8858649122384

Page 1

คูมือครู 㪌»ÃСͺ¡ÒÃÊ͹ËÇÁ¡Ñº

˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ©ºÑº ÍÞ.

หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน

วิทยาศาสตร

ชั้นประถมศึกษาปที่ ๑

กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ศิริรัตน วงศศิริ รักซอน รัตนวิจิตตเวช ภาพปกนี้มีขนาดเทากับหนังสือเรียนฉบับจริงของนักเรียน

กระบวนการสอนแบบ 5 Es ชวยสรางทักษะการเรียนรู กิจกรรมมุงพัฒนาทักษะการคิด คำถาม + แนวขอสอบเพื่อยกผลสัมฤทธิ์ O - NET กิจกรรมบูรณาการเตรียมพรอมสู ASEAN 2558


เอกสารประกอบคูมือครู

กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร

วิทยาศาสตร ชั้นประถมศึกษาปที่

1

สําหรับครู

คูมือครู Version ใหม

ลักษณะเดน

ขยายพื้นที่รูปเลมใหญขึ้นกวาเดิม จัดแบงพื้นที่ออกเปนโซน เพื่อคนหาขอมูลไดงาย สะดวก รวดเร็ว และดูเปนระเบียบ กระตุน ความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ Expand

ตรวจสอบผล Evaluate

กระตุน ความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ Expand

ตรวจสอบผล Evaluate

เปาหมายการเรียนรู สมรรถนะของผูเรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค

หน า

โซน 1 กระตุน ความสนใจ

Engage

สํารวจคนหา

Explore

อธิบายความรู

Explain

ขยายความเขาใจ

Expand

ตรวจสอบผล

หน า

หนั ง สื อ เรี ย น

โซน 1

หนั ง สื อ เรี ย น

Evaluate

ขอสอบเนน การคิด ขอสอบเนน การคิด แนว NT แนว O-NET

O-NET บูรณาการเชื่อมสาระ

เกร็ดแนะครู

ขอสอบ

โซน 2

โซน 3

กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย

นักเรียนควรรู

โซน 3

โซน 2 บูรณาการอาเซียน มุม IT

No.

คูมือครู

คูมือครู

No.

โซน 1 ขั้นตอนการสอนแบบ 5Es

โซน 2 ชวยครูเตรียมสอน

โซน 3 ชวยครูเตรียมนักเรียน

เพื่อใหครูเตรียมจัดกิจกรรมการเรียน การสอน โดยแนะนําขั้นตอนการสอนและ การจัดกิจกรรมแบบ 5Es อยางละเอียด เพื่อใหนักเรียนบรรลุตามตัวชี้วัด

เพื่อชวยลดภาระครูผูสอน โดยแนะนํา เกร็ดความรูสําหรับครู ความรูเสริมสําหรับ นักเรียน รวมทั้งบูรณาการความรูสูอาเซียน และมุม IT

เพือ่ ใหครูสะดวกตอการจัดกิจกรรม โดยแนะนํา กิจกรรมบูรณาการเชื่อมระหวางกลุมสาระ วิชา กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย รวมถึงเนือ้ หา ที่เคยออกขอสอบ O-NET เก็งขอสอบ O-NET และแนวขอสอบเนนการคิด พรอมคําอธิบาย และเฉลยอยางละเอียด


ที่ใชในคูมือครู

แถบสีและสัญลักษณ

แถบสีแสดงขั้นตอนการสอนและการจัดกิจกรรม แบบ 5Es เพื่อใหครูทราบวาเปนขั้นการสอนขั้นใด

1. แถบสี 5Es สีแดง

สีเขียว

กระตุน ความสนใจ

เสร�ม

สํารวจคนหา

Engage

2

เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใช เทคนิคกระตุน ความสนใจ เพื่อโยง เขาสูบทเรียน

สีสม

อธิบายความรู

Explore

เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนสํารวจ ปญหา และศึกษา ขอมูล

สีฟา

Explain

เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนคนหา คําตอบ จนเกิดความรู เชิงประจักษ

สีมวง

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนนําความรู ไปคิดคนตอๆ ไป

เปนขั้นที่ผูสอน ประเมินมโนทัศน ของผูเรียน

2. สัญลักษณ สัญลักษณ

วัตถุประสงค

• เปาหมายการเรียนรู

• หลักฐานแสดงผล การเรียนรู

O-NET

(เฉพาะวิชา ชัน้ ทีส่ อบ O-NET O-NET)

• ชีแ้ นะเนือ้ หาทีเ่ คยออกขอสอบ

O-NET โดยยกตัวอยางขอสอบ พรอมวิเคราะหคาํ ตอบ อยางละเอียด

• เปนตัวอยางขอสอบทีม่ งุ เนน แนว

O-NET

การคิดใหครูนาํ ไปใชไดจริง รวมถึงเปนการเก็งขอสอบ O-NET ทีจ่ ะออก มีทงั้ ปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลยอยางละเอียด

ขอสอบเนน การคิด แนว NT

ขยายความรูเพิ่มเติมจากเนื้อหา เพื่อใหครู นําไปใชอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียน ไดมีความรูมากขึ้น

บูรณาการเชื่อมสาระ

• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม

ความรูห รือกิจกรรมเสริม ใหครูนาํ ไปใช เตรียมความพรอมใหกบั นักเรียนกอนเขาสู ประชาคมอาเซียน 2558 โดยบูรณาการ กับวิชาทีก่ าํ ลังเรียน

กิจกรรมสรางเสริม

• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม

นักเรียนควรรู

บูรณาการอาเซียน

คูม อื ครู

แสดงรองรอยหลักฐานตามภาระงาน ที่ครูมอบหมาย เพื่อแสดงผลการเรียนรู ตามตัวชี้วัด

ขอสอบ

วัตถุประสงค

แทรกความรูเสริมสําหรับครู ขอเสนอแนะ ขอควรระวัง ขอสังเกต แนวทางการจัด กิจกรรมและอืน่ ๆ เพื่อประโยชนในการ จัดการเรียนการสอน

เกร็ดแนะครู

มุม IT

แสดงเปาหมายการเรียนรูที่นักเรียน ตองบรรลุตามตัวชี้วัด ตลอดจนสมรรถนะ ที่จะตองมี และคุณลักษณะที่พึงเกิดขึ้น กับนักเรียน

สัญลักษณ

แนะนําแหลงคนควาจากเว็บไซต เพื่อใหครู และนักเรียนไดเขาถึงขอมูลความรู ที่หลากหลาย ทั้งไทยและตางประเทศ

• แนวขอสอบ NT ในระดับ

ประถมศึกษา มีทงั้ ปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลยอยางละเอียด

(เฉพาะวิชา ชัน้ ทีส่ อบ NT)

กิจกรรมทาทาย

เชือ่ มกับกลุม สาระ ชัน้ หรือวิชาอืน่ ทีเ่ กีย่ วของ

ซอมเสริมสําหรับนักเรียน ทีย่ งั ไมเขาใจเนือ้ หา

• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม ตอยอดสําหรับนักเรียนทีเ่ รียนรู เนือ้ หาไดอยางรวดเร็ว และ ตองการทาทายความสามารถ ในระดับทีส่ งู ขึน้


คําแนะนําการใชคูมือครู การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอน คูมือครู รายวิชา วิทยาศาสตร ป.1 จัดทําขึ้นเพื่อใหครูผูสอนนําไปใชเปนแนวทางวางแผนการสอนเพื่อพัฒนา ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน และประกันคุณภาพผูเ รียน ตามนโยบายของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน (สพฐ.) โดยใชหนังสือเรียน วิทยาศาสตร ป.1 ของบริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด เปนสื่อหลัก (Core Material) ประกอบ เสร�ม การสอนและการจัดกิจกรรมการเรียนรูใหสอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดกลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร 3 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พ.ศ. 2551 โดยออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนตามหลักการสําคัญ ดังนี้ 1 ออกแบบการสอนเปนหนวยการเรียนรูอิงมาตรฐาน คูม อื ครู รายวิชา วิทยาศาสตร ป.1 วางแผนการสอนโดยแบงเปนหนวยการเรียนรูต ามลําดับสาระ (standard) และ หมายเลขขอของมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั แตละหนวยจะกําหนดเปาหมายการสอนและจุดประสงคการเรียนรู (Objective Learning) กิจกรรมการเรียนรู (Learning Activities) และแนวทางการประเมินผลการเรียนรู (Learning Evaluation) ไวชัดเจน ครูผูสอนสามารถจัดทําแผนการสอนใหครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัด สมรรถนะ และคุณลักษณะ อันพึงประสงคที่เปนเปาหมายการเรียนรูตามที่กําหนดไวในสาระแกนกลาง (ตามแผนภูมิ) และสามารถบันทึกผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของผูเรียนแตละคนลงในเอกสาร ปพ.5 ไดอยางมั่นใจ แผนภูมิแสดงองคประกอบของการออกแบบการเรียนรูอิงมาตรฐานและเนนผูเรียนเปนสําคัญ

พผ

ูเ

จุดปร

ะสง

ค ก

ส ภา

รียน

รู ีเรยน

มาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัดชั้นป

ทักษะการคิด การวัดประเมินผล การเรียนรู

กิจกรรมการเรียนรู

เทคนิคการสอน

คูม อื ครู


2 การจัดการเรียนรูที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ แนวคิ ด ในการจั ด การเรี ย นการสอนที่ ยึ ด ผู  เ รี ย นเป น สํ า คั ญ พั ฒ นามาจากปรั ช ญาและทฤษฎี ก ารเรี ย นรู  Constructivism ที่เชื่อวาการเรียนรูเปนกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในสมองของผูเรียนแตละคน ผูเรียนเปนผูสรางความรู โดยการเชื่อมโยงระหวางสิ่งที่ไดเรียนรูจากบทเรียนใหมกับความรูหรือประสบการณเดิมที่มีอยู ทฤษฎีนี้มีความเชื่อวา ผูเรียนทุกคนไดเรียนรูและมีการสั่งสมความรูความเขาใจเกี่ยวกับสิ่งตางๆ ติดตัวมากอน เสร�ม ทีจ่ ะเขาสูห อ งเรียน ซึง่ เปนการเรียนรูท เี่ กิดจากประสบการณและสิง่ แวดลอมรอบตัวผูเ รียนแตละคน ดังนัน้ การจัดกิจกรรม 4 การเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ผูสอนจะตองคํานึงถึง 1. ความรูเดิมของผูเรียน วิธีการสอนที่ดีจะตองเริ่มตนจากจุดที่วา ผูเ รียนมีความรูอ ะไรมาบาง แลวจึงใหความรู หรือประสบการณใหม เพื่อตอยอดจาก ความรูเดิม นําไปสูการสรางความรูความ เขาใจใหม

2. ความรูเดิมของผูเรียนถูกตองหรือไม ผูส อนตองปรับเปลีย่ นความรูความเขาใจ เดิ ม ของผู  เ รี ย นให ถู ก ต อ ง และเป น พฤติ ก รรมการเรียนรูใหมที่มีคุณคาตอ ผูเ รียน เพือ่ สรางเจตคติหรือทัศนคติทดี่ ตี อ การเรียนรูสิ่งเหลานั้น

3. ผูเรียนสรางความหมายสําหรับตนเอง ผูสอนตองสงเสริมใหผูเรียนนําความรูความ เขาใจที่เกิดขึ้นไปลงมือปฏิบัติ เพื่อขยาย ความรูใหลึกซึ้งและมีคุณคาตอตัวผูเรียน มากที่สุด

แนวคิด Constructivism เนนใหผูเรียนสรางความรูโดยผานกระบวนการคิดและความอยากรูของตนเอง โดยมีผูสอนเปนผูสรางบรรยากาศ

การเรียนรูและกระตุนความสนใจ คอยจัดสถานการณใหผูเรียนเกิดความขัดแยงทางความคิดระหวางประสบการณเดิมกับประสบการณ ความรูใ หม เพือ่ กระตนุ ใหผเู รียนเชือ่ มโยงความรู ความคิด กับประสบการณทมี่ อี ยูเ ดิม แลวสังเคราะหเปนความรูห รือแนวคิดใหมๆ ไดดว ยตนเอง

3 การบูรณาการกระบวนการคิด การเรียนรูข องผูเ รียนแตละคนจะเกิดขึน้ ทีส่ มอง ซึง่ เปนอวัยวะทีท่ าํ หนาทีร่ คู ดิ ภายใตสภาพแวดลอมทีเ่ อือ้ อํานวย และไดรบั การกระตนุ จูงใจอยางเหมาะสม สอดคลองกับสภาพจิตใจและความตองการของผูเ รียนแตละคน การจัดกิจกรรม การเรียนรูและสาระการเรียนรูที่สอดคลองกับความสนใจและมีความหมายตอผูเรียน จะชวยกระตุนใหสมองของผูเรียน สามารถรับรูและเรียนรูไดอยางมีประสิทธิภาพตามขั้นตอนการทํางานของสมอง ดังนี้ 1. สมองจะเรียนรูและสืบคน โดยการสังเกต คนหา ซักถาม และทดลอง ปฏิบัติ จนทําใหคนพบความรูความเขาใจ ไดอยางรวดเร็ว

2. สมองจะแยกแยะคุณคาของสิ่งตางๆ โดยการตัดสินใจวิพากษวิจารณ แสดง ความคิดเห็น ยอมรับหรือตอตานตาม อารมณความรูสึกที่เกิดขึ้นในขณะที่เรียนรู

3. สมองจะประมวลเนื้อหาสาระ โดยการสรุปเปนความคิดรวบยอดจาก เรื่องราวที่ไดเรียนรูใหมนําไปผสมผสานกับ ความรูห รือประสบการณเดิมทีถ่ กู จัดเก็บอยูใ น สมอง ผานการกลัน่ กรองเพือ่ สังเคราะหเปน ความรูค วามเขาใจใหมๆ หรือเปนทัศนคติใหม ที่จะเก็บบรรจุไวในสมองของผูเรียน

การเรียนรูที่มีประสิทธิภาพจึงตองเปนการเรียนรูที่เกิดจากกระบวนการคิดของผูเรียน เพราะการเรียนรูจะเกิดขึ้น เมื่อสมองรูคิด และตองเปนการคิดไดครบถวนตามขั้นตอนการทํางานของสมองผูเรียน โดยเริ่มตนจาก

คูม อื ครู

1. ระดับการคิดพื้นฐาน

2. ระดับลักษณะการคิด

3. ระดับกระบวนการคิด

ไดแก การสังเกต การจําแนก การคาดคะเน การสื่อความหมาย การรวบรวมขอมูล การสรุปผล เปนตน

ไดแก การคิดกวาง คิดลึกซึ้ง คิดไกล คิดหลากหลาย คิดคลอง คิดอยางมีเหตุผล เปนตน

ไดแก กระบวนการคิดอยางมี วิจารณญาณ กระบวนการแกปญหา กระบวนการคิดสรางสรรค กระบวนการ คิดสังเคราะหวิจัย เปนตน


5Es การจัดกิจกรรมตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ขั้นตอนการสอนที่สัมพันธกับขั้นตอนการคิดและการทํางานทางสมองของผูเรียนที่นิยมใชอยางแพรหลาย คือ วัฏจักรการเรียนรู 5Es ซึ่งผูจัดทําคูมือครูไดนํามาใชเปนแนวทางออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในแตละหนวย ตามลําดับขั้นตอนการเรียนรู ดังนี้ ขั้นที่ 1

กระตุนความสนใจ

(Engage)

เสร�ม

5

เปนขัน้ ทีผ่ สู อนนําเขาสูบ ทเรียน เพือ่ กระตุน ความสนใจของผูเ รียนดวยเรือ่ งราวหรือเหตุการณทนี่ า สนใจโดยใชเทคนิควิธกี ารสอน และคําถามทบทวนความรูหรือประสบการณเดิมของผูเรียน เพื่อเชื่อมโยงผูเรียนเขาสูความรูของบทเรียนใหม ชวยใหผูเรียนสามารถ สรุปประเด็นสําคัญที่เปนหัวขอและสาระการเรียนรูของบทเรียนได จึงเปนขั้นตอนการสอนที่สําคัญ เพราะเปนการเตรียมความพรอม และสรางแรงจูงใจใฝเรียนรูแกผูเรียน

ขั้นที่ 2

สํารวจคนหา

(Explore)

เปนขัน้ ทีผ่ สู อนเปดโอกาสใหผเู รียนลงมือศึกษา สังเกต หรือรวมมือกันสํารวจ เพือ่ ใหเห็นขอบขายของปญหา รวมถึงวิธกี ารศึกษา คนควา การรวบรวมขอมูลความรูที่จะนําไปสูการสรางความเขาใจประเด็นปญหานั้นๆ เมื่อผูเรียนทําความเขาใจในประเด็นหัวขอที่จะ ศึกษาคนควาอยางถองแทแลว ก็ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมขอมูลความรู สํารวจตรวจสอบ โดยวิธีการตางๆ เชน สัมภาษณ ทดลอง อานคนควาขอมูลจากเอกสาร แหลงขอมูลตางๆ จนไดขอมูลความรูตามที่ตั้งประเด็นศึกษาไว

ขั้นที่ 3

อธิบายความรู

(Explain)

เปนขั้นที่ผูสอนมีปฏิสัมพันธกับผูเรียน เชน ใหการแนะนํา ตั้งคําถามกระตุนใหคิด เพื่อใหผูเรียนคนหาคําตอบ และนําขอมูล ความรูจากการศึกษาคนควาในขั้นที่ 2 มาวิเคราะห สรุปผล และนําเสนอผลที่ไดศึกษาคนความาในรูปแบบสารสนเทศตางๆ เชน เขียนแผนภูมิ แผนผังแสดงมโนทัศน เขียนความเรียง เขียนรายงาน เปนตน ในขั้นตอนนี้ฝกใหผูเรียนใชสมองคิดวิเคราะหและ สังเคราะหอยางเปนระบบ

ขั้นที่ 4

ขยายความเขาใจ

(Expand)

เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใชเทคนิควิธีการสอนตางๆ ที่สงเสริมใหผูเรียนนําความรูที่เกิดขึ้นไปคิดคนสืบคนตอๆ ไป เพื่อพัฒนาทักษะ การเรียนรูและการทํางานรวมกันเปนกลุม ระดมสมองเพื่อคิดสรางสรรครวมกัน ผูเรียนสามารถนําความรูที่สรางขึ้นใหมไปเชื่อมโยง กับประสบการณเดิมโดยนําขอสรุปทีไ่ ดไปใชอธิบายเหตุการณตา งๆ หรือนําไปปฏิบตั ใิ นสถานการณใหมๆ ทีเ่ กีย่ วของกับชีวติ ประจําวัน ของตนเอง เพื่อขยายความรูความเขาใจใหกวางขวางยิ่งขึ้น ในขั้นตอนนี้ฝกสมองของผูเรียนใหสามารถคิดริเริ่มสรางสรรคอยางมี คุณภาพ เสริมสรางวิสัยทัศนใหกวางไกลออกไป

ขั้นที่ 5

ตรวจสอบผล

(Evaluate)

เปนขัน้ ทีผ่ สู อนประเมินมโนทัศนของผูเ รียน โดยตรวจสอบจากความคิดทีเ่ ปลีย่ นไปและความคิดรวบยอดทีเ่ กิดขึน้ ใหม ตรวจสอบ ทักษะ กระบวนการปฏิบัติ การแกปญหา การตอบคําถามรวบยอด และการเคารพความคิดหรือยอมรับเหตุผลของคนอื่น เพื่อการ สรางสรรคความรูร ว มกัน ผูเ รียนสามารถประเมินผลการเรียนรูข องตนเอง เพือ่ สรุปผลวามีความรูอ ะไรเพิม่ ขึน้ มาบาง เกิดความเขาใจ มากนอยเพียงใด และจะนําความรูเหลานั้นไปประยุกตใชในการเรียนรูเรื่องอื่นๆ ไดอยางไร ผูเรียนจะเกิดเจตคติและเห็นคุณคาของ ตนเองจากผลการเรียนรูที่เกิดขึ้น ซึ่งเปนการเรียนรูที่มีความสุขอยางแทจริง

การจัดกิจกรรมการเรียนรูตามขั้นตอนวัฏจักรการสรางความรูแบบ 5Es จึงเปนรูปแบบการเรียนการสอนที่เนน ผูเ รียนเปนสําคัญอยางแทจริง เพราะสงเสริมใหผเู รียนไดลงมือปฏิบตั ติ ามขัน้ ตอนของกระบวนการสรางความรูด ว ยตนเอง และฝกฝนใหใชกระบวนการคิดและกระบวนการกลุมอยางชํานาญ กอใหเกิดทักษะชีวิต ทักษะการทํางานและทักษะการ เรียนรูท มี่ ปี ระสิทธิภาพ สงผลตอการยกระดับผลสัมฤทธิข์ องผูเ รียน ตามเปาหมายของการปฏิรปู การศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) ทุกประการ คูม อื ครู


O-NET การเพิ่มผลสัมฤทธิ์ O-NET

การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามขัน้ ตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ในแตละหนวยการเรียนรู ทางผูจ ดั ทํา จะเสนอแนะวิธสี อนรูปแบบกิจกรรมการเรียนรู พรอมทัง้ ออกแบบเครือ่ งมือวัดผลประเมินผลทีส่ อดคลองกับตัวชีว้ ดั และสาระการเรียนรูแกนกลางไวทุกขั้นตอน โดยยึดหลักสําคัญ คือ เปาหมายของการวัดผลประเมินผล เสร�ม

6

1. การวัดผลทุกครั้งตองนําผล การวัดมาปรับปรุงพัฒนาผูเรียน เปนรายบุคคล

2. การประเมินผลมีเปาหมาย เพื่อพัฒนาการเรียนรูของผูเรียน จนเต็มศักยภาพ

3. การนําผลการวัดและประเมิน ทุกครั้งมาวางแผนปรับปรุงกิจกรรม การเรียนการสอน การเลือกเทคนิค วิธีการสอน และสื่อการเรียนรูให เหมาะสมกับสภาพจริงของผูเรียน

การทดสอบผูเรียน 1. การใชขอสอบอัตนัย เนนการอาน การคิดวิเคราะห และเขียนสรุปเพิ่มมากขึ้น 2. การใชคําถามกระตุนการคิด ควบคูกับการทําขอสอบที่เนนการคิดตลอดตอเนื่องตามลําดับกิจกรรมการเรียนรูและ ตัวชี้วัด 3. การทดสอบตองดําเนินการทั้งกอนเรียน ระหวางเรียน และเมื่อสิ้นสุดการเรียน การทดสอบระหวางเรียน ต อ งใช ข  อ สอบทั้ ง ชนิ ด ปรนั ย และอั ต นั ย และเป น การทดสอบเพื่ อ วิ นิ จ ฉั ย ผลการเรี ย นของผู  เ รี ย นแต ล ะคน เพื่อวัดการสอนซอมเสริมใหบรรลุตัวชี้วัดทุกตัว 4. การสอบกลางภาค (ถามี) ควรนําขอสอบหรือแบบฝกหัดที่นักเรียนสวนใหญทําผิดบอยๆ มาสรางเปนแบบทดสอบ อีกครัง้ เพือ่ ตรวจสอบความรูค วามเขาใจทีถ่ กู ตอง และประเมินความกาวหนาของผูเรียนแตละคน 5. การสอบปลายภาคเรียนเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามตัวชี้วัดที่สําคัญ ควรออกขอสอบใหมีลักษณะเดียวกับ ขอสอบ O-NET โดยเนนการคิดวิเคราะห สังเคราะห เชื่อมโยงประยุกตใช เพื่อสรางความคุนเคย และฝกฝน วิธีการทําขอสอบดวยความมั่นใจ 6. การนําผลการทดสอบของผูเรียนมาวิเคราะห โดยผลการสอบกอนการเรียนตองสามารถพยากรณผลการสอบ กลางภาค และผลการสอบกลางภาคตองทํานายผลการสอบปลายภาคของผูเ รียนแตละคน เพือ่ ประเมินพัฒนาการ ความกาวหนาของผูเรียนเปนรายบุคคล 7. ผลการทดสอบปลายป ปลายภาค ตองมีคาเฉลี่ยสอดคลองกับคาเฉลี่ยของการสอบ NT ที่เขตพื้นที่การศึกษา จัดสอบ รวมทั้งคาเฉลี่ยของการสอบ O-NET ชวงชั้นที่สอดคลองครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดสําคัญ เพือ่ สะทอนประสิทธิภาพของครูผสู อนในการออกแบบการเรียนรูแ ละประกันคุณภาพผูเ รียนทีต่ รวจสอบผลไดชดั เจน การจัดการเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ตองใหผูเรียนไดสั่งสมความรู สะสมความเขาใจไปทีละเล็ก ละนอยตามลําดับขัน้ ตอนของกิจกรรมการเรียนรู 5Es เพือ่ ใหผเู รียนไดเติมเต็มองคความรูอ ยางตอเนือ่ ง จนสามารถปฏิบตั ิ ชิ้นงานหรือภาระงานรวบยอดของแตละหนวยผานเกณฑประกันคุณภาพในระดับที่นาพึงพอใจ เพื่อรองรับการประเมิน ภายนอกจาก สมศ. ตลอดเวลา คูม อื ครู


ASEAN การเรียนรูสูประชาคมอาเซียน เพื่ออํานวยความสะดวกแกครูผูสอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรูบูรณาการอาเซียนศึกษา ผูจัดทําไดวิเคราะห มาตรฐานการเรียนรู และตัวชี้วัดที่มีสาระการเรียนรูสอดคลองกับองคความรูเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนในแงมุมตางๆ ครอบคลุมทัง้ ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรม อาเซียน เพื่อสงเสริมการเรียนรูใหผูเรียนเกิดความตระหนัก มีความรูความเขาใจเหมาะสมกับระดับชั้นและกลุมสาระ การเรียนรู โดยเสนอแนะวิธีการจัดกิจกรรมบูรณาการเนื้อหาสาระตางๆ ที่เปนประโยชนตอผูเรียนและเปนการชวย เตรียมความพรอมผูเ รียนทุกคนทีจ่ ะกาวเขาสูก ารเปนสมาชิกของประชาคมอาเซียนไดอยางมัน่ ใจตามขอตกลงปฏิญญา ชะอํา-หัวหิน วาดวยความรวมมือดานการศึกษาเพือ่ บรรลุเปาหมายประชาคมอาเซียนทีเ่ อือ้ อาทรและแบงปน จึงกําหนด เปนนโยบายใหกระทรวงศึกษาธิการจัดการเรียนรูเตรียมความพรอมผูเรียนเขาสูประชาคมอาเซียนภายในป พ.ศ. 2558 ตามแนวปฏิบัติที่สําคัญ ดังนี้

เสร�ม

7

การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน 1. การสรางความรูความเขาใจ และตระหนักถึงความสําคัญของ กฎบัตรอาเซียน และความรวมมือ ของ 3 เสาหลัก ซึง่ กฎบัตรอาเซียน ในขณะนี้มีสถานะเปนกฎหมายที่ ประเทศสมาชิกจะตองปฏิบัติตาม หลักการที่กําหนดไวเพื่อใหบรรลุ เปาหมายของกฎบัตรมาตราตางๆ

2. การสงเสริมหลักการ ประชาธิปไตยและการสราง สิ่งแวดลอมประชาธิปไตย เพื่อการอยูรวมกันอยางกลมกลืน ภายใตวิถีชีวิตอาเซียนที่มีความ หลากหลายดานสังคมและ วัฒนธรรม

4. การตระหนักในคุณคาของ สายสัมพันธทางประวัติศาสตร และมรดกทางวัฒนธรรมที่มี พัฒนาการรวมกัน เพื่อเชื่อม อัตลักษณและสรางจิตสํานึก ในการเปนประชากรของประชาคม อาเซียนรวมกัน

3. การสงเสริมการศึกษาดาน สิทธิมนุษยชน เพื่อสรางประชาคม อาเซียนใหเปนประชาคมเพื่อ ประชาชนอยางแทจริง สามารถ อยูรวมกันไดบนพื้นฐานการเคารพ ในคุณคาของศักดิ์ศรีแหงความ เปนมนุษยเทาเทียมกัน

5. การสงเสริมสันติภาพ ความ มั่นคง และความปรองดองในสังคม ทั้งระดับประเทศและภูมิภาคของ อาเซียนบนพื้นฐานสันติวิธีและการ อยูรวมกันดวยขันติธรรม

คูม อื ครู


การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

เสร�ม

8

1. การพัฒนาทักษะการทํางาน เพื่อเสริมสรางผูเรียนใหมีทักษะ วิชาชีพที่จําเปนสอดคลองกับ ความตองการของตลาดแรงงาน และสถานประกอบการในอาเซียน สามารถเทียบโอนผลการเรียน และการทํางานตามมาตรฐานฝมือ แรงงานในภูมิภาคอาเซียน

2. การเสริมสรางวินัย ความรับผิดชอบ และเจตคติรักการทํางาน สามารถพึ่งพาตนเอง มีทักษะชีวิต ดํารงชีวิตอยางมีความสุข เห็นคุณคา และภูมิใจในตนเอง ในฐานะที่เปนพลเมืองไทยและ อาเซียน

3. การเรียนรูเพื่อพัฒนาตนเอง อยางตอเนื่องตลอดชีวิต ใหมี ทักษะการทํางานตามมาตรฐาน อาชีพ และคุณวุฒิของวิชาชีพสาขา ตางๆ เพื่อรองรับการเตรียมเคลื่อน ยายแรงงานมีฝมือและการเปน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่ เขมแข็ง เพื่อสรางขีดความสามารถ ในการแขงขันในเวทีโลก

การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน 1. การเสริมสรางความรวมมือ ในลักษณะสังคมที่เอื้ออาทร ของประชากรอาเซียน โดยยึด หลักการสําคัญ คือ ความงดงาม ของประชาคมอาเซียนมาจาก ความแตกตางและหลากหลายทาง วัฒนธรรมที่ลวนแตมีคุณคาตอ มรดกทางวัฒนธรรมของอาเซียน ซึ่งประชาชนทุกคนตองอนุรักษ สืบสานใหยั่งยืน

2. การเสริมสรางคุณลักษณะ ของผูเรียนใหเปนพลเมืองอาเซียน ที่มีศักยภาพในการกาวเขาสู ประชาคมอาเซียนอยางมั่นใจ เปนผูที่มีสุขภาพสมบูรณแข็งแรง มีทักษะการสื่อสาร ทักษะการ ทํางาน ทักษะทางสังคม สามารถ ทํางานรวมกับผูอื่นไดอยาง สรางสรรค และมีองคความรู เกี่ยวกับอาเซียนที่จําเปนตอการ ดํารงชีวิตอยางมีคุณภาพ

4. การสงเสริมการเรียนรูดาน ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถชี วี ติ ความเปนอยูข องเพือ่ นบาน ในอาเซียน เพื่อสรางจิตสํานึกของ ความเปนประชาคมอาเซียนและ ตระหนักถึงหนาที่ของการเปน พลเมืองอาเซียนรวมกัน

3. การสงเสริมการเรียนรูภาษา อังกฤษเพื่อการสื่อสารและการ ทํางานตามมาตรฐานอาชีพที่ กําหนดและสนับสนุนการเรียนรู ภาษาอาเซียนและภาษาเพื่อนบาน เพื่อชวยเสริมสรางสัมพันธภาพทาง สังคม และการอยูรวมกันอยางสันติ ทามกลางความหลากหลายทาง วัฒนธรรม

5. การสรางความรูและความ ตระหนักเกี่ยวกับดานสิ่งแวดลอม ปญหาและผลกระทบตอคุณภาพ ชีวิตของประชากรในภูมิภาค รวมทั้งแนวทางการพัฒนาอยาง ยั่งยืน ใหเปนมรดกสืบทอดแก พลเมืองอาเซียนในรุนหลังตอๆ ไป

กระทรวงศึกษาธิการจึงประกาศนโยบายการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) เพื่อเรงพัฒนาเด็ก และเยาวชนไทยใหเปนทรัพยากรมนุษยของชาติที่มีทักษะและความชํานาญ พรอมเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและ การแขงขันทั้งในภูมิภาคอาเซียนและภูมิภาคอื่นๆ ของสังคมโลก ทั้งนี้ผูบริหารสถานศึกษา ครูผูสอน และผูปกครอง ควรรวมมือกันอยางใกลชดิ ในการดูแลชวยเหลือผูเ รียนและจัดประสบการณการเรียนรูเ พือ่ พัฒนาผูเ รียนจนเต็มศักยภาพ เพื่อกาวเขาสูการเปนพลเมืองอาเซียนอยางมีเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีความเปนมนุษยของตน คูม อื ครู

คณะผูจัดทํา


ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง สาระที่ 1

วิทยาศาสตร (เฉพาะชั้น ป.1)*

สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดํารงชีวิต

มาตรฐาน ว 1.1 เขาใจหนวยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต ความสัมพันธของโครงสรางและหนาที่ของระบบตางๆ ของสิ่งมีชีวิตที่ทํางานสัมพันธกัน มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรู ไปใชในการดํารงชีวิตของตนเองและดูแลสิ่งมีชีวิต ชั้น

ตัวชี้วัด

ป.1 1. เปรียบเทียบ ความแตกตาง ระหวางสิ่งมีชีวิต กับสิ่งไมมีชีวิต 2. สังเกตและอธิบาย ลักษณะและหนาที่ ของโครงสราง ภายนอกของพืช และสัตว 3. สังเกตและอธิบาย ลักษณะ หนาที่ และความสําคัญ ของอวัยวะภายนอก ของมนุษย ตลอดจน การดูแลรักษาสุขภาพ

สาระการเรียนรูแกนกลาง

เสร�ม

9

หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน

• สิ่งมีชีวิตมีลักษณะแตกตางกับสิ่งไมมีชีวิต โดย • หนวยการเรียนรูท ี่ 1 สิ่งมีชีวิตจะมีการเคลื่อนที่ กินอาหาร ขับถาย สิง่ ตางๆ รอบตัวเรา หายใจ เจริญเติบโต สืบพันธุ และตอบสนองตอ บทที่ 1 สิ่งมีชีวิตและ สิ่งเรา แตสิ่งไมมีชีวิตจะไมมีลักษณะดังกลาว สิ่งไมมีชีวิต • โครงสรางภายนอกของพืช ไดแก ราก ลําตน • หนวยการเรียนรูท ี่ 1 ใบ ดอกและผล ซึ่งแตละสวนทําหนาที่ตางกัน สิง่ ตางๆ รอบตัวเรา • โครงสรางภายนอกของสัตว ไดแก ตา หู จมูก บทที่ 2 สนใจในพืชและสัตว ปาก ขาและเทา แตละสวนทําหนาที่แตกตางกัน • อวัยวะภายนอกของมนุษยมีลักษณะหนาที่ • หนวยการเรียนรูท ี่ 2 ตัวเรา แตกตางกัน อวัยวะเหลานี้มีความสําคัญตอการ บทที่ 1 รางกายของเรา ดํารงชีวิต จึงตองดูแลรักษาและปองกันไมให อวัยวะเหลานั้นไดรับอันตราย

มาตรฐาน ว 1.2 เขาใจกระบวนการและความสําคัญของการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ การใชเทคโนโลยีชีวภาพที่มีผลกระทบตอมนุษยและสิ่งแวดลอม มีกระบวนการสืบเสาะหาความรูและจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชน ชั้น

ตัวชี้วัด

สาระการเรียนรูแกนกลาง

ป.1 1. ระบุลักษณะของ • สิ่งมีชีวิตในทองถิ่นจะมีทั้งลักษณะที่เหมือนกัน สิ่งมีชีวิตในทองถิ่น และแตกตางกัน ซึ่งสามารถนํามาจําแนก และนํามาจัดจําแนก โดยใชลักษณะภายนอกเปนเกณฑ โดยใชลักษณะ ภายนอกเปนเกณฑ

หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน

• หนวยการเรียนรูท ี่ 1 สิง่ ตางๆ รอบตัวเรา บทที่ 3 สิ่งมีชีวิตใกลตัวเรา

_________________________________ * สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, สาระการเรียนรูแกนกลาง กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร. (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย, 2551), หนา 10-94.

คูม อื ครู


สาระที่ 3

สารและสมบัติของสาร

มาตรฐาน ว 3.1 เขาใจสมบัตขิ องสาร ความสัมพันธระหวางสมบัตขิ องสารกับโครงสรางของแรงยึดเหนีย่ วระหวางอนุภาค มีกระบวนการสืบเสาะหาความรูและจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่เรียนรู นําความรูไปใชประโยชน ชั้น

เสร�ม

10

ตัวชี้วัด

สาระการเรียนรูแกนกลาง

ป.1 1. สังเกตและระบุ • วัสดุที่ใชทําของเลนของใชในชีวิตประจําวัน ลักษณะที่ปรากฏ อาจมีรูปราง สี ขนาด พื้นผิว ความแข็ง หรือสมบัติของวัสดุ เหมือนกันหรือแตกตางกัน ที่ใชทาํ ของเลน ของใชในชีวิต ประจําวัน 2. จําแนกวัสดุที่ใชทํา • ลักษณะหรือสมบัติตางๆ ของวัสดุ สามารถ ของเลน ของใชใน นํามาใชเปนเกณฑในการจําแนกวัสดุที่ใชทํา ชีวิตประจําวัน รวม ของเลนของใชในชีวิตประจําวัน ทั้งระบุเกณฑที่ใช จําแนก

สาระที่ 4

หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน

• หนวยการเรียนรูท ี่ 3 ของเลนแสนรัก ของใชใกลตวั บทที่ 1 ของเลนและของใช ของฉัน • หนวยการเรียนรูท ี่ 3 ของเลนแสนรัก ของใชใกลตวั บทที่ 2 วัสดุใกลตัว

แรงและการเคลื่อนที่

มาตรฐาน ว 4.1 เขาใจธรรมชาติของแรงแมเหล็กไฟฟา แรงโนมถวง และแรงนิวเคลียร มีกระบวนการสืบเสาะ เสาะหาความรู สื่อสารสิ่งที่เรียนรู และนําความรูไปใชประโยชนอยางถูกตองและมีคุณธรรม ชั้น

ตัวชี้วัด

สาระการเรียนรูแกนกลาง

หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน

ป.1 1. ทดลองและอธิบาย • การดึงและการผลักวัตถุเปนการออกแรงกระทํา • หนวยการเรียนรูท ี่ 3 การดึงหรือการผลัก ตอวัตถุ ซึง่ อาจทําใหวตั ถุเคลือ่ นทีห่ รือไมเคลือ่ นที่ แรงของเรา วัตถุ และเปลี่ยนแปลงรูปรางหรืออาจไมเปลี่ยนแปลง บทที่ 1 ดึงหรือผลัก รูปราง

สาระที่ 6

กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก

มาตรฐาน ว 6.1 เขาใจกระบวนการตางๆ ที่เกิดขึ้นบนผิวโลกและภายในโลก ความสัมพันธของกระบวนการตางๆ ที่มีผล ตอการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และสัณฐานของโลก มีกระบวนการสืบเสาะหาความรูและ จิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชน ชั้น

ตัวชี้วัด

สาระการเรียนรูแกนกลาง

หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน

ป.1 1. สํารวจ ทดลองและ • ดินประกอบดวย เศษหิน ซากพืช ซากสัตว • หนวยการเรียนรูท ี่ 1 อธิบายองคประกอบ โดยมีนํ้าและอากาศแทรกอยูในชองวางของ สิง่ ตางๆ รอบตัวเรา และสมบัติทาง เม็ดดิน บทที่ 4 ดินในทองถิ่น กายภาพของดิน • ดินในแตละทองถิน่ มีสมบัตทิ างกายภาพแตกตางกัน ในทองถิ่น เชน สี เนือ้ ดิน การอุมนํ้า และการจับตัวของดิน

คูม อื ครู


สาระที่ 7

ดาราศาสตรและอวกาศ

มาตรฐาน ว 7.1 เขาใจวิวฒ ั นาการของระบบสุรยิ ะ กาแล็กซีและเอกภพ การปฏิสมั พันธภายในระบบสุรยิ ะและผลตอสิง่ มีชวี ติ บนโลก มีกระบวนการสืบเสาะหาความรูและจิตวิทยาศาสตร การสื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใช ประโยชน ชั้น

ตัวชี้วัด

ป.1 1. ระบุในทองฟา มีดวงอาทิตย ดวงจันทรและ ดวงดาว

สาระที่ 8

สาระการเรียนรูแกนกลาง

หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน

• ในทองฟามีดวงอาทิตย ดวงจันทร และดวงดาว • หนวยการเรียนรูท ี่ 5 โดยจะมองเห็นทองฟามีลกั ษณะเปนครึง่ ทรงกลม ทองฟาแสนงาม ครอบแผนดินไว บทที่ 1 ในทองฟา

เสร�ม

11

ธรรมชาติของวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี

มาตรฐาน ว 8.1 ใชกระบวนการทางวิทยาศาสตรและจิตวิทยาศาสตรในการสืบเสาะหาความรู การแกปญ หา รูว า ปรากฏการณ ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นสวนใหญมีรูปแบบที่แนนอน สามารถอธิบายและตรวจสอบได ภายใตขอมูลและ เครือ่ งมือทีม่ อี ยูในชวงเวลานัน้ ๆ เขาใจวา วิทยาศาสตร เทคโนโลยี สังคม และสิง่ แวดลอมมีความเกีย่ วของ สัมพันธกัน ชั้น

ตัวชี้วัด

ป.1 1. ตั้งคําถามเกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษาตามที่ กําหนดใหหรือตามความสนใจ 2. วางแผนการสังเกต สํารวจตรวจสอบ ศึกษา คนควา โดยใชความคิดของตนเองและของครู 3. ใชวัสดุอุปกรณในการสํารวจตรวจสอบและ บันทึกผลดวยวิธีงายๆ 4. จัดกลุมขอมูลที่ไดจากการสํารวจตรวจสอบ และนําเสนอผล 5. แสดงความคิดเห็นในการสํารวจตรวจสอบ 6. บันทึกและอธิบายผลการสังเกต สํารวจ ตรวจสอบ โดยเขียนภาพหรือขอความสั้นๆ 7. นําเสนอผลงานดวยวาจาใหผูอื่นเขาใจ

สาระการเรียนรูแกนกลาง หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน

-

บูรณาการสูการจัด การเรียนการสอน ในทุกหนวย การเรียนรู

คูม อื ครู


คําอธิบายรายวิชา รายวิชา วิทยาศาสตร ชั้นประถมศึกษาปที่ 1 รหัสวิชา ว…………………………………

เสร�ม

12

ศึกษา วิเคราะหความแตกตางระหวางสิ่งมีชีวิตกับสิ่งไมมีชีวิต ลักษณะหนาที่ของโครงสรางภายนอก ของพืชและสัตว ลักษณะ หนาที่ และความสําคัญของอวัยวะภายนอกของมนุษย ตลอดจนการดูแลรักษา สุขภาพ ลักษณะของสิ่งมีชีวิตในทองถิ่น และนํามาจัดจําแนกโดยใชลักษณะภายนอกเปนเกณฑ ลักษณะที่ ปรากฏหรือสมบัติของวัสดุที่ใชทําของเลน ของใชในชีวิตประจําวัน จําแนกวัสดุที่ใชทําเปนของเลน ของใช การดึง การผลักวัตถุ องคประกอบและสมบัติทางกายภาพของดินในทองถิ่น ในทองฟามีดวงอาทิตย ดวงจันทร และดวงดาว โดยใชกระบวนการทางวิทยาศาสตร การสืบเสาะหาความรู การสํารวจ ตรวจสอบ การสืบคนขอมูล และการอภิปราย เพื่อใหเกิดความรู ความคิด ความเขาใจ สามารถสื่อสารสิ่งที่เรียนรู มีความสามารถในการตัดสินใจ เห็นคุณคาของการนําความรูไปใชประโยชนในชีวิตประจําวัน มีจิตวิทยาศาสตร จริยธรรม คุณธรรมและ คานิยมที่เหมาะสม ตัวชี้วัด ว 1.1 ว 1.2 ว 3.1 ว 4.1 ว 6.1 ว 7.1 ว 8.1

คูม อื ครู

กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร ภาคเรียนที่ 1-2 เวลา 80 ชั่วโมง/ป

ป.1/1 ป.1/1 ป.1/1 ป.1/1 ป.1/1 ป.1/1 ป.1/1

ป.1/2

ป.1/3

ป.1/2

ป.1/2

ป.1/3

ป.1/4 ป.1/5 รวม 16 ตัวชี้วัด

ป.1/6

ป.1/7


กระตุน ความสนใจ Engage

สํารวจคนหา Explore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ Expand

˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÃÒÂÇÔªÒ¾×é¹°Ò¹

ÇÔ·ÂÒÈÒʵà ».ñ

ªÑé¹»ÃжÁÈÖ¡ÉÒ»‚·Õè ñ

¡ÅØ‹ÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ ÇÔ·ÂÒÈÒʵà µÒÁËÅÑ¡ÊÙµÃ᡹¡ÅÒ§¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ¢Ñé¹¾×é¹°Ò¹ ¾Ø·¸ÈÑ¡ÃÒª òõõñ

¼ÙŒàÃÕºàÃÕ§ ¹Ò§ÊÒÇÈÔÃÔÃѵ¹ Ç§È ÈÔÃÔ ´Ã. ÃÑ¡«ŒÍ¹ Ãѵ¹ ÇÔ¨Ôµµ àǪ ¼ÙŒµÃǨ

¹Ò§ÊÒÇÍÒ¹ØÃÑ¡É ÃÐÁ§¤Å ¹Ò§ÊÒÇ¢³ÔÉ°Ò ÇÃÒ¡ØÅ ¹Ò§ÊÒÇÃÒµÃÕ Êѧ¦ÇѲ¹

ºÃóҸԡÒà ¹Ò§ÇÅѾà âÍÀÒÊÇѲ¹Ò

¾ÔÁ¾ ¤ÃÑ駷Õè ù

ʧǹÅÔ¢ÊÔ·¸ÔìµÒÁ¾ÃÐÃÒªºÑÞÞÑµÔ ISBN : 978-616-203-036-9 ÃËÑÊÊÔ¹¤ŒÒ ñññøðôô

¤Œ¹¤ÇÒÁÃÙŒ¢ÂÒ¤ÇÒÁ¤Ô´¨Ò¡ ¾ÔÁ¾ ¤ÃÑ駷Õè ñ ÃËÑÊÊÔ¹¤ŒÒ ññôøðòø

EB GUIDE

ที่พิมพกํากับหัวขอสําคัญในหนังสือเรียนหลักสูตรใหม ชั้น ป.๔ ขึ้นไป ผาน www.aksorn.com ไปยังแหลงความรูทั่วไทย-ทั่วโลก

ตรวจสอบผล Evaluate


กระตุน ความสนใจ Engage

สํารวจคนหา Explore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ Expand

ตรวจสอบผล Evaluate

¤íÒ¹íÒ ´ŒÇ¡ÃзÃǧÈÖ¡ÉÒ¸Ô¡ÒÃä´ŒÁÕ¤íÒÊÑè§ãˌ㪌ËÅÑ¡ÊٵáÒÃÈÖ¡ÉÒ¢Ñé¹¾×é¹°Ò¹ ¾Ø·¸ÈÑ¡ÃÒª òõôô ã¹âçàÃÕ¹·ÑèÇä» ·Õè¨Ñ´¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ¢Ñé¹¾×鹰ҹ㹻‚¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ òõôö áÅШҡ¡ÒÃÈÖ¡ÉÒÇÔ¨ÑÂáÅеԴµÒÁ¼Å¡ÒÃ㪌ËÅÑ¡ÊٵáÒÃÈÖ¡ÉÒ¢Ñé¹ ¾×é¹°Ò¹ ¾Ø·¸ÈÑ¡ÃÒª òõôô ¨Ö§¹íÒä»Ê‹Ù¡ÒþѲ¹ÒËÅÑ¡ÊÙµÃ᡹¡ÅÒ§¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ¢Ñé¹¾×é¹°Ò¹ ¾Ø·¸ÈÑ¡ÃÒª òõõñ «Öè§ÁÕ ¤ÇÒÁàËÁÒÐÊÁáÅЪѴਹ à¾×Íè ãˌʶҹÈÖ¡ÉÒä´Œ¹Òí ä»ãªŒà»š¹¡Ãͺ·Ôȷҧ㹡ÒèѴËÅÑ¡ÊÙµÃʶҹÈÖ¡ÉÒ áÅШѴ¡Òà àÃÕ¹¡ÒÃÊ͹à¾×Íè ¾Ñ²¹Òà´ç¡áÅÐàÂÒǪ¹·Ø¡¤¹ã¹ÃдѺ¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ¢Ñ¹é ¾×¹é °Ò¹ãËŒÁ¤Õ ³ Ø ÀÒ¾´ŒÒ¹¤ÇÒÁÃÙŒ áÅзѡÉзըè Òí ໚¹ ÊíÒËÃѺ¡ÒôíÒçªÕÇÔµã¹Êѧ¤Á·ÕèÁÕ¡ÒÃà»ÅÕè¹á»Å§ áÅÐáÊǧËÒ¤ÇÒÁÃÙŒà¾×è;Ѳ¹Òµ¹àͧÍ‹ҧµ‹Íà¹×èͧµÅÍ´ªÕÇÔµ ÊíÒËÃѺ¡Å‹ØÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙŒÇÔ·ÂÒÈÒʵà »ÃСͺ´ŒÇ ø ÊÒÃЋ͠¤×Í ÊÒÃзÕè ñ ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡Ñº¡Ãкǹ¡ÒôíÒçªÕÇÔµ ÊÒÃзÕè ò ªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ ÊÒÃзÕè ó ÊÒÃáÅÐÊÁºÑµÔ¢Í§ÊÒà ÊÒÃзÕè ô áçáÅСÒÃà¤Å×è͹·Õè ÊÒÃзÕè õ ¾Åѧ§Ò¹ ÊÒÃзÕè ö ¡Ãкǹ¡ÒÃà»ÅÕè¹á»Å§¢Í§âÅ¡ ÊÒÃзÕè ÷ ´ÒÃÒÈÒʵà áÅÐÍÇ¡ÒÈ ÊÒÃзÕè ø ¸ÃÃÁªÒµÔ¢Í§ÇÔ·ÂÒÈÒʵà áÅÐà·¤â¹âÅÂÕ Ë¹Ñ§Ê×ÍàÃÕ¹ ÇÔ·ÂÒÈÒʵà ».ñ àÅ‹Á¹Õé¨Ñ´·íÒ¢Öé¹ÊíÒËÃѺ㪌»ÃСͺ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ªÑé¹»ÃжÁÈÖ¡ÉÒ»‚·Õè ñ â´Â´íÒà¹Ô¹¡ÒèѴ·íÒãËŒÊÍ´¤ÅŒÍ§µÒÁ¡Ãͺ¢Í§ËÅÑ¡Êٵ÷ء»ÃСÒà ʋ§àÊÃÔÁ¡Ãкǹ¡ÒäԴ ¡ÒÃÊ׺àÊÒÐËÒ¤ÇÒÁÃÙŒ ¡ÒÃá¡Œ»˜ÞËÒ ¤ÇÒÁÊÒÁÒö㹡ÒÃÊ×èÍÊÒà ¡ÒõѴÊԹ㨠¡ÒùíÒä»ãªŒã¹ªÕÇÔµ ÃÇÁ·Ñé§Ê‹§àÊÃÔÁãËŒ¼ÙŒàÃÕ¹ÁÕ¨ÔµÇÔ·ÂÒÈÒʵà ¤Ø³¸ÃÃÁ áÅФ‹Ò¹ÔÂÁ·Õ¶è ¡Ù µŒÍ§àËÁÒÐÊÁ¡Ñº¡ÒôíÒçªÕÇµÔ ã¹Êѧ¤Áä·Â «Ö§è à¨ÃÔÞ¡ŒÒÇ˹ŒÒ´ŒÒ¹ÇÔ·ÂÒÈÒʵà áÅÐà·¤â¹âÅÂÕ Ë¹Ñ§Ê×ÍàÃÕ¹ ÇÔ·ÂÒÈÒʵà ».ñ àÅ‹Á¹Õé ÁÕ õ ˹‹Ç ã¹áµ‹ÅÐ˹‹ÇÂẋ§à»š¹º·Â‹ÍÂæ «Ö觻ÃСͺ´ŒÇ ñ. ໇ÒËÁÒ¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ»ÃШíÒ˹‹Ç ¡íÒ˹´ÃдѺ¤ÇÒÁÃÙŒ ¤ÇÒÁÊÒÁÒö¢Í§¼ÙŒàÃÕ¹NjÒàÁ×èÍàÃÕ¹¨ºã¹ ᵋÅÐ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ µŒÍ§ºÃÃÅØÁҵðҹµÑǪÕéÇÑ´·Õè¡íÒ˹´äÇŒã¹ËÅÑ¡ÊٵâŒÍã´ºŒÒ§ ò. á¹Ç¤Ô´ÊíÒ¤ÑÞ á¡‹¹¤ÇÒÁÃÙŒ·Õè໚¹¤ÇÒÁÃÙŒ¤ÇÒÁࢌÒ㨤§·¹µÔ´µÑǼٌàÃÕ¹ ó. à¹×éÍËÒ ¤ÃºµÒÁËÅÑ¡ÊÙµÃ᡹¡ÅÒ§¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ¢Ñé¹¾×é¹°Ò¹ ¾.È. òõõñ ¹íÒàʹÍàËÁÒÐÊÁ¡Ñº¡ÒÃàÃÕ¹ ¡ÒÃÊ͹ã¹áµ‹ÅÐÃдѺªÑé¹ ô. ¡Ô¨¡ÃÃÁ ÁÕËÅÒ¡ËÅÒÂÃٻẺãËŒ¹Ñ¡àÃÕ¹»¯ÔºÑµÔ ẋ§à»š¹ (ñ) ¡Ô¨¡ÃÃÁ¹íÒÊ‹Ù¡ÒÃàÃÕ¹ ¹íÒࢌÒÊ‹Ùº·àÃÕ¹à¾×èÍ¡Ãе،¹¤ÇÒÁʹã¨á¡‹¼ÙŒàÃÕ¹ (ò) ¡Ô¨¡ÃÃÁ¾Ñ²¹Ò¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ ãËŒ¼ÙŒàÃÕ¹½ƒ¡»¯ÔºÑµÔà¾×è;Ѳ¹Ò¤ÇÒÁÃÙŒáÅзѡÉлÃШíÒ˹‹Ç (ó) ¡Ô¨¡ÃÃÁÃǺÂÍ´ ãËŒ¼ÙŒàÃÕ¹»¯ÔºÑµÔà¾×èÍáÊ´§¾ÄµÔ¡ÃÃÁ¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒÃǺÂÍ´ áÅлÃÐàÁÔ¹¼Å¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ µÒÁÁҵðҹµÑǪÕéÇÑ´»ÃШíÒ˹‹Ç ˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÇÔ·ÂÒÈÒʵà ».ñ àÅ‹Á¹Õé ¹íÒàʹ͡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒãËŒàËÁÒÐÊÁ¡ÑºÇÑ¢ͧ¼ÙŒàÃÕ¹㹪Ñé¹»ÃжÁÈÖ¡ÉÒ »‚·Õè ñ «Öè§à»š¹¡ÒÃÈÖ¡ÉÒÊÔ觷Õè¼ÙŒàÃÕ¹à¡ÕèÂÇ¢ŒÍ§ã¹¡ÒôíÒà¹Ô¹ªÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ â´Â㪌ÀÒ¾ á¼¹ÀÙÁÔ µÒÃÒ§¢ŒÍÁÙÅ ª‹ÇÂ㹡Òà ¹íÒàʹÍÊÒÃе‹Ò§æ «Ö觨Ъ‹ÇÂãËŒ¼ÙŒàÃÕ¹ÊÒÁÒöàÃÕ¹Ãٌ䴌§‹Ò¢Öé¹ ¤³Ð¼ÙŒ¨Ñ´·íÒ¨Ö§ËÇѧ໚¹Í‹ҧÂÔè§Ç‹Ò ˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÇÔ·ÂÒÈÒʵà ».ñ àÅ‹Á¹Õé ¨Ð໚¹Ê×èÍ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹·Õè ÍíҹǻÃÐ⪹ µ‹Í¡ÒÃàÃÕ¹ÇÔ·ÂÒÈÒʵà à¾×èÍãËŒÊÑÁÄ·¸Ô¼ÅµÒÁÁҵðҹµÑǪÕéÇÑ´·Õè¡íÒ˹´äÇŒã¹ËÅÑ¡ÊÙµÃ᡹¡ÅÒ§¡Òà ÈÖ¡ÉÒ¢Ñé¹¾×é¹°Ò¹ ¾.È. òõõñ ·Ø¡»ÃСÒà ¤³Ð¼ÙŒ¨Ñ´·íÒ


กระตุน ความสนใจ Engage

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

Explore

ขยายความเขาใจ

Explain

Expand

คําชี้แจงในการใชสื่อ หนวยการเรียนรูที่

ñ

เปาหมายการเรียนรู กําหนดระดับความรูความสามารถ ของผูเรียนเมื่อเรียนจบหนวย

ÑÇàÃÒ ÊÔ觵‹Ò§æ Ãͺµ

มาตรฐานตัวชี้วัด ระบุตัวชี้วัดที่กําหนดไว ในแตละหนวย

วยที่ ๑

รียนรูประจําหน

เปาหมายการเ

สามารถ ดังนี้ ผูเรียนจะมีความรูความ กับสิ่งไมมีชีวิต [มฐ. ว๑.๑ ป.๑/๑] /๒] เมื่อเรียนจบหนวยนี้ ่งมีชีวิต งสิ มฐ.. ว๑.๑ ป.๑/๒ า หว งระ า  ตกต งพืชและสัตว [มฐ ๑. เปรียบเทียบความแ ะและหนาที่ของโครงสรางภายนอกขอ ยนอกเปนเกณฑ ะภา ษณ ษณ ก ั ก ั ล ายล ใช บ โดย อธิ ๒. สังเกตและ นํามาจัดจําแนก ่งมีชีวิตในทองถิ่นและ /๑] ๓. ระบุลักษณะของสิ [มฐ.. ว๖.๑ ป.๑/๑ งถิ่น [มฐ ายภาพของดินในทอ [มฐ. ว๑.๒ ป.๑/๑] ระกอบและสมบัติทางก รสอน] ป งค ายอ บ อธิ และ ๔. สํารวจ ทดลอง บูรณาการสูการจัดกิจกรรมการเรียนกา [มฐ. ว๘.๑ ป.๑/๑-๗

º··Õè

ñ

ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµáÅÐÊÔè§äÁ‹ÁÕªÕÇÔµ

แนวคิดสําคัญ

แนวคิดสําคัญ แกนความรูที่เปนความเขาใจ คงทนติดตัวผูเรียน

สิ่งมีชีวิตมีลักษณะแตกตางจากสิ ่งไมมีชีวิต โดยสิ่งมีชีวิตจะมีการเค หายใจ เจริญเติบโต สืบพันธุ และต ลื่อนที่ กินอาหาร ขับถาย อบสนองตอสิ่งเรา แตสิ่งไมมีชีวิต จะไมมีลักษณะดังกลาว กิจกรรมนําสูการเรียน

กิจกรรมนําสูการเรียน นําเขาสูบทเรียนโดยใชกระตุน ความสนใจและวัดประเมินผล กอนเรียน

๑. นักเรียนคิดวา ภาพใดเปนภาพ ของสิ่งมีชีวิต และภาพใด เปนภาพของสิ่งไมมีชีวิต ๒. จากคําตอบในขอ ๑ นักเรียนสั งเกตจากสิ่งใด ๒

ตรวจสอบผล Evaluate


กระตุน ความสนใจ Engage

สํารวจคนหา Explore

อธิบายความรู Explain

ลักษณะสําคัญของสิ่งมีชีวิตและสิ่งไมมีชีวิต คน ตนไม สิ่งตาง ๆ ที่อยูรอบตัวเรามีมากมาย เชน สัตว ไดเปน ๒ แนก า ํ จ ้ นี า เหล ง ่ สิ บาน แมนํ้า กอนหิน ถนน เปนตน มีลักษณะ ต ิ ว ี ช มี ง ่ สิ ต ิ ว ี ช ี ม กลุมใหญ ไดแก สิ่งมีชีวิต และสิ่งไม สําคัญ ดังนี้

ตองการอาหารและนํ้า

เคลื่อนไหวได

ลักษณะสําคัญ ของสิ่งมีชีวิต

ตองขับถาย

ตรวจสอบผล Evaluate

กิจกรรมหนูนอ ยนักสํารวจ

ออกลูกออกหลานได

กิจกรรมที่ ๑ สังเกตลักษณะของ สิ่งมีชีวิตและสิ่งไมมีชีวิต

มีการเจริญเติบโต

สวนสิ่งไมมีชีวิตไมมีลักษณะดังที่กลาวมาขางตน

Expand

เน�้อหา ครบตามหลักสูตรแกนกลาง’ ๕๑ นําเสนอโดยใชแผนภาพ แผนภูมิ ตาราง เหมาะสมกับการเรียนการสอน กิจกรรมสํารวจ กิจกรรมทดลอง เปนกิจกรรมที่ใหผูเรียน ไดลงมือปฏิบัติเพื่อฝกทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร

ตอบสนองตอสิ่งตาง ๆ ได ตองหายใจ

ขยายความเขาใจ

กิจกรรมที่ ๒ จําแนกสิ่งมีชีวิต และสิ่งไมมีชีวิต

อุปกรณ อุปกรณ ๑. สมุดบันทึก ๑ เลม ๑. ปลาหางนกยูง ๒-๓ ตัว ๒. ดินสอ ๑ แทง ๒. กอนหิน ๒-๓ กอน ๓. อาหารสําเร็จรูป ๑ ถุง ๔. ขวดโหล ๑ ใบ ๕. แวนขยาย ๑ อัน วิธีทํา วิธีทํา รวจรอบบริเวณโรงเรียนวาพบเห็น ๑. ใหนักเรียนสังเกตปลาหางนกยูง และ ๑. ใหสํา กอนหินในขวดโหลวามีการเคลื่อนไหว สิ่งใดบาง ๒. สังเกตลักษณะของสิ่งที่พบเห็น หรือไมโดยใชแวนขยาย ๓. นําชื่อสิ่งที่สํารวจพบทั้งหมดมาจําแนก าหาร อ ส ใ ครู อ ่ เมื า เกตว ง นสั ย เรี ก ั น ให ๒. วาเปนสิ่งมีชีวิต หรือเปนสิ่งไมมีชีวิต ง งนกยู ปลาหา วดโหล ลงในข ป รู สําเร็จ พรอมบอกเหตุผลประกอบ ไม อ หรื อาหาร น กิ และกอนหิน ๓. บันทึกผลการสังเกต กิจกรรมพัฒนาการเรียนรู

กิจกรรมพัฒนาการเรียนรู ใหผูเรียนฝกปฏิบัติเพื่อพัฒนา ความรูและทักษะประจําหนวย

กิจกรรมรวบยอด

ตอนที่ ๑ แนวคิดส�ำคัญ ช่วยกันสรุป ครูให้นักเรียนช่วยกันพูดสรุปลักษณะส�ำคัญของสิ ่งมีชีวิต และสิ่ง ไม่มีชีวิต จำกนั้นเขียนลงในสมุด ตอนที่ ๒ ลองท�ำดู หนูท�ำได้ ๑) ติดภำพสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตลงในสมุดอย่ ำงละ ๑ ภำพ แล้วเขียนเปรียบเทียบควำมแตกต่ำง ๒) เขียนแผนผังควำมคิดแสดงลักษณะส�ำคัญของสิ ่งมีชีวิต และสิ่งไม่มีชีวิต พร้อมกับยกตัวอย่ำงสิ่งมีชีวิตและสิ ่งไม่มีชีวิตประกอบ ลักษณะส�ำคัญ ลักษณะส�ำคัญ สิ่งมีชีวิต สิ่งต่ำง ๆ สิ่งไม่มีชีวิต ตัวอย่ำง ตัวอย่ำง ตอนที่ ๓ ฝึกคิด พิชิตค�ำถำม เขียนตอบค�ำถำมต่อไปนี้ลงในสมุด ๑) ต้นมะม่วง ก้อนหิน สุนัข สิ่งใดเป็นสิ่งมีชีวิต ๒) วัว กระป๋อง รถไฟ สิ่งใดแตกต่ำงจำกพวก เพรำะ อะไร ๓) ยกตัวอย่ำงสิ่งมีชีวิตที่เป็นสัตว์ มำคนละ ๓ ชนิ ด ๔) ยกตัวอย่ำงสิ่งไม่มีชีวิตที่พบในห้องเรียน มำคน ละ ๓ ชนิด ๕) ถ้ำจะสังเกตว่ำสิ่งใดเป็นสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งไม่มีช ีวิต นักเรียนจะ สังเกตจำกอะไรบ้ำง 5

สิ่งมีชีวิตหรือสิ่งไมมีชีวิต

ดูภาพ แลวเขียนลงในสมุดวาเปนภาพอะไร เปน

กิจกรรมรวบยอด ใหผูเรียนฝกปฏิบัติเพื่อแสดง พฤติกรรมการเรียนรูรวบยอด และประเมินผลการเรียนรูตาม มาตรฐานตัวชี้วัดประจําหนวย


กระตุน ความสนใจ Engage

สํารวจคนหา Explore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ

สารบัญ

● ตารางวิเคราะหมาตรฐานการเรียนรู

หนวยการเรียนรูที่

บทที่ ๑ บทที่ ๒ บทที่ ๓ บทที่ ๔ หนวยการเรียนรูที่

๑ สิ่งตางๆ รอบตัวเรา

๒ ตัวเรา

๒๙

๓ ของเลนแสนรัก ของใชใกลตัว

๔๐

๔ แรงของเรา

๕๒

๕ ทองฟาแสนงาม

๕๘

บทที่ ๑ ดึงหรือผลัก หนวยการเรียนรูที่

๒ ๖ ๑๕ ๒๒

บทที่ ๑ ของเลนและของใชของฉัน บทที่ ๒ วัสดุใกลตัว หนวยการเรียนรูที่

สิ�งมีชีวิตและสิ�งไมมีชีวิต สนใจในพืชและสัตว สิ�งมีชีวิตใกลตัวเรา ดินในทองถิ�น

บทที่ ๑ รางกายของเรา หนวยการเรียนรูที่

Expand

บทที่ ๑ ในทองฟา ● คําสําคัญ ● บรรณานุกรม ● เรื่องนารูเกี่ยวกับวิทยาศาสตร

๓๑

๔๑ ๔๖

๕๓ ๕๙ ๖๖ ๖๖

พิเศษ ๑

ตรวจสอบผล Evaluate


กระตุน ความสนใจ Engage

สํารวจคนหา Explore

ตารางวิเคราะห

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

Explain

Expand

ตรวจสอบผล Evaluate

Áҵðҹ¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒáÅеÑǪÕéÇÑ´ ÃÒÂÇÔªÒ ÇÔ·ÂÒÈÒʵà ».ñ

คําชี้แจง : ใหผูสอนใชตารางน�้ตรวจสอบวา เน�้อหาสาระการเรียนรูในหนวยการเรียนรูสอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดชั้นป ในขอใดบาง

มาตรฐาน การเรียนรู

สาระการเรียนรู ตัวชี้วัดชั้น ป.๑

มฐ. ว๑.๑ สาระที่ ๑ สิ�งมีชีวิตกับกระบวนการดํารงชีวิต ๑. เปรียบเทียบความแตกตางระหวาง สิ�งมีชีวิตกับสิ�งไมมีชีวิต ๒. สังเกตและอธิบายลักษณะและหนาที่ ของโครงสรางภายนอกของพืชและสัตว ๓. สังเกตและอธิบายลักษณะ หนาที่ และความสําคัญของอวัยวะภายนอก ของมนุษย ตลอดจนดูแลรักษาสุขภาพ มฐ. ว๑.๒ ๑. ระบุลักษณะของสิ�งมีชีวิตในทองถิ�นและ นํามาจัดจําแนกโดยใชลักษณะภายนอก เปนเกณฑ มฐ. ว๓.๑ สาระที่ ๓ สารและสมบัติของสาร ๑. สังเกตและระบุลักษณะที่ปรากฏหรือ สมบัติของวัสดุที่ใชทําของเลนและของใช ในชีวิตประจําวัน ๒. จําแนกวัสดุที่ใชทําของเลนและของใช ในชีวิตประจําวัน รวมทั้งระบุ เกณฑที่ใชจําแนก มฐ. ว๔.๑ สาระที่ ๔ แรงและการเคลื่อนที่ ๑. ทดลองและอธิบายการดึงหรือการผลักวัตถุ มฐ. ว๖.๑ สาระที่ ๖ กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก ๑. สํารวจ ทดลอง และอธิบายองคประกอบ และสมบัตทิ างกายภาพของดินในทองถิน� มฐ. ว๗.๑ สาระที่ ๗ ดาราศาสตรและอวกาศ ๑. ระบุวาในทองฟามีดวงอาทิตย ดวงจันทร และดวงดาว มฐ. ว๘.๑ สาระที่ ๘ ธรรมชาติของวิทยาศาสตร และเทคโนโลยี ขอ ๑-๗ บูรณาการสูก ารจัดการเรียนการสอน

หนวยที่ ๑ หนวยที่ ๒ บทที่ บทที่ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑

หนวยที่ ๓ บทที่ ๑ ๒

หนวยที่ ๔ บทที่ ๑

หนวยที่ ๕ บทที่ ๑

✓ ✓ ✓

✓ ✓

✓ ✓ ✓ ✓


กระตุน้ ความสนใจ กระตุEngage ้นความสนใจ

ส�ารวจค้นหา

อธิบายความรู้

ขยายความเข้าใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

หนวยการเรียนรูที่

ñ

ÊÔ觵‹Ò§æ ÃͺµÑÇàÃÒ

กระตุน้ ความสนใจ

Engage

1. ใหนักเรียนมองไปรอบๆ ตัว แลวใหแขงขันกัน บอกวาเห็นอะไรบาง เพื่อดูวานักเรียนรูจัก สิ่งแวดลอมรอบตัวมากนอยแคไหน 2. ใหนักเรียนดูภาพในหนานี้ แลวบอกวา เห็นอะไรบาง (แนวตอบ เด็กผูหญิง 2 คน ผีเสื้อ 2 ตัว ลูกโปง 3 ลูก บาน 1 หลัง ตนไม ทองฟา กอนเมฆ) 3. ครูสนทนากับนักเรียนวาสิ่งตางๆ รอบตัวเรา สามารถนํามาจําแนกเปนกลุมได เชน กลุม ของสิ่งมีชีวิตกับกลุมของสิ่งไมมีชีวิต กลุมของ พืชกับกลุมของสัตว เปนตน ซึ่งนักเรียนจะได เรียนรูตอไปในหนวยนี้

เปาหมายการเรียนรูประจําหนวยที่ ๑ เมื่อเรียนจบหนวยนี้ ผูเรียนจะมีความรูความสามารถ ดังนี้ มฐ. ว๑.๑ ป.๑/๑] ป.๑/๑] ๑. เปรียบเทียบความแตกตางระหวางสิ่งมีชีวิตกับสิ่งไมมีชีวิต [มฐ. ๒. สังเกตและอธิบายลักษณะและหนาที่ของโครงสรางภายนอกของพืชและสัตว [[มฐ. ว๑.๑ ป.๑/๒] ๓. ระบุลักษณะของสิ่งมีชีวิตในทองถิ่นและนํามาจัดจําแนกโดยใชลักษณะภายนอกเปนเกณฑ [มฐ. ว๑.๒ ป.๑/๑] ๔. สํารวจ ทดลอง และอธิบายองคประกอบและสมบัติทางกายภาพของดินในทองถิ่น [มฐ. ว๖.๑ ป.๑/๑] [มฐ. ว๘.๑ ป.๑/๑-๗ บูรณาการสูการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน]

เกร็ดแนะครู กอนเริ่มการเรียนการสอน ครูอธิบายใหนักเรียนเขาใจเกี่ยวกับการเรียนวิชา วิทยาศาสตร ซึ่งเปนการปลูกฝงใหนักเรียนรูจักแสวงหาความรู โดยใชวิธีการทาง วิทยาศาสตร ซึ่งเปนระบบและมีลําดับขั้นตอนแนนอน และชวยฝกใหนักเรียนเปน คนมีเหตุผล วิธีการทางวิทยาศาสตรมี 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ตั้งปญหา เปนการตั้งปญหาในรูปคําถาม 2. ตั้งสมมติฐาน เปนการคาดเดาคําตอบที่เปนไปไดของปญหานั้น 3. ตรวจสอบสมมติฐาน หาขอพิสูจนของคําตอบ ซึ่งทําไดหลายวิธี เชน รวบรวมขอมูล สํารวจ ทดลอง 4. วิเคราะหผล ตรวจสอบผลกับสมมติฐาน 5. สรุปผล พิจารณาผลวาสอดคลองกับสมมติฐานหรือไม ถาสอดคลองแสดงวา สมมติฐานเปนคําตอบของปญหา

คู่มือครู

1


กระตุน้ ความสนใจ กระตุEngage ้นความสนใจ

ส�ารวจค้นหา

อธิบายความรู้

ขยายความเข้าใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

เปาหมายการเรียนรู

เปรียบเทียบความแตกตางระหวางสิ่งมีชีวิตกับ สิ่งไมมีชีวิต (ว1.1 ป.1/1)

º··Õè

ñ

สมรรถนะของผูเรียน

แนวคิดสําคัญ

1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด

สิง่ มีชวี ติ มีลกั ษณะแตกตางจากสิง่ ไมมชี วี ติ โดยสิง่ มีชวี ติ จะมีการเคลือ่ นไหว กินอาหาร ขับถาย หายใจ เจริญเติบโต สืบพันธุ และตอบสนองตอสิ่งเรา แตสิ่งไมมีชีวิตจะไมมีลักษณะดังกลาว

คุณลักษณะอันพึงประสงค 1. ใฝเรียนรู 2. มุงมั่นในการทํางาน

กระตุน้ ความสนใจ

ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµáÅÐÊÔè§äÁ‹ÁÕªÕÇÔµ

กิจกรรมนําสูการเรียน

Engage

ใหนกั เรียนดูภาพในหนานี้ แลวชวยกันบอกวา • จากภาพ เปนภาพอะไร (ตอบ ชาง) • ภาพใดเปนสิง่ มีชวี ติ และภาพใดเปนสิ่งไมมี ชีวิต (ตอบ ภาพซายมือเปนสิ่งมีชีวิต ภาพขวามือเปนสิ่งไมมีชีวิต) • นักเรียนสังเกตจากสิ่งใดในภาพวาเปนสิ่งมี ชีวิตหรือเปนสิ่งไมมีชีวิต (ตอบ ชางทางดานซายมือเปนภาพจริงของชาง สวนชางทางดานขวามือทําจากไม)

๑. นักเรียนคิดวา ภาพใดเปนภาพของสิ่งมีชีวิต และภาพใด เปนภาพของสิ่งไมมีชีวิต ๒. จากคําตอบในขอ ๑ นักเรียนสังเกตจากสิ่งใด ๒

เกร็ดแนะครู ครูจัดกระบวนการเรียนรูโดยการใหนักเรียนปฏิบัติ ดังนี้ • สํารวจ สังเกตสิ่งตางๆ รอบตัว • อภิปรายเกี่ยวกับลักษณะของสิ่งมีชีวิต • เปรียบเทียบความแตกตางระหวางสิ่งมีชีวิตและสิ่งไมมีชีวิต จนเกิดเปนความรูความเขาใจวา สิ่งมีชีวิตจะมีการเคลื่อนที่ กินอาหาร ขับถาย เจริญเติบโต สืบพันธุ และตอบสนองตอสิ่งเราได แตสิ่งไมมีชีวิตจะไมมีลักษณะ ดังกลาว

2

คู่มือครู


กระตุ้นความสนใจ Engage

ส�ารวจค้นหา

อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้

ขยายความเข้าใจ

ตรวจสอบผล

Explore

Explain

Expand

Evaluate

ส�ารวจค้ Exploreนหา

ส�ารวจค้นหา

ลักษณะสําคัญของสิ่งมีชีวิตและสิ่งไมมีชีวิต สิ่งตาง ๆ ที่อยูรอบตัวเรามีมากมาย เชน สัตว คน ตนไม บาน แมนํ้า กอนหิน ถนน เปนตน สิ่งเหลานี้จําแนกไดเปน ๒ กลุมใหญ ไดแก สิ่งมีชีวิต และสิ่งไมมีชีวิต สิ่งมีชีวิตมีลักษณะ สําคัญ ดังนี้ ตอบสนองตอสิ่งตาง ๆ ได ตองหายใจ

เคลื่อนไหวได

1

ตองการอาหารและนํ้า

2

ลักษณะสําคัญ ของสิ่งมีชีวิต

ตองขับถาย

มีการเจริญเติบโต

สวนสิ่งไมมีชีวิตไมมีลักษณะดังที่กลาวมาขางตน ๓

ขอใดกลาวถึงสิ่งมีชีวิตไดถูกตอง ก. สิ่งมีชีวิตทุกชนิดเคลื่อนที่ได ข. สิ่งมีชีวิตทุกชนิดตองกินอาหาร ค. สิ่งมีชีวิตทุกชนิดออกลูกเปนตัว

วิเคราะหคําตอบ สิง่ มีชวี ติ มีลกั ษณะสําคัญ คือ เคลือ่ นไหวได กินอาหาร ขับถาย หายใจ เจริญเติบโต สืบพันธุ และตอบสนองตอสิ่งเราได ขอ ข. จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง

1. ใหนักเรียนแบงเปน 5 กลุม ใหแตละกลุมผลัด กันยกตัวอยางสิ่งตางๆ ที่อยูรอบตัวนักเรียน เชน เพื่อน โตะ เกาอี้ กระดานดํา เปนตน แลวครูเขียนลงบนกระดาน 2. ใหแตละกลุมจัดกลุมตัวอยางสิ่งตางๆ แบงเปน 2 กลุม และสงตัวแทนออกมา นําเสนอวากลุมของตนใชเกณฑอะไรในการ แบงกลุม 3. หากไมมีกลุมใดใชเกณฑสิ่งมีชีวิต-สิ่งไมมีชีวิต ในการจัดกลุม ใหครูเสนอวา ใหนักเรียนลอง จัดกลุมใหม โดยใชเกณฑกลุมของสิ่งมีชีวิต กับกลุมของสิ่งไมมีชีวิต 4. ใหแตละกลุมนําเสนอผลการจัดกลุมของกลุม ตน และรวมกันตรวจสอบขอมูลของทุกกลุมวา เหมือนกันหรือแตกตางกันอยางไร 5. ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายวาสิ่งใดเปนสิ่ง มีชีวิต และสิ่งใดเปนสิ่งไมมีชีวิต พรอมทั้ง อธิบายเหตุผลประกอบ

อธิบายความรู้

ออกลูกออกหลานได

ขอสอบเนน การคิด แนว NT

Explore

Explain

1. ใหนักเรียนรวมกันสรุปลักษณะสําคัญของ สิ่งมีชีวิต แลวครูเขียนไวบนกระดาน 2. ใหนักเรียนดูแผนผังความคิดในหนังสือ หนา 3 แลวรวมกันอธิบายลักษณะของสิ่งมี ชีวิตทีละลักษณะ พรอมกับชวยกันยกตัวอยาง เพิ่มเติม 3. ครูถามคําถาม แลวใหนักเรียนชวยกันตอบ เพื่ออธิบายความคิด • เพราะเหตุใด พืชจึงจัดเปนสิ่งมีชีวิต ทั้งที่ พืชไมสามารถเคลื่อนที่ได (แนวตอบ เพราะพืชมีลักษณะสําคัญของ สิ่งมีชีวิต ไดแก พืชตองการอาหารและนํ้า ตองหายใจ มีการเจริญเติบโต มีการสืบพันธุ และมีการตอบสนองตอสิ่งตางๆ ได)

นักเรียนควรรู 1 ตอบสนองตอสิ่งตางๆ ได หมายถึง การที่สิ่งมีชีวิตแสดงพฤติกรรมในการ ตอบสนองตอสิ่งตางๆ เชน สุนัขกระดิกหางเมื่อไดยินเสียงเจาของรองเรียก แมวโกงตัวทําขนพองเพื่อขูสุนัข นกบินหนีเมื่อคนวิ่งไล เปนตน 2 เคลื่อนไหวได พืชเปนสิ่งมีชีวิตที่สามารถเคลื่อนไหวได การเคลื่อนไหวของ พืชอาจเกิดขึ้นอยางชาๆ จนเราไมสามารถสังเกตเห็นไดหากไมไดเฝามองอยาง ตั้งใจ เชน การบาน-หุบของดอกไม การโนมลําตนเขาหาแสง การหุบของใบไม บางชนิด เปนตน แตพืชไมสามารถเคลื่อนที่จากบริเวณหนึ่งไปยังอีกบริเวณหนึ่งได ซึ่งเปน ขอแตกตางระหวางพืชกับสัตว เพราะสัตวสามารถเคลื่อนที่ไดเอง

คู่มือครู

3


กระตุ้นความสนใจ

ส�ารวจค้นหา

อธิบายความรู้

Engage

Explore

Explain

ขยายความเข้าใจ

ขยายความเข้าใจ Expand าใจ ขยายความเข้

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

Expand

1. ใหนักเรียนทํากิจกรรมที่ 1 สังเกตลักษณะของ สิ่งมีชีวิตและสิ่งไมมีชีวิต จากนั้นรวมกันสรุปผล การทํากิจกรรม 2. ครูถามนักเรียน ดังนี้ • เมื่อนักเรียนใหอาหารปลาหางนกยูง และกอนหิน จะเกิดผลอยางไร (ตอบ ปลาหางนกยูงจะกินอาหาร สวนกอนหิน ไมกินอาหาร) • