คูมือครู 㪌»ÃСͺ¡ÒÃÊ͹ËÇÁ¡Ñº
˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ©ºÑº Í- .
·Õè ȸ. ¨Ð»ÃСÒÈÃÒ¡Òú¹àÇçºä«µ µÑé§áµ‹ Á. ¤. ’55 ໚¹µŒ¹ä»
ภาพปกนี้มีขนาดเทากับหนังสือเรียนฉบับจริงของนักเรียน
เอกสารประกอบคูมือครู
กลุมสาระการเรียนรู ภาษาไทย
รายวิชา
หลักภาษา และการใชภาษา
ู ร ค หรับ
สํา
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ เอกสารหลักสูตรแกนกลางฯ ’51 ประกอบดวย ● ● ● ● ●
คําแนะนําการใชคูมือครู แถบสี/สัญลักษณที่ใชสื่อความหมายในคูมือครู ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง คําอธิบายรายวิชา ตารางวิเคราะหเนื้อหากับมาตรฐานการเรียนรู และตัวชี้วัด
ตารางแสดงความแตกตางระหวาง “ คูมือครู ” กับ “ หนังสือเรียน * ” ความแตกตาง
ขนาดตัวอักษร ปกดานหลัง ระบบการจัดพิมพ สวนเสริมดานหนา
คูมือครู ยอลงจากปกติ 20%
พิมพ 4 สี มี เอกสารหลักสูตร คําอธิบายรายวิชา มี กิจกรรมแบบ 5E ความรูเสริมสําหรับครู พิมพสอดแทรกไวตลอดทั้งเลม ●
หนังสือเรียน ขนาดปกติ 100% : ตัวอักษรใหญกวา ที่พิมพในคูมือครูนี้ มีใบอนุญาต/ใบประกันคุณภาพ พิมพ 4 สี
-
●
เนื้อหาในเลม
● ●
* ที่ ศธ. อนุญาตใหโรงเรียนใชได
มีเฉพาะเนื้อหาสาระตามที่ ศธ. อนุญาตฯ/สนพ.ประกันคุณภาพ
3
คําแนะนําการใชคูมือครู
: การจัดการเรียนรูสูหองเรียนคุณภาพ
คูมือครู ภาษาไทย ม.3 จัดทําขึ้นเพื่ออํานวยความสะดวกแกครูผูสอนในการวางแผนและเตรียมการสอน โดยใชหนังสือเรียน ภาษาไทย ม.3 ของบริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด เปนสื่อหลัก (Core Material) เสร�ม ประกอบการออกแบบกิจกรรมการเรียนรูใหสอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดกลุมสาระการเรียนรู 2 ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 โดยจัดทําตามหลักการสําคัญ ดังนี้
1. ออกแบบการสอนเปนหนวยการเรียนรูอิงมาตรฐาน
คูมือครู ภาษาไทย หลักภาษาและการใชภาษา ม.3 จัดทําเปนหนวยการเรียนรูตามลําดับสาระการเรียนรู ที่ระบุไวในมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด แตละหนวยจะกําหนดเปาหมายการสอนและจุดประสงคการเรียนรู (Objective Learning) กิจกรรมการเรียนรู (Learning Activities) และแนวทางการประเมินผลการเรียนรู (Learning Evaluation)ไวชัดเจน ครูผูสอนสามารถจัดทําแผนการสอนใหครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดที่เปน เปาหมายการเรียนรูของแตละหนวยการเรียนรู (ตามแผนภูมิ) และสามารถบันทึกผลการจัดการเรียนการสอนได อยางมั่นใจ
นรู
สภ
าพ
ผู
จุดป
น
ระส
เรีย
งค
ก
รีย า รเ
มาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัดชั้นป
ทักษะการคิด การวัดประเมินผล การเรียนรู
กิจกรรมการเรียนรู
เทคนิคการสอน
แผนภูมิแสดงองคประกอบของการออกแบบการเรียนรูอิงมาตรฐานและเนนผูเรียนเปนสําคัญ
2. การจัดการเรียนรูที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ
แนวคิดในการจัดการเรียนการสอนที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ พัฒนามาจากปรัชญาและทฤษฎีการเรียนรู Constructivism ที่เชื่อวาการเรียนรูเปนกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในสมองของผูเรียนแตละคน ผูเรียนเปนผูสราง ความรูโดยการเชื่อมโยงระหวางสิ่งที่ไดพบเห็นกับความรูหรือประสบการณเดิมที่มีอยู คูม อื ครู
ทฤษฎีนี้มีความเชื่อวา นักเรียนทุกคนไดเรียนรูและมีความรูความเขาใจสิ่งตางๆ ติดตัวมากอนที่จะเขาสู หองเรียน ซึง่ เปนการเรียนรูท เี่ กิดจากบริบทและสิง่ แวดลอมรอบตัวนักเรียนแตละคน ดังนัน้ การจัดกระบวนการเรียนรู เสร�ม ในแตละบทเรียน ผูสอนจะตองคํานึงถึง
3
1) ความรูเดิมของนักเรียน การสอนที่ดีจึงตองเริ่มตนจากจุดที่วา นักเรียนมีความรูอะไรมาบาง แลวจึงให ความรูห รือประสบการณใหมเพือ่ ตอยอด จากความรูเดิม
2) ความรูเ ดิมของนักเรียนถูกตอง หรือไม ผูสอนตองปรับเปลี่ยนความรู ความเขาใจเดิมของนักเรียนใหถูกตอง และเปนพฤติกรรมการเรียนรูใหมที่มี คุณคาตอนักเรียน เพื่อสรางเจตคติหรือ ทัศนคติที่ดีตอการเรียน
3) นั ก เรี ย นสร า งความหมาย สําหรับตนเอง ผูสอนตองสงเสริมให นักเรียนนําขอมูลความรูที่ไดไปลงมือ ปฏิ บั ติ และประยุ ก ต ใ ช ค วามรู อ ย า ง ถู ก ต อ ง ในบริ บ ทที่ เ ป น จริ ง ของชี วิ ต นักเรียน เพื่อขยายความรูใหลึกซึ้งและ มีคุณคาตอตัวนักเรียนมากที่สุด
แนวคิด Constructivism เนนใหผูเรียนสรางความรูโดยผานกระบวนการคิดและความอยากรูของตนเอง โดยมีผูสอนเปนผูสรางบรรยากาศการเรียนรูและกระตุนความสนใจ คอยจัดสถานการณใหผูเรียนเกิดความ ขัดแยงทางความคิดระหวางประสบการณเดิมกับประสบการณความรูใหม ผูเรียนจะพยายามปรับขอมูลใหม กับประสบการณที่มีมอี ยูเดิม แลวสรางเปนความรูใหมหรือแนวคิดใหมๆ ไดดวยตนเอง
3. การบูรณาการกระบวนการคิด
การเรียนรูข องนักเรียนแตละคนจะเกิดขึน้ ทีส่ มอง ซึง่ ทําหนาทีร่ คู ดิ ภายใตสภาพแวดลอมทีเ่ อือ้ อํานวยและได รับการกระตนุ จูงใจอยางเหมาะสมสอดคลองกับสภาพจิตใจและความตองการของนักเรียน การจัดกระบวนการเรียนรู และสาระการเรียนรูท มี่ คี วามหมายตอผูเ รียน จะชวยกระตนุ ใหสมองรับรูแ ละสามารถเรียนรูไ ดอยางมีประสิทธิภาพ ตามขั้นตอนการทํางานของสมอง ดังนี้ 1) สมองจะเรียนรูและสืบคนโดย 2) สมองจะแยกแยะคุ ณค าของ การสังเกต คนหา ซักถาม และทดลอง สิง่ ตางๆ โดยการลงมติ ตัดสินใจ วิพากษ ปฏิบัติ จนคนพบความรูความเขาใจได วิจารณ แสดงความคิดเห็น ยอมรับหรือ อยางรวดเร็ว ตอตานตามอารมณความรูสึกที่เกิดขึ้น ในขณะที่เรียนรู
3) สมองจะประมวลเนื้อหาสาระ โดยการสรุปเปนความคิดรวบยอดจาก เรื่องราวที่ไดเรียนรูใหมนําไปผสมผสาน กับความรูหรือประสบการณเดิมที่ถูกจัด เก็บอยูในสมอง ผานการกลั่นกรองเพื่อ สังเคราะหเปนความรูความเขาใจใหมๆ หรือเปนเหตุผลทัศนคติใหมที่จะฝงแนน ในสมองของผูเรียน คูม อื ครู
เสร�ม
การเรียนรูที่มีประสิทธิภาพจึงตองเปนการเรียนรูที่เกิดจากกระบวนการคิดของผูเรียน เพราะการเรียนรูจะ เกิดขึ้นเมื่อสมองรูคิด และตองเปนการคิดไดครบถวนตามขั้นตอนการทํางานของสมองผูเรียน โดยเริ่มตนจาก
4
1) ระดับการคิดขั้นพื้นฐาน ไดแก 2) ระดับลักษณะการคิด ไดแก 3) ระดับกระบวนการคิด ไดแก การสังเกต การจําแนก การคาดคะเน การคิดกวาง คิดลึกซึ้ง คิดหลากหลาย กระบวนการคิ ด อย า งมี วิ จ ารณญาณ การสื่อความหมาย การรวบรวมขอมูล คิดไกล คิดคลอง คิดอยางมีเหตุผล กระบวนการแกปญหา กระบวนการคิด การสรุปผล เปนตน เปนตน สรางสรรค กระบวนการคิดสังเคราะห วิจัย เปนตน
4. การบูรณาการกระบวนการเรียนรูพื้นฐานอาชีพ
กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายสงเสริมการเรียนพื้นฐานอาชีพในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อเสริมสราง ทักษะที่จําเปนสําหรับการประกอบอาชีพ และดํารงชีวิตในสังคมทองถิ่นของผูเรียนอยางมีความสุข และเปนการ เตรียมความพรอมดานกําลังคนใหมีทักษะพื้นฐาน และศักยภาพในการทํางานเพื่อการแขงขันและกาวสูประชาคม อาเซียนหรือประชาคมโลกตอไป 4.1 ทักษะพื้นฐานเพื่อการประกอบอาชีพ การจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาผูเรียนในรายวิชาพื้นฐาน ทุกกลุมสาระการเรียนรูและทุกระดับชั้นเรียน ผูสอนควรบูรณาการประสบการณ เรียนรูพื้นฐานอาชีพควบคู ไปกับการเรียนการสอนดานวิชาการ โดยฝกทักษะสําคัญตามที่สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (สวก.) สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เสนอแนะไว ดังนี้ 1. ฝกทักษะกระบวนการคิด มีการวางแผนตลอดแนว เพื่อศึกษาขอมูลอาชีพ 2. ฝกการตัดสินใจอยางเปนระบบ โดยใชขอมูลจากการศึกษา คนควา แหลงเรียนรูในชุมชน เพื่อลด ความเสี่ยงในการลงทุน และเพิ่มความมั่นใจเรื่องการตลาด 3. ฝกกระบวนการวางแผน การผลิตและการจัดจําหนายโดยนักเรียนคิดตนทุน กําไร ดวยตนเอง 4. ฝกการเรียนรูเรื่องคุณธรรม จริยธรรม ดานการประกอบอาชีพ และการทํางานกลุมโดยมีจิตอาสา เพื่อสวนรวม 5. ฝกการทํางานอยางมีประสิทธิภาพ มีการประเมินผล ปรับปรุง พัฒนา และสรางสรรคตอ ยอดผลผลิต 6. ฝกการเสริมสรางความเชื่อมั่น ความเพียรพยายาม เห็นคุณคาและภาคภูมิใจในตนเอง (Self Esteem) ในการประกอบอาชีพ และเจตคติในพื้นฐานทางอาชีพ การจัดการเรียนการสอนทีใ่ หผเู รียนไดลงมือปฏิบตั ทิ กั ษะดังกลาว จะชวยใหผเู รียนไดรบั ประสบการณจริง มีทักษะ ความสามารถ และความชํานาญในการทํางานที่จะใชในการประกอบอาชีพและเปนแรงงานที่มีคุณภาพ เขาสูตลาดแรงงานในอนาคต
คูม อื ครู
4.2 การจัดกระบวนการเรียนรูพื้นฐานอาชีพ การจัดกระบวนการเรียนรูมีความสําคัญอยางยิ่งที่จะชวยให นักเรียนมีการพัฒนาทั้งดานความรู ทักษะ และคุณลักษณะตามเปาหมายของหลักสูตร การพัฒนาผูเรียน ดานทักษะพื้นฐานอาชีพตองอาศัยกระบวนการเรียนรูที่หลากหลายเปนเครื่องมือที่จะนําไปสูคุณภาพที่ตองการ เสร�ม เทคนิควิธีการตางๆ ที่ผูสอนจะตองพิจารณาใหเหมาะสมกับเนื้อหาวิชาและวัยของผูเรียน โดยใหความสําคัญกับ 5 การฝกปฏิบัติ และเนนการวัดประเมินผลจากการปฎิบัติตามสภาพจริง ดวยวิธีการที่จัดกิจกรรมการบูรณาการ ใหเหมาะสมกับวัยและระดับชั้นของผูเรียน สอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรู และตัวชี้วัดของกลุมสาระตางๆ ที่กําหนดไวในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 การวิเคราะหมาตรฐานและตัวชี้วัดที่จะนําไป จัดเนื้อหาความรูและทักษะ เพื่อพัฒนาผูเรียนดานพื้นฐานอาชีพ ดังตัวอยางตอไปนี้ 1. กลุมสาระการเรียนรูภาษาไทย กลมุ สาระการเรียนรูภ าษาไทยมุง เนนการพัฒนาใหผเู รียนมีความรูค วามสามารถในการใชภาษาไทย เพื่อการสื่อสาร เปนเครื่องมือในการเรียนรู การแสวงหาความรูและประสบการณตางๆ เพื่อพัฒนาความรู กระบวนการคิดวิเคราะห วิจารณ และสรางสรรคใหทันตอการเปลี่ยนแปลงของสังคม และความกาวหนาทาง วิทยาศาสตร เทคโนโลยี จึงเปนกลุมสาระการเรียนรูที่เปนทักษะพื้นฐานการประกอบอาชีพทุกอาชีพ ตัวชี้วัดที่ สามารถนํามาพัฒนาทักษะอาชีพ เชน ท 2.1 ม.1/8 เขียนรายงานการศึกษาคนควาและโครงงาน ท 1.1 ม.4-6/8 สังเคราะหความรูจากการอานสื่อสิ่งพิมพ สื่ออิเล็กทรอนิกส และแหลงเรียนรู ตางๆ มาพัฒนาตน พัฒนาการเรียน และพัฒนาความรูทางอาชีพ ท 2.1 ม.4-6/4 ผลิตงานเขียนของตนเองในรูปแบบตางๆ ท 2.1 ม.4-6/5 ประเมินงานเขียนของผูอื่น แลวนํามาพัฒนางานเขียนของตนเอง การจัดการเรียนการสอนตามตัวชี้วัดดังกลาวขางตน จะเปนทักษะพื้นฐานของการนําไปสูอาชีพ ทุกอาชีพ และเปนการปูทางไปสูอาชีพเฉพาะเกี่ยวกับการเขียน เชน นักเขียน นักประพันธ นักหนังสือพิมพ นักวิจารณ เปนตน 2. กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรมุงเนนการพัฒนาผูเรียนในการเชื่อมโยงความรูกับกระบวนการ มีทักษะสําคัญในการคนควาและสรางองคความรู พัฒนาวิธีการคิด ทั้งความคิดที่เปนเหตุเปนผล คิดสรางสรรค คิดวิเคราะห วิจารณ โดยใชกระบวนการในการสืบเสาะหาความรู การแกปญหาที่หลากหลาย เพื่อใหมีความรู ความเขาใจในธรรมชาติและเทคโนโลยี นําความรูไปใชอยางมีเหตุผล มีคุณธรรม และอยูในสังคมแหงการเรียนรู ไดอยางเหมาะสม โดยมีมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดที่เปนพื้นฐานของการประกอบอาชีพตางๆ มากมาย เชน
คูม อื ครู
ว 1.1 ม.1/13
อธิบายหลักการและผลของการใชเทคโนโลยีชีวภาพในการขยายพันธุ ปรับปรุง พันธุและเพิ่มผลผลิตของพืช และนําความรูไปใชประโยชน ว 1.1 ม.2/4 อธิบายหลักการและผลของการใชเทคโนโลยีชีวภาพในการขยายพันธุ ปรับปรุง เสร�ม 6 พันธุและเพิ่มผลผลิตของสัตว และนําความรูไปใชประโยชน ว 1.2 ม.4-6/3 สืบคนขอมูลและอภิปรายผลของเทคโนโลยีชวี ภาพทีม่ ตี อ มนุษย และสิง่ แวดลอม และนําความรูไปใชประโยชน การจัดการเรียนการสอนตามตัวชี้วัดดังกลาวขางตนจะเปนทักษะพื้นฐานของการนําไปสูอาชีพที่ เกี่ยวกับเกษตรกร วิทยาศาสตร การเกษตร นักวิจัย เปนตน 3. กลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม กลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมมุงเนนการพัฒนาใหผูเรียนมีความรู ความเขาใจเกีย่ วกับการดํารงชีวติ ของมนุษย การอยูร ว มกันในสังคมทีม่ คี วามเชือ่ มโยงสัมพันธกนั มีความแตกตางกัน อยางหลากหลาย สามารถจัดการทรัพยากรที่มีอยูอยางจํากัด และเขาใจการเปลี่ยนแปลง เพื่อชวยใหสามารถปรับ ตนเองกับบริบท และสภาพแวดลอม เปนพลเมืองดี มีความรับผิดชอบ มีความรู ทักษะ คุณธรรม และคานิยมที่ เหมาะสม มีมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดที่เปนพื้นฐานของการประกอบอาชีพตางๆ เชน ส 4.3 ม.1/3 วิเคราะหอทิ ธิพลของวัฒนธรรมและภูมปิ ญ ญาไทยสมัยสุโขทัยและสังคมไทยใน ปจจุบัน ส 4.3 ม.2/3 ระบุภูมิปญญาและวัฒนธรรมไทยสมัยอยุธยาและธนบุรี และอิทธิพลของ ภูมิปญญาดังกลาว ตอการพัฒนาชาติไทยในยุคตอมา ส 4.3 ม.3/3 วิเคราะหภูมิปญญาและวัฒนธรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร และอิทธิพลตอการ พัฒนาชาติไทย ส 4.3 ม.4-6/3 วางแผนกําหนดแนวทางและการมีสวนรวมในการอนุรักษภูมิปญญาไทยและ วัฒนธรรมไทย การจัดการเรียนการสอนตามตัวชีว้ ดั ดังกลาวขางตนจะเปนทักษะพืน้ ฐาน และสรางเจตคติตอ อาชีพ เกีย่ วกับภูมปิ ญ ญาไทยในทองถิน่ เชน นักโบราณคดี นักประวัตศิ าสตร แพทยแผนโบราณ นวดแผนไทย ชางทอผา จักสาน นักดนตรีไทย การทําขนมหรืออาหารไทย ฯลฯ และเปนรากฐานของการศึกษาเพื่อพัฒนาตอยอดอาชีพ ที่มีฐานของภูมิปญญาไทย
คูม อื ครู
4. กลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยี กลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยีมุงพัฒนาใหผูเรียนมีฐานความรูความสามารถ และทักษะทีจ่ าํ เปนสําหรับนําไปปรับใชในการประกอบอาชีพและการศึกษาตอในสาขาอาชีพตางๆ ไดอยางหลากหลาย เสร�ม รวมทั้งใหเห็นแนวทางในการประกอบอาชีพและการศึกษาตอตามความรู ความถนัดและความสนใจ มาตรฐาน 7 และตัวชี้วัดของกลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยีสวนใหญมีลักษณะเปนทักษะกระบวนการทํางาน ซึง่ ผูส อนสามารถจัดเนือ้ หาและกิจกรรมการสอนใหสอดคลองกับความตองการของผูเ รียนและทองถิน่ ได เพือ่ พัฒนา ไปสูการประกอบอาชีพตางๆ เชน ง 1.1 ม.4-6/2 สรางผลงานอยางมีความคิดสรางสรรค และมีทักษะการทํางานรวมกัน ง 1.1 ม.4-6/7 ใชพลังงาน ทรัพยากรในการทํางานอยางคุมคาและยั่งยืน เพื่อการอนุรักษ สิ่งแวดลอม ง 4.1 ม.2/3 มีทักษะพื้นฐานที่จําเปนสําหรับการประกอบอาชีพที่สนใจ ง 4.1 ม.3/3 ประเมินทางเลือกในการประกอบอาชีพที่สอดคลองกับความรู ความถนัด และ ความสนใจของตนเอง ง 4.1 ม.4-6/2 เลือกและใชเทคโนโลยีอยางเหมาะสมกับอาชีพ ง 4.1 ม.4-6/3 มีประสบการณในอาชีพที่ถนัดและสนใจ การจัดรายวิชาพื้นฐานในกลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยีจึงสามารถดําเนินการ ไดอยางหลากหลาย ทัง้ อาชีพในกลมุ เกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม ความคิดสรางสรรค และการบริหาร จัดการและการบริการ ตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ และสอดคลองกับบริบทของทองถิ่น ความพรอม ของสถานศึกษา และความตองการของผูเรียนเปนสําคัญ เพือ่ เปนแนวทางการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนใหสนองตามนโยบายการจัดการเรียนการสอน พื้นฐานอาชีพในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ ผูจัดทําจึงวิเคราะหมาตรฐาน การเรียนรูและตัวชี้วัดในสาระภาษาไทย ที่สอดคลองกับทักษะปฏิบัติเพื่อเตรียมความพรอมดานพื้นฐานอาชีพ โดยเสนอแนะกิจกรรมการเรียนรูไวเปนแนวทางในการจัดการเรียนการสอนบูรณาการประสบการณการทํางาน แกผูเรียน ใหบรรลุเจตนารมยของ พ.ร.บ. การศึกษาฯ พ.ศ. 2542 มาตรา 7 ที่ระบุใหการจัดการศึกษาตองปลูกฝง ใหเยาวชนมีความรูอันเปนสากล มีจิตสํานึกในการอนุรักษทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ตลอดจนมี ความสามารถในการประกอบอาชีพ รูจักพึ่งตนเอง และมีความคิดสรางสรรค เพื่อการดํารงชีวิต การศึกษาตอและ การประกอบอาชีพอยางมีคุณภาพของผูเรียนตอไปในอนาคต
คูม อื ครู
5. การใชวัฏจักรการเรียนรู 5E
รูปแบบการสอนที่สัมพันธกับกระบวนการคิดและการทํางานของสมองของผูเรียนที่นิยมใชอยางแพรหลาย เสร�ม คือ วัฏจักรการเรียนรู 5E ซึ่งผูจัดทําคูมือครูไดนํามาใชเปนแนวทางออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในคูมือครู 8 ฉบับนี้ตามลําดับขั้นตอนการเรียนรู ดังนี้ ขั้นที่ 1 กระตุนความสนใจ (Engage) เปนขัน้ ทีผ่ สู อนนําเขาสูบ ทเรียน เพือ่ กระตุน ความสนใจของนักเรียนดวยเรือ่ งราว หรือเหตุการณทนี่ า สนใจ โดยใชเทคนิควิธกี ารสอนและคําถามทบทวนความรูห รือประสบการณเดิมของผูเ รียน เพือ่ เชือ่ มโยงผูเ รียนเขาสู บทเรียนใหม ชวยใหนักเรียนสามารถสรุปประเด็นสําคัญที่เปนหัวขอการเรียนรูของบทเรียนได จึงเปนขั้นตอน การสอนที่สําคัญ เพราะเปนการเตรียมความพรอมและสรางแรงจูงใจใฝเรียนรูแกผูเรียน ขั้นที่ 2 สํารวจคนหา (Explore) เปนขั้นที่ผูสอนเปดโอกาสใหผูเรียนสังเกต และรวมมือกันสํารวจ เพื่อใหเห็นปญหา รวมถึงวิธีการศึกษา คนควาขอมูลความรูที่จะนําไปสูความเขาใจประเด็นปญหานั้นๆ เมื่อนักเรียนทําความเขาใจในประเด็นหัวขอที่จะศึกษาคนควาอยางถองแทแลว ก็ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บ รวบรวมขอมูลความรู สํารวจตรวจสอบ โดยวิธกี ารตางๆ เชน สัมภาษณ ทดลอง อานคนควาขอมูลจากเอกสาร แหลงขอมูลตางๆ จนไดขอมูลความรูตามที่ตั้งประเด็นศึกษาไว ขั้นที่ 3 อธิบายความรู (Explain) เปนขั้นที่ผูสอนมีปฏิสัมพันธกับผูเรียน เชน ใหการแนะนํา ตั้งคําถามกระตุนใหคิด เพื่อใหผูเรียนไดคนหา คําตอบ และนําขอมูลความรูจากการศึกษาคนควาในขั้นที่ 2 มาวิเคราะห แปลผล สรุปผล และนําเสนอผล ที่ไดศึกษาคนความาในรูปแบบสารสนเทศตางๆ เชน เขียนแผนภูมิ แผนผังแสดงมโนทัศน เขียนความเรียง เขียนรายงาน เปนตน สมองของผูเรียนจะทําหนาที่คิดวิเคราะห สังเคราะหอยางเปนระบบ ขั้นที่ 4 ขยายความเขาใจ (Expand) เปนขั้นที่ผูสอนไดใชเทคนิควิธีการสอนที่ชวยพัฒนาผูเรียนใหนําความรูที่เกิดขึ้นไปคิดคนตอๆ ไป เพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรูและการทํางานรวมกันเปนกลุม ระดมสมองเพื่อคิดสรางสรรครวมกัน นักเรียนสามารถนําความรูที่สรางขึ้นใหมไปเชื่อมโยงกับประสบการณเดิมโดยนําขอสรุปที่ไดไปอธิบาย ในเหตุการณตางๆ หรือนําไปปฏิบัติในสถานการณใหมๆ ที่เกี่ยวของกับชีวิตประจําวันของตนเอง เพื่อขยาย ความรูค วามเขาใจใหกวางขวางยิง่ ขึน้ สมองของผูเ รียนทําหนาทีค่ ดิ ริเริม่ สรางสรรคอยางมีคณ ุ ภาพ เสริมสราง วิสัยทัศนใหกวางไกลออกไป คูม อื ครู
ขั้นที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluate) เปนขั้นที่ผูสอนประเมินมโนทัศนของผูเรียน โดยตรวจสอบจากความคิดที่เปลี่ยนไปและความคิดรวบยอด ที่เกิดขึ้นใหม ตรวจสอบทักษะ กระบวนการปฏิบัติ การแกปญหา การตอบคําถามรวบยอด และการเคารพ ความคิดหรือยอมรับเหตุผลของคนอื่นเพื่อการสรางสรรคความรูรวมกัน นักเรียนสามารถประเมินผลการเรียนรูของตนเอง เพื่อสรุปผลวานักเรียนมีความรูอะไรเพิ่มขึ้นมาบาง มากนอยเพียงใด และจะนําความรูเหลานั้นไปประยุกตใชในการเรียนรูเรื่องอื่นๆ ไดอยางไร นักเรียนจะเกิด เจตคติและเห็นคุณคาของตนเองจากผลการเรียนรูที่เกิดขึ้น ซึ่งเปนการเรียนรูที่มีความสุขอยางแทจริง
เสร�ม
9
การจัดกิจกรรมการเรียนรูตามวัฏจักรการสรางความรูแบบ 5E จึงเปนรูปแบบการเรียนการสอนที่เนน ผูเรียนเปนสําคัญ โดยสงเสริมใหผูเรียนใชกระบวนการสรางความรูดวยตนเอง และฝกฝนใหใชกระบวนการคิดและ กระบวนการกลุมอยางชํานาญ กอใหเกิดทักษะการเรียนรูและทักษะชีวิตที่มีคุณภาพ ตามเปาหมายของการปฏิรูป การศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) ทุกประการ คณะผูจัดทํา
คูม อื ครู
แถบสีและสัญลักษณ ที่ใชสื่อความหมายในคูมือครู 1. แถบสี
แถบสีแสดงขั้นตอนการสอนและการจัดกิจกรรม แบบ 5E เพื่อใหครูทราบวาเปนขั้นการสอนขั้นใด
เสร�ม
10
สีแดง
สีเขียว
สีสม
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
•
•
•
Engage
เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใช เทคนิคกระตุนความ สนใจ เพื่อโยงเขาสู บทเรียน
Explore
เปนขั้นที่ผูสอนให ผูเรียนสํารวจปญหา และศึกษาขอมูล
Explain
เปนขั้นที่ผูสอนให ผูเรียนคนหาคําตอบ จนเกิดความรูเชิง ประจักษ
สีฟา
สีมวง
ขยายความเขาใจ Expand
•
เปนขั้นที่ผูสอนให ผูเรียนนําความรูไป คิดคนตอๆ ไป
ตรวจสอบผล Evaluate
•
เปนขั้นที่ผูสอน ประเมินมโนทัศน ของผูเรียน
สัญลักษณ
2. สัญลักษณ
วัตถุประสงค
เปาหมาย การเรียนรู
คูม อื ครู
• แสดงเปาหมาย การเรียนรูที่ นักเรียนตอง บรรลุตาม ตัวชี้วัด
หลักฐาน เกร็ดแนะครู แสดงผล การเรียนรู • แสดงรองรอย หลักฐานที่ แสดงผล การเรียนรู ตามตัวชี้วัด
นักเรียน ควรรู
B
@
NET
B
มุม IT
ขอสอบ
พื้นฐาน อาชีพ
• แทรกความรู • ขยายความรู • แนะนําแหลง • วิเคราะหแนว • กิจกรรม เสริมสําหรับครู เพิ่มเติมจาก คนควาจาก ขอสอบ O-NET สําหรับครู ขอเสนอแนะ เนื้อหา เพื่อให เว็บไซต เพื่อให เพือ่ ใหครู เพือ่ ใชเปน ขอควรระวัง นักเรียนไดมี ครูและนักเรียน เนนยํ้าเนื้อหา แนวทางใน ขอสังเกต ความรูม ากขึ้น ไดเขาถึงขอมูล ที่มักออก การชวยพัฒนา แนวทางการ ความรูที่ ขอสอบ O-NET อาชีพใหกับ จัดกิจกรรม หลากหลาย • ขอสอบ O-NET นักเรียน และอื่นๆ พิจารณาออก เพื่อประโยชน ขอสอบจาก ในการจัดการ เนื้อหา ม.1, 2 เรียนการสอน และ 3
ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง (เฉพาะชั้น ม.3)* สาระที่ 1 การอาน
มาตรฐาน ท 1.1 ใชกระบวนการอานสรางความรูและความคิดเพื่อนําไปใชตัดสินใจ แกปญหาในการดําเนินชีวิต และมีนิสัยรักการอาน เสร�ม ชั้น
ม.3
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
11
1. อานออกเสียงบทรอยแกว • การอานออกเสียง ประกอบดวย และบทรอยกรองไดถูกตอง - บทรอยแกวที่เปนบทความทั่วไปและบทความปกิณกะ และเหมาะสมกับเรื่องที่อาน - บทรอยกรอง เชน กลอนบทละคร กลอนเสภา กาพยยานี 11 กาพยฉบัง 16 และโคลงสี่สุภาพ 2. ระบุความแตกตางของคํา • การอานจับใจความจากสื่อตางๆ เชน - วรรณคดีในบทเรียน ที่มีความหมายโดยตรง - ขาวและเหตุการณสําคัญ และความหมายโดยนัย - บทความ 3. ระบุใจความสําคัญและ - บันเทิงคดี รายละเอียดของขอมูลที่ - สารคดี สนับสนุนจากเรื่องที่อาน - สารคดีเชิงประวัติ 4. อานเรื่องตางๆ แลวเขียน - ตํานาน กรอบแนวคิด ผังความคิด บันทึก ยอความและรายงาน - งานเขียนเชิงสรางสรรค - เรื่องราวจากบทเรียนในกลุมสาระการเรียนรูภาษาไทย และ 5. วิเคราะห วิจารณ และ กลุมสาระการเรียนรูอื่น ประเมินเรื่องที่อานโดยใช กลวิธีการเปรียบเทียบเพื่อให ผูอานเขาใจไดดีขึ้น 6. ประเมินความถูกตองของ ขอมูล ที่ใชสนับสนุนในเรื่อง ที่อาน 7. วิจารณความสมเหตุสมผล การลําดับความ และความ เปนไปไดของเรื่อง 8. วิเคราะหเพื่อแสดงความ คิดเห็นโตแยงเกี่ยวกับเรื่อง ที่อาน 9. ตีความและประเมินคุณคา • การอานตามความสนใจ เชน แนวคิดทีไ่ ดจากงานเขียน - หนังสืออานนอกเวลา อยางหลากหลาย เพื่อนําไป - หนังสืออานตามความสนใจและตามวัยของนักเรียน - หนังสืออานที่ครูและนักเรียนรวมกันกําหนด ใชแกปญหาในชีวิต 10. มีมารยาทในการอาน • มารยาทในการอาน
* สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง กลุมสาระการเรียนรู ภาษาไทย. (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย, 2551), หนา 19 - 50.
คูม อื ครู
สาระที่ 2 การเขียน
มาตรฐาน ท 2.1 ใชกระบวนการเขียนเขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ยอความ และเขียนเรื่องราวในรูปแบบตางๆ เขียนรายงานขอมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาคนควาอยางมีประสิทธิภาพ เสร�ม
12
ชั้น
ตัวชี้วัด
ม.3 1. คัดลายมือตัวบรรจง ครึ่งบรรทัด 2. เขียนขอความโดยใชถอยคํา ไดถูกตองตามระดับภาษา 3. เขียนชีวประวัติหรืออัตชีวประวัติ โดยเลาเหตุการณ ขอคิดเห็น และทัศนคติ ในเรื่องตางๆ 4. เขียนยอความ 5. เขียนจดหมายกิจธุระ
6. เขียนอธิบาย ชี้แจง แสดง ความคิดเห็น และโตแยง อยางมีเหตุผล 7. เขียนวิเคราะห วิจารณ และ แสดงความรู ความคิดเห็น หรือโตแยงในเรื่องตางๆ 8. กรอกแบบสมัครงานพรอม เขียนบรรยายเกีย่ วกับความ รูแ ละทักษะของตนเองที่ เหมาะสมกับงาน 9. เขียนรายงานการศึกษา คนควาและโครงงาน 10. มีมารยาทในการเขียน คูม อื ครู
สาระการเรียนรูแกนกลาง
• การคัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัดตามรูปแบบการเขียน ตัวอักษรไทย • การเขียนขอความตามสถานการณและโอกาสตางๆ เชน - คําอวยพรในโอกาสตางๆ - โฆษณา - คําขวัญ - คติพจน - คําคม - สุนทรพจน • การเขียนอัตชีวประวัติหรือชีวประวัติ
• การเขียนยอความจากสื่อตางๆ เชน นิทาน ประวัติ ตํานาน สารคดีทางวิชาการ พระราชดํารัส พระบรมราโชวาท จดหมายราชการ • การเขียนจดหมายกิจธุระ - จดหมายเชิญวิทยากร - จดหมายขอความอนุเคราะห - จดหมายแสดงความขอบคุณ • การเขียนอธิบาย ชี้แจง แสดงความคิดเห็น และโตแยงใน เรื่องตางๆ • การเขียนวิเคราะห วิจารณ และแสดงความรู ความคิดเห็น หรือโตแยงจากสื่อตางๆ เชน - บทโฆษณา - บทความทางวิชาการ • การกรอบแบบสมัครงาน
• การเขียนรายงาน ไดแก - การเขียนรายงานจากการศึกษาคนควา - การเขียนรายงานโครงงาน • มารยาทในการเขียน
สาระที่ 3 การฟง การดู และการพูด
มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟงและดูอยางมีวจิ ารณญาณ และพูดแสดงความรู ความคิด และความรูส กึ ในโอกาส ตางๆ อยางมีวิจารณญาณและสรางสรรค ชั้น
ตัวชี้วัด
ม.3 1. แสดงความคิดเห็นและประเมิน เรื่องจากการฟงและการดู 2. วิเคราะหและวิจารณเรื่องที่ฟง และดูเพื่อนําขอคิดมาประยุกต ใชในการดําเนินชีวิต 3. พูดรายงานเรื่องหรือประเด็นที่ ศึกษาคนควาจากการฟง การดู และการสนทนา 4. พูดในโอกาสตางๆ ไดตรงตาม วัตถุประสงค 5. พูดโนมนาวโดยนําเสนอ หลักฐานตามลําดับเนื้อหา อยางมีเหตุผลและนาเชื่อถือ 6. มีมารยาทในการฟง การดู และการพูด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
เสร�ม
13
• การพูดแสดงความคิดเห็น และประเมินเรื่องจากการฟงและ การดู • การพูดวิเคราะหวิจารณจากเรื่องที่ฟงและดู • การพูดรายงานการศึกษาคนควาเกี่ยวกับภูมิปญญาทองถิ่น • การพูดในโอกาสตางๆ เชน - การพูดโตวาที - การพูดยอวาที • การพูดโนมนาว
- การอภิปราย
• มารยาทในการฟง การดู และการพูด
สาระที่ 4 หลักการใชภาษาไทย
มาตรฐาน ท 4.1 เขาใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลังของภาษา ภูมิปญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไวเปนสมบัติของชาติ ชั้น
ตัวชี้วัด
ม.3 1. จําแนกและใชคําภาษา ตางประเทศที่ใชในภาษาไทย 2. วิเคราะหโครงสรางประโยค ซับซอน 3. วิเคราะหระดับภาษา 4. ใชคําทับศัพทและศัพทบัญญัติ 5. อธิบายความหมายคําศัพท ทางวิชาการและวิชาชีพ 6. แตงบทรอยกรอง
สาระการเรียนรูแกนกลาง
• คําที่มาจากภาษาตางประเทศ • ประโยคซับซอน • ระดับภาษา • คําทับศัพท • คําศัพทบัญญัติ • คําศัพททางวิชาการและวิชาชีพ • โคลงสี่สุภาพ คูม อื ครู
คําอธิบายรายวิชา รายวิชา หลักภษาและการใชภาษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 เสร�ม รหัสวิชา ท…………………………………
14
กลุมสาระการเรียนรู ภาษาไทย ภาคเรียนที่ 1-2 เวลา 60 ชั่วโมง/ป
ฝกทักษะการอาน การเขียน การฟง การดูและการพูด การวิเคราะหและประเมินคาวรรณคดีและวรรณกรรม โดยศึกษาเกีย่ วกับการอานออกเสียง การอานจับใจความ การอานตามความสนใจ ฝกทักษะการคัดลายมือ การเขียน ขอความตามสถานการณและโอกาสตางๆ เขียนอัตชีวประวัติหรือชีวประวัติ เขียนยอความ การเขียนจดหมายกิจธุระ เขียนอธิบาย ชี้แจง แสดงความคิดเห็น และโตแยง เขียนวิเคราะหวิจารณและแสดงความรูความคิดเห็น หรือโตแยง จากสื่อตางๆ กรอกแบบสมัครงาน เขียนรายงาน ฝกทักษะการพูดแสดงความคิดเห็นและการประเมินเรื่องจากการ ฟงและการดู พูดวิเคราะหวิจารณจากเรื่องที่ฟงและดู พูดรายงานการศึกษาคนควา พูดในโอกาสตางๆ พูดโนมนาว และศึกษาเกี่ยวกับโครงสรางประโยคซับซอน ระดับภาษา วิเคราะหวิถีไทย ประเมินคา ความรูและขอคิดจากวรรณคดี วรรณกรรม บทละครพูดเรื่องเห็นแกลูก พระอภัยมณี ตอนหนีนางผีเสื้อ พระบรมราโชวาท อิศรญาณภาษิต และบทพากษเอราวัณ ทองจําบทอาขยาน ที่กําหนดและบทรอยกรองที่มีคุณคาตามความสนใจ โดยใชกระบวนการอานเพื่อสรางความรูความคิดนําไปใชตัดสินใจ แกปญหาในการดําเนินชีวิต กระบวนการ เขียนเขียนสื่อสารอยางมีประสิทธิภาพ กระบวนการฟง การดู และการพูด สามารถเลือกฟงและดู และพูดแสดง ความรูค วามคิดอยางมีวจิ ารณญาณและสรางสรรค เพือ่ ใหเขาใจธรรมชาติภาษาและหลักภาษาไทย การเปลีย่ นแปลง ของภาษา พลังภาษา ภูมิปญญาทางภาษา วิเคราะหวิจารณวรรณคดีและวรรณกรรมอยางเห็นคุณคาและนํามา ประยุกตใชในชีวิตจริง รักษาภาษาไทยไวเปนสมบัติของชาติ และมีนิสัยรักการอาน การเขียน มีมารยาทในการอาน การเขียน การฟง การดู และการพูด ตัวชี้วัด ท 1.1 ม.3/1 ท 2.1 ม.3/1 ท 3.1 ม.3/1 ท 4.1 ม.3/1 ท 5.1 ม.3/1 รวม 36 ตัวชี้วัด
คูม อื ครู
ม.3/2 ม.3/2 ม.3/2 ม.3/2 ม.3/2
ม.3/3 ม.3/3 ม.3/3 ม.3/3 ม.3/3
ม.3/4 ม.3/4 ม.3/4 ม.3/4 ม.3/4
ม.3/5 ม.3/5 ม.3/5 ม.3/5
ม.3/6 ม.3/7 ม.3/8 ม.3/9 ม.3/10 ม.3/6 ม.3/7 ม.3/8 ม.3/9 ม.3/10 ม.3/6 ม.3/6
ÇÔà¤ÃÒÐË Áҵðҹ¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙጠÅеÑǪÕÇé ´Ñ ÃÒÂÇÔªÒ ËÅÑ¡ÀÒÉÒáÅСÒÃ㪌ÀÒÉÒ Á.3
มาตรฐาน ท 2.1 ตัวชี้วัด
มาตรฐาน ท 1.1 ตัวชี้วัด
ตัวชี้วัด
มาตรฐาน ท 3.1
สาระที่ 3
ตัวชี้วัด
มาตรฐาน ท 4.1
สาระที่ 4
✓
✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓
✓
✓
✓ ✓ ✓ ✓
✓ ✓
✓
✓
✓
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 1 2 3 4 5 6 1 2 3 4 5 6
สาระที่ 2
สาระที่ 1
หมายเหตุ ✓ เฉพาะที่สอดคลองกับตัวชี้วัดชั้น ม.3 เทานั้น ตัวชี้วัดที่เหลือจะจัดการเรียนการสอนในชั้น ม.1 และ ม.2
หนวยการเรียนรูที่ 3 : การเขียนเพื่อการ สื่อสาร 2
หนวยการเรียนรูที่ 2 : การเขียนเพื่อการ สื่อสาร 1
ตอนที่ 2 : การพัฒนาทักษะการเขียน หนวยการเรียนรูที่ 1 : การคัดลายมือ
หนวยการเรียนรูที่ 3 : การอานวินิจสาร
หนวยการเรียนรูที่ 2 : การอานจับใจความ
ตอนที่ 1 : การพัฒนาทักษะการอาน หนวยการเรียนรูที่ 1 : การอานออกเสียง
หนวยการเรียนรู
มาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด
คําชี้แจง : ใหผูสอนใชตารางน�้ตรวจสอบวา เน�้อหาสาระการเรียนรูในหนวยการเรียนรูสอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดชั้นปในขอใดบาง
ตาราง
เสร�ม
15
คูม อื ครู
คูม อื ครู
หนวยการเรียนรูที่ 3 : การแตงบทรอยกรองประเภท โคลงสี่สุภาพ
หนวยการเรียนรูที่ 2 : การวิเคราะหภาษา
ตอนที่ 4 : หลักการใชภาษา หนวยการเรียนรูที่ 1 : การใชคําใน ภาษาไทย
หนวยการเรียนรูที่ 2 : การพูดในโอกาส ตางๆ
มาตรฐาน ท 2.1 ตัวชี้วัด
มาตรฐาน ท 1.1 ตัวชี้วัด
ตัวชี้วัด
มาตรฐาน ท 3.1
สาระที่ 3 ตัวชี้วัด
มาตรฐาน ท 4.1
สาระที่ 4
✓ ✓ ✓
✓ ✓ ✓
✓
✓
✓ ✓
✓ ✓
✓
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 1 2 3 4 5 6 1 2 3 4 5 6
สาระที่ 2
สาระที่ 1
16
ตอนที่ 3 : การพัฒนาทักษะการฟง การดู และการพูด หนวยการเรียนรูที่ 1 : การพูดเรือ่ งจากสือ่ ที่ฟงและดู
หนวยการเรียนรู
มาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด
เสร�ม
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand
Evaluate
หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน
ภาษาไทย
หลักภาษาและการใชภาษา ม.๓ ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๓ กลุมสาระการเรียนรูภาษาไทย
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ผูเรียบเรียง
นางฟองจันทร สุขยิ่ง นางกัลยา สหชาติโกสีย นายภาสกร เกิดออน นางสาวระวีวรรณ อินทรประพันธ นายศานติ ภักดีคํา นายพอพล สุกใส
ผูตรวจ
นางจินตนา วีรเกียรติสุนทร นางวรวรรณ คงมานุสรณ นายศักดิ์ แวววิริยะ
บรรณาธิการ
นายเอกรินทร สี่มหาศาล นางประนอม พงษเผือก
ผูจัดทําคูมือครู
ประนอม พงษเผือก พิมพรรณ เพ็ญศิริ สมปอง ประทีปชวง พิมพครั้งที่ ๒
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ รหัสสินคา ๒๓๑๑๐๐๓ รหัสสินคา ๒๓๔๑๐๑๒
¤Œ¹¤ÇÒÁÃÙŒ¢ÂÒ¤ÇÒÁ¤Ô´¨Ò¡
EB GUIDE
ที่พิมพกํากับหัวขอสําคัญในหนังสือเรียนหลักสูตรแกนกลางฯ ผาน www.aksorn.com ไปยังแหลงความรูทั่วไทย-ทั่วโลก
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา Explore Engage
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand
Explain
Evaluate
¤íÒá¹Ð¹íÒ㹡ÒÃ㪌˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ หนังสือเรียน หลักภาษาและการใชภาษาเลมนี้ เปนสือ่ สําหรับใชประกอบการเรียนการสอนในรายวิชาพืน้ ฐาน กลุม สาระ การเรียนรูภ าษาไทย ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ ๓ เนื้อหาตรงตามสาระการเรียนรูแกนกลางขั้นพื้นฐาน อานทําความเขาใจงาย ใหทั้งความรูและชวยพัฒนาผูเรียน ตามหลักสูตรและตัวชี้วัด เนื้อหาสาระแบงออกเปนหนวยการเรียนรูตามโครงสรางรายวิชา สะดวกแกการจัดการเรียนการสอน และการวัดผลประเมินผล พรอมเสริมองคประกอบอืน่ ๆ ทีจ่ ะชวยทําใหผเู รียนไดรบั ความรูอ ยางมีประสิทธิภาพ à¡ÃÔè¹¹íÒà¾×èÍãˌࢌÒ㨶֧ÊÒÃÐÊíÒ¤ÑÞ ã¹Ë¹‹Ç·Õè¨ÐàÃÕ¹
¹íÒàʹÍà¹×Íé ËÒã¹ÃٻẺµÒÃÒ§ à¾×èÍãËŒ§‹Òµ‹Í¤ÇÒÁࢌÒã¨áÅÐ à¡Ô´¤ÇÒÁ¤Ô´ÃǺÂÍ´
¨Ñ´¡ÅØ‹Áà¹×éÍËÒ໚¹Ë¹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ Êдǡᡋ¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹
à¡Ãç´ÀÒÉÒ໚¹àÃ×èͧ¹‹ÒÃÙŒà¾ÔèÁàµÔÁ ¨Ò¡à¹×éÍËÒ ÁÕá·Ã¡à»š¹ÃÐÂÐæ
หัว มเด็จพระจอมเกลาเจาอยู ่มเกิดขึ้นตั้งแตรัชกาลพระบาทส ทําใหมคี าํ ในภาษา คําศัพทบัญญัติในภาษาไทยเริ ดตอคาขายกับชาวตะวนั ตก งจากในรัชกาลนัน้ ไดมกี ารติ าวหนาทางวิทยาการ รัชกาลที่ ๔ เปนตนมา เนือ่ ่อตอบสนองตอความเจริญก เพื ก นวนมา า จํ น ป อังกฤษปะปนเขามาในภาษาไทยเ ศเขามา น ทําใหคําภาษาตางประเท ที่รับจากตะวันตก งประเทศเขามาเปนเวลานา าอยูห วั และ แตเมื่อมีการรับคําภาษาตา ทสมเด็จพระจุลจอมเกลา เจ ก ดวยเหตุนใี้ นรัชสมัยพระบา งประเทศ ปะปนในภาษาไทยเปนจํานวนมา หัว จึงมีการคิดคําศัพทบัญญัติขึ้นใชแทนคําภาษาตา าเจาอยู รมการ คณะกร ้ ั ง ต ชอบให น ห็ เ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล มนตรี พ.ศ. ๒๔๘๕ คณะรัฐ ๑) วิธกี ารบัญญัตศิ พั ท ในป พระเจาบรมวงศเธอ กรมหมื่นนราธิปพงศประพันธ รชุดนี้มี พลตรี าตางๆ ขึ้น บัญญัติศัพทภาษาไทยขึ้น กรรมกา ยสถานไดแตงตั้งคณะกรรมการบัญญัติศัพทสาขาวิช ต ฑิ ณ งสะดวก ย ราชบั น ั บ ออกเสี จุ จ ด ป รั ทรงเปนประธาน ักภาษา รูปคํากะทัด พทบัญญัติมีความถูกตองตามหล ้ ใชในภาษาไทย เพื่อใหคําศั ดังนี ่ตองการ โดยมีหลัก ๓ ประการ และมีความหมายตรงตามที ปแสง (light year)
ñ
หนวยที่ การอานออกเส
ตัวชี้วัด ■ ■
■
■
ในภาษาไทยทีเ่ หมาะสม หากหาคาํ ไทยมา บเป น คํ า ประกอ คิ ด หาคํ ายายามส ร า งคํ า ด ว ยภาษาาย ไมศัพไ ดทใทหมี่ พคี วามหมา ยตรงกับลักความหม ห เกณฑวา - สันสกฤต บาลี ไทย โดยมี เดิมในภาษา ไทย ตองเปนคําที่มีใชอยูแลวในภาษา ย และสามารถออกเสียงไดงา
ียง
อานออกเสียงบทร อ มีมารยาทในการ ยแกวและบทรอยกรองไดถกู ตอง (ท อาน (ท ๑.๑ ม.๓/๑ ๑.๑ ม.๓/๑) ๐)
สาระการเรียนรูแกนกล ■
คาผานทาง (toll) นํ้าคางแข็ง (frost) ตัวแปร (variable) จุดยืน (stand point) รายการเลือก (menu) ลบเลือนได (volatile)
ปนนคําคํ-า ระกอบเบเป ไทยมาปประกอ หาคําาไทยมา คิคิดดหาคํ ความหมายาย ยตรงกับบความหม วามหมายตรงกั ศัศัพพททททมี่ มี่ คี คี วามหมา ไทย งกฤษ าภาษาอั ในภาษา เดิเดิมมของคํ
าง
การอานออกเสีย งบทรอยแกวที่เป นบทความทั่วไปและ บทความปกิณกะ การออกเสียงบทร อยกรอง กาพยยานี ๑๑ กาพย เชน กลอนบทละคร กลอนเ สภา มารยาทในการอ ฉบัง ๑๖ และโคลงสี่สุภาพ าน
การอานออกเสียงเปนวิธีก
ารอานที่ ควรใชนํ้าเสียงให ถ มีความเหมาะสม ูกตอง สอดคลอง และ กับเนื้อเรื่องแต ละประเภท รวมถงึ การรจู กั ฝก จะชวยทําใหมีพ ฝนการอานอยา งสมํา่ เสมอ ื้น ชํานาญในการอ ฐานการอานที่ดี เกิดความ าน รวมถึงการร การอานและปฏ ูจักมารยาทใน ิบ จะไดรับการยอมร ัติไดอยางถูกตอง เหมาะสม จึง ับนับถือจากบุค คลอื่น
ทโดยวิ ญัติศัพบเป น คํธาี ไมสามารถบ า ไทยมาัญประกอ คิถดาหาคํ ชคําภาษาาย ยตรงกัใหบใความหม ดังกลาวได การสอง ศัพททมี่ ขคี อวามหมา ้นทับศัพทไปกอน ศนัไทย มในภาษา ตเดิางประเท
๑๖๒
EB GUIDE
งเรียง เรื่อยเรื่อย/ มาเรีย ตัวเดียว/ มาไร้คู่ ร�่าร�่า/ ใจรอนรอน า น้ ห ดวงใจ/ ไยหนี
้งหมู่ นกบินเฉียง/ ไปทั งเอกา เหมือนพี่อยู่/ เพีย ข้า อกสะท้อน/ ถอนใจ งเมิน าหมา ตา/ ม ว ้ โถแก าธรรมธิเบศร) (กาพย์เห่เรือ : เจ้าฟ้
บุคคลที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการ นอกจากจะตองเขาใจขั้นตอนในกา ฟงใหแกตนเอง รฟงและยังตอง หมั่นฝกฝนใหเกิดทักษะทางด านการฟงดวย
กิจกรรม (activity) ทฤษฎี (theory) มลพิษ (pollution) วัฒนธรรม (culture) อปกติ (abnormal) เสรีนิยม (liberalism)
สดมภ (column) จิตรกรรม (painting) ปรัชญา (philosophy) นิรโทษกรรม (amnesty) นิทรรศการ (exhibition) สัญญาณภาพ (video signal)
เชิ้ต (shirt) ฟลม (film) โบนัส (bonus) เมาส (mouse) แฟชั่น (fashion) ซีเมนต (cement)
ครีม (cream) โซฟา (sofa) เนกไท (necktie) ไดโนเสาร (dinosaur) แมงกานีส (manganese) คอมพิวเตอร (computer)
๙%
ฟง
๔๕ %
รฟง
ผลการวิจัย จากกลุมตัวอยาง
ผูฟงจํานวน ๑๐๐ คน พบวามี เพียง ๑๐ คนเทานั้น ที่มีทักษะการฟ งที่ดี
สาเหตุที่ทําใหการฟงไมสัมฤทธิ
ผล ไดแก
จับใจความสําคัญไมเปน จึงไมสามารถสรุ ปความคิด รวบยอดได ไมยอมรับความคิดเห็นของผูอื่น
ไมเปดกวาง
ไมชอบฟงเนื้อหาสาระที่ยากเกิน ที่ตนเอง จะทําความเขาใจ ไมมีสมาธิในการฟง เนื่องจากขณะท ี่ฟงมีเสียง รบกวน มีทัศนคติที่ไมดีตอเรื่องที่ฟง เชน
เห็นวานาเบื่อ
มีทัศนคติที่ไมดีตอผูพูด เชน ไมช
อบกิริยาทาทาง
i_Gra/M3/19
http://www.aksorn.com/LC/Tha
๑๓๒
¤íÒ¶ÒÁ»ÃШíÒ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒáÅСԨ¡ÃÃÁ ÊÌҧÊÃä ¾Ñ²¹Ò¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒà¾×è;Ѳ¹Ò¼ÙŒàÃÕ¹ ãËŒÁդسÀÒ¾µÒÁµÑǪÕéÇÑ´
ò การพัฒนาทักษะการเขีย
น
คําถาม
ประจําหนวยการเรียนรู
๑. ทักษะการยอความมีประโยชนตอการเรียนของนักเรียนอยางไร จงอธิบาย ๒. การเขียนชีวประวัติและอัตชีวประวัติ มีหลักการเขียนอยางไร ๓. การเขียนจดหมายกิจธุระ สามารถนําไปประยุกตใชในชีวิตประจําวันไดอยางไร ๔. การเขียนสุนทรพจนที่ดี ควรมีแนวทางการเขียนอยางไร จงอธิบาย พรอมยกตัวอยางประกอบ ๕. ขอควรคํานึงที่นักเรียนตองปฏิบัติในการกรอกแบบสมัครงานมีอะไรบาง จงอธิบาย
ง
ฟังเสียง/ เพียงเพล
ฆัง
เพียงฆ้อง/ กลองระ
กิจกรรม
สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู
กิจกรรมที่ ๑
นักเรียนเขียนบทสุนทรพจนสําหรับใชพูดภายในเวลา ๓ นาที ใหขอคิดเกี่ยวกับ คติธรรมและคุณธรรม เชน ความกตัญู ความสามัคคี ความมีวินัย เปนตน จากนั้นใหนําเสนอหนาหองเรียน นักเรียนทั้งหองจัดกิจกรรมสัปดาหวิชาการ โดยเขียนจดหมายเชิญวิทยากรเพื่อมา บรรยายความรูแกนักเรียนในหัวขอที่กําหนด โดยมีครูผูสอนเปนผูดูแลโครงการ นักเรียนอัตชีวประวัติของตนเอง ความยาวไมเกิน ๑ หนากระดาษ A๔ นํามาอาน ใหเพื่อนฟงหนาชั้นเรียนและเลือกเขียนยอความอัตชีวประวัติของเพื่อนที่ตนเอง ประทับใจ แลวนําสงครูผูสอน
า : สุนทรภู่)
(กาพย์พระไชยสุริย
ในวรรค ง่ จังหวะการอ่านภาย ซึ่ง ะใช้เครือ่ งหมาย / แบ ื้อความเป็นหลัก านกาพย์ฉบัง ๑๖ จ ่ โดยสังเกตจากเน การแบ่งจังหวะการอ่ / ๒ เป็นส่วนใหญ ยงต่อเนื่องกันเพื่อ ค�า จะแบ่งเป็น ๒ / ๒ าง เพราะค�าบางค�าควรอ่านให้เสี โดยวรรคที่มี ๖ อย่ ว ั งเป็น ๒ / ๔ ตามต ๒ / ๒ หวะ ง จั ง บ่ ในบางครั้งอาจแบ่ แ ให้ า ูกต้อง วรรคที่มี ๔ ค� มรู้เพิ่มพูน สื่อความหมายให้ถ อการศึกษาหาควา พัฒนา มีความจÓเป็นต่ ควรฝึกฝนเพื่อ กษะที่สÓคัญและ งโลก ดังนั้น จึง การอ่าน เป็นทั ได้ ปลี่ยนแปลงขอ งค์ความรู้ใหม่ๆ งๆ ให้ทันต่อการเ ถศึกษาเรียนรู้อ ามาร ส ้ ผู น ป็ เ ประสบการณ์ต่า ่อให้ ่างสม่Óเสมอ เพื ทักษะการอ่านอย 15 า ตลอดเวล
พูด
๓๐ %
เขียน
การเพิ่มประสิทธิภาพในกา
ใน บ่งจังหวะการอ่านภาย ะใช้เครื่องหมาย / แ บ่ง านกาพย์ยานี ๑๑ จ วรรคที่มี ๖ ค�า จะแ การแบ่งจังหวะการอ่ ขึ้นอยู่กับเนื้อความ ๒ / ๓ หรือ ๓ / ๒ ี ๕ ค�า จะแบ่งเป็น าติ วรรค โดยวรรคที่ม รรมช ของธ มงาม การพรรณนาควา บ หรั า � ส ช้ ใ ่ ี จังหวะเป็น ๓ / ๓ ท ์ วรรคที่ ๑ และ ๓ เป็นกาพย แบ่งเป็น ๓ วรรค ๖) กาพย์ฉบัง ๑๖ หนึ่งบท มี ๑๖ ค�า ซึ่งกาพย์ฉบัง ๑๖ ้ สู อ ่ การต อ รื การเดินทางห ่ ๒ มี ๔ ค�า มี ๖ ค�า ส่วนวรรคที บัง ๑๖ การอ่านกาพย์ฉ รเลง กลางไพร/ ไก่ขัน/ บร งวัง ย ี ง/ เว ย เรี า / จ� ซอเจ้ง งโห่งดัง ยูงทอง/ ร้องกะโต้ ยง เสี / ขาน แตรสังข์/ กังสดาล
อาน
๑๖ %
๑. เตรียมความพรอมทั้งดานร ๒. ตองตั้งใจฟงอยางแนวแน างกายและจิตใจ รวมถึงการตั้งจุดมุงหมายกอนฟงทุกครั พยายามจับและทบทวนใจควา ้ง ๓. สังเกตอวัจนภาษาหรือภาษาท มสําคัญที่ผูพูดไดสื่อสาร ๔. ฟงอยางมีขั้นตอน ตองปฏิ าทางของผูพูด เพราะจะทําใหเขาใจความหมายไดดีย ิ่งขึ้น บัติตามใหไดตามขั้นตอนของก ๕. นําประโยชนที่ไดรับจากการฟ ารฟง ๖. ทุกครั้งที่ฟงควรมีการจดบั งมาใชในชีวิตประจําวัน ๗. ตองไมมีอคติและรูจักยอมรันทึก บฟงความคิดเห็นของผูอื่น
เครือขาย (network) ดินเปรี้ยว (acid soil) นํ้าแข็งแหง (dry ice) ทะเลหลวง (open sea) ตลาดมืด (black market)
Design ˹ŒÒẺãËÁ‹ ÊǧÒÁ ¾ÔÁ¾ ô ÊÕ µÅÍ´àÅ‹Á ª‹ÇÂãˌ͋ҹ·íÒ¤ÇÒÁࢌÒã¨ä´Œ§‹ÒÂ
ตอนที่ านี ๑๑
การอ่านกาพย์ย
ทักษะการฟง
ทักษะทางดานการฟงเปนทัก มากที่สุดในชีวิตประจําวันคือ ษะในการสื่อสารที่ใช ๔๕ % ขณะที่ทักษะ ทางดานการพูด การอานและกา รเขียน คือ ๓๐ %, ๑๖ % และ ๙ % ตามลําดับ
Web guide á¹Ð¹íÒáËÅ‹§¤Œ¹¤ÇŒÒ¢ŒÍÁÙÅ à¾ÔèÁàµÔÁ¼‹Ò¹Ãкº Online
µÑǪÕÇé ´Ñ áÅÐÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙጠ¡¹¡ÅÒ§ µÒÁ·ÕËè ÅÑ¡Êٵà ¡íÒ˹´ à¾×èÍãËŒ·ÃÒº¶Ö§à»‡ÒËÁÒÂ㹡ÒÃÈÖ¡ÉÒ µÑÇÍ‹ҧẺ½ƒ¡à¾×èÍãËŒ¹Ñ¡àÃÕ¹½ƒ¡ ·Ñ¡ÉÐ㹡Òþٴ Í‹Ò¹ áÅÐà¢Õ¹ ËÇÁ¡Ñ¹¨¹à¡Ô´¤ÇÒÁªíÒ¹ÒÞã¹·Ñ¡ÉÐ
à¡Ãç´ÀÒÉÒ
กิจกรรมที่ ๒
¤ÇÒÁÃÙŒ¼ÙŒ»ÃÒªÞ ¹ Ñé¹ ½¹·Ñè§à·‹Òà¢çÁà¾Õ à ¤¹à¡Õ¨à¡ÅÕ´˹ ‹ÒÂàÇÕ¹ ¡ÅÍØ·¡ã¹µÃСà ŒÒ
กิจกรรมที่ ๓
ÃÑ¡àÃÕ¹ ¼‹ÒÂ˹ŒÒ ǹ¨Ôµ ໂ›ÂÁÅŒ¹ÄåÁÕ
(โคลงโลกนิติ : สมเด็
จพระเจาบรมวงศเ
ธอ กรมพระยาเดชาด
ิศร)
๙๒
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand
Evaluate
สารบัญ ตอนที่ ๑ การพัฒนาทักษะการอาน
๑
หนวยการเรียนรูที่ ๑ การอานออกเสียง ความรูเบื้องตนเกี่ยวกับการอาน การอานออกเสียงบทรอยแกว การอานออกเสียงบทรอยกรอง หนวยการเรียนรูที่ ๒ การอานจับใจความ การอานจับใจความ การอานวิเคราะหความหมายของคํา การอานเพื่อเขียนกรอบความคิด หนวยการเรียนรูที่ ๓ การอานวินิจสาร การอานตีความ การอานวิเคราะห วิจารณและแสดงความคิดเห็น การอานประเมินคุณคา
๒ ๓ ๖ ๑๐ ๑๘ ๑๙ ๒๓ ๒๙ ๓๔ ๓๕ ๓๖ ๓๗
ตอนที่ ๒ การพัฒนาทักษะการเขียน
๔๙
หนวยการเรียนรูที่ ๑ การคัดลายมือ ความรูเบื้องตนเกี่ยวกับการคัดลายมือ รูปแบบตัวอักษร หนวยการเรียนรูที่ ๒ การเขียนเพื่อการสื่อสาร ๑ ความรูเบื้องตนเกี่ยวกับการเขียนในโอกาสตางๆ การเขียนตามสถานการณและโอกาสตางๆ การเขียนชีวประวัติและอัตชีวประวัติ การเขียนยอความ การเขียนจดหมาย การกรอกแบบสมัครงาน หนวยการเรียนรูที่ ๓ การเขียนเพื่อการสื่อสาร ๒ การเขียนอธิบาย ชี้แจง โตแยง แสดงความคิดเห็นอยางมีเหตุผล การเขียนวิเคราะห วิจารณ แสดงความรู ความคิดเห็น หรือโตแยงสื่อ การเขียนรายงานและโครงงาน
๕๐ ๕๑ ๕๒ ๕๘ ๕๙ ๖๑ ๗๑ ๗๖ ๘๓ ๘๘ ๙๓ ๙๔ ๙๙ ๑๐๒
●
●
●
●
●
●
●
●
●
●
●
●
●
●
●
●
●
●
●
●
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา Explore Engage
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explain
Expand
Evaluate
ตอนที่ ๓ การพัฒนาทักษะการฟง การดูและการพูด
๑๑๗
หนวยการเรียนรูที่ ๑ การพูดเรื่องจากสื่อที่ฟงและดู ความรูเบื้องตนเกี่ยวกับการฟงและดูสื่อ การพูดจากสื่อที่ฟงและดู การพูดรายงานการศึกษาคนควาภูมิปญญาทองถิ�น หนวยการเรียนรูที่ ๒ การพูดในโอกาสตางๆ การพูดโตวาที การพูดอภิปราย การพูดโนมนาวใจ
๑๑๘ ๑๑๙ ๑๒๐ ๑๒๖ ๑๓๔ ๑๓๕ ๑๔๐ ๑๔๓
●
●
●
●
●
●
ตอนที่ ๔ หลักการใชภาษา หนวยการเรียนรูที่ ๑ การใชคําในภาษาไทย คําภาษาตางประเทศในภาษาไทย การใชคําทับศัพทและศัพทบัญญัติตางๆ หนวยการเรียนรูที่ ๒ การวิเคราะหภาษา การวิเคราะหโครงสรางของประโยคซับซอน ระดับภาษา รูปแบบการใชภาษาระดับตางๆ องคประกอบในการเลือกใชระดับภาษาเพื่อการสื่อสาร หนวยการเรียนรูที่ ๓ การแตงบทรอยกรองประเภทโคลงสี่สุภาพ ลักษณะของโคลง ประเภทของโคลง การแตงโคลงสี่สุภาพ บรรณานุกรม ●
●
●
●
●
●
●
●
●
๑๔๗ ๑๔๘ ๑๔๙ ๑๖๐ ๑๖๗ ๑๖๘ ๑๗๕ ๑๗๘ ๑๗๙ ๑๘๒ ๑๘๓ ๑๘๓ ๑๘๔ ๑๘๘
กระตุน ความสนใจ Engage
ตอนที่
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
ñ การพัฒนาทักษะการอาน
˹ѧÊ×͹ÕéÁÕÁÒ¡ÁÒÂËÅÒª¹Ô´ ãËŒ¤ÇÒÁÃÙŒÊíÒàÃÔ§ºÑ¹à·Ô§ã¨ ÁÕÇÔªÒËÅÒÂÍ‹ҧµ‹Ò§¨íҾǡ ÇÔªÒ¡ÒÃÊÃÃÁÒÊÒþѹ
กระตุนความสนใจ นักเรียนอานบทรอยกรองประเภท กลอนสุภาพที่ปรากฏหนาตอน จากนั้นครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา • นักเรียนคิดวาบทรอยกรองที่ได อานนั้นมีจุดมุงหมายอยางไร (แนวตอบ มีจุดมุงหมายเพื่อ สงเสริมการอานหนังสือ เพราะ การอานหนังสือมีประโยชน ให ทั้งความรูและความบันเทิง) • กวีสามารถใชภาษาเพื่อสื่อสาร ไดตรงกับวัตถุประสงคหรือไม อยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถ ตอบไดอยางหลากหลาย ตาม พื้นฐานความรู ความคิดและ ความเขาใจ)
¹íҴǧ¨ÔµàÃÔ§Ã×蹪×è¹Ê´ãÊ ©Ñ¹¨Ö§ã½†ã¨ÊÁҹ͋ҹ·Ø¡Çѹ ŌǹÊдǡ¤Œ¹ä´ŒãËŒÊØ¢Êѹµ ªÑèǪÕÇѹ©Ñ¹Í‹Ò¹ä´ŒäÁ‹àº×èÍàÅÂ
(สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี)
คูมือครู
1
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
(หนาพิมพและตัวอักษรในกรอบนี้มีขนาดเล็กกวาฉบับนักเรียน 20%)
เปาหมายการเรียนรู 1. บอกความหมายและความสําคัญ ของการอานได 2. บอกจุดประสงคของการอานได 3. อานออกเสียงบทรอยแกวและ รอยกรองไดถูกตองตามอักขรวิธี และความไพเราะเหมาะสม 4. มีมารยาทในการอาน
กระตุนความสนใจ 1. นักเรียนดูภาพประกอบหนาหนวย จากนั้นครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา • กลุมบุคคลในภาพกําลังอยูใน สถานการณใดและนักเรียน คิดวาสถานการณดังกลาวใช ทักษะการสื่อสารประเภทใด 2. นักเรียนชมวีดิทัศนรายการ ขาวประจําวัน จากนั้นครู ตั้งคําถามกับนักเรียนวา • ผูประกาศขาวใชทักษะการ สื่อสารประเภทใด (แนวตอบ ผูประกาศขาวใชทักษะ การอาน) • นักเรียนประทับใจ ผูประกาศขาวคนใด และเพราะ เหตุใด (แนวตอบ นักเรียนสามารถ ตอบไดอยางหลากหลายตาม ประสบการณและคานิยม สวนตน)
หนวยที่
การอานออกเสียง ตัวชี้วัด ■ ■
■
■
คูมือครู
อานออกเสียงบทรอยแกวและบทรอยกรองไดถกู ตอง (ท ๑.๑ ม.๓/๑) มีมารยาทในการอาน (ท ๑.๑ ม.๓/๑๐)
สาระการเรียนรูแกนกลาง ■
2
ñ
การอานออกเสียงบทรอยแกวที่เปนบทความทั่วไปและ บทความปกิณกะ การออกเสียงบทรอยกรอง เชน กลอนบทละคร กลอนเสภา กาพยยานี 11 กาพยฉบัง 16 และโคลงสี่สุภาพ มารยาทในการอาน
การอานออกเสียงเปนวิธีการอานที่
ควรใชนํ้าเสียงใหถูกตอง สอดคลอง และ มีความเหมาะสมกับเนื้อเรื่องแตละประเภท รวมถึงการรูจ กั ฝกฝนการอานอยางสมํา่ เสมอ จะชวยทําใหมีพื้นฐานการอานที่ดี เกิดความ ชํานาญในการอาน รวมถึงการรูจักมารยาทใน การอานและปฏิบัติไดอยางถูกตอง เหมาะสม จึง จะไดรับการยอมรับนับถือจากบุคคลอื่น
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
กระตุนความสนใจ ครูตั้งคําถามกับนักเรียนเพื่อ กระตุนความสนใจและกระบวนการ เรียนรู • นักเรียนคิดวาทักษะการอาน มีความสําคัญตอชีวิตประจําวัน อยางไร (แนวตอบ คําตอบขึ้นอยูกับ ดุลยพินิจของครูผูสอน)
๑ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการอ่าน
ทักษะการสือ่ สารของมนุษย์ ประกอบไปด้วย การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน การฟัง และการอ่านเป็นทักษะที่จ�าเป็นส�าหรับมนุษย์ในการสื่อสารเพื่อศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม การฟังเป็น ทักษะซึ่งอาจมีข้อจ�ากัดเรื่องเวลา สถานที่และความคงทนของสาร ส่วนการอ่านเป็นทักษะที่ส�าคัญใน การแสวงหาความรู้ ทั้งนี้ด้วยสื่อที่ใช้ส�าหรับการอ่านมีความคงทนมากกว่า ไม่มีข้อจ�ากัดเรื่องเวลาและ สถานที่ ดังนั้นจึงถือได้ว่า ทักษะการอ่านมีความจ�าเป็นและมีความส�าคัญส�าหรับผู้ที่ต้องการแสวงหา ความรู้และเพิ่มพูนประสบการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส�าหรับนักเรียน นักศึกษา เพราะความส�าเร็จ ทางการศึกษาย่อมขึ้นอยู่กับความสามารถและพื้นฐานทางการอ่านที่ดี
สํารวจคนหา
๑.๑ ความหมายและความส�าคัญ
1. ครูรวมสนทนากับนักเรียนใน ประเด็น “ความหมายและความ สําคัญของการอาน” จากนั้นให นักเรียนสืบคนความหมายและ ความสําคัญของการอาน 2. นักเรียนแลกเปลี่ยนความรู ความคิดเห็นเพื่อคนหาความ แตกตางระหวางคําวา “อานได” กับ “อานเปน”
๑.๒ ระดับของการอ่าน
อธิบายความรู
การอ่าน คือกระบวนการรับรู้และเข้าใจสารที่เป็นลายลักษณ์อักษร จากนั้นจึงแปลสัญลักษณ์ อักษรเหล่านั้นเป็นความรู้ โดยอาศัยทักษะการอ่าน กระบวนการคิด ประสบการณ์และความรู้ของ ผูอ้ า่ นรวมถึงเมือ่ อ่านจบแล้ว ผูอ้ า่ นสามารถแสดงความคิดเห็นทีม่ ตี อ่ เรือ่ งทีอ่ า่ น ทัง้ ในลักษณะเห็นด้วย คล้อยตามหรือโต้แย้ง ในการอ่านแต่ละครัง้ ไม่เพียงแต่ผอู้ า่ นจะได้รบั สาระหรือเรือ่ งราวทีผ่ เู้ ขียนต้องการ น�าเสนอเท่านั้น แต่ผู้อ่านยังสามารถรับรู้ทรรศนะ เจตนา อารมณ์และความรู้สึกที่ผู้เขียนถ่ายทอดมา ในสาร ซึ่งสิ่งที่ได้รับจากการอ่านในแต่ละครั้งจึงมีทั้งส่วนที่เป็นเนื้อหาสาระ คือ ข้อเท็จจริง และส่วนที่ เป็นอารมณ์ความรูส้ กึ หรือทรรศนะของผูเ้ ขียน ซึง่ จ�าเป็นต้องอาศัยการฝึกฝนทักษะและประสบการณ์ ในการตีความตามวัตถุประสงค์ที่แท้จริง ดังนั้นจึงจ�าเป็นต้องฝึกทักษะการอ่านเพื่อให้เข้าใจได้ตรงตาม วัตถุประสงค์ของผู้เขียน ระดับของการอ่านแบ่งเป็น ๒ ระดับคือ อ่านได้และอ่านเป็น การรับรู้จากการอ่านโดยทั่วไป เริ่มจากระดับที่เรียกว่า อ่านได้ คือสามารถแปลความหมาย รับรู้สารผ่านตัวอักษร ส่วนในระดับ อ่านเป็น ผู้อ่านจะสามารถจับใจความส�าคัญ แนวคิดของเรื่อง รวมถึงความหมายแฝง หรือความหมาย ทีไ่ ด้จากการตีความ สามารถประเมินค่าของสารทีอ่ า่ นได้ ซึง่ จะต้องขึน้ อยูก่ บั ความรูแ้ ละประสบการณ์ของ ผู้อ่านแต่ละคน
๑.๓ จุดประสงค์ของการอ่าน
การอ่านหนังสือ มีจุดประสงค์ส�าคัญ ดังนี้ ๑) อ่านเพื่อการเขียน คือการอ่านเพื่อน�าความรู้มาใช้ในการเขียน เช่น เรียงความ บทความ สารคดี ฯลฯ ซึ่งผู้อ่านควรวิเคราะห์ความถูกต้องของข้อมูล คัดเลือกข้อมูลที่เหมาะสม น�าไปใช้เขียนหรืออ้างอิง เช่น การอ่านหนังสือเรื่อง วัฏจักรชีวิตของกบ เพื่อน�าข้อมูลมาเขียนรายงาน วิชาวิทยาศาสตร์ http://www.aksorn.com/LC/Thai_Gra/M3/01
EB GUIDE
3
1. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบาย ความรูเกี่ยวกับความหมายของ การอาน (แนวตอบ การอาน คือ กระบวนการ รับรูและเขาใจสารที่เขียนเปนลายลักษณอักษร และแปลสัญลักษณ เปนความรูและความเขาใจ) 2. นักเรียนรวมกันอธิบายความรู เกี่ยวกับความสําคัญของการอานที่ มีตอกระบวนการเรียนการสอน 3. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนอธิบาย ความรูเกี่ยวกับความแตกตาง ระหวางการ “อานได” และ “อานเปน” (แนวตอบ อานได คือ การรับรู เนื้อหาสาระจากการอาน สามารถ แปลความหมายได สวนอานเปน ผูอานจะตองตีความแนวคิด ประเมินคาเรื่องที่อานไดดวย ตนเอง) คูมือครู
