8858649121547

Page 1

คูมือครู 㪌»ÃСͺ¡ÒÃÊ͹ËÇÁ¡Ñº

˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ©ºÑº »ÃСѹÏ

ภาพปกนี้มีขนาดเทากับหนังสือเรียนฉบับจริงของนักเรียน

กระบวนการสอนแบบ 5 Es ชวยสรางทักษะการเรียนรู กิจกรรมมุงพัฒนาทักษะการคิด คำถาม + แนวขอสอบเพื่อยกผลสัมฤทธิ์ O-NET กิจกรรมบูรณาการเตรียมพรอมสู ASEAN 2558


เอกสารประกอบคูมือครู

กลุมสาระการเรียนรู ศิลปะ

ทัศนศิลป ชั้นมัธยมศึกษาปที่

4

สําหรับครู

คูมือครู Version ใหม

ลักษณะเดน

ขยายพื้นที่รูปเลมใหญขึ้นกวาเดิม จัดแบงพื้นที่ออกเปนโซน เพื่อคนหาขอมูลไดงาย สะดวก รวดเร็ว และดูเปนระเบียบ กระตุน ความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ Expand

ตรวจสอบผล

กระตุน ความสนใจ

Evaluate

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ Expand

ตรวจสอบผล Evaluate

เปาหมายการเรียนรู สมรรถนะของผูเรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค

หน า

โซน 1 กระตุน ความสนใจ

Engage

สํารวจคนหา

Explore

อธิบายความรู

Explain

ขยายความเขาใจ

Expand

ตรวจสอบผล

หน า

หนั ง สื อ เรี ย น

โซน 1

หนั ง สื อ เรี ย น

Evaluate

ขอสอบเนน การคิด

แนว  NT  O-NE T

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

O-NET บูรณาการเชื่อมสาระ

เกร็ดแนะครู

ขอสอบ

โซน 2

โซน 3

กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย

นักเรียนควรรู

โซน 3

โซน 2 บูรณาการอาเซียน มุม IT

No.

คูมือครู

คูมือครู

No.

โซน 1 ขั้นตอนการสอนแบบ 5Es

โซน 2 ชวยครูเตรียมสอน

โซน 3 ชวยครูเตรียมนักเรียน

เพื่อใหครูเตรียมจัดกิจกรรมการเรียน การสอน โดยแนะนําขั้นตอนการสอนและ การจัดกิจกรรมแบบ 5Es อยางละเอียด เพื่อใหนักเรียนบรรลุตามตัวชี้วัด

เพื่อชวยลดภาระครูผูสอน โดยแนะนํา เกร็ดความรูสําหรับครู ความรูเสริมสําหรับ นักเรียน รวมทั้งบูรณาการความรูสูอาเซียน และมุม IT

เพื่อใหครูสะดวกตอการจัดกิจกรรม โดย แนะนํากิจกรรมบูรณาการเชือ่ มระหวางสาระหรือ กลุมสาระการเรียนรู วิชา กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย รวมถึงเนื้อหาที่เคยออกขอสอบ O-NET แนวขอสอบ NT/O-NET ทีเ่ นนการคิด พรอมเฉลยและคําอธิบายอยางละเอียด


ที่ใชในคูมือครู

แถบสีและสัญลักษณ

แถบสีแสดงขั้นตอนการสอนและการจัดกิจกรรม แบบ 5Es เพื่อใหครูทราบวาเปนขั้นการสอนขั้นใด

1. แถบสี 5Es สีแดง

สีเขียว

กระตุน ความสนใจ

เสร�ม

สํารวจคนหา

Engage

2

เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใช เทคนิคกระตุน ความสนใจ เพื่อโยง เขาสูบทเรียน

สีสม

อธิบายความรู

Explore

เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนสํารวจ ปญหา และศึกษา ขอมูล

สีฟา

Explain

เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนคนหา คําตอบ จนเกิดความรู เชิงประจักษ

สีมวง

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนนําความรู ไปคิดคนตอๆ ไป

เปนขั้นที่ผูสอน ประเมินมโนทัศน ของผูเรียน

2. สัญลักษณ สัญลักษณ

วัตถุประสงค

• เปาหมายการเรียนรู

• หลักฐานแสดง ผลการเรียนรู

• เกร็ดแนะครู

แทรกความรูเสริมสําหรับครู ขอเสนอแนะ ขอควรระวัง ขอสังเกต แนวทางการจัด กิจกรรมและอืน่ ๆ เพื่อประโยชนในการ จัดการเรียนการสอน ขยายความรูเพิ่มเติมจากเนื้อหา เพื่อให ครูนําไปใชอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียน ไดมีความรูมากขึ้น

ความรูห รือกิจกรรมเสริม ใหครูนาํ ไปใช เตรียมความพรอมใหกบั นักเรียนกอนเขาสู ประชาคมอาเซียนใน พ.ศ. 2558 โดย บูรณาการกับวิชาทีก่ าํ ลังเรียน

บูรณาการอาเซียน

คูม อื ครู

แสดงรองรอยหลักฐานตามภาระงาน ที่ครูมอบหมาย เพื่อแสดงผลการเรียนรู ตามตัวชี้วัด

• นักเรียนควรรู

มุม IT

แสดงเปาหมายการเรียนรูที่นักเรียน ตองบรรลุตามตัวชี้วัด ตลอดจนสมรรถนะ ที่จะตองมี และคุณลักษณะที่พึงเกิดขึ้น กับนักเรียน

แนะนําแหลงคนควาจากเว็บไซต เพื่อให ครูและนักเรียนไดเขาถึงขอมูลความรู ที่หลากหลาย ทั้งไทยและตางประเทศ

สัญลักษณ

ขอสอบ

วัตถุประสงค

O-NET

(เฉพาะวิชา ชัน้ ทีส่ อบ O-NET O-NET)

ขอสอบเนน การคิด

แนว  NT  O-NE O-NETT (เฉพาะระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนตน)

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET (เฉพาะระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนปลาย)

บูรณาการเชื่อมสาระ

กิจกรรมสรางเสริม

• ชีแ้ นะเนือ้ หาทีเ่ คยออกขอสอบ

O-NET โดยยกตัวอยางขอสอบ พรอมวิเคราะหคาํ ตอบ อยางละเอียด

• เปนตัวอยางขอสอบทีม่ งุ เนน

การคิดและเปนแนวขอสอบ NT/O-NET ในระดับมัธยมศึกษา ตอนตน มีทงั้ ปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลยอยางละเอียด

• เปนตัวอยางขอสอบทีม่ งุ เนน

การคิดและเปนแนวขอสอบ O-NET ในระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย มีทงั้ ปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลยอยางละเอียด

• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม

เชือ่ มกับสาระหรือกลุม สาระ การเรียนรู ระดับชัน้ หรือวิชาอืน่ ทีเ่ กีย่ วของ

• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม ซอมเสริมสําหรับนักเรียนทีค่ วร ไดรบั การพัฒนาการเรียนรู

• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม กิจกรรมทาทาย

ตอยอดสําหรับนักเรียนทีเ่ รียนรู ไดอยางรวดเร็ว และตองการ ทาทายความสามารถในระดับ ทีส่ งู ขึน้


คําแนะนําการใชคูมือครู การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอน คูมือครู รายวิชา ทัศนศิลป ม.4 จัดทําขึ้นเพื่อใหครูผูสอนนําไปใชเปนแนวทางวางแผนการสอนเพื่อพัฒนาผล สัมฤทธิ์ทางการเรียน และประกันคุณภาพผูเรียน ตามนโยบายของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดยใชหนังสือเรียน ทัศนศิลป ม.4 ของบริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด เปนสื่อหลัก (Core Material) ประกอบการ เสร�ม สอนและการจัดกิจกรรมการเรียนรูใ หสอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั กลุม สาระการเรียนรู ศิลปะ ตามหลักสูตร 3 แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 โดยออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนตามหลักการสําคัญ ดังนี้ 1 ออกแบบการสอนเปนหนวยการเรียนรูอิงมาตรฐาน คูมือครู รายวิชา ทัศนศิลป ม.4 วางแผนการสอนโดยแบงเปนหนวยการเรียนรูตามลําดับสาระ (Strand) และ หมายเลขขอของมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด แตละหนวยจะกําหนดเปาหมายการเรียนรูและจุดประสงคการเรียนรู (Objective Learning) กิจกรรมการเรียนรู (Learning Activities) และแนวทางการประเมินผลการเรียนรู (Learning Evaluation) ไวชัดเจน ครูผูสอนสามารถจัดทําแผนการสอนใหครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัด สมรรถนะ และคุณลักษณะอันพึงประสงคที่เปนเปาหมายการเรียนรูตามที่กําหนด หนดไวในสาระแกนกลาง (ตามแผนภูมิ) และสามารถ บันทึกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผูเรียนแตละคนลงในเอกสาร ปพ.5 ได ไดอยางมั่นใจ แผนภูมิแสดงความสัมพันธขององคประกอบการออกแบบการเรียนรูอิงมาตรฐานและเน มาต นผูเรียนเปนสําคัญ

พผ

ูเ

จุ ด ป ร

ะสง

คก า

ส ภา

รี ย น

รู ีเรยน

มาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัดชวงชั้น

ทักษะการคิด การวัดประเมินผล การเรียนรู

กิจกรรมการเรียนรู

เทคนิคการสอน คูม อื ครู


2 การจัดการเรียนรูที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ แนวคิ ด ในการจั ด การเรี ย นการสอนที่ ยึ ด ผู  เ รี ย นเป น สํ า คั ญ พั ฒ นามาจากปรั ช ญาและทฤษฎี ก ารเรี ย นรู  Constructivism ที่เชื่อวา การเรียนรูเปนกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในสมองของผูเรียนแตละคน ผูเรียนเปนผูสรางความรู โดยการเชื่อมโยงระหวางสิ่งที่ไดเรียนรูจากบทเรียนใหมกับความรูหรือประสบการณเดิมที่มีอยู ทฤษฎีนี้มีความเชื่อวา ผูเรียนทุกคนไดเรียนรูและมีการสั่งสมความรูความเขาใจเกี่ยวกับสิ่งตางๆ ติดตัวมากอน ทีจ่ ะเขาสูห อ งเรียน ซึง่ เปนการเรียนรูท เี่ กิดจากประสบการณและสิง่ แวดลอมรอบตัวผูเ รียนแตละคน ดังนัน้ การจัดกิจกรรม เสร�ม การเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ผูสอนจะตองคํานึงถึง

4

1. ความรูเดิมของผูเรียน วิธีการสอนที่ดีจะตองเริ่มตนจากจุดที่วา ผูเ รียนมีความรูอ ะไรมาบาง แลวจึงใหความรู หรือประสบการณใหม เพื่อตอยอดจาก ความรูเดิม นําไปสูการสรางความรู ความเขาใจใหม

2. ความรูเดิมของผูเรียนถูกตองหรือไม ผูส อนตองปรับเปลีย่ นความรูค วามเขาใจเดิม ของผูเรียนใหถูกตอง และเปนพฤติกรรม การเรียนรูใ หมทมี่ คี ณุ คาตอผูเรียน เพื่อสราง เจตคติหรือทัศนคติที่ดีตอการเรียนรู สิ่งเหลานั้น

3. ผูเรียนสรางความหมายสําหรับตนเอง ผูสอนตองสงเสริมใหผูเรียนนําความรู ความเขาใจที่เกิดขึ้นไปลงมือปฏิบัติ เพื่อขยายความรูใหลึกซึ้งและมีคุณคา ตอตัวผูเรียนมากที่สุด

แนวคิด Constructivism เนนใหผูเรียนสรางความรูโดยผานกระบวนการคิดและความอยากรูของตนเอง โดยมีผูสอนเปนผูสรางบรรยากาศ

การเรียนรูและกระตุนความสนใจ คอยจัดสถานการณใหผูเรียนเกิดความขัดแยงทางความคิดระหวางประสบการณเดิมกับประสบการณ ความรูใ หม เพือ่ กระตนุ ใหผเู รียนเชือ่ มโยงความรู ความคิด กับประสบการณทมี่ อี ยูเ ดิม แลวสังเคราะหเปนความรูห รือแนวคิดใหมๆ ไดดว ยตนเอง

3 การบูรณาการกระบวนการคิด การเรียนรูของผูเรียนแตละคนจะเกิดขึ้นที่สมอง ซึ่งเปนอวัยวะที่ทําหนาที่รูคิดภายใตสภาพแวดลอมที่เอื้ออํานวย และไดรบั การกระตนุ จูงใจอยางเหมาะสม สอดคลองกับสภาพจิตใจและความตองการของผูเ รียนแตละคน การจัดกิจกรรม การเรียนรูและสาระการเรียนรูที่สอดคลองกับความสนใจและมีความหมายตอผูเรียน จะชวยกระตุนใหสมองของผูเรียน สามารถรับรูและเรียนรูไดอยางมีประสิทธิภาพตามขั้นตอนการทํางงานของสมอง ดังนี้ 1. สมองจะเรียนรูและสืบคน โดยการสังเกต คนหา ซักถาม และทดลอง ปฏิบัติ จนทําใหคนพบความรูความเขาใจ ไดอยางรวดเร็ว

2. สมองจะแยกแยะคุณคาของสิ่งตางๆ โดยการตัดสินใจวิพากษวิจารณ แสดง ความคิดเห็น ยอมรับหรือตอตานตาม อารมณความรูสึกที่เกิดขึ้นในขณะที่เรียนรู

3. สมองจะประมวลเนื้อหาสาระ โดยการสรุปเปนความคิดรวบยอดจาก เรื่องราวที่ไดเรียนรูใหมนําไปผสมผสานกับ ความรูห รือประสบการณเดิมทีถ่ กู จัดเก็บอยูใ น สมอง ผานการกลัน่ กรองเพือ่ สังเคราะหเปน ความรูค วามเขาใจใหมๆ หรือเปนทัศนคติใหม ที่จะเก็บบรรจุไวในสมองของผูเรียน

การเรียนรูที่มีประสิทธิภาพจึงตองเปนการเรียนรูที่เกิดจากกระบวนการคิดของผูเรียน เพราะการเรียนรูจะเกิดขึ้น เมื่อสมองรูคิด และตองเปนการคิดไดครบถวนตามขั้นตอนการทํางานของสมองผูเรียน โดยเริ่มตนจาก 1. ระดับการคิดพื้นฐาน ไดแก การสังเกต การจําแนก การคาดคะเน การสื่อความหมาย การรวบรวมขอมูล การสรุปผล เปนตน

คูม อื ครู

2. ระดับลักษณะการคิด ไดแก การคิดกวาง คิดลึกซึ้ง คิดไกล คิดหลากหลาย คิดคลอง คิดอยางมีเหตุผล เปนตน

3. ระดับกระบวนการคิด ไดแก กระบวนการคิดอยางมีวิจารณญาณ กระบวนการแกปญหา กระบวนการ คิดสรางสรรค กระบวนการคิดสังเคราะห เปนตน


5Es การจัดกิจกรรมตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ขั้นตอนการสอนที่สัมพันธกับขั้นตอนการคิดและการทํางานทางสมองของผูเรียนที่นิยมใชอยางแพรหลาย คือ วัฏจักรการเรียนรู 5Es ซึ่งผูจัดทําคูมือครูไดนํามาใชเปนแนวทางออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในแตละหนวย ตามลําดับขั้นตอนการเรียนรู ดังนี้ ขั้นที่ 1

กระตุนความสนใจ

(Engage)

เสร�ม

5

เปนขั้นที่ผูสอนนําเขาสูบทเรียน เพื่อกระตุนความสนใจของผูเรียนดวยเรื่องราวหรือเหตุการณที่นาสนใจโดยใชเทคนิควิธีการ และคําถามทบทวนความรูหรือประสบการณเดิมของผูเรียน เพื่อเชื่อมโยงผูเรียนเขาสูความรูของบทเรียนใหม ชวยใหผูเรียนสามารถ สรุปความสําคัญหัวขอและสาระการเรียนรูของบทเรียนได จึงเปนขั้นตอนการสอนที่สําคัญ เพราะเปนการเตรียมความพรอมและสราง แรงจูงใจใฝเรียนรูแกผูเรียน

ขั้นที่ 2

สํารวจคนหา

(Explore)

เปนขัน้ ทีผ่ สู อนเปดโอกาสใหผเู รียนลงมือศึกษา สังเกต หรือรวมมือกันสํารวจ เพือ่ ใหเห็นขอบขายของประเด็นหรือปญหา รวมถึง วิธีการศึกษาคนควา การรวบรวมขอมูลความรูที่จะนําไปสูการสรางความเขาใจประเด็นหรือปญหานั้นๆ เมื่อผูเรียนทําความเขาใจใน ประเด็นหรือปญหาที่จะศึกษาคนควาอยางถองแทแลว ก็ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมขอมูลความรู สํารวจตรวจสอบ โดยวิธีการตางๆ เชน สัมภาษณ ทดลอง อานคนควาขอมูลจากเอกสาร แหลงขอมูลตางๆ จนไดขอมูลความรูที่เกี่ยวของกับประเด็นหรือปญหาที่ศึกษา

ขั้นที่ 3

อธิบายความรู

(Explain)

เปนขั้นที่ผูสอนมีปฏิสัมพันธกับผูเรียน เชน ใหการแนะนํา ตั้งคําถามกระตุนใหคิด เพื่อใหผูเรียนคนหาคําตอบ และนําขอมูล ความรูจากการศึกษาคนควาในขั้นที่ 2 มาวิเคราะห สรุปผล และนําเสนอผลที่ไดศึกษาคนความาในรูปแบบสารสนเทศตางๆ เชน เขียนแผนภูมิ ผังมโนทัศน เขียนความเรียง เขียนรายงาน เปนตน ในขั้นตอนนี้ฝกใหผูเรียนใชสมองคิดวิเคราะหและสังเคราะห อยางเปนระบบ

ขั้นที่ 4

ขยายความเขาใจ

(Expand)

เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใชเทคนิควิธีสอนตางๆ ที่สงเสริมใหผูเรียนนําความรูที่เกิดขึ้นไปคิดคนสืบคนตอๆ ไป เพื่อพัฒนาทักษะ การเรียนรูและการทํางานรวมกันเปนกลุม ระดมสมองเพื่อคิดสรางสรรครวมกัน ผูเรียนสามารถนําความรูที่สรางขึ้นใหมไปเชื่อมโยง กับประสบการณเดิมโดยนําขอสรุปทีไ่ ดไปใชอธิบายเหตุการณตา งๆ หรือนําไปปฏิบตั ใิ นสถานการณใหมๆ ทีเ่ กีย่ วของกับชีวติ ประจําวัน ของตนเอง เพื่อขยายความรูความเขาใจใหกวางขวางยิ่งขึ้น ในขั้นตอนนี้ฝกสมองของผูเรียนใหสามารถคิดริเริ่มสรางสรรคอยางมี คุณภาพ เสริมสรางวิสัยทัศนใหกวางไกลออกไป

ขั้นที่ 5

ตรวจสอบผล

(Evaluate)

เปนขัน้ ทีผ่ สู อนประเมินมโนทัศนของผูเ รียน โดยตรวจสอบจากความคิดทีเ่ ปลีย่ นไปและความคิดรวบยอดทีเ่ กิดขึน้ ใหม ตรวจสอบ ทักษะ กระบวนการปฏิบัติ การแกปญหา การตอบคําถามรวบยอด หรือการเคารพความคิดหรือยอมรับเหตุผลของคนอื่น เพื่อการ สรางสรรคความรูร ว มกัน ผูเ รียนสามารถประเมินผลการเรียนรูข องตนเอง เพือ่ สรุปผลวามีความรูอ ะไรเพิม่ ขึน้ มาบาง เกิดความเขาใจ มากนอยเพียงใด และจะนําความรูเหลานั้นไปประยุกตใชในการเรียนรูเรื่องอื่นๆ หรือในชีวิตประจําวันไดอยางไร ผูเรียนจะเกิดเจตคติ และเห็นคุณคาของตนเองจากผลการเรียนรูที่เกิดขึ้น ซึ่งเปนการเรียนรูที่มีความสุขอยางแทจริง

การจัดกิจกรรมการเรียนรูตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es จึงเปนรูปแบบการเรียนการสอนที่เนนผูเรียน เปนสําคัญอยางแทจริง เพราะสงเสริมใหผูเรียนไดเรียนรูตามขั้นตอนของกระบวนการสรางความรูดวยตนเอง และ ฝกฝนใหใชกระบวนการคิดและกระบวนการกลุมอยางชํานาญ กอใหเกิดทักษะชีวิต ทักษะการทํางาน และทักษะการ เรียนรูที่มีประสิทธิภาพ สงผลตอการยกระดับผลสัมฤทธิ์ของผูเรียน ตามเปาหมายของการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) ทุกประการ คูม อื ครู


O-NET การเพิ่มผลสัมฤทธิ์ O-NET

การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ในแตละหนวยการเรียนรู ทางผูจัดทํา จะเสนอแนะวิธีสอน รูปแบบกิจกรรมการเรียนรู พรอมทั้งออกแบบเครื่องมือวัดและประเมินผลที่สอดคลองกับตัวชี้วัด และสาระการเรียนรูแกนกลางไวทุกขั้นตอน โดยยึดหลักสําคัญ คือ หลักของการวัดและประเมินผล เสร�ม

6

1. การวัดและประเมินผลทุกครั้ง ควรนําผลมาปรับปรุงพัฒนาผูเรียน เปนรายบุคคล

2. การวัดและประเมินผลมี เปาหมาย เพื่อพัฒนาการเรียนรู ของผูเรียนจนเต็มศักยภาพ

3. การนําผลการวัดและประเมินผล ทุกครั้งมาวางแผนปรับปรุงกิจกรรม การเรียนการสอน การเลือกเทคนิค วิธีสอน และสื่อการเรียนรูให เหมาะสมกับสภาพจริงของผูเรียน

การทดสอบผูเรียน 1. การใชขอสอบอัตนัย เนนการอาน การคิดวิเคราะห และการเขียนเพิ่มมากขึ้น 2. การใชคําถามกระตุนการคิดควบคูกับการทําขอสอบที่เนนการคิดอยางตอเนื่องตามลําดับกิจกรรมการเรียนรู และตัวชี้วัด 3. การทดสอบตองดําเนินการทั้งกอนเรียน ระหวางเรียน และหลังเรียน การทดสอบควรใชขอสอบทั้งชนิดปรนัยและ อัตนัย และเปนการทดสอบเพื่อประเมินผลการเรียนของผูเรียนแตละคน เพื่อการสอนซอมเสริมใหบรรลุตัวชี้วัด ไดครบถวน 4. การสอบกลางภาค (ถามี) ควรนําแบบฝกหัดหรือขอสอบทีน่ กั เรียนสวนใหญไมสามารถตอบไดหรือไมครบถวนชัดเจน มา สรางเปนแบบทดสอบอีกครัง้ เพือ่ ตรวจสอบความรูค วามเขาใจทีถ่ กู ตอง และประเมินความกาวหนาของผูเ รียนแตละคน 5. การสอบปลายภาคเรียนเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามตัวชี้วัดที่สําคัญ ควรออกขอสอบใหมีลักษณะเดียวกับ ขอสอบ O-NET โดยเนนการคิดวิเคราะห สังเคราะห เชื่อมโยงประยุกตใช เพื่อสรางความคุนเคย และฝกฝน วิธีการทําขอสอบดวยความมั่นใจ 6. การนําผลการทดสอบของผูเรียนมาวิเคราะห โดยผลการสอบกอนการเรียนตองสามารถพยากรณผลการสอบ กลางภาค และผลการสอบกลางภาคตองทํานายผลการสอบปลายภาคของผูเ รียนแตละคน เพือ่ ประเมินพัฒนาการ ความกาวหนาของผูเรียนเปนรายบุคคล 7. ผลการทดสอบปลายป ปลายภาค ตองมีคาเฉลี่ยสอดคลองกับคาเฉลี่ยของการสอบ NT ที่เขตพื้นที่การศึกษา จัดสอบ รวมทั้งคาเฉลี่ยของการสอบ O-NET ชวงชั้นที่สอดคลองครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดสําคัญ เพือ่ สะทอนประสิทธิภาพของครูผสู อนในการออกแบบการเรียนรูแ ละประกันคุณภาพผูเ รียนทีต่ รวจสอบผลไดชดั เจน การจัดการเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ตองใหผูเรียนไดสั่งสมความรู ความเขาใจตามลําดับขั้นตอน ของกิจกรรมในวัฏจักรการเรียนรู 5Es เพื่อใหผูเรียนไดเติมเต็มองคความรูอยางตอเนื่อง จนสามารถปฏิบัติชิ้นงานหรือ ภาระงานรวบยอดของแตละหนวย ผานเกณฑประกันคุณภาพในระดับที่นาพึงพอใจ เพื่อรองรับการประเมินภายนอกจาก สมศ. ตลอดเวลา คูม อื ครู


ASEAN การเรียนรูสูประชาคมอาเซียน เพื่ออํานวยความสะดวกแกครูผูสอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรูบูรณาการอาเซียนศึกษา ผูจัดทําไดวิเคราะห มาตรฐานการเรียนรู และตัวชี้วัดที่มีสาระการเรียนรูสอดคลองกับองคความรูเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนในแงมุมตางๆ ครอบคลุมทัง้ ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรม อาเซียน เพื่อสงเสริมการเรียนรูใหผูเรียนเกิดความตระหนัก มีความรูความเขาใจเหมาะสมกับระดับชั้นและกลุมสาระ การเรียนรู โดยเสนอแนะวิธีการจัดกิจกรรมบูรณาการเนื้อหาสาระตางๆ ที่เปนประโยชนตอผูเรียนและเปนการชวย เตรียมความพรอมผูเ รียนทุกคนทีจ่ ะกาวเขาสูก ารเปนสมาชิกของประชาคมอาเซียนไดอยางมัน่ ใจตามขอตกลงปฏิญญา เสร�ม ชะอํา-หัวหิน วาดวยความรวมมือดานการศึกษาเพือ่ บรรลุเปาหมายประชาคมอาเซียนทีเ่ อือ้ อาทรและแบงปน จึงกําหนด 7 เปนนโยบายใหกระทรวงศึกษาธิการจัดการเรียนรูเตรียมความพรอมผูเรียนเขาสูประชาคมอาเซียนภายในป พ.ศ. 2558 ตามแนวปฏิบัติที่สําคัญ ดังนี้

การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน 1. การสรางความรูความเขาใจ และตระหนักถึงความสําคัญของ กฎบัตรอาเซียน และความรวมมือ ของ 3 เสาหลัก ซึง่ กฎบัตรอาเซียน ในขณะนี้มีสถานะเปนกฎหมายที่ ประเทศสมาชิกจะตองปฏิบัติตาม หลักการที่กําหนดไวเพื่อใหบรรลุ เปาหมายของกฎบัตรมาตราตางๆ

2. การสงเสริมหลักการ ประชาธิปไตยและการสราง สิ่งแวดลอมประชาธิปไตย เพื่อการอยูรวมกันอยางกลมกลืน ภายใตวิถีชีวิตอาเซียนที่มีความ หลากหลายดานสังคมและ วัฒนธรรม

4. การตระหนักในคุณคาของ สายสัมพันธทางประวัติศาสตร และมรดกทางวัฒนธรรมที่มี พัฒนาการรวมกัน เพื่อเชื่อม อัตลักษณและสรางจิตสํานึก ในการเปนประชากรของประชาคม อาเซียนรวมกัน

3. การสงเสริมการศึกษาดาน สิทธิมนุษยชน เพื่อสรางประชาคม อาเซียนใหเปนประชาคมเพื่อ ประชาชนอยางแทจริง สามารถ อยูรวมกันไดบนพื้นฐานการเคารพ ในคุณคาของศักดิ์ศรีแหงความ เปนมนุษยเทาเทียมกัน

5. การสงเสริมสันติภาพ ความ มั่นคง และความปรองดองในสังคม ทั้งระดับประเทศและภูมิภาคของ อาเซียนบนพื้นฐานสันติวิธีและการ อยูรวมกันดวยขันติธรรม

คูม อื ครู


การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

เสร�ม

8

1. การพัฒนาทักษะการทํางาน เพื่อเสริมสรางผูเรียนใหมีทักษะ วิชาชีพที่จําเปนสอดคลองกับ ความตองการของตลาดแรงงาน และสถานประกอบการในอาเซียน สามารถเทียบโอนผลการเรียน และการทํางานตามมาตรฐานฝมือ แรงงานในภูมิภาคอาเซียน

2. การเสริมสรางวินัย ความรับผิดชอบ และเจตคติรักการทํางาน สามารถพึ่งพาตนเอง มีทักษะชีวิต ดํารงชีวิตอยางมีความสุข เห็นคุณคา และภูมิใจในตนเอง ในฐานะที่เปนพลเมืองไทยและ อาเซียน

3. การเรียนรูเพื่อพัฒนาตนเอง อยางตอเนื่องตลอดชีวิต ใหมี ทักษะการทํางานตามมาตรฐาน อาชีพ และคุณวุฒิของวิชาชีพสาขา ตางๆ เพื่อรองรับการเตรียมเคลื่อน ยายแรงงานมีฝมือและการเปน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่ เขมแข็ง เพื่อสรางขีดความสามารถ ในการแขงขันในเวทีโลก

การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน 1. การเสริมสรางความรวมมือ ในลักษณะสังคมที่เอื้ออาทร ของประชากรอาเซียน โดยยึด หลักการสําคัญ คือ ความงดงาม ของประชาคมอาเซียนมาจาก ความแตกตางและหลากหลายทาง วัฒนธรรมที่ลวนแตมีคุณคาตอ มรดกทางวัฒนธรรมของอาเซียน ซึ่งประชาชนทุกคนตองอนุรักษ สืบสานใหยั่งยืน

2. การเสริมสรางคุณลักษณะ ของผูเรียนใหเปนพลเมืองอาเซียน ที่มีศักยภาพในการกาวเขาสู ประชาคมอาเซียนอยางมั่นใจ เปนผูที่มีสุขภาพสมบูรณแข็งแรง มีทักษะการสื่อสาร ทักษะการ ทํางาน ทักษะทางสังคม สามารถ ทํางานรวมกับผูอื่นไดอยาง สรางสรรค และมีองคความรู เกี่ยวกับอาเซียนที่จําเปนตอการ ดํารงชีวิตอยางมีคุณภาพ

4. การสงเสริมการเรียนรูดาน ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถชี วี ติ ความเปนอยูข องเพือ่ นบาน ในอาเซียน เพื่อสรางจิตสํานึกของ ความเปนประชาคมอาเซียนและ ตระหนักถึงหนาที่ของการเปน พลเมืองอาเซียนรวมกัน

3. การสงเสริมการเรียนรูภาษา อังกฤษเพื่อการสื่อสารและการ ทํางานตามมาตรฐานอาชีพที่ กําหนดและสนับสนุนการเรียนรู ภาษาอาเซียนและภาษาเพื่อนบาน เพื่อชวยเสริมสรางสัมพันธภาพทาง สังคม และการอยูรวมกันอยางสันติ ทามกลางความหลากหลายทาง วัฒนธรรม

5. การสรางความรูและความ ตระหนักเกี่ยวกับดานสิ่งแวดลอม ปญหาและผลกระทบตอคุณภาพ ชีวิตของประชากรในภูมิภาค รวมทั้งแนวทางการพัฒนาอยาง ยั่งยืน ใหเปนมรดกสืบทอดแก พลเมืองอาเซียนในรุนหลังตอๆ ไป

กระทรวงศึกษาธิการจึงประกาศนโยบายการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) เพื่อเรงพัฒนาเด็ก และเยาวชนไทยใหเปนทรัพยากรมนุษยของชาติที่มีทักษะและความชํานาญ พรอมเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและ การแขงขันทั้งในภูมิภาคอาเซียนและภูมิภาคอื่นๆ ของสังคมโลก ทั้งนี้ผูบริหารสถานศึกษา ครูผูสอน และผูปกครอง ควรรวมมือกันอยางใกลชิดในการดูแลชวยเหลือผูเรียนและจัดประสบการณการเรียนรูเพื่อพัฒนาผูเรียนจนเต็มศักยภาพ เพื่อกาวเขาสูการเปนพลเมืองอาเซียนอยางมีเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีความเปนมนุษยของตน คณะผูจัดทํา คูม อื ครู


ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง สาระที่ 1

ทัศนศิลป (เฉพาะชั้น ม.4-6)*

ทัศนศิลป

มาตรฐาน ศ 1.1 สรางสรรคงานทัศนศิลปตามจินตนาการและความคิดสรางสรรค วิเคราะห วิพากษ วิจารณคุณคางาน ทัศนศิลป ถายทอดความรูสึก ความคิดตองานศิลปะอยางอิสระ ชื่นชมและประยุกตใชในชีวิตประจําวัน ตัวชี้วัด

สาระการเรียนรูแกนกลาง

1. วิเคราะหการใช • ทัศนธาตุและหลักการ ทัศนธาตุและหลักการ ออกแบบ ออกแบบในการสื่อ ความหมายในรูปแบบ ตางๆ 2. บรรยายจุดประสงค • ศัพททางทัศนศิลป และเนื้อหาของงาน ทัศนศิลป โดยใชศัพท ทางทัศนศิลป 3. วิเคราะหการเลือกใช • วัสดุ อุปกรณ และเทคนิค วัสดุ อุปกรณ และ ของศิลปนในการแสดงออก เทคนิคของศิลปนใน ทางทัศนศิลป การแสดงออกทาง ทัศนศิลป 4.

5.

6. 7.

ชั้น ม.4

หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน ชั้น ม.5

• หนวยการเรียนรูที่ 1 ทัศนธาตุและหลักการ ออกแบบ • หนวยการเรียนรูที่ 2 รูปแบบงานทัศนศิลป ตะวันออก • หนวยการเรียนรูที่ 1 • หนวยการเรียนรูที่ 1 ทัศนธาตุและหลักการ การบรรยายเกี่ยวกับ ออกแบบ ผลงานทางทัศนศิลป

• หนวยการเรียนรูที่ 2 รูปแบบงานทัศนศิลป ตะวันออก • หนวยการเรียนรูที่ 3 การแสดงออกทาง ทัศนศิลปของศิลปน มีทักษะและเทคนิคใน • เทคนิค วัสดุ อุปกรณ • หนวยการเรียนรูที่ 3 การใชวัสดุ อุปกรณ กระบวนการในการสรางงาน การแสดงออกทาง และกระบวนการที่สูง ทัศนศิลป ทัศนศิลปของศิลปน ขึ้นในการสรางงาน • หนวยการเรียนรูที่ 4 ทัศนศิลป การสรางสรรคงาน ทัศนศิลป สรางสรรคงานทัศน- • หลักการออกแบบและการ • หนวยการเรียนรูที่ 4 ศิลปดวยเทคโนโลยี จัดองคประกอบศิลปดวย การสรางสรรคงาน ตางๆ โดยเนนหลัก เทคโนโลยี ทัศนศิลป การออกแบบและการ จัดองคประกอบศิลป ออกแบบงานทัศน- • การออกแบบงานทัศนศิลป • หนวยการเรียนรูที่ 4 ศิลปไดเหมาะกับ การสรางสรรคงาน โอกาสและสถานที่ ทัศนศิลป วิเคราะหและอธิบาย • จุดมุงหมายของศิลปนในการ • หนวยการเรียนรูที่ 3 จุดมุงหมายของ เลือกใชวัสดุ อุปกรณ เทคนิค การแสดงออกทาง ศิลปนในการเลือกใช และเนื้อหาในการสรางงาน ทัศนศิลปของศิลปน วัสดุ อุปกรณ เทคนิค ทัศนศิลป และเนื้อหา เพื่อ สรางสรรคงาน ทัศนศิลป

• หนวยการเรียนรูที่ 3 การแสดงออกทาง ทัศนศิลปของศิลปน

ชั้น ม.6 -

เสร�ม

9

• หนวยการเรียนรูที่ 1 การบรรยาย ผลงานทัศนศิลป • หนวยการเรียนรูที่ 3 การแสดงออกทาง ทัศนศิลปของศิลปน

• หนวยการเรียนรูที่ 3 • หนวยการเรียนรูที่ 4 การแสดงออกทาง การสรางสรรคผลงาน ทัศนศิลปของศิลปน ทัศนศิลป • หนวยการเรียนรูที่ 4 การสรางสรรคผลงาน ทัศนศิลป • หนวยการเรียนรูที่ 5 การออกแบบงาน ทัศนศิลป • หนวยการเรียนรูที่ 5 การออกแบบงาน ทัศนศิลป • หนวยการเรียนรูที่ 3 การแสดงออกทาง ทัศนศิลปของศิลปน

• หนวยการเรียนรูที่ 3 การแสดงออกทาง ทัศนศิลปของศิลปน

_________________________________ * สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง กลุมสาระการเรียนรูศิลปะ. (กรุงเทพมหานคร : ชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย, 2551), หนา 22-36.

คูม อื ครู


ตัวชี้วัด 8. ประเมินและวิจารณงาน ทัศนศิลปโดยใชทฤษฎี การวิจารณศิลปะ 9. จัดกลุมงาน ทัศนศิลปเพื่อสะทอน พัฒนาการและความ กาวหนาของตนเอง 10. สรางสรรคงาน ทัศนศิลปไทย สากล โดยศึกษาจากแนวคิด และวิธีการสรางงาน ของศิลปนที่ตน ชื่นชอบ 11. วาดภาพระบายสีเปน ภาพลอเลียน หรือ ภาพการตูนเพื่อแสดง ความคิดเห็นเกี่ยว กับสภาพสังคมใน ปจจุบัน

เสร�ม

10

สาระการเรียนรูแกนกลาง • ทฤษฎีการวิจารณศิลปะ • การจัดทําแฟมสะสมงาน ทัศนศิลป

ชั้น ม.4

หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน ชั้น ม.5

• หนวยการเรียนรูที่ 5 ศิลปวิจารณ -

• การสรางงานทัศนศิลปจาก • หนวยการเรียนรูที่ 3 แนวความคิดและวิธีการของ การแสดงออกทาง ศิลปน ทัศนศิลปของศิลปน

• การวาดภาพลอเลียนหรือ ภาพการตูน

• หนวยการเรียนรูที่ 4 การสรางสรรคงาน ทัศนศิลป

-

ชั้น ม.6 -

• หนวยการเรียนรูที่ 6 แฟมสะสมผลงาน ทัศนศิลป

-

• หนวยการเรียนรูที่ 3 การแสดงออกทาง ทัศนศิลปของศิลปน

-

-

-

มาตรฐาน ศ 1.2 เขาใจความสัมพันธระหวางทัศนศิลป ประวัติศาสตร และวัฒนธรรม เห็นคุณคางานทัศนศิลป ที่เปนมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปญญาทองถิ่น ภูมิปญญาไทยและสากล ตัวชี้วัด

สาระการเรียนรูแกนกลาง

ชั้น ม.4

หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน ชั้น ม.5

ชั้น ม.6

-

-

1. วิเคราะหและ • งานทัศนศิลปรูปแบบ เปรียบเทียบงาน ตะวันออกและตะวันตก ทัศนศิลปในรูปแบบ ตะวันออก และรูปแบบตะวันตก 2. ระบุงานทัศนศิลปของ • งานทัศนศิลปของศิลปนที่มี • หนวยการเรียนรูที่ 3 ศิลปนที่มีชื่อเสียง ชื่อเสียง การแสดงออกทาง และบรรยาย ทัศนศิลปของศิลปน ผลตอบรับของสังคม 3. อภิปรายเกี่ยวกับ • อิทธิพลของวัฒนธรรม อิทธิพลของ ระหวางประเทศที่มีผลตองาน วัฒนธรรมระหวาง ทัศนศิลป ประเทศที่มีผลตอ งานทัศนศิลป ในสังคม

คูม อื ครู

• หนวยการเรียนรูที่ 2 รูปแบบงานทัศนศิลป ตะวันตก

• หนวยการเรียนรูที่ 2 รูปแบบงานทัศนศิลป ตะวันตก

• หนวยการเรียนรูที่ 2 งานทัศนศิลปและ อิทธิพลจากวัฒนธรรม

• หนวยการเรียนรูที่ 2 งานทัศนศิลปและ อิทธิพลจากวัฒนธรรม


คําอธิบายรายวิชา รายวิชา ทัศนศิลป ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 รหัสวิชา ศ…………………………………

กลุมสาระการเรียนรู ศิลปะ ภาคเรียนที่………… เวลา 40 ชั่วโมง/ป

ศึกษา วิเคราะห อธิบาย เกี่ยวกับการใชทัศนธาตุและหลักการออกแบบในการสื่อความหมายในรูปแบบตางๆ จุดประสงคและเนื้อหาของงานทัศนศิลป โดยใชศัพททางทัศนศิลป เสร�ม วิเคราะหและเปรียบเทียบงานทัศนศิลปในรูปแบบตะวันออก โดยใชกระบวนการอภิปรายเพื่อสรุปความรูเกี่ยวกับ 11 อิทธิพลของวัฒนธรรมระหวางประเทศที่มีผลงานตอทัศนศิลปในสังคม วิเคราะหการเลือกใชวัสดุ อุปกรณ และเทคนิคของศิลปนไทย สากล โดยศึกษาจากแนวคิดและวิธีการสรางงานของ ศิลปนที่ตนชื่นชอบ และสามารถระบุงานทัศนศิลปของศิลปนที่มีชื่อเสียงและบรรยายผลตอบรับของสังคม มีทกั ษะและเทคนิคในการใชวสั ดุ อุปกรณ และกระบวนการทีส่ งู ขึน้ ในการสรางงานทัศนศิลป ออกแบบงานทัศนศิลป ไดเหมาะสมกับโอกาสและสถานที่ ปฏิบัติการวาดภาพระบายสีเปนภาพลอเลียนหรือภาพการตูน โดยใชกระบวนการเรียนรู แบบบูรณาการ เพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพสังคมในปจจุบัน ประเมินและวิจารณงานทัศนศิลป โดยใชทฤษฎีการวิจารณศิลปะ และจัดกลุมงานทัศนศิลปเพื่อสะทอนพัฒนาการ และความกาวหนาของตนเอง เพื่อใหเห็นคุณคาและสามารถสรางงานทัศนศิลปอยางสรางสรรค วิเคราะห วิพากษ วิจารณ คุณคางานทัศนศิลป อยางชื่นชม และนํามาประยุกตใชใหเกิดประโยชนในชีวิตประจําวัน ตัวชี้วัด ศ 1.1

ม.4-6/1 ม.4-6/2 ม.4-6/3 ม.4-6/4 ม.4-6/5 ม.4-6/6 ม.4-6/7 ม.4-6/8 ม.4-6/10 ม.4-6/11

ศ 1.2

ม.4-6/1 ม.4-6/2 ม.4-6/3

รวม 13 ตัวชี้วัด

คูม อื ครู


ตาราง

วิเคราะหมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั รายวิชา ทัศนศิลป ม.4

คําชี้แจง : ใหผูสอนใชตารางนี้ตรวจสอบความสอดคลองของเนื้อหาสาระการเรียนรูในหนวยการเรียนรูกับมาตรฐาน การเรียนรูและตัวชี้วัดชวงชั้น เสร�ม

12

มาตรฐานการเรียนรู และตัวชี้วัด

สาระที่ 1

หนวยการเรียนรู

1

2

หนวยการเรียนรูที่ 1 : ทัศนธาตุและหลักการออกแบบ

3

4

มาตรฐาน ศ 1.1

มาตรฐาน ศ 1.2

ตัวชี้วัด

ตัวชี้วัด

5

6

7

8

9

10

11

หนวยการเรียนรูที่ 2 : รูปแบบงานทัศนศิลปตะวันออก

หนวยการเรียนรูที่ 3 : การแสดงออกทางทัศนศิลป ของศิลปน

หนวยการเรียนรูที่ 4 : การสรางสรรคงานทัศนศิลป

หนวยการเรียนรูที่ 5 : ศิลปวิจารณ

2

3

หมายเหตุ ✓ เฉพาะที่สอดคลองกับตัวชี้วัด ม.4 เทานั้น ตัวชี้วัดที่เหลือจะจัดการเรียนการสอนในชั้น ม.5 และ ม.6

คูม อื ครู

1


กระตุน ความสนใจ Engage

สํารวจคนหา Explore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ Expand

ตรวจสอบผล Evaluate

˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÃÒÂÇÔªÒ¾×é¹°Ò¹

ทัศนศิลป ม.๔ ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔

กลุมสาระการเรียนรูศิลปะ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ผูเรียบเรียง

ศ. สุชาติ เถาทอง นายสังคม ทองมี นายธํารงศักดิ์ ธํารงเลิศฤทธิ์

ผูตรวจ

รศ. จารุพรรณ ทรัพยปรุง นางสาววัชรินทร ฐิติอดิศัย นายชัยยศ วนิชวัฒนานุวัติ

บรรณาธิการ

ศ. ปรีชา เถาทอง นายสมเกียรติ ภูระหงษ

รหัสสินคา ๓๔๑๕๐๐๔

¤Œ¹¤ÇÒÁÃÙŒ¢ÂÒ¤ÇÒÁ¤Ô´¨Ò¡

¾ÔÁ¾ ¤ÃÑ駷Õè 1 ÃËÑÊÊÔ¹¤ŒÒ 3445007

EB GUIDE

ที่พิมพกํากับหัวขอสําคัญในหนังสือเรียนหลักสูตรแกนกลางฯ ผาน www.aksorn.com ไปยังแหลงความรูทั่วไทย-ทั่วโลก

คณะผูจัดทําคูมือครู

พัญญนี กรานแกว อรณิช เกียรติอุบลไพบูลย


กระตุน ความสนใจ Engage

สํารวจคนหา Explore

หนังสือเรียน

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ Expand

ตรวจสอบผล Evaluate

รายวิชาพื้นฐาน

ทัศนศิลป ม.๔ ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔

กลุมสาระการเรียนรูศิลปะ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

คํา

เตือ น

ศ. สุชาติ เถาทอง นายสังคม ทองมี นายธํารงศักดิ์ ธํารงเลิศฤทธิ์ หนังสือเลมนี้ไดรับการคุมครองตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ หามมิใหผูใด ทําซํ้า คัดลอก เลียนแบบ ทําสําเนา จําลองงานจากตนฉบับหรือแปลงเปนรูปแบบอื่น ในวิธีตางๆ ทุกวิธี ไมวาทั้งหมดหรือบางสวน โดยมิไดรับอนุญาตจากเจาของลิขสิทธิ์ถือเปนการละเมิด ผูกระทําจะตองรับผิดทั้งทางแพงและทางอาญา

พิมพครั้งที่ ๙

สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ


กระตุน ความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

อธิบายความรู

Explore

ขยายความเขาใจ

Explain

Expand

ตรวจสอบผล Evaluate

¤íÒá¹Ð¹íÒ㹡ÒÃ㪌˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ทัศนศิลปเลมนี้ สรางขึ้นเพื่อใหเปนสื่อสําหรับใชประกอบการเรียน การสอนในรายวิชาพืน้ ฐาน กลุม สาระการเรียนรูศ ลิ ปะ ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ ๔ โดยเนือ้ หาตรงตามสาระการเรียนรูแ กนกลางขัน้ พืน้ ฐาน อานทําความเขาใจงาย ใหทงั้ ความรูแ ละชวย พัฒนาผูเ รียนตามหลักสูตรและตัวชีว้ ดั เนือ้ หาสาระแบงออกเปนหนวยการเรียนรูต ามโครงสรางรายวิชา สะดวก แกการจัดการเรียนการสอนและการวัดผลประเมินผล พรอมเสริมองคประกอบอืน่ ๆ ทีจ่ ะชวยทําใหผเู รียนไดรบั ความรูอ ยางมีประสิทธิภาพ à¹×éÍËҵçµÒÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹Ãٌ᡹¡ÅÒ§ µÑǪÕÇé ´Ñ áÅÐÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙጠ¡¹¡ÅÒ§ µÒÁ·ÕËè ÅÑ¡Êٵà ¨Ñ´¡ÅØ‹Áà¹×éÍËÒ໚¹Ë¹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ ¡íÒ˹´ à¾×èÍãËŒ·ÃÒº¶Ö§à»‡ÒËÁÒÂ㹡ÒÃÈÖ¡ÉÒ Êдǡᡋ¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹

ñ ·Ñȹ¸ÒµØáÅÐËÅÑ¡¡Ò หนว

การเรียนรูทย ี่

ÃÍ͡Ẻ ตัวชี้วัด ศ ๑.๑ ม.๔■

๖/๑, ๒ วิเคราะหการใชท ในการสื่อความ ัศนธาตุและหลักการอ อกแบบ บรรยายจุดประสหมายในรูปแบบตางๆ งานทัศนศิล งคและเนื้อหาของ ปโดยใชศัพท ทางทัศนศิล ป

สาระการเรียนรู ■ ■

แกนกลาง

ทัศนธาตุและหล ศัพททางทัศ ักการออกแบบ นศิลป

ทศน ศั นธธาต าตุ (Visual

Ele ทัศนศลิ ปจ ะมคี วามงาม ment) คือ สวนประก อบตางๆ ที่ม ทางศลิ ปะได ดวยหลักการ ีอยู ยอ มขนึ้ อยกู จัดองคป บั การจัดวาง ในงานทัศนศิลป การที องคประกอบ ระกอบศิลป ่งาน ทัศนธาตใุ นภ ศิ ลปเปน าพหรอื ในผ ใหมคี วามสั ลงาน มพันธกลม การจัดรูปราง รูปทรง กลนื กันหร เสน สี แสง เปนเอกภาพส อ ื ขั เงา ลักษณ ดแยง กันในจ วยงาม อัน ะพื้นผิว แล ด ุ ที เป เ ่ หม น ที าะส ่มาของสุนทร ะท นอกจากนนั้ องคประกอบ ียภาพหรือคว มอยางลงตวั จนเกิดสม ี่วาง ความคิดขอ ศิลปยงั เปน ดุลและ ามงาม งตนไปสูบ คุ เครอื่ งมอื สํ คลอืน่ ทัง้ ยั าคัญทางศลิ หลายแขนง งสามารถนํ ปะใหผสู รางส าไปใชในงาน รรคไ ดสอื่ สาร ศิลปะประยุ กตตา งๆ ได อกี มากมาย

เหลือง แดง ชมพู เขียว นํ้าเงิน มวง

http://www.aksorn.com/LC/Va/M4/02

ปลอดภัย มีชีวิต สดชื่น สงา หนักแนน มุงมั่น ลึกลับ เศราซึม

เทา นํ้าตาล ขาว ดํา

ให

ที่ดูหยาบขรุขระจะใหความรูสึกที่แข็งกระดาง ศิลปนจึงนําเอาลักษณะพื้นผิวมา จากลักษณะพื้นผิวที่ใหความรูสึกที่แตกตางกัน ่สําคัญประการหนึ่ง เพราะสรางความรูสึก สรางสรรคผลงานทางทัศนศิลปซึ่งเปนองคประกอบที ตางๆ ใหเกิดกับผูชมได างรอบๆ รูปทรงหรือเนื้อหา ๕) พื้นที่วาง (Space) หมายถึง บริเวณที่เปนความว ยกสิ่งนั้นวา รูปทรง ในงานศิลปะชิ้นหนึ่งจึงมี เรื่องราว เมื่อเราสรางสิ่งหนึ่งขึ้นในที่วาง เราเรี รูปทรงกับที่วางประกอบกันอยู วา รูปทรง และเรียกความวางรอบๆ ในงานประติมากรรม เราเรียกวัตถุที่สรางขึ้นนั้น ตัววัตถุหรือรูปทรงนี้วา ที่วาง ่งที่วาดหรือเขียนขึ้นหรือพิมพลงบน กสิ ย เราอาจเรี พ ม ภาพพิ อ ในงานจิตรกรรมหรื รูปทรงวา ที่วาง ได แตโดยทั่วไปแลว เรามักจะ แผนภาพวา รูปทรง และเรียกบริเวณที่วางรอบๆ เรียกวา รูป แทนรูปทรง และ พื้น แทนที่วาง รูปรางของสิ่งใดก็ไดที่ปรากฏบนพื้น รูปที่ใชคูกับพื้น ในทางภาพวาดแลวจะหมายถึง รูปทรงนามธรรม เชน คน สัตว สิ่งของ จุด ขีด รูปเรขาคณิต หรือ

สวางสดใส ตื่นเตน อันตราย ปติยินดี ออนหวาน นุมนวล

สุขุม สงบเงียบ แหงแลง อบอุน สงบ สะอาด บริสุทธิ์ ใหม เศราโศก หดหู

à¡Ãç´ÈÔÅ»Š คุณสมบัติของสี สีมีคุณสมบัติอยูในตัวของมันเอง ๓ ลักษณะ ดังนี้ ๑. สีแท (Hue) หมายถึง เนื้อ สีของแตละสีที่แสดงคุณสมบัติของสี ออกมาใหเห็นไดตามลักษณะของ สีแทเกิดจากการผลิตขึ้นมาโดยเฉ เนื้อสี พาะ เชน สีเหลือง แดง นํ้าเงิเ น ม วง เปนตน ๒. คุณคาของสี (Value) หมายถึ ง นํ้าหนักของสีที่มีความออน-แก ของสี โดยทําใหสีแทจางลงหรือเข ซึ่งทําไดโดยใชสีขาวผสมในสีแ มขึ้น ทจะทําใหสีแทจางลง เมื่อตองการให เขมขึ้นก็ผสมดวยสีดํา ถาเปน จะทําใหจางลงก็ใชนํ้าเปนตัวละลาย สีนํ้าเมื่อ ไมตองผสมดวยสีขาว ๓. ความเดนชัดของสี (Intens ity) หมายถึง ความสดหรือความบร ิสุทธิ์ของสีสีหนึ่ง สีที่ถูกผสมดวยสี หมนลง ความเดนชัดหรือความจั ดําจะ ดของสีจะลดลง ความจัดของสีจะเรี ยงลําดับจากจัดที่สุดไปจนหมนที คอยๆ เพิ่มปริมาณของสีดําที่ผสมเข ่สุดไดดวยการ าไปทีละนอยจนถึงลําดับที่ความจั วา ดของสีมีนอยที่สุด คือ เกือบดํ า

Web Guide á¹Ð¹íÒáËÅ‹§¤Œ¹¤ÇŒÒ¢ŒÍÁÙÅ à¾ÔèÁàµÔÁ¼‹Ò¹Ãкº Online

à¡ÃÔè¹¹íÒà¾×èÍãˌࢌÒ㨶֧ÊÒÃÐÊíÒ¤ÑÞ ã¹Ë¹‹Ç·Õè¨ÐàÃÕ¹ ÁÕàÊŒ¹àÇÅÒáÊ´§¼Å§Ò¹ºÒ§Ê‹Ç¹¢Í§ÈÔÅ» ¹ à¾×èÍãËŒà¡Ô´¤ÇÒÁࢌÒã¨ÁÒ¡¢Öé¹ เสนเวลา

แสดงผลงานบางสวนของศิลปน

๒๕๒๕

พ.ศ. พ.ศ. ๒๕๒๕

ภาพ “ยามเชา” ผลงานภาพพิมพแกะไม ไดรับรางวัล เหรียญทองจากการแสดงศิลปกรรมแหงชาติ

๒๕๓๐

àÊÃÔÁÊÒÃШҡà¹×Íé Ëҹ͡à˹×ͨҡ ·ÕÁè ãÕ ¹ÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙጠ¡¹¡ÅÒ§ à¾×Íè à¾ÔÁè ¾Ù¹áÅТÂÒ¾ÃÁá´¹¤ÇÒÁÃÙ㌠ˌ ¡ÇŒÒ§¢ÇÒ§ÍÍ¡ä» เสริมสาร

ผลงานชื่อ “พี่-นอง”

ภาพสัตวที่ปรากฏในผลงานภาพ พิมพแกะไมของประหยัด ไมไดติดอยูกับขนบเ ่ นิยมตามที คยทํากันมา หากมีเสรีภาพในการ สรางสรรคอันสะทอนบุคลิกภาพสวนตนมิใช นอย นอกจากนั้น ผลงานของเขามุงปรารถนา สรางผลงานที่ทําใหเกิดความสุขทางใจแกผูดู มากกวาทําใหเกิดความเศราหมอง โดยเฉพาะ ภาพแมวที่เขามีวิธีการจัดภาพที่มีจุดเดนและ มีองคประกอบที่เกี่ยวของ เชน จานใสปลา ปลา ดวงอาทิตย ซึ่งชวยสรางความสมบูรณ ของเนื้อหาของภาพไดมาก เปนตน เชนเดียวกับภาพไกโกงคอขันรับ อรุณในภาพชื่อ “ยามเชา” อันเปนภาพที่มี ฉากหลังเปนบานชนบทกลางสายหมอก การ กําหนดทาทางอันสงาของไกพันธุนักรบ ดูจะ ใหความรูสึกทางดานความงามมากกวาเจาะชี้ ใหเห็นในเรื่องของจริยธรรม

๗.๑) หนาทีข่ องสี สีทาํ หนาทีเ่ ชนเดี ยวกับนํา้ หนักทุกประการ แต ที่สําคัญที่สุดขึ้นอีกประการหนึ่ง นั่น คือ อิทธิพลของสีที่มีตออารมณ ความร เพิม่ หนาทีพ่ เิ ศษ ูสึกของการรับรู สีใหความรูสึกตางๆ ดังนี้

วของสิ่งตางๆ ที่เมื่อสัมผัส ๔) พื้นผิว (Texture) หมายถึง ลักษณะของบริเวณผิ มัน ดาน เปนขีด เปนรอย เปนเสน เปนจุด จับตองหรือเมื่อเห็นแลวรูสึกไดวาหยาบ ละเอียด ในผลงานทัศนศิลปดาน น ้ ึ ข งสรรค า ร ส ย ษ ละมนุ แ าติ พื้นผิวของวัตถุตางๆ เกิดขึ้นจากธรรมช างหรือออกแบบพื้นผิวดวยสีหรือดวยเทคนิค จิตรกรรมหรือการวาดภาพระบายสี เราสามารถสร  ของภาพได ง หลั น ้ พื น ป เ ให น ั ก  ู ของรอยพ ลักษณะพื้นผิวโดยทั่วไปถือวาเปน ทัศนธาตุที่ไมใชเปนหลักในการสรางรูปทรง สวนใหญจะใชเปนสวนของพื้นภาพ มีศิลปน หลายคนใชลักษณะของพื้นผิวเปนทัศนธาตุที่ สําคัญในการสรางสรรคงาน ดวยการใชพื้นผิว ลักษณะตางๆ มาประกอบเปนรูปทรงทีส่ มบูรณ ได พื้นผิวที่มีลักษณะแตกตางกันยอมใหความ รูสึกที่แตกตางกันดวย เชน พื้นผิวที่เรียบ โคง เวาของโซฟา ยอมทําใหเกิดความรูสึกสบาย เ่ รียบเนียน ผลงานของเฮนรี มัวร ซึง่ แสดงลักษณะพืน้ ผิวที ผอนคลายอารมณ อยากสัมผัส สวนพื้นผิว ความรูสึกนุมนวล นาสัมผัสลูบไล

EB GUIDE

à¡Ãç´ÈÔÅ»Šà¾ÔèÁàµÔÁ¨Ò¡à¹×éÍËÒ ÁÕá·Ã¡à»š¹ÃÐÂÐæ

ãËŒ¤ÇÒÁÃÙŒáÅÐàÍ×é͵‹Í¡ÒùíÒä»ãªŒÊ͹à¾×èÍ ãËŒºÃÃÅصÑǪÕéÇÑ´ áÅÐÊÌҧ¤Ø³ÅѡɳРÍѹ¾Ö§»ÃÐʧ¤

พ.ศ. ๒๕๓๐ ผลงานชื่อ “Virgo”

พ.ศ. ๒๕๓๓ ผลงานชื่อ “Bat” พ.ศ. ๒๕๓๔ ผลงานชื่อ “ครอบครัว”

๒๕๓๕ พ.ศ. ๒๕๓๖ ผลงานชื่อ “เจดียทราย”

ฤต

ษยก รพันธุ์ โป มูลนิธิจักศ. ๒๕๔๖

ง้ ขึน้ เมอื่ พ. าและ กฤต จัดตั าค่ นั ธุ์ โปษย รรมอันล�้ ง มูลนิธจิ กั รพ ่อเก็บรักษาศิลปก นมรดกขอ เพื ค์ สง เพอื่ ใหเ้ ป็ ระ ป พดดี งั เดมิ โดยมีวัตถุ กฤต ด�ารง ภา ษย นส ่ ใ โป ยู ์ ให้คงอ ์จักรพันธุ ล้วมี รย ปแ จา อนรุ กั ษ์ไว้ รไ อา กา อ น ผู้ก่อตั้ง คื ิฯ ซึ่งงานที่ด�าเนิ นัง ชาติไทย ลนิธ รกรรมฝาผ ประธานมู รงการเขยี นภาพจิต ศ. ๒๕๔๗ นี้ ต�าแหน่ง โค ่ พ. รรม มีดัง ันธุ์ การ ไดแ้ ก่ หวดั จันทบรุ ี ตัง้ แต ถวัดตรีรักษ์ศิลปก องอาจารย์จักรพ ง หลายโครง จั บส โ ิ ุ ม ริมและอนุ นข ุ ก ะเพณี นังพระอ เป็นผลงา ถวดั เขาส ับการส่งเส รรมไทยปร พระอโุ บส บร่าง ซึ่ง รกรรมฝาผ ส�าหรับงานเกี่ยวก บบจิตรก ะแ นฉบับแน นภาพจิต ต้ ย ี แล ๓๓ ง ละ เข ริ ๒๕ าร มแ และก ่ พ.ศ. บเหมือนจ จิตรกรร รษะ ิหาร ตั้งแต ระเภทงาน เตล ทั้งแบ ็บรักษาศี ทศเทพวรว วบรวมศิลปวัตถุป มัน สีฝุ่น สีปาส เช่น การเก ๒๐๐ ตัว สีน�้า งขึ้นใหม่ ๑. การร มากกว่า นวาดเส้น หุ่นที่สร้า งพ่าย” มี จะเป็นงา ้น ราณและ า ่ ว ่ น ะเล โบ ต้ ไม น ุ “ต น ็ ห่ ง ง ้ เป ล้วนๆ ๐๐๐ ชิ านหุ่น ทั า� ขึ้นในปัจจุบันเรื่อ เครื่องแต่งตัวหุ่น ูชา มายนับ ๑, ิลปวัตถุประเภทง ื่อสักการบ ุนที่ท ้างหุ่น ซึ่งมีมาก ๐ องค์ เพ ดับหุ่น ห่ าม ่างการสร วบรวมศ เครื่องประ ษาต้นฉบับแบบร งๆ นับ ๑๐ เภทเครื่องลายคร ๒. การร ูปสมัยต่า ระ รัก กระบอก ศีรษะหุ่น ึงการเก็บ พระพุทธร วบรวมศิลปวัตถุป ก่ มถ แ ้ รว ได ก ั ่หุนหลวง ุทธศิลป์ ๔. การร ม้ ม่านป รี ทั้ง ทพ กไ เภ นต น ้ ฉา ชิ ระ งด น ป ๐ อ ่ ื ย ปวัตถุ ฉากเขี เภทเคร นกว่า ๑๐ เปิง วบรวมศิล ปวัตถุประ เป็นจ�านว ๓. การร นไทย-มอญ วบรวมศิล ๕. การร เครื่องใหญ่ ตะโพ ย์ าท พ ่ ี ป รี คัญใน � า เครื่องดนต ็นต้น นส ่ ว ส มี เป นับไดว้ า่ สญู หาย พม่า-มอญ นิ งานของมูลนิธฯิ ทยไวม้ ใิ ห้ ังใช้ การดา� เน ของชาตไิ นอนั ล�า้ ค่า ื่อให้เยาวชนรุ่นหล งา ผล ษา ก การเกบ็ รั ดิมอย่างดีที่สุด เพ ไทยสืบต่อไป อง พเ และคงสภา ค้นคว้าศิลปกรรมข ศึกษา ต เป็นแหล่ง ักรพันธุ์ โปษยกฤ ลนิธิจ ที่มา : มู

¤íÒ¶ÒÁ»ÃШíÒ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒáÅСԨ¡ÃÃÁ ÊÌҧÊÃä ¾Ñ²¹Ò¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒà¾×èÍãËŒ¼ÙŒàÃÕ¹ ÁդسÀÒ¾ºÃÃÅØÁҵðҹáÅеÑǪÕéÇÑ´ ¤Ò¶ÒÁ»ÃШíÒ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ ๑. ทัศนธาตุหรือองคประกอบทัศนศิลปมีความสําคัญตอการสรางสรรคงานทัศนศิลปอยางไร ๒. การพิจารณาผลงานชิ้นหนึ่งวามีความงามหรือไมนั้น ตองพิจารณาจากอะไรบาง ๓. เสนในแตละลักษณะใหความรูสึกตอการมองเห็นแตกตางกันอยางไร ๔. นักเรียนเห็นดวยหรือไมกับขอความที่วา สีเปนองคประกอบทัศนศิลปที่สําคัญที่สุดในงานจิตรกรรม ๕. หลักการออกแบบที่ดีควรคํานึงถึงเรื่องใดบาง ๖. การใชตัวอักษรและภาพประกอบในงานออกแบบสิ่งพิมพเพื่อใหเกิดความเขาใจชัดเจน ควรมีลักษณะ อยางไร ๗. เพราะเหตุใดในการบรรยายผลงานทางทัศนศิลปควรใชคําศัพททางทัศนศิลปประกอบลงไปดวย

¡Ô¨¡ÃÃÁÊÌҧÊÃä ¾Ñ²¹Ò¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ กิจกรรมที่

กิจกรรมที่

กิจกรรมที่

ใหนักเรียนฝกหัดเขียนเสนชนิดตางๆ ใหครบดวยมือ แลวอธิบายถึงความรูสึก ที่มีตอเสนดังกลาว ใหนักเรียนทดลองวาดรูปโดยใชทัศนธาตุใหครบทุกองคประกอบ จากนั้นผลัดกัน กับเพื่อนชวยกันวิจารณผลงาน ใหนักเรียนไปหาภาพมา ๑ ภาพ อาจจะเปนดานจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปตยกรรม แลวบรรยายผลงานดวยการใชภาษาตางๆ ประกอบกับศัพท ทางทัศนศิลป จากนั้นออกมานําเสนอผลงานหนาชั้นเรียน


กระตุน ความสนใจ Engage

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

Explore

˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè

˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè

˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè

˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè

˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè

ñ ò ó ô õ

Explain

ขยายความเขาใจ Expand

ตรวจสอบผล Evaluate

ÊÒúÑñ-ôð

·Ñȹ¸ÒµØáÅÐËÅÑ¡¡ÒÃÍ͡Ẻ ● ● ● ●

·Ñȹ¸ÒµØ ËÅÑ¡¡ÒÃÍ͡Ẻ »ÃÐàÀ·¢Í§§Ò¹Í͡Ẻ ÈѾ· ·Ò§·ÑȹÈÔÅ»Š¡Ñº§Ò¹·ÑȹÈÔÅ»Š

ò ñô òô óô

ôñ-õø

ÃٻẺ§Ò¹·ÑȹÈÔÅ»ŠµÐÇѹÍÍ¡ ● ● ●

ÃٻẺ§Ò¹·ÑȹÈÔÅ»Š ÃٻẺ§Ò¹·ÑȹÈÔÅ»ŠµÐÇѹÍÍ¡ ÍÔ·¸Ô¾Å¢Í§ÇѲ¹¸ÃÃÁÃÐËÇ‹Ò§»ÃÐà·È·ÕèÁÕµ‹Í§Ò¹·ÑȹÈÔÅ»Š

¡ÒÃáÊ´§ÍÍ¡·Ò§·ÑȹÈÔÅ»Š¢Í§ÈÔÅ» ¹ ● ● ●

ÈÔÅ» ¹·Ò§·ÑȹÈÔÅ»ŠÊҢҨԵáÃÃÁ ÈÔÅ» ¹·Ò§·ÑȹÈÔÅ»ŠÊÒ¢Ò»ÃеÔÁÒ¡ÃÃÁ ÈÔÅ» ¹·Ò§·ÑȹÈÔÅ»ŠÊÒ¢ÒÀÒ¾¾ÔÁ¾

¡ÒÃÊÌҧÊÃä §Ò¹·ÑȹÈÔÅ»Š ● ● ● ●

¡ÒÃÊÌҧÊÃä §Ò¹·ÑȹÈÔÅ»Š»ÃÐàÀ·¨ÔµÃ¡ÃÃÁ ¡ÒÃÊÌҧÊÃä §Ò¹·ÑȹÈÔÅ»Š»ÃÐàÀ·»ÃеÔÁÒ¡ÃÃÁ ¡ÒÃÊÌҧÊÃä §Ò¹·ÑȹÈÔÅ»Š»ÃÐàÀ·¡Òà µÙ¹ ¡ÒùíÒ§Ò¹·ÑȹÈÔÅ»Šä»ãªŒ

ÈÔÅ»ÇÔ¨Òó ● ● ● ●

¤ÇÒÁËÁÒÂáÅФÇÒÁÊíÒ¤Ñޢͧ¡ÒÃÇÔ¨Òó ÈÔŻРà¤Ã×èͧÁ×Í㹡ÒÃÇÔ¨Òó ÈÔŻР·ÄÉ®ÕÈÔŻлÃСͺ¡ÒÃÇÔ¨Òó ÈÔŻР·ÄɮաÒÃÇÔ¨Òó ÈÔÅ»Ð

ºÃóҹءÃÁ

ôò ôó õõ

õù-øò öð

öù ÷õ

øó-ñòò øô ù÷ ñðô ñòð

ñòó-ñóø ñòô ñò÷ ñòù ñóô

ñóù-ñôð


กระตุน ความสนใจ

ñ

กระตุEngage นความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

หน่วย

การเรียนรู้ที่

1. วิเคราะหการใชทัศนธาตุและหลักการ ออกแบบในการสื่อความหมายในรูปแบบ ตางๆ 2. บรรยายจุดประสงคและเนื้อหาของงาน ทัศนศิลป โดยใชศัพททางทัศนศิลป

·Ñȹ¸ÒµØáÅÐËÅÑ¡¡ÒÃÍ͡Ẻ ตัวชี้วัด

สมรรถนะของผูเรียน

ศ 1.1 ม.4-6/1, ๒ ■ วิเคราะห์การใช้ทัศนธาตุและหลักการออกแบบ ในการสื่อความหมายในรูปแบบต่างๆ ■ บรรยายจุดประสงค์และเนื้อหาของ งานทัศนศิลปโดยใช้ศัพท์ทางทัศนศิลป

1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด

คุณลักษณะอันพึงประสงค

สาระการเรียนรู้แกนกลาง ■ ■

เปาหมายการเรียนรู

ทัศนธาตุและหลักการออกแบบ ศัพท์ทางทัศนศิลป

1. มีวินัย 2. ใฝเรียนรู 3. มุงมัน่ ในการทํางาน

กระตุน ความสนใจ

ทัศนธาตุ ศนธาตุ (Visual Element) คือ สวนประกอบตางๆ ที่มีอยูในงานทัศนศิลป การที่งาน ทัศนศิลปจะมีความงามทางศิลปะไดยอ มขึน้ อยูก บั การจัดวางทัศนธาตุในภาพหรือในผลงาน ดวยหลักการจัดองคประกอบศิลป องคประกอบศิลปเปนการจัดรูปราง รูปทรง เสน สี แสง เงา ลักษณะพื้นผิว และที่วาง ใหมคี วามสัมพันธกลมกลืนกันหรือขัดแยงกันในจุดทีเ่ หมาะสมอยางลงตัว จนเกิดสมดุลและ เปนเอกภาพสวยงาม อันเปนที่มาของสุนทรียภาพหรือความงาม นอกจากนัน้ องคประกอบศิลปยงั เปนเครือ่ งมือสําคัญทางศิลปะใหผสู รางสรรคไดสอื่ สาร ความคิดของตนไปสูบ คุ คลอืน่ ทัง้ ยังสามารถนําไปใชในงานศิลปะประยุกตตา งๆ ไดอกี มากมาย หลายแขนง

Engage

ครูใหนกั เรียนดูภาพหนาหนวย ในหนังสือเรียน หนา 1 จากนั้นครูถามนักเรียนวา • จากภาพนักเรียนมองเห็นทัศนธาตุใดบาง (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ) • ภาพนี้ตองการสะทอนใหเห็นถึงสิ่งใด (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ)

เกร็ดแนะครู การเรียนการสอนในหนวยการเรียนรูนี้ ครูควรนําภาพผลงานการออกแบบ ที่ใชหลักทัศนธาตุเปนองคประกอบสําคัญมาใหนักเรียนดู จากนั้นใหนักเรียนฝก วิเคราะหหลักการใชทัศนธาตุกับงานออกแบบจากภาพ ซึ่งจะนําไปสูความสามารถ ในการบรรยายจุดประสงคและเนื้อหาของงานทัศนศิลปโดยใชศัพททางทัศนศิลปได

คูมือครู

1


กระตุน ความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

กระตุEngage นความสนใจ

Exploreนหา สํารวจค

กระตุน ความสนใจ

Engage

ครูใหนักเรียนดูภาพ “บายวันอาทิตยบนเกาะ ลากรองด แชตต” ผลงานของ ชอรช เซอรา จากนั้นครูถามนักเรียนวา • นักเรียนคิดวา ผลงานชิ้นนี้มีทัศนธาตุอะไร ที่โดดเดนบาง (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ)

สํารวจคนหา

๑. ทัศนธาตุ ในการสร้างสรรค์งานทางศิลปะ มนุษย์ได้สร้างสรรค์เพื่อประโยชน์ในชีวิตประจ�าวัน นอกจาก การใช้สอยแล้วยังเน้นที่รูปลักษณ์ที่ไม่ขัดต่อสายตา รวมทั้งการจัดวางอย่างเหมาะสมจนเกิด ความงาม นับตั้งแต่ยุคสมัยก่อนเป็นต้นมา งานสร้างสรรค์ศิลปะมีการพัฒนาก้าวทีละขั้นจนเกิด มีหลักของการจัดองค์ประกอบศิลป์ เพื่อให้เหมาะสมกลมกลืนยิ่งขึ้น ได้แก่ ความรู้เรื่อง ทัศนธาตุ ซึ่งเป็นส่วนประกอบต่างๆ ในการออกแบบ เช่น เรื่องของเส้น รูปร่าง รูปทรง ลักษณะผิว สีสัน เป็นต้น การน�าเอาทัศนธาตุต่างๆ มาจัดวางประกอบกันขึ้นตามหลักของการจัดองค์ประกอบศิลป์ ช่วยท�าให้ผลงานที่มนุษย์สรรค์สร้างขึ้นมีความสมบูรณ์ทางด้านสุนทรียภาพ ผลงานทางทัศนศิลป์ที่สามารถท�าให้ผู้สัมผัสเกิดอารมณ์และความรู้สึกประทับใจได้นั้นจะ ต้องแสดงถึงการสร้างสรรค์อย่างถูกต้องตามเกณฑ์ของการจัด อันเป็นพื้นฐานของความงาม ทางด้านศิลปะ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ต้องประกอบด้วยองค์ประกอบย่อยๆ หรือที่เรียกกันว่า ทัศนธาตุ ของศิลปะ (Element of Arts) มาจัดองค์ประกอบ การจะน�าเอาสิ่งดังกล่าวมาจัดรวมกันให้เกิด คุณค่าทางศิลปะได้นั้น จะต้องมีความรู้ความเข้าใจให้ถ่องแท้ถึงความหมาย คุณลักษณะ ความ ส�าคัญและการน�าไปใช้ ซึ่งทัศนธาตุแต่ละอย่างก็จะให้คุณสมบัติและความรู้สึกที่แตกต่างกันไป

Explore

ใหนักเรียนศึกษาคนควาเกี่ยวกับทัศนธาตุ จาก แหลงเรียนรูตางๆ เชน หนังสือเรียน หองสมุด อินเทอรเน็ต เปนตน ในหัวขอที่ครูกําหนดให ดังนี้ 1. จุดในทางทัศนศิลป 2. เสนในทางทัศนศิลป 3. รูปราง-รูปทรงในทางทัศนศิลป 4. พื้นผิวในทางทัศนศิลป 5. พื้นที่วางในทางทัศนศิลป 6. นํ้าหนักออน-แกในทางทัศนศิลป 7. สีในทางทัศนศิลป

อธิบายความรู

องค์ประกอบของทัศนธาตุ ทัศนธาตุหรือองค์ประกอบศิลป์ที่เป็นพื้นฐานในการน�าไปใช้เพื่อการสร้างสรรค์ผลงาน ทัศนศิลป์ จะประกอบไปด้วย จุด เส้น รูปร่าง รูปทรง ลักษณะผิว พื้นที่ว่าง น�้าหนักอ่อน-แก่ แสงเงา และสี ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ ๑) จุด (Point, Dot) เป็นทัศนธาตุ หรือองค์ประกอบอันดับแรกของงานทัศนศิลป์ จุดเป็นส่วนที่มีขนาดเล็กที่สุดของงานศิลปะ เมื่อน�าเอาจุดหลายๆ จุดมาเรียงต่อเนื่องกัน ตรงต�าแหน่งที่เหมาะสมซ�้าๆ กันก็จะท�าให้เกิด เป็นเส้น รูปร่าง รูปทรง ลักษณะผิว น�้าหนัก อ่อน-แก่ แสงเงา จุดจึงเป็นทัศนธาตุที่ส�าคัญ ในการสร้างสรรค์งานศิลปะเช่นเดียวกันกับ ภาพ “A Sunday Afternoon on the Island of La ทัศนธาตุอื่นๆ ซึ่งเราสามารถพบเห็นจุดใน Grande Jatte” (บ่ายวันอาทิตย์1บนเกาะลากรองด์ ลักษณะต่างๆ ในผลงานจิตรกรรมหรือการ แชตต์) ผลงานของชอร์ช เซอรา ใช้เทคนิคการน�าจุด จ�านวนมากมาใช้ในการสร้างสรรค์ผลงาน ออกแบบตกแต่งภายนอกอยู่เสมอ

Explain

ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับ จุดในทางทัศนศิลปตามที่ไดศึกษามา จากนั้นครู ถามนักเรียนวา • คําวา “จุด” ในงานทัศนศิลปมีความหมายวา อยางไร (แนวตอบ จุด (Point, Dot) หมายถึง รอยหรือ แตมที่มีลักษณะกลมๆ ปรากฏที่พื้นผิว ซึ่งเกิดจากการจิ้ม กด กระแทกดวยวัสดุ อุปกรณตางๆ เชน ดินสอ ปากกา พูกัน วัสดุปลายแหลมทุกชนิด เปนตน)

นักเรียนควรรู 1 ชอรช เซอรา หรือฌอรฌ-ปแยร เซอรา (Georges-Pierre Seurat) เปน จิตรกรชาวฝรั่งเศสในสมัยอิมเพรสชันนิสมใหมของคริสตศตวรรษที่ 19 ภาพเขียน ที่มีชื่อเสียงที่สุดของเซอรา คือ ภาพ “บายวันอาทิตยบนเกาะลากรองด แชตต” (A Sunday Afternoon on the Island of La Grande Jatte) ที่เขียนระหวาง พ.ศ. 2427-2429 ซึ่งเปนภาพที่เปลี่ยนทิศทางของศิลปะสมัยใหมเขาสูสมัย อิมเพรสชันนิสมใหม และเปนภาพผลงานชิ้นสําคัญชิ้นหนึ่งของคริสตศตวรรษที่ 19

มุม IT นักเรียนสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติและผลงานของ ชอรช เซอรา ไดจาก http://www.georgesseurat.org

2

คูมือครู

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

ขอใดไมจัดเปน ทัศนธาตุในงานทัศนศิลป 1. พื้นผิว 2. พื้นที่วาง 3. ปริมาตร 4. นํ้าหนักออน-แก วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เพราะปริมาตรหรือความจุ เปนตัวบง ปริมาณวาวัตถุนั้นๆ มีที่วางสําหรับจะบรรจุสิ่งตางๆ ลงไปไดเทาไหร ซึ่งไมไดมคี วามสัมพันธกบั คําวา ทัศนธาตุ ทีจ่ ะประกอบไปดวย จุด เสน รูปราง รูปทรง พื้นผิว พื้นที่วาง นํ้าหนักออน-แก และสี


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบายความรู

ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับ เสนในทางทัศนศิลปตามที่ไดศึกษามา จากนั้นครู ถามนักเรียนวา • หากตองการวาดภาพที่แสดงใหเห็นถึง ความรูสึกรุนแรง ตื่นเตน สับสน วุนวาย ขัดแยง ควรเลือกใชเสนประเภทใด (แนวตอบ เสนซิกแซก หรือเสนฟนปลา) • เสนมีความสําคัญอยางไรในงานทัศนศิลป (แนวตอบ เสนมีความสําคัญในงานทัศนศิลป ดังนี้ 1. ใชในการแบงที่วางออกเปนสวนๆ 2. กําหนดขอบเขตของที่วาง หมายถึง ทําใหเกิดเปนรูปรางขึ้นมา 3. กําหนดเสนรอบนอกของรูปทรง ทําให มองเห็นรูปทรงชัดเจนขึ้น 4. ทําหนาที่เปนนํ้าหนักออน-แกของแสงเงา หมายถึง การแรเงาดวยเสน 5. ใหความรูสึกดวยการเปนแกน หรือโครงสรางของรูปและโครงสราง ของภาพ)

๒) เส้น (Line) คือ จุดจ�านวนมากที่น�ามาเรียงติดต่อเชื่อมโยงกันบนพื้นระนาบ

ของทิศทาง จนสามารถแสดงให้เห็นได้ว่าเป็นลักษณะเส้นชนิดใด เช่น แนวตั้ง แนวนอน โค้ง คด แนวหยัก หักเห เมื่อน�าเอามาประกอบแสดงทิศทาง ท�าให้เกิดรูปร่าง รูปทรง เกิดเนื้อที่ มีน�้าหนัก ขนาดปริมาตร เส้นเป็นทัศนธาตุที่ส�าคัญในทางศิลปะ ซึ่งงานทางทัศนศิลป์ทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นงานจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม ล้วนมีจุดเริ่มต้นด้วยการใช้เส้น เส้นจึง เป็นทัศนธาตุเบื้องต้นที่ส�าคัญที่สุด เป็นพื้นฐานของโครงสร้างของทุกสิ่ง ส�าหรับวิธีที่ท�าให้เกิดเส้น คือ การขูด ขีด เขียนด้วยดินสอ ปากกา พู่กัน แปรง หรือเครื่องมืออื่นๆ เส้นแบ่งตามลักษณะใหญ่ๆ ได้ ๕ ชนิด ซึ่งแต่ละชนิดให้คุณค่าและความรู้สึกแตกต่าง กัน ดังนี้ ชนิดของเส้น ๑. เส้นตรง

๒. เส้นโค้ง

ลักษณะของเส้น

ตัวอย่าง

มี ๓ ลักษณะ คือ - เส้นตั้ง มีทิศทางแนวตั้งหรือ ดิ่ ง ลงมา ให้ ค วามรู ้ สึ ก มั่ น คง แข็งแรง เป็นระเบียบ - เส้นนอน เส้นราบ หรือเส้นระดับ มีทิศทางในแนวนอนหรือราบ ให้ความรู้สึกสงบนิ่ง ปลอดภัย - เส้นตรงเฉียง มีทิศทางทแยง ให้ความรู้สึกไม่ตรง โน้มเอียง ความรวดเร็ว มี ๓ ลักษณะ คือ - เส้นโค้งของวงกลม ให้ความรู้สึก อ่ อ นโยน อ่ อ นช้ อ ย นิ่ มนวล ความเศร้า - เส้นโค้งอิสระ ถ้าเส้นโค้งลาก ขึ้นสูง ปล่อยน�้าหนักที่ปลายจะ แสดงความเจริญเติบโตก้าวหน้า - เส้นโค้งคดหรือก้นหอย ให้ความ รู ้ สึ ก มี พ ลั ง หมุ น อย่ า งรุ น แรง การคลี่ ค ลายขยายตั ว ออกไป ไม่มีที่สิ้นสุด

Explain

- เช่น ตึกสูง เสาไฟฟ้า ต้นไม้ คนยืนตรง เป็นต้น - เช่ น น�้ า ที่ ส งบนิ่ ง เส้ น ทางที่ ราบเรียบ คนพักผ่อน เป็นต้น - เช่น แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ที่ส่องท�ามุมกับพื้นระนาบ ๓๐ องศา หรือ ๔๕ องศา เป็นต้น - เช่น ภาพคนที่ท�าท่าอ่อนน้อม ค้อมตัวลง ภาพวาดแบบศิลปะ ไทย ภาพต้นไม้ใบไม้ทเี่ หีย่ วเฉา - เช่ น การเจริ ญ งอกงามของ ใบไม้ใบหญ้าทีด่ ไู สว แสดงความ หมายถึง ความก้าวหน้าของ ชีวิต ลวดลายในศิลปะไทย - เช่ น พายุ ห มุ น กั ง หั น หมุ น ลักษณะการคลายเกลียว เป็นต้น

EB GUIDE 3

http://www.aksorn.com/LC/Va/M4/01

ขอสอบ

O-NET

ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับทัศนธาตุเรื่องเสน เสนในขอใดใหความรูสึกสงบนิ่ง 1. เสนซิกแซก 2. เสนนอน 3. เสนโคง 4. เสนเฉียง วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. เพราะเสนนอนเปนเสนที่ใหความรูสึกถึง ความมั่นคง สงบ ราบเรียบ และผอนคลาย ดังเชน ผิวนํ้าที่เรียบไมมีคลื่น ถนนที่ราบเรียบ เปนตน

เกร็ดแนะครู การศึกษาเกี่ยวกับทัศนธาตุเรื่องเสน ครูอธิบายความสําคัญของเสน โดยอธิบาย ในแนวทางดังนี้ 1. เสนใชในการแบงที่วางออกเปนสวนๆ 2. เสนชวยกําหนดขอบเขตของที่วาง หมายถึง ทําใหเกิดเปนรูปรางขึ้นมา 3. เสนชวยกําหนดเสนรอบนอกของรูปทรง ทําใหมองเห็นรูปทรงชัดขึ้น 4. เสนทําหนาที่เปนนํ้าหนักออน-แกของแสงเงา หมายถึง การแรเงาดวยเสน 5. เสนใหความรูส กึ ดวยการเปนแกน หรือโครงสรางของรูปและโครงสรางของภาพ ซึ่งจะทําใหนักเรียนมีความรูความเขาใจเกี่ยวกับทัศนธาตุเรื่องเสนไดดียิ่งขึ้น

คูมือครู

3


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

Explain

ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับ รูปราง-รูปทรงในทางทัศนศิลปตามที่ไดศึกษามา จากนั้นครูถามนักเรียนวา • รูปรางสามารถแบงออกไดเปนกี่ประเภท อะไรบาง (แนวตอบ รูปราง แบงออกไดเปน 3 ประเภท คือ 1. รูปรางธรรมชาติ เชน รูปสัตว รูปตนไม รูปคน เปนตน 2. รูปรางเรขาคณิต เชน รูปวงกลม รูปสามเหลี่ยม รูปสี่เหลี่ยม เปนตน 3. รูปรางอิสระ เชน รูปรางถุงเทา รูปรางเสื้อผา เปนตน) • ความงามของรูปรางเกิดจากสิ่งใด (แนวตอบ ความงามของรูปรางเกิดจากสัดสวน ที่สวยงามของเสนรอบนอกรูปรางทั้งหมด กลาวคือ มีความกวางและความยาว พอเหมาะกัน) • รูปรางนามธรรมหมายถึงรูปรางที่มีลักษณะ อยางไร (แนวตอบ รูปรางนามธรรม หมายถึง รูปรางที่ถูกเปลี่ยนแปลง อาจเปนรูปราง ที่มาจากธรรมชาติ รูปรางเรขาคณิต หรือรูปรางที่มาจากจินตนาการ ซึ่งรูปราง ลักษณะนี้พอมองออกวาคลายกับรูปรางอะไร หรือหากไมสามารถระบุไดวาเปนรูปรางอะไร อาจเรียกรูปรางชนิดนี้วา “รูปรางไมแสดง เนื้อหา” หรือ “รูปรางอิสระ” ซึ่งเปนรูปรางที่ เกิดขึ้นได โดยไมจําเปนตองอางอิงธรรมชาติ หรือเรขาคณิต)

๓. เส้นคด

ให้ความรู้สึกเคลื่อนไหวต่อเนื่อง เช่น ทางคดเคี้ยว แม่น�้าล�าธาร ไม่สิ้นสุด คลืน่ ทะเล การวาดภาพน�า้ ในศิลปะ ไทย เป็นต้น

๔. เส้นฟันปลาหรือซิกแซ็ก ให้ความรู้สึกไม่ราบรื่น เคลื่อนไหว เช่น เส้นทางที่ขรุขระ ฟันเลื่อย อย่างรุนแรง ตื่นเต้น ความตื่ น เต้ น ตกใจกลั ว ความ ขัดแย้ง เป็นต้น ๕. เส้นประหรือเส้นขาด

ให้ความรู้สึกไม่เป็นระเบียบ สับสน เช่ น สิ่ ง ปรั ก หั ก พั ง ซึ่ ง ก� า ลั ง จะ วุ่นวาย ไม่มั่นคง เก่า เสื่อมโทรม แตกสลาย รอยร้าวของวัตถุ ผืนดิน อันตราย ที่แตกระแหง เป็นต้น

๓) รูปร่าง-รูปทรง (Shape-Form) เป็นทัศนธาตุที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน ทั้ง รูปร่างและรูปทรงเป็นผลที่เกิดจากการน�าเส้นลักษณะต่างๆ มาประกอบกันให้เป็นเนื้อหาสาระ เรื่องราวทางทัศนศิลป์ และเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องด้านความหมายของรูปร่างและรูปทรง จึงขอกล่าวแยกให้เห็น ดังนี้ ๓.๑) รูปร่าง (Shape) หมายถึง เส้นที่เป็นเส้นโครงของวัตถุสิ่งของที่ปรากฏให้ เห็นเป็นลักษณะ ๒ มิติ ถ้ากล่าวถึงรูปร่างสี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม วงกลม หรือรูปร่างอื่นๆ ก็คือ รูปที่มีเพียงส่วนกว้างกับส่วนยาวเท่านั้น จะไม่แสดงความหนาและสีผิวของวัตถุ เช่น รูปร่างของ คน หมายถึง เส้นรอบนอกของร่างกายที่แสดงเพียงส่วนโค้ง ส่วนเว้า ไม่เห็นส่วนนูนหนาหรือ สีผิว สัสังเกตง่ายๆ มองเห็นเป็นลักษณะแบนๆ ยๆ ก็ก็คือ มองเห็ ษณะแบนๆ เหมือนเงาของวัตถุ รูปร่างแบ่งออกเป็นลักษณะใหญ่ๆ ได้ ได้ ๓ ลักษณะ คือ รูปร่าง

ลักษณะของรูปร่าง

ตัวอย่าง

๑. รูปร่างธรรมชาติ

ได้แก่ สิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เช่น รูปร่างคน สัตว์ ต้นไม้ ใบไม้ สามารถพบเห็นในสภาพแวดล้อม ดอกไม้ เป็นต้น ทั่วไป ไป

๒. รูปร่างเรขาคณิต

ได้แก่ รูปร่างที่แสดงออกมาเป็น เช่ น รู ป ร่ า งสี่ เ หลี่ ย มด้ า นเท่ า แบบเรขาคณิ ต เป็ น รู ป ร่ า งที่ ม ี รู ป ร่ า งสี่ เ หลี่ ย มผื น ผ้ า รู ป ร่ า ง สี่เหลี่ยมจัตุรัส รูปร่างสามเหลี่ยม กฎเกณฑ์แน่นอนตายตัว รูปร่างวงกลม เป็นต้น

4

เกร็ดแนะครู ครูอธิบายความรูเพิ่มเติมในเรื่องของรูปรางวา รูปรางสามารถแบงออกไดเปน 2 ลักษณะ คือ รูปรางบวกและรูปรางลบ รูปรางบวก หมายถึง รูปรางที่เกิดจากการลอมรอบเสน หรือเกิดจาก สวนประกอบสําคัญของศิลปะอื่นๆ ไดแก สี ระนาบ นํ้าหนัก พื้นผิว มีลักษณะเปน 2 มิติ ปรากฏอยูบนพื้นที่วางหรือพื้น รูปรางลบ หมายถึง บริเวณพื้น (Ground) หรือเนื้อที่บริเวณวางที่ถูกแทนที่ หรือรองรับรูปรางบวก บริเวณเนื้อที่สวนที่เหลือจากรูปรางบวกจะมีคาเปนรูปรางลบ กลาวใหเขาใจงายๆ ก็คือ รูปรางบวกคือสวนที่เปนรูป และรูปรางลบคือสวนที่ เปนพื้น

มุม IT นักเรียนสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับรูปราง ไดจาก http://www.wjd.ac.th

4

คูมือครู

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

ภาพวาดที่แสดงใหเห็นการเจริญเติบโตกาวหนาควรเปนภาพลักษณะใด 1. วาดดวยเสนตรงแนวเฉียง 2. วาดดวยเสนโคงของวงกลม 3. วาดดวยเสนฟนปลาหรือเสนซิกแซก 4. วาดดวยเสนโคงอิสระทิ้งปลายขึ้นสูงและนํ้าหนักเบา วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. เพราะการวาดภาพดวยเสนโคงอิสระ โดยการลากเสนโคงใหสูงขึ้นเรื่อยๆ แลวปลอยนํ้าหนักที่ปลาย จะให ความรูสึกวามีความตอเนื่องขึ้นไปอีก ซึ่งจะชวยสื่อถึงความเจริญเติบโต กาวหนา


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบายความรู ๓. รูปร่างอิสระหรือรูปร่าง ดัดแปลง

ครูสุมนักเรียน 2-3 คน ใหตอบคําถามตอไปนี้ • ความงามของรูปทรงเกิดจากสิ่งใด (แนวตอบ ความงามของรูปทรงเกิดจาก สัดสวนของความกวาง ความยาว และความหนา หรือความลึกที่พอเหมาะ และความกลมกลืนกันของรูปทรงทั้งหมด) • รูปทรงอินทรียหมายถึงรูปทรงลักษณะใด (แนวตอบ รูปทรงอินทรียเปนรูปทรงของ สิ่งมีชีวิต หรือคลายกับสิ่งมีชีวิตที่สามารถ เจริญเติบโต เคลื่อนไหว หรือเปลี่ยนแปลง รูปได เชน รูปทรงของคน สัตว พืช เปนตน) • รูปรางและรูปทรงมีความเหมือน หรือแตกตางกันอยางไร (แนวตอบ แตกตางกัน โดยรูปรางจะเปน รูปแบนๆ มี 2 มิติ คือ มีความกวางกับ ความยาว สวนรูปทรงจะเปนรูปที่มีลักษณะ เปน 3 มิติ คือ มีทั้งความกวาง ความยาว และความลึก หรือความหนา)

ได้แก่ รูปร่างทีเ่ กิดจากการออกแบบ เช่น หยดน�้า เมฆ ควัน เป็นต้น ดั ด แปลง ตั ด ทอน จากรู ป ร่ า ง ธรรมชาติ ห รื อ รู ป ร่ า งเรขาคณิ ต ที่แสดงออกถึงความเป็นอิสระตาม จินตนาการในการสร้างสรรค์ของ แต่ละคน

๓.๒) รูปทรง (Form) หมายถึง โครงสร้างทั้งหมดของวัตถุที่ปรากฏให้เห็นใน ลักษณะ ๓ มิติ คือ มีทั้งส่วนกว้าง ส่วนยาว ส่วนลึกหรือหนา เช่น รูปทรงของคน จะแสดง ให้เห็นโครงสร้างของร่างกายที่มีส่วนสูง ส่วนโค้ง ส่วนเว้า ส่วนนูนหนา และสีผิว หลักการสังเกต ว่าเป็นรูปทรง ๓ มิติ คือ เมื่อมองแล้วจะให้ความรู้สึกเป็นแท่ง เป็นก้อน มีมวลหรือมีเนื้อที่ภายใน มีปริมาตร มีน�้าหนัก รูปทรงแบ่งออกเป็นลักษณะใหญ่ๆ ได้ ๓ ลักษณะ คือ รูปทรง

ลักษณะของรูปทรง

ตัวอย่าง

๑. รูปทรงธรรมชาติ

ได้แก่ สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น รูปทรงของคน สัตว์ ต้นไม้ มี ก ฎเกณฑ์ แ น่ น อน มี โ ครงสร้ า ง เป็นต้น เป็ น ไปตามธรรมชาติ ซึ่ ง ในการ สร้า งสรรค์ ง านทางทัศ นศิ ล ป์ ไ ด้มี การน�าเอารูปทรงธรรมชาติมาใช้มาก

๒. รูปทรงเรขาคณิต

ได้แก่ รูปทรงที่เกิดจากการสร้างง- เช่น สิสิ่งก่อสร้างง อาคาร บ้ อาคาร บ้านเรือนน สรรค์ของมนุษย์ มีลกั ษณะเป็นเหลีย่ ม โต๊ะ เก้ เก้าอี้ รถยนต์ เป็นต้น เป็นมุม มีมีความโค้ง เป็ เป็นวงกลมหรือ รูปก้นหอย รูรูปทรงเหล่านีเ้ ป็นพืน้ ฐาน ในการออกแบบทางทัศนศิลป์

Explain

๓. รูปทรงอิสระหรือรูปทรง ได้แก่ รูปทรงที่มีความเป็นอิสระ เช่น สิสิ่งอ�านวยความสะดวกในชีวิต ดัดแปลง ไม่มีรูปแบบหรือกฎเกณฑ์ตายตัว ประจ�าวัน รองเท้า โทรศัพท์มือถือ ไม่มีโครงสร้างแน่นอน สามารถ โซฟา เป็นต้น เปลีย่ นแปลงไปตามสภาพแวดล้อม และความเหมาะสม

5

กิจกรรมสรางเสริม ใหนักเรียนวาดภาพผลงานทัศนศิลปตามความสนใจของตนเอง มาคนละ 1 ภาพ ลงสมุดวาดเขียน โดยใชรปู รางและรูปทรงมาประกอบกัน เปนรูปภาพตามจินตนาการ เสร็จแลวนําผลงานสงครูผูสอน

กิจกรรมทาทาย ใหนักเรียนทําตารางวิเคราะหความแตกตางระหวางรูปรางกับรูปทรง ลงกระดาษรายงาน พรอมวาดภาพประกอบ นําสงครูผูสอน

เกร็ดแนะครู ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางรูปทรงของวัตถุตา งๆ เพิม่ เติม เชน รูปทรงของเพชร รูปทรงของคริสตัล เปนตน แลวรวมกันพิจารณาวา วัตถุชนิดเดียวกัน แตมีรูปทรง แตกตางกัน มีประโยชนหรือมีผลตอความรูส กึ ของมนุษยอยางไร และนักเรียนสามารถ นําความรูเกี่ยวกับความแตกตางของรูปทรงมาใชในการออกแบบ หรือสรางสรรค ผลงานทัศนศิลปไดอยางไร ซึ่งจะทําใหนักเรียนมีความรูความเขาใจเกี่ยวกับ ความหมายของรูปทรงไดดียิ่งขึ้น

มุม IT นักเรียนสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับรูปทรง ไดจาก http://www.wjd.ac.th

คูมือครู

5


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

Explain

ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับพื้นผิว และพื้นที่วางในทางทัศนศิลป ตามที่ไดศึกษามา จากนั้นครูถามนักเรียนวา • พื้นผิวในงานศิลปะใหความรูสึกอยางไร (แนวตอบ พื้นผิวลักษณะตางๆ จะใหความรูสึก ที่แตกตางกัน คือ พื้นผิวหยาบจะใหความรูสึก กระตุนประสาท หนักแนน มั่นคง แข็งแรง ในขณะทีพ่ นื้ ผิวเรียบจะใหความรูส กึ เบา สบาย) • นักเรียนสามารถพบเห็นพื้นผิวไดในงาน ทัศนศิลปประเภทใดบาง (แนวตอบ ในงานสถาปตยกรรมที่มีการนํา วัสดุหลายๆ อยาง เชน อิฐ ไม โลหะ กระจก คอนกรีต หิน เปนตน ซึ่งมีความขัดแยงกัน มาผสมกลมกลืนกันไวอยางเหมาะสม จนเกิดความสวยงาม) • พื้นผิวสามารถปรากฏบนงานจิตรกรรม ไดหรือไม อยางไร (แนวตอบ ได ในงานสื่อผสมของจิตรกรรม หรือการใชปริมาณเนื้อสีบนพื้นผิวของงาน จิตรกรรม พื้นผิวปูน ไม เปนตน • นักเรียนสามารถใหนิยามคําวา “พื้นที่วาง” ไดวาอยางไร (แนวตอบ พื้นที่วาง คือ บริเวณวางที่ลอมรอบ รูปรางและรูปทรง ระยะหางระหวางรูปราง และรูปทรง พื้นที่ระนาบวางเปลา หรือทีว่ า ง ภายในรูปรางและรูปทรง ซึง่ มีลกั ษณะเปนได ทั้ง 2 มิติ และ 3 มิติ) • พื้นที่วางสามารถแบงออกไดเปนกี่ลักษณะ อะไรบาง (แนวตอบ พืน้ ทีว่ า ง มีอยู 2 ลักษณะ คือ พื้นที่วางจริง และพื้นที่วางลวงตา หรือ พื้นที่วางในทางบวก และพื้นที่วางในทางลบ)

๔) พื้นผิว (Texture) หมายถึง ลักษณะของบริเวณผิวของสิ่งต่างๆ ที่เมื่อสัมผัส

จับต้องหรือเมื่อเห็นแล้วรู้สึกได้ว่าหยาบ ละเอียด มัน ด้าน เป็นขีด เป็นรอย เป็นเส้น เป็นจุด พื้นผิวของวัตถุต่างๆ เกิดขึ้นจากธรรมชาติและมนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น ในผลงานทัศนศิลป์ด้าน จิตรกรรมหรือการวาดภาพระบายสี เราสามารถสร้างหรือออกแบบพื้นผิวด้วยสีหรือด้วยเทคนิค ของรอยพู่กันให้เป็นพื้นหลังของภาพได้ ลักษณะพื้นผิวโดยทั่วไปถือว่าเป็น ทัศนธาตุที่ไม่ใช่เป็นหลักในการสร้างรูปทรง ส่วนใหญ่จะใช้เป็นส่วนของพื้นภาพ มีศิลปิน หลายคนใช้ลักษณะของพื้นผิวเป็นทัศนธาตุที่ ส�าคัญในการสร้างสรรค์งาน ด้วยการใช้พื้นผิว ลักษณะต่างๆ มาประกอบเป็นรูปทรงทีส่ มบูรณ์ ได้ พื้นผิวที่มีลักษณะแตกต่างกันย่อมให้ความ รู้สึกที่แตกต่างกันด้วย เช่น พื้นผิวที่เรียบ โค้ง ผลงานของเฮนรี มัวร์ ซึง่ แสดงลักษณะพืน้ ผิวทีเ่ รียบเนียน เว้าของโซฟา ย่อมท�าให้เกิดความรู้สึกสบาย ให้ความรู้สึกนุ่มนวล น่าสัมผัสลูบไล้ ผ่อนคลายอารมณ์ อยากสัมผัส ส่วนพื้นผิว ที่ดูหยาบขรุขระจะให้ความรู้สึกที่แข็งกระด้าง จากลักษณะพื้นผิวที่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน ศิลปินจึงน�าเอาลักษณะพื้นผิวมา สร้างสรรค์ผลงานทางทัศนศิลป์ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ส�าคัญประการหนึ่ง เพราะสร้างความรู้สึก ต่างๆ ให้เกิดกับผู้ชมได้ ๕) พื้นที่ว่าง (Space) หมายถึง บริเวณที่เป็นพื้นที่ว่างรอบๆ รูปทรงหรือเนื้อหา เรื่องราว เมื่อเราสร้างสิ่งหนึ่งขึ้นในที่ว่าง เราเรียกสิ่งนั้นว่า รูปทรง ในงานศิลปะชิ้นหนึ่งจึงมี รูปทรงกับพื้นที่ว่างประกอบกันอยู่ ในงานประติมากรรม เราเรียกวัตถุที่สร้างขึ้นนั้นว่า รู ปทรง และเรียกความว่างรอบๆ ตัววัตถุหรือรูปทรงนี้ว่า ที ่ว่าง ในงานจิตรกรรมหรือภาพพิมพ์ เราอาจเรียกสิ่งที่วาดหรือเขียนขึ้นหรือพิมพ์ลงบน แผ่นภาพว่า รูปทรง ทรง และเรี และเรียกบริเวณที่ว่างรอบๆ รูปทรงว่า ที่ว่าง ได้ แต่โดยทั่วไปแล้ว เรามักจะ แทนรูปทรง และ เรียกว่า รูป แทนรู ทรง และ พื้น แทนที่ว่าง รูปที่ใช้คู่กับพื้น ในทางภาพวาดแล้วจะหมายถึง รูปร่างของสิ่งใดก็ได้ที่ปรากฏบนพื้น เช่น คน สัตว์ สิ่งของ จุด ขีด รูปเรขาคณิต หรือรูปทรงนามธรรม 6

EB GUIDE

เกร็ดแนะครู ครูอธิบายถึงประโยชนของ “พื้นที่วาง” ในทางทัศนศิลปใหนักเรียนฟงวา “พื้นที่วาง” เปนสวนประกอบสําคัญที่ทําใหผลงานเกิดความงาม ความนาสนใจ โดยธรรมชาติแลวพื้นที่วางเปนสิ่งที่คอนขางซับซอน เพราะเราไมสามารถกําหนด พื้นที่วางใหเปนรูปทรงเองไดดวยตาเปลา บทบาทของพื้นที่วางจะปรากฏก็ตอเมื่อมี ทัศนธาตุอื่นๆ มาแสดง หรือมาผสม ทัศนศิลปแตละประเภทจะใชพื้นที่วางตางกันไปตามลักษณะของงาน เชน งานจิตรกรรมจะใชพื้นที่วางที่เปน 2 มิติ แตอาจทําใหเกิดการลวงตาเปน 3 มิติได ดวยการนําทัศนธาตุตางๆ มาประกอบเขาดวยกัน สวนงานประติมากรรม จะใชพื้นที่วางจริงลอมรอบผลงานและเจาะทะลุรูปทรงที่เปน 3 มิติ และงานสถาปตยกรรมจะใชพื้นที่วางจริงเชนเดียวกับประติมากรรม และยังมีที่วาง ใหเราสามารถเขาไปอยูภายในได เปนตน

6

คูมือครู

http://www.aksorn.com/LC/Va/M4/02

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

พื้นผิวกอใหเกิดความงามในงานทัศนศิลปไดอยางไร แนวตอบ พื้นผิวในทางทัศนศิลปมีแหลงกําเนิด 2 แหลง คือ เกิดขึ้นตาม ธรรมชาติ ไดแก พื้นผิวของสิ่งตางๆ ในธรรมชาติและสิ่งมีชีวิต เชน เปลือกไม กอนกรวด กอนหิน กิ่งไม ใบไม และพื้นผิวที่เกิดจากมนุษย สรางขึ้น ไดแก การขูด ขีด ระบาย ใหเกิดเปนรองรอยพื้นผิวลักษณะตางๆ ซึ่งลักษณะพื้นผิวที่แตกตางกันก็จะใหความรูสึกที่แตกตางกันดวย ศิลปนจึง นําเอาลักษณะพื้นผิวมาสรางสรรคผลงานทางทัศนศิลป เพราะสามารถสราง ความรูสึกตางๆ ใหเกิดกับผูชมไดตามแนวคิดของศิลปน


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบายความรู เราสามารถเห็นรูปบนพื้นในงานศิลปะได้ก็เพราะรูปกับพื้นมีความแตกต่างกันในน�้าหนัก ในสีหรือในลักษณะผิว ถ้ารูปกับพื้นมีน�้าหนัก สี หรือลักษณะผิวเป็นอย่างเดียวกัน เราจะไม่เห็น รูป ดังนั้น ปัจจัยของการมองเห็นก็คือ ความต่างกันของรูปกับพื้นในการจัดองค์ประกอบศิลป์ ถ้าปล่อยให้มีพื้นที่ว่างมากและรูปทรงน้อย การจัดนั้นจะให้ความรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยว ในทาง ตรงกันข้าม ถ้าให้มีรูปทรงหรือเนื้อหามากโดย ไม่ปล่อยให้มีพื้นที่ว่างเลย ก็จะให้ความรู้สึก อึดอัดคับแคบ ดังนั้น การจัดวางในสัดส่วนที่ พอเหมาะก็จะให้ความรู้สึกที่พอดีและงดงาม

๖) น�้าหนักอ่อน-แก่ (Value)

หมายถึง จ�านวนความเข้มความอ่อนของสีและ แสงเงาตามที่ประสาทตารับรู้ ความอ่อน-แก่ ของแสงเงาท�าให้เกิดระยะใกล้ไกลเช่นเดียวกัน กั บ ความอ่ อ น-แก่ ข องสี ในการสร้ า งสรรค์ งานทัศนศิลป์ ถ้าหากออกแบบให้ภาพอยู่บน พื้นผิวระนาบเดียวกัน เมื่อใช้น�้าหนักที่ต่างกัน

ภาพ “The Last Judgment” (การตัดสินครั้งสุดท้าย) ผลงานของมีเกลันเจโล บูโอนาร์โรตี ซึ่งใช้น�้าหนัก อ่อน-แก่ของสีจนท�าให้เกิดความเข้มแตกต่างกัน

ภาพ “Garden 1 at Sainte-Adresse” ผลงานของ โกลด โมเน ซึ่งใช้พื้นที่ในการจัดวางภาพได้อย่าง เหมาะสม ไม่ปล่อยให้ว่างมากหรือน้อยจนเกินไป

ของสีและแสงเงา จะท�าให้เกิดเป็นรูปลักษณ์ ต่างๆ บนระนาบนัน้ ท�าให้มองเห็นมิตติ า่ งๆ ได้ เช่น เห็นเป็นภาพระยะใกล้ไกลซ้อนทับกันหรือ มีความกลมกลืนหรือตัดกันก็ได้ เป็นต้น วิธกี าร ให้น�้าหนักอ่อน-แก่ในการสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์สามารถจ�าแนกออกเป็น ๒ ประเภท ดังนี้ ๖.๑) น�้าหนักอ่อน-แก่ของสี ในการใช้นา�้ หนักอ่อน-แก่ของสีนจี้ ะเป็นลักษณะ ๒ มิติ ได้แก่ ภาพเขียนต่างๆ ภาพพิมพ์ เมื่อ มองดูด้วยสายตาจะเห็นระยะใกล้ไกล มีความ ลึก นอกจากนี้ น�้าหนักอ่อน-แก่ของการใช้สี ยังแบ่งได้อีกหลายลักษณะ เช่น ใช้สีเดียวหรือ หลายสีก็ได้ โดยวิธีการไล่น�้าหนักของสีจาก สีเข้มไปจนถึงสีอ่อนสุด หากใช้สีด�าก็จะไล่ น�้าหนักจากด�าและให้จางลงไปจนถึงระยะขาว ๗

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

งานศิลปะในขอใดใชเทคนิคนํ้าหนักออน-แกของการใชสี 1. รูปปนในสวนสาธารณะ 2. ลวดลายจากการทอผา 3. ภาพวาดบนฝาผนังโบสถ 4. งานแกะสลักงาชางเปนรูปตางๆ

วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เทคนิคนํ้าหนักออน-แกนิยมนํามาใชกับ ภาพที่มีลักษณะ 2 มิติ โดยมากจะเปนงานประเภทจิตรกรรม ซึ่งจะใช เทคนิคนํ้าหนักออน-แกของแสงเงา นํ้าหนักออน-แกของสี มาสรางเปน ภาพลวงตาใหมีความลึกหรือนูนได

Explain

ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับ นํา้ หนักออน-แกในทางทัศนศิลปตามทีไ่ ดศกึ ษามา จากนั้นครูถามนักเรียนวา • นํ้าหนักออน-แก มีความสําคัญ ตองานทัศนศิลปอยางไร (แนวตอบ ใหความรูสึกแตกตางระหวางรูป และพื้น หรือรูปทรงกับที่วาง ใหความรูสึก เคลื่อนไหว ใหความรูสึกเปน 2 มิติแกรูปราง และความเปน 3 มิติแกรูปทรง ทําใหเกิด ระยะความตื้น-ลึก ระยะใกล-ไกลของภาพ และทําใหเกิดความกลมกลืนประสานกัน ของภาพ) • นํ้าหนักออน-แกของสี สามารถแบงออกได เปนกี่ประเภท อะไรบาง (แนวตอบ แบงออกไดเปน 2 ประเภท คือ นํ้าหนักออน-แกของสีหลายสี หมายถึง นํ้าหนักของสีเรียงจากนํ้าหนักออนที่สุด ไปจนถึงเขมที่สุดในวงสี และนํ้าหนัก ออน-แกของสีเดียว หมายถึง นํ้าหนักของสี เรียงจากนํ้าหนักออนที่สุดไปจนถึงเขมที่สุด โดยนําสีแทสีเดียวมาทําใหเกิดนํ้าหนัก ออน-แก เชน ดํา เทาเขม เทาออน ขาว เปนตน) • ศิลปนใชคานํ้าหนักของแสงเงาที่เกิด บนวัตถุของงานทัศนศิลปในลักษณะใด ไดบาง (แนวตอบ 5 ลักษณะ ไดแก 1. บริเวณแสงสวางจัด 2. บริเวณแสงสวาง 3. บริเวณเงา 4. บริเวณเงาเขมจัด 5. บริเวณเงาตกทอด)

นักเรียนควรรู 1 โกลด โมเน (Claude Monet) เปนจิตรกรสมัยอิมเพรสชันนิสมและเปน จิตรกรคนสําคัญของประเทศฝรั่งเศสชวงคริสตศตวรรษที่ 19-20 โดยเปนผูริเริ่ม ศิลปะอิมเพรสชันนิสม ซึ่งเปนการวาดภาพจากความประทับใจในสิ่งที่เห็น ของผูวาดแทนที่จะพยายามทําใหเหมือนจริงตามธรรมชาติ โดยเฉพาะจิตรกรรม ภูมิทัศน (Landscape painting) คําวา “อิมเพรสชันนิสม” (Impressionism) มาจากชื่อภาพเขียนของโมเนเองที่มีชื่อวา “Impression, Sunrise” (ความประทับใจ ยามรุงอรุณ)

มุม IT นักเรียนสามารถศึกษาเกี่ยวกับประวัติและผลงานของโกลด โมเน ไดจาก http://www.web.yru.ac.th คูมือครู

7


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

Explain

ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับ สีในทางทัศนศิลปตามที่ไดศึกษามา จากนั้นครูถาม นักเรียนวา • สีที่มีอยูทั่วไปในสิ่งแวดลอมรอบๆ ตัวเรา สามารถแบงออกไดเปนกี่ประเภท อะไรบาง (แนวตอบ 2 ประเภท ไดแก สีที่เกิดในธรรมชาติ มีอยู 2 ชนิด คือ สีที่เปน แสง เปนสีที่เกิดจากการหักเหของแสง เชน สีรุง สีจากแทงแกวปริซึม เปนตน และสีที่ อยูในวัตถุ หรือเนื้อสี ซึ่งเปนสีที่มีอยูในวัตถุ ธรรมชาติทั่วไป เชน สีของพืช สัตว แรธาตุ ตางๆ เปนตน สีทมี่ นุษยสรางขึน้ คือ สีทไี่ ดจากการสังเคราะห เพื่อใชประโยชนในงานตางๆ โดยสังเคราะห จากวัสดุธรรมชาติและจากสารเคมีที่เรียกวา “สีวิทยาศาสตร” ซึ่งสีที่ไดจากการสังเคราะห สามารถนํามาผสมกันใหเกิดเปนสีตางๆ ได อีกมากมาย) • หนาที่ของสีในงานศิลปะคือสิ่งใด (แนวตอบ ใหความแตกตางระหวางรูปกับพื้น หรือรูปทรงกับที่วาง ใหความรูสึกเคลื่อนไหว ดวยการนําสายตาของผูชม บริเวณที่สีตัดกัน จะดึงดูดความสนใจ ใหความเปนมิติแก รูปทรงและภาพดวยนํ้าหนักของสีที่ตางกัน และใหอารมณความรูสึกไดดวยตัวเอง)

๖.๒) น�้าหนักอ่อน-แก่ของแสงเงา เรื่องของแสงและเงา หมายถึง แสงสว่างและ เงามืด ซึง่ จะท�าให้เกิดการมองเห็นสิง่ ต่างๆ เป็นลักษณะ ๓ มิต ิ เช่น ทรงกลม ทรงเหลีย่ ม มองเห็น ความโค้ง ความเบี้ยว ความนูน ความเว้า เมื่อ แสงสาดกระทบวัตถุทมี่ สี ี ส่วนทีถ่ กู แสงสว่างจะ เป็นสีอ่อน ส่วนมืดจะอยู่ตรงข้ามกับด้านแสง ส่องสว่างมากระทบ ดังนั้น แสงและเงาจึงมี คุณค่าอ่อน-แก่ปรากฏอยู่ร่วมกันบนวัตถุตั้งแต่ ส่วนที่สว่างจนถึงมืดด�า น�้าหนักที่อ่อน กลาง แก่ จะใช้ในการจัดองค์ประกอบศิลป์ด้วย ๗) สี (Colors) สีมีปรากฏอยู่ ทั่วไปรอบๆ ตัวเราในธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์ สร้างขึ้น สีมีอิทธิพลต่อความรู้สึก ท�าให้เกิด ภาพ “แสงสุ 1 วรรณภูมิ (วัดระฆังฯ)” ผลงานของปรีชา ความรู้สึกแตกต่างมากมาย เช่น ท�าให้รู้สึก เถาทอง ที่ใช้การไล่น�้าหนักอ่อน-แก่ของแสงเงา จน เศร้าซึม หม่นหมอง ตื่นเต้น ร่าเริงหรือสดใส ท�าให้ภาพเกิดความสวยงาม สมจริง มนุษย์จึงมีความผูกพันเกี่ยวข้องกับสีมาตลอด ชีวิต ดังจะเห็นได้จากนับตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์หรือสมัยก่อนที่มนุษย์จะรู้จักบันทึก ษร ก็ได้ปรากฏหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์รู้จักน�าสีมาใช้ใน เรื่องราวเป็นลายลักษณ์อักษร งๆ เช่น ภาพเขียนสีในผนังถ�้าของมนุษย์โบราณที่ประเทศฝรั่งเศส หรือภาพเขียนสี กิจกรรมต่างๆ ที่ผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี เป็นต้น ดังนั้น จึงมีความจ�าเป็นที่ควรท�าความเข้าใจเกี่ยวกับ เรื่องสี ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ของการน�ามาใช้ในชีวิตประจ�าวันและเพื่อสร้างสรรค์งานศิลปะให้ม ี คุณค่ามากยิ่งขึ้น ม เคลือบบ หรือเขียนภาพที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้เกิดจาก การเกิดขึ้นของสีโดยการย้อม จาก นักเคมีได้คิดค้นขึ้นตามทฤษฎีการค้นพบสีในแสงสว่างของเซอร์ไอแซค อแซค นิวตัน นักวิทยาศาสตร์ ชาวอังกฤษ กฤษ นันักเคมีได้ผลิตเนือ้ สีขนึ้ ด้วยสารประกอบทางเคมีหรือได้จากธรรมชาติน�ามาสังเคราะห์ ขึ้นใหม่ รวมทั้งการคิดค้นสีเพิ่มขึ้นโดยการทดลองผสมกันระหว่างสีให้เกิดอีกสีหนึ่ง ศิลปิน ใช้สีในการเขียนภาพและค้นพบวิธีการใช้สีในทางศิลปะ ปะ จนเกิดทฤษฎีการใช้สีหลายทฤษฎีตาม แนวทางของกลุ่มศิลปินและตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป สีเป็นทัศนธาตุที่ส�าคัญในการสร้างสรรค์ศิลปะ ปะ และยังมีส่วนสัมพันธ์กับส่วนประกอบ อื่นๆๆ ทีที่เป็นองค์ประกอบของภาพด้วยย ฉะนั ฉะนั้น รายละเอี รายละเอียดในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสีจึงมีอยู่มากมาย แต่สิ่งที่เราจ�าเป็นต้องเรียนรู้เพื่อน�าไปใช้ในการสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ จะประกอบด้วย 8

นักเรียนควรรู 1 ปรีชา เถาทอง ศิลปนชั้นเยี่ยม สาขาจิตรกรรม สนใจปรากฏการณของแสง และเงาในธรรมชาติที่มีความเปนเหตุเปนผลและมีความสัมพันธกันตลอดเวลา ปรีชา เถาทอง ไดคนควาเรื่องแสงและเงา ทําใหเกิดหลักการสําคัญ 3 สวน คือ 1. แสงตนกําเนิด (แสงอาทิตย) 2. วัตถุตวั กลางทึบแสง (สวนทีบ่ งั แสงและสงผลใหบงั เกิดเปนภาพของเงา) 3. วัตถุบริเวณที่รับแสงและเงา (ผนังหรือฉากเปนที่เกิดของแสงและเงา) จากหลักการทั้ง 3 สวน เปนพื้นฐานสําคัญในการสรางผลงานของ ปรีชา เถาทองมาโดยตลอด โดยผลงานที่ไดรับรางวัลในการประกวดศิลปกรรม นานาชาติ จนไดรับเกียรติเปนศิลปนชั้นเยี่ยม พ.ศ. 2517 คือ ผลงานชื่อ “แสงและเงา”

8

คูมือครู

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

สีในขอใดไม เหมาะที่จะนํามาใชในหองที่มีเครื่องปรับอากาศ 1. สีนํ้า 2. สีโปสเตอร 3. สีอะคริลิก 4. สีนํ้ามัน วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. เพราะสีนํ้ามันจะมีกลิ่นคอนขางรุนแรง เนื่องจากสวนผสมของสีนํ้ามันจะประกอบไปดวยนํ้ามันลินสีด นํ้ามันสน จึงไมเหมาะสมที่จะนํามาใชวาดภาพในหองที่มีเครื่องปรับอากาศ เพราะจะมีกลิ่นเหม็น รวมทั้งสารที่ผสมอยูในสี เมื่อหายใจเขาไปจะไปสะสม อยูในรางกาย อาจเปนอันตรายตอสุขภาพได


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบายความรู

ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับหนาที่ ของสีตามที่ไดศึกษามา จากนั้นครูถามนักเรียนวา • นักเรียนชอบสีใดมากที่สุด เพราะเหตุใด (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ) • ถานักเรียนไดเขาไปอยูในสวนดอกไมที่มี ดอกไมหลากสีสัน นักเรียนจะเกิดความรูสึก อยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ) • สีแตละสีใหความรูสึกที่แตกตางกันอยางไร (แนวตอบ สีแตละสีใหความรูสึกที่แตกตางกัน เชน สีแดง ใหความรูสึกเรารอน รุนแรง อันตราย ตื่นเตน สีเหลือง ใหความรูสึกสวาง อบอุน แจมแจง ราเริง สีเขียว ใหความรูสึกสดใส สดชื่น เย็น ปลอดภัย เปนตน)

๗.๑) หน้าทีข่ องสี สีทา� หน้าทีเ่ ช่นเดียวกับน�า้ หนักทุกประการ แต่เพิม่ หน้าทีพ่ เิ ศษ ที่ส�าคัญที่สุดขึ้นอีกประการหนึ่ง นั่นคือ อิทธิพลของสีที่มีต่ออารมณ์ ความรู้สึกของการรับรู้ สีให้ความรู้สึกต่างๆ ดังนี้ เหลือง 1 แดง ชมพู

สว่างสดใส ตื่นเต้น อันตราย ปิติยินดี อ่อนหวาน นุ่มนวล

เขียว น�้าเงิน ม่วง

ปลอดภัย มีชีวิต สดชื่น สง่า หนักแน่น มุ่งมั่น ลึกลับ เศร้าซึม

เทา น�้าตาล

สุขุม สงบเงียบ แห้งแล้ง อบอุ่น สงบ สะอาด บริสุทธิ์ ใหม่ เศร้าโศก หดหู่

ขาว ด�า

Explain

à¡Ãç´ÈÔÅ»Š คุณสมบัติของสี สีมีคุณสมบัติอยู่ในตัวของมันเอง ๓ ลักษณะ ดังนี้ 1. สีแท (Hue) หมายถึง เนื้อสีของแต่ละสีที่แสดงคุณสมบัติของสีออกมาให้เห็นได้ตามลักษณะของเนื้อสี สีแท้เกิดจากการผลิตขึ้นมาโดยเฉพาะ เช่น สีเหลือง แดง น�้าเเงิงิน ม่วง เป็นต้น หมายถึง น�้าหนักของสีที่มีความอ่อน-แก่ของสี โดยท�าให้สีแท้จางลงหรือเข้มขึ้น ๒. คุณค่าของสี (Value) หมายถึ ซึ่งท�าได้โดยใช้สีขาวผสมในสีแท้จะท�าให้สีแท้จางลง เมื่อต้องการให้เข้มขึ้นก็ผสมด้วยสีด�า ถ้าเป็นสีน�้าเมื่อ จะท�าให้จางลงก็ใช้น�้าเป็นตัวละลาย ไม่ต้องผสมด้วยสีขาว 3. ความเด่นชัดของสี (Intensity) หมายถึง ความสดหรือความบริสุทธิ์ของสีสีหนึ่ง สีที่ถูกผสมด้วยสีด�าจะ หม่นลง ความเด่นชัดหรือความจัดของสีจะลดลง ความจัดของสีจะเรียงล�าดับจากจัดที่สุดไปจนหม่นที่สุดได้ด้วยการ ค่อยๆ เพิ่มปริมาณของสีด�าที่ผสมเข้าไปทีละน้อยจนถึงล�าดับที่ความจั วามจัดของสีมีน้อยที่สุด คือ เกือบด�า

9

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

“ภาพตอนพระอาทิตยใกลจะตกดิน สีภาพโดยรวมจะดูหมน คอนขางมืด แตมีแสงสีสดใสสองกระทบกับกอนเมฆอยางสวยงาม” จากการบรรยายขางตนแสดงใหเห็นลักษณะของสีแบบใด 1. สีเอกรงค (Monochrome) 2. คุณคาของสี (Value) 3. สีกลาง (Neutral Colors) 4. ความเดนชัดของสี (Intensity) วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. เพราะภาพตอนพระอาทิตยใกลจะตกดิน เปนภาพที่มีความสด หรือความบริสุทธิ์ของสีใดสีหนึ่ง สีที่ถูกผสมดวยสีดํา จนหมน ความจัดหรือความบริสุทธิ์จะลดลง ความจัดของสีจะเรียงลําดับ จากจัดที่สุดไปจนหมนที่สุดดวยการคอยๆ เพิ่มปริมาณของสีดําที่ผสมเขาไป ทีละนอยจนถึงลําดับที่ความจัดของสีมีนอยที่สุดคือเกือบเปนสีดํา จึงถือเปน ภาพที่แสดงถึงความเดนชัดของสี (Intensity) ไดเปนอยางดี

เกร็ดแนะครู ครูอธิบายความรูเพิ่มเติมเกี่ยวกับหนาที่ของสีวา สีที่มีอยูในธรรมชาติเปน ปรากฏการณที่ธรรมชาติสรางขึ้นมา เพื่อแสดงถึงความเปนไปของสิ่งตางๆ ที่มีอยู บนโลก สีจะเปนตัวบงบอกความเปลี่ยนแปลง หรือวิวัฒนาการของธรรมชาติ เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป สีอาจกลายสภาพจากสีหนึ่งไปเปนอีกสีหนึ่งได เชน การเปลี่ยนสีของใบไม การเปลี่ยนสีของอัญมณี เปนตน นอกจากนี้ มนุษยยังใชสีในการออกแบบหอง อาคารบานเรือนตามลักษณะของ การใชงานดวย เชน หองพยาบาลจะใชสขี าวและเขียวเพือ่ ใหรสู กึ สบายและปลอดภัย เปนตน

นักเรียนควรรู 1 แดง ในทัศนะของสังคมตะวันตกจะสื่อถึงอันตราย ไมปลอดภัย แตในสังคมจีนกลับมีทัศนะวา เปนสีแหงมงคล โชคลาภ ความมีชีวิต ความเจริญ เติบโต จึงนิยมนําสีแดงมาใชในกิจกรรมตางๆ จํานวนมาก คูมือครู

9


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

Explain

ครูสุมตัวอยางนักเรียน 2-3 คน ใหออกมา อธิบายเกี่ยวกับแมสีและหลักการผสมสีตามที่ได ศึกษามา จากนั้นครูถามนักเรียนวา • หากนักเรียนผสมสีโดยใชแมสีจะไดสีใด (แนวตอบ การผสมสีจากแมสีดวยปริมาณ เทากันจะไดสี ดังตอไปนี้ สีแดง + สีเหลือง = สีสม สีแดง + สีนํ้าเงิน = สีมวง สีเหลือง + สีนํ้าเงิน = สีเขียว) • สีใดบางที่เกิดขึ้นจากการผสมสีขั้นที่ 2 (แนวตอบ สีแดงสม สีนํ้าตาล สีมวงแดง สีนํ้าตาล สีนํ้าเงินเขียว สีนํ้าเงินมวง สีสมเหลือง และสีเขียวเหลือง) • นักเรียนสามารถนําสีใดมาผสมกัน เพื่อทําให เกิดสีขั้นที่ 3 (แนวตอบ สีขั้นที่ 3 เกิดจากการนําเอา สีขั้นที่ 2 ผสมกับสีขั้นตนที่อยูใกลเคียงกัน เชน สีเหลืองแกมเขียว สีนํ้าเงินแกมมวง สีแดงแกมมวง สีแดงแกมสม สีเหลืองแกมสม สีนํ้าเงินแกมเขียว เปนตน)

1 ๗.๒) แม่สีและหลักการผสมสี การที่เรามองเห็นวัตถุมีสีต่างๆ ได้นั้น เนื่องจาก ในแสงมีสีต่างๆ รวมกันอยู่แล้วทุกสี แต่ได้ผสมกันอย่างสมดุลจนกลายเป็นสีขาวใส เมื่อแสง กระทบวัตถุที่มีสี วัตถุนั้นจะดูดสีทั้งหมดของแสงไว้แล้วสะท้อนสีที่เหมือนกับตัววัตถุออกมา เรา จึงมองเห็นสีของวัตถุนั้น เช่น แสงส่องมาถูกลูกโป่งสีแดง สีแดงของลูกโป่งจะจับกับสีแดงในแสง แล้วสะท้อนสีแดงนั้นเข้าสู่ตาของเรา เราจึงมองเห็นลูกโป่งสีแดง นอกจากสีทเี่ กิดผลจากแสงแล้ว ยังมีสที ไี่ ด้จากสารเคมีและจากวัตถุธรรมชาติมา สังเคราะห์เกิดเป็นสีต่างๆ มากมาย เราเรียกว่า สีจากวัตถุธาตุ ซึ่งหมายถึง วัตถุที่เป็นเนื้อสีอยู่ ในตัวเอง เกิดจากปฏิกริ ยิ าทางเคมี เป็นสีทชี่ า่ ง เขียนใช้ในการเขียนภาพ รวมทั้งสีประเภททา อาคาร บ้านเรือน สีของเครื่องใช้ต่างๆ สีวัตถุ ธาตุสามารถน�ามาผสมกันเป็นขั้นๆ ได้ดังนี้ (๑) แม่ สี ห รื อ สี ขั้ น ต้ น แม่สีของวัตถุธาตุ (Primary Colors) เป็นแม่สีของวัตถุธาตุ เป็น สีที่มีเนื้อแท้อยู่ในตัว มีอยู่ ๓ สีที่เราไม่อาจผสมขึ้นได้ คือ สีเหลือง แดง และน�้าเงิน (๒) สีขั้นที่ ๒ (Secondary Colors) ๒ (Secondary Colors) เกิดจากการน�าแม่สีทั้ง ๓ มาผสมกัน เข้าทีละคู่ ด้วยอัตราส่วนเท่ากัน จะได้สีขั้นที่ ๒ หรือลูกสีเพพิ่มขึ้นอีก ๓ สี คือ สีส้ม เขียว ม่วง สีขั้นที่ ๒

เหลือง +

แดง

ส้ม

เหลือง + น�้าเงิน

เขียว

ม่วง

แดง + น�้าเงิน

10

เกร็ดแนะครู ครูใหนักเรียนสรางสรรคผลงานจิตรกรรมโดยใชสีที่ไดจากธรรมชาติ เชน สีจากดอกอัญชัน กระเจี๊ยบแดง ฟกทอง แครอท กะหลํ่าปลีมวง บีทรูท ขมิ้น เปลือกมังคุด ลูกหวา สนิมเหล็ก เขมาดิน ถานไม เปนตน แลวชวยกันพิจารณาวา สีจากธรรมชาติมีประโยชนอยางไร และมีความคลายคลึงหรือแตกตางจาก สีสังเคราะหอยางไร รวมทั้งใหนักเรียนเปรียบเทียบขอดีและขอเสียของการใชสีที่ได จากธรรมชาติและสีสังเคราะหในงานทัศนศิลปดวย

นักเรียนควรรู 1 มองเห็นวัตถุมีสีตางๆ โดยปกติวัตถุจะมีสารที่ทําหนาที่ดูดกลืนแสงสี ตางกันไป จึงทําใหเรามองเห็นวัตถุมีสีตางกัน เชน เห็นใบไมสีเขียวเพราะในใบไม มีสารดูดกลืนแสงสีมวงและสีแดงเอาไว แลวปลอยสีเขียวออกมา สวนวัตถุสีดํา จะดูดกลืนแสงสีไวทั้งหมด ไมมีแสงสีใดสะทอนออกมา ขณะที่วัตถุสีขาวจะสะทอน ทุกแสงสีที่ตกกระทบ เราจึงเห็นวาวัตถุมีสีขาว เปนตน

10

คูมือครู

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

เพราะเหตุใดจึงเรียกสีแดง สีเหลือง สีนํ้าเงินวาแมสี แนวตอบ เพราะเปนสีพื้นฐานซึ่งเมื่อนํามาจับคูผสมกันดวยปริมาณสี แตละสีที่เทากันแลว จะทําใหเกิดสีใหมขึ้นมา เปนสีขั้นที่ 2 ตลอดจนเมื่อ นําสีขั้นที่ 2 มาผสมกับแมสีก็จะไดสีใหมเพิ่มขึ้นมาอีกเปนสีขั้นที่ 3 ดังนั้น สีแดง สีเหลือง สีนํ้าเงิน จึงเปนตนกําเนิดของสีตางๆ


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบายความรู

ใหนักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ การนําสีไปใชสรางสรรคงานศิลปะตามทีไ่ ดศกึ ษามา จากนั้นครูถามนักเรียนวา • วรรณะสีสามารถแบงออกไดเปนกี่วรรณะ อะไรบาง (แนวตอบ แบงออกไดเปน 2 วรรณะ คือ 1. วรรณะสีอุน (Warm Tone) ประกอบดวย สีเหลือง สีสมเหลือง สีสม สีสมแดง สีแดง สีมว งแดง และสีมว ง สีในวรรณะอุน จะไมใชสีสดๆ ดังที่เห็นในวงสีธรรมชาติ เสมอไป เพราะสีในธรรมชาติยอมมีสี แตกตางกันมากกวาสีในวงสีธรรมชาติ ถาหากสีใดคอนไปทางสีแดง หรือสีสม จะถือวาเปนสีวรรณะอุน เชน สีนํ้าตาล สีเทาอมทอง เปนตน 2. วรรณะสีเย็น (Cool Tone) ประกอบดวย สีเหลือง สีเขียวเหลือง สีเขียว สีเขียวนํ้าเงิน สีนํ้าเงิน สีมวงนํ้าเงิน และ สีมวง สวนสีอื่นๆ ถาหนักไปทางสีนํ้าเงิน และสีเขียวก็ถือเปนสีวรรณะเย็น เชน สีเทา สีดํา สีเขียวแก เปนตน) • คานํ้าหนักสีสามารถแบงออกได เปนกี่ลักษณะ อะไรบาง (แนวตอบ แบงออกเปน 4 ลักษณะ คือ 1. นํ้าหนักเขม ใหความรูสึกนากลัว สงา ขรึม 2. นํ้าหนักกลาง ใหความรูสึกเงียบ เฉย ถามีมากเกินไปจะทําใหงานจืดชืด 3. นํ้าหนักออน ใหความรูสึกเบา ออนโยน 4. นํ้าหนักตัดกัน ใหความรูสึกตื่นเตน เราใจ)

(๓) สีขั้นที่ ๓ (Tertiary Colors) เกิดจากการน�าสีขั้นที่ ๒ ผสมกับแม่สี ทีละคู่ จะได้สีเพิ่มขึ้นอีก ๖ สี คือ สีส้มเหลือง ส้มแดง เขียวเหลือง เขียวน�้าเงิน ม่วงแดง และ ม่วงน�้าเงิน สีขั้นที่ ๓

แดง + ส้ม

ส้มแดง

เหลือง + เขียว

เขียวเหลือง

แดง + ม่วง

ม่วงแดง

น�้าเงิน + เขียว

เขียวน�้าเงิน

เหลือง + ส้ม

ส้มเหลือง

น�้าเงิน + ม่วง

ม่วงน�้าเงิน

ส้ม

เหลือ

เขียว

ส้มเห ลือง เหลือง

สีขั้นที่ ๑ ขั้นที่ ๒ และขั้นที่ ๓ ทั้ง ๑๒ สี รวมกันเป็นวงสีธรรมชาติ ซึ่งถ้าน�าสี ลาง (Neutral Colors) หรื หรือถ้าน�า ทุกสีมาผสมรวมกันเข้า จะได้สีเทาแก่ๆ เกือบด�า เรียกว่า สีกลาง (Neutral Colors) แม่สี ๓ สีมาผสมรวมกันเข้าก็ได้สีกลางเช่นเดียวกัน ๗.๓) การน�าสีไปใช้ ในการสร้างสรรค์งานศิลปะ สีเป็นทัศนธาตุหนึ่งที่ส�าคัญกว่า รูปทรงซึ่งถือว่าเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การใช้สมี ที งั้ ยึดกฎเกณฑ์หรือทฤษฎี และปราศจากกฎเกณฑ์ ใดๆ การน�าสีไปใช้เพื่อให้เกิดความงามทางศิลปะจึง เขีย ว จ�าเป็นต้องศึกษาเรื่องสีให้เข้าใจในประการส�าคัญๆ เขียวน�้าเงิน เพื่อการสร้างสรรค์ผลงานตามวัตถุประสงค์ ดังนี้ ิน (๑) วรรณะสี (Tone) จากวงสี น�้าเง ธรรมชาติ ในทางศิลปะได้มีการแบ่งวรรณะของสีออกเป็น ๒ วรรณะ คือ สีวรรณะอุ่น (Warm Tone) ได้แก่ สีที่ให้ ความรู้สึกอบอุ่นหรือร้อน และสีวรรณะเย็น (Cool Tone) วงสีธรรมชาติ ประกอบด้วยสี ๑๒ สี ได้แก่ สีที่ให้ความรู้สึกเย็น สงบ สบาย แดง

ม่วง

ม่วง

น�้าเง

แดง

ิน

ส้มแดง

ม่วง

E×plain

11

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

สีใดที่สามารถอยูไดทั้งวรรณะอุนและวรรณะเย็น 1. สีแดง 2. สีสม 3. สีเขียว 4. สีเหลือง

วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. หากสังเกตวงสีธรรมชาติจะพบวา สีเหลือง อยูไดทั้งวรรณะอุนและวรรณะเย็น ถาอยูในกลุมสีวรรณะอุน ก็ใหความรูสึก อุนหรือรอน แตถาอยูในกลุมสีวรรณะเย็นก็จะใหความรูสึกเย็นไปดวย สีเหลืองจึงเปนสีที่สามารถอยูไดทั้งวรรณะอุนและวรรณะเย็น

บูรณาการอาเซียน จากการศึกษาเกี่ยวกับการนําสีไปใชสามารถบูรณาการเชื่อมโยงกับประเทศ สมาชิกอาเซียนเกีย่ วกับเรือ่ งสีของธงชาติทมี่ คี วามคลายคลึงกัน โดยหลายประเทศ จะใชสีแดง ขาว และนํ้าเงินเปนหลัก ตัวอยางเชน

ธงชาติไทย

ธงชาติกัมพูชา

ธงชาติมาเลเซีย

ธงชาติสาธารณรัฐสิงคโปร

คูมือครู

11


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบExplain ายความรู

Explain

ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับ วงสีธรรมชาติ รวมทั้งสีวรรณะอุนและวรรณะเย็น จากนั้นครูนําภาพจิตรกรรมที่เนนสีและแสงเงา มาใหนักเรียนดู แลวถามนักเรียนวา • เมื่อดูภาพนี้แลวนักเรียนรูสึกอยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ) • จากภาพศิลปนเนนการใชโทนสีวรรณะใด มากกวากัน และโทนสีดังกลาวมีอิทธิพล อยางไรตอภาพ (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ)

สีวรรณะเย็น

สีวรรณะอุ่น

ส้มแดง

เขียวน�้าเงิน แดง ม่วง

ม่วง

ม่วง

น�้าเง

ิน

แดง

ิน

น�้าเง

สีวรรณะอุ่น

สีวรรณะเย็น

ลือง

ใหนักเรียนนําขอมูลเกี่ยวกับทัศนธาตุมารวมกัน จัดนิทรรศการในหัวขอ “ทัศนธาตุคูงานทัศนศิลป” พรอมหาภาพประกอบและตกแตงใหสวยงาม

ส้มเห

เหลือ

เขีย

Expand

เหลือง

เขียว

ขยายความเขาใจ

หากแบ่งวงสีธรรมชาติออกเป็น ๒ ซีกด้วยเส้นดิ่งเส้นหนึ่ง ซีกทางขวามือ ซึ่งมีสีเหลือง (ครึ่งหนึ่ง) ส้มเหลือง ส้ม ส้มแดง แดง ม่วงแดง จะอยู่ในสีวรรณะอุ่น และ ม่วง (ครึ่งหนึ่ง) ม่วงน�้าเงิน น�้าเงิน เขียวน�้าเงิน เขียวเหลือง เขียว จะอยู่ในสีวรรณะเย็น สีม่วง และเหลืองเป็นสีที่อยู่ในวรรณะกลางๆ ถ้าอยู่ในกลุ่มของสีอุ่นก็จะอุ่นด้วย ถ้าอยู่ในกลุ่มสีเย็นก็จะ เย็นด้วย มีการทดลองวัดอุณหภูมิของแถบสีที่เกิดจากการหักเหของแสงด้วยเครื่องวัดที่มีความไว มากๆ ปรากฏว่าทางด้านที่เป็นสีแดงจะมีอุณหภูมิสูงกว่าด้านสีน�้าเงิน

ส้ม

อธิบายความรู

อธิบายความรู

สีวรรณะอุ่นและสีวรรณะเย็นมีอิทธิพลต่อความรู้สึกและอารมณ์ของมนุษย์ ศิลปินจึงมีวิธีในการเลือกใช้สีวรรณะอุ่นหรือสีวรรณะเย็นมาสร้างสรรค์ผลงานเพื่อสะท้อนให้เห็น ในสิ่งที่ต้องการ ศิลปินมีสีเป็นวัสดุเพียงอย่างเดียวก็สามารถสร้างงานจิตรกรรมที่สมบูรณ์ได้ เพราะในสีมีความเป็นทัศนธาตุส่วนอื่นๆ ด้วย กล่าวคือ ในสีมีเส้นเป็นเส้นรอบนอกของบริเวณสี หรือสีที่เขียนเป็นเส้น ในสีมีน�้าหนักอ่อน-แก่ มีที่ว่างในแผ่นสี 1 มีลักษณะพื้นผิว ม (๒) คุณค่าของสี (Value) (Value) หมายถึง สีใดสีหนึ่งที่เราท�าให้ค่อยๆ จางลงจน ขาวหรือดูสว่างและท�าให้ค่อยๆ เข้มขึ้นจนมืด ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น ๗-๘ ระยะ ประโยชน์ใน คุณค่าของสีทใี่ ช้เพือ่ การสร้างสรรค์งานก็คอื ท�าให้ได้ภาพทีเ่ กิดระยะใกล้ไกลเหมือนจริงในธรรมชาติ และเป็นลวดลายแสดงน�้าหนักอ่อน-แก่ที่งดงาม 1๒

EB GUIDE

เกร็ดแนะครู ครูเนนยํ้าใหนักเรียนเขาใจในเรื่องความหมายของวรรณะสี สีวรรณะอุน ประกอบดวยสีเหลือง สีสม สีแดง สีมวง สีเหลานี้ใหความรูสึก ตื่นเตน เราใจ กระฉับกระเฉง สีวรรณะเย็น ประกอบดวยสีเหลือง สีเขียว สีนํ้าเงิน สีมวง สีเหลานี้ดูเย็นตา ใหความรูสึกสงบ สดชื่น

นักเรียนควรรู 1 คุณคาของสี คานํ้าหนักสีสามารถเปลี่ยนแปลงไดโดยการเติมสีขาว หรือสีดําลงไปในสีนั้น ถาเติมสีขาวจะทําใหสีนั้นสวางขึ้นและสรางสีออน หรือเรียกวา “คานํ้าหนักสีออน” ถาเติมสีดําลงไปจะทําใหสีเขมขึ้นและสรางเงา หรือเรียกวา “คานํ้าหนักสีเขม

12

คูมือครู

http://www.aksorn.com/LC/Va/M4/03

กิจกรรมสรางเสริม ใหนักเรียนรวบรวมภาพวาดที่ใชสีในวรรณะอุน หรือวรรณะเย็น จากหนังสือ นิตยสาร หรือจากแหลงเรียนรูอื่นๆ มาจัดทําเปนสมุดภาพ ตกแตงใหสวยงาม พรอมทั้งวิเคราะหหรือจําแนกสีในวรรณะที่ปรากฏดวย

กิจกรรมทาทาย ใหนักเรียนวาดภาพโดยเลือกใชสีในวรรณะอุน หรือวรรณะเย็น อยางใดอยางหนึ่งตามความสนใจของตนเอง มาคนละ 1 ภาพ พรอม เขียนบรรยายความงามของภาพ หรือวาดภาพเหมือนกัน 2 ภาพ ภาพหนึ่ง ระบายดวยสีวรรณะอุน อีกภาพหนึ่งระบายดวยสีวรรณะเย็น แลววิเคราะห เปรียบเทียบอารมณความรูสึกที่ไดจากภาพ นําสงครูผูสอน


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

Engage

Explore

Explain

Expand

ตรวจสอบผล Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate

ตรวจสอบผล

Evaluate

ครูพิจารณาจากผลงานการจัดนิทรรศการใน หัวขอ “ทัศนธาตุคงู านทัศนศิลป” ดานความถูกตอง ความสวยงาม และความคิดริเริ่มสรางสรรค คุณค่าสีของสีสีเดียวเมื่อผสมกับสีขาวจะมีค่าค่อยๆ ลดลงจนเกือบขาวหรือขาว

คุณค่าสีของสีสีเดียวเมื่อผสมกับสีด�าจะมีค่าค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนมืดหรือด�า

(๓) ความเด่นชัดของสี (Intensity) หมายถึง สีที่ปรากฏเด่นในการเขียน ภาพ โดยการใช้สีสดใสให้ปรากฏเด่นขึ้นมาบนโครงสีส่วนรวมที่เป็นสีกลางหรือสีอ่อนจาง ซึ่งจะ ช่วยให้ภาพสวยงาม มีความน่าดูยิ่งขึ้น เช่น ภาพธรรมชาติตอนพระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน ท้องฟ้า จะค่อยๆ มืดลง สภาพสีส่วนรวมจะเป็นสีหม่นค่อนข้างไปในทางมืด แต่ดวงอาทิตย์และบริเวณ ทีด่ วงอาทิตย์กา� ลังจะลับขอบฟ้าจะมีแสงสีสดใสสาดส่องกระทบกับก้อนเมฆ เป็นภาพทีส่ วยงามมาก (๔) สีเอกรงค์ (Monochrome) หมายถึง สีทแี่ สดงความเด่นชัดออกมาเพียง สีเดียวหรือใช้เพียงสีเดียวในการเขียนภาพ โดยให้มีค่าอ่อน กลาง แก่ ลักษณะคล้ายกับภาพถ่าย สีเดียว ขาวด�า หรือจะใช้สีอื่นเป็นหลักแล้วไล่ น�า้ หนักเพิม่ ลดความเข้มตามทีต่ อ้ งการในภาพ สีเอกรงค์ที่นิยมใช้ ได้แก่ สีน�้าตาล ด�า น�้าเงิน แต่กใ็ ห้ความงดงาม แม้เป็นเพียงการใช้สสี เี ดียว แต่ และคุณค่าเช่นเดียวกันกับภาพที่ใช้หลายสี 1 การใช้สีเอกรงค์ในการ เขียนภาพจะสามารถสร้างสรรค์ความงามได้ ในด้านความกลมกลืนเป็นประการส�าคัญ จะไม่ แสดงถึงความขัดแย้งด้วยสี แต่สามารถสร้าง ความแตกต่างด้วยน�า้ หนักของสีระหว่างสีทอี่ อ่ น และสีเอกรงค์สามารถแสดง ภาพ “A Spring Dawn” ผลงานของวาเลอรี ทีส่ ดุ กับสีทแี่ ก่ทสี่ ดุ และสี แสงเงาและระยะใกล้ไกลของวัตถุได้ง่ายกว่า บุซซีกิน (Valery Busygin) ซึ่งเน้นการใช้สีสว่างสดใส โดยอาศัยหลักของการไล่นา�้ หนักอ่อน-แก่ของสี ในการวาดภาพ ท�าให้ภาพมีความสวยงาม 13

ขอสอบ

O-NET

ขอสอบป ’ 50 ออกเกี่ยวกับทฤษฎีสี ตามระบบทฤษฎีสีสากลขอใดตอไปนี้คือความหมายของคําวา Hue 1. สีแทที่ผสมดวยสีขาว 2. สีแทที่ผสมดวยสีกลาง 3. สีแทที่ยังไมไดผสมดวยสีอื่น 4. สีแทที่ผสมดวยสีดํา วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. Hue เปนสีแท หมายถึง สีตางๆ ทั่วไป ที่ยังไมมีการผสมสีขาว หรือสีดําลงไป

เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานจิตรกรรมวา งานจิตรกรรมเปนการขีด เขียน หรือการระบายสีลงบนพื้นผิววัสดุ ใหเกิดเรื่องราวและความงดงามตามความรูสึก นึกคิด มีลักษณะเปน 2 มิติ คือ มีเพียงความกวางและความยาว แตนํ้าหนักสี ที่แตกตางกันอาจทําใหเกิดความตื้นและลึก ใหความรูสึกทางการมองของผูชม เสมือนเปน 3 มิติได

นักเรียนควรรู 1 การใชสีเอกรงค จะเนนพื้นดวยสีแทที่มีความสดใส (Intensity) เพียงสีเดียว ในบริเวณที่เปนจุดเดนของภาพ สวนประกอบรอบๆ ก็ใชสีเดียวกันแตความสดใส นอยกวา ดังนั้น กอนลงมือปฏิบัติงานจึงตองออกแบบและกําหนดแนวคิดใหชัดเจน เพราะถาระบายผิดพลาดจะแกไขงานไดยาก คูมือครู

13


กระตุน ความสนใจ

สํารวจคนหา Exploreนหา สํารวจค

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

กระตุEngage นความสนใจ

กระตุน ความสนใจ

Engage

ครูใหนักเรียนดูภาพการออกแบบในลักษณะ ตางๆ เชน การออกแบบสวน การออกแบบอาคาร สถานที่ การออกแบบเครื่องประดับ การออกแบบ เครื่องแตงกาย เปนตน จากนั้นครูถามนักเรียนวา • เพราะเหตุใด มนุษยจงึ สรางสรรคผลงานศิลปะ (แนวตอบ เพราะมนุษยตองการถายทอด ความรูสึกนึกคิดและจินตนาการออกมาเปน ชิ้นงาน หรือผลงานทางศิลปะ เพื่อใหผูอื่น สามารถมองเห็น รับรู หรือสัมผัสได) • การออกแบบประเภทใดที่นักเรียนสามารถ พบเห็นไดงายที่สุดในชีวิตประจําวัน (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ)

สํารวจคนหา

(๕) สีคู่ตรงข้าม (Complementary Colors) หมายถึง สีที่อยู่ตรงกันข้ามกัน ในวงสีธรรมชาติ เป็นคู่สีกัน คือ สีคู่ที่ตัดกัน หรือเรียกว่า สีตรงข้ามกันหรือสีตัดกัน (Contrast) ถ้าน�ามาใช้คู่กันจะท�าให้เกิดความรู้สึกตัดกันอย่างรุนแรง คู่สีนี้ถ้าน�ามาผสมกันจะได้เป็นสีกลาง แต่ถา้ น�าสีหนึง่ เจือลงไปในสีคขู่ องมันเล็กน้อย จะท�าให้สนี นั้ หม่นลง ถ้าเจือมากจะหม่นมาก จิตรกร บางกลุ่มใช้สีคู่ตรงข้ามนี้แทนสีด�าในการท�าให้อีกสีหนึ่งหม่นลง เหลือง

ม่วง

เขียวน�้าเงิน

ส้มแดง

เขียวเหลือง

ม่วงแดง

น�้าเงิน

ส้ม

เขียว

แดง

ม่วงน�้าเงิน

ส้มเหลือง

สีที่อยู่ตรงข้ามกันในวงสีธรรมชาติ

Explore

ครูขออาสาสมัครนักเรียน 12 คน จัดแบงออก เปน 4 กลุม โดยใหแตละกลุมศึกษาคนควา เกี่ยวกับหลักการออกแบบ จากแหลงเรียนรูตางๆ เชน หนังสือเรียน หองสมุด อินเทอรเน็ต เปนตน ในหัวขอที่ครูกําหนดให ดังนี้ กลุมที่ 1 ความหมายและความสําคัญ ของการออกแบบ กลุมที่ 2 พัฒนาการของการออกแบบ กลุมที่ 3 แนวคิดในการออกแบบ กลุมที่ 4 หลักในการออกแบบ

๒. หลักการออกแบบ มนุษย์มีความรู้สึกนึกคิด สติปัญญา รู้จักสร้างสรรค์ ท�าให้เกิดสิ่งต่างๆ ที่มีคุณค่าแก่ชีวิต สามารถน�ามาใช้สอยให้เกิดประโยชน์ตามความเหมาะสมในการด�าเนินชีวิต เช่น การแต่งกาย การประดับประดา ประดา การตกแต่งที่อยู่อาศัย สถานที่ท�างาน อาคาร ร้านค้า ทุกสิ่งเริ่มต้นด้วยการ ออกแบบ ออกแบบ ซึ่งจ�าเป็นต้องเข้าใจถึงความเป็นมา มา การพัฒนาทางการออกแบบ นาทางการออกแบบ หลักการออกแบบ หน้าที่ประโยชน์ใช้สอยและความงาม รวมเรี อยและความงาม รวมเรียกว่า การสร้ การสร้างสรรค์ศิลปะ จินตนาการและการแสดงออกของมนุษย์เกี่ยวกับการออกแบบมีความแตกต่างกันไปตาม ศักยภาพของแต่ละบุคคลทั้งด้านสติปัญญาและกระบวนการคิด การสร้างสรรค์งานรูปแบบ ใหม่ๆ ขึขึ้นมา มา ภายใต้ ภายใต้แรงบันดาลใจของผู้ออกแบบที่ค�านึงถึงความต้องการ ความสวยงาม ความ ทรง สี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจินตนาการ กลมกลืน ตลอดจนความลงตัวขององค์ประกอบด้านรูปทรง ที่มีรสนิยมม มีมีสีสัน และการน� และการน�าไปใช้ประโยชน์ ผลงานจากศิลปะของการออกแบบมี1ความแตกต่าง กันออกไปในแต่ละด้านน เช่ เช่น สถาปัตยกรรม การออกแบบตกแต่ง งานวิ งานวิจิตรศิลป์ แต่โดยพื้นฐาน ส�าคัญแล้ว งานออกแบบจะต้องมีสุนทรียภาพ ภาพ มีความสอดคล้องลงตัว รวมทั้งผู้สร้างสรรค์เอง จะต้องเข้าใจหลักการและมีความซาบซึ้งต่อความเป็นศิลปะ ปะ ความเข้าใจ และความรู้สึกเหล่านี ้ จะก่อให้เกิดผลงานทางศิลปะที่สมบูรณ์ยิ่ง 14

เกร็ดแนะครู ครูใหนักเรียนรวมกันศึกษาคนควาเพิ่มเติม โดยหาภาพตัวอยางผลงานเดนๆ ที่ใชสีเอกรงค ใชสีคูตรงขาม มาสรางสรรคผลงานใหดูแปลกตา นาสนใจ แลวนํา ตัวอยางภาพและขอมูลมาอภิปรายรวมกันในชั้นเรียน

นักเรียนควรรู 1 วิจิตรศิลป เปนงานศิลปะทีม่ จี ดุ มุง หมายเพือ่ ความงาม ความพอใจ มากกวา ประโยชนใชสอย อาจเรียกอีกอยางวา “ศิลปะบริสุทธิ์” เพราะศิลปนสรางสรรคงาน ขึ้นมาดวยความพอใจ ความบริสุทธิ์ใจ มิไดหวังผลตอบแทนใดๆ หรืออาจเพื่อ ประโยชนบาง แตก็เนนความละเอียดลออในการสรางสรรคใหวิจิตรงดงาม วิจิตรศิลป แบงออกเปน 8 ประเภท คือ จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปตยกรรม ภาพพิมพ สื่อผสม ศิลปะภาพถาย วรรณกรรม ดนตรี และนาฏศิลป

14

คูมือครู

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

ขอใดคือแนวคิดของการออกแบบที่ดี 1. มีราคาแพงที่สุด 2. สวยงามมากที่สุด 3. ทันสมัยมากที่สุด 4. ใชประโยชนไดมากที่สุด วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. เพราะแนวคิดของการออกแบบที่ดีจะเนนที่ ประโยชนใชสอยควบคูกับความงาม ซึ่งเรียกวา “การสรางสรรคงานศิลปะ” ดังนั้น การออกแบบที่ดีจึงควรออกแบบผลิตภัณฑใหสามารถใชประโยชน ไดมากที่สุดและดีที่สุด


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบายความรู

Explain

ใหนักเรียนกลุมที่ 1 ที่ศึกษาคนควาเกี่ยวกับ ความหมายและความสําคัญของการออกแบบ สงตัวแทน 2-3 คน ออกมาอธิบายความรูตามที่ได ศึกษามา หนาชั้นเรียน จากนั้นครูถามนักเรียนวา • การออกแบบมีความสําคัญตอชีวิตมนุษย อยางไร (แนวตอบ การออกแบบมีความสําคัญตอชีวิต มนุษย เชน ชวยในการปรับปรุงผลิตภัณฑ หรือผลงานใหมีความแปลกใหมมากขึ้น สามารถนํามาใชประโยชนและมี ความเหมาะสมกับการนํามาใชสอยมากขึ้น เปนตน) • การออกแบบสรางคุณคาทางอารมณ ความรูสึกไดอยางไร (แนวตอบ คุณคาของงานออกแบบที่มีผลตอ อารมณความรูสึก เปนคุณคาที่เนน ความชื่นชอบ พึงพอใจ สุขสบายใจ หรือ ความรูสึกนึกคิดดานอื่นๆ ที่ไมมีผลทาง ประโยชนใชสอยโดยตรง)

๒.1 ความหมายและความส�าคัญของการออกแบบ การออกแบบ หมายถึง การสร้างสรรค์สิ่งใหม่เพื่อประโยชน์และความงาม ด้วยการ น�าทัศนธาตุทางศิลปะและหลักการจัดส่วนประกอบของการออกแบบมาใช้ รวมถึงการปรับปรุง ของเดิมที่มีอยู่แล้วมาดัดแปลงให้เหมาะสมยิ่งขึ้น กระบวนการที่ส�าคัญที่สุดในงานสร้างสรรค์ประเภททัศนศิลป์นั้นจะดูดี สวยงาม แปลก ใหม่ สื่อความหมายได้ชัดเจนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการออกแบบ การออกแบบอย่างมีคุณภาพในงาน ผู้ออกแบบจะต้องมีความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนทักษะพื้นฐานในเรื่องของการใช้ทัศนธาตุและ หลักการออกแบบทางศิลปะมาเป็นองค์ประกอบหลักในกระบวนการสร้างสรรค์งาน จึงจะก่อให้เกิด ความงามในลักษณะต่างๆ ตามวัตถุประสงค์ได้ ดังนั้น การสร้างสรรค์สิ่ง1ใดก็ตาม สิ่งแรกที่ต้องท�า จากขัน้ ตอนแรกเป็นการออกแบบเป็นภาพจินตนาการในสมอง เป็ ตนาการในสมอง นการออกแบบ คือ การออกแบบ จากขั โดยการคิด จากนัน้ ก็ถา่ ยทอดความคิดนัน้ ออกมาเป็นรูปธรรมทีม่ องเห็นได้ อาจเป็นภาพหรือแบบ จ�าลองที่มีรูปทรง ขนาดสัดส่วน ให้สามารถมองเห็นผลงานที่จะสร้างได้อย่างชัดเจน นอกจากการเรียนรู้ถึงความหมายและความส�าคัญของการออกแบบแล้ว สิ่งที่ต้อง ค�านึงถึงก็คือ ลักษณะส�าคัญของการออกแบบ ซึ่งมีสาระส�าคัญ ดังนี้ ๑. ความสามารถในการปรับปรุงผลผลิตหรือผลงานทีม่ อี ยูเ่ ดิมให้ดแู ปลกใหม่มากขึน้

การออกแบบสวนด้วยการน�าทัศนธาตุทางศิลปะมาประยุกต์ใช้ ย่อมท�าให้ผลงานที่ออกมามีความสวยงาม แปลกใหม่ และกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมได้อย่างลงตัว

15

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

การออกแบบควรปฏิบัติตามแนวทางในขอใดจึงจะดีที่สุด 1. ทําตามอยางศิลปนที่มีชื่อเสียง 2. ใชความคิดสรางสรรคของตนเอง 3. ดูผลงานผูอื่นแลวนําไปประยุกต 4. เอาผลงานเดนๆ มาผสมรวมกัน

วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. การออกแบบที่ดีจะตองใชความคิด สรางสรรคของตนเองตามจินตนาการ โดยศึกษาคนควาและชมผลงาน ของศิลปนที่มีชื่อเสียง หรือศิลปนทานอื่นๆ ใหมาก เพื่อใหเห็นเทคนิค วิธีการเลือกใชวัสดุ อุปกรณ รวมทั้งแนวคิด เพื่อจะไดมีประสบการณ นํามา ออกแบบสรางสรรคดวยตนเอง ไมลอกเลียน หรือละเมิดผลงานของผูอื่น

เกร็ดแนะครู ครูเนนยํ้าใหนักเรียนเห็นถึงประโยชนที่ไดจากการออกแบบวา การออกแบบ สามารถชวยผอนคลายความตึงเครียด นํามาใชประโยชนไดตามลักษณะของงาน ยกระดับใหชิ้นงานที่ออกแบบมีความหรูหรา มีความงามเฉพาะตัว มีระดับ ไดมาตรฐาน เหมาะสมกับราคา และสรางความสะดวกสบายในการใชงาน

นักเรียนควรรู 1 ภาพจินตนาการ เปนเรื่องที่เกี่ยวของกับจินตภาพ คือ การสรางภาพใน สมอง หรือนึกคิดเปนภาพ ภาพจินตนาการจึงเกี่ยวของกับความคิดสรางสรรค อยางเลี่ยงไมได ถือเปนทักษะเบื้องตนของความคิดสรางสรรค

คูมือครู

15


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

Explain

ใหนักเรียนกลุมที่ 2 ที่ศึกษาคนควาเกี่ยวกับ พัฒนาการของการออกแบบ สงตัวแทน 2-3 คน ออกมาอธิบายความรูตามที่ไดไปศึกษามา หนาชั้นเรียน จากนั้นครูถามนักเรียนวา • เพราะเหตุใด จึงตองมีการพัฒนาการ ออกแบบในรูปแบบใหมๆ (แนวตอบ เพราะตองการใหงานออกแบบ มีความเหมาะสมกับยุคสมัย สามารถนํามาใช ประโยชนในชีวิตประจําวันไดสะดวกสบาย มากยิ่งขึ้น)

๒. ผลงานที่ออกแบบต้องสอดคล้องกับประโยชน์และหน้าที่ใช้สอย ๓. ผลงานมีความกลมกลืน มีสัดส่วนที่เหมาะสม มีลักษณะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ๔. มีการจัดองค์ประกอบที่งดงาม ๕. ผู้ออกแบบต้องมีความสามารถในการวางแผนด�าเนินการให้ตรงกับวัตถุประสงค์ ที่ก�าหนดขึ้น ตั้งแต่การเลือกวัสดุให้สอดคล้องกับรูปแบบตามที่คิดสร้างสรรค์ไว้

๒.๒ พัฒนาการของการออกแบบ ในอดีตกาล มนุษย์มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ มีวิถีชีวิตที่กลมกลืนกับธรรมชาติ มีการด�าเนินชีวิตอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามกาลเวลา ไม่มีการแข่งขันทางการค้าใดๆ ต่อมามนุษย์ เริ่มรู้จักแก้ปัญหาต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นการแก้ปัญหาหรือคิดหาสิ่งอ�านวยความสะดวกที่เกี่ยวกับ การใช้ชีวิตประจ�าวัน เช่น รู้จักหาสิ่งมาปกปิดร่างกาย สร้างที่พักอาศัย ท�าเครื่องมือเครื่องใช้ ในการประกอบอาชีพ การที่มนุษย์พยายามสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ และมีความคิดในการปรับปรุง ตนเอง รวมทั้งสภาพแวดล้อมอยู่เสมอ ถือได้ว่าเป็นการออกแบบเพราะรู้จักคิดสร้างสรรค์ สิ่งใหม่ๆ ขึ้นมา รู้จักคิดแก้ปัญหาโดยอาศัยสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการ ด�ารงชีพทั้งของตนเองและสังคม ซึ่งกล่าวได้ว่ามนุษย์มีการออกแบบตั้งแต่ยุคโบราณ แต่เป็นการ ออกแบบเพื่อการด�ารงชีวิตซึ่งยังไม่มีรูปแบบขั้นตอนหรือรูปลักษณ์ของงานออกแบบเช่นปัจจุบัน การออกแบบมีพัฒนาการตามยุคสมัยต่อๆๆ มา จากยุคสังคมเกษตรกรรมสู่ยุคสังคม อุตสาหกรรม สาหกรรม ในยุคสังคมอุตสาหกรรมได้มีความชัดเจนมากขึ้นในรูปลักษณ์ของงานออกแบบ

ในสมัยปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรปได้มีการน�าเครื่องจักรไอน�า้ ที่ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นได้มาใช้งาน ซึ่งถูกออกแบบโดยเน้น ประโยชน์ใช้สอยในการด�าเนินชีวิตของมนุษย์มากกว่าเน้นความงามทางศิลปะ

16

เกร็ดแนะครู ครูเชิญวิทยากรในทองถิ่นที่มีความรูความสามารถดานการออกแบบสินคา พื้นเมืองมาอธิบายความรูเกี่ยวกับขั้นตอนของการออกแบบ พรอมทั้งนําตัวอยาง ผลงานการออกแบบมาใหนักเรียนดู จากนั้นครูเปดโอกาสใหนักเรียนไดซักถาม ขอสงสัยและแสดงความคิดเห็น ซึ่งจะทําใหนักเรียนเกิดความรูความเขาใจในเรื่อง การออกแบบไดดียิ่งขึ้น

มุม IT นักเรียนสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักการออกแบบ ไดจาก http://www.gems.chanthaburi.buu.ac.th

16

คูมือครู

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

การออกแบบมีความหมายสัมพันธกับขอใด 1. การสรางสรรคผลงานที่แปลกใหมขึ้นมา 2. การประดิษฐคิดคนสิ่งใหมใหเกิดขึ้น 3. การสรางงานทุกประเภทที่คนยอมรับ 4. การสรางงานทุกประเภทไมมีขอบเขตกําหนด วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. การออกแบบเปนการสรางสรรคผลงาน ทัศนศิลปชิ้นใหมขึ้น ทั้งนี้เพื่อมุงประโยชนใชสอย หรือแสดงออก ซึ่งความงามใหผูอื่นไดรับรู สัมผัส ตลอดจนนําเอาผลงานเดิมที่มีอยูแลว มาตอยอดพัฒนาใหมีความสวยงาม หรือมีประสิทธิภาพมากขึ้น


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบายความรู

Explain

ใหนักเรียนกลุมที่ 3 ที่ศึกษาคนควาเกี่ยวกับ แนวคิดในการออกแบบ สงตัวแทน 2-3 คน ออกมา อธิบายความรูตามที่ไดศึกษามา หนาชั้นเรียน จากนั้นครูถามนักเรียนวา • แนวคิดในการออกแบบประกอบไปดวย สิ่งใดบาง (แนวตอบ แนวคิดจากธรรมชาติ แนวคิด จากประสบการณ และแนวคิดจากความรู ทางวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี) • นักเรียนคิดวา การรับรูความงามจาก ธรรมชาติและสิ่งแวดลอมของมนุษย แตละคนเหมือนกันหรือไม อยางไร (แนวตอบ ธรรมชาติและสิ่งแวดลอมรอบๆ ตัวเรามีความงามที่ใหความรูสึกแตกตาง กันไป ซึ่งคนเราก็สามารถรับรูความงามของ ธรรมชาติและสิ่งแวดลอมไดไมเหมือนกัน ขึ้นอยูกับทัศนคติ อารมณ ความรูสึก และ ประสบการณทางทัศนศิลปของแตละบุคคล)

สร้างสรรค์เพราะเป็นระยะเวลาทีม่ คี วามเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการ โดยเฉพาะสาขาฟิสกิ ส์ในเรือ่ ง แรงโน้มถ่วง พลังงานไฟฟ้า แสง เสียง คุณสมบัติจากวิทยาการสาขาต่างๆ ได้ถูกน�ามาใช้ให้เกิด ประโยชน์ทางการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องจักรกลเพื่อการผลิต ผลงานการออกแบบจึงเป็นลักษณะ ของช่างฝีมือหรืองานฝีมือมากกว่าการให้ความส�าคัญกับความงามทางศิลปะ ซึ่งมีผลกระทบ โดยตรงต่อลักษณะงานออกแบบและวิธีการท�างานของศิลปิน การออกแบบทางเครือ่ งจักรท�าให้ได้ผลงานทีม่ รี ปู ลักษณะและรูปแบบทีม่ กี ระแสต่อต้าน ว่าไร้รสนิยม อุตสาหกรรมการผลิตสินค้าจึงต้องเร่งระดมบรรดาศิลปิน ช่างฝีมือ และผู้ผลิต ประสานกันเพื่อการพัฒนารูปแบบที่ผลิตด้วยเครื่องจักรกล ให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีรูปแบบของงาน ศิลปะสร้างสรรค์นอกเหนือจากประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก กระแสการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงของศิลปะการออกแบบจึงก้าวเข้าสู่ยุคของ การแข่งขันกันระหว่างคู่แข่งในตลาดเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ภายหลังได้พัฒนาการออกแบบ มาเป็ น เจาะจงเฉพาะประเภท เช่ น ออกแบบรู ป ลั ก ษณ์ ข องภาพยนตร์ อาคารบ้ า นเรื อ น ด้วยเหตุนี้ นักออกแบบสมัยใหม่จึงต้องมีความรอบรู้ทั้งทางวิทยาการในแต่ละศาสตร์ และมี ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ควบคู่กันไป ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ เป็นต้นมา งานออกแบบถือ ได้ว่าเป็นอาชีพหนึ่งที่จะต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านการออกแบบในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะ และเป็นอาชีพที่มีรายได้สูงไม่แพ้อาชีพส�าคัญอื่นๆ

๒.3 แนวคิดในการออกแบบ การสร้างสรรค์ผลงานของมนุษย์นนั้ มีสิ่งต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องท�าให้เกิดแนวคิด ในการออกแบบ ซึง่ ประกอบด้วยเรือ่ งดังต่อไปนี้

๑) แนวคิดจากธรรมชาติ

ธรรมชาติ นั้ น นั บ ว่ า เป็ น ปั จ จั ย ส� า คั ญ ต่ อ การ ออกแบบเพราะสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติประกอบ ไปด้ ว ยรู ป ทรงที่ มี รู ป ลั ก ษณะสมบู ร ณ์ ล งตั ว และรู ป ทรงที่ มี ร ายละเอี ย ดสลั บ ซั บ ซ้ อ นทั้ ง ลีลา จังหวะ และสีสันสวยงาม เป็นสิ่งที่มีอยู่ ในธรรมชาติทั้งประเภทไม่มีชีวิตและประเภท มีชีวิต เช่น คน สัตว์ พืช ก้อนหิน ภูเขา ล�าธาร ผิวน�้าที่พลิ้วไหว ซึ่งนับเป็นแนวคิดที่ได้จาก ธรรมชาติ

ธรรมชาติทปี่ ระกอบไปด้วยรูปทรงต่างๆ ล้วนมีสว่ นท�าให้ เกิดแนวคิดในการออกแบบของมนุษย์

EB GUIDE 1๗

http://www.aksorn.com/LC/Va/M4/04

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

การออกแบบจะตองมุงตอบสนองหลักการตามขอใด 1. มีความงามและประโยชนใชสอย 2. มีความเชื่อทางศาสนาผสมผสานอยู 3. เปนสิ่งแปลกใหมไมเคยมีผูใดทํา 4. ทันสมัย สอดคลองกับสภาพสังคม

วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. การออกแบบที่ดีนอกจากจะตองมี ความงดงามเปนที่ถูกตาตองใจของบุคคลทั่วไปแลว สิ่งสําคัญจะตองมี ประโยชนใชสอยดวย ไมวาจะเปนเพื่อใชงานในชีวิตประจําวัน หรือเพื่อใช ประดับตกแตงสถานที่ใหมีความสวยงาม

เกร็ดแนะครู ครูใหนักเรียนชวยกันยกตัวอยางผลงานทัศนศิลปที่นําเอาแนวคิดในธรรมชาติ มาสรางสรรคผลงาน จากนั้นครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักการเขียนภาพธรรมชาติ และสิ่งแวดลอม ดังนี้ 1. วางแผนในการวาด เลือกทิวทัศนธรรมชาติ และสิ่งแวดลอมมาเปนตนแบบ โดยหา มุมมองที่เหมาะสมและสวยงามที่สุด สําหรับวาด 2. รางภาพ ใชดินสอเขียนโครงรางของภาพ ทั้งหมด โดยคํานึงถึงความเหมาะสมกับ หนากระดาษ รูปราง รูปทรง ขนาด และสัดสวน 3. ลงเสนหนักและระบายสี ใชดินสอ หรือพูกันจุมสีลงเสนของภาพใหมี ความชัดเจนยิ่งขึ้น จากนั้นระบายสีใหสวยงาม คูมือครู

17


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

Explain

ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับแนวคิด จากประสบการณและแนวคิดจากความรูทาง วิทยาศาสตรและเทคโนโลยีตามที่ไดศึกษามา จากนั้นครูถามนักเรียนวา • ประสบการณในอดีตสามารถนํามาสรางงาน ศิลปะไดอยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดอยางอิสระ ครูอธิบายเพิ่มเติมวา นักเรียนสามารถนํา ความรูที่ไดรับจากประสบการณในอดีตมา ดัดแปลงออกแบบผลงานศิลปะในรูปแบบเดิม ใหทันยุคสมัยมากขึ้นได แตควรที่จะคง เอกลักษณของผลงานเอาไว) • วิทยาศาสตรและเทคโนโลยีมีสวนชวย ในการสรางงานศิลปะอยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดอยางอิสระ ครูอธิบายเพิ่มเติมวา นักเรียนสามารถนํา เทคโนโลยีเขามาใชในการออกแบบ เพื่อความสะดวก รวดเร็ว แมนยํา และมี ประสิทธิภาพมากขึ้น)

แม้ว่าความวิจิตรงดงามที่เกิดจากธรรมชาติเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถจะสร้างสรรค์ ให้เหมือนได้ แต่มนุษย์ก็ได้อาศัยข้อมูลต่างๆ จากธรรมชาติมาใช้ในงานออกแบบ ซึ่งจะมี กระบวนการกลั่นกรอง ขัดเกลา ปรับเปลี่ยน ดั ด แปลงให้ เ หมาะสม กลมกลื น ตรงตาม วัตถุประสงค์ของงานออกแบบ

๒) แนวคิดจากประสบการณ์

ประสบการณ์จากการศึกษาค้นคว้า สะสมความรู้ เกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์หรืองานออกแบบต่างๆ ที่อยู่รายรอบนั้นเชื่อมโยงกับประสบการณ์ใหม่ ของตน สิ่งต่างๆ ที่เราได้พบเห็นและเรียนรู้มา ล้วนได้ผ่านการออกแบบมาแล้วทั้งสิ้น ซึ่งนัก ออกแบบจะได้รับประสบการณ์ในการออกแบบ สะสมกันเรื่อยมา บางอย่างก็เป็นประสบการณ์ ทีเ่ คยเป็นผลงานในอดีตแล้วน�ามาปรับปรุงใหม่ เช่น หม้อดินเผา รูปร่างลักษณะของหม้อดินเผา 1 (ภาพบน) หม้อดินเผาสมัยก่อนประวัติศาสตร์ (ภาพ ในปัจจุบันกับอดีตอาจจะแตกต่างกันไปบ้าง ล่าง) หม้อดินเผาในสมัยปจจุบัน จะเห็นได้ว่าโครงสร้าง มีความคล้ายคลึงกัน อันเป็นผลมาจากประสบการณ์ที่ แต่โครงสร้างใหญ่ๆ ก็ยังคงคล้ายคลึงกับหม้อ สั่งสมถ่ายทอดและปรับปรุงสืบต่อๆ กันมา ดินเผาในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ๓) แนวคิดจากความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในปัจจุบันวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีมีความเจริญก้าวหน้าขึ้นอย่างมากและรวดเร็ว โดยเฉพาะการน�าคอมพิวเตอร์ มาใช้ในการออกแบบ ท�าให้เกิดความสะดวกสบายและมีความแม่นย�าสูงในการคิดค�านวณ เช่น การออกแบบสิ่งก่อสร้าง ผู้ออกแบบสามารถคิดค�านวณการรับน�้าหนักจากการใช้ความโค้ง ที่ก่อขึ้นจากการเรียงอิฐก้อนเล็กๆ ต่อกัน และยังค�านวณการถ่ายแรงจากหลังคาไปตามส่วนโค้ง ลงสู่เสาหรือก�าแพงได้ ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่ต้องอาศัยประสบการณ์เฉพาะตนของผู้ออกแบบ เพียงอย่างเดียว ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสามารถประสานกลมกลืน ได้กับจินตนาการทางศิลปะในการออกแบบเพื่อประดิษฐ์หรือสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ประโยชน์ที่ แลเห็นได้เด่นชัดในการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เพื่อการออกแบบก็คือ ความรวดเร็วของการ ออกแบบและการปรับแก้ไขแบบ ซึ่งจะมีความประณีต แม่นย�า ดังได้กล่าววมาแล้วในข้างต้น 18

เกร็ดแนะครู ครูใหนักเรียนศึกษาประวัติของศิลปนไทยที่สรางสรรคผลงานทางทัศนศิลป โดยไดรับแรงบันดาลใจจากประสบการณชีวิต เชน พิษณุ ศุภนิมติ ร ไดรบั แรงบันดาลใจในการสรางสรรคผลงาน จิตรกรรมและภาพพิมพ โดยมีเนื้อหาสอดแทรกเรื่องราวจาก ประสบการณที่ไดพบเห็น รวมถึงความประทับใจระหวาง การเดินทางและทองเที่ยวไปในสถานที่ตางๆ เปนตน

นักเรียนควรรู 1 หมอดินเผาสมัยกอนประวัติศาสตร เครื่องปนดินเผาบานเชียงเปนเครื่องปน ดินเผาของไทยสมัยกอนประวัติศาสตร ขุดคนพบที่บานเชียง จังหวัดอุดรธานี แบงออกไดเปน 3 สมัย คือ สมัยตน (อายุประมาณ 5,600 - 3,000 ป) สมัยกลาง (อายุประมาณ 3,000 - 2,300 ป) และสมัยปลาย (อายุประมาณ 2,300 - 1,800 ป)

18

คูมือครู

กิจกรรมสรางเสริม ใหนักเรียนนําประสบการณของตัวเองมาถายทอดเปนภาพวาด คนละ 1 ภาพ ทําลงกระดาษวาดเขียน พรอมเขียนบรรยายใตภาพ

กิจกรรมทาทาย ใหนักเรียนสรางสรรคผลงานศิลปะโดยใชความรูทางวิทยาศาสตรและ เทคโนโลยีตามจินตนาการของตนเอง มาคนละ 1 ผลงาน พรอมเขียน บรรยายแนวคิดในการออกแบบหรือแรงบันดาลใจในการออกแบบผลงาน ของตนเองมาพอสังเขป


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบายความรู

Explain

ใหนักเรียนกลุมที่ 4 ที่ศึกษาคนควาเกี่ยวกับ หลักการออกแบบ สงตัวแทน 2-3 คน ออกมา อธิบายความรูตามที่ไดศึกษามา หนาชั้นเรียน จากนั้นครูถามนักเรียนวา • หลักการออกแบบที่ดีจะตองคํานึงถึงสิ่งใด เปนสําคัญ (แนวตอบ การออกแบบที่ดีตองคํานึงถึง ความเปนเอกภาพ ความสมดุล ความกลมกลืน การเนน ความขัดแยง การซํ้า จังหวะ และสัดสวน) • เพราะเหตุใด จึงมีคํากลาววาโครงสราง เปนสวนสําคัญของงานทั้งหมด (แนวตอบ นักเรียนสามาถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ ครูอธิบายเพิ่มเติมวา เพราะ โครงสรางประกอบไปดวยสวนประธาน ที่เปนหลักของงาน กับสวนรองซึ่งเปน องคประกอบที่เนนใหเห็นความเดนของ ประธาน ทั้งสองสวนนี้จะตองเสริมและ สัมพันธกัน จึงจะทําใหงานสมบูรณแบบ มากขึ้น)

๒.4 หลักในการออกแบบ แม้ว่าจุดมุ่งหมายของการออกแบบส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นด้านประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก แต่ต้องค�านึงถึงความงามควบคู่กันไปด้วย รวมทั้งการเลือกวัสดุที่เหมาะสมและประหยัด พื้นฐาน ที่ใช้ในการออกแบบประกอบด้วย เส้น แสง-เงา สี ช่วงจังหวะ ลักษณะพื้นผิว รูปร่าง รูปทรง ความสมดุล ความกลมกลืน มีเอกภาพ มีสัดส่วนที่เหมาะสม โดยอาจจะใช้แนวคิดจากธรรมชาติ เข้ามาช่วย หรือเป็นความคิดสร้างสรรค์ที่เกิดจากประสบการณ์ ดังนั้น การออกแบบให้เกิด ความงามจึงต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจและกระบวนการการปฏิบัติควบคู่กันไป จึงจะบรรลุ วัตถุประสงค์ของการน�าไปใช้ หลักทีจ่ ะเป็นแนวทางส�าหรับการออกแบบเพือ่ ให้มคี ณุ ค่าทางความงามจะต้องพิจารณา ถึงประเด็นต่างๆ ดังต่อไปนี้ ๑) โครงสร้างทั้งหมด โครงสร้าง หมายถึง ตัววัสดุ ระนาบที่รองรับ รวมทั้ง ความคิดที่น�ามาใช้ในการออกแบบ เช่น การถ่ายทอดรูปแบบ เรื่องราว การใช้วัสดุ คุณสมบัติ ของวัสดุและสื่อที่ใช้ เป็นต้น โครงสร้างนับเป็นส่วนส�าคัญทัง้ หมดของงาน ซึง่ ประกอบด้วย ๒ ส่วน คือ ส่วนประธาน ซึ่งเป็นส่วนที่เป็นหลักของงาน กับ ส่วนรอง ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่ช่วยเน้นให้เห็นความเด่น ความส�าคัญของส่วนประธาน การเน้นของส่วนรองอาจมีลักษณะขัดแย้งกับส่วนประธานก็ได้ แต่ทั้งสองส่วนจะต้องช่วยเสริมและสัมพันธ์กันเพื่อท�าให้งานดูสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

1

ภาพ “Gleaners” (คนเก็บข้าวตก) ผลงานของชอง-ฟรองซัว มีเล ซึ่งเน้นให้ส่วนประธาน คือ ชาวนา จะอยู่ในต�าแหน่ง ฉากหน้า เพื่อให้เป็นจุดสนใจของภาพ

19

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

ขอใดไมใช เกณฑหรือตัวชี้วัดที่แสดงถึง “ความพึงพอใจในการออกแบบ” 1. ความสวยงามแปลกใหม 2. ประโยชนในการใชสอย 3. การเลียนแบบมาจากสิ่งอื่น 4. แนวคิดในการออกแบบที่ดี

วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เพราะการเลียนแบบผลงานศิลปะมาจาก สิ่งอื่น ไมสามารถสรางความพึงพอใจในการออกแบบได แตหากงานนั้น ถูกสรางมาจากความคิดสรางสรรคของตนเองยอมจะสรางความพึงพอใจ ไดมากกวา

นักเรียนควรรู 1 ชอง-ฟรองซัว มีเล หรือฌ็อง-ฟร็องซัว มีเล จิตรกรชาวฝรั่งเศสเปนหนึ่งใน ผูกอตั้งตระกูลการเขียนบารบิซง (Barbizon school) ในชนบทฝรั่งเศส มีเลมีชื่อเสียงในการเขียนภาพชาวนา จากภาพ “Gleaners” (คนเก็บรวงขาว) ที่เขียนขึ้นใน ค.ศ. 1857 เปนภาพของหญิงชาวนาสามคนกมเก็บรวงขาวที่ตกอยู ในทุงเพื่อนําไปเปนอาหาร ซึ่งเปนภาพที่ไมมีเนื้อเรื่อง ไมมีนาฏกรรม เปนแคเพียง ภาพชาวนาธรรมดาในทองทุงที่ไปเก็บรวงขาวที่ตกหลน หลังจากที่เจาของที่นา เก็บเกี่ยวผลผลิตดีๆ ไปแลว ในฉากหลังจะยังคงเห็นเจาของที่นาและกรรมกร ปรากฏอยู มีเลหันเหจุดสนใจ หรือหัวเรื่องจากผูมีฐานะดีไปยังผูคนที่มีฐานะตํ่าตอย ในสังคม โดยไมไดเขียนใบหนา เพื่อเนน “ความไมมีตัวตน” (anonymity) และ “ความเปนคนนอกวง” (marginalized position) ของชาวนา รางที่คุมลงแสดงถึง การเปนผูที่ตองเผชิญกับงานหนักเปนประจํา คูมือครู

19


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

Explain

ครูสุมตัวอยางนักเรียน 2-3 คน ใหตอบคําถาม ตอไปนี้ • คําวา “เอกภาพในงานศิลปะ” มีความหมาย วาอยางไร (แนวตอบ ความเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน ขององคประกอบศิลป ทั้งดานรูปลักษณะ และดานเนื้อหาเรื่องราว เปนการประสาน หรือจัดระเบียบสวนตางๆ ใหเกิด ความเปนหนึ่งเดียวกัน เพื่อผลรวมอันไมอาจ แบงแยกสวนใดสวนหนึ่งออกได) • นักเรียนคิดวา ภาพวาดที่ขาดความสมดุล จะกอใหเกิดสิ่งใด (แนวตอบ ภาพจะสะทอนใหเห็นถึงความรูสึก ที่แตกตางกัน เชน หากภาพมีความสมดุล เทากัน ก็จะใหความรูสึกที่มั่นคง แข็งแรง แตถาเปนภาพที่มีลักษณะสมดุลไมเทากัน ภาพที่ปรากฏก็อาจมีความนาสนใจมากกวา ภาพแบบสมดุลที่เทากัน แตความรูสึกที่มั่นคง จะนอยกวา เปนตน) • ประโยชนของความกลมกลืนในงานทัศนศิลป คือสิ่งใด (แนวตอบ การใชความกลมกลืนเปนตัวกลาง หรือตัวประสานทําสิ่งที่มีความขัดแยงกัน หรือสิ่งที่มีความแตกตางกันใหอยูรวมกันได เชน สีดํากับสีขาวเปนนํ้าหนักที่ตัดกัน อยางรุนแรง มีความขัดแยงกันอยางสิ้นเชิง ก็ใชนํ้าหนักเทา หรือนํ้าหนักออน-แกระหวาง สีขาวกับสีดํา มาเปนตัวประสานใหสีดํา และสีขาวมีความกลมกลืนกัน เปนตน)

๒) ความเปนเอกภาพ (Unity) การออกแบบที่มีเอกภาพเป็นการน�าเอาทัศนธาตุ

ทางศิลปะ เช่น เส้น รูปทรง แสงเงา สี ลักษณะพื้นผิว มาประกอบกันให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อมองดูแล้วจะท�าให้เกิดความรู้สึกเป็นกลุ่ม ก้อน ไม่แตกแยกกระจัดกระจาย จึงจะเป็นการ จัดองค์ประกอบที่ดี

๓) ความสมดุ ล (Balance)

หมายถึง การจัดส่วนประกอบให้ซา้ ยขวาเท่ากัน หรือรู้สึกเท่ากัน สามารถแบ่งลักษณะสมดุล ออกเป็น ๒ แบบ ดังนี้ ๓.๑) สมดุ ล โดยเหมื อ นกั น ทั้ง ๒ ด้าน (Symmetrical Balance) สมดุล แบบนี้จะเห็นได้ชัดจากสิ่งมีชีวิตเป็นส่วนมาก เช่ น โครงสร้ า งของมนุ ษ ย์ แ ละสั ต ว์ และ ทัชมาฮัล ผลงานสถาปตยกรรมที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ของอินเดีย ซึ่งออกแบบให้มีความสมดุลเหมือนกัน สถาปัตยกรรมหลายแห่ง เป็นการออกแบบ ทั้ง ๒ ด้าน ที่ไม่ยุ่งยาก ดูง่าย เพราะเมื่อลากเส้นแกนดิ่ง ตรงกึ่งกลางภาพ จะเห็นว่าส่วนของภาพที่ถูกแบ่งทั้งสองข้างเหมือนกัน สมดุลแบบนี้ให้ความ รู้สึกมั่นคง แข็งแรง ตรงไปตรงมา ๓.๒) สมดุลโดยทั้ง ๒ ด้านไม่เหมือนกัน (Asymmetrical Balance) สมดุล แบบนีเ้ ป็นการจัดภาพให้ทงั้ ๒ ด้านไม่เหมือนกัน เมือ่ แบ่งด้วยเส้นแกนดิง่ กึง่ กลาง แต่ความสมดุล เกิดขึ้นได้ด้วยความรู้สึกตามที่ตาเห็น เป็นการ จัดภาพทีต่ อ้ งอาศัยความรูค้ วามเข้าใจในการใช้ ทัศนธาตุและองค์ประกอบศิลป์อย่างมาก เช่น การถ่วงน�้าหนักด้วยรูปทรง สี เส้น หรือความ เด่นของลักษณะพื้นผิว

๔) ความกลมกลืน (Harmony)

คือ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในด้านการประสาน สั ม พั น ธ์ ที่ เ ข้ า กั น ได้ ข องส่ ว นประกอบหรื อ ทัศนธาตุต่างๆ เมื่อมองดูแล้วจะให้ความรู้สึก ที่ไม่ขัดแย้ง จึงเกิดความรู้สึกที่ดีต่องานนั้นๆ

1

ภาพ “The Last Supper” (พระกระยาหารมือ้ สุดท้าย) ผลงานของเลโอนาร์โด ดา วินชี ซึ่งจัดวางภาพให้เกิด ความสมดุล โดยทั้ง ๒ ด้านไม่เหมือนกัน

๒0

นักเรียนควรรู 1 พระกระยาหารมื้อสุดทาย เปนภาพจิตรกรรมฝาผนังทีใ่ ชการวาดภาพเทคนิค ปูนเปยก (fresco) ของเลโอนารโด ดา วินชี ที่มอบใหแก ดยุค โลโดวิโค สฟอรซา (Lodovico Sforza) เปนภาพที่มาจากพระกระยาหารคํ่ามื้อสุดทายของพระเยซู กอนที่พระองคจะถูกนําไปตรึงกางเขน ซึ่งเปนขอมูลที่มาจากคัมภีรไบเบิล ภาพวาดนี้ถือเปนภาพวาดที่มีขนาดใหญที่สุดของเลโอนารโด ดา วินชี ทีย่ งั คงสภาพใหเห็นไดในปจจุบนั และยังถือไดวา เปนหนึง่ ในบรรดาจิตรกรรมฝาผนัง ที่รูจักกันดีทั่วโลก

มุม IT นักเรียนสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับความสมดุลกับการออกแบบ ไดจาก http://www.cyberclass.msu.ac.th

20

คูมือครู

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

ความเปนเอกภาพของงานศิลปะแบงออกไดเปนประเภทใดบาง แนวตอบ สามารถแบงออกไดเปน 2 ประเภท คือ 1. เอกภาพของการแสดงออก หมายถึง การแสดงออกที่มีจุดมุงหมายเดียว แนนอนและมีความเรียบงาย งานชิ้นเดียวจะแสดงออกหลายความคิด หลายอารมณไมได จะทําใหสับสน ขาดเอกภาพ 2. เอกภาพของรูปทรง คือ การรวมตัวกันอยางมีดุลยภาพและมีระเบียบ ขององคประกอบทางศิลปะ เพื่อใหเกิดเปนรูปทรงที่สามารถแสดง ความคิดเห็น หรืออารมณของศิลปนออกมาอยางชัดเจน เอกภาพของ รูปทรงเปนสิ่งสําคัญที่สุดตอความงามของผลงานศิลปะ เพราะเปนสิ่งที่ ศิลปนใชเปนสื่อในการแสดงออกถึงเรื่องราว ความคิด และอารมณ


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบายความรู

ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการเนน ตามที่ไดศึกษามา จากนั้นครูถามนักเรียนวา • เพราะเหตุใด ในงานออกแบบจึงตอง มีการเนนเขามาเปนสวนประกอบสําคัญ (แนวตอบ เพราะจะทําใหเกิดจุดเดน ซึ่งงานออกแบบที่ดีนั้นจะตองใหความสําคัญ แกสวนใดสวนหนึ่งโดยเฉพาะ การเนน จึงมีบทบาทสําคัญในการสงเสริมใหเกิด ความนาสนใจ เพิ่มความงามและคุณคาให แกงานออกแบบนั้น สิ่งที่ตองคํานึงถึง คือ 1. เนนจุดเดนใหเหมาะกับประโยชนใชสอย 2. เนนใหเกิดความสวยงาม 3. เนนเพื่อสื่อความหมาย)

ลักษณะของความกลมกลืนมีหลายชนิด เช่น ความกลมกลืนด้วยเส้น รูปร่าง รูปทรง ขนาด สี ทิศทาง ลักษณะพื้นผิว เป็นต้น ๕) การเน้น (Emphasis) หมายถึง การจัดส่วนประกอบให้น่าสนใจ มีจุดสนใจ เด่นชัด จะท�าให้งานออกแบบมีความงามสมบูรณ์ยงิ่ ขึน้ ส�าหรับส่วนประกอบทีน่ า� มาจัดด้วยวิธกี าร ต่างๆ มีดังนี้ ๕.๑) การเน้นด้วยเส้น รูปร่าง รูปทรง และขนาด เป็นการเน้นด้วยลักษณะ ของความแตกต่างและความกลมกลืนของส่วนประกอบต่างๆ ในการออกแบบ เช่น อาจเน้นเส้น รูปร่าง รูปทรงที่ออกแบบให้เป็นส่วนส�าคัญ มีความเด่นด้วยขนาดที่แตกต่างหรือใหญ่เป็นพิเศษ กว่าส่วนอื่น จะท�าให้น่าสนใจ ๕.๒) การเน้นด้วยพื้นผิว โดยการใช้ลักษณะพื้นผิวที่มีความขัดแย้งหรือใช้ลักษณะ ตัดกัน เช่น พื้นผิวที่หยาบกับละเอียด ความขรุขระกับความเรียบ ความมันแวววาวกับความด้าน หรือใช้ลักษณะพื้นผิวลักษณะใดลักษณะหนึ่งที่มีปริมาณมากกว่าลักษณะอื่น ซึ่งจัดวางอยู่ใน ต�าแหน่งที่น่าสนใจ ๕.๓) การเน้นด้วยสี ในการจัดภาพทางศิลปะ จ�าเป็นต้องน�าเอาทฤษฎีสีมาใช้ เพื่อให้งดงาม สีเป็นทัศนธาตุที่ส�าคัญที่น�ามาใช้ควบคู่กันไปกับการเน้นด้วยรูปร่าง รูปทรง ขนาด และพื้นผิว เช่น ใช้ความเข้มของสี การใช้สีคู่ตรงข้าม และการใช้สีวรรณะเย็นหรือสีวรรณะอุ่น

ภาพ1“Mona Lisa” (โมนา ลิซา) ผลงานของเลโอนาร์โด ดา วินชี เน้นด้วยเส้น รูปร่าง รูปทรง และขนาด

2

ภาพ “The Thinker” (นักคิด) ผลงานของโอกูสต์ โรแดง เน้น ด้วยพื้นผิว

Explain

ภาพ “ดอกไม้” ผลงานของ บุญยิ่ง เอมเจริญ เน้นด้วยสี โดยใช้ สี คู ่ ต รงข้ า มตั ด กั น ให้ เกิดความสวยงาม

๒1

ขอสอบ

O-NET

ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับการจัดองคประกอบศิลป ภาพโมนาลิซา (Monalisa) ของเลโอนารโด ดา วินชี (leonaldo da Vinci) มีการใชสิ่งใดในการจัดองคประกอบศิลปมากที่สุด 1. ความสมดุล 2. ความกลมกลืน 3. เนนสีตางวรรณะกัน 4. เนนดวยเสนใหเกิดระยะ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. ภาพโมนาลิซา (Monalisa) ของ เลโอนารโด ดา วินชี ใชเทคนิคการจัดวางองคประกอบศิลปที่หลากหลาย แตผสมกลมกลืนกันไดอยางลงตัว โดยสิ่งที่นํามาใชมากที่สุดในการจัด องคประกอบศิลปของภาพโมนาลิซา คือ ความกลมกลืน ไมวาจะเปน แสงเงา โทนสี บรรยากาศ และเรื่องราวในภาพ ไมมีสวนใดที่แสดงออกถึง ความขัดแยงจนรูสึกแปลกตา

นักเรียนควรรู 1 โมนาลิซา เปนภาพวาดสีนํ้ามัน สูง 77 เซนติเมตร กวาง 53 เซนติเมตร วาดโดย เลโอนารโด ดา วินชี (ค.ศ. 1452 - ค.ศ. 1519) เปนภาพที่ทั่วโลกรูจักกันดี ในฐานะสุภาพสตรีที่มีรอยยิ้มอันเปนปริศนาที่ไมมีใครรูวาเธอยิ้ม หัวเราะ หรือรองไห ปจจุบันภาพนี้เก็บรักษาอยูที่พิพิธภัณฑลูฟร (Musée du Louvre) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส 2 นักคิด เปนประติมากรรมบรอนซและหินออนที่เปนรูปชายนั่งคิด เหมือนมีความขัดแยงภายในและมักใชเปนสัญลักษณของปรัชญา สรางโดย โอกูสต โรแดง ประติมากรชาวฝรั่งเศส ปจจุบันตั้งแสดงอยูที่พิพิธภัณฑโรแดง กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

คูมือครู

21


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

Explain

ใหนกั เรียนรวมกันอภิปรายเกีย่ วกับความขัดแยง การซํา้ จังหวะ และสัดสวนตามทีไ่ ดศกึ ษามา จากนัน้ ครูถามนักเรียนวา • ความขัดแยงกันในงานศิลปะแบงออกเปน กี่ประเภท อะไรบาง (แนวตอบ แบงออกเปน 2 ประเภท คือ ความขัดแยงดานสวนประกอบของ ทัศนธาตุ ไดแก ความตัดกันของเสน รูปราง รูปทรง แสงเงา พื้นที่วาง สี และพื้นผิว และความขัดแยงตามธรรมชาติ ไดแก ความตัดกันซึ่งเกิดขึ้นโดยธรรมชาติในคน พืช สัตว เชน การตัดกันของสีดอกไม สรางความเดนและความสวยงาม เปนตน) • การซํ้าในงานทัศนศิลปมีวิธีการใดบาง (แนวตอบ การสรางภาพดวยวิธีการซํ้าทําได หลายวิธี ไมวาจะเปนการซํ้าดวยองคประกอบ ที่มองเห็น ไดแก รูปราง ขนาด สี และพื้นผิว สัมผัส รวมไปถึงการซํ้าดวยความสัมพันธของ องคประกอบ ไดแก ทิศทาง ตําแหนง ที่วาง และแรงดึงดูด) • จังหวะในงานทัศนศิลปแบงออกเปนกีป่ ระเภท อะไรบาง (แนวตอบ แบงออกเปน 4 ประเภท คือ 1. การจัดจังหวะแบบซํ้ากัน 2. การจัดจังหวะแบบสลับไปมา 3. การจัดจังหวะแบบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 4. การจัดจังหวะแบบไหลลื่น) • สัดสวนในงานทัศนศิลปแบงออกเปนกีป่ ระเภท อะไรบาง (แนวตอบ แบงออกเปน 2 ประเภท คือ 1. สัดสวนที่เปนมาตรฐานจากรูปลักษณะ ตามธรรมชาติของคน สัตว และพืช 2. สัดสวนจากความรูสึก)

๖) ความขัดแย้ง (Contrast) หมายถึง ลักษณะที่ตรงกันข้าม ขัดกัน เพื่อเป็น

การแก้ปัญหาที่มีลักษณะซ�้าๆ ไม่น่าสนใจ แต่ท�าให้มีส่วนที่ขัดแย้งกันตามความเหมาะสม จึงท�า ให้กลับมาน่าสนใจ อาจแสดงออกโดยใช้ความขัดแย้งด้วยเส้น รูปร่าง รูปทรง ขนาด สี และ ทิศทางของทัศนธาตุก็ได้

แสดงลักษณะการซ�้ากันของรูปร่าง เป็นการประสาน สัมพันธ์ของรูปร่าง

แสดงลักษณะที่มีความขัดแย้งของรูปร่างตรงกลางของ ภาพ ท�าให้ภาพน่าสนใจขึ้นและยังเป็นการเน้นความ เด่นชัดให้เกิดขึ้นที่รูปร่างตรงกลางของภาพอีกด้วย

๗) การซ�้า (Repetition) หมายถึง การจัดทัศนธาตุที่ต้องการให้มีช่องไฟ หรือ

จังหวะเท่าๆ กัน ถ้าหากการซ�้ามีจ�านวนมากก็ควรใช้ความขัดแย้งกันเข้าช่วย เพื่อไม่ให้ผลงาน เกิดซ�้าซากจนท�าให้ดูน่าเบื่อหน่าย ๘) จังหวะ (Rhythm) ในทาง ศิลปะ หมายถึง ความสัมพันธ์ของทัศนธาตุ เช่น เส้น สี รูปร่าง รูปทรง น�้าหนัก ในลักษณะ ของการซ�้ากันสลับไปมาหรือลักษณะลื่นไหล เคลือ่ นไหวไม่ขาดระยะ จังหวะทีม่ คี วามสัมพันธ์ ต่อเนือ่ งกันจะช่วยเน้นให้เกิดความเด่น อธิบาย ให้เข้าใจโดยง่ายก็คือ การจัดวางทัศนธาตุไว้ เป็นช่วงห่างเท่าๆ กัน หรือมีระยะของการวาง รูปแบบ ลวดลาย มีลักษณะเป็นแนวที่ต้องการ ความเป็นระเบียบสวยงาม จังหวะอาจจะมีการ ลวดลายที่ปรากฏบนผ้าไหม แสดงให้เห็นถึงจังหวะ เปลี่ยนแปลงไปบ้างแต่ต้องให้สัมพันธ์กัน ที่มีลักษณะสลับกันไปมาอย่างเป็นระเบียบต่อเนื่องกัน

๒๒

EB GUIDE

http://www.aksorn.com/LC/Va/M4/05

กิจกรรมสรางเสริม

เกร็ดแนะครู ครูควรนําภาพผลงานทัศนศิลปที่แสดงใหเห็นถึงความขัดแยง การซํ้า และ จังหวะ มาใหนักเรียนดู เชน

ใหนักเรียนรวบรวมภาพผลงานศิลปะที่สะทอนใหเห็นถึงความขัดแยง การซํ้า และจังหวะ พรอมเขียนคําบรรยายใตภาพ จัดทําเปนสมุดภาพ ตกแตงใหสวยงาม

กิจกรรมทาทาย ความขัดแยง

การซํ้า

จังหวะ

จากนั้นใหนักเรียนฝกวิเคราะหลักษณะของภาพวา มีความแตกตางกันอยางไร และการใชองคประกอบดังกลาวสรางอารมณความรูสึกตอภาพเชนไร

22

คูมือครู

ใหนักเรียนสรางสรรคผลงานศิลปะโดยใชความรูเรื่องความขัดแยง การซํ้า และจังหวะ ตามจินตนาการของตนเอง มาคนละ 1 ภาพ พรอมเขียนคําบรรยายลักษณะของผลงานไวใตภาพ


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

Engage

Explore

Explain

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

Expand าใจ ขยายความเข

Evaluate ตรวจสอบผล

ขยายความเขาใจ

Expand

ใหนักเรียนนําขอมูลเกี่ยวกับหลักการออกแบบ ที่ไดจากการศึกษาคนความารวมกันจัดนิทรรศการ ในหัวขอ “ศิลปะความงามจากการออกแบบงาน ทัศนศิลป” โดยเสริมภาพประกอบและตกแตงให สวยงาม

จังหวะมีอยู่ทั่วไปในธรรมชาติ การเต้นของหัวใจ การเกิด การเติบโต การดับไปของ ชีวิตก็เป็นจังหวะ จังหวะในงานศิลปะเป็นการซ�้าอย่างมีเอกภาพและความหมาย เป็นกฎอันหนึ่ง ของเอกภาพที่เกิดจากการซ�้าของรูปทรง

ตรวจสอบผล

Evaluate

ครูพิจารณาจากผลงานการจัดนิทรรศการ ในหัวขอ “ศิลปะความงามจากการออกแบบงาน ทัศนศิลป” ดานความถูกตอง ความคิดสรางสรรค และความสวยงาม การซ�า้ ของเส้นตัง้ ท�าให้เกิดจังหวะและความเคลือ่ นไหว

การซ�้าของเส้นลูกคลื่น ท�าให้เกิดความเคลื่อนไหวและ จังหวะที่ต่อเนื่อง

การซ�้ากับจังหวะล้วนมีความสัมพันธ์กัน เมื่อมีการซ�้าของทัศนธาตุพร้อมกับการจัด จังหวะช่องไฟไปด้วย เป็นวิธีการจัดที่เกี่ยวข้องกับหลักทางด้านองค์ประกอบศิลป์ ๙) สัดส่วน (Proportion) หมายถึง การเปรียบเทียบความสัมพันธ์ขนาดของ นาดของ โดยให้มีความสัมพันธ์กับงานและการใช้สอย เช่ อย เช่น การ การ รูปร่าง รูปทรงต่างๆ ที่ใช้ในการออกแบบ โดยให้ หาสัดส่วนที่เหมาะสมสวยงามของรูปทรงสี่เหลี่ยม หมายถึง ความสัมพันธ์ที่สวยงามของด้านน กว้างและด้านยาว หรือการเปรียบเทียบส่วนของการใช้ขนาดของรูปทรงที่นา� มาใช้ในการจัดภาพ ภาพ หรือในการออกแบบสิ่งของเครื่องใช้ ก็จ�าเป็นต้องค�านึงถึงขนาดที่สัมพันธ์กับการใช้งานจริง ถ้ถ้ามี ความสัมพันธ์เหมาะสมกันดี ก็หมายความถึงการมีสัดส่วนที่ดี หลักการต่างๆ ที่ใช้ในการออกแบบเพื่อการสร้างคุณค่าทางความงามจึงมีส่วน ช่วยให้งานมีความน่าสนใจ น่าสัมผัส การที่จะออกแบบให้มีความงามได้นั้นจ�าเป็นต้องอาศัย ประสบการณ์และรู้จักสังเกตพิจารณางานต่างๆ เหล่านั้นว่ามีความงามในลักษณะใดบ้างง 1การ สร้างสรรค์งานให้มีความงามจะต้องเข้าใจเรื่องทัศนธาตุทางศิลปะและองค์ประกอบศิลป์เป็น อย่างดี นอกจากจะก่อให้เกิดประโยชน์ทางการใช้สอยแล้วยังช่วยให้สามารถใช้วัสดุได้อย่างง คุ้มค่า ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ความงามของสิ่งที่สร้างสรรค์อาจเกิดจากการประดับตกแต่ง อย่างพิถีพิถันหรือออกแบบอย่างเรียบง่ายก็ได้ เพียงแต่ผู้สร้างสรรค์รู้จักใช้องค์ประกอบให้เป็นไป ตามหลักการเท่านั้น ก็ท�าให้เกิดความงามได้ ๒3

ขอสอบ

O-NET

ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับหลักการจัดองคประกอบศิลป ขอใดไมใช หลักการจัดองคประกอบศิลป 1. เอกภาพ 2. จินตนาการ 3. ความสมดุล 4. จุดสนใจ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. เพราะจินตนาการเปนกระบวนการคิด สรางภาพในสิ่งที่ไมเคยพบไมเคยเห็น เปนการคิดในสิ่งที่แปลกใหมที่จะนํา ไปสูกระบวนการสรางสรรคสิ่งใหม หรือมีรูปแบบใหมซึ่งไมอาจประเมินได จากตัวผลงาน

นักเรียนควรรู 1 องคประกอบศิลป เปนการนําสวนประกอบตางๆ ของทัศนธาตุ เชน จุด เสน รูปราง รูปทรง ขนาด สัดสวน แสงเงา สี ชองวาง และพื้นผิว มาสรางสรรค เปนผลงาน การเรียนรูองคประกอบศิลปจึงเปนพื้นฐานสําคัญในการสรางสรรค ผลงานศิลปะทุกแขนง เพื่อใหเกิดความงาม หรือสื่อความหมายทางศิลปะได โดยยึดหลักการ ดังนี้ 1. เอกภาพ (Unity) 2. ความสมดุล (Balance) 3. จังหวะ จุดเดน (Dominance) 4. ความกลมกลืน (Harmony) 5. ความขัดแยง (Contrast) 6. ขนาด สัดสวน (Size & Proportion)

คูมือครู

23


กระตุน ความสนใจ

สํารวจคนหา Exploreนหา สํารวจค

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

กระตุEngage นความสนใจ

กระตุน ความสนใจ

Engage

ครูใหนักเรียนดูภาพการออกแบบหองนอน ในลักษณะตางๆ จากนั้นครูถามนักเรียนวา • นักออกแบบจะตองมีความรูความเขาใจ เกี่ยวกับทัศนศิลปสาขาใดบาง (แนวตอบ ความรูในสาขาวิจิตรศิลปและ ประยุกตศิลป)

สํารวจคนหา

๓. ประเภทของงานออกแบบ การออกแบบทางศิลปะแบ่งออกเป็น ๒ สาขาใหญ่ๆ คือ สาขาวิจิตรศิลป์ (Fine Art) และ สาขาประยุกต์ศิลป์ (Applied Art) ทั้ง ๒ สาขานี้แตกต่างกันในด้านวัตถุประสงค์ของงาน ที่สร้างสรรค์ สาขาวิจิตรศิลป์เป็นศิลปะที่สร้างขึ้นเพื่อชื่นชมในคุณค่าของศิลปะโดยตรง มิได้มุ่งไป ที่ประโยชน์อย่างอื่น ส่วนสาขาประยุกต์ศิลป์นั้นมุ่งเน้นประโยชน์ใช้สอยเป็นส�าคัญ งานออกแบบ ทางศิลปะที่จัดเป็นประเภทประยุกต์ศิลป์ แบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ดังนี้

Explore

3.1 การออกแบบตกแต่งภายใน

1 การออกแบบตกแต่งภายใน หมายถึ ภายใน ง การออกแบบและการจัดตกแต่งโดยน�าเอาวัตถุ เครื่องใช้ เครื่องเรือน มาจัดวางให้เป็นระเบียบแบบแผนตามหลักการจัดทางศิลปะให้เกิดคุณค่า ทางความงามควบคู่ไปกับประโยชน์ใช้สอย ในบรรดาศิลปะการตกแต่งทั้งหลาย การตกแต่งภายในอาคารถือได้ว่าเป็นศิลปะการ ตกแต่งหลักของอาคาร เนื่องจากเป็นการจัดผังหรือจัดห้องให้เหมาะสมกับชีวิตความเป็นอยู่ของ เราเอง และแสดงให้เห็นในเรื่องการพัฒนารสนิยมทางด้านความเป็นอยู่ ศิลปะการออกแบบ ตกแต่งภายในยังแบ่งออกได้ดังนี้ ๑) ศิลปะการตกแต่งภายในอาคารพักอาศัย เช่น บ้าน อพาร์ตเมนต์หรือแฟลต ห้องแถวหรือทาวน์เฮาส์ โรงแรม ซึ่งแต่ละชนิดก็มีหลักของศิลปะการตกแต่งใกล้เคียงกัน

ใหนักเรียนศึกษาคนควาเกี่ยวกับประเภท ของงานออกแบบ จากแหลงเรียนรูตางๆ เชน หนังสือเรียน หองสมุด อินเทอรเน็ต เปนตน ในหัวขอที่ครูกําหนดให ดังนี้ 1. การออกแบบตกแตงภายใน 2. การออกแบบผลิตภัณฑ 3. การออกแบบสื่อสาร 4. การออกแบบสิ่งพิมพ 5. การออกแบบสัญลักษณ 6. การออกแบบโปสเตอร

อาคารพักอาศัยจ�าเป็นต้องใช้ศิลปะการตกแต่งเพื่อให้เกิดความสวยงาม กลมกลืน ดูเป็นธรรมชาติ

๒4

เกร็ดแนะครู ครูใหนักเรียนออกแบบตกแตงที่พักอาศัยตามจินตนาการของตนเอง หรือครูอาจกําหนดโจทยใหนกั เรียนออกแบบตกแตงหองนอน หองนํา้ หรือหองตางๆ ภายใตแนวคิดใดแนวคิดหนึ่ง หรือกําหนดวัสดุ อุปกรณที่ใชในการตกแตง เชน ตองมีเครื่องเรือน ภาพวาด โคมไฟ ตนไม หรืออื่นๆ ประกอบในการออกแบบ เปนตน โดยใหออกแบบลงกระดาษวาดเขียน นําผลงานสงครูผูสอน

นักเรียนควรรู 1 การออกแบบตกแตงภายใน บุคคลที่ทําหนาที่นี้ เรียกวา “มัณฑนากร” ซึ่งนอกจากการออกแบบตกแตงแลว มัณฑนากรยังมีหนาที่พิจารณาเลือกใชสี จัดหาเฟอรนิเจอร วัสดุอุปกรณตางๆ ที่จะทําใหอาคารนาอยูอาศัย โดยคํานึงถึง ความงาม ความประหยัด และประโยชนใชสอย

24

คูมือครู

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

การออกแบบหองใหดูกวางขึ้นควรทําอยางไร 1. เลือกใชสีนํ้าเงินเปนหลัก 2. เลือกใชสีขาวเปนหลัก 3. เลือกใชสีเทาเปนหลัก 4. เลือกใชสีชมพูเปนหลัก วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. เพราะสีขาวเมื่อมองดวยตาเปลาจะทําให เรารูสึกถึงความสงบ เรียบงาย กวาง สวาง สะอาด ดังนั้น หากตองการ ใหหองดูกวางมากขึ้น ควรทาหองดวยสีขาว หรือเลือกใชเฟอรนิเจอรสีขาว ในการตกแตงหอง


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบายความรู

ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับ การออกแบบตกแตงภายใน การออกแบบ ผลิตภัณฑ การออกแบบสื่อสาร การออกแบบ สิ่งพิมพ การออกแบบสัญลักษณ การออกแบบ โปสเตอร ตามที่ไดศึกษามา หนาชั้นเรียน จากนั้น ครูถามนักเรียนวา • การตกแตงที่พักอาศัยตองใชศิลปะ ในการออกแบบประเภทใด (แนวตอบ ศิลปะการออกแบบตกแตงภายใน) • การออกแบบตกแตงภายในแบงออกได เปนกี่ประเภท อะไรบาง (แนวตอบ แบงออกไดเปน 4 ประเภท คือ ศิลปะการออกแบบตกแตงภายในที่พักอาศัย ศิลปะการออกแบบตกแตงภายในอาคาร ประเภทอื่นๆ เชน อาคารเรียน อาคาร สํานักงาน เปนตน ศิลปะการออกแบบ ตกแตงภายในสําหรับการจัดงาน และ ศิลปะการออกแบบตกแตงสวนภายในบาน หรือภายในอาคาร) • นักเรียนเคยออกแบบตกแตงหองนอนของ ตนเองหรือไม ถาเคย นักเรียนใชวิธีการ อยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ)

๒) ศิลปะการตกแต่งภายในอาคารประเภทอืน่ ในปัจจุบนั ระบบวิถชี วี ติ ของมนุษย์

ในสังคมบังคับให้ต้องไปท�างานนอกบ้าน ในวัยเยาว์ก็ไปโรงเรียนเพื่อการศึกษาเล่าเรียน อาคาร ส�าหรับการประกอบอาชีพของมนุษย์ อาคารทางการศึกษาเล่าเรียนจึงเกิดขึ้นมากมาย การ ตกแต่งภายในก็มักจะดูโอ่อ่ามั่นคงหรือเป็นแบบเรียบง่าย ออกแบบได้หลากหลายตามรสนิยมที่ เหมาะส�าหรับคนทัว่ ๆ ไป เช่น อาคารส�านักงาน อาคารธุรกิจ อาคารเรียน อาคารห้องสมุด เป็นต้น

๓) ศิ ล ปะการตกแต่ ง ภายใน ส�าหรับการจัดงาน มนุษย์ทุกหมู่เหล่าย่อม

มี ป ระเพณี วั ฒ นธรรมของสั ง คมและมั ก จะมี การร่วมกันจัดงานในโอกาสต่างๆ กัน เช่น งานเลี้ยงพิธีมงคลสมรส งานพิธีทางศาสนา งานแสดงผลงานหรือนิทรรศการ ซึ่งต้องมีการ จัดตกแต่งสถานที่ให้เกิดความรู้สึกหรูหราหรือ ได้บรรยากาศที่เหมาะสมกับงาน ตลอดจน ตกแต่งเวทีสา� หรับการแสดงหรือเพือ่ ด�าเนินการ ตามพิธีต่างๆ ของงาน

Explain

ในการจั ด ป า ยนิ เ ทศ ผู ้ จั ด ควรท� า ความเข้ า ใจเรื่ อ ง องค์ประกอบศิลป เพื่อสร้างความรู้สึกต่างๆ ให้แก่ผู้ดู

1

๔) ศิลปะการตกแต่งสวนภายในบ้านหรือภายในอาคาร จากวัฒนธรรมของ

ความเป็นอยู่และดินฟ้าอากาศมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์อย่างมาก มนุษย์ทุกสังคมมี แนวคิ ด ในศิลปะการตกแต่งภายในอาคารที่ แตกต่างกัน แต่มีสิ่งที่คล้ายคลึงกัน คือ ความ ต้องการใกล้ชิดกับธรรมชาติ ในวิถีชีวิตของ สังคมไทยแม้วา่ จะมีโอกาสใช้ชวี ติ กลางแจ้งมาก แต่ก็ยังมีสังคมเฉพาะที่ด�าเนินชีวิตท่ามกลาง ความแออัดยัดเยียดในเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพมหานคร ทีพ่ กั อาศัยถูกจ�ากัดด้วยความคับแคบ ของบริเวณ จึงมีความคิดในการดึงธรรมชาติ เข้าไปในอาคารด้วยการใช้ศิลปะการตกแต่ง ภายในอาคารโดยการจัดสวนหย่อม สวนถาด หรือไม้ดัด ไม้กระถาง เป็นงานออกแบบที่ ส�าหรับที่พักอาศัยที่มีเนื้อที่จ�ากัด ผู้พักอาศัยสามารถ น�าหลักการออกแบบมาใช้ตกแต่งภายใน เพื่อให้เกิด มีส่วนช่วยให้เกิดความรู้สึกพักผ่อน รื่นรมย์ ความรู้สึกพักผ่อนและรื่นรมย์ สงบร่มเย็น ๒5

กิจกรรมสรางเสริม ใหนักเรียนรวบรวมภาพการตกแตงภายในทั้ง 4 ประเภท โดยคนหา จากสื่ออินเทอรเน็ต หนังสือ นิตยสารตางๆ มาจัดทําเปนสมุดภาพ ตกแตงใหสวยงาม

กิจกรรมทาทาย ใหนักเรียนทดลองออกแบบจัดสวนหยอมภายในบริเวณบาน ตามจินตนาการของตนเอง โดยทําลงกระดาษวาดเขียน พรอมเขียน บรรยายใตภาพ จากนั้นออกมานําเสนอผลงานหนาชั้นเรียน

เกร็ดแนะครู ใหนักเรียนรวมกันเตรียมฝากลองขนาด A4 นํามาบรรจุทราย สมมติวาเปน สวนถาดภายในบาน ครูกําหนดใหเลือกใชเศษวัสดุ หรือใบไมใบหญาในทองถิ่น มาดัดแปลงออกแบบจัดลงในฝากลองที่เตรียมไว จากนั้นใหนักเรียนออกมาอธิบาย แนวคิดในการออกแบบ ลักษณะเดนที่ตองการเนน และประโยชนที่ไดรับจาก การมีสวนถาดภายในบาน หนาชั้นเรียน

นักเรียนควรรู 1 ศิลปะการตกแตงสวนภายในบานหรือภายในอาคาร ดวยเหตุที่ในปจจุบัน พื้นที่ใชสอยในเมืองมีจํากัด ผูคนอาศัยอยูในพื้นที่แคบ หรือคอนโดมิเนียมมากขึ้น จึงเกิดความคิดสรางสรรคในการเพิ่มพื้นที่สีเขียว ดวยการออกแบบเปนสวนแนวตั้ง โดยนําตนไมแขวนไวกับโครงที่แข็งแรง ซึ่งปจจุบันกําลังเปนที่นิยมมาก คูมือครู

25


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

Explain

ครูขออาสาสมัครนักเรียน 2-3 คน ใหตอบคําถาม ตอไปนี้ • ประโยชนของการออกแบบผลิตภัณฑคอื อะไร (แนวตอบ คุณประโยชนของการออกแบบ ผลิตภัณฑมีหลายดาน เชน สรางเอกลักษณ สินคา ทําใหเกิดสัมผัสและการรับรูที่ดี ตอองคกรผานการใชผลิตภัณฑ ทําใหเกิด การพัฒนาผลิตภัณฑเดิมใหเกิดประโยชน ใชสอยที่ดีขึ้น เปนตน) • การออกแบบสื่อสารที่ดีมีลักษณะอยางไร (แนวตอบ ตองมีความเหมาะสมและสอดคลอง กับจุดมุงหมายของการนําไปใช งายตอ การทําความเขาใจ การนําไปใชงาน และกระบวนการผลิตมีสัดสวนที่ดี และเหมาะสมตามสภาพการใชงานของสื่อ มีความกลมกลืนของสวนประกอบ ตลอดจน สอดคลองกับสภาพแวดลอมของการใช และการผลิตสื่อ)

3.๒ การออกแบบผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ หมายถึง การผลิตสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ การออกแบบผลิตภัณฑ์จึงเป็น การน�าเอาหลักการออกแบบมาสร้างสรรค์ ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ต่างๆ หรือสินค้าให้เกิดลักษณะเด่น สะดุดตา ดึงดูดความสนใจ ผู้บริโภคเห็นแล้วอยากจะซื้อ จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันงานออกแบบ มีความส�าคัญอย่างมากต่อการผลิตสินค้าใน เชิงธุรกิจการค้า จึงมีการพัฒนาการออกแบบ ให้ก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง เช่น นาฬิกา โทรศัพท์มือถือ รถยนต์ เป็นต้น ซึ่งล้วนมี รูปแบบใหม่ๆ ที่สะดุดตา

3.3 การออกแบบสื่อสาร การพัฒนาการออกแบบสินค้าให้มีรูปโฉมแปลกใหม่ สะดุดตา เพื่อดึงดูดให้ผู้บริโภคมาซื้อสินค้า จะท�าให้ องค์กรธุรกิจได้รับประโยชน์ทางการค้า

ป้ายโฆษณา และการแพร่ภาพทางโทรทัศน์

สื่อสาร หมายถึง การส่งข่าวสาร ข้ อ มู ล ของฝ่ า ยหนึ่ ง ไปสู ่ อี ก ฝ่ า ยหนึ่ ง การ ออกแบบสื่อสารเป็นการออกแบบที่มุ่งให้สื่อที่ ส่งไปนั้นเข้าใจง่าย จดจ�าง่าย ดึงดูดความสนใจ ด้วยวิธีการจัดท�าเป็นแผ่นป้ายภาพสัญลักษณ์

3.4 4 การออกแบบสิ่งพิมพ์ ศิลปะการพิมพ์หรือสิ่งพิมพ์ตรงกับค�าในภาษาอังกฤษว่า Graphic arts or Graphics กล่าวในด้านวิจิตรศิลป์ หมายถึง กระบวนการสร้างสรรค์ที่ท�าให้เกิดรูปถอดแบบจ�านวนมากซึ ่ง 1 เหมือนกับผลงานพิมพ์ต้นแบบ แบบ ต้นแบบที่เกิดจากการเขียนน การวาด การแกะสลักเป็นลายเส้น เป็นร่องแล้วใช้นา�้ กรดกัดให้เกิดเป็นเส้นหรือร่องบนพืน้ ผิวระนาบนัน้ การพิมพ์ทางด้านวิจติ รศิลป์นี้ เป็นศิลปะภาพพิมพ์อนั เป็นการพิ2มพ์ภาพทางด้านทัศนศิลป์ทแี่ สดงออกถึงความงดงามเป็นส�าคัญ ในด้านพาณิชยศิลป์แล้ว ค�าว่า ศิลปะการพิมพ์ หรือเรียกว่า ศิลปะทางสิ่งพิมพ์นั้น ถูกใช้ในความหมายที่กว้างขวางกว่า ซึซึ่งรวมกระบวนการพิมพ์ทุกแขนงทั้งที่เป็นการพิมพ์ของสื่อ สิง่ พิมพ์ทใี่ ช้ดา้ นการพาณิชย์ และยังรวมเอาการพิมพ์ทนี่ า� ไปใช้ผลิตหนังสือพิมพ์และผลงานศิลปะ อย่างไรก็ตาม าม กว่าจะได้ผลงานทางศิลปะเกี่ยวกับสิ่งพิมพ์ที่มีความสมบูรณ์ได้นั้นจะ จะ ต้องเริ่มต้นด้วยรอยขีดเขียนจนกลายเป็นลวดลาย ลวดลาย เป็นตัวอักษรหรือรูปภาพต่างๆ งๆ แล้วน�ามาจัด วางตามหลักของการออกแบบทางศิลปะ ปะ สิ่งที่ได้ คือ ความงามและประโยชน์ 3 ของการน�าไปใช้ ผลงานทางศิลปะเกี่ยวกับสิ่งพิมพ์หลายๆ ชนิดนี้ รวมเรียกว่า นินิเทศศิลป์ ๒6

นักเรียนควรรู 1 การแกะสลัก เปนวิธีการเอาสวนยอยออกจากสวนรวม เหลือไวเฉพาะ สวนที่ตองการ ผลงานที่ไดเรียกวา “รูปสลัก” ในทางทัศนศิลปการแกะสลัก สวนใหญจะใชวัสดุที่มีเนื้อไมแข็งมากนัก เชน ปูนปลาสเตอร ปูนผสมทราย ไมเนื้อออน เปนตน 2 พาณิชยศิลป งานออกแบบที่เนนเกี่ยวกับการคาขาย การตลาด กอนการออกแบบผลงานจะตองศึกษาความตองการของลูกคาและตัวสินคา ใหชัดเจน เพื่อจะไดออกแบบไดตรงตามวัตถุประสงค 3 นิเทศศิลป งานศิลปะเพื่อการนําเสนอใหปรากฏในรูปแบบตางๆ ผานการมองเห็นเปนสําคัญ

26

คูมือครู

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

การออกแบบสินคามีความสําคัญอยางไร 1. สรางเอกลักษณใหกับสินคา 2. ลดตนทุนในการผลิตสินคา 3. ยืดอายุการใชงานของสินคา 4. สรางสัมพันธภาพระหวางผูผลิตกับผูบริโภค วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. การพัฒนาการออกแบบสินคามีวตั ถุประสงค เพื่อสรางเอกลักษณใหกับสินคา ทําใหเกิดการพัฒนาสินคาใหมี ความแปลกใหม สะดุดตา หรือมีความโดดเดนจากสินคาตัวอื่นที่อยูใน กลุมเดียวกัน เพื่อดึงดูดใจผูบริโภคใหซื้อสินคา


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบายความรู

Explain

1. ใหนักเรียนแบงออกเปน 4 กลุม ศึกษาคนควา เกี่ยวกับการออกแบบสิ่งพิมพ ในหัวขอที่ครู กําหนดให ดังนี้ 1. ความสําคัญของการออกแบบสิ่งพิมพ 2. ประโยชนของการออกแบบสิ่งพิมพที่มีตอ ธุรกิจการคา 3. หลักการดําเนินงานออกแบบสิ่งพิมพ 4. สวนประกอบในงานออกแบบสิ่งพิมพ 2. ครูถามนักเรียนวา • หากนักเรียนตองการออกแบบสิ่งพิมพ นักเรียนจะตองเรียนรูใ นเรือ่ งองคประกอบใด ของการออกแบบสิ่งพิมพบาง (แนวตอบ องคประกอบที่ตองคํานึงถึง อาทิ 1. วัสดุที่ใชพิมพ 2. แบบและขนาดตัวพิมพ 3. วิธีการผลิต 4. การจัดชองไฟ 5. การจัดแนวตัวพิมพ 6. ความกวางของตัวพิมพที่เหมาะสม กับแถว บรรทัดหรือคอลัมน 7. การกําหนดตนฉบับใหพอดีกับเนื้อที่ 8. ที่วางสําหรับหัวเรื่อง เนื้อเรื่อง และภาพ 9. กําหนดแถวตัวพิมพ 10. การใชเสนและกรอบ 11. ภาพประกอบ 12. การใชสี)

งานออกแบบนิเทศศิลป์จึงเป็นการเรียนรู้ในสาขาที่มีความหลากหลายของชนิด สิ่งพิมพ์ที่นักเรียนควรเรียนรู้เพื่อเป็นพื้นฐานของอาชีพและโดยเฉพาะการศึกษาต่อในระดับ อุดมศึกษา ซึ่งมีสาขาการออกแบบนิเทศศิลป์เปิดท�าการเรียนการสอนอย่างแพร่หลายในสถาบัน การศึกษาหลายแห่ง เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดด้านธุรกิจในยุคอุตสาหกรรมและ วิทยาการสมัยใหม่ ส�าหรับค�าว่า การออกแบบสิง่ พิมพ์ หรือ Graphic Design จากทัศนะของนักการศึกษา ทางด้านศิลปะและนักออกแบบได้ให้ความหมาย ดังนี้ การออกแบบสิ่งพิมพ์ คือ ๑. ผลงานการออกแบบลักษณะต่างๆ เพื่อให้ผู้คนได้อ่าน เช่น หนังสือ วารสาร นิตยสาร การโฆษณา ภาพยนตร์ โทรทัศน์ นิทรรศการ เป็นต้น ๒. ผลงานการออกแบบที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบเครื่องหมาย และการออกแบบ เกี่ยวกับการพิมพ์ต่างๆ ที่ใช้ในวงการอุตสาหกรรม ๓. ผลงานการออกแบบเพื่อการเผยแพร่ มุ่งชักชวน เรียกร้อง หรือเผยแพร่ ผลิตภัณฑ์ การบริการ และเสนอความคิดต่างๆ งานออกแบบบรรจุภัณฑ์ งานโฆษณา ซึ่งเป็น งานในลักษณะสิ่งพิมพ์ จากความหมายของการออกแบบสิง่ พิมพ์ดงั กล่าว เราจะเห็นขอบข่ายงานทีก่ ว้างขวาง เป็นการออกแบบที่สัมพันธ์กับทัศนศิลป์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการออกแบบระนาบ ๒ มิติ และ มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการออกแบบนิเทศศิลป์ในอันที่จะต้องเตรียมการเพื่อน�าเสนอข่าวสาร ต่อผู้ดู ผู้อ่าน ให้สามารถรับรู้ความหมายและแปลความได้ทางสายตาผ่านสื่อกลางต่างๆ เช่น ตัวอักษร เครื่องหมาย สัญลักษณ์ รูปภาพ และรูปแบบอื่นๆ ซึ่งต้องผ่านกรรมวิธีขีดเขียน การ พิมพ์ การบันทึกภาพ รวมทั้งเทคนิคการสร้างภาพต่างๆ โดยใช้เครื่องมือ เครื่องจักรกล ให้เกิด เป็นรูปร่างที่ประณีต เรียบร้อย สวยงาม เพื่อใช้ติดต่อสื่อสารและโน้มน้าวจิตใจของกลุ่มเป้าหมาย ตามที่ต้องการได้ การออกแบบสิ่งพิมพ์มีความสัมพันธ์กันกับการออกแบบสื่อสาร (Communication Design) เพราะการออกแบบสิง่ พิมพ์เป็นส่วนหนึง่ ในกระบวนการออกแบบสือ่ สาร ได้แก่ ภาพถ่าย ภาพยนตร์ วีดิทัศน์ หรือการถ่ายภาพไปสู่จอโทรทัศน์ การออกแบบที่ต้องใช้สิ่งพิมพ์เข้ามา เกี่ยวข้องนั้นรวมถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ ซึ่งเป็นการสื่อสารไปถึงกลุ่มเป้าหมาย สิ่งที่ควรค�านึงถึงอย่างมากก็คือ ผู้ออกแบบจะต้องมีทักษะในการท�างาน มีแนวคิดที่ก้าวหน้า ทันสมัยทั้งความรู้ ประสบการณ์และเทคนิคต่างๆ EB GUIDE ๒๗

http://www.aksorn.com/LC/Va/M4/06

กิจกรรมสรางเสริม ใหนักเรียนเขียนวิเคราะหความสําคัญขององคประกอบของสิ่งพิมพ อยางนอย 1 ประเภท พรอมตัวอยางผลงาน ลงกระดาษรายงาน

กิจกรรมทาทาย ใหนักเรียนออกแบบสิ่งพิมพตามความสนใจของตนเอง มาคนละ 1 ชิ้นงาน แลวออกมานําเสนอผลงานหนาชั้นเรียน

เกร็ดแนะครู ครูอธิบายความรูเพิ่มเติมเกี่ยวกับองคประกอบของการออกแบบสิ่งพิมพวา ผูอ อกแบบสิง่ พิมพตอ งนําองคประกอบของงานออกแบบมาใชในการออกแบบสิง่ พิมพ เพื่อใหงานออกแบบออกมาสมบูรณ สวยงาม ใชเปนสื่อไดอยางมีประสิทธิภาพ

บูรณาการอาเซียน ใหนักเรียนหาตัวอยางผลงาน หรือภาพประกอบเกี่ยวกับการออกแบบผลิตภัณฑ การออกแบบสื่อสาร การออกแบบสิ่งพิมพของประเทศสมาชิกอาเซียน จากแหลง เรียนรูตางๆ แลวนํามาจําแนกประเภทใหชัดเจนวาเปนผลงานการออกแบบอะไร มาจากประเทศใด จากนั้นรวมกันอภิปรายวาการออกแบบดังกลาวมีความนาสนใจ อยางไร มีเอกลักษณอะไรบาง นักเรียนมีความรูสึกชื่นชอบตอการออกแบบผลงาน ดังกลาวมากนอยเพียงใด โดยครูคอยอธิบายเสริมเพิ่มเติมขอมูล คูมือครู

27


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

Explain

ใหนักเรียนกลุมที่ 1 สงตัวแทนออกมาอธิบาย ความรูเกี่ยวกับความสําคัญของการออกแบบ สิ่งพิมพตามที่ไดศึกษามา จากนั้นครูถามนักเรียน วา • การออกแบบสิ่งพิมพมีประโยชนตอสังคม และชีวิตมนุษยอยางไร (แนวตอบ การออกแบบสิ่งพิมพมีประโยชน ตอสังคมและชีวิตมนุษยหลายดาน เชน มีสวนสรางสรรคขอตกลงรวมกันของคน ในสังคม ชวยเสริมสรางขาวสารใหสะดุดตา ชวยสงเสริมความเจริญกาวหนาทางธุรกิจ การคาและอุตสาหกรรม เปนตน) • การออกแบบสิ่งพิมพใหมีความสวยงามนั้น จะตองยึดหลักการทํางานในเชิงศิลปะอยางไร (แนวตอบ ตองคํานึงถึงเรื่องของสัดสวน ความสมดุล ความแตกตาง ความมีเอกภาพ การจัดวางรูปราง การใชรูปแบบที่ซํ้ากัน ในการจัดวางสวนประกอบตางๆ การผสมกลมกลืน และการเนนจุดสนใจ)

๑) ความส�าคัญของการออกแบบสิ่งพิมพ์ การออกแบบสิ่งพิมพ์เกิดขึ้นมานาน

พร้อมกับวิวัฒนาการทางการสื่อสารของมนุษย์ จากเพียงเพื่อสื่อความหมายให้เข้าใจก็พัฒนา มารวมกับความงามของการออกแบบด้วย การสื่อความหมาย การเผยแพร่ข่าวสาร และความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ไปยังผู้รับสาร ในลักษณะของการสื่อสารด้วยลายเส้นหรือการวาดภาพ ซึ่งรูปแบบก็มีลักษณะแตกต่างกันไป ตามความเจริญก้าวหน้าของสังคมในแต่ละยุค ความนิยม ตลอดจนทักษะความสามารถและ ภูมิปัญญาของนักออกแบบในแต่ละช่วงเวลา จึงนับว่าการออกแบบสิ่งพิมพ์มีส่วนช่วยพัฒนา สร้างสรรค์สังคมและชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้ ๑.๑) การออกแบบสิ่งพิมพ์มีส่วนสร้างสรรค์ข้อตกลงร่วมกันของคนในสังคม ในสังคมมนุษย์ องค์ประกอบส�าคัญแห่งการด�ารงอยู่ของคนหมู่มาก คือ การมีความเคารพใน ระเบียบ กฎเกณฑ์ ที่มีการยอมรับเป็นข้อตกลง เป็นแนวประพฤติปฏิบัติร่วมกัน อาจเป็นการ ตกลงด้วยวาจา ด้วยตัวอักษร หรือความเชือ่ ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีทสี่ บื ทอดต่อกันมา ไม่ว่าจะเป็นข้อตกลงร่วมกันประเภทใดก็ตาม ข้อตกลงที่เกิดขึ้นนั้นจะต้องเป็นสิ่งที่สามารถรับรู้ เข้าใจ จดจ�า และปฏิบัติได้ ดังนั้น การออกแบบสิ่งพิมพ์จึงได้เข้ามามีส่วนช่วยเสริมสร้างการรับรู้ทางการ มองเห็น เป็นสื่อกลางช่วยการรับรู้ในข้อตกลง ต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพ มีความชัดเจน ซึ่งมี ผลทางด้านจิตวิทยาที่ต้องจ�าไว้เป็นข้อเตือนใจ และข้อควรระวังในระบบระเบียบ กฎเกณฑ์ ที่ จ ะปฏิ บั ติ ต ่ อ กั น และกั น สื บ ไป เพื่ อ ความ คงอยู่ของสังคมที่ร่มเย็นโดยปรากฏออกมา 1 เป็นเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์และข้อตกลง ต่างๆ เช่น เครื่องหมายบอกทิศทางคมนาคม เครื่องหมายการจราจร สัญลักษณ์สื่อความ หมายต่างๆ คือ ห้ามใช้เสียง ระวังของแตก ห้ามเปียกน�้า ซึ่งเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ ต่างๆ เหล่านี้ จะต้องอาศัยการออกแบบให้มี ขนาดรูปทรงและสีที่ชัดเจน มีความประณีต สัญลักษณ์สื่อความหมายต่างๆ ควรมีการออกแบบให้ เด่นสะดุดตา มีความชัดเจน เพื่อที่ทุกคนจะได้มองเห็น สวยงาม เพื่อความเหมาะสมส�าหรับการมอง และสามารถรับรู้ เข้าใจ และปฏิบัติตาม ของมนุษย์ ๒8

เกร็ดแนะครู ครูใหนักเรียนคนหาและรวบรวมตัวอยางสัญลักษณ หรือเครื่องหมายตางๆ ที่เห็นไดในชีวิตประจําวัน เชน เครื่องหมายจราจร เครื่องหมายในโรงพยาบาล เครื่องหมายในสถานที่ราชการ เปนตน เพื่อนํามาอภิปรายรวมกันภายในหองเรียน วา นักเรียนมีความรูความเขาใจเกี่ยวกับสัญลักษณหรือเครื่องหมายไดอยางถูกตอง หรือไม อยางไร

นักเรียนควรรู 1 สัญลักษณ หรือเครื่องหมาย โดยพื้นฐานหมายถึงสิ่งที่ใชแทนความหมาย ของอีกสิ่งหนึ่ง หรือถาจะกลาวใหลึกลงไปอีก สัญลักษณ หมายถึง วัตถุ อักษร รูปราง หรือสีสัน ที่ใชในการสื่อความหมาย หรือแนวความคิดใหมนุษยเขาใจ ไปในทางเดียวกัน โดยอาจจะเปนรูปธรรม หรือนามธรรมก็ได

28

คูมือครู

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

หลักการพื้นฐานในการออกแบบสิ่งพิมพคือสิ่งใด แนวตอบ หลักการพื้นฐานในการออกแบบสิ่งพิมพ คือ 1. การออกแบบเพื่อนําไปใชงานเปนพาณิชยศิลป มิใชเปนการทํางาน ศิลปะทั่วไปที่คํานึงถึงความสวยงามเปนสําคัญ 2. การสรางสรรคงานเพื่อใหผูอื่นเกิดความรูสึกพอใจ หรือโนมนาวใจผูชม ใหเปนไปอยางที่เราตองการ ไมใชเพื่อความพอใจของผูออกแบบเอง 3. การจัดองคประกอบของภาพเพื่อเปนการบอกกลาว ชี้แนะ ใหความบันเทิง ใหขาวสาร ใหความรูแกผูอานตามวัตถุประสงค ของสิ่งพิมพนั้นๆ


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบายความรู

Explain

ใหนักเรียนกลุมที่ 2 สงตัวแทนออกมาอธิบาย ความรูเกี่ยวกับประโยชนของการออกแบบสิ่งพิมพ ที่มีตอธุรกิจการคา แลวสรุปผลการอภิปราย ลงสมุดบันทึก จากนั้นครูถามนักเรียนวา • หากนักเรียนตองการออกแบบสิ่งพิมพ นักเรียนจะตองยึดหลักการในขอใด (แนวตอบ จะตองยึดหลักการ ดังนี้ 1. เปาหมายของการออกแบบ 2. กลุมเปาหมายที่รับสาร 3. สวนประกอบสําคัญในการสื่อความหมาย 4. ทิศทางการนําพาขาวสาร)

๑.๒) การออกแบบสิ่ ง พิ ม พ์ มี ส ่ ว นเสริ ม สร้ า งข่ า วสารให้ ส ะดุ ด ตา น่ า สนใจ ข่าวสารใดๆ ก็ตามที่น�ามาเสนอเพื่อให้ได้ผลถึงกลุ่มเป้าหมาย ย่อมต้องการให้เป็นที่สนใจของ ผู้ชม ผู้อ่าน นักออกแบบจึงมีส่วนส�าคัญที่ ช่วยสร้างความสนใจให้กับข่าวสารนั้นๆ โดย การออกแบบและปรับปรุง เพิ่มเติมเสริมแต่ง ด้ ว ยความรู ้ ท างศิ ล ปะและใช้ ห ลั ก จิ ต วิ ท ยา ทางการรับรู้เข้าช่วยในด้านการจัดวางรูปแบบ ปรับเปลี่ยนข้อความรูปภาพที่เป็นข้อมูลเดิม ให้เป็นการน�าเสนอข้อความที่กระชับ สามารถ สื่อความหมายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ๑.๓) การออกแบบสิ่ ง พิ ม พ์ ช่ ว ยส่ ง เสริ ม ความเจริ ญ ก้ า วหน้ า ทางธุ ร กิ จ การค้าและวงการอุตสาหกรรม ปัจจุบันการ ออกแบบสิ่ ง พิ ม พ์ นั บ ว่ า มี ค วามสั ม พั น ธ์ ต ่ อ หนังสือพิมพ์ตา่ งๆ ล้วนได้รบั การออกแบบอย่างสวยงาม วงการธุ ร กิ จ และวงการอุ ต สาหกรรมอย่ า ง น่าสนใจ เพื่อประโยชน์ทางการค้าของผู้ผลิต ใกล้ชิด โดยเฉพาะวงการอุตสาหกรรมการพิมพ์ เพราะในยุคของการค้าเสรีที่มีการแข่งขันกัน สูง ผู้บริโภคมีจ�านวนมากขึ้น ผู้ผลิตสินค้าทั้งหลายจึงจ�1าเป็นต้องมีการปรับปรุงคุณภาพการผลิต สินค้า ปรับปรุงรูปแบบของผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ ตลอดจนต้องมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ การออกแบบเพื่อการค้าก็เกิดตามมา ตามมา เพื่อการตลาด ด้วยเหตุนี้ จึงท�าให้เกิดธุรกิจโฆษณาขึ้นมา การออกแบบเพื สาร เช่น การออกแบบสินค้าและผลิตภัณฑ์ การ มากมายหลายรูปแบบตามลักษณะของการสื่อสาร ยสาร แผ่นโปสเตอร์โฆษณา ฆษณา ตลอดจนสิ่งพิมพ์ ออกแบบโฆษณาทางโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร อื่นๆ ที่ใช้ประกอบธุรกิจการค้า ๒) ประโยชน์ของการออกแบบสิ่งพิมพ์ที่มีต่อธุรกิจการค้า ได้แก่ ๒.๑) ช่วยสร้างเอกลักษณ์ เป็นการออกแบบเครื่องหมายการค้าของบริษัทและ และ ตราสัญลักษณ์ของสินค้า เพื่อใช้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน จะช่วยสร้างการจดจ�าให้กับผู้บริโภค ภค สร้างความน่าเชื่อถือในคุณภาพสินค้า ๒.๒) สร้างภาพที่ดีให้กับสินค้า การออกแบบจะช่วยสื่อให้เห็นรูปร่างสินค้า ภายนอกที่สวยงาม โดยมีข้อความ ภาพประกอบ ภาพประกอบ การจัดวางและออกแบบสีสันที่เด่นสะดุดตา ตา เหมาะสมกับประเภทสินค้า เป็นการดึงดูดความสนใจของผู้พบเห็น ช่วยให้เกิดความไว้วางใจ างใจ น่าเชื่อถือ เป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์และคุณภาพสินค้าที่อยู่ภายในบรรจุภัณฑ์อีกด้วย ๒9

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

ขอใดไมใช คุณสมบัติที่ดีของนักออกแบบ 1. ดัดแปลงความคิดของคนอื่นมาเปนของตนเอง 2. มีความคิดริเริ่มสรางสรรคสิ่งใหมๆ 3. มีทักษะในการวาดภาพระบายสี 4. รูจักสังเกตสิ่งตางๆ ที่อยูรอบตัว

วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. เพราะนักออกแบบที่ดีควรสรางสรรค ผลงานจากความคิดของตนเอง ไมควรนําความคิดของคนอื่นมาดัดแปลง ใหเปนชิ้นงานของตนเอง กลาวคือ ตองพยายามใชความคิดสรางสรรค ของตนเองเปนสําคัญ เพื่อจะไดเกิดการพัฒนาไปไดอยางตอเนื่อง

เกร็ดแนะครู ครูใหนักเรียนจัดกลุม 5 คน ใหแตละกลุมทําการออกแบบสิ่งพิมพเปนวารสาร จุลสาร แผนพับ โปสเตอร เพื่อประชาสัมพันธโรงเรียน หรือทองถิ่นของตน โดยออกแบบจัดทําเปนเอกสาร 4 สี ใหสวยงาม เรียบรอย แลวนําผลงานสงครูผูสอน

นักเรียนควรรู 1 บรรจุภัณฑ คือ สิ่งที่ทําหนาที่รองรับ หรือหอหุมผลิตภัณฑ ซึ่งทําหนาที่ ปองกันความเสียหายของผลิตภัณฑ ชวยอํานวยความสะดวกในการเก็บรักษา การขนสง ชวยกระตุนการซื้อ และบอกรายละเอียดของผลิตภัณฑที่หอหุม

คูมือครู

29


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

Explain

1. ใหนักเรียนกลุมที่ 3 สงตัวแทนออกมาอธิบาย ความรูเกี่ยวกับหลักการดําเนินงานออกแบบ สิ่งพิมพ ตามที่ไดศึกษามา หนาชั้นเรียน 2. ครูใหนักเรียนดูภาพและแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับการออกแบบสิ่งพิมพในประเด็น ตอไปนี้

๒.๓) ช่วยในการจ�าแนกสินค้า การออกแบบช่วยให้เห็นความแตกต่างของ ประเภทสินค้า เป็นการช่วยจ�าแนกประเภทสินค้าด้วยการออกแบบสื่อให้ผู้บริโภคจ�าชนิดหรือ ประเภทและคุณสมบัติของสินค้าได้อย่างดีและกว้างขวางมากขึ้น ๒.๔) ช่วยให้เกิดการพัฒนาระบบธุรกิจการค้าและอุตสาหกรรม ท�าให้เกิดมีการ พัฒนาเครื่องมือเครื่องใช้ วัสดุ อุปกรณ์ ตลอดจนเทคโนโลยีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการออกแบบ เพราะนักออกแบบจะต้องเป็นผู้มีความรู้ความสามารถและทักษะปฏิบัติ จ�าเป็นจะต้องเรียนรู ้ คิดค้น ท�าความเข้าใจกับวิทยาการใหม่ๆ ซึ่งจะต้องน�ามาบูรณาการกับความรู้ความสามารถจาก ศาสตร์หลายสาขาเพื่อออกแบบสื่อความหมาย พัฒนากระบวนการผลิตและจ�าหน่ายอย่าง มีประสิทธิภาพ การแข่งขันทางธุรกิจการค้าเท่ากับเป็นช่องทางให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีการ ออกแบบ อันจะเป็นผลแห่งความเจริญก้าวหน้าทั้งทางการค้าและการพัฒนาสังคมในที่สุด ๓) หลักการด�าเนินงานออกแบบสิ่งพิมพ์ ผู้ออกแบบควรมีหลักการและข้อควร ค�านึงก่อนเริ่มท�างานเพื่อการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง มีการวางแผนการด�าเนินงานให้ส�าเร็จลุล่วงไป ด้วยดี ตลอดจนสามารถด�าเนินการตามกระบวนการโดยไม่ต้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ ซึ่งส่อถึงการท�างานที่ขาดระบบที่ดี นอกจากนี้อาจท�าให้เกิดการสูญเสียและสิ้นเปลืองปัจจัยต่างๆ โดยใช่เหตุ เมื่อมีการเริ่มต้นที่ดี แผนงานการออกแบบก็ย่อมมีข้อผิดพลาดน้อยที่สุด ส�าหรับหลักการด�าเนินงานและการวางแผนขัน้ ต้นของการออกแบบสิง่ พิมพ์ทดี่ จี ะต้อง งๆ ดังต่อไปนี้ ค�านึงถึงสิ่งต่างๆ ดั

• จากภาพสามารถสื่อสารวัตถุประสงคของ สิ่งพิมพตอผูบริโภคไดหรือไม อยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ) • การจัดวางภาพกราฟก และสีสัน เหมาะสม กับเนื้อหาของงานสิ่งพิมพหรือไม อยางไร (แนวตอบ เหมาะสม เพราะจัดวางภาพกราฟก ไดเปนระบบ ดูสบายตา โดยการใชพื้นสีขาว ทําใหสีสันของภาพโดดเดนขึ้นมา)

หลักการด�าเนินงานออกแบบสิ่งพิมพ์ ๑. เป้ ๑. เป้าหมายของการออกแบบคืออะไร ผู้ออกแบบต้องรู้เป็นอันดับแรกว่าจะบอกกล่าวเรื่องราวข่าวสารอะไรแ วสารอะไรแก่ผู้รับ เช่น การเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์กจิ กรรมต่างๆ หรือแนวคิดเกีย่ วกับเรือ่ งราวต่างๆ งๆ หรื งๆ รวมทัง้ ผูอ้ อกแบบจะต้องรูว้ ตั ถุประสงค์ ของงานออกแบบแต่ละชิ้น เช่ เช่น เพื เพื่อส่งเสริมการขาย เพื่อให้ความรู้ เพื่อความบันเทิงหรือเพื่อเข้าร่วม การขาย เพื กิจกรรมรณรงค์ต่อต้านสิ่งเสพติด เป็ เป็นต้น กลุ่มเป้าหมายที่รับสารคือใคร ๒. กลุ กลุ่มเป้าหมายนับเป็นเรื่องส�าคัญ ควรศึกษาให้รู้แน่ชัดว่ากลุ่มเป้าหมายเป็นหญิง เป็นชาย หรือ ไม่แยกเพศ ยกเพศ และมีช่วงอายุเท่าไร ไร การน�าเสนอข่าวสารจึงควรมีความยากง่ายที่แตกต่างกันออกไปซึ่ง ผูอ้ อกแบบต้องมีความรูค้ วามเข้าใจในส่วนนี ้ เพือ่ น�าไปสูก่ ารน�าเสนอให้ตรงจุดกับกลุม่ เป้าหมายทีต่ อ้ งการ 30

เกร็ดแนะครู ครูใหนักเรียนดูซีดี หรือดีวีดี หรือสื่ออินเทอรเน็ตที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการสิ่งพิมพ ตั้งแตอดีตจนถึงปจจุบัน จากนั้นใหนักเรียนรวมกันวิเคราะหความแตกตางของ สิ่งพิมพที่เกิดขึ้นในแตละยุคสมัย ครูอธิบายเพิ่มเติมวาเมื่อกาลเวลาผานไป รูปแบบในการนําเสนอสิ่งพิมพตางๆ มีมากขึ้น จึงทําใหสิ่งพิมพชนิดเดียวกันมีรูปแบบในการนําเสนอที่แตกตางกันออกไป ทั้งนี้วัตถุประสงคของการออกแบบสิ่งพิมพ คือ 1. เพื่อใชเปนแนวทางในการผลิตสิ่งพิมพ ใหผูที่มีสวนรับผิดชอบไดรับรูรูปแบบ รูปราง ลักษณะ และสวนประกอบในงานพิมพ 2. เพื่อสรางความสวยงามทางศิลปใหกับสื่อสิ่งพิมพ 3. เพื่อดึงดูดความสนใจของผูพบเห็น ผูอาน 4. เพื่อนําเสนอสารและเพื่อใหงายตอการจดจําเนื้อหา 5. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสาร

30

คูมือครู

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

จากภาพสิ่งพิมพนี้ตองการสื่อสาร ใหเห็นสิ่งใดเปนสําคัญ 1. แฟชั่นการแตงกายของวัยรุน 2. เสื้อผาที่มีสีสดใสเหมาะแกวัยรุน 3. คานิยมในการแตงกายของวัยรุน 4. การแตงกายที่เหมาะสมกับ ชีวิตประจําวัน

วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. รูปแบบการนําเสนอเปนการนําวัยรุน ที่แตงกายดวยเสื้อผาทันสมัย สบาย คลองตัว ซึ่งถือวาเปนแฟชั่น การแตงกายของวัยรุนที่ไดรับความนิยมในขณะนั้น


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบายความรู

Explain

ใหนักเรียนกลุมที่ 4 สงตัวแทนออกมาอธิบาย ความรูเ กีย่ วกับสวนประกอบในการออกแบบสิง่ พิมพ ตามที่ไดศึกษามา จากนั้นครูถามนักเรียนวา • สวนประกอบสําคัญดานเนื้อหาของงาน ออกแบบสื่อสิ่งพิมพคือสวนประกอบใด (แนวตอบ ตัวอักษรและภาพประกอบ ) • เพราะเหตุใด ในงานออกแบบสื่อสิ่งพิมพ จึงตองมีการใชตัวอักษรและภาพประกอบ ที่หลากหลาย (แนวตอบ เพราะตองการสราง ความหลากหลายและดึงดูดความสนใจ ผูชมใหหันมาสนใจมากยิ่งขึ้น)

๓. ส่วนประกอบส�าคัญในการสื่อความหมายมีอะไรบ้าง วิธีการที่จะสื่อความหมายกับผู้รับจากที่มีการก�าหนดกลุ่มเป้าหมายไว้แล้ว ผู้ออกแบบจะต้อง ค�านึงถึงส่วนประกอบส�าคัญที่จะใช้ในการออกแบบ เช่น การใช้ภาษา การคิดข้อความ สัญลักษณ์และ เครื่องหมาย ตลอดจนภาพประกอบต่างๆ โดยออกแบบให้เหมาะสมตามระดับความสามารถในการรับรู้ ท�าให้ผู้รับสารมีความเข้าใจโดยง่ายและจดจ�าข่าวสารนั้นๆ ได้ดี ๔. จะน�าพาข่าวสารไปทางใด ผู้ออกแบบจะต้องค�านึงถึงสื่อในการน�าเสนอข่าวสารว่าควรใช้รูปแบบใดจึงจะได้ผล และควร จะใช้วิธีการอย่างไรจัดการกับข่าวสารนั้น 1จึงจะสามารถโน้มน้าวจิตใจและสื่อความหมายต่อผู้รับได้ อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ใช้ป้ายโฆษณา แผ่นโปสเตอร์ หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ เป็นต้น ซึ่งสื่อต่างๆ เหล่านี้มีรูปแบบ กรรมวิธี และให้ผลต่อการรับรู้ที่แตกต่างกัน

การออกแบบสิ่งพิมพ์เป็นงานทัศนศิลป์ด้านการแสดงออกที่เน้นการสื่อความหมาย ลักษณะงานส่วนใหญ่จะแสดงให้เห็นเด่นชัดในเรือ่ งของตัวอักษรและภาพประกอบในรูปแบบต่างๆ เป็นการสื่อสารให้ผู้ชมรับสารด้วยการมองเพื่อให้เกิดการรับรู้ที่ดี ผู้ออกแบบจึงจ�าเป็นที่จะต้อง เรียนรูแ้ ละท�าความเข้าใจถึงส่วนประกอบส�าคัญ ในการออกแบบและหลักการจัดส่วนประกอบ หรือองค์ประกอบศิลป์ ซึง่ สิง่ เหล่านีเ้ ป็นพืน้ ฐาน ส�าคัญที่ใช้ในการออกแบบ

๔) ส่ส่วนประกอบในงานออกแบบ สิง่ พิมพ์ ส่วนประกอบในงานออกแบบสิง่ พิมพ์

ที่ส�าคัญ คือ ตัวอักษรและภาพประกอบ ทั้ง ตั ว อั กษรและภาพประกอบมี ค วามส� า คั ญ ไม่ แพ้กันและมีความสัมพันธ์กันอย่างมากในการ ท�าให้งานสิ่งพิมพ์นั้นสมบูรณ์ในเนื้อหา ท�าให้ ผู้รับข่าวสารรับได้ชัดเจน ไม่เกิดความสงสัย หรือเข้าใจคลุมเครือต่อเรื่องราวที่น�าเสนอ ตัว อักษรมีบทบาทในการอธิบายเนื้อหาที่ต้องการ สื่อความหมาย ในขณะที่ภาพประกอบจะช่วย เสริมความหมายให้เด่นชัด เข้าใจง่ายขึ้น

งานออกแบบสิ่งพิมพ์จะมีตัวอักษรและภาพประกอบ ที่มีความสัมพันธ์กัน เพื่อท�าให้เนื้อหาสมบูรณ์และ ผู้รับสารเกิดความเข้าใจในเนื้อหานั้น

31

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

งานกราฟกมีความสําคัญตองานออกแบบสิ่งพิมพอยางไร

แนวตอบ งานกราฟกชวยทําใหการออกแบบสื่อสิ่งพิมพทําไดสะดวก รวดเร็ว ประหยัดคาใชจาย ทําใหสื่อสิ่งพิมพมีความแปลกใหม นาสนใจ สามารถสื่อสารกับผูบริโภคใหเขาใจไดงายขึ้น นอกจากนี้ ยังชวยให ผูออกแบบสามารถใชจินตนาการออกแบบไดอยางกวางไกล รวมทั้ง งานกราฟกยังชวยสงเสริมใหการออกแบบสื่อสิ่งพิมพขยายตัวมากขึ้น

นักเรียนควรรู 1 ปายโฆษณา เปนสื่อที่มีบทบาทอยางมากในการประชาสัมพันธ เพราะสื่อ ประเภทนี้สามารถเผยแพรไดสะดวกและกวางขวาง สามารถเขาถึงกลุมบุคคลได ทุกเพศทุกวัย ทุกระดับการศึกษา มีความยืดหยุนในตัวสื่อไดเปนอยางดี ผูออกแบบสามารถสรางรูปภาพประกอบไดอยางอิสระและสวยงาม ลักษณะของ ปายโฆษณาสามารถนําเสนอขอมูลรายละเอียดไดมากพอสมควร เพราะมีขนาดใหญ เห็นชัดเจนแตไกล จึงเปนที่นิยมตลอดมา ในเบื้องตนมีการกําหนดลักษณะกวางๆ ของการออกแบบปายโฆษณาไววา จะตองประกอบดวยองคประกอบ 4 สวนดวยกัน คือ ตองเปนแผนเดียวสามารถ ติดลงบนพื้นผิวใดได ตองมีขอความประกอบเสมอ ตองติดตั้งแสดงไวในที่ สาธารณะ สามารถมองเห็นไดชัดเจน

คูมือครู

31


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

Explain

ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับลักษณะ ตัวอักษรและภาพประกอบของการออกแบบสิ่งพิมพ ตามที่ไดศึกษามา จากนั้นครูถามนักเรียนวา • วัตถุประสงคของการมีภาพประกอบ ในงานออกแบบสิ่งพิมพคือสิ่งใด (แนวตอบ เพื่อเปนการดึงดูดความสนใจ ชวยอธิบายความคิดรวบยอด อธิบายเนื้อหา แทนขอความ เพื่อการอางอิงแทนของจริง และเพื่อแสดงขอมูลทางสถิติใหเขาใจงาย)

๔.๑) ตัวอักษร จัดเป็นองค์ประกอบพื้นฐานส�าคัญอันดับแรกของการออกแบบ ซึ่งนักออกแบบจ�าเป็นต้องมีการเรียนรู้เกี่ยวกับตัวอักษร เช่น ขนาด รูปร่าง ลักษณะ ส่วนประกอบ ตลอดจนกรรมวิธีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดและการผลิตตัวอักษร เพื่อให้เกิดความเข้าใจและ น�าตัวอักษรมาใช้อย่างถูกต้องเหมาะสม จึงต้องมีความรู้ในเรื่องการน�าไปใช้ ซึ่งงานออกแบบด้าน ตัวอักษรที่มีการน�าไปใช้ แบ่งเป็น ๒ ลักษณะใหญ่ๆ ดังนี้ (๑) ใช้ตัวอักษรเพื่อดึงดูดสายตา การออกแบบตัวอักษรลักษณะนี้ใช้เพื่อ การตกแต่งหรือการเน้นข้อความข่าวสารให้สามารถดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน ตัวอักษรควรมี ขนาดใหญ่ มีความเด่นเป็นพิเศษ ข้อความไม่ยาว เช่น การพาดหัวเรื่อง ค�าประกาศ ค�าเตือน ค�ารณรงค์ต่อต้าน ส่วนประกอบที่เป็นภาพจะเป็นผู้อธิบายเนื้อหาเรื่องราว (๒) ใช้ตัวอักษรเพื่อบรรยายหรืออธิบายเนื้อหา การออกแบบตัวอักษร ลักษณะนี้จะใช้ตัวอักษรที่มีขนาดเล็ก เพื่อให้สอดคล้องกับข้อความที่ค่อนข้างยาว เพื่อการ บรรยายหรืออธิบายเนื้อหาปลีกย่อยของข่ 1 าวสารที่ต้องการเผยแพร่ ๔.๒) ภาพประกอบ ภาพประกอบที่น�ามาใช้ในงานออกแบบประเภทต่างๆ นั้น มีหลายลักษณะ หลายรูปแบบของการสร้างสรรค์ โดยวัตถุประสงค์ของการมีภาพประกอบใน งานออกแบบสิ่งพิมพ์ ได้แก่ เพื่อเปนการดึงดูด ความสนใจ

เพื่ อ อธิ บ ายความคิ ด รวบยอด เพื่อการอ้างอิงแทน ตัวจริง

เพื่ออธิบายเนื้อหา แทนข้อความ

เพื่อประกอบข้อมูล ทางสถิติ

ตัวอย่างงานสิ่งพิมพ์ที่มีภาพประกอบ

3๒

เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการออกแบบตัวอักษรวา ขนาดและรูปแบบ ตัวอักษรที่แตกตางกันมีเปาหมายในการใชงานบนสิ่งพิมพที่แตกตางกัน เชน หัวเรื่อง คําโปรย เปนตน ดังนั้น ผูออกแบบตองรูจักกําหนดความสูง ความกวาง และความยาวของประโยค เพื่อใหไดตัวอักษรที่เหมาะสมกับเนื้อที่

นักเรียนควรรู 1 ภาพประกอบ ที่นํามาใชในงานออกแบบควรเปนภาพขนาดใหญ ไมควรใช ภาพที่มีขนาดเล็กแลวมาขยายใหใหญขึ้น เพราะเม็ดสกรีนจะแตก ทําใหภาพ ไมชดั เจน ภาพควรมีสสี นั สดใส มีความสวยงาม ไมมรี ายละเอียดในภาพมากเกินไป

32

คูมือครู

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

การเลือกใชตัวอักษรในการออกแบบสิ่งพิมพควรยึดถือสิ่งใดเปนสําคัญ 1. ทันสมัย วัยรุนนิยมใช 2. ใชตัวอักษรไมมีหัว 3. อานงาย สบายตา 4. มีลวดลายสลับซับซอน วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. สื่อสิ่งพิมพเปนสื่อที่ใชในวงกวาง ผูอาน มีหลายเพศ หลายวัย ดังนั้น จึงตองเนนการเลือกใชตัวอักษรที่อานงาย สบายตาเปนหลัก อยาใชตัวอักษรที่มีลีลาฉวัดเฉวียน หรือไมมีหัว เพราะจะอานยาก และยังทําใหผลงานดูแนน


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบExplain ายความรู

Expand าใจ ขยายความเข

Evaluate ตรวจสอบผล

อธิบายความรู

ครูขออาสาสมัครนักเรียนใหตอบคําถามตอไปนี้ • การออกแบบสัญลักษณ หรือเครื่องหมาย (Symbol) มีความสําคัญอยางไร (แนวตอบ เปนการสรางสื่อที่แสดงความนัย เพื่อเปนการชี้เตือน หรือกําหนดใหสมาชิก ในสังคมรับรูถึงขอกําหนด หรืออันตราย เชน เครื่องหมายจราจร เครื่องหมายที่ใชกับ เครื่องกล เครื่องหมายที่ใชกับเครื่องใชไฟฟา เปนตน) • องคประกอบสําคัญของโปสเตอรคือสิ่งใด (แนวตอบ องคประกอบของโปสเตอรคือ รูปภาพของสินคา หรือบริการ หรือเรื่องราว ที่ตองการจะสื่อสาร และถอยคําที่เปน ตัวอักษรประกอบ ซึ่งโดยมากจะเปน ขอความที่ไมยาวนัก ชื่อของสปอนเซอร หรือผูผลิตโปสเตอร สําหรับโปสเตอร โฆษณาสินคาในบางครั้งก็อาจเพิ่มเติม เครื่องหมายการคา หรือคําขวัญเขาไปดวย)

3.5 การออกแบบสัญลักษณ์ สัญลักษณ์ หมายถึง สิ่งที่ใช้แทนการอธิบายด้วยค�าพูดหรือการเขียนข้อความในการ ส่งข่าวสารข้อมูลจากฝ่ายหนึ่งไปสู่อีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อความสะดวก รวดเร็ว และขจัดปัญหาความ ไม่เข้าใจหรือไม่คุ้นเคยทางภาษา สัญลักษณ์ บางอย่างสามารถเข้าใจร่วมกันและเป็นที่นิยม แพร่หลายทัว่ ไป เช่น สัญลักษณ์ทางการจราจร สั ญ ลั ก ษณ์ ข องห้ อ งสุ ข า ส� า หรั บ สั ญ ลั ก ษณ์ ทางการค้า ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าของ สถานประกอบการธุรกิจต่างๆ เป็นสัญลักษณ์ ที่มีวัตถุประสงค์ให้ผู้ซื้อจดจ�าตัวสินค้าแต่ละ ชนิดได้

๑) ลักษณะของการออกแบบ สัญลักษณ์ มีดังนี้

Explain

1

เครื่องหมายการค้า จะได้รับการออกแบบจากเจ้าของ ธุรกิจเพื่อให้ผู้ซื้อสินค้าสามารถจดจ�าสินค้าได้ง่าย

๑. การออกแบบโดยใช้ ตั ว อักษรย่อ หรือใช้ค�าเต็มส�าหรับข้อความสั้นๆ ๒. การออกแบบโดยใช้ภาพแสดงความหมายของสิ่งนั้นๆ หรือก�าหนดให้ภาพ เป็นสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายการค้า ๓. การออกแบบโดยรวมเอาตัวอักษรกับภาพเข้าด้วยกัน โดยใช้รูปทรงทาง ๔. การออกแบบจากอุดมการณ์เป็นสัญลักษณ์แบบนามธรรม บบนามธรรม โดยใช้ เรขาคณิตหรือรูปทรงอิสระ ๒) หลักเกณฑ์พื้นฐานของการออกแบบสัญลักษณ์ การออกแบบสัญลักษณ์ที่ดี จะต้องมีหลักเกณฑ์พื้นฐาน ดังนี้ ๑. มีความประณีต เรีเรียบร้อย ตั ย ตัดทอนรายละเอียดออก ๒. ดูเข้าใจง่ายและจ�าได้ง่าย ๓. ดึงดูดความสนใจได้ดี สะดุดตา ๔. ไม่ล้าสมัย ผลงานการออกแบบสัญลักษณ์นั้น เมื่อออกแบบเสร็จเรียบร้อยเป็นตัวต้นฉบับแล้ว และจะเผยแพร่ทางสิ่งพิมพ์ ก็ต้องผ่านกระบวนการพิมพ์ แต่หากประสงค์จะท�าเป็นสัญลักษณ์ ที่ติดตั้งเป็นป้ายแสดง ก็ต้องจัดท�าด้วยวัสดุต่างๆ งๆ เป็นรูปสัญลักษณ์หรืออาจเป็นวัสดุชนิดต่างๆ งๆ จัดวางร่วมกันกับส่วนที่เป็นสิ่งพิมพ์ซึ่งขึ้นอยู่กับแบบที่สร้างสรรค์ไว้

ขยายความเขาใจ

Expand

ใหนักเรียนสรุปสาระสําคัญเกี่ยวกับประเภท ของงานออกแบบลงกระดาษรายงาน สงครูผูสอน

ตรวจสอบผล

Evaluate

ครูพิจารณาจากการสรุปสาระสําคัญเกี่ยวกับ ประเภทของงานออกแบบของนักเรียน

33

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

จากภาพสัญลักษณที่ปรากฏนี้ ตองการสื่อใหเห็นสิ่งใดเปนสําคัญ 1. สัญลักษณบอกเสนทางเดิน ในโรงพยาบาล 2. วิธีการเดินทางที่ปลอดภัยบนถนน 3. กฎขอบังคับที่ใชในการขับขี่ ยานพาหนะ 4. เครื่องหมายจราจรที่ทุกคนควรรู วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. จากภาพเปนเครื่องหมายจราจรที่สรางขึ้น เพื่อเปนกฎขอบังคับใหทุกคนที่ขับขี่พาหนะปฏิบัติตามเพื่อความสะดวก และปลอดภัย

เกร็ดแนะครู ครูใหนักเรียนออกแบบเครื่องหมายการคาของสินคาที่นักเรียนคิดสรางสรรค ขึ้นใหม หรือสินคาที่เปนของทองถิ่นตามแนวทางการออกแบบเครื่องหมายการคา หรือหลักในการออกแบบ พรอมทั้งอธิบายแนวคิดในการออกแบบ แลวออกมา นําเสนอหนาชั้นเรียน

นักเรียนควรรู 1 เครื่องหมายการคา เปนเครื่องหมายที่ใชกับสินคาหรือบริการ โดยเครื่องหมายที่ใหความคุมครองตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการคา พ.ศ. 2534 มีดวยกัน 4 ประเภท คือ เครื่องหมายการคา เครื่องหมายบริการ เครื่องหมายรับรอง และเครื่องหมายรวม

คูมือครู

33


กระตุน ความสนใจ

สํารวจคนหา Exploreนหา สํารวจค

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

กระตุEngage นความสนใจ

กระตุน ความสนใจ

Engage

ครูแบงนักเรียนออกเปน 2 กลุม เพื่อแขงขัน ตอคําศัพททัศนศิลป ภายใน 5 นาที กลุมใด ตอคําศัพทไดมากกวาเปนฝายชนะ

สํารวจคนหา

3.6 การออกแบบโปสเตอร์

โปสเตอร์ คือ สื่อประเภทหนึ่งที่บอกกล่าวถึงเรื่องราวให้ผู้พบเห็นได้ทราบ โดยมี จุดเด่นดึงดูดสายตา รวมทั้งสามารถท�าความ เข้าใจได้ในระยะเวลาอันสั้น ในภาพโฆษณา อาจบรรจุตัวอักษรหรือรูปภาพ หรือทั้งสอง อย่าง ความส�าคัญและความงามของโปสเตอร์ นัน้ จะเข้าถึงจิตใจของผูพ้ บเห็นได้ฉบั ไว รวดเร็ว ขึ้นอยู่กับการออกแบบโปสเตอร์ซึ่งต้องมีความ แน่นอนด้านความคิดและการจัดองค์ประกอบ ศิลป์ที่สะดุดตา ดึงดูดความสนใจ เชื้อเชิญต่อ สายตาของผู้คนได้ตามเป้าหมายที่คาดหวังไว้ เช่น การกระตุ้นเตือนภัย การเอาใจใส่ การ เชิญชวน หรือการให้ความกระจ่างชัดในเรือ่ งใด งานโปสเตอร์ที่ได้รับการจัดองค์ประกอบศิลปมาเป็น อย่างดี จะสื่อให้ผู้ชมเข้าใจเรื่องราวได้รวดเร็วและดึงดูด เรือ่ งหนึง่ หรือชักชวนให้เข้ามาชม เช่น โปสเตอร์ ให้ผู้ชมเข้ามาชมผลงานตามเปาหมาย โฆษณาการแสดงดนตรี โปสเตอร์ โ ฆษณา ภาพยนตร์ เป็นต้น ดังนั้น การออกแบบโปสเตอร์ที่ดีจะต้องได้ผลผลิตโปสเตอร์ที่สมบูรณ์ ซึ่งประกอบด้วย ความชัดเจนของรูปแบบ สี ถ้อยค�า และความคิดที่ผู้พบเห็นจะจดจ�าไว้

Explore

ใหนักเรียนศึกษาคนควาเกี่ยวกับศัพท ทางทัศนศิลปเพิ่มเติม จากแหลงเรียนรูตางๆ เชน หนังสือเรียน หองสมุด อินเทอรเน็ต เปนตน

๔. ศัพททางทัศนศิลปกับงานทัศนศิลป ศาสตร์ทางด้านศิลปะนั้นเป็นศาสตร์เฉพาะทางที่มีการเรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ นับเป็นวิชาความรู้ที่ส�าคัญต่อผู้เรียนในการเสริมสร้างให้มนุษย์มีการพัฒนาทางสมองที่สมบูรณ์ นอกจากการเรียนรู้และฝึกปฏิบัติแล้ว บทเรียนส�าคัญต่อมาที่ท�าให้การพิจารณาผลงานทัศนศิ​ิลป์ เป็นไปอย่างถูกต้องสมบู 1 รณ์ก็คือ การประเมินงานทัศนศิลป์ที่มีขั้นตอนการวิจารณ์งาน การ วิจารณ์งานทัศนศิลป์ด้วยการบรรยายหรือข้อเขียนมีส่วนในการเสริมความรู้ความเข้าใจทาง ศิลปะให้แก่ตนเอง การฝึกให้ผู้เรียนได้บรรยายจุดประสงค์และเนื้อหาของงานทัศนศิลป์เป็น กิจกรรมที่ควรปฏิบัติเสมอหลังจากสร้างสรรค์ผลงาน และเนื่องจากเป็นศาสตร์เฉพาะทางจึงมี ศัพท์ทางทัศนศิลป์ที่ต้องใช้ในการอธิบายหรือบรรยาย ความรู้ที่ได้รับเป็นความรู้เชิงวิเคราะห์ ซึ่งจ�าเป็นอย่างยิ่งส�าหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้และเข้าใจงานศ ใจงานศิลปะ 34

EB GUIDE

เกร็ดแนะครู ครูใหขอเสนอแนะวา การเรียนรูคําศัพททางทัศนศิลปจะชวยใหนักเรียน สามารถบรรยายเนื้อหาของงานทัศนศิลป โดยใชคําศัพททางทัศนศิลปได อยางถูกตอง และจะชวยทําใหผูฟงเขาใจสิ่งที่นักเรียนตองการจะสื่อไดงายขึ้น

นักเรียนควรรู 1 การวิจารณงานทัศนศิลป เปนการแสดงออกทางดานความคิดเห็นตอผลงาน ศิลปะที่ศิลปนสรางสรรคไว โดยที่ผูวิจารณใหความคิดเห็นตามหลักเกณฑ และหลักการทางศิลปะ ทั้งในดานสุนทรียศาสตรและสาระอื่นๆ ดวยการติชม เพื่อใหไดขอคิดนําไปปรับปรุงพัฒนาผลงานศิลปะ หรือใชเปนขอมูลในการประเมิน ตัดสินผลงาน และเพื่อเปนขอมูลในการวิเคราะหเปรียบเทียบคุณคา ในผลงานศิลปะชิ้นนั้นๆ

34

คูมือครู

http://www.aksorn.com/LC/Va/M4/07

ขอสอบ

O-NET

ขอสอบป ’ 50 ออกเกี่ยวกับการใชเสนในงานทัศนศิลป ถาตองการเขียนภาพใหความรูสึกเคลื่อนไหวตอเนื่องและสะเทือนใจ ควรเลือกใชเสนแบบใด 1. เสนคด (Winding Lines) เสนฟนปลา (Zigzag Lines) 2. เสนฟนปลา (Zigzag Lines) เสนประ (Jagged Lines) 3. เสนตรง (Straight Lines) เสนประ (Jagged Lines) 4. เสนโคง (Curve Lines) เสนตรง (Straight Lines) วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. เสนโคงและเสนตรงจะใหความรูสึก เคลื่อนไหวอยางชาๆ ลื่นไหลไปอยางตอเนื่อง ไมสิ้นสุด ขณะเดียวกัน ในบางกรณีก็สื่อออกมาถึงอารมณความรูสึกเศราสรอย สะเทือนใจ ดวยเชนกัน


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบายความรู

Explain

ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับศัพททาง ทัศนศิลปกับการบรรยายงานทัศนศิลปตามที่ได ศึกษามา จากนั้นครูถามนักเรียนวา • เพราะเหตุใด เราจึงตองศึกษาเกี่ยวกับ คําศัพททางทัศนศิลป (แนวตอบ เพราะจะทําใหสามารถนําไปใช บรรยาย หรืออธิบายผลงานทัศนศิลปใหผูอื่น เขาใจ หรือเกิดความประทับใจไดงายขึ้น) • เพราะเหตุใด จึงมีคํากลาววา “การบรรยาย เปนขั้นตอนแรกของการวิจารณงานศิลปะ” (แนวตอบ เพราะการบรรยายที่ดีจะนําไป สูการวิเคราะห ตีความหมาย และตัดสิน ประเมินคาผลงานตามลําดับของหลักการ วิจารณงานศิลปะ) • การบรรยายงานศิลปะที่ดีจะตองกลาวถึง เรื่องใดเปนอันดับแรก (แนวตอบ สิ่งแรกที่ควรกลาวถึงคือ การพิจารณาถึงสิ่งที่เห็นไดชัดเจนที่สุดกอน ตามที่สายตามองเห็น เชน สี รูปทรง ทิศทาง เปนตน )

การใช้ศัพท์ทางทัศนศิลป์เพื่อการบรรยายจุดประสงค์และเนื้อหาของงานทัศนศิลป์ในที่นี้ มีวัตถุประสงค์ให้การบรรยายมุ่งเสนอจุดประสงค์ของการสร้างงานและพิจารณาเนื้อหาของ ผลงานที่สร้าง ซึ่งจะชี้ให้เห็นถึงเบื้องหลังของความคิดและเงื่อนไขการสร้างสรรค์งานศิลปะ ชิ้นใดชิ้นหนึ่งหรือเนื้อหาใดเนื้อหาหนึ่งโดยเฉพาะ การบรรยายประเภทนี้จะรวบรวมเรียบเรียง ข้อคิดแล้วใช้ศัพท์ทางทัศนศิลป์ร่วมในการบรรยายเชิงวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้ผู้ฟังมีความเข้าใจ ในการท�างานของผู้สร้างสรรค์ผลงานนั้น

4.1 การบรรยายกับงานทัศนศิลป์ ๑) ความส�าคัญของการบรรยาย การบรรยายเป็นกระบวนการบันทึกสิ่งต่างๆ

ที่พบในผลงาน โดยค้นหาว่ามีอะไรอยู่ในผลงาน คุณสมบัติที่เด่น รวมไปถึงรายละเอียดอื่นๆ ด้วย เป็นการท�าความเข้าใจภาพผลงานอย่างง่ายๆ เพื่อให้รู้ว่ามันคืออะไร ภาษาที่น�ามาใช้เป็น ภาษาง่ายๆ ประกอบกับศัพท์ทางทัศนศิลป์ การบรรยายเป็นขั้นตอนแรกของการวิจารณ์ศิลปะ การบรรยายที่ดีจะน�าผลไปสู่ขั้นวิเคราะห์ ขั้นตีความหมาย และขั้นตัดสินประเมินค่าผลงานตาม ล�าดับขั้นของหลักการวิจารณ์ศิลปะ ภาษาที่ใช้ในการบรรยายผลงาน มีความจ�าเป็นที่จะสื่อสารให้ผู้ฟังหรือผู้ชมได้รับรู้ ถึงจุดประสงค์และความคิด เนื้อหาของผลงาน และอาจรวมไปถึงอารมณ์ทางศิลปะด้วยก็ได้ ผู้บรรยายควรฝึกการสื่อความหมายที่สมบูรณ์ การใช้ภาษาไทยในการบรรยายบางครั้งบางตอน อาจมีข้อจ�ากัดในส่วนที่เกี่ยวกับการแสดงออกของความคิดทางศิลปะและด้านองค์ประกอบศิลป์ จึงจ�าเป็นต้องเรียนรู้ศัพท์ทางทัศนศิลป์เพื่อน�ามาใช้ประกอบการบรรยายให้เกิดสุนทรียารมณ์ต่อ ผู้ชมอีกประการหนึ่งนอกเหนือจากการได้รับข้อมูลเพียงอย่างเดียว ๒) หลักของการบรรยาย ในการบรรยายนี้ สิ่งแรกที่พูดถึงก็คือ พิจารณาถึงสิ่งที ่ เห็นได้ชัดเจนที่สุดก่อน ถ้าเป็นงาน แบบเหมื แบบเหมือนจริง ควรบั ควรบันทึกชื่อและสิ่งที่ปรากฏเห็นได้ไว้ก่อน และค�าบรรยายต้องใช้ค�าที่ง่าย ชัดเจน ตามข้อมูลที่ปรากฏ รากฏ แต่ถ้าเป็นผลงานที่ดัดแปลงจาก ธรรมชาติมาก การจะบรรยายรายละเอียดของเนื้อหาคงท�าได้ยาก าก จึงจ�าเป็นต้องอธิบายอย่างง กว้างๆ ถึง สี รูปทรง ทิศทาง ตามที่มองเห็น เช่น เห็ เห็นรูปไข่ รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เป็ เป็นต้น

4.๒ ศัพท์ทางทัศนศิลป์ 1 ศัพท์ทางทัศนศิลป์ซึ่งเป็นศัพท์เฉพาะนั้นมีรากฐานมาจากภาษาอังกฤษแ กฤษและได้ ละได้บัญญัติ ศัพท์เป็นภาษาไทยโดยราชบัณฑิตยสถานเป็นหลัก บางค�าก็ก�าหนดขึ้นโดยศิลปินไทยผู้เขียนน ต�าราทางศิลปะเพราะศัพท์เฉพาะทางทัศนศิลป์ในภาษาไทยเรายังอยู่ในวงที่ไม่กว้างนัก บางค�า อาจไม่คุ้นหู ศัพท์ทางทัศนศิลป์ซึ่งผู้เรียนควรรู้ในระดับพื้นฐานมีดังนี้ 35

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

ขอใดเปนปญหาที่ทําใหการบรรยายผลงานทัศนศิลปสมัยใหมทําไดลําบาก 1. มีจํานวนผลงานทัศนศิลปมาก 2. วัสดุอุปกรณที่ศิลปนนํามาใช 3. เทคนิควิธีการสรางงานที่ซับซอน 4. รูปแบบของผลงานมีความหลากหลาย

วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. ปจจุบันศิลปนใชเทคนิควิธีการ ในการสรางสรรคผลงานที่หลากหลาย ซับซอน และหลายอยางก็จํากัดอยูใน วงแคบ ไมแพรหลายมาก ไมมีศัพทเฉพาะเรียกวาอะไร หรือหมายความวา อยางไร ทําใหผูบรรยายตองใชความมานะในการศึกษาคนความากขึ้น เพื่อที่จะอธิบายผลงานดังกลาวใหผูชมทั่วไปเขาใจไดโดยงาย

เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวิเคราะหและการประเมินคุณคาของงานศิลปะ โดยทั่วไปจะพิจารณาจาก 3 ดาน ไดแก 1. ดานความงาม เปนการวิเคราะหและประเมินคุณคาในดานทักษะฝมือ 2. ดานสาระ เปนการวิเคราะหและประเมินคุณคาผลงานศิลปะแตละชิ้นวา มีลักษณะสงเสริมคุณธรรม จริยธรรม หรือใหสาระอะไรกับผูชมบาง 3. ดานอารมณความรูส กึ เปนการคิดวิเคราะหและประเมินคุณคาในดานคุณสมบัติ ที่สามารถกระตุนอารมณความรูสึกและการสื่อความหมาย

นักเรียนควรรู 1 บัญญัติศัพท ศัพททางทัศนศิลปที่ถือวามีความถูกตองและยึดถือเปนหลัก ในการใช คือ คําศัพทที่บัญญัติขึ้นโดยราชบัณฑิตยสถาน เหตุที่ตองยึดถือตาม ราชบัณฑิตยสถาน เนื่องจากเปนศัพทที่ผานการกลั่นกรอง พิจารณาจากผูรู ในวงการศิลปะมาแลว คูมือครู 35


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

Explain

ใหนักเรียนศึกษาศัพททางทัศนศิลป ในหนังสือเรียน หนา 36 จากนั้นครูถามนักเรียนวา • นักเรียนเคยใชศัพททางทัศนศิลปคําใดบาง ในการวิจารณงานศิลปะ (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ) • ศัพททางทัศนศิลปมีความสําคัญ ตอการศึกษาวิชาทัศนศิลปอยางไร (แนวตอบ การเรียนรูเ กีย่ วกับศัพททางทัศนศิลป มีความสําคัญอยางมากตอการศึกษา วิชาทัศนศิลป เพราะนักเรียนสามารถนํา คําศัพททางทัศนศิลปมาใชประกอบ การบรรยายผลงานทัศนศิลปเพื่อใหผูชม เกิดความรูและเกิดสุนทรียะทางอารมณได)

ค�าศัพท์

ความหมาย

1

๑. โครงสร้างเคลื่อนไหว นไหว เป็นงานประติมากรรมที่มีโครงสร้างบอบบาง จัดสมดุลด้วยเส้นลวดแข็ง (mobile) บางๆ ที่มีวัตถุรูปร่าง รูปทรงต่างๆ ที่ออกแบบเชื่อมติดกับเส้นลวด เป็น เครื่องแขวนที่เคลื่อนไหวได้ด้วยกระแสลมเพียงเบาๆ ๒. งานสื่อผสม (mixed media)

เป็นงานออกแบบทางทัศนศิลป์ที่ประกอบด้วยหลายสื่อ โดยใช้วัสดุ หลายๆ แบบ เช่น กระดาษ ไม้ โลหะ สร้างความผสมกลมกลืนด้วยการ สร้างสรรค์

๓. จังหวะ (rhythm)

เป็นความสัมพันธ์ของทัศนธาตุ เช่น เส้น สี รูปร่าง รูปทรง น�้าหนัก ในลักษณะของการซ�้ากันสลับไปมา หรือลักษณะลื่นไหล เคลื่อนไหว ไม่ขาดระยะ จังหวะที่มีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันจะช่วยเน้นให้เกิดความ เด่น หรือทางดนตรีก็คือ การซ�้ากันของเสียงในช่วงเท่ากันหรือแตกต่าง กัน จังหวะให้ความรู้สึกหรือความพอใจทางสุนทรียภาพในงานศิลปะ

๔. ทัศนธาตุ (visual elements)

สิ่งที่เป็นปัจจัยของการมองเห็น เป็นส่วนต่างๆ ที่ประกอบกันเป็นภาพ ได้แก่ จุด เส้น น�้าหนัก ที่ว่าง รูปร่าง รูปทรง สี และลักษณะพื้นผิว

๕. ทัศนียภาพ (perspective)

วิธีเขียนภาพของวัตถุให้มองเห็นว่ามีระยะใกล้ไกล

art) ศิลปะที่รับรู้ได้ด้วยการเห็น ได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ ๖. ทัศนศิลป์ (visual (visual art) และงานสร้างสรรค์อื่นๆๆ ทีที่รับรู้ด้วยการเห็น ๗. ภาพปะติด (collage) (collage) ๗.

เป็นภาพทีท่ า� ขึน้ ด้วยการใช้วสั ดุตา่ งๆ งๆ เช่น กระดาษ ผ้า เศษวัสดุธรรมชาติ ปะติดลงบนแผ่นภาพด้วยกาวหรือแป้งเปียก เป็นต้น ปะติ

๘. วงสีธรรมชาติ (color circle) (color circle)

วงกลมซึ่งจัดระบบสีในแสงสีรุ้งที่เรียงกันอยู่ในธรรมชาติ สีวรรณะอุ่น คือ วงกลมซึ จะอยู่ในซีกที่มีสีแดงและเหลืองง ส่วนสีวรรณะเย็นจะอยู่ในซีกที่มีสีเขียว และสีม่วงง สีสีคู่ตรงข้ามกันจะอยู่ตรงกันข้ามในวงสี

๙. วรรณะสี (tone)

ลักษณะของสีที่แบ่งตามความรู้สึกอุ่นหรือเย็น เช่น สีแดงอยู่ในสีวรรณะ อุ่น (warm tone) สีเขียวอยู่ในสีวรรณะเย็น (cool tone) เป็นต้น

ม (comple- สีที่อยู่ตรงกันข้ามกันในวงสีธรรมชาติ เป็นคู่สีกัน คือ สีคู่ที่ตัดกันหรือ ๑๐. สีคู่ตรงข้าม (comple- mentary colors) ว สีเหลืองกับสีม่วง สีน�้าเงิน mentary colors) ต่างจากกันมากที่สุด เช่น สีแดงกับสีเขียว กับสีส้ม เป็นต้น 36

นักเรียนควรรู 1 โครงสรางเคลื่อนไหว เกิดขึ้นดวยปจจัย 3 ลักษณะ คือ 1. การเคลื่อนไหวโดยการลวงสายตา (ภาพลวงตา) 2. การเคลื่อนไหวโดยผูชมเปนผูเคลื่อนไหวหรือมีปฏิสัมพันธกับงาน 3. การเคลื่อนไหวภายในภาพ คือ บางสวนของภาพที่สามารถเคลื่อนไหวได โดยชิ้นงานจะเกิดความสมบูรณได เมื่อผูชมมีสวนชวยปฎิบัติตอผลงานนั้นๆ เปนการปรากฏผลระหวางผูชมกับผลงาน ทําใหเกิดความงาม การรับรู และความสัมพันธระหวางผูชมกับผลงาน

มุม IT นักเรียนสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับคําศัพททางทัศนศิลป โดยเขาไปที่ เว็บไซตของ ราชบัณฑิตยสถาน www.royin.go.th/home/ ดูแถบดานซาย คลิก เลือก E-book จะปรากฏรายการยอย คลิกเลือกพจนานุกรมศิลปกรรม อักษร ก-ฮ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน

36

คูมือครู

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET ขอใดตรงกับคําวา “จุลศิลป” 1. Woodcut 2. Visual art 3. Kinetic art 4. Landscape

วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เพราะคําวา จุลศิลป เรียกตามศัพท ทางศิลปะวา “Kinetic art ” หมายถึง ประเภทของงานศิลปะที่เนนขนาดวา เปนขนาดเล็ก ไมวาจะเปนงานจิตรกรรม ประติมากรรม หรือภาพพิมพ ทั้งนี้ศิลปะที่ถือวาเปนจุลศิลปไมควรจะใหญกวา 100 ตารางเซนติเมตร


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบายความรู

ครูสุมนักเรียน 2-3 คน ใหอธิบายศัพททาง ทัศนศิลป ในหนังสือเรียน หนา 37 จากนั้นครูถาม นักเรียนวา • คําศัพทในขอใดเกี่ยวของกับคําวา “Composition of Art” (แนวตอบ Composition of Art หรือองคประกอบศิลป หมายถึง วิชา หรือทฤษฎีที่เกี่ยวกับการสรางรูปทรง ในงานทัศนศิลป จึงเกี่ยวของกับคําศัพท ทางทัศนศิลปยอยๆ ดังตอไปนี้ • สัดสวนของภาพ (Proportion) • ความสมดุลของภาพ (Balance) • จังหวะของภาพ (Rhythm) • การเนน หรือจุดเดนของภาพ (Emphasis) • เอกภาพ (Unity) • ความขัดแยง (Contrast) • ความกลมกลืน (Harmony)

๑๑. องค์ประกอบศิลป์ วิชาหรือทฤษฎีที่เกี่ยวกับการสร้างรูปทรงในงานทัศนศิลป์ (composition of art) ๑๒. เอกภาพ (unity)

สภาพทีเ่ ป็นอันหนึง่ อันเดียวกัน ความสอดคล้องกลมกลืนกัน การประสาน กันหรือการจัดระเบียบของส่วนต่างๆ เพื่อสร้างผลรวมอันเป็นอันหนึ่ง อันเดียวที่ไม่อาจแยกออกจากกันได้

๑ ๓. ความกลมกลืน (harmony)

ความประสานกันอย่างลงตัว น่าพอใจของทัศนธาตุ เช่น เส้น รูปทรง สี ขนาด ลักษณะพื้นผิว เป็นต้น

๑ ๔. ความสมดุล (balance)

สภาพของการถ่วงดุลกันของน�า้ หนักทัศนธาตุทปี่ ระกอบกันในงานชิน้ หนึง่

๑๕. การซ�้า (repetition)

การท�าอีกครั้ง การปรากฏตัวของสิ่งที่เหมื1อนกันตั้งแต่ ๒ หน่วยขึ้นไป เช่น การซ�้าของแนวเรื่อง รูปทรง จังหวะ เป็นต้น

๑๖. กระบวนแบบ (style)

ลักษณะทีเ่ ด่นเฉพาะของรูปแบบและกลวิธใี นการสร้างสรรค์งานของศิลปิน หรือหมายถึง วิธีการแสดงออกที่ศิลปินแต่ละคนหรือแต่ละกลุ่มใช้ในการ สร้างสรรค์งาน อันเป็นลักษณะเฉพาะที่สังเกตเห็นได้เด่นชัด

๑ ๗. การแสดงออก (expression)

การแสดงความคิด อารมณ์ ความรู้สึก ความหมาย เป็นต้น ออกมาให้ ปรากฏเป็นรูปแบบด้วยถ้อยค�า สัญลักษณ์ หรือผลงานทัศนศิลป์

๑ ๘. ความบันดาลใจ (inspiration)

การกระตุ้นหรือผลักดันที่เกิดขึ้นในใจ ท�าให้เกิดความคิดหรือการกระท�า เชิงสร้างสรรค์ อาจเกิดขึ้นจากการกระตุ้นจากภายนอกหรือภายในใจเอง ก็ได้ หรืออาจเรียกว่า ความดลใจ

Explain

๑๙. พื้นที่ว่างหรือช่องไฟ ที่ว่างระหว่างรูปทรง ระหว่างลายหรือตัวอักษร (space) ๒ ๐. เนื้อหา (content)

สิ่งที่แสดงออกในงานศิลปะ ความหมาย สาระ

ค�าศัพท์เหล่านี้เมื่อน�ามาใช้ประกอบการบรรยายผลงานทางทัศนศิลป์จะช่วยให้ผู้เรียน เข้าใจในชิ้นงานตามหลักการของการสร้างงานทัศนศิลป์และยังให้ความรู้สึกอยู่ในบรรยากาศของ การเรียนรู้ด้านศิลปะ EB GUIDE 3๗

http://www.aksorn.com/LC/Va/M4/08

กิจกรรมสรางเสริม ใหนักเรียนคนหาคําศัพททางทัศนศิลปจํานวน 50 คํา โดยระบุชื่อคําศัพท ทั้งที่เปนภาษาไทยและภาษาอังกฤษ พรอมอธิบายความหมาย จัดเรียง ตามลําดับตัวอักษร เสร็จแลวนําสงครูผูสอน

กิจกรรมทาทาย

เกร็ดแนะครู ครูใหนักเรียนศึกษาคนควา “บทความ” ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการบรรยายผลงาน ทัศนศิลปแลวใหนักเรียนศึกษาคําศัพททางทัศนศิลปที่ปรากฏในบทความ จากนั้น ใหนักเรียนรวมกันวิเคราะหวา บทความดังกลาวเขียนบรรยายไดเขาใจหรือไม ใชศัพททางทัศนศิลปเปนอยางไร มีความเหมาะสม หรือสื่อความหมายไดชัดเจน เพียงใด

นักเรียนควรรู ใหนักเรียนทําสมุดรวบรวมคําศัพททางทัศนศิลป โดยแบงแยกประเภท ของตัวอักษร A-Z ตกแตงสมุดคําศัพทใหสวยงาม สงครูผูสอน

1 จังหวะ (Rhythm) เกิดจากการเวนระยะความหาง หรือการซํ้าที่เปนระเบียบ เปนจังหวะ จากระเบียบธรรมดาที่มีชวงถี่-หาง เทาๆ กัน มาเปนระเบียบที่สูง และซับซอนขึ้นของทัศนธาตุ หรือสวนประกอบมูลฐานของทัศนศิลป (Elements of Visual Art) เชน เสน รูปราง รูปทรง สี ทําใหเกิดการเคลื่อนไหว (Movement) ทางสายตา มีพลังชักนํา หรือขัดแยงใหสายตาติดตาม คูมือครู

37


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

Explain

ใหนักเรียนศึกษาตัวอยางการบรรยายผลงาน ทัศนศิลป ในหนังสือเรียน หนา 38 จากนั้นครูถาม นักเรียนวา • หากนักเรียนตองเปนผูบรรยายผลงาน ทัศนศิลป 1 ผลงาน นักเรียนควรเตรียมตัว อยางไร (แนวตอบ ศึกษาผลงานดังกลาวใหเขาใจ อยางละเอียดวา ผูสรางสรรคมีแนวคิด หรือจุดประสงคในการสรางงานอยางไร ใชเทคนิควิธีการสรางอยางไร เนื้อหาสาระ ของผลงาน จุดเดน ความนาประทับใจ เปนตน รวมทั้งตองศึกษาคําศัพท ทางทัศนศิลปที่เกี่ยวของกับผลงานดวย เพื่อจะไดนํามาใชไดอยางถูกตอง)

4.3 ตัวอย่างการบรรยายภาพผลงานทัศนศิลป์ ตัวอย่างที่ ๑ ผลงานชิ้นนี้ชื่อภาพ “The parasol” (ร่มกัน แดดเล็กๆ ของสตรี) เทคนิคจิตรกรรมสีนา�้ มัน ภาพ เขียนชิ้นนีเ้ ป็นภาพคน ๒ คน ผู้หญิงนั่ง ผู้ชายยืน ถือร่มกันแดดให้ผู้หญิง การจัดภาพ ผู้หญิงผู้ชาย อยูใ่ กล้กนั ช่วงกลางของภาพ หันหน้าทิศทางเดียว กัน ขณะทีท่ ศิ ทางของร่มหันเข้าหาคน ท�าให้ดเู ป็น เอกภาพ รวมเป็นหน่วยเดียวกัน เกิด ความสมดุล การใช้สอี ยูใ่ น วรรณะสีเย็น มี วรรณะสีอนุ่ ปรากฏ เป็นผ้าประดับผมของผู้หญิงและตัวเสื้อของผู้ชาย 1 ภาพ “The 2 parasol” ผลงานของโกยา เทคนิค ซึ่งเป็นสีส้มแต่เพียงเล็กน้อย ดูโดยรวมแล้วภาพ สีนา�้ มัน มี ความกลมกลืน กันทั้ง รูปทรง และ สี ภาพ ผู้ชาย ผู้หญิง และร่มกันแดดซึ่งเป็นรูปทรงที่เด่นชัดเป็นจุดสนใจของภาพได้จัดวางให้มี ช่องไฟ ระหว่าง กันอย่างพอเหมาะสวยงาม สีของ พื้นหลัง เป็นสีอ่อนจาง ช่วยเสริมให้ เนื้อหา ของภาพที่ผู้สร้างสรรค์ มีจุดประสงค์ใน การแสดงออก เด่นชัดขึ้น

ตัวอย่างที่ ๒ ภาพนี้ชื่อภาพ ภาพ “The “The Stage-coach Stage-coach at at Louveciennes” (คนขับรถม้าบนถนนลูเวเซียนส์) Louveciennes” (คนขั จุดประสงค์ของผู้สร้างสรรค์ต้องการแสดงให้เห็น วิถีชีวิตในชนบท โดยสาร ในชนบท มีการเดินทางโดยรถม้าโดยสาร น โดยน�าเสนอ ภาพแสดงให้เห็นการสัญจรของผู้คน โดยน� ภาพ มีระยะใกล้ไกล ด้ กล ด้าน วิธวี าดภาพแสดง าดภาพแสดง ทัทัศนียภาพ มี ทรง ของต้นไม้จัดวางเป็น ซ้ายของภาพเป็น รูปทรง หวะ มีระยะ ช่ ะยะ ช่องไฟ เรี งไฟ เรียงไปสู่ระดับสายตา โทน สายตา จังหวะ มี สีของภาพเป็น วรรณะสีเย็น ทั้งภาพเกิด ความ ภาพ “The Stage-coach at Louveciennes” ผลงาน กลมกลืน ด้วยสี ภาพมี ความสมดุล ทั้ง ๒ ข้าง ของปีซาโร เทคนิคสีน�้ามัน ด้วยความรูส้ กึ ทีเ่ ท่ากัน ถึถึงแม้วา่ ด้านซ้ายจะมีสว่ น ประกอบมากกว่า แต่ แต่ดา้ นขวาก็ถว่ งน�า้ หนักด้วยต้นไม้ ๑ ต้ต้น และความเข้ และความเข้มของสีพนื้ ดินทีเ่ ติมสีเขียวเข้มลงไป ลงไป 38

นักเรียนควรรู 1 โกยา หรือฟรานซิสโก โฮเซ เด โกยา (Francisco Joseé de Goya) จิตรกรชาวสเปน (ค.ศ. 1746-1828) บิดามีอาชีพเปนชางเคลือบทอง สวนมารดา มีเชื้อสายผูดีชั้นสูง ภาพผลงานศิลปะทั้งหมดของโกยาลวนแลวแตเปนภาพที่แสดง ถึงอารมณที่เจ็บปวด หวาดกลัว สยองขวัญ ทอแท หมดหวัง และทอดอาลัย ดังนั้น คนที่เคยมีอารมณเจ็บปวด หวาดกลัว สยองขวัญ ทอแท หมดหวัง และทอดอาลัย จะรูสึกชอบภาพของโกยา เพราะโกยาสามารถสื่อความรูสึกลึกๆ ของคนธรรมดาไดดี และนีค่ อื เหตุผลทีท่ าํ ใหโกยาเปนจิตรกรผูย งิ่ ใหญคนหนึง่ ของโลก 2 สีนํ้ามัน สีที่เกิดจากการผสมกันระหวางสารสีกับนํ้ามัน เพื่อใหเหลวและลื่น ใชในการวาดภาพสีนํ้ามัน ซึ่งเปนการวาดภาพจิตรกรรมแบบหนึ่งที่นิยมกันทั่วโลก มากวา 400 ป สารสีที่จะนํามาทําสีนํ้ามันตองเลือกชนิดที่ดูดซึมเขากับนํ้ามันไดดี สวนนํ้ามันผสมมักใชนํ้ามันพืช เชน นํ้ามันลินสีด นํ้ามันสน เปนตน

38

คูมือครู

บูรณาการเชื่อมสาระ

การศึกษาเกี่ยวกับหลักการออกแบบสามารถบูรณาการเชื่อมโยง กับการเรียนการสอนของกลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่องการใชเทคโนโลยีในการออกแบบ เทคโนโลยีในที่นี้หมายถึง โปรแกรม คอมพิวเตอรที่สามารถนํามาใชในงานออกแบบได ทําใหการออกแบบ มีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เนื่องจากในปจจุบันการออกแบบ ไดกาวเขาสูยุคของการแขงขันกันทางการตลาด เพื่อเพิ่มมูลคาผลิตภัณฑ ดังนั้น นักออกแบบสมัยใหมนอกจากจะตองมีความรูทางดานศิลปะแลว ยังตองมีความรูดานเทคโนโลยีและมีความคิดริเริ่มสรางสรรคควบคูกันไปดวย เพื่อใหงานออกแบบมีประสิทธิภาพและเขากับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

Engage

Explore

Explain

ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

ขยายความเขาใจ

Expand

ครูใหนักเรียนรวมกันสรุปศัพททางทัศนศิลป ที่ใชในการบรรยายผลงานทัศนศิลป โดยทําเปน เอกสารสื่อสิ่งพิมพประเภทแผนพับ ตกแตงให สวยงาม สงครูผูสอน

สรุป

ผลงานทางทัศนศิลปที่ปรากฏใหเห็นเดนชัดสวยงามนั้นประกอบดวยสวนประกอบ ยอยๆ อันเปนพื้นฐานอันดับแรกของศิลปะ ที่นิยมเรียกวา ทัศนธาตุ ไดแก จุด เสน รูปราง รูปทรง พื้นผิว พื้นที่วาง นํ้าหนักออน-แก และสี แลวนําเอาทัศนธาตุมาจัดรวมใหถูกตองโดย คํานึงถึงความมีเอกภาพ ความสมดุล ความกลมกลืน ความขัดแยง จุดสนใจ สัดสวน จังหวะ ทําใหเกิดผลงานที่เดนชัด สวยงาม และมีคุณคา ศิลปะการออกแบบดานประยุกตศิลปเปนการออกแบบเพื่อใหไดชิ้นงานที่เกี่ยวของกับ การดําเนินชีวิตในดานประโยชนใชสอยและการสื่อสารขอมูลตางๆ ซึ่งแสดงออกในรูปแบบที่ หลากหลาย ทั้งดานการออกแบบจัดวาง ตกแตงสิ่งของและวัสดุ เชน การออกแบบตกแตง ภายใน การออกแบบผลิตภัณฑ และการออกแบบดานการสื่อสารขอมูล เชน การออกแบบ สิ่งพิมพ การออกแบบสัญลักษณเครื่องหมายและการออกแบบโปสเตอร ศิลปะการออกแบบ เหลานี้ผูออกแบบจะตองมีความรูความเขาใจและสามารถสรางสรรคงาน ทั้งงานจัดวางวัตถุ สิ่งของ เครื่องใช และองคประกอบศิลปของการสื่อความหมายทางตัวอักษรและภาพดวย แนวคิดและนําเสนอรูปแบบใหทันสมัยอยูเสมอ ผลงานการออกแบบถึงจะไดรับการสนองตอบ อยางดีจากผูบริโภค

39

ขอสอบ

O-NET

ขอสอบป ’ 53 ออกเกี่ยวกับจิตรกรรมสีนํ้ามัน จิตรกรรมสีนํ้ามันเริ่มใชในสมัยคริสตศตวรรษที่เทาใด 1. คริสตศตวรรษที่ 12 2. คริสตศตวรรษที่ 13 3. คริสตศตวรรษที่ 15 4. คริสตศตวรรษที่ 16 วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. การใชสีนํ้ามัน (Oil Color) ปรากฏขึ้น เปนครั้งแรกเมื่อคริสตศตวรรษที่ 15 (ค.ศ 1452-1519) ในผลงานของ เลโอนารโด ดา วินชี จากนั้นก็ไดมีการใชสีนํ้ามันกันหลายลักษณะ เหตุที่ ศิลปนนิยมใชสีนํ้ามันอาจเปนเพราะวาดไดสะดวกดวยกลวิธีตางๆ มากมาย ตามแตความถนัดและการคิดคนพลิกแพลงหาแนวทางของตนเอง

บูรณาการอาเซียน ใหนักเรียนแบงกลุม 5 คน ใหแตละกลุมหาตัวอยางภาพผลงานทัศนศิลป ที่แสดงถึงวิถีชีวิตความเปนอยู ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ประชากร สถานที่สําคัญของประเทศสมาชิกอาเซียน จากแหลงเรียนรูตางๆ เชน หนังสือ นิตยสาร อินเทอรเน็ต เปนตน กลุมละ 1 ภาพ จากนั้นเขียนบรรยายถึงจุดประสงค ลักษณะของผลงาน และเนื้อหาสาระของผลงาน เพื่อใหผูอื่นอานเขาใจไดงาย โดยเนนการใชคําศัพททางทัศนศิลป ทั้งนี้ใหจัดทําอภิธานศัพททางทัศนศิลปไวดวย วา คําศัพทนั้นๆ มีความหมายวาอยางไร จากนั้นนําผลงานสงครูผูสอนเพื่อตรวจ พิจารณา และใหแตละกลุมสงตัวแทนออกมาบรรยายผลงานทัศนศิลปดังกลาว หนาชั้นเรียน

คูมือครู

39


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

Engage

Explore

Explain

Expand

ตรวจสอบผล

ตรวจสอบผล Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate

Evaluate

ครูพิจารณาแผนพับคําศัพททางทัศนศิลป ของนักเรียน โดยพิจารณาในดานความถูกตอง ความสวยงาม และความคิดสรางสรรค

¤Ò¶ÒÁ»ÃШíÒ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ

๑. ทัศนธาตุหรือองค์ประกอบทัศนศิลป์มีความส�าคัญต่อการสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์อย่างไร ๒. การพิจารณาผลงานชิ้นหนึ่งว่ามีความงามหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาจากอะไรบ้าง ๓. เส้นในแต่ละลักษณะให้ความรู้สึกต่อการมองเห็นแตกต่างกันอย่างไร ๔. นักเรียนเห็นด้วยหรือไม่กับข้อความที่ว่า สีเป็นองค์ประกอบทัศนศิลป์ที่ส�าคัญที่สุดในงานจิตรกรรม ๕. หลักการออกแบบที่ดีควรค�านึงถึงเรื่องใดบ้าง ๖. การใช้ตัวอักษรและภาพประกอบในงานออกแบบสิ่งพิมพ์เพื่อให้เกิดความเข้าใจชัดเจน ควรมีลักษณะ อย่างไร ๗. เพราะเหตุใดในการบรรยายผลงานทางทัศนศิลป์ควรใช้ค�าศัพท์ทางทัศนศิลป์ประกอบลงไปด้วย

หลักฐานแสดงผลการเรียนรู 1. ผลงานการจัดนิทรรศการเรื่อง “ทัศนธาตุคูงาน ทัศนศิลป” 2. ผลงานการจัดนิทรรศการเรื่อง “ศิลปะความงาม จากการออกแบบงานทัศนศิลป” 3. ผลการสรุปสาระสําคัญเกี่ยวกับประเภท ของงานออกแบบ 4. แผนพับคําศัพททางทัศนศิลป

¡Ô¨¡ÃÃÁÊÌҧÊÃä ¾Ñ²¹Ò¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ กิจกรรมที่ ๑๑ กิจกรรมที่ ๒๒ ๓ กิจกรรมที่ ๓

ให้นักเรียนฝึกหัดเขียนเส้นชนิดต่างๆ ให้ครบด้วยมือ แล้วอธิบายถึงความรู้สึก ที่มีต่อเส้นดังกล่าว ให้นักเรียนทดลองวาดรูปโดยใช้ทัศนธาตุให้ครบทุกองค์ประกอบ จากนั้นผลัดกัน กับเพื่อนช่วยกันวิจารณ์ผลงาน ให้นันักเรียนไปหาภาพมา ๑ ภาพ อาจจะเป็นด้านจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม แล้วบรรยายผลงานด้วยการใช้ภาษาต่างๆ ประกอบกับศัพท์ ทางทัศนศิลป์ จากนั้นออกมาน�าเสนอผลงานหน้าชั้นเรียน

40

แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู 1. ทําใหงานศิลปะมีความสวยงาม นาประทับใจ 2. พิจารณาจาก 3 ดาน ไดแก 1. ดานความงาม 2. ดานสาระ 3. ดานอารมณความรูสึก 3. เสนในแตละลักษณะจะใหความรูสึกแตกตางกัน เชน • เสนตั้ง หรือเสนดิ่ง ใหความรูสึกทางความสูง สงา มั่นคง แข็งแรง หนักแนน เปนสัญลักษณของความซื่อตรง • เสนนอน ใหความรูสึกทางความกวาง สงบ ราบเรียบ นิ่ง ผอนคลาย • เสนเฉียง หรือเสนทแยงมุม ใหความรูสึกเคลื่อนไหว รวดเร็ว ไมมั่นคง • เสนหยัก หรือเสนซิกแซกแบบฟนปลา ใหความรูสึกเคลื่อนไหวอยางเปนจังหวะ มีระเบียบ ไมราบเรียบ นากลัว อันตราย ขัดแยง รุนแรง • เสนประ ใหความรูสึกที่ไมตอเนื่อง ขาดหาย ไมชัดเจน ทําใหเกิดความเครียด เปนตน 4. นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็นไดอยางอิสระ ครูอธิบายเพิ่มเติมวา ภาพจะสวยงามไดนั้นตองขึ้นอยูกับองคประกอบศิลปที่มีความเหมาะสมลงตัว คือ จุด เสน รูปราง รูปทรง พื้นผิว พื้นที่วาง นํ้าหนักออน-แก และสี 5. ควรคํานึงถึงความสมดุล สัดสวน ความกลมกลืน การใชสัดสวนใหสัมพันธกับสิ่งแวดลอม ความแตกตาง จังหวะ และการเนนใหเกิดจุดเดน 6. ตัวอักษรมีขนาดที่เหมาะสม สั้น กระชับ ไดใจความ ภาพประกอบมีความสวยงาม 7. เพราะจะทําใหผูฟงหรือผูอานเขาใจ หรือมีความประทับใจตอผลงานทัศนศิลปไดงายขึ้น

40

คูมือครู


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.