˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÃÒÂÇÔªÒ¾×é¹°Ò¹
คูมือครู
ÇÔ·ÂÒÈÒʵà ÈÒʵà ¡ÅØ‹ÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙŒÇÔ·ÂÒÈÒʵà µÒÁËÅÑ¡ÊÙµÃ᡹¡ÅÒ§¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ¢Ñé¹¾×é¹°Ò¹ ¾. È. ๒๕๕๑
㪌»ÃСͺ¡ÒÃÊ͹ËÇÁ¡Ñº
˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ©ºÑº ÍÞ.
๓๒
·Õè ȸ. ¨Ð»ÃСÒÈÃÒ¡Òú¹àÇçºä«µ µÑé§áµ‹ Á. ¤. ’55 ໚¹µŒ¹ä»
ѸÂÁÈÖ¡ÉÒ»Õ·Õè ªÑ¹é Á
Á.
๓
àÅ‹Á
ÂØ¾Ò ÇÃÂÈ â¨ ºÍ´
¶¹Ñ´ ÈÃÕºØÞàÃ×ͧ ÇÍÅàµÍà äÇ· ÅÍÃ
เอกสารหลักสูตรแกนกลางฯ ’51 ปการศึกษา 2555
กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร
วิทยาศาสตร เลม 1
ู ร ค หรับ
สํา
ชั้นมัธยมศึกษาปที่
เอกสารหลักสูตรแกนกลางฯ ’51 ประกอบดวย ● ● ● ● ●
คําแนะนําการใชคูมือครู แถบสี/สัญลักษณที่ใชสื่อความหมายในคูมือครู ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง คําอธิบายรายวิชา ตารางวิเคราะหเนื้อหากับมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด
ตารางแสดงความแตกตางระหวาง “ คูมือครู ” กับ “ หนังสือเรียน * ” ความแตกตาง ขนาดตัวอักษร ปกดานหลัง ระบบการจัดพิมพ สวนเสริมดานหนา เนื้อหาในเลม
* ที่ ศธ. อนุญาตใหโรงเรียนใชได
คูมือครู ยอลงจากปกติ 20%
พิมพ 4 สี เพิ่มเอกสารหลักสูตร คําอธิบายรายวิชา ใสการจัดกิจกรรมแบบ 5E และความรูเสริมสําหรับครู
หนังสือเรียน ขนาดปกติ 100% ใสใบอนุญาต/ใบประกันคุณภาพ พิมพ 4 สี
-
3
คําแนะนําการใชคูมือครู
: การจัดการเรียนรูสูหองเรียนคุณภาพ
คูมือครู รายวิชา วิทยาศาสตร ม.3 จัดทําขึ้นเพื่ออํานวยความสะดวกแกครูผูสอนในการวางแผนและ เตรียมการสอนโดยใชหนังสือเรียน วิทยาศาสตร ม.3 ของบริษัทอักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด เปนสื่อหลัก เสร�ม (Core Material) ประกอบการออกแบบกิจกรรมการเรียนรูใ หสอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั กลุม สาระ 2 การเรียนรู วิทยาศาสตร ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พ.ศ. 2551 โดยจัดทําตามหลักการสําคัญ ดังนี้
1. ออกแบบการสอนเปนหนวยการเรียนรูอิงมาตรฐาน คูมือครู รายวิชา วิทยาศาสตร ม.3 จัดทําเปนหนวยการเรียนรูตามลําดับสาระการเรียนรูที่ระบุไวใน มาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด แตละหนวยจะกําหนดเปาหมายการสอนและจุดประสงคการเรียนรู (Objective Learning) กิจกรรมการเรียนรู (Learning Activities) และแนวทางการประเมินผลการเรียนรู (Learning Evaluation) ไวชัดเจน ครูผูสอนสามารถจัดทําแผนการสอนใหครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดที่เปน เปาหมายการเรียนรูของแตละหนวยการเรียนรู (ตามแผนภูมิ) และสามารถบันทึกผลการจัดการเรียนการสอนได อยางมั่นใจ
สภ
าพ
ผู
จุดป
น
ระส
เรีย
งค
ร กา
ู
ร รเ ียน
มาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัดชั้นป
ทักษะการคิด การวัดประเมินผล การเรียนรู
กิจกรรมการเรียนรู
เทคนิคการสอน แผนภูมิแสดงองคประกอบของการออกแบบการเรียนรูอิงมาตรฐานและเนนผูเรียนเปนสําคัญ คูม อื ครู
2. การจัดการเรียนรูที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ แนวคิดในการจัดการเรียนการสอนที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ พัฒนามาจากปรัชญาและทฤษฎีการเรียนรู Constructivism ที่เชื่อวาการเรียนรูเปนกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในสมองของผูเรียนแตละคน ผูเรียนเปนผูสราง เสร�ม 3 ความรูโดยการเชื่อมโยงระหวางสิ่งที่ไดพบเห็นกับความรูหรือประสบการณเดิมที่มีอยู ทฤษฎีนี้มีความเชื่อวา นักเรียนทุกคนไดเรียนรูและมีความรูความเขาใจสิ่งตางๆ ติดตัวมากอนที่จะเขาสู หองเรียน ซึง่ เปนการเรียนรูท เี่ กิดจากบริบทและสิง่ แวดลอมรอบตัวนักเรียนแตละคน ดังนัน้ การจัดกระบวนการเรียนรู ในแตละบทเรียน ผูสอนจะตองคํานึงถึง 1) ความรูเดิมของนักเรียน การสอนที่ดีจึงตองเริ่มตนจากจุดที่วา นักเรียนมีความรูอะไรมาบาง แลวจึงให ความรูหรือประสบการณใหมตอยอดจากความรูเดิม 2) ความรูเดิมของนักเรียนถูกตองหรือไม ผูสอนตองปรับเปลี่ยนความรูความเขาใจเดิมของนักเรียนให ถูกตอง และเปนพฤติกรรมการเรียนรูใหมที่มีคุณคาตอนักเรียน เพื่อสรางเจตคติหรือทัศนคติที่ดีตอการเรียน 3) นักเรียนสรางความหมายสําหรับตนเอง ผูสอนตองสงเสริมใหนักเรียนนําขอมูลความรูไปลงมือปฏิบัติ และประยุกตใชความรูอยางถูกตอง ในบริบทที่เปนจริงของชีวิตนักเรียน เพื่อขยายความรูใหลึกซึ้งและมีคุณคาตอ ตัวนักเรียนมากที่สุด แนวคิด Constructivism เนนใหผเู รียนสรางความรูโ ดยผานกระบวนการคิดและความอยากรูข องตนเอง โดย มีผูสอนเปนผูสรางบรรยากาศการเรียนรูและกระตุนความสนใจ คอยจัดสถานการณใหผูเรียนเกิดความขัดแยงทาง ความคิดระหวางประสบการณเดิมกับประสบการณความรูใ หม ผูเ รียนจะพยายามปรับขอมูลใหมกบั ประสบการณที่ มีอยูเดิม แลวสรางเปนความรูใหมหรือแนวคิดใหมๆ ไดดวยตนเอง
3. การบูรณาการกระบวนการคิด การเรียนรูข องนักเรียนแตละคนจะเกิดขึน้ ทีส่ มอง ซึง่ ทําหนาทีร่ คู ดิ ภายใตสภาพแวดลอมทีเ่ อือ้ อํานวยและได รับการกระตนุ จูงใจอยางเหมาะสมสอดคลองกับสภาพจิตใจและความตองการของนักเรียน การจัดกระบวนการเรียนรู และสาระการเรียนรูท มี่ คี วามหมายตอผูเ รียน จะชวยกระตนุ ใหสมองรับรูแ ละสามารถเรียนรูไ ดอยางมีประสิทธิภาพ ตามขั้นตอนการทํางานของสมอง ดังนี้ 1) สมองจะเรียนรูและสืบคน โดยการสังเกต คนหา ซักถาม และทดลองปฏิบัติ จนคนพบความรูความ เขาใจไดอยางรวดเร็ว 2) สมองจะแยกแยะคุณคาสิ่งตางๆ โดยการลงมติ ตัดสินใจ วิพากษวิจารณ แสดงความคิดเห็น ยอมรับ หรือตอตานตามอารมณความรูสึกที่เกิดขึ้นในขณะที่เรียนรู 3) สมองจะประมวลเนือ้ หาสาระ โดยสรุปเปนความคิดรวบยอดจากเรือ่ งราวทีไ่ ดเรียนรูใ หมนาํ ไปผสมผสาน กับความรูหรือประสบการณเดิมที่ถูกจัดเก็บอยูในสมอง ผานการกลั่นกรองเพื่อสังเคราะหเปนความรูความเขาใจ ใหมๆ หรือเปนเหตุผลทัศนคติใหมที่จะฝงแนนในสมองของผูเรียน คูม อื ครู
การเรียนรูที่มีประสิทธิภาพจึงตองเปนการเรียนรูที่เกิดจากกระบวนการคิดของผูเรียน เพราะการเรียนรูจะ เกิดขึ้นเมื่อสมองรูคิด และตองเปนการคิดไดครบถวนตามขั้นตอนการทํางานของสมองผูเรียน โดยเริ่มตนจาก เสร�ม 1) ระดับการคิดขั้นพื้นฐาน ไดแก การสังเกต การจําแนก การสื่อความหมาย การคาดคะเน การรวบรวม 4 ขอมูล การสรุปผล เปนตน 2) ระดับลักษณะการคิด ไดแก การคิดกวาง คิดลึกซึ้ง คิดไกล คิดคลอง คิดหลากหลาย คิดอยางมีเหตุผล เปนตน 3) ระดับกระบวนการคิด ไดแก กระบวนการคิดอยางมีวิจารณญาณ กระบวนการแกปญหา กระบวนการคิด สรางสรรค กระบวนการคิดสังเคราะหวิจัย เปนตน
4. การใชวัฏจักรการเรียนรู 5E รูปแบบการสอนที่สัมพันธกับกระบวนการคิดและการทํางานของสมองของผูเรียนที่นิยมใชอยางแพรหลาย คือ วัฏจักรการเรียนรู 5E ซึ่งผูจัดทําคูมือครูไดนํามาใชเปนแนวทางออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในคูมือครู ฉบับนี้ตามลําดับขั้นตอนการเรียนรู ดังนี้ 1) กระตุนความสนใจ (Engage) เปนขั้นที่ผูสอนนําเขาสูบทเรียน เพื่อกระตุนความสนใจของนักเรียนดวย เรือ่ งราว เหตุการณทนี่ า สนใจ โดยใชเทคนิควิธกี ารสอนและคําถามทบทวนความรูห รือประสบการณเดิมของผูเ รียน เพื่อเชื่อมโยงเขาสูบทเรียนใหม ชวยใหนักเรียนสามารถสรุปประเด็นสําคัญที่เปนหัวขอการเรียนรูของบทเรียนได จึงเปนขั้นตอนการสอนที่สําคัญ เพราะเปนการเตรียมความพรอมและสรางแรงจูงใจใฝเรียนรูแกผูเรียน 2) สํารวจคนหา (Explore) เปนขั้นที่ผูสอนเปดโอกาสใหผูเรียนสังเกต และรวมมือกันสํารวจ เพื่อใหเห็น ปญหา รวมถึงวิธีการศึกษาคนควาขอมูลความรูที่จะนําไปสูความเขาใจประเด็นปญหานั้นๆ เมื่อนักเรียนทําความเขาใจในประเด็นหัวขอที่จะศึกษาคนควาอยางถองแทแลว ก็ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บ รวบรวมขอมูลความรู สํารวจตรวจสอบ โดยวิธีการตางๆ เชน สัมภาษณ ทดลอง อานคนควาขอมูลจากเอกสาร แหลงขอมูลตางๆ จนไดขอมูลความรูตามที่ตั้งประเด็นศึกษาไว 3) อธิบายความรู (Explain) เปนขั้นที่ผูสอนมีปฏิสัมพันธกับผูเรียน เชน ใหการแนะนํา ตั้งคําถามกระตุน ใหคดิ เพือ่ ใหผเู รียนคนหาคําตอบ และนําขอมูลความรูจ ากการศึกษาคนควาในขัน้ ที่ 2 มาวิเคราะห แปลผล สรุปผล และนําเสนอผลที่ไดศึกษาคนความาในรูปแบบสารสนเทศตางๆ เชน เขียนแผนภูมิ แผนผังแสดงมโนทัศน เขียน ความเรียง เขียนรายงาน เปนตน สมองของผูเรียนจะทําหนาที่คิดวิเคราะห สังเคราะหอยางเปนระบบ 4) ขยายความเขาใจ (Expand) เปนขัน้ ทีผ่ สู อนใชเทคนิควิธกี ารสอนทีช่ ว ยพัฒนาผูเ รียนใหนาํ ความรูท เี่ กิดขึน้ ไปคิดคนตอๆ ไป เพือ่ พัฒนาทักษะการเรียนรูแ ละการทํางานรวมกันเปนกลุม ระดมสมองเพือ่ คิดสรางสรรครว มกัน
คูม อื ครู
นักเรียนสามารถนําความรูที่สรางขึ้นใหมไปเชื่อมโยงกับประสบการณเดิมโดยนําขอสรุปที่ไดไปอธิบาย เหตุการณตางๆ หรือนําไปปฏิบัติในสถานการณใหมๆ ที่เกี่ยวของกับชีวิตประจําวันของตนเอง เพื่อขยายความรู ความเขาใจใหกวางขวางยิง่ ขึน้ สมองของผูเ รียนจะทําหนาทีค่ ดิ ริเริม่ สรางสรรคอยางมีคณ ุ ภาพ เสริมสรางวิสยั ทัศน เสร�ม 5 ใหกวางไกลออกไป 5) ตรวจสอบผล (Evaluate) เปนขั้นที่ผูสอนประเมินมโนทัศนของผูเรียน โดยตรวจสอบจากความคิดที่ เปลี่ยนไปและความคิดรวบยอดที่เกิดขึ้นใหม ตรวจสอบทักษะ กระบวนการปฏิบัติ การแกปญหา การตอบคําถาม รวบยอด และการเคารพความคิดหรือยอมรับเหตุผลของคนอื่นเพื่อการสรางสรรคความรูรวมกัน นักเรียนสามารถประเมินผลการเรียนรูข องตนเอง เพือ่ สรุปผลวานักเรียนมีความรูอ ะไรเพิม่ ขึน้ บาง มาก นอยเพียงใด และจะนําความรูเหลานั้นไปประยุกตใชในการเรียนรูเรื่องอื่นๆ ไดอยางไร นักเรียนจะเกิดเจตคติและ เห็นคุณคาของตนเองจากผลการเรียนรูที่เกิดขึ้น ซึ่งเปนการเรียนรูที่มีความสุขอยางแทจริง การจัดกิจกรรมการเรียนรูตามวัฏจักรการสรางความรูแบบ 5E จึงเปนรูปแบบการเรียนการสอนที่เนน ผูเรียนเปนสําคัญ โดยสงเสริมใหผูเรียนใชกระบวนการสรางความรูดวยตนเอง และฝกฝนใหใชกระบวนการคิดและ กระบวนการกลุมอยางชํานาญ กอใหเกิดทักษะการเรียนรูและทักษะชีวิตที่มีคุณภาพ ตามเปาหมายของการปฏิรูป การศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) ทุกประการ คณะผูจัดทํา
คูม อื ครู
แถบสี และสัญลักษณ ที่ใชสื่อความหมายในคูมือครู 1. แถบสี
แถบสีแสดงขั้นตอนการสอนและการจัดกิจกรรม แบบ 5E เพื่อใหครูทราบวาเปนขั้นการสอนขั้นใด
เสร�ม
6
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
•
•
•
Engage
Explore
เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใช เทคนิคกระตุนความ สนใจ เพื่อโยงเขาสู บทเรียน
Explain
เปนขั้นที่ผูสอนให ผูเรียนสํารวจปญหา และศึกษาขอมูล
เปนขั้นที่ผูสอนให ผูเรียนคนหาคําตอบ จนเกิดความรูเชิง ประจักษ
ขยายความเขาใจ Expand
•
เปนขั้นที่ผูสอนให ผูเรียนนําความรูไป คิดคนตอๆ ไป
ตรวจสอบผล Evaluate
•
เปนขั้นที่ผูสอน ประเมินมโนทัศน ของผูเรียน
วัตถุประสงค
สัญลักษณ
2. สัญลักษณ
คูม อื ครู
เปาหมาย การเรียนรู
หลักฐาน แสดงผล การเรียนรู
• แสดงเปาหมาย
• แสดงรองรอย
การเรียนรูที่ นักเรียนตอง บรรลุตามตัวชี้วัด
หลักฐานที่แสดง ผลการเรียนรู ตามตัวชี้วัด
เกร็ดแนะครู
นักเรียนควรรู
• แทรกความรู
• ขยายความรู
เสริมสําหรับครู ขอเสนอแนะ ขอควรระวัง ขอสังเกต แนวทางการจัด กิจกรรมและอืน่ ๆ เพื่อประโยชนใน การจัดการเรียน การสอน
เพิ่มเติมจาก เนื้อหา เพื่อให นักเรียนไดมี ความรูมากขึ้น
@
NET
มุม IT
ขอสอบ
• แนะนําแหลง
• วิเคราะหแนว
คนควาจาก เว็บไซต เพื่อให ครูและนักเรียน ไดเขาถึงขอมูล ความรูที่ หลากหลาย
ขอสอบ O-NET เพื่อใหครูเนนยํ้า เนื้อหาที่มักออก ขอสอบ O-NET
ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง (เฉพาะชั้น ม.3)* สาระที่ 1 สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดํารงชีวิต
มาตรฐาน ว 1.2 เขาใจกระบวนการและความสําคัญของการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม วิวัฒนาการของ สิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ การใชเทคโนโลยีชีวภาพที่มีผลกระทบตอมนุษยและ เสร�ม สิง่ แวดลอม มีกระบวนการสืบเสาะหาความรูแ ละจิตวิทยาศาสตร สือ่ สารสิง่ ทีเ่ รียนรู และนําความ 7 รูไปใชประโยชน ชั้น
ตัวชี้วัด
ม.3 1. สังเกตและอธิบายลักษณะ ของโครโมโซมที่มีหนวย พันธุกรรมหรือยีนใน นิวเคลียส
สาระการเรียนรูแกนกลาง
• เมื่อมองเซลลผานกลองจุลทรรศนจะเห็นเสนใยเล็กๆ พันกัน อยูในนิวเคลียส เมื่อเกิดการแบง เซลล เสนใยเหลานี้จะขดสั้น เขาจนมีลักษณะเปนทอนสั้น เรียกวา โครโมโซม • โครโมโซมประกอบดวยดีเอ็นเอและโปรตีน • ยีนหรือหนวยพันธุกรรมเปนสวนหนึ่งที่อยูบนดีเอ็นเอ
2. อธิบายความสําคัญของสาร • สํารวจสภาพปจจุบนั ปญหาทองถิน่ ทัง้ ทางดานสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดลอม พันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ และ กระบวนการถายทอดลักษณะ • วิเคราะหปญ หาของทองถิน่ โดยใชปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ทางพันธุกรรม • แนวทางการแกไขและพัฒนาทองถิน่ ตามปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง 3. อภิปรายโรคทางพันธุกรรมที่ • เซลลหรือสิ่งมีชีวิต มีสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอที่ควบคุม เกิดจากความผิดปกติของยีน ลักษณะของการแสดงออก และโครโมโซมและนําความรู • ลักษณะทางพันธุกรรมที่ควบคุมดวยยีนจากพอและแม สามารถถายทอดสูลูกผานทางเซลลสืบพันธุและการปฏิสนธิ ไปใชประโยชน 4. สํารวจและอธิบายความหลาก • ความหลากหลายทางชีวภาพที่ทําใหสิ่งมีชีวิตอยูอยางสมดุล หลายทางชีวภาพในทองถิน่ ที่ ขึ้นอยูกับความหลากหลายของระบบนิเวศ ความหลากหลาย ทําใหสงิ่ มีชวี ติ ดํารงชีวติ อยูไ ด ของชนิดสิ่งมีชีวิต และความหลากหลายทางพันธุกรรม อยางสมดุล 5. อธิบายผลของความหลาก หลายทางชีวภาพทีม่ ตี อ มนุษย สัตว พืช และ สิง่ แวดลอม
• การตัดไมทําลายปาเปนสาเหตุหนึ่งที่ทําใหเกิดการสูญเสีย ความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งสงผลกระทบตอการดํารง ชีวิตของมนุษย สัตว พืชและสิ่งแวดลอม • การใชสารเคมีในการกําจัดศัตรูพืชและสัตว สงผลกระทบตอ สิ่งมีชีวิตทั้งมนุษย สัตวและพืช ทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลง ความหลากหลายทางชีวภาพและสงผลกระทบตอสิ่งแวดลอม
6. อภิปรายผลของเทคโนโลยี ชีวภาพตอการดํารงชีวติ ของ มนุษยและสิง่ แวดลอม
• ผลของเทคโนโลยีชีวภาพ มีประโยชนตอมนุษย ทั้งดานการ แพทย การเกษตรและอุตสาหกรรม
* สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง กลุมสาระการเรียนรู เศรษฐศาสตร. (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย, 2551), หนา 7 - 47.
คูม อื ครู
สาระที่ 2 ชีวิตกับสิ่งแวดลอม เสร�ม
8
มาตรฐาน ว 2.1 เขาใจสิง่ แวดลอมในทองถิน่ ความสัมพันธระหวางสิง่ แวดลอมกับสิง่ มีชวี ติ ความสัมพันธระหวาง สิ่งมีชีวิตตางๆ ในระบบนิเวศ มีกระบวนการสืบเสาะหาความรูและจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่ง ที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชน ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
ม.3 1. สํารวจระบบนิเวศตางๆในทอง • ระบบนิเวศในแตละทองถิ่นประกอบดวยองคประกอบทาง ถิ่นและอธิบาย ความสัมพันธ กายภาพและองคประกอบทางชีวภาพเฉพาะถิ่น ซึ่งมีความ เกี่ยวของสัมพันธกนั ขององคประกอบภายใน ระบบนิเวศ 2. วิเคราะหและอธิบายความ สัมพันธของการถายทอด พลังงานของสิ่งมีชีวิตในรูป ของโซอาหารและสายใย อาหาร
• สิ่งมีชีวิตมีความเกี่ยวของสัมพันธกัน โดยมีการถายทอด พลังงานในรูปของโซอาหารและสายใยอาหาร
3. อธิบายวัฏจักรนํ้า วัฏจักร • นํ้าและคารบอนเปนองคประกอบในสิ่งมีชีวิตและสิ่งไมมีชีวิต คารบอน และความสําคัญที่มี • นํ้าและคารบอนจะมีการหมุนเวียนเปนวัฏจักรในระบบนิเวศ ทําใหสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศนําไปใชประโยชนได ตอระบบนิเวศ 4. อธิบายปจจัยทีม่ ผี ลตอการ เปลีย่ นแปลงขนาดของ ประชากรในระบบนิเวศ
• อัตราการเกิด อัตราการตาย อัตราการอพยพเขา และอัตรา การอพยพออกของสิ่งมีชีวิตมีผลตอการเปลี่ยนแปลงขนาด ของประชากรในระบบนิเวศ
มาตรฐาน ว 2.2 เขาใจความสําคัญของทรัพยากรธรรมชาติ การใชทรัพยากรธรรมชาติในระดับทองถิ่น ประเทศ และโลกนําความรูไ ปใชในในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และสิง่ แวดลอมในทองถิน่ อยางยัง่ ยืน ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
ม.3 1. วิเคราะหสภาพปญหา • สภาพปญหาสิ่งแวดลอมและทรัพยากรธรรมชาติในทองถิ่น สิง่ แวดลอมทรัพยากรธรรมชาติ เกิดจากการกระทําของธรรมชาติและมนุษย ในทองถิ่น และเสนอแนวทาง • ปญหาสิ่งแวดลอมและทรัพยากรธรรมชาติที่เกิดขึ้น ควรมี แนวทางในการดูแลรักษาและปองกัน ในการแกไขปญหา 2. อธิบายแนวทางการรักษา สมดุลของระบบนิเวศ
คูม อื ครู
• ระบบนิเวศจะสมดุลไดจะตองมีการควบคุมจํานวนผูผลิต ผูบริโภค ผูสลายสารอินทรีย ใหมีปริมาณ สัดสวน และการ กระจายที่เหมาะสม • การใชทรัพยากรธรรมชาติอยางยั่งยืนและการดูแลรักษา สภาพแวดลอม เปนการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ
ชั้น
ตัวชี้วัด
3. อภิปรายการใชทรัพยากรธรรมชาติอยางยั่งยืน
สาระการเรียนรูแกนกลาง
• การนําทรัพยากรธรรมชาติมาใชอยางคุมคาดวยการใชซํ้า นํากลับมาใชใหม ลดการใชผลิตภัณฑ ใชผลิตภัณฑชนิดเดิม ซอมแซมสิ่งของเครื่องใช เปนวิธีการใชทรัพยากรธรรมชาติ อยางยั่งยืน
4. วิเคราะหและอธิบายการใช ทรัพยากรธรรมชาติ ตาม ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
• การใชทรัพยากรธรรมชาติควรคํานึงถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอ เพียงบนพื้นฐานของทางสายกลาง และความไมประมาท โดยคํานึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผลและการ เตรียมตัวใหพรอมที่จะรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้น
5. อภิปรายปญหาสิง่ แวดลอม และเสนอแนะแนวทางการแก ปญหา
• ปญหาสิ่งแวดลอมอาจเกิดจากมลพิษทางนํ้า มลพิษทางเสียง มลพิษทางอากาศ มลพิษทางดิน • แนวทางการแกปญหามีหลายวิธี เริ่มจากศึกษาแหลงที่มา ของปญหา เสาะหากระบวนการในการแกปญหา และทุกคนมี สวนรวมในการปฏิบัติเพื่อแกปญหานั้น
เสร�ม
9
6. อภิปรายและมีสว นรวมในการ • การดูแลและอนุรักษสิ่งแวดลอมในทองถิ่นใหยั่งยืน ควรไดรับ ดูแลและอนุรกั ษสงิ่ แวดลอมใน ความรวมมือจากทุกฝายและตองเปนความรับผิดชอบของ ทุกคน ทองถิน่ อยางยัง่ ยืน
สาระที่ 4 แรงและการเคลื่อนที่
มาตรฐาน ว 4.1 เขาใจธรรมชาติของแรงแมเหล็กไฟฟา แรงโนมถวง และแรงนิวเคลียร มีกระบวนการสืบเสาะ หาความรู สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชนอยางถูกตองและมีคุณธรรม ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
1. อธิบายความเรงและผลของ แรงลัพธที่ทําตอวัตถุ
• วัตถุเคลื่อนที่ดวยความเร็วที่เปลี่ยนแปลง เปนการเคลื่อนที่ ดวยความเรง เมื่อแรงลัพธมีคาไมเทากับศูนยกระทําตอวัตถุ วัตถุจะเคลื่อนที่ดวยความเรงซึ่งมีทิศทางเดียวกับแรงลัพธ
2. ทดลองและอธิบายแรงกิรยิ า และแรงปฏิกริ ยิ าระหวางวัตถุ และนําความรูไ ปใชประโยชน
• ทุกแรงกิริยาจะมีแรงปฏิกิริยาโตตอบดวยขนาดของแรงเทา กัน แตมีทิศทางตรงขาม • การนําความรูเรื่องแรงกิริยาและแรงปฏิกิริยาไปใชอธิบาย เชน การชักเยอ การจุดบั้งไฟ
3. ทดลองและอธิบายแรงพยุงของ • แรงพยุง คือ แรงที่ของเหลวกระทําตอวัตถุมีคาเทากับนํ้า หนักของของเหลวที่มีปริมาตรเทากับสวนที่จมของวัตถุ ของเหลวทีก่ ระทําตอวัตถุ • ของเหลวที่มีความหนาแนนมากจะมีแรงพยุงมาก • วัตถุที่ลอยไดในของเหลวจะมีความหนาแนนนอยกวาความ หนาแนนของของเหลว คูม อื ครู
มาตรฐาน ว 4.2 เขาใจลักษณะการเคลือ่ นทีแ่ บบตางๆ ของวัตถุในธรรมชาติ มีกระบวนการสืบเสาะหาความรูแ ละ จิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชน ชั้น
เสร�ม
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
1. ทดลองและอธิบายความแตก • แรงเสียดทานสถิตเปนแรงเสียดทานที่กระทําตอวัตถุขณะ ตางระหวางแรงเสียดทานสถิต หยุดนิ่ง สวนแรงเสียดทานจลนเปนแรงเสียดทานที่กระทํา ตอวัตถุขณะเคลื่อนที่ กับแรงเสียดทานจลนและนํา ความรูไปใชประโยชน • การเพิม่ แรงเสียดทาน เชน การออกแบบพืน้ รองเทาเพือ่ กันลืน่ • การลดแรงเสียดทาน เชน การใชนํ้ามันหลอลื่นที่จุดหมุน
10
2. ทดลองและวิเคราะหโมเมนต ของแรง และนําความรูไ ปใช ประโยชน
• เมื่อมีแรงที่กระทําตอวัตถุ แลวทําใหเกิดโมเมนตของแรงรอบ จุดหมุน วัตถุจะเปลี่ยนสภาพการหมุน • การวิเคราะหโมเมนตของแรงในสถานการณตางๆ
3. สังเกตและอธิบายการเคลือ่ นที่ • การเคลื่อนที่ของวัตถุมีทั้งการเคลื่อนที่ในแนวตรง เชน การตกแบบเสรี และการเคลื่อนที่ในแนวโคง เชน การ ของวัตถุทเี่ ปนแนวตรงและ เคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลของลูกบาสเกตบอลในอากาศ การ แนวโคง เคลื่อนที่แบบวงกลมของวัตถุที่ผูกเชือกแลวแกวง เปนตน
สาระที่ 5 พลังงาน
มาตรฐาน ว 5.1 เขาใจความสัมพันธระหวางพลังงานกับการดํารงชีวติ การเปลีย่ นรูปพลังงาน ปฏิสมั พันธระหวาง สารและพลังงาน ผลของการใชพลังงานตอชีวิตและสิ่งแวดลอม มีกระบวน การสืบเสาะหา ความรู สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรู ไปใชประโยชน ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
1. อธิบายงาน พลังงานจลน • การใหงานแกวัตถุเปนการถายโอนพลังงานใหวัตถุ พลังงาน พลังงานศักยโนมถวง กฎการ นี้เปนพลังงานกลซึ่งประกอบดวยพลังงานศักยและ พลังงานจลน พลังงานจลนเปนพลังงานของวัตถุขณะวัตถุ อนุรักษพลังงาน และความ เคลื่อนที่ สวนพลังงานศักยโนมถวงของวัตถุเปนพลังงาน สัมพันธระหวางปริมาณ ของวัตถุท่อี ยูสูงจากพื้นโลก เหลานี้ รวมทั้งนําความรูไป ใชประโยชน • กฎการอนุรักษพลังงานกลาววา พลังงานรวมของวัตถุไม สูญหาย แตสามารถเปลี่ยนจากรูปหนึ่งไปเปนอีกรูปหนึ่งได • การนํากฎการอนุรักษพลังงานไปใชประโยชนในการอธิบาย ปรากฏการณ เชน พลังงานนํ้าเหนือเขื่อนเปลี่ยนรูปจาก พลังงานศักยโนมถวงเปนพลังงานจลน, ปนจั่นตอกเสาเข็ม 2. ทดลองและอธิบายความ สัมพันธระหวางความตางศักย กระแสไฟฟาความตานทาน และนําความรูไ ปใชประโยชน คูม อื ครู
• ความตางศักย กระแสไฟฟาและความตานทานมีความ สัมพันธกันตามกฎของโอหม • การนํากฎของโอหมไปใชวิเคราะหวงจรไฟฟาอยางงาย
ชั้น
ตัวชี้วัด
3. คํานวณพลังงานไฟฟาของ เครือ่ งใชไฟฟา และนําความรู ไปใชประโยชน
สาระการเรียนรูแกนกลาง
• การคํานวณพลังงานไฟฟาของเครื่องใชไฟฟาเปนสวนหนึ่ง ของการคิดคาไฟฟาและเปนแนวทางในการประหยัดพลังงาน ไฟฟาในบาน
เสร�ม
11
4. สังเกตและอภิปรายการตอ • การตอวงจรไฟฟาในบานตองออกแบบวงจร ติดตั้งเครื่อง วงจรไฟฟาในบานอยางถูกตอง ใชไฟฟา อุปกรณไฟฟาอยางถูกตอง โดยการตอสวิตชแบบ อนุกรม ตอเตารับแบบขนาน และเพื่อความปลอดภัยตอง ปลอดภัย และประหยัด ตอสายดินและฟวส รวมทั้งตองคํานึงถึงการใชไฟฟาอยาง ประหยัด 5. อธิบายตัวตานทาน ไดโอด • ชิ้นสวนอิเล็กทรอนิกส เชน ตัวตานทาน ไดโอด ทรานซิสเตอร มีสมบัติทางไฟฟาแตกตางกัน ตัวตานทาน ทรานซิสเตอร และทดลองตอ วงจรอิเล็กทรอนิกสเบือ้ งตนทีม่ ี ทําหนาที่จํากัดกระแสไฟฟาในวงจร ไดโอดมีสมบัติใหกระแส ไฟฟาผานไดทิศทางเดียวและทรานซิสเตอรทําหนาที่เปน ทรานซิสเตอร สวิตซปด-เปดวงจร • การประกอบวงจรอิเล็กทรอนิกสเบื้องตนที่มีทรานซิสเตอร 1 ตัวทําหนาที่เปนสวิตซ
สาระที่ 7 ดาราศาสตรและอวกาศ
มาตรฐาน ว 5.1 เขาใจความสัมพันธระหวางพลังงานกับการดํารงชีวติ การเปลีย่ นรูปพลังงาน ปฏิสมั พันธระหวาง สารและพลังงาน ผลของการใชพลังงานตอชีวิตและสิ่งแวดลอม มีกระบวน การสืบเสาะหา ความรู สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรู ไปใชประโยชน ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
1. สืบคนและอธิบายความสัมพันธ • ดวงอาทิตย โลก และดวงจันทรอยูเปนระบบไดภายใตแรง โนมถวง ระหวางดวงอาทิตย โลก ดวง จันทรและดาวเคราะหอนื่ ๆ • แรงโนมถวงระหวางโลกกับดวงจันทร ทําใหดวงจันทรโคจร และผลทีเ่ กิดขึน้ ตอสิง่ แวดลอม รอบโลก แรงโนมถวงระหวางดวงอาทิตยกับบริวาร ทําให บริวารเคลื่อนรอบดวงอาทิตยกลายเปนระบบสุริยะ และสิง่ มีชวี ติ บนโลก • แรงโนมถวงที่ดวงจันทร ดวงอาทิตยกระทําตอโลกทําใหเกิด ปรากฏการณนํ้าขึ้น นํ้าลง ซึ่งสงผลตอสิ่งแวดลอมและสิ่งมี ชีวิตบนโลก 2. สืบคนและอธิบายองคประกอบ • เอกภพประกอบดวยกาแล็กซีมากมายนับแสนลานแหง แตละ กาแล็กซีประกอบดวยดาวฤกษจํานวนมาก ที่อยูเปนระบบ ของเอกภพ กาแล็กซี และ ดวยแรงโนมถวง กาแล็กซีทางชางเผือกมีระบบสุริยะอยูที่ ระบบสุรยิ ะ แขนของกาแล็กซี่ดานกลุมดาวนายพราน
คูม อื ครู
ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
3. ระบุตาํ แหนงของกลมุ ดาว และ • กลุมดาวฤกษประกอบดวยดาวฤกษหลายดวงที่ปรากฏอยูใน ขอบเขตแคบๆ และเรียงเปนรูปตางๆกันบนทรงกลมฟา โดย นําความรูไ ปใชประโยชน ดาวฤกษที่อยูในกลุมเดียวกัน ไมจําเปนตองอยูใกลกันอยางที่ ตาเห็น แตมีตําแหนงที่แนนอนบนทรงกลมฟา จึงใชบอกทิศ และเวลาได
เสร�ม
12
มาตรฐาน ว 7.2 เขาใจความสําคัญของเทคโนโลยีอวกาศที่นํามาใชในการสํารวจอวกาศและ ทรัพยากรธรรมชาติ ดานการเกษตรและการสื่อสาร มีกระบวนการสืบเสาะหาความรูและจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่ เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชนอยางมีคุณธรรมตอชีวิตและสิ่งแวดลอม ชั้น
ตัวชี้วัด
1. สืบคนและอภิปรายความ กาวหนาของเทคโนโลยี อวกาศที่ใชสํารวจอวกาศ วัตถุทองฟา สภาวะอากาศ ทรัพยากรธรรมชาติ การเกษตร และการสื่อสาร
สาระการเรียนรูแกนกลาง
• มนุษยใชกลองโทรทรรศน จรวด ดาวเทียม ยาน อวกาศ สํารวจอวกาศ วัตถุทองฟา สภาวะอากาศ ทรัพยากรธรรมชาติ การเกษตร และใชในการสื่อสาร
สาระที่ 8 ธรรมชาติของวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 8.1 ใชกระบวนการทางวิทยาศาสตรและจิตวิทยาศาสตรในการสืบเสาะหาความรู การแกปญหา รูวา ปรากฏการณทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นสวนใหญมีรูปแบบที่แนนอน สามารถอธิบายและตรวจสอบ ได ภายใตขอมูลและเครื่องมือที่มีอยูในชวงเวลานั้นๆ เขาใจวา วิทยาศาสตร เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดลอมมีความเกี่ยวของสัมพันธกัน ชั้น
ตัวชี้วัด
1. ตัง้ คําถามทีก่ าํ หนดประเด็นหรือ ตัวแปรที่สําคัญในการสํารวจ ตรวจสอบ หรือศึกษาคนควา เรือ่ งทีส่ นใจได อยางครอบคลุม และเชือ่ ถือได 2. สรางสมมติฐานทีส่ ามารถตรวจ สอบไดและวางแผน การสํารวจ ตรวจสอบหลายๆ วิธี
คูม อื ครู
สาระการเรียนรูแกนกลาง
ชั้น
ตัวชี้วัด
3. เลือกเทคนิควิธีการสํารวจ ตรวจสอบทั้งเชิงปริมาณและ เชิงคุณภาพที่ไดผลเที่ยงตรง และปลอดภัย โดยใชวัสดุและ เครื่องมือที่เหมาะสม
สาระการเรียนรูแกนกลาง
เสร�ม
13
4. รวบรวมขอมูล จัดกระทําขอมูล เชิงปริมาณและคุณภาพ 5. วิเคราะหและประเมินความ สอดคลองของประจักษพยาน กับขอสรุป ทั้งที่สนับสนุนหรือ ขัดแยงกับสมมติฐาน และ ความผิดปกติของขอมูลจาก การสํารวจตรวจสอบ 6. สรางแบบจําลอง หรือรูปแบบ ที่อธิบายผลหรือแสดงผลของ การสํารวจตรวจสอบ 7. สรางคําถามทีน่ าํ ไปสูก ารสํารวจ ตรวจสอบ ในเรื่องที่เกี่ยวของ และนํ า ความรู ที่ ไ ด ไ ปใช ใ น สถานการณใหมห รือ อธิบาย เกี่ยวกับแนวคิด กระบวนการ และผลของ โครงงานหรือชิ้น งานใหผูอื่นเขาใจ 8. บันทึกและอธิบายผลการสังเกต การสํารวจ ตรวจสอบ คนควา เพิม่ เติมจากแหลงความรูต า งๆ ให ไ ด ข อ มู ล ที่ เ ชื่ อ ถื อ ได แ ละ ยอมรับการเปลี่ยนแปลงความ รู ที่ ค น พบเมื่ อ มี ข อ มู ล และ ประจักษพยานใหมเพิม่ ขึน้ หรือ โตแยงจากเดิม
คูม อื ครู
ชั้น
เสร�ม
14
คูม อื ครู
ตัวชี้วัด
9. จัดแสดงผลงาน เขียนรายงาน และ/หรื อ อธิ บ ายเกี่ ย วกั บ แนวคิด กระบวนการ และผล ของโครงงานหรือชิ้นงานใหผู อืน่ เขาใจ
สาระการเรียนรูแกนกลาง
คําอธิบายรายวิชา รายวิชา เศรษฐศาสตร ชั้นประถมศึกษาปที่ 3 รหัสวิชา ว…………………………………
กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร ภาคเรียนที่ 1-2 เวลา 20 ชั่วโมง/ป เสร�ม
ศึกษา วิเคราะหกลไกราคาในระบบเศรษฐกิจ บทบาทหนาทีข่ องรัฐบาลในระบบเศรษฐกิจ นโยบายและกิจกรรม ทางเศรษฐกิจของรัฐทีม่ ตี อ บุคคล กลุม คนและประเทศชาติ ความสําคัญของการรวมกลุม ทางเศรษฐกิจระหวางประเทศ ผลกระทบที่เกิดจากภาวะเงินเฟอ เงินฝด ผลเสียจากการวางงานและแนวทางการแกปญหา สาเหตุและวิธีการกีดกัน ทางการคาในการคาระหวางประเทศ การมีสวนรวมในการแกไขปญหาและพัฒนาทองถิ่นตามปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง ความสัมพันธระหวางแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงกับระบบสหกรณ โดยใชกระบวนการคิด กระบวนการสืบคนขอมูล กระบวนการทางสังคม กระบวนการเผชิญสถานการณและแก ปญหา กระบวนการปฏิบัติ กระบวนการกลุม เพื่อใหเกิดความรูความเขาใจ เห็นความสําคัญและสามารถนําไปประยุกตใชในการดําเนินชีวิต มีสวนรวมใน การแกไขปญหาและพัฒนาทองถิ่นตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีคุณธรรม จริยธรรมและมีคุณลักษณะอันพึง ในการทํางาน มีจิตสาธารณะ อยูอยางพอเพียง ประสงค ในดานมีวินัย ใฝเรียนรู ซื่อสัตยสุจริต มุงมั่นในการทํ ตัวชี้วัด ว 1.2 ม.3/1 ว 2.1 ม.3/1 ว 2.2 ม.3/1 ว 4.1 ม.3/1 ว 4.2 ม.3/1 ว 5.1 ม.3/1 ว 7.1 ม.3/1 ว 7.2 ม.3/1 ว 8.1 ม.3/1
ม.3/2 ม.3/2 ม.3/2 ม.3/2 ม.3/2 ม.3/2 ม.3/2
ม.3/3 ม.3/3 ม.3/3 ม.3/3 ม.3/3 ม.3/3 ม.3/3
15
ม.3/4 ม.3/5 ม.3/6 ม.3/4 ม.3/4 ม.3/5 ม.3/6 ม.3/4 ม.3/5
ม.3/2 ม.3/3 ม.3/4 ม.3/5 ม.3/6 ม.3/7 ม.3/8 ม.3/9
รวม 9 ตัวชี้วัด
คูม อื ครู
ÇÔà¤ÃÒÐË Áҵðҹ¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙጠÅеÑǪÕÇé ´Ñ ÃÒÂÇÔªÒ àÈÃÉ°ÈÒʵà Á.3
หนวยการเรียนรู
มาตรฐาน การเรียนรูและ ตัวชี้วัด
หนวยการเรียนรูที่ 7 : เอกภพ
หนวยการเรียนรูที่ 6 : ไฟฟาและอิเล็กทรอนิกส
หนวยการเรียนรูที่ 5 : แรงและการเคลื่อนที่ พลังงาน
วิทยาศาสตร ม.3 เลม 2
หนวยการเรียนรูที่ 4 : ความหลากหลายทาง ชีวภาพ
หนวยการเรียนรูที่ 3 : สิ�งแวดลอมและ ทรัพยากรธรรมชาติ
หนวยการเรียนรูที่ 2 : ระบบนิเวศ
หนวยการเรียนรูที่ 1 : พันธุกรรม
2
3
5
6
✓ ✓ ✓
4
1
3
✓ ✓ ✓
2
ตัวชี้วัด
ตัวชี้วัด
✓ ✓ ✓
1
มาตรฐาน ว 2.1
มาตรฐาน ว 1.2
สาระที่ 1
4
2
3
4
มาตรฐาน ว 2.2 5
6
✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓
1
สาระที่ 2
2
3
1
2
3
มาตรฐาน ว 4.2
✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓
1
มาตรฐาน ว 4.1
สาระที่ 4
2
3
4
✓ ✓ ✓ ✓
1
มาตรฐาน ว 5.1
สาระที่ 5
1
2
3
1
ว 7.2 2
3
4
5
6
7
8
9
✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓
✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓
✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓
✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓
✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓
✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓
1
มาตรฐาน ว 8.1
สาระที่ 8
✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓
5
มาตรฐาน 7.1
สาระที่ 7
16
วิทยาศาสตร ม.3 เลม 1
คูม อื ครู
คําชี้แจง : ใหผูสอนใชตารางน�้ตรวจสอบวา เน�้อหาสาระการเรียนรูในหนวยการเรียนรูสอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดชั้นปในขอใดบาง
ตาราง
เสร�ม
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand
Evaluate
˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÃÒÂÇÔªÒ¾×é¹°Ò¹
วิทยาศาสตร เลม 2 ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3
¡ÅØ‹ÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙŒÇÔ·ÂÒÈÒʵà ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
ผูเรียบเรียง
รศ. ดร. ยุพา วรยศ นายถนัด ศรีบุญเรือง มิสเตอรโจ บอยด มิสเตอรวอลเตอร ไวทลอร
ผูตรวจ
ดร. ฤทธิ์ วัฒนชัยยิ่งเจริญ นางกุณฑรี เพ็ชรทวีพรเดช นางวันธนา ทวีบุญญาวัตร
บรรณาธิการ
นายวิโรจน เตรียมตระการผล นางสาววราภรณ ทวมดี
คณะผูจัดทําคูมือครู
พัชรินทร แสนพลเมือง สายสุนีย งามพรหม พิมพครั้งที่ 3
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ รหัสสินคา 2318003 รหัสสินคา 2348010
¤Œ¹¤ÇÒÁÃÙŒ¢ÂÒ¤ÇÒÁ¤Ô´¨Ò¡
EB GUIDE
ที่พิมพกํากับหัวขอสําคัญในหนังสือเรียนหลักสูตรแกนกลางฯ ผาน www.aksorn.com ไปยังแหลงความรูทั่วไทย-ทั่วโลก
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา Engage
Explore
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explain
Expand
Evaluate
¤íÒ¹íÒ วิทยาศาสตรเปนวิชาทีม่ บี ทบาทสําคัญยิง่ ตอสังคมทัง้ ในโลกปจจุบนั และอนาคต เพราะวิทยาศาสตร จะมีความเกี่ยวของกับเราทุกคนทั้งในการดําเนินชีวิตประจําวัน การประกอบอาชีพการงานตางๆ ตลอด จนเทคโนโลยี เครื่องมือเครื่องใช และผลผลิตตางๆ ที่มนุษยสรางสรรคขึ้นมา วิทยาศาสตรชวยพัฒนาความคิดของมนุษย ใหคิดเปนเหตุเปนผล คิดสรางสรรค คิดวิเคราะห วิจารณ มีทักษะสําคัญในการแสวงหาความรู สามารถแกไขปญหาอยางเปนระบบ สามารถตัดสินใจ โดยใชขอมูลที่หลากหลายและมีประจักษพยานที่ตรวจสอบได วิทยาศาสตรจึงเปนวัฒนธรรมของโลก สมัยใหมที่เราทุกคนจําเปนตองไดรับการพัฒนา สําหรับหนังสือเรียนรายวิชาพืน้ ฐาน วิทยาศาสตร ชุดนี้ สาระภายในเลมไดพฒ ั นามาจากหนังสือ ชุด New Understanding Science ของประเทศอังกฤษ โดยเรียบเรียงใหสอดคลองกับตัวชี้วัดและสาระ การเรียนรูแกนกลาง ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เนื้อหาภายใน เลมจะเรียงไปตามสาระ และแบงยอยเปนหนวยการเรียนรู การนําเสนอนอกจากเนื้อหาสาระแลว ก็จะ มีกจิ กรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตรแทรกคัน่ ไวให และทุกทายหนวยการเรียนรู จะมีกจิ กรรมสรางสรรค พัฒนาที่เปนกิจกรรมการทดลองทางวิทยาศาสตรทบทวนอีกครั้งหนึ่ง ทัง้ นี้ในแตละชัน้ จะแบงหนังสือเรียนออกเปน 2 เลม ใชประกอบการเรียนการสอนภาคเรียนละเลม ซึ่งในชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 จัดแบงเนื้อหาตามสาระ ดังนี้ วิทยาศาสตร ม.3 เลม 1 มีเนื้อหาเกี่ยวกับพันธุกรรม ระบบนิเวศ สิ่งแวดลอมและทรัพยากร ธรรมชาติ ความหลากหลายทางชีวภาพ วิทยาศาสตร ม.3 เลม 2 มี เ นื้ อ หาเกี่ ย วกั บ แรงและการเคลื่ อ นที่ พลั ง งาน ไฟฟ า และ อิเล็กทรอนิกส เอกภพ ในการเรียบเรียงพยายามใหนักเรียนสามารถอานทําความเขาใจไดงาย ชัดเจน ไดรับความรู ตรงตามประเด็นในสาระการเรียนรูแกนกลาง และอํานวยความสะดวกทั้งตอครูผูสอนและนักเรียน หวังเปนอยางยิ่งวา หนังสือเรียนสาระการเรียนรูพื้นฐาน วิทยาศาสตรชุดนี้ จะมีสวนชวยใหการจัด การเรียนการสอนวิทยาศาสตร ระดับมัธยมศึกษาปที่ 1-3 สัมฤทธิ์ผลตามเปาหมาย และมีสวนชวยให นักเรียนมีคุณภาพอยางที่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานไดกําหนดไว ¼ÙŒàÃÕºàÃÕ§
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand
Evaluate
¤íÒá¹Ð¹íÒ¡ÒÃ㪌˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร ม.3 เลม 1 นี้ ใชประกอบการเรียนการสอนรายวิชาพื้นฐาน กลุมสาระ การเรียนรูว ทิ ยาศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 3 เนื้อหาตรงตามสาระการเรียนรูแกนกลางขั้นพื้นฐาน อานทําความเขาใจงาย ใหทั้งความรูและชวยพัฒนาผูเรียน ตามหลักสูตรและตัวชี้วัด เนื้อหาสาระแบงออกเปนหนวยการเรียนรูตามโครงสรางรายวิชา สะดวกแกการจัดการเรียนการสอน และการวัดผลประเมินผล พรอมเสริมองคประกอบอืน่ ๆ ทีจ่ ะชวยทําใหผเู รียนไดรบั ความรูอ ยางมีประสิทธิภาพ ¨Ñ´¡ÅØ‹Áà¹×éÍËÒ໚¹Ë¹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ à¡ÃÔè¹¹íÒà¾×èÍãˌࢌÒ㨶֧ÊÒÃÐÊíÒ¤ÑÞ Êдǡᡋ¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ ã¹Ë¹‹Ç·Õè¨ÐàÃÕ¹
 ˹Nj
6
¡ÒÃ
2
àÃÕ¹ÃÙÙŒ·Õè
ä¿ ÍÔàÅç¡·ÃÍ¿¹‡ÒÔ¡áÅÊÐ
ปฏิเสธไมไ เปนสวนหนึ่งในชี ดวา ไฟฟา เขามามีบทบาทใน ชีว ว มีสวนประกอบของวิตไปเสียแลว และแมสิ่งอํานวยความิตประจําวันของเราจนกลาย กลับอยูภายใตห งจรอิเล็กทรอนิกสที่ดูซับซอน แต สะดวกหลายชนิดจะลวน ลัก แ หรือสรางสรรคช การและรูปแบบวงจรเพียงไมกี่ช ทจริงแลวการทํางานทั้งสิ้น นิ ิ้นงานอิเล็กทรอน ิกสอยางงายๆ ได ดที่นักเรียนเองก็สามารถผลิต อยางถูกตองและ ปลอดภัย
Ê 6.4 ÍØ»¡Ã³ ÍÔàÅç¡·Ã͹ԡ ําหนาที่ควบคุมการไหลของ
กิจกรรม
ปกรณที่ท อุปกรณอิเล็กทรอนิกสเปนอุ ละเครื่องใชไฟฟา ซึ่งแผงวงจรอิเล็กทรอนิกสแ อุปกรณ กระแสไฟฟาในวงจรไฟฟา กสตางๆ เปนสวนประกอบอยู ทุกชนิดลวนมีอุปกรณอิเล็กทรอนิ งนี้ อิเล็กทรอนิกสมีหลายชนิด ดั
ภาพที่ 6.29 ตัวบอกคาความตานทาน ACT.) (ที่มาของภาพ : photo bank
พั ฒ นาทั ก ษะ วิทยาศาสตร
1. สัญลักษณ ในวงจรอิเล็ก ทรอนิ
6.4
กส
6.4.1 ตัวตานทาน
าที่ลด อุปกรณอิเล็กทรอนิกสที่ทําหน ตัวตานทาน (resistor) เปน ฟามาก อ ตัวตานทานที่มีความตานทานไฟ ปริมาณกระแสไฟฟา กลาวคื นอย จึงนําไฟฟาไดนอย อุปกรณและ นได า ไหลผ า ฟ ระแสไฟ ก จะยอมให โดยเฉพาะใน จําเปนตองมีตัวตานทานเสมอ เครื่องใชไฟฟาเกือบทุกชนิด วงจรอิเล็กทรอนิกส งออกไดเปน 4 ชนิด ดังนี้ ตัวตานทานที่ใชในปจจุบันแบ งๆ กัน (fixed resistor) มีรูปรางตา ่ คงที า ค ด นิ นทานช า ต ว ตั 1) ลักษณะเปนทรง ่ยม เปนตน โดยสวนใหญจะมี หุม เชน ทรงกระบอก แทงสี่เหลี ําจากสวนผสมของผงถาน ภายนอก นทานท า ต ว ตั น ป เ ่ นที ว ส กระบอก เี่ ปนสารผสม งั้ สองขางมีขาทีท่ าํ ดวยโลหะท ดวยสารทีเ่ ปนฉนวน สวนปลายท เขากับวงจรไฟฟา อ ต บ หรั า สํ ทองแดง บ กั ก ุ บ วได ระหวางดี นทานของตัวตานทานแตละตั เราสามารถทราบคาความตา ม (ohm : Ω ) มมิเตอร ซึ่งมีหนวยเปน โอห ่ยอมให โดยใชเครื่องมือที่เรียกวา โอห ง ความตานทานของเสนลวดที หมายถึ ม โอห 1 นทาน นทาน า า ต ว ษณะของตั โดยความต ภาพที่ 6. 28 สัญลักษณและลัก เมื่อใชแรงดันไฟฟา 1 โวลต กระแสไฟฟาผานได 1 แอมแปร ยใชโอหมมิเตอรจะตองวัดจากปลาย ชนิดคาคงที่ การวัดคาความตานทานโด ิเล็กทรอนิกส าตัวตานทานไปติดตั้งในวงจรอ ลวดตัวนําทั้งสองขาง แตหากนํ านคาความตานทาน รวมไปถงึ เพือ่ ความ อ และการ ด การวั อ ะดวกต ส บสีเปน แลวจะไม งาน ดังนั้นจึงมีการกําหนดแถ าใช นทานม า ต ว กตั อ ื สะดวกในการเล สัญลักษณแทนคาความตานทาน นทานสวนมากจะมี 4 แถบ ซึ่งมีแถบสีที่ แถบสีตางๆ ที่อยูบนตัวตา า นคา ห า งออกไปทีป่ ลายขางหนึง่ โดยการอ อยูช ดิ กัน 3 สี สวนอีกสีหนึง่ จะอยู ยูชิดกันกอน ซึ่งแถบสีที่อยูดานนอกสุด บสีที่อ หมายเหตุ : ตัวตานทานจะเริ่มอานจากแถ ที่ 2, 3 และ 4 ตามลําดับ ดังนั้นการอาน เลขที่ 1 แถบสีที่ 1 บอกใหทราบตัว ่ 2 แถบสี น ไปเป ด เลขที และถั ว 1 ่ ี ราบตั ท ท เปนแถบสี แถบสีที่ 2 บอกให ยของแถบสีแตละแถบ ละตัวจึงจําเปนตองทราบความหมา แถบสีที่ 3 บอกตัวคูณ เคลือ่ น (คิดเปน %) คาตัวตานทานแต แถบสีที่ 4 บอกคาความคลาด น และรหัสประจําสีแตละสี ดังตาราง แถบสีที่ปรากฏบนตัวตานทานเป
กสจําเปนตองมี ภาพที่ 6.27 วงจรอิเล็กทรอนิ ล ะวงจรอาจ มี ตั ว ต า นทานประ กอบอยู โดยแต ตัวตานทานไดหลายตัว ACT.) (ที่มาของภาพ : photo bank
ตัวชี้วัดชั้นป • ทดลองและอธิบ สัมพันธระหว ตางศักย กระแสไฟายความ ฟา ความตานทาน างความ ความรูไปใชประโยชน (ว 5.1 ม.3/2) และนํา • คํานวณพลงั งานไฟฟ นําความรูไปใช า ของเครอื่ งใชไฟฟา และ • สังเกตและอภิปประโยชน (ว 5.1 ม.3/3) รายการตอวงจรไฟ อยางถูกตอง ปลอดภ ฟา าน ัย และประหยัด ในบ ม.3/4) (ว 5.1 • อธิบายตัวตานทาน และทดลองตอวงจรอิ ไดโอด ทรานซิสเตอร มีทรานซิสเตอร (ว เล็กทรอนิกสเบื้องตนที่ 5.1 ม.3/5)
¡Ô¨¡ÃÃÁ¾Ñ²¹Ò·Ñ¡ÉÐÇÔ·ÂÒÈÒʵà ໚¹¡Ô¨¡ÃÃÁ ¡Ò÷´ÅͧÊíÒËÃѺãËŒ¼ÙŒàÃÕ¹½ƒ¡»¯ÔºÑµÔ à¾×èͪ‹Ç ÊÌҧ·Ñ¡ÉÐÇÔ·ÂÒÈÒʵà áÅЪ‹Ç¾Ѳ¹Ò¼ÙŒàÃÕ¹ ãËŒÁդسÀÒ¾µÒÁµÑǪÕéÇÑ´
à¹×éÍËҵçµÒÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹Ãٌ᡹¡ÅÒ§ ãËŒ¤ÇÒÁÃÙŒáÅÐàÍ×é͵‹Í¡ÒùíÒä»ãªŒÊ͹à¾×èÍ ãËŒºÃÃÅصÑǪÕéÇÑ´ áÅÐÊÌҧ¤Ø³ÅѡɳРÍѹ¾Ö§»ÃÐʧ¤
ในวงจรอิเล็กทรอนิกสประกอบดวยอุ ปกรณอิเล็กทรอนิกสหลายชนิด อิเล็กทรอนิกสแตละชนิดมีสัญลักษณ เฉพาะในการเขียนวงจร เพื่อสะดวกแก ตอเขาดวยกันเปนวงจร ซึ่งอุปกรณ การสื่อความหมายและการทําความเข าใจ
ภาพที่ 6.37 แผงวงจรอิเล็กทรอนิก (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)สในเครื่องใชไฟฟาประกอบไปดวยอุปกรณอิเล็กทรอนิกสหลายชนิด
จุดประสงค : เพื่อศึกษาสัญลักษณท
ี่ ใชแทนอุปกรณอิเล็กทรอนิกส ในวงจร
ÍØ»¡Ã³
ÇÔ¸Õ»¯ÔºÑµÔ
• แผนภาพวงจร อิเล็กทรอนิกส
?
1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4 - 5 คน 2. แตละกลุมชวยกันพิจารณาแผนภา พวงจร อิเล็กทรอนิกส แลวบอกรายละเอียด • สัญลักษณ ในวงจรแทนอุปกรณอ ดังนี้ ิเล็กทรอนิกส ชนิดใดบาง • อุปกรณอิเล็กทรอนิกสแตละชนิ ด ทําหนาที่ อะไรในวงจร 3. บันทึกผลลงในสมุดของนักเรียน
ÀÒ¾»ÃСͺ
ภาพที่ 6.38 (ที่มาของภาพ : photo
bank ACT.)
1. นักเรียนแตละกลุมยกตัวอยางเครื ่องใช ไฟฟาในชีวิตประจําวันที่มีอุปกรณ อิเล็กทรอนิกสเปนสวนประกอบ กลุมละ 1 อยาง แลวบอกรายละเอีย ด ดังนี้ • เครื่องใช ไฟฟานั้นมีอุปกรณ อิเล็กทรอนิกสอะไรบางเปนสวนประกอบ • เขียนสัญลักษณของอุปกรณ อิเล็กทรอนิกสแตละชนิด 2. นําเสนอผลงานแตละกลุมหนาชั ้นเรียน
48 53
µÑǪÕéÇÑ´µÒÁ·ÕèËÅÑ¡ÊٵáíÒ˹´ à¾×èÍãËŒ·ÃÒº¶Ö§à»‡ÒËÁÒÂ㹡ÒÃÈÖ¡ÉÒ ¡Ô¨¡ÃÃÁÊÌҧÊÃä ¾² Ñ ¹Ò»ÃШíÒ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ ãËŒ¼ÙŒàÃÕ¹½ƒ¡»¯ÔºÑµÔËÅѧ¨Ò¡ÈÖ¡ÉÒà¹×éÍËÒᵋÅР˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ
Design ˹ŒÒẺãËÁ‹ ÊǧÒÁ ¾ÔÁ¾ 4 ÊÕ µÅÍ´àÅ‹Á ª‹ÇÂãˌ͋ҹ ·íÒ¤ÇÒÁࢌÒ㨧‹Ò 7.1 ÃкºÊØÃÔÂÐ
างเผือก ซึ่งในระบบ ) อยูใ นกาแล็กซีทางช ระบบสรุ ยิ ะ (solar system ริวารของดวงอาทิตย อาทิตย และบ าใจเกี่ยวกับ สุริยะประกอบดวยดวง บการกําเนิดระบบสุริยะ จะชวยใหเข นขอมูล การศึกษาเกี่ยวกั าไดมากขึน้ รวมทงั้ เป การณต า งๆ บนทองฟ โลก ดวงดาว และปรากฏ าศาสตรตอไป ดานดาร สําหรับการศึกษาใน บสุริยะ ่อประมาณ 7.1.1 กําเนิดระบ เชื่อวา ดวงอาทิตยและบริวารเกิดขึ้นเมื ฮีเลียม เจน ราะห นักวิทยาศาสตร รของแกส เชน ไฮโดร ิยะประกอบไปดวยดาวเค ภาพที่ 7.1 ระบบสุร ว โดยเกิดจากมวลสา กลุมดวยแรงดึงดูดระหวางกัน วัตถุตางๆ ที่โคจรรอบ มาแล และเทห ย นป อ า น ล าะห 4,600 ดาวเคร เปน ธุลีในอวกาศรวมกัน ตัวเล็กลงจนเกิดความรอนและ น ฝุ ดวงอาทิตย รของ ACT.) วลสา bank และม ่มอัด (ที่มาของภาพ : photo าทิตยจะ อมากลุมมวลสารเริ และแรงโนมถวง ต ใหเกิดดวงอาทิตยและดาวบริวารขึ้น ดวงอ ิตย ทํา รอบดวงอาท หมุนรอบศูนยกลาง รอบตัวเองและโคจร นดาวบริวารจะหมุน หมุนรอบตัวเอง สว ะมีขั้นตอน ดังภาพตอไปนี้ ิย ่ซึงการกําเนิดระบบสุร
งวัน กลางคืน
ภาพที่ 7.69 กลางวั น กลางคืน เกิดจากโลก (ทีม่ าของภาพ : photo หมุนรอบตัวเองและ bank ACT.) โคจรรอบดวงอาทิต ย
จุดประสงค : เพื่อศึ
กษาและอธิบายการเกิ
นตัวอยางรวดเร็ และฝุนธุลีเกิดการหมุ ภาพที่ 7.3 กลุมแกส bank ACT.) (ที่มาของภาพ : photo
งดูด
ว กั น หลายก ลุ ส บริ เ วณรอบ ๆ รวมตั ภาพที่ 7.4 กลุ ม แกโคจรรอบดวงอาทิตย กลายเปนดาวเคราะห bank ACT.) (ที่มาของภาพ : photo
ม
ดตัวกันแนนกลายเป สบริเวณใจกลางอั ภาพที่ 7.5 กลุมแกุมแกสรอบๆ รวมตัวกันเปนกลุมกอน ดวงอาทิตย สวนกล bank ACT.) (ที่มาของภาพ : photo
68
ที่
7
โลกเปนดาวเค ดวงอาทิตย โดยแกนเอ ราะห ในระบบสุริยะ โลกจะมีการเคล ื่อนที บริเวณตางๆ บนผิ ยี งของโลกทาํ มุม 23.5 องศาตามแนวตั ่ 2 แบบ คือ การหมุนรอบตัวเอง วโลกไดรับแสง และไม และการโคจรรอบ ง้ ฉากก ในขณะที่บริเวณที่ ไ ไดรับแสงจากดวงอาท บั ระนาบวงโคจร การที่โลกหมนุ ม ได รอบต ไมไดรับแสง ทําให รับแสงจะเปนเวลากลางคืน เมื่อโลกห ิตยสลับกันไป บริเวณที่ไดรับแสงจะเป วั เอง ทําให เวลาเป น มุ จะเห็นวาการเกิดกลาง ลี่ยนจากกลางวันเปนกลางคืน และบ นไปไดครึ่งรอบ บริเวณที่เคยไดรับ เวลากลางวัน แสงจ ริ วัน กลางคืนก็เนื่อ งมาจากโลกหมุนรอบต เวณนั้นจะไดรับแสงอีกครั้งเมือ่ โลกห ะเปลี่ยนเปน มุนไปอีกครึ่งรอบ ัวเองนั่นเอง
ว
กันภายใตแรงดึ สและฝุนธุลีรวมตัว ภาพที่ 7.2 กลุมแก ระหวางกัน bank ACT.) (ที่มาของภาพ : photo
ม นาประกจําหนิจวกยการร รเรียนรู
สรางสรรคพัฒ
1. การเกิดกลา
ÇÑÊ´ØÍØ»¡Ã³
• สมเขียวหวาน • ไมเสียบลูกชิ้น • ไฟฉาย
น
1. ส มเขียวหวาน
102
ดกลางวัน กลางคืน ÇÔ¸Õ¡Òû¯Ô
ºÑµÔ 1 ผล 1. ใช ไมเสียบลูกชิ ้นแทงเข 1 ไม เขียวหวาน แลวใช าไป กลางผลสม 1 กระบอก ปากกาลากเสนแบ ตามแนวนอนและแนว งครึ่ง อักษร N แสดงขั้ว ตั้ง พรอมทั้งเขียน โลกเหน แทนขั้วโลกใต ดังภาพ ือ และอักษร S 2. ทดลองในหองมื ด โดยใหจับไมเสีย บลูกชิ้น ใหสมเขียวหวานเอี ยงทํามุม 23.5 องศา จากแนวดิง่ ใช ไฟฉายส ตามแนวราบ ดังภาพ อ งไปทีส่ ม เขียวหวาน 3. คอยๆ หมุนสม เขี ลูกชิน้ เปนจุดหมุน ยวหวาน โดยใช ไมเสียบ สั ง เกตบร เิ วณทีส่ วางและ บริเวณที่มืด บันทึก ผล ภาพที่ 7.70 (ที
่มาของภาพ : photo bank ACT.) ไมเสี 2. จากการทดลองน ยบลูกชิ้น และไฟฉายจากการทดลองเป ักเรียนสามารถอธิบ ายเกี่ยวกับการเกิด รียบไดกับสิ่งใด กลางวัน กลางคืนได อยางไร
ÊÃØ»·º·Ç¹»ÃШíÒ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ ÊíÒËÃѺãËŒ ¼ÙŒàÃÕ¹䴌͋ҹ·º·Ç¹»ÃÐà´ç¹ÊíÒ¤ÑÞÍÕ¡¤ÃÑé§Ë¹Öè§ ËÅѧ¨Ò¡àÃÕ¹¨ºË¹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ
สรุปทบทวน
ประจําหนวยการเรียนรูที่
7
ระบบสุรยิ ะ ประกอบดวยดวงอาทิตยและวัตถุตา งทีอ่ ยูภ ายใตแรงดึงดูดของดวงอาทิตย ซึง่ อยูในกาแล็กซี ทางชางเผือก แคระ ดาวหาง ■ วัตถุในระบบสุริยะ ไดแก ดวงอาทิตย ดาวเคราะห 8 ดวง ดาวเคราะหนอย ดาวเคราะห อุกกาบาต และดวงจันทรที่เปนบริวารของดาวเคราะห โดยใชโลก ■ ดาวเคราะหในระบบสุริยะ แบงได 2 ประเภท คือ ดาวเคราะหวงใน และดาวเคราะหวงนอก เปนหลักในการแบงดาวเคราะหตามระยะหางของดวงอาทิตย ี่ ยูใกลดวงอาทิตยมากกวาโลก ประกอบดวยดาวเคราะห 2 ดวง ไดแก ■ ดาวเคราะหวงใน คือ ดาวเคราะหทอ ดวงพุธ และดาวศุกร ี่ ยูห า งจากดวงอาทิตยมากกวาโลก ประกอบดวยดาวเคราะห 5 ดวง ■ ดาวเคราะหวงนอก คือ ดาวเคราะหทอ ไดแก ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน าง 4 แบบ ไดแก ■ กาแล็กซี กําเนิดมาจากมวลของแกส ภายใตความดันและแรงดึงดูดระหวางกัน มีรูปร กางแล็กซีกังหันหมุน กาแล็กซีกังหันหมุนแบบมีคาน กาแล็กซีรูปไข และกาแล็กซีรูปรางไมแนนอน กดาว สสารระหวางดาว (แกสและฝุนธุลี) เนบิวลา และที่วางใน กระจุ ยดาวฤกษ ว ประกอบด ซี ก กาแล็ ■ อวกาศเปนสวนใหญ นอยูเปนระบบ ■ เอกภพ หมายถึง บริเวณอันกวางใหญซึ่งประกอบดวยกาแล็กซีหลายๆ กาแล็กซีรวมกั และเปนผลรวมของสิ่งตางๆ ที่อยูในอวกาศทั้งหมด ิ แบง หรือการระเบิดครัง้ ยิง่ ใหญ เปนทฤษฎีทกี่ ลาวถึงการกําเนิดเอกภพที่ไดรบั การยอมรับและ ■ ทฤษฎีบก เชื่อถือมากที่สุด อน และ ■ ดาวฤกษ คือ มวลของกลุมแกสรอนรูปทรงกลมที่สามารถเปลงพลังงานแสง พลังงานความร รังสีตางๆ ออกมาได โดยพลังงานของดาวฤกษเกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียรฟวชัน ส โดย ■ ดาวฤกษ มีองคประกอบที่สําคัญ คือ ไฮโดรเจน ฮีเลียม และธาตุโลหะอื่นๆ ที่อยูในสภาพแก ดาวฤกษแตละดวงจะมีสีและอุณหภูมิแตกตางกัน ซึ่งสีของดาวฤกษจะบอกถึงอุณหภูมิของดาวฤกษดวย จัก ราควรรู เ ่ ี ท ดาวฤกษ ม โดยกลุ สมอ เ ่ คงที น งกั า งระหว า ะยะห ร ละมี แ ่ ที า ดาวประจํ ม กลุ น เป ดาวฤกษ ม กลุ ■ คือ กลุมดาว 12 ราศี และกลุมดาวฤดูกาลตางๆ ซึ่งกลุมดาวฤกษจะมีประโยชนตอการหาทิศและบอกเวลา ซึ่งมีลักษณะเปน ■ แผนที่ดาว คือ แผนที่แสดงตําแหนงของดวงดาวบนทองฟาที่โคจรรอบโลกของเรา ทรงกลม และกําหนดใหตัวผูดูเปนศูนยกลางของทองฟาเสมอ ศูนยสูตรฟา และ ■ การทําแผนที่ดาว จะตองทราบทิศบนทองฟา เสนขอบฟา เสนเมอริเดียนทองฟา เสน จุดยอดทองฟา ่ าว ตองแหงนหนาขึน้ ไปบนทองฟาแลวยกแผนทีด่ าวขึน้ เหนือศีรษะ ตัง้ ทิศตามแผนทีด่ าว ■ การอานแผนทีด และทิศจริงในทองฟาใหตรงกัน จะทําใหเห็นดวงดาวบนทองฟาตรงกับตําแหนงที่อยูในแผนที่ดาว และเทคโนโลยี ยาศาสตร ท ั นาไปอยางรวดเร็ว เนือ่ งจากวงการวิ ■ ความกาวหนาของการสํารวจอวกาศ ไดพฒ มีการพัฒนามากขึ้น ■
105
Web Guide á¹Ð¹íÒáËÅ‹§¤Œ¹¤ÇŒÒ ¢ŒÍÁÙÅà¾ÔèÁàµÔÁ¼‹Ò¹Ãкº Online
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา Engage
Explore
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand
Explain
Evaluate
ÊÒúÑÞ àÅ‹Á 1 ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè
àÅ‹Á 2 ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè
1 ¾Ñ¹¸Ø¡ÃÃÁ 2 Ãкº¹ÔàÇÈ 3 ÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁáÅзÃѾÂҡøÃÃÁªÒµÔ 4 ¤ÇÒÁËÅÒ¡ËÅÒ·ҧªÕÇÀÒ¾
5
áçáÅСÒÃà¤Å×è͹·Õè ¾Åѧ§Ò¹ ● ● ●
˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè
6
●
ä¿¿‡ÒáÅÐÍÔàÅç¡·ÃÍ¹Ô¡Ê ● ● ● ●
˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè
7
áç·Õè¡ÃзíÒµ‹ÍÇѵ¶Ø âÁàÁ¹µ ¢Í§áç ¡ÒÃà¤Å×è͹·Õè¢Í§Çѵ¶Ø §Ò¹áÅоÅѧ§Ò¹
●
¤ÇÒÁµ‹Ò§ÈÑ¡Â ä¿¿‡Ò ¡ÃÐáÊä¿¿‡Ò áÅФÇÒÁµŒÒ¹·Ò¹ä¿¿‡Ò ¡ÒÃ㪌¾Åѧ§Ò¹ä¿¿‡Ò ¡Òõ‹Íǧ¨Ãä¿¿‡Ò㹺ŒÒ¹ ÍØ»¡Ã³ ÍÔàÅç¡·ÃÍ¹Ô¡Ê ¡Òõ‹Íǧ¨ÃÍÔàÅç¡·Ã͹ԡÊ
àÍ¡À¾ ● ● ● ● ●
ÃкºÊØÃÔÂÐ ´ÒÇà¤ÃÒÐË ã¹ÃкºÊØÃÔÂÐ ¡ÒáÅç¡«ÕáÅÐàÍ¡À¾ ´ÒÇÄ¡É à·¤â¹âÅÂÕÍÇ¡ÒÈ
ºÃóҹءÃÁ
1-26
2 12 17 19
27-66
28 33 44 48 54
67-105 68 72 81 85 93
106
กระตุน ความสนใจ Engage
˹Nj  ¡
·ÙŒ Õè ÃÂÕ ¹Ã ÒÃà
5
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
áçáÅСÒÃà¤Å×è͹·Õè ¾Åѧ§Ò¹
ใครจะคิดวาวิทยาศาสตรกับB-Boyจะมาเกี่ยวของกันได B-Boy ไดนําเอาวิทยาศาสตรเขามาผสมผสาน ทั้งหลักความสมดุลของคานที่ชวยในการ ทรงตัว การเคลื่อนที่หลากหลายรูปแบบ ซึ่งจะตองอาศัยแรงและพลังงาน เพื่อแสดง ทาทางเหลานีี้ออกมา ตัวชี้วัดชั้นป • อธิบายความเรง และผลของแรงลัพธที่ทําตอวัตถุ (ว 4.1 ม.3/1) • ทดลองและอธิ บ ายแรงกิ ริ ย าและแรงปฏิ กิ ริ ย า ระหวางวัตถุ และนําความรูไปใชประโยชน (ว 4.1 ม.3/2) • ทดลองและอธิบายแรงพยุงของของเหลวที่กระทํา ตอวัตถุ (ว 4.1 ม.3/3) • ทดลองและอธิ บ ายความแตกต า งระหว า งแรง เสียดทานสถิตกับแรงเสียดทานจลน และนําความรู ไปใชประโยชน (ว 4.2 ม.3/1) • ทดลองและวิเคราะหโมเมนตของแรง และนําความรูไปใชประโยชน (ว 4.2 ม.3/2) • สังเกตและอธิบายการเคลื่อนที่ของวัตถุที่ เปนแนวตรง และแนวโคง (ว 4.2 ม.3/3) • อธิบายงาน พลังงานจลน พลังงานศักย โนมถวง กฎการอนุรกั ษพลังงานและ ความสัมพันธระหวางปริมาณเหลานี้ รวมทั้งนําความรูไปใชประโยน (ว 5.1 ม.3/1)
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล Evaluate
Elaborate
เปาหมายการเรียนรู 1. อธิบายความเรง แรงกิริยา แรงปฏิกิริยา แรงพยุง แรงเสียดทาน และนําความรูไป ใชประโยชนได 2. ทดลองและวิเคราะหโมเมนต ของแรง และนําความรูไปใช ประโยชนได 3. สังเกตและอธิบายการเคลื่อนที่ ของวัตถุได 4. อธิบายงาน พลังงาน กฎการ อนุรักษพลังงาน และนํา ความรูไปใชประโยชนได
กระตุนความสนใจ ครูใหนักเรียนดูภาพหนาหนวย แลว ถามคําถามใหนักเรียนแสดงความ คิดเห็นอยางอิสระ • เมื่อดูภาพแลวรูสึกอยางไร • B-Boy ใชการเคลื่อนที่
แบบใดบาง
บูรณาการสูอาเซียน อาเซียนมีเปาหมายทีจ่ ะรวมตัวเปน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนภายในป พ.ศ. 2558 โดยจะมีการเคลือ่ นยาย สินคา บริการ การลงทุน เงินทุนและ แรงงานฝมือไดอยางอิสระ ซึ่งแรงงาน ฝมอื ในทีน่ ี้ หมายถึง ผูป ระกอบวิชาชีพ ดานวิศวกร แพทย ทันตแพทย พยาบาล สถาปนิก นักสํารวจ นักบัญชี จะเห็นไดวา ความรูท างดาน วิทยาศาสตรลว นแตเปนพืน้ ฐานทีจ่ ะ นําไปสูก ารประกอบอาชีพดังกลาวได ดังนัน้ นักเรียนจึงควรใหความสนใจ ศึกษาวิทยาศาสตร เพื่อพัฒนาตนเอง ใหมศี กั ยภาพซึง่ นําไปสูก ารเปน แรงงานฝมือที่มีคุณภาพของ ประชาคมอาเซียนในอนาคต คูมือครู
1
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Explore
Engage
Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Elaborate
Evaluate
กระตุนความสนใจ ครูใหนักเรียนดูภาพนักวิ่ง แลว ถามคําถามใหนักเรียนรวมกัน แสดงความคิดเห็น • ทําไมนักวิ่งจึงใชวิธีโผตัว เขาเสนชัย (แนวตอบ นักวิง่ โผตัวเขาเสนชัย เนื่องจากมีการเพิ่มความเร็ว ในการวิ่งมากขึ้น) • ขณะที่กําลังเขาเสนชัย นักวิ่งมี ความเร็วเปนอยางไร (แนวตอบ ขณะทีก่ าํ ลังเขาเสนชัย นักวิง่ จะมีความเร็วเพิม่ ขึน้ ซึง่ ทําใหเกิดความเรง)
(หนาพิมพและตัวอักษรในกรอบนี้มีขนาดเล็กกวาฉบับนักเรียน 20%)
5.1 áç·Õè¡ÃзíÒµ‹ÍÇѵ¶Ø นักเรียนไดเรียนรูมาแลววา แรงที่มากระทําตอวัตถุอาจมีแรงเดียว หรือหลายแรง และอาจมีผลทําใหวัตถุเคลื่อนที่ในลักษณะตางๆ มีการ เปลี่ยนแปลงรูปราง หรือเปลี่ยนแปลงความเร็ว ซึ่งนักเรียนจะไดศึกษา การเปลีย่ นแปลงความเร็วของวัตถุและแรงทีม่ ากระทําตอวัตถุในหัวขอตอไปนี้ ภาพที่ 5.1 นักวิ่งเพิ่มความเร็วในการวิ่งมากขึ้น เพื่อแซงคูแขงขัน ซึ่งทําใหเกิดความเรง (ที่มาของภาพ : http://www.maedomegames 2553.tu.ac.th)
5.1.1 ความเรง
ความเรง (acceleration) คือ ความเร็วของวัตถุที่เปลี่ยนแปลงไปใน หนึ่งหนวยเวลา มีหนวยเปนเมตร/วินาที2 (m/s2) ซึ่งเปนปริมาณเวกเตอร ดังนั้น เมื่อกลาวถึงความเรงจึงตองมีการพิจารณาทั้งขนาดและทิศทาง การเคลื่อนที่ของวัตถุ ถาพิจารณาอัตราสวนระหวางความเร็ว ที่เปลี่ยนไปของวัตถุกับชวงเวลาที่ใช จะไดความสัมพันธ ดังสมการ ความเรง =
สํารวจคนหา
เมื่อ a v1 v2
ใหนักเรียนแบงกลุมปฏิบัติ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 5.1 ขอ 1. (หนา 8) โดยบันทึก ผลการทดลอง วิเคราะห และ อภิปรายผลการทดลอง
t1 t2
µÑÇÍ‹ҧ·Õè
5.1
อธิบายความรู ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกัน อธิบายผลการทดลองโดยครูชวย อธิบายเพิ่มเติมเพื่อใหไดขอสรุป รวมกันที่ถูกตอง • ทําไมวัตถุจึงตกลงสูพื้นโลก (แนวตอบ เนื่องจากมี แรงโนมถวงของโลกดึงดูดวัตถุ ซึ่งมีทิศเขาสูศูนยกลาง ของโลก)
ความเร็วที่เปลี่ยนไป หรือ a = v2 - v1 t2 - t1 เวลาที่ใช แทนความเรง มีหนวยเปนเมตร/วินาที2 (m/s2) แทนความเร็วเริ่มตน มีหนวยเปนเมตร/วินาที (m/s) แทนความเร็วสุดทาย มีหนวยเปนเมตร/วินาที (m/s) แทนเวลาเริ่มตน มีหนวยเปนวินาที (s) แทนเวลาสุดทาย มีหนวยเปนวินาที (s)
เด็กคนหนึ่งขี่จักรยานไปตามถนนดวยความเร็วเริ่มตน 5 เมตร/วินาที เมื่อเวลาผานไป 10 วินาที เขาไดเพิ่มความเร็วเปน 25 เมตร/วินาที จงหาความเรงจากการขี่จักรยานของเด็กคนนี้ จาก a = v2 - v1 t2 - t1 แทนคา a = 25 m/s - 5 m/s 10 s - 0 s a = 2 m/s2 ดังนั้น ความเรงที่เกิดจากการขี่จักรยานของเด็กคนนี้ มีคาเทากับ 2 เมตร/วินาที2
ตอบ
2
เกร็ดแนะครู ครูอาจใหนักเรียนสาธิตกิจกรรม เกี่ยวกับความเรง โดยใหนักเรียน ออกมาวิ่งแขงกันบริเวณสนามของ โรงเรียน โดยใหนักเรียนชวยกัน สังเกตความเร็วของคนวิ่งในขณะที่ กําลังจะเขาเสนชัย
2
คูมือครู
นักเรียนควรรู ปริมาณเวกเตอร เปนปริมาณทีม่ ที งั้ ขนาดและทิศทาง เชน แรง ความเร็ว ความเรง เปนตน สําหรับตัวแปรที่เปนปริมาณเวกเตอร จะมีลูกศรกํากับดานบน เพื่อบอกใหทราบวาปริมาณ ดังกลาวมีทิศทางอยูดวย เชน a ซึง่ เปนตัวแปรแทนคาความเรง เปนตน
กระตุนความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู
ตรวจสอบผล Evaluate
ขยายความเขาใจ
Explain
Elaborate
สํารวจคนหา การเคลือ่ นทีข่ องวัตถุ ถาวัตถุเคลือ่ นทีด่ ว ยความเร็วเพิม่ ขึน้ แสดงวา วัตถุนั้นมีความเรง เชน นักวิ่งจะเพิ่มความเร็วมากขึ้นเมื่อวิ่งแซงคูแขงขัน นักยิมนาสติกจะตองวิง่ ใหเร็วขึน้ กอนทีจ่ ะตีลงั กา เปนตน แตถา วัตถุเคลือ่ นที่ ชาลงหรือลดความเร็วลงแสดงวาวัตถุนั้นมีความหนวง หรือความเรงมีคา เปนลบ เชน ลูกบอลที่กําลังจะหยุดเคลื่อนที่ รถยนตลดความเร็วลงเพื่อ หยุดรถเมื่อมีสัญญาณไฟแดง เปนตน ทั้งนี้ถาวัตถุเคลื่อนที่โดยไมเปลี่ยนทิศทางและมีความเร็วในการ เคลือ่ นทีเ่ ปลีย่ นแปลงไปในอัตราเทาๆ กันในแตละหนวยเวลา แสดงวาวัตถุนนั้ มีความเรงคงที่ เชน ความเร็วของเครื่องบินที่กําลังจะทะยานขึ้นสูทองฟา การเคลื่อนที่ของวัตถุที่ตกอยางอิสระภายใตแรงโนมถวงของโลก จะทําใหวัตถุมีความเรงในการตกลงมา ซึ่งเปนความเรงคงตัวที่เกิดจาก แรงโนมถวงของโลกเพียงอยางเดียว เนื่องจากในทุกๆ 1 วินาที ที่วัตถุตก ลงมาวัตถุมีความเร็วเพิ่มขึ้น 9.8 เมตร/วินาที (เพื่อสะดวกตอการคํานวณ จะใชคา ความเรงโนมถวงประมาณ 10 เมตร/วินาที 2)และมีทศิ ดิง่ ลงสูพ นื้ เสมอ สําหรับวัตถุที่เคลื่อนที่ดวยความเรง ความเรงของวัตถุจะมีขนาด มากหรือนอย ขึ้นอยูกับมวลของวัตถุและแรงที่กระทําตอวัตถุ โดยแรงลัพธ ทีม่ ากระทําตอวัตถุมขี นาดไมเปนศูนย ซึง่ จะเปนไปตามกฎการเคลือ่ นทีข่ อ ที่ 2 ของนิวตัน เรียกวา กฎของความเรง (Law of acceleration) มีใจความวา “เมื่อมีแรงลัพธที่มีคาไมเทากับศูนยมากระทําตอวัตถุ จะทําใหวัตถุเคลื่อนที่ ดวยความเรงในทิศเดียวกับแรงลัพธ ซึ่งขนาดของความเรงจะแปรผันตรง กับขนาดของแรงลัพธ และจะแปรผกผันกับมวลของวัตถุ”
ใหนักเรียนแบงกลุมปฏิบัติ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 5.1 ขอ 2. (หนา 9)
อธิบายความรู ภาพที่ 5.2 เครื่องบินกําลังทะยานขึ้นสูทองฟาจะมี ความเร็วเปลี่ยนแปลงไปในอัตราเทาๆ กันในแตละ วินาที ซึ่งกลาวไดวาเครื่องบินมีความเรงคงที่ (ทีม่ าของภาพ : http://img442.imageshack.us/img)
NET ขอสอบ ป 53 ปลอยวัตถุใหตกลงมาตามแนวดิ่ง เมื่อเวลาผานไป 4 วินาที วัตถุมี ความเรงเทาใด 1. 9.8 เมตร/วินาที2 2. 19.6 เมตร/วินาที2 3. 29.4 เมตร/วินาที2 4. 39.2 เมตร/วินาที2 (วิเคราะหคําตอบ
เมื่อวัตถุตกลงมาอยางอิสระใน แนวดิ่ง จะมีความเรงเนื่องจาก แรงโนมถวงของโลกกระทําเสมอ ทําใหวัตถุตกดวยความเรง 9.8 เมตรตอวินาที 2 ในทิศชี้ลง
5.1.2 แรงกิริยาและแรงปฏิกิริยา
เมื่อมีแรงมากระทําตอวัตถุ วัตถุนั้นจะออกแรงโตตอบในทิศทาง ตรงขามกับแรงที่มากระทํา ซึ่งแรงทั้งสองแรงนี้จะเกิดขึ้นพรอมกันเสมอ เราเรียกแรงที่มากระทําตอวัตถุวา แรงกิริยา (action force) และเรียกแรง ที่วัตถุโตตอบตอแรงที่มากระทําวา แรงปฏิกิริยา (reaction force) ซึ่งเปน ไปตามกฎการเคลื่อนที่ขอที่ 3 ของนิวตัน เรียกวา กฎของแรงกิริยาและแรง ปฏิกิริยา (Law of action and reaction) มีใจความวา “ทุกแรงกิริยายอมมี แรงปฏิกิริยาที่มีขนาดเทากัน แตมีทิศทางตรงกันขามเสมอ” ลักษณะสําคัญของแรงกิริยาและแรงปฏิกิริยาที่ควรจํา ไดแก 1. เกิดขึ้นพรอมกันเสมอ 2. มีขนาดเทากัน 3. มีทิศทางตรงขามกัน 4. กระทําตอวัตถุคนละชิ้นกัน
ครูและนักเรียนรวมกันอธิบายผล การทดลองและสรุปผลการทดลอง
ตอบ ขอ 1.) @ ภาพที่ 5.3 จากภาพมีแรงกิริยาที่รถยนตทําตอ ตนไม และแรงปฏิกริ ยิ าทีต่ น ไมทาํ ตอรถยนต ทําให รถยนตเกิดความเสียหาย (ที่มาของภาพ : http://accident-pictures.com)
3
มุม IT
ศึกษาเรื่องแรงกิริยาและ แรงปฏิกิริยา ไดจาก เว็บไซตของ ภาควิชาฟสิกส คณะวิทยาศาสตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล http://www.rmutphysics.com/ CHARUD/virtualexperiment/ collision1d/collision1D.html
นักเรียนควรรู ความเรงมีคาเปนลบ ไมไดแสดงวาความเรงดังกลาวมีคานอย แตเครื่องหมายลบเปนเพียง สัญลักษณที่บอกทิศทางของความเรง เชน หากรถเคลื่อนที่ไปทางขวามือ ใหเปนทิศบวก ความเรง ที่ติดลบ หรือมีทิศทางไปทางซายมือจะตานการเคลื่อนที่ของรถ ทําใหรถเคลื่อนที่ชาลง คูมือครู
3
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
อธิบายความรู
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Elaborate
Evaluate
(ยอจากฉบับนักเรียน 30%)
สํารวจคนหา ใหนักเรียนแบงกลุมปฏิบัติ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 5.1 ขอ 3. (หนา 10) บันทึกผล สรุป และอภิปรายผลการทดลอง
ไม
วัตถุลอย
อธิบายความรู
พลาสติก
ใหนักเรียนแตละกลุมสงตัวแทน มาอธิบายความรูจากการทดลอง โดยครูชวยอธิบายเพิ่มเติมเพื่อให ไดขอสรุป
วัตถุลอยปริ่ม เหล็ก
นักเรียนควรรู อารคิมีดิส เปนนักปราชญชาวกรีก ผูศ กึ ษาเรือ่ งแรงลอยตัวและคนพบวา เมือ่ เขาลงไปแชในอางนํา้ นํา้ ทีล่ น ออกมาจะมีปริมาตรทีเ่ ทากับปริมาตร ของตัวเขา ซึง่ เปนทีม่ าของการศึกษา แรงลอยตัวตอไป
วัตถุจม ภาพที่ 5.4 ลักษณะของวัตถุแตละชนิดเมื่ออยูใน ของเหลวเชนนํ้า (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
■
4
EB GUIDE
มุม IT
ศึกษาเรื่องแรงลอยตัว ไดจากเว็บไซตของภาควิชาฟสิกส คณะวิทยาศาสตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล http://www.rmutphysics.com/CHARUD/virtualexperiment/ buoyant/buoyantForce.html คูมือครู
■
■
นักเรียนควรรู
4
■
■
ความหนาแนน เปนปริมาณของ มวลตอปริมาตร มีหนวยเปนกิโลกรัม ตอลูกบาศกเมตร (kg/m3)
@
แรงลอยตัวหรือแรงพยุงของของเหลว (buoyancy force) คือ แรง ที่ของเหลวพยุงวัตถุไว เมื่อวัตถุนั้นอยูในของเหลว ซึ่งการศึกษาเกี่ยวกับ แรงลอยตัวทําใหสามารถนําความรูไปใชประโยชน ในการสรางเรือหรือแพ เพือ่ ใชในการคมนาคมขนสง โดยจะตองมีความเขาใจเกีย่ วกับลักษณะของวัตถุ เมื่ออยูในของเหลว หลักของอารคิมีดิส และปจจัยที่เกี่ยวของกับแรง ซึ่งจะ กลาวถึงรายละเอียดดังตอไปนี้ 1) ลักษณะของวัตถุเมื่ออยูในของเหลว เมื่อวัตถุอยูในของเหลว จะมีความสัมพันธกับความหนาแนนของวัตถุ ซึ่งสามารถพิจารณาลักษณะ ของวัตถุได 3 ลักษณะ ดังนี้ 1. วัตถุที่ลอยอยู ในของเหลว แสดงวาวัตถุมีความหนาแนน นอยกวาของเหลว จะไดวา ปริมาตรของของเหลวที่ถูกแทนที่เทากับปริมาตรของ วัตถุสวนที่จมลงในของเหลว แรงลอยตัวเทากับนํ้าหนักของวัตถุที่ชั่งในอากาศและ เทากับนํ้าหนักของของเหลวที่ถูกแทนที่ 2. วัตถุลอยปริม่ ผิวของของเหลว แสดงวาวัตถุมคี วามหนาแนน เทากับของเหลว จะไดวา ปริมาตรของของเหลวทีถ่ กู แทนทีเ่ ทากับปริมาตรของวัตถุ ทั้งกอนในของเหลว แรงลอยตัวเทากับนํ้าหนักของวัตถุที่ชั่งในอากาศและ เทากับนํ้าหนักของของเหล ของของเหลวที วที่ถูกแทนที่ 3 วัตถุที่จมอยู ในของเหลว แสดงวาวัตถุมีความหนาแนน มากกวาของเหลว จะไดวา ปริมาตรของของเหลวที่ถูกแทนที่เทากับปริมาตรของ วัตถุทั้งกอนที่จมลงในของเหลว แรงลอยตัวนอยกวานํา้ หนักของวัตถุทจี่ มไปในของเหลว และเทากับนํ้าหนักของของเหลวที่ถูกแทนที่ 2) หลักของอารคิมีดิส (Archimedes principle) กลาวไววา “เมื่อ หยอนวัตถุลงไปในนํ้า ปริมาตรของนํ้าสวนที่ลนออกมา จะเทากับปริมาตร ของกอนวัตถุนั้นที่เขาไปแทนที่นํ้า” ซึ่งสามารถสรุปได ดังนี้ 1. ปริมาตรของของเหลวที่ถูกแทนที่ จะเทากับปริมาตรของ วัตถุสวนที่จมลงในของเหลว ■
นักเรียนควรรู
นํ้าหนัก เปนปริมาณของมวลคูณ ดวยความเรงเนื่องจากแรงโนมถวง มีหนวยเปน นิวตัน (N) หรือ กิโลกรัม เมตรตอวินาทียกกําลังสอง (kg.m/s2)
5.1.3 แรงลอยตัวหรือแรงพยุงของของเหลว
http://www.aksorn.com/LC/Sci B2/M3/01
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
Explain
Engage
Elaborate
ตรวจสอบผล Evaluate
สํารวจคนหา 2. นํ้าหนักของวัตถุที่ชั่งในของเหลว จะมีคานอยกวานํ้าหนัก ของวัตถุที่ชั่งในอากาศ เนื่องจากแรงพยุงของของเหลวมีมากกวาแรงพยุง ของอากาศ 3. นํา้ หนักของวัตถุทหี่ ายไปในของเหลว จะเทากับนํา้ หนักของ ของเหลวที่ถูกวัตถุแทนที่ ซึ่งคํานวณไดจากผลตางของนํ้าหนักของวัตถุที่ชั่ง ในอากาศกับนํ้าหนักของวัตถุที่ชั่งในของเหลว 4. นํ้าหนักของของเหลวที่ถูกแทนที่ จะเทากับนํ้าหนักของ ของเหลวที่มีปริมาตรเทากับวัตถุสวนที่จม 3) ปจจัยทีเ่ กีย่ วของกับแรงลอยตัวหรือแรงพยุงของของเหลว ไดแก 1. ชนิดของวัตถุ วัตถุแตละชนิดจะมีความหนาแนนแตกตางกัน เชน เหล็ก ไม พลาสติกที่มีมวลเทากัน เหล็กจะมีความหนาแนนมากกวาไม และไมมคี วามหนาแนนมากกวาพลาสติก เปนตน ซึง่ ถาวัตถุมคี วามหนาแนน มาก จะจมลงไปในของเหลวมาก 2. ชนิดของของเหลว ของเหลวแตละชนิดมีความหนาแนน แตกตางกัน เชน นํ้าบริสุทธิ์มีความหนาแนนมากกวาเอทิลแอลกอฮอลและ นํ้ามันเบนซิน เปนตน ซึ่งของเหลวที่มีความหนาแนนมาก จะมีแรงพยุงมาก 3. ขนาดของวัตถุ จะสงผลตอปริมาตรที่จมลงไปในของเหลว ซึ่งถาวัตถุมีขนาดใหญ จะมีปริมาตรที่จมลงไปในของเหลวมาก ทําใหแรง พยุงมีคามากดวย ดังนั้น การนําหลักการแรงลอยตัวหรือแรงพยุงของของเหลว ไปใชประโยชนจะตองคํานึงถึึงปจจัยที่เกี่ยวของดวยเสมอ
ภาพที่ 5.5 กอนหินมีความหนาแนนมากกวานํ้า กอนหินจึงจมนํ้า (ที่มาของภาพ : http://forum.khonkaen/link.info.)
ใหนักเรียนสาธิตแรงลอยตัวโดยใช อุปกรณ ดังนี้ 1. เหรียญพลาสติกที่มีรูตรงกลาง 2. เชือก 3. ตะเกียบ 4. ถวยแกวใส 5. นํ้า วิธีทดลอง ใหนําเหรียญผูกหอย ที่ปลายทั้ง 2 ขางของตะเกียบ และ ผูกเชือกตรงกลางตะเกียบเพื่อไวจับ แลวหยอนเหรียญขางใดขางหนึ่งจุม ลงในถวยแกวที่ใสนํ้าไว ใหสังเกต ความสมดุลของเหรียญ
อธิบายความรู ใหนักเรียนอธิบายผลจากการ ทํากิจกรรมโดยครูอธิบายเพิ่มเติม เกี่ยวกับแรงพยุงของของเหลว
นักเรียนควรรู ภาพที่ 5.6 การนําเหล็กมาตีแผ แลวทําเปนเรือ ปริมาตรของเรือจะเพิม่ ขึน้ ทําใหความหนาแนนเฉลีย่ นอยกวานํ้า เรือจึงลอยนํ้าได (ที่มาของภาพ : http://www.epic.ncl.com)
5
วัตถุที่ชั่งในอากาศ เมือ่ เราชัง่ วัตถุ ในของเหลว จะมีแรงพยุงเนือ่ งจาก ของเหลวทีท่ าํ ใหนาํ้ หนักของวัตถุ ลดลงไปจากเดิม แตในความเปนจริง ในอากาศก็มแี รงพยุงเนือ่ งจากอากาศ เชนกัน แตเพราะอากาศมีความ หนาแนนนอยมาก ทําใหแรงพยุง เนือ่ งจากอากาศมีคา นอยมากจน ไมนาํ มาพิจารณา
นักเรียนควรรู กอนหิน แมโดยทัว่ ไปกอนหินจะมี ความหนาแนนมากกวานํา้ แตกอ นหิน บางชนิดทีม่ รี พู รุนจนทําใหมคี วาม หนาแนนนอยกวานํา้ จึงสามารถ ลอยนํา้ ได เชน หินพัมมิซ
คูมือครู
5
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
อธิบายความรู
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Elaborate
Evaluate
(ยอจากฉบับนักเรียน 30%)
สํารวจคนหา ใหนักเรียนแบงกลุมปฏิบัติ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 5.1 ขอ 4. (หนา 11) บันทึกผลการ ทดลอง
อธิบายความรู ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกัน อภิปรายผลการทดลอง โดยครู อธิบายเพิ่มเติม และรวมกันสรุปผล จากการทดลอง @
5.1.4 แรงเสียดทาน
ภาพที่ 5.7 เมื่อวัตถุมีผิวสัมผัสกันโดยวัตถุไมมี การเคลือ่ นที่ จะมีแรงเสียดทานสถิตระหวางผิวของ วัตถุนั้นๆ (ที่มาของภาพ : http://lamfa.com/eyacht/?p=425)
มุม IT
ศึกษาเรือ่ งแรงเสียทาน ไดจากเว็บไซต ภาควิชาฟสกิ ส คณะวิทยาศาสตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล http://www.rmutphysics.com/ CHARUD/virtualexperiment/ friction/friction.html
นักเรียนควรรู สัมประสิทธิ์ของแรงเสียดทาน เปนคาคงตัวทีข่ นึ้ อยูก บั พืน้ ผิวสัมผัส หากพืน้ ผิวมีความขรุขระมาก คา สัมประสิทธิแ์ รงเสียดทานก็จะมาก แตในทางตรงขามหากพืน้ ผิวเรียบ คาสัมประสิทธิแ์ รงเสียดทานก็จะมี คานอย
นักเรียนควรรู μ อานวา มิว ซึง่ หากเปน สัมประสิทธิข์ องแรงเสียดทานสถิตย จะแทนดวย μs และหากเปน สัมประสิทธิข์ องแรงเสียดทานจลน จะแทนดวย μk
6
คูมือครู
แรงเสียดทาน (friction) คือ ความตานทานหรือแรงตานการเคลือ่ นที่ ของวัตถุ ทีเ่ กิดขึน้ ระหวางผิวสัมผัสของวัตถุ 2 ชิน้ ทีส่ มั ผัสกัน ซึง่ แรงเสียดทาน จะมีทิศตรงขามกับแรงที่มากระทําเสมอ มีผลทําใหวัตถุเคลื่อนที่ชาลง หรือ ขัดขวางการเคลื่อนที่ของวัตถุ แรงเสียดทานแบงเปน 2 ชนิด ไดแก 1) แรงเสียดทานสถิต (static friction) คือ แรงเสียดทานที่เกิดจาก ผิววัตถุ 2 ชิน้ ทีส่ มั ผัสกัน โดยทีว่ ตั ถุนนั้ ยังไมมกี ารเคลือ่ นที่ เชน แรงเสียดทาน ระหวางหนังสือกับพืน้ โตะขณะทีอ่ อกแรงดันหนังสือแตหนังสือยังไมเคลือ่ นที่ แรงเสียดทานสถิตจะมีคาไมคงที่ โดยมีขนาดเทากับแรงที่มากระทําตอวัตถุ และจะมีคาสูงสุดเมื่อวัตถุเริ่มเคลื่อนที่ 2) แรงเสียดทานจลน (kinetic friction) คือ แรงเสียดทานทีเ่ กิดทีผ่ วิ ของวัตถุทงั้ 2 ชิน้ ในขณะทีว่ ตั ถุนนั้ กําลังเคลือ่ นที่ เชน การออกแรงดันหนังสือ แลวหนังสือเกิดการเคลื่อนที่ โดยแรงเสียดทานจลนจะมีคาลดลงนอยกวา แรงเสียดทานสถิตสูงสุดเมือ่ วัตถุเกิดการเคลือ่ นที่ ดังนัน้ ในกรณีทวี่ ตั ถุเคลือ่ นที่ บนพืน้ ผิวชนิดเดียวกัน แรงเสียดทานจลนจะมีคา นอยกวาแรงเสียดทานสถิต สูงสุดเสมอ แรงเสียดทานจะมีคามากหรือนอย ขึ้นกับอยูกับปจจัย ดังนี้ 1. นํา้ หนักของวัตถุ เปนแรงในแนวตัง้ ฉากทีก่ ดลงบนผิวของวัตถุ สวนทีส่ มั ผัสกัน ซึง่ วัตถุทมี่ นี าํ้ หนักกดทับลงบนพืน้ ผิวมาก จะมีแรงเสียดทาน มากกวาวัตถุที่มีนํ้าหนักกดทับลงบนพื้นผิวนอย 2. รูปรางของวัตถุ เมือ่ วัตถุเคลือ่ นทีผ่ า นไปในของไหลหรืออากาศ จะเกิดแรงเสียดทานระหวางผิวของวัตถุกบั ของไหลหรืออากาศ ซึง่ ในกรณีนวี้ ตั ถุ ทีม่ รี ปู รางเพรียวจะมีแรงเสียดทานนอยกวาวัตถุทรี่ ปู รางปาน 3. ลักษณะพืน้ ผิวสัมผัส ผิวสัมผัสทีเ่ รียบจะเกิดแรงเสียดทาน นอยกวาผิวสัมผัสที่ขรุขระ การคํานวณหาแรงเสียดทาน สามารถคํานวณไดจากผลคูณระหวาง สัมประสิทธิ์ของแรงเสียดทานกับแรงที่กดทับลงบนผิวสัมผัส ซึ่งสามารถ เขียนเปนสมการได ดังนี้ เมื่อ
ภาพที่ 5.8 ขณะที่รถยนตกําลังเคลื่อนที่จะมีแรง เสียดทานจลนเกิดขึ้น (ที่มาของภาพ : http://www.carlink24.com)
6
f = μN f แทนแรงเสียดทาน มีหนวยเปนนิวตัน (N) μ แทนสัมประสิทธิ์ของแรงเสียดทาน ไมมีหนวย N แทนนํ้าหนักของวัตถุ มีหนวยเปนนิวตัน (N)
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
ขยายความเขาใจ
อธิบายความรู
Expand
Explain
ตรวจสอบผล Evaluate
ขยายความเขาใจ µÑÇÍ‹ҧ·Õè
5.2
ครูใชสื่อการสอนหรือใบความรู เรือ่ งแรงทีก่ ระทําตอวัตถุ ตามหนา 2-7 โดยขั้นนี้ครูสามารถแทรก ความรูเมื่อจบการทดลองในแตละ กิจกรรม โดยครูใชคําถามเพื่อทดสอบ ความเขาใจของนักเรียน • มีแรงชนิดใดบางที่กระทําตอ วัตถุ (แนวตอบ ขึ้นอยูกับสื่อที่ครูนํา มาถาม แตจะตอบอยูในเรื่อง ที่เรียน ไดแก แรงกิริยาและ แรงปฏิกิริยา แรงพยุง และ แรงเสียดทาน)
ชายคนหนึ่งออกแรงลากทอนไมไปกับพื้น โดยทอนไมหนัก 100 นิวตัน และ สัมประสิทธิ์ของแรงเสียดทานระหวางทอนไมกับพื้นมีคาเปน 0.4 จงคํานวณหาแรง เสียดทานที่เกิดขึ้น จาก แทนคา
f = μN f = 0.4 x 100 N f = 40 N ดังนั้น แรงเสียดทานที่เกิดขึ้นระหวางทอนไมกับพื้น มีคาเทากับ 40 นิวตัน
การเคลื่อนที่ของวัตถุจะมีแรงเสียดทานมาเกี่ยวของเสมอ บางครั้ง จําเปนตองมีแรงเสียดทานมาก และบางครัง้ ตองทําใหวตั ถุมแี รงเสียดทานนอย จึงจะทําใหวัตถุเคลื่อนที่ไดสะดวกหรือดีขึ้น ซึ่งสามารถนําความรูเกี่ยวกับ แรงเสียดทานมาประยุกตใหเกิดประโยชนในชีวติ ประจําวัน เพือ่ อํานวยความ สะดวก ดวยการเพิ่มและลดแรงเสียดทาน ดังตัวอยางตอไปนี้ 1) ประโยชนของการเพิ่มแรงเสียดทาน 1. ยางลอรถยนต การผลิตยางลอรถยนตใหมลี วดลาย ทีเ่ รียกวา ดอกยาง ทําใหยางลอรถยนตเกาะถนนไดดี ไมลื่นไถล 2. การทําใหพื้นมีความขรุขระ จะทําใหเดินและทรงตัวไดดี 3. พื้นรองเทา ผลิตโดยใชวัสดุที่เพิ่มแรงเสียดทานระหวางพื้น กับรองเทาเพื่อกันลื่น ซึ่งชวยใหการทรงตัวและเคลื่อนไหวสะดวกขึ้น 2) ประโยชนของการลดแรงเสียดทาน 1. บานพับประตู หนาตาง เมื่อใชเปนระยะเวลานานอาจฝด ทําใหเปด-ปดไดยาก การหยอดนํ้ามันหลอลื่นลงไปที่แกนบานพับจะชวยลด แรงเสียดทานทําใหเปด-ปดไดสะดวกขึ้น 2. ลู ก สู บ และกระบอกสู บ ของเครื่ อ งจั กรกล จะเสี ย ดสี กั น ตลอดเวลา สงผลใหเครือ่ งยนตสกึ หรอ จึงตองใชนาํ้ มันเครือ่ งหลอลืน่ ชวยลด การเสียดสี 3. กระดูกขอพับ ขอตอกระดูกในรางกายจะเกิดการเสียดสีกัน ตลอดเวลาจึงมีนํ้าไขขอมาหลอเลี้ยง ซึ่งมีสมบัติเปนสารหลอลื่นชวยลด การเสียดสีของกระดูกทําใหกระดูกระหวางขอตอเคลื่อนไหวไดสะดวก 4. การเลนกีฬาบางชนิด ตองเลนบนพืน้ ผิวทีม่ แี รงเสียดทานนอย เชน สเกตนํ้าแข็ง ฮอกกี้นํ้าแข็ง สเกตบอรด เปนตน
ตอบ
ภาพที่ 5.9 ยางลอรถยนตมีดอกยางเพื่อชวยเพิ่ม แรงเสียดทานระหวางผิวถนนกับยาง ซึ่งชวยให รถยนตเกาะถนนไดดี (ที่มาของภาพ : http://www.buergeparts.com)
นักเรียนควรรู การเพิม่ แรงเสียทาน สามารถทําได ทัง้ การทําใหคา สัมประสิทธิข์ องแรงเสียดทานเพิม่ ขึน้ เชน ทําใหพนื้ ผิว หยาบขึน้ ขรุขระมากขึน้ หรือการ เพิม่ นํา้ หนักของวัตถุ ซึง่ จะสงผลให แรงปฏิกริ ยิ าตัง้ ฉากทีก่ ระทําตอวัตถุ มีคา เพิม่ ขึน้
นักเรียนควรรู ภาพที่ 5.10 การหยอดนํ้ามันหลอลื่นจะชวยลดแรง เสียดทานของบานพับ (ที่มาของภาพ : http://www.bloggang.com)
7
การลดแรงเสียดทาน สามารถ ทําไดโดยการปรับตัวแปรเชนเดียว กับการเพิม่ แรงเสียดทาน แตทาํ ในวิธี การตรงขาม คือ ลดคาสัมประสิทธิ์ ของแรงเสียดทาน และลดนํา้ หนัก ของวัตถุ อันเปนการลดแรงปฏิกริ ยิ า ตัง้ ฉากทีก่ ระทํากับวัตถุลง
คูมือครู
7
กระตุนความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Elaborate
ตรวจสอบผล (ยอจากฉบับนักเรียน 30%)
ตรวจสอบผล ครูใชภาพประกอบการสอนเพื่อให นักเรียนอภิปรายถึงแรงที่เกี่ยวของ กับภาพ ใหนักเรียนบอกถึงประโยชนของ การนําเรือ่ งแรงไปใชในชีวติ ประจําวัน @
มุม IT
ศึกษาเรื่องความเรงเนื่องจาก แรงโนมถวงของโลก ไดจากเว็บไซต ภาควิชาฟสิกส คณะวิทยาศาสตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล http://www.rmutphysics.com/ CHARUD/virtualexperiment/ explorscience/gravitation/index. html
NET ขอสอบ ป 51 แรงในขอใดตอไปนี้เปนแรง ประเภทเดียวกันกับแรงที่ทําให ลูกแอปเปลตกลงสูพื้นโลก 1. แรงที่ทําใหดวงจันทรอยูใน วงโคจรรอบโลก 2. แรงที่ทําใหอิเล็กตรอนอยูใน อะตอมได 3. แรงที่ทําใหโปรตอนหลาย อนุภาคอยูรวมกันในนิวเคลียส ได 4. แรงที่ทําใหปายแมเหล็กติดอยู บนฝาตูเย็น (วิเคราะหคําตอบ แรงที่กระทําให แอปเปลตกลงสูพื้นโลก คือ แรง โนมถวงของโลกเชนเดียวกันกับ แรงที่โลกดึงดูดใหดวงจันทรโคจร รอบโลกอยูได สวนที่แรงที่กระทํา ใหอิเล็กตรอนอยูในอะตอมได คือ แรงไฟฟา แรงที่กระทําใหโปรตอน รวมกันในนิวเคลียส คือ แรงนิวเคลียร และแรงที่กระทําใหปายแมเหล็ก ติดตเู ย็น คือ แรงแมเหล็ก ตอบ ขอ 1.)
8
คูมือครู
Evaluate
กิจกรรม
พั ฒ นาทั ก ษะ วิทยาศาสตร
5.1
1. ความเรงเนื่องจากแรงโนมถวงของโลก เมื่อวัตถุตกลงมา แรงที่กระทําใหวัตถุตก คือ แรงโนมถวงของโลกเพียงแรงเดียว ซึ่งเราถือวาวัตถุมีการตก อยางอิสระ (free fall) ขณะเดียวกันที่วัตถุตกอยางอิสระจะทําใหวัตถุมีความเรงขณะที่ตกลงมา จึงเรียกความเรงใน การตกของวัตถุนี้วา ความเรงโนมถวงของโลก ในธรรมชาติจะมีวัตถุตกลงมาในแนวดิ่ง เนื่องจากความเรงโนมถวง ของโลกเสมอ เชน ผลไมตกจากตนสูพื้นดิน กอนหินตกจากหนาผา เปนตน จุดประสงค : เพื่อศึกษาความเรงของวัตถุที่ตกอยางอิสระภายใตแรงโนมถวงของโลก ÍØ»¡Ã³ • • • • • • •
หมอแปลงโวลตตํ่า เครื่องเคาะสัญญาณเวลา ถุงทราย แถบกระดาษ กรรไกร กาว กระดาษกราฟ
ÇÔ¸Õ»¯ÔºÑµÔ 1 1 1 1 1 1 1
เครื่อง เครื่อง ถุง มวน ดาม หลอด แผน
1. ตอหมอแปลงโวลตตํ่าเขากับเครื่องเคาะสัญญาณเวลาที่วางตรงขอบโตะ โดยให ช อ งสอดแถบกระดาษของเครื่ อ งเคาะสัญญาณเวลาอยู ในแนวดิ่ง และอยูหาง ขอบโตะ ดังภาพ 2. ยึ ด ถุ ง ทรายให ติ ด กั บ ปลายข า งหนึ่ ง ของ แถบกระดาษ สอดแถบกระดาษเข า ใน ชองของเครื่องเคาะสัญญาณเวลา โดยให ถุงทรายอยูด า นลางและอยู ใกลเครือ่ งเคาะ สัญญาณเวลามากที่สุด 3. เป ด สวิ ต ซ ให เ ครื่ อ งเคาะสั ญ ญาณเวลา ทํ า งาน แล ว ปล อ ยให ถุ ง ทรายตกสู พื้ น สังเกตชวงหางระหวางจุดบนแถบกระดาษ 4. ตัดแถบกระดาษจากขอ 3. แตละชวงจุด แลวนําไปติดบนกระดาษกราฟ เรียงตาม ลําดับ โดยใหแตละแถบอยูห า งกันเปนระยะ เทากัน ลากเสนเชือ่ มตอระหวางจุดบนแถบ กระดาษแตละแถบ
?
8
1. ความเร็วในการเคลื่อนที่ของแถบกระดาษเปนอยางไร 2. กราฟที่ไดจากการทดลองมีลักษณะอยางไร
ÀÒ¾»ÃСͺ แถบ กระดาษ
เครื่องเคาะ สัญญาณเวลา
หมอแปลง
ถุงทราย ภาพที่ 5.11 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
กระตุนความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
ขยายความเขาใจ Elaborate
อธิบายความรู Explain
Evaluate
เกร็ดแนะครู
2. แรงกิริยาและแรงปฏิกิริยา เมื่อเราออกแรงกระทําสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราจะรูสึกวามีแรงกระทําตอบโตคืนกลับมาดวยเสมอ เชน ถาเรายืนอยู บนสเกตที่มีลอเลื่อนแลวใชมือผลักกําแพงไปขางหนา จะพบวาตัวเราจะเคลื่อนที่ถอยหลังออกจากกําแพง ซึ่งแสดงวา ตองมีแรงผลักดันเราใหเคลื่อนที่ถอยหลัง นั่นคือ ขณะที่เราออกแรงผลักกําแพงไปขางหนา กําแพงก็จะออกแรงผลัก เราไปในทิศตรงขาม และสงผลใหตัวเราเคลื่อนที่ถอยหลัง จากปรากฏการณนี้ เราเรียกแรงที่วัตถุหนึ่งกระทําตออีก วัตถุหนึ่งวา แรงกิริยา (acion force) และเรียกแรงที่วัตถุที่ถูกกระทําไดออกแรงตอบโตกระทําคืนตอวัตถุที่กระทํามันวา แรงปฏิกิริยา (reaction force) โดยเรียกแรงสองแรงนี้รวมกันวา แรงคูกิริยาปฏิกิริยา จุดประสงค : เพื่อทดลองและอธิบายแรงกิริยาและแรงปฏิกิริยา ÍØ»¡Ã³ áÅÐÊÒÃà¤ÁÕ
ÇÔ¸Õ»¯ÔºÑµÔ
• ขวดนํ้าอัดลมพลาสติกขนาด 2 ลิตร 1 ขวด • กระดาษแข็ง 1 แผน • กรรไกร 1 ดาม • เทปกาว 1 มวน • จุกคอรก 1 อัน • คอน 1 อัน • ตะปู 1 ตัว • กรวย 1 อัน • นํ้า 2 ลิตร • ที่สูบลมจักรยาน และเข็มสูบลม ที่มีรูทะลุ 2 ขาง 1 อัน
1. ใชกรรไกรตัดกระดาษแข็งใหเปนปกจรวด 4 ชิ้น ใหเขากับรูปขวด ดังภาพ 2. ติดปกเขากับขวดดวยเทปกาว
?
ตรวจสอบผล
ÀÒ¾»ÃСͺ
ครูอธิบายวาในการทดลองนี้ อธิบายการเกิดแรงกิริยาและ แรงปฏิกิริยาที่ทําใหจรวดขวดนํ้า สามารถเคลื่อนที่ไปได ซึ่งใน หลักการเดียวกันนี้เองที่ทําให กระสวยอวกาศสามารถเคลื่อนที่ สูนอกโลก
นักเรียนควรรู แรงคูกิริยาปฏิกิริยา เนือ่ งจาก แรงปฏิกริ ยิ ามีทศิ ทางตรงขามกับ แรงกิรยิ า เมือ่ เขียนเปนสัญลักษณ แทนแรงปฏิกริ ยิ า จะมีเครือ่ งหมาย ลบ เพือ่ แสดงทิศทางทีต่ รงขามกับ แรงกิรยิ า เชน ใหแรงกิรยิ ามีคา F แรงปฏิกริ ยิ าจะมีคา -F แตแรงทัง้ คู หักลางกันไมได เนือ่ งจากการกระทํา ตอวัตถุคนละกอน
3. เจาะรูตรงกลางจุกคอรกดวยคอนและตะปู ใหเปน รูเล็กๆ ตรงกลางจุกคอรก รูนี้จะตองมีขนาดพอดี กับเข็มที่จะใสที่ปลายเครื่องสูบลม 4. ใสนํ้าในขวดประมาณ 1 ใน 4 ของขวด แลวปด จุดคอรกใหแนน 5. นําจรวดออกไปบริเวณลานกวาง เชน สนามของ โรงเรียน 6. แทงเข็มสูบลมเขาที่ปลายทอเครื่องสูบลมและให ภาพที่ 5.12 (ทีม่ าของภาพ : http://2st.jp/UTaerospace2009/ pet.jpg เขาไปที่รูจุกคอรก 7. ตั้งจรวดใหปากขวดควํ่าลง จัดสายยางใหเครื่อง สูบลมอยูหางออกมาจากตัวจรวด 8. สูบลมแรงๆ เขาไปในขวดประมาณ 10 ครัง้ สังเกต สิ่งที่เกิดขึ้น ลองใสนํ้าในขวดปริมาณตางๆ กัน บันทึกผลเพื่อดูวาปริมาณนํ้าเทาไรจึงจะดีที่สุด
1. มีอะไรเกิดขึ้นเมื่ออัดลมเขาไปในขวด เหตุใดจึงเปนเชนนั้น 2. ถาใสนํ้าในขวดใหปริมาณตางกันออกไป จะไดผลตางกันหรือไม อยางไร 3. แรงใดเปนแรงกิริยาและแรงใดเปนแรงปฏิกิริยา เพราะเหตุใด
9
คูมือครู
9
กระตุนความสนใจ Engage
อธิบายความรู Explain
สํารวจคนหา Explore
เกร็ดแนะครู ครูถามนักเรียนวารูจ กั ถวยยูเรกา หรือไม แลวใหนักเรียนไปคนควา ขอมูลเกี่ยวกับถวยยูเรกา จากนั้นครู อธิบายเพิ่มเติมวา จากการทดลองของอารคิมีดิส หลังจากที่เขาคนพบแรงลอยตัวดวย ความบังเอิญจึงตะโกนดวยความ ดีใจวา “ยูเรกา” ซึ่งแปลวา “ฉันพบ แลว” จึงตั้งชื่อถวยที่เปนอุปกรณใน การทดลองเรื่องเกี่ยวกับอารคิมีดิสนี้ วา ถวยยูเรกา
นักเรียนควรรู
คูมือครู
Evaluate
3. แรงพยุงของของเหลว นักเรียนเคยสงสัยหรือไมวาทําไมเรือเหล็กจึงลอยนํ้าไดทั้งๆ ที่เหล็กมีความหนาแนนมากกวานํ้า นั่นเพราะวา เมือ่ นําเหล็กมาตีแผเปนแผนบางๆ แลวทําเปนรูปทรงของเรือ เหล็กจะมีปริมาตรเพิม่ ขึน้ ทัง้ ทีม่ วลเทาเดิม ทําใหเรือเหล็ก มีความหนาแนนนอยกวานํ้า เรือจึงลอยนํ้าได การที่วัตถุสามารถลอยตัวอยู ในนํ้าได เนื่องจากวััตถุนั้นมีความหนาแนนนอยกวานํ้า และนํ้าก็มีแรงดันวัตถุให ลอยขึ้นมา ซึ่งแรงนี้เรียกวา แรงลอยตัวหรือแรงพยุง จุดประสงค : เพื่อทดลองและอธิบายแรงพยุงของของเหลวที่กระทําตอวัตถุ ÍØ»¡Ã³ • • • • • • •
เครื่องชั่งสปริง ถวยยูเรกา กระบอกตวง เชือกยาวประมาณ 20 cm บีกเกอรขนาด 100 ml นํ้า วัตถุตางๆ
ÇÔ¸Õ»¯ÔºÑµÔ 1 1 1 1 1 100 2-3
อัน ใบ อัน เสน ใบ ml ชนิด
ÀÒ¾»ÃСͺ
1. ชั่งนํ้าหนักของวัตถุในอากาศ โดยใชเชือก ผูกวัตถุที่ตองการทดลอง แลวนําไปแขวน กับเครื่องชั่งสปริง อานคานํ้าหนักของวัตถุ จากเครื่องชั่งสปริง บันทึกผล 2. เทนํา้ ลงในถวยยูเรกาใหถงึ ขอบพวย แลวนํา วัตถุในขอ 1. ไปชั่งนํ้าหนักในนํ้า รองรับนํ้า ที่ลนออกมาดวยบีกเกอร อานคานํ้าหนัก จากเครือ่ งชัง่ สปริง และวัดปริมาตรนํา้ ทีล่ น ออกมาบันทึกผล 3. เปลี่ยนเปนวัตถุชนิดอื่น แลวปฏิบัติการซํ้า ตามขอ 1. และ 2. ภาพที่ 5.13 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
?
นักเรียนควรรู
10
ตรวจสอบผล (ยอจากฉบับนักเรียน 30%)
รูปทรงของเรือ นอกจากรูปทรง ของเรือจะเพิม่ ปริมาตรเพือ่ ใหมคี วาม หนาแนนนอยกวานํา้ จนสามารถลอย ไดแลว การออกแบบรูปทรงของเรือ ยังตองคํานึงถึงผลของแรงเสียดทาน จึงออกแบบใหบริเวณผิวทีส่ มั ผัสนํา้ มีความเพรียว เพือ่ ลดพืน้ ทีท่ จี่ ะเกิด แรงตาน
แรงดัน เปนแรงชนิดหนึง่ ทีผ่ ลัก หรือดันวัตถุบริเวณพืน้ ผิววัตถุ เชน แรงดันนํา้ เมือ่ วัตถุจมในของเหลว จะมีแรงดันนํา้ กระทําในทุกทิศทาง เมือ่ เราสวมถุงพลาสติกกับมือของเรา แลวจมุ ลงไปในนํา้ แรงดันนํา้ ทีก่ ระทํา ทุกทิศทางจะทําใหถงุ พลาสติกแนบ ติดกับมือของเรา เปนตน
ขยายความเขาใจ Elaborate
10
1. 2. 3. 4.
วัตถุแตละชนิดที่นํามาทดลองแตกตางกันหรือไมอยางไร นํ้าหนักวัตถุในอากาศและนํ้าหนักของวัตถุในนํ้าเทากันหรือไม อยางไร นํ้าที่ลนออกมาหรือนํ้าที่ถูกวัตถุแทนที่มีปริมาตรเทาใด นํ้าหนักของนํ้าที่ลนออกมาเทากับนํ้าหนักของวัตถุที่หายไปหรือไม อยางไร
กระตุนความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Elaborate
นักเรียนคงเคยสงสัยวา เมือ่ ออกแรงดันใหรถเคลือ่ นทีแ่ ลวเพราะเหตุใดเมือ่ เวลาผานไประยะหนึง่ รถยนตจงึ หยุด เคลื่อนที่ นั่นเปนเพราะวา แรงเสียดทานบนพื้นจะทําใหวัตถุเคลื่อนที่ชาลงและหยุดลงในที่สุด ดังนั้น แรงเสียดทานจึง เปนแรงที่ตานการเคลื่อนที่ การดันตูขนาดใหญ ไปตามพื้น ถานักเรียนออกแรงดันนอยกวาแรงเสียดทาน ตูจะไมเคลื่อนที่ ถาใชแรงดัน เทากับแรงเสียดทานตูจะเริ่มเคลื่อนที่หรือเคลื่อนที่ ไปชาๆ ดวยความเร็วคงที่ แตถาใชแรงดันมากกวาแรงเสียดทาน ตูจะเคลื่อนที่เร็วขึ้นเรื่อยๆ จุดประสงค : เพื่อทดลองและอธิบายความแตกตางระหวางแรงเสียดทานสถิตและแรงเสียดทานจลน ÇÔ¸Õ»¯ÔºÑµÔ
• ถุงทราย 500 กรัม 1 ถุง 1. ใชเครือ่ งชัง่ สปริงเกีย่ วถุงทราย 1 ถุง คอยๆ ออกแรงดึง • เครือ่ งชั่งสปริง 1 อัน ไปบนพืน้ โตะ แลวอานคาแรงดึงจากเครือ่ งชัง่ สปริง ขณะที่ถุงทรายอยูนิ่งและเริ่มเคลื่อนที่ บันทึกผล 2. ใชเครื่องชั่งสปริงเกี่ยวถุงทราย 1 ถุง ออกแรง ลากถุงทรายไปบนพื้นโตะดวยความเร็วสมํ่าเสมอ แลวอานคาแรงดึงจากเครื่องชั่งสปริง บันทึกผล
?
Evaluate
หลักฐาน แสดงผลการเรียนรู
4. แรงเสียดทาน
ÍØ»¡Ã³
ตรวจสอบผล
ÀÒ¾»ÃСͺ
ภาพที่ 5.14 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
1. คาแรงดึงจากเครื่องชั่งสปริงขณะที่ถุงทรายอยูนิ่งและเริ่มเคลื่อนที่กับขณะเคลื่อนที่ดวยความเร็วคงตัว มีความแตกตางกันหรือไม อยางไร 2. แรงเสียดทานทีเ่ กิดจากคาแรงดึงของเครือ่ งชัง่ สปริงขณะทีถ่ งุ ทรายอยูน งิ่ และเริม่ เคลือ่ นที่ เปนแรงเสียดทาน ชนิดใด มีคาแรงเสียดทานเปนอยางไร 3. แรงเสียดทานที่เกิดจากคาแรงดึงของเครื่องชั่งสปริงขณะที่ถุงทรายเคลื่อนที่ดวยความเร็วคงตัว เปนแรง เสียดทานชนิดใด มีคาแรงเสียดทานเปนอยางไร
5. ปจจัยที่มีผลตอแรงเสียดทาน แรงเสียดทานเปนแรงตานทานการเคลือ่ นทีข่ องวัตถุและมีทศิ ตรงขามกับแรงทีม่ ากระทํา ซึง่ จะเกิดขึน้ ระหวาง ผิวสัมผัสของวัตถุ 2 ชิน้ แรงเสียดทานทีเ่ กิดขึน้ จะมีคา มากหรือนอยขึน้ อยูก บั ปจจัยตางๆ ทีม่ าเกีย่ วของ โดยปจจัยทีม่ ผี ล ตอแรงเสียดทาน ไดแก นํ้าหนักของวัตถุและพื้นผิวที่สัมผัส จุดประสงค : เพื่อศึกษาและทดลองปจจัยที่มีผลตอแรงเสียดทาน
• บันทึกผลการปฏิบัติกิจกรรม พัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 5.1 • นักเรียนสามารถบอกชนิดของ แรงที่กระทําตอวัตถุได
เกร็ดแนะครู ครูควรเสริมความรูเกี่ยวกับแรง เสียดทาน โดยอธิบายวาหาก ออกแรงดันวัตถุโดยแรงดันมากกวา แรงเสียดทาน จะทําใหแรงลัพธ ไมเปนศูนย แตจะมีขนาดเทากับ ผลตางของขนาดของแรงทั้งสอง และมีทิศไปทางทิศเดียวกับแรงดัน ซึ่งเปนไปตามกฎการเคลื่อนที่ ขอที่ 2 ของนิวตัน คือ เมื่อแรงลัพธ ที่มากระทําไมเปนศูนย วัตถุจะ เคลื่อนที่ดวยความเรง จากนั้นใหกระตุนดวยคําถามวา • หากใชแรงดันเทากับ แรงเสียดทานจะไดผลอยางไร (แนวตอบ แรงลัพธจะเปนศูนย เปนไปตามกฎการเคลือ่ นทีข่ อ ที่ 1 ของนิวตัน ทําใหวัตถุเคลื่อนที่ ดวยความเร็วคงตัว และความเรง เปนศูนย)
ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4 คน ชวยกันออกแบบการทดลองเกี่ยวกับปจจัยที่มีผลตอแรงเสียดทาน พรอม
ทั้งทดลอง บันทึกผล และสรุปผลการทดลอง แลวนํามาเขียนรายงานการทดลองสงครูผูสอนและนําเสนอหนาชั้นเรียน
11
คูมือครู
11
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Elaborate
ตรวจสอบผล Evaluate (ยอจากฉบับนักเรียน 30%)
กระตุนความสนใจ ครูนาํ อุปกรณเกีย่ วกับหลักการ โมเมนตใหนกั เรียนไดสงั เกตลักษณะ การเคลือ่ นทีข่ องอุปกรณ จากนั้น ตั้งคําถามใหนักเรียนเกิดความสนใจ • การเคลื่อนที่ของอุปกรณเกิดใน ลักษณะใด (แนวตอบ เคลื่อนที่รอบจุดหมุน) @
5.2 âÁàÁ¹µ ¢Í§áç เมื่อเราออกแรงกระทําตอวัตถุ จะทําใหวัตถุเริ่มเคลื่อนที่ เคลื่อนที่ เร็วขึ้น เคลื่อนที่ชาลง หรือเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ ซึ่งการเคลื่อนที่ของ วัตถุนั้นอาจเปนแบบแนวตรงหรือเคลื่อนที่รอบจุดหมุน เรียกแรงที่ทําใหวัตถุ เคลื่อนที่รอบจุดหมุนวา โมเมนตของแรง หรือโมเมนต (moment) โมเมนตของแรง คือ ผลคูณระหวางขนาดของแรงกับระยะทางที่ ตั้งฉากจากจุดหมุนมาถึงแนวแรงที่กระทํา สามารถเขียนเปนสมการได ดังนี้
มุม IT
ศึกษาเพิม่ เติมเรือ่ งโมเมนตของแรง ไดจากเว็บไซต http://school.obec.co.th/ sms_dontippai/page5.htm
M M F
เมือ่
l
ภาพที่ 5.15 กระดานหกเป น อุ ป กรณ ที่ อาศั ย หลักการของโมเมนต (ที่มาของภาพ : Scicnce Matters)
µÑÇÍ‹ҧ·Õè
5.3
เกร็ดแนะครู
= Fx l แทนโมเมนตของแรง มีหนวยเปนนิวตันเมตร (Nm) แทนขนาดของแรง มีหนวยเปน นิวตัน (N) แทนระยะทางตั้งฉากจากจุดหมุนถึงแนวแรง มีหนวยเปน เมตร (m)
จากภาพ โมเมนตของแรงที่เด็กชายนั่งบนไมกระดานหกมีคาเทาใด
ครูควรใหนักเรียนเขียนแนวแรง เพื่อแสดงถึงแรงชนิดตางๆ ที่มา กระทําตอวัตถุซงึ่ ชวยในการคํานวณได
300 N
1.5 m
จาก แทนคา
M = F xl M = 300 N x 1.5 m M = 450 N m ดังนั้น โมเมนตของแรงที่เด็กชายนั่งบนไมกระดานหก มีคาเทากับ 450 นิวตัน เมตร •
•
นักเรียนควรรู โมเมนตของแรง เปนปริมาณ เวกเตอร ซึ่งมีทั้งขนาดและทิศทาง แตนิยมคิดเฉพาะขนาดของโมเมนต ประกอบกับทิศที่มีเฉพาะทวนเข็มนาฬกาหรือตามเข็มนาฬกา ซึ่งทิศ ทวนเข็มและตามเข็มดังกลาวไมใช ทิศของโมเมนตที่แทจริง
โมเมนตของแรงสามารถแบงตามทิศของการหมุน ได 2 ชนิด ดังนี้ โมเมนตทวนเข็มนาฬกา คือ ผลการหมุนของแรงที่ทําใหวัตถุ หมุนรอบจุดหมุน ในทิศทวนเข็มนาฬกา โมเมนตตามเข็มนาฬกา คือ ผลการหมุนของแรงที่ทําใหวัตถุ หมุนรอบจุดหมุน ในทิศตามเข็มนาฬกา ■
■
12
12
คูมือครู
ตอบ
EB GUIDE
http://www.aksorn.com/LC/Sci B2/M3/02
กระตุนความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ Elaborate
Explain
ตรวจสอบผล Evaluate
สํารวจคนหา ใหนกั เรียนแบงกลุม ปฏิบตั กิ จิ กรรม พัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 5.2 ขอ 1 และ ขอ 2 (หนา 15-16) โดยใหบันทึก ผลการทดลองลงในตารางที่นักเรียน ออกแบบเอง • กรณีใดที่จะทําใหคานอยูใน ภาวะสมดุล (แนวตอบ เมือ่ ผลรวมของโมเมนต ทวนเข็มนาฬกามีคา เทากับผลรวม ของโมเมนตตามเข็มนาฬกา)
5.2.1 หลักการของโมเมนต
ถามีแรงกระทําตอวัตถุชิ้นหนึ่งหลายแรง แลวแรงกระทํานั้นทําให วัตถุอยูในสภาวะสมดุล วัตถุจะไมเคลื่อนที่และไมหมุน กลาวไดวา ผลรวม ของโมเมนตทวนเข็มนาฬกามีคา เทากับผลรวมของโมเมนตตามเข็มนาฬกา
µÑÇÍ‹ҧ·Õè
5.4
Mทวน =
Mตาม
F1 x l1 =
F2 x l2
ไมเมตรอันหนึ่งแขวนนํ้าหนักไวทางดานซาย 40 นิวตัน หางจากจุดหมุนเปนระยะ 20 เซนติเมตร และแขวนนํ้าหนัก 20 นิวตัน ไวทางดานขวา ถาไมเมตรอยูในสภาพสมดุล ระยะที่แขวนนํ้าหนัก 20 นิวตัน หางจากจุดหมุนเปนกี่เซนติเมตร I1 20 cm
F1 40 N
จาก
แทนคา
= Mตาม
F1 x l1
=
l2
=
l2
=
ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายผล การทดลองใหไดขอสรุปที่ถูกตอง โดยครูชวยอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับ หลักการโมเมนต และภาวะสมดุล ของคาน
F2 20 N
Mทวน
40 N x 0.2 m =
อธิบายความรู
I2
F2 x l2
นักเรียนควรรู แรงกระทําตอวัตถุ เมื่อมีแรงมา กระทําที่จุดหมุน (F) คาของโมเมนต จากแรงนัน้ จะมีคา เทากับศูนย เพราะ ระยะทางเปนศูนย
20 N x l2 40 N x 0.2 m 20 N 0.4 m หรือ 40 cm
ดังนั้น ระยะที่แขวนนํ้าหนัก 20 นิวตัน หางจากจุดหมุนเทากับ 0.4 เมตร หรือ 40 เซนติเมตร
ตอบ
เกร็ดแนะครู ครูควรใหนักเรียนเขียนทิศทาง ของโมเมนตเพื่อความสะดวกในการ พิจารณาโมเมนตทวนเข็มนาฬกา และตามเข็มนาฬกา 13
คูมือครู
13
กระตุนความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
ขยายความเขาใจ
อธิบายความรู Explain
ตรวจสอบผล Evaluate
Expand
(ยอจากฉบับนักเรียน 30%)
ขยายความเขาใจ ครูใชคําถามเพื่อทบทวนการเรียน • โมเมนตของแรงคืออะไร (แนวตอบ แรงที่ทําใหวัตถุ เคลื่อนที่รอบจุดหมุน) ครูนําอุปกรณ หรือเครื่องใช ในชีวิตประจําวันที่ใชหลักการของ โมเมนตมาใหนักเรียนวิเคราะห รวมกันวาเปนคานประเภทใด และชวยผอนแรงหรือไม
5.2.2 การนําโมเมนตของแรงไปใชประโยชน
ความรูเกี่ยวกับโมเมนตของแรง ถูกนํามาใชประโยชนในดานตางๆ มากมาย โดยเฉพาะเครื่องกลประเภทคาน ซึ่งเปนเครื่องมือที่ชวยผอนแรง และอํานวยความสะดวกในการทํางาน คาน (lever) คือ เครือ่ งกลชนิดหนึง่ ทีม่ ลี กั ษณะเปนแทงยาวและแข็ง สามารถหมุนไดรอบจุดหมุนหรือจุดฟลครัม ประเภทของคานสามารถแบง ตามตําแหนงของจุดหมุน (F) แรงพยายาม (W) และแรงตานทาน (E) ได 3 ประเภท ดังนี้ 1) คานอันดับ 1 เปนคานทีม่ จี ดุ หมุนอยูร ะหวางแรงพยายามกับแรง ตานทาน จะชวยผอนแรงการทํางานเมือ่ ระยะระหวางแรงพยายามกับจุดหมุน มากกวาระยะระหวางแรงตานทานกับจุดหมุน
นักเรียนควรรู จุดฟลครัม เปนจุดรองรับนํ้าหนัก ในขณะที่งัดสิ่งใดสิ่งหนึ่งใหเคลื่อนที่ ซึ่งในการงัดสิ่งของตางๆ เราจะตอง ออกแรงมากหรือนอยนั้น ขึ้นอยูกับ ระยะทางระหวางจุดฟลครัมกับจุดที่ เราจับคาน ซึ่งถาระยะหางมากเราก็ จะออกแรงนอยลง
E W วัตถุ
W
แรงตานทาน
@
จุดหมุน
F
W
F W
ภาพที่ 5.17 ลักษณะของคานอันดับ 2 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
14
F
แรงพยายาม
E
E
จุดหมุน
ศึกษาคนควาเพิ่มเติมเกี่ยวกับประโยชนของโมเมนต ของแรงไดจาก http://www.maceducation.com/ e-knowledge/2432209100/17.html
คูมือครู
W
W
2) คานอันดับ 2 เปนคานทีม่ แี รงตานทานอยูร ะหวางจุดหมุนกับแรง พยายาม จะชวยผอนแรงในการทํางาน 3) คานอันดับ 3 เปนคานที่มีแรงพยายามอยูระหวางแรงตานทาน กับจุดหมุน จะไมชวยผอนแรงแตจะชวยอํานวยความสะดวกในการทํางาน
แรงตานทาน E
มุม IT
14
แรงพยายาม
วัตถุ
E E
E
แรงพยายาม
จุดหมุน
W ภาพที่ 5.16 ลักษณะของคานอันดับ 1 และตัวอยางอุปกรณทใี่ ชในชีวติ ประจําวัน ซึง่ ชวยผอนแรงในการทํางาน (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
เกร็ดแนะครู ครูอาจใหนักเรียนยกตัวอยาง อุปกรณตางๆ ที่ใชหลักการของ คานหรือโมเมนตของแรงพรอมทั้ง ระบุประเภทของคาน เชน บานพับ หนาตาง จะมีที่จับเพื่อเปดปด หนาตางที่ปลายดานหนึ่ง เปน ลักษณะของคานอันดับที่ 2 ซึ่งชวย ใหออกแรงนอย หากผลักหนาตาง ใกลบานพับซึ่งเปนจุดหมุนจะรูสึก วาออกแรงเยอะกวา เปนตน
F
E
วัตถุ แรงตานทาน
W F
ภาพที่ 5.18 ลักษณะของคานอันดับ 3 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
กระตุนความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
กิจกรรม
พั ฒ นาทั ก ษะ วิทยาศาสตร
ใหนกั เรียนนําหลักการของโมเมนต ไปประดิษฐชิ้นงานคนละ 1 ชิ้น
5.2
โมเมนตของแรงจะเกีย่ วของกับการทํากิจกรรมตางๆ ในชีวติ ประจําวันของเราเปนอยางมาก ทัง้ การเคลือ่ นไหว ของอวัยวะบางสวนในรางกาย การใชเครื่องมือหรืออุปกรณตางๆ หลายชนิด เชน ใชคอนถอนตะปู ใชคีมคีบนํ้าแข็ง ใชรถเข็นดิน การหาบของโดยใช ไมคาน เปนตน จุดประสงค : เพื่อทดลองและวิเคราะห โมเมนตของแรง • • • • •
ไมเมตร ดินสอ เชือก ยาว 60 ซม. เครื่องชั่งสปริง ถุงทราย
ÇÔ¸Õ»¯ÔºÑµÔ 1 1 1 1 1
อัน แทง เสน อัน ถุง
NET ขอสอบ ป 52 แขวนปายอันหนึ่งเอาไวหนาราน ดวยเชือกทีม่ ลี กั ษณะเหมือนกัน 2 เสน ดังรูป (1)
ÀÒ¾»ÃСͺ
1. ใชเชือกผูกบริเวณตรงกึ่งกลางไมเมตร แลว แขวน ดังภาพ 2. ชั่งนํ้าหนักของถุงทราย 1 ถุง ดวยเครื่อง ชั่งสปริง บันทึกผล
30 cm
(2) 60 cm ปาย
ถาปายมีนํ้าหนัก 90 นิวตัน เชือก หมายเลข (1) และเชือกหมายเลข (2) รับนํ้าหนักเสนละกี่นิวตัน ตามลําดับ 1. 60.0 และ 30.0 2. 67.5 และ 22.5 3. 75.0 และ 15.0 4. 77.5 และ 12.5
3. แขวนถุงทราย 1 ถุง ที่ตําแหนงหนึ่งของ ไมเมตร ใชเครือ่ งชัง่ สปริงคลองที่ไมเมตรแลว ออกแรงดึงเครื่องชั่งสปริง ดังภาพ บันทึก คาแรงดึง นํ้าหนักถุงทราย และระยะหาง ระหวางจุดแขวนไมเมตรถึงจุดที่เครื่องชั่ง สปริงดึงไมเมตร และระหวางจุดแขวนไมเมตร ถึงจุดแขวนถุงทราย 4. ทํ า ซํ้ า ข อ 3. โดยเปลี่ ย นตํ า แหน ง ที่คลอง เครือ่ งชัง่ สปริง และตําแหนงทีแ่ ขวนถุงทราย ไป 2-3 ตําแหนง ภาพที่ 5.19 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
?
Evaluate
ตรวจสอบผล
1. โมเมนตของแรง
ÍØ»¡Ã³
ตรวจสอบผล
ขยายความเขาใจ Elaborate
1. เมื่อใดไมเมตรจึงจะอยู ในภาวะสมดุล 2. ผลคูณระหวางแรงทีว่ ดั ไดจากเครือ่ งชัง่ สปริงกับระยะทางจากแนวแรงดึงไปยังจุดทีแ่ ขวนไมเมตร และผลคูณ ระหวางนํ้าหนัก ของถุงทรายกับระยะทางจากจุดที่แขวนถุ งทรายไปยั งจุ ดที่ แขวนไม เ มตร มี ความ สัมพันธกันหรือไม อยางไร
15
(วิเคราะหคําตอบ กําหนดใหเชือกหมายเลข (1) เปน F1 M ทวน = M ตาม (90 N)(0.45 m) = F1(0.6 m) F1 = (90 N)(0.45 m) (0.6 m) = 67.5 N กําหนดใหเชือกหมายเลข (2) เปน F2 M ทวน = M ตาม F2(0.6 m) = (90 N)(0.15 m) = (90 N)(0.15 m) (0.6 m) = 22.5 N ตอบ ขอ 2.)
คูมือครู
15
กระตุนความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
ขยายความเขาใจ Elaborate
อธิบายความรู Explain
ตรวจสอบผล Evaluate
(ยอจากฉบับนักเรียน 30%)
หลักฐาน แสดงผลการเรียนรู • บันทึกผลการปฏิบัติกิจกรรม
พัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 5.2 • ชิ้นงานที่ใชหลักการของ โมเมนต
B
B
พื้นฐานอาชีพ
ครูอาจแนะนําใหนักเรียนนํา ความรูเรื่องหลักการสมดุลของคาน ไปประยุกตในการออกแบบและ จัดทําโมบายแขวน เพื่อใชเปน เครื่องประดับตกแตงบาน และ อาจพัฒนาตอไปเรื่อยๆ จนทําเปน อาชีพเพื่อสรางรายไดอีกดวย
2. ภาวะสมดุลของคาน ถามีแรงหลายแรงมากระทําตอวัตถุชนิ้ หนึง่ แลวทําใหวตั ถุนนั้ อยู ในสภาวะสมดุล จะไดผลรวมของโมเมนตรอบ จุดใดๆ มีคาเปนศูนย หรืออาจกลาวไดวาผลรวมของโมเมนตทวนเข็มนาฬกามีคาเทากับผลรวมของโมเมนตตามเข็ม นาฬกา จุดประสงค : เพื่อศึกษาและอธิบายเกี่ยวกับภาวะสมดุลของคาน ÍØ»¡Ã³ • ไมบรรทัด • ดินสอ • ดาย • เหรียญบาท • ที่กั้นลม
ÇÔ¸Õ»¯ÔºÑµÔ 1 1 1 3 1
ÀÒ¾»ÃСͺ
อัน 1. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน จัด แทง อุปกรณตามภาพ โดยผูกดินสอไวตรงกลาง หลอด ไมบรรทัด แลวนําไปวางไวบนที่กั้นลม เหรียญ 2. วางเหรียญบาท 1 เหรียญ ไวบนไมบรรทัด อัน ทางดานซายหางจากดินสอ 10 เซนติเมตร 3. วางเหรียญบาทอีก 1 เหรียญไวบนไมบรรทัด ทางดานขวา โดยใหเลื่อนเหรียญไป-มาจน กระทั่งไมบรรทัดอยู ในแนวระดับ วัดระยะ จากดินสอถึงจุดศูนยกลางของเหรียญบาทที่ วางอยูทางขวานี้ 4. ทดลองซํ้าขอ 3. แต ใหเพื่มเหรียญบาทอีก 1 เหรียญวางซอนทับบนเหรียญบาทที่อยูทาง ขวาของไมบรรทัด แลวเลื่อนเหรียญไป-มา จนกระทั่งไมบรรทัดอยู ในแนวระดับ วัดระยะ จากดินสอถึงจุดศูนยกลางของเหรียญบาททัง้ 2 เหรียญ ที่วางอยูทางขวานี้
ภาพที่ 5.20 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
5. ทดลองซํ้าจากขอ 1.-4. แตเปลี่ยนระยะที่วาง เหรียญบาทเหรียญแรก บันทึกระยะจากดินสอ ถึงจุดศูนยกลางของเหรียญบาททุกๆ เหรียญ
?
16
16
คูมือครู
1. ใหนักเรียนแตละกลุมทํารายงานการทดลองเรื่องภาวะสมดุลของคาน โดยมีรายละเอียด ดังนี้ • ชื่อการทดลอง • ปญหาในการทดลอง • สมมุติฐานในการทดลอง • วิธีปฏิบัติ • ตารางบันทึกผลการทดลอง • สรุปและอภิปรายผลการทดลอง 2. จากการทดลองนักเรียนสามารถนําความรู ไปอธิบายเหตุการณ ในชีวิตประจําวันไดอยางไร
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ Elaborate
Explain
ตรวจสอบผล Evaluate
กระตุนความสนใจ ครูใชภาพการเคลื่อนที่ของวัตถุ เชน การเตะฟุตบอล รถไฟเหาะ มาหมุน ฯลฯ ใหนักเรียนไดชวยกัน วิเคราะหความแตกตางของการ เคลื่อนที่แบบตางๆ ในภาพ
5.3 ¡ÒÃà¤Å×è͹·Õè¢Í§Çѵ¶Ø ในชีวิตประจําวันแตละวันตองเกี่ยวของกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ เชน การเดินจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง การเลนกีฬา การคมนาคม เปนตน เมื่อสังเกตแนวการเคลื่อนที่ของวัตถุตางๆ จะพบวามีลักษณะการเคลื่อนที่ แตกตางกันออกไป ซึ่งมีทั้งการเคลื่อนที่ ในแนวตรงและการเคลื่อนที่ ใน แนวโคง
สํารวจคนหา
5.3.1 การเคลื่อนที่ ในแนวตรง
การเคลื่อนที่ ในแนวตรง เรียกอีกอยางหนึ่งวา การเคลื่อนที่ ใน หนึ่งมิติ โดยมีทั้งการเคลื่อนที่ในแนวราบและแนวดิ่ง 1) การเคลื่ อ นที่ ใ นแนวราบ เป น การเคลื่ อ นที่ ข องวั ต ถุ ไ ปใน ทิศทางที่ขนานกับพื้นโลก เชน การแขงขันวิ่งระยะทาง 4 x 100 เมตร รถยนตแลนไปในทางตรง เข็นรถเข็นในซุปเปอรมาเก็ต เปนตน 2) การเคลื่ อ นที่ ใ นแนวดิ่ ง เป น การเคลื่ อ นที่ ข องวั ต ถุ ใ นแนว ตั้งฉากกับพื้นโลก โดยมีแรงโนมถวงกระทําตอวัตถุตลอดการเคลื่อนที่ โดยการตกของวัตถุภายใตแรงโนมถวงเพียงอยางเดียวเรียกวา การตกอยาง อิสระ เชน การตกของผลไมที่หลุดจากขั้วลงสูพื้นดิน หนังสือตกจากโตะ เปนตน
ภาพที่ 5.21 การวิง่ แขงขันระยะทางตรงเปนลักษณะ การเคลื่อนที่ในแนวราบ (ที่มาของภาพ : http://ade-blog.tainan.gov.tw)
5.3.2 การเคลื่อนที่ ในแนวโคง
การเคลื่อนที่ในแนวโคง วัตถุจะมีลักษณะการเคลื่อนที่ใน 2 แนว พรอมกัน ทั้งในแนวราบและแนวดิ่ง การเคลื่อนที่ลักษณะนี้ ไดแก 1) การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล เปนการเคลื่อนที่ในแนวโคงแบบ พาราโบลา ซึง่ เกิดจากวัตถุมกี ารเคลือ่ นที่ 2 แนวพรอมกัน คือ การเคลือ่ นที่ ในแนวราบและแนวดิ่ง ซึ่งความเร็วในแนวราบจะคงที่ตลอดการเคลื่อนที่ (เทากับความเร็วที่จุดเริ่มตน) สวนความเร็วในแนวดิ่งเนื่องจากแรงโนมถวง ของโลกจะไมคงที่เนื่องจากมีแรงโนมถวงของโลกกระทําใหเกิดความเรงใน แนวดิ่ง เชน การโยนลูกบาสเกตบอลลงหวง การยิงกระสุนปนใหญ เปนตน 2) การเคลื่อนที่แบบวงกลม เปนการเคลื่อนที่ที่มีแรงกระทําเขาสู ศูนยกลางของวงกลม เรียกวา แรงสูศูนยกลาง ซึ่งแรงตองมีขนาดพอเหมาะ กับอัตราเร็ว จึงจะทําใหวัตถุเคลื่อนที่ในแนวโคงของวงกลมได ดวยรัศมี คาหนึง่ และอัตราเร็วคาหนึง่ เทานัน้ ดังนัน้ การขับรถบนถนนโคง จึงตองระวัง การใชอัตราเร็วใหเปนไปตามที่กําหนดไวเพื่อความปลอดภัย นอกจากนี้การ เคลื่อนที่แบบวงกลมยังเปนการเคลื่อนที่ของวัตถุที่กลับมาซํา้ ทีเ่ ดิมอีกดวย เชน การเคลือ่ นทีข่ องชิงชาสวรรค รถมอเตอรไซคไตถัง เปนตน
ภาพที่ 5.22 การกระโดดสูงมีลักษณะการเคลื่อนที่ แบบโพรเจกไทล (ที่มาของภาพ : http://mi9.com/uploads/sports)
ใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมโดยใช อุปกรณ ดังนี้ 1. ยางวง 2. ไมขีด 3. ไมบรรทัด วิธีทดลอง ใชยางวงยิงไมขีดออก ไปในแนวราบจากขอบโตะ โดยยืด ยางวงออก 5, 8, 11 และ 14 ซม. ตามลําดับ สังเกตลักษณะการ เคลื่อนที่และวัดระยะทางที่ไมขีด ตกลงพื้น
อธิบายความรู ครูและนักเรียนรวมกันอภิปราย และสรุปผลการทดลอง
นักเรียนควรรู ภาพที่ 5.23 การเลี้ยวรถยนตบนถนนโคง ควรใช อัตราเร็วตามที่กําหนด เพื่อใหรถยนตสามารถ เคลื่อนที่ในแนวโคงได (ที่มาของภาพ : http://www.carlink24.com)
17
แรงสูศูนยกลาง คือ แรงที่กระทํา ตอวัตถุในขณะทีว่ ตั ถุนนั้ เคลือ่ นทีเ่ ปน วงกลม แรงนี้มีทิศเขาสูจุดศูนยกลาง และมีคาขึ้นอยูกับมวลของวัตถุ อัตราเร็วในการเคลือ่ นที่ และระยะหาง ระหวางวัตถุกับจุดศูนยกลาง @
@
มุม IT
ศึกษาเพิ่มเติมเรื่องการเคลื่อนที่ของวัตถุไดจาก http://www.thaigoodview.com/library/ contest2551/science04/109/unt12/un12.html
มุม IT
ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับพาราโบลา ไดจากเว็บไซตของโรงเรียนสอน คณิตศาสตร math house http://www.mathhousetutor.com/ private_folder/logic/secondary/33_secondary.pdf คูมือครู 17
กระตุนความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
ตรวจสอบผล ครูนําภาพการเคลื่อนที่ของวัตถุทั้ง แนวตรงและแนวโคงมาใหนักเรียน สังเกตและอธิบายการเคลื่อนที่ของ วัตถุ
Evaluate
(ยอจากฉบับนักเรียน 30%)
ขยายความเขาใจ ใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมพัฒนา ทักษะวิทยาศาสตร 5.3 โดยครูอาจ หาภาพเกี่ยวกับการเคลื่อนที่แบบ ตางๆ มาชวยอธิบาย
Expand
กิจกรรม
พั ฒ นาทั ก ษะ วิทยาศาสตร
5.3
ลักษณะการเคลื่อนที่ เมื่อสังเกตแนวการเคลื่อนที่ของสิ่งตางๆ รอบตัว จะพบวามีลักษณะการเคลื่อนที่แตกตางกัน ใหนักเรียน พิจารณาการเคลื่อนที่แบบตางๆ ดังภาพ จําแนกภาพออกเปนกลุมพรอมทั้งอธิบายลักษณะการเคลื่อนที่ของแตละภาพ จุดประสงค : เพื่อสังเกตและอธิบายการเคลื่อนที่ของวัตถุที่เปนแนวตรงและแนวโคง
หลักฐาน แสดงผลการเรียนรู • บันทึกผลการปฏิบัติกิจกรรม
พัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 5.3 • นักเรียนสามารถสังเกตและ บอกลักษณะการเคลื่อนที่ของ วัตถุได
ภาพที่ 5.24 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
ภาพที่ 5.25 (ที่มาของภาพ : http://0.tqn.com/d/ ภาพที่ 5.26 (ที่มาของภาพ : http://image.ohozaa. com) diving)
ภาพที่ 5.27 (ที่มาของภาพ : http://www.phuphiphat.com)
ภาพที่ 5.28 (ทีม่ าของภาพ : http://www.chomthai. com)
?
18
18
คูมือครู
ภาพที่ 5.29 (ที่มาของภาพ : http://www.autospinn.com)
1. นักเรียนใชเกณฑ ใดในการจําแนกภาพออกเปนกลุม 2. นักเรียนคิดวามีลักษณะการเคลื่อนที่แบบอื่นที่นอกเหนือจากที่นักเรียนใชเปนเกณฑอีกหรือไม ถามีเปน ลักษณะการเคลื่อนที่แบบใด
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
กระตุนความสนใจ ครูทบทวนความรูเดิมในเรื่องแรง ที่เคยเรียนผานมาในชั่วโมงที่แลว ผูใ หนกั เรียนแตละคนเขียนกิจกรรม ของตนเองตั้งแตเดินทางจากบาน มาถึงโรงเรียนวามีกิจกรรมใดบาง ที่ทําใหเกิดงาน (ครูควรใหนักเรียน เขียนลงไปในสมุดอยางนอยคนละ 5 กิจกรรม)
5.4 §Ò¹áÅоÅѧ§Ò¹ ในชีวติ ประจําวันของเรามีการทํากิจกรรมตางๆ มากมาย ทัง้ กิจกรรม ที่ตองใชกลามเนื้อและไมตองใชกลามเนื้อ เชน ทําความสะอาดบาน นั่งอานหนังสือ เปนตน ซึ่งในความหมายทั่วๆ ไป การทํากิจกรรมเหลานี้ จะถือวาเปนการทํางาน แตในทางวิทยาศาสตรการเกิดงานจะตองพิจารณา แรงที่มากระทําตอวัตถุและแนวการเคลื่อนที่ของวัตถุดวย
5.4.1 งาน
งาน (work) ผลคูณระหวางแรงในทิศการเคลื่อนที่กับระยะทาง ที่เคลื่อนที่ เปนปริมาณสเกลาร ซึ่งสามารถคํานวณหางานไดจากสมการ ตอไปนี้ เมือ่
W W F
= F xs แทนงาน มีหนวยเปนนิวตันเมตร หรือจูล (Nm หรือ J) แทนแรง มีหนวยเปนนิวตัน (N) แทนระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับแนวแรง มีหนวยเปนเมตร (m)
s
5.5
ระยะทาง
ภาพที่ 5.31 การเดินถือกลองแลวเดินไปในแนวราบ ไมเกิดงาน เนื่องจากแนวแรงตั้งฉากกับระยะทาง (ที่มาของภาพ : Physics Insights)
เมือ่ ออกแรง 60 นิวตัน ผลักตูห นังสือใหเคลือ่ นทีไ่ ประยะทาง 10 เมตร งานทีเ่ กิดขึน้ มีคาเทาใด W = F xs W = 60 N x 10 m W = 600 J ดังนั้น งานที่เกิดขึ้นจากการผลักตูหนังสือใหเคลื่อนที่ มีคาเทากับ 600 จูล
อธิบายความรู ครูสรุปกิจกรรมและอภิปรายผล เพื่อใหไดขอสรุปรวมกัน
ขยายความเขาใจ
จาก
ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่อง งาน โดยการยกตัวอยางประกอบที่ หลากหลาย และใหนักเรียนรวมกัน แสดงความคิดเห็น
ตอบ 19
NET ขอสอบ ป 51 ผลักวัตถุดว ยแรง 3 นิวตัน ในแนวขนานกับพืน้ ทําใหวตั ถุ เคลือ่ นทีไ่ ปบนพืน้ ราบเปนระยะทาง 12 เมตร จะเกิดงาน เนื่องจากการผลักวัตถุเทาใด 1. 4 นิวตัน - เมตร 2. 9 นิวตัน - เมตร 3. 15 นิวตัน - เมตร 4. 36 นิวตัน - เมตร
สํารวจคนหา ให นั ก เรี ย นถื อ กระเป า เดิ น ไปมา ในห อ งเรี ย น (ครู อ าจจะให ตั ว แทน อาสาออกมาสาธิต) จากนั้นใหนักเรียนทุกคนยืนขึ้น แลวยกเกาอี้ขึ้นวางบนโตะ • การกระทําทั้ง 2 กิจกรรมนี้ ทําใหเกิดงานหรือไม (แนวตอบ การถือกระเปาแลวเดิน ไปมานั้นไมเกิดงาน สวนการยก เกาอี้ขึ้นวางบนโตะนั้นเกิดงาน)
แรง
งาน 1 จูล คือ งานที่เกิดจากแรง 1 นิวตัน กระทําใหวัตถุเคลื่อนที่ ไปในระยะทาง 1 เมตร ตามทิศทางของแรงที่กระทํา กรณีงานมีคาเปนศูนย แสดงวาไมเกิดงาน ซึ่งจะเกิดขึ้นก็ตอเมื่อ • แรงที่กระทําตอวัตถุมีคาเปนศูนย • ระยะทางมีคาเปนศูนย • แนวแรงตั้งฉากกับระยะทาง µÑÇÍ‹ҧ·Õè
ภาพที่ 5.30 การหิ้วถังนํ้าขึ้นบันไดมีงานเกิดขึ้น เนื่องจากมีแรงกระทําตอถังนํ้า และมีการเคลื่อนที่ (ที่มาของภาพ : Scicnce Matters)
(วิเคราะหคําตอบ W = Fxs = (3 N)(12 m) = 36 N.m หรือ 36 จูล ตอบ ขอ 4.)
ตรวจสอบผล ครูนํารูปภาพเกี่ยวกับกิจกรรม ในชีวิตประจําวัน เพื่อใหนักเรียน วิเคราะหวา กิจกรรมแบบใดบางที่ ทําใหเกิดงาน
คูมือครู
19
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
Explore
Engage
Explain
Expand
ตรวจสอบผล Evaluate (ยอจากฉบับนักเรียน 30%)
กระตุนความสนใจ ครูอธิปรายถึงการเลนไมลื่น จากนั้นใหนักเรียนทําไมลื่นจําลอง จากแผนกระดานหรือกระดาษแข็ง และใชวัสดุตางๆ แทนผูเลน แลว ปลอยวัสดุลื่นลงมา ณ ตําแหนง ความสูงตางๆ กัน
5.4.2 กําลัง
กําลัง (power) คือ ปริมาณทีบ่ อกถึงความสามารถในการทํางานได ตอหนึ่งหนวยเวลา ซึ่งเขียนเปนสมการได ดังนี้ เมือ่
สํารวจคนหา ใหนักเรียนแตละคนศึกษาเรื่อง พลังงาน จากหนังสือ หนา 20 - 21 โดยครูเนนยํ้าวาใหสรุปสาระสําคัญ
µÑÇÍ‹ҧ·Õè
5.6
อธิบายความรู สุมนักเรียน 2 - 3 คน ออกมาสรุป สาระสําคัญเรื่องพลังงาน โดยครูและ นักเรียนคนอื่นๆ รวมกันเสนอแนะ
ดังนั้น เครื่องจักรเครื่องนี้มีกําลังเทากับ 200 วัตต
5.4.3 พลังงาน
ครูและนักเรียนรวมเลาเรือ่ งพลังงาน ตามประสบการณ เชน การขีจ่ กั รยาน การนั่งรถ การนั่งเรือ ซึ่งถือเปนการ เปลี่ยนรูปพลังงาน µÑÇÍ‹ҧ
นักเรียนควรรู
20
คูมือครู
=
เครื่องจักรเครื่องหนึ่งทํางานได 2,000 จูล ในเวลา 10 วินาที กําลังของเครื่องจักร เครื่องนี้มีคาเทาใด จาก P = Wt แทนคา P = 2,000 J 10 s P = 200 Watt
ขยายความเขาใจ
พลังงานศักยโนมถวง (Ep) ซึ่งเปน ผลของมวลที่ถูกแรงโนมถวงของโลก กระทํา สามารถคํานวณไดจาก Ep = mgh เมื่อ Ep คือ พลังงานศักยโนมถวง (จูล) m คือ มวลของวัตถุ (กิโลกรัม) h คือ ความสูงของวัตถุถึง พื้นโลกหรือระดับ อางอิง (เมตร)
W t P แทนกําลัง มีหนวยเปนจูลตอวินาที หรือวัตต (J/s หรือ Watt) W แทนงาน มีหนวยเปนจูล (J) t แทนเวลา มีหนวยเปนวินาที (s) P
ภาพที่ 5.32 นํ้าที่กักเก็บไวในเขื่อนมีพลังงานศักย โนมถวงสะสมอยู (ทีม่ าของภาพ : http://www.smartdestinations.com)
20
ตอบ
พลังงาน (energy) คือ ความสามารถในการทํางานไดของวัตถุหรือ สสารตางๆ พลังงานไมสามารถสรางขึ้นมาใหมได แตสามารถเปลี่ยนรูปได ซึ่งมีหลายรูปแบบ เชน พลังงานไฟฟา พลังงานความรอน พลังงานเคมี เปนตน สําหรับพลังงานที่จะศึกษาในระดับชั้นนี้ เปนพลังงานที่มีอยูในวัตถุ ทุกชนิด ไดแก พลังงานกล ซึ่งแบงออกเปน 2 ประเภท ดังนี้ 1) พลังงานศักย (potential energy) หมายถึง พลังงานที่สะสมอยู ในวัตถุและพรอมที่จะทํางาน แบงออกเปน 2 ชนิด ดังนี้ 1. พลังงานศักย โนมถวง (gravitational potential energy) เปนพลังงานสะสมอยูในวัตถุที่อยูสูงจากพื้นโลกขึ้นไป เชน กอนหินที่อยูบน หนาผา ผลไมที่อยูบนตน การกักเก็บนํ้าในอางเก็บนํ้าเหนือเขื่อน เปนตน ทั้งนี้ถาวัตถุอยูสูงจากพื้นดินมากจะมีพลังงานศักย โนมถวงมากกวาวัตถุที่ อยูในระดับตํ่ากวา กรณีวัตถุอยูที่ระดับความสูงเทากัน วัตถุที่มีมวลมากจะมี พลังงานศักยโนมถวงมากกวาวัตถุที่มีมวลนอย
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
Explain
Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
กระตุนความสนใจ 2. พลังงานศักยยดื หยุน (elastic potential energy) เปนพลังงาน ทีส่ ะสมอยูในวัตถุทยี่ ดื หยุน ได ซึง่ เมือ่ ไดรบั แรงกระทําจะยืดออกและสามารถ กลับสูสภาพเดิมได เชน สปริง ของเลนไขลาน หนังสติ๊ก คันธนู เปนตน 2) พลังงานจลน (kinetic energy) หมายถึง พลังงานที่เกิดกับวัตถุ ที่กําลังเคลื่อนที่ เชน รถกําลังแลน การไหลของกระแสนํ้า กอนหินตกจาก หนาผา พัดลมหมุน นกกําลังบิน เปนตน วัตถุที่เคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วสูง จะมีพลังงานจลนมากกวาวัตถุที่เคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วตํ่า ในกรณีที่วัตถุ เคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วเทากัน วัตถุที่มีมวลมากจะมีพลังงานจลนมากกวา วัตถุที่มีมวลนอย พลังงานศักยโนมถวงของวัตถุจะมีคาสูงสุด เมื่อวัตถุหยุดนิ่งและอยู ตําแหนงที่สูงสุด แตเมื่อวัตถุเริ่มเคลื่อนที่พลังงานศักยโนมถวงจะมีคาลดลง เนื่องจากพลังงานศักยโนมถวงเปลี่ยนไปเปนพลังงานจลน และขณะที่วัตถุ เคลื่อนที่มาอยูในตําแหนงตํ่าสุด พลังงานจลนจะมีคาสูงสุด พลังงานศักย โนมถวงจะมีคาเทากับศูนย โดยพลังงานศักยโนมถวงไมไดสูญหายแตมีการ เปลี่ยนรูปพลังงานเกิดขึ้น ซึ่งเปนไปตามกฎการอนุรักษพลังงาน
ครูนําสปริงขนาดตางๆ มาให นักเรียนสังเกต
สํารวจคนหา ภาพที่ 5.33 นกทีบ่ นิ ดวยความเร็วสูงจะมีพลังงาน จลนมาก (ที่มาของภาพ : http://flywithmeproductions.com)
อธิบายความรู ใหนักเรียนอธิบายถึงความสัมพันธ ระหวางแรงที่ใชในการยืดสปริงกับ ระยะที่สปริงยืดออก ซึ่งครูอธิบาย เพิ่มเติมวา เมื่อใชแรงดึงมาก ระยะ ที่สปริงยืดออกก็จะมาก จึงสรุปไดวา ระยะทางที่สปริงยืดออกแปรผันตรง กับขนาดของแรงดึง
5.4.4 กฎการอนุรักษพลังงาน
กฎการอนุ รั ก ษ พ ลั ง งาน (law of conservation of energy) กลาววา “พลังงานเปนสิ่งที่ไมสามารถสรางขึ้นใหมและไมสามารถทําให สูญหายหรือทําลายได แตจะเกิดการเปลีย่ นรูปพลังงานจากรูปหนึง่ ไปเปนอีก รูปหนึ่ง” ซึ่งในชีวิตประจําวันเราสามารถนําความรูเกี่ยวกับกฎการอนุรักษ พลังงานไปใชประโยชนมากมาย ซึง่ นักเรียนจะไดศกึ ษาจากตัวอยาง ตอไปนี้ 1. การเปลีย่ นพลังงานศักยโนมถวงเปนพลังงานจลน ตัวอยางเชน นํ้าที่เก็บกักไวในเขื่อน จะมีพลังงานศักย โนมถวงสะสมอยู เมื่อปลอยให นํ้าไหลจากเขื่อนไปหมุนกังหันจะมีการเปลี่ยนแปลงพลังงานศักย ไปเปน พลังงานจลนเพื่อนําไปผลิตกระแสไฟฟา 2. การเปลี่ ย นพลั ง งานแสงไปเป น พลั ง งานเคมี ตั ว อย า งเช น กระบวนการสังเคราะหดวยแสงของพืช ซึ่งเปลี่ยนพลังงานแสงเปนพลังงาน เคมีในรูปสารอาหาร แลวเก็บสะสมไวในเนื้อเยื่อ 3. การเปลี่ยนพลังงานเคมีเปนพลังงานความรอน ตัวอยางเชน การเผาไหมเชือ้ เพลิงทีม่ พี ลังงานเคมีสะสมอยู จะไดพลังงานความรอนเกิดขึน้ 4. การเปลี่ยนพลังงานไฟฟาเปนพลังงานความรอน ตัวอยางเชน เตารีดที่มีขดลวดนิโครมเปนสวนประกอบ เมื่อไดรับกระแสไฟฟาจะทําใหมี พลังงานความรอนเกิดขึ้น
http://www.aksorn.com/LC/Sci B2/M3/03
ใหนักเรียนรวมกันคิดวางแผนวิธี ยืดสปริง โดยใหปลายสปริงดานหนึ่ง ยึดอยูกับที่ แลวสังเกตตําแหนงของ ปลายสปริงดานที่เปนอิสระ
ขยายความเขาใจ ครูนํานักเรียนรวมกันอภิปรายวา งานที่เกิดขึ้นจากแรงดึงนั้นจะเพิ่ม พลังงานศักยยืดหยุน ซึ่งเมื่อพลังงาน ศักยยืดหยุนยิ่งมีคามาก วัตถุที่ติด อยูกับสปริงก็ยิ่งจะเคลื่อนที่ไปไดไกล โดยครูยกตัวอยางใหเห็นไดชัด เชน ตุกตาที่ติดอยูกับสปริง ภาพที่ 5.34 กอนหินที่ตกจากหนาผามีการเปลี่ยน แปลงพลังงานจากพลังงานศักย โนมถวงไปเปน พลังงานจลน (ที่มาของภาพ : http://www.af.mil/shared/media)
EB GUIDE
21
@
มุม IT
ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎการ อนุรักษพลังงานไดจากเว็บไซตของ ภาควิชาฟสิกส คณะวิทยาศาสตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล http://www.rumutphysics.com/ CHARUD/specialnews/5/conservation-of-energy/energy1.htm
คูมือครู
21
กระตุนความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Elaborate
กิจกรรม
ใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมพัฒนา ทักษะวิทยาศาตร 5.4
ครูอาจนําภาพกิจกรรมตางๆ ที่ นอกเหนือจากในหนังสือเรียน มา ทดสอบนักเรียนเพื่อใหเกิดความ หลากหลาย
NET ขอสอบ ป 52 ปลอยวัตถุที่มีนํ้าหนัก 10 นิวตัน จากที่สูง 2 เมตร เหนือผิวดิน เมื่อ วัตถุกระทบพื้น งานที่เกิดเนื่องจาก แรงโนมถวงมีคาเทาใด 1. 5 จูล 2. 10 จูล 3. 15 จูล 4. 20 จูล (วิเคราะหคําตอบ W = Fxs = (10 N)(2 m) = 20 N.m หรือ 20 จูล ตอบ ขอ 4.)
พั ฒ นาทั ก ษะ วิทยาศาสตร
งานที่เกิดขึ้นในชีวิตประจําวันที่เราคุนเคยโดยทั่วไป จะหมายถึงการประกอบอาชีพหรือทํากิจกรรมตางๆ เชน การคาขาย การเลนกีฬา การทําความสะอาด เปนตน แต ในทางวิทยาศาสตรงานจะมีความสัมพันธกับแรง ระยะทาง และทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ ใหนักเรียนพิจารณาแผนภาพดานลางทัั้ง 6 ภาพ แลวบอกวาภาพใดบางที่เกิดงานและภาพใดบางที่ไมเกิดงาน พรอมใหเหตุผลประกอบ จุดประสงค : เพื่อศึกษาและอธิบายการเกิดงาน
ภาพที่ 5.35 (ที่มาของภาพ : http://www.af.mil/ shared/media)
ภาพที่ 5.36 (ที่มาของภาพ : http://blog.seattle times.nwsource.com/olympics)
ภาพที่ 5.37 (ที่มาของภาพ : http://something fortheeyes.files.wordpress.com)
ภาพที่ 5.38 (ที่มาของภาพ : http://www.used cranes.net)
ภาพที่ 5.39 (ที่มาของภาพ :http://www.lodige. co.uk)
ภาพที่ 5.40 (ทีม่ าของภาพ : http://pic2.nipic.com)
22
คูมือครู
5.4
1. งาน
?
22
Evaluate
(ยอจากฉบับนักเรียน 30%)
ตรวจสอบผล
เกร็ดแนะครู
ตรวจสอบผล
1. การเกิดงานมีความสัมพันธกับแรง ระยะทาง และทิศทางการเคลื่อนที่อยางไร 2. กรณี ใดบางที่ ไมทําใหเกิดงาน ใหยกตัวอยางประกอบการอธิบาย
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ตรวจสอบผล
ขยายความเขาใจ Elaborate
Evaluate
หลักฐาน แสดงผลการเรียนรู • บันทึกผลการปฏิบัติกิจกรรม
2. พลังงาน วัตถุทุกชนิดจะมีพลังงานสะสมอยู ซึ่งพลังงานจะแบงออกเปนพลังงานศักยและพลังงานจลน โดยพลังงาน ทั้งสองนี้อาจจะอยู ในรูปของพลังงานตางๆ เชน พลังงานเคมี พลังงานไฟฟา พลังงานความรอน เปนตน พลังงาน เหลานี้จะไมมีการสูญหายหรือถูกทําลาย แตจะมีการเปลี่ยนรูปพลังงานจากรูปหนึ่งไปเปนอีกรูปหนึ่ง ใหนักเรียนพิจารณาภาพขางลางแลวบอกวาในแตละภาพมีพลังงานใดเกิดขึ้นบาง พรอมใหเหตุผลประกอบ จุดประสงค : เพื่อศึกษาและอธิบายพลังงานในรูปตางๆ
ภาพที่ 5.41 (ที่มาของภาพ : http://www.lakshya world.com)
ภาพที่ 5.42 (ที่มาของภาพ : http://naomiestment. files.wordpress.com)
พัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 5.4 • นักเรียนสามารถจําแนก กิจกรรมที่ทําใหเกิดงาน และ ไมเกิดงานได • นักเรียนสามารถอธิบายเกี่ยวกับ พลังงานได
NET ขอสอบ ป 51 ปลอยวัตถุออกจากตําแหนงที่ 1 ใหตกลงในหลุมผานตําแหนงที่ 2,3 และ 4 ตามลําดับ ดังภาพ ณ ตําแหนง ใดที่วัตถุมีพลังงานศักยสูงที่สุด
ภาพที่ 5.43 (ที่มาของภาพ : Physics Insights)
วัตถุ
1
พื้นดินปากหลุม
2
3 4
ภาพที่ 5.44 (ทีม่ าของภาพ : http://www.irishviews. com/wind-turbines.html)
?
ภาพที่ 5.45 (ที่มาของภาพ : http://images.quick blogcast.com)
ภาพที่ 5.46 (ที่มาของภาพ : http://www.kamran web.com)
1. พลังงานศักย โนมถวงและพลังงานจลนจะมีคามากหรือนอยขึ้นอยูกับสิ่งใดบาง 2. เราสามารถนํากฎการอนุรักษพลังงานไปใชประโยชน ไดอยางไรบาง
1. ตําแหนงที่ 1 2. ตําแหนงที่ 2 3. ตําแหนงที่ 3 4. ตําแหนงที่ 4 (วิเคราะหคําตอบ วัตถุที่อยูสูงจาก พืน้ ดินมากจะมีพลังงานศักยโนมถวงมากกวาวัตถุที่อยูใกล พื้นดิน และในกรณีที่วัตถุอยูใน ความสูงระดับเดียวกัน วัตถุที่มี มวลมากก็จะมีพลังงานศักยโนมถวงมากกวาวัตถุที่มีมวลนอย ตอบ ขอ 1.)
23
บูรณาการสูอาเซียน อาเซียนมีแผนปฏิบัติการความรวมมือดานพลังงานมาแลวรวม 2 ฉบับ คือ ASEAN Plan of Action for Energy Cooperation หรือ APAEC ป 2542-2552 มีวัตถุประสงคหลักในการสงเสริมความมั่นคงและความยั่งยืนในการจัดหาพลังงาน มีการใชทรัพยากรพลังงานอยาง มีประสิทธิภาพ ปจจุบันไทยเปนประธานยกราง APAEC ป 2553-2558 โดยมีวัตถุประสงคหลักเพื่อสงเสริมความมั่นคงทางพลังงานและการ พัฒนาที่ยั่งของอาเซียนทั้งนี้เพื่อสนับสนุนการเปนประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในป 2558 คูมือครู
23
กระตุนความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Elaborate
ตรวจสอบผล Evaluate
(ยอจากฉบับนักเรียน 30%)
ตรวจสอบผล
กิ จ กรรม สรางสรรคพัฒนา
ใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรม สรางสรรคพัฒนา ประจํา หนวยการเรียนรูที่ 5
ประจําหนวยการเรียนรูที่
5
1. แรงและการเคลื่อนที่
เกร็ดแนะครู ครูอาจใหนักเรียนศึกษาเรื่องแรง และการเคลื่อนที่ โดยใชสื่อจาก โครงการจัดทําเนื้อหาระบบ e-learning ของการศึกษาทางไกล ผานดาวเทียม เว็บไซต http://edltv. thai.net/index.php?mod=Cou rses&ffifiile=showcontent&cid=1 9&sid=104
มนุษยดํารงชีวิตอยู ในโลกโดยมีความเกี่ยวของกับแรงและการเคลื่อนที่ทั้งสิ้น วัตถุที่เรามองเห็นวาอยูนิ่ง ก็อยูภายใตแรงที่มากระทํากับวัตถุ คือ มีแรงโนมถวงของโลกมากระทําตอวัตถุ สวนวัตถุที่เคลื่อนที่จะมีแรงตั้งแตสอง แรงขึ้นไปมากระทํากับวัตถุ การศึกษาเรื่องราวหรือกฎเกณฑของแรงและการเคลื่อนที่ จึงเปนประโยชนอยางยิ่งเพราะ จะทําใหเราเขาใจสิ่งแวดลอมรอบตัวทั้งที่อยูนิ่งและเคลื่อนที่ และสามารถนํามาประยุกต ใช ในชีวิตประจําวันได ใหนกั เรียนพิจารณาภาพขางลางแลวบอกชือ่ แรงทัง้ หมดทีม่ ากระทําตอวัตถุในภาพ พรอมทัง้ อธิบายการเคลือ่ นที่ ของวัตถุที่เปนผลมาจากการกระทําของแรงชนิดตางๆ จุดประสงค : เพื่อศึกษาแรงที่กระทําตอวัตถุและนําความรู ไปใชประโยชน
24
24
คูมือครู
ภาพที่ 5.47 (ทีม่ าของภาพ : http://www2.aes. ac.in)
ภาพที่ 5.48 (ที่มาของภาพ : http://www. deshow.net)
ภาพที่ 5.49 (ที่มาของภาพ : http://lh5.ggpht. com)
ภาพที่ 5.50 (ที่มาของภาพ : http://ovm21. igetweb.com)
กระตุนความสนใจ Engage
อธิบายความรู Explain
สํารวจคนหา Explore
ขยายความเขาใจ Elaborate
ตรวจสอบผล Evaluate
เกร็ดแนะครู 2. งานและพลังงาน เมือ่ มีแรงมากระทําตอวัตถุ แลวทําใหวตั ถุเกิดการเคลือ่ นที่ไปตามแนวแรงทีม่ ากระทํานัน้ จะทําใหมงี านเกิดขึน้ และวัตถุทมี่ กี ารทํางานจะมีพลังงานสะสมอยู ซึง่ อาจจะสะสมอยู ในรูปของพลังงานศักยหรือพลังงานจลน โดยวัตถุทกี่ าํ ลัง เคลื่อนที่ จะมีพลังงานจลนสะสมอยู เชน ตุกตาที่ไขลานจนเต็ม จะมีพลังงานศักยสะสมอยู แตเมื่อปลอยใหตุกตาคลาย ลานที่ไขไว ตุกตาจะเคลื่อนที่ ซึ่งจะมีพลังงานจลนเกิดขึ้น จุดประสงค : เพื่อศึกษาการเกิดงานและพลังงานของวัตถุ ÇÑÊ´ØÍØ»¡Ã³
ÇÔ¸Õ¡Òû¯ÔºÑµÔ
• หลอดดาย 1 อัน • ยางวง 1 เสน ที่มี เสนผานศูนยกลาง เทาๆ กับ หรือสั้นกวา ความยาวของหลอด ดายเล็กนอย • ไมเสียบลูกชิ้น
1. นําไมเสียบลูกชิ้นมาตัดแบงเปน 2 สวน โดย ใหสวนที่หนึ่งยาวประมาณ 2 ซม.
ครูอาจใหนักเรียนศึกษาเรื่องงาน และพลังงาน โดยใชสอื่ จากโครงการ จัดทําเนื้อหาระบบ e-learning ของ การศึกษาทางไกลผานดาวเทียม เว็บไซต http://edltv.thai.net/ index.php?mod=Courses&ffiifile=sh owcontent&cid=20&sid=104
ÀÒ¾»ÃСͺ
2. นํายางวง 1 เสนคลองรัดไมเสียบลูกชิ้นสวน ที่ยาว 2 ซม. ไว พรอมกับนําปลายอีกดาน ของยางวง สอดเขาไปในรูของหลอดดาย ดันจนไปโผลอีกดานหนึ่ง แลวดึงสวนที่โผล จนทําให ไมเสียบลูกชิ้นคํ้าติดกับปลายของ หลอดดาย 3. สอดไมเสียบลูกชิ้นอีกสวนหนึ่งจากขอ 1. เขากับปลายของยางวงที่โผลมาอีกดานของ หลอดดาย 4. นําวงลอหลอดดายที่สรางเสร็จแลวนั้นมา แขงขันกัน โดยใชมอื หนึง่ จับที่ไมเสียบลูกชิน้ สวนอีกมือหนึ่งหมุนหลอดดายไปในทิศทาง เดียวกันใหมากที่สุด แลววางลงบนพื้นที่ เรียบ ซึ่งยางจะคลายเกลียวทําใหลอของ หลอดดายหมุนวิ่งไปได
ภาพที่ 5.51 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
1. การเคลื่อนที่ของวงลอหลอดดายเกี่ยวของกับการเกิดงานและพลังงานอยางไร
2. วงลอหลอดดายมีหลักการทํางานอยางไร 3. พลังงานที่เกิดขึ้นของวงลอหลอดดายขณะหยุดนิ่งและขณะเคลื่อนที่ มีพลังงานใดบาง 4. พลังงานทีเ่ กิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงพลังงาน สามารถเขียนเปนแผนภาพไดอยางไร
25
คูมือครู
25
กระตุนความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
• •
•
• •
เกร็ดแนะครู ครูควรใหนักเรียนอานสรุปทบทวน ประจําหนวยการเรียนรูที่ 5 เพื่อได ทบทวนเนื้อหาทั้งหมดที่เรียนมา
ประจําหนวยการเรียนรูที่
คูมือครู
5
ความเรง (a) เปนการเปลี่ยนแปลงความเร็วของวัตถุในหนึ่งหนวยเวลา กฎของความเรง เมื่อมีแรงลัพธที่ไมเปนศูนยมากระทําตอวัตถุ จะทําใหวัตถุเคลื่อนที่ดวยความเรงใน ทิศเดียวกับแรงลัพธ ■ แรงกิริยา เปนแรงที่มากระทําตอวัตถุ เชน แรงที่ฝามือตบลงบนโตะ ■ แรงปฏิกิริยา เปนแรงที่วัตถุตอบโตตอแรงที่มากระทํา เชน แรงที่ผิวโตะกระทําตอฝามือ ■ แรงกิริยาและแรงปฏิกิริยา (F ) จะเกิดขึ้นพรอมกันเสมอ มีขนาดเทากัน มีทิศทางตรงกันขาม และ B กระทําตอวัตถุคนละชิ้น ■ แรงพยุงของของเหลว เปนแรงที่ของเหลวพยุงวัตถุไวเมื่อวัตถุนั้นอยูในของเหลว ซึ่งมี 3 ลักษณะ คือ วัตถุลอยอยูในของเหลว วัตถุลอยปริ่มผิวของของเหลว และวัตถุจมอยูในของเหลว ■ หลักของอารคิมีดิส เมื่อหยอนวัตถุลงไปในนํ้า ปริมาตรนํ้าที่ลนออกมาจะเทากับปริมาตรของกอนวัตถุ ที่เขาไปแทนที่นํ้า ■ แรงเสียดทาน (f) เกิดขึ้นระหวางผิวสัมผัสของวัตถุ 2 ชิ้นที่สัมผัสกัน มีทิศตรงขามกับแรงที่มากระทํา ซึ่งจะมีคามากหรือนอยขึ้นอยูกับนํ้าหนักของวัตถุและลักษณะพื้นผิวสัมผัส ■ แรงเสียดทานสถิต (f ) เปนแรงเสียดทานที่เกิดขณะที่วัตถุหยุดนิ่งหรือไมมีการเคลื่อนที่ s ■ แรงเสียดทานจลน (f ) เปนแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นขณะที่วัตถุกําลังเคลื่อนที่ k ■ โมเมนตของแรง (M) เปนผลคูณระหวางขนาดของแรงกับระยะทางที่ตั้งฉากจากแนวแรงถึงจุดหมุน ■ การเคลื่อนที่ของวัตถุ แบงออกเปนการเคลื่อนที่ในแนวตรง (การเคลื่อนที่ในแนวราบและแนวดิ่ง) และ การเคลื่อนที่ในแนวโคง (การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลและแบบวงกลม) ■ งาน (W) เปนผลของแรงที่กระทําตอวัตถุ แลววัตถุเกิดการเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับแรง ซึ่งจะ ไมเกิดงานก็ตอเมื่อแรงที่มากระทํามีคาเปนศูนย หรือระยะทางมีคาเปนศูนย หรือแนวแรงตั้งฉากกับระยะทาง ■ พลังงานกล แบงออกเปนพลังงานศักยและพลังงานจลน ซึ่งพลังงานศักยจะสะสมอยูในวัตถุที่พรอมจะ ทํางาน สวนพลังงานจลนจะเกิดกับวัตถุที่กําลังเคลื่อนที่ ■ ■
26
26
Evaluate
สรุปทบทวน
• บันทึกผลการปฏิบัติกิจกรรม •
ตรวจสอบผล (ยอจากฉบับนักเรียน 30%)
หลักฐาน แสดงผลการเรียนรู พัฒนาทักษะวิทยาศาสตร นักเรียนสามารถบอกชนิด ของแรงที่กระทําตอวัตถุได ชิ้นงานที่ใชหลักการของ โมเมนต นักเรียนสามารถสังเกตและ บอกลักษณะการเคลื่อนที่ของ วัตถุได นักเรียนสามารถจําแนก กิจกรรมที่ทําใหเกิดงาน และ ไมเกิดงาน นักเรียนสามารถอธิบาย เกี่ยวกับพลังงานได บันทึกผลการปฏิบัติกิจกรรม สรางสรรคพัฒนา ประจํา หนวยการเรียนรูที่ 5
ขยายความเขาใจ Elaborate