิม จัดแบงพื้นที่ออกเปนโซน เพื่อคนหาขอมูลไดงาย สะดวก รวดเร็ว และดูเปนระเบียบ กระตุน ความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ Expand

ตรวจสอบผล

กระตุน ความสนใจ

Evaluate

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ Expand

ตรวจสอบผล Evaluate

เปาหมายการเรียนรู สมรรถนะของผูเรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค

หน า

โซน 1 กระตุน ความสนใจ

Engage

สํารวจคนหา

Explore

อธิบายความรู

Explain

ขยายความเขาใจ

Expand

ตรวจสอบผล

หน า

หนั ง สื อ เรี ย น

โซน 1

หนั ง สื อ เรี ย น

Evaluate

ขอสอบเนน การคิด

แนว  NT  O-NE T

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

O-NET บูรณาการเชื่อมสาระ

เกร็ดแนะครู

ขอสอบ

โซน 2

โซน 3

กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย

นักเรียนควรรู

โซน 3

โซน 2 บูรณาการอาเซียน มุม IT

No.

คูมือครู

คูมือครู

No.

โซน 1 ขั้นตอนการสอนแบบ 5Es

โซน 2 ชวยครูเตรียมสอน

โซน 3 ชวยครูเตรียมนักเรียน

เพื่อใหครูเตรียมจัดกิจกรรมการเรียน การสอน โดยแนะนําขั้นตอนการสอนและ การจัดกิจกรรมแบบ 5Es อยางละเอียด เพื่อใหนักเรียนบรรลุตามตัวชี้วัด

เพื่อชวยลดภาระครูผูสอน โดยแนะนํา เกร็ดความรูสําหรับครู ความรูเสริมสําหรับ นักเรียน รวมทั้งบูรณาการความรูสูอาเซียน และมุม IT

เพื่อใหครูสะดวกตอการจัดกิจกรรม โดย แนะนํากิจกรรมบูรณาการเชือ่ มระหวางสาระหรือ กลุมสาระการเรียนรู วิชา กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย รวมถึงเนื้อหาที่เคยออกขอสอบ O-NET แนวขอสอบ O-NET ที่เนนการคิด พรอมเฉลยและคําอธิบายอยางละเอียด


ที่ใชในคูมือครู

แถบสีและสัญลักษณ

แถบสีแสดงขั้นตอนการสอนและการจัดกิจกรรม แบบ 5Es เพื่อใหครูทราบวาเปนขั้นการสอนขั้นใด

1. แถบสี 5Es สีแดง

สีเขียว

กระตุน ความสนใจ

เสร�ม

สํารวจคนหา

Engage

2

เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใช เทคนิคกระตุน ความสนใจ เพื่อโยง เขาสูบทเรียน

สีสม

อธิบายความรู

Explore

เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนสํารวจ ปญหา และศึกษา ขอมูล

สีฟา

Explain

เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนคนหา คําตอบ จนเกิดความรู เชิงประจักษ

สีมวง

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนนําความรู ไปคิดคนตอๆ ไป

เปนขั้นที่ผูสอน ประเมินมโนทัศน ของผูเรียน

2. สัญลักษณ สัญลักษณ

วัตถุประสงค

• เปาหมายการเรียนรู

• หลักฐานแสดง ผลการเรียนรู

• เกร็ดแนะครู

แทรกความรูเสริมสําหรับครู ขอเสนอแนะ ขอควรระวัง ขอสังเกต แนวทางการจัด กิจกรรมและอืน่ ๆ เพื่อประโยชนในการ จัดการเรียนการสอน ขยายความรูเพิ่มเติมจากเนื้อหา เพื่อให ครูนําไปใชอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียน ไดมีความรูมากขึ้น

ความรูห รือกิจกรรมเสริม ใหครูนาํ ไปใช เตรียมความพรอมใหกบั นักเรียนกอนเขาสู ประชาคมอาเซียนใน พ.ศ. 2558 โดย บูรณาการกับวิชาทีก่ าํ ลังเรียน

บูรณาการอาเซียน

คูม อื ครู

แสดงรองรอยหลักฐานตามภาระงาน ที่ครูมอบหมาย เพื่อแสดงผลการเรียนรู ตามตัวชี้วัด

• นักเรียนควรรู

มุม IT

แสดงเปาหมายการเรียนรูที่นักเรียน ตองบรรลุตามตัวชี้วัด ตลอดจนสมรรถนะ ที่จะตองมี และคุณลักษณะที่พึงเกิดขึ้น กับนักเรียน

แนะนําแหลงคนควาจากเว็บไซต เพื่อให ครูและนักเรียนไดเขาถึงขอมูลความรู ที่หลากหลาย ทั้งไทยและตางประเทศ

สัญลักษณ

ขอสอบ

วัตถุประสงค

O-NET

(เฉพาะวิชา ชัน้ ทีส่ อบ O-NET O-NET)

• ชีแ้ นะเนือ้ หาทีเ่ คยออกขอสอบ

O-NET โดยยกตัวอยางขอสอบ พรอมวิเคราะหคาํ ตอบ อยางละเอียด

• เปนตัวอยางขอสอบทีม่ งุ เนน แนว  NT  O-NE T (เฉพาะระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนตน)

แนว

O-NET

(เฉพาะระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนปลาย)

บูรณาการเชื่อมสาระ

กิจกรรมสรางเสริม

การคิดและเปนแนวขอสอบ NT/O-NET ในระดับมัธยมศึกษา ตอนตน มีทงั้ ปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลยอยางละเอียด

• เปนตัวอยางขอสอบทีม่ งุ เนน

การคิดและเปนแนวขอสอบ O-NET ในระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย มีทงั้ ปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลยอยางละเอียด

• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม

เชือ่ มกับสาระหรือกลุม สาระ การเรียนรู ระดับชัน้ หรือวิชาอืน่ ทีเ่ กีย่ วของ

• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม ซอมเสริมสําหรับนักเรียนทีค่ วร ไดรบั การพัฒนาการเรียนรู

• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม กิจกรรมทาทาย

ตอยอดสําหรับนักเรียนทีเ่ รียนรู ไดอยางรวดเร็ว และตองการ ทาทายความสามารถในระดับ ทีส่ งู ขึน้


คําแนะนําการใชคูมือครู การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอน คูม อื ครู รายวิชา วิทยาศาสตร ม.2 เลม 1 จัดทําขึน้ เพือ่ ใหครูผสู อนนําไปใชเปนแนวทางวางแผนการสอนเพือ่ พัฒนา ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน และประกันคุณภาพผูเ รียน ตามนโยบายของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน (สพฐ.) โดยใชหนังสือเรียน วิทยาศาสตร ม.2 เลม 1 ของบริษทั อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด เปนสือ่ หลัก (Core Material) ประกอบ เสร�ม การสอนและการจัดกิจกรรมการเรียนรูใหสอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดกลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร 3 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พ.ศ. 2551 โดยออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนตามหลักการสําคัญ ดังนี้ 1 ออกแบบการสอนเปนหนวยการเรียนรูอิงมาตรฐาน คูม อื ครู รายวิชา วิทยาศาสตร ม.2 เลม 1 วางแผนการสอนโดยแบงเปนหนวยการเรียนรูต ามลําดับสาระ (strand) และ หมายเลขขอของมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั แตละหนวยจะกําหนดเปาหมายการเรียนรูแ ละจุดประสงคการเรียนรู (Objective Learning) กิจกรรมการเรียนรู (Learning Activities) และแนวทางการประเมินผลการเรียนรู (Learning Evaluation) ไวชัดเจน ครูผูสอนสามารถจัดทําแผนการสอนใหครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัด สมรรถนะ และคุณลักษณะ อันพึงประสงคที่เปนเปาหมายการเรียนรูตามที่กําหนดไวในสาระแกนกลาง (ตามแผนภูมิ) และสามารถบันทึกผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของผูเรียนแตละคนลงในเอกสาร ปพ.5 ไดอยางมั่นใจ แผนภูมิแสดงความสัมพันธขององคประกอบการออกแบบการเรียนรูอิงมาตรฐานและเนนผูเรียนเปนสําคัญ

พผ

ูเ

จุ ด ป ร

ะสง

คก า

ส ภา

รี ย น

รู ีเรยน

มาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัดชั้นป

ทักษะการคิด การวัดประเมินผล การเรียนรู

กิจกรรมการเรียนรู

เทคนิคการสอน คูม อื ครู


2 การจัดการเรียนรูที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ แนวคิ ด ในการจั ด การเรี ย นการสอนที่ ยึ ด ผู  เ รี ย นเป น สํ า คั ญ พั ฒ นามาจากปรั ช ญาและทฤษฎี ก ารเรี ย นรู  Constructivism ที่เชื่อวา การเรียนรูเปนกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในสมองของผูเรียนแตละคน ผูเรียนเปนผูสรางความรู โดยการเชื่อมโยงระหวางสิ่งที่ไดเรียนรูจากบทเรียนใหมกับความรูหรือประสบการณเดิมที่มีอยู ทฤษฎีนี้มีความเชื่อวา ผูเรียนทุกคนไดเรียนรูและมีการสั่งสมความรูความเขาใจเกี่ยวกับสิ่งตางๆ ติดตัวมากอน ทีจ่ ะเขาสูห อ งเรียน ซึง่ เปนการเรียนรูท เี่ กิดจากประสบการณและสิง่ แวดลอมรอบตัวผูเ รียนแตละคน ดังนัน้ การจัดกิจกรรม เสร�ม การเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ผูสอนจะตองคํานึงถึง

4

1. ความรูเดิมของผูเรียน วิธีการสอนที่ดีจะตองเริ่มตนจากจุดที่วา ผูเ รียนมีความรูอ ะไรมาบาง แลวจึงใหความรู หรือประสบการณใหม เพื่อตอยอดจาก ความรูเดิม นําไปสูการสรางความรู ความเขาใจใหม

2. ความรูเดิมของผูเรียนถูกตองหรือไม ผูส อนตองปรับเปลีย่ นความรูค วามเขาใจเดิม ของผูเรียนใหถูกตอง และเปนพฤติกรรม การเรียนรูใ หมทมี่ คี ณุ คาตอผูเรียน เพื่อสราง เจตคติหรือทัศนคติที่ดีตอการเรียนรู สิ่งเหลานั้น

3. ผูเรียนสรางความหมายสําหรับตนเอง ผูสอนตองสงเสริมใหผูเรียนนําความรู ความเขาใจที่เกิดขึ้นไปลงมือปฏิบัติ เพื่อขยายความรูใหลึกซึ้งและมีคุณคา ตอตัวผูเรียนมากที่สุด

แนวคิด Constructivism เนนใหผูเรียนสรางความรูโดยผานกระบวนการคิดและความอยากรูของตนเอง โดยมีผูสอนเปนผูสรางบรรยากาศ

การเรียนรูและกระตุนความสนใจ คอยจัดสถานการณใหผูเรียนเกิดความขัดแยงทางความคิดระหวางประสบการณเดิมกับประสบการณ ความรูใ หม เพือ่ กระตนุ ใหผเู รียนเชือ่ มโยงความรู ความคิด กับประสบการณทมี่ อี ยูเ ดิม แลวสังเคราะหเปนความรูห รือแนวคิดใหมๆ ไดดว ยตนเอง

3 การบูรณาการกระบวนการคิด การเรียนรูของผูเรียนแตละคนจะเกิดขึ้นที่สมอง ซึ่งเปนอวัยวะที่ทําหนาที่รูคิดภายใตสภาพแวดลอมที่เอื้ออํานวย และไดรบั การกระตนุ จูงใจอยางเหมาะสม สอดคลองกับสภาพจิตใจและความตองการของผูเ รียนแตละคน การจัดกิจกรรม การเรียนรูและสาระการเรียนรูที่สอดคลองกับความสนใจและมีความหมายตอผูเรียน จะชวยกระตุนใหสมองของผูเรียน สามารถรับรูและเรียนรูไดอยางมีประสิทธิภาพตามขั้นตอนการทํางานของสมอง ดังนี้ 1. สมองจะเรียนรูและสืบคน โดยการสังเกต คนหา ซักถาม และทดลอง ปฏิบัติ จนทําใหคนพบความรูความเขาใจ ไดอยางรวดเร็ว

2. สมองจะแยกแยะคุณคาของสิ่งตางๆ โดยการตัดสินใจวิพากษวิจารณ แสดง ความคิดเห็น ยอมรับหรือตอตานตาม อารมณความรูสึกที่เกิดขึ้นในขณะที่เรียนรู

3. สมองจะประมวลเนื้อหาสาระ โดยการสรุปเปนความคิดรวบยอดจาก เรื่องราวที่ไดเรียนรูใหมนําไปผสมผสานกับ ความรูห รือประสบการณเดิมทีถ่ กู จัดเก็บอยูใ น สมอง ผานการกลัน่ กรองเพือ่ สังเคราะหเปน ความรูค วามเขาใจใหมๆ หรือเปนทัศนคติใหม ที่จะเก็บบรรจุไวในสมองของผูเรียน

การเรียนรูที่มีประสิทธิภาพจึงตองเปนการเรียนรูที่เกิดจากกระบวนการคิดของผูเรียน เพราะการเรียนรูจะเกิดขึ้น เมื่อสมองรูคิด และตองเปนการคิดไดครบถวนตามขั้นตอนการทํางานของสมองผูเรียน โดยเริ่มตนจาก 1. ระดับการคิดพื้นฐาน ไดแก การสังเกต การจําแนก การคาดคะเน การสื่อความหมาย การรวบรวมขอมูล การสรุปผล เปนตน

คูม อื ครู

2. ระดับลักษณะการคิด ไดแก การคิดกวาง คิดลึกซึ้ง คิดไกล คิดหลากหลาย คิดคลอง คิดอยางมีเหตุผล เปนตน

3. ระดับกระบวนการคิด ไดแก กระบวนการคิดอยางมีวิจารณญาณ กระบวนการแกปญหา กระบวนการ คิดสรางสรรค กระบวนการคิดสังเคราะห เปนตน


5Es การจัดกิจกรรมตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ขั้นตอนการสอนที่สัมพันธกับขั้นตอนการคิดและการทํางานทางสมองของผูเรียนที่นิยมใชอยางแพรหลาย คือ วัฏจักรการเรียนรู 5Es ซึ่งผูจัดทําคูมือครูไดนํามาใชเปนแนวทางออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในแตละหนวย ตามลําดับขั้นตอนการเรียนรู ดังนี้ ขั้นที่ 1

กระตุนความสนใจ

(Engage)

เสร�ม

5

เปนขั้นที่ผูสอนนําเขาสูบทเรียน เพื่อกระตุนความสนใจของผูเรียนดวยเรื่องราวหรือเหตุการณที่นาสนใจโดยใชเทคนิควิธีการ และคําถามทบทวนความรูหรือประสบการณเดิมของผูเรียน เพื่อเชื่อมโยงผูเรียนเขาสูความรูของบทเรียนใหม ชวยใหผูเรียนสามารถ สรุปความสําคัญหัวขอและสาระการเรียนรูของบทเรียนได จึงเปนขั้นตอนการสอนที่สําคัญ เพราะเปนการเตรียมความพรอมและสราง แรงจูงใจใฝเรียนรูแกผูเรียน

ขั้นที่ 2

สํารวจคนหา

(Explore)

เปนขัน้ ทีผ่ สู อนเปดโอกาสใหผเู รียนลงมือศึกษา สังเกต หรือรวมมือกันสํารวจ เพือ่ ใหเห็นขอบขายของประเด็นหรือปญหา รวมถึง วิธีการศึกษาคนควา การรวบรวมขอมูลความรูที่จะนําไปสูการสรางความเขาใจประเด็นหรือปญหานั้นๆ เมื่อผูเรียนทําความเขาใจใน ประเด็นหรือปญหาที่จะศึกษาคนควาอยางถองแทแลว ก็ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมขอมูลความรู สํารวจตรวจสอบ โดยวิธีการตางๆ เชน สัมภาษณ ทดลอง อานคนควาขอมูลจากเอกสาร แหลงขอมูลตางๆ จนไดขอมูลความรูที่เกี่ยวของกับประเด็นหรือปญหาที่ศึกษา

ขั้นที่ 3

อธิบายความรู

(Explain)

เปนขั้นที่ผูสอนมีปฏิสัมพันธกับผูเรียน เชน ใหการแนะนํา ตั้งคําถามกระตุนใหคิด เพื่อใหผูเรียนคนหาคําตอบ และนําขอมูล ความรูจากการศึกษาคนควาในขั้นที่ 2 มาวิเคราะห สรุปผล และนําเสนอผลที่ไดศึกษาคนความาในรูปแบบสารสนเทศตางๆ เชน เขียนแผนภูมิ ผังมโนทัศน เขียนความเรียง เขียนรายงาน เปนตน ในขั้นตอนนี้ฝกใหผูเรียนใชสมองคิดวิเคราะหและสังเคราะห อยางเปนระบบ

ขั้นที่ 4

ขยายความเขาใจ

(Expand)

เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใชเทคนิควิธีสอนตางๆ ที่สงเสริมใหผูเรียนนําความรูที่เกิดขึ้นไปคิดคนสืบคนตอๆ ไป เพื่อพัฒนาทักษะ การเรียนรูและการทํางานรวมกันเปนกลุม ระดมสมองเพื่อคิดสรางสรรครวมกัน ผูเรียนสามารถนําความรูที่สรางขึ้นใหมไปเชื่อมโยง กับประสบการณเดิมโดยนําขอสรุปทีไ่ ดไปใชอธิบายเหตุการณตา งๆ หรือนําไปปฏิบตั ใิ นสถานการณใหมๆ ทีเ่ กีย่ วของกับชีวติ ประจําวัน ของตนเอง เพื่อขยายความรูความเขาใจใหกวางขวางยิ่งขึ้น ในขั้นตอนนี้ฝกสมองของผูเรียนใหสามารถคิดริเริ่มสรางสรรคอยางมี คุณภาพ เสริมสรางวิสัยทัศนใหกวางไกลออกไป

ขั้นที่ 5

ตรวจสอบผล

(Evaluate)

เปนขัน้ ทีผ่ สู อนประเมินมโนทัศนของผูเ รียน โดยตรวจสอบจากความคิดทีเ่ ปลีย่ นไปและความคิดรวบยอดทีเ่ กิดขึน้ ใหม ตรวจสอบ ทักษะ กระบวนการปฏิบัติ การแกปญหา การตอบคําถามรวบยอด หรือการเคารพความคิดหรือยอมรับเหตุผลของคนอื่น เพื่อการ สรางสรรคความรูร ว มกัน ผูเ รียนสามารถประเมินผลการเรียนรูข องตนเอง เพือ่ สรุปผลวามีความรูอ ะไรเพิม่ ขึน้ มาบาง เกิดความเขาใจ มากนอยเพียงใด และจะนําความรูเหลานั้นไปประยุกตใชในการเรียนรูเรื่องอื่นๆ หรือในชีวิตประจําวันไดอยางไร ผูเรียนจะเกิดเจตคติ และเห็นคุณคาของตนเองจากผลการเรียนรูที่เกิดขึ้น ซึ่งเปนการเรียนรูที่มีความสุขอยางแทจริง

การจัดกิจกรรมการเรียนรูตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es จึงเปนรูปแบบการเรียนการสอนที่เนนผูเรียน เปนสําคัญอยางแทจริง เพราะสงเสริมใหผูเรียนไดเรียนรูตามขั้นตอนของกระบวนการสรางความรูดวยตนเอง และ ฝกฝนใหใชกระบวนการคิดและกระบวนการกลุมอยางชํานาญ กอใหเกิดทักษะชีวิต ทักษะการทํางาน และทักษะการ เรียนรูที่มีประสิทธิภาพ สงผลตอการยกระดับผลสัมฤทธิ์ของผูเรียน ตามเปาหมายของการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) ทุกประการ คูม อื ครู


O-NET การเพิ่มผลสัมฤทธิ์ O-NET

การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ในแตละหนวยการเรียนรู ทางผูจัดทํา จะเสนอแนะวิธีสอน รูปแบบกิจกรรมการเรียนรู พรอมทั้งออกแบบเครื่องมือวัดและประเมินผลที่สอดคลองกับตัวชี้วัด และสาระการเรียนรูแกนกลางไวทุกขั้นตอน โดยยึดหลักสําคัญ คือ หลักของการวัดและประเมินผล เสร�ม

6

1. การวัดและประเมินผลทุกครั้ง ควรนําผลมาปรับปรุงพัฒนาผูเรียน เปนรายบุคคล

2. การวัดและประเมินผลมี เปาหมาย เพื่อพัฒนาการเรียนรู ของผูเรียนจนเต็มศักยภาพ

3. การนําผลการวัดและประเมินผล ทุกครั้งมาวางแผนปรับปรุงกิจกรรม การเรียนการสอน การเลือกเทคนิค วิธีสอน และสื่อการเรียนรูให เหมาะสมกับสภาพจริงของผูเรียน

การทดสอบผูเรียน 1. การใชขอสอบอัตนัย เนนการอาน การคิดวิเคราะห และการเขียนเพิ่มมากขึ้น 2. การใชคําถามกระตุนการคิดควบคูกับการทําขอสอบที่เนนการคิดอยางตอเนื่องตามลําดับกิจกรรมการเรียนรู และตัวชี้วัด 3. การทดสอบตองดําเนินการทั้งกอนเรียน ระหวางเรียน และหลังเรียน การทดสอบควรใชขอสอบทั้งชนิดปรนัยและ อัตนัย และเปนการทดสอบเพื่อประเมินผลการเรียนของผูเรียนแตละคน เพื่อการสอนซอมเสริมใหบรรลุตัวชี้วัด ไดครบถวน 4. การสอบกลางภาค (ถามี) ควรนําแบบฝกหัดหรือขอสอบทีน่ กั เรียนสวนใหญไมสามารถตอบไดหรือไมครบถวนชัดเจน มา สรางเปนแบบทดสอบอีกครัง้ เพือ่ ตรวจสอบความรูค วามเขาใจทีถ่ กู ตอง และประเมินความกาวหนาของผูเ รียนแตละคน 5. การสอบปลายภาคเรียนเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามตัวชี้วัดที่สําคัญ ควรออกขอสอบใหมีลักษณะเดียวกับ ขอสอบ O-NET โดยเนนการคิดวิเคราะห สังเคราะห เชื่อมโยงประยุกตใช เพื่อสรางความคุนเคย และฝกฝน วิธีการทําขอสอบดวยความมั่นใจ 6. การนําผลการทดสอบของผูเรียนมาวิเคราะห โดยผลการสอบกอนการเรียนตองสามารถพยากรณผลการสอบ กลางภาค และผลการสอบกลางภาคตองทํานายผลการสอบปลายภาคของผูเ รียนแตละคน เพือ่ ประเมินพัฒนาการ ความกาวหนาของผูเรียนเปนรายบุคคล 7. ผลการทดสอบปลายป ปลายภาค ตองมีคาเฉลี่ยสอดคลองกับคาเฉลี่ยของการสอบ NT ที่เขตพื้นที่การศึกษา จัดสอบ รวมทั้งคาเฉลี่ยของการสอบ O-NET ชวงชั้นที่สอดคลองครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดสําคัญ เพือ่ สะทอนประสิทธิภาพของครูผสู อนในการออกแบบการเรียนรูแ ละประกันคุณภาพผูเ รียนทีต่ รวจสอบผลไดชดั เจน การจัดการเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ตองใหผูเรียนไดสั่งสมความรู ความเขาใจตามลําดับขั้นตอน ของกิจกรรมในวัฏจักรการเรียนรู 5Es เพื่อใหผูเรียนไดเติมเต็มองคความรูอยางตอเนื่อง จนสามารถปฏิบัติชิ้นงานหรือ ภาระงานรวบยอดของแตละหนวย ผานเกณฑประกันคุณภาพในระดับที่นาพึงพอใจ เพื่อรองรับการประเมินภายนอกจาก สมศ. ตลอดเวลา คูม อื ครู


ASEAN การเรียนรูสูประชาคมอาเซียน เพื่ออํานวยความสะดวกแกครูผูสอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรูบูรณาการอาเซียนศึกษา ผูจัดทําไดวิเคราะห มาตรฐานการเรียนรู และตัวชี้วัดที่มีสาระการเรียนรูสอดคลองกับองคความรูเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนในแงมุมตางๆ ครอบคลุมทัง้ ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรม อาเซียน เพื่อสงเสริมการเรียนรูใหผูเรียนเกิดความตระหนัก มีความรูความเขาใจเหมาะสมกับระดับชั้นและกลุมสาระ การเรียนรู โดยเสนอแนะวิธีการจัดกิจกรรมบูรณาการเนื้อหาสาระตางๆ ที่เปนประโยชนตอผูเรียนและเปนการชวย เตรียมความพรอมผูเ รียนทุกคนทีจ่ ะกาวเขาสูก ารเปนสมาชิกของประชาคมอาเซียนไดอยางมัน่ ใจตามขอตกลงปฏิญญา เสร�ม ชะอํา-หัวหิน วาดวยความรวมมือดานการศึกษาเพือ่ บรรลุเปาหมายประชาคมอาเซียนทีเ่ อือ้ อาทรและแบงปน จึงกําหนด 7 เปนนโยบายใหกระทรวงศึกษาธิการจัดการเรียนรูเตรียมความพรอมผูเรียนเขาสูประชาคมอาเซียนภายในป พ.ศ. 2558 ตามแนวปฏิบัติที่สําคัญ ดังนี้

การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน 1. การสรางความรูความเขาใจ และตระหนักถึงความสําคัญของ กฎบัตรอาเซียน และความรวมมือ ของ 3 เสาหลัก ซึง่ กฎบัตรอาเซียน ในขณะนี้มีสถานะเปนกฎหมายที่ ประเทศสมาชิกจะตองปฏิบัติตาม หลักการที่กําหนดไวเพื่อใหบรรลุ เปาหมายของกฎบัตรมาตราตางๆ

2. การสงเสริมหลักการ ประชาธิปไตยและการสราง สิ่งแวดลอมประชาธิปไตย เพื่อการอยูรวมกันอยางกลมกลืน ภายใตวิถีชีวิตอาเซียนที่มีความ หลากหลายดานสังคมและ วัฒนธรรม

4. การตระหนักในคุณคาของ สายสัมพันธทางประวัติศาสตร และมรดกทางวัฒนธรรมที่มี พัฒนาการรวมกัน เพื่อเชื่อม อัตลักษณและสรางจิตสํานึก ในการเปนประชากรของประชาคม อาเซียนรวมกัน

3. การสงเสริมการศึกษาดาน สิทธิมนุษยชน เพื่อสรางประชาคม อาเซียนใหเปนประชาคมเพื่อ ประชาชนอยางแทจริง สามารถ อยูรวมกันไดบนพื้นฐานการเคารพ ในคุณคาของศักดิ์ศรีแหงความ เปนมนุษยเทาเทียมกัน

5. การสงเสริมสันติภาพ ความ มั่นคง และความปรองดองในสังคม ทั้งระดับประเทศและภูมิภาคของ อาเซียนบนพื้นฐานสันติวิธีและการ อยูรวมกันดวยขันติธรรม

คูม อื ครู


การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

เสร�ม

8

1. การพัฒนาทักษะการทํางาน เพื่อเสริมสรางผูเรียนใหมีทักษะ วิชาชีพที่จําเปนสอดคลองกับ ความตองการของตลาดแรงงาน และสถานประกอบการในอาเซียน สามารถเทียบโอนผลการเรียน และการทํางานตามมาตรฐานฝมือ แรงงานในภูมิภาคอาเซียน

2. การเสริมสรางวินัย ความรับผิดชอบ และเจตคติรักการทํางาน สามารถพึ่งพาตนเอง มีทักษะชีวิต ดํารงชีวิตอยางมีความสุข เห็นคุณคา และภูมิใจในตนเอง ในฐานะที่เปนพลเมืองไทยและ อาเซียน

3. การเรียนรูเพื่อพัฒนาตนเอง อยางตอเนื่องตลอดชีวิต ใหมี ทักษะการทํางานตามมาตรฐาน อาชีพ และคุณวุฒิของวิชาชีพสาขา ตางๆ เพื่อรองรับการเตรียมเคลื่อน ยายแรงงานมีฝมือและการเปน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่ เขมแข็ง เพื่อสรางขีดความสามารถ ในการแขงขันในเวทีโลก

การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน 1. การเสริมสรางความรวมมือ ในลักษณะสังคมที่เอื้ออาทร ของประชากรอาเซียน โดยยึด หลักการสําคัญ คือ ความงดงาม ของประชาคมอาเซียนมาจาก ความแตกตางและหลากหลายทาง วัฒนธรรมที่ลวนแตมีคุณคาตอ มรดกทางวัฒนธรรมของอาเซียน ซึ่งประชาชนทุกคนตองอนุรักษ สืบสานใหยั่งยืน

2. การเสริมสรางคุณลักษณะ ของผูเรียนใหเปนพลเมืองอาเซียน ที่มีศักยภาพในการกาวเขาสู ประชาคมอาเซียนอยางมั่นใจ เปนผูที่มีสุขภาพสมบูรณแข็งแรง มีทักษะการสื่อสาร ทักษะการ ทํางาน ทักษะทางสังคม สามารถ ทํางานรวมกับผูอื่นไดอยาง สรางสรรค และมีองคความรู เกี่ยวกับอาเซียนที่จําเปนตอการ ดํารงชีวิตอยางมีคุณภาพ

4. การสงเสริมการเรียนรูดาน ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถชี วี ติ ความเปนอยูข องเพือ่ นบาน ในอาเซียน เพื่อสรางจิตสํานึกของ ความเปนประชาคมอาเซียนและ ตระหนักถึงหนาที่ของการเปน พลเมืองอาเซียนรวมกัน

3. การสงเสริมการเรียนรูภาษา อังกฤษเพื่อการสื่อสารและการ ทํางานตามมาตรฐานอาชีพที่ กําหนดและสนับสนุนการเรียนรู ภาษาอาเซียนและภาษาเพื่อนบาน เพื่อชวยเสริมสรางสัมพันธภาพทาง สังคม และการอยูรวมกันอยางสันติ ทามกลางความหลากหลายทาง วัฒนธรรม

5. การสรางความรูและความ ตระหนักเกี่ยวกับดานสิ่งแวดลอม ปญหาและผลกระทบตอคุณภาพ ชีวิตของประชากรในภูมิภาค รวมทั้งแนวทางการพัฒนาอยาง ยั่งยืน ใหเปนมรดกสืบทอดแก พลเมืองอาเซียนในรุนหลังตอๆ ไป

กระทรวงศึกษาธิการจึงประกาศนโยบายการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) เพื่อเรงพัฒนาเด็ก และเยาวชนไทยใหเปนทรัพยากรมนุษยของชาติที่มีทักษะและความชํานาญ พรอมเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและ การแขงขันทั้งในภูมิภาคอาเซียนและภูมิภาคอื่นๆ ของสังคมโลก ทั้งนี้ผูบริหารสถานศึกษา ครูผูสอน และผูปกครอง ควรรวมมือกันอยางใกลชิดในการดูแลชวยเหลือผูเรียนและจัดประสบการณการเรียนรูเพื่อพัฒนาผูเรียนจนเต็มศักยภาพ เพื่อกาวเขาสูการเปนพลเมืองอาเซียนอยางมีเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีความเปนมนุษยของตน คณะผูจัดทํา คูม อื ครู


ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง สาระที่ 1

วิทยาศาสตร (เฉพาะชั้น ม.2)*

สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดํารงชีวิต

มาตรฐาน ว 1.1 เขาใจหนวยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต ความสัมพันธของโครงสราง และหนาที่ของระบบตางๆ ของสิ่งมีชีวิต ที่ทํางานสัมพันธกัน มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู สื่อสารสิ่งที่เรียนรู และนําความรูไปใชในการ ดํารงชีวิตของตนเองและดูแลสิ่งมีชีวิต ชั้น

ตัวชี้วัด

สาระการเรียนรูแกนกลาง

หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน

ม.2

1. อธิบายโครงสรางและการทํางาน ของระบบยอยอาหาร ระบบ หมุนเวียนเลือด ระบบหายใจ ระบบขับถาย ระบบสืบพันธุของ มนุษยและสัตว รวมทั้งระบบ ประสาทของมนุษย

• ระบบยอยอาหาร ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบหายใจ ระบบ • หนวยการเรียนรูที่ 1 ขับถาย ระบบสืบพันธุ และระบบประสาทของมนุษย ในแตละ ระบบรางกายมนุษยและสัตว ระบบประกอบดวยอวัยวะหลายชนิดทีท่ าํ งานอยางเปนระบบ (ตอนที่ 1) • ระบบย อ ยอาหาร ระบบหมุ น เวี ย นเลื อ ด ระบบหายใจ • หนวยการเรียนรูที่ 2 ระบบขับถาย ระบบสืบพันธุของสัตว ประกอบดวยอวัยวะ ระบบรางกายมนุษยและสัตว หลายชนิดที่ทํางานอยางเปนระบบ (ตอนที่ 2)

2. อธิบายความสัมพันธของ ระบบตางๆ ของมนุษยและนํา ความรูไปใชประโยชน

• ระบบยอยอาหาร ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบหายใจ • หนวยการเรียนรูที่ 1 ระบบขับถาย ระบบสืบพันธุของมนุษย ในแตละระบบมีการ ระบบรางกายมนุษยและสัตว ทํางานที่สัมพันธกันทําใหมนุษยดํารงชีวิตอยูไดอยางปกติ (ตอนที่ 1) ถาระบบใดระบบหนึ่งทํางานผิดปกติ ยอมสงผลกระทบตอ • หนวยการเรียนรูที่ 2 ระบบอื่นๆ ดังนั้นจึงตองมีการดูแลรักษาสุขภาพ ระบบรางกายมนุษยและสัตว (ตอนที่ 2)

3. สังเกตและอธิบายพฤติกรรมของ มนุษยและสัตวที่ตอบสนองตอ สิ่งเราภายนอกและภายใน

• แสง อุ ณ หภู มิ และการสั ม ผั ส จั ด เป น สิ่ ง เร า ภายนอก • หนวยการเรียนรูที่ 2 สวนการเปลี่ยนแปลงระดับสารในรางกาย เชน ฮอรโมน ระบบรางกายมนุษยและสัตว จัดเปนสิ่งเราภายใน ซึ่งทั้งสิ่งเราภายนอกและสิ่งเราภายใน (ตอนที่ 2) มีผลตอมนุษยและสัตว ทําใหแสดงพฤติกรรมตางๆ ออกมา

4. อธิบายหลักการและผลของ การใชเทคโนโลยีชีวภาพ ในการขยายพันธุ ปรับปรุงพันธุ และเพิ่มผลผลิตของสัตว และนํา ความรูไปใชประโยชน

• เทคโนโลยีชีวภาพเปนการใชเทคโนโลยีเพื่อทําใหสิ่งมีชีวิต • หนวยการเรียนรูที่ 2 หรือองคประกอบของสิ่งมีชีวิตมีสมบัติตามตองการ ระบบรางกายมนุษยและสัตว • การผสมเทียม การถายฝากตัวออน การโคลน เปนการใช (ตอนที่ 2) เทคโนโลยีชีวภาพในการขยายพันธุ ปรับปรุงพันธุ และเพิ่ม ผลผลิตของสัตว

5. ทดลอง วิเคราะห และอธิบาย สารอาหารในอาหารมีปริมาณ พลังงานและสัดสวนที่เหมาะสม กับเพศและวัย

• แปง นํ้าตาล ไขมัน โปรตีน วิตามินซี เปนสารอาหารและ • หนวยการเรียนรูที่ 3 สามารถทดสอบได อาหารและสารเสพติด • การบริโภคอาหาร จําเปนตองใหไดสารอาหารที่ครบถวนใน สัดสวนทีเ่ หมาะสมกับเพศและวัย และไดรบั ปริมาณพลังงาน ที่เพียงพอกับความตองการของรางกาย

6. อภิปรายผลของสารเสพติดตอ ระบบตางๆ ของรางกาย และ แนวทางในการปองกันตนเอง จากสารเสพติด

• สารเสพติดแตละประเภทมีผลตอระบบตางๆ ของรางกาย • หนวยการเรียนรูที่ 3 ทําใหระบบเหลานัน้ ทําหนาทีผ่ ดิ ปกติ ดังนัน้ จึงตองหลีกเลีย่ ง อาหารและสารเสพติด การใชสารเสพติด และหาแนวทางในการปองกันตนเองจาก สารเสพติด

เสร�ม

9

_________________________________ * สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร. (กรุงเทพมหานคร : ชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย, 2551), หนา 15-101.

คูม อื ครู


สาระที่ 3

สารและสมบัติของสาร

มาตรฐาน ว 3.1 เขาใจสมบัตขิ องสาร ความสัมพันธระหวางสมบัตขิ องสารกับโครงสรางและแรงยึดเหนีย่ วระหวางอนุภาค มีกระบวนการสืบเสาะหาความรูและจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่เรียนรู และนําความรูไปใชประโยชน ชั้น ม.2

เสร�ม

10

ตัวชี้วัด 1. สํารวจและอธิบายองคประกอบ สมบัติของธาตุและสารประกอบ

สาระการเรียนรูแกนกลาง

หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน

• ธาตุ เปนสารบริสุทธิ์ที่ประกอบดวยอะตอมชนิดเดียวกันและ • หนวยการเรียนรูที่ 4 ไมสามารถแยกสลายเปนสารอืน่ ไดอกี โดยวิธกี ารทางเคมี สารและการเปลี่ยนแปลง • สารประกอบเปนสารบริสทุ ธิท์ ปี่ ระกอบดวยธาตุตงั้ แตสองธาตุ ขึ้นไป รวมตัวกันดวยอัตราสวนโดยมวลคงที่ และมีสมบัติ แตกตางจากสมบัตเิ ดิมของธาตุทเี่ ปนองคประกอบ

2. สืบคนขอมูลและเปรียบเทียบ • ธาตุแตละชนิดมีสมบัตบิ างประการทีค่ ลายกันและแตกตางกัน • หนวยการเรียนรูที่ 4 สมบัติของธาตุโลหะ ธาตุอโลหะ จึงสามารถจําแนกกลุม ธาตุตามสมบัตขิ องธาตุเปนธาตุโลหะ สารและการเปลี่ยนแปลง ธาตุกึ่งโลหะ และธาตุกัมมันตรังสี กึง่ โลหะ อโลหะ และธาตุกัมมันตรังสี และนําความรูไปใชประโยชน • ในชีวิตประจําวันมีวัสดุ อุปกรณและผลิตภัณฑตางๆ ที่ผลิต มาจากธาตุและสารประกอบ จึงควรเลือกใชใหถูกตอง เหมาะสมปลอดภัย และยั่งยืน 3. ทดลองและอธิบายหลักการแยกสาร • การกรอง การตกผลึก การสกัด การกลั่นและโครมาโทกราฟ • หนวยการเรียนรูที่ 4 ดวยวิธกี ารกรอง การตกผลึก การสกัด เปนวิธีการแยกสารที่มีหลักการแตกตางกัน และสามารถนํา สารและการเปลี่ยนแปลง การกลั่น และโครมาโทกราฟ และ ไปประยุกตใชในชีวิตประจําวัน นําความรูไ ปใชประโยชน

มาตรฐาน ว 3.2 เขาใจหลักการและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร การเกิดสารละลาย การเกิดปฎิกิริยา มีกระบวนการสืบเสาะหาความรูและจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่เรียนรู และนําความรูไปใชประโยชน ชั้น ม.2

ตัวชี้วัด

สาระการเรียนรูแกนกลาง

1. ทดลองและอธิบายการ • เมื่อสารเกิดปฏิกิริยาเคมีจะมีพลังงานมาเกี่ยวของ ซึ่งอาจ • หนวยการเรียนรูที่ 5 เปลี่ยนแปลงสมบัติ มวล และ เปนการดูดพลังงานความรอน หรือคายพลังงานความรอน ปฎิกิริยาเคมี พลังงานเมื่อสารเกิดปฏิกิริยาเคมี • อุณหภูมิ ความเขมขน ธรรมชาติของสาร และตัวเรงปฏิกริ ยิ า รวมทั้งอธิบายปจจัยที่มีผลตอการ มีผลตอการเกิดปฏิกิริยาเคมีของสาร เกิดปฏิกิริยาเคมี 2. ทดลอง อธิบายและเขียน สมการเคมีของปฏิกิริยาของ สารตางๆ และนําความรูไปใช ประโยชน

• สมการเคมีใชเขียนแสดงการเกิดปฏิกิริยาเคมีของสาร ซึ่งมี • หนวยการเรียนรูที่ 5 ทั้งสารตั้งตนและสารผลิตภัณฑ ปฎิกิริยาเคมี • ปฏิกิริยาระหวางโลหะกับออกซิเจน โลหะกับนํ้า โลหะกับ กรด กรดกับเบส และกรดกับคารบอเนตเปนปฏิกิริยาเคมี ที่พบทั่วไป • การเลือกใชวัสดุและสารรอบตัวในชีวิตประจําวันไดอยาง เหมาะสมและปลอดภัย โดยคํานึงถึงปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น

3. สืบคนขอมูลและอภิปรายผลของ • สารเคมีและปฏิกิริยาเคมี มีทั้งประโยชนและโทษ สารเคมี ปฏิกิริยาเคมีตอสิ่งมีชีวิต ตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอมทั้งทางตรงและทางออม และสิ่งแวดลอม 4. สืบคนขอมูลและอธิบายการใช สารเคมีอยางถูกตอง ปลอดภัย วิธีปองกันและแกไขอันตราย ที่เกิดขึ้นจากการใชสารเคมี

คูม อื ครู

หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน

• หนวยการเรียนรูที่ 5 ปฎิกิริยาเคมี

• การใชสารเคมีตองมีความระมัดระวัง ปองกันไมใหเกิด • หนวยการเรียนรูที่ 5 อันตรายตอตนเองและผูอื่น โดยใชใหถูกตอง ปลอดภัยและ ปฎิกิริยาเคมี คุมคา • ผูใชสารเคมีควรรูจักสัญลักษณเตือนภัยบนฉลาก และรูวิธี การแกไข และการปฐมพยาบาลเบื้องตนเมื่อไดรับอันตราย จากสารเคมี


สาระที่ 4

แรงและการเคลื่อนที่

มาตรฐาน ว 4.1 เขาใจธรรมชาติของแรงแมเหล็กไฟฟา แรงโนมถวง และแรงนิวเคลียร มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชนอยางถูกตองและมีคุณธรรม ชั้น ม.2

ตัวชี้วัด

สาระการเรียนรูแกนกลาง

หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน

1. ทดลองและอธิบายการหาแรงลัพธ • แรงเปนปริมาณเวกเตอร เมื่อมีแรงหลายแรงในระนาบ • หนวยการเรียนรูที่ 6 ของแรงหลายแรงในระนาบเดียวกัน เดียวกันกระทําตอวัตถุเดียวกัน สามารถหาแรงลัพธไดโดย แรง ที่กระทําตอวัตถุ ใชหลักการรวมเวกเตอร

เสร�ม

11

2. อธิ บ ายแรงลั พ ธ ที่ ก ระทํ า ต อ วั ต ถุ • เมื่อแรงลัพธมีคาเปนศูนยกระทําตอวัตถุที่หยุดนิ่ง วัตถุนั้น • หนวยการเรียนรูที่ 6 ที่ ห ยุ ด นิ่ ง หรื อ วั ต ถุ เ คลื่ อ นที่ ด  ว ย ก็จะหยุดนิ่งตลอดไป แตถาวัตถุเคลื่อนที่ดวยความเร็วคงตัว แรง ความเร็วคงตัว ก็จะเคลื่อนที่ดวยความเร็วคงตัวตลอดไป

สาระที่ 5

พลังงาน

มาตรฐาน ว 5.1 เขาใจความสัมพันธระหวางพลังงานกับการดํารงชีวิต การเปลี่ยนรูปพลังงาน ปฏิสัมพันธระหวางสาร และพลังงาน ผลของการใชพลังงานตอชีวิตและสิ่งแวดลอม มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู สื่อสาร สิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชน ชั้น ม.2

ตัวชี้วัด

สาระการเรียนรูแกนกลาง

หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน

1. ทดลองและอธิบายการสะทอนของ • เมื่อแสงตกกระทบผิววัตถุหรือตัวกลางอีกตัวกลางหนึ่ง แสง • หนวยการเรียนรูที่ 7 แสง การหักเหของแสง และนํา จะเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่โดยการสะทอนของแสง หรือ แสงและการเกิดภาพ ความรูไปใชประโยชน การหักเหของแสง • การนําความรูเ กีย่ วกับการสะทอนของแสง และการหักเหของ แสงไปใชอธิบายแวนตา ทัศนอุปกรณ กระจก เสนใยนําแสง 2. อธิ บ ายผลของความสว า งที่ มีต  อ • นัยนตาของคนเราเปนอวัยวะใชมองดูสิ่งตางๆ นัยนตา • หนวยการเรียนรูที่ 7 มนุษย และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ มีองคประกอบสําคัญหลายอยาง แสงและการเกิดภาพ • ความสวางมีผลตอนัยนตามนุษย จึงมีการนําความรูเ กีย่ วกับ ความสวางมาชวยในการจัดความสวางใหเหมาะสมกับการ ทํางาน • ออกแบบวิธกี ารตรวจสอบวาความสวางมีผลตอสิง่ มีชวี ติ อืน่ 3. ทดลองและอธิบายการสะทอนของ • เมื่อแสงตกกระทบวัตถุ วัตถุจะดูดกลืนแสงสีบางสีไว และ • หนวยการเรียนรูที่ 7 แสง การหักเหของแสง และนํา สะทอนแสงสีทเี่ หลือออกมาทําใหเรามองเห็นวัตถุเปนสีตา งๆ แสงและการเกิดภาพ ความรูไปใชประโยชน • การนําความรูเกี่ยวกับการดูดกลืนแสงสี การมองเห็นสีของ วัตถุไปใชประโยชนในการถายรูปและในการแสดง

สาระที่ 6

กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก

มาตรฐาน ว 6.1 เขาใจกระบวนการตางๆ ที่เกิดขึ้นบนผิวโลกและภายในโลก ความสัมพันธของกระบวนการตางๆ ที่มีผล ตอการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และสัณฐานของโลก มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู และจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชน ชั้น ม.2

ตัวชี้วัด

สาระการเรียนรูแกนกลาง

หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน

1. สํารวจ ทดลอง และอธิบาย • ดินมีลักษณะและสมบัติแตกตางกันตามวัตถุตนกําเนิดดิน • หนวยการเรียนรูที่ 8 ลักษณะของชั้นหนาตัดดิน สมบัติ ลักษณะภูมิอากาศ ลักษณะภูมิประเทศ พืชพรรณ สิ่งมีชีวิต โลกและการเปลี่ยนแปลง ของดิน และกระบวนการเกิดดิน และระยะเวลาในการเกิดดิน และตรวจสอบสมบัตบิ างประการ ของดิน • ชั้นหนาตัดดินแตละชั้นและแตละพื้นที่มีลักษณะ สมบัติ และ องคประกอบแตกตางกัน

คูม อื ครู


เสร�ม

12

ชั้น

ตัวชี้วัด

สาระการเรียนรูแกนกลาง

หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน

ม.2

2. สํารวจ วิเคราะหและอธิบาย การใชประโยชนและการปรับปรุง คุณภาพของดิน

• ดินในแตละทองถิน่ มีลกั ษณะและสมบัตติ า งกันตามสภาพของ • หนวยการเรียนรูที่ 8 ดิน จึงนําไปใชประโยชนตางกัน โลกและการเปลี่ยนแปลง • การปรับปรุงคุณภาพดินขึน้ อยูก บั สภาพของดิน เพือ่ ทําใหดนิ มีความเหมาะสมตอการใชประโยชน

3. ทดลองเลียนแบบเพื่ออธิบาย กระบวนการเกิด และลักษณะ องคประกอบของหิน

• กระบวนการเปลี่ ย นแปลงทางธรณี วิ ท ยาทั้ ง บนและใต • หนวยการเรียนรูที่ 8 พื้นผิวโลกทําใหเกิดหินที่มีลักษณะองคประกอบแตกตางกัน โลกและการเปลี่ยนแปลง ทั้งทางดานกายภาพ และทางเคมี

4. ทดสอบ และสังเกตองคประกอบ • หินแบงเปนหินอัคนี หินแปร และหินตะกอน หินแตละประเภท • หนวยการเรียนรูที่ 8 และสมบัติของหิน เพื่อจําแนก มีความสัมพันธกัน และนําไปใชประโยชนในอุตสาหกรรม โลกและการเปลี่ยนแปลง ประเภทของหิน และนําความรูไป การกอสรางและอื่นๆ ใชประโยชน 5. ตรวจสอบและอธิบายลักษณะทาง • เมื่ อ สภาวะแวดล อ มธรรมชาติ ที่ อ ยู  ภ ายใต อุ ณ หภู มิ แ ละ • หนวยการเรียนรูที่ 8 กายภาพของแร และการนําไปใช ความดันที่เหมาะสม ธาตุและสารประกอบจะตกผลึกเปนแร โลกและการเปลี่ยนแปลง ประโยชน ที่มีลักษณะและสมบัติตางกัน ซึ่งตองใชวิธีตรวจสอบสมบัติ แตละอยางแตกตางกันไป • แรที่สํารวจพบในประเทศไทยมีหลายชนิด แตละชนิด ตรวจสอบทางกายภาพไดจากรูปผลึก ความถวงจําเพาะ ความแข็ง ความวาว แนวแตกเรียบ สีและสีผงของแร และนําไปใชประโยชนตางกัน เชน ใชทําเครื่องประดับ ใชในดานอุตสาหกรรม 6. สืบคนและอธิบายกระบวนการเกิด • ปโตรเลียม ถานหิน หินนํ้ามัน เปนเชื้อเพลิงธรรมชาติที่เกิด • หนวยการเรียนรูที่ 8 ลักษณะและสมบัติของปโตรเลียม จากกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา ซึ่งแตละชนิด โลกและการเปลี่ยนแปลง ถานหิน หินนํ้ามัน และการนําไป จะมีลักษณะ สมบัติและวิธีการนําไปใชประโยชนแตกตางกัน ใชประโยชน 7. สํารวจและอธิบายลักษณะแหลงนํา้ • แหลงนํ้าบนโลก มีทั้งนํ้าจืด นํ้าเค็ม โดยแหลงนํ้าจืดมีอยูทั้ง • หนวยการเรียนรูที่ 8 บนดิน ใตดิน และในบรรยากาศ ธรรมชาติ การใชประโยชนและ โลกและการเปลี่ยนแปลง • การใชประโยชนของแหลงนํ้า ตองมีการวางแผนการใช การ การอนุรักษแหลงนํ้าในทองถิ่น อนุรักษ การปองกัน การแกไข และผลกระทบ ดวยวิธีการที่ เหมาะสม 8. ทดลองเลียนแบบ และอธิบาย การเกิดแหลงนํ้าบนดิน แหลงนํ้าใตดิน

• แหลงนํา้ บนดินมีหลายลักษณะ ขึ้นอยูกับลักษณะภูมิประเทศ • หนวยการเรียนรูที่ 8 ลักษณะทางนํ้า และความเร็วของกระแสนํ้าในแตละฤดูกาล โลกและการเปลี่ยนแปลง • นํา้ บนดินบางสวนจะไหลซึมสูใ ตผวิ ดิน ถูกกักเก็บไวในชัน้ ดิน และหิน เกิดเปนนํ้าใตดิน ซึ่งสวนหนึ่งจะซึมอยูตามชองวาง ระหวางเม็ดตะกอน เรียกวา นํ้าในดิน อีกสวนหนึ่งจะไหล ซึมลึกลงไปจนถูกกักเก็บไวตามชองวางระหวางเม็ดตะกอน ตามรูพรุน หรือตามรอยแตกของหิน หรือชั้นหิน เรียกวา นํ้าบาดาล • สมบัติของนํ้าบาดาลขึ้นอยูกับชนิดของดิน แหลงแร และหิน ที่เปนแหลงกักเก็บนํ้าบาดาล และชั้นหินอุมนํ้า

9. ทดลองเลียนแบบและอธิบาย • การผุพังอยูกับที่ การกรอน การพัดพา การทับถม และ • หนวยการเรียนรูที่ 8 กระบวนการผุพงั อยูก บั ที่ การกรอน การตกผลึก เปนกระบวนการสําคัญทีท่ าํ ใหพนื้ ผิวโลกเกิดการ โลกและการเปลี่ยนแปลง การพัดพา การทับถม การตกผลึก เปลี่ยนแปลงเปนภูมิลักษณตางๆ โดยมีลม นํ้า ธารนํ้าแข็ง และผลของกระบวนการดังกลาว คลื่น และแรงโนมถวงของโลกเปนตัวการสําคัญ 10. สืบคน สรางแบบจําลอง และอธิบายโครงสราง และองคประกอบของโลก

คูม อื ครู

• โครงสรางของโลกประกอบดวยชั้นเปลือกโลก ชั้นเนื้อโลก • หนวยการเรียนรูที่ 8 และชั้นแกนโลก ซึ่งโครงสรางแตละชั้นจะมีลักษณะและ โลกและการเปลี่ยนแปลง สวนประกอบแตกตางกัน


สาระที่ 8

ธรรมชาติของวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี

มาตรฐาน ว 8.1 ใชกระบวนการทางวิทยาศาสตรและจิตวิทยาศาสตร ในการสืบเสาะหาความรู การแกปญหา รูวา ปรากฏการณทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นสวนใหญมีรูปแบบแนนอน สามารถอธิบายและตรวจสอบไดภายใต ขอมูลและเครื่องมือที่มีอยูในชวงเวลานั้นๆ เขาใจวา วิทยาศาสตร เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดลอม มีความเกี่ยวของสัมพันธกัน ชั้น ม.1 ม.3

ตัวชี้วัด

สาระการเรียนรูแกนกลาง

หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน

1. ตั้งคําถามที่กําหนดประเด็น หรือตัวแปรทีส่ าํ คัญในการสํารวจ ตรวจสอบ หรือศึกษาคนควา เรื่องที่สนใจไดอยางครอบคลุม และเชื่อถือได

-

• หนวยการเรียนรูที่ 1-8

2. สรางสมมติฐานที่สามารถ ตรวจสอบไดและวางแผนการ สํารวจตรวจสอบหลายๆ วิธี

-

• หนวยการเรียนรูที่ 1-8

3. เลือกเทคนิควิธกี ารสํารวจตรวจสอบ ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพที่ได ผลเที่ยงตรงและปลอดภัย โดยใช วัสดุและเครื่องมือที่เหมาะสม

-

• หนวยการเรียนรูที่ 1-8

4. รวบรวมขอมูล จัดกระทําขอมูล เชิงปริมาณและคุณภาพ

-

• หนวยการเรียนรูที่ 1-8

5. วิเคราะหและประเมินความ สอดคลองของประจักษพยานกับ ขอสรุป ทั้งที่สนับสนุนหรือขัดแยง กับสมมติฐาน และความผิดปกติ ของขอมูลจากการสํารวจตรวจสอบ

-

• หนวยการเรียนรูที่ 1-8

6. สรางแบบจําลอง หรือรูปแบบ ที่อธิบายผลหรือแสดงผลของ การสํารวจตรวจสอบ

-

• หนวยการเรียนรูที่ 1-8

7. สรางคําถามที่นําไปสูการสํารวจ ตรวจสอบในเรื่องที่เกี่ยวของ และ นําความรูที่ไดไปใชในสถานการณ ใหม หรืออธิบายเกี่ยวกับแนวคิด กระบวนการ และผลของโครงงาน หรือชิ้นงานใหผูอื่นเขาใจ

-

• หนวยการเรียนรูที่ 1-8

8. บันทึกและอธิบายผลการสังเกต การสํารวจ ตรวจสอบ คนควา เพิ่มเติมจากแหลงความรูตางๆ ให ไดขอมูลที่เชื่อถือได และยอมรับ การเปลี่ยนแปลงความรูที่คนพบ เมื่อมีขอมูลและประจักษพยาน ใหมเพิ่มขึ้นหรือโตแยงจากเดิม

-

• หนวยการเรียนรูที่ 1-8

9. จัดแสดงผลงาน เขียนรายงาน และ/หรืออธิบายเกี่ยวกับแนวคิด กระบวนการ และผลของโครงงาน หรือชิ้นงานใหผูอื่นเขาใจ

-

• หนวยการเรียนรูที่ 1-8

เสร�ม

13

คูม อื ครู


จุดเนนการพัฒนาคุณภาพผูเรียน* การขับเคลื่อนหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 และการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษ ที่สอง (พ.ศ. 2552-2561) ใหประสบผลสําเร็จตามจุดเนนการพัฒนาคุณภาพผูเรียน โดยใหทุกภาคสวน รวมกันดําเนินการ กระทรวงศึกษาธิการไดกําหนดจุดเนนการพัฒนาคุณภาพผูเรียน ดังนี้ เสร�ม

14

ทักษะ ความสามารถ

คุณลักษณะ จุดเนนตามชวงวัย

ม. 4-6

แสวงหาความรู เพื่อแกปญหา ใชเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู ใชภาษาตางประเทศ (ภาษาอังกฤษ) มีทักษะการคิดขั้นสูง ทักษะชีวิต ทักษะการสื่อสารอยางสรางสรรคตามชวงวัย

ม. 1-3

แสวงหาความรูดวยตนเอง ใชเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู มีทักษะการคิดขั้นสูง ทักษะชีวิต ทักษะการสื่อสารอยางสรางสรรคตามชวงวัย

• อยูอยางพอเพียง

ป. 4-6

อานคลอง เขียนคลอง คิดเลขคลอง ทักษะการคิดขั้นพื้นฐาน ทักษะชีวิต ทักษะการสื่อสารอยางสรางสรรคตามชวงวัย

• ใฝเรียนรู

ป. 1-3

อานออก เขียนได คิดเลขเปน มีทักษะการคิดขั้นพื้นฐาน ทักษะชีวิต ทักษะการสื่อสารอยางสรางสรรคตามชวงวัย

• ใฝดี

• มุงมั่นในการศึกษา และการทํางาน

คุณลักษณะตามหลักสูตร

• รักชาติ ศาสน กษัตริย • ซื่อสัตยสุจริต • มีวินัย • ใฝเรียนรู • อยูอยางพอเพียง • มุงมั่นในการทํางาน • รักความเปนไทย • มีจิตสาธารณะ

* สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ. แนวทางการนําจุดเนนการพัฒนาผูเรียน สูการปฏิบัติ. (กรุงเทพมหานคร : ชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย, 2553), หนา 3-10.

คูม อื ครู


คําอธิบายรายวิชา รายวิชา วิทยาศาสตร เลม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 รหัสวิชา ว…………………………………

กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร ภาคเรียนที่…………… เวลา 60 ชั่วโมง/ป

ศึกษา อธิบาย ทดลอง สืบคนขอมูล วิเคราะห สํารวจ ตรวจสอบ เกีย่ วกับโครงสรางและการทํางานของระบบ เสร�ม ยอยอาหาร ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบหายใจ ระบบขับถาย ระบบสืบพันธุของมนุษยและสัตว รวมทั้งระบบ 15 ประสาทของมนุษย ความสัมพันธในระบบตางๆ ของมนุษย พฤติกรรมของมนุษยและสัตวที่ตอบสนองตอ สิ่งเราทั้งภายนอกและภายใน หลักการและผลของการใชเทคโนโลยีชีวภาพในการขยายพันธุ ปรับปรุงพันธุ และเพิ่มผลผลิตของสัตวและนําความรูไปใชประโยชน สารอาหารในอาหารที่มีปริมาณพลังงานและสัดสวน ที่เหมาะสมกับเพศและวัย ผลของสารเสพติดตอระบบตางๆ ของรางกาย และแนวทางในการปองกันตนเอง จากสารเสพติด องคประกอบและสมบัติของธาตุและสารประกอบตางๆ สมบัติของธาตุโลหะ ธาตุอโลหะ ธาตุกึ่งโลหะ และธาตุกัมมันตรังสี หลักการแยกสารดวยวิธีการกรอง การตกผลึก การสกัด การกลั่น และ โครมาโทกราฟ โดยใชกระบวนการทางวิทยาศาสตร การสืบเสาะหาความรู การสํารวจตรวจสอบ การสืบคนขอมูล และ การอภิปราย เพื่อใหเกิดความรู ความคิด ความเขาใจ สามารถจะสื่อสารสิ่งที่ไดเรียนรู มีความสามารถในการตัดสินใจ เห็นคุณคาของการนําความรูไ ปใชในชีวติ ประจําวัน มีจติ วิทยาศาสตร จริยธรรม คุณธรรมและคานิยมทีเ่ หมาะสม ตัวชี้วัด ว 1.1 ว 3.1 ว 8.1

ม.2/1

ม.2/2

ม.2/3

ม.2/1

ม.2/2

ม.2/3

ม.2/4

ม.2/5

ม.2/6

ม.1-3/1 ม.1-3/2 ม.1-3/3 ม.1-3/4 ม.1-3/5 ม.1-3/6 ม.1-3/7 ม.1-3/8 ม.1-3/9

รวม 18 ตัวชี้วัด

คูม อื ครู


คูม อื ครู

หนวยการเรียนรูที่ 8 : โลกและการเปลี่ยนแปลง

หนวยการเรียนรูที่ 7 : แสงและการเกิดภาพ

หนวยการเรียนรูที่ 6 : แรง

วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 หนวยการเรียนรูที่ 5 : ปฏิกิริยาเคมี

หนวยการเรียนรูที่ 4 : สารและการเปลี่ยนแปลง

หนวยการเรียนรูที่ 3 : อาหารและสารเสพติด

หนวยการเรียนรูที่ 2 : ระบบรางกายมนุษย และสัตว (ตอนที่ 2)

วิทยาศาสตร ม.2 เลม 1 หนวยการเรียนรูที่ 1 : ระบบรางกายมนุษย และสัตว (ตอนที่ 1)

สาระที่ 3

16

✓✓ ✓ ✓

✓✓

✓✓

✓✓✓

✓✓✓✓

✓✓

✓✓✓

✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓

✓✓✓✓✓✓✓✓✓

✓✓✓✓✓✓✓✓✓

✓✓✓✓✓✓✓✓✓

✓✓✓✓✓✓✓✓✓

✓✓✓✓✓✓✓✓✓

✓✓✓✓✓✓✓✓✓

✓✓✓✓✓✓✓✓✓

สาระ สาระที่ 5 สาระที่ 6 สาระที่ 8 ที่ 4 ว มฐ. ว 6.1 มฐ. ว 8.1 มาตรฐาน ว 1.1 มฐ. ว 3.1 มฐ. ว 3.2 มฐ. 4.1 มฐ. ว 5.1 ตัวชี้วัด ตัวชี้วัด ตัวชี้วัด ตัวชี้วัด ตัวชี้วัด ตัวชี้วัด ตัวชี้วัด 1 2 3 4 5 6 1 2 3 1 2 3 4 1 2 1 2 3 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 1 2 3 4 5 6 7 8 9 สาระที่ 1

เสร�ม

หนวยการเรียนรู

มาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั

ตาราง วิเคราะหมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั รายวิชา วิทยาศาสตร ม.2

คําชี้แจง : ใหผูสอนใชตารางนี้ตรวจสอบความสอดคลองของเนื้อหาสาระการเรียนรูในหนวยการเรียนรูกับมาตรฐาน การเรียนรูและตัวชี้วัดชั้นป


กระตุน ความสนใจ Engage

สํารวจคนหา Explore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ Expand

ตรวจสอบผล Evaluate

˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÃÒÂÇÔªÒ¾×é¹°Ò¹

วิทยาศาสตร เลม 1 วิชั้นทมัธยาศาสตร เลม 1 ยมศึกษาปที่ 2 ˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÃÒÂÇÔªÒ¾×é¹°Ò¹

¡ÅØ‹ÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙŒÇÔ·ÂÒÈÒʵà ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ¡ÅØ‹ÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙŒÇÔ·ÂÒÈÒʵà ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ผูเรียบเรียง รศ. ดร. ยุพา วรยศ ผูนายถนั เรียบเรีด ยศรี ง บุญเรือง มิสเตอร รศ. ดร. ยุโจพาบอยด วรยศ มิสเตอรดวอลเตอร นายถนั ศรีบุญเรือไวท ง ลอร มิสเตอรโจ บอยด ผูตรวจ มิสเตอรวอลเตอร ไวทลอร ดร. ฤทธิ์ วัฒนชัยยิ่งเจริญ ณฑรี เพ็ชรทวีพรเดช ผูนางกุ ตรวจ นางวัฤทธิ นธนา ดร. ์ วัฒทวี นชับยุญยิญาวั ่งเจริตญร นางกุณฑรี เพ็ชรทวีพรเดช บรรณาธิการ นางวันธนา ทวีบุญญาวัตร นายวิโรจน เตรียมตระการผล นางสาววราภรณ บรรณาธิการ ทวมดี นายวิโรจน เตรียมตระการผล นางสาววราภรณ ทวมดี

ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2

พิมพครั้งที่ 1

สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ ISBN พิมพค:รั้ง978-616-203-124-3 ที่ 1 รหั สสินคขาสิท2218002 สงวนลิ ธิ์ตามพระราชบัญญัติ ISBN : 978-616-203-124-3 รหัสสินคา 2218002

¤Œ¹¤ÇÒÁÃÙŒ¢ÂÒ¤ÇÒÁ¤Ô´¨Ò¡ ¾ÔÁ¾ ¤ÃÑ駷դŒè ¹1 ¤ÇÒÁÃÙŒ¢ÂÒ¤ÇÒÁ¤Ô´¨Ò¡ ÃËÑÊÊÔ¹¤ŒÒ 2248016

EB GUIDE EB GUIDE

ที่พิมพกํากับหัวขอสําคัญในหนังสือเรียนหลักสูตรแกนกลางฯ ผาน www.aksorn.com ไปยังแหลงความรูทั่วไทย-ทั่วโลก ที่พิมพกํากับหัวขอสําคัญในหนังสือเรียนหลักสูตรแกนกลางฯ ผาน www.aksorn.com ไปยังแหลงความรูคณะผู ทั่วไทย-ทั จัด่วโลก ทําคูมือครู

พัชรินทร แสนพลเมือง สายสุนีย งามพรหม จิตรา สังขเกื้อ


กระตุน ความสนใจ Engage

สํารวจคนหา Explore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ Expand

ตรวจสอบผล Evaluate

˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÃÒÂÇÔªÒ¾×é¹°Ò¹

วิทยาศาสตร เลม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2

¡ÅØ‹ÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙŒÇÔ·ÂÒÈÒʵà ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

คํา

เตือ น

รศ. ดร. ยุพา วรยศ นายถนัด ศรีบุญเรือง มิสเตอรโจ บอยด มิสเตอรวอลเตอร ไวทลอร

หนังสือเลมนีไ้ ดรบั การคุม ครองตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ หามมิใหผใู ด ทําซํา้ คัดลอก เลียนแบบ ทําสําเนา จําลองงานจากตนฉบับหรือแปลงเปนรูปแบบอืน่ ในวิธตี า งๆ ทุกวิธี ไมวา ทัง้ หมดหรือบางสวน โดยมิไดรบั อนุญาตจากเจาของลิขสิทธิถ์ อื เปนการละเมิด ผูก ระทําจะตองรับผิดทัง้ ทางแพงและทางอาญา

พิมพครั้งที่ 6

สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ ISBN : 978-616-203-124-3


กระตุน ความสนใจ Engage

สํารวจคนหา Explore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ

¤íÒ¹íÒ วิทยาศาสตรเปนวิชาทีม่ บี ทบาทสําคัญยิง่ ตอสังคมทัง้ ในโลกปจจุบนั และอนาคต เพราะวิทยาศาสตร จะมีความเกี่ยวของกับเราทุกคนทั้งในการดําเนินชีวิตประจําวัน การประกอบอาชีพการงานตางๆ ตลอด จนเทคโนโลยี เครื่องมือเครื่องใชและผลผลิตตางๆ ที่มนุษยสรางสรรคขึ้นมา วิทยาศาสตรชวยพัฒนาความคิดของมนุษย ใหคิดเปนเหตุเปนผล คิดสรางสรรค คิดวิเคราะห วิจารณ มีทักษะสําคัญในการแสวงหาความรู สามารถแกไขปญหาอยางเปนระบบ สามารถตัดสินใจ โดยใชขอมูลที่หลากหลายและมีประจักษพยานที่ตรวจสอบได วิทยาศาสตรจึงเปนวัฒนธรรมของโลก สมัยใหมที่เราทุกคนจําเปนตองไดรับการพัฒนา สําหรับหนังสือเรียนรายวิชาพืน้ ฐาน วิทยาศาสตร ชุดนี้ สาระภายในเลมไดพฒ ั นามาจากหนังสือ ชุด New Understanding Science ของประเทศอังกฤษ โดยเรียบเรียงใหสอดคลองกับตัวชี้วัดและสาระ การเรียนรูแกนกลาง ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เนื้อหาภายใน เลมจะเรียงไปตามสาระ และแบงยอยเปนหนวยการเรียนรู การนําเสนอนอกจากเนื้อหาสาระแลว ก็จะ มีกจิ กรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตรแทรกคัน่ ไวให และทุกทายหนวยการเรียนรู จะมีกจิ กรรมสรางสรรค พัฒนาที่เปนกิจกรรมการทดลองทางวิทยาศาสตรทบทวนอีกครั้งหนึ่ง ทัง้ นี้ในแตละชัน้ จะแบงหนังสือเรียนออกเปน 2 เลม ใชประกอบการเรียนการสอนภาคเรียนละเลม ซึ่งในชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 จัดแบงเนื้อหาตามสาระ ดังนี้ วิทยาศาสตร ม.2 เลม 1 มีเนื้อหาเกี่ยวกับระบบรางกายมนุษยและสัตว อาหารและสารเสพติด สารและการเปลี่ยนแปลง วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 มีเนื้อหาเกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมี แรง แสง โลกและการเปลี่ยนแปลง ในการเรียบเรียงพยายามใหนักเรียนสามารถอานทําความเขาใจไดงาย ชัดเจน ไดรับความรู ตรงตามประเด็นในสาระการเรียนรูแกนกลาง และอํานวยความสะดวกทั้งตอครูผูสอนและนักเรียน หวังเปนอยางยิ่งวา หนังสือเรียนสาระการเรียนรูพื้นฐาน วิทยาศาสตรชุดนี้ จะมีสวนชวยใหการจัด การเรียนการสอนวิทยาศาสตร ระดับมัธยมศึกษาปที่ 1-3 สัมฤทธิผลตามเปาหมาย และมีสวนชวยให นักเรียนมีคุณภาพอยางที่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานไดกําหนดไว ¼ÙŒàÃÕºàÃÕ§

Expand

ตรวจสอบผล Evaluate


กระตุน ความสนใจ Engage

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

Explore

Explain

ขยายความเขาใจ Expand

ตรวจสอบผล Evaluate

ÊÒúÑÞ àÅ‹Á 1 ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè

1

ÃкºÃ‹Ò§¡ÒÂÁ¹ØÉ áÅÐÊÑµÇ (µÍ¹·Õè 1) ● ● ● ●

˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè

2

ÃкºÃ‹Ò§¡ÒÂÁ¹ØÉ áÅÐÊÑµÇ (µÍ¹·Õè 2) ● ● ● ●

˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè

3

● ●

4

ÃкºÊ׺¾Ñ¹¸Ø Ãкº»ÃÐÊÒ· ¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸ ¢Í§Ãкºµ‹Ò§æ ã¹Ã‹Ò§¡Ò ¡ÒÃáÊ´§¾ÄµÔ¡ÃÃÁà¾×è͵ͺʹͧµ‹ÍÊÔè§àÃŒÒ à·¤â¹âÅÂÕªÕÇÀҾ㹡ÒâÂÒ¾ѹ¸Ø »ÃѺ»Ãا¾Ñ¹¸Ø áÅÐà¾ÔèÁ¼Å¼ÅÔµ¢Í§ÊѵÇ

ÍÒËÒÃáÅÐÊÒÃàʾµÔ´ ●

˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè

¡ÒèѴÃкºã¹Ã‹Ò§¡Ò ÃкºÂ‹ÍÂÍÒËÒà ÃкºäËÅàÇÕ¹àÅ×Í´ ÃкºËÒÂ㨠Ãкº¢Ñº¶‹ÒÂ

ÍÒËÒà ÊÒÃÍÒËÒà ÍÒËÒáѺÊØ¢ÀÒ¾ âÀª¹Ò¡Òâͧà´ç¡ÇÑÂàÃÕ¹ ÊÒÃàʾµÔ´áÅмŵ‹ÍËҧ¡ÒÂ

ÊÒÃáÅСÒÃà»ÅÕè¹á»Å§ ● ●

¸ÒµØ áÅÐÊÒûÃСͺ ¡ÒÃá¡ÊÒÃ

ºÃóҹءÃÁ

àÅ‹Á 2

˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè

5 6 7 8

»¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ áç áʧ âÅ¡áÅСÒÃà»ÅÕè¹á»Å§

1-28 2 6 12 18 23

29-58 30 38 43 46 51

59-86 60 63 71 74 78

87-106 88 98

107


กระตุน ความสนใจ

1

˹‹Ç ¡Ò

Õè ÂÕ ¹ÃÙŒ· ÃàÃ

กระตุEngage นความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

เปาหมายการเรียนรู

1. อธิบายโครงสรางและการทํางานของระบบ ยอยอาหาร ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบหายใจ และระบบขับถายของมนุษยและสัตวได 2. อธิบายความสัมพันธของระบบตางๆ ของ มนุษย และนําความรูไปใชประโยชนได

ÃкºÃ‹Ò§¡ÒÂÁ¹ØÉ áÅÐÊÑµÇ (µÍ¹·Õè 1)

สมรรถนะของผูเรียน

ร่างกายประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ ที่ท�างานประสานกันเป็นระบบอวัยวะ เช่น ระบบทางเดินอาหาร ประกอบด้วยอวัยวะหลายอย่าง ที่ท�างานประสานกัน ซึ่งหากอวัยวะหนึ่งอวัยวะใดท�างานผิดปกติไปหรือท�างานไม่ได้ จะมีผลกระทบต่อ สิ่งมีชีวิตนั้น นอกจากการท�างานที่ประสานกันภายในระบบนั้น ระบบต่างๆ ของ ร่างกายไม่ว่าจะเป็นระบบย่อยอาหาร ระบบไหลเวียนเลือด ระบบหายใจ ระบบ ขับถ่าย ซึ่งแต่ละระบบจะต้องท�างานประสานกันเพื่อให้สิ่งมีชีวิตนั้นๆ ด�ารงอยู่ได้

1. ความสามารถในการคิด 2. ความสามารถในการแกปญหา

คุณลักษณะอันพึงประสงค

ตัวชี้วัดชั้นป • อธิบายโครงสร้าง และการท�างานของระบบย่อยอาหาร ระบบไหลเวียนเลือด ระบบหายใจ ระบบขับถ่าย ของมนุษย์และสัตว์ (ว 1.1 ม.2/1) • อธิบายความสัมพันธ์ของระบบต่างๆ ของมนุษย์ และ น�าความรู้ไปใช้ประโยชน์ (ว 1.1 ม.2/2)

1. มีวินัย 2. ใฝเรียนรู 3. มุงมัน่ ในการทํางาน

กระตุน ความสนใจ

Engage

ใหนักเรียนดูภาพหนาหนวยโดยดูรูปคนกอน แลวรวมกันสนทนาวานักเรียนเห็นอะไรบาง จากนั้นใหดูรูปปลาแลวรวมกันสนทนาอีกวา อวัยวะตางๆ ที่พบในคนนั้นจะพบในปลาหรือไม

เกร็ดแนะครู การเรียนการสอนเรื่องระบบรางกายของมนุษยและสัตวนั้น ครูควรนํา แบบจําลองหรือแผนภาพที่มีความสมจริง ดูนาสนใจ มาใชในการอธิบายถึง โครงสรางและการทํางานของอวัยวะตางๆ ในแตละระบบ ทั้งนี้เพื่อเปนการกระตุน การเรียนรูของนักเรียน อีกทั้งยังชวยใหนักเรียนเขาใจในเนื้อหาไดงายขึ้น

คูมือครู

1


กระตุน ความสนใจ กระตุEngage นความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

กระตุน ความสนใจ

Engage

ครูตั้งคําถามเพื่อกระตุนการเรียนรู โดยให นักเรียนมีปฏิสัมพันธโตตอบกับครูเปนระยะๆ ซึ่งคําถามนั้นควรมีความเชื่อมโยงกัน • รางกายของเราประกอบดวยระบบใดบาง (แนวตอบ ขึ้นอยูกับคําตอบของนักเรียน โดย รางกายของมนุษยประกอบดวยระบบตางๆ ที่ ทํางานประสานสัมพันธกัน เพื่อทําใหมนุษย สามารถดํารงชีวิตอยูไดอยางปกติสุข ซึ่งระบบ ตางๆ ในรางกาย ไดแก ระบบยอยอาหาร ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบหายใจ ระบบขับถาย ระบบสืบพันธุ และระบบประสาท) • แตละระบบนั้นประกอบดวยอวัยวะใดบาง (ครูอาจยกตัวอยาง 1 ระบบ ใหนักเรียนชวย กันตอบ) (แนวตอบ ขึ้นอยูกับระบบที่ครูยกตัวอยาง) • อวัยวะตางๆ นั้นประกอบขึ้นจากสิ่งใด (แนวตอบ อวัยวะตางๆ นั้นประกอบขึ้นจาก เนื้อเยื่อ ซึ่งเปนกลุมของเซลลที่มีรูปราง เหมือนกันมาอยูรวมกันเพื่อทําหนาที่อยางใด อยางหนึ่งโดยเฉพาะ)

1.1 ¡ÒèѴÃкºã¹Ã‹Ò§¡Ò ร่างกายของมนุษย์และสัตว์ประกอบขึ้นจากหน่วยที่มีขนาดเล็ก ที่สุด คือ เซลล์ จ�านวนมากมายหลายล้านเซลล์ โดยเซลล์บางชนิดมีรูปร่าง และหน้าที่เหมือนกัน บางชนิดมีรูปร่างและหน้าที่แตกต่างกัน เมื่อเซลล์ที่มี รูปร่างและหน้าทีเ่ หมือนกันมารวมตัวกันเพือ่ ท�าหน้าทีเ่ ฉพาะ เรียกว่า เนือ้ เยือ่ และเมื่อเนื้อเยื่อต่างๆ มารวมตัวกัน เรียกว่า อวัยวะ ซึ่งท�าหน้าที่แตกต่างกัน ในแต่ละส่วนของร่างกาย หากอวัยวะต่างๆ ท�างานไม่ประสานกัน ร่างกาย ก็จะไม่สามารถด�ารงอยู่ได้ ดังนั้นร่างกายจึงต้องมีการจัดระบบอวัยวะใน แต่ละส่วนให้ท�างานประสานกัน เพื่อให้มนุษย์และสัตว์สามารถด�ารงชีวิต อย่างเป็นปกติได้ ร่างกายมนุษย์ประกอบขึ้นจากเซลล์ ซึ�งเปนหน่วยที่เล็กที่สุดของสิ�งมีชีวิต

เซลล

เนื้อเยื่อ

อวัยวะ

ระบบรางกาย

ภาพที่ 1.1 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)

ส�าหรับการจัดระบบในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ สามารถแบ่งออก ได้ 4 ระดับ ดังนี้ 1) ระดับเซลล์ ร่างกายของคนเราประกอบด้วยเซลล์ที่มีรูปร่างและ ขนาดแตกต่างกันไป ตามหน้าที่การท�างาน ตัวอย่างเช่น เซลล์สืบพันธุ์ (sex cell) มีหน้าที่น�าข้อมูลทางพันธุกรรมจาก พ่อแม่ถ่ายทอดให้แก่ลูก เซลล์กล้ามเนื้อ (muscle cell) สามารถหดตัวและคลายตัว เพื่อ ท�าให้อวัยวะต่างๆ เคลื่อนไหวได้ 1 เซลล์ประสาท (nerve cell) ท�าหน้าทีค่ วบคุมการแสดงพฤติกรรม ต่างๆ ของร่างกาย

2

นักเรียนควรรู 1 เซลลประสาท ประกอบดวยสวนสําคัญ 2 สวน คือ 1. ตัวเซลล เปนสวนที่มีนิวเคลียสและออรแกเนลลของเซลลอยู 2. ใยประสาท เปนสวนที่ยื่นออกมานอกตัวเซลล ซึ่งแบงออกเปน 2 ชนิด ไดแก 2.1 เดนไดรต (dendrite) ทําหนาที่รับกระแสประสาทเขาสูตัวเซลล 2.2 แอกซอน (axon) ทําหนาที่สงกระแสประสาทออกจากตัวเซลล

มุม IT ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดระบบในรางกายไดจากเว็บไซตของสํานักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน http://school.obec.go.th/padad/ scien32101/BODY/1BODY.html หรือ http://www.surin.js.ac.h/ 1ระบบในรางกาย/index.htm

2

คูมือครู

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

หากการจัดระบบในรางกายมนุษยและสัตวผิดปกติในระดับใด ระดับหนึ่ง จะสงผลตอรางกายอยางไร 1. ทําใหมีภูมิคุมกันตํ่า 2. ทําใหรูสึกออนเพลีย เหนื่อยงาย 3. ระบบตางๆ ในรางกายทํางานผิดปกติ 4. รางกายจะปรับตัวได จึงไมมีผลแตอยางใด วิเคราะหคําตอบ หากการจัดระบบในรางกายผิดปกติในระดับใดระดับหนึง่ จะสงผลใหระบบตางๆ ในรางกายทํางานผิดปกติ ซึ่งทําใหไมสามารถ ดํารงชีวิตอยูได ดังนั้น ตอบขอ 3.


กระตุนความสนใจ Engage

สํารวจคนหา สํารวจค Exploreนหา

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explore

Explain

Expand

Evaluate

สํารวจคนหา 1

Explore

ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4 คน โดยคละ ความสามารถ จากนั้นประชุมวางแผนและแบง หนาที่กันไปศึกษาเรื่องการจัดระบบในรางกาย ตามหัวขอ ดังนี้ 1. ระดับเซลล 2. ระดับเนื้อเยื่อ 3. ระดับอวัยวะ 4. ระดับระบบรางกาย จากนั้นใหสมาชิกแตละคนกลับมาสรุปสาระ สําคัญใหเพื่อนในกลุมฟง แลวรวมกันสรุปออกมา ในรูปแบบตางๆ เชน แผนผังความคิด ตาราง เปนตน เพื่อเตรียมออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน

เซลลเม็ดเลือดแดง (red blood cell) ของมนุษย รูปรางกลมแบน คลายลูกจัน ตรงกลางบุม มีหนาที่เกี่ยวของกับการลําเลียงแกสออกซิเจน และแกสคารบอนไดออกไซด เซลลบุผิว (epithelial cell) เปนเซลลที่อยูบนผิวอวัยวะตางๆ ในรางกาย ทั้งอวัยวะภายในและอวัยวะภายนอก 2) ระดับเนือ้ เยื่อ เนื้อเยื่อ คือ กลุมของเซลลที่มีรูปรางเหมือนกัน มาอยูร วมกันเพือ่ ทําหนาทีอ่ ยางใดอยางหนึง่ โดยเฉพาะ เนือ้ เยือ่ แบงออกเปน 4 ชนิด ดังนี้ 2.1) เนื้อเยื่อบุผิว (epithelial tissue) คือ เนื้อเยื่อที่หอหุม และเนื้อเยื่อที่บุอวัยวะตางๆ เชน เนื้อเยื่อบุกระเพาะอาหาร เนื้อเยื่อบุปอด 2.2) เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (connective tissue) คือ เนื้อเยื่อที่ทํา หนาที่เปนโครงรางของรางกาย เชน กระดูก (bone) กระดูกออน (cartilage) และหลอดเลือด เปนตน 2.3) เนื้อเยื่อกลามเนื้อ (muscular tissue) ประกอบดวยเซลล ทีห่ ดตัวและคลายตัวได จําแนกออกเปน 3 ชนิด คือ กลามเนือ้ ลาย (skeleton muscle) กลามเนื้อเรียบ (smooth muscle) และกลามเนื้อหัวใจ (cardiac muscle) 2.4) เนื้ อ เยื่ อ ประสาท (nervous tissue) ประกอบด ว ย เซลลประสาทที่มีรูปรางเฉพาะ ทําหนาที่สงสัญญาณที่ถูกกระตุนไปสูสมอง และรับคําสั่งจากสมองสงกลับไปสูอวัยวะที่ถูกกระตุน เพื่อตอบสนองโดย การแสดงออกในลักษณะตางๆ

เนือ้ เยือ่ เกีย่ วพัน

เนือ้ เยือ่ บุผวิ

มุม IT ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเนื้อเยื่อไดจาก http://th.wikipedia.org/wiki/เนื้อเยื่อ

เนือ้ เยือ่ กลามเนือ้ ภาพที่ 1.2 เนื้อเยื่อตางๆ ในรางกาย ซึ่งทําหนาที่แตกตางกัน (ที่มาของภาพ : biology insights)

เนือ้ เยือ่ ประสาท

http://www.aksorn.com/LC/Sci B1/M2/01

EB GUIDE

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

ใหนักเรียนอธิบายความสัมพันธของคําวาเซลล เนื้อเยื่อ อวัยวะ และ ระบบรางกาย

แนวตอบ รางกายของมนุษยและสัตวประกอบขึ้นจากหนวยพื้นฐานที่มี ขนาดเล็กที่สุด เรียกวา เซลล ซึ่งเซลลแตละชนิดจะมีขนาด รูปราง และ หนาที่แตกตางกัน เมื่อเซลลที่มีรูปรางและหนาที่เหมือนกันมารวมกลุมกัน เพื่อทําหนาที่เฉพาะ เรียกวา เนื้อเยื่อ เมื่อเนื้อเยื่อตางๆ มารวมตัวกัน เรียกวา อวัยวะ และเมื่ออวัยวะหลายอวัยวะมาทํางานประสานกัน เรียกวา ระบบรางกาย

3

เกร็ดแนะครู ขณะที่นักเรียนแตละกลุมประชุมแบงหนาที่และรวมกันอภิปรายนั้น ครูควร สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม วานักเรียนแตละคนใหความรวมมือในการทํางาน หรือไม และคอยใหคําแนะนําเพื่อใหนักเรียนไดชวยกันทํางาน

นักเรียนควรรู 1 เซลลเม็ดเลือดแดง ปริมาณอัดแนนของเม็ดเลือดแดง (Haematocrit : HCT) ปกติในเพศชายจะมีคาประมาณ 40-54% สวนในเพศหญิงประมาณ 36-47% และ ปริมาณความเขมขนของเฮโมโกลบิน (Haemoglobin : HBG) ปกติในเพศชายจะ มีคา ประมาณ 13.0-18.0 gm% (gm% คือ กรัมตอเลือด 100 มิลลิลติ ร) สวนใน เพศหญิงมีคาประมาณ 11.5-16.5 gm% ซึ่งหากตรวจพบวาปริมาณทั้งสองมีคา ตํ่ากวาเกณฑ จะถือวามีภาวะโลหิตจาง คูมือครู

3


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

Explain

ครูสุมนักเรียน 2-3 กลุม ออกมานําเสนอเนื้อหา ที่สรุปไว โดยครูและนักเรียนกลุมอื่นๆ รวมกัน เสนอแนะเพิ่มเติมในประเด็นที่อาจขาดหายไป และ อภิปรายเพื่อใหไดขอสรุปรวมกันที่ถูกตองครบถวน ใหนักเรียนจับคูกัน ดูภาพแสดงอวัยวะตางๆ ในรางกาย (ภาพที่ 1.3) ในหนังสือเรียน หนา 4 โดยใหนักเรียนปดชื่อของอวัยวะและขอความทาง ดานซายมือไว แลวชวยกันพิจารณาภาพและบอก วาอวัยวะตางๆ แตละหมายเลขนั้นคืออะไร จากนั้นครูตั้งคําถามเพื่อชักนําใหนักเรียนได คิดวิเคราะห • นักเรียนจะมีวิธีการปฏิบัติตนอยางไร เพื่อให ระบบตางๆ ในรางกายทํางานประสาน สัมพันธกันอยางมีประสิทธิภาพ (แนวตอบ ขึ้นอยูกับคําตอบของนักเรียน เชน รักษาสุขภาพกายและสุขภาพจิตใหดี รับประทานอาหารที่มีประโยชน ออกกําลังกายสมํ่าเสมอ ตรวจสุขภาพ เปนประจํา เปนตน)

ภาพแสดงอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย

1 2 3 4 5 6 7

1

สมอง : เป็นส่วนหนึ�งของระบบประสาท

ท�าหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ศูนย์กลาง ของความคิด ความจ�า และอารมณ์ต่างๆ ปอด : เป็นอวัยวะหนึ�งของระบบหายใจ ท�าหน้าที่แลกเปลี่ยนแก๊สออกซิเจนและ คาร์บอนไดออกไซด์ให้กับร่างกาย ไต : เป็นอวัยวะหนึ�งของระบบขับถ่าย ท�าหน้าที่กรองของเสียออกจากเลือด กระดูก : เป็นส่วนหนึ่งของระบบค�้าจุน ท�าหน้าที่ช่วยพยุงและปองกันอันตราย ช่วยในการเคลื่อนไหว หัวใจ : เป็นส่วนหนึ�งของระบบหมุนเวียน ของร่างกาย ท�าหน้าที่สูบฉ�ดเลือดให้หมุน เวียนไปทั�วร่างกาย กระเพาะอาหาร : เป็นส่วนหนึ�งของระบบ ย่อยอาหาร ท�าหน้าที่คลุกเคล้าและย่อย อาหาร อวัยวะเพศ : เป็นส่วนหนึง� ของระบบสืบพันธุ์ ท�าหน้าที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์

2

1

5 6

2 3

7

4

ภาพที่ 1.3 (ที่มาของภาพ : children’s science encyclopedia)

3) ระดับอวัยวะ อวัยวะทั่วไปเกิดจากเนื้อเยื่อหลายชนิดรวมกัน ท�าหน้าที่อย่างเดียวกัน ร่างกายของมนุษย์จะประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ หลายอวัยวะ ซึ่งท�าหน้าที่ประสานกัน โดยมีระบบการท�างานแตกต่างกัน ออกไป หากระบบอวัยวะทั้งหมดของร่างกายท�างานร่วมกันได้อย่างมี ประสิทธิภาพก็จะท�าให้เรามีสุขภาพดี 4) ระดับระบบร่างกาย อวัยวะหลายชนิดท�างานประสานกันเพื่อ ท�าหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ เรียกว่า ระบบร่างกาย ร่างกายของ มนุษย์ประกอบด้วยระบบร่างกายหลายระบบ โดยแต่ละระบบจะท�างาน ประสานสัมพันธ์กัน เพื่อให้เราสามารถด�ารงชีวิตได้อย่างเป็นปกติ ถ้าระบบ ร่างกายใดท�างานผิดปกติหรือบกพร่อง จะส่งผลกระทบต่อการท�างานของ ระบบอื่นๆ ในร่างกายด้วย 4

นักเรียนควรรู 1 สมอง อาหารที่ชวยบํารุงสมอง ตัวอยางเชน • กรดไขมันโอเมกา-3 (omega 3) พบมากในปลาทะเล เชน ปลาทู ปลาทูนา เปนตน • โคลีน (choline) พบในขาวกลอง ขาวโพด ผักใบเขียวตางๆ เปนตน • แมงกานีส (manganese) พบมากในอาหารทะเล ตับหมู ผักใบเขียว แอปเปล มะมวง เปนตน • กรดโฟลิก (folic acid) พบมากในกลวย สม มะนาว ถั่วเหลือง ธัญพืช เปนตน 2 ไต หากไตทํางานผิดปกติจะทําใหของเสียคั่งคางภายในรางกายมีปริมาณสูง ซึ่งทําใหมีอาการปสสาวะนอยแตบอยครั้ง ปสสาวะลําบาก และมีเลือดออกปนมา กับปสสาวะ

4

คูมือครู

กิจกรรมสรางเสริม ใหนักเรียนเปรียบเทียบการทํางานของอวัยวะในรางกายกับสิ่งที่มนุษย ประดิษฐขนึ้ เชน สมอง ทําหนาทีเ่ ทียบไดกับเครื่องคิดเลขหรือคอมพิวเตอร มีหนาที่คิดคํานวณและเก็บขอมูลตางๆ เปนตน (กําหนดอวัยวะตางๆ ไดแก ตา ฟน ปอด หัวใจ ลําไส และไขกระดูก) ทําเปนใบงานสงครูผูสอน

กิจกรรมทาทาย ใหนักเรียนยกตัวอยางสิ่งที่เปนอันตรายตอระบบตางๆ ในรางกาย และ แนวทางการปองกัน เขียนเปนใบงานสงครูผูสอน


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

Engage

Explore

Explain

กิจกรรม

พั ฒ นาทั ก ษะ วิทยาศาสตร์

1.1

ร่างกายของมนุษย์และสัตว์ประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ ที่ท�าหน้าที่แตกต่างกัน ซึ่งท�างานประสานสัมพันธ์กัน เป็นระบบ เพื่อให้สามารถด�ารงชีวิตได้เป็นปกติ จุดประสงค์ : เพื่อศึกษาต�าแหน่งและหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย อุปกรณ์

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

Expand าใจ ขยายความเข

Evaluate ตรวจสอบผล

ขยายความเขาใจ

อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย

วิธีการปฏิบัติ

• แผนภาพร่างกาย มนุษย์ • กรรไกร • กาว • นาฬิกาจับเวลา

ขยายความเขาใจ

1 . ให้นักเรียนจับคู่และศึกษาต�าแหน่ง ชื่อ และหน้าที่ของอวัยวะแต่ละอย่าง ภายในระยะเวลา 5 นาที แล้วปิดหนังสือ 2. ตัดภาพอวัยวะ และป้ายชื่ออวัยวะออกมา 3. ให้นกั เรียนแต่ละคูช่ ว่ ยกันพิจารณาว่า จะวางภาพอวัยวะแต่ละส่วนลงบนภาพโครงร่างของร่างกายทีบ่ ริเวณใด จากนัน้ วางชื่ออวัยวะส่วนต่างๆ ไว้ โดยรอบ ลากลูกศรชี้จากอวัยวะไปยังป้ายชื่อที่ตรงกัน 4. ให้นักเรียนแต่ละคู่น�าค�าตอบที่ ได้มาเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่น เพื่อหาค�าตอบที่ถูกต้อง ติดภาพโครงร่างของร่างกาย ที่เสร็จสมบูรณ์แล้วลงในสมุด พร้อมทั้งเขียนหน้าที่ของอวัยวะแต่ละชนิดลงด้านข้าง หรือใต้ป้ายชื่ออวัยวะนั้น

Expand

ครูมอบหมายใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5 คน ศึกษาอวัยวะตางๆ ในรางกาย ตามประเด็น ดังนี้ 1. หนาที่ 2. ความผิดปกติหรือบกพรอง 3. ผลกระทบตอรางกาย 4. วิธีการดูแลรักษาเพื่อไมใหเกิดความผิดปกติ โดยใหศึกษาอวัยวะอยางนอย 10 อวัยวะ ทําเปนใบงานสงครูผูสอน

ตรวจสอบผล

Evaluate

ใหนักเรียนทําใบงานเรื่องอวัยวะตางๆ ในรางกาย และปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 1.1

ไต กระเพาะอาหาร หัวใจ ล�าไส้ ตับ สมอง ปอด อวัยวะสืบพันธุ์ ภาพที่ 1.4 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)

5

แนวตอบ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.1 1. ปอด อยูบริเวณทรวงอก ทําหนาที่แลกเปลี่ยนแกสระหวางสิ่งแวดลอมกับรางกาย 2. ไต อยูบ ริเวณสวนลางของชองทอง ไตขางขวาอยูติดกับตับ สวนไตขางซายอยูใตกะบังลมและติดกับมาม ทําหนาที่กรองของเสียออกจากเลือด และขับออกจากรางกายพรอมกับนํ้าในรูปของปสสาวะ 3. กระเพาะอาหาร วางตัวอยูทางดานซายของชองทอง โดยอยูระหวางหลอดอาหารและลําไสเล็กตอนตน ทําหนาที่ยอยสลายสารอาหาร ผลิตเอนไซมที่ใชในการยอยโปรตีน คือ เอนไซมเพปซิน (pepsin) และยัง ทําหนาที่ดูดซึมนํ้า ไอออนตางๆ รวมทั้งแอลกอฮอลอีกดวย 4. อวัยวะสืบพันธุ อยูบริเวณสวนลางของชองทอง ทําหนาที่เกี่ยวกับระบบสืบพันธุ 5. หัวใจ วางตัวอยูบริเวณกลางชองอก ถูกขนาบขางดวยปอด ทําหนาที่สูบฉีดเลือดไปยังสวนตางๆ ของรางกาย 6. ตับ วางตัวอยูทางขวาดานบนของชองทอง ใตกะบังลม ทําหนาที่ผลิตนํ้าดี 7. ลําไสเล็กและลําไสใหญ ลําไสเล็กอยูตอจากกระเพาะอาหาร ทําหนาที่ยอยอาหาร และดูดซึมสารอาหาร สวนลําไสใหญอยูตอจากลําไสเล็ก ทําหนาที่ดูดซึมนํ้าและแรธาตุกลับสูกระแสเลือด และขับกากอาหาร ออกนอกรางกายในรูปอุจจาระ 8. สมอง อยูภายในกะโหลกศีรษะ ทําหนาที่ควบคุมการทํางานของอวัยวะตางๆ ในรางกาย คูมือครู

5


กระตุน ความสนใจ กระตุEngage นความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

กระตุน ความสนใจ

Engage

ครูนํารูปฟองนํ้าและไฮดรา มาใหนักเรียนดู แลวถามนักเรียนวารูจักสัตวพวกนี้หรือไม จากนั้น รวมกันอภิปรายเกี่ยวกับลักษณะรูปราง แหลงที่อยู และการดํารงชีวิตของทั้งฟองนํ้าและไฮดรา โดยมี แนวการอภิปราย ดังนี้ 1. ฟองนํ้า เปนสิ่งมีชีวิตในไฟลัมพอริเฟอรา (porifera) มีรูปรางคลายแจกันที่มีรูพรุนเล็กๆ ทั่วตัว ซึ่งเปนชองทางใหนํ้าผานเขาไปในลําตัว สวนใหญอาศัยอยูในทะเล 2. ไฮดรา เปนสิ่งมีชีวิตในไฟลัมไนดาเรีย (cnidaria) ลําตัวยาวเปนรูปทรงกระบอกสูง ปลาย ดานหนึ่งประกอบดวยหนวดเสนเล็กๆ รอบปาก ซึ่งสามารถมองเห็นไฮดราไดดวยตาเปลาใน แหลงนํ้าจืดที่สะอาด เชน บึง คลอง แมนํ้า เปนตน จากนั้นครูตั้งคําถามเพื่อนําเขาสูบทเรียน • นักเรียนคิดวาระบบยอยอาหารของฟองนํ้า และไฮดรามีความเหมือนหรือแตกตางจาก สัตวทั่วไปอยางไร (แนวตอบ ระบบยอยอาหารของฟองนํ้าและ ไฮดราแตกตางจากสัตวทั่วไป ซึ่งนักเรียนจะ ไดศึกษาตอไป)

1.2 ÃкºÂ‹ÍÂÍÒËÒà อาหารต่างๆ ทีบ่ ริโภคเข้าสูร่ า่ งกาย ล้วนแล้วแต่มโี มเลกุลขนาดใหญ่ เกินกว่าที่จะล�าเลียงเข้าสู่เซลล์ของร่างกายได้ จึงต้องผ่านกระบวนการที่ท�า ให้มีโมเลกุลขนาดเล็กลงจนสามารถล�าเลียงเข้าสู่เซลล์ได้ เรียกว่า การย่อย 1 การย่อยอาหาร คือ การท�าให้อาหารที่มีโมเลกุลใหญ่กลายเป็นสาร อาหารที่มีโมเลกุลเล็กลงจนสามารถผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้ ซึ่งการย่อยอาหาร ในร่างกายมี 2 วิธี คือ การย่อยเชิงกล (การบดเคี้ยวอาหารโดยฟัน) และการ ย่อยเชิงเคมี (ใช้เอนไซม์ท�าให้โมเลกุลของอาหารมีขนาดลดลง)

1.2.1 ระบบย่อยอาหารของสัตว

หากแบ่งตามลักษณะของระบบทางเดินอาหารของสัตว์ สามารถแบ่ง ออกได้เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ 1) การย่อยอาหารของสัตว์ที่ไม่มีทางเดินอาหาร สัตว์ที่มีระบบ การย่อยอาหารแบบนีจ้ ะเป็นสัตว์กลุม่ แรกทีม่ โี ครงสร้างซึง่ ท�าหน้าทีก่ นิ อาหาร และแปรสภาพสารอาหาร แต่จะไม่มรี ะบบทางเดินอาหารทีช่ ดั เจน จะมีเพียง เซลล์ที่ท�าหน้าที่ดักจับอาหารแล้วสร้างเป็นถุงอาหาร และย่อยสลายด้วย เอนไซม์จากไลโซโซม

อาหาร

ของเสีย

ถุงอาหาร

ภาพที่ 1.5 ฟองน�้ามีเซลล์ที่ท�าหน้าที่ดักจับอาหาร แล้วสร้างเป็นถุงอาหารภายในเซลล์ (ที่มาของภาพ : http://www.mun.ca/biology/scarr/porifera.htm)

ชองวาง กลางล�าตัว ภาพที่ 1.6 ไฮดรามีทางเดินอาหารแบบไม่สมบูรณ์ อาหารจะเข้าและออกจากร่างกายทางช่องปาก ซึ่ง การย่อยอาหารเกิดขึ้นในช่องว่างกลางล�าตัว (ที่มาของภาพ : life)

2) การย่อยอาหารของสัตว์ที่มีทางเดินอาหารไม่สมบูรณ์ สัตว์ที่มี ทางเดินอาหารแบบไม่สมบูรณ์ (incomplete digestive tract) จะมีโครงสร้าง ที่เป็นช่องเปิดเพื่อน�าอาหารเข้าสู่ร่างกาย ได้แก่ ปาก (mouth) โดยอวัยวะ ส่วนนี้ยังท�าหน้าที่เป็นทวารหนัก (anus) ปล่อยเศษอาหารกลับออกสู่ ภายนอกด้วย สัตว์ในกลุ่มนี้ ได้แก่ ไฮดรา และพลานาเรีย การจับอาหารหรือล่าเหยื่อของสัตว์กลุ่มนี้จะใช้หนวดหรืองวง จับอาหารเข้าสู่ปาก และผ่านเข้าไปในช่องว่างกลางล�าตัว (gastrovascular cavity) หรือทางเดินอาหารที่ประกอบด้วยเซลล์ที่ท�าหน้าที่ย่อยสลายอาหาร ด้วยการสร้างเอนไซม์มาย่อยอาหารจนมีโมเลกุลเล็กลง และล�าเลียงเข้าสู่ เซลล์ของร่างกาย

6

นักเรียนควรรู 1 การยอยอาหาร อาหารที่มีโมเลกุลใหญจะถูกยอยใหเปนโมเลกุลขนาดเล็ก ดังนี้ กลูโคส 1. คารโบไฮเดรต กรดอะมิโน 2. โปรตีน กรดไขมัน+กลีเซอรอล 3. ไขมัน

มุม IT ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบยอยอาหารไดจากเว็บไซตครูใหญ ชีววิทยา ออนไลน http://kruyaibio.wordpress.com/tag/ระบบยอยอาหาร/ หรือ http://www.cedarville.edu/personal/jwf/bio100/lecturequiz21b.swf

6

คูมือครู

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

ขอใดกลาวถูกตองเกี่ยวกับระบบยอยอาหาร 1. การยอยอาหารจะตองมีเอนไซมเขามาเกี่ยวของเสมอ 2. การยอยอาหารในรางกายมนุษยเริ่มตนที่กระเพาะอาหาร 3. ระบบยอยอาหารของสัตวทุกชนิดมีกระบวนการเหมือนกัน 4. การยอยอาหารเปนกระบวนการที่ทําใหอาหารมีโมเลกุลเล็กลง วิเคราะหคําตอบ ระบบยอยอาหารของสัตวแตละชนิดรวมทั้งมนุษย จะมีความแตกตางกัน ซึ่งการยอยอาหารเปนกระบวนการที่ทําใหอาหารมี โมเลกุลเล็กลงจนสามารถผานเยื่อหุมเซลลได การยอยอาหารมี 2 วิธี คือ การยอยเชิงกล (การบดเคี้ยวอาหารโดยฟน) และการยอยเชิงเคมี (ใชเอนไซมทําใหโมเลกุลของอาหารมีขนาดเล็กลง) ซึ่งการยอยอาหาร ในรางกายมนุษยเริ่มตนที่ปากโดยวิธีการยอยเชิงกล ดังนั้น ตอบขอ 4.


กระตุนความสนใจ Engage

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข

ตรวจสอบผล

Explore

Explain

Expand

Evaluate

สํารวจค Exploreนหา

อธิบExplain ายความรู

สํารวจคนหา

ใหนักเรียนรวมกลุม กลุมละ 3 คน แบงหนาที่ กันไปศึกษาเรื่องระบบยอยอาหารของสัตว จาก หนังสือเรียน หนา 6-7 โดยใหแตละคนสรุปสาระ สําคัญแลวนํามาเลาใหเพื่อนฟง จากนั้นชวยกัน อภิปรายซักถามและสรุปรวมกัน

3) การย่อยอาหารของสัตว์ที่มีทางเดินอาหารสมบูรณ์ สัตว์กลุ่มนี้ มีการพัฒนาของระบบย่อยอาหารและทางเดินอาหารที่สมบูรณ์ ซึ่งจะ ประกอบด้วย ปาก ท�าหน้าทีเ่ ป็นช่องเปิดน�าอาหารเข้าสูร่ ะบบทางเดินอาหาร คอหอย (pharynx) ท�าหน้าที่บีบตัวน�าส่งอาหารผ่านหลอดอาหาร (esopha1 gus) เข้าสู่ถุงพักอาหาร (crop) หรือกระเพาะอาหาร (stomach) เพื่อเกิด การย่อยอาหารให้สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และส่งผ่านล�าไส้ (intestine) ที่ จ ะมี การย่ อ ยสลายสารอาหารให้ มี ข นาดเล็ ก ลงและดู ด ซึ ม สารอาหาร บางชนิดด้วย ส่วนกากอาหารจะถูกปล่อยออกทางช่องทวารหนัก (anus) สัตว์ ในกลุ่มนี้จะมีการพัฒนาระบบทางเดินอาหารและเซลล์ ในแต่ละส่วน ให้มีหน้าที่แตกต่างกัน เช่น เซลล์ที่คอหอยและหลอดอาหาร จะเป็นเซลล์ กล้ามเนื้อที่แข็งแรง สามารถบีบตัวเพื่อส่งอาหารผ่านเข้าสู่กระเพาะพัก อาหารได้ เซลล์ในกระเพาะอาหารจะมีความคงทนต่อสภาพแวดล้อมที่เป็น กรด ซึ่งเกิดขึ้นในกระบวนการย่อยสลายสารอาหารได้ดี เป็นต้น สัตว์ที่มีทางเดินอาหารสมบูรณ์ ตัวอย่างเช่น 1. ปลา ระบบย่อยอาหารของปลาเริ่มจากปากไปยังคอหอย กระเพาะอาหารและล�าไส้ มีอวัยวะช่วยในการย่อยอาหาร ได้แก่ ตับ และ ตับอ่อน หลังจากการย่อยและการดู ดซึม กากอาหารจะถูกส่งออกทาง 2 ทวารหนัก ซึ่งปลาที่กินพืชเป็นอาหารจะมีทางเดินอาหารยาวกว่าปลาที่กิน เนื้อสัตว์

อธิบายความรู

Explain

ครูสุมนักเรียน 3 กลุม ออกมาสรุปสาระสําคัญ จากการศึกษา กลุม ละ 1 หัวขอ โดยครูและนักเรียน คนอื่นๆ รวมกันเสนอแนะ เพื่อใหไดขอสรุปที่ ถูกตองรวมกัน

ขยายความเขาใจ

Expand

ครูยกตัวอยางสัตวหลากหลายชนิดใหนักเรียน ชวยกันตอบวาสัตวแตละชนิดนั้นมีทางเดินอาหาร แบบใด ตัวอยางเชน • สัตวที่มีทางเดินอาหารไมสมบูรณ เชน แมงกะพรุน ดอกไมทะเล ปะการัง พลานาเรีย พยาธิ เปนตน • สัตวที่มีทางเดินอาหารสมบูรณ เชน ไสเดือน หอย ดาวทะเล หมึก กบ ไก แมงมุม สุนัข เปนตน

ปาก

ทวารหนัก ตับ

Explore

ล�าไส้เล็ก

หลอดอาหาร

ภาพที่ 1.7 ระบบย่อยอาหารของปลา (ที่มาของภาพ : life)

ทวารหนัก กระเพาะอาหาร

ปาก

2. แมลง ทางเดินอาหารของแมลงเป็นท่อยาวเช่นเดียวกับ ทางเดินอาหารของปลา โดยระบบย่อยอาหารจะมีต่อมน�้าลายและต่อม สร้างน�้าย่อยส�าหรับย่อยอาหาร อาหารเข้าสู่ร่างกายทางปาก ผ่านไปยัง ทางเดินอาหาร และกากอาหารจะถูกขับออกทางทวารหนัก

ตอมน�า้ ลาย ภาพที่ 1.8 ระบบย่อยอาหารของแมลง (ที่มาของภาพ : life)

7

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

ลําดับทางเดินอาหารในสัตวพวกปลาเปนไปตามลักษณะใด 1. ปาก หลอดอาหาร ถุงพักอาหาร ทวารหนัก 2. ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ทวารหนัก 3. ปาก คอหอย กระเพาะอาหาร ลําไส ทวารหนัก 4. ปาก คอหอย หลอดอาหาร ถุงพักอาหาร ทวารหนัก

วิเคราะหคําตอบ ลําดับทางเดินอาหารในสัตวพวกปลา เริ่มตั้งแตปากไป ยังคอหอย กระเพาะอาหาร และลําไส โดยมีอวัยวะชวยในการยอยอาหาร ไดแก ตับและตับออน ซึ่งหลังจากการยอยและการดูดซึม กากอาหารจะ ถูกสงออกทางทวารหนัก ดังนั้น ตอบขอ 3.

นักเรียนควรรู 1 ถุงพักอาหาร หรือกระเพาะพักอาหาร พบในสัตวปก เชน นก เปด ไก เปนตน เปนสวนที่อยูตอจากหลอดอาหาร ซึ่งมีลักษณะพองออกจนเปนถุงเพื่อ เปนที่พักของอาหารที่จะนํากลับมายอยภายหลัง 2 ปลาที่กินพืช จะมีทางเดินอาหารยาวกวาปลาที่กินสัตว (มีลําไสยาวกวา) ซึ่งการยอยพืชหรือเซลลูโลส (cellulose) โดยเอนไซมเซลลูเลส (cellulase) ที่ได จากแบคทีเรียในลําไสนั้นเกิดขึ้นไดชา ดังนั้นการมีลําไสยาวจะชวยเพิ่มระยะเวลา ในการยอยพืช และชวยเพิ่มพื้นที่ผิวสัมผัสสําหรับการยอยและดูดซึมอาหารอีกดวย

คูมือครู

7


กระตุน ความสนใจ

สํารวจคนหา Exploreนหา สํารวจค

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

กระตุEngage นความสนใจ

กระตุน ความสนใจ

Engage

ครูเปดวีดิทัศนเกี่ยวกับระบบยอยอาหารของ มนุษยใหนักเรียนดูและสรุปสาระสําคัญลงในสมุด โดยครูอาจนํามาจากเว็บไซตตามมุม IT ดานลาง จากนั้นตั้งคําถามเพื่อใหนักเรียนรวมกัน อภิปราย • ระบบยอยอาหารมีความสําคัญอยางไรตอ การดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิต (แนวตอบ ระบบยอยอาหารเปนระบบที่ ทําหนาที่ยอยอาหารที่มีโมเลกุลใหญ ใหเปน สารอาหารที่มีโมเลกุลเล็กลงจนสามารถถูก ดูดซึมผานเยื่อหุมเซลลไปเลี้ยงสวนตางๆ ของรางกายได ซึ่งอาหารมีความสําคัญตอการ ดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิต หากระบบยอยอาหาร ทํางานผิดปกติ อาจทําใหสิ่งมีชีวิตเกิดโรค หรือเสียชีวิตในที่สุด)

สํารวจคนหา

1.2.2 ระบบย่อยอาหารของมนุษย

อาหารทีเ่ รากินเข้าไปประกอบด้วยสารอาหารโมเลกุลใหญ่หลายชนิด เช่น คาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน เป็นต้น ร่างกายดูดซึมไปใช้ประโยชน์ ไม่ได้ จะต้องผ่านกระบวนการท�าให้สารอาหารมีโมเลกุลเล็กลงจนสามารถ ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ ได้ โดยมีเอนไซม์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ระบบย่อยอาหาร ของมนุษย์ประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ ดังต่อไปนี้ ปาก หลอดอาหาร ตับ

กระเพาะอาหาร ตับออน

ล�าไส้เล็ก

ล�าไส้ใหญ

ภาพที่ 1.9 โครงสร้างระบบย่อยอาหารของมนุษย์ (ที่มาของภาพ : biology insights)

Explore

1) ปาก (mouth) เมื่ออาหารเข้าสู่ปากจะเกิดการย่อยเชิงกลโดย การบดเคี้ยว และมีการย่อยทางเคมีโดยเอนไซม์อะไมเลส (amylase) จาก ต่อมน�้าลาย เอนไซม์นี้จะย่อยคาร์โบไฮเดรตให้มีโมเลกุลเล็กลง แต่ร่างกาย ยังไม่สามารถน�าไปใช้ได้ เนื่องจากยังมีโมเลกุลขนาดใหญ่ เพราะอาหารอยู่ ในปากไม่นานพอที่จะย่อยจนได้น�้าตาลที่มีโมเลกุลขนาดเล็กที่ร่างกายจะน�า ไปใช้ได้ จากนั้นอาหารในปากจะถูกส่งลงสู่หลอดอาหารโดยการท�าของลิ้น 1 เรียกว่า การกลืนอาหาร (swallow) เพื่อส่งไปย่อยต่อในอวัยวะส่วนอื่นๆ

ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5 คน ศึกษาเรื่อง ระบบยอยอาหารของมนุษยจากหนังสือเรียน หนา 8-10 แลวสรุปออกมาในรูปของแผนผังความคิด โดยอาจวาดภาพประกอบและระบายสีใหสวยงาม เพื่อเตรียมออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน

คาร์โบไฮเดรต

เอนไซม์อะไมเลส

น�้าตาลโมเลกุลขนาดเล็ก

2) หลอดอาหาร มุมมุมITIT(esophagus) มีลักษณะเป็นท่อตรงต่อจาก คอหอยไปยังกระเพาะอาหาร ยาวประมาณ 25 เซนติเมตร กล้ามเนื้อของ ีกวกั ารสร้ าบงน�โครงสร ้าย่อยางและหน อาหารจะเคลื นที ่ผ่านหลอดอาหาร ศึหลอดอาหารจะไม่ กศึษาเพิ กษาเพิ ่มเติ่มมเติเกีมม่ยเกี ่ยวกั บโครงสร างและหน าทีา่ข่อทีองเซลล ่ของเซลล ไดไจดากจากhttp://www. http://www. โดยการหดตัวและคลายตัวของชั้นกล้ามเนื้อ ซึ่งบีบตัวในลักษณะลูกคลื่น ภาพที่ 1.10 การหดตัวและการคลายตัวของชัratchanee.thport.com/E-learning/structure_cell.html ้น ratchanee.thport.com/E-learning/structure_cell.html กล้ามเนื้อบริเวณหลอดอาหาร ท�าให้อาหารเคลื่อน เป็นระยะๆ เรียกว่า เพอริส ทัลซีส (peris talsis) จนอาหารเคลื่อนที่ลงสู่ ลงสู่กระเพาะอาหาร (ที่มาของภาพ : biology expression) กระเพาะอาหารจนหมด 8

นักเรียนควรรู 1 การกลืนอาหาร หลังจากอาหารถูกเคี้ยวและผสมคลุกเคลากับนํ้าลายจน ออนนิ่มแลว อาหารจะถูกกลืนตามขั้นตอน ดังนี้ 1. เพดานออนจะถูกดันยกขึ้นไปปดชองจมูก เพื่อปองกันไมใหอาหารเขาไป ในชองจมูกและเกิดอาการสําลัก 2. ฝาปดกลองเสียงจะเลื่อนมาปดหลอดลมไว ปองกันไมใหอาหารตกเขาสู หลอดลม 3. กลองเสียงถูกยกขึ้น ทําใหรูเปดของชองคอมีขนาดใหญขึ้น 4. กลามเนื้อบริเวณคอหอยหดตัว เพื่อชวยใหกอนอาหารเคลื่อนลงไปใน หลอดอาหาร โดยไมตกลงไปในหลอดลม หรือเคลื่อนขึ้นไปในชองจมูก

8

คูมือครู

ขอสอบ

O-NET

ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับขนาดของอาหารกับการยอยอาหาร การสับหรือบดอาหารใหมีขนาดเล็กจะมีผลตอการยอยอยางไร 1. กลืนงายและดูดซึมงาย 2. ชิ้นอาหารมีขนาดเล็ก ดูดซึมงาย 3. อาหารซึมผานผนังลําไสเล็กไดงาย 4. อาหารมีพื้นที่ผิวสัมผัสกับนํ้ายอยไดมาก วิเคราะหคําตอบ การสับหรือบดอาหารใหมีขนาดเล็กจะทําใหมีพื้นที่ ผิวสัมผัสกับนํ้ายอยไดมาก ซึ่งชวยใหการยอยเร็วขึ้น ดังนั้น ตอบขอ 4.


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบายความรู

ใหนักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมา นําเสนอแผนผังความคิด โดยครูและนักเรียน คนอื่นๆ รวมกันเสนอแนะเพื่อใหไดขอสรุปที่ ถูกตอง ซึ่งหากมีขอผิดพลาดใด ใหแตละกลุม นําไปปรับปรุงแกไข และนําสงครูผูสอน จากนั้นใหนักเรียนทํากิจกรรมในแบบวัดและ บันทึกผลการเรียนรู กิจกรรมที่ 1.3

3) กระเพาะอาหาร (stomach) เป็นส่วนทางเดินอาหารที่ใหญ่ ที่สุด มีความจุประมาณ 2-3 ลิตร มีกล้ามเนื้อหนาและแข็งแรงมาก รวมทั้ง มีความยืดหยุ่นดี เมื่ออาหารมาถึงกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารจะสร้ 1 าง ของเหลวออกมา 3 ชนิด คือ น�้าย่อย กรดเกลือ และเอนไซม์ ส�าหรับ ย่อยสลายโปรตีนให้ได้เป็นโปรตีนสายสั้นๆ ส่วนคาร์ โบไฮเดรตและไขมัน จะไม่ถกู ย่อยทีก่ ระเพาะอาหาร อาหารทุกชนิดจะคลุกเคล้ากับสารต่างๆ ด้วย การหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะอาหาร โปรตีน

เอนไซม์เปปซิน

กรดอะมิโน

4) ล�าไส้เล็ก (small intestine) เป็นทางเดินอาหารที่ยาวที่สุด ซึ่ง ยาวประมาณ 7-8 เมตร ผนังด้านในมีบริเวณที่ยื่นเข้าไปภายใน เรียกว่า วิลลัส (villus) เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวในการดูดซึมอาหาร เมื่ออาหารผ่านจาก 2 กระเพาะอาหารลงสู่ล�าไส้เล็กตอนบน ผนังล�าไส้เล็กจะสร้างเอนไซม์ย่อย โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต นอกจากนี้อวัยวะอื่นๆ เช่น ตับ ตับอ่อน สามารถผลิตเอนไซม์และสารประกอบต่างๆ ส่งไปยังล�าไส้เล็ก เพื่อช่วย ในกระบวนการย่อยอาหาร ส่วนอาหารที่ไม่ถูกย่อยหรือย่อยไม่ได้จะถูกส่ง ต่อไปยังล�าไส้ใหญ่ สารอาหารที่มีโมเลกุลเล็กรวมทั้งวิตามิน แร่ธาตุ และน�้า จะถูก ดูดซึมผ่านผนังล�าไส้เล็กเข้าสู่หลอดเลือดฝอยและหลอดน�้าเหลือง แล้ว ล�าเลียงต่อไปยังเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย

Explain

✓ แบบวัดฯ ใบงาน แบบฝกฯ ว�ทยาศาสตร ม.2 กิจกรรมที่ 1.3 หนวยที่ 1 ระบบรางกายมนุษย และสัตว (ตอนที่ 1)

ภาพที่ 1.11 อาหารประเภทโปรตีนจะถูกย่อย บริเวณกระเพาะอาหาร (ที่มาของภาพ : biology expression)

คะแนนเต็ม คะแนนที่ได

กิจกรรมที่ 1.3 ใหนักเรียนศึกษาระบบยอยอาหารของมนุษยตามขั้นตอน 10 ดังนี้ (ว 1.1 ม.2/1) 1. สืบคนขอมูลระบบยอยอาหารของมนุษย จากหนังสือในหองสมุด อินเทอรเน็ต หรือแหลง เรียนรูตางๆ 2. พิจารณาภาพระบบยอยอาหารของมนุษย แลวเติมหมายเลขลงในภาพ พรอมทั้งบอกลักษณะ ทางเดินอาหารใหถูกตอง 3. จับคูก นั เปรียบเทียบคําตอบ และนําคําตอบเปรียบเทียบกับเพือ่ นคูอ นื่ ๆ เพือ่ หาคําตอบทีถ่ กู ตอง 2

……………

1

……………

3

……………

ฉบับ

เฉลย

4

……………

5

……………

1

ปาก อะไมเลส มีเอนไซม ………………………….. แปง ยอย ………………………………….. นํ้าตาล ได ………………………………………

2

หลอดอาหาร บีบอาหารลง ทําหนาที่ ………………………….. สูก ระเพาะ โดยการหดตัว และคลายตัวของกลามเนือ้

……………………………………………… ………………………………………………

3

กระเพาะอาหาร เปปซิน มีเอนไซม …………………………. โปรตีน ยอย …………………………………… เปปไทด ได ……………………………………….

………………………………………………

5

ลําไสใหญ เก็บกากอาหารและ ทําหนาที่ …………………………………………. ดูดซึมนํ้าออกจากกากอาหาร

……………………………………………………………… ……………………………………………………………… ……………………………………………………………..

4

ลําไสเล็ก ยอยคารโบไฮเดรตได นํ้าตาลโมเลกุลเล็ก

…………………………………………………………………..

กรดอะมิโน ยอยโปรตีนได …………………………………….. น+กลีเซอรอล ยอยไขมันได กรดไขมั ……………………………………….

4

ภาพที่ 1.12 ผนังด้านในของล�าไส้เล็กมีบริเวณที่ยื่นเข้าไปภายใน เรียกว่า วิลลัส เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการ ย่อยอาหาร (ที่มาของภาพ : biology expression)

9

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

อาการทองผูกเกิดจากการทํางานผิดปกติของอวัยวะใด 1. ลําไสเล็ก 2. ลําไสใหญ 3. ทวารหนัก 4. กระเพาะอาหาร

วิเคราะหคําตอบ อาหารที่เหลือจากการยอยและอาหารที่ยอยไมไดจะ ถูกสงไปยังลําไสใหญ โดยลําไสใหญจะทําหนาที่ดูดนํ้าและแรธาตุกลับ คืนสูรางกาย สวนที่เปนกากอาหารจะเคลื่อนที่ไปรวมกันที่ปลายของ ลําไสใหญ เพื่อรอขับถายออกทางทวารหนัก หากลําไสใหญทํางาน ผิดปกติจะทําใหมีอาการทองผูก ดังนั้น ตอบขอ 2.

นักเรียนควรรู 1 เอนไซม เอนไซมในกระเพาะอาหาร ไดแก เพปซิน (pepsin) และเรนนิน (rennin) 2 ผนังลําไสเล็กจะสรางเอนไซม เอนไซมที่เกี่ยวของกับการยอยโปรตีนใน ลําไสเล็ก ไดแก ทริปซิน (trypsin) ไคโมทริปซิน (chymotrypsin) และคารบอกซิเพปทิเดส (carboxypeptidase) 1. การยอยไขมันในลําไสเล็กจะเกิดขึ้นสมบูรณ โดยการทํางานรวมกันของ นํ้าดีจากตับออนและเอนไซมไลเปส (lipase) 2. การยอยคารโบไฮเดรตในลําไสเล็ก เปนกระบวนการยอยนํ้าตาลโมเลกุลคู ใหเปนนํ้าตาลโมเลกุลเดี่ยว โดยเอนไซมมอลเทส (maltase) ซูเครส (sucraes) และแลกเตส (lactaes)

คูมือครู

9


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

Engage

Explore

Explain

ขยายความเขาใจ

ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

Expand

ใหนักเรียนกลุมเดิมที่ทํากิจกรรมในตอนตน ตัดกระดาษสีทั้งหมด 3 สี เปนรูปวงกลมขนาด ตางกัน 3 ขนาด (ใหญ กลาง เล็ก) ดังนี้ • กระดาษสีแดง แทน อาหารจําพวกโปรตีน • กระดาษสีฟา แทน อาหารจําพวก คารโบไฮเดรต • กระดาษสีเขียว แทน อาหารจําพวกไขมัน จากนั้นใหแตละกลุมทําใบงานเรื่อง การยอย อาหาร โดยวาดภาพโครงสรางรางกายมนุษยและ อวัยวะในระบบยอยอาหารลงในกระดาษ A4 (ดูตัวอยางจากหนังสือเรียน หนา 8) และนํา กระดาษสีที่เตรียมไว ติดลงในภาพอวัยวะที่มีการ ยอยอาหารแตละชนิด โดยติดตามขนาดโมเลกุล ของอาหาร

5) ตับ (liver) เป็นอวัยวะซึ่งนับว่าเป็นต่อมที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย อยู่บริเวณช่องท้องใต้กะบังลม ท�าหน้าที่สร้างน�้าดี (bile) ส่งไปเก็บไว้ใน ถุงน�้าดี (gall bladder) น�้าดีมีหน้าที่ท�าให้ไขมันแตกตัวออกเป็นเม็ดเล็กๆ เพื่อช่วยให้เอนไซม์จากตับอ่อนย่อยสลายไขมันได้ดีขึ้น 6) ตับอ่อน (pancreas) อยู่ระหว่างกระเพาะอาหารกับล�าไส้เล็ก ตอนบน ท�าหน้าที่สร้างน�้าย่อยหลายชนิด สร้างเอนไซม์และสารประกอบ โซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต ซึ่งมีสมบัติเป็นเบส เพื่อปรับสภาพความเป็น กรดของอาหารทีส่ ง่ มาจากกระเพาะอาหาร ให้มสี มบัตเิ ป็นกลางเหมาะส�าหรับ 1 การท�างานของเอนไซม์ ตับ

ถุงน�า้ ดี

ตับออน

ล�าไส้เล็ก ภาพที่ 1.13 ตับ ตับอ่อน และถุงน�้าดี เป็นอวัยวะที่ไม่เกิดกระบวนการย่อยอาหารโดยตรง แต่มีส่วนใน กระบวนการย่อย (ที่มาของภาพ : biology insights)

ภาพที่ 1.14 ล�าไส้ใหญ่ท�าหน้าที่ดูดน�้าและแร่ธาตุ กลับคืนสู่ร่างกาย (ที่มาของภาพ : biology expression)

7) ล�าไส้ใหญ่ (large intestine) มีความยาวประมาณ 1.5 เมตร กว้าง 6 เซนติเมตร อาหารที่เหลือจากการย่อยและอาหารที่ย่อยไม่ได้ เช่น ใยอาหารจะถูกส่งลงสู่ล�าไส้ใหญ่ โดยล�าไส้ใหญ่จะท�าหน้าที่ดูดน�้าและแร่ธาตุ กลับคืนสู่ร่างกาย ส่วนที่เป็นกากอาหารจะเคลื่อนที่ไปรวมกันที่ปลายของ ล�าไส้ใหญ่รอขับถ่ายออกทางทวารหนักต่อไป

à͹ä«Á ໚¹ÊÒÃâÁàÅ¡ØÅãËÞ‹¨Òí ¾Ç¡â»ÃµÕ¹·Õ·è Òí ˹ŒÒ·Õàè »š¹µÑÇà˧»¯Ô¡ÃÔ ÂÔ ÒªÕÇà¤ÁÕã¹Ã‹Ò§¡Ò¢ͧÊÔ§è ÁÕªÇÕ µÔ «Öè§à͹ä«Á ÁÕÊÁºÑµÔ·ÕèÊíÒ¤ÑÞ ´Ñ§¹Õé 1. ໚¹ÊÒûÃÐàÀ·â»ÃµÕ¹·ÕÊè ÃÒ§¢Ö¹é ¨Ò¡à«ÅŠʧÔè ÁÕªÇÕ µÔ «Ö§è ¨Ð·íҧҹ䴌´ãÕ ¹ÊÀÒÇзÕàè ËÁÒÐÊÁµ‹Ò§¡Ñ¹ä» ã¹áµ‹ÅЪ¹Ô´¢Í§à͹ä«Á 2. ໚¹µÑÇà˧»¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ㹡Ãкǹ¡ÒËÍÂÍÒËÒà áÅÐàÁ×èÍÊÔé¹ÊØ´»¯Ô¡ÔÃÔÂÒáÅŒÇà͹ä«Á Âѧ¤§ÁÕ ÊÀÒ¾à´ÔÁ «Öè§ÊÒÁÒö¡ÅѺä»à˧»¯Ô¡ÔÃÔÂҢͧÊÒÃâÁàÅ¡ØÅÍ×è¹ä´Œ 3. ÁÕ¤ÇÒÁ¨íÒà¾Òе‹ÍÊÒ÷Õè¨Ðà¡Ô´»¯Ô¡ÔÃÔÂÒ

10

เกร็ดแนะครู ใบงานที่ครูมอบหมายใหนักเรียนทํานั้น ครูอาจถายเอกสารขยายรูปโครงสราง รางกายมนุษยจากหนังสือเรียน หนา 8 หรือหาภาพที่มีลักษณะคลายคลึงกันมา แจกใหนักเรียนทํากิจกรรม

นักเรียนควรรู 1 การทํางานของเอนไซม ปจจัยที่มีผลตอการทํางานของเอนไซม ไดแก 1. อุณหภูมิ เอนไซมแตละชนิดทํางานไดดีในภาวะที่มีอุณหภูมิตางกัน โดยเอนไซมในรางกายมนุษยสวนใหญจะทํางานไดดีที่อุณหภูมิประมาณ 37 ํC 2. ความเปนกรด-เบส เอนไซมในกระเพาะอาหารทํางานไดดีในภาวะเปน กรด เอนไซมในลําไสเล็กทํางานไดดีในภาวะเปนเบส 3. ความเขมขน เอนไซมที่มีความเขมขนมากจะทํางานไดดีกวาเอนไซมที่มี ความเขมขนนอย

10

คูมือครู

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

ถาทอนํ้าดีเกิดการอุดตันจะเกิดสิ่งใดขึ้น 1. ตับสรางนํ้าดีไมได 2. ไขมันถูกดูดซึมไดนอย 3. กรดไขมันมีขนาดใหญ 4. การยอยไขมันเกิดไดยาก วิเคราะหคําตอบ นํ้าดีสรางมาจากตับ มีหนาที่ทําใหไขมันแตกตัวออก เปนเม็ดเล็กๆ เพื่อชวยใหเอนไซมจากตับออนยอยสลายไขมันไดดีขึ้น ดังนั้น หากทอนํ้าดีเกิดการอุดตัน นํ้าดีจะสงมายังลําไสเล็กไดนอย ซึ่งสงผลใหการ ยอยไขมันเกิดไดยาก ตอบขอ 4.


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

Engage

Explore

Explain

Expand

กิจกรรม

พั ฒ นาทั ก ษะ วิทยาศาสตร

Evaluate

Evaluate

ใหนักเรียนนําใบงานเรื่อง การยอยอาหารมา สงครูผูสอน แลวใหแตละกลุมทํากิจกรรมพัฒนา ทักษะวิทยาศาสตร 1.2 บันทึกผลสงครูผูสอน

1.2

การยอยอาหารเปนกระบวนการทีซ่ บั ซอนและเขาใจยาก ดังนัน้ จึงจําเปนตองใชแบบจําลองมาชวยในการอธิบาย ระบบการยอยอาหารที่เกิดขึ้น นักเรียนอาจทําแบบจําลองของลําไสเล็กในการทดลองเรื่องตอไปนี้ และใชแบบจําลองนี้ เพื่อศึกษาวามีสิ่งใดเกิดขึ้นบาง หลังจากเกิดการยอยอาหารทางเคมีแลว การทดลองเรื่อง การยอยสารอาหาร จุดประสงค : เพื่อศึกษาเปรียบเทียบขนาดอนุภาคของอาหารที่เกิดขึ้นในระบบยอยอาหาร ÇÔ¸Õ¡Ò÷´Åͧ

Evaluate ตรวจสอบผล

ตรวจสอบผล

การยอยสารอาหาร

ÍØ»¡Ã³ áÅÐÊÒÃà¤ÁÕ

ตรวจสอบผล

หลักฐานแสดงผลการเรียนรู 1. ใบงานเรื่อง การยอยอาหาร 2. แบบบันทึกผลการทํากิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 1.2

ÀÒ¾»ÃСͺ¡Ò÷´Åͧ

• หลอดทดลอง 1. นําแปงมันละลายนํ้าและสารละลายกลูโคส อยางละ 2 ลูกบาศก ผูกหัวและทาย ขนาดใหญ 1 หลอด เซนติเมตร ใสลงในถุงกระดาษเซลโลเฟนชุบนํ้า แลวใชดายผูกหัว • หลอดทดลอง และทายถุง หลอดทดลอง (รางกาย) ขนาดกลาง 2 หลอด 2. นําถุงกระดาษเซลโลเฟนจากขอ 1. ใสลงในหลอดทดลองขนาดใหญ • ถุงกระดาษเซลโลเฟน ที่มีนํ้าอยู 10 ลูกบาศกเซนติเมตร ทิ้งไวประมาณ 20 นาที ถุงกระดาษเซลโลเฟน • เสนดาย (ลําไสเล็ก) 3. นํานํ้าในหลอดทดลองในขอ 2. มาใส ในหลอดทดลองขนาดกลาง 2 • สารละลายไอโอดีน แปง (อาหารที่ยังไมยอย) และ หลอด แลวทดสอบ ดังนี้ กลูโคส (อาหารที่ยอยแลว) • สารละลายเบเนดิ​ิกต หลอดทดลองที่ 1 หยดสารละลายไอโอดีน 3 หยด • หลอดหยด 2 หลอด นํ้า (เลือด) หลอดทดลองที่ 2 หยดสารละลายเบเนดิกต 3 หยด แลวนําไปตม • สารละลายกลูโคส ภาพที่ 1.15 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) ใหเดือด สังเกตและบันทึกผล • แปงมันละลายนํ้า • ชุดตะเกียงแอลกอฮอล

 1. ใหนักเรียนเขียนรายงานสั้นๆ เกี่ยวกับการทดลองที่ประกอบดวยรายละเอียด ตอไปนี้

• หัวขอเรื่อง และจุดมุงหมาย • ภาพวาด และทําปายบอกสวนตางๆ ของภาพ • รายละเอียดวานักเรียนไดทําอะไร • ผลการทดลอง • สรุปและอภิปรายผลการทดลอง 2. เพราะเหตุใดอาหารจึงตองผานกระบวนการยอยเพื่อทําใหละลายนํ้า 3. สมมติ ใหนักเรียนเปนแผนขนมปงที่ประกอบดวยแปงและเสนใย ใหบอกรายละเอียดการเดินทางของ นักเรียนผานระบบยอยอาหาร และบอกดวยวามีอะไรเกิดขึ้นกับแปงและเสนใย

http://www.aksorn.com/LC/Sci B1/M2/02

EB GUIDE

11

แนวตอบ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.2 1. ขึ้นอยูกับรายงานของนักเรียนแตละกลุม โดยมีแนวการสรุปผลการทดลอง ดังนี้ “จากการทดลอง แปงเปรียบเสมือนอาหารที่ยังไมยอย กลูโคสเปรียบเสมือนอาหารที่ยอยแลว ถุงกระดาษ เซลโลเฟนเปรียบเสมือนผนังลําไสเล็ก ซึ่งอาหารที่ผานการยอยโดยเอนไซมจะมีโมเลกุลขนาดเล็กที่จะถูกดูดซึม ผานเยื่อหุมเซลลสงไปยังเซลลตางๆ ทั่วรางกายได สวนแปงที่มีโมเลกุลขนาดใหญจะไมสามารถถูกดูดซึมได” 2. อาหารที่ผานกระบวนการยอยจะมีโมเลกุลเล็กลงและละลายนํ้าได ซึ่งจะชวยใหสามารถเกิดกระบวนการแพร ผานเยื่อหุมเซลลได 3. เมื่อรับประทานขนมปง จะเกิดการบดเคี้ยวโดยฟน เพื่อทําใหขนมปงมีขนาดเล็กลง มีเอนไซมอะไมเลสที่ สรางจากตอมนํ้าลายมายอยคารโบไฮเดรตในขนมปงใหเปนโพลีแซคคาไรดสายสั้นๆ ที่พรอมจะแตกตัวเปน ไดแซคคาไรด (นํ้าตาลโมเลกุลคู) โดยมีลิ้นชวยคลุกเคลาอาหารเพื่อกลืนและสงผานไปยังหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร จนไปถึงลําไสเล็กจะเกิดการยอยอีกครั้งโดยเอนไซมที่ยอยนํ้าตาลโมเลกุลคูใหเปนนํ้าตาล โมเลกุลเดี่ยว เพื่อดูดซึมเขาสูเซลลตางๆ ซึ่งในทุกขั้นตอนนั้นใยอาหารจะถูกสงผานตามทางเดินอาหารโดย ไมเกิดการยอย จนในที่สุดสงไปยังลําไสใหญ และถูกขับถายออกทางทวารหนักในรูปของอุจจาระ

คูมือครู

11


กระตุน ความสนใจ

สํารวจคนหา Exploreนหา สํารวจค

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

กระตุEngage นความสนใจ

กระตุน ความสนใจ

Engage

ครูทบทวนเรื่องระบบยอยอาหาร จากนั้น ตั้งคําถามเพื่อกระตุนความสนใจของนักเรียน • อาหารที่ผานการยอยแลวนั้น สงผานไปยัง สวนตางๆ ของรางกายไดอยางไร (แนวตอบ อาหารที่ผานการยอยแลวจะถูก ลําเลียงไปยังสวนตางๆ ของรางกายโดยเลือด ในระบบไหลเวียนเลือด)

สํารวจคนหา

1.3 ÃкºäËÅàÇÕ¹àÅ×Í´

เนือ้ เยือ่

1.3.1 ระบบไหลเวียนเลือดของสัตว

Explore หลอดเลือดด�า

ใหนักเรียนศึกษาเรื่องระบบไหลเวียนเลือด ของสัตว จากหนังสือเรียน หนา 12-13 จากนั้น ทํากิจกรรมในแบบวัดและบันทึกผลการเรียนรู กิจกรรมที่ 1.7

ระบบไหลเวียนเลือดแบบเปิด หลอดเลือดแดง

✓ แบบวัดฯ ใบงาน แบบฝกฯ ว�ทยาศาสตร ม.2 กิจกรรมที่ 1.7 หนวยที่ 1 ระบบรางกายมนุษย และสัตว (ตอนที่ 1) กิจกรรมที่ 1.7 ใหนักเรียนนําสัตวแตละชนิดที่กําหนดใหใสในชองประเภท การหมุนเวียนเลือดใหถูกตอง (ว 1.1 ม.2/1)

หลอดเลือดฝอย

หลอดเลือดด�า

คะแนนเต็ม คะแนนที่ได

10

ระบบไหลเวียนเลือดแบบปิด ไสเดือนดิน

สารอาหารที่ถูกย่อยจนมีขนาดเล็กและแพร่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ของ ผนังล�าไส้เล็กเข้าสูห่ ลอดเลือดฝอย โดยอาศัยเลือดล�าเลียงสารอาหารเหล่านี้ ไปยังเซลล์ทั่วร่างกาย ซึ่งนอกจากจะล�าเลียงอาหารแล้วเลือดยังล�าเลียง แก๊สของเสีย และสารอื่นๆ อีกด้วย

หลอดเลือดแดง

ปลา

หนู

กุง

กั้ง

เตา

ตั๊กแตน

ปูทะเล

ดวง

หอยทาก

ภาพที่ 1.16 (ที่มาของภาพ : life)

การไหลเวียนเลือดในร่างกายของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เป็นแบบ ระบบเปิด คือ การไหลเวียนของเลือดที่ออกจากหัวใจไม่ได้ไหลอยู่ในหลอด เลือดตลอด แต่มีบางช่วงเลือดจะไหลเข้าไปในช่องว่างของล�าตัว ซึ่งพบใน สัตว์พวกหอย แมลง กุ้ง ปู เป็นต้น การไหลเวียนเลือดในสัตว์มีกระดูกสันหลังเป็นแบบระบบปิด คือ เลือดที่ออกจากหัวใจจะไหลผ่านหลอดเลือดตลอด จนกลับคืนสู่หัวใจ ตัวอย่างระบบไหลเวี ยนเลือดของสัตว์บางชนิด ดังนี้ 1 1) แมลง มีระบบไหลเวียนเลือดแบบเปิด ประกอบด้วยหัวใจ (heart) ซึ่งเป็นส่วนของเส้นเลือดที่มีลักษณะโปงออกเป็นช่วงๆ มีรูเล็กๆ ท�าหน้าที่สูบฉีดเลือดไปทางด้านหัวสู่เนื้อเยื่อต่างๆ เรียกรูนี้ว่า ออสเทีย (ostia) ท�าหน้าที่รับเลือดจากส่วนต่างๆ ในล�าตัวไหลเข้าสู่หัวใจโดยมีลิ้น ภายในออสเทียกั้นไม่ให้เลือดไหลออกจากหัวใจ มีหลอดเลือดเส้นเดียว เหนือทางเดินอาหาร ไม่มีหลอดเลือดฝอย แต่มีช่องว่างในล�าตัว เรียกว่า ฮีโมซีล (hemocoel) ท�าหน้าที่รับเลือดจากหลอดเลือด เพื่อล�าเลียงสารไปสู่ ส่วนต่างๆ ของร่างกายและเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนแก๊ส ซึ่งจะล�าเลียงแก๊ส นทางทอลม (trachial system) ไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายผ่านทาง ออสเทีย หัวใจ

ฉบับ

เฉลย

เปด ระบบหมุนเวียนเลือดแบบ …………………….

ปด ระบบหมุนเวียนเลือดแบบ …………………….

กุง 1. …………………………… ตั๊กแตน 2. …………………………… หอยทาก 3. …………………………… กั้ง 4. …………………………… ปูทะเล 5. ……………………………

ไสเดือนดิน 1. …………………………… ปลา 2. …………………………… หนู 3. …………………………… เตา 4. …………………………… ดวง 5. ……………………………

ภาพที่ 1.17 ระบบไหลเวียนเลือดของแมลง (ที่มาของภาพ : biology insights)

12

8

นักเรียนควรรู 1 แมลง เลือดของแมลงไมมีสีหรือมีสีฟาออนๆ เพราะไมมีเฮโมโกลบิน (haemoglobin) ในเม็ดเลือดแดง แตมีเฮโมไซยามิน (haemocyamin) ซึ่งเลือด ของแมลงเปนสวนประกอบของเลือดและนํ้าเหลือง จึงเรียกวา เฮโมลิมพ (haemolymph)

มุม IT ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบไหลเวียนเลือดแบบเปดและแบบปดไดจากเว็บไซต http://www.myfirstbrain.com/student_viev.aspx/ID=35118 หรือ http://www. ehow.com/about_6594843_difference-closed-open-circulatory-system.htm

12

คูมือครู

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

ระบบไหลเวียนเลือดมีความสําคัญตอรางกายอยางไร แนวตอบ ระบบไหลเวียนเลือดมีหนาที่ลําเลียงสารอาหารตางๆ ที่ได จากกระบวนการยอยอาหาร เพื่อนําไปเลี้ยงสวนตางๆ ของรางกาย ซึ่ง ทําใหรางกายมีการเจริญเติบโต อีกทั้งระบบไหลเวียนเลือดยังมีหนาที่ใน การลําเลียงแกสที่นําไปใชในกระบวนการหายใจ และลําเลียงของเสีย ตางๆ ไปยังไตซึ่งเปนอวัยวะในระบบขับถายอีกดวย ดังนั้น จะเห็นไดวา ระบบไหลเวียนเลือดมีหนาที่สําคัญหลายประการ และทํางานประสาน สัมพันธกับระบบอื่นๆ ในรางกายอีกดวย


กระตุน ความสนใจ กระตุEngage นความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

กระตุน ความสนใจ 2) ปลา มีระบบไหลเวียนเลือดแบบปิด ประกอบด้วยหัวใจ 2 ห้อง หัวใจห้องบน (atrium) ท�าหน้าที่รับเลือดที่มีออกซิเจนต�่าจากส่วนต่างๆ ของร่างกายแล้วส่งต่อไปยังหัวใจห้องล่าง (ventricle) ซึ่งท�าหน้าที่สูบฉีด เลือดที่มีออกซิเจนต�่าไปยังเหงือก จากนั้น เหงือกจะท�าหน้าที่แลกเปลี่ยน แก๊สออกซิเจนในน�้ากับเลือด เลือดที่ผ่านเหงือกจะมีออกซิเจนสูง ซึ่งจะส่ง ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ทั่วร่างกายผ่านทางหลอดเลือด (blood vessel)

1.3.2 ระบบไหลเวียนเลือดของมนุษย

ระบบการไหลเวียนเลือดในร่างกายของมนุษย์ประกอบด้วยหัวใจ เป็นอวัยวะส�าคัญ ท�าหน้าที่สูบฉีดเลือดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยมี หลอดเลือดเป็นท่อล�าเลียงเลือด ซึ่งจัดเป็นการหมุนเวียนเลือดแบบปิด ดังนั้นระบบหมุนเวียนเลือดของคนเราจึงประกอบด้วยส่วนส�าคัญ 3 ส่วน คือ หัวใจ หลอดเลือ1ด และเลือด 1) หัวใจ หัวใจของมนุษย์อยู่ระหว่างปอดทั้ง 2 ข้าง ค่อนมาทาง ซ้ายเล็กน้อย ท�าหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย หัวใจคน แบ่งเป็น 4 ห้อง ห้องบน 2 ห้อง ซึ่งเรียกว่า เอเทรียม (atrium) มีผนังบาง ส่วนห้องล่างมีผนังหนา 2 เรียกว่า เวนทริเคิล (ventricle) ระหว่างห้องบนและ ห้องล่างจะมีลิล้นิ หัวใจ (valve) คอยปิด-เปิดเพื่อปองกันเลือดไหลย้อนกลับ หัวใจจะรับเลือดที่มีออกซิเจนสูงจากปอดเข้าทางหัวใจห้อง บนซ้ายผ่านต่อมายังหัวใจห้องล่างซ้าย เพื่อส่งออกไปยังอวัยวะต่างๆ ของ ร่างกาย และจะรับเลือดที่มีออกซิเจนต�่าจากส่วนต่างๆ ของร่างกายกลับเข้า สู่หัวใจทางหัวใจห้องบนขวา และผ่านต่อไปยังหัวใจห้องล่างขวา ส่งไปยัง ปอด เพื่อแลกเปลี่ยนแก๊สและกลับเข้าสู่หัวใจอีกครั้ง หมุนเวียนอย่างเป็น ระบบเช่นนี้ตลอดเวลา หลอดเลือดแดงใหญ น�าเลือดไปเลี้ยงสวน ตางๆ ของรางกาย หลอดเลือดด�า น�าเลือดจากรางกาย เข้าสูหัวใจ

Engage

ครูตงั้ คําถามเพือ่ กระตุน การเรียนรูข องนักเรียน • นักเรียนบอกไดหรือไมวาในรางกายนักเรียน มีเลือดอยูประมาณเทาใด (แนวตอบ ในรางกายของมนุษยมีเลือดอยู ประมาณ 6 ลิตร (6,000 ลูกบาศกเซนติเมตร ซึ่งเทากับนํ้าอัดลมประมาณ 18 กระปอง) ถารางกายเสียเลือดไปหนึ่งในสามของเลือด ทั้งหมด (2 ลิตร) จะทําใหตายได) • มนุษยมีระบบไหลเวียนเลือดแบบใด (แนวตอบ มนุษยมีระบบไหลเวียนเลือด แบบปด) จากนั้นครูหาภาพโครงสรางของหัวใจมาให นักเรียนพิจารณา แลวใหนักเรียนชวยกันระบุวา สวนตางๆ ที่เห็นนั้นคืออะไรบาง

เหงือก

หัวใจ ภาพที่ 1.18 ระบบหมุนเวียนเลือดของปลา (ที่มาของภาพ : biology insights)

สํารวจคนหา

Explore

ใหนกั เรียนแตละคนศึกษาเรือ่ งหัวใจ จาก หนังสือเรียน หนา 13 แลวทํากิจกรรมพัฒนา ทักษะวิทยาศาสตร 1.3 ขอ 1 โครงสราง และการทํางานของหัวใจ

หลอดเลือดแดง น�าเลือดไปปอด หลอดเลือดด�าน�าเลือด จากปอดเข้าสูหัวใจ

หัวใจห้องบนขวา

หัวใจห้องบนซ้าย

หัวใจห้องลางขวา

หัวใจห้องลางซ้าย

ภาพที่ 1.19 หัวใจของมนุษย์แบ่งเป็น 4 ห้อง ท�าหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย (ที่มาของภาพ : biology insights)

13

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

เพราะเหตุใดกลามเนื้อหัวใจหองลางจึงหนากวากลามเนื้อหัวใจหองบน 1. หัวใจหองลางตองรับเลือดจากสวนตางๆ ของรางกาย 2. หัวใจหองลางตองบีบตัวเพื่อสงเลือดไปยังสวนตางๆ ของรางกาย 3. เลือดที่เขาสูหัวใจหองลางมีความดันสูงกวาเลือดที่เขาสูหัวใจหองบน 4. เลือดที่เขาสูหัวใจหองลางมีปริมาณมากกวาเลือดที่เขาสูหัวใจหองบน

วิเคราะหคําตอบ การที่กลามเนื้อหัวใจหองลางมีผนังหนากวาหองบน เนื่องจากเปนกลามเนื้อที่ทําหนาที่บีบตัว เพื่อดันเลือดใหออกจากหัวใจ ไปยังสวนตางๆ ของรางกายและไปยังปอด จึงจําเปนตองมีกลามเนื้อที่มี ความแข็งแรงและหนากวากลามเนื้อหัวใจหองบน ที่ทําหนาที่รับและเก็บ เลือดเพื่อสงตอมายังหัวใจหองลางเทานั้น ดังนั้น ตอบขอ 2.

นักเรียนควรรู 1 หัวใจ อาการแสดงที่บงบอกวาอาจเปนโรคหัวใจขาดเลือด มีดังนี้ 1. เจ็บแนนๆ อึดอัดบริเวณกลางหนาอก อาจเปนบริเวณอกดานซายหรือ ทั้งสองดาน 2. กรณีที่เกิดหลอดเลือดหัวใจอุดตัน กลามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน อาการ จะรุนแรงมากขึ้น และอาจมีอาการอื่นๆ รวมดวย เชน เหงื่อออกมาก เปนลม เปนตน 2 ลิ้นหัวใจ เมื่อลิ้นหัวใจไมสามารถเปดไดอยางเต็มที่เนื่องจากสาเหตุใดๆ ก็ตาม ทําใหเลือดไหลผานไมสะดวก เรียกวา “ลิ้นหัวใจตีบ” แตเมื่อลิ้นหัวใจปด ไมสนิท มีรูหรือชองใหเลือดไหลยอนกลับได เรียกวา “ลิ้นหัวใจรั่ว” ซึ่งเมื่อลิ้นหัวใจ ผิดปกติเพียงเล็กนอยจะไมแสดงอาการใดๆ โดยอาการตางๆ จะปรากฏเมื่อหัวใจ ไมสามารถทนรับกับปริมาณเลือดที่เพิ่มขึ้นไดอีกตอไป อาการที่เกิดจึงเปนอาการ ของภาวะหัวใจลมเหลว (heart failure) เชน หอบ เหนื่อย ขาบวม หัวใจเตนเร็ว เปนตน คูมือครู

13


กระตุน ความสนใจ

สํารวจคนหา Exploreนหา สํารวจค

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

กระตุEngage นความสนใจ

กระตุน ความสนใจ

Engage

ใหนักเรียนจับคูกันลองคลําชีพจรบริเวณขอมือ แลวนับจํานวนครั้งของชีพจรในเวลา 1 นาที จากนั้นครูตั้งคําถามเพื่อกระตุนการเรียนรู • นักเรียนคิดวาการคลําชีพจรนั้นนอกจากจะ คลําบริเวณขอมือแลว ยังมีจุดอื่นอีกหรือไม (แนวตอบ จุดที่สามารถคลําชีพจรไดมีหลายจุด ไดแก ขอมือ ขมับ ขาหนีบ หนาอก ตนคอ และขอพับตางๆ) • ชีพจรเกิดจากสิ่งใด (แนวตอบ ขึ้นอยูกับคําตอบของนักเรียน ซึ่งนักเรียนจะไดศึกษาตอไป)

สํารวจคนหา

หลอดเลือดแดง

หลอดเลือดด�า

Explore

ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 6 คน ศึกษาเรื่อง หลอดเลือด และเลือด จากหนังสือเรียน หนา 14-16 จากนั้นใหรวมกันสรุปสาระสําคัญในรูปของแผนผัง ความคิด หรือตาราง หรือรูปแบบอื่นที่นาสนใจ โดยอาจวาดภาพประกอบและระบายสีใหสวยงาม เพื่อเตรียมออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน

หลอดเลือดฝอย ภาพที่ 1.20 ลักษณะของหลอดเลือดทั้ง 3 ชนิด ซึ่งมีขนาดและความหนาของผนังแตกต่างกัน (ที่มาของภาพ : biology expression)

น�า้ เลือด เม็ดเลือดแดง

เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด

ภาพที่ 1.21 ลักษณะของเลือดเมื่อส่องดูด้วย กล้องจุลทรรศน์ (ทีม่ าของภาพ : http://legacy.owensboro.kctcs.edu/ http://legacy.owensboro.kctcs.edu/ GCaplan/anat2/notes/Notes6%20Blood%20 Cells.htm)

2) หลอดเลือด แบ่งออกเป็น 3 ชนิด ดังนี้ 2.1) หลอดเลือดแดงหรือหลอดเลือดอารเทอรี (artery) คือ หลอดเลือดทีน่ า� เลือดออกจากหัวใจ ผนังของหลอดเลือดมีชนั้ กล้ามเนือ้ เรียบ ที่หนามากและยืดหยุ่นตัวได้ดี ท�าให้สามารถรักษาแรงดันเลือดให้คงที่ได้ เลือดทีอ่ ยู่ในหลอดเลือดแดงเป็นเลือดทีม่ แี ก๊สออกซิเจนสูง เรียกว่า เลือดแดง ยกเว้นหลอดเลือดแดงที่น�าเลือดออกจากหัวใจไปยังปอด ภายในเลือดจะมี แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์สูง เรียกว่า เลือดด�า เมื่อหัวใจบีบตัวส่งเลือดไปตาม หลอดเลือดแดงท�าให้เส้นเลือดขยายตัวและพองออกเมื่อเลือดผ่านไปแล้ว เส้นเลือดจะหดตัวคืนสู่รูปเดิม ถ้าหลอดเลือดแดงอยู่ใกล้ผิวหนังเราจะเห็น การโปงและยุบตัวของผิวหนัง ถ้าใช้นิ้วมือ1แตะดูจะรู้สึกถึงการพองตัวและ หดตัวของหลอดเลือดแดงที่เรียกว่า ชีพจร (pulse) 2.2) หลอดเลือดดําหรือหลอดเลือดเวน (vein) คือ หลอดเลือด ทีน่ า� เลือดกลับสูห่ วั ใจ มีผนังบางกว่าจึงบรรจุเลือดได้มากกว่าหลอดเลือดแดง เนื่องจากมีความดันเลือดภายในต�่า จึงมีลิ้นคอยกั้นไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ เป็นระยะ เลือดทีอ่ ยูภ่ ายในหลอดเลือดด�า มีปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ สูง เรียกว่า เลือดด�า ยกเว้นหลอดเลือดด�าที่น�าเลือดออกจากปอดเข้าสู่หัวใจ จะเป็นเลือดแดง 2.3) หลอดเลือดฝอย (capillary) คือ หลอดเลือดที่อยู่ระหว่าง ปลายหลอดเลือดแดงกับปลายหลอดเลือดด�า หลอดเลือดฝอยมีขนาดเล็ก มาก ผนังประกอบด้วยเซลล์ชั้นเดียว จึงมีประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยน แก๊สและสารต่างๆ ได้ดี 3) เลือด (blood) ในร่างกายของคนเรามีเลือดอยู่ประมาณ 6,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร (6 ลิตร) หรือประมาณ 7-9 เปอร์เซ็นต์ของน�้าหนักตัว มีสมบัติเป็นเบสอ่อน (pH ประมาณ 7.3-7.4) แต่ละคนจะมีเลือดไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเพศ อายุ น�้าหนัก และสุขภาพร่างกาย เลือดประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ที่เป็นของเหลว และส่วนที่เป็นของแข็ง 3.1) สวนที่เปนของเหลว คือ น�้าเลือดหรือพลาสมา (plasma) ประกอบด้วยน�้าและสารต่างๆ ซึ่งได้แก่ สารอาหารที่ถูกย่อยแล้วรวมทั้ง วิตามิน เกลือแร่ ฮอร์โมน และสารอื่นๆ ที่ละลายน�้าได้ สารเหล่านี้จะอยู่ ในรูปของสารละลาย น�้าเลือดมีประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ของเลือดทั้งหมด ท�าหน้าที่ล�าเลียงอาหารที่ถูกดูดซึมจากล�าไส้เล็กไปสู่ส่วนต่างๆ ทั่วร่างกาย รวมทั้งล�าเลียงของเสียที่เป็นของเหลวจากเซลล์ เช่น ยูเรีย มาสู่ไต ซึ่งไตจะ แยกสกัดเอายูเรียออกจากเลือดแล้วขับถ่ายออกมาในรูปของปัสสาวะ

14

เกร็ดแนะครู ขณะที่นักเรียนคลําชีพจรนั้น ครูควรบอกวา ไมควรใชนิ้วหัวแมมือคลําชีพจร เพราะหลอดเลือดบริเวณนิ้วหัวแมมือมีการพองตัวและหดตัวอยางแรง ซึ่งอาจทําให สับสนระหวางชีพจรของคนที่ถูกคลํากับชีพจรของตนเองได

นักเรียนควรรู 1 ชีพจร ในคนปกติชีพจรจะเตนเปนจังหวะสมํ่าเสมอ ซึ่งอัตราการการเตน ของชีพจรจะแตกตางกัน ขึ้นอยูกับวัย ดังนี้ 1. ผูใหญ ชีพจรเตนประมาณ 60-80 ครั้งตอนาที 2. เด็ก ชีพจรเตนประมาณ 90-100 ครั้งตอนาที 3. ทารก ชีพจรเตนประมาณ 120-130 ครั้งตอนาที

14

คูมือครู

บูรณาการเชื่อมสาระ

ในการศึกษาเรื่อง หลอดเลือด เมื่อครูกระตุนความสนใจของนักเรียนโดย การใหลองคลําชีพจรนั้น สามารถนําไปบูรณาการเชื่อมกับกลุมสาระการเรียนรู สุขศึกษาและพลศึกษา วิชาสุขศึกษา เรื่อง การปฐมพยาบาล

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

คนเราแตละคนจะมีเลือดในปริมาณเทากันหรือไม อยางไร แนวตอบ ไมเทากัน ซึง่ ปริมาณเลือดในรางกายของแตละคนจะขึน้ อยูก บั วัย เพศ อายุ นํ้าหนัก ความแข็งแรงสมบูรณของรางกาย โดยแตละคนนั้น จะมีเลือดอยูประมาณรอยละ 7.8 ของนํ้าหนักตัว หรือประมาณ 5-6 ลิตร


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบายความรู 3.2) สวนที่เปนเม็ดเลือด เปนสวนที่ ไม ใชของเหลว มีอยู ประมาณ 50 เปอรเซ็นตของเลือดทั้งหมด ประกอบดวย 1. เซลลเม็ดเลือดแดง (erythrocyte) มีรูปรางกลม แบน ตรงกลางบุม ไมมนี วิ เคลียส สรางโดยไขกระดูก มีอายุประมาณ 120 วัน หลังจากนั้นจะถูกทําลายที่ตับและมาม ขณะเกิดใหมมีนิวเคลียส แตจะ 1 สลายไปเมื่อโตเต็มที่ ภายในเซลลมีสารโปรตีนที่ เรียกวา เฮโมโกลบิน (haemoglobin) ทําหนาที่จับกับออกซิเจนเพื่อลําเลียงไปสูเซลลทั่วรางกาย 2 2. เซลลเม็ดเลือดขาว (leucocyte) สรางโดยมามและ ไขกระดูก มีนิวเคลียส และมีขนาดใหญกวาเม็ดเลือดแดง มีหลายชนิด ซึ่งแตละชนิดจะทําหนาที่แตกตางกัน บางชนิดจับและทําลายเชื้อโรคที่เขาสู รางกาย โดยยืน่ ผนังเซลลมาลอมเชือ้ โรคหรือสิง่ แปลกปลอมและยอยทําลาย บางชนิดสรางแอนติบอดี ซึ่งเปนสารที่ทําหนาที่เปนภูมิคุมกันของรางกาย นักวิทยาศาสตรสามารถกระตุน ใหรา งกายมีภมู คิ มุ กัน โรคแตละชนิดได โดยสรางแอนติบอดีขึ้นดวยการฉีดสารโปรตีนเขาไปใน รางกาย เพื่อกระตุนใหรางกายสรางแอนติบอดี เรียกสารกระตุนภูมิคุมกัน นี้วา วัคซีน ซึ่งทําจากเชื้อโรคที่ตายแลวหรือเชื้อโรคที่ทําใหออนฤทธิ์ลงจน ไมสามารถทําใหเกิดโรคได

Explain

ใหนักเรียนแตละกลุมอาสาออกมานําเสนอ ผลงานของกลุมที่สรุปสาระสําคัญของเรื่องที่ศึกษา โดยใหครูและนักเรียนคนอื่นๆ รวมกันเสนอแนะ และซักถามขอสงสัย จากนั้นใหนักเรียนแตละคน ทํากิจกรรมในแบบวัดและบันทึกผลการเรียนรู กิจกรรมที่1.6 ✓ แบบวัดฯ ใบงาน แบบฝกฯ ว�ทยาศาสตร ม.2 กิจกรรมที่ 1.6 หนวยที่ 1 ระบบรางกายมนุษย และสัตว (ตอนที่ 1) กิจกรรมที่ 1.6 ใหนกั เรียนปฏิบตั ติ ามคําแนะนําตอไปนี้ (ว 1.1 ม.2/1) 1. บอกหนาที่ของสวนประกอบของเลือด

คะแนนเต็ม คะแนนที่ได

10

นํ้าเลือด

ลําเลียงสารตางๆ ที่อยูใน พลาสมา ………………………………………………………. ……………………………………………………….

ภาพที่ 1.22 เซลลเม็ดเลือดขาวจับและทําลาย เชื้อโรค (ที่มาของภาพ : biology expression)

เซลลเม็ดเลือดขาว

กําจัดเชื้อโรคและ สิ่งแปลกปลอม ………………………………………………………. ……………………………………………………….

เกล็ดเลือด

เลือดคน

ชวยทําใหเลือดแข็งตัว เวลาเกิดบาดแผล ………………………………………………………. ……………………………………………………….

เซลลเม็ดเลือดแดง

ขนสงออกซิเจนจากปอด ไปสูเซลลทั่วรางกาย ………………………………………………………. ……………………………………………………….

ฉบับ

เฉลย

ʋǹ»ÃСͺ¢Í§àÅ×Í´

ÅѡɳÐ

นํา้ เลือด

ของเหลวสีเหลืองออน

ʋǹ»ÃСͺ¢Í§àÅ×Í´

ÅѡɳÐ

เซลลเม็ดเลือดแดง

2. อธิบายการทํางานของเกล็ดเลือดเมื่อรางกายไดรับบาดแผล

¨íҹǹà«ÅÅ ã¹àÅ×Í´ Á¹ØÉ 1 Ë´

เมื่อรางกายไดรับบาดแผล ผนังของเสนเลือดฉีกขาด เกล็ดเลือดจะเคลื่อนที่มายังบริเวณบาดแผล และปลอยสารบางอยางซึ่งทํางานรวมกับวิตามินเคและแคลเซียมทําใหไดเสนใยรางแหเพื่ออุด บาดแผลทําใหเลือดหยุดไหล ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

250 ลานเซลล

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

เซลลเม็ดเลือดขาว

8 แสนเซลล

เกล็ดเลือด

13 ลานเซลล

7

ภาพที่ 1.23 สวนประกอบของเลือด (ที่มาของภาพ : biology expression)

http://www.aksorn.com/LC/Sci B1/M2/03

EB GUIDE

ขอสอบ

O-NET

ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับปริมาณแกสในเลือด ถาในเลือดมีปริมาณ CO2 มาก และมีปริมาณ O2 นอย จะทําใหเกิด อาการใด 1. ไอ 2. หาว 3. จาม 4. สะอึก วิเคราะหคําตอบ จากคําตอบทั้งสี่นั้น อธิบายได ดังนี้ • การไอ เปนการหายใจอยางรุนแรงเพื่อปองกันไมใหสิ่งแปลกปลอม หลุดเขาไปในกลองเสียงและหลอดลม • การหาว เกิดจากการที่มีปริมาณแกสคารบอนไดออกไซดสะสมอยูใน เลือดมากเกินไป จึงตองขับออกจากรางกาย โดยการหายใจเขายาวและลึก • การจาม เกิดจากการหายใจเอาอากาศที่ไมสะอาดเขาไป รางกายจึง พยายามขับสิ่งแปลกปลอมนั้นออกมา • การสะอึก เกิดจากกะบังลมหดตัวเปนจังหวะๆ ขณะหดตัวอากาศจะ ถูกดันผานลงสูปอดทันที ทําใหสายเสียงสั่น จึงเกิดเสียงขึ้น ดังนั้น ตอบขอ 2.

15

นักเรียนควรรู 1 เฮโมโกลบิน เซลลเม็ดเลือดแดงของมนุษยแตละเซลลจะมีเฮโมโกลบินอยู 280 ลานโมเลกุล โดยแตละอะตอมของธาตุเหล็กทีเ่ ปนองคประกอบของเฮโมโกลบิน สามารถรวมตัวกับโมเลกุลของแกสออกซิเจนไดอยางหลวมๆ ไดเปนออกซิเฮโมโกลบิน แตโมเลกุลของแกสคารบอนไดออกไซดสามารถรวมตัวกับเฮโมโกลบินไดอยาง ถาวร ทําใหโมเลกุลของแกสออกซิเจนจับกับเฮโมโกลบินไมได จึงทําใหรางกาย ไดรับออกซิเจนนอยลง สงผลใหมีอาการตามัว หูไมไดยิน หมดความรูสึกและอาจ เสียชีวิต 2 เซลลเม็ดเลือดขาว แบงออกเปน 5 ชนิด ไดแก นิวโทรฟลส (neutrophil) ลิมโฟไซต (lymphocyte) โมโนไซต (monocyte) เบโซฟลส (basophil) และ อีโอสิโนฟลส (eosinophil)

คูมือครู

15


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

Engage

Explore

Explain

ขยายความเขาใจ

ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

Expand

ครูสมุ นักเรียนออกมาหนาชัน้ เรียนประมาณ 10 คน ใหนักเรียนรวมกันแสดงบทบาทสมมติ เกี่ยวกับเหตุการณในการแข็งตัวของเลือด ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5 คน รวมกัน ทบทวนเนื้อหาสาระเรื่อง ระบบไหลเวียนเลือด จากนั้นใหรวมกันสรุปเกี่ยวกับการไหลเวียนเลือด ในรางกายของมนุษย ในรูปของแผนผังแสดง ทิศทางการไหลเวียนเลือด ทําเปนใบงาน สงครูผูสอน

ภาพที่ 1.24 เกล็ดเลือดมีส่วนช่วยในการแข็งตัว ของเลือด เมื่อเกิดบาดแผลเล็กๆ (ที่มาของภาพ : life)

ในกรณี ที่ โ รคบางชนิ ด จะแสดงอาการรวดเร็ ว และ รุนแรงมาก ถ้ารอให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันอาจไม่ทันการ จึงจ�าเป็นต้องฉีด แอนติบอดีให้แก่ร่างกายที่เรียกว่า เซรุม ซึ่งการผลิตเซรุ่มมีหลายวิธี โดย วิธที นี่ ยิ มท�า คือ ผลิตจากสัตว์ เช่น1ม้าหรือกระต่ายที่ได้รบั การปลูกภูมคิ มุ้ กัน 3. เกล็ดเลือด (platelets) เป็นชิ้นส่วนของเซลล์ที่มี รูปร่างเป็นแผ่นเล็กๆ ปนอยู่ในน�้าเลือด ไม่มีนิวเคลียส มีอายุประมาณ 10 วัน มีหน้าที่ช่วยให้เลือดแข็งตัวเมื่อเกิดบาดแผลเล็กๆ เกล็ดเลือดจะ ท�าให้เกิดเส้นใย (fibrin) ปกคลุมบาดแผล ท�าให้เลือดหยุดไหล ปองกันไม่ให้ ร่างกายเสียเลือดมากเกินไป 3) การไหลเวียนเลือด การไหลเวียนเลือดผ่านหัวใจเริ่มจากเลือด จากส่วนต่างๆ ของร่างกายซึ่งเป็นเลือดที่มีแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์สูง มีออกซิเจนต�่า เข้าสู่หัวใจทางห้องบนขวาแล้วไหลผ่านลิ้นหัวใจลงสู่ห้อง ล่างขวา จากนั้นหัวใจบีบตัวส่งเลือดไปตามหลอดเลือดอาร์เทอรีไปยังปอด ทั้ง 2 ข้าง เพื่อแลกเปลี่ยนแก๊สออกซิเจนกับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ จากนั้นเลือดที่มีออกซิเจนสูงจากปอดจะไหลกลับสู่หัวใจทางหลอดเลือดเวน เข้าสู่หัวใจห้องบนซ้าย ไหลผ่านลิ้นหัวใจลงสู่ห้องล่างซ้าย จากนั้นหัวใจจะ บีบตัวส่งเลือดที่มีออกซิเจนสูงออกทางหลอดเลือดอาร์เทอรีไปเลี้ยงส่วน ต่างๆ ของร่างกายต่อไป หัว ปอด

หัวใจ ตับ

ทางเดินอาหาร ไต อวัยวะอื่นๆ

ภาพที่ 1.25 การไหลเวียนเลือดในร่างกายมนุษย์ (ที่มาของภาพ : biology expression)

16

นักเรียนควรรู 1 เกล็ดเลือด เมือ่ รางกายมีบาดแผล ผนังของหลอดเลือดฉีกขาด เกล็ดเลือด จะเคลื่อนที่มายังบริเวณที่หลอดเลือดฉีกขาดนี้ และจะปลอยสารบางอยางที่ ดึงดูดเกล็ดเลือดมารวมตัวกัน นอกจากนี้ยังมีสารที่ปลอยออกมาจากเซลลที่ไดรับ อันตราย ซึ่งเมื่อรวมกับสารในพลาสมาที่มีสวนเกี่ยวของกับการแข็งตัวของเลือด เชน วิตามินเค แคลเซียม เปนตน จะกระตุนใหโพรทรอมบิน (prothrombin) ในพลาสมาเปลีย่ นเปนทรอมบิน (thrombin) ซึง่ ทรอมบินเปนเอนไซมทเี่ ปลีย่ น ไฟบริโนเจน (fifibrinogen) ในพลาสมาใหเปนไฟบริน (fifibrin) สานกันเปนรางแห โปรตีน โดยจะรวมกับเกล็ดเลือดและเซลลเม็ดเลือดแดง ไปอุดบาดแผลเพือ่ ปองกัน การไหลของเลือดออกทางบาดแผล

16

คูมือครู

กิจกรรมสรางเสริม ใหนักเรียนทําใบงานโดยเขียนแผนผังความคิดสรุปสาระสําคัญเรื่อง ระบบไหลเวียนเลือดของมนุษย

กิจกรรมทาทาย “หากเปรียบระบบหมุนเวียนเลือดเหมือนกับรถไฟ ซึ่งรถไฟจะประกอบ ดวยตูรถไฟหลายๆ ตู และรถไฟจะตองวิ่งบนราง เมื่อวิ่งไปถึงสถานี รถไฟ ก็จะจอด คนบนรถไฟก็จะลง ขณะเดียวกันคนที่อยูในสถานีก็จะขึ้นรถไฟ” จากขอความขางตน ใหนักเรียนลองเปรียบเทียบสิ่งตางๆ เกี่ยวกับรถไฟ กับระบบไหลเวียนเลือด ดังนี้ • ตูรถไฟ • รางรถไฟ • สถานีรถไฟ • คนลงรถไฟ • คนขึ้นรถไฟ


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

Engage

Explore

Explain

Expand

กิจกรรม

พั ฒ นาทั ก ษะ วิทยาศาสตร์

Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate

ตรวจสอบผล

Evaluate

ใหนักเรียนทําใบงานเรื่องการไหลเวียนเลือด ในรางกายของมนุษย สงครูผูสอน จากนั้นใหทํา กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.3 ขอที่ 2 การวัดชีพจร

1.3

1. โครงสรางและการท�างานของหัวใจ การทดลองเรื่อง โครงสร้างและการท�างานของหัวใจ จุดประสงค์ : เพื่อศึกษาโครงสร้างและการท�างานของหัวใจ อุปกรณ์

ตรวจสอบผล

หลักฐานแสดงผลการเรียนรู

วิธีการปฏิบัติ

Àา¾ประกอบ

• แผนภาพหัวใจของ 1. ให้นกั เรียนบอกชือ่ ส่วนต่างๆ ของหัวใจ พร้อมทัง้ อธิบายหน้าทีข่ อง มนุษย์ แต่ละส่วน • บัตรค�าการท�างานของ 2. ให้นกั เรียนเขียนค�าอธิบายสั้นๆ มา 2 ประโยคเกี่ยวกับการท�างาน หัวใจ ของหัวใจ ที่ต้องท�างานตลอดชีวิตของคนคนหนึ่ง 3. แบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4 - 5 คน ให้แต่ละกลุ่มช่วยกันพิจารณาบัตรค�า ที่ก�าหนดให้ และน�ามาเรียงล�าดับเหตุการณ์เกี่ยวกับการไหลเวียน เลือดให้ถูกต้อง แล้วลอกข้อความลงในสมุดของนักเรียน ลิ้นหัวใจ

หลอดเลือดน�าเลือดไปเลี้ยงร่างกาย

หัวใจห้องล่างขวา

หัวใจห้องบนซ้าย

หลอดเลือดน�าเลือดจากร่างกาย

หัวใจห้องบนขวา

กล้ามเนื้อหัวใจ

หลอดเลือดน�าเลือดไปยังปอด

หัวใจห้องล่างซ้าย

1 2

1. ใบงานเรื่อง การหมุนเวียนเลือดในรางกายของ มนุษย 2. แบบบันทึกผลการทํากิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 1.3

9 8

3

7 6

4

5

ภาพที่ 1.26 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)

2. การวัดชีพจร การทดลองเรื่อง การวัดชีพจร จุดประสงค์ : เพื่อศึกษาอัตราการเต้นของหัวใจขณะท�ากิจกรรมแต่ละชนิด อุปกรณ์และสารเคมี • นาฬิกาจับเวลา • กล้องจุลทรรศน์ ชนิดสเตอริโอ • น�้ามันที่ ใช้กับ กล้องจุลทรรศน์ • หลอดหยดสาร • หูฟังแพทย์

วิธีการปฏิบัติ

Àา¾ประกอบ

1. ให้นกั เรียนแต่ละคนวัดชีพจรของตนเองขณะนัง่ พัก โดยใช้นวิ้ แตะที่ ข้อมือ (ดังภาพ) วัดการเต้นของชีพจร ภายใน 30 วินาที ซึ่งเมื่อน�า จ�านวนที่นับได้มาคูณด้วย 2 จะได้การเต้นของหัวใจเป็นครั้ง/นาที 2. ให้นกั เรียนใช้หฟู งั ของแพทย์แนบตรงหน้าอกด้านซ้าย เพือ่ ฟังการ เปิด-ปิดของลิ้นหัวใจ 3. ท�าการทดลองซ�้าตามข้อ 1. - 2. แต่วัดชีพจรหลังจากเดินไปมาจาก หน้าห้องไปหลังห้อง 10 รอบ 4. หยดน�้ามันลงบนหลังนิ้วมือระหว่างเล็บกับข้อนิ้วข้อแรก แล้วใช้ กล้องจุลทรรศน์สอ่ งดู โดยใช้กา� ลังขยายต�า่ เพือ่ หาหลอดเลือดแดง ภาพที่ 1.27 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) ขนาดเล็กๆ

 1. ชีพจรหมายถึงอะไร อัตราการเต้นของชีพจรของนักเรียนขณะนั่งพักมีค่าเท่าใด 2. เมือ่ เปรียบเทียบอัตราการเต้นของชีพจรในขณะพักกับขณะเดินไปมา 10 รอบ เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร 17

แนวตอบ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.3 1. โครงสรางและการทํางานของหัวใจ 1. สวนตางๆ ของหัวใจและหนาที่ของแตละสวน 1. หลอดเลือดเวน : นําเลือดจากหัวใจไปยังปอด 2. หลอดเลือดเวน : นําเลือดจากรางกายเขาสูหัวใจ 3. หัวใจหองบนขวา : รับเลือดจากรางกาย สงไปยังหัวใจหองลางขวา 4. หัวใจหองลางขวา : สูบฉีดเลือดไปยังปอด 5. กลามเนื้อหัวใจ : บีบตัวและคลายตัวในการทํางานของหัวใจ 6. หัวใจหองลางซาย : สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสวนตางๆ ในรางกาย 7. ลิ้นหัวใจ : ปด-เปดควบคุมการไหลของเลือดในหัวใจ 8. หัวใจหองบนซาย : รับเลือดจากปอด สงตอไปยังหัวใจหองลางซาย 9. หลอดเลือดอารเทอรี : นําเลือดจากหัวใจไปยังสวนตางๆ ในรางกาย 2. หัวใจทําหนาที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสวนตางๆ ของรางกาย หากหัวใจ หยุดทํางานคนเราจะไมสามารถมีชีวิตอยูได

3.

หลอดเลือดนําเลือดจากรางกาย

หลอดเลือดนําเลือดไปเลี้ยงรางกาย

หัวใจหองบนขวา

หัวใจหองลางซาย

ลิ้นหัวใจ

ลิ้นหัวใจ

หัวใจหองลางขวา

หัวใจหองบนซาย

หลอดเลือดนําเลือดไปยังปอด

หลอดเลือดนําเลือดจากปอดมาหัวใจ

2. การวัดชีพจร 1. ชีพจร เปนแรงสะเทือนของกระแสเลือดที่เกิดจากการบีบตัวของหัวใจหอง ลางซาย ทําใหผนังหลอดเลือดอารเทอรีขยายออกเปนจังหวะ ซึ่งสามารถ จับชีพจรไดในหลายจุด ไดแก ขอมือ ขมับ ขาหนีบ หนาอก ตนคอ และ ขอพับตางๆ 2. เสนสีแดงเล็กๆ บนหลังนิ้วมือนั่นคือ หลอดเลือดฝอย คูมือครู

17


กระตุน ความสนใจ

สํารวจคนหา Exploreนหา สํารวจค

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

กระตุEngage นความสนใจ

กระตุน ความสนใจ

Engage

ครูนําภาพสัตวตางๆ เชน ไฮดรา ยุง แมลงปอ ปลา กุง ปู เปนตน มาใหนักเรียนดูแลวตั้งคําถาม ใหนักเรียนชวยกันคิดวิเคราะห • นักเรียนคิดวาสัตวตางๆ ในภาพใชอวัยวะใด ในการหายใจ (แนวตอบ ไฮดรา เซลลรางกายมีการ แลกเปลี่ยนแกสกับสิ่งแวดลอมโดยตรง ยุงและแมลงปอ ใชทอลม ปลา กุง และปู ใชเหงือก) จากนั้นใหนักเรียนชวยกันยกตัวอยางสิ่งมีชีวิต ที่มีการหายใจเชนเดียวกับสัตวทั้ง 3 กลุม ขางตน โดยครูคอยเสนอแนะเพิ่มเติม

สํารวจคนหา

Explore

ใหนักเรียนแตละคนศึกษาเรื่องระบบหายใจ ของสัตว จากหนังสือเรียน หนา 18 และหากมี ขอสงสัยใด ใหสอบถามครูผูสอน

1.4 ÃкºËÒÂ㨠การด�ารงชีวิตของมนุษย์และสัตว์ นอกจากจะมีความต้องการใช้ สารอาหารแล้ว ยังจ�าเป็นต้องมีการหายใจเอาแก๊สออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย เพื่อใช้ในกระบวนการย่อยสลายสารอาหาร จึงนับได้ว่าการหายใจเป็นระบบ ที่มีความจ�าเป็นอย่างยิ่งส�าหรับการด�ารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตโดยทั่วไป O2 CO2

1.4.1 ระบบหายใจของสั 1 ตว

CO2

O2

ภาพที่ 1.28 การแลกเปลี่ยนแก๊สของไฮดราโดย การแพร่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์โดยตรง (ทีม่ าของภาพ : http://www.vcharkarn.com/vcafe /42796/1)

ทอลม ชองหายใจ ถุงลม ภาพที่ 1.29 โครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ ของแมลง life (ที่มาของภาพ : life)

สัตว์ชั้นต�่าพวกโพรติสต์ (protist) ส่วนมากอาศัยอยู่ในน�้า จะมีการ แลกเปลี่ยนแก๊สออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ โดยวิธีการแพร่ผ่าน ผนังเซลล์และเยื่อหุ้มเซลล์ โดยตรง ส่วนสัตว์ที่อาศัยอยู่บนบก จะมีปอด เป็นอวัยวะส�าหรับแลกเปลี่ยนแก๊สกับบรรยากาศ ผ่านโครงสร้างต่างๆ ของ ระบบหายใจ ซึ่งจะแตกต่างกันไปในสัตว์แต่ละชนิด 2 1) ไฮดรา เป็นสิง่ มีชวี ติ ที่ไม่มอี วัยวะในการหายใจ มีการแลกเปลีย่ น แก๊สออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ โดยการแพร่ ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์โดยตรง 2) แมลง มีช่องหายใจเล็กๆ ข้างล�าตัวบริเวณท้อง ซึ่งจะติดกับ ท่อลม ท่อลมมีลักษณะแตกเป็นแขนงไปยังเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย ท�าหน้าที่ ในการแลกเปลี่ยนแก๊ส โดยแก๊สออกซิเจนจากภายนอกจะแพร่เข้าสู่เซลล์ โดยผ่านท่อลมก่อน ส่วนแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ภายในเซลล์จะแพร่ออก สู่อากาศผ่านท่อลม และเคลื​ื่อนที่ย้อนกลับออกสู่ภายนอกร่างกาย 3) ปลา มีอวัยวะที่ใช้หายใจ คือ เหงือก มีหน้าที่ในการแลกเปลี่ยน แก๊สออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ มีลักษณะเป็นซี่เล็กๆ เรียงตัวกัน เป็นแผง โดยแต่ละซี่จะมีหลอดเลือดฝอยมาเลี้ยงจ�านวนมาก นอกจากปลา แล้ว ยังมีสัตว์น�้าชนิดอื่นอีก เช่น กุ้ง ปู เป็นต้น ที่มีเหงือกเป็นอวัยวะหายใจ เนื่องจากปริมาณออกซิเจนในน�้ามีน้อยกว่าในอากาศ สัตว์น�้าเหล่านี้จ�าเป็น ต้องมีโครงสร้างที่มีพื้นที่ผิวมากๆ ในการแลกเปลี่ยนแก๊ส จึงมีเหงือกที่มี ลักษณะเป็นซี่เล็กๆ เพื่อเป็นการเพิ่มพื้นที่ผิวให้สามารถแลกเปลี่ยนแก๊สได้ มากขึ้น น�้าเข้า

ภาพที่ 1.30 ระบบหายใจของปลาการแลกเปลี่ยน แก๊สเกิดขึ้นที่เหงือก (ที่มาของภาพ : life)

เหงือก

18

นักเรียนควรรู 1 โพรติสต อาจเปนสิ่งมีชีวิตเซลลเดียวหรือสิ่งมีชีวิตหลายเซลลที่มีโครงสราง งายๆ ไมมีการจัดเรียงตัวของเซลลตางๆ เปนเนื้อเยื่อ แตละเซลลจะสามารถ ทําหนาที่ของสิ่งมีชีวิตได เซลลเปนเเบบยูคาริโอต อาจมีโครงสรางที่ใชเคลื่อนที่ คลายสัตว เเละอาจมีคลอโรฟลลทําใหสังเคราะหดวยเเสงไดเหมือนพืช เชน รา สาหราย ยีสต โปรโตซัว ไวรัส เปนตน 2 ไฮดรา อยูในไฟลัมไนดาเรีย (Cnidaria) อาศัยอยูในแหลงนํ้าจืดที่คอนขาง สะอาด สามารถมองเห็นไดดวยตาเปลา ลําตัวยาวเปนรูปทรงกระบอกสูง ปลาย ดานหนึ่งประกอบดวยหนวดเสนเล็กๆ ลอมรอบปาก บางครั้งจะพบปุมเล็กๆ ยื่นยาวออกมาขางลําตัว เรียกวา หนอ (bud) หนอเหลานี้สามารถหลุดออกมา เจริญเปนตัวไฮดราใหมได ซึ่งเรียกการสืบพันธุวิธีนี้วา การแตกหนอ (budding)

18

คูมือครู

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

การที่เหงือกของปลามีลักษณะเปนซี่เล็กๆ มีผลตอระบบหายใจอยางไร 1. ชวยใหนํ้าซึมผานไดดี 2. ชวยเพิ่มพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนแกส 3. ชวยใหดูดซึมแกสคารบอนไดออกไซดไดดี 4. ชวยใหปลาไมตองขึ้นมาหายใจเหนือนํ้าบอยๆ วิเคราะหคําตอบ เนื่องจากแกสออกซิเจนในนํ้ามีปริมาณนอยกวาใน อากาศ การที่เหงือกของปลามีลักษณะเปนซี่เล็กๆ จะชวยเพิ่มพื้นที่ใน การแลกเปลี่ยนแกสระหวางนํ้ากับเซลลของเหงือก ดังนั้น ตอบขอ 2.


กระตุน ความสนใจ

สํารวจคนหา สํารวจค Exploreนหา

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

กระตุEngage นความสนใจ

กระตุน ความสนใจ 1.4.2 ระบบหายใจของมนุษย

การด�ารงชีวิตของคนเราต้องการแก๊สออกซิเจน ซึ่งได้จากการ หายใจเข้า ถ้าเกิดอุบัติเหตุท�าให้หยุดหายใจไปเพียง 2-3 นาที อาจท�าให้ ถึงตายได้ ระบบหายใจของมนุษย์มีสิ่งที่ควรศึกษา ดังนี้ 1) อวัยวะที่ช่วยในการหายใจ อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับระบบหายใจ ของคน เริ่มต้นที่ปากและจมูกไปสู่หลอดลม ซึ่งเป็นท่อกลวงมีกระดูกอ่อน เป็นวงแหวนแทรกอยู่ ช่วยให้หลอดลมไม่ยุบหรือแฟบ เป็นการปองกัน อันตรายให้แก่หลอดลม ปลายของหลอดลมแตกเป็น 2 แขนง เรียกว่า แขนงปอด เมื่อเข้าไปภายในปอดจะแตกแขนงเล็กๆ มากมาย เรียกว่า หลอดลมฝอย ปลายหลอดลมฝอยจะมีถุงเล็กๆ เรียกว่า ถุงลม 1ซึ่งจะมี หลอดเลือดฝอยมาหล่อเลี้ยง ปอดของคนเราไม่มีกล้ามเนื้อจึงไม่สามารถหดตัวและคลายตัว ได้เอง ดังนั้นการน�าเอาอากาศภายนอกเข้าสู่ปอดและขับแก๊สต่างๆ ออก จากปอด จึงต้องอาศัยการท�างานประสานกันของอวัยวะต่างๆ ได้แก่ กล้ามเนื้อของกระดูกซี่โครง และกล้ามเนื้อกะบังลม 2 2) การผ่านเข้าออกของอากาศโดยการหายใจ เป็นการรับอากาศ จากภายนอกผ่านปากหรือจมูกลงสูป่ อด และปล่อยอากาศจากปอดกลับออก สู่ภายนอกร่างกาย เป็นการท�างานร่วมกันของกระดูกซี่โครงและกะบังลม ดังนี้ 2.1) การหายใจเขา กระดูกซี่โครงเลื่อนสูงขึ้น กะบังลมเลื่อน ต�า่ ลง ท�าให้ปริมาตรของช่องอกมีมากขึน้ (ช่องอกขยายตัว) ความดันอากาศ ลดต�่าลง อากาศภายนอกผ่านเข้าสู่ปอดเป็นจังหวะการหายใจเข้า 2.2) การหายใจออก กระดูกซี่โครงเลื่อนต�่าลง กะบังลมเลื่อน สูงขึ้น ท�าให้ปริมาตรของช่องอกน้อยลง (ช่องอกหดตัว) ความดันอากาศใน ช่องอกสูงขึน้ ท�าให้อากาศออกจากปอดสูภ่ ายนอกเป็นจังหวะการหายใจออก อากาศเข้า

หลอดลม

หลอดลมฝอย ถุงลม

ภาพที่ 1.31 ปอด เป็นอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการ หายใจของคน การแลกเปลี่ยนแก๊สจะเกิดขึ้นที่ บริเวณถุงลม (ที่มาของภาพ : biology insights)

กระดูกซี่โครง เลื่อนต�่าลง

กะบังลม เลื่อนต�่าลง

กะบังลม เลื่อนสูงขึ้น หายใจออก

ครูบอกใหนักเรียนทุกคนหายใจเขาลึกๆ และ หายใจออกชาๆ แลวใหนักเรียนสังเกตลักษณะ ของหนาทองวามีการพองและยุบอยางไร จากนั้น ใหนักเรียนจับคูกัน ปฏิบัติเชนเดิม แตใหสังเกต ลักษณะหนาทองของเพื่อน รวมทั้งสังเกตวามี อวัยวะสวนอื่นๆ เคลื่อนที่อีกหรือไม แลวครู ตั้งคําถามเพื่อกระตุนการคิด • ขณะหายใจเขา และหายใจออก หนาทองมี ลักษณะอยางไร (แนวตอบ เมื่อหายใจเขาหนาทองจะขยาย เมื่อหายใจออกหนาทองจะแฟบลง) • นักเรียนคิดวามีอวัยวะใดบางที่เกี่ยวของกับ การหายใจ (แนวตอบ ขึ้นอยูกับคําตอบของนักเรียน โดยสวนใหญอาจตอบวา จมูก หลอดลม ปอด ถุงลม) เมือ่ นักเรียนตอบคําถามแลว ใหครูอธิบาย เพิม่ เติมวา นอกจากอวัยวะตางๆ ทีน่ กั เรียน ตอบมานัน้ ยังมีอวัยวะอืน่ ๆ อีกทีม่ สี ว นชวยในการ หายใจ ซึง่ นักเรียนจะไดศกึ ษาตอไป

สํารวจคนหา

อากาศออก

กระดูกซี่โครง เลื่อนสูงขึ้น

หายใจเข้า

แขนงปอด

Engage

ภาพที่ 1.32 การท�างานของกะบังลมและกล้ามเนื้อ ยึดกระดูกซี่โครงในกระบวนการหายใจ (ที่มาของภาพ : biology insights)

Explore

ใหนักเรียนอานเนื้อหาเรื่อง การผานเขาออก ของอากาศโดยการหายใจ และดูภาพการทํางาน ของกะบังลมและกลามเนื้อยึดกระดูกซี่โครงใน กระบวนการหายใจ จากหนังสือเรียน หนา 19 (ภาพที่ 1.32) จากนั้นใหทํากิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 1.4 ขอ 2. อากาศเขา-ออกปอด ไดอยางไร

19

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

ในขณะที่เราหายใจเขา ขอใดกลาวถึงความสัมพันธระหวางกะบังลมกับ กระดูกซี่โครงไดถูกตอง 1. ทั้งกะบังลมและกระดูกซี่โครงเลื่อนตํ่าลง 2. ทั้งกะบังลมและกระดูกซี่โครงเลื่อนสูงขึ้น 3. กะบังลมเลื่อนสูงขึ้น กระดูกซี่โครงเลื่อนตํ่าลง 4. กะบังลมเลื่อนตํ่าลง กระดูกซี่โครงเลื่อนสูงขึ้น วิเคราะหคําตอบ ในขณะหายใจเขา กระดูกซี่โครงจะเลื่อนสูงขึ้น กะบังลมเลือ่ นตํา่ ลง ทําใหปริมาตรชองอกมีมากขึน้ ความดันอากาศลดตํา่ ลง อากาศภายนอกรางกายจะผานเขาสูปอด ซึ่งหากเปนการหายใจออกจะมี ลักษณะตรงขามกัน ดังนั้น ตอบขอ 4.

นักเรียนควรรู 1 ถุงลม บุคคลที่สูบบุหรี่จัด อาจเปนโรคถุงลมโปงพอง (emphysema) เพราะ บุหรี่ทําใหถุงลมขาดความยืดหยุน เมื่อถุงลมหลายๆ ถุงแตกแลวอาจรวมตัวเปน ถุงลมขนาดใหญ (โปงพอง) ทําใหจํานวนถุงลมลดนอยลง ซึ่งจะมีอาการไอเรื้อรัง มีเสมหะ หอบ เหนื่อย เพราะไดรับออกซิเจนไมเพียงพอ หายใจมีเสียง หายใจ ลําบาก เพราะหลอดลมตีบขึ้น ซึ่งอาการจะมากขึ้นตามการเสื่อมของถุงลมในปอด 2 การหายใจ การหายใจอยางถูกวิธีนั้น ตองหายใจอยางชาๆ และลึกๆ เมื่อหายใจเขาทองจะพองออก เมื่อหายใจออกทองจะยุบลง โดยทรวงอกจะ ไมเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนไหวนอยมาก ซึ่งการหายใจที่ถูกวิธีจะชวยใหรางกาย ผอนคลาย เนื่องจากไดรับออกซิเจนอยางเพียงพอ

คูมือครู

19


กระตุนความสนใจ Engage

สํารวจคนหา

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explore

Explain

Expand

Evaluate

Exploreนหา สํารวจค

สํารวจคนหา

Explore

ใหนักเรียนศึกษาเรื่องการหายใจระดับเซลล จากหนังสือเรียน หนา 20

อธิบายความรู

Explain

ครูตั้งคําถามเพื่อใหนักเรียนไดอธิบายความรูที่ ไดศึกษามา • ใหนักเรียนบอกชื่ออวัยวะที่เกี่ยวของกับการ หายใจ โดยเรียงลําดับจากการที่อากาศเขาสู รางกาย (แนวตอบ อวัยวะที่เกี่ยวของกับการหายใจ ไดแก จมูกหรือปาก หลอดลม แขนงปอด หลอดลมฝอย ถุงลม ซึ่งในการหายใจเขาและ ออกนั้นยังตองอาศัยการทํางานของกลามเนื้อ กระดูกซี่โครงและกลามเนื้อกะบังลมดวย) • ใหนักเรียนอธิบายการทํางานของกลามเนื้อ กระดูกซี่โครงและกลามเนื้อกะบังลม ขณะที่ มีการหายใจเขา และหายใจออก (แนวตอบ ขณะหายใจเขา กลามเนื้อกระดูก ซี่โครงจะเลื่อนสูงขึ้น และกลามเนื้อกะบังลม เลื่อนตํ่าลง ทําใหปริมาตรชองอกขยาย ในทางกลับกันขณะที่หายใจออก กลามเนื้อ กระดูกซี่โครงจะเลื่อนตํ่าลง และกลามเนื้อ กะบังลมเลื่อนสูงขึ้น ทําใหปริมาตรชองอก นอยลง)

เลือดจากหัวใจ

เลือดกลับ สู่หัวใจ

CO2 O2

ภาพที่ 1.33 การแลกเปลี่ยนแก๊สที่ถุงลม (ที่มาของภาพ : biology insights) เซลลรางกาย

อาหาร

CO2 + น�้า O2

หลอดเลือดฝอย ภาพที่ 1.34 การแลกเปลี่ยนแก๊สที่เซลล์ (ที่มาของภาพ : biology expression) expression

3) การหายใจระดับเซลล์ การหายใจระดับเซลล์ คือ กระบวนการ แลกเปลี่ยนแก๊สสู่เซลล์ เกิดปฏิกิริยาระหว่างสารอาหารและออกซิเจน พร้อมทั้งปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ น�้า และพลังงานออกมา 3.1) การแลกเปลี่ยนแกสที่ถุงลม เมื่ออากาศเข้าสู่ปอดจะไป อยู่ในถุงลม ซึ่งปอดแต่ละข้างจะมีถุงลมประมาณ 150 ล้านถุง แต่ละถุง มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่ถึง 0.1 มิลลิเมตร โดยถุงลมแต่ละอันจะมี หลอดเลือดฝอยมาห่อหุ้ม และเกิดการแลกเปลี่ยนแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ออกซิเจน ไนโตรเจน และไอน�้า ผ่านเข้าและออกจากถุงลมโดยผ่านเยื่อ บางๆ ของถุงลม เลื อ ดจากหั ว ใจมาสู ่ ป อด เป็ น เลื อ ดที่ มี อ อกซิ เ จนต�่ า คาร์บอนไดออกไซด์สงู เมือ่ มาสูถ่ งุ ลมจะมีการแลกเปลีย่ นแก๊สโดยออกซิเจน ในถุงลมจะแพร่เข้าสู่เลือด ขณะเดียวกันคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดจะแพร่ เข้าสู่ถุงลม แล้วขับออกทางลมหายใจออก 3.2) การแลกเปลี่ยนแกสที่เซลล เลือดจะพาแก๊สออกซิเจน และสารอาหารไปสู่เซลล์ทั่วร่างกาย เมื่อแก๊สออกซิเจนและสารอาหาร เข้าสู่เซลล์จะเกิดปฏิกิริยาระหว่างแก๊สออกซิเจนและสารอาหาร ซึ่งได้ 1 พลังงานออกมา กระบวนการนี้เรียกว่า กระบวนการหายใจ ปฏิกิริยานี้เกิด ขึ้นอย่างช้าๆ นอกจากนี้แล้วยังได้น�้าและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็น ของเสียที่แพร่เข้าสู่เลือด เลือดจะพาของเสียเหล่านี้ไปสู่ถุงลมในปอด เพื่อ ขับถ่ายออกมาทางลมหายใจออกต่อไป เลือดที่มีแกสออกซิเจนสูง

แลกเปลี่ยนแกส ที่ถุงลม

เซลลรางกาย

แลกเปลี่ยนแกส ที่เซลล

เลือดที่มีแกสคารบอนไดออกไซดสูง ภาพที่ 1.35 การแลกเปลี่ยนแก๊สและการหมุนเวียนเลือดในร่างกายมนุษย์ (ที่มาของภาพ : biology expression)

à«ÅÅ µÍŒ §¡ÒÃá¡ ÊÍÍ¡«ÔਹáÅÐÍÒËÒÃà¾×Íè à¼Ò¼ÅÒÞãËŒà¡Ô´à»š¹¾Åѧ§Ò¹·ÕÃè Ò‹ §¡Ò¹íÒä»ãªŒä´Œ ¶ŒÒËҧ¡Ò ·íҧҹ˹ѡ ËÑÇ㨨Ðൌ¹àÃçÇ¢Öé¹ ·Ñ駹Õéà¾ÃÒÐËҧ¡ÒµŒÍ§¡ÒÃá¡ ÊÍÍ¡«Ôਹà¾ÔèÁ¢Öé¹ ¶ŒÒ»ÃÔÁҳᡠÊÍÍ¡«Ôਹ ࢌÒÊÙ‹à«ÅÅ äÁ‹à¾Õ§¾Í à«ÅÅ ¨ÐÊÅÒÂÍÒËÒÃà¾×2èÍãËŒà¡Ô´¾Åѧ§Ò¹â´ÂäÁ‹ãªŒÍÍ¡«Ôਹ àÃÕÂ¡Ç‹Ò ¡ÒÃËÒÂã¨áºº äÁ‹ãªŒÍÍ¡«Ôਹ ¼Å¼ÅÔµ·Õèä´Œ ¤×Í ¡Ã´áÅ¡µÔ¡ «Öè§à»š¹ÊÒà˵آͧ¡ÒÃà¡Ô´µÐ¤ÃÔÇ

20

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

นักเรียนควรรู 1 กระบวนการหายใจ สมการเคมีแสดงกระบวนการหายใจ มีดังนี้ อาหาร + แกสออกซิเจน

แกสคารบอนไดออกไซด + พลังงาน

2 กรดแลกติก เปนสารที่เกิดจากการสลายกลูโคสในรางกาย หรือสลาย ไกลโคเจนในกลามเนื้อ ซึ่งคนปกติจะมีคากรดแลกติกในเลือดตํ่ามาก แตใน บางชวงอาจมีคาสูงได เชน หลังการออกกําลังกายอยางหนัก ซึ่งเปนสาเหตุให กลามเนื้อออนลา

มุม IT ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบหายใจ ไดจากเว็บไซต http://www.med.cmu. ac.th/dept/vascular/human/lesson/lesson3.php

20

คูมือครู

โรคถุงลมโปงพอง มีผลตอการแลกเปลี่ยนแกสที่ถุงลมอยางไร จงอธิบายมาพอสังเขป แนวตอบ ผูปวยโรคถุงลมโปงพอง จะมีจํานวนถุงลมลดนอยลง ซึ่งมีผล ตอการแลกเปลี่ยนแกสที่ถุงลม เนื่องจากบริเวณรอบถุงลมแตละอันจะมี หลอดเลือดฝอยมาหอหุม ซึ่งเปนบริเวณที่เกิดการแลกเปลี่ยนแกสระหวาง หลอดเลือดฝอยกับถุงลม โดยแกสออกซิเจนจะแพรจากถุงลมเขาสูเลือด ขณะเดียวกันแกสคารบอนไดออกไซดในเลือดจะแพรเขาสูถุงลม แลวขับ ออกทางลมหายใจออก ดังนั้น ผูที่เปนโรคนี้จึงมีอาการหอบ เหนื่อยงาย เพราะรางกายไดรับออกซิเจนไมเพียงพอ


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

Engage

Explore

Explain

กิจกรรม

1.4

1. โครงสรางของปอด การทดลองเรื่อง โครงสร้างของปอด จุดประสงค์ : เพื่อศึกษาโครงสร้างของปอด อุปกรณ์

วิธีการปฏิบัติ

Expand าใจ ขยายความเข

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

ขยายความเขาใจ

พั ฒ นาทั ก ษะ วิทยาศาสตร์

• ปอดหมู หรือ แบบจ�าลองปอด ของมนุษย์ • แผนภาพของปอด

ขยายความเขาใจ

Àา¾ประกอบ

Expand

ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกีย่ วกับ โครงสรางและหนาทีข่ องระบบหายใจของมนุษย และสัตวชนิดตางๆ วามีความเหมือนกันหรือ แตกตางกันอยางไร เพือ่ ใหไดขอ สรุปทีต่ รงกัน จากนัน้ ใหนกั เรียนจับคูก นั ศึกษาคนควาเพิม่ เติม เกีย่ วกับวิธีการดูแลรักษาระบบหายใจใหทํางาน ไดอยางปกติ ทําเปนใบงานสงครูผูสอน

1. ให้ นั ก เรี ย นดู ส ่ ว นส� า คั ญ ของปอดจากปอดหมู หรือแบบจ�าลองปอดของมนุษย์ โดยตั้งประเด็น การศึกษา ดังนี้ • ปอดมีลักษณะคล้ายอะไร (บอกรายละเอียดขณะ ที่อยู่ ในร่างกาย ขนาด สี เนื้อปอด) • เส้นทางเดินของอากาศภายในปอด (บอกชือ่ และ รายละเอียดของแต่ละส่วน) • เราหายใจได้อย่างไร (มีอะไรเกิดขึ้นกับ ภาพที่ 1.36 (ที่มาของภาพ : life) กระดูกซี่โครง และกะบังลม)

 1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 2-3 คน ศึกษาแผนภาพของปอด โดยชี้บอกชื่อส่วนต่างๆ 2. นักเรียนทั้งกลุ่มช่วยกันเขียนเรื่องย่อเกี่ยวกับปอดในหัวข้อ “เราหายใจได้อย่างไร” โดยระบุรายละเอียด โครงสร้างของปอด และระบบทางเดินของอากาศ

2. อากาศเขา-ออกปอดไดอย่างไร การทดลองเรื่อง อากาศเข้า-ออกปอดได้อย่างไร จุดประสงค์ : เพื่อทดลองและเปรียบเทียบการท�างานของปอดจ�าลองกับการท�างานของปอดในร่างกาย อุปกรณ์

Çิ¸ีการทดลอ§

Àา¾ประกอบ

• แบบจ�าลองการท�างาน 1. จัดอุปกรณ์ปอดจ�าลอง ดังรูป ของปอด 2. ดึงแผ่นยางลงอย่างช้าๆ สังเกตการเปลี่ยนแปลง ของลูกโปง บันทึกผลการทดลอง 3. ปล่อยแผ่นยางคืนสูส่ ภาพเดิม สังเกตการเปลีย่ นแปลง ของลูกโปง บันทึกผลการทดลอง 4. ใช้นิ้วดันแผ่นยางเข้าไปข้างในเบาๆ สังเกตการ เปลี่ยนแปลงของลูกโปง บันทึกผลการทดลอง

ภาพที่ 1.37 (ที่มาของภาพ : biology insights)

 1. ให้นักเรียนคัดลอกภาพแบบจ�าลองแสดงการท�างานของปอดมนุษย์ลงในสมุดของนักเรียน 2. บ่งชี้ส่วนต่างๆ ในภาพว่าตรงกับอวัยวะส่วนใดของปอด และอธิบายด้วยว่า แต่ละส่วนมีการท�างานอย่างไร เมื่อนักเรียนหายใจเข้าและออก 3. มีอวัยวะส่วนอื่นใดของปอดอีกบ้างที่ช่วยในการหายใจ แต่ไม่ปรากฏในแบบจ�าลองนี้ 21

แนวตอบ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.4 1. โครงสรางปอด หลอดลม 1.

2. อากาศเขา-ออกปอดไดอยางไร

แขนงปอด หลอดลมฝอย ถุงลม

2. พิจารณาคําตอบของนักเรียน โดยอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน 3. พิจารณาคําตอบของนักเรียน โดยอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน

ชองอก ปอด กะบังลม

เมื่อหายใจเขา การดึงแผนยาง เปรียบไดกับกะบังลมเลื่อนตํ่าลง ทําให ปริมาตรชองอกมีมากขึ้น ความดันอากาศในชองอกลดตํ่าลง ดังนั้น อากาศ จากภายนอกจึงผานเขาสูลูกโปง (ปอด) ลูกโปงจึงพองออก เมื่อหายใจออก เมื่อปลอยแผนยางกลับ เปรียบไดกับกะบังลมเลื่อนสูงขึ้น ทําใหปริมาตรชองอกลดลง ความดันอากาศในชองอกสูงขึ้น ดังนั้น อากาศจาก ลูกโปง (ปอด) จึงผานออกสูภายนอก ลูกโปงจึงแฟบ อวัยวะสวนอื่นที่ชวยในการหายใจ คือ กลามเนื้อกระดูกซี่โครง คูมือครู

21


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

Engage

Explore

Explain

Expand

ตรวจสอบผล

ตรวจสอบผล Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate

Evaluate

ใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 1.4 ขอ 1. และขอ 3. โดยใหบันทึก ผลการทํากิจกรรมและตอบคําถามหลังกิจกรรม ทํารายงานสงครูผูสอน

หลักฐานแสดงผลการเรียนรู 1. ใบงานเรื่อง วิธีการดูแลรักษาระบบหายใจให ทํางานไดอยางปกติ 2. แบบบันทึกผลการทํากิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 1.4

3. การวัดการหายใจ นักเรียนสามารถค้นหาความสัมพันธ์ระหว่างการออกก�าลังกับระบบการหายใจ อัตราการเต้นของหัวใจ และ อัตราการหายใจ โดยการวัดอย่างง่ายๆ ดังต่อไปนี้ การทดลองเรื่อง การวัดการหายใจ จุดประสงค์ : เพื่อทดลองและเปรียบเทียบอัตราการหายใจในขณะพักกับขณะออกก�าลังกาย อุปกรณ์และสารเคมี

วิธีการปฏิบัติ

• นาฬิกาจับเวลา • น�้าปูนใส • หลอดทดลอง 3 หลอด • เครื่องมือวัดปริมาตร ปอด • เทอร์มอมิเตอร์วัดไข้ • กระดาษบันทึก • ดินสอสี • แว่นตานิรภัย

1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3-4 คน ให้ทุกคนในกลุ่มช่วยกันท�างาน เพื่อให้การวัดแต่ละเรื่องเป็นไปอย่างรวดเร็วและ ถูกต้อง โดยท�าการวัดก่อนและหลังออกก�าลังกาย แล้วน�าผลมาเปรียบเทียบกัน 2. ให้นักเรียนท�าการวัด 5 รายการตามที่ก�าหนดไว้ข้างล่างนี้ จากค�าแนะน�าการทดลองที่ ได้อธิบายรายละเอียดไว้ อ่านค�าแนะน�าให้เข้าใจก่อนเริ่มต้นท�าการทดลอง 3. นักเรียนทุกคนต้องช่วยกันวัดรายการต่างๆ ของร่างกายแต่ละคนขณะพัก บันทึกข้อมูล 4. เมื่อเสร็จแล้วให้คนที่ 1 ออกก�าลังกายเป็นเวลา 3 นาที เมื่อครบแล้วให้ 2 คนที่เหลือช่วยวัดตามรายการต่างๆ ให้เสร็จ โดยเร็ว บันทึกข้อมูล เมื่อเสร็จแล้วให้คนที่ 2 และคนที่ 3 ไปออกก�าลังตามล�าดับ คนที่เหลือช่วยกันวัดและบันทึกข้อมูล เช่นเดียวกัน สิ่งที่จะต้องวัด • อัตราการเต้นของหัวใจ : วัดอัตราการเต้นของชีพจรในช่วงเวลา 30 วินาที • วัดอุณหภูมิของร่างกาย : วัดอุณหภูมิที่ผิวหนังด้วยเทอร์มอมิเตอร์วัดไข้ • ความจุของปอด : ใช้เครื่องมือวัดปริมาตรปอด • อัตราการสูดลมหายใจ : โดยการนับจ�านวนครั้งที่หายใจ/นาที • อัตราการหายใจ : โดยวัดปริมาณของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่ออกมากับลมหายใจออก

 1. จากผลการทดลองการวัดการหายใจ การหายใจ นักเรียนคิดว่าจะสามารถทราบถึงความแข็งแรงของร่างกายได้หรือไม่ อย่างไร 2. ในระหว่างการออกก�าลังกาย เมื่อวัดอัตราการเต้นของหัวใจ และอัตราการหายใจให้ผลเป็นอย่างไร จงอธิบายและให้เหตุผลประกอบ 3. อธิบายเปรียบเทียบอัตราการเต้นของหัวใจและอัตราการหายใจของตนเองก่อนและหลังการออกก�าลังกาย

22

แนวตอบ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.4 (ตอ) 3. การวัดการหายใจ 1. การวัดการหายใจสามารถบอกใหทราบถึงความแข็งแรงของรางกายได เนื่องจากคนที่แข็งแรงจะสามารถออกกําลังกายไดนาน ซึ่งจะมีการ หายใจชากวาคนที่รางกายออนแอ และอัตราการหายใจจะกลับคืนสู ภาวะปกติไดเร็วกวาอีกดวย 2. ในขณะออกกําลังกายจะมีอัตราการเตนของหัวใจเร็วกวาปกติ และมี การหายใจถี่ เพื่อรับแกสออกซิเจนไปทดแทนแกสคารบอนไดออกไซดที่ เกิดจากกระบวนการเผาผลาญสารอาหารใหเกิดเปนพลังงาน 3. กอนออกกําลังกาย จะมีอัตราการเตนของหัวใจและการหายใจที่ชากวา หลังการออกกําลังกาย เนื่องจากการออกกําลังกายจะตองใชพลังงานที่ เกิดจากการสลายสารอาหาร และเกิดแกสคารบอนไดออกไซด จึงตอง หายใจชาเพื่อรับแกสออกซิเจนไปทดแทน

22

คูมือครู

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

เมื่อนักเรียนวิ่งเปนระยะทางไกลๆ อัตราการหายใจจะสูงขึ้น เนื่องมาจากหลายปจจัย ยกเวนขอใด 1. ปองกันไมใหรางกายขาดสารอาหาร 2. เพื่อชวยระบายความรอนออกจากรางกาย 3. เพื่อทําใหสัมพันธกับการเผาผลาญสารอาหารในรางกาย 4. เพื่อขับแก็ส CO2 ออกจากรางกาย และรับแกส O2 เขาสูรางกาย

วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให ตั้งแตขอ 2.-4. ลวน เกี่ยวของกับกระบวนการหายใจ แตขอ 1. เกี่ยวของกับการบริโภคอาหาร ดังนั้น ตอบขอ 1.


กระตุน ความสนใจ

สํารวจคนหา สํารวจค Exploreนหา

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

กระตุEngage นความสนใจ

กระตุน ความสนใจ

ครูรวมสนทนากับนักเรียนวารางกายของเรามี ระบบตางๆ มากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ระบบ ขับถายที่จะชวยกําจัดของเสียออกจากรางกาย ทั้งนี้เพื่อทําใหรางกายเกิดสมดุล จากนั้นตั้งคําถาม เพื่อกระตุนการเรียนรูของนักเรียน • เมื่อกลาวถึงระบบขับถาย นักเรียนนึกถึง สิ่งใด (แนวตอบ พิจารณาจากคําตอบของนักเรียน โดยอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน) • รางกายมนุษยมีการกําจัดของเสียออกจาก รางกายในรูปแบบใดบาง (แนวตอบ เหงื่อ ปสสาวะ อุจจาระ ลมหายใจ)

1.5 Ãкº¢Ñº¶‹Ò การสลายสารอาหารภายในเซลล์ รวมถึงการสังเคราะห์สารต่างๆ ท�าให้เกิดสารหลายชนิด ทั้งที่ร่างกายน�าไปใช้ได้และของเสียที่เป็นอันตราย ต่อร่างกาย ซึง่ ร่างกายต้องก�าจัด เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ ยูเรีย แอมโมเนีย กรดยูริก แก๊ส เป็นต้น การก�าจัดของเสียต่างๆ ดังกล่าวนั้น เรียกว่า การ ขับถาย

เฟลมเซลล

1.5.1 ระบบขับถ่ายของสัตว

การด�ารงชีวิตของสัตว์โดยทั่วไป จะมีปฏิกิริยาเคมีต่างๆ เกิดขึ้นใน เซลล์ของร่างกาย เป็นผลให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์และของเสียที่ต้อง ก�าจัดออกด้วยการขับถ่าย ซึ่งสัตว์แต่ละชนิดจะมีอวัยวะและกระบวนการ ก�าจัดของเสียออกจากร่างกายที่แตกต่างกันไป ■ ฟองน�้า มีโครงสร้างที่ไม่ซับซ้อน ท�าหน้าที่ก�าจัดของเสียไปยัง สิ่งแวดล้อม โดยการแพร่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ 1 ■ ไส้เดือนดิน ใช้เเนฟริ นฟริเดียม (nephridium) รับของเสียที่มาตาม ท่อ และมีท่อเปิดออกเป็นรูเปิดข้างล�าตัว ■ พลานาเรีย ใช้อวัยวะที่พัฒนาขึ้นจ�าเพาะในการขับถ่าย เป็น ตัวกรองของเสีย ซึ่งเป็นท่อกระจายอยู่ทั้งสองข้างตลอดความยาวของล� าตัว 2 และมีรูเปิดขับของเสียออกข้างล�าตัว เรียกว่า เฟลมเซลล (flame cell) ■ แมลง ใช้อวัยวะขับถ่ายที่เรียกว่า ทอมัลพิเกียน (mulphigian tubule) ซึง่ เป็นท่อขนาดเล็กจ�านวนมากทีอ่ ยูร่ ะหว่างกระเพาะอาหารกับล�าไส้ ท�าหน้าที่ดูดซึมของเสียจากเลือด และส่งต่อไปยังทางเดินอาหาร แล้วขับ ออกนอกร่างกายผ่านช่องทวารหนัก ■ ไฮดรา ขับของเสียออกจากเซลล์ โดยการแพร่ผ่านออกไปสะสม และรวมกันไว้ที่ช่องว่างกลางล�าตัว ก่อนที่จะขับของเสียออกทางปาก ■ ปลา มีอวัยวะขับถ่าย คือ ไต มีลักษณะเป็นท่อยาว อยู่ภายใน ช่องท้องค่อนไปทางด้านบนของล�าตัว ของเสียที่ส่งมาสู่ไตจะถูกส่งต่อไปยัง กระเพาะปัสสาวะ และขับออกนอกร่างกายทางทวารหนัก

Engage

ภาพที่ 1.38 ระบบขับถ่ายของพลานาเรีย (ที่มาของภาพ : life)

สํารวจคนหา

Explore

ใหนักเรียนดูภาพระบบขับถายของสัตวตางๆ จากหนังสือเรียน หนา 23 แลวรวมกันอภิปราย เกี่ยวกับอวัยวะขับถายของสัตวนั้นๆ จากนั้น จึงคอยอานเนื้อหา แลวสรุปขอความสั้นๆ ลงในสมุด

เนฟริเดียม

ภาพที่ 1.39 ระบบขับถ่ายของไส้เดือนดิน (ที่มาของภาพ : life) life)

ไต

ทอมัลพิเกียน

ภาพที่ 1.40 ระบบขับถ่ายของแมลง (ที่มาของภาพ : life)

ภาพที่ 1.41 ระบบขับถ่ายของปลา (ที่มาของภาพ : life)

23

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

เพราะเหตุใดสิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะตองมีระบบขับถาย หรือมีการกําจัด ของเสียออกจากรางกาย

แนวตอบ เนื่องจากเมื่อสิ่งมีชีวิตกินอาหารเขาไป อาหารจะผาน กระบวนการยอยซึ่งทําใหเกิดของเสียตางๆ ที่รางกายไมตองการ ไดแก นํ้า ยูเรีย แกสคารบอนไดออกไซด และกากอาหาร ดังนั้นรางกายจึงตอง มีกระบวนการกําจัดของเสียตางๆ เหลานี้ออกจากรางกาย โดยอาศัย กระบวนการในระบบขับถาย

นักเรียนควรรู 1 เนฟริเดียม แตละปลองของไสเดือนดินจะมีเนฟริเดียม 1 คู ที่ไมเชื่อมติดกัน โดยจะอยูทางดานขางของลําตัว เนฟริเดียมจะมีปลายขางหนึ่งที่เปดออกอยูใน ชองวางของลําตัว มีลักษณะเปนปากแตร เรียกวา เนโฟรสโตม (nephrostome) 2 เฟลมเซลล ประกอบไปดวยกลุมของเซลลที่ทําหนาที่ขับถาย มีลักษณะเปน เบาเล็กๆ ยื่นออกมาขางๆ ทอขับถาย แตละอันจะมีชองวางตรงกลาง ซึ่งใน ชองวางนี้มีซีเลีย (cilia) ทําหนาที่พัดโบกนํ้าและของเสียเขาสูทอขับถาย

มุม IT ศึกษาเพิม่ เติมเกีย่ วกับระบบขับถายของสัตวและมนุษย ไดจากเว็บไซต คลังความรูสูความเปนเลิศทางวิทยาศาสตร คณิตศาสตรและเทคโนโลยี http://www.scimath.org/socialnetwork/groups/viewgroup/151ระบบขับถาย+ (Excretory+System) คูมือครู 23


กระตุน ความสนใจ

สํารวจคนหา Exploreนหา สํารวจค

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

กระตุEngage นความสนใจ

กระตุน ความสนใจ

Engage

ครูสอบถามนักเรียนวากิจวัตรประจําวันของ มนุษยเราหลังตื่นนอน จะตองทําอะไรบาง จากนั้นใหตั้งคําถามกระตุนการเรียนรูของนักเรียน • เหตุใดเราจึงตองมีการปสสาวะและ ถายอุจจาระ (แนวตอบ การปสสาวะและถายอุจจาระเปนวิธี กําจัดของเสียออกจากรางกาย) • นอกจากการขับถายของเสียในรูปของ ปสสาวะและอุจจาระแลว นักเรียนคิดวา รางกายของเรายังมีการกําจัดของเสีย ออกทางใดอีกบาง และในรูปของสารใด (แนวตอบ กําจัดของเสียออกทางผิวหนัง ในรูปของเหงื่อ หรือทางการหายใจออก ในรูปของแกสคารบอนไดออกไซด)

สํารวจคนหา

1.5.2 ระบบขับถายของมนุษย

ไต ทอไต

กระเพาะปสสาวะ ภาพที่ 1.42 ตําแหนงของไตในรางกายมนุษย (ที่มาของภาพ : biology insights)

Explore

ครูแบงนักเรียนออกเปน 4 กลุม ใหนักเรียน แตละคนในกลุมศึกษาเรื่องตางๆ จากหนังสือเรียน หนา 24-25 ดังนี้ นักเรียนในกลุมที่ 1 ศึกษาเรื่อง ไต นักเรียนในกลุมที่ 2 ศึกษาเรื่อง ผิวหนัง นักเรียนในกลุมที่ 3 ศึกษาเรื่อง ปอด นักเรียนในกลุมที่ 4 ศึกษาเรื่อง ลําไสใหญ จากนั้นใหนักเรียนแตละคนแยกตัวไปรวมกลุม กับเพื่อนที่ศึกษาเรื่องตางกัน โดยจับกลุมใหมเปน กลุม 4 คน ใหแตละคนสรุปเรื่องที่ตนเองศึกษาให เพื่อนในกลุมฟง จากนั้นรวมกันสรุปสาระสําคัญเปน แผนผังความคิดเกี่ยวกับอวัยวะในระบบขับถาย วิธีกําจัดของเสีย และมีการกําจัดของเสียออกมา ในรูปใด

ตารางที่ 1.1 ปริมาณสารตางๆ ในนํ้าเลือดและในนํ้าปสสาวะ ÊÒÃ

24

EB GUIDE

เกร็ดแนะครู กอนเขาสูการเรียนการสอน ครูอาจสอบถามนักเรียนวา ใครกระหายนํ้าบาง ซึ่งหากนักเรียนกระหายนํ้า ใหครูนํานํ้ามาใหดื่ม ซึ่งเมื่อนักเรียนดื่มนํ้าไปสักครู ใหครูสอบถามนักเรียนคนที่ดื่มนํ้าเขาไปวา รูสึกปวดปสสาวะหรือไม แลวจึงอธิบาย เขาสูเนื้อหาเรื่อง ไต

นักเรียนควรรู 1 ไต เมื่อปลายป พ.ศ. 2548 สมาคมโรคไตแหงประเทศไทยไดรับคําเชิญชวน จากองคกรสากล สมาพันธมูลนิธิโรคไต (International Federation of Kidney Foundation : IFKF) และสมาคมโรคไตนานาชาติ (International Society of Nephrology : ISN) ในการรณรงคเรื่องโรคไต โดยกําหนดใหวันพฤหัสบดีที่สอง ของเดือนมีนาคมของทุกป เปนวันไตโลก

24

คูมือครู

การขับถายที่สําคัญที่สุดของคนและสัตวชั้นสูงทั่วไป คือ การกําจัด ของเสียออกทางไต โดยจะขับถายในรูปของระบบขับถายปสสาวะ (urinary system) นอกจากนี้ยังมีการกําจัดของเสียทางผิวหนังในรูปของเหงื่อ การ กําจัดของเสียทางปอด โดยการหายใจออก และการกําจัดของเสียทาง ลําไสใหญโดยการถ 1 ายอุจจาระอีกดวย 1) ไต เปนอวัยวะหลักในการขับถายของเสีย ลักษณะคลายเมล็ดถัว่ อยูคอนไปทางดานหลังของชองทองสองขางของกระดูกสันหลัง ทําหนาที่ กรองของเสียที่รางกายไมตองการ และรักษาสมดุลของนํ้า แรธาตุ และสาร บางชนิดอีกดวย การทํางานของไต ภายในไตประกอบดวยหนวยไต (nephron) จํานวนมาก ทําหนาทีก่ รองเลือด เลือดทีม่ อี อกซิเจนสูงเขาไตทางหลอดเลือด แดง (renal artery) สารที่เปนประโยชนตอรางกาย เชน นํ้า กลูโคส เปนตน จะถูกดูดกลับเขาสูหลอดเลือดฝอย ลําเลียงไปกับเลือดกลับสูหัวใจทาง หลอดเลือดดํา (renal vein) สวนของเสียที่รางกายไมตองการ จะสลายเปน นํ้าปสสาวะ และลําเลียงไปยังกระเพาะปสสาวะเพื่อรอขับออกนอกรางกาย ตามปกติกระเพาะปสสาวะสามารถรองรับนํา้ ปสสาวะไดประมาณ 250 ลูกบาศกเซนติเมตร เมื่อกระเพาะปสสาวะเต็มจะเริ่มรูสึกปวดทองนอย แสดงใหทราบวาตองการถายปสสาวะออก โดยเฉลี่ยใน 1 วัน เราสามารถ ถายปสสาวะไดถึง 1,000-1,500 ลูกบาศกเซนติเมตร ขึ้นอยูกับปริมาณ นํ้าที่มีอยูในรางกาย แตบางครั้งเราก็สามารถถายปสสาวะไดกอนที่จะรูสึก ปวดทองนอย

»ÃÔÁÒ³ÊÒõ‹Ò§æ (g/cm3) ¹íéÒàÅ×Í´ ¹íéÒ»˜ÊÊÒÇÐ

นํ้า

92

95

โปรตีน

7

0

คลอไรด

0.37

0.6

กลูโคส

0.1

0

ยูเรีย

0.03

2

http://www.aksorn.com/LC/Sci B1/M2/04

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

หากไตทํางานผิดปกติ จะสามารถสังเกตไดจากสิ่งใด 1. เหงื่อ 2. อุจจาระ 3. ปสสาวะ 4. ลมหายใจออก วิเคราะหคําตอบ ไตมีหนาที่กรองของเสียที่รางกายไมตองการออกจาก เลือด ซึ่งของเสียนั้นจะสลายเปนนํ้าปสสาวะแลวถูกขับออกนอกรางกาย ดังนั้นหากไตทํางานผิดปกติ จะทําใหการปสสาวะเกิดความผิดปกติ หรือนํ้าปสสาวะมีองคประกอบเปลี่ยนแปลงไป ตอบขอ 3.


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบายความรู 2) ผิวหนั 1 ง ของเสียที่ถูกขับออกทางผิวหนังจะอยู่ในรูปของเหลว ที่เรียกว่า เหงื่อ (sweat) ซึ่งเหงื่อจะถูกขับออกตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ฝามือ ฝาเท้า ใต้รักแร้ และแผ่นหลัง เป็นต้น แต่ละวันร่างกายจะ สูญเสียน�้าในรูปของเหงื่อประมาณ 500 - 1,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร และ ยิ่งในวันที่อากาศร้อนหรือออกก�าลังใหม่ๆ อาจมีเหงื่อออกได้มากถึง 2,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร ถ้านักเรียนลองชิมเหงื่อจะรู้สึกเค็ม เพราะเหงื่อประกอบด้วยน�้า และเกลือแร่ เมื่อเหงื่อระเหยเอาน�้าออกไปจะเหลือเกล็ดเกลือเกาะตาม ผิวหนัง จึงท�าให้เรารู้สึกเหนียวตัว 3) ปอด ปอดท�าหน้าที่แลกเปลี่ยนแก๊ส ซึ่งจะเกิดขึ้นที่ถุงลมใน ปอด ดังแสดงในตารางต่อไปนี้

รูขุมขน

2

ตอมเหงื่อ

ใหตัวแทนนักเรียนแตละกลุมออกมานําเสนอ ผลงานสรุปเกี่ยวกับระบบขับถาย โดยครูและ นักเรียนคนอื่นๆ รวมกันเสนอแนะและซักถาม ขอสงสัย จากนั้นครูตั้งคําถามเพื่อใหนักเรียนไดอธิบาย ความรูที่ศึกษามา • ใหนักเรียนอธิบายขั้นตอนการกรองของเสีย ของไต (แนวตอบ เลือดที่มีออกซิเจนสูง (ในหลอดเลือดอารเทอรี) ไต (หนวยไต)

ตารางที่ 1.2 ปริมาณแกสต่างๆ และไอน�้าในลมหายใจเข้าและลมหายใจออก แก ส

ลมËายã¨เ¢้า

ลมËายã¨ออก

ออกซิเจน

21%

17%

คาร์บอนไดออกไซด์

0.04%

4%

ไนโตรเจน

79%

79%

ไอน�้า

ไม่คงที่

อิ่มตัว

ภาพที่ 1.43 การก�าจัดของเสียทางผิวหนังในรูป ของเหงื่อ (ที่มาของภาพ : life)

ออกซิเจน

สารที่มีประโยชน

ของเสีย

ดูดกลับเขาหลอดเลือดฝอย สลายเปนปสสาวะ) • หากนักเรียนดื่มนํ้าเขาไป รางกายจะมีวิธี กําจัดนํ้าออกอยางไรบาง (แนวตอบ กําจัดออกในรูปของปสสาวะ เหงื่อและลมหายใจออก)

แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และไอน�้าเป็นของเสียที่เกิดจากการสลาย สารอาหารเพื่อสร้างเป็นพลังงานของเซลล์ ที่เรียกว่า กระบวนการหายใจ ดังสมการ อาหาร

Explain

คาร์บอนไดออกไซด์

4) ล�าไส้ใหญ่ แบ่งออกเป็นล�าไส้ใหญ่ส่วนขึ้น ล�าไส้ใหญ่ส่วนขวาง ล�าไส้ใหญ่ส่วนลง ล�าไส้ส่วนตรง และทวารหนัก อาหารแต่ละมื้อที่รับประทานเข้าไปจะผ่านกระบวนการย่อยที่ กระเพาะอาหาร และล�าไส้เล็ก แล้วจึงถูกส่งต่อมาสะสมยังล�าไส้ใหญ่ในรูป ของกากอาหาร กระบวนการทั้งหมดนี้จะใช้เวลาประมาณ 22 - 23 ชั่วโมง ซึ่งตลอดระยะเวลาการเคลื่อนผ่านของอาหารนั้น จะมีการดูดซึมน�้าและ สารอาหารกลับคืนสู่ร่างกาย โดยการดูดซึมจะเกิดที่ล�าไส้ใหญ่มากที่สุด ส่วนกากที่เหลือ คือ อุจจาระ (feces) จะถูกขับออกทางทวารหนักต่อไป

ภาพที่ 1.44 การขับถ่ายของเสียทางล�าไส้ใหญ่ ในรูปอุจจาระ (ที่มาของภาพ : biology expression)

25

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

ขอใดเปนสาเหตุที่ทําใหรางกายมีอาการออนเพลียไดงาย 1. เสียเหงื่อปริมาณมาก 2. หายใจเขา-ออกอยางถี่ๆ 3. ถายอุจจาระไมเปนเวลา 4. กลั้นปสสาวะไวเปนเวลานาน

วิเคราะหคําตอบ เมื่อรางกายขับเหงื่อออกมาปริมาณมาก และไมไดรับ นํ้าเขาไปชดเชยสวนที่เสียไป รางกายจะสูญเสียนํ้าและเกลือแร สงผลให เกิดอาการออนเพลีย ซึม กลามเนื้อออนแรง เปนตะคริว และอาจหมดสติ ดังนั้น ตอบขอ 1.

นักเรียนควรรู 1 เหงื่อ แบงออกเปน 2 ชนิด ไดแก 1. เหงื่อที่ผลิตจาก eccrine sweat gland ซึ่งตอมเหงื่อชนิดนี้พบทั่วรางกาย ผลิตเหงื่อที่มีลักษณะใสเหมือนนํ้า ไมมีกลิ่น 2. เหงื่อที่ผลิตจาก apocrine sweat gland ซึ่งตอมเหงื่อชนิดนี้พบบางแหง ในรางกาย เชน รักแร ขาหนีบ ทวารหนัก หัวหนาว แผนหลัง เปนตน ผลิตเหงื่อลักษณะเหนียว ไส และมีสวนผสมของไขมันอยูมาก จึงมีกลิ่น ซึ่งกลิ่นนี้จะชวยกระตุนอารมณทางเพศได 2 ตอมเหงื่อ ทั่วรางกายมีประมาณ 2,000,000 ตอม พบมากที่สุดบริเวณฝามือ ฝาเทา และพบนอยที่สุดบริเวณหลังและขา

คูมือครู

25


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

Engage

Explore

Explain

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

Expand าใจ ขยายความเข

Evaluate ตรวจสอบผล

Expand

ครูตั้งคําถามเกี่ยวกับวิธีการดูแลรักษา ระบบขับถาย • นักเรียนมีวิธีการดูแลรักษาระบบขับถาย ดวยวิธีใดบาง (แนวตอบ พิจารณาจากคําตอบของนักเรียน โดยอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน ตัวอยางเชน 1. ไมรับประทานอาหารที่มีรสเค็มจัด เพราะจะทําใหไตตองทํางานหนัก 2. ไมกลั้นปสสาวะ เพราะอาจทําใหเปน โรคนิ่ว 3. รับประทาอาหารที่มีใยอาหารสูง เพื่อ ชวยในการขับถายอุจจาระ 4. ดูแลรักษาผิวพรรณใหสะอาดอยูเสมอ 5. อยูในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ ฯลฯ)

ตรวจสอบผล

ขยายความเขาใจ

Evaluate

ใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 1.5 โดยใหเขียนรายงานและ ตอบคําถามลงในสมุดสงครูผูสอน

หลักฐานแสดงผลการเรียนรู แบบบันทึกผลการทํากิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 1.5

กิจกรรม

พั ฒ นาทั ก ษะ วิทยาศาสตร์

1.5

1. การควบคุมปริมาณน�้าในร่างกาย จุดประสงค์ : เพื่อเปรียบเทียบปริมาณน�้าที่ร่างกายได้รับและสูญเสียไปใน 1 วัน ในแต่ละวันร่างกายได้รับน�้าและสูญเสียน�้า (ดังแสดงในภาพ) ให้นักเรียนศึกษาว่าในวันหนึ่งๆ ร่างกายได้รับ น�้าจากทางใดบ้าง ในปริมาณเท่าใด และร่างกายสูญเสียน�้าทางใดบ้าง ในปริมาณเท่าใด โดยบันทึกลงในตาราง ปริมาณน�้าที่ร่างกายได้รับ

รายการ

อาหาร น�้าดื่ม การหายใจ อุจจาระ

เหงื่อ

ปัสสาวะ = 100 cm3

ลมหายใจออก

ปริมาณน�้าที่ร่างกายสูญเสียไป ภาพที่ 1.45 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) ACT.

ปริมาณ

ปริมาณน�้าที่ได้รับ (cm3)

ปริมาณน�้าที่สูญเสีย (cm3)

อาหาร ดื่มน�้า การหายใจ เหงื่อ อุจจาระ น�้าปัสสาวะ ลมหายใจ รวม

? 1. จงอธิบายถึงปริมาณน�า้ ที่ร่างกายได้รับและสูญเสียไป ไป ว่าเป็นอย่างไร 2. นักวิ่งมาราธอนต้องดื่มน�า้ มากกว่าปกติเพราะเหตุใด จงอธิ ด บาย

2. การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย จุดประสงค์ : เพื่อศึกษาการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย มนุษย์เป็นสัตว์เลือดอุ่นซึ่งอุณหภูมิของร่างกายจะคงที่อยู่ประมาณ ระมาณ 37 องศาเซลเซียส กระบวนการควบคุม อุณหภูมิของร่างกายให้ปกติ คือ การระเหยของเหงื การระเหยของเหงื่อที่ควบคุมการระเหยโดยสมอง การระเหยโดยสมอง ดังภาพ

ภาพที่ 1.46 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)

 จากภาพ ในวันที่อากาศร้อนจัดและวันที่อากาศหนาวจัด คนเรามีวิธีควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้เป็นปกติ 26 ได้อย่างไร

แนวตอบ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.5 1. การควบคุมปริมาณนํ้าในรางกาย 1. รางกายจะมีกลไกควบคุมปริมาณนํ้าที่ไดรับเขาไปและขับออกจากรางกาย โดยมีชองทางและอาศัยกระบวนการตางๆ หลายรูปแบบ ไดแก การรับเขามาพรอมกับอาหาร การดื่มนํ้า การหายใจเขา การขับถายออกทางปสสาวะ เหงื่อ อุจจาระ และลมหายใจออก ซึ่งทุกระบบจะชวยปรับใหมีปริมาณนํ้าในรางกายสมดุลอยูตลอดเวลา 2. นักวิ่งมาราธอนจะสูญเสียนํ้าออกจากรางกายมาก เนื่องจากการออกกําลังกายจะทําใหเกิดความรอนขึ้นในรางกาย ซึ่งถูกระบาย ออกนอกรางกายในรูปของเหงื่อในปริมาณมาก ระบบประสาทจึงสั่งการใหรางกายตองการนํ้ามาชดเชยสวนที่เสียไป ทําใหรูสึก กระหายนํ้า นักวิ่งมาราธอนจึงตองดื่มนํ้ามากกวาปกติ 2. การควบคุมอุณหภูมิของรางกาย ภาพที่ 1 ในวันที่อากาศรอนจัด ความรอนจากอากาศจะถายโอนใหกับรางกาย อุณหภูมิของรางกายสูงขึ้น รางกายจึงตองระบาย ความรอนออกทางเหงื่อ วิธีคลายความรอน คือ ใสเสื้อผาบางๆ หรือนอยชิ้น ภาพที่ 2 ในวันที่อากาศหนาวจัด ความรอนภายในรางกายจะถายโอนสูสิ่งแวดลอม รางกายจึงไมคอยมีเหงื่อ ซึ่งวิธีปองกัน คือ ใสเสื้อผาหนาๆ

26

คูมือครู


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

Engage

Explore

Explain

กิจกรรม

1. การย่อยคารโบไฮเดรต เมื่ออาหารเข้าสู่ปากจะมีกระบวนการย่อยทางเคมีเกิดขึ้น โดยในปากมีต่อมน�้าลายท�าหน้าที่สร้างน�้าลายและ เอนไซม์อะไมเลส ซึ่งย่อยคาร์ โบไฮเดรตให้มีโมเลกุลเล็กลง การทดลองเรื่อง การย่อยคาร์ โบไฮเดรต จุดประสงค์ : เพื่อศึกษาการย่อยคาร์ โบไฮเดรตภายในปาก อุปกรณ์และสารเคมี

Çิ¸ีการทดลอ§

• หลอดทดลองขนาดกลาง 1. ใส่ข้าวสุกประมาณ 1 ช้อน เบอร์ 2 ลงในหลอดทดลองที่ 1 2 หลอด 2. ตักข้าวสุกประมาณ 1 ช้อน ใส่ปากเคี้ยวให้ละเอียดประมาณ 1 นาที แล้วใส่ ในหลอดทดลองที่ 2 • ข้าวสุก • สารละลายเบเนดิกต์ 3. ใส่สารละลายเบเนดิกต์ลงในหลอดทดลองทั้งสองหลอด หลอดละ 3 หยด • บีกเกอร์ • น�้า 4. น�าหลอดทดลองทั้งสองไปแช่ ในน�้าเดือดประมาณ 2-5 นาที สังเกตและบันทึกผลลงในตารางที่นักเรียนออกแบบเอง • ตะเกียงแอลกอฮอล์ • สามขาและตะแกรงลวด

? 1. เมื่อน�าหลอดทดลองทั้งสองไปแช่ ในน�้าเดือดประมาณ 2-5 นาที มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไร 2. สารอาหารที่ตรวจพบในหลอดทดลองทั้งสองคือสารใด

2. แกสในลมหายใจ ในลมหายใจเข้าและลมหายใจออกจะประกอบด้วยแก๊สต่างๆ ในปริมาณต่างกัน การทดลองเรื่อง เปรียบเทียบปริมาณแกสคาร์บอนไดออกไซด์ ในลมหายใจเข้าและลมหายใจออก จุดประสงค์ : เพื่อศึกษาเปรียบเทียบปริมาณแกสคาร์บอนไดออกไซด์ ในลมหายใจเข้าและลมหายใจออก อุปกรณ์และสารเคมี

Çิ¸ีการทดลอ§

• ขวดแก้วรูปชมพู่ 2 ใบ 1 . ติดตั้งอุปกรณ์ส�าหรับทดลอง ประกอบด้วยขวดแก้วรูปชมพู่ 2 ใบ ซึ่ง แต่ละใบบรรจุสารละลายแคลเซียมไฮดรอกไซด์ปริมาณเท่ากัน ปิดปาก • จุกยางที่มีแท่งแก้ว ขวดด้วยจุกยางที่มีหลอดแก้วต่ออยู่ ดังภาพ เสียบอยู่ • สารละลาย 2. ให้นักเรียนใช้ปากอมหลอดแก้วบริเวณ E หายใจเข้า-ออกเบาๆ อากาศ แคลเซียมไฮดรอกไซด์ ที่นักเรียนหายใจเข้าจะผ่านทางหลอดแก้ว A เกิดฟองอากาศใน ขวดที่ 1 จากนั้นอากาศจะผ่านหลอดแก้ว B เข้าสู่ปาก ปริมาณแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์ ในอากาศจะถูกสารละลายแคลเซียมไฮดรอกไซด์ ดูดไว้ และเมื่อนักเรียนหายใจออก ลมหายใจออกจะผ่านหลอดแก้ว C ลงสูส่ ารละลายน�า้ ปูนใสในขวดที ่ 2 และออกสูภ่ ายนอกทางหลอดแก้ว D ซึ่งปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ในลมหายใจออกจะถูกสารละลาย แคลเซียมไฮดรอกไซด์ดูดไว้ ในขวดที่ 2 3. ท�าการทดลองตามข้อ 2. ประมาณ 2 นาที สังเกตและบันทึกผลลงใน ตารางที่นักเรียนออกแบบเอง

Àา¾ประกอบ

ลมหายใจเขากับลมหายใจออกตางกันอยางไร 1. ลมหายใจเขามีปริมาณแกสออกซิเจนนอยกวาลมหายใจออก 2. ลมหายใจเขาและลมหายใจออกมีปริมาณแกสตางๆ เทากัน 3. ลมหายใจออกมีปริมาณแกสคารบอนไดออกไซดมากกวาลมหายใจเขา 4. ลมหายใจออกมีปริมาณแกสคารบอนไดออกไซดนอ ยกวาลมหายใจเขา

วิเคราะหคําตอบ ปริมาณแกสตางๆ ในลมหายใจเขาและลมหายใจออก จะแตกตางกัน โดยลมหายใจเขาจะมีปริมาณแกสออกซิเจนมาก ปริมาณ แกสคารบอนไดออกไซดนอย แตในทางกลับกัน ลมหายใจออกจะมี ปริมาณแกสออกซิเจนนอย แตมีปริมาณแกสคารบอนไดออกไซดมาก ดังนั้น ตอบขอ 3.

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

Expand

ครูและนักเรียนทบทวนเนื้อหาเรื่อง ระบบ ยอยอาหาร โดยครูอาจใชคําถามที่เกี่ยวของกับ กิจกรรมสรางสรรคพัฒนาประจําหนวยการเรียนรู ที่ 1 ขอ 1. การยอยคารโบไฮเดรต • ภายในชองปากเกิดกระบวนการยอยอาหาร หรือไม อยางไร (แนวตอบ เกิดการยอย ทั้งการยอยเชิงกล โดยการเคี้ยว และการยอยเชิงเคมี โดยเอนไซมอะไมเลส (ยอยแปง)) • การทดสอบสารอาหารจําพวก คารโบไฮเดรต มีวิธีทดสอบอยางไร (แนวตอบ มี 2 วิธี คือ 1. ทดสอบแปง โดยหยดสารละลาย ไอโอดีนลงบนอาหาร หากเปลี่ยน เปนสีมวง แสดงวามีแปงอยู 2. ทดสอบนํ้าตาล โดยหยดสารละลาย เบเนดิกต แลวนําไปตม หากเกิด ตะกอนสีอิฐ แสดงวามีนํ้าตาลอยู) ใหนักเรียนทํากิจกรรมเรื่อง การยอย คารโบไฮเดรต บันทึกผลและตอบคําถาม หลังกิจกรรม จากนั้นใหนักเรียนทํากิจกรรมเรื่อง แกสใน ลมหายใจ บันทึกผลและตอบคําถามหลังกิจกรรม

E A

B

C

1

D

2

? 1. ตะกอนสีขาวขุ่นในขวดแก้วรูปชมพู่ที่สังเกตเห็นจากการทดลอง เกิดขึ้นได้อย่างไร จงอธิบาย 2. ปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ในลมหายใจเข้า และลมหายใจออก มีปริมาณเท่ากัน หรือต่างกันอย่างไร

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

Expand าใจ ขยายความเข

ขยายความเขาใจ

1

สรางสรรค์พัฒนาประจ�าหน่วยการเรียนรู้ที่

ขยายความเขาใจ

27

แนวตอบ กิจกรรมสรางสรรคพัฒนาประจําหนวยการเรียนรูที่ 1 1. การยอยคารโบไฮเดรต 1. หลอดทดลองที่ 1 ไมเกิดการเปลี่ยนแปลง หลอดทดลองที่ 2 เกิดตะกอนสีสม เหลือง หรือแดงอิฐ 2. สารอาหารในหลอดทดลองที่ 1 คือ แปง ซึ่งไมทําปฏิกิริยากับสารละลาย เบเนดิกต สารอาหารในหลอดทดลองที่ 2 คือ นํ้าตาล ซึ่งทําปฏิกิริยากับสารละลาย เบเนดิกต 2. แกสในลมหายใจ 1. ตะกอนสีขาวขุนเกิดจากปฏิกิริยาระหวางแกสคารบอนไดออกไซดกับ นํ้าปูนใส 2. ปริมาณแกสคารบอนไดออกไซดในลมหายใจเขาและลมหายใจออกมี ปริมาณตางกัน โดยลมหายใจเขาจะมีปริมาณแกสคารบอนไดออกไซดตํ่า แตลมหายใจออกจะมีแกสคารบอนไดออกไซดสูง คูมือครู

27


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

Engage

Explore

Explain

Expand

ตรวจสอบผล

Evaluate

ครูตั้งคําถามที่เชื่อมโยงกับขอความในสรุป ทบทวนประจําหนวยการเรียนรูที่ 1 เพื่อทดสอบ ความเขาใจของนักเรียน จากนั้นใหนักเรียนอาน สรุปทบทวนเพื่อชวยในการจดจําสาระสําคัญตางๆ ที่ไดเรียนมา

หลักฐานแสดงผลการเรียนรู 1. ใบงานเรื่อง การยอยอาหาร 2. ใบงานเรือ่ ง การไหลเวียนเลือดในรางกายของ มนุษย 3. ใบงานเรื่อง วิธีการดูแลรักษาระบบหายใจให ทํางานไดอยางปกติ 4. แบบบันทึกผลการทํากิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 5. แบบบันทึกผลการทํากิจกรรมสรางสรรคพัฒนา ประจําหนวยการเรียนรูที่ 1

ตรวจสอบผล Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate

สรุปทบทวน

ประจ�าหน่วยการเรียนรู้ที่

1

■ การจัดระบบในร่างกายมนุษ ย์และสัตว์ แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่ ระดับเซลล์ ระดับเนื้อเยื่อ ระดับอวัยวะ และระดับระบบร่างกาย ซึ่งแต่ละระบบจะท�างานประสานสัมพันธ์กัน เพื่อให้มนุษย์และสัตว์สามารถ ด�ารงชีวิตอย่างเป็นปกติได้ ■ การย่อยอาหาร คือ การท�าให้อาหารที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่กลายเป็นสารอาหารที่มีโมเลกุลเล็กลง จนสามารถผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้ การย่อยอาหารแบ่งได้ 2 วิธี คือ การย่อยเชิงกล และการย่อยเชิงเคมี ■ ระบบย่อยอาหารของสัตว์ แบ่งออกได้ 3 กลุ่ม ได้แก่ การย่อยอาหารของสัตว์ที่ไม่มีทางเดินอาหาร เช่น ฟองน�้า เป็นต้น การย่อยอาหารของสัตว์ที่มีทางเดินอาหารไม่สมบูรณ์ เช่น ไฮดรา พลานาเรีย เป็นต้น และการ ย่อยอาหารของสัตว์ที่มีทางเดินอาหารสมบูรณ์ เช่น แมลง ปลา สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน�้านม เป็นต้น ■ ระบบย่อยอาหารของมนุษ ย์ ประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ ได้แก่ ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ล�าไส้เล็ก ตับ ตับอ่อน และล�าไส้ใหญ่ ซึ่งมีหน้าที่แตกต่างกัน ■ ระบบไหลเวียนเลือด แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ ระบบไหลเวียนเลือดแบบเปิด คือ เลือดที่ออกจาก หัวใจไม่ได้ไหลอยู่ในหลอดเลือดตลอด แต่บางช่วงไหลเข้าไปในช่องว่างของล�าตัว และระบบไหลเวียนเลือดแบบปิด คือ เลือดที่ออกจากหัวใจจะไหลผ่านหลอดเลือดตลอด ■ ระบบไหลเวียนเลือดของมนุษย์ ประกอบด้วยส่วนส�าคัญ ได้แก่ หัวใจ หลอดเลือด และเลือด ซึ่งระบบ ไหลเวียนเลือดมีหน้าที่ล�าเลียงสารอาหารที่ผ่านกระบวนการย่อยอาหารไปยังส่วนต่างๆ ทั่วร่างกาย และล�าเลียง ของเสียที่ร่างกายไม่ต้องการอีกด้วย ■ อวัยวะหายใจในสัตว์ สัตว์ต่างๆ มีอวัยวะในการหายใจต่างกัน เช่น ไฮดรา มีการแลกเปลี่ยนแก๊สผ่าน เยื่อหุ้มเซลล์โดยตรง แมลง ใช้ช่องเล็กๆ ข้างล�าตัวซึ่งติดกับท่อลม ปลา ใช้เหงือก เป็นต้น ■ อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับระบบหายใจของมนุษย์ เริ่มต้นที่ปากและจมูกไปสู่หลอดลมและเข้าสู่ปอด ซึ่งการ ผ่านเข้าออกของอากาศเป็นการท�างานร่วมกันของกล้ามเนื้อยึดกระดูกซี่โครงและกะบังลม ■ ระบบขับถ่ายของสัตว์ สัตว์แต่ละชนิดมีอวัยวะและกระบวนก�าจัดของเสียออกจากร่างกายแตกต่างกัน เช่น ฟองน�้า ก�าจัดของเสียโดยผ่านเยื่อหุ้มเซลล์โดยตรง พลานาเรีย ใช้เฟรมเซลล์ ไส้เดือนดิน ใช้เนฟริเดียม แมลง ใช้ท่อมัลพิเกียน ปลา ใช้ไต เป็นต้น ■ ระบบขับถ่ายของมนุษ ย์ มนุษย์มีการก�าจัดของเสียออกจากร่างกายได้หลายทาง ทั้งทางไตในรูปของ ปัสสาวะ ทางผิวหนังในรูปของเหงื่อ ทางปอดโดยการหายใจออก และทางล�าไส้ใหญ่ในรูปของอุจจาระ

28

เกร็ดแนะครู เมื่อจบการเรียนการสอนในหนวยการเรียนรูที่ 1 แลว ครูอาจใหนักเรียน เขียนสรุปเนื้อหาสาระสําคัญทั้งหมดที่ไดเรียนไปทั้งหนวยการเรียนรู ออกมาเปน แผนผังความคิดในรูปแบบที่เขาใจงายแลวนําสงครูผูสอน เพื่อใหครูไดตรวจสอบ ความเขาใจของนักเรียนอีกครั้งหนึ่ง และนักเรียนสามารถนําแผนผังความคิดนี้ไป ใชอานประกอบเพื่อเตรียมตัวสอบในเรื่องระบบยอยอาหาร ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบหายใจ และระบบขับถายของมนุษยและสัตวได

28

คูมือครู

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

ใหนักเรียนอธิบายความสัมพันธของระบบยอยอาหาร ระบบ ไหลเวียนเลือด ระบบหายใจ และระบบขับถาย มาพอสังเขป แนวตอบ ระบบยอยอาหารจะทําหนาที่ยอยอาหารที่เรารับประทาน เขาไปใหกลายเปนสารอาหารโมเลกุลเล็กที่สามารถถูกดูดซึมเขาสู กระแสเลือดได ซึ่งระบบไหลเวียนเลือดจะชวยลําเลียงสารอาหารไปยัง สวนตางๆ ของรางกาย สวนของเสียที่ไมสามารถยอยไดจะถูกสงไปยัง อวัยวะในระบบขับถาย ที่จะชวยกําจัดของเสียออกจากรางกาย ซึ่งนอกจากการลําเลียงสารอาหารแลว ระบบไหลเวียนเลือดยังมีความ สัมพันธกับระบบหายใจ โดยเลือดจะทําหนาที่ลําเลียงแกสตางๆ ไป แลกเปลี่ยนที่ถุงลม ซึ่งแกสคารบอนไดออกไซดและไอนํ้าที่เปนของเสีย จากกระบวนการหายใจจะถูกขับออกจากรางกาย โดยอาศัยการทํางาน ของระบบขับถายเชนกัน


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.