3
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
(ยอจากฉบับนักเรียน 20%)
กระตุนความสนใจ ครูรวมสนทนากับนักเรียนใน ประเด็นเกี่ยวกับประเภทของหนังสือ ที่พบเห็นในชีวิตประจําวัน จากนั้น ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา • นักเรียนคิดวาในชีวิตประจําวัน ของมนุษยอานหนังสือเพื่อ จุดประสงคใด (แนวตอบ นักเรีียนสามารถ ตอบไดอยางหลากหลาย ตาม พื้นฐานความรู ความเขาใจ เชน อานเพื่อความรู อานเพื่อความ เพลิดเพลิน เปนตน)
สํารวจคนหา 1. นักเรียนจับคูกับเพื่อนรวมกัน คนหาหรือแลกเปลี่ยนความรูใน ประเด็น “จุดประสงคของการ อาน” ตามพื้นฐานความรูที่มี อยูเดิมและคนหาเพิ่มเติมจาก แหลงเรียนรูอื่น 2. นักเรียนคนหาความรูในประเด็น “ประเภทของการอาน” จาก หนังสือเรียน ในหนา 4
อธิบายความรู
๒) อ่านเพื่อหาค�าตอบ คือการอ่านเพื่อต้องการค�าตอบส�าหรับประเด็นค�าถามหนึ่งๆ
จากแหล่งค้นคว้าและเอกสารประเภทต่างๆ เพิม่ พูนความรูใ้ ห้แก่ตนเอง เช่น การอ่านหนังสือวิชาฟิสกิ ส์ เพื่อหาค�าตอบเกี่ยวกับสาเหตุการเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติ ๓) อ่านเพือ่ ปฏิบตั ติ าม คือการอ่านเพือ่ ท�าตามค�าแนะน�าในข้อความหรือหนังสือทีอ่ า่ น เช่น การอ่านฉลากยา เพื่อดูค�าแนะน�าเกี่ยวกับการใช้ยา หรือการอ่านต�าราอาหาร ที่มีการอธิบาย ขั้นตอน วิธีการท�า รวมถึงเครื่องปรุงส่วนผสมโดยละเอียด ซึ่งการอ่านด้วยวัตถุประสงค์ดังกล่าวนี้ ผู้อ่านจะต้องท�าความเข้าใจรายละเอียดทุกขั้นตอนเพื่อสามารถปฏิบัติตามได้ ๔) อ่านเพือ่ หาความรูห้ รือสะสมความรู ้ คือการอ่านเพือ่ เพิม่ พูนประสบการณ์ ความรู้ โดยท�าได้ทงั้ ผูอ้ า่ นทีเ่ ป็น นักเรียน นักศึกษา หรือบุคคลทัว่ ไป และไม่จา� เป็นต้องมีโอกาส หรือกาลเทศะ มาก�าหนดให้ต้องอ่าน ซึ่งการอ่านในแต่ละครั้งควรเก็บและเรียบเรียงประเด็นส�าคัญของเรื่องที่อ่าน ไว้เป็นคลังความรู้ส�าหรับน�ามาใช้อ้างอิงในภายหลัง เช่น การอ่านหนังสือทางวิชาการ ๕) อ่านเพื่อความบันเทิง คือการอ่านตามความพอใจของผู้อ่าน ซึ่งผู้อ่านจะได้รับ ความเพลิดเพลิน นอกจากนี้ยังสามารถช่วยยกระดับจิตใจ ช่วยให้เกิดความสุข ผ่อนคลาย คลายความ ทุกข์ใจ และบางครั้งผู้อ่านอาจได้ข้อคิดหรือแนวทางในการใช้ชีวิต เช่น การอ่านนวนิยาย นิตยสาร วารสาร เป็นต้น ๖) อ่านเพื่อรู้ข่าวสาร วสาร คือการอ่านเพื่อศึกษา รับรู้ความเป็นไปของโลก และพัฒนา ความรู้ของตนเอง เช่น การอ่านข่าว นิตยสาร วารสาร เป็นต้น ๗) อ่านเพื่อแก้ปัญหา หา คือการอ่านเพื่อหาค�าาตอบ ตอบ หรือแนวทางการแก้ปัญหาเรื่องใด เรื่องหนึ่ง เช่น การอ่านพจนานุกรม เพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับค�าศัพท์ ความหมาย การสะกดการันต์ที่ ถูกต้อง หรือการอ่านหนังสือแนะน�าการเดินทาง แผนที่ เป็นต้น
๑.๔ ประเภทของการอ่าน
โดยทั่วไปการอ่านแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือการอ่านออกเสียงและการอ่านในใจ ดังนี้ ๑) การอ่านออกเสียงง คือการอ่านหนังสือโดยที่ผู้อ่านเปล่งเสียงออกมาดังๆ ในขณะ ที่อ่าน โดยมีจุดมุ่งหมายต่างๆ เช่น เพื่อสร้างความบันเทิง เพื่อถ่ายทอดข่าวสาร เพื่อประกาศ เพื่อ รายงานหรือเพื่อแถลงนโยบาย ดังนั้นการอ่านออกเสียง จึงเป็นการแปลรูปสัญลักษณ์หรืออักษร ออกเป็นเสียง จากนั้นจึงแปลสัญญาณเสียงเป็นความหมาย ซึ่งผู้อ่านต้องระมัดระวังการออกเสียง ทัง้ เสียง “ร” “ล” ค�าควบกล�า้ การสะกด จังหวะ ลีลา และการเว้นวรรคตอนให้ถกู ต้องไพเราะเหมาะสม ๒) การอ่านในใจ คือการท�าความเข้าใจสัญลักษณ์ที่บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร รวมถึงรูปภาพและเครื่องหมายต่างๆ ออกเป็นความหมายโดยใช้สายตาทอดไปตามตัวอักษรหรือ สัญลักษณ์แล้วจึงใช้กระบวนการคิด แปลความหมาย ตีความ เพื่อรับสารของเรื่องนั้นๆ
1. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบาย ความรูเกี่ยวกับจุดประสงคของ การอาน (แนวตอบ จุดประสงคของการอาน ไดแก 1. อานเพื่อการเขียน 2. อานเพื่อหาคําตอบ 3. อานเพื่อความบันเทิง 4 ฯลฯ) 2. นักเรียนรวมกันอธิบายความรู เกี่ยวกับประเภทของการอานใน ชีวิตประจําวัน โดยเปรียบเทียบใหเห็นความแตกตาง (แนวตอบ การอานแบงออกเปน 2 ประเภท คือ 1. การอานออกเสียง คือ การอานหนังสือโดยผูอานเปลงเสียงออกมาดังๆ ในขณะที่อาน 2. การอานในใจ คือ การทําความเขาใจสัญลักษณที่บันทึกไวเปนลายลักษณอักษร ออกเปนความหมายโดยใชสายตาทอดไปตามตัวอักษร แลวจึงใชกระบวนการคิด แปลความ ตีความเพื่อรับสารนั้นๆ)
4
คูมือครู
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
Explain
Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
กระตุนความสนใจ ครูสนทนากับนักเรียนในประเด็น มารยาทในการอานออกเสียง โดย ชี้ใหนักเรียนเห็นความสําคัญ จากนั้น ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา • นักเรียนคิดวา การมีมารยาทใน การอานออกเสียงมีความสําคัญ ตอชีวิตประจําวันอยางไร (แนวตอบ คําตอบขึ้นอยูกับ ดุลยพินิจของครูผูสอน)
ตารางแสดงขั้นตอนการอ่านออกเสียงและการอ่านในใจ วิธีการ
ขั้นตอน
๑
๒
การอ่านออกเสียง
รับรู้ตัวหนังสือ
แปลสัญลักษณ์ ตัวอักษรเป็นเสียง => การพูด
การอ่านในใจ
รับรู้ตัวหนังสือ
แปลสัญลักษณ์ ตัวอักษรเป็น ความหมาย => รับรู้ความหมาย
๓ แปลเสียงเป็น ความหมาย => รับรู้ความหมาย
สํารวจคนหา นักเรียนจับคูกับเพื่อนรวมกัน คนหาความรูเกี่ยวกับมารยาทใน การอานออกเสียง โดยวิธีการสนทนา แลกเปลี่ยนความรูเดิมของตนเอง หรือจากแหลงเรียนรูอื่นๆ เชน หนังสือเรียน เว็บไซตทางการศึกษา ฯลฯ บันทึกความรูที่ไดลงสมุด
๑.๕ มารยาทในการอ่านออกเสียง การอ่าน คือ เครือ่ งมือส�าคัญในการศึกษาหาความรูแ้ ละเพิม่ พูนประสบการณ์ในด้านต่างๆ ให้แก่ ผูอ้ า่ น จึงถือได้วา่ ทักษะการอ่านเป็นทักษะทีม่ คี วามจ�าเป็น ผูอ้ า่ นทีด่ ตี อ้ งมีมารยาทหรือข้อควรประพฤติ ปฏิบัติในการอ่านออกเสียง ดังนี้ ๑. การใช้น�้าเสียง คือควรพิจารณาใช้น�้าเสียงให้สอดคล้อง เหมาะสมกับเนื้อหา ไม่ควร ดัดเสียงจนฟังไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งอาจท�าให้ผู้ฟังท�าความเข้าใจเนื้อหาไม่ตรงกับเจตนาของผู้อ่าน รวมถึงการดัดเสียงจนเกินงาม ก็อาจสร้างความร�าคาญแก่ผู้ฟังได้ ๒. มีบุคลิกภาพที่ดี คือการจัดระเบียบท่ายืน หรือนั่งให้เหมาะสม ไม่หลุกหลิก และ ไม่ควรยกร่างข้อความขึ้นมาให้ผู้ฟังเห็น หรือก้มหน้าก้มตาอ่านจนไม่สนใจผู้ฟัง ๓. ควรสังเกตปฏิกริ ยิ าของผูฟ้ งั คือการสังเกตดูวา่ ผูฟ้ งั สามารถท�าความเข้าใจเรือ่ งราวตาม ผู้อ่านทันหรือไม่ รวมถึงสังเกตว่าผู้ฟังให้ความสนใจมากน้อยเพียงไร แล้วจึงปรับเพิ่ม - ลดความเร็ว ในการอ่าน ลีลาน�้าเสียง เป็นต้น เพื่อดึงให้ผู้ฟังกลับมามีส่วนร่วมกับผู้อ่าน ๔. ไม่ควรแสดงอารมณ์โมโห หงุดหงิด ฉุนเฉียว หรือใช้ถ้อยค�าไม่สุภาพ ว่ากล่าวตักเตือน เมือ่ เห็นว่าผูฟ้ งั ไม่สนใจ หรือพูดคุยเสียงดัง หากแต่ควรรูจ้ กั ระงับอารมณ์ และอาจถามผูฟ้ งั เพือ่ ปรับปรุง ต่อไป
อธิบายความรู นักเรียนรวมกันอธิบายความรู เกี่ยวกับ “มารยาทในการอาน ออกเสียง” จากนั้นใหนักเรียนรวมกัน จัดทําแผนปายนิเทศเพื่อเผยแพร
ขยายความเขาใจ
5
ครูทบทวนความรู ความเขาใจให แกนักเรียนเกี่ยวกับมารยาทในการ อานออกเสียง จากนั้นครูตั้งคําถาม กับนักเรียนวา • นักเรียนคิดวาวิธีการใดที่จะ รณรงคใหบุคคลทั่วไปในสังคม เห็นความสําคัญของมารยาทใน การอานออกเสียง (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดง ความคิดเห็นไดอยางหลากหลาย คําตอบขึ้นอยูกับดุลยพินิจของ ครูผูสอน เชน ประชาสัมพันธดวย แผนพับ การปฏิบัติตนเองใหเปน ตัวอยางที่ดี ฯลฯ) คูมือครู
5
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา Engage
Explore
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
(ยอจากฉบับนักเรียน 20%)
กระตุนความสนใจ ครูนําตัวอยางคลิปเสียงการเลา นิทานหรือพากยบทภาพยนตรที่ สามารถสืบคนไดจากสื่ออินเทอรเน็ต หรือครูเปนผูบันทึกเสียงเอง มาเปด ใหนักเรียนฟง โดยคลิปเสียงตองเปน ตัวอยางที่ดี ออกเสียงชัดเจน ถูกตอง ใชนํ้าเสียงไดไพเราะ และมีความ เหมาะสมกับเนื้อเรื่อง อารมณ ความรูสึกของตัวละคร จากนั้น ครูตั้งคําถามกับนักเรียน โดยให แสดงความคิดเห็นอยางอิสระ • นักเรียนคิดวาคลิปเสียงดังกลาว มีลักษณะการออกเสียงอยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ ไดอยางหลากหลาย คําตอบขึ้น อยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน)
๒ การอ่านออกเสียงบทร้อยแก้ว ร้อยแก้ว หมายถึง ความเรียงที่สละสลวยในรูปแบบการบรรยาย พรรณนา เทศนา สาธกหรือ อุปมาโวหาร รวมถึงบทพูด บทสนทนา บทสัมภาษณ์ ประกาศหรือข่าวสารต่างๆ ดังนั้น ร้อยแก้วจึง เป็นความเรียงที่เรียบเรียงขึ้นโดยไม่มีการบังคับสัมผัสฉันทลักษณ์ การอ่านออกเสียงร้อยแก้ว หมายถึง การอ่านหนังสือโดยการที่ผู้อ่านเปล่งเสียงออกมาดังๆ ในขณะที่อ่าน โดยมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน เช่น เพื่อถ่ายทอดความรู้ เพื่อสร้างความบันเทิง และความพอใจ ซึ่งการอ่านออกเสียงในแต่ละครั้งอาจมีจุดมุ่งหมายหลายๆ ประการรวมกัน หรือมี จุดมุ่งหมายเฉพาะ เช่น การอ่านประกาศ รายงาน แถลงการณ์ ฯลฯ ผู้อ่านต้องค�านึงถึงการอ่านให้ ถูกต้องตามอักขรวิธี การใช้นา�้ เสียงและลีลาในการอ่านให้สอดคล้องเหมาะสมกับเรือ่ งและควรฝึกปฏิบตั ิ อย่างสม�่าเสมอ
๒.๑ แนวทางการอ่านออกเสียงบทร้อยแก้วเบือ้ งต้น
ความเรียงที่เขียนในลักษณะร้อยแก้วมีอยู่หลายประเภท ซึ่งอาจจะท�าให้ลีลาในการอ่าน แตกต่างกันออกไป แต่ก็อาศัยหลักเกณฑ์ที่ไม่แตกต่างกัน ดังนี้ ๑. ผู ้ อ ่ า นต้ อ งอ่ า นให้ ถู ก ต้ อ งตามอั ก ขรวิ ธี ใ นภาษา ทั้ ง ภาษาไทยและภาษาที่ ยืมมาจากภาษาอื่นๆ เช่น บาลี สันสกฤต เขมร ฯลฯ โดยอาศัยหลักการอ่านจากพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน รวมทั้งค�าที่อ่านตามความนิยม ๒. ผู้อ่านต้องมีสมาธิและความมั่นใจ ในการอ่าน ไม่อ่านผิด อ่านตก อ่านเติม ขณะ อ่านต้องควบคุมสายตาให้ไล่ไปตามตัวอักษรทุกตัว ในแต่ละบรรทัดจากซ้ายไปขวาด้วยความรวดเร็ว ว่องไวและรอบคอบ แล้วย้อนสายตากลับลงไปยัง บรรทัดถัดไปอย่างแม่นย�า ๓. ผูอ้ า่ นควรอ่านให้เป็นเสียงพูด โดย เน้นเสียงหนักเบา สูง ต�่า ตามลักษณะการพูด ทัง้ นีใ้ ห้ใช้เนือ้ หาสาระของบทอ่านเป็นหลัก รวมทัง้ ควรพิจารณาเนื้อความว่าเป็นไปในทางใด เช่น ตื่นเต้น โกรธ ผิดหวัง ฯลฯ ควรใช้น�้าเสียงให้ เหมาะสมกับลักษณะอารมณ์ตามเนื้อหาในเรื่อง
สํารวจคนหา 1. นักเรียนจับคูกับเพื่อนรวมกัน คนหาความรูในประเด็น “ความหมายของรอยแกว” 2. นักเรียนสืบคนคลิปเสียงจาก สื่ออินเทอรเน็ต โดยเลือกเรื่องที่ ตนเองประทับใจ สํารวจคนหา แนวทางการอานออกเสียงจาก คลิปเสียงที่เลือก 3. นักเรียนสืบคนแนวทางการอาน ออกเสียงบทรอยแกวจากแหลง เรียนรูตางๆ เชน หนังสือเรียน ในหนา 6 - 7 หรือเว็บไซตทาง การศึกษา
การฝกการอ่านออกเสียงให้มีความถูกต้องและชัดเจน สามารถนําไปใช้ประกอบอาชีพในอนาคตได้
6
นักเรียนควรรู
6
คูมือครู
ใชนํ้าเสียงใหเหมาะสมกับลักษณะอารมณตามเนื้อหาในเรื่อง ผูอานที่ดีควรศึกษาเนื้อเรื่อง กอนการอานจริง เพื่อใหมีเวลาสําหรับการเตรียมตัว คําใดที่ไมแนใจก็ควรเปดหาคําอานจาก พจนานุกรม โดยเฉพาะการเลานิทาน ผูเลาจะตองเขาใจเนื้อหาเปนอยางดีจึงจะใชนํ้าเสียงได เหมาะสม
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
Explain
Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
อธิบายความรู ๔. ผู้อ่านต้องอ่านให้เสียงดังพอสมควร ไม่ตะโกนหรือแผ่วเบาจนเกินไป ซึ่งจะท�าให้ ผู้ฟังเกิดความร�าคาญและไม่สนใจ ๕. เมือ่ อ่านจบย่อหน้าหนึง่ ควรผ่อนลมหายใจ และเมือ่ ขึน้ ย่อหน้าใหม่ควรเน้นเสียง และ ทอดเสียงให้ช้าลงกว่าปกติเล็กน้อยเพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้ฟัง จากนั้นจึงใช้เสียงในระดับปกติ ๖. อ่านให้ถูกจังหวะวรรคตอน ต้องอ่านให้จบค�าและได้ใจความ ถ้าเป็นค�ายาวหรือ ค�าหลายพยางค์ ไม่ควรหยุดกลางค�าหรือตัดประโยคจนเสียความ ๗. รู้จักเน้นค�าที่ส�าคัญและค�าที่ต้องการเพื่อให้เกิดจินตภาพตามที่ต้องการ การเน้น ควรเน้นเฉพาะค�า ไม่ใช่ทั้งวรรคหรือทั้งประโยค เช่น “กลิ่นของดอกไม้นั้น หอมหวน ยิ่งกว่ากลิ่นใดๆ ที่เคยได้สัมผัส” ควรเน้นที่ค�าว่า หอมหวน เพื่อให้ผู้ฟังจินตนาการถึงดอกไม้นานาพันธุ์ที่ส่งกลิ่นหอม และเป็นกลิ่นหอมที่ไม่เหมือนกลิ่นหอมอื่นใดที่เคยสัมผัส ๘. เมือ่ อ่านข้อความทีม่ เี ครือ่ งหมายวรรคตอนก�ากับ ควรอ่านให้ถกู ต้องตามหลักภาษา เช่น โปรดเกล้าฯ ต้องอ่านว่า โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม, ทุกวันๆ อ่านว่า ทุกวันทุกวัน ส่วนค�าที่ใช้ อักษรย่อต้องอ่านให้เต็มค�า เช่น พ.ศ. อ่านว่า พุด-ทะ-สัก-กะ-หราด, ผบ.ทบ. อ่านว่า ผู้บัญชาการ ทหารบก ในระดับชัน้ นีจ้ ะกล่าวถึงการอ่านออกเสียงบทความทัว่ ไปและบทความปกิณกะ โดยการฝึกอ่าน ตามเครื่องหมายที่ก�าหนด ดังนี้ / เว้นวรรคเล็กน้อยเพื่อหยุดหายใจ // เว้นวรรคเมื่ออ่านจบข้อความหลัก ___ แสดงค�าที่เน้นเสียงหนัก ... ทอดเสียง ข้อควรระวัง ๑. ไม่เว้นวรรคระหว่างประธาน กริยาและกรรม ทั้งไม่เว้นวรรคระหว่างค�าเชื่อม ๒. หากประธานเดิมมีค�ากริยาหลายตัว กริยาตัวต่อๆ ไปให้เว้นวรรคได้บ้าง
๒.๒ การอ่านออกเสียงบทร้อยแก้วประเภทบทความ ๑) การอ่านบทความทั่วไป บทความ คือ ความเรียงที่ผู้เขียนน�าเสนอข้อเท็จจริง
เกี่ยวกับเรื่องราวหรือองค์ความรู้ต่างๆ สู่ผู้อ่าน ซึ่งอาจมีการแสดงทรรศนะ ข้อคิดเห็นของผู้เขียน บทความสามารถแบ่งได้หลายประเภทตามเนือ้ หาทีน่ า� เสนอ เช่น บทความวิชาการ บทความท่องเทีย่ ว บทความแสดงความคิดเห็นในเรือ่ งราวต่างๆ ดังนัน้ ผูอ้ า่ นต้องจับประเด็นบทความทีอ่ า่ นให้ได้วา่ เนือ้ หา ตอนใดเป็นข้อเท็จจริง ตอนใดเป็นข้อคิดเห็น ฯลฯ 7
ขยายความเขาใจ
1. นักเรียนที่จับคูกันออกมาอธิบาย ความรูเกี่ยวกับความหมายของ รอยแกวและการอานออกเสียง รอยแกว (แนวตอบ รอยแกว หมายถึง ความ เรียงทุกประเภทที่เรียบเรียงขึ้น โดยไมมีการบังคับฉันทลักษณ การอานออกเสียงบทรอยแกว หมายถึง การอานออกเสียงงาน เขียนประเภทความเรียงเพื่อสาระ ความรู รวมถึงทรรศนะ โดยผูอาน จะตองอานใหถูกตองตามอักขรวิธี และความนิยม) 2. นักเรียนแตละคนอธิบายความรู เกี่ยวกับแนวทางการอานออกเสียง ที่สํารวจไดจากคลิปเสียงตัวอยาง (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบได อยางหลากหลาย โดยขึ้นอยูกับ ธรรมชาติของคลิปเสียงที่นักเรียน สืบคน) 3. นักเรียนรวมกันอธิบายความรู เกี่ยวกับแนวทางการอานออกเสียง ที่ไดสํารวจจากคลิปของแตละคน ใหตัวแทนออกมาเขียนแนวทางที่ ไดบนกระดาน จากนั้นใหนักเรียน รวมกันแลกเปลี่ยนความรูแนวทาง การอานออกเสียงที่มีลักษณะ ตรงกัน (แนวตอบ การอานออกเสียง บทรอยแกวเบื้องตนมีแนวทาง ปฏิบัติดังนี้ 1. อานใหถูกตองตามอักขรวิธีใน ภาษา เชน คําควบกลํ้า 2. มีสมาธิและความมั่นใจใน การอาน 3. อานใหเปนเสียงพูด ให เหมาะสมกับเนื้อหาสาระที่อาน ฯลฯ)
ครูทบทวนความรูเกี่ยวกับแนวทางการอานออกเสียงใหแกนักเรียน จากนั้นครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา • นักเรียนคิดวาจะนําแนวทางการอานออกเสียงบทรอยแกวเบื้องตนไปใชในชีวิตประจําวันทั้งในปจจุบันและ อนาคตไดอยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็นไดอยางอิสระ คําตอบขึ้นอยูกับดุุลยพินิจของครูผูสอน) คูมือครู
7
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา Engage
อธิบายความรู
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
(ยอจากฉบับนักเรียน 20%)
กระตุนความสนใจ ครูสนทนากับนักเรียนเพื่อกระตุน ความสนใจโดยแจงใหทราบวา การเรียนการสอนเรื่องการอานออก เสียง จะเนนใหนักเรียนไดลงมือ ปฏิบัติทักษะ
การอ่านบทความทั่วไป ผลวิจัยชี้คุยมือถือแนบหู สมองท�ำงำนหนักขึ้น ๗ % (ไทยโพสต์) ผลวิจัยชี้ว่ำเอำมือถือแนบหู ๕๐ นำที มีผลต่อกำรท�ำงำนของสมองส่วนใกล้เสำสัญญำณ ดร.โนรา โวลโกว/ กล่าวว่า... การวิจัยนี้/เป็นไปเพื่อหาปฏิกิริยาการท�างานของสมอง/ ต่อคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า จากเสาสัญญาณของมือถือ// ซึง่ ผลวิจยั ระบุวา่ / การคุยมือถือแนบกับใบหู/ จะท�าให้สมองใช้พลังงานมากขึ้นในส่วนที่ใกล้// คณะผูว้ จิ ยั สแกนสมองของอาสาสมัครทัง้ หมด ๔๗ คน โดยแบ่งเป็นกลุม่ ทีใ่ ช้โทรศัพท์มอื ถือ นาน ๕๐ นาที/ และกลุ่มที่ปิดมือถือ// ผลที่ออกมาชี้ว่า/ แม้จะไม่มีปฏิกิริยารุนแรง/ต่อสัญญาณ มือถือ/ แต่พบว่ามีการเผาผลาญกลูโคสในสมองมากขึ้น ๗% ในจุดที่ใกล้เสาสัญญาณมากที่สุด// แพทริก แฮกการ์ด อาจารย์ประจ�ามหาวิทยาลัยลอนดอน/ตอบรับว่า/เป็นงานวิจัย ที่ น่าสนใจ/ เพราะเสนอว่าสััญญาณมือถือมีผลต่อสมองโดยตรง// สมองโดยตรง// แต่เขามองว่า/ กระบวนการ เผาผลาญพลังั งานสูงในสมองมีตามธรรมชาติอยูแ่ ล้ว// เช่น/ การคิดวิเคราะห์ตามปกติของมนุษย์// เผาผลาญพล ทางด้านโฆษกสมาคมผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือ// จอห์น วอลส์ ออกมาชี้แจงว่า/ หลักฐาน ง/ หรือผลเสียต่อ ทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันชี้ว่า// การใช้ ารใช้อุปกรณ์ไร้สายไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยง/ สุขภาพแต่อย่างใด// โวลโกว ยอมรั โวลโกว ยอมรับเช่นกันว่า// จ�าาเป็ เป็นต้องท�าวิจัยเพิ่ม//จึงจะสามารถตัดสินได้ว่า/ การใช้ แทน/ เพราะเชือ่ ว่า/ โทรศัพท์มอื ถือ/มีผลเสียจริงหรือไม่/ แต่ แต่ตวั เธอเอง/ใช้โทรศัพท์มอื ถือ/ผ่านหูฟงั แทน/ น/ ย่ย่อมดีกว่า... ป้องกันไว้ก่อน/
สํารวจคนหา 1. นักเรียนจับคูกับเพื่อนรวมกัน สืบคนความรูในประเด็น “อุปสรรค ในการอานออกเสียง” 2. นักเรียนรวมกันอานออกเสียง บทความตัวอยางพรอมๆ กัน โดยยังไมตองเครงครัดเรื่อง การแบงวรรคตอนและการใชเสียง ทําการบันทึกเสียงไว และเปดฟง หลังจากนั้นนักเรียนรวมกันคนหา ความรูในประเด็น “วิธีการเวน วรรคตอนและการใชนํ้าเสียงใน การอาน”
อธิบายความรู 1. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบาย ความรูเ กีย่ วกับอุปสรรคในการอาน (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบได อยางหลากหลาย ตามองคความรู ที่ไดจากการสืบคน) 2. นักเรียนรวมกันอานออกเสียง อีกครั้ง โดยใชแนวทางการอาน ที่ไดศึกษารวมกัน บันทึกเสียงไว และเปดฟง เปรียบเทียบความ แตกตางการบันทึกเสียงทั้ง 2 ครั้ง (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดง ความรู ความเขาใจ และความ คิดเห็นไดอยางอิสระ คําตอบขึ้น อยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน)
(http: //health.kapook.com/view21911.html)
จากตัวอย่าง เป็ เป็นการอ่านบทความจากอินเทอร์เน็ต สือ่ อิเล็กทรอนิกส์ทมี่ อี ทิ ธิพลต่อการสือ่ สาร ของมนุษย์มากขึ้น การอ่านบทความจากสื ของมนุ นบทความจากส่ือประเภทนี้จะท�าให้ผู้อ่านได้รับทราบข้อมูลที่หลากหลาย ลากหลาย แต่อย่างไรก็ตาม ควรอ่านอย่างมีวิจารณญาณ การอ่านบทความนี้ถ้าแบ่งเว้นวรรคผิดหรืออ่านด้วย โทนเสียงเดียว จะท�าให้ผู้ฟังไม่สนใจ แม้จะเป็นบทความที่เป็นประโยชน์ต่อการด�าเนินชีวิตประจ�าวัน ดังนั้น การฝึกฝนการอ่านตามแนวทางข้างต้น จะช่วยท�าให้เป็นผู้ที่มีทักษะทางการอ่านออกเสียงที่ด ี และยังสามารถน�าไปใช้อ่านบทความประเภทต่างๆ ในชีวิตประจ�าวันได้
8
นักเรียนควรรู อินเทอรเน็ต ปจจุบันการสื่อสารของมนุษยมีความรวดเร็วมากขึ้น เมื่อมีการสื่อสารผานระบบออนไลน อินเทอรเน็ต แตอยางไรก็ตาม ระบบอินเทอรเน็ตจะเปนประโยชนสูงสุดหากใชไปในทิศทางที่ถูกตอง
8
คูมือครู
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand
Evaluate
ขยายความเขาใจ นักเรียนนําความรูเกี่ยวกับ แนวทางการอานออกเสียง บทรอยแกวเบื้องตน ที่ไดฝกฝน รวมกับเพื่อนในชั้นเรียนมาใชเปน แนวทางอานออกเสียงบทความ ปกิณกะดวยตนเอง
๒) การอ่านบทความปกิณกะ การอ่านบทความปกิณกะ ทุกวันนี้เรามีตึกสูงขึ้น/มีถนนกว้างขึ้น/แต่ความอดกลั้นน้อยลง// เรามีบ้านใหญ่ขึ้น/แต่ครอบครัวของเรา กลับเล็กลง// เรามียาใหม่ ๆ มากขึ้น/แต่สุขภาพกลับแย่ลง// เรามีความรักน้อยลง/แต่มีความเกลียดมากขึ้น// เราไปถึงโลกพระจันทร์มาแล้ว/แต่เรากลับพบว่า... แค่การข้ามถนนไปทักทายเพื่อนบ้าน/กลับยากเย็น… เราพิชิตห้วงอวกาศมาแล้ว/แต่แค่ห้วงในหัวใจ/กลับไม่อาจสัมผัสถึง// เรามีรายได้สูงขึ้น/แต่ศีลธรรมกลับตกต�่าลง// เรามีอาหารดีๆ มากขึ้น/แต่สุขภาพแย่ลง// ทุกวันนี้/ทุกบ้านมีคนหารายได้/ได้ถึง 2 คน แต่การหย่าร้างกลับเพิ่มมากขึ้น// งว่าเพื่อโอกาสพิ โอกาส เศษ// ศษ ดังนั้น...จากนี้ไป… ขอให้พวกเราอย่าเก็บของดีดีๆ ไว้/โดยอ้อ้างว่ เพราะทุกวันที่เรายัยังมีชีวิตอยู่/คือ …โอกาสที่พิเศษสุดแล้ว จงแสวงหา แสวงหา การหยั่งรู้ ความอยาก จงนั่งตรงระเบียงบ้าน/เพื่อชื่นชมกับการมีชีวิตอยู่โดยไม่ใส่ใจกับความอยาก… จงใช้เวลากักับครอบครัว/เพื่อนฝูง/คนที่รักให้มากขึ้น... กินอาหารให้อร่อย/ไปเที่ยวในที่ที่อยากจะไป ชีวิต คือ โซ่ห่วงของนาทีแห่งความสุข/ไม่ใช่เพียงแค่การอยู่ให้รอด// เอาแก้วเจียระไนที่มีอยู่มาใช้เสีย น�้าหอมดีดีๆ ที่ชอบจงหยิบมาใช้เมื่ออยากจะใช้ พจนานุกรม เอาค�าพูดที่ว่า...สักวันหนึ่ง/ออกไปเสียจากพจนา จากพจนานุ บอกคนที่เรารักทุกคน ว่า/เรารักพวกเขาเหล่านั้นแค่ไหน... อย่าผัดวันประกันพรุ่ง/ที่จะท�าอะไรก็ าอะไรก็ตาม/ที่ท�าให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น... ทุกวัน... ทุกชั่วโมง โมง.... ทุกนาที...... มีความหมาย... เราไม่รู้เลยว่า/เมื่อไรมันจะสิ้นสุดลง// และเวลานี้... ถ้าคุณคิดว่า คุณไม่มีเวลาที่จะ copy ข้อความนี้/ไปให้คนที่คุณรักอ่าน... แล้วคิดว่า…. สักวันหนึ่ง...ค่อยส่ง... จงอย่าลืมคิดว่าสักวันหนึ่ง...วันนั้น คุณอาจไม่มีโอกาสมานั่งตรงนี้ เพื่อท�าอย่างที่คุณต้องการอีกก็ได้...
ตรวจสอบผล 1. นักเรียนออกมาอานตัวอยาง บทความปกิณกะที่แสดงไวใน หนา 9 ใหครูและเพื่อนๆ ฟง หนาชั้นเรียน จากนั้นใหเพื่อนๆ รวมกันลงคะแนนหาผูที่มีความ สามารถในการอานออกเสียง บทรอยแกวไดดีที่สุด 2. นักเรียนที่ไดรับคัดเลือกออกมา หนาชั้นเรียนบรรยายแนวทางที่ ตนเองใชในการอานบทความให เพื่อนๆ ฟง จากนั้นครูสุมเรียกชื่อ นักเรียนหรือขออาสาสมัครเพื่อ ออกมาบรรยายหลักเกณฑการ คัดเลือก 3. ครูประเมินการอานออกเสียงของ นักเรียนแตละคน แนะนําแนวทาง ปฏิบัติที่ถูกตองใหแกนักเรียน
หลักฐาน แสดงผลการเรียนรู นักเรียนสรุปแนวทางการอานออก เสียงบทรอยแกวเบื้องตนสงครูผูสอน
(จอร์จ คอลลิน http: //happyhappiness.monkiezgrove.com/)
9
นักเรียนควรรู บทความปกิณกะ หมายถึง บทความทั่วไป บทความเบ็ดเตล็ด ซึ่งบทความในลักษณะนี้อาจมีสาระประโยชน แฝงอยู ซึ่งนักเรียนสามารถอานบทความปกิณกะไดจากเว็บไซตตางๆ หรือหนังสือรวบรวมบทความ คูมือครู
9
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา Engage
อธิบายความรู
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
(ยอจากฉบับนักเรียน 20%)
กระตุนความสนใจ ครูอานบทรอยกรองประเภท ใดก็ได โดยเลือกบทที่ไพเราะ ใหนักเรียนฟง ซึ่งครูควรอานให นักเรียนฟง 2 ลักษณะ คือ การ อานแบบไมใสทํานองและการ อานแบบทํานองเสนาะ จากนั้น ตั้งคําถามกับนักเรียนวา • การอานทั้ง 2 ลักษณะให อารมณความรูสึกที่แตกตางกัน หรือไม อยางไร (แนวตอบ การอานทั้งสองแบบ ใหอารมณความรูสึกที่แตกตาง กัน เพราะการอานแบบทํานอง เสนาะจะใหความไพเราะดวย การใชนํ้าเสียงของผูอานที่สื่อไป ยังผูฟงตามทํานองและลีลาของ บทรอยกรอง)
๓ การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง ร้อยกรอง หมายถึง ค�าประพันธ์ที่แต่งโดยมีการบังคับจ�านวนค�า สัมผัส ฉันทลักษณ์ ตาม แบบแผนของร้อยกรองแต่ละประเภท ได้แก่ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ร่าย เป็นต้น การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง หมายถึง การอ่านออกเสียงงานเขียนร้อยกรองประเภทต่างๆ เพื่อสื่อเนื้อหาและอารมณ์ความรู้สึกที่ปรากฏไปสู่ผู้รับสารด้วยท่วงท�านองที่แตกต่างกัน การอ่านท�านองเสนาะ หมายถึง การอ่านออกเสียงบทร้อยกรองประเภทต่างๆ ตามท�านอง ลีลาและจังหวะของบทประพันธ์ เพือ่ ให้ผอู้ า่ น ผูฟ้ งั เข้าถึงความงดงามของภาษา การอ่านท�านองเสนาะ บทร้อยกรองจะมีความแตกต่างกันตามท�านอง ลีลา การทอดเสียงและความสามารถของผู้อ่าน
๓.๑ แนวทางการอ่านบทร้อยกรองเบือ้ งต้น
เช่น การบังคับเอก โท ครุ ลหุ เสียงวรรณยุกต์ท้ายวรรค และพยางค์หรือค�าที่บรรจุลงในวรรคหนึ่งๆ ๒) ต้องรูจ้ กั ท�านอง นอง ลีลาและการเอือ้ นเสียงของบทร้อยกรองแต่ละประเภทให้ถกู ต้อง รวมถึงต้องรู้จักวางจังหวะสัมผัสที่คล้องจองกันของบทกวีให้ถูกต้องตามต�าแหน่งให้ลงสัมผัส และ รู้จังหวะการเอื้อนเสียงเพื่อทอดจังหวะส�าหรับอ่านในบทถัดไป ๓) ต้องรู้จักเอื้อนเสียงง ตามชนิดของค�าประพันธ์นั้นๆ โดยลากเสียงช้าๆ เพื่อให้เข้า จังหวะและไว้หางเสียงให้ไพเราะ แต่ทั้งนี้ต้องไม่เอื้อนเสียงที่ค�าลหุเนื่องจากเป็นค�าที่มีเสียงสั้นและเบา ๔) ต้องรู้จักอ่านรวบค�า หรือพยางค์ที่เกินจากที่ก�าหนดไว้ในฉันทลักษณ์ โดยอ่านให้ เร็วขึ้นและเสียงให้เบาลงกว่าปกติจนกว่าจะถึงค�าหรือพยางค์ที่ต้องการจึงลงเสียงหนัก ๕) ต้องรู้จักอ่านค�า ให้ถูกต้องตามอักขรวิธี ไม่ผิดสระ ผิดพยัญชนะ หรือวรรณยุกต์ เช่น ไก่ เป็น ก่าย ครู เป็น คู ข่อน เป็น ค้อน นอกจากนี้ ควรอ่านออกเสียงพยัญชนะ /จ/ฉ/ช/ถ/ ท/ธ/ศ/ษ/ส/ เป็นต้น ให้ชัดเจนถูกต้องตามอักขรวิธีในภาษาไทย โดยไม่อ่านเป็นเสียงเสียดแทรกมาก เกินไปตามภาษาอังกฤษ และควรอ่านออกเสียงพยัญชนะ /ร/ล/ ค�าควบกล�้า ร/ล/ว ให้ชัดเจน เพราะ อาจท�าให้ผู้ฟังเข้าใจความหมายคลาดเคลื่อน และไม่ไพเราะ ๖) รู้จักใส่อารมณ์ ความรู้สึกลงในค�าประพันธ์ที่อ่าน ซึ่งหมายความว่า ผู้อ่านต้อง ท�าความเข้าใจความหมายที่แท้จริงของบทประพันธ์และสื่อไปยังผู้ฟังให้ตรงตามเจตนาที่แท้จริง ๗) พยายามไม่อ่านฉีกค�า หรือฉีกความ โดยใส่ใจเฉพาะเป็นต�าแหน่งค�าสัมผัส แต่ประการเดียว เพราะหากอ่านฉีกค�าหรือฉีกข้อความแล้วอาจท�าให้เนื้อความเสียไปหรือผู้ฟังเข้าใจ ความหมายคลาดเคลื่อนได้ เช่น
สํารวจคนหา นักเรียนจับคูกับเพื่อนรวมกัน คนหาความรูในประเด็น “แนวทาง การอานบทรอยกรองเบื้องตน” ดวย วิธีการแลกเปลี่ยนความรูจากพื้นฐาน ความรูเดิม จากหนังสือเรียน ในหนา 10 หรือเว็บไซตทางการศึกษา
อธิบายความรู นักเรียนรวมกันอธิบายความรู เกี่ยวกับแนวทางการอาน บทรอยกรองเบื้องตน ที่ไดจาก การคนหารวมกับเพื่อน (แนวตอบ การอานบทรอยกรอง เบื้องตน มีแนวทาง ดังนี้ 1. ผูอานตองรูจักฉันทลักษณ ลักษณะบังคับของรอยกรอง แตละประเภท 2. ตองรูจักทํานองลีลาการเอื้อนเสียง 3. ตองรูจักอานรวบคําหรือรวบพยางค ที่เกินจากกําหนดในฉันทลักษณ 4. ตองรูจักใสอารมณในการอาน ฯลฯ)
10
คูมือครู
๑) ต้องรู้จักฉันทลักษณ์ หรือลักษณะบังคัับของร้อยกรองประเภทต่างๆ ที่จะอ่าน
10
นักเรียนควรรู ฉันทลักษณ กวีจะเลือกใชฉันทลักษณ โดยใหมีลีลาที่เหมาะสมกับเนื้อหา และอารมณของเรื่อง เพื่อใหผูอานเกิดสุนทรียะอยางลึกซึ้ง
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand
Evaluate
กระตุนความสนใจ ครูเปดคลิปเสียงการอานออก เสียงกลอนสุภาพที่สืบคนไดจาก สื่ออินเทอรเน็ต โดยเลือกตัวอยางที่ ถูกตองและไพเราะ หรือครูเปนผูอาน ใหนักเรียนฟง จากนั้นใหนักเรียน สรุปเนื้อหาของกลอนสุภาพที่ไดฟง พรอมทั้งสังเกตลักษณะการอาน
ตัวอย่าง ม่านนี้/ ฝีมือ/ วันทองท�า เส้นไหม/ แม้นเขียน/ แนบเนียนดี
จ�าได้/ ไม่ผิด/ นัยน์ตาพี่ สิ้นฝีมือ/ แล้ว/ แต่นางเดียว (ขุนช้างขุนแผน)
วรรคสุดท้ายของค�าประพันธ์ที่ยกข้างต้น ถ้าอ่านแบบยึดต�าแหน่งค�าสัมผัสเป็นส�าคัญ จะอ่านเป็น “สิ้นฝี/มือแล้ว/แต่นางเดียว” โดยอาศัยค�าว่า “ฝี” รับสัมผัสจากค�าว่า “ดี” ซึ่งจะเห็น ได้ว่าการอ่านลักษณะนี้ท�าให้ความหมายของค�าประพันธ์คลาดเคลื่อนไป จากความหมายว่า “ฝีมือ” กลายเป็น “ฝี” ที่มือ นอกจากนี้ในวรรคสุดท้ายยังสามารถแบ่งจังหวะการอ่านได้เป็น “สิ้น/ฝีมือแล้ว/ แต่นางเดียว” จากตัวอย่างทีน่ า� มาแสดงจะไม่แบ่งจังหวะอ่านค�า “ฝีมอื ” แยกหรือออกจากกันแต่ให้อา่ น รวบค�า โดยอ่านออกเสียงเบาที่ค�า “ฝี” และลงน�้าหนักเสียงที่ค�า “มือ” ทั้งนี้เพื่อให้ได้ใจความส�าคัญ ครบถ้วนไม่เสียรสความ
สํารวจคนหา 1. นักเรียนรวมกันยกตัวอยาง วรรณคดีที่รูจัก โดยสงตัวแทนออก มาเขียนชื่อวรรณคดี (ในขั้นตอนนี้ นักเรียนอาจยกตัวอยางวรรณคดี ที่ไมไดเขียนดวยกลอนสุภาพมา ปะปนได) 2. นักเรียนจับคูก บั เพือ่ นรวมกันคนหา ความรูในประเด็นฉันทลักษณและ การแบงวรรคตอนของบทรอยกรอง ประเภทกลอนสุภาพ
๓.๒ การอ่านบทร้อยกรอง
การฝึกอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง ในที่นี้จะยกตัวอย่าง ๖ ประเภท คือ กลอนสุภาพ กลอนบทละคร กลอนเสภา โคลงสี่สุภาพ กาพย์ยานี ๑๑ และกาพย์ฉบัง ๑๖ ดังนี้ ๑) กลอนสุภาพ คือกลอนทีพ่ ฒั นามาจากกลอนเพลงยาวทีพ่ บหลักฐานว่าเริม่ มีมาตัง้ แต่ ครั้งปลายกรุงศรีอยุธยา กลอนสุภาพ ๑ บท มี ๔ วรรค วรรคละ ๗ - ๙ ค�า จึงท�าให้มีการอ่านในแต่ละ วรรคสามารถแบ่งค�าได้เป็น ๒ / ๒ / ๓ หรือ ๒ / ๓ / ๓ หรือ ๓ / ๒ / ๓ หรือ ๓ / ๓ / ๓ เป็นต้น ซึง่ กลอน ในยุคแรกยังจัดระบบการส่งสัมผัสบังคับระหว่างวรรคไม่ค่อยลงตัว เช่น “จะกล่าวถึง/กรุงศรีอยุธยา อันเป็นกรุงรัตนราช/พระศาสนา มหาดิดิลก/อันเลิศล้น” รวมถึงยังไม่มีการก�าหนดเสียงวรรณยุกต์ ท้ายวรรคเหมือนกลอนในยุคหลัง ภายหลังสุนทรภู่ปรับรูปแบบการประพันธ์กลอนให้ลงตัวมากขึ้น และนิยมให้กลอน แต่ละวรรคมีเพียง ๘ ค�า และมีสัมผัสใน ๒ คู่ คือค�าที่ ๓ กับค�าที่ ๔ ค�าที่ ๕ กับค�าที่ ๖ หรือ ๗ จึงท�าให้การจัดจังหวะการอ่านลงตัวเป็น ๓ / ๒ / ๓ หากแต่มีข้อควรระมัดระวัง คือต้องไม่อ่านฉีกค�า นอกจากนีก้ ลอนแบบสุนทรภู่ ยังจัดระเบียบการส่งสัมผัสระหว่างวรรคได้ลงตัว คือ ท�าให้คา� สุดท้ายของ วรรคที่ ๑ และ ๓ ส่งสัมผัสไปยังค�าที่ ๓ ของวรรคที่ ๒ และ ๔ โดยอาจอนุโลมให้ส่งไปยังค�าที่ ๕ ได้ รวมถึงมีการวางระเบียบบังคับเสียงวรรณยุกต์ท้ายวรรค โดยท้ายวรรคที่ ๑ เป็นเสียงวรรณยุกต์ใดก็ได้ (ยกเว้นเสียงสามัญ) วรรคที่ ๒ เป็นเสียงวรรณยุกต์จตั วา (อนุโลมให้เป็นเสียงเอกได้) ส่วนวรรคที่ ๓ - ๔ ให้ลงท้ายวรรคด้วยเสียงสามัญ ซึ่งเรียกกลอนที่มีการบังคับเสียงวรรณยุกต์แบบนี้ว่า “กลอนสุภาพ”
อธิบายความรู
11
ตรวจสอบผล ครูสังเกตวิธีการอานและชวย ชี้แนะแนวทางสําหรับการปรับปรุง แกไข
1. นักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับ ฉันทลักษณของกลอนสุภาพและ ลักษณะการแบงวรรคตอน (แนวตอบ กลอนสุภาพ 1 บท มี 4 วรรค วรรคละ 7 - 9 คํา ทําใหแบง วรรคไดเปน 2/2/3, 2/3/3, 3/2/3, 3/3/3) 2. นักเรียนรวมกันคัดเลือกวรรณคดี บนกระดานใหเหลือเพียงเรื่อง เดียวที่ประพันธดวยกลอนสุภาพ (ครูคอยชวยชี้แนะ) จากนั้น สงตัวแทนออกมาเขียนคํากลอน หนาชั้นเรียน โดยนักเรียนชวยกัน ทองทีละวรรค บันทึกลงสมุด
ขยายความเขาใจ นักเรียนออกมาอานบทรอยกรอง ประเภทกลอนสุภาพหนาชั้นเรียน คูมือครู
11
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา Engage
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
(ยอจากฉบับนักเรียน 20%)
กระตุนความสนใจ ครูเปดวีดิทัศนการแสดงโขนเรื่อง รามเกียรติ์ใหนักเรียนชม จากนั้น ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา • นักเรียนคิดวาบทละคร ดังกลาวเปนเรื่องอะไร และ คํากลอนที่ตัวละครกลาว แตง ดวยคําประพันธประเภทใด
ตัวอย่าง (สดับ) ประหลาดเหลือ/ เนื้อละมุน/ ยังอุ่นอ่อน สินสมุทร/ สุดสาคร/ ของพ่อเอ๋ย (รับ) (รอง) เคยกลับเป็น/ ก็ไม่เห็น/ เหมือนเช่นเคย กระไรเลย/ แน่นิ่ง/ ไม่ติงกาย (ส่ง) (พระอภัยมณี : สุนทรภู่)
การอ่านท�านองเสนาะบทร้อยกรองประเภทกลอนสุภาพให้มคี วามไพเราะ นอกจาก ผู้อ่านจะต้องอ่านให้ถูกท�านองกลอนออกเสียงตัว ร, ล ค�าควบกล�้าและเสียงวรรณยุกต์ให้ถูกต้องแล้ว การแบ่งวรรคตอนให้ถูกต้องเป็นปัจจัยส�าคัญ จากตัวอย่างก�าหนดให้เครื่องหมาย / เป็นตัวแบ่ง จ�านวนค�าภายในวรรค การจัดจังหวะหายใจก่อนจะอ่านต่อไป แต่เนื่องจากกลอนสุภาพวรรคหนึ่งมี จ�านวนค�าได้ตั้งแต่ ๗ - ๙ จึงอาจจัดจังหวะการอ่านได้เป็น ๓ / ๒ / ๓ (๘ ค�า) ๓ / ๓ / ๓ (๙ ค�า) ๒ / ๒ / ๓ (๗ ค�า) แต่สิ่งส�าคัญต้องพิจารณาที่เนื้อความเป็นหลัก ต้องไม่ฉีกค�าจะท�าให้เสียความ ๒) กลอนบทละคร คือค�ากลอนที่แต่งขึ้นเพื่อแสดงละครร�า เช่น บทพระราชนิพนธ์ บทละครเรื่องรามเกียรติ์ กลอนบทละครมีลักษณะบังคับเช่นเดียวกับกลอนสุภาพ บทหนึ่งมี ๒ บาท หรือ ๔ วรรค วรรคละ ๖ - ๙ ค�า แต่นิยมใช้เพียง ๖ - ๗ ค�า เพื่อให้เข้าจังหวะร้องและร�า ท�าให้ไพเราะ ยิง่ ขึน้ กลอนบทละครมักจะขึน้ ต้นด้วยค�าว่า “เมือ่ นัน้ ” ส�าหรับตัวละครทีเ่ ป็นกษัตริย์ “บัดนัน้ ” ส�าหรับ เสนาหรือคนทั่วไป “มาจะกล่าวไป” ใช้สา� หรับน�าเรื่องเกริ่นเรื่อง
สํารวจคนหา 1. นักเรียนจับคูกับเพื่อนรวมกัน คนหาความรูในประเด็น ฉันทลักษณและการแบงวรรคตอน ของกลอนบทละคร 2. นักเรียนสืบคนวรรณคดีที่แตงดวย กลอนบทละคร
อธิบายความรู 1. นักเรียนรวมกันยกตัวอยาง วรรณคดีที่แตงดวยกลอน บทละครและอภิปราย รวมกันเกี่ยวกับเนื้อหาของเรื่อง และขอคิดที่แฝงไวในวรรณคดี 2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบาย ความรูเกี่ยวกับฉันทลักษณและ การแบงวรรคตอนของกลอนบท ละคร (แนวตอบ กลอนบทละครแตง ขึ้นเพื่อแสดงละครรํา มีลักษณะ บังคับเชนเดียวกับกลอนสุภาพ แตจะขึ้นตนวรรคแรกดวยคํา เฉพาะ เชน เมื่อนั้น บัดนั้น มา จะกลาวบทไป เปนตน การแบง วรรคตอนสําหรับอานจะแบงเปน 3/2/3 หรือ 3/3/3) 3. นักเรียนรวมกันฝกปฏิบัติอาน กลอนบทละครตามตัวอยาง โดย ครูคอยชวยชี้แนะและประเมิน การอานของนักเรียน
12
คูมือครู
การอ่านกลอนบทละคร เมื่อนั้น ค้อนให้/ ไม่แลดู/ สารา แล้วว่า/ อนิจจา/ ความรัก ตั้งแต่/ จะเชี่ยว/ เป็นเกลียวไป สตรีใด/ ในพิภพ/ จบแดน ด้วยใฝ่รัก/ ให้เกิน/ พักตรา
โฉมยง/ องค์ระเด่น/ จินตะหรา กัลยา/ คั่งแค้น/ แน่นใจ พึ่งประจักษ์/ ดั่งสาย/ น�้าไหล ที่ไหน/ จะไหล/ คืนมา จะมีใคร/ ได้แค้น/ เหมือนอกข้า จะมีแต่/ เวทนา/ เป็นเนืองนิตย์ (อิเหนา : พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย)
น�้าใส/ ไหลเย็น/ เห็นตัวปลา นิลุบล/ พ้นน�้า/ อยู่ร�าไร ดอกขาว/ เหล่าแดง/ สลับสี บัวเผื่อน/ เกลื่อนกลาด/ ในสาคร
ว่ายแหวก/ ปทุมา/ อยู่ไหวไหว ตูมตั้ง/ บังใบ/ อรชร คลายคลี่/ ขยายแย้ม/ เกสร บังอร/ เก็บเล่น/ กับนารี
(อิเหนา : พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย)
12
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
นักเรียนคัดเลือกกลอนบทละคร ที่ตนเองประทับใจมาเปนแบบฝก สําหรับฝกอานโดยใชแนวทาง ที่ไดศึกษา
นักเรียนออกมาอานออกเสียงกลอนบทละคร ใหครูและเพื่อนฟงหนาชั้นเรียน ครูชี้แนะ แนวทางใหแกนักเรียนที่ยังมีจุดตองปรับปรุง จากนั้นเพื่อนๆ ในหองลงคะแนนคัดเลือกผูที่ ออกเสียงไดดีที่สุด ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่อ บรรยายหลักเกณฑการคัดเลือก
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand
Evaluate
กระตุนความสนใจ ครูเปดวีดิทัศนการขับเสภาให นักเรียนฟงและดู และสนทนากับ นักเรียนเกี่ยวกับการขับเสภาวา ครั้งหนึ่งเคยเปนมหรสพที่นิยมของ คนไทย
การอ่านท�านองเสนาะบทร้อยกรองประเภทกลอนบทละครให้ยึดหลักปฏิบัติเช่นเดียว กับกลอนสุภาพ คือ ใช้เครื่องหมาย / เป็นตัวแบ่งจ�านวนค�าภายในวรรค โดยการแบ่งจ�านวนค�าเป็น ๓ / ๒ / ๓ หรือ ๓ / ๓ / ๓ ตามความเหมาะสมของเนื้อความ ซึ่งสิ่งที่ส�าคัญในการอ่านกลอนบทละคร คือ การใส่อารมณ์ความรู้สึกลงไปในบทประพันธ์เพื่อถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครไปยังผู้ฟัง ๓) กลอนเสภา คือกลอนล�าน�าส�าหรับขับ ใช้ทา� นองขับได้หลายท�านอง เช่น เสภาไทย เสภาลาว เสภามอญ มีกรับเป็นเครื่องประกอบส�าคัญ ผู้ขับจะต้องขยับกรับให้เข้ากับท�านอง แต่เดิม นิยมขับเป็นเรื่องราว นิยมขับเรื่องขุนช้างขุนแผน กากี เป็นต้น กลอนเสภามีลักษณะบังคับเช่นเดียว กับกลอนสุภาพ
สํารวจคนหา แบงกลุมนักเรียนออกเปน 2 กลุม กลุมที่หนึ่ง คนหาความรูในประเด็น ฉันทลักษณและการแบงวรรคตอน ของกลอนเสภาและประวัติวรรณคดี เรื่อง ขุนชางขุนแผน กลุมที่สอง คนหาความรูในประเด็นฉันทลักษณ และการแบงวรรคตอนของโคลงสี่ สุภาพและประวัติวรรณคดีเรื่อง ลิลิตพระลอ
การอ่านกลอนเสภา เจ้าพลายงาม/ ความแสน/ สงสารแม่ แล้วกราบกราน/ มารดา/ ด้วยอาลัย แต่ครั้งนี้/ มีกรรม/ จะจ�าจาก เที่ยวหาพ่อ/ ขอให้ปะ/ เดชะบุญ แม่รักลูก/ ลูกก็รู้/ อยู่ว่ารัก จะกินนอน/ วอนว่า/ เมตตาเตือน
ช�าเลืองแล/ ดูหน้า/ น�้าตาไหล พอเติบใหญ่/ คงจะมา/ หาแม่คุณ ต้องพลัดพราก/ แม่ไป/ เพราะอ้ายขุน ไม่ลืมคุณ/ มารดา/ จะมาเยือน คนอื่นสัก/ หมื่นแสน/ ไม่แม้นเหมือน จะห่างเรือน/ ร้างแม่/ ไปแต่ตัว
อธิบายความรู
(เสภาขุขุนช้างขุนแผน) (เส (เสภา
1. นักเรียนรวมกันอธิบายความรู เกี่ยวกับฉันทลักษณและลักษณะ การแบงวรรคตอนของกลอนเสภา และโคลงสี่สุภาพ 2. นักเรียนรวมกันอธิบายความรู เกี่ยวกับประวัติวรรณคดีเรื่อง ขุนชางขุนแผน และลิลิตพระลอ บันทึกความรูที่ไดลงสมุด 3. นักเรียนรวมกันฝกปฏิบัติ อาน กลอนเสภาและโคลงสี่สุภาพตาม ตัวอยาง โดยครูคอยชี้แนะ
การอ่านบทร้อยกรองประเภทกลอนเสภา ด้วยเหตุที่กลอนเสภาใช้ประกอบการขับ จึงท�าให้มีจ�านวนค�าวรรคละ ๗ - ๙ ค�าขึ้นอยู่กับจังหวะการเอื้อนลากเสียงของผู้ขับหรือผู้แต่งแต่ละคน จึงท�าให้การอ่านในแต่ละวรรคสามารถแบ่งค�าได้เป็น ๒ / ๒ / ๓ หรือ ๒ / ๓ / ๓ หรือ ๓ / ๒ / ๓ หรือ ๓ / ๓ / ๓ เป็นต้น ๔) โคลงสี่สุภาพ เป็นโคลงที่นิยมแต่งมากที่สุดในค�าประพันธ์ประเภทโคลงทั้งหมด โคลงสี่สุภาพ ๑ บท มีจ�านวนค�าตั้งแต่ ๓๐ - ๓๔ ค�า บทหนึ่งมี ๔ บาท บาทละ ๒ วรรค ซึ่งบาทที่ ๑ – ๓ มีบาทละ ๗ ค�า (วรรคหน้า ๕ ค�า วรรคหลัง ๒ ค�า และอาจเพิ่มค�าสร้อยในท้ายบาท ๑ กับ ๓ ได้วรรคละ ๒ ค�า) ส่วนบาทสุดท้ายมี ๙ ค�า (วรรคหน้า ๕ ค�า วรรคหลัง ๔ ค�า) และยังมีการบังคับ ต�าแหน่งค�าเอก - โท โดยบังคับค�าเอก ๗ ค�า ค�าโท ๔ ค�า
ขยายความเขาใจ 13
ตรวจสอบผล
นักเรียนคัดเลือกวรรณคดีที่แตง ดวยกลอนเสภาหรือโคลงสี่สุภาพ เพื่อนํามาฝกอานตามแนวทางที่ได ศึกษา
นักเรียนออกมาอานออกเสียงบทรอยกรองที่เลือก ครูและเพื่อนรวมกัน ประเมินการอาน ครูคอยชี้แนะแนวทางใหแกนักเรียนที่ยังมีขอควรปรับปรุง จากนั้นเพื่อนๆ ในหองลงคะแนนคัดเลือกผูที่ออกเสียงไดดี ครูสุมเรียกชื่อ นักเรียนเพื่อบรรยายหลักเกณฑการคัดเลือก คูมือครู
13
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
Engage
