คูมือครู 㪌»ÃСͺ¡ÒÃÊ͹ËÇÁ¡Ñº
˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ©ºÑº ÍÞ.
ภาพปกนี้มีขนาดเทากับหนังสือเรียนฉบับจริงของนักเรียน
กระบวนการสอนแบบ 5 Es ชวยสรางทักษะการเรียนรู กิจกรรมมุงพัฒนาทักษะการคิด คำถาม + แนวขอสอบเพื่อยกผลสัมฤทธิ์ O - NET กิจกรรมบูรณาการเตรียมพรอมสู ASEAN 2558
เอกสารประกอบคูมือครู
กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร
วิทยาศาสตร เลม 2 ชั้นมัธยมศึกษาปที่
2
สําหรับครู
คูมือครู Version ใหม
ลักษณะเดน
ขยายพื้นที่รูปเลมใหญขึ้นกวาเดิม จัดแบงพื้นที่ออกเปนโซน เพื่อคนหาขอมูลไดงาย สะดวก รวดเร็ว และดูเปนระเบียบ กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล
กระตุน ความสนใจ
Evaluate
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
เปาหมายการเรียนรู สมรรถนะของผูเรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค
หน า
โซน 1 กระตุน ความสนใจ
Engage
สํารวจคนหา
Explore
อธิบายความรู
Explain
ขยายความเขาใจ
Expand
ตรวจสอบผล
หน า
หนั ง สื อ เรี ย น
โซน 1
หนั ง สื อ เรี ย น
Evaluate
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
O-NET บูรณาการเชื่อมสาระ
เกร็ดแนะครู
ขอสอบ
โซน 2
โซน 3
กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย
นักเรียนควรรู
โซน 3
โซน 2 บูรณาการอาเซียน มุม IT
No.
คูมือครู
คูมือครู
No.
โซน 1 ขั้นตอนการสอนแบบ 5Es
โซน 2 ชวยครูเตรียมสอน
โซน 3 ชวยครูเตรียมนักเรียน
เพื่อใหครูเตรียมจัดกิจกรรมการเรียน การสอน โดยแนะนําขั้นตอนการสอนและ การจัดกิจกรรมแบบ 5Es อยางละเอียด เพื่อใหนักเรียนบรรลุตามตัวชี้วัด
เพื่อชวยลดภาระครูผูสอน โดยแนะนํา เกร็ดความรูสําหรับครู ความรูเสริมสําหรับ นักเรียน รวมทั้งบูรณาการความรูสูอาเซียน และมุม IT
เพื่อใหครูสะดวกตอการจัดกิจกรรม โดย แนะนํากิจกรรมบูรณาการเชือ่ มระหวางสาระหรือ กลุมสาระการเรียนรู วิชา กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย รวมถึงเนื้อหาที่เคยออกขอสอบ O-NET แนวขอสอบ NT/O-NET ทีเ่ นนการคิด พรอมเฉลยและคําอธิบายอยางละเอียด
ที่ใชในคูมือครู
แถบสีและสัญลักษณ
แถบสีแสดงขั้นตอนการสอนและการจัดกิจกรรม แบบ 5Es เพื่อใหครูทราบวาเปนขั้นการสอนขั้นใด
1. แถบสี 5Es สีแดง
สีเขียว
กระตุน ความสนใจ
เสร�ม
สํารวจคนหา
Engage
2
•
เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใช เทคนิคกระตุน ความสนใจ เพื่อโยง เขาสูบทเรียน
สีสม
อธิบายความรู
Explore
•
เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนสํารวจ ปญหา และศึกษา ขอมูล
สีฟา
Explain
•
เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนคนหา คําตอบ จนเกิดความรู เชิงประจักษ
สีมวง
ขยายความเขาใจ Expand
•
เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนนําความรู ไปคิดคนตอๆ ไป
ตรวจสอบผล Evaluate
•
เปนขั้นที่ผูสอน ประเมินมโนทัศน ของผูเรียน
2. สัญลักษณ สัญลักษณ
วัตถุประสงค
• เปาหมายการเรียนรู
• หลักฐานแสดง ผลการเรียนรู
• เกร็ดแนะครู
แทรกความรูเสริมสําหรับครู ขอเสนอแนะ ขอควรระวัง ขอสังเกต แนวทางการจัด กิจกรรมและอื่นๆ เพื่อประโยชนในการ จัดการเรียนการสอน ขยายความรูเพิ่มเติมจากเนื้อหา เพื่อให ครูนําไปใชอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียน ไดมีความรูมากขึ้น
•
ความรูหรือกิจกรรมเสริม ใหครูนําไปใช เตรียมความพรอมใหกับนักเรียนกอนเขาสู ประชาคมอาเซียนใน พ.ศ. 2558 โดย บูรณาการกับวิชาที่กําลังเรียน
บูรณาการอาเซียน
•
คูม อื ครู
แสดงรองรอยหลักฐานตามภาระงาน ที่ครูมอบหมาย เพื่อแสดงผลการเรียนรู ตามตัวชี้วัด
• นักเรียนควรรู
มุม IT
แสดงเปาหมายการเรียนรูที่นักเรียน ตองบรรลุตามตัวชี้วัด ตลอดจนสมรรถนะ ที่จะตองมี และคุณลักษณะที่พึงเกิดขึ้น กับนักเรียน
แนะนําแหลงคนควาจากเว็บไซต เพื่อให ครูและนักเรียนไดเขาถึงขอมูลความรู ที่หลากหลาย ทั้งไทยและตางประเทศ
สัญลักษณ
ขอสอบ
วัตถุประสงค
O-NET
•
ชี้แนะเนื้อหาที่เคยออกขอสอบ O-NET โดยยกตัวอยางขอสอบ พรอมวิเคราะหคําตอบ อยางละเอียด
•
เปนตัวอยางขอสอบที่มุงเนน การคิดและเปนแนวขอสอบ NT/O-NET ในระดับมัธยมศึกษา ตอนตน มีทั้งปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลยอยางละเอียด
•
เปนตัวอยางขอสอบที่มุงเนน การคิดและเปนแนวขอสอบ O-NET ในระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย มีทั้งปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลยอยางละเอียด
•
แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม เชื่อมกับสาระหรือกลุมสาระ การเรียนรู ระดับชัน้ หรือวิชาอืน่ ที่เกี่ยวของ
•
แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม ซอมเสริมสําหรับนักเรียนที่ควร ไดรับการพัฒนาการเรียนรู
•
แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม ตอยอดสําหรับนักเรียนที่เรียนรู ไดอยางรวดเร็ว และตองการ ทาทายความสามารถในระดับ ที่สูงขึ้น
(เฉพาะวิชา ชัน้ ทีส่ อบ O-NET O-NET)
NT O-NE T (เฉพาะระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนตน)
แนว
O-NET
(เฉพาะระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนปลาย)
บูรณาการเชื่อมสาระ
กิจกรรมสรางเสริม
กิจกรรมทาทาย
คําแนะนําการใชคูมือครู การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอน คูม อื ครู รายวิชา วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 จัดทําขึน้ เพือ่ ใหครูผสู อนนําไปใชเปนแนวทางวางแผนการสอนเพือ่ พัฒนา ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน และประกันคุณภาพผูเ รียน ตามนโยบายของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน (สพฐ.) โดยใชหนังสือเรียน วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 ของบริษทั อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด เปนสือ่ หลัก (Core Material) ประกอบ เสร�ม การสอนและการจัดกิจกรรมการเรียนรูใหสอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดกลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร 3 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พ.ศ. 2551 โดยออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนตามหลักการสําคัญ ดังนี้ 1 ออกแบบการสอนเปนหนวยการเรียนรูอิงมาตรฐาน คูม อื ครู รายวิชา วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 วางแผนการสอนโดยแบงเปนหนวยการเรียนรูต ามลําดับสาระ (strand) และ หมายเลขขอของมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั แตละหนวยจะกําหนดเปาหมายการเรียนรูแ ละจุดประสงคการเรียนรู (Objective Learning) กิจกรรมการเรียนรู (Learning Activities) และแนวทางการประเมินผลการเรียนรู (Learning Evaluation) ไวชัดเจน ครูผูสอนสามารถจัดทําแผนการสอนใหครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัด สมรรถนะ และคุณลักษณะ อันพึงประสงคที่เปนเปาหมายการเรียนรูตามที่กําหนดไวในสาระแกนกลาง (ตามแผนภูมิ) และสามารถบันทึกผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของผูเรียนแตละคนลงในเอกสาร ปพ.5 ไดอยางมั่นใจ แผนภูมิแสดงความสัมพันธขององคประกอบการออกแบบการเรียนรูอิงมาตรฐานและเนนผูเรียนเปนสําคัญ
พผ
ูเ
จุ ด ป ร
ะสง
คก า
ส ภา
รี ย น
ร
รู ีเรยน
มาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัดชั้นป
ทักษะการคิด การวัดประเมินผล การเรียนรู
กิจกรรมการเรียนรู
เทคนิคการสอน คูม อื ครู
2 การจัดการเรียนรูที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ แนวคิ ด ในการจั ด การเรี ย นการสอนที่ ยึ ด ผู เ รี ย นเป น สํ า คั ญ พั ฒ นามาจากปรั ช ญาและทฤษฎี ก ารเรี ย นรู Constructivism ที่เชื่อวา การเรียนรูเปนกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในสมองของผูเรียนแตละคน ผูเรียนเปนผูสรางความรู โดยการเชื่อมโยงระหวางสิ่งที่ไดเรียนรูจากบทเรียนใหมกับความรูหรือประสบการณเดิมที่มีอยู ทฤษฎีนี้มีความเชื่อวา ผูเรียนทุกคนไดเรียนรูและมีการสั่งสมความรูความเขาใจเกี่ยวกับสิ่งตางๆ ติดตัวมากอน ทีจ่ ะเขาสูห อ งเรียน ซึง่ เปนการเรียนรูท เี่ กิดจากประสบการณและสิง่ แวดลอมรอบตัวผูเ รียนแตละคน ดังนัน้ การจัดกิจกรรม เสร�ม การเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ผูสอนจะตองคํานึงถึง
4
1. ความรูเดิมของผูเรียน วิธีการสอนที่ดีจะตองเริ่มตนจากจุดที่วา ผูเ รียนมีความรูอ ะไรมาบาง แลวจึงใหความรู หรือประสบการณใหม เพื่อตอยอดจาก ความรูเดิม นําไปสูการสรางความรู ความเขาใจใหม
2. ความรูเดิมของผูเรียนถูกตองหรือไม ผูส อนตองปรับเปลีย่ นความรูค วามเขาใจเดิม ของผูเรียนใหถูกตอง และเปนพฤติกรรม การเรียนรูใ หมทมี่ คี ณุ คาตอผูเรียน เพื่อสราง เจตคติหรือทัศนคติที่ดีตอการเรียนรู สิ่งเหลานั้น
3. ผูเรียนสรางความหมายสําหรับตนเอง ผูสอนตองสงเสริมใหผูเรียนนําความรู ความเขาใจที่เกิดขึ้นไปลงมือปฏิบัติ เพื่อขยายความรูใหลึกซึ้งและมีคุณคา ตอตัวผูเรียนมากที่สุด
แนวคิด Constructivism เนนใหผูเรียนสรางความรูโดยผานกระบวนการคิดและความอยากรูของตนเอง โดยมีผูสอนเปนผูสรางบรรยากาศ
การเรียนรูและกระตุนความสนใจ คอยจัดสถานการณใหผูเรียนเกิดความขัดแยงทางความคิดระหวางประสบการณเดิมกับประสบการณ ความรูใ หม เพือ่ กระตนุ ใหผเู รียนเชือ่ มโยงความรู ความคิด กับประสบการณทมี่ อี ยูเ ดิม แลวสังเคราะหเปนความรูห รือแนวคิดใหมๆ ไดดว ยตนเอง
3 การบูรณาการกระบวนการคิด การเรียนรูของผูเรียนแตละคนจะเกิดขึ้นที่สมอง ซึ่งเปนอวัยวะที่ทําหนาที่รูคิดภายใตสภาพแวดลอมที่เอื้ออํานวย และไดรบั การกระตนุ จูงใจอยางเหมาะสม สอดคลองกับสภาพจิตใจและความตองการของผูเ รียนแตละคน การจัดกิจกรรม การเรียนรูและสาระการเรียนรูที่สอดคลองกับความสนใจและมีความหมายตอผูเรียน จะชวยกระตุนใหสมองของผูเรียน สามารถรับรูและเรียนรูไดอยางมีประสิทธิภาพตามขั้นตอนการทํางานของสมอง ดังนี้ 1. สมองจะเรียนรูและสืบคน โดยการสังเกต คนหา ซักถาม และทดลอง ปฏิบัติ จนทําใหคนพบความรูความเขาใจ ไดอยางรวดเร็ว
2. สมองจะแยกแยะคุณคาของสิ่งตางๆ โดยการตัดสินใจวิพากษวิจารณ แสดง ความคิดเห็น ยอมรับหรือตอตานตาม อารมณความรูสึกที่เกิดขึ้นในขณะที่เรียนรู
3. สมองจะประมวลเนื้อหาสาระ โดยการสรุปเปนความคิดรวบยอดจาก เรื่องราวที่ไดเรียนรูใหมนําไปผสมผสานกับ ความรูห รือประสบการณเดิมทีถ่ กู จัดเก็บอยูใ น สมอง ผานการกลัน่ กรองเพือ่ สังเคราะหเปน ความรูค วามเขาใจใหมๆ หรือเปนทัศนคติใหม ที่จะเก็บบรรจุไวในสมองของผูเรียน
การเรียนรูที่มีประสิทธิภาพจึงตองเปนการเรียนรูที่เกิดจากกระบวนการคิดของผูเรียน เพราะการเรียนรูจะเกิดขึ้น เมื่อสมองรูคิด และตองเปนการคิดไดครบถวนตามขั้นตอนการทํางานของสมองผูเรียน โดยเริ่มตนจาก 1. ระดับการคิดพื้นฐาน ไดแก การสังเกต การจําแนก การคาดคะเน การสื่อความหมาย การรวบรวมขอมูล การสรุปผล เปนตน
คูม อื ครู
2. ระดับลักษณะการคิด ไดแก การคิดกวาง คิดลึกซึ้ง คิดไกล คิดหลากหลาย คิดคลอง คิดอยางมีเหตุผล เปนตน
3. ระดับกระบวนการคิด ไดแก กระบวนการคิดอยางมีวิจารณญาณ กระบวนการแกปญหา กระบวนการ คิดสรางสรรค กระบวนการคิดสังเคราะห เปนตน
5Es การจัดกิจกรรมตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ขั้นตอนการสอนที่สัมพันธกับขั้นตอนการคิดและการทํางานทางสมองของผูเรียนที่นิยมใชอยางแพรหลาย คือ วัฏจักรการเรียนรู 5Es ซึ่งผูจัดทําคูมือครูไดนํามาใชเปนแนวทางออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในแตละหนวย ตามลําดับขั้นตอนการเรียนรู ดังนี้ ขั้นที่ 1
กระตุนความสนใจ
(Engage)
เสร�ม
5
เปนขั้นที่ผูสอนนําเขาสูบทเรียน เพื่อกระตุนความสนใจของผูเรียนดวยเรื่องราวหรือเหตุการณที่นาสนใจโดยใชเทคนิควิธีการ และคําถามทบทวนความรูหรือประสบการณเดิมของผูเรียน เพื่อเชื่อมโยงผูเรียนเขาสูความรูของบทเรียนใหม ชวยใหผูเรียนสามารถ สรุปความสําคัญหัวขอและสาระการเรียนรูของบทเรียนได จึงเปนขั้นตอนการสอนที่สําคัญ เพราะเปนการเตรียมความพรอมและสราง แรงจูงใจใฝเรียนรูแกผูเรียน
ขั้นที่ 2
สํารวจคนหา
(Explore)
เปนขัน้ ทีผ่ สู อนเปดโอกาสใหผเู รียนลงมือศึกษา สังเกต หรือรวมมือกันสํารวจ เพือ่ ใหเห็นขอบขายของประเด็นหรือปญหา รวมถึง วิธีการศึกษาคนควา การรวบรวมขอมูลความรูที่จะนําไปสูการสรางความเขาใจประเด็นหรือปญหานั้นๆ เมื่อผูเรียนทําความเขาใจใน ประเด็นหรือปญหาที่จะศึกษาคนควาอยางถองแทแลว ก็ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมขอมูลความรู สํารวจตรวจสอบ โดยวิธีการตางๆ เชน สัมภาษณ ทดลอง อานคนควาขอมูลจากเอกสาร แหลงขอมูลตางๆ จนไดขอมูลความรูที่เกี่ยวของกับประเด็นหรือปญหาที่ศึกษา
ขั้นที่ 3
อธิบายความรู
(Explain)
เปนขั้นที่ผูสอนมีปฏิสัมพันธกับผูเรียน เชน ใหการแนะนํา ตั้งคําถามกระตุนใหคิด เพื่อใหผูเรียนคนหาคําตอบ และนําขอมูล ความรูจากการศึกษาคนควาในขั้นที่ 2 มาวิเคราะห สรุปผล และนําเสนอผลที่ไดศึกษาคนความาในรูปแบบสารสนเทศตางๆ เชน เขียนแผนภูมิ ผังมโนทัศน เขียนความเรียง เขียนรายงาน เปนตน ในขั้นตอนนี้ฝกใหผูเรียนใชสมองคิดวิเคราะหและสังเคราะห อยางเปนระบบ
ขั้นที่ 4
ขยายความเขาใจ
(Expand)
เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใชเทคนิควิธีสอนตางๆ ที่สงเสริมใหผูเรียนนําความรูที่เกิดขึ้นไปคิดคนสืบคนตอๆ ไป เพื่อพัฒนาทักษะ การเรียนรูและการทํางานรวมกันเปนกลุม ระดมสมองเพื่อคิดสรางสรรครวมกัน ผูเรียนสามารถนําความรูที่สรางขึ้นใหมไปเชื่อมโยง กับประสบการณเดิมโดยนําขอสรุปทีไ่ ดไปใชอธิบายเหตุการณตา งๆ หรือนําไปปฏิบตั ใิ นสถานการณใหมๆ ทีเ่ กีย่ วของกับชีวติ ประจําวัน ของตนเอง เพื่อขยายความรูความเขาใจใหกวางขวางยิ่งขึ้น ในขั้นตอนนี้ฝกสมองของผูเรียนใหสามารถคิดริเริ่มสรางสรรคอยางมี คุณภาพ เสริมสรางวิสัยทัศนใหกวางไกลออกไป
ขั้นที่ 5
ตรวจสอบผล
(Evaluate)
เปนขัน้ ทีผ่ สู อนประเมินมโนทัศนของผูเ รียน โดยตรวจสอบจากความคิดทีเ่ ปลีย่ นไปและความคิดรวบยอดทีเ่ กิดขึน้ ใหม ตรวจสอบ ทักษะ กระบวนการปฏิบัติ การแกปญหา การตอบคําถามรวบยอด หรือการเคารพความคิดหรือยอมรับเหตุผลของคนอื่น เพื่อการ สรางสรรคความรูร ว มกัน ผูเ รียนสามารถประเมินผลการเรียนรูข องตนเอง เพือ่ สรุปผลวามีความรูอ ะไรเพิม่ ขึน้ มาบาง เกิดความเขาใจ มากนอยเพียงใด และจะนําความรูเหลานั้นไปประยุกตใชในการเรียนรูเรื่องอื่นๆ หรือในชีวิตประจําวันไดอยางไร ผูเรียนจะเกิดเจตคติ และเห็นคุณคาของตนเองจากผลการเรียนรูที่เกิดขึ้น ซึ่งเปนการเรียนรูที่มีความสุขอยางแทจริง
การจัดกิจกรรมการเรียนรูตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es จึงเปนรูปแบบการเรียนการสอนที่เนนผูเรียน เปนสําคัญอยางแทจริง เพราะสงเสริมใหผูเรียนไดเรียนรูตามขั้นตอนของกระบวนการสรางความรูดวยตนเอง และ ฝกฝนใหใชกระบวนการคิดและกระบวนการกลุมอยางชํานาญ กอใหเกิดทักษะชีวิต ทักษะการทํางาน และทักษะการ เรียนรูที่มีประสิทธิภาพ สงผลตอการยกระดับผลสัมฤทธิ์ของผูเรียน ตามเปาหมายของการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) ทุกประการ คูม อื ครู
O-NET การเพิ่มผลสัมฤทธิ์ O-NET
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ในแตละหนวยการเรียนรู ทางผูจัดทํา จะเสนอแนะวิธีสอน รูปแบบกิจกรรมการเรียนรู พรอมทั้งออกแบบเครื่องมือวัดและประเมินผลที่สอดคลองกับตัวชี้วัด และสาระการเรียนรูแกนกลางไวทุกขั้นตอน โดยยึดหลักสําคัญ คือ หลักของการวัดและประเมินผล เสร�ม
6
1. การวัดและประเมินผลทุกครั้ง ควรนําผลมาปรับปรุงพัฒนาผูเรียน เปนรายบุคคล
2. การวัดและประเมินผลมี เปาหมาย เพื่อพัฒนาการเรียนรู ของผูเรียนจนเต็มศักยภาพ
3. การนําผลการวัดและประเมินผล ทุกครั้งมาวางแผนปรับปรุงกิจกรรม การเรียนการสอน การเลือกเทคนิค วิธีสอน และสื่อการเรียนรูให เหมาะสมกับสภาพจริงของผูเรียน
การทดสอบผูเรียน 1. การใชขอสอบอัตนัย เนนการอาน การคิดวิเคราะห และการเขียนเพิ่มมากขึ้น 2. การใชคําถามกระตุนการคิดควบคูกับการทําขอสอบที่เนนการคิดอยางตอเนื่องตามลําดับกิจกรรมการเรียนรู และตัวชี้วัด 3. การทดสอบตองดําเนินการทั้งกอนเรียน ระหวางเรียน และหลังเรียน การทดสอบควรใชขอสอบทั้งชนิดปรนัยและ อัตนัย และเปนการทดสอบเพื่อประเมินผลการเรียนของผูเรียนแตละคน เพื่อการสอนซอมเสริมใหบรรลุตัวชี้วัด ไดครบถวน 4. การสอบกลางภาค (ถามี) ควรนําแบบฝกหัดหรือขอสอบทีน่ กั เรียนสวนใหญไมสามารถตอบไดหรือไมครบถวนชัดเจน มา สรางเปนแบบทดสอบอีกครัง้ เพือ่ ตรวจสอบความรูค วามเขาใจทีถ่ กู ตอง และประเมินความกาวหนาของผูเ รียนแตละคน 5. การสอบปลายภาคเรียนเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามตัวชี้วัดที่สําคัญ ควรออกขอสอบใหมีลักษณะเดียวกับ ขอสอบ O-NET โดยเนนการคิดวิเคราะห สังเคราะห เชื่อมโยงประยุกตใช เพื่อสรางความคุนเคย และฝกฝน วิธีการทําขอสอบดวยความมั่นใจ 6. การนําผลการทดสอบของผูเรียนมาวิเคราะห โดยผลการสอบกอนการเรียนตองสามารถพยากรณผลการสอบ กลางภาค และผลการสอบกลางภาคตองทํานายผลการสอบปลายภาคของผูเ รียนแตละคน เพือ่ ประเมินพัฒนาการ ความกาวหนาของผูเรียนเปนรายบุคคล 7. ผลการทดสอบปลายป ปลายภาค ตองมีคาเฉลี่ยสอดคลองกับคาเฉลี่ยของการสอบ NT ที่เขตพื้นที่การศึกษา จัดสอบ รวมทั้งคาเฉลี่ยของการสอบ O-NET ชวงชั้นที่สอดคลองครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดสําคัญ เพือ่ สะทอนประสิทธิภาพของครูผสู อนในการออกแบบการเรียนรูแ ละประกันคุณภาพผูเ รียนทีต่ รวจสอบผลไดชดั เจน การจัดการเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ตองใหผูเรียนไดสั่งสมความรู ความเขาใจตามลําดับขั้นตอน ของกิจกรรมในวัฏจักรการเรียนรู 5Es เพื่อใหผูเรียนไดเติมเต็มองคความรูอยางตอเนื่อง จนสามารถปฏิบัติชิ้นงานหรือ ภาระงานรวบยอดของแตละหนวย ผานเกณฑประกันคุณภาพในระดับที่นาพึงพอใจ เพื่อรองรับการประเมินภายนอกจาก สมศ. ตลอดเวลา คูม อื ครู
ASEAN การเรียนรูสูประชาคมอาเซียน เพื่ออํานวยความสะดวกแกครูผูสอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรูบูรณาการอาเซียนศึกษา ผูจัดทําไดวิเคราะห มาตรฐานการเรียนรู และตัวชี้วัดที่มีสาระการเรียนรูสอดคลองกับองคความรูเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนในแงมุมตางๆ ครอบคลุมทัง้ ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรม อาเซียน เพื่อสงเสริมการเรียนรูใหผูเรียนเกิดความตระหนัก มีความรูความเขาใจเหมาะสมกับระดับชั้นและกลุมสาระ การเรียนรู โดยเสนอแนะวิธีการจัดกิจกรรมบูรณาการเนื้อหาสาระตางๆ ที่เปนประโยชนตอผูเรียนและเปนการชวย เตรียมความพรอมผูเ รียนทุกคนทีจ่ ะกาวเขาสูก ารเปนสมาชิกของประชาคมอาเซียนไดอยางมัน่ ใจตามขอตกลงปฏิญญา เสร�ม ชะอํา-หัวหิน วาดวยความรวมมือดานการศึกษาเพือ่ บรรลุเปาหมายประชาคมอาเซียนทีเ่ อือ้ อาทรและแบงปน จึงกําหนด 7 เปนนโยบายใหกระทรวงศึกษาธิการจัดการเรียนรูเตรียมความพรอมผูเรียนเขาสูประชาคมอาเซียนภายในป พ.ศ. 2558 ตามแนวปฏิบัติที่สําคัญ ดังนี้
การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน 1. การสรางความรูความเขาใจ และตระหนักถึงความสําคัญของ กฎบัตรอาเซียน และความรวมมือ ของ 3 เสาหลัก ซึง่ กฎบัตรอาเซียน ในขณะนี้มีสถานะเปนกฎหมายที่ ประเทศสมาชิกจะตองปฏิบัติตาม หลักการที่กําหนดไวเพื่อใหบรรลุ เปาหมายของกฎบัตรมาตราตางๆ
2. การสงเสริมหลักการ ประชาธิปไตยและการสราง สิ่งแวดลอมประชาธิปไตย เพื่อการอยูรวมกันอยางกลมกลืน ภายใตวิถีชีวิตอาเซียนที่มีความ หลากหลายดานสังคมและ วัฒนธรรม
4. การตระหนักในคุณคาของ สายสัมพันธทางประวัติศาสตร และมรดกทางวัฒนธรรมที่มี พัฒนาการรวมกัน เพื่อเชื่อม อัตลักษณและสรางจิตสํานึก ในการเปนประชากรของประชาคม อาเซียนรวมกัน
3. การสงเสริมการศึกษาดาน สิทธิมนุษยชน เพื่อสรางประชาคม อาเซียนใหเปนประชาคมเพื่อ ประชาชนอยางแทจริง สามารถ อยูรวมกันไดบนพื้นฐานการเคารพ ในคุณคาของศักดิ์ศรีแหงความ เปนมนุษยเทาเทียมกัน
5. การสงเสริมสันติภาพ ความ มั่นคง และความปรองดองในสังคม ทั้งระดับประเทศและภูมิภาคของ อาเซียนบนพื้นฐานสันติวิธีและการ อยูรวมกันดวยขันติธรรม
คูม อื ครู
การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
เสร�ม
8
1. การพัฒนาทักษะการทํางาน เพื่อเสริมสรางผูเรียนใหมีทักษะ วิชาชีพที่จําเปนสอดคลองกับ ความตองการของตลาดแรงงาน และสถานประกอบการในอาเซียน สามารถเทียบโอนผลการเรียน และการทํางานตามมาตรฐานฝมือ แรงงานในภูมิภาคอาเซียน
2. การเสริมสรางวินัย ความรับผิดชอบ และเจตคติรักการทํางาน สามารถพึ่งพาตนเอง มีทักษะชีวิต ดํารงชีวิตอยางมีความสุข เห็นคุณคา และภูมิใจในตนเอง ในฐานะที่เปนพลเมืองไทยและ อาเซียน
3. การเรียนรูเพื่อพัฒนาตนเอง อยางตอเนื่องตลอดชีวิต ใหมี ทักษะการทํางานตามมาตรฐาน อาชีพ และคุณวุฒิของวิชาชีพสาขา ตางๆ เพื่อรองรับการเตรียมเคลื่อน ยายแรงงานมีฝมือและการเปน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่ เขมแข็ง เพื่อสรางขีดความสามารถ ในการแขงขันในเวทีโลก
การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน 1. การเสริมสรางความรวมมือ ในลักษณะสังคมที่เอื้ออาทร ของประชากรอาเซียน โดยยึด หลักการสําคัญ คือ ความงดงาม ของประชาคมอาเซียนมาจาก ความแตกตางและหลากหลายทาง วัฒนธรรมที่ลวนแตมีคุณคาตอ มรดกทางวัฒนธรรมของอาเซียน ซึ่งประชาชนทุกคนตองอนุรักษ สืบสานใหยั่งยืน
2. การเสริมสรางคุณลักษณะ ของผูเรียนใหเปนพลเมืองอาเซียน ที่มีศักยภาพในการกาวเขาสู ประชาคมอาเซียนอยางมั่นใจ เปนผูที่มีสุขภาพสมบูรณแข็งแรง มีทักษะการสื่อสาร ทักษะการ ทํางาน ทักษะทางสังคม สามารถ ทํางานรวมกับผูอื่นไดอยาง สรางสรรค และมีองคความรู เกี่ยวกับอาเซียนที่จําเปนตอการ ดํารงชีวิตอยางมีคุณภาพ
4. การสงเสริมการเรียนรูดาน ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถชี วี ติ ความเปนอยูข องเพือ่ นบาน ในอาเซียน เพื่อสรางจิตสํานึกของ ความเปนประชาคมอาเซียนและ ตระหนักถึงหนาที่ของการเปน พลเมืองอาเซียนรวมกัน
3. การสงเสริมการเรียนรูภาษา อังกฤษเพื่อการสื่อสารและการ ทํางานตามมาตรฐานอาชีพที่ กําหนดและสนับสนุนการเรียนรู ภาษาอาเซียนและภาษาเพื่อนบาน เพื่อชวยเสริมสรางสัมพันธภาพทาง สังคม และการอยูรวมกันอยางสันติ ทามกลางความหลากหลายทาง วัฒนธรรม
5. การสรางความรูและความ ตระหนักเกี่ยวกับดานสิ่งแวดลอม ปญหาและผลกระทบตอคุณภาพ ชีวิตของประชากรในภูมิภาค รวมทั้งแนวทางการพัฒนาอยาง ยั่งยืน ใหเปนมรดกสืบทอดแก พลเมืองอาเซียนในรุนหลังตอๆ ไป
กระทรวงศึกษาธิการจึงประกาศนโยบายการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) เพื่อเรงพัฒนาเด็ก และเยาวชนไทยใหเปนทรัพยากรมนุษยของชาติที่มีทักษะและความชํานาญ พรอมเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและ การแขงขันทั้งในภูมิภาคอาเซียนและภูมิภาคอื่นๆ ของสังคมโลก ทั้งนี้ผูบริหารสถานศึกษา ครูผูสอน และผูปกครอง ควรรวมมือกันอยางใกลชิดในการดูแลชวยเหลือผูเรียนและจัดประสบการณการเรียนรูเพื่อพัฒนาผูเรียนจนเต็มศักยภาพ เพื่อกาวเขาสูการเปนพลเมืองอาเซียนอยางมีเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีความเปนมนุษยของตน คณะผูจัดทํา คูม อื ครู
ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง สาระที่ 1
วิทยาศาสตร (เฉพาะชั้น ม.2)*
สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดํารงชีวิต
มาตรฐาน ว 1.1 เขาใจหนวยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต ความสัมพันธของโครงสราง และหนาที่ของระบบตางๆ ของสิ่งมีชีวิต ที่ทํางานสัมพันธกัน มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู สื่อสารสิ่งที่เรียนรู และนําความรูไปใชในการ ดํารงชีวิตของตนเองและดูแลสิ่งมีชีวิต ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
ม.2
1. อธิบายโครงสรางและการทํางาน ของระบบยอยอาหาร ระบบ หมุนเวียนเลือด ระบบหายใจ ระบบขับถาย ระบบสืบพันธุของ มนุษยและสัตว รวมทั้งระบบ ประสาทของมนุษย
• ระบบยอยอาหาร ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบหายใจ ระบบ • หนวยการเรียนรูที่ 1 ขับถาย ระบบสืบพันธุ และระบบประสาทของมนุษย ในแตละ ระบบรางกายมนุษยและสัตว ระบบประกอบดวยอวัยวะหลายชนิดทีท่ าํ งานอยางเปนระบบ (ตอนที่ 1) • ระบบย อ ยอาหาร ระบบหมุ น เวี ย นเลื อ ด ระบบหายใจ • หนวยการเรียนรูที่ 2 ระบบขับถาย ระบบสืบพันธุของสัตว ประกอบดวยอวัยวะ ระบบรางกายมนุษยและสัตว หลายชนิดที่ทํางานอยางเปนระบบ (ตอนที่ 2)
2. อธิบายความสัมพันธของ ระบบตางๆ ของมนุษยและนํา ความรูไปใชประโยชน
• ระบบยอยอาหาร ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบหายใจ • หนวยการเรียนรูที่ 1 ระบบขับถาย ระบบสืบพันธุของมนุษย ในแตละระบบมีการ ระบบรางกายมนุษยและสัตว ทํางานที่สัมพันธกันทําใหมนุษยดํารงชีวิตอยูไดอยางปกติ (ตอนที่ 1) ถาระบบใดระบบหนึ่งทํางานผิดปกติ ยอมสงผลกระทบตอ • หนวยการเรียนรูที่ 2 ระบบอื่นๆ ดังนั้นจึงตองมีการดูแลรักษาสุขภาพ ระบบรางกายมนุษยและสัตว (ตอนที่ 2)
3. สังเกตและอธิบายพฤติกรรมของ มนุษยและสัตวที่ตอบสนองตอ สิ่งเราภายนอกและภายใน
• แสง อุ ณ หภู มิ และการสั ม ผั ส จั ด เป น สิ่ ง เร า ภายนอก • หนวยการเรียนรูที่ 2 สวนการเปลี่ยนแปลงระดับสารในรางกาย เชน ฮอรโมน ระบบรางกายมนุษยและสัตว จัดเปนสิ่งเราภายใน ซึ่งทั้งสิ่งเราภายนอกและสิ่งเราภายใน (ตอนที่ 2) มีผลตอมนุษยและสัตว ทําใหแสดงพฤติกรรมตางๆ ออกมา
4. อธิบายหลักการและผลของ การใชเทคโนโลยีชีวภาพ ในการขยายพันธุ ปรับปรุงพันธุ และเพิ่มผลผลิตของสัตว และนํา ความรูไปใชประโยชน
• เทคโนโลยีชีวภาพเปนการใชเทคโนโลยีเพื่อทําใหสิ่งมีชีวิต • หนวยการเรียนรูที่ 2 หรือองคประกอบของสิ่งมีชีวิตมีสมบัติตามตองการ ระบบรางกายมนุษยและสัตว • การผสมเทียม การถายฝากตัวออน การโคลน เปนการใช (ตอนที่ 2) เทคโนโลยีชีวภาพในการขยายพันธุ ปรับปรุงพันธุ และเพิ่ม ผลผลิตของสัตว
5. ทดลอง วิเคราะห และอธิบาย สารอาหารในอาหารมีปริมาณ พลังงานและสัดสวนที่เหมาะสม กับเพศและวัย
• แปง นํ้าตาล ไขมัน โปรตีน วิตามินซี เปนสารอาหารและ • หนวยการเรียนรูที่ 3 สามารถทดสอบได อาหารและสารเสพติด • การบริโภคอาหาร จําเปนตองใหไดสารอาหารที่ครบถวนใน สัดสวนทีเ่ หมาะสมกับเพศและวัย และไดรบั ปริมาณพลังงาน ที่เพียงพอกับความตองการของรางกาย
6. อภิปรายผลของสารเสพติดตอ ระบบตางๆ ของรางกาย และ แนวทางในการปองกันตนเอง จากสารเสพติด
• สารเสพติดแตละประเภทมีผลตอระบบตางๆ ของรางกาย • หนวยการเรียนรูที่ 3 ทําใหระบบเหลานัน้ ทําหนาทีผ่ ดิ ปกติ ดังนัน้ จึงตองหลีกเลีย่ ง อาหารและสารเสพติด การใชสารเสพติด และหาแนวทางในการปองกันตนเองจาก สารเสพติด
เสร�ม
9
_________________________________ * สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร. (กรุงเทพมหานคร : ชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย, 2551), หนา 15-101.
คูม อื ครู
สาระที่ 3
สารและสมบัติของสาร
มาตรฐาน ว 3.1 เขาใจสมบัตขิ องสาร ความสัมพันธระหวางสมบัตขิ องสารกับโครงสรางและแรงยึดเหนีย่ วระหวางอนุภาค มีกระบวนการสืบเสาะหาความรูและจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่เรียนรู และนําความรูไปใชประโยชน ชั้น ม.2
เสร�ม
10
ตัวชี้วัด 1. สํารวจและอธิบายองคประกอบ สมบัติของธาตุและสารประกอบ
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
• ธาตุ เปนสารบริสุทธิ์ที่ประกอบดวยอะตอมชนิดเดียวกันและ • หนวยการเรียนรูที่ 4 ไมสามารถแยกสลายเปนสารอืน่ ไดอกี โดยวิธกี ารทางเคมี สารและการเปลี่ยนแปลง • สารประกอบเปนสารบริสทุ ธิท์ ปี่ ระกอบดวยธาตุตงั้ แตสองธาตุ ขึ้นไป รวมตัวกันดวยอัตราสวนโดยมวลคงที่ และมีสมบัติ แตกตางจากสมบัตเิ ดิมของธาตุทเี่ ปนองคประกอบ
2. สืบคนขอมูลและเปรียบเทียบ • ธาตุแตละชนิดมีสมบัตบิ างประการทีค่ ลายกันและแตกตางกัน • หนวยการเรียนรูที่ 4 สมบัติของธาตุโลหะ ธาตุอโลหะ จึงสามารถจําแนกกลุม ธาตุตามสมบัตขิ องธาตุเปนธาตุโลหะ สารและการเปลี่ยนแปลง ธาตุกึ่งโลหะ และธาตุกัมมันตรังสี กึง่ โลหะ อโลหะ และธาตุกัมมันตรังสี และนําความรูไปใชประโยชน • ในชีวิตประจําวันมีวัสดุ อุปกรณและผลิตภัณฑตางๆ ที่ผลิต มาจากธาตุและสารประกอบ จึงควรเลือกใชใหถูกตอง เหมาะสมปลอดภัย และยั่งยืน 3. ทดลองและอธิบายหลักการแยกสาร • การกรอง การตกผลึก การสกัด การกลั่นและโครมาโทกราฟ • หนวยการเรียนรูที่ 4 ดวยวิธกี ารกรอง การตกผลึก การสกัด เปนวิธีการแยกสารที่มีหลักการแตกตางกัน และสามารถนํา สารและการเปลี่ยนแปลง การกลั่น และโครมาโทกราฟ และ ไปประยุกตใชในชีวิตประจําวัน นําความรูไ ปใชประโยชน
มาตรฐาน ว 3.2 เขาใจหลักการและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร การเกิดสารละลาย การเกิดปฎิกิริยา มีกระบวนการสืบเสาะหาความรูและจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่เรียนรู และนําความรูไปใชประโยชน ชั้น ม.2
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
1. ทดลองและอธิบายการ • เมื่อสารเกิดปฏิกิริยาเคมีจะมีพลังงานมาเกี่ยวของ ซึ่งอาจ • หนวยการเรียนรูที่ 5 เปลี่ยนแปลงสมบัติ มวล และ เปนการดูดพลังงานความรอน หรือคายพลังงานความรอน ปฎิกิริยาเคมี พลังงานเมื่อสารเกิดปฏิกิริยาเคมี • อุณหภูมิ ความเขมขน ธรรมชาติของสาร และตัวเรงปฏิกริ ยิ า รวมทั้งอธิบายปจจัยที่มีผลตอการ มีผลตอการเกิดปฏิกิริยาเคมีของสาร เกิดปฏิกิริยาเคมี 2. ทดลอง อธิบายและเขียน สมการเคมีของปฏิกิริยาของ สารตางๆ และนําความรูไปใช ประโยชน
• สมการเคมีใชเขียนแสดงการเกิดปฏิกิริยาเคมีของสาร ซึ่งมี • หนวยการเรียนรูที่ 5 ทั้งสารตั้งตนและสารผลิตภัณฑ ปฎิกิริยาเคมี • ปฏิกิริยาระหวางโลหะกับออกซิเจน โลหะกับนํ้า โลหะกับ กรด กรดกับเบส และกรดกับคารบอเนตเปนปฏิกิริยาเคมี ที่พบทั่วไป • การเลือกใชวัสดุและสารรอบตัวในชีวิตประจําวันไดอยาง เหมาะสมและปลอดภัย โดยคํานึงถึงปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น
3. สืบคนขอมูลและอภิปรายผลของ • สารเคมีและปฏิกิริยาเคมี มีทั้งประโยชนและโทษ สารเคมี ปฏิกิริยาเคมีตอสิ่งมีชีวิต ตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอมทั้งทางตรงและทางออม และสิ่งแวดลอม 4. สืบคนขอมูลและอธิบายการใช สารเคมีอยางถูกตอง ปลอดภัย วิธีปองกันและแกไขอันตราย ที่เกิดขึ้นจากการใชสารเคมี
คูม อื ครู
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
• หนวยการเรียนรูที่ 5 ปฎิกิริยาเคมี
• การใชสารเคมีตองมีความระมัดระวัง ปองกันไมใหเกิด • หนวยการเรียนรูที่ 5 อันตรายตอตนเองและผูอื่น โดยใชใหถูกตอง ปลอดภัยและ ปฎิกิริยาเคมี คุมคา • ผูใชสารเคมีควรรูจักสัญลักษณเตือนภัยบนฉลาก และรูวิธี การแกไข และการปฐมพยาบาลเบื้องตนเมื่อไดรับอันตราย จากสารเคมี
สาระที่ 4
แรงและการเคลื่อนที่
มาตรฐาน ว 4.1 เขาใจธรรมชาติของแรงแมเหล็กไฟฟา แรงโนมถวง และแรงนิวเคลียร มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชนอยางถูกตองและมีคุณธรรม ชั้น ม.2
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
1. ทดลองและอธิบายการหาแรงลัพธ • แรงเปนปริมาณเวกเตอร เมื่อมีแรงหลายแรงในระนาบ • หนวยการเรียนรูที่ 6 ของแรงหลายแรงในระนาบเดียวกัน เดียวกันกระทําตอวัตถุเดียวกัน สามารถหาแรงลัพธไดโดย แรง ที่กระทําตอวัตถุ ใชหลักการรวมเวกเตอร
เสร�ม
11
2. อธิ บ ายแรงลั พ ธ ที่ ก ระทํ า ต อ วั ต ถุ • เมื่อแรงลัพธมีคาเปนศูนยกระทําตอวัตถุที่หยุดนิ่ง วัตถุนั้น • หนวยการเรียนรูที่ 6 ที่ ห ยุ ด นิ่ ง หรื อ วั ต ถุ เ คลื่ อ นที่ ด ว ย ก็จะหยุดนิ่งตลอดไป แตถาวัตถุเคลื่อนที่ดวยความเร็วคงตัว แรง ความเร็วคงตัว ก็จะเคลื่อนที่ดวยความเร็วคงตัวตลอดไป
สาระที่ 5
พลังงาน
มาตรฐาน ว 5.1 เขาใจความสัมพันธระหวางพลังงานกับการดํารงชีวิต การเปลี่ยนรูปพลังงาน ปฏิสัมพันธระหวางสาร และพลังงาน ผลของการใชพลังงานตอชีวิตและสิ่งแวดลอม มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู สื่อสาร สิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชน ชั้น ม.2
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
1. ทดลองและอธิบายการสะทอนของ • เมื่อแสงตกกระทบผิววัตถุหรือตัวกลางอีกตัวกลางหนึ่ง แสง • หนวยการเรียนรูที่ 7 แสง การหักเหของแสง และนํา จะเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่โดยการสะทอนของแสง หรือ แสงและการเกิดภาพ ความรูไปใชประโยชน การหักเหของแสง • การนําความรูเ กีย่ วกับการสะทอนของแสง และการหักเหของ แสงไปใชอธิบายแวนตา ทัศนอุปกรณ กระจก เสนใยนําแสง 2. อธิ บ ายผลของความสว า งที่ มีต อ • นัยนตาของคนเราเปนอวัยวะใชมองดูสิ่งตางๆ นัยนตา • หนวยการเรียนรูที่ 7 มนุษย และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ มีองคประกอบสําคัญหลายอยาง แสงและการเกิดภาพ • ความสวางมีผลตอนัยนตามนุษย จึงมีการนําความรูเ กีย่ วกับ ความสวางมาชวยในการจัดความสวางใหเหมาะสมกับการ ทํางาน • ออกแบบวิธกี ารตรวจสอบวาความสวางมีผลตอสิง่ มีชวี ติ อืน่ 3. ทดลองและอธิบายการสะทอนของ • เมื่อแสงตกกระทบวัตถุ วัตถุจะดูดกลืนแสงสีบางสีไว และ • หนวยการเรียนรูที่ 7 แสง การหักเหของแสง และนํา สะทอนแสงสีทเี่ หลือออกมาทําใหเรามองเห็นวัตถุเปนสีตา งๆ แสงและการเกิดภาพ ความรูไปใชประโยชน • การนําความรูเกี่ยวกับการดูดกลืนแสงสี การมองเห็นสีของ วัตถุไปใชประโยชนในการถายรูปและในการแสดง
สาระที่ 6
กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก
มาตรฐาน ว 6.1 เขาใจกระบวนการตางๆ ที่เกิดขึ้นบนผิวโลกและภายในโลก ความสัมพันธของกระบวนการตางๆ ที่มีผล ตอการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และสัณฐานของโลก มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู และจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชน ชั้น ม.2
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
1. สํารวจ ทดลอง และอธิบาย • ดินมีลักษณะและสมบัติแตกตางกันตามวัตถุตนกําเนิดดิน • หนวยการเรียนรูที่ 8 ลักษณะของชั้นหนาตัดดิน สมบัติ ลักษณะภูมิอากาศ ลักษณะภูมิประเทศ พืชพรรณ สิ่งมีชีวิต โลกและการเปลี่ยนแปลง ของดิน และกระบวนการเกิดดิน และระยะเวลาในการเกิดดิน และตรวจสอบสมบัตบิ างประการ ของดิน • ชั้นหนาตัดดินแตละชั้นและแตละพื้นที่มีลักษณะ สมบัติ และ องคประกอบแตกตางกัน
คูม อื ครู
เสร�ม
12
ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
ม.2
2. สํารวจ วิเคราะหและอธิบาย การใชประโยชนและการปรับปรุง คุณภาพของดิน
• ดินในแตละทองถิน่ มีลกั ษณะและสมบัตติ า งกันตามสภาพของ • หนวยการเรียนรูที่ 8 ดิน จึงนําไปใชประโยชนตางกัน โลกและการเปลี่ยนแปลง • การปรับปรุงคุณภาพดินขึน้ อยูก บั สภาพของดิน เพือ่ ทําใหดนิ มีความเหมาะสมตอการใชประโยชน
3. ทดลองเลียนแบบเพื่ออธิบาย กระบวนการเกิด และลักษณะ องคประกอบของหิน
• กระบวนการเปลี่ ย นแปลงทางธรณี วิ ท ยาทั้ ง บนและใต • หนวยการเรียนรูที่ 8 พื้นผิวโลกทําใหเกิดหินที่มีลักษณะองคประกอบแตกตางกัน โลกและการเปลี่ยนแปลง ทั้งทางดานกายภาพ และทางเคมี
4. ทดสอบ และสังเกตองคประกอบ • หินแบงเปนหินอัคนี หินแปร และหินตะกอน หินแตละประเภท • หนวยการเรียนรูที่ 8 และสมบัติของหิน เพื่อจําแนก มีความสัมพันธกัน และนําไปใชประโยชนในอุตสาหกรรม โลกและการเปลี่ยนแปลง ประเภทของหิน และนําความรูไป การกอสรางและอื่นๆ ใชประโยชน 5. ตรวจสอบและอธิบายลักษณะทาง • เมื่ อ สภาวะแวดล อ มธรรมชาติ ที่ อ ยู ภ ายใต อุ ณ หภู มิ แ ละ • หนวยการเรียนรูที่ 8 กายภาพของแร และการนําไปใช ความดันที่เหมาะสม ธาตุและสารประกอบจะตกผลึกเปนแร โลกและการเปลี่ยนแปลง ประโยชน ที่มีลักษณะและสมบัติตางกัน ซึ่งตองใชวิธีตรวจสอบสมบัติ แตละอยางแตกตางกันไป • แรที่สํารวจพบในประเทศไทยมีหลายชนิด แตละชนิด ตรวจสอบทางกายภาพไดจากรูปผลึก ความถวงจําเพาะ ความแข็ง ความวาว แนวแตกเรียบ สีและสีผงของแร และนําไปใชประโยชนตางกัน เชน ใชทําเครื่องประดับ ใชในดานอุตสาหกรรม 6. สืบคนและอธิบายกระบวนการเกิด • ปโตรเลียม ถานหิน หินนํ้ามัน เปนเชื้อเพลิงธรรมชาติที่เกิด • หนวยการเรียนรูที่ 8 ลักษณะและสมบัติของปโตรเลียม จากกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา ซึ่งแตละชนิด โลกและการเปลี่ยนแปลง ถานหิน หินนํ้ามัน และการนําไป จะมีลักษณะ สมบัติและวิธีการนําไปใชประโยชนแตกตางกัน ใชประโยชน 7. สํารวจและอธิบายลักษณะแหลงนํา้ • แหลงนํ้าบนโลก มีทั้งนํ้าจืด นํ้าเค็ม โดยแหลงนํ้าจืดมีอยูทั้ง • หนวยการเรียนรูที่ 8 บนดิน ใตดิน และในบรรยากาศ ธรรมชาติ การใชประโยชนและ โลกและการเปลี่ยนแปลง • การใชประโยชนของแหลงนํ้า ตองมีการวางแผนการใช การ การอนุรักษแหลงนํ้าในทองถิ่น อนุรักษ การปองกัน การแกไข และผลกระทบ ดวยวิธีการที่ เหมาะสม 8. ทดลองเลียนแบบ และอธิบาย การเกิดแหลงนํ้าบนดิน แหลงนํ้าใตดิน
• แหลงนํา้ บนดินมีหลายลักษณะ ขึ้นอยูกับลักษณะภูมิประเทศ • หนวยการเรียนรูที่ 8 ลักษณะทางนํ้า และความเร็วของกระแสนํ้าในแตละฤดูกาล โลกและการเปลี่ยนแปลง • นํา้ บนดินบางสวนจะไหลซึมสูใ ตผวิ ดิน ถูกกักเก็บไวในชัน้ ดิน และหิน เกิดเปนนํ้าใตดิน ซึ่งสวนหนึ่งจะซึมอยูตามชองวาง ระหวางเม็ดตะกอน เรียกวา นํ้าในดิน อีกสวนหนึ่งจะไหล ซึมลึกลงไปจนถูกกักเก็บไวตามชองวางระหวางเม็ดตะกอน ตามรูพรุน หรือตามรอยแตกของหิน หรือชั้นหิน เรียกวา นํ้าบาดาล • สมบัติของนํ้าบาดาลขึ้นอยูกับชนิดของดิน แหลงแร และหิน ที่เปนแหลงกักเก็บนํ้าบาดาล และชั้นหินอุมนํ้า
9. ทดลองเลียนแบบและอธิบาย • การผุพังอยูกับที่ การกรอน การพัดพา การทับถม และ • หนวยการเรียนรูที่ 8 กระบวนการผุพงั อยูก บั ที่ การกรอน การตกผลึก เปนกระบวนการสําคัญทีท่ าํ ใหพนื้ ผิวโลกเกิดการ โลกและการเปลี่ยนแปลง การพัดพา การทับถม การตกผลึก เปลี่ยนแปลงเปนภูมิลักษณตางๆ โดยมีลม นํ้า ธารนํ้าแข็ง และผลของกระบวนการดังกลาว คลื่น และแรงโนมถวงของโลกเปนตัวการสําคัญ 10. สืบคน สรางแบบจําลอง และอธิบายโครงสราง และองคประกอบของโลก
คูม อื ครู
• โครงสรางของโลกประกอบดวยชั้นเปลือกโลก ชั้นเนื้อโลก • หนวยการเรียนรูที่ 8 และชั้นแกนโลก ซึ่งโครงสรางแตละชั้นจะมีลักษณะและ โลกและการเปลี่ยนแปลง สวนประกอบแตกตางกัน
สาระที่ 8
ธรรมชาติของวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 8.1 ใชกระบวนการทางวิทยาศาสตรและจิตวิทยาศาสตร ในการสืบเสาะหาความรู การแกปญหา รูวา ปรากฏการณทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นสวนใหญมีรูปแบบแนนอน สามารถอธิบายและตรวจสอบไดภายใต ขอมูลและเครื่องมือที่มีอยูในชวงเวลานั้นๆ เขาใจวา วิทยาศาสตร เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดลอม มีความเกี่ยวของสัมพันธกัน ชั้น ม.1 ม.3
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
1. ตั้งคําถามที่กําหนดประเด็น หรือตัวแปรทีส่ าํ คัญในการสํารวจ ตรวจสอบ หรือศึกษาคนควา เรื่องที่สนใจไดอยางครอบคลุม และเชื่อถือได
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-8
2. สรางสมมติฐานที่สามารถ ตรวจสอบไดและวางแผนการ สํารวจตรวจสอบหลายๆ วิธี
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-8
3. เลือกเทคนิควิธกี ารสํารวจตรวจสอบ ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพที่ได ผลเที่ยงตรงและปลอดภัย โดยใช วัสดุและเครื่องมือที่เหมาะสม
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-8
4. รวบรวมขอมูล จัดกระทําขอมูล เชิงปริมาณและคุณภาพ
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-8
5. วิเคราะหและประเมินความ สอดคลองของประจักษพยานกับ ขอสรุป ทั้งที่สนับสนุนหรือขัดแยง กับสมมติฐาน และความผิดปกติ ของขอมูลจากการสํารวจตรวจสอบ
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-8
6. สรางแบบจําลอง หรือรูปแบบ ที่อธิบายผลหรือแสดงผลของ การสํารวจตรวจสอบ
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-8
7. สรางคําถามที่นําไปสูการสํารวจ ตรวจสอบในเรื่องที่เกี่ยวของ และ นําความรูที่ไดไปใชในสถานการณ ใหม หรืออธิบายเกี่ยวกับแนวคิด กระบวนการ และผลของโครงงาน หรือชิ้นงานใหผูอื่นเขาใจ
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-8
8. บันทึกและอธิบายผลการสังเกต การสํารวจ ตรวจสอบ คนควา เพิ่มเติมจากแหลงความรูตางๆ ให ไดขอมูลที่เชื่อถือได และยอมรับ การเปลี่ยนแปลงความรูที่คนพบ เมื่อมีขอมูลและประจักษพยาน ใหมเพิ่มขึ้นหรือโตแยงจากเดิม
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-8
9. จัดแสดงผลงาน เขียนรายงาน และ/หรืออธิบายเกี่ยวกับแนวคิด กระบวนการ และผลของโครงงาน หรือชิ้นงานใหผูอื่นเขาใจ
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-8
เสร�ม
13
คูม อื ครู
จุดเนนการพัฒนาคุณภาพผูเรียน* การขับเคลื่อนหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 และการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษ ที่สอง (พ.ศ. 2552-2561) ใหประสบผลสําเร็จตามจุดเนนการพัฒนาคุณภาพผูเรียน โดยใหทุกภาคสวน รวมกันดําเนินการ กระทรวงศึกษาธิการไดกําหนดจุดเนนการพัฒนาคุณภาพผูเรียน ดังนี้ เสร�ม
14
ทักษะ ความสามารถ
คุณลักษณะ จุดเนนตามชวงวัย
ม. 4-6
แสวงหาความรู เพื่อแกปญหา ใชเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู ใชภาษาตางประเทศ (ภาษาอังกฤษ) มีทักษะการคิดขั้นสูง ทักษะชีวิต ทักษะการสื่อสารอยางสรางสรรคตามชวงวัย
ม. 1-3
แสวงหาความรูดวยตนเอง ใชเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู มีทักษะการคิดขั้นสูง ทักษะชีวิต ทักษะการสื่อสารอยางสรางสรรคตามชวงวัย
• อยูอยางพอเพียง
ป. 4-6
อานคลอง เขียนคลอง คิดเลขคลอง ทักษะการคิดขั้นพื้นฐาน ทักษะชีวิต ทักษะการสื่อสารอยางสรางสรรคตามชวงวัย
• ใฝเรียนรู
ป. 1-3
อานออก เขียนได คิดเลขเปน มีทักษะการคิดขั้นพื้นฐาน ทักษะชีวิต ทักษะการสื่อสารอยางสรางสรรคตามชวงวัย
• ใฝดี
• มุงมั่นในการศึกษา และการทํางาน
คุณลักษณะตามหลักสูตร
• รักชาติ ศาสน กษัตริย • ซื่อสัตยสุจริต • มีวินัย • ใฝเรียนรู • อยูอยางพอเพียง • มุงมั่นในการทํางาน • รักความเปนไทย • มีจิตสาธารณะ
* สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ. แนวทางการนําจุดเนนการพัฒนาผูเรียน สูการปฏิบัติ. (กรุงเทพมหานคร : ชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย, 2553), หนา 3-10.
คูม อื ครู
คําอธิบายรายวิชา รายวิชา วิทยาศาสตร เลม 2 ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 รหัสวิชา ว…………………………………
กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร ภาคเรียนที่…………… เวลา 60 ชั่วโมง/ป
ศึกษา อธิบาย ทดลอง สืบคนขอมูล วิเคราะห สํารวจ ตรวจสอบการเปลีย่ นแปลงสมบัติ มวล และพลังงาน เสร�ม เมื่อสารเกิดปฏิกิริยาเคมี รวมทั้งอธิบายปจจัยที่มีผลตอการเกิดปฏิกิริยาเคมี เขียนสมการเคมีของปฏิกิริยาของ 15 สารตางๆ ผลของสารเคมี ปฏิกริ ยิ าตอสิง่ มีชวี ติ และสิง่ แวดลอม การใชสารเคมีอยางถูกตองปลอดภัย วิธปี อ งกัน และแกไขอันตรายที่เกิดขึ้นจากการใชสารเคมี การหาแรงลัพธของแรงหลายแรงในระนาบเดียวกันที่กระทําตอ วัตถุ แรงลัพธที่กระทําตอวัตถุหยุดนิ่ง หรือวัตถุที่เคลื่อนที่ดวยความเร็วคงตัว การสะทอนของแสง การหักเห ของแสง ผลของความสวางของแสงที่มีตอมนุษยและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ การดูดกลืนแสงสี การมองเห็นสีของวัตถุ ลักษณะชั้นหนาตัดดิน สมบัติของดิน และกระบวนการเกิดดินการใชประโยชนและการปรับปรุงคุณภาพของดิน กระบวนการเกิดและลักษณะองคประกอบของหิน องคประกอบและสมบัติของหิน เพื่อจําแนกประเภทของหิน ลักษณะทางกายภาพของแร กระบวนการเกิด ลักษณะและสมบัติของปโตรเลียม ถานหิน หินนํ้ามัน ลักษณะ แหลงนํ้าธรรมชาติ การใชประโยชนและการอนุรักษแหลงนํ้าในทองถิ่น การเกิดแหลงนํ้าบนดิน แหลงนํ้าใตดิน กระบวนการผุพังอยูกับที่ การกรอน การพัดพา การทับถม การตกผลึก และผลของกระบวนการดังกลาว อธิบายโครงสรางและองคประกอบของโลก โดยใชกระบวนการทางวิทยาศาสตร การสืบเสาะหาความรู การสํารวจตรวจสอบ การสืบคนขอมูล และ การอภิปราย เพือ่ ใหเกิดความรู ความคิด ความเขาใจ สามารถสือ่ สารสิง่ ทีไ่ ดเรียนรู มีความสามารถในการตัดสินใจ เห็น คุณคาของการนําความรูไปใชในชีวิตประจําวัน มีจิตวิทยาศาสตร จริยธรรม คุณธรรม และคานิยมที่เหมาะสม ตัวชี้วัด ว 3.2 ว 4.1 ว 5.1 ว 6.1 ว 8.1
ม.2/1
ม.2/2
ม.2/3
ม.2/1
ม.2/2
ม.2/1
ม.2/2
ม.2/3
ม.2/1
ม.2/2
ม.2/3
ม.2/4
ม.2/4
ม.2/5
ม.2/6
ม.2/7
ม.2/8
ม.2/9
ม.2/10
ม.1-3/1 ม.1-3/2 ม.1-3/3 ม.1-3/4 ม.1-3/5 ม.1-3/6 ม.1-3/7 ม.1-3/8 ม.1-3/9
รวม 28 ตัวชี้วัด
คูม อื ครู
คูม อื ครู
หนวยการเรียนรูที่ 8 : โลกและการเปลี่ยนแปลง
หนวยการเรียนรูที่ 7 : แสงและการเกิดภาพ
หนวยการเรียนรูที่ 6 : แรง
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 หนวยการเรียนรูที่ 5 : ปฏิกิริยาเคมี
หนวยการเรียนรูที่ 4 : สารและการเปลี่ยนแปลง
หนวยการเรียนรูที่ 3 : อาหารและสารเสพติด
หนวยการเรียนรูที่ 2 : ระบบรางกายมนุษย และสัตว (ตอนที่ 2)
วิทยาศาสตร ม.2 เลม 1 หนวยการเรียนรูที่ 1 : ระบบรางกายมนุษย และสัตว (ตอนที่ 1)
สาระที่ 3
16
✓✓ ✓ ✓
✓✓
✓✓
✓✓✓
✓✓✓✓
✓✓
✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓
สาระ สาระที่ 5 สาระที่ 6 สาระที่ 8 ที่ 4 ว มฐ. ว 6.1 มฐ. ว 8.1 มาตรฐาน ว 1.1 มฐ. ว 3.1 มฐ. ว 3.2 มฐ. 4.1 มฐ. ว 5.1 ตัวชี้วัด ตัวชี้วัด ตัวชี้วัด ตัวชี้วัด ตัวชี้วัด ตัวชี้วัด ตัวชี้วัด 1 2 3 4 5 6 1 2 3 1 2 3 4 1 2 1 2 3 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 1 2 3 4 5 6 7 8 9 สาระที่ 1
เสร�ม
หนวยการเรียนรู
มาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั
ตาราง วิเคราะหมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั รายวิชา วิทยาศาสตร ม.2
คําชี้แจง : ใหผูสอนใชตารางนี้ตรวจสอบความสอดคลองของเนื้อหาสาระการเรียนรูในหนวยการเรียนรูกับมาตรฐาน การเรียนรูและตัวชี้วัดชั้นป
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÃÒÂÇÔªÒ¾×é¹°Ò¹
วิทยาศาสตร เลม 2 ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2
¡ÅØ‹ÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙŒÇÔ·ÂÒÈÒʵà ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
ผูเรียบเรียง
รศ. ดร. ยุพา วรยศ นายถนัด ศรีบุญเรือง มิสเตอรโจ บอยด มิสเตอรวอลเตอร ไวทลอร
ผูตรวจ
ดร. ฤทธิ์ วัฒนชัยยิ่งเจริญ นางกุณฑรี เพ็ชรทวีพรเดช นางวันธนา ทวีบุญญาวัตร
บรรณาธิการ
นายวิโรจน เตรียมตระการผล นางสาววราภรณ ทวมดี
พิมพครั้งที่ 6
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ ISBN : 978-616-203-125-3 รหัสสินคา 2218003
¤Œ¹¤ÇÒÁÃÙŒ¢ÂÒ¤ÇÒÁ¤Ô´¨Ò¡ ¾ÔÁ¾ ¤ÃÑ駷Õè 1 ÃËÑÊÊÔ¹¤ŒÒ 2248017
EB GUIDE
ที่พิมพกํากับหัวขอสําคัญในหนังสือเรียนหลักสูตรแกนกลางฯ ผาน www.aksorn.com ไปยังแหลงความรูทั่วไทย-ทั่วโลก
คณะผูจัดทําคูมือครู
พัชรินทร แสนพลเมือง สายสุนีย งามพรหม จิตรา สังขเกื้อ
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
¤íÒ¹íÒ วิทยาศาสตรเปนวิชาทีม่ บี ทบาทสําคัญยิง่ ตอสังคมทัง้ ในโลกปจจุบนั และอนาคต เพราะวิทยาศาสตร จะมีความเกี่ยวของกับเราทุกคนทั้งในการดําเนินชีวิตประจําวัน การประกอบอาชีพการงานตางๆ ตลอด จนเทคโนโลยี เครื่องมือเครื่องใชและผลผลิตตางๆ ที่มนุษยสรางสรรคขึ้นมา วิทยาศาสตรชวยพัฒนาความคิดของมนุษย ใหคิดเปนเหตุเปนผล คิดสรางสรรค คิดวิเคราะห วิจารณ มีทักษะสําคัญในการแสวงหาความรู สามารถแกไขปญหาอยางเปนระบบ สามารถตัดสินใจโดย ใชขอมูลที่หลากหลายและมีประจักษพยานที่ตรวจสอบได วิทยาศาสตรจึงเปนวัฒนธรรมของโลกสมัย ใหมที่เราทุกคนจําเปนตองไดรับการพัฒนา สําหรับหนังสือเรียนรายวิชาพืน้ ฐาน วิทยาศาสตร ชุดนี้ สาระภายในเลมไดพฒ ั นามาจากหนังสือ ชุด New Understanding Science ของประเทศอังกฤษ โดยเรียบเรียงใหสอดคลองกับตัวชี้วัดและสาระ การเรียนรูแกนกลาง ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เนื้อหาภายใน เลมจะเรียงไปตามสาระ และแบงยอยเปนหนวยการเรียนรู การนําเสนอนอกจากเนื้อหาสาระแลว ก็จะ มีกจิ กรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตรแทรกคัน่ ไวให และทุกทายหนวยการเรียนรู จะมีกจิ กรรมสรางสรรค พัฒนาที่เปนกิจกรรมการทดลองทางวิทยาศาสตรทบทวนอีกครั้งหนึ่ง ทัง้ นี้ในแตละชัน้ จะแบงหนังสือเรียนออกเปน 2 เลม ใชประกอบการเรียนการสอนภาคเรียนละเลม ซึ่งในชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 จัดแบงเนื้อหาตามสาระ ดังนี้ วิทยาศาสตร ม.2 เลม 1 มีเนื้อหาเกี่ยวกับระบบรางกายมนุษยและสัตว อาหารและสารเสพติด สารและการเปลี่ยนแปลง วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 มีเนื้อหาเกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมี แรง แสงและการเกิดภาพ โลกและ การเปลี่ยนแปลง ในการเรียบเรียงพยายามใหนักเรียนสามารถอานทําความเขาใจไดงาย ชัดเจน ไดรับความรู ตรงตามประเด็นในสาระการเรียนรูแกนกลาง และอํานวยความสะดวกทั้งตอครูผูสอนและนักเรียน หวังเปนอยางยิ่งวา หนังสือเรียนสาระการเรียนรูพื้นฐาน วิทยาศาสตรชุดนี้ จะมีสวนชวยใหการจัด การเรียนการสอนวิทยาศาสตร ระดับมัธยมศึกษาปที่ 1-3 สัมฤทธิผลตามเปาหมาย และมีสวนชวยให นักเรียนมีคุณภาพอยางที่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานไดกําหนดไว ¼ÙŒàÃÕºàÃÕ§
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
¤íÒá¹Ð¹íÒ㹡ÒÃ㪌˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร ม.2 เลม 2 นี้ ใชประกอบการเรียนการสอนรายวิชาพื้นฐาน กลุมสาระ การเรียนรูว ทิ ยาศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 2 เนื้อหาตรงตามสาระการเรียนรูแกนกลางขั้นพื้นฐาน อานทําความเขาใจงาย ใหทั้งความรูและชวยพัฒนาผูเรียนตาม หลักสูตรและตัวชี้วัด เนื้อหาสาระแบงออกเปนหนวยการเรียนรูตามโครงสรางรายวิชา สะดวกแกการจัดการเรียนการสอนและ การวัดผลประเมินผล พรอมเสริมองคประกอบอืน่ ๆ ทีจ่ ะชวยทําใหผเู รียนไดรบั ความรูอ ยางมีประสิทธิภาพ
¨Ñ´¡ÅØ‹Áà¹×éÍËÒ໚¹Ë¹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ Êдǡᡋ¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹
5
à¹×éÍËҵçµÒÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹Ãٌ᡹¡ÅÒ§ ãËŒ¤ÇÒÁÃÙŒáÅÐàÍ×é͵‹Í¡ÒùíÒä»ãªŒÊ͹à¾×èÍ ãËŒºÃÃÅصÑǪÕéÇÑ´ áÅÐÊÌҧ¤Ø³ÅѡɳРÍѹ¾Ö§»ÃÐʧ¤
à¡ÃÔè¹¹íÒà¾×èÍãˌࢌÒ㨶֧ÊÒÃÐÊíÒ¤ÑÞ ã¹Ë¹‹Ç·Õè¨ÐàÃÕ¹
¡Ô¨¡ÃÃÁ¾Ñ²¹Ò·Ñ¡ÉÐÇÔ·ÂÒÈÒʵà ໚¹¡Ô¨¡ÃÃÁ ¡Ò÷´ÅͧÊíÒËÃѺãËŒ¼ÙŒàÃÕ¹½ƒ¡»¯ÔºÑµÔ à¾×èͪ‹Ç ÊÌҧ·Ñ¡ÉÐÇÔ·ÂÒÈÒʵà áÅЪ‹Ç¾Ѳ¹Ò¼ÙŒàÃÕ¹ ãËŒÁդسÀÒ¾µÒÁµÑǪÕéÇÑ´
Õè ÃÕ¹ÃÙÙŒ· Òà à
˹‹Ç
¡
กิจกรรม
5.1 ปฏิกิริยาเคมี
»¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ
ิริยาเคมี จะเกี่ยวข้องกับการเกิดปฏิก ปืน ในการด�ารงชีวิตของมนุษย์ ิดของดิน หม้ของแก๊สหุงต้ม การระเบ เสมอ ทั้งการท�าอาหาร การเผาไ ที่พบเหล่านี้ บางปฏิกิริยามีประโยชน์ ิยาเคมี การเกิดสนิมเหล็ก ซึ่งปฏิกิร ีวิตและสิ่งแวดล้อม ทั้งปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น สิ่งมีีช แต่บางปฏิกิริยาก็มีผลเสียต่อ า ปัจจัยที่มี ่เกิดขึ้นโดยมนุษ ย์เป็นผู้กระท� ตามธรรมชาติและปฏิกิริยาที ความเข้มข้นของสาร พื้นที่ผิว อุณหภูมิ แก่ ผลต่อการเกิดปฏิกิริยาเคมี ได้ ของสารตั้งต้น ตัวเร่งปฏิกิริยา และธรรมชาติ
สารทุ ก ชนิ ด เป็นการเปลี่ยนแป ที่ อ ยู ่ ร อบตั ว เราล ้ ว นมี การเป ลี่ ย นแป ลงท ลงเกิ ด ขึ้ น ได้ โดยอ เป็นต้น หรืออาจจ างเคมี เช่น การเกิดสนิมของเหล็ าจ ะเป็ ก การแ ตกหั ก สึ ก กร่ นการเปลี่ยนแแปลงทางกายภาพ เช่ การเน่าเสียของอาหาร อ นขอ น กับการเปลี่ยนแปลงขอ งหิ น เป็ น ต้ น การด� า รงชี วิ ต การละลายของน�้าแข็ง ของ เพื่อสามารถน�าสารต งสาร ดังนั้นจึงควรเรียนหลักการเ มนุ ษ ย์ ต ้ อ งเกี่ ย วข้ อ ง ปลี จนเกิดผลเสียได้ ่างๆ มาใช้ประโยชน์ และปองกัน ่ยนแปลงของสารต่างๆ ไม่ให้เกิดการเปลี ่ยนแปลง
ิกิริยาเคมี
้งต้น 5.1.1 ลักษณะของปฏ al reacttion) ion) คือ กระบวนการที่สารตั
ปฏิกริ ยิ าเคมีชนิดหนึง่ ภาพที ่ 5.1 การท�าอาหารเป็น om/index. (ทีม่ าของภาพ : http://www.greenygift.c 8692227) php?lay=show&ac=article&Id=53
(chemiccal reac ปฏิกิริยาเคมี (chemi ดใหม่ขึ้น างเคมี แล้วส่งผลให้เกิดสารชนิ (reaction) เกิดการเปลี่ยนแปลงท ปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นนี้อาจมีการดูดหรือ t) ซึ่ง เรียกว่า ผลิตภัณฑ์ (produc สารใหม่แล้ว อม โดยเมื่อเกิดปฏิกิริยาจนได้ อท�าไม่ได้ คายพลังงานให้กับสิ่งแวดล้ ยากหรื ได้ น ้ านั ย ิ ร ิ ก ปฏิ า นท� อ ก่ ม จะท�าให้สารใหม่กลับคืนเป็นสารเดิ เลย
ตัวชี้วัดชั้นป • ทดลองและอธ ิบายการเ และพลังงาน เมื่อ ปลี่ยนแปลงสมบัติ มวล อธิบายปัจจัยที่มีผ สารเกิดปฏิกิริยาเคมี รวมทั้ง (ว 3.2 ม.2/1) ลต่อการเกิดปฏิกิริยาเคมี • ทดลอง อธิบาย แล ของสารต่างๆ แล ะเขียนสมการเคมีของปฏิกิริยา (ว 3.2 ม.2/2) ะน�าความรู้ไปใช้ประโยชน์ • สืบค้นข้อมูลและอภ ปฏิกิริยาเคมีต่อสิ่ง ิปรายผลของสารเคมี (ว 3.2 ม.2/3) มีชีวิตและสิ่งแวดล้อม • สืบค้นข้อมูลและอธ ปลอดภัย วิธีปองกั ิบายการใช้สารเคมีอย่างถูกต้อง จากการใช้สารเคมี นและแก้ไขอันตรายที่เกิดขึ้น (ว 3.2 ม.2/4)
ก�ำหนดให้
กอบด้วยสาร 2 ชนิด คือ สารที่เข้าท�าปฏิกิริยา จะประ ่หรือสารที่น�ามาท�าปฏิกิริยาเคมี 1. สารตั้งต้น คือ สารที่มีอยู ดลง ขึ้นหลังจากปฏิกิริยาเคมีสิ้นสุ 2. ผลิตภัณฑ์ คือ สารที่เกิด
ก่อนท�ำปฏิกิริยำ หลังท�ำปฏิกิริยำ
อะตอมชนิดที ่ 4
อะตอมชนิดที ่ 3
อะตอมชนิดที ่ 2
อะตอมชนิดที ่ 1
ดที่ 3 จับกัน อะตอมชนิดที่ 2 และอะตอมชนิ
ดที่ 4 จับกัน อะตอมชนิดที่ 1 และอะตอมชนิ
กำรเกิดปฏิกิริยำเคมี
อุปกรณ์และสารเคมี
วิธีการทดลอง • หลอดทดลองขนาดกลาง 1 หลอด 1. ใส่โพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนตลงใ • คีมจับหลอดทดลอง นหลอดทดลองแล้วน�าไปเผา สังเกตและบั 1 อัน ผลการทดลอง • ตะเกียงแอลกอฮอล์ นทึก 1 อัน • ตะแกรงวางหลอดทดลอง 2. ใส่แอมโมเนียมคลอไรด์ลงในบีก เกอร์ที่มีน�้า 10 cm3 สังเกตการเปลี • โพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนต (KMnO 1 อัน ่ยนแปลง ) 2 • แอมโมเนียมคลอไรด์ (NH Cl) 4 ช้อนเบอร์ 2 3. ใส่คอปเปอร์ (II) ซัลเฟตในบีกเกอร์ที่มีน�้า 10 cm3 สังเกตการเปลี่ยนแปลง 2 ช้อนเบอร์ 2 4 • คอปเปอร์ (II) ซัลเฟต (CuSO 2 ช้อนเบอร์ 2 4. บันทึกผลการทดลองลงในสมุดของนักเรียน 4) • น�้ากลั่น 3 20 cm • บีกเกอร์ขนาด 50 มิลลิลิตร 2 ใบ • ช้อนตักสารเบอร์ 2 1 อัน
1. มีอะไรเกิดขึ้นบ้างในระหว่ 2. ให้นักเรียนเขียนตัวอย่ างการเกิดปฏิกิริยาเคมี 3. จากการทดลองข้างบน างของปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นในบ้านของนักเรียนมา 3 ตัวอย่าง ให้นักเรียนเขียนรายงานการทดลอง และอธิบายว่านักเรียนทราบได้อย่างไรว่ ปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้น ามี
ขณะเกิดปฏิกิริยาเคมี ระบบมี ลดลง หรือคงที่ ซึ่งมวลของสารจะไม่ การเปลี่ยนแปลงมวลของสารและพลังงาน โดยมวลของสารในระบบอ ประเภทของระบบได้จากการทดลองต่สูญหายไปไหน แต่อาจมีการถ่ายโอนไปมาระหว่างระบบกับสิ่งแวดล้อม ซึาจเพิ่มขึ้น อไปนี้ ่งจะศึกษา จุดประสงค์ : เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงมว ลของสารขณะเกิดปฏิกิริยาเคมี อุปกรณ์และสารเคมี
ผลิตภัณฑ์
สารตั้งต้น photo bank ACT.) ภาพที่ 5.2 (ที่มาของภาพ :
5.1
ปฏิกิริยาเคมี (chemical reaction) คือ กระบวนการที่สารตั้งต้นเกิดการเปลี เกิดเป็นสารชนิดใหม่หรือผลิตภัณฑ์ ่ยนแปลงทางเคมีแ พบปฏิกิริยาเคมีได้เช่น การเน่าเสีย โดยสารใหม่ที่เกิดขึ้นจะมีสมบัติที่แตกต่างไปจากเดิม ซึ่งในชีวิตประจ�า ล้วส่งผลให้ ของอาหาร การลุกไหม้ของเชื้อเพลิ วั ทดลองต่อไปนี้ ง เป็นต้น ซึ่งจะศึกษาปฏิกิริยาเคมี นสามารถ ได้จากการ จุดประสงค์ : เพื่อศึกษาลักษณะการเ กิดปฏิกิริยาเคมีของสาร
2. ประเภทของระบบ
แทนสารชนิดที่ 2
แทนสารชนิดที่ 1
1. ปฏิกิริยาเคมี
พั ฒ นาทั ก ษะ วิทยาศาสตร์
้น สิ่งที่ ้งจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ การเกิดปฏิกิริยาเคมีทุกครั ส รวมถึงการ การเกิดตะกอน เกิดฟองแก๊ ง เป็นต้น สังเกตเห็นได้ชัดเจน เช่น สีย ซึ่งอาจอยู่ในรูปความร้อน แสง เ เปลี่ยนแปลงพลังงานเกิดขึ้น
• สารละลายเลต (II) ไนเตรต 3 • สารละลายโพแทสเซียมไอโอไดด์ 10 cm3 • สารละลายกรดไฮโดรคลอริก 10 cm3 10 cm • หินปูน 5 กรัม • เครื่องชั่ง 1 เครื อ ่ ง • บีกเกอร์ขนาด 50 มิลลิลิตร 2 ใบ
2
วิธีการทดลอง
1. น�าสารละลายเลต ( II) ไนเตรต 10 cm3 โพแทสเซียมไอโอไดด์ 10 cm3 ใส่ ในบี ใส่ ในบีกเกอร์ ใบที่1 จากนั้นน�าสารละลาย ชนิด แล้วน�าไปชั่ง บันทึกผลการทดลอกเกอร์ ใบที่ 2 สังเกตลักษณะของสารทั้งสอง ง 2. น�าสารทั้งสองชนิดผสมกัน สังเกตการเปลี ่ยนแปลงลักษณะของสาร แล้วน�าไปชั และบันทึกผลการทดลอง ่ง 3. ท�าการทดลองตามข้อ 1 และ 2 แ ต่ คลอริก สังเกตและบันทึกผลการทดลอเปลี่ยนเป็นหินปูน และสารละลายกรดไฮโดร งในตารางที่นักเรียนออกแบบเอง
13
µÑǪÕéÇÑ´µÒÁ·ÕèËÅÑ¡ÊٵáíÒ˹´ à¾×èÍãËŒ·ÃÒº¶Ö§à»‡ÒËÁÒÂ㹡ÒÃÈÖ¡ÉÒ ¡Ô¨¡ÃÃÁÊÌҧÊÃä ¾² Ñ ¹Ò»ÃШíÒ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ ãËŒ¼ÙŒàÃÕ¹½ƒ¡»¯ÔºÑµÔËÅѧ¨Ò¡ÈÖ¡ÉÒà¹×éÍËÒᵋÅР˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ
Design ˹ŒÒẺãËÁ‹ ÊǧÒÁ ¾ÔÁ¾ 4 ÊÕ µÅÍ´àÅ‹Á ª‹ÇÂãˌ͋ҹ ·íÒ¤ÇÒÁࢌÒ㨧‹ÒÂ
กรรม สร้างสรรค์พัฒนาประจ�กิาจ หน่วยการเร
รณีสัณฐาน ซึ่งดิน กตางกันตามลักษณะธ ลักษณะของดินจะแต กษณะตางกัน เมื่อมองตามความลึกลงไป งๆ ก็จะมีลั ้นจะแสดงให ในระดับความลึกตา มีการทับถมกันเปนชั้นๆ โดยแตละชั เนื้อดิน ดิน ดิน า ว น จะเห็ น ิ ง ่ วดิ ภายในด เชน สี ในแน สวนประกอบที่มีอยู เห็นความแตกตางของ ะปนอยูในดิน เปนตน านขางของ ที่ป ชนิดของวัสดุหรือสิ่ง ทางดินหรือนักปฐพีวิทยา เรียกผิวด ชั้นตางๆ กฏใหเห็น นักวิทยาศาสตร จะปรา ง ่ ซึ ง ่ นวดิ นที่วางตัว ากผิวหนาดินตามแ หลุมดินที่ตัดลงไปจ น (soil profile) และเรียกชั้นตางๆ ในดิ ้น ดังนี้ ตัดดิ 4 ชั ภายในดินนี้วา หนา ้นดิน (soil horizon) ซึ่งแบงออกเปน วา ชั ขนานกับผิวหนาดิน นทรียวัตถุ คือ ชั้น 1) ชั้น O หรือชั้นอิ ัตว ยวัตถุที่มาจากพืชและส ไม ที่มีการสะสมอินทรี ่ง ากพืช เชน ใบไม กิ ซึ่งสวนใหญมักจะมาจ อยสลายของซากพืช ดการย และหญา เปนตน เกิ ปนอยูมาก เหมาะสม วมัส ซากสัตว เกิดเปนฮิ พืช จึงพบวามีรากพืช ตอการเจริญเติบโตของ ้นดินมาก ในชั เจริญและกระจายอยู นแร จะประกอบ 2) ชั้น A หรือชั้นดิ กเคลา ลายตัวแลวผสมคลุ ดวยอินทรียวัตถุที่ส ้มักจะมีสีคลํ้า ชั้นนี กับแรธาตุในดิน ดิน
EB GUIDE
5
การถนอมผลไม้โดยการเชื่อม
ชั้น A การถนอมเนื้อปลาด้วยเกลือ ภาพที ่ 5.42 (ที่มาของภาพ : photo ban k ACT.)
อุปกรณ์
1. แอปเปิล 2. เกลือ 3. น�้าเชื่อม 4. น�้าส้มสายชู
ชั้น C ชั้นหินดาน
การถนอมผัก เช่น แตงกวา ด
จุดประสงค์ : เพื่อศึกษาการลดอั
ชั้น B
กษณะของชั้นดิน ภาพที่ 8.18 แสดงลั ww.sparkchart.sparknote.com/ (ที่มาของภาพ : http://w hp) gensci/envsci/section3.p
/11
om/LC/Sci B2/M2
http://www.aksorn.c
ิริยาเคมี
บางครั้งนักเรียนอาจจะต้องการลด อัตราเร็วของการเกิดปฏิก ใส่ลงในอาหารเพื่อท�าให้อาหารเน่ าเสียช้าลง สารเหล่านี้จะไปลดกร ิริยาลง ตัวอย่างเช่น การน�าสารหลายชนิด ะบวนการต่างๆ ภายในเซลล์ที่เ หลายชนิด ซึ่งตัวอย่างอาหารท กิดจากเชื้อจุลินทรีย์ ี่ผ่านกระบวนการลดอัตราการเก ิดปฏิกิริยา เพื่อยืดอายุการเก็บ ในภาพข้างล่างนี้ ของอาหาร ดังแสดง
ชั้น O
ของแร มีการ 3) ชั้น B หรือชั้นสะสม ประกอบของ รที่มีองค สะสมของตะกอนและแ บอเนต ซิลิกา เปนตน คาร เหล็ก อะลูมิเนียม นชัน้ บน ดินชัน้ กดิ งมาจา า ชะล ก ะถู จะ สารเหลานีจ้ วามชื้นสูง ซึ่งสวนมาก นี้จะมีเนื้อแนน มีค เปนดินเหนียว พงั ของหนิ เปน 4) ชัน้ C หรือชัน้ การผุ กจากหินดาน ษหินที่แตกหั ชั้นของหินผุ และเศ ผืน ซึ่งหินดานจัดเปน เปน มีลักษณะเปนกอน หินตนกําเนิดดิน 78
ียนรู้ที่
การลดอัตราการเกิดปฏิก
Web Guide á¹Ð¹íÒáËÅ‹§¤Œ¹¤ÇŒÒ ¢ŒÍÁÙÅà¾ÔèÁàµÔÁ¼‹Ò¹Ãкº Online
้วยน�้าส้มสายชู
ตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
ÊÃØ»·º·Ç¹»ÃШíÒ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ ÊíÒËÃѺãËŒ ¼ÙŒàÃÕ¹䴌͋ҹ·º·Ç¹»ÃÐà´ç¹ÊíÒ¤ÑÞÍÕ¡¤ÃÑé§Ë¹Öè§ ËÅѧ¨Ò¡àÃÕ¹¨ºË¹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ
สรุปทบทวน
ประจ�าหน่วยการเรียนรู้ที่ ■
(product)
ิ ยิ ำเคมีจะประกอบด้วยขอบเขตในกำรศึกษำ ซึง่ จะมีการแบ่งได้เป็นระบบ (system) และสิง่ แวดล้อม ■ ปฏิกร (surrounding) ■ ระบบ สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ ระบบเปิด ระบบปิด และระบบอิสระ ิ ำเคมี จะต้องมีการเปลีย่ นแปลงเกิดขึน้ เสมอ ซึง่ ปฏิกริ ยิ าเคมีจะมีทงั้ ปฏิกริ ยิ าดูดความร้อน ■ ในกำรเกิดปฏิกริ ย (endothermic reaction) และปฏิกิริยาคายความร้อน (exothermic reaction) ิริยาเคมีของสาร ■ สมกำรเคมี คือ สมการที่ใช้เขียนแทนปฏิกิริยาเคมีโดยสมการเคมีจะแสดงการเกิดปฏิก ิ ยิ ำเคมี บางปฏิกริ ยิ าจะเกิดขึน้ ได้เร็ว ในขณะทีบ่ างปฏิกริ ยิ าจะเกิดขึน้ ได้ชา้ ซึง่ ปัจจัยทีม่ ผี ล ■ กำรเกิดปฏิกร ต่อปฏิกริ ยิ าเคมี มีดงั นี ้ สมบัตขิ องสารตัง้ ต้น อุณหภูม ิ พืน้ ทีผ่ วิ ของสารทีท่ า� ปฏิกริ ยิ า ความเข้มข้นของสารตัง้ ต้น ตัวเร่งและตัวหน่วงปฏิกิริยา ดสนิมของเหล็ก ■ ในชีวิตประจ�ำวันสำมำรถพบปฏิกิริยำเคมีได้ เช่น ปฏิกิริยาการเผาไหม้ ปฏิกิริยาการเกิ ปฏิกิริยาของกรดกับหินปูน เป็นต้น นต้น ■ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เกิดจากปฏิกิริยาเคมี เช่น ฝนกรด ปรากฏการณ์เรือนกระจก เป็ กษา ■ สำรเคมีในชีวิตประจ�ำวัน จะแบ่งได้เป็น 4 ประเภท คือ สารปรุงแต่งอาหาร สารท�าความสะอาด ยารั โรค และสารเคมีที่ใช้ในการเกษตร ไม่เกิดอันตราย ■ กำรใช้สำรเคมี ผู้ใช้จะต้องมีการศึกษาวิธีการใช้ และอ่านฉลากให้ละเอียด เพื่อจะได้ ต่อตัวผู้ใช้ ี ำรปฐมพยำบำลเบือ้ งต้น เมือ่ มีผไู้ ด้รบั อันตรายจากการใช้สารเคมี เราจะต้องท�าการช่วยเหลืออย่างทันที ■ วิธก ตัวอย่างเช่น เมือ่ สารเคมีเข้าตาจะต้องรีบล้างตาให้สะอาด ถ้ายังไม่ดขี นึ้ ให้นา� ส่งแพทย์ทนั ที ซึง่ ผูท้ ี่ให้การช่วยจะต้อง เรียนรู้วิธีการปฐมพยาบาลอย่างถูกวิธี
วิธีการทดลอง
1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มๆ ละ 4 คน
2. นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันวางแผนกา สามารถลดอัตราเร็วของการเกิด รตรวจสอบเพื่อทดสอบสมมติฐานที่ว่า สารแต่ละชนิดในตั ปฏิกิริยาของแอปเปิลลงได้ วอย่างข้างบน
1. เขียนแผนการตรวจสอ บเพื่อทดสอบสมมติฐานของแต่ ละกลุ่มลงในสมุดของนักเรียน 2. ให้แต่ละกลุ่มทดลองตามแผนข องแต่ละกลุ่มที่วางไว้ เพื่อศึกษา • มีตัวแปรอะไรบ้างที่ท�าให้ เกิดปฏิกิริยาเคมี • การควบคุมตัวแปรดังกล่ าวท�าได้อย่างไร 3. รายงานผลการทดลองของแ ต่ละกลุ่มหน้าชั้นเรียน
23
5
ปฏิกิริยำเคมี คือ ปฏิกิริยาที่เกิดจากสารตั้งต้น (reactant) ท�าปฏิกิริยาเคมีกัน จนได้สารผลิตภัณฑ์
24
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
ÊÒúÑÞ àÅ‹Á 1
˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè
àÅ‹Á 2 ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè
˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè
˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè
˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè
1 2 3 4
ÃкºÃ‹Ò§¡ÒÂÁ¹ØÉ áÅÐÊÑµÇ (µÍ¹·Õè 1) ÃкºÃ‹Ò§¡ÒÂÁ¹ØÉ áÅÐÊÑµÇ (µÍ¹·Õè 2) ÍÒËÒÃáÅÐÊÒÃàʾµÔ´ ÊÒÃáÅСÒÃà»ÅÕè¹á»Å§
5 6 7 8
»¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ ● ●
»¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ ÊÒÃà¤ÁÕ㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ
áç ●
áç
áʧ ● ●
áʧ áʧ¡Ñº¹Ñ¹ µÒÁ¹ØÉÂ
âÅ¡áÅСÒÃà»ÅÕè¹á»Å§ ● ● ● ● ● ● ●
â¤Ã§ÊÌҧ¢Í§âÅ¡ ¡ÒÃà»ÅÕè¹á»Å§¢Í§à»Å×Í¡âÅ¡ ´Ô¹ ËÔ¹ áË àª×éÍà¾ÅÔ§¸ÃÃÁªÒµÔ áËÅ‹§¹éíÒ
ºÃóҹءÃÁ
1-24 2 17
25-32 26
33-66 34 56
67-107 68 72 77 83 89 95 99
108
กระตุน ความสนใจ
5
กระตุEngage นความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
Õè ÂÕ ¹ÃÙŒ· ÃàÃ
เปาหมายการเรียนรู
˹‹Ç ¡Ò
1. อธิบายความหมายของปฏิกิริยาเคมีและ การเปลี่ยนแปลงของมวลและพลังงานใน ปฏิกิริยาเคมีได 2. อธิบายปจจัยทีม่ ผี ลตอการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมีได 3. อธิบายและเขียนสมการเคมีที่สอดคลองกับ ปฏิกิริยาเคมีได 4. สืบคนขอมูลและอภิปรายผลของปฏิกิริยา เคมีที่มีตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม 5. สืบคนขอมูลและอภิปรายการใชสารเคมี อยางถูกตองและปลอดภัย
»¯Ô¡ÔÃÔÂÒà¤ÁÕ
สารทุ ก ชนิ ด ที่ อ ยู ่ ร อบตั ว เราล้ ว นมี การเปลี่ ย นแปลงเกิ ด ขึ้ น ได้ โดยอาจ เป็นการเปลี่ยนแปลงทางเคมี เช่น การเกิดสนิมของเหล็ก การเน่าเสียของอาหาร เป็นต้น หรืออาจจะเป็นการเปลี่ยนแแปลงทางกายภาพ เช่น การละลายของน�้าแข็ง การแตกหั ก สึ ก กร่ อ นของหิ น เป็ น ต้ น การด� า รงชี วิ ต ของมนุ ษ ย์ ต ้ อ งเกี่ ย วข้ อ ง กับการเปลี่ยนแปลงของสาร ดังนั้นจึงควรเรียนหลักการเปลี่ยนแปลงของสารต่างๆ เพื่อสามารถน�าสารต่างๆ มาใช้ประโยชน์ และปองกันไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จนเกิดผลเสียได้
สมรรถนะของผูเรียน 1. ความสามารถในการคิด 2. ความสามารถในการแกปญหา 3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
ตัวชี้วัดชั้นป • ทดลองและอธิบายการเปลี่ยนแปลงสมบัติ มวล และพลังงาน เมื่อสารเกิดปฏิกิริยาเคมี รวมทั้ง อธิบายปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดปฏิกิริยาเคมี (ว 3.2 ม.2/1) • ทดลอง อธิบาย และเขียนสมการเคมีของปฏิกิริยา ของสารต่างๆ และน�าความรู้ไปใช้ประโยชน์ (ว 3.2 ม.2/2) • สืบค้นข้อมูลและอภิปรายผลของสารเคมี ปฏิกิริยาเคมีต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม (ว 3.2 ม.2/3) • สืบค้นข้อมูลและอธิบายการใช้สารเคมีอย่างถูกต้อง ปลอดภัย วิธีปองกันและแก้ไขอันตรายที่เกิดขึ้น จากการใช้สารเคมี (ว 3.2 ม.2/4)
คุณลักษณะอันพึงประสงค 1. 2. 3. 4.
มีวินัย ใฝเรียนรู ซื่อสัตยสุจริต มุงมั่นในการทํางาน
กระตุน ความสนใจ
Engage
ใหนักเรียนสังเกตภาพหนาหนวย และพูดคุย ถึงการเปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดเนื่องจากปฏิกิริยาเคมีที่ นักเรียนคุนเคย เชน การเกิดสนิม การยอยอาหาร การลางมือดวยสบู เปนตน จากนั้นครูตั้งคําถาม เพื่อกระตุนความสนใจ • จากภาพในหนังสือเรียน นักเรียนสามารถ สังเกตไดอยางไรวามีปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้น • ใหนักเรียนยกตัวอยางปฏิกิริยาเคมี ที่พบเห็นไดในชีวิตประจําวัน
เกร็ดแนะครู การเรียนการสอนเรื่อง ปฏิกิริยาเคมี ครูควรยกตัวอยางปฏิกิริยาที่พบเห็นได ในชีวิตประจําวัน เชน การจุดไมขีดไฟ และตั้งคําถามเพื่อกระตุนความสนใจวา ควันไฟจากไมขีดเกิดขึ้นไดอยางไร และเหตุใดหัวไมขีดจึงเปนสีดําได เปนตน ซึ่งลวนแตเปนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังควรให นักเรียนไดทําการทดลองการเกิดปฏิกิริยาเคมีตางๆ เพื่อกระตุนการเรียนรูและ ชวยใหสามารถทําความเขาใจเกี่ยวกับเนื้อหาไดงายขึ้น
คูมือครู
1
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา Exploreนหา สํารวจค
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุEngage นความสนใจ
กระตุน ความสนใจ
Engage
ใหนักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็นวา เมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมีจะมีการเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้น จากนั้นครูตั้งคําถามเพื่อกระตุนความสนใจ • นักเรียนมีความคิดเห็นอยางไรเมื่อกลาวถึง “ปฏิกิริยาเคมี” (แนวตอบ นักเรียนอาจคิดถึงการเปลี่ยนแปลงที่ เกิดจากการผสมของสาร ซึง่ อาจมีการเปลีย่ นสี เกิดควัน หรือการเกิดสิ่งใหมๆ ซึ่งมักพบเห็น ในภาพยนตรหรือการตนู ทีเ่ กีย่ วกับวิทยาศาสตร และการทดลอง) • สิ่งใดที่แสดงใหเห็นวาเปนผลเนื่องมาจาก มีปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้น (แนวตอบ เมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมีจะเกิดการ เปลี่ยนแปลงที่สามารถสังเกตเห็นไดชัด เชน การตกตะกอน การเปลี่ยนสี การเกิดฟองแกส เปนตน) • นักเรียนคิดวาปฏิกิริยาเคมีมีความสําคัญ อยางไร (แนวตอบ ขึ้นอยูกับความคิดเห็นของนักเรียน ซึ่งนักเรียนอาจตอบวา ปฏิกิริยาเคมีมีความ สําคัญในชีวิตประจําวัน เชน การยอยอาหาร การสังเคราะหดวยแสงของพืช การแลก เปลี่ยนแกสในกระบวนการหายใจ เปนตน)
สํารวจคนหา
5.1 ปฏิกิริยาเคมี ในการด�ารงชีวิตของมนุษย์จะเกี่ยวข้องกับการเกิดปฏิกิริยาเคมี เสมอ ทั้งการท�าอาหาร การเผาไหม้ของแก๊สหุงต้ม การระเบิดของดินปืน การเกิดสนิมเหล็ก ซึ่งปฏิกิริยาเคมีที่พบเหล่านี้ บางปฏิกิริยามีประโยชน์ แต่บางปฏิกิริยาก็มีผลเสียต่อสิ่งมีีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ทั้งปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น ตามธรรมชาติและปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นโดยมนุษ ย์เป็นผู้กระท�า ปัจจัยที่มี ผลต่อการเกิดปฏิกิริยาเคมี ได้แก่ ความเข้มข้นของสาร พื้นที่ผิว อุณหภูมิ ตัวเร่งปฏิกิริยา และธรรมชาติของสารตั้งต้น
5.1.1 ลักษณะของปฏิกิริยาเคมี
ภาพที ่ 5.1 การท�าอาหารเป็นปฏิกริ ยิ าเคมีชนิดหนึง่ (ทีม่ าของภาพ : http://www.greenygift.com/index. php?lay=show&ac=article&Id=538692227)
ก�ำหนดให้
อะตอมชนิดที ่ 3
แทนสารชนิดที่ 1
อะตอมชนิดที ่ 4
แทนสารชนิดที่ 2
หลังท�ำปฏิกิริยำ อะตอมชนิดที่ 1 และอะตอมชนิ 1 และอะตอมชนิดที่ 4 จับกัน
อะตอมชนิดที่ 2 และอะตอมชนิดที่ 3 จับกัน
กำรเกิ รเกิดปฏิกิริยำำเคมี เคมี สารตั้งต้น ภาพที่ 5.2 (ที 5.2 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) าของภาพ : photo bank ACT.)
ผลิตภัณฑ์
การเกิดปฏิกิริยาเคมีทุกครั้งจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น สิ่งที่ สังเกตเห็นได้ชัดเจน เช่น การเกิดตะกอน เกิดฟองแก๊ส รวมถึงการ เปลี่ยนแปลงพลังงานเกิดขึ้น ซึ่งอาจอยู่ในรูปความร้อน แสง เสียง เป็นต้น
2
ครูสามารถอธิบายลักษณะการเกิดปฏิกิริยาเคมีโดยใชภาพที่ 5.2 ซึ่งในการเกิด ปฏิกิริยาเคมีจะตองมีการแยกตัวของโมเลกุลของสารกอนที่จะทําปฏิกิริยากับ สารอื่นๆ
นักเรียนควรรู 1 พลังงาน พลังงานที่ใชในการเกิดปฏิกิริยาเคมีสวนใหญอยูในรูปของพลังงาน ความรอน ซึ่งโดยทั่วไปในปฏิกิริยาเคมีหนึ่งๆ อาจมีทั้งการคายพลังงานและ ดูดพลังงานควบคูกัน 2 อะตอม เปนหนวยยอยของสาร (เปรียบไดกับเซลลซึ่งเปนหนวยยอยของ สิ่งมีชีวิต) การเกิดปฏิกิริยาเคมีก็เปนผลเนื่องจากการกระทําระหวางอะตอมของธาตุ ในสารแตละชนิด จนทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงไปสูสารใหม คูมือครู
อะตอมชนิดที ่ 2
ก่อนท�ำปฏิกิริยำ
เกร็ดแนะครู
2
2
อะตอมชนิดที ่ 1
Explore
ใหนักเรียนแตละคนศึกษาความหมาย ลักษณะ ของปฏิกิริยาเคมี และระบบในการเกิดปฏิกิริยาเคมี จากหนังสือเรียน หนา 2-3 แลวใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-6 คน ปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 5.1 ขอ 1. เรื่อง ปฏิกิริยาเคมี และ ขอ 2. เรื่อง ผลของปฏิกิริยาเคมี เพื่อศึกษาลักษณะ ของการเกิดปฏิกิริยาเคมีและระบบของปฏิกิริยา
ปฏิกิริยาเคมี (chemical reaction) คือ กระบวนการที่สารตั้งต้น (reaction) เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี แล้วส่งผลให้เกิดสารชนิดใหม่ขึ้น เรียกว่า ผลิต1ภัณฑ์ (product) ซึ่งปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นนี้อาจมีการดูดหรือ คายพลังงานให้กับสิ่งแวดล้อม ม โดยเมื่อเกิดปฏิกิริยาจนได้สารใหม่แล้ว จะท�าให้สารใหม่กลับคืนเป็นสารเดิมก่อนท�าปฏิกิริยานั้นได้ยากหรือท�าไม่ได้ เลย สารที่เข้าท�าปฏิกิริยา จะประกอบด้วยสาร 2 ชนิด คือ 1. สารตั้งต้น คือ สารที่มีอยู่หรือสารที่น�ามาท�าปฏิกิริยาเคมี 2. ผลิตภัณฑ์ คือ สารที่เกิดขึ้นหลังจากปฏิกิริยาเคมีสิ้นสุดลง
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
เมือ่ เติมเกลือลงไปในนํา้ และคนจนละลายกลายเปนนํา้ เกลือ การกระทํา ดังกลาวถือไดวาเกิดปฏิกิริยาเคมีหรือไม เพราะเหตุใด แนวตอบ ไมเกิดปฏิกิริยาเคมี เนื่องจากสารที่ไดมีสมบัติของเกลือ เชนเดิม เพราะสารไมไดเปลี่ยนคุณสมบัติแตเปลี่ยนเพียงแคลักษณะทาง กายภาพเทานั้น เมื่อนําสารดังกลาวไปทําการระเหยจะไดเกลือกลับมา เชนเดิม เชนเดียวกับการละลายนํ้าตาลทรายในนํ้า ซึ่งไมถือวาเกิด ปฏิกิริยาเคมีเชนกัน
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบายความรู 5.1.2 ระบบและการเปลี่ยนแปลง
สารที่เราพบในชีวิตประจ�าวันจะมีสมบัติเฉพาะตัว ซึ่งหากมีการ เปลีย่ นแปลงจะท�าให้สารมีสมบัตเิ ปลีย่ นไปจากเดิม โดยมีพลังงานความร้อน เข้ามาเกี่ยวข้อง ในการศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสาร จะต้องมีการก�าหนด ขอบเขตสิ่งที่ต้องการศึ 1 กษา เพื่อจะให้เกิดความชัดเจนในการศึกษา ดังนี้ ■ ระบบ ระบบ (system) หมายถึง สิง่ ต่างๆ ทีอ่ ยูภ่ ายในขอบเขตทีต่ อ้ งการ ศึกษา โดยองค์ประกอบของระบบขึ้นอยู่กับจุดหมายของการศึกษา ■ สิ่งแวดล้อม (surrounding) หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่อยู่ภายนอก ขอบเขตที่ศึกษา ซึ่งส่วนมากจะเป็นอุปกรณ์การทดลอง
สาร A (ระบบ)
ก่อนเกิดปฏิกิริยำ
หลังเกิดปฏิกิริยำ
2
ภาพที่ 5.3 จากภาพ สาร A คือ ระบบ ส่ส่วนบีกเกอร์และเทอร์มอมิเตอร์เป็นสิ่งแวดล้อมม ซึ่งหลังจากเกิด ปฏิกิริยามีอุณหภูมิสูงขึ้น แสดงว่าระบบมีการเปลี่ยนแปลง (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
เมือ่ ก�าหนดขอบเขตของสิง่ ทีจ่ ะศึกษาแล้ว จะท� จะท�าให้ทราบความหมาย ของระบบและสิ่งแวดล้อม การเกิดปฏิกิริยาเคมีีจะมีการถ่ายเทพลังงาน ระหว่างระบบและสิง่ แวดล้อม ท�าให้ระบบเกิดการเปลีย่ นแปลง ระบบสามารถ นแปลง ระบบสามารถ แบ่งได้ ดังนี้ 1) ระบบเปิด คือ ระบบที่มีการถ่ายเทมวลและพลังงานความร้ อน 3 ให้กับสิ่งแวดล้อม เช่น ระบบหายใจ การเผาไหม้ การเผาไหม้ของเชื้อเพลิง การใส่โลหะ ลงในสารละลายกรดแล้วเกิดแก๊ส เป็นต้น 2) ระบบปิด คือ ระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงพลังงานความร้อน แต่ไม่มีการถ่ายเทมวลให้กับสิ่งแวดล้อม เช่น การละลายเกลือในน�้า การ ละลายน�้าตาลในน�้า เป็นต้น
ภาพที่ 5.4 การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงจะมีการ ถ่ายเทมวลและพลังงานให้กบั สิง่ แวดล้อมม จึจึงถือว่า เป็นระบบเปิด (ที่มาของภาพ : http://www.bangkapi.ac.th/ MediaOnLine/WeerawanMD/main4.html)
Explain
ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายผลการปฏิบัติ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 5.1 ขอ 1. และขอ 2. จากนั้นครูสุมนักเรียนแตละกลุม ออกมาอธิบายความหมายและองคประกอบ ในการเกิดปฏิกิริยาเคมี โดยครูใชคําถาม ดังนี้ • ใหนักเรียนอธิบายขั้นตอนในการเกิด ปฏิกิริยาเคมี (แนวตอบ นักเรียนอาจอธิบายโดยอาศัย แผนภาพจาก ภาพที่ 5.2 ซึ่งกลาวถึง การนําสารตั้งตนตั้งแตสองชนิดขึ้นไปมาทํา ปฏิกิริยากัน โดยมีการดูดหรือคายความรอน เพื่อทําใหโครงสรางของสารเดิมถูกแยกออก เปนอะตอม และทําปฏิกิริยากับอะตอมของ สารอื่นจนเกิดเปนสารใหม) • ใหนักเรียนอธิบายความแตกตางระหวาง ระบบและสิ่งแวดลอมในการเกิดปฏิกิริยา เคมี (แนวตอบ ระบบ หมายถึง ขอบเขตของ บริเวณหรือสิ่งตางๆ ที่มีผลในการเกิด ปฏิกิริยาเคมี เชน สารตั้งตน ผลิตภัณฑ ตัวเรงปฏิกิริยา เปนตน ขณะที่สิ่งแวดลอม คือ บริเวณหรือสิ่งอื่นๆ ที่อยูนอกขอบเขต ที่ตองการศึกษา) • ใหนักเรียนอธิบายความแตกตางระหวาง ระบบปดและระบบเปด (แนวตอบ ระบบปดเปนระบบทีไ่ มมกี ารถายเท มวลในระบบใหแกสิ่งแวดลอมในขณะที่เกิด ปฏิกิริยาเคมี สวนระบบเปดจะมีการถายเท มวลระหวางระบบกับสิ่งแวดลอม)
3
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 53 ออกเกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมี พิจารณาสมการตอไปนี้ แลวตอบคําถาม ก. แกสไฮโดรเจน + แกสออกซิเจน นํ้า ข. แมกนีเซียม + แกสออกซิเจน แมกนีเซียมออกไซด ค. กรดไฮโดรคลอริก + โซเดียมไฮดรอกไซด โซเดียมคลอไรด + นํา้ การเปลี่ยนแปลงในขอใด จัดเปนการเปลี่ยนแปลงทางเคมีทั้งหมด 1. ก. และ ข. 2. ข. และ ค. 3. ค. และ ก. 4. ก. ข. และ ค. วิเคราะหคําตอบ การเปลี่ยนแปลงทางเคมี หมายถึง การเกิดปฏิกิริยา ระหวางสารตั้งตนแลวมีสารใหมเกิดขึ้น โดยสารใหมที่เกิดขึ้นนั้น จะมี องคประกอบและสมบัตทิ างเคมีแตกตางไปจากสารเดิมและเปลีย่ นกลับมาสู สภาพเดิมไดยาก จากขอ ก. ข. และ ค. มีสารใหมเกิดขึ้นแสดงวา ทั้ง 3 ขอเกิดปฏิกิริยาเคมี ดังนั้น ตอบ ขอ 4.
นักเรียนควรรู 1 ระบบ อาจมีขนาดใหญหรือเล็กก็ไดตามขอบเขตทีศ่ กึ ษา เชน การเปลีย่ นแปลง ของสารในหลอดทดลองเปนระบบขนาดเล็ก การเปลี่ยนแปลงปริมาตรของแกส ในหองเปนระบบขนาดใหญ เปนตน 2 เทอรมอมิเตอร สามารถบอกอุณหภูมิที่เกิดขึ้นเนื่องจากปฏิกิริยา หากอุณหภูมิ ลดตํ่าลง หมายถึง ปฏิกิริยากําลังดูดความรอนจากสิ่งแวดลอมเขาสูระบบ แตหาก อุณหภูมิสูงขึ้น หมายถึง ปฏิกิริยากําลังคายความรอนออกจากระบบ 3 การเผาไหมของเชื้อเพลิง เปนการเกิดปฏิกิริยาเคมีระหวางสารประกอบ ไฮโดรคารบอนกับแกสออกซิเจน ซึ่งสําหรับการเผาไหมที่สมบูรณจะเกิด สารผลิตภัณฑ คือ แกสคารบอนไดออกไซด
คูมือครู
3
กระตุนความสนใจ Engage
สํารวจค ■ นหา
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
Exploreนหา สํารวจค
สํารวจคนหา
Explore
ใหนักเรียนศึกษาประเภทของปฏิกิริยาเคมี และการเขียนสมการเคมี โดยจัดการทดลอง เพื่อสังเกตปฏิกิริยาเคมี 2 ชนิด ไดแก ปฏิกิริยา ระหวางนํ้ากับโซเดียมไฮดรอกไซด (NaOH) หรือ โซดาไฟ และปฏิกิริยาระหวางนํ้ากับแอมโมเนียม ไนเตรต (NH4NO3) จากนั้นทําการวัดอุณหภูมิที่ เปลี่ยนไปเมื่อเกิดปฏิกิริยา
ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายผลการทดลอง โดยจําแนกวาปฏิกิริยาใดเปนปฏิกิริยาดูดความรอน หรือคายความรอน จากนั้นครูตั้งคําถามใหนักเรียน รวมกันแสดงความคิดเห็น • จงอธิบายความแตกตางระหวางปฏิกิริยา ดูดความรอนและปฏิกิริยาคายความรอน (แนวตอบ ปฏิกิริยาดูดความรอน เมื่อเกิด ปฏิกิริยาจะดูดพลังงานความรอนจาก สิ่งแวดลอมเขาไป สวนที่ปฏิกิริยาคาย ความรอนจะปลอยพลังงานความรอนที่ได จากปฏิกิริยาแกสิ่งแวดลอม) • อุณหภูมิที่วัดไดจากปฏิกิริยา เปนอุณหภูมิ ที่เกิดขึ้นกับระบบหรือสิ่งแวดลอม อยางไร (แนวตอบ เปนอุณหภูมิของสิ่งแวดลอม โดยระบบจะดูดพลังงานจากสิ่งแวดลอม หรือ คายพลังงานสูสิ่งแวดลอม ทําใหสามารถวัด การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิไดจากสิ่งแวดลอม) • การดูดและคายพลังงานมีความสัมพันธ อยางไรกับปฏิกริ ยิ าการดูดและคายความรอน (แนวตอบ ถามีการดูดพลังงานมากกวา พลังงานที่คายออกมา จะกลาววาปฏิกิริยา ดังกลาวเปนปฏิกิริยาดูดความรอน แตหาก ปฏิกิริยามีการคายพลังงานออกมามากกวา พลังงานที่ดูดเขาไป จะเรียกวาปฏิกิริยา คายความรอน)
พลังงำนศักย์
Explain
สารผลิตภัณฑ์
สารตั้งต้น กำรด�ำเนินไปของปฏิกิริยำ
ภาพที่ 5.5 จากกราฟจะเห็นว่าพลังงานของสาร ผลิตภัณฑ์มากกว่าพลังงานของสารตัง้ ต้น ปฏิกริ ยิ า นี้จึงจัดเป็นปฏิกิริยาดูดความร้อน (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
การเกิดปฏิกิริยาของสารจะมีการเปลี่ยนแปลงพลังงานด้วยเสมอ โดยจะมีอุณหภูมิเปลี่ยนไปด้วย ซึ่งอุณหภูมิอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลง เพราะ เกิดจากการถ่ายเทพลังงานจากระดับพลังงานที่สูงกว่าไปสู่ระดับพลังงานที่ ต�า่ กว่า ดังนัน้ การเกิดปฏิกริ ยิ าเคมีประเภทต่างๆ จะประกอบด้วยกระบวนการ ที่ส�าคัญ 2 กระบวนการ คือ กระบวนการดูดพลังงานเพื 1 ่อสลายพันธะของ สารตั้งต้น และกระบวนการคายพลังงานเพื่อสร้างพันธะของสารผลิตภัณฑ์ ซึ่งถ้าพลังงานที่ดูดเข้าไปสลายพันธะของสารตั้งต้นน้อยกว่าพลังงานที่คาย ออกมาเพื่อสร้างพันธะใหม่ ก็จะเป็นปฏิกิริยาคายความร้อน แต่ในทางกลับ กันถ้าพลังงานที่ดูดเข้าไปสลายพันธะของสารตั้งต้นมากกว่าพลังงานที่คาย ออกมาเพื่อสร้างพันธะใหม่ ก็จะเป็นปฏิกิริยาดูดความร้อน 1) ปฏิกิริยำดูดควำมร้อน (endothermic reaction) คือ ปฏิกิริยาที่ ระบบจะมีอุณหภูมิลดต�่าลง จึงดูดพลังงานความร้อนจากสิ่งแวดล้อม ท�าให้ สิง่ แวดล้อมมีอณ ุ หภูมติ �่าลง เมือ่ ใช้มอื สัมผัสกับภาชนะทีเ่ กิดปฏิกริ ยิ าจะรูส้ กึ เย็น แต่หลังจากปฏิกิริยาสิ้นสุดลงระบบจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น สารตั้งต้น
พลังงาน
(ระบบ)
2
(ดูดพลังงานจากสิ่งแวดล้อม)
ผลิตภัณฑ์
(พลังงานสูงกว่าสารตั้งต้น)
2) ปฏิกิริยำคำยควำมร้อน (exothermic reaction) คือ ปฏิกิริยา ที่ขณะเกิดปฏิกิริยาขึ้นจะมีพลังงานเกิดขึ้น ระบบจึงมีอุณหภูมิสูง จึงคาย พลังงานความร้อนออกสู่สิ่งแวดล้อมม ซึ่งเมื่อใช้มือสัมผัสกับภาชนะที่เกิด ุ หภูมลิ ดต�า่ ลง ปฏิกริ ยิ าจะรูส้ กึ ร้อนน แต่ แต่หลังั จากปฏิกริ ยิ าสิน้ สุดลงระบบจะมีอณ
พลังงำนศักย์
อธิบายความรู
5.1.3 ประเภทของปฏิกิริยา
สารตั้งต้น สารผลิตภัณฑ์ กำ ำรด� รด�ำเนินไปของปฏิกิริยำ กำรด�
ภาพที่ 5.6 5.6 จากกราฟจะเห็นว่าพลังงานของสาร ผลิตภัณฑ์นอ้ ยกว่าพลังงานของสารตัง้ ต้น ปฏิ ปฏิกริ ยิ า นี้จึงจัดเป็นปฏิกิริยาคายความร้อน (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) าของภาพ : photo bank ACT.)
สารตั้งต้น
ผลิตภัณฑ์
(ระบบ)
(พลังงานน้อยกว่าสารตั้งต้น)
พลังงาน
(คายพลังงานให้กับสิ่งแวดล้อม)
5.1.4 สมการเคมี
สมการเคมี (chemical equation) หมายถึง สัญลักษณ์ที่ใช้เขียนแทน ปฏิกิริยาเคมี จะท�าให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงทางเคมี ซึ่งสมการเคมี จะแสดงการเกิดปฏิกิริยาของสารได้ โดยหลักการเขียนสมการเคมี มีดังนี้ 1. ให้เขียนสารตั้งต้นไว้ทางด้านซ้ายมือของสมการ ของสมการ โดยมี ลูกศร เขียนระหว่างกลาง หัวลูกศรชี้ไปยังผลิตภัณฑ์ที่ได้จากปฏิกริ ยิ าเคมี
4
นักเรียนควรรู 1 พันธะ หรือพันธะเคมี เปนแรงที่ยึดเหนี่ยวโครงสรางของอะตอมหรือโมเลกุล ของสาร ซึ่งในการเกิดปฏิกิริยาจะตองมีการสลายพันธะ เพื่อใหโมเลกุลของสาร แยกออกจากกัน แลวเขาทําปฏิกิริยากับโมเลกุลอื่นๆ เกิดเปนสารใหม 2 พลังงานศักย หมายถึง พลังงานที่ถูกสะสมไวในวัตถุหรือสสารที่ไมมี การเคลื่อนที่ เชน พลังงานศักยเคมี พลังงานศักยไฟฟา พลังงานศักยโนมถวง พลังงานศักยยืดหยุน เปนตน
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
ขอใดเปนปฏิกิริยาดูดความรอนจากการนําสาร 2 ชนิดมาผสมกัน ขอ
สารที่ใชผสม
1.
อุณหภูมิ (C ํ) กอนผสม
หลังผสม
A+B
27
28
2.
C+D
29
29
3.
E+F
29
28
4.
G+H
26
25
วิเคราะหคําตอบ ปฏิกิริยาดูดความรอน คือ การที่ระบบดูดพลังงาน ความรอนจากสิ่งแวดลอม ทําใหอุณหภูมิของสิ่งแวดลอมลดลง เมื่อลอง สัมผัสที่ภาชนะจะรูสึกเย็น แตหลังจากสิ้นสุดปฏิกิริยาระบบจะมีอุณหภูมิ สูงขึ้น นั่นคือ หลังทําปฏิกิริยาอุณหภูมิของระบบจะสูงกวากอนทําปฏิกิริยา ดังนั้น ตอบขอ 1.
4
คูมือครู
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบายความรู
ใหนักเรียนอธิบายการเขียนสมการเคมี โดยสรุปหลักการและสัญลักษณที่จําเปนลงใน กระดาษ A4 จากนั้นทําแบบวัดและบันทึกผล การเรียนรู กิจกรรมที่ 5.2
2. สารตัง้ ต้นและผลิตภัณฑ์ให้เขียนแทนด้วยสูตรเคมี และควร มีสถานะของสารแต่ละชนิด เขียนด้วยอักษรย่อไว้ด้านข้างด้วย ดังนี้ สารที่อยู่ในสถานะของแข็ง (solid) แทนด้วย (s) สารที่อยู่ในสถานะของเหลว (liquid) แทนด้วย (l) สารที่อยู่ในสถานะแก๊ส (gas) แทนด้วย (g) สารที่อยู่ในสถานะสารละลาย (aqueous) แทนด้วย (aq) 3. ดุลจ�านวนอะตอมของธาตุแต่ละธาตุของสารตั้งต้นและ ผลิตภัณฑ์ให้มจี า� นวนเท่ากัน โดยการน�าตัวเลขทีเ่ หมาะสมเติมข้างหน้าสูตรเคมี ในสมการ และนับจ�านวนอะตอมของธาตุทงั้ สองด้านให้มจี า� นวนเท่ากัน ตัวอย่ำงกำรดุลสมกำรเคมี
✓ แบบวัดฯ ใบงาน แบบฝกฯ ว�ทยาศาสตร ม.2 กิจกรรมที่ 5.2 หนวยที่ 5 ปฏิกริ ย� าเคมี กิจกรรมที่ 5.2
1
2
โซเดียมไฮดรอกไซด์ กรดไฮโดรคลอริก (กรดเกลือ)
NaCl โซเดียมคลอไรด์
HCl (aq)
โซเดียมไฮดรอกไซด์ กรดไฮโดรคลอริก (กรดเกลือ)
10
NaCl + H O
NaOH + HCl
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 2
Mg + 2HCl
MgCl + H
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 2 2
3. ปฏิกิริยาเคมีระหวางเหล็ก (Fe) กับออกซิเจน (O) 4Fe + 3O
2Fe O
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 2 2 3
4. ปฏิกิริยาเคมีระหวางแคลเซียม (Ca) กับนํ้า (H2O) Ca + 2H O
H2O
5. ปฏิกิริยาระหวางแคลเซียมคารบอเนต (CaCO3) กับกรดไฮโดรคลอริก (HCl) 2HCl + CaCO
น�้า
NaCl (aq)
H2O (l)
โซเดียมคลอไรด์
น�้า
Ca(OH) + H
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 2 2 2
CaCl + H O + CO
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 3 2 2 2
นับจ�านวนอะตอมของ Na O H และ Cl เท่ากันทั้งสองด้านจึงเขียนสมการเคมีได้ดังนี้ NaOH (aq)
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
2. ปฏิกิริยาเคมีระหวางโลหะแมกนีเซียม (Mg) กับกรดไฮโดรคลอริก (HCl)
สารละลายโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) และน�้า (H2O) อย่างละ 1 โมเลกุล HCl
ใหนักเรียนเขียนสมการเคมีของปฏิกิริยาเคมีตอไปนี้ ใหถูกตอง พรอมทั้งดุลสมการเคมี (ว 3.1 ม.2/2)
1. สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด (NaOH) ทําปฏิกิกริยาเคมีกับกรดไฮโดรคลอริก (HCl)
ตัวอย่างที่ 1 สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) ท�าปฏิกิริยาเคมีกับกรดไฮโดรคลอริก (HCl) จะได้ NaOH
Explain
กิจกรรมที่ 5.3
ใหนกั เรียนสืบคนปจจัยทีม่ ผี ลตอการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี แลว เติมลงในแผนผังขางลาง (ว 3.2 ม.2/1)
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
10
ฉบับ
เฉลย
ธรรมชาติของสารตั้งตนที่ ทําปฏิกิริยา
………………………………………………………. ……………………………………………………….
ตัวเรงปฏิกิริยาและ ตัวหนวงปฏิกิริยา
………………………………………………………. ……………………………………………………….
ตัวอย่างที่ 2 ปฏิกริ ยิ าเคมีระหว่างแผ่นโลหะแมกนีเซียม(Mg) มม (Mg) กักับกรดไฮโดรคลอริก (HCl) จะได้ (HCl) จะได้ผลิตภัณฑ์
ปจจัยที่มีผลตอการ เกิดปฏิกิริยาเคมี
อุณหภูมิ
………………………………………………………. ……………………………………………………….
พื………………………………………………………. ้นผิวของสารที่ทําปฏิกิริยา
เป็นแมกนีเซียมคลอไรด์ (MgCl2)) และแก๊ และแก๊สไฮโดรเจน ไฮโดรเจน (H (H2)
……………………………………………………….
51
Mg
HCl
แมกนีเซียม กรดไฮโดรคลอริก (กรดเกลื (กรดเกลือ)
MgCl2
H2
แมกนีเซียมคลอไรด์
ไฮโดรเจน
จะเห็นว่าจ�านวนอะตอมของ H และ Cl ในสมการด้ ในสมการด้านซ้ายและขวาไม่เท่ากัน จึจึงต้องดุล Cl เท่ากัน จึจึงเขียนเป็นสมการเคมี ให้เท่ากัน โดยการเติม 2 หน้า HCl เพื่อท�าให้ H และ Cl เท่ ได้ดังนี้ Mg (s) (s)
2HCl 2HCl (aq) (aq)
แมกนีเซียม กรดไฮโดรคลอริก (กรดเกลื (กรดเกลื กรดเกลือ)
MgCl2 (aq) (aq)
H2 (g) (g)
แมกนีเซียมคลอไรด์
ไฮโดรเจน
5
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
ใหนักเรียนเขียนสมการเคมีแสดงปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจากการสังเคราะห ดวยแสงของพืช
แนวตอบ ปฏิกิริยาการสังเคราะหดวยแสงของพืชมีสารตั้งตน คือ แกสคารบอนไดออกไซด (CO2) และนํ้า (H2O) เกิดเปนสารผลิตภัณฑ ไดแก แกสออกซิเจน (O2) นํ้าตาลกลูโคส (C6H12O6) และนํ้า โดยสามารถ C6H12O6 + O2 + H2O แสดงไดดังสมการ CO2 + H2O ซึ่งเมื่อดุลจํานวนอะตอม จะไดสมการ ดังนี้ C6H12O6 + 6O2 + 6H2O 6CO2 + 12H2O
เกร็ดแนะครู ครูควรอธิบายการเขียนสมการเคมี โดยเฉพาะการดุลสมการเคมี ซึ่งอาจ ยกตัวอยางปฏิกิริยาที่หลากหลาย และสุมใหนักเรียนออกมาเขียนสมการเคมีจาก ปฏิกิริยานั้นๆ หนาชั้นเรียน
นักเรียนควรรู 1 โซเดียมไฮดรอกไซด หรือโซดาไฟ เปนเบสแก ใชในการผลิตเยื่อกระดาษ ผลิตภัณฑซักฟอก สบู เคมีภัณฑ เปนตน 2 ไฮโดรคลอริก หรือกรดเกลือ เปนกรดแก มีฤทธิ์กัดกรอนสูง ใชในโรงงาน อุตสาหกรรมผลิตเคมีภัณฑ ฟอกหนัง เปนตัวเรงปฏิกิริยาทางเคมีและเปน ตัวทําละลายในการสังเคราะหสารอินทรีย คูมือครู
5
กระตุนความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Exploreนหา สํารวจค
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
สํารวจคนหา
Explore
ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน ศึกษา ปจจัยที่มีผลตอการเกิดปฏิกิริยาเคมีเพื่อนํามา อธิบายในประเด็นตางๆ ตอไปนี้ • อาหารที่เก็บไวในตูเย็นเนาเสียชากวาปกติ • การยอยอาหารในรางกายจะมีการบดอาหาร ใหเปนชิ้นเล็กๆ • กรดบางชนิดมีฤทธิ์กัดกรอนมากกวา กรดชนิดอื่น • เอนไซมมีบทบาทตอปฏิกิริยาเคมีในรางกาย อยางไร • การใชสารกันบูดเพื่อชวยลดการเนาเสียของ อาหาร จากนั้นใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 5.1 ขอ 4. เรื่องปจจัยที่มีผลตอ การเกิดปฏิกิริยาเคมี จากหนังสือเรียน หนา 15
5.1.5. ปจจัยที่มีผลตอการเกิดปฏิกิริยาเคมี
ภาพที่ 5.7 สารภายในดอกไมไฟทําปฏิกิริยากับ ออกซิเจนเกิดเปนแสงสวยงาม ซึ่งเปนปฏิกิริยา ที่เกิดขึ้นอยางรวดเร็ว (ที่มาของภาพ : chemistry)
ภาพที่ 5.9 เมื่อโลหะสัมผัสกับนํ้าและอากาศจะกอใหเกิดสนิม (ที่มาของภาพ : chemistry insight) ภาพที่ 5.8 การเกิ ด สนิ ม เหล็ ก เป น ปฏิ กิ ริ ย าที่ เกิดขึ้นอยางชาๆ (ที่มาของภาพ : chemistry)
ภาพที่ 5.10 การเก็ บ อาหารไว ใ นอุ ณ หภู มิ ตํ่ า จะทําใหสามารถเก็บอาหารไวไดนานมากขึ้น (ที่มาของภาพ : http://www.4.bp.blogspot.com)
6
EB GUIDE
นักเรียนควรรู 1 ดอกไมไฟ หรือพลุไฟ เปนวัตถุระเบิดชนิดหนึ่ง มีลักษณะการระเบิดในรูปแสง สี เสียง และควัน โดยถูกออกแบบมาใหมีระเบิดออกเปนรูปรางและสีสันตางกัน เพื่อความสวยงามในงานเทศกาล มีความเชื่อกันวาประเทศจีนเปนประเทศแรกที่ คิดคนหรือประดิษฐดอกไมไฟ 2 สนิม เกิดจากอะตอมของเหล็กที่สูญเสียอิเล็กตรอนใหกับออกซิเจนและนํ้า ในอากาศ ซึ่งเปนปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นอยางชาๆ 3 เนาเสีย อาหารเนาเสียมีสาเหตุมาจากเอนไซมภายในอาหาร หรือเอนไซมจาก จุลินทรียตางๆ ทําหนาที่เปนตัวเรงปฏิกิริยาใหอาหารมีสภาพเปลี่ยนแปลงไป
6
ปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นนั้นบางปฏิกิริยาเกิดขึ้นเร็ว บางปฏิกิริยาเกิด ขึ้นชา ขึ้นอยูกับปจจัย ดังนี้ 1) สมบัตขิ องสารตัง้ ตน สารในธรรมชาติแตละชนิดจะมีความวองไว ตอการเกิดปฏิกิริยาเคมีแตกตางกัน ดังตัวอย1าง ■ ปฏิกิริยาเคมีของดอกไมไฟที่เกิดการลุกไหมกับออกซิเจน ในอากาศเกิดขึ้นเร็ว เพราะสมบัติของสารตั้งตนที่ใชทําดอกไมไฟเปนสารที่ ไวไฟ ติดไฟไดงาย ปฏิกิริยาจึ2งเกิดขึ้นอยางรวดเร็ว ■ การเกิ ด สนิ ม เหล็ ก เป น ปฏิ กิ ริ ย าที่ เ หล็ ก ทํ า ปฏิ กิ ริ ย ากั บ ออกซิเจนในอากาศ ซึ่งปฏิกิริยานี้จะเกิดไดชามาก เนื่องจากเหล็กเปน วัตถุที่แข็ง และไมติดไฟ แตจะคอยๆ เกิดปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ อยางชาๆ
การทีส่ ารแตละชนิดมีสมบัตทิ แี่ ตกตางกัน ดังนัน้ เมือ่ เกิดปฏิกริ ยิ า เคมีจึงมีอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีตางกันดวย ซึ่งเราสามารถเรงปฏิกิริยา ที่เกิดขึ้นชาใหเร็วขึ้น หรือลดปฏิกิริยาที่เกิดเร็วใหชาลงได เมื่อทราบสมบัติ ของสารตัง้ ตน เชน การปองกันการเกิดสนิมของเหล็กหรือวัสดุทที่ าํ ดวยโลหะ โดยการทานํ้ามัน ทาสีผิวของโลหะ หรือเคลือบผิวโลหะดวยโลหะอื่นๆ ที่เกิด สนิมไดยาก เพือ่ ปองกันผิวสัมผัสระหวางโลหะกับความชืน้ และแกสออกซิเจน การถนอมอาหารเปนการลดปฏิกิริยาเคมีที่เกิดเร็วใหชาลง เพื่อทําใหอาหาร เนาเสียชาลง เชน การเชื่อม การดอง เปนตน 2) อุณหภูมิ เปนปจจัยที่มีผลตอความเร็วในการเกิดปฏิกิริยาเคมี เปนอยางยิ่ง โดยอุณหภูมิที่สูงขึ้นจะทําใหเกิดปฏิกิริยาเคมีไดเร็วยิ่งขึ้น เนือ่ งจากอุณหภูมทิ สี่ งู จะทําใหอะตอมหรือโมเลกุลของสารเคลือ่ นที่ไดเร็วขึน้ ผลของอุณหภูมิที่มีผลตอการเกิดปฏิกิริยาเคมีที่พบเห็นไดในชีว3ิตประจําวัน ของเรา ไดแก อาหารที่ไมไดเก็บไวในตูเย็นจะเกิดการเนาเสียไดงายกวา อาหารทีเ่ ก็บไวในตูเ ย็น ซึง่ เหตุผลทีเ่ ปนเชนนีเ้ นือ่ งจากในตูเ ย็นมีอณ ุ หภูมติ าํ่ จึงสามารถชวยชะลอการเกิดปฏิกิริยาเคมีภายในอาหารได ทําใหอาหาร เนาเสียชาลง
http://www.aksorn.com/LC/Sci B2/M2/01
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
จากขอความตอไปนี้ ก. เติมตัวเรงปฏิกิริยา ข. บดหรือหั่นสารตั้งตนใหมีขนาดเล็กลง ค. ใหความรอนแกสารตั้งตน ง. เพิ่มปริมาณของสารตั้งตนที่มีความเขมขนสูง จ. เลือกสารตั้งตนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการใชงาน ขอใดเปนการเรงอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี 1. ก. ข. ค. ง. 2. ก. ข. ค. จ. 3. ก. ค. ง. จ. 4. ข. ค. ง. จ. วิเคราะหคําตอบ สามารถศึกษาปจจัยที่มีผลตอการเกิดปฏิกิริยาเคมี ไดจากหนังสือเรียน หนา 6-8 ซึ่งในขอ ก. ข. ค. และ จ. จะเปนการเพิ่ม อัตราการเกิดปฏิกิริยาทั้งสิ้น แตการเพิ่มปริมาณของสารตั้งตนจะเปนการ เจือจางความเขมขนของสารตั้งตนทําใหความเขมขนลดลง มีผลทําใหเกิด ปฏิกิริยาไดชาลง ดังนั้น ตอบขอ 2.
คูมือครู
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบายความรู 3) พื้นที่ผิวของสำรที่ท�ำปฏิกิริยำ ในกรณีที่สารตั้งต้นเป็นของแข็ง การเพิ่มพื้นที่ผิวของสารจะช่วยท�าให้เกิดปฏิกิริยาเคมีเร็วขึ้นได้ เนื่องจาก พื้นที่ผิวที่เพิ่มขึ้นจะท�าให้สารมีพื้นที่ส�าหรับการเข้าท�าปฏิกิริยากันมากขึ้น จึงสามารถเกิดปฏิกิริยาเคมีได้เร็วมากขึ้น ตัวอย่างเช่น การเคี้ยวอาหาร ให้ละเอียดก่อนกลืน จะช่1วยท�าให้อาหารมีขนาดเล็กลง และมีพื้นที่ผิวเพิ่ม มากขึ้น จึงท�าให้น�้าย่อยในระบบทางเดินอาหารสามารถเข้าย่อยอาหาร ได้ง่ายขึ้น เป็นต้น
ครูสุมใหนักเรียนแตละกลุมออกมาอธิบาย ผลการศึกษา โดยอธิบายปจจัยที่มีผลตอการเกิด ปฏิกิริยาเคมี กลุมละ 1 ปจจัย พรอมยกตัวอยาง ปฏิกริ ยิ าทีส่ อดคลองกับปจจัยนัน้ ๆ จากนัน้ รวมกัน อภิปรายผลการทดลองในกิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 5.1 ขอ 4. และตอบคําถาม ในประเด็นที่ศึกษา ดังนี้ • เพราะเหตุใดอาหารที่เก็บไวในตูเย็นจึง เนาเสียชากวาปกติ (แนวตอบ เพราะอุณหภูมิตํ่าจะชวยชะลอการ เกิดปฏิกิริยาเคมีที่ทําใหอาหารเนาเสีย) • เพราะเหตุใดการยอยอาหารในรางกาย จึงตองมีการบดอาหารใหเปนชิ้นเล็กๆ (แนวตอบ การบดอาหารเปนชิ้นเล็กๆ จะชวย ในการยอยเนื่องจากเปนการเพิ่มพื้นที่ผิวใน การทําปฏิกิริยาระหวางอาหารและนํ้ายอย ในลําไสเล็กและกระเพาะอาหาร) • เพราะเหตุใดกรดบางชนิดจึงมีฤทธิ์ในการ กัดกรอนมากกวากรดชนิดอื่น (แนวตอบ เนื่องจากกรดแตละชนิดมี คุณสมบัติและความเขมขนที่ตางกัน) • เอนไซมมีบทบาทตอปฏิกิริยาเคมีในรางกาย อยางไร (แนวตอบ เอนไซมเปนสารเรงปฏิกิริยาเคมี ที่จะชวยใหปฏิกิริยาเคมีเกิดไดเร็วขึ้น แตไมมีผลตอสารผลิตภัณฑที่เกิดขึ้น) • สารกันบูดชวยลดการเนาเสียของอาหารได อยางไร (แนวตอบ สารกันบูดชวยชะลอการเกิด ปฏิกิริยาเคมีใหชาลงซึ่งทํางานตรงขามกับ ตัวเรงปฏิกิริยาเคมี)
ตัดแบ่งครึ่ง
พื้นที่ผิวที่เพิ่มขึ้น ภาพที่ 5.11 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
ภาพที่ 5.12 เมื่อเพิ่มพื้นที่ผิวของสารตั้งต้นที่ท�าปฏิกิริยา จะท�าให้อนุภาคของสารเข้าท�าปฏิกิริยากันได้ มากขึ้น (ที่มาของภาพ : chemistry insight)
4) ควำมเข้มข้นของสำรตั้งต้น ส่วนมากปฏิกิริยาจะเกิดได้รวดเร็ว หากใช้สารตั้งต้นที่มีความเข้มข้นมาก เนื่องจากการเพิ่มความเข้มข้น2ของ สารจะท�าให้มีอนุภาคของสารอยู่รวมกันอย่างหนาแน่นมากขึ้น อนุ อนุภาคของ สารจึงมีโอกาสชนกันแล้วเกิดปฏิกิริยาได้รวดเร็ว
สารที่มีความเข้มข้นต�่า อนุภาคของ สารจะมีโอกาสชนกันได้น้อย ภาพที่ 5.13 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
Explain
สารที่มีความเข้มข้นสูง อนุ อนุภาคของ สารจะมีโอกาสชนกันได้มาก
7
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับพื้นที่ผิวในการทําปฏิกิริยา การสับหรือบดอาหารใหมีขนาดเล็กจะมีผลตอการยอยอยางไร 1. กลืนงายและดูดซึมงาย 2. ชิ้นอาหารมีขนาดเล็ก ดูดซึมงาย 3. อาหารซึมผานผนังลําไสเล็กไดงาย 4. อาหารมีพื้นที่ผิวสัมผัสกับนํ้ายอยไดมาก วิเคราะหคําตอบ การสับหรือบดอาหารเปนการเพิ่มพื้นที่ผิวสัมผัสใหกับ อาหาร ทําใหนํ้ายอยสามารถเขาถึงชิ้นอาหารไดมากขึ้น และสามารถยอย ไดเร็วขึ้นนั่นเอง ดังนั้น ตอบขอ 4.
เกร็ดแนะครู ครูอาจใหนักเรียนพิจารณาภาพที่ 5.11 ซึ่งอธิบายการเพิ่มพื้นที่ผิวเนื่องจาก การยอยเปนชิ้นเล็กๆ หรืออาจสาธิตโดยการใชดินนํ้ามันหั่นเปนชิ้นเล็กๆ และ เปรียบเทียบพื้นที่ขณะที่เปนกอนใหญกับขณะที่เปนกอนเล็กๆ
นักเรียนควรรู 1 นํ้ายอย สารเคมีที่ผลิตขึ้นจากอวัยวะในระบบยอยอาหาร ซึ่งจะทําปฏิกิริยา กับอาหาร ทําใหอาหารสลายเปนอนุภาคขนาดเล็กที่รางกายสามารถดูดซึมได 2 อนุภาค หมายถึง สสารที่มีปริมาณนอยมากหรือเล็กมาก ในทางเคมีอาจ หมายถึง โมเลกุล อะตอม นิวตรอน โปรตอน อิเล็กตรอน เปนตน
คูมือครู
7
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา Exploreนหา สํารวจค
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
Engage
สํารวจคนหา
Explore
ใหนักเรียนแตละกลุมศึกษาปฏิกิริยาเคมีที่ เกิดขึ้นในชีวิตประจําวัน และผลกระทบเนื่องจาก ปฏิกิริยาเคมี จากหนังสือเรียน และปฏิบัติกิจกรรม พัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 5.1 ขอ 5. เรื่อง ปฏิกิริยาระหวางโลหะกับกรด และขอ 6. เรื่อง ปฏิกริยาระหวางกรดกับคารบอเนต แลวสรุปผล การทดลองเพื่อนํามาอภิปรายหนาชั้นเรียน
อธิบายความรู
Explain
ครูใหนักเรียนรวมกันอธิบายถึง ปจจัยตางๆ ที่ มีผลตอการเกิดปฏิกิริยาเคมี ไดแก สมบัติของสาร ตั้งตน อุณหภูมิ พื้นที่ผิวของสาร ตัวเรงปฏิกิริยา และตัวหนวงปฏิกิริยา แลวใหนักเรียนทําแบบวัด และบันทึกผลการเรียนรู กิจกรรมที่ 5.3
ภาพที่ 5.14 สารกันบูดที่ใส่ในอาหารเป็นตัวหน่วง ปฏิกริ ยิ า ที่ไปยับยัง้ การเกิดปฏิกริ ยิ าเคมีในอาหาร ท�าให้อาหารเน่าเสียช้าลง (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
✓ แบบวัดฯ ใบงาน แบบฝกฯ ว�ทยาศาสตร ม.2 กิจกรรมที่ 5.3 หนวยที่ 5 ปฏิกริ ย� าเคมี กิจกรรมที่ 5.2
ใหนักเรียนเขียนสมการเคมีของปฏิกิริยาเคมีตอไปนี้ ใหถูกตอง พรอมทั้งดุลสมการเคมี (ว 3.1 ม.2/2)
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
10
1. สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด (NaOH) ทําปฏิกิกริยาเคมีกับกรดไฮโดรคลอริก (HCl) NaCl + H O
NaOH + HCl
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 2
2. ปฏิกิริยาเคมีระหวางโลหะแมกนีเซียม (Mg) กับกรดไฮโดรคลอริก (HCl) Mg + 2HCl
MgCl + H
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 2 2
3. ปฏิกิริยาเคมีระหวางเหล็ก (Fe) กับออกซิเจน (O) 4Fe + 3O
2Fe O
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 2 2 3
4. ปฏิกิริยาเคมีระหวางแคลเซียม (Ca) กับนํ้า (H2O) Ca + 2H O
5) ตัวเร่งปฏิกริ ยิ ำ (catalyst) คือ สารทีเ่ ติมลงไปในปฏิกริ ยิ าเคมีแล้ว ท�าให้ปฏิกริ ยิ าเกิดเร็วขึน้ โดยสารทีเ่ ติมลงไปนัน้ ยังคงมีปริมาณและสมบัตทิ าง เคมีเหมือนเดิมหลังปฏิกิริยาสิ้นสุดลง ตัวเร่งปฏิกิริยาที่พบ เช่น เอนไซม์ ต่างๆ ในร่างกายของคนจะมีลักษณะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาช่1วยให้น�้าย่อยต่างๆ ท�างานได้ดี ซึ่งกระบวนการหมักน�้าตาลกลูโคสด้วยยีสต์ ให้เป็นเอทานอล และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ จะใช้เอนไซม์ ไซเมส (zymase) เป็นตัวเร่ง ปฏิกิริยา ส่วนการเตรียมแอมโมเนีย (NH3) จะใช้เหล็ก (Fe) เป็นตัวเร่ง ปฏิกิริยา เป็นต้น 6) ตัวหน่วงปฏิกริ ยิ ำ (inhibitor) คือ สารทีเ่ ติมลงไปในปฏิกริ ยิ าเคมี แล้วท�าให้ปฏิกริ ยิ านัน้ เกิดได้ยากขึน้ หรือมีผลในการยับยัง้ ปฏิกริ ยิ า โดยเมือ่ สิน้ สุดปฏิกริ ยิ ายังคงมีปริมาณและสมบัตทิ างเคมีเหมือนเดิม เช่น การใส่สารกันบูด ในอาหารทีช่ ว่ ยยับยัง้ การเน่าเสียของอาหาร การใส่กรดไฮโดรคลอริก2เจือจาง หรือกลีเซอรอล ลงไปในปฏิกิริยาสลายไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์จะท�าให้ ปฏิกิริยาเกิดได้ช้าลง เป็นต้น
5.1.6 ปฏิกิริยาเคมี ในชีวิตประจ�าวัน
ปฏิกิริยาเคมีที่เรามักพบในชีวิตประจ�าวันนั้นมีทั้งปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น อย่างรวดเร็ว เช่น ปฏิกิริยาของกรดกับหินปูน ปฏิกิริยาการเผาไหม้ เป็นต้น และปฏิกริ ยิ าทีเ่ กิดขึน้ อย่างช้าๆ เช่น ปฏิกริ ยิ าการเกิดสนิมของเหล็ก เป็นต้น บางปฏิกิริยาก็ก่อให้เกิดประโยชน์ แต่บางปฏิกิริยาอาจก่อให้เกิดผลเสียได้ ดังตัวอย่างปฏิกิริยาต่อไปนี้ 1) ปฏิ กิ ริ ย ำระหว่ ำ งสำรประกอบคำร์ บ อเนตกั บ กรด จะให้ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งปฏิกิริยาที่พบในชีวิตประจ�าวัน คือ ปฏิกิริยา อเนต (CaCO3) กับกรดก�ามะถันหรือ ระหว่างหินปูนหรือแคลเซียมคาร์บอเนต (H2SO4)) ทีที่มีอยู่ในฝนกรดเกิดเป็นแคลเซียมซัลเฟต กรดซัลฟิวริก (H เฟต (CaSO4) และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ดังสมการ
Ca(OH) + H
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 2 2 2
5. ปฏิกิริยาระหวางแคลเซียมคารบอเนต (CaCO3) กับกรดไฮโดรคลอริก (HCl) 2HCl + CaCO
CaCl + H O + CO
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 3 2 2 2
กิจกรรมที่ 5.3
ใหนกั เรียนสืบคนปจจัยทีม่ ผี ลตอการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี แลว เติมลงในแผนผังขางลาง (ว 3.2 ม.2/1)
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
10
ธรรมชาติของสารตั้งตนที่ ทําปฏิกิริยา
……………………………………………………….
ตัวเรงปฏิกิริยาและ ตัวหนวงปฏิกิริยา
……………………………………………………….
ปจจัยที่มีผลตอการ เกิดปฏิกิริยาเคมี
อุณหภูมิ
……………………………………………………….
CaCO3
กรดซัลฟิวริก แคลเซียมคาร์บอเนต
ภาพที ่ 5.15 ฝนกรดจะท�าให้รูปปั้นหินปูนเกิดการ สึกกร่อน http://www.static.howstuffworks. (ทีทีม่ าของภาพ าของภาพ : http://www.static.howstuffworks. com/gif/acid/rain-4.jpg)
……………………………………………………….
……………………………………………………….
H2SO4
ฉบับ
เฉลย
……………………………………………………….
CaSO4
CO2
แคลเซียมซัลเฟต คาร์บอนไดออกไซด์
H2O น�้า
โดยปฏิกิริยานี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ท�าให้รูปแกะสลัก รูปปั้น ตึก และสิ่งก่อสร้างที่ท�าด้วยหินปูน หรือหินอ่อนเกิดการสึกกร่อน
พื………………………………………………………. ้นผิวของสารที่ทําปฏิกิริยา ……………………………………………………….
51
8
นักเรียนควรรู 1 ยีสต ราชนิดหนึ่งมีคุณสมบัติในการเปลี่ยนนํ้าตาลเปนแอลกอฮอลและ แกสคารบอนไดออกไซด มีประโยชนในอุตสาหกรรมหลายชนิด เชน อุตสาหกรรม แอลกอฮอล สุรา ไวน ขนมปง เปนตน แตยีสตบางสายพันธุก็สามารถกอใหเกิด โทษได เชน เปนสาเหตุของโรคเยื่อสมองอักเสบ เปนตน 2 ไฮโดรเจนเปอรออกไซด (H2O2) ใชสําหรับฟอกสีผมและฆาเชื้อโรค สามารถ สลายตัวไดนํ้าและแกสออกซิเจน ซึ่งแสงสวางและความรอนจะเปนตัวชวย เรงปฏิกิริยาการสลายตัวใหเกิดไดเร็วขึ้น โดยการสลายตัวจะเกิดขึ้น ดังสมการ 2H2O(l) + O2(g) 2H2O2(aq)
8
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
ขอใดกลาวไมถูกตอง เกี่ยวกับปจจัยที่มีผลตอการเกิดปฏิกิริยาเคมี 1. อุณหภูมิที่สูงขึ้น จะทําใหเกิดปฏิกิริยาเคมีไดเร็ว 2. การเพิ่มพื้นที่ผิวของสาร จะชวยใหปฏิกิริยาเคมีเกิดชาลง 3. สารตั้งตนที่มีความเขมขนมาก จะเกิดปฏิกิริยาเคมีไดอยางรวดเร็ว 4. สมบัติของสารตั้งตนที่เปนสารไวไฟ จะทําใหปฏิกิริยาเคมีเกิดไดเร็วขึ้น วิเคราะหคําตอบ อุณหภูมิที่สูงขึ้นการเพิ่มพื้นที่ผิว และสารตั้งตนที่มี ความเขมขน เปนปจจัยที่จะทําใหสารสามารถเกิดปฏิกิริยาเคมีไดอยาง รวดเร็วทั้งสิ้น สวนสารไวไฟนั้น หมายถึง สารที่ลุกติดไฟไดงายในสภาพ อุณหภูมิและความดันปกติ ซึ่งไมเกี่ยวของกับการเกิดปฏิกิริยาเคมี บางประเภท ดังนั้น ตอบขอ 2.
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบายความรู
ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายผลการ ปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 5.1 ขอ 5. และขอ 6. โดยครูสุมใหแตละกลุมออกมา อธิบายปฏิกิริยาเคมีชนิดตางๆ ที่เกิดขึ้นใน ชีวิตประจําวัน กลุมละ 1 ปฏิกิริยา และเขียน สมการเคมีเพื่อแสดงปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น จากนั้น ครูตั้งคําถามเพื่อใหนักเรียนอธิบายความรู • ปฏิกิริยาเคมีแตละชนิดเกิดขึ้นจาก สาเหตุใด (แนวตอบ ขึ้นอยูกับชนิดของปฏิกิริยาที่ นักเรียนแตละกลุมนําเสนอ ซึ่งมีสารตั้งตน และสารผลิตภัณฑที่แตกตางกัน) • นักเรียนมีวิธีการทดสอบความเปนกรด-เบส ของสารในชีวิตประจําวันไดอยางไร (แนวตอบ ใชวิธีการทดสอบดวยกระดาษ ลิตมัส หรือกระดาษขมิ้น ซึ่งเปนวิธีการ ทดสอบกรด-เบสที่ไดศึกษามาแลว)
2) ปฏิกิริยำระหว่ำงกรดกับเบส จะได้ผลิตภัณฑ์1เป็นเกลือกับน�้า ปฏิกิริยาสะเทิน (neutralization ซึ่งปฏิกิริยาในลักษณะนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ปฏิ reaction) โดยหลังจากเกิดปฏิกิริยาแล้วจะท�าให้สารละลายมีความเป็นกรด และเบสลดลง จึงสามารถน�ามาใช้ในการปรับความเป็นกรด-เบสของสารได้
H
กรด
CI
Na
Na
เบส
OH
H
สลับที่กัน
เกลือ
น�้า
CI
OH
ภาพที ่ 5.16 ปฏิกริ ยิ าระหว่างกรดกับเบสจะได้เกลือกับน�า้ (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
3) ปฏิ กิ ริ ย ำระหว่ ำ งโลหะกั บ กรด จะได้ ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ เ ป็ น แก๊ ส ไฮโดรเจนซึ่งท�าให้โลหะผุกร่อน ดังนั้นจึงควรระมัดระวังการใช้อุปกรณ์โลหะ กับสารละลายที่อาจจะมีฤทธิ์เป็นกรด เพราะจะท�าให้อุปกรณ์โลหะเหล่านั้น เสียหายได้ ตัวอย่างเช่น การใช้น�้ายาล้างห้องน�้าที่มีฤทธิ์เป็นกรดควรระวัง ไม่ให้ถูกบริเวณที่เป็นโลหะ เช่น ก๊อกน�้า ฝาตะแกรงท่อระบายน�้า เป็นต้น นอกจากนี้เครื่องปรุงรสบางอย่าง เช่น มะนาว น�้าส้มสายชู เป็นต้น ก็เป็น สารที่มีฤทธิ์เป็นกรด จึงควรระวังไม่บรรจุเครื่องปรุงเหล่านี้ในภาชนะที่เป็น โลหะหรือกระเบือ้ ง เนื เนือ่ งจากกรดจากเครือ่ งปรุงเหล่านีอ้ าจจะกัดกร่อนภาชนะ ท�าให้เกิดสารปนเปื้อนในเครื่องปรุงได้ 4) ปฏิกิริยำระหว่ำงโลหะกับน�้ำ จะได้ผลิตภัณฑ์เป็นสารละลาย เบสและแก๊สไฮโดรเจน โดยโลหะบางชนิดไม่เหมาะส�าหรับใช้เป็นท่อส่งน�้า เพราะโลหะจะเกิดปฏิกิริยากับน�้า ท�าให้เกิดสนิมปนเปื้อนในน�้าประปา ซึ่งอาจท�าให้เกิดอันตรายได้ 2แต่ไม่ใช่โลหะทุกชนิดที่จะเกิดปฏิกิริยากับน�้า เช่น เราสามารถน�าทองแดงมาท�าเป็นท่อส่งน�้าได้ เพราะทองแดงเกิด ปฏิกิริยากับน�้าได้ยากจึงไม่เกิดสนิม H Ca
H H H
O
O
H
Ca O
H O
Explain
H
H
แสดงการท�าปฏิกิ ริ ยิ าเคมีระหว่างโลหะ ภาพที ่ 5.17 5.17 แสดงการท� และน�า้ (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
9
กิจกรรมสรางเสริม ใหนักเรียนทบทวนเรื่อง ปฏิกิริยาเคมี โดยการเขียนสมการเคมีของ ปฏิกิริยา ตอไปนี้ • ปฏิกิริยาระหวางสารประกอบคารบอเนตกับกรด • ปฏิกิริยาระหวางกรดกับเบส • ปฏิกิริยาระหวางโลหะกับกรด • ปฏิกิริยาระหวางโลหะกับนํ้า • ปฏิกิริยาระหวางโลหะกับออกซิเจน • ปฏิกิริยาการเผาไหม ลงในสมุดบันทึกของนักเรียน แลวครูใหนักเรียนออกมาอธิบายความรู หนาชั้นเรียน จากนั้นใหนักเรียนสรุปสาระสําคัญเปนใบงานสงครูผูสอน
เกร็ดแนะครู ครูอาจยกตัวอยางรูปภาพที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมี แลวใหนักเรียนชวยกัน อภิปรายวาเกิดจากสาเหตุใด
นักเรียนควรรู 1 ปฏิกิริยาสะเทิน ใชประโยชนไดหลายดาน เชน แกปญหาดินเปรี้ยว โดยการใส ปูนขาว ซึ่งปูนขาวมีฤทธิ์เปนเบส ทําใหดินมีสภาพเปนกลาง จึงสามารถนํามาใช เพาะปลูกพืชไดดี 2 ทองแดง ใชเปนสวนประกอบในโลหะหลายชนิด เชน • ทองบรอนซหรือทองสําริด เปนโลหะผสมระหวางทองแดง ดีบุก และ ฟอสฟอรัส • ทองเหลืองเปนโลหะผสมระหวางทองแดงและสังกะสี คูมือครู
9
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
Expand
ใหนักเรียนแตละกลุมศึกษาปฏิกิริยาเคมีที่ พบในชีวิตประจําวัน และอธิบายปฏิกิริยาเคมี ในตัวอยางดวยสมการเคมี พรอมจําแนกวาเปน ปฏิกิริยาเคมีชนิดใด และมีผลตอชีวิตประจําวัน ของมนุษยอยางไรบาง โดยเลือกศึกษาเพิ่มเติม จากปฏิกิริยาที่แตละกลุมไดนําเสนอ จากนั้นให นักเรียนศึกษาการเกิดสนิมของโลหะจากการทํา แบบวัดและบันทึกผลการเรียนรู กิจกรรมที่ 5.5
5) ปฏิกิริยำระหว่ำงโลหะกับออกซิเจน หรือการเกิดสนิม เกิดจาก การที่วัสดุที่มีเหล็กเป็นส่วนผสมสัมผัสกับความชื้นในอากาศ ท�าให้เกิด สนิมเหล็กและผุกร่อน โดยการเกิดสนิมเหล็กเป็นปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นได้ ช้ามาก อาจใช้เวลาในการเกิดเป็นเดือนหรือเป็นป การเกิดสนิมของโลหะ บางชนิด เช่น เหล็ก จะมีผลท�1าให้เกิดการสึกกร่อน ผุพังได้ แต่ในโลหะ บางชนิด เช่น ทองแดง สังกะสีเมื่อเกิดสนิมแล้วจะไม่ท�าให้เกิดการผุกร่อน โดยสนิมจะเคลือบอยู่บริเวณผิวหน้าของโลหะเท่านั้น ภาพที่ 5.18 ลักษณะท่อส่งน�้าในปัจจุบัน (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
ตัวอย่ำงสมกำรกำรเกิดสนิม
✓ แบบวัดฯ ใบงาน แบบฝกฯ ว�ทยาศาสตร ม.2 กิจกรรมที่ 5.5 หนวยที่ 5 ปฏิกริ ย� าเคมี กิจกรรมที่ 5.5
ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3 คน ศึกษาการเกิดสนิม ของตะปู บันทึกผลการทดลอง และตอบคําถามใหถูกตอง
4Fe เหล็ก
2Fe2O3
ออกซิเจน
สนิม
26) ปฏิกิริยำกำรเผำไหม้ เป็นปฏิกิริยาระหว่างเชื้อเพลิงที่มีธาตุ คาร์บอน (C) เป็นองค์ประกอบกับแก๊สออกซิเจน ซึ่งปฏิกิริยาการเผาไหม้ มี 2 ประเภท ดังนี้ 6.1) ปฏิกริ ยิ าการเผาไหมแบบสมบูรณ เกิดขึน้ เมือ่ การเผาไหม้ มีปริมาณออกซิเจน (O2) ที่มากเพียงพอ โดยมีสมการ ดังนี้
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
10
(ว 3.2 ม.2/2)
1. นําหลอดทดลอง 6 หลอดใสนํ้าและสารบมสนิมลงในหลอดทดลองใหเทากันทุกหลอด 2. เตรียมตะปู 6 ตัว ดังนี้ ตะปูตัวที่ 1 เคลือบจารบี ตะปูตัวที่ 2 ทาสี ตะปูตัวที่ 3 หอดวยสังกะสี ตะปูตัวที่ 4 เคลือบทองแดง ตะปูตัวที่ 5 เคลือบดีบุก ตะปูตัวที่ 6 ตะปูปกติ 3. นําตะปูทั้ง 6 ตัว ใสลงในหลอดทดลองในขอ 1. หลอดทดลองละ 1 ตัว ตั้งทิ้งไวประมาณ 15 นาที สังเกตและบันทึกผลการทดลอง 4. บันทึกผลการทดลอง ฉบับ ตารางบันทึกผลการทดลอง เฉลย
3O2
●
●
●
●
●
●
ตะปูเคลือบ จารบี
ตะปูทาสี
ตะปูหอดวย สังกะสี
ตะปูเคลือบ ทองแดง
ตะปูเคลือบดีบุก
ไม เปลี่ยนแปลง ไม เปลี่ยนแปลง ไม…………………………… เปลี่ยนแปลง ไม…………………………… เปลี่ยนแปลง ไม…………………………… เปลี่ยนแปลง …………………………… ……………………………
ภาพที ่ 5.19 สนิมท�าให้โลหะเกิดการสึกกร่อนผุพงั (ทีที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
เชื้อเพลิง
O2 ออกซิเจน
CO2
คาร์บอนไดออกไซด์
H2O น�้า
พลังงาน (ความร้อน, แสงสว่าง)
ตะปูปกติ เกิดสนิม สีนํ้าตาล
……………………………
6.2) ปฏิกริ ยิ าการเผาไหมแบบไมสมบูรณ อาจจะเกิดขึน้ เมือ่ การ เผาไหม้มีปริมาณออกซิเจนที่เข้าท�าปฏิกิริยาไม่เพียงพอ โดยผลที่ได้จะต่าง3 จากการเผาไหม้สมบูรณ์ คือ จะเกิดเขม่า และยังเกิดแก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) โดยมีสมการ ดังนี้
…………………………… …………………………… …………………………… …………………………… …………………………… ……………………………
5. ตอบคําถามจากการทดลอง 1) จากผลการทดลองตะปูในหลอดทดลองใดบางทีม่ กี ารเปลีย่ นแปลงและตะปูในหลอดทดลอง ใดบางที่ไมมีการเปลี่ยนแปลง ตะปูในหลอดทดลองที่ 6 เปลี่ยนแปลง สวนตะปูในหลอดทดลองอื่นๆ ไมเปลี่ยนแปลง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
2) นักเรียนคิดวาตะปูในหลอดทดลองที่ไมมีการเปลี่ยนแปลงเปนเพราะเหตุใด เพราะตะปูมีสารเคลือบจึงไมสัมผัสกับความชื้นและแกสออกซิเจนในอากาศ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
3) นักเรียนจะสรุปผลการทดลองอยางไรและจะนําไปใชประโยชนในชีวิตประจําวันอยางไร
ตะปูที่ไมมีการปองกันการเกิดสนิม จะเกิดสนิมเร็ว การเคลือบ ทาสี หรือหอดวยวัสดุอื่นๆ เปนวิธีปองกันไมใหตะปูสัมผัสกับความชื้นและแกสออกซิเจนในอากาศ จึงไมเกิดปฏิกิริยาเคมี
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
เชื้อเพลิง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
53
ภาพที ่ 5.20 การปล่อยควันจากท่อไอเสียของรถยนต์ เกิดจากปฏิกริ ยิ าการเผาไหม้แบบไม่สมบูรณ์ (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
O2
CO
H2O
พลังงาน
ปฏิกิรยิ าการเผาไหม้จะก่อให้เกิดพลังงาน มนุษย์ ได้น�าพลังงานจาก การเผาไหม้นี้ มาใช้ประโยชน์ต่างๆ มากมาย เช่น ใช้ในการหุงต้มอาหาร ใช้ผลิตกระแสไฟฟา เป็นต้น
10
นักเรียนควรรู 1 สังกะสี สัญลักษณทางเคมี คือ Zn ใชประโยชนไดหลายดาน เชน เปน ภาชนะของถานอัลคาไลน ใชเปนโลหะผสมในการผลิตทองเหลือง เปนตน 2 เชื้อเพลิงที่มีธาตุคารบอน ไดแก นํ้ามัน แกสธรรมชาติ และถานหิน ซึ่งเปน เชื้อเพลิงหลักที่มนุษยนํามาใชประโยชนในปจจุบัน 3 แกสคารบอนมอนอกไซด เปนแกสที่ไมมีสี ไมมีกลิ่น มีคุณสมบัติที่สามารถ ขัดขวางการจับตัวกันระหวางแกสออกซิเจนกับเฮโมโกลบินในเลือด ซึ่งสงผลให รางกายขาดออกซิเจนจนอาจเสียชีวิตได
10
คูมือครู
กิจกรรมสรางเสริม ใหนักเรียนเลือกศึกษาปฏิกิริยาที่พบเห็นในชีวิตประจําวันแลวอธิบาย ประโยชนหรือโทษของปฏิกิริยาดังกลาว ทําเปนเอกสารสงครูผูสอน
กิจกรรมทาทาย ใหนักเรียนเลือกศึกษาปฏิกิริยาเคมีที่พบเห็นในชีวิตประจําวัน แลวเขียน สมการเคมี และอธิบายประโยชนหรือโทษของปฏิกิริยาดังกลาวทําเปน เอกสารสงครูผูสอน
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบายความรู
ครูสุมใหนักเรียนแตละกลุมออกมาอธิบาย ผลกระทบที่เกิดขึ้นเนื่องจากปฏิกิริยาเคมีตอ สิ่งแวดลอม จากนั้นใหนักเรียนทําแบบวัดและ บันทึกผลการเรียนรู กิจกรรมที่ 5.6
5.1.7 ผลกระทบที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีตอ
สิ่งแวดลอม
ปฏิกิริยาเคมีเปนสิ่งที่มีประโยชน ในการดํารงชีวิตของมนุษยอยาง มาก แตหากมนุษย ใชประโยชนจากสารเคมี และปฏิกิริยาเคมีโดยขาดซึ่ง ความรอบคอบ ปฏิกิริยาเคมีเหลานั้นก็อาจกอใหเกิดผลเสียตอมนุษย และ สิ่งแวดลอมได 1) ฝนกรด (acid rain) เกิดจากแกสในบรรยากาศบางชนิดรวมกับ ละอองนํ้าในอากาศ เชน แกสซัลเฟอรไดออกไซด แกสไนโตรเจนออกไซด เปนตน ซึง่ จะทําใหไดผลิตภัณฑทมี่ สี มบัตเิ ปนกรด ถากรดทีเ่ กิดขึน้ มีปริมาณ มาก เมื่อฝนตกก็จะปนลงมากับนํ้าฝน เรียกฝนนี้วา ฝนกรด โดยแกสตางๆ ทีเ่ ปนสาเหตุของฝนกรด สวนใหญจะเกิดจากการ เผาไหมเชื้อเพลิงที่มีสารปนเปอนอยู เชน สารประกอบของซัลเฟอร สารประกอบของไนโตรเจน เปนตน เชื้อเพลิงที่มักมีสารปนเปอนอยูมาก ไดแก เชือ้ เพลิงจําพวกถานหินซึง่ มักใชกนั มากในโรงงานไฟฟา และในโรงงาน อุตสาหกรรม 1 ฝนกรดเปนนํ้าฝนที่มีคา pH ตํ่ากวาระดับ 5.6 จึงมีผลกระทบ ตอสิ่งตางๆ เชน ทําใหดินขาดความอุดมสมบูรณ ปาไมถูกทําลาย หรือ ทําใหเกิดริ้วรอยเปนจุดหรือเปนลายบนพืช การควบคุมการเกิดฝนกรด ทําไดโดยทําการควบคุมสารประกอบ ของซัลเฟอรและไนโตรเจนในอากาศ ซึ่งเปนสาเหตุใหเกิดฝนกรด ดังนี้ 1. เลือกใชเชือ้ เพลิงทีม่ สี ารประกอบของซัลเฟอรปนเปอ นนอย 2. เลือกใชพ2ลังงานสะอาดจากธรรมชาติ แทนเชือ้ เพลิงฟอสซิล เชน พลังงานแสงอาทิตย พลังงานลม เปนตน 3. ติดตัง้ อุปกรณเพือ่ กําจัดมลพิษกอนระบายออกสูบ รรยากาศ
Explain
✓ แบบวัดฯ ใบงาน แบบฝกฯ ว�ทยาศาสตร ม.2 กิจกรรมที่ 5.6 หนวยที่ 5 ปฏิกริ ย� าเคมี ภาพที่ 5.21 ฝนกรดจะทําปฏิกิริยากับหินปูนทําให รูปปนที่ทําจากหินปูนเกิดการสึกกรอน (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
กิจกรรมที่ 5.6
ใหนักเรียนตอบคําถามเกี่ยวกับการเกิดปฏิกิริยาเคมีตอ สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม (ว 3.2 ม.2/3)
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
10
1. ผลกระทบของการเกิดปฏิกิริยาเคมีตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอมมีอะไรบาง จงเติมขอความ ในแผนผังความคิดใหสมบูรณ ฝนกรด
การเกิดสนิม
……………………………………………….
……………………………………………….
ผลกระทบของการเกิดปฏิกิริยาเคมีตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม
ฉบับ
เฉลย ปรากฏการณเรือนกระจก
……………………………………………….
การเกิดสม็อก
……………………………….
การเกิดแกสคารบอนไดออกไซด
……………………………………………………………
2. ฝนกรดมีผลกระทบตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอมอยางไร
ทําใหดินขาดความอุดมสมบูรณ ปาไมถูกทําลาย พืชผลทางการเกษตรเกิดความเสียหาย เปนตน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. วิธีควบคุมและปองกันการเกิดฝนกรดทําไดอยางไร จงอธิบายมาพอเขาใจ
ใชเชือ้ เพลิงทีม่ ซี ลั เฟอรปนเปอ นนอย ใชพลังงานสะอาดจากธรรมชาติ ติดตัง้ อุปกรณเพือ่ กําจัดมลพิษ กอนระบายออกสูอากาศ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ภาพที่ 5.22 ฝนกรดถามีปริมาณมากจะทําใหตนไม ลมตายได (ทีที่มาของภาพ : http://www.ohiocitizen.org/campaigns/coal/acid_rain_woods1.jpg)
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. ยกตัวอยางผลเสียที่เกิดจากการเกิดสม็อก (smog)
บดบังการมองเห็น ซึง่ เปนอันตรายตอกิจกรรมทีเ่ กีย่ วกับการคมนาคม ทําใหเกิดอาการระคายเคือง ดวงตาและระบบทางเดินหายใจ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
54
ภาพที่ 5.23 พลังงานลมเปนพลังงานที่สามารถนํา ภาพที่ 5.24 การใชพลังงานทดแทนจะชวยลด ปริมาณแกสซัลเฟอร เชน พลังงานนํ้า พลังงาน มาใชแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล (ที่มาของภาพ : science matter) แสงอาทิตย เปนตน (ที่มาของภาพ : chemistry)
http://www.aksorn.com/LC/Sci B2/M2/02
EB GUIDE
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
ขอใดเปนผลกระทบของปฏิกิริยาเคมีที่เปนอันตรายตอสิ่งมีชีวิตและ สิ่งแวดลอม ก. ฝนกรด ข. การเกิดสม็อก ค. การทําฝนเทียม ง. การเกิดหินงอกหินยอย จ. ปรากฏการณเรือนกระจก ฉ. นํ้าเนาเสียจากการทิ้งสารอินทรีย ขอใดถูกตองตามขอความขางตน 1. ก. ข. ง. ฉ. 2. ก. ข. จ. ฉ. 3. ก. ค. ง. ฉ. 4. ก. ค. จ. ฉ.
วิเคราะหคําตอบ การเกิดหินงอกหินยอย เปนปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นเอง ในธรรมชาติ การทําฝนเทียมเปนการกระทําของมนุษยที่ชวยใหเกิดฝนขึ้น บริเวณที่ตองการ ซึ่งทั้ง 2 เหตุการณไมเปนอันตรายตอสิ่งมีชีวิตหรือ สิ่งแวดลอม แตฝนกรด การเกิดสม็อก ปรากฏการณเรือนกระจก นํ้าเนาเสียจากการทิ้งสารอินทรีย เปนปรากฏการณที่เกิดขึ้นแลวจะเปน อันตรายตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม ดังนั้น ตอบขอ 2.
11
เกร็ดแนะครู ครูอาจใหนักเรียนเขียนสมการเคมีแสดงการเกิดฝนกรด ซึ่งเปนปฏิกิริยา ระหวางนํ้าและแกสซัลเฟอรไดออกไซด ไดผลิตภัณฑเปนกรดซัลฟวริก ดังสมการ H2SO4 H2O + SO3
นักเรียนควรรู 1 คา pH เปนคาที่แสดงความเปนกรด-เบสของสาร โดยมีคาตั้งแต 0 -14 สารที่มีความเปนกรดจะมีคา pH นอยกวา 7 ขณะที่สารที่มีความเปนเบสจะมีคา pH มากกวา 7 2 พลังงานแสงอาทิตย เปนพลังงานธรรมชาติที่ไรมลพิษและมีใชอยางไมจํากัด สามารถใชประโยชนไดหลายดาน ทั้งการผลิตกระแสไฟฟาและดานพลังงาน ความรอน คูมือครู
11
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบExplain ายความรู
Explain
จากการเรียนเรื่อง ผลกระทบที่เกิดจาก ปฏิกิริยาเคมีตอสิ่งแวดลอม ครูสุมเลือกนักเรียน 8-9 คน ใหชวยกันอธิบายถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น ดังตอไปนี้ • ฝนกรด • ปรากฏการณเรือนกระจก • สม็อก จากนั้นใหนักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นวา สงผลอยางไรตอ ชีวิตประจําวันของนักเรียนบาง และนักเรียนมี แนวทางการแกไขปญหานั้นอยางไร
ขยายความเขาใจ
อธิบายความรู
ภาพที ่ 5.25 การท�าลายปา ท�าให้ไม่มีต้นไม้ช่วย ดูดซับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (ที่มาของภาพ : http://www.sps.lpru.ac.th/resource/3/12/1386.jpg)
Expand
ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายและสรุปเกี่ยวกับ เรื่องผลกระทบที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีที่มีตอ สิ่งแวดลอม จากนั้นใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5-6 คน ศึกษาผลกระทบเนื่องจากปฏิกิริยาเคมี ที่นักเรียนสนใจ โดยวิเคราะหถึงสาเหตุ ปญหา แนวทางการปองกันแกไข และนําผลงานมา จัดปายนิเทศเพื่อรณรงคและเผยแพรความรู ภายในโรงเรียน
ภาพที ่ 5.26 สม็อกท�าให้บดบังการมองเห็นในการ คมนาคมและท�าให้ระคายเคืองตากับระบบทาง เดินหายใจ (ทีที่มาของภาพ : http://wwwupload.wilimedia)
2) ปรำกฏกำรณ์เรือนกระจก (greenhouse effect) ปรากฎการณ์ ที่เกิดจากแก๊สต่างๆ ลอยขึ้นไปสะสมอยู่บนชั้นบรรยากาศเหนือพื้นผิวโลก1 โดยแก๊สเรือนกระจกที่ส�าคัญเช่น แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ แก๊สมีเทน แก๊สไนตรัสออกไซด์ เป็นต้น เมื่อดวงอาทิตย์ส่องแสงมายังโลก พื้นผิวโลก จะดูดซับความร้อนส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งซึ่งเป็นรังสีคลื่นสั้นจะสะท้อนกลับ ขึ้นไปได้เพียงเล็กน้อย เนื่องจากถูกแก๊สเรือนกระจกกักเก็บเอาไว้ ส่งผลให้ พื้นผิวโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นท�าให้เกิดผลกระทบไปทั่วโลก โดยลักษณะการกัก เก็บอุณหภูมนิ มี้ ลี กั ษณะไม่แตกต่างจากเรือนกระจกทีเ่ ก็บอุณหภูมคิ วามร้อน ในการปลูกพืชเขตหนาว จึงเรียกว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก การลดปรากฏการณ์เรือนกระจกสามารถท�าได้ ดังนี้ 1. ลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจก รวมทั้งลดการใช้สินค้าที่มี กระบวนการผลิตที่ท�าให้เกิดการปล่อยแก๊สเรือนกระจกมากขึ้น 2. ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล 3. ปลูกต้นไม้เพื่อช่วยลดอุณหภูมิโลก และยังช่วยดูดซับแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์ 3) สม็อก (smog) เกิดจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในปริมาณ มาก โดยเฉพาะในเขตอุตสาหกรรมและเมืองใหญ่ๆ ทีม่ กี ารจราจรหนาแน่น รวมทั้งควันไฟที่เกิดจากไฟปาซึ่งจะมีแก๊สไนโตรเจนมอนอกไซด์ ไนโตรเจน2 ไดออกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์ ซัลเฟอร์ ไดออกไซด์ สารไฮโดรคาร์บอน ตลอดจนฝุนละอองเล็กๆ ปะปนอยู่ในปริมาณมาก ซึ่งในวันที่มีความกด อากาศสูงสารเหล่านี้จะลอยปะปนกันในอากาศที่ความสูงไม่มากนัก เมื่อมี ปริมาณมากจะบดบังการมองเห็นซึ่งเป็นอันตรายมากต่อการบิน นอกจากนี้ แก๊สไนโตรเจนไดออกไซด์ยังท�าให้เกิดการระคายเคืองกับดวงตาและระบบ ทางเดินหายใจ
ภาพที่ 5.27 การปล่ อ ยแก๊ ส เรื อ นกระจกขึ้ น สู ่ บรรยากาศจะท�าให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น (ทีที่มาของภาพ : http://www.myclimatechange. net/UserImage/3/Definition/GreenhouseEffect. jpg)
12
นักเรียนควรรู 1 แกสมีเทน มีสูตรทางเคมี คือ CH4 เปนแกสไมมีสี ติดไฟได ซึ่งไดมาจาก แกสธรรมชาติและการหมักมูลสัตว 2 ไฮโดรคารบอน หมายถึง สารประกอบอินทรียที่มีเฉพาะธาตุคารบอนและ ไฮโดรเจนเปนองคประกอบ ในธรรมชาติพบสารประกอบไฮโดรคารบอนเกิดใน แหลงตางๆ เชน ยางไม ถานหิน ปโตรเลียม เชน CH2 C2H6 C2H4 เปนตน
มุม IT สามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับไฮโดรคารบอน ไดจากเว็บไซต http://majorchemspa.wordpress.com/hydrocarbon_compound/
12
คูมือครู
กิจกรรมสรางเสริม ใหนกั เรียนหาขาว 1 ขาว ทีเ่ กีย่ วของกับผลกระทบจากการใชสารเคมี โดยสรุปเนื้อหาของขาวและลักษณะของผลกระทบที่เกิดขึ้น ทําเปนใบงาน ลงในกระดาษ A4 สงครูผูสอน
กิจกรรมทาทาย ใหนักเรียนหาขาว 1 ขาว ที่เกี่ยวของกับผลกระทบจากการใชสารเคมี โดยสรุปเนื้อหาของขาวและลักษณะของผลกระทบที่เกิดขึ้น พรอมเสนอ แนวทางในการปองกันหรือแกไขไมใหเกิดปญหาดังกลาว ทําเปนใบงาน ลงในกระดาษ A4 สงครูผูสอน
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
กิจกรรม
พั ฒ นาทั ก ษะ วิทยาศาสตร์
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
ขยายความเขาใจ
5.1
1. ปฏิกิริยาเคมี ปฏิกิริยาเคมี (chemical reaction) คือ กระบวนการที่สารตั้งต้นเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีแล้วส่งผลให้ เกิดเป็นสารชนิดใหม่หรือผลิตภัณฑ์ โดยสารใหม่ที่เกิดขึ้นจะมีสมบัติที่แตกต่างไปจากเดิม ซึ่งในชีวิตประจ�าวันสามารถ พบปฏิกิริยาเคมีได้เช่น การเน่าเสียของอาหาร การลุกไหม้ของเชื้อเพลิง เป็นต้น ซึ่งจะศึกษาปฏิกิริยาเคมีได้จากการ ทดลองต่อไปนี้ จุดประสงค์ : เพื่อศึกษาลักษณะการเกิดปฏิกิริยาเคมีของสาร อุปกรณ์และสารเคมี
วิธีการทดลอง
• หลอดทดลองขนาดกลาง 1 หลอด • คีมจับหลอดทดลอง 1 อัน • ตะเกียงแอลกอฮอล์ 1 อัน • ตะแกรงวางหลอดทดลอง 1 อัน • โพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนต (KMnO4) 2 ช้อนเบอร์ 2 • แอมโมเนียมคลอไรด์ (NH4Cl) 2 ช้อนเบอร์ 2 2 ช้อนเบอร์ 2 • คอปเปอร์ (II) ซัลเฟต (CuSO4) • น�้ากลั่น 20 cm3 • บีกเกอร์ขนาด 50 มิลลิลิตร 2 ใบ • ช้อนตักสารเบอร์ 2 1 อัน
1. ใส่โพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนตลงในหลอดทดลองแล้วน�าไปเผา สังเกตและบันทึก ผลการทดลอง 2. ใส่แอมโมเนียมคลอไรด์ลงในบีกเกอร์ที่มีน�้า 10 cm3 สังเกตการเปลี่ยนแปลง 3. ใส่คอปเปอร์ (II) ซัลเฟตในบีกเกอร์ที่มีน�้า 10 cm3 สังเกตการเปลี่ยนแปลง 4. บันทึกผลการทดลองลงในสมุดของนักเรียน
1. มีอะไรเกิดขึ้นบ้างในระหว่างการเกิดปฏิกิริยาเคมี 2. ให้นักเรียนเขียนตัวอย่างของปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นในบ้านของนักเรียนมา 3 ตัวอย่าง นมา 3 ตั 3. จากการทดลองข้างบน ให้นักเรียนเขียนรายงานการทดลอง นรายงานการทดลอง และอธิบายว่านักเรียนทราบได้อย่างไรว่ามี ปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้น
2. ประเภทของระบบ
Expand
ใหนักเรียนทํากิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 5.1 จากนั้นครูตั้งคําถามเพื่อทดสอบ ความเขาใจของนักเรียน • สิ่งใดเปนสิ่งจําเปนในการเกิดปฏิกิริยาเคมี (แนวตอบ สารตั้งตน ซึ่งเปนสารที่สามารถ ทําปฏิกิริยาและเกิดเปนสารใหมหรือ สารผลิตภัณฑขึ้นได) • การเปลี่ยนแปลงใดบางที่จะสังเกตไดวา สารเกิดปฏิกิริยาเคมี (แนวตอบ มีการเกิดสารใหมที่มีคุณสมบัติ ตางจากสารตั้งตน เชน เกิดตะกอน ฟองแกส เปลี่ยนสี หรือการเปลี่ยนแปลง ของพลังงาน เชน การดูดหรือการคาย ความรอน เปนตน) • ระบบปดและระบบเปดมีความแตกตางกัน อยางไร (แนวตอบ ระบบปดและระบบเปดเปนระบบ ที่เกิดขึ้นเมื่อมีการเกิดปฏิกิริยา ซึ่งระบบ ปดจะไมมีการถายเทมวลของระบบใหแก สิ่งแวดลอม แตในขณะที่ระบบเปดจะมีการ ถายเทมวลระหวางระบบกับสิ่งแวดลอม)
ขณะเกิดปฏิกิริยาเคมี ระบบมีการเปลี่ยนแปลงมวลของสารและพลังงาน งาน โดยมวลของสารในระบบอาจเพิ โดยมวลของสารในระบบอาจเพิ่มขึ้น แต่อาจมีการถ่ายโอนไปมาระหว่างระบบกับสิ่งแวดล้อมม ซึซึ่งจะศึกษา ลดลง หรือคงที่ ซึ่งมวลของสารจะไม่สูญหายไปไหน แต่ ประเภทของระบบได้จากการทดลองต่อไปนี้ จุดประสงค์ : เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงมวลของสารขณะเกิดปฏิกิริยาเคมี อุปกรณ์และสารเคมี • สารละลายเลต (II) ไนเตรต • สารละลายโพแทสเซียมไอโอไดด์ • สารละลายกรดไฮโดรคลอริก • หินปูน • เครื่องชั่ง • บีกเกอร์ขนาด 50 มิลลิลิตร
10 cm3 10 cm3 10 cm3 5 กรัม 1 เครื่อง 2 ใบ
วิธีการทดลอง 1. น�าสารละลายเลต ( II) ไนเตรต 10 cm3 ใส่ ใส่ ในบีกเกอร์ ใบที่1 จากนั จากนั้นน�าสารละลาย โพแทสเซียมไอโอไดด์ 10 cm3 ใส่ ใส่ ในบีกเกอร์ ใบที่ 2 สังเกตลักษณะของสารทั้งสอง ชนิด แล้ แล้วน�าาไปชั ไปชั่ง บับันทึกผลการทดลอง ษณะของสาร แล้ 2. น�าสารทั้งสองชนิดผสมกัน สัสังเกตการเปลี่ยนแปลงลักษณะของสาร แล้วน�าไปชั่ง และบันทึกผลการทดลอง 3. ท�าการทดลองตามข้อ 1 และ 2 แต่เปลี่ยนเป็นหินปูน และสารละลายกรดไฮโดร คลอริก สังเกตและบันทึกผลการทดลองในตารางที่นักเรียนออกแบบเอง
13
แนวตอบ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 5.1 1. ปฏิกิริยาเคมี 1. การเกิดปฏิกิริยาเคมีจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น สิ่งที่สังเกตเห็นไดชัดเจน เชน เกิดตะกอน เกิดฟองแกส รวมถึงการเปลี่ยนแปลงพลังงาน ซึ่งอาจจะอยู ในรูปความรอน แสง เสียง เปนตน 2. พิจารณาจากคําตอบของนักเรียน โดยอยูในดุลพินิจของครูผูสอน ตัวอยางเชน 2Fe2O3 • ปฏิกิริยาระหวางเหล็กกับออกซิเจน 4Fe + 3O2 CO2 + H2O + พลังงาน • ปฏิกิริยาการเผาไหม เชื้อเพลง + O2 2ZnO • ปฏิกิริยาระหวางสังกะสีกับออกซิเจน 2Zn + O2 3. ตารางบันทึกผลการทดลอง การทดลอง เผาโพแทสเซียมเปอรแมงกาเนต
ผลการทดลอง โพแทสเซียมเปอรแมงกาเนตเปลี่ยนจากสีมวงเขมเปนสีเขียวเขม
ใสแอมโมเนียมคลอไรดในบีกเกอรที่มีนํ้า
แอมโมเนียมคลอไรดละลายนํ้า
ใสคอปเปอร (II) ซัลเฟตในบีกเกอรที่มีนํ้า
คอปเปอร (II) ซัลเฟตละลายนํา้ ไดสารละลายสีฟา
อภิปรายและสรุปผลการทดลอง การเกิดปฏิกิริยาเคมีจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น สิ่งที่สังเกตเห็นไดชัดเจน เชน เกิดตะกอน เกิดฟองแกส เปนตน คูมือครู
13
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
Expand
ครูตั้งคําถามเพื่อทดสอบความเขาใจของ นักเรียน • พลังงานความรอนมีผลตอการเกิดปฏิกิริยา เคมีอยางไร (แนวตอบ การเกิดปฏิกิริยาเคมีจําเปนตอง สลายพันธะเคมีเพื่อใหอะตอมของสารเดิม แยกออกจากกัน และอะตอมนั้นเขาทํา ปฏิกิริยากับอะตอมของสารอื่นเพื่อใหไดสาร ผลิตภัณฑใหม ซึ่งตองอาศัยพลังงาน ความรอนในการสลายพันธะเคมีดังกลาว เมื่อมีการทําปฏิกิริยาหรือรวมตัวเปนสารใหม จะเกิดการคายพลังงานความรอนออกมา จะเห็นไดวาตลอดกระบวนการเกิดปฏิกิริยา ลวนมีความเกี่ยวของกับพลังงานความรอน ทั้งสิ้น) • เมื่อวัดอุณหภูมิที่เปลี่ยนไปของสารหลังทํา ปฏิกิริยาพบวา มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น แสดงวา ปฏิกิริยาดังกลาวเปนปฏิกิริยาชนิดใด เพราะเหตุใด (แนวตอบ เปนปฏิกิริยาคายความรอน เนื่องจากระบบคายความรอนใหสิ่งแวดลอม อุณหภูมิที่วัดไดจึงสูงขึ้น เนื่องจากความรอน ที่คายออกมา)
1. มวลของสารก่อนและหลังการเกิดปฏิกิริยาเคมีแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร 2. ปฏิกิริยาเคมีของการทดลองใดเป็นระบบเปิดและระบบปิด เพราะเหตุใด
3. ผลของปฏิกิริยาเคมี การทีน่ า� สารตัง้ ต้นมาท�าปฏิกริ ยิ ากัน นอกจากจะมีผลิตภัณฑ์ ใหม่เกิดขึน้ แล้ว ยังมีการเปลีย่ นแปลงพลังงานเกิด ขึ้นอีกด้วย โดยการเปลี่ยนแปลงพลังงานจะมีทั้งการดูดความร้อน และการคายความร้อน ซึ่งนักเรียนสามารถสังเกตได้ จากอุณหภูมิ แสง หรือเสียงที่เกิดขึ้น จุดประสงค์ : เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมี อุปกรณ์และสารเคมี • หลอดทดลองขนาดใหญ่ที่แห้ง บรรจุแก๊สออกซิเจน • ผงเหล็ก • ผงทองแดง • ผงสังกะสี • ช้อนเผาสาร • ตะเกียงแอลกอฮอล์ • ตะแกรงใส่หลอดทดลอง • จุกยาง
วิธีการทดลอง 1 . ครูสาธิตให้นักเรียนดูว่า จะบรรจุแก๊สออกซิเจนลงในหลอดที่แห้งได้อย่างไร 1 หลอด 2. ชั่งน�้าหนักช้อนที่มีผงโลหะแต่ละชนิดอยู่ทีละช้อนและน�าสารแต่ละชนิดมาท�าปฏิกิริยากับแก๊ส ออกซิเจนดังภาพ สังเกตปฏิกิริยาว่ามีสิ่งใดที่แสดงให้เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงของพลังงานเกิด ขึ้น - เผาผงเหล็กจนกระทั่งมีสีแดง 1 อัน - เปิดจุกออกจากหลอดทดลอง 1 อัน - น�าช้อนที่มีผงเหล็กในข้อ 1 ใส่ ในหลอดทดลอง 1 อัน 1 อัน 3. ชั่งน�้าหนักโลหะออกไซด์ที่เกิดขึ้น หาสิ่งที่แสดงว่า สารที่ได้นั้นต่างจากโลหะซึ่งเป็นสารตั้งต้น 4. ท�าการทดลองซ�า้ ในข้อที ่ 2. แต่เปลีย่ นผงโลหะจากผงเหล็กเป็นผงทองแดงและผงสังกะสีตามล�าดับ
Àา¾ประกอº
ผงโลหะ
ภาพที ่ 5.28 (ทีที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
1. ให้นักเรียนเลือกโลหะมา 1 ชนิด แล้วเขียนแผนภาพพร้อมทั้งติดปายชี้การเข้าท�าปฏิกิริยาระหว่างโลหะ กับออกซิเจน แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของพลังงาน 2. ปฏิกิริยาของสังกะสีและออกซิเจนสามารถแสดงได้ ดังสมการ สังกะสี
ออกซิเจน
สังกะสีออกไซด์
ให้นักเรียนเขียนสมการในปฏิกิริยาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทดลองข้างต้น
14
แนวตอบ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 5.1 (ตอ) 2. ประเภทของระบบ 1. มวลของสารกอนและหลังทําปฏิกิริยาจะมีคาเทากันก็ตอเมื่อเปนระบบปดเทานั้น เพราะในระบบปดจะไมมีการถายเทมวลสูสิ่งแวดลอม แตถาเปนระบบเปด มวลกอนและหลังทําปฏิกิริยาจะไมเทากัน เพราะมวลภายในระบบจะถายเทออกนอกระบบหรือสิ่งแวดลอมนั้นเอง 2. ปฏิกิริยาระหวางสารละลายเลต (II) ไนเตรตกับสารละลายโพแทสเซียมไอโอไดดเปนระบบปด เพราะไมมีการถายเทมวลของระบบสูสิ่งแวดลอม แตปฏิกิริยาระหวาง หินปูนกับกรดไฮโดรคลอริกเปนระบบเปด เพราะเมื่อทําการทดลองจะเกิดแกสขึ้นที่บีกเกอร คือ เกิดการถายเทมวลในระบบกับสิ่งแวดลอมนั้นเอง หรือสามารถ สังเกตไดจากมวลที่เปลี่ยนแปลงไปกอนและหลังทําปฏิกิริยาก็สามารถบอกไดเชนกัน 3. ผลของปฏิกิริยา 1. พิจารณาจากคําตอบนักเรียน โดยอยูในดุลพินิจของครูผูสอน ตัวอยางเชน ปฏิกิริยาระหวางแมกนีเซียมกับออกซิเจน ดังสมการ 2MgO 2Mg + O2 2. ปฏิกิริยาระหวางเหล็กและออกซิเจน 2FeO 2Fe + O2 ปฏิกิริยาระหวางทองแดงและออกซิเจน 2CuO 2Cu + O2
14
คูมือครู
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
ขยายความเขาใจ
ใหนักเรียนทําแบบวัดและบันทึกผลการเรียนรู กิจกรรมที่ 5.4
4. ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดปฏิกิริยาเคมี จุดประสงค์ : เพื่อศึกษาปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี อุปกรณ์และสารเคมี • สารละลายกรดซัลฟิวริก • ลวดแมกนีเซียมยาว • หลอดทดลองขนาดกลาง • น�้า
✓ แบบวัดฯ ใบงาน แบบฝกฯ ว�ทยาศาสตร ม.2 กิจกรรมที่ 5.4 หนวยที่ 5 ปฏิกริ ย� าเคมี
วิธีการทดลอง cm3
20 8 cm 2 หลอด 2 cm3
ตอนที่ 1 ผลของความเข้มข้นของสารที่มีต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี 1. ใส่สารละลายกรดซัลฟิวริกในหลอดทดลอง หลอดที่ 1 10 cm3 ส่วนหลอดที่ 2 ใส่สารละลายกรดซัลฟิวริกในหลอดทดลอง 5 cm3 และเติมน�้า 5 cm3 2. ใส่ลวดแมกนีเซียมยาว 2 cm ลงในหลอดทดลองทั้งสองหลอด สังเกตและบันทึก ผลการทดลองในตารางที่นักเรียนออกแบบเอง ตอนที่ 2 ผลของพื้นที่ผิวของสารที่มีต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี 1. น�าสารละลายกรดซัลฟิวริก ใส่ ในหลอดทดลอง หลอดที่ 1 และ 2 หลอดละ 5 cm3 2. ตัดลวดแมกนีเซียมยาว 3 cm จ�านวน 1 ชิ้น ใส่ ในหลอดทดลอง หลอดที่ 1 ส่วน หลอดที่ 2 ตัดลวดแมกนีเซียมยาว 1 cm จ�านวน 3 ชิ้น ใส่ ในหลอดทดลอง สังเกต และบันทึกผลในตารางที่นักเรียนออกแบบเอง
กิจกรรมที่ 5.4
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
10
การทําความสะอาดเสื้อผาดวยผงซักฟอกเปนการใชสารเรง ปฏิกิริยาใหเกิดปฏิกิริยาเคมีเร็วขึ้น
………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………..
ใชผงซักฟอกทําความสะอาดเสื้อผา การใหความรอนแกอาหาร เปนการเพิม่ อุณหภูมใิ หสงู ขึน้ ทําให อาหารสุกเร็ว
…………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………..
ใหความรอนแกอาหาร ดอกไมไฟทีเ่ กิดการลุกไหมกบั แกสออกซิเจนในอากาศเกิดขึน้ เร็ว เพราะสมบัติของสารตั้งตนที่ใชทําดอกไมไฟเปนสารที่ไวไฟ ติดไฟงาย …………………………………………………………………………………………………………………..
ฉบับ
…………………………………………………………………………………………………………………..
เฉลย
5. ปฏิกิริยาระหว่างโลหะกับกรด
…………………………………………………………………………………………………………………..
สารตั้งตนที่ใชทําดอกไมไฟ
เมืื่อน�าโลหะมาท�าปฏิกิริยากับกรด สารละลายที่มีฤทธิ์เป็นกรดจะท�าปฏิกิริยากับโลหะได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะมี การเปลี่ยนแปลงของสารเกิดขึ้น มีการผุกร่อนของโลหะและมีฟองแก๊สเกิดขึ้น นันักเรียนสามารถสังเกตการท�าปฏิกิริยา ของสารได้จากการทดลองนี้ จุดประสงค์ : เพื่อศึกษาการเกิดปฏิกิริยาระหว่างโลหะกับกรด • กรดไฮโดรคลอริก 0.1 mol/dm3 • แผ่นโลหะแมกนีเซียม ขนาด 2 cm 20 แผ่น • บีกเกอร์ขนาด 100 มิลลิลิตร 1 ใบ
ใหนักเรียนบอกปจจัยที่มีผลตออัตราการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี จากภาพตอไปนี้ (ว 3.2 ม.2/1)
…………………………………………………………………………………………………………………..
1. ความเข้มข้นของสารมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีอย่างไร 2. พื้นที่ผิวของสารมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีอย่างไร
อุปกรณ์และสารเคมี
Expand
การเก็ บ อาหารไว ใ นตู เ ย็ น ซึ่ ง มี อุ ณ หภู มิ ตํ่ า จะทํ า ให อ าหาร สามารถเก็บไดนานมากขึ้น
………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………..
เก็บอาหารไวในตูเย็น สารกันบูดที่ใสในอาหารเปนตัวหนวงปฏิกิริยาที่ไปยับยั้ง การเกิดปฏิกิริยาเคมีในอาหาร ทําใหอาหารเนาเสียชาลง
………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………..
วิธีการทดลอง
อาหารที่ใสสารกันบูด
52
1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มๆ ละ 3 คน าตร 25 cm 25 cm3 2. เทสารละลายกรดไฮโดรคลอริกเข้มข้น 0.1 mol/dm 0.1 mol/dm33 ลงในบีิกเกอร์ ในปริมาตร 3. ใส่แผ่นโลหะแมกนีเซียมขนาด 2 cm ลงในบี cm ลงในบีกเกอร์ พร้อมทั้งสังเกตฟองแก๊สที่เกิดขึ้น 4. ใส่แผ่นโลหะแมกนีเซียมต่อไปเรื่อยๆ โดยใส่ทีละน้อยจนกระทั่งไม่มีฟองแก๊สเกิดขึ้น ยๆ โดยใส่
1. ให้นักเรียนเขียนสมการแสดงการเกิดปฏิกิริยา 2. แก๊สที่เกิดขึ้นจากปฏิิกิริยาคือแก๊สอะไร นักเรียนจะมีวิธีทดสอบอย่างไร
15
แนวตอบ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 5.1 (ตอ) 4. ปจจัยที่มีผลตอการเกิดปฏิกิริยา 1. ถาสารตั้งตนเปนสารละลายที่มีความเขมขนมากจะเกิดปฏิกิริยาไดเร็ว เพราะการเพิ่มความเขมขนของ สารละลาย จะทําใหอนุภาคของสารละลายมีการรวมตัวกันอยูอยางหนาแนนมากขึ้น ทําใหอนุภาคเหลานั้น มีโอกาสในการเกิดปฏิกิริยาที่มากขึ้นนั้นเอง 2. หากมีพื้นที่ผิวในการทําปฏิกิริยามาก ปฏิกิริยาจะเกิดขึ้นเร็ว เพราะเปนการเพิ่มพื้นที่ผิวสัมผัสของสาร ใหสามารถสัมผัสกันไดมากขึ้น ซึ่งอาจนึกถึงการละลายของนํ้าแข็งในนํ้า ถานํา้ แข็งกอนใหญจะใชเวลา ในการละลายนาน แตถา เปนนํา้ แข็งละเอียดจะละลายไดเร็วกวานํา้ แข็งกอนใหญ 5. ปฏิกิริยาระหวางโลหะกับกรด 1. ปฏิกิริยาระหวางโลหะแมกนีเซียมกับกรดไฮโดรคลอริก จะไดคลอไรดของโลหะ และแกสไฮโดรเจน ดังสมการ MgCl2 + H2 Mg + 2HCl 2. แกสที่เกิดขึ้น คือ แกสไฮโดรเจน ซึ่งสามารถทดสอบได โดยใชธูปที่ติดไฟ จอบริเวณปากหลอดทดลอง ถาเกิดแกสไฮโดรเจนขึ้น เปลวไฟจะลุกไหมวาบขึ้น เพราะแกสไฮโดรเจนสามารถติดไฟได คูมือครู
15
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
Engage
Explore
Explain
Expand
ตรวจสอบผล
ตรวจสอบผล Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate
Evaluate
ใหนักเรียนทํากิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 5.1 บันทึกผลการทดลอง และ ตอบคําถามทายกิจกรรม
6. ปฏิกิริยาระหว่างกรดกับคารบอเนต ในชีวิตประจ�าวันเราจะพบคาร์บอเนตในรูปของหินปูนหรือหินอ่อนซึ่งเป็นสารแคลเซียมคาร์บอเนต โดย เมื่อคาร์บอเนตท�าปฏิกิริยากับกรดจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ได้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และน�้าเป็นผลิตภัณฑ์ สามารถ ท�าการทดลองได้ ดังนี้ จุดประสงค์ : เพื่อศึกษาการเกิดปฏิกิริยาระหว่างกรดกับคาร์บอเนต
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู
อุปกรณ์และสารเคมี
1. แบบบันทึกผลการปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 5.1 2. สมุดบันทึกการเขียนสมการเคมีแสดงการเกิด ปฏิกิริยาเคมีตางๆ
• หินปูน • ตะเกียงแอลกอฮอล์หรือ ตะเกียงบุนเซ็น • หลอดหยด • บีกเกอร์ขนาด 250 มิลลิลิตร • น�้า • ขวดรูปชมพู่ขนาด 250 มิลลิลิตร • ตะแกรงลวด • กรวยกรอง • กระดาษกรอง
วิธีการทดลอง
1 ก้อน 1 อัน 1 อัน 1 ใบ 20 cm3 1 ใบ 1 อัน 1 อัน 1 แผ่น
Àา¾ประกอº
ป ฏิกิริยาเคมีที่ 1 1. วางหินปูนบนตะแกรงลวด แล้วน�าไปเผาไฟจนกว่าหินปูน จะเป็นสีแดง ปฏิกิริยาเคมีที่ 2 2. ปล่ อ ยหิ น ปู น ทิ้ ง ไว้ ให้ เ ย็ น หิ น ในลั ก ษณะนี้ เ รี ย กว่ า ปูนขาว 3. น�าปูนขาวไปใส่ ในบีกเกอร์ แล้วหยดน�้าลงไปที่ปูนขาว ให้นักเรียนฟงเสียงที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งใช้นิ้วมือแตะที่ ก้นของบีกเกอร์ ปฏิกิริยาเคมีที่ 3 4. เทน�้าลงบนปูนขาวประมาณ 20 ลูกบาศก์เซนติเมตร น�าไปกรองสารละลายลงในขวดรูปชมพู่ สารละลายที่ได้ เรียกว่า น�้าปูนใส 5. ใช้หลอดเปาลมลงในสารละลาย สังเกตผล (คาร์บอนได ออกไซด์ที่ได้จากลมหายใจของนักเรียนมีคุณสมบัติเป็น กรดจะเข้าท�าปฏิกิริยากับน�้าปูนใส สารใหม่ที่เกิดขึ้น คือ แคลเซียมคาร์บอเนต) ภาพที ่ 5.29 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
1. จากการทดลองนักเรียนทราบได้อย่างไรว่าในแต่ละขั้นตอนมีปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้น จงอธิบาย 2. ให้นักเรียนคัดลอกแผนภาพแล้วเติมค�าลงในช่องว่างเพื่อให้ปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ ……………….
………………. ……………….
ภาพที ่ 5.30 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
3. จากการทดลองให้นักเรียนเขียนสมการแสดงการเกิดปฏิกิริยาเคมีทั้ง 3 ปฏิกิริยา
16
แนวตอบ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 5.1 (ตอ) 6. ปฏิกิริยาระหวางกรดกับคารบอเนต 1. - เมื่อเผาหินปูน หินปูนจะเปลี่ยนจากสีขาวเปนสีแดง - นําปูนขาวไปใสในบีกเกอร แลวหยดนํ้าลงบนปูนขาว เกิดปฏิกิริยาขึ้น โดย สังเกตไดจากเสียงที่เกิดขึ้นและเมื่อใชนิ้วมือแตะที่กนบีกเกอรจะรูสึกรอน - เมื่อเปาลมลงในสารละลายนํ้าปูนใส สารละลายจะขุน เนื่องจากเกิด ปฏิกิริยาระหวางแกสคารบอนไดออกไซดจากลมหายใจกับนํ้าปูนใส ไดแคลเซียมคารบอเนต นํ้าปูนใส + แกสคารบอนไดออกไซด แคลเซียมคารบอเนต 2. .............................................................................................................................. หินปูน + ความรอน ปูนขาว ...................................................................
16
นํ้าปูนใส ปูนขาว + นํ้า ........................................................
คูมือครู
3. เมื่อเผาหินปูน เกิดปฏิกิริยา ดังสมการ CaO + CO2 CaCO3 แคลเซียมคารบอเนต แคลเซียมออกไซด คารบอนไดออกไซด นําปูนขาวไปใสในบีกเกอร แลวหยดนํา้ ลงไปทีป่ นู ขาว เกิดปฏิกริ ยิ า ดังสมการ Ca(OH)2 CaO + H2O แคลเซียมออกไซด นํ้า นํ้าปูนใส เมื่อเปาลมลงในสารละลายนํ้าปูนใส เกิดปฏิกิริยา ดังสมการ CO2 H2O + CaCO3 Ca(OH)2 + นํ้าปูนใส คารบอนไดออกไซด นํ้า แคลเซียมคารบอเนต
กระตุน ความสนใจ กระตุEngage นความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุน ความสนใจ
5.2 Êารเคมี㹪ีÇิµปรШíาÇѹ ในชีวติ ประจ�าวันของคนเราจะต้องมีสารเคมีเข้ามาเกีย่ วข้องอยูเ่ สมอ เพราะผลิตภัณฑ์ตา่ งๆ ที่ใช้กนั ในแต่ละวันนัน้ ล้วนมีสารเคมีเป็นองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นยาสีฟัน ผงซักฟอก สบู่ ที่เกิดจากการน�าสารเคมีหลายชนิดมา ผสมกัน หรือแม้กระทั่งในอาหารที่รับประทานก็ล้วนมีการใส่สารเคมี เพื่อ ปรุงแต่งรส สี กลิ่น ให้ดูน่ารับประทานมากยิ่งขึ้นด้วยกันทั้งสิ้น และด้วย เหตุนี้เองจึงท�าให้คนส่วนใหญ่ละเลยเรืื่องความปลอดภัยจากสารเคมีทั้งๆ ที่ สารเคมีเป็นสิ่งที่มีทั้งคุณและโทษ หากเราใช้ไม่ถูกวิธีก็อาจน�ามาซึ่งอันตราย ถึงชีวิตได้ ดังนั้นการศึกษาท�าความเข้าใจเกี่ยวกับสารเคมีที่เราต้องสัมผัส เมือ่ ใช้ผลิตภัณฑ์ตา่ งๆ จึงเป็นสิง่ ส�าคัญทีจ่ ะช่วยให้เราทราบถึงข้อควรระวังใน การใช้ผลิตภัณฑ์ เพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม
ภาพที ่ 5.31 ตัวอย่างอาหารที่ใส่สารปรุงแต่งอาหาร ท�าให้ดูน่ารับประทานมากยิ่งขึ้น (ที่มาของภาพ : http://www.propagandamatrix. com/images/april2006)
5.2.1 ประเภทของสารเคมี ในชีวิตประจ�าวัน
สารเคมี (chemical substance) คือ สารที่ประกอบด้วยธาตุชนิด เดียวกันหรือสารประกอบจากธาตุต่างๆ รวมกันด้วยพันธะเคมี ซึ่งสารเคมีที่ เราใช้กันในชีวิตประจ�าวันสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้ 1) สำรปรุงแต่งอำหำร เป็นสารที่เติมลงไปในอาหารเพื่อปรับปรุง คุณค่าของอาหาร ทั้งยังช่วยยืดอายุการเก็บรักษาอาหาร ปรับแต่งลักษณะสี กลิ่น รส ของอาหารให้มีคุณสมบัติตามต้องการ และช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ อาหารชนิดใหม่ขึ้นมา โดยสารปรุ 1 งแต่งอาหารแบ่งออกได้ ดังนี้ 1.1) วัตถุกันเสีย คือ สารที่เติมลงไปในอาหารเพื่อปองกัน การเน่าเสียของอาหารที่จะเกิดจากเชื้อจุลินทรีย์ที่อาจปนอยู่ในอาหารนั้นๆ ปัจจุบนั วัตถุกนั เสียได้ถกู น�ามาใช้เติมลงในอาหารเกือบทุกชนิด ท�าให้สามารถ เก็บไว้ได้เป็นเวลานาน 1.2) สีผสมอาหาร คือ สารที่เติมลงไปในอาหารเพื่อแต่งสีของ อาหารให้คล้ายกับธรรมชาติ หรือเพือ่ ให้มสี สี นั สวยงามดึงดูดความสนใจของ ผู้บริโภค สีผสมอาหารที่ไม่เป็นอันตรายต้องเป็นสีที่ได้จากธรรมชาติ เช่น สีแดงจากดอกกระเจี๊ยบ สีม่วงจากดอกอัญชัน สีเขียวจากใบเตย สีเหลือง จากขมิ้น เป็นต้น ส�าหรับสีสังเคราะห์นั้นอนุญาตให้ใช้ผสมในอาหารได้ตาม สัดส่วนที่พอเหมาะและไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ 1.3) สารปรุงแตงกลิ่น รส อาหาร คือ สารที่เติมลงไปในอาหาร เพือ่ ปรุงแต่งรูป รส กลิน่ และสมบัตอิ นื่ ๆ เพือ่ ให้อาหารเหล่านัน้ น่ารับประทาน ยิ่งขึ้น มีทั้งสารที่ได้จากธรรมชาติและสารสังเคราะห์
Engage
ใหนักเรียนดูภาพในหนังสือเรียน หรือครูอาจ นําตัวอยางเคมีภัณฑที่ใชในชีวิตประจําวันมาให นักเรียนพิจารณา แลวตั้งคําถามเพื่อกระตุน ความสนใจ • นักเรียนรูจักหรือเคยเห็นผลิตภัณฑตางๆ เหลานี้หรือไม และผลิตภัณฑตางๆ เหลานี้ นําไปใชประโยชนอะไร (แนวตอบ พิจารณาจากความเห็นของนักเรียน โดยอยูในดุลพินิจของครูผูสอน) • มีสารเคมีชนิดใดบางที่นักเรียนรูจักและ ถูกนํามาใชในชีวิตประจําวัน (แนวตอบ พิจารณาจากความคิดเห็นของ นักเรียน ซึ่งนักเรียนสวนใหญอาจรูจัก ผลิตภัณฑหลายชนิด เชน สบู ยาสระผม ยาสีฟน ผงซักฟอก นํ้ายาลางหองนํ้า เปนตน) • นักเรียนคิดวามีความจําเปนหรือไม ที่นักเรียนตองรูจักสารเคมีตางๆ ที่ใช ในชีวิตประจําวัน เพราะเหตุใด (แนวตอบ นักเรียนอาจตอบวา จําเปน เพราะชวยใหสามารถเลือกใชสารเคมีได อยางถูกตอง เหมาะสม และไมเปนอันตราย ตอรางกาย)
ภาพที ่ 5.32 การใช้เครื่องสุญญากาศบรรจุอาหาร ช่วยยืดอายุการเก็บรักษาอาหารได้ (ที่มาของภาพ : http://www.img.alibaba.com/ photo)
17
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
นักเรียนคิดวาสีผสมอาหารที่ไดจากธรรมชาติและสีผสมอาหารสังเคราะห แตกตางกันอยางไร แนวตอบ สีผสมอาหารจากธรรมชาติจะสกัดไดจากสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ จึงไมเปนอันตรายตอมนุษย แตสีผสมอาหารสังเคราะหจากธาตุโลหะหนักที่ เปนอันตรายตอมนุษย ถาไดรับเขาสูรางกายในปริมาณมากเกินไป จะทําให เกิดผลเสียตอรางกายได เชน เปนพิษตอระบบทางเดินอาหาร เปนตน
นักเรียนควรรู 1 วัตถุกันเสีย คือ สารเคมีที่ใชในการถนอมอาหาร โดยอาจจะใสลงในอาหาร ดวยการพนหรือฉาบรอบๆ ผิวอาหารหรือภาชนะบรรจุ ซึง่ สารดังกลาวจะทําหนาที่ ยับยั้งหรือทําลายจุลินทรียที่ทําใหอาหารเกิดการเนาเสีย โดยแบงออกเปนกลุมใหญๆ ไดแก 1. กรดและเกลือของกรดบางชนิด 2. พาราเบน 3. ซัลเฟอรไดออกไซด 4. สารปฏิชีวนะ
มุม IT สามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับสีผสมอาหาร ไดจากเว็บไซต http://www.doae.go.th/library/html/detial/color/b1.htm คูมือครู
17
กระตุนความสนใจ Engage
สํารวจคนหา
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
Exploreนหา สํารวจค
สํารวจคนหา
Explore
ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5-6 คน เพื่อศึกษา และสืบคนขอมูลเกี่ยวกับสารเคมีในชีวิตประจําวัน แตละประเภท จากหนังสือเรียน หนา 17-20 เพื่อเตรียมนําเสนอหนาหองเรียน โดยใหแตละกลุม สุมเลือกศึกษาสารเคมีกลุมละ 1 ประเภท
อธิบายความรู
Explain
ครูและนักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็นหรือ แลกเปลี่ยนประสบการณที่เกี่ยวของกับสารเคมีใน ชีวิตประจําวัน ในประเด็นตางๆ ตอไปนี้ • สารเคมีที่ใชในชีวิตประจําวันของนักเรียน มีอะไรบาง แลวสามารถพบไดจากสิ่งใด (แนวตอบ พิจารณาจากความคิดเห็นของ นักเรียน โดยอยูในดุลพินิจของครูผูสอน เชน • วัตถุกันเสีย พบไดจากปลากระปอง บะหมี่ กึ่งสําเร็จรูป หรืออาหารที่สามารถเก็บได เปนระยะเวลานานๆ • สารปรุงแตงกลิ่นอาหาร พบไดจาก เครื่องดื่มหรือขนมขบเคี้ยวทั่วไป • สารทําความสะอาด พบไดจากผงซักฟอก และนํ้ายาความสะอาดตางๆ เปนตน) • การที่นักเรียนรับสารเคมีจากสิ่งตางๆ รอบตัว แตทําไมถึงไมสงผลเสียตอรางกาย ของนักเรียน (แนวตอบ เพราะสารเคมีที่ใชในชีวิตประจําวัน จะถูกควบคุมปริมาณ และความเขมขนมาใน ระดับหนึ่งเพื่อไมใหสงผลเสียตอมนุษย แตถา เรารับสารเคมีเหลานั้นเปนระยะเวลานานๆ อยางตอเนื่อง จะสงผลเสียตอรางกาย เชน คนที่ทํางานในรานเสริมสวยจะตองสัมผัส กับนํ้ายายอมสีผม จนเกิดความระคายเคือง ที่ผิวหนัง คนที่ทํางานกับสารเคมีที่มีกลิ่นแรง ก็จะมีปญหาในระบบทางเดินหายใจ เปนตน)
ภาพที่ 5.33 การใสสีผสมอาหารทําใหอาหารมีสีสัน นารับประทาน (ที่มาของภาพ : science matter)
ภาพที่ 5.34 มะนาวสามารถนํามาใชประโยชน โดย นํามาทําความสะอาดเครื่องโลหะ (ที่มาของภาพ : http://www.blog.fukduk.tv/)
18
EB GUIDE
นักเรียนควรรู 1 กรดอะซีติก หรือกรดนํ้าสม เปนสารประกอบที่มีอยูในนํ้าสมสายชู ใหรสเปรีย้ วและมีกลิน่ ฉุน มีฤทธิเ์ ปนกรดออน มีประโยชนในการขจัดตะกรันในทอนํา้ แตหากสูดดมไอจะกอใหเกิดการระคายเคืองตอระบบทางเดินหายใจได 2 เอทิลแอลกอฮอล หรือเอทานอล ไดจากการหมักพืชผลทางการเกษตร ใชประโยชนไดหลายดาน เชน เปนตัวทําละลาย ทําความสะอาดแผล เปนสวนผสม ในเครื่องดื่มแอลกอฮอล เปนตน 3 กรดซาลิไซลิก หรือ BHA นิยมใชเปนสวนผสมของเครื่องสําอาง มีคุณสมบัติ ที่ชวยผลัดเซลลผิว และชําระลางไขมันตามรูขุมขนได
18
คูมือครู
1. สารปรุงแตงกลิ่นอาหาร สารปรุงแตงกลิ่นอาหาร ที่ไดจากธรรมชาติ เกิดจากการสกัดนํ้ามันหอมระเหยจากพืชตางๆ เชน กลิ่นใบเตย มะลิ สม กุหลาบ เปนตน สวนสารปรุงแตงกลิ่นอาหารที่ไดจาก การสังเคราะห เกิดจากการนํากรดอนินทรียม1าทําปฏิกิริยากับแอลกอฮอล เชน กลิ่นกลวยหอมเกิดจากการนํากรดอะซีติก (acetic acid) ทําปฏิกิริยา กับเพนทิลแอลกอฮอล กลิ่นดอกนมแมว เกิดจากการนํากรดอะซีติกทํา ปฏิกิริยากับเอทิลแอลกอฮอล เปนตน 2. สารปรุงแตงรสอาหาร สารปรุงแตงรสอาหารที่ ได2 จากธรรมชาติ ทําไดโดยการนําผลไมหมักกับยีสต จะเกิดเอทิลแอลกอฮอล ซึ่งเมื่อหมักตอไปจะไดนํ้าสมสายชู สวนสารปรุงแตงรสอาหารที่ไดจากการ สังเคราะห เชน ผงชูรส (โมโนโซเดียมกลูตาเมต) ใสไปเพื่อทําใหอาหาร มีรสชาติดีขึ้น สารปรุงแตงอาหารมีประโยชนตอ อุตสาหกรรมอาหาร ชวยใหผลิตอาหารไดหลากหลาย และมีคุณภาพไดมาตรฐาน แตหากนํา มาใชอยางไมถูกตองจะทําใหเกิดอันตรายตอผูบริโ3ภคได โดยเฉพาะการนํา วัตถุที่หามใชในอาหาร เชน การนํากรดซาลิไซลิก มาใชใสอาหารจะทําให ผูที่บริโภคอาหารเขาไปเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ดังนั้นผูบริโภคควรเลือก บริโภคอาหารทีผ่ า นการแปรรูปใหนอ ยทีส่ ดุ และเลือกบริโภคแตอาหารทีผ่ ลิต ไดมาตรฐาน เพื่อปองกันอันตรายจากการใชสารปรุุงแตงอาหาร 2) สารทําความสะอาด เปนสารทีม่ คี ณ ุ สมบัติในการกําจัดสิง่ สกปรก ตลอดจนฆาเชื้อโรค โดยสารทําความสะอาด แบงตามลักษณะการเกิดได 2 ประเภท คือ 2.1) สารทําความสะอาดที่ไดจากธรรมชาติ สารชนิดนี้จะได จากพืชซึ่งเปนสารธรรมชาติโดยตรง เชน นํ้ามะนาว นํ้ามะขามเปยก เกลือ เปนตน สามารถนํามาใชประโยชนในการใชขดั เครือ่ งโลหะ ทําใหเครือ่ งโลหะ มีความแวววาวขึ้น 2.2) สารทําความสะอาดที่ ไดจากการสั งเคราะห เป นสาร ที่มนุษยสังเคราะห ไดจากสารเคมีตางๆ เชน สบู ผงซักฟอก ยาสระผม นํ้ายาลางจาน นํ้ายาลางหองนํ้า เปนตน โดยการสังเคราะหสารทําความ สะอาด เกิดจากการนําสารมาทําปฏิกริ ยิ าเคมีจนเกิดเปนสารทําความสะอาด 1. สบู เปนสารที่ใชทําความสะอาดรางกาย เนื่องจาก สบูสามารถชําระลางสิ่งสกปรกตางๆ ที่เกิดจากคราบไขมันไดดี สบูที่ดี นอกจากสามารถทําความสะอาดไดแลว ยังตองไมมีอันตรายตอผิวหนัง
http://www.aksorn.com/LC/Sci B2/M2/03
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
พิจารณาขอความตอไปนี้ ก. สารสังเคราะหสามารถเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติได ข. สารสังเคราะห คือ การลอกเลียนแบบสารจากธรรมชาติ ค. สารสังเคราะหมีประสิทธิภาพมากกวาสารจากธรรมชาติ ง. สารจากธรรมชาติมีพิษหรืออันตรายมากกวาสารสังเคราะห ขอใดกลาวถึงสารสังเคราะหไดถูกตอง 1. ก. ข. 2. ข. ค. 3. ก. ค. 4. ก. ง. วิเคราะหคําตอบ สารสังเคราะห คือ สารที่เกิดจากการสรางขึ้นโดยมนุษย ภายในหองทดลองเพื่อความตองการใชประโยชน ทําใหสารสังเคราะห มีประสิทธิภาพสูงกวาสารจากธรรมชาติ แตสารสังเคราะหบางชนิดจะมี อันตรายสูง เพราะเกิดจากการสังเคราะหของธาตุโลหะหนักที่เปนพิษตอ รางกายมนุษย ดังนั้น ตอบขอ 2.
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบายความรู ปัจจุบันมีสบู่มากมายหลายชนิดที่มีสี กลิ่น และรูปแบบที่แตกต่างกันไป สบู่บางชนิดมีสมบัติเป็นเบสอ่อนๆ บางชนิดมีสมบัติเป็นกรด บางชนิดมี องค์ประกอบของยาฆ่าเชื้อโรคผสมอยู่ และบางชนิดผสมครีมบ�ารุงผิวด้วย ซึ่งสบู่ทุกชนิดจะใช้ประโยชน์ในการท�าความสะอาดร่างกายของคนเราทั้งสิ้น
โซดา ไฟ ไขมัน
1
โซเดียมไฮดรอกไซด์
สบู่
ภาพที ่ 5.36 สบู่ ยาสระผม เป็นสิ่งที่ใช้ในการช�าระ ล้างท�าความสะอาดร่างกาย (ที่มาของภาพ : http://www.oshelf-recessdtileniche-soapdishholder.com/Pictures/glosswhite%)
ภาพที ่ 5.35 ปฏิกิริยาการเกิดสบู่ เกิดจากไขมันท�าปฏิกิริยากับเบสจะได้สบู่เป็นผลิตภัณฑ์ (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
2. ยาสระผม เป็นสารที่ ใช้ท�าความสะอาดเส้นผมได้ อย่างหมดจด โดยไม่ท�าอันตรายต่อเส้นผมและหนังศีรษะ ยาสระผมเป็น ผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในรูปของเหลว ใช้ช�าระล้างคราบไขมัน ฝุนละออง เหงื่อไคล และสิ่งสกปรกออกจากเส้นผมและหนังศีรษะได้ ทั้งนี้ยาสระผมที่ดีจะต้อง ไม่ทา� ลายไขมันตามธรรมชาติของเส้นผม มีฟองมากสม�า่ เสมอ ล้างออกง่าย และไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง 2 3. ผงซั ก ฟอก เป็ น สารท� า ความสะอาดที่ ใ ช้ ใ นการ ซักฟอกและท�าความสะอาดเส้นใยเสื้อผ้า ซึ่งผงซักฟอกจะช่วยขจัดความ สกปรกของเสื้อผ้า โดยคราบสกปรกจะละลายออกมาในน�้า และมีสารที่ช่วย ท�าให้ผ้าขาวขึ้น (bleaching agent) ซึ่งจะเข้าไปในเส้นใยของเสื้อผ้า ช่วย ให้ผ้าดูขาว สดใส ไม่หมองคล�้า 3) ยำรักษำโรค เป็นสารที่ใช้บ�าบัดหรือบรรเทาอาการเจ็บปวย ในคนและสัตว์ โดยยาที่ใช้ในชีวิตประจ�าวันมีทั้งยาชนิดเม็ดและยาชนิดน�้า ซึ่งยาเหล่านี้จะช่วยลดอาการเจ็บปวยเล็กน้อยได้ ตัวอย่างเช่น 1. ยาลดกรดประเภทไฮดรอกไซด์ ยาลดกรดชนิดนี้ ประกอบด้วยอะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์ และแมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ ซึ่ง ยาที่มีอะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์เป็นส่วนผสมจะท�าให้ท้องผูก ส่วนยาที่มี แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์จะท�าให้ระบายท้อง เช่น อะลัมมิลค์ (Alum milk) เกลูซิล (Gelusil) ไตรซิลิเกต (Tricilicate) เป็นต้น 2. ยาลดกรดประเภทคาร์ บ อเนต ยาลดกรดชนิ ด นี้ ประกอบด้ ว ยโซเดี ย มไฮโดรเจนคาร์ บ อเนตและแคลเซี ย มคาร์ บ อเนต ยาชนิดนี้จะออกฤทธิ์ได้เร็ว ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด เช่น โซดามินต์ (Sodamint) อีโน (Eno) เป็นต้น
ภาพที่ 5.37 ตัวอย่างสารท�าความสะอาดที่ใช้ใน ชีวิตประจ�าวัน (ทีที่มาของภาพ : science matter)
Explain
ใหนักเรียนแตละกลุมออกมาอภิปรายผล การศึกษา โดยใหนักเรียนแตละกลุมออกแบบวิธี การนําเสนอผลงาน เชน ใชโปสเตอรประกอบการ บรรยาย การอภิปรายเปนกลุม เปนตน จากนั้นครู ตั้งคําถามใหนักเรียนชวยกันตอบและแสดงคาม คิดเห็น • สารเคมีมีความสําคัญตอชีวิตประจําวัน อยางไร (แนวตอบ สารเคมีเขามามีบทบาทในชีวิต ประจําวันหลายดาน ทั้งดานการอุปโภค และบริโภคซึ่งลวนมีความเกี่ยวของกับวิถี การดําเนินชีวิตทั้งสิ้น ตั้งแตอาหาร ไปจน กระทั่งขาวของเครื่องใชในชีวิตประจําวัน) • สารเคมีจากธรรมชาติและสารเคมีที่ สังเคราะหขึ้น มีขอดีและขอเสียอยางไร (แนวตอบ สารเคมีธรรมชาติมีอันตรายหรือ ผลขางเคียงนอยกวา แตอาจมีประสิทธิภาพ นอยกวา ขณะที่สารเคมีสังเคราะหถูก สรางขึ้นมาเพื่อประโยชนโดยตรง จะให ประสิทธิภาพสูงกวา แตก็มีอันตราย และสารตกคางมากกวา)
ภาพที่ 5.38 ยาลดกรดสามารถบรรเทาอาการ ปวดท้องและท้องอืดได้ (ที่มาของภาพ : http://www.swiftfa.com/images/ National%20Brand%20Antacid.jpg)
19
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
นักเรียนคิดวา สารที่ไดจากธรรมชาติแตกตางจากสารสังเคราะหอยางไร แนวตอบ พิจารณาจากความเห็นของนักเรียน โดยอยูในดุลพินิจของ ครูผูสอน เชน แตกตางกันตรงที่ สารที่ไดจากธรรมชาติเกิดขึ้นเองตาม ธรรมชาติ แตสารสังเคราะหเกิดจากการที่มนุษยพยายามเลียนแบบ สารธรรมชาติ ซึ่งสารสังเคราะหจะมีความเขมขนมากกวาสารธรรมชาติ
เกร็ดแนะครู ครูอาจใหนักเรียนทดสอบสมบัติเบื้องตนของสารเคมีบางชนิด เชน สมบัติความ เปนกรด-เบส เพื่อใชเปนขอมูลประกอบการนําเสนอ และเชื่อมโยงกับประโยชนหรือ อันตรายของสารเคมีนั้นๆ
นักเรียนควรรู 1 โซเดียมไฮดรอกไซด (NaOH) ใชในการทําสบูกอน สวนโพแทสเซียม ไฮดรอกไซด (KOH) ใชในการทําสบูเหลว 2 ผงซักฟอก ผลิตครั้งแรกในประเทศเยอรมนีในชวงสงครามโลกครั้งที่ 1 เนื่องจากในขณะนั้นไขวัวและนํ้ามันพืช ซึ่งเปนวัตถุดิบสําคัญในการผลิตสบู ขาดแคลน นักวิทยาศาสตรจึงคิดคนสารสังเคราะหขึ้นมาแทนสบู คูมือครู
19
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
Exploreนหา สํารวจค
Engage
สํารวจคนหา
Explore
ใหนักเรียนศึกษาหลักการใชสารเคมีอยาง ปลอดภัย สัญลักษณแสดงประเภทของอันตรายจาก สารเคมี และวิธีการปฐมพยาบาลเมื่อไดรับอันตราย จากสารเคมี จากหนังสือเรียน หนา 20-21
อธิบายความรู
4) สำรเคมีที่ใช้ในกำรเกษตร เป็นสารที่น�ามาใช้ประโยชน์ ใน การเพาะปลูกพืช ปรับสภาพดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การ เพาะปลูก และยังช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งมีทั้งปุยเคมี และสาร ก�าจัดศัตรูพืช ตัวอย่างเช่น 1 1. ปุยยูเรีย เป็นปุยสังเคราะห์ที่น�ามาใช้กับพืช เพื่อช่วย ให้พืชเจริญเติบโตได้เร็วขึ้น ซึ่งการสังเคราะห์เกิดจากปฏิกิริยา ดังสมการ
Explain
ครูสุมนักเรียน 2-3 คน ออกมาอธิบายหลักการ ใชสารเคมีอยางปลอดภัยและวิธีการปฐมพยาบาล เบื้องตน โดยครูและนักเรียนคนอื่นๆ รวมกัน เสนอแนะเพื่อใหไดขอสรุปที่ถูกตองตรงกัน จากนั้นใหนักเรียนทําแบบวัดและบันทึกผล การเรียนรูกิจกรรมที่ 5.7
ภาพที่ 5.39 สารเคมีที่ใช้ในการเกษตร ตัวอย่าง เช่น ปุย น�ามาใส่ดินจะช่วยให้พืชเจริญเติบโตได้ดี (ทีม่ าของภาพ : http://www.millsmix.com/images/ easyfeedgroup.jpg)
ใหนกั เรียนสืบคนขอมูลเกีย่ วกับการใชสารเคมีอยางถูกตอง และปลอดภัย วิธีปองกันและแกไขอันตรายที่เกิดขึ้นจาก การใชสารเคมี แลวนําขอมูลมาเขียนในแผนภาพขางลาง ใหถูกตอง (ว 3.2 ม.2/4)
การใชสารเคมีอยางถูกตองและปลอดภัย 1. ผูใ ชควรศึกษาสมบัตขิ องสารทีจ่ ะนํามาใช รวมทั้งวิธีการเก็บรักษา กอนจะนําสาร ……………………………………………………………………………….. มาใชงาน ……………………………………………………………………………….. 2. ก อนนําสารมาใชงานควรอานฉลากให ……………………………………………………………………………….. ละเอียด เพื่อใหมีความเขาใจในวิธีการใช ……………………………………………………………………………….. สารชนิดนั้น ……………………………………………………………………………….. 3. ใช ส ารในปริ ม าณที่ เ หมาะสมและต อ ง ……………………………………………………………………………….. ไมทิ้งสารเคมีในที่สาธารณะ และควร ……………………………………………………………………………….. แยกทิ้ง ………………………………………………………………………………..
ปัจจุบันการด�าเนินชีวิตประจ�าวันของเราล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับ สารเคมีอยู่เสมอ การน�าสารเคมีมาใช้ประโยชน์อาจท�าให้เกิดผลกระทบต่อ สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ถ้าใช้สารไม่ถูกต้อง ใช้ในปริมาณมากเกินไป หรือ ไม่มีความรู้เกี่ยวกับสารที่ใช้ ดังนั้นเพื่อให้การใช้สารเคมีมีความถูกต้องและ ปลอดภัย จึงควรปฏิบัติดังนี้ 1. ผู้ใช้ควรศึกษาสมบัติของสารที่จะน�ามาใช้ ทั้งวิธีใช้ การเก็บรักษา ก่อนจะน�าสารมาใช้งาน เช่น ยาฆ่าแมลงควรเก็บไว้ให้ห่าง จากความร้อน และเก็บไว้ในที่ที่เด็กหยิบไม่ถึง เป็นต้น 2. ก่อนน�าสารมาใช้งานควรอ่านฉลากให้ละเอียด เพือ่ ให้ มีความเข้าใจในวิธีการใช้สาร 3. ใช้สารในปริมาณที่เหมาะสม และต้องไม่ทิ้งสารเคมี ในทีส่ าธารณะ ควรแยกทิง้ โดยใส่ถงุ สีนา�้ เงิน จะท�าให้เจ้าหน้าทีเ่ ก็บไปท�าลาย ได้อย่างถูกต้อง
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
10
วิธีปองกันและแกไขอันตรายที่เกิดขึ้น จากการใชสารเคมี
………………………………………………………………………………..
1.……………………………………………………………………………….. ควรรูจักสัญลักษณเกี่ยวกับสารที่เปน อันตราย ……………………………………………………………………………….. 2.……………………………………………………………………………….. ถาสารเคมีถูกผิวหนังใหรีบลางดวยนํ้า สะอาดทันที ……………………………………………………………………………….. 3. ไมควรกําจัดขยะประเภทพลาสติกโดย ……………………………………………………………………………….. การเผา เนื่องจากเกิดไอที่เปนพิษ ……………………………………………………………………………….. 4.……………………………………………………………………………….. สารประเภทโลหะ เมื่อใชแลวควรเช็ดให แหง เพื่อปองกันการเกิดสนิม ……………………………………………………………………………….. 5. ถากลืนกินสารเคมี ตองรีบนําสงแพทย ……………………………………………………………………………….. ทั น ที พร อ มทั้ ง นํ า ตั ว อย า งสารหรื อ ……………………………………………………………………………….. ฉลากไปดวยเพือ่ ใหแพทยรกั ษาไดถกู ตอง ……………………………………………………………………………….. ทันที ………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………..
ยูเรีย
5.2.2 หลักการใช้สารเคมีอย่างปลอดภัย
สารเคมี
………………………………………………………………………………..
คาร์บอนไดออกไซด์
2. ยาฆ่าแมลง เป็นสารที่น�ามาใช้ในการก�าจัดศัตรูพืช โดยการน�าสารมาผสมกับน�้าแล้วฉีดพ่นไปยังพืช จะช่วยปองกันแมลง ท�าให้ ต้นพืชสามารถเจริญเติบโตได้ดี แต่มีผลเสีย คือ อาจจะมีสารเคมีตกค้าง ในพืชและดิน ซึ่งจะส่งผลกระทบท�าให้เกิดมลพิิษกับสิ่งแวดล้อม
✓ แบบวัดฯ ใบงาน แบบฝกฯ ว�ทยาศาสตร ม.2 กิจกรรมที่ 5.7 หนวยที่ 5 ปฏิกริ ย� าเคมี กิจกรรมที่ 5.7
แอมโมเนีย
ฉบับ
เฉลย
5.2.3 สัญลักษณแสดงประเภทของอันตราย
จากสารเคมี
ภาพที่ 5.40 ก่อนที่จะใช้สารเคมีจะต้องท�าความ เข้าใจการใช้สารชนิดนั้นๆ ก่อน (ที่มาของภาพ : http://www.johnsondiversey. com)
ก่อนที่จะน�าสารเคมีมาใช้ เราจะต้องรู้จักสัญลักษณ์เกี่ยวกับสาร ทีเ่ ป็นอันตราย เพือ่ ทีจ่ ะได้หลีกเลีย่ งจากอันตรายเหล่านัน้ ตัวอย่างสัญลักษณ์ ดังแสดงในตาราง
55
20
นักเรียนควรรู 1 ปุยยูเรีย ลักษณะเปนเม็ดกลมสีขาว ละลายนํ้าไดดีมาก มีไนโตรเจนสูง รองจากปุยแอมโมเนีย ดูดความชื้นในอากาศได ซึ่งปุยจะเปลี่ยนไปอยูในรูปของ แอมโมเนียหรือไนเตรตทันทีที่สัมผัสกับความชื้น ทําใหพืชสามารถดูดซึมไดในทันที
มุม IT สามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับระดับความอันตรายของสารเคมี ไดจากเว็บไซต http://www.shawpat.or.th/news/news_detail.php?news_id=IN000054&&news_ type=1
20
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
ใหนักเรียนคิดและเสนอแนะหลักการใชสารเคมีอยางปลอดภัยขึ้นมาใหม คนละ 2 หลักการ แนวตอบ พิจารณาคําตอบของนักเรียน โดยอยูในดุลพินิจของครูผูสอน เชน ระยะเวลาในการใช ระยะหางในารใชสารเคมี การหามนําสารเคมี บางชนิดมาผสมกัน หามทิ้งสารเคมีในที่สาธารณะ เปนตน
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบExplain ายความรู
อธิบายความรู ตำรำงที่ 5.1 แสดงตัวอย่างสัญลักษณ์ประเภทของอันตรายจากสารเคมี สÑÞลÑกÉณ์
ความเปš¹อѹµรา วัตถุมีพิษ ห้ามรับประทาน การสูดดม หรือดูดซึมผ่านผิวหนัง แม้มีปริมาณเพียงเล็กน้อยจะก่อให้เกิด อันตรายต่อสุขภาพหรืออาจถึงตายได้
สารกัดกร่อน เช่น กรด เบส เป็นต้น สารเหล่านี้สามารถท�าลายเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิตและกัดกร่อน อุปกรณ์การทดลอง
1
อันตรายจากกัมมันตรังสี ควรหลีกเลี่ยง ซึ่งหากได้รับกัมมันตรังสี ในปริมาณมากและเฉียบพลันจะเสีย ชีวิตภายใน 24 ชั่วโมง แต่หากได้รับต่อเนื่องจะท�าให้เกิดโรคมะเร็งได้
Explain
ใหนักเรียนสํารวจสารเคมีในชีวิตประจําวัน โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับประเภทของการใชงาน สวนประกอบทางเคมี วิธีการใชอยางปลอดภัย และวิธีปฐมพยาบาลเบื้องตนหากเกิดอันตราย แลวสรุปเปนรายงานลงในกระดาษ A4 สงครูผสู อน
ขยายความเขาใจ
Expand
ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน แลวใหแตละกลุมชวยกันคิดคนสัญลักษณแสดง ความอันตรายจากสารเคมีขึ้นมาใหม โดยใหมีทั้ง ลักษณะของสัญลักษณและคําบรรยายสถานะของ สัญลักษณ ทําเปนใบงานสงครูผูสอน
สารที่ท�าปฏิกิริยาแล้วให้ความร้อนอย่างรวดเร็ว หรือเมื่อได้รับความร้อนในสภาวะจ�ากัดจะเกิดการ ระเบิด หรือเผาไหม้ ได้อย่างรวดเร็ว
วัตถุไวไฟ ของเหลว และแก๊สที่ไวไฟในอากาศที่อุณหภูมิและความดันปกติ
5.2.4 วิธีปฐมพยาบาลเมื่อได้รับอันตรายจากสารเคมี
เมื่อมีผู้ได้รับอันตรายจากการใช้สารเคมี เราจะมีวิธีการช่วยเหลือ ดังนี้ 1. สารเคมีถูกผิวหนัง ให้ล้างบริเวณนั้นด้วยน�้ามากๆ เพื่อไม่ให้สารมีโอกาสท�าลายเซลล์ 2 หรือซึม เข้าผิวหนัง ถ้าสารนัน้ เป็นกรดให้ลา้ งด้วยสารทีเ่ ป็นเบสอ่อน เช่น สารละลายโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต (NaHCO3) แต่ถ้าสารนั้นเป็นเบสให้ล้างด้วยสารที่เป็นกรดอ่อน เช่น สารละลายกรดแอซิติก เป็นต้น 2. สารเข้าตา ให้รีบล้างตาด้วยน�้าสะอาดทันที แล้วล้างด้วยน�้ายาล้างตา ถ้ายังไม่หายระคายเคือง ให้น�าส่งแพทย์ 3. สูดดมไอของสาร เมื่อสูดไอของสารเคมีจนรู้สึกวิงเวียน คลื่นไส้ ปวดศีรษะ ให้รีบออกไปในที่ที่ มีอากาศบริสุทธิ์ กรณีได้รับสารเข้าร่างกายปริมาณมากและหมดสติ ต้องใช้วิธีการผายปอด หรือใช้เครื่องช่วยหายใจ และน�าไปส่งแพทย์ทันที 4. การกลืนกินสารเคมี ต้องรีบน�าส่งแพทย์ทันที พร้อมทั้งน�าตัวอย่างสารหรือฉลากไปด้วยเพื่อ ให้แพทย์ได้ให้การรักษาได้ถูกต้องทันที 21
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T ในการปฐมพยาบาลเมื่อไดรับอันตรายจากสารเคมี ถาผิวหนังสัมผัสกับ สารที่เปนกรด เพราะเหตุใดถึงตองลางดวยสารมีฤทธิ์เปนเบส แนวตอบ เบส (pH > 7) เมื่อทําปฏิกิริยากับกรด (pH < 7) จะไดสาร ที่เปนกลางขึ้น (pH = 7) ทําใหความเปนพิษตอรางกายลดนอยลง)
บูรณาการเชื่อมสาระ
นักเรียนควรรู 1 กัมมันตรังสี หรือธาตุกัมมันตรังสี หมายถึง ธาตุที่สามารถแผรังสีได เนื่องจากนิวเคลียสไมเสถียร โดยที่ธาตุดังกลาวจะแผรังสีอยางตอเนื่อง ซึ่งเปน อันตรายตอสิ่งมีชีวิต 2 โซเดียมไฮโดรเจนคารบอเนต เรียกอีกอยางหนึ่งวาโซเดียมไบคารบอเนต เปนผงสีขาว ใชประโยชนไดหลายดาน เชน ผสมในขนมทําใหขนมฟู ใชปรับสภาพ นํ้าในสระหรือตูปลา เปนตน
เนื้อหาเรื่อง การปฐมพยามบาลเมื่อไดรับอันตรายจากสารเคมี สามารถ นําไปบูรณาการเชื่อมกับกลุมสาระการเรียนรูสุขศึกษาและพลศึกษา วิชาสุขศึกษา เรื่องการปฐมพยาบาล
คูมือครู
21
กระตุนความสนใจ Engage
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
Exploreนหา สํารวจค
สํารวจคนหา
Explore
ใหนักเรียนอานทบทวนเรื่อง สารเคมีในชีวิต ประจําวันจากหนังสือเรียน หนา 17-21 แลวสรุป สาระสําคัญเปนแผนผังความคิด และปฏิบัติ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 5.2
อธิบายความรู
Explain
ใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 5.2 และศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ สารเคมีที่ใชในชีวิตประจําวันวามีอะไรบาง และมีวิธีการใชประโยชนอยางไร
ขยายความเขาใจ
อธิบExplain ายความรู
Expand
ใหนักเรียนกลุมเดิมที่ปฏิบัติกิจกรรมพัฒนา ทักษะวิทยาศาสตร 5.2 ทํากิจกรรมเพิ่มเติม โดยให นักเรียนแตละกลุมทําแบบสํารวจตามบานเรือน เกี่ยวกับประเภทของสารเคมีในชีวิตประจําวันวา แตละครัวเรือนมีสารเคมีประเภทใดบาง และใช ประโยชนจากสารนั้นอยางไรบาง บันทึกผลพรอมทั้ง สรุปผลการสํารวจสงครูผูสอน
กิจกรรม
พั ฒ นาทั ก ษะ วิทยาศาสตร์
5.2
1 สารเคมี ในชีวิตประจําวัน ในชีวิตประจ�าวันของเราจะต้องเกี่ยวข้องกับสารเคมีหลายชนิด ทั้งการอุปโภค และบริโภคเนื่องจากปจจุบัน ผลิตภัณฑ์ตา่ งๆ ล้วนแต่มสี ารเคมีเป็นองค์ประกอบเกือบทุกชนิดไม่วา่ จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ ใช้สว่ นบุคคล ผลิตภัณฑ์ทา� ความ สะอาดห้องน�้า ผลิตภัณฑ์ที่ ใช้ ในห้องครัว ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะมีทั้งคุณและโทษ ดังนั้นเราต้องศึกษาท�าความเข้าใจ เกี่ยวกับการใช้สารเคมี ในชีวิตประจ�าวัน เพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม จุดประสงค์ : เพื่อศึกษาการใช้สารเคมี ในชีวิตประจําวัน ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3-4 คน ส�ารวจ สืบค้น และร่วมกันอภิปรายในประเด็นต่อไปนี้ 1. การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีเป็นองค์ประกอบในชีวิตประจ�าวันของนักเรียน 2. หลักการใช้สารเคมีอย่างถูกต้องและปลอดภัย 3. การก�าหนดสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายเพื่อเตือนภัยจากสารเคมี 4. ผลกระทบที่เกิดจากการใช้สารเคมี ในชีวิตประจ�าวันต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม 5. แนวทางในการปองกัน แก้ ไขอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้สารเคมี ในชีวิตประจ�าวันต่อสิ่งมีชีวิตและ สิ่งแวดล้อม 6. รายงานการศึกษาค้นคว้าของแต่ละกลุ่มหน้าชั้นเรียน
ภาพที ่ 5.41 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
22
นักเรียนควรรู 1 สารเคมีในชีวิตประจําวัน คนเราจะมีความเกี่ยวของกับสารเคมีหลายชนิด สารที่ใชในชีวิตประจําวันจะมีสารเคมีเปนนองคประกอบ ซึ่งสามารถจําแนกเปน สารสังคราะเหและสารธรรมชาติ เชน สารปรุแตงอาหาร เครื่องดื่ม สารทําความ สะอาด สารจํากัดแมลง และสารกําจัดศัตรูพืช เครื่องสําอาง เปนตน
มุม IT สามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑทําความสะอาดไดจากเว็บไซต http://th.wikipedia.org/wiki/หมวดหมู : ผลิตภัณฑทําความสะอาด สามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑที่เปนสารเคมีที่มีการใชในครัวเรือน ไดจากเว็บไซต http://edtech.ipst.ac.th/index.php/2011-07-29-04-02-00/201108-09-07-26-40/18-2011-08-09-06-29-06/378-2012-07-09-02-55-06
22
คูมือครู
กิจกรรมสรางเสริม ใหนักเรียนรวมกันจัดอันดับสารเคมีที่มีการใชสอยตามบานเรือน จาก แบบสํารวจที่นักเรียนไดสํารวจไปในขั้นขยายความเขาใจ พรอมทั้งทําสื่อ การนําเสนอในรูปแบบที่นาสนใจมานําเสนอหนาชั้นเรียน
กิจกรรมทาทาย ใหนักเรียนบอกวิธีการปองกันอันตรายจากสารเคมีที่ใชในชีวิตประจําวัน อยางนอย คนละ 3 ตัวอยาง จากผลิตภัณฑตางๆ ที่ใชกันในปจจุบัน เชน ผงซักฟอก ยาสระผม เครื่องสําอาง อาหารสําเร็จรูป เปนตน
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
กิจกรรม
สร้างสรรค์พัฒนาประจ�าหน่วยการเรียนรู้ที่
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
ขยายความเขาใจ
5
การลดอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี บางครั้งนักเรียนอาจจะต้องการลดอัตราเร็วของการเกิดปฏิกิริยาลง ตัวอย่างเช่น การน�าสารหลายชนิด ใส่ลงในอาหารเพื่อท�าให้อาหารเน่าเสียช้าลง สารเหล่านี้จะไปลดกระบวนการต่างๆ ภายในเซลล์ที่เกิดจากเชื้อจุลินทรีย์ หลายชนิด ซึ่งตัวอย่างอาหารที่ผ่านกระบวนการลดอัตราการเกิดปฏิกิริยา เพื่อยืดอายุการเก็บของอาหาร ดังแสดง ในภาพข้างล่างนี้
Expand
ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายทบทวน เกี่ยวกับปจจัยที่มีผลตออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี โดยครูอาจตั้งคําถามใหนักเรียนชวยกันตอบและ แสดงความคิดเห็น ตัวอยางเชน • หากนักเรียนตองการเก็บอาหารไว รับประทานไดนานๆ จะมีวิธีการอยางไร (แนวตอบ ใชการถนอมอาหาร เชน การหมัก การดอง การตากแหง เปนตน) จากนั้นใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5-6 คน ปฏิบัติกิจกรรมสรางสรรคพัฒนาประจําหนวย การเรียนรูที่ 5
การถนอมผลไม้โดยการเชื่อม
การถนอมเนื้อปลาด้วยเกลือ ภาพที ่ 5.42 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
การถนอมผัก เช่ เช่น แตงกวา ด้ แตงกวา ด้วยน�้าส้มสายชู
จุดประสงค์ : เพื่อศึกษาการลดอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี อุปกรณ์ 1. แอปเปิล 2. เกลือ 3. น�้าเชื่อม 4. น�้าส้มสายชู
วิธีการทดลอง 1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มๆ ละ 4 คน 2. นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันวางแผนการตรวจสอบเพื่อทดสอบสมมติฐานที่ว่า สารแต่ละชนิดในตัวอย่างข้างบน งบน สามารถลดอัตราเร็วของการเกิดปฏิกิริยาของแอปเปิลลงได้
1. เขียนแผนการตรวจสอบเพื่อทดสอบสมมติฐานของแต่ละกลุ กลุ่มลงในสมุดของนักเรียน 2. ให้แต่ละกลุ่มทดลองตามแผนของแต่ละกลุ่มที่วางไว้ เพื่อศึกษา • มีตัวแปรอะไรบ้างที่ท�าให้เกิดปฏิกิริยาเคมี • การควบคุมตัวแปรดังกล่าวท�าได้อย่างไร 3. รายงานผลการทดลองของแต่ละกลุ่มหน้าชั้นเรียน 23
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
ปจจัยใดบางที่มีผลทําใหมีการลดอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีลงได
แนวตอบ สามารถลดอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ไดดังนี้ • สารตั้งตน จะขึ้นอยูกับสมบัติของสารตั้งตนแตละชนิด และการเจือจาง หรือลดความเขมขนของสารตัง้ ตน ทําใหความหนาแนนของอนุภาคสารตัง้ ตน นอยลง • อุณหภูมิ โดยการลดอุณหภูมิขณะที่เกิดปฏิกิริยาเคมีลง ซึ่งเหมือนกับ เปนการลดพลังงานในการเกิดปฏิกิริยาลง • พื้นที่ผิวของสาร ถาสารตั้งตนเปนของแข็งสามารถลดอัตราการเกิด ปฏิกิริยาได โดยการลดพื้นที่ผิวของสารตั้งตนที่จะสัมผัสกับสารเคมี • ตัวหนวงปฏิกิริยา เปนสารที่จะทําใหเกิดปฏิกิริยาเคมีไดชาลงหรืออาจ จะหยุดการเกิดปฏิกิริยาเคมีขณะนั้น)
แนวตอบ กิจกรรมสรางสรรคพัฒนาประจําหนวยการเรียนรูที่ 5 1. พิจารณาจากคําตอบของนักเรียน โดยอยูในดุลพินิจของครูผูสอน ตัวอยางเชน 1. เตรียมสารละลายนํ้าเกลือ นํ้าเชื่อม นํ้าสมสายชู ในบีกเกอร 2. หั่นแอปเปล 4 ชิ้น ใสลงในบีกเกอร บีกเกอรละ 1 ชิ้น สวนชิ้นที่เหลือ วางไวบนจาน 3. สังเกตการเปลี่ยนแปลงของแอปเปลทุกๆ 10 นาที จนครบ 30 นาที บันทึกผลที่เกิดขึ้น 2. จากตัวอยางที่ 1. ตัวแปรที่ทําใหเกิดปฏิกิริยา คือ อากาศ ซึ่งการควบคุม ตัวแปรดังกลาวทําไดโดยการใสแอปเปลลงไปในสารละลายที่เตรียมไว เพื่อลดอัตราการเกิดปฏิกิริยาในแอปเปล 3. พิจารณาจากคําตอบของนักเรียน โดยอยูในดุลพินิจของครูผูสอน
คูมือครู
23
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
Engage
Explore
Explain
Expand
ตรวจสอบผล
Evaluate
ครูตั้งคําถามที่เชื่อมโยงกับขอความในสรุป ทบทวนประจําหนวยการเรียนรูที่ 5 เพื่อทดสอบ ความเขาใจของนักเรียน จากนั้นใหนักเรียนอาน สรุปทบทวนเพื่อชวยในการจดจําสาระสําคัญตางๆ ที่ไดเรียนมา
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู 1. แบบบันทึกผลการปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 2. แบบบันทึกผลการปฏิบัติกิจกรรมสรางสรรค พัฒนาประจําหนวยการเรียนรูที่ 5 3. สมุดบันทึกการเขียนสมการเคมีแสดงการเกิด ปฏิกิริยาเคมีตางๆ 4. แผนผังความคิดเรื่อง สารเคมีในชีวิตประจําวัน 5. แบบบันทึกการสํารวจเรื่อง สารเคมีในชีวิต ประจําวัน
ตรวจสอบผล Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate
สรุปทบทวน
ประจ�าหน่วยการเรียนรู้ที่ ■
(product)
5
ปฏิกิริยำเคมี คือ ปฏิกิริยาที่เกิดจากสารตั้งต้น (reactant) ท�าปฏิกิริยาเคมีกัน จนได้สารผลิตภัณฑ์
ปฏิกริ ยิ ำเคมีจะประกอบด้วยขอบเขตในกำรศึกษำ ซึง่ จะมีการแบ่งได้เป็นระบบ (system) และสิง่ แวดล้อม (surrounding) ■ ระบบ สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ ระบบเปิด ระบบปิด และระบบอิสระ ■ ในกำรเกิดปฏิกริ ย ิ ำเคมี จะต้องมีการเปลีย่ นแปลงเกิดขึน้ เสมอ ซึง่ ปฏิกริ ยิ าเคมีจะมีทงั้ ปฏิกริ ยิ าดูดความร้อน (endothermic reaction) และปฏิกิริยาคายความร้อน (exothermic reaction) ■ สมกำรเคมี คือ สมการที่ใช้เขียนแทนปฏิกิริยาเคมีโดยสมการเคมีจะแสดงการเกิดปฏิกิริยาเคมีของสาร ■ กำรเกิดปฏิกร ิ ยิ ำเคมี บางปฏิกริ ยิ าจะเกิดขึน้ ได้เร็ว ในขณะทีบ่ างปฏิกริ ยิ าจะเกิดขึน้ ได้ชา้ ซึง่ ปัจจัยทีม่ ผี ล ต่อปฏิกริ ยิ าเคมี มีดงั นี ้ สมบัตขิ องสารตัง้ ต้น อุณหภูม ิ พืน้ ทีผ่ วิ ของสารทีท่ า� ปฏิกริ ยิ า ความเข้มข้นของสารตัง้ ต้น ตัวเร่งและตัวหน่วงปฏิกิริยา ■ ในชีวิตประจ�ำวันสำมำรถพบปฏิกิริยำเคมีได้ เช่น ปฏิกิริยาการเผาไหม้ ปฏิกิริยาการเกิดสนิมของเหล็ก ปฏิกิริยาของกรดกับหินปูน เป็นต้น ■ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เกิดจากปฏิกิริยาเคมี เช่น ฝนกรด ปรากฏการณ์เรือนกระจก เป็นต้น ■ สำรเคมีในชีวิตประจ�ำวัน จะแบ่งได้เป็น 4 ประเภท คือ สารปรุงแต่งอาหาร สารท�าความสะอาด ยารักษา โรค และสารเคมีที่ใช้ในการเกษตร ■ กำรใช้สำรเคมี ผู้ใช้จะต้องมีการศึกษาวิธีการใช้ และอ่านฉลากให้ละเอียด เพื่อจะได้ไม่เกิดอันตราย ต่อตัวผู้ใช้ ■ วิธก ี ำรปฐมพยำบำลเบื ลเบือ้ งต้น เมื เมือ่ มีผไู้ ด้รบั อันตรายจากการใช้สารเคมี เราจะต้องท�าการช่วยเหลืออย่างทันที ตัวอย่างเช่น เมื เมือ่ สารเคมีเข้าตาจะต้องรีบล้างตาให้สะอาด ถ้ ะอาด ถ้ายังไม่ดขี นึ้ ให้นา� ส่งแพทย์ทนั ที ซึง่ ผูท้ ี่ให้การช่วยจะต้อง เรียนรู้วิธีการปฐมพยาบาลอย่างถูกวิธี ■
24
เกร็ดแนะครู เมื่อจบการเรียนการสอนในหนวยการเรียนรูที่ 5 แลว ครูอาจใหนักเรียนเขียน สรุปเนื้อหาสาระสําคัญทั้งหมดที่ไดเรียนไปในหนวยการเรียนรูที่ 5 ออกมาเปน แผนผังความคิดในรูปแบบที่งายตอการเขาใจ แลวนําสงครูเพื่อตรวจสอบความ เขาใจของนักเรียนอีกครั้งหนึ่ง และนักเรียนสามารถนําแผนผังความคิดนี้ไปใช อานประกอบเพื่อเตรียมตัวสอบในเรื่อง ปฏิกิริยาเคมีได
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
จงพิจารณาสมการเคมีตอไปนี้ CaSO4 + CO2 + H2O H2SO4 + X จากสมการ X คือสารใด 1. O2 2. HCl 3. CaCO3 4. NaOH CaSO4 + CO2 + H2O วิเคราะหคําตอบ จากสมการ H2SO4 + X ผลิตภัณฑมีธาตุแคลเซียม (Ca) ดังนั้นสารตั้งตนตองเปนสารประกอบ ที่มีธาตุแคลเซียมอยูดวยเชนกัน และจากตัวเลือก 4 ขอ มีเพียง CaCO3 เทานั้นที่มีธาตุแคลเซียมเปนองคประกอบ ดังนั้น ตอบขอ 3.
24
คูมือครู