(ยอจากฉบับนักเรียน 20%)
สํารวจคนหา นักเรียนรวมกันคนหาความรู ในประเด็นฉันทลักษณของกาพยยานี 11 จากหนังสือเรียน ในหนา 14 - 15 หรือเว็บไซตทางการศึกษา
การอ่านโคลงสี่สุภาพ เสียงลือ/ เสียงเล่าอ้าง เสียงย่อม/ ยอยศใคร สองเขือ/ พี่หลับใหล สองพี่/ คิดเองอ้า
อธิบายความรู 1. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อ อธิบายความรูเ กีย่ วกับฉันทลักษณ และการแบงวรรคตอนของ กาพยยานี 11 ในลักษณะโตตอบ รอบวง โดยครูสุมเรียกชื่อ (แนวตอบ กาพยยานี 11 หนึ่งบทมี 2 บาท บาทละ 11 คํา คือ วรรค หนา 5 คํา และวรรคหลัง 6 คํา การแบงจังหวะเพื่ออานวรรคที่ มี 5 คํา แบงเปน 2/3 หรือ 3/2 ขึ้นอยูกับเนื้อความ วรรคที่มี 6 คํา แบงเปน 3/3) 2. ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับ วรรณคดีเรื่อง กาพยเหเรือ กระตุนใหนักเรียนไดอธิบาย ความรูจากพื้นฐานความรูเดิม
อันใด/ พี่เอย ทั่วหล้า ลืมตื่น/ ฤๅพี่ อย่าได้/ ถามเผือ (ลิลิตพระลอ)
โฉมควร/ จักฝากฟ้า เกรง/เทพไท้ธรณินทร์ ฝากลม/ เลื่อนโฉมบิน ลมจะ/ชายชักช�้า
ฤๅดิน/ดีฤ ๅ ลอบกล�้า บนเล่า/ นะแม่ ชอกเนื้อ/ เรียมสงวน (นิราศนรินทร์ : นายนรินทร์)
การอ่านท�านองเสนาะบทร้อยกรองประเภทโคลง นอกจากผูอ้ า่ นจะต้องตระหนักในเรือ่ ง เสียง ส�าเนียง อารมณ์และเทคนิคการทอดเสียงแล้ว ผู้อ่านจะต้องมีความมั่นใจในจังหวะและท�านอง โดยใช้เครือ่ งหมาย / แบ่งจังหวะการอ่านภายในวรรคเพือ่ เพิม่ ความไพเราะและผ่อนลมหายใจ การแบ่ง จังหวะในโคลง ถ้าวรรคใดมีคา� ๕ ค�า จะแบ่งจังหวะเป็น ๓/ ๓ / ๒ หรือ ๒ / ๓ หรือ ๑/๔ โดยให้พจิ ารณาจาก ความหมายของค�าเป็นหลัก วรรคทีม่ ี ๔ ค�า จะแบ่งจังหวะเป็น ๒ / ๒ วรรคทีม่ ี ๒ ค�า ไม่ตอ้ งแบ่งจังหวะ หากในวรรคมีจา� นวนพยางค์มากกว่าจ�านวนค�าต้องพิจารณารวบพยางค์ให้จงั หวะไปตกตรงพยางค์ทา้ ย ของค�าที่ต้องการ โดยอ่านรวบค�าให้เร็วและเบา ๕) กาพย์ยานี ๑๑ คือค�าประพันธ์ทมี่ กี ารบังคับสัมผัสต่างจากกลอน คือมีสมั ผัสบังคับ คู่เดียว ค�าสุดท้ายของวรรคที่ ๒ ส่งสัมผัสไปยังค�าสุดท้ายของวรรคที่ ๓ และไม่มีการบังคับเอก - โท ครุ - ลหุ แบบโคลงและฉันท์ โดยยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ว่ากาพย์เป็นค�าประพันธ์ดั้งเดิมของไทย หรือรับมาจากชาติอื่น แต่มักนิยมเชื่อกันว่ากาพย์ คือ การแต่งฉันท์ที่ไม่มีการบังคับครุ - ลหุ กาพย์ยานี ๑๑ เป็นกาพย์ที่นิยมแต่งกันมากที่สุดแบบหนึ่ง มักใช้ส�าหรับการพรรณนา ความทั่วไป เช่น ธรรมชาติหรือบรรยายเหตุการณ์ หนึ่งบทมี ๒ บาท บาทละ ๑๑ ค�า คือ วรรคหน้า ๕ ค�า วรรคหลัง ๖ ค�า
ขยายความเขาใจ ครูนําเนื้อหาของวรรณคดีที่แตง ดวยกาพยยานี 11 มาเปนแบบฝกให นักเรียนฝกอานตามแนวทางการอาน บทรอยกรองที่ไดศึกษา
ตรวจสอบผล นักเรียนออกมาอานทํานองเสนาะ กาพยยานี 11 ใหเพื่อนๆ ฟง จากนั้น เพื่อนๆ ลงคะแนนคัดเลือกผูที่อาน ไดไพเราะเหมาะสม ครูสุมเรียกชื่อ นักเรียนเพื่อบรรยายหลักเกณฑการ คัดเลือก
14
นักเรียนควรรู ลิลิตพระลอ เปนวรรณคดีที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมความรักที่ประพันธขึ้นดวยถอยคํา ที่ไพเราะ พรรณนาเรื่องดวยอารมณที่หลากหลาย ใหแงคิดคติธรรมของชีวิต ลิลิตพระลอไดรับ การยกยองจากวรรณคดีสโมสรใหเปนยอดแหงลิลิต เมื่อ พ.ศ. 2459
14
คูมือครู
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand
Evaluate
Engage
สํารวจคนหา นักเรียนรวมกันคนหาความรู ในประเด็นกาพยฉบัง 16 จากหนังสือ เรียน ในหนา 15 หรือจากแหลง เรียนรูอื่น
การอ่านกาพย์ยานี ๑๑ เรื่อยเรื่อย/ มาเรียงเรียง ตัวเดียว/ มาไร้คู่ ร�่าร�่า/ ใจรอนรอน ดวงใจ/ ไยหนีหน้า
นกบินเฉียง/ ไปทั้งหมู่ เหมือนพี่อยู่/ เพียงเอกา อกสะท้อน/ ถอนใจข้า โถแก้วตา/ มาหมางเมิน
อธิบายความรู ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบาย ความรูเกี่ยวกับฉันทลักษณและการ แบงวรรคตอนการอานกาพยฉบัง 16 (แนวตอบ กาพยฉบัง 16 1 บท มี 16 คํา แบงเปน 3 วรรค วรรคที่ 1 และ 3 มี 6 คํา สวนวรรคที่ 2 มี 4 คํา โดย วรรคที่มี 6 คํา แบงวรรคตอนเปน 2/2/2 หรืออาจเปน 2/4 วรรคที่มี 4 คํา แบงวรรคตอนเปน 2/2)
(กาพย์เห่เรือ : เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร)
การแบ่งจังหวะการอ่านกาพย์ยานี ๑๑ จะใช้เครื่องหมาย / แบ่งจังหวะการอ่านภายใน วรรค โดยวรรคที่มี ๕ ค�า จะแบ่งเป็น ๒ / ๓ หรือ ๓ / ๒ ขึ้นอยู่กับเนื้อความ วรรคที่มี ๖ ค�า จะแบ่ง จังหวะเป็น ๓ / ๓ ๖) กาพย์ฉบัง ๑๖ เป็นกาพย์ที่ใช้ส�าหรับการพรรณนาความงามของธรรมชาติ การเดินทางหรือการต่อสู้ ซึ่งกาพย์ฉบัง ๑๖ หนึ่งบท มี ๑๖ ค�า แบ่งเป็น ๓ วรรค วรรคที่ ๑ และ ๓ มี ๖ ค�า ส่วนวรรคที่ ๒ มี ๔ ค�า การอ่านกาพย์ฉบัง ๑๖ กลางไพร/ ไก่ขัน/ บรรเลง ซอเจ้ง/ จ�าเรียง/ เวียงวัง ยูงทอง/ ร้องกะโต้งโห่งดัง แตรสังข์/ กังสดาล/ ขานเสียง
ขยายความเขาใจ
ฟังเสียง/ เพียงเพลง
ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับ พระราชนิพนธในรัชกาลที่ 2 เรื่อง “บทพากยเอราวัณ” ชี้แนะใหเขาใจ วาพระราชนิพนธโดยใชกาพยฉบัง 16 เนื่องดวยลีลาของกาพยฉบัง 16 เหมาะที่จะใชสําหรับการพรรณนา ความงามของธรรมชาติ การเดินทาง หรือการตอสู ครูคัดเลือกเนื้อหา ตั้งแต “อินทรชิตบิดเบือนกายิน” จนถึงวรรค “ดังเวไชยันตอมรินทร” ใหนักเรียนนํามาฝกปฏิบัติตาม แนวทางการอานบทรอยกรองที่ได ศึกษา
เพียงฆ้อง/ กลองระฆัง (กาพย์พระไชยสุริยา : สุ า นทรภู่)
การแบ่งจังหวะการอ่านกาพย์ฉบัง ๑๖ จะใช้เครือ่ งหมาย / แบ่งจังหวะการอ่านภายในวรรค โดยวรรคที่มี ๖ ค�า จะแบ่งเป็น ๒ / ๒ / ๒ เป็นส่วนใหญ่ โดยสังเกตจากเนื้อความเป็นหลัก ซึ่ง ในบางครั้งอาจแบ่งเป็น ๒ / ๔ ตามตัวอย่าง เพราะค�าบางค�าควรอ่านให้เสียงต่อเนื่องกันเพื่อ สื่อความหมายให้ถูกต้อง วรรคที่มี ๔ ค�า ให้แบ่งจังหวะ ๒ / ๒ การอ่าน เป็นทักษะที่สÓคัญและมีความจÓเป็นต่อการศึกษาหาความรู้เพิ่มพูน ประสบการณ์ต่างๆ ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ดังนั้น จึงควรฝึกฝนเพื่อพัฒนา ทักษะการอ่านอย่างสม่Óเสมอ เพื่อให้เป็นผู้สามารถศึกษาเรียนรู้องค์ความรู้ใหม่ๆ ได้ ตลอดเวลา 15
เกร็ดแนะครู ครูควรแนะนําใหนักเรียนศึกษาคนควาเกี่ยวกับประวัติวรรณคดีเพิ่มเติม เชน กาพยเหเรือ กาพยพระไชยสุริยา บทพากษเอราวัณ ฯลฯ จากเว็บไซต ทางการศึกษา เพื่อใหนักเรียนไดมีความรูเพิ่มเติมนอกเหนือจากบทเรียน
ตรวจสอบผล 1. นักเรียนออกมาอานออกเสียง บทพากยเอราวัณในชวงที่กําหนด ครูตรวจสอบการอานของนักเรียน ชี้แนะใหเห็นขอดีและขอควร ปรับปรุง พรอมทั้งแนวทางในการ แกไขปรับปรุง 2. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวย การเรียนรู คูมือครู
15
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ Explain
Expand
Engage
ตรวจสอบผล Evaluate
(ยอจากฉบับนักเรียน 20%)
สํารวจคนหา นักเรียนคนหาความรูจากเกร็ด ภาษา ในหนา 16
อธิบายความรู ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบาย ความรูที่ไดรับจากการอานในหัวขอ “การเพิ่มประสิทธิภาพในการอาน”
เกร็ดภาษา การเพิ่มประสิทธิภาพในการอาน จุดมุงหมายและประโยชนจากการอานมีหลายประการ ผูอานมากยอมมีความรอบรู ความ คิดเปนประโยชนทั้งตอตนเองและสังคม ทักษะการอานเปนทักษะที่สามารถฝกฝนไดดวยวิธีการ ตางๆ ดังนี้ ๑
ในการทอดสายตาแตละครั้ง ผูอานจะตองฝกขยายชวงการทอดสายตาลงบนบรรทัด ใหกวางขึ้น กลาวคือ เมื่อมองลงไปในหนังสือหนึ่งครั้งตองทอดสายตามองจํานวนคําให มากขึ้น เมื่อฝกในชวงแรกๆ การกมลงทอดสายตาอาจจะทําหลายครั้งแตถาฝกฝนจนเกิด ความชํานาญ จะทําใหกวาดสายตาไดเร็วขึ้น
๒
ควรฝกฝนใหมีความเชี่ยวชาญทั้งภาษาไทยและภาษาตางประเทศ เพราะโลกในยุคปจจุบัน เปลี่ยนแปลงไปอยางรวดเร็ว การแสวงหาความรูจึงตองเปดกวางและไมอานหนังสือเพียง ประเภทใดประเภทหนึ่ง
๓
ควรฝกฝนทักษะการอานจับใจความสําคัญ เพื่อสามารถเขาใจแนวคิดของผูเขียน เขาใจ ความหมายทีไ่ มปรากฏเปนลายลักษณ อานแลวไดแนวความคิดใหม สามารถประเมินคาของ ขอความที่อานไดถูกตอง
๔
ควรเรียนรูวิธีการใชหองสมุด โดยสังเกตและศึกษาจากปายประกาศตางๆ หนาหองสมุด ตูบัตรชื่อผูแตง ตูบัตรชื่อหนังสือ มุมหนังสือใหมและมุมวารสารตางๆ การหมั่นศึกษาและ เอาใจใสอยูเสมอจะชวยทําใหไดรับความรูที่แปลกใหม คนควาได ไดสะดวกรวดเร็วขึ้น
๕
ควรอานหนังสือหลายๆ ประเภท หลายๆ เลม ทั้งที่ยากและงาย การอานหนังสือที่มีเนื้อหา คลายคลึงกัน แตเขียนขึ้นสําหรับคนที่มีพื้นฐานความรูตางกัน ฯลฯ เพื่อเก็บไวเปนขอมูลใช ในโอกาสตอไป
๖
เมือ่ พบหนังสือทีต่ อ งการ ควรบันทึกลงบัตรขอมูล โดยระบุชอื่ เรือ่ ง ผูแ ตง สํานักพิมพ ปทพ ี่ มิ พ จํานวนหนา แนวความคิดสําคัญของเรื่อง ฯลฯ เพื่อเก็บไวเปนขอมมูลใชในโอกาสตอไป
๗
เมือ่ พบคําใหมที่ไมเขาใจไมควรละเลย แตควรจดบันทึกไวเพือ่ คนหาความหมาย จะชวยทําให รูจักคําเพิ่มมากขึ้น ไดรับความรูใหมๆ
๘
ควรฝกฝนทักษะการอานในใจ เพราะการฝกอานในใจจะทําใหอานเนื้อหาไดมากในเวลา อันรวดเร็ว และชวยเพิ่มประสิทธิภาพในการอาน
๙
ขณะที่อานควรฝกการใชความคิดและวิจารณญาณในการอานอยางสมํ่าเสมอ
ขยายความเขาใจ ครูสรุปทักษะการเพิ่ม ประสิทธิภาพในการอานใหแก นักเรียน จากนั้นครูตั้งคําถามกับ นักเรียนวา • แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพ ในการอานสามารถนําไปปรับใช ในชีวิตประจําวันไดจริงหรือไม (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดง ความคิดเห็นไดอยางหลากหลาย และอิสระ คําตอบขึ้นอยูกับ ดุลยพินิจของครูผูสอน)
หลักฐาน แสดงผลการเรียนรู นักเรียนสรุปแนวทางการอาน ออกเสียงบทรอยกรองเบื้องตนสง ครูผูสอน
B
B
พื้นฐานอาชีพ
๑๐ การฝกฝนทักษะการอานออกเสียงจากขาว บทละคร เรื่องสั้น นวนิยาย ฝกอานทํานองเสนาะ โดยการใชนํ้าเสียงเพื่อถายทอดอารมณ ความรูสึกที่ปรากฏในเนื้อเรื่องไปยังผูฟง
ครูชี้แนะใหนักเรียนเห็นความ 16 สําคัญของการอานเพราะการอาน EB GUIDE http://www.aksorn.com/LC/Thai_Gra/M3/02 เปนประตูสูการเรียนรูในดานตางๆ รวมถึงการอานออกเสียง ผูที่ฝกฝน การอานออกเสียงจนเกิดความ ชํานาญ นอกจากจะเสริมสรางบุคลิกภาพที่ดีใหกับตนเอง แลวยังสามารถนําไป ประยุกตใชในการประกอบอาชีพในอนาคตได เชน ผูประกาศขาว นักจัดรายการวิทยุ นักพากษ ครูอาจจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อปูพื้นฐานทางอาชีพใหแกนักเรียน เชน ใหนักเรียนนําขาวพระราชสํานักมาฝกอานรวมกัน เปนตน
16
คูมือครู
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
เกร็ดแนะครู
คําถาม
ประจําหนวยการเรียนรู
๑. จงอธิบายประโยชนของการอานและควรใชทกั ษะการอานประเภทใดเพือ่ รับรูส าระสําคัญไดรวดเร็วทีส่ ดุ ๒. มารยาทในการอานออกเสียงประกอบไปดวยอะไรบาง จงอธิบายพอสังเขป ๓. การอานออกเสียงรอยแกวมีความแตกตางจากการอานออกเสียงบทรอยกรองหรือไม อยางไร จงอธิบาย ๔. จงอธิบายแนวทางการอานและขอควรระวังในการอานบทรอยกรองประเภทที่นักเรียนชื่นชอบมาพอ สังเขป ๕. จงอธิบายวิธีการอานออกเสียงรอยกรองประเภทโคลงสี่สุภาพ พรอมยกตัวอยาง
กิจกรรม กิจกรรมที่ ๑ กิจกรรมที่ ๒ กิจกรรมที่ ๓
สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู นักเรียนฟงผูประกาศขาวอานขาวจากสื่อวิทยุ โทรทัศน จากนั้นใหเขียนความ ประทับใจที่มีตอผูประกาศขาววามีหลักในการอานออกเสียงอยางไร นักเรียนรวบรวม ขอความ บทความ หรือบทรอยแกวที่มีความไพเราะมาฝกอาน โดยจับคูกับเพื่อนในชั้นเรียน นักเรียนฝกอานออกเสียงบทประพันธจากวรรณคดีที่ชื่นชอบมา ๓ - ๔ บท แลวนํา มาอานใหครูและเพื่อนนักเรียนฟงหนาชั้นเรียน
17
5. วิธีการอานโคลงสี่สุภาพสามารถแสดงไดจากวรรณคดีเรื่อง ลิลิตพระลอ เสียงลือเสียง/เลาอาง อันใด/พี่เอย เสียงยอมยอ/ยศใคร ทั่วหลา สองเขือพี่/หลับใหล ลืมตื่น/ฤๅพี่ สองพี่คิด/เองอา อยาได/ถามเผือ ในวรรคที่มี 5 คําใหแบงการอานเปน 3/2 ในวรรคที่มี 4 คํา แบงจังหวะการอานเปน 2/2)
(แนวตอบ คําถามประจําหนวยการ เรียนรู 1. ประโยชนของการอานมี มากมายหลายประการ เชน ทําใหไดรับความรูและความ เพลิดเพลิน ไดขอคิด และ แนวทางตางๆ ที่สามารถนํา ไปปรับใชในชีวิตประจําวันได การอานเพื่อใหรับรูขาวสารได รวดเร็ว คือ ใชวิธีการอานในใจ คิดและวิเคราะหขอความที่ได อาน 2. มารยาทในการอานออกเสียง ประกอบดวย - ใชนํ้าเสียงใหเหมาะสม - มีบุคลิกภาพเหมาะสม - สังเกตปฏิกิริยาผูฟง - ควบคุมอารมณ 3. การอานออกเสียงบทรอยแกว มีความแตกตางจากการอาน ออกเสียงบทรอยกรอง เพราะ การอานออกเสียงบทรอยกรอง จะตองอานโดยใสทํานอง ลีลา และใชนํ้าเสียงใหเหมาะสม 4. การอานออกเสียงบทรอยกรอง ประเภทกลอนสุภาพ จะตอง อานดวยการแบงวรรคเปน 2/2/3 2/3/3 3/2/3 หรือ 3/3/3 ตามความเหมาะสมของเนื้อ ความ ขอควรระวังในการอาน นอกจากจะตองอานออกเสียง ร, ล และคําควบกลํ้าใหชัดเจนแลว ยังตองแบงวรรคตอนใหถูกตอง โดยพิจารณาจากเนื้อความเปน หลัก ตองไมอานแยกคําเพื่อมุง การแบงวรรคเพียงประการเดียว เพราะจะทําใหเสียความ
คูมือครู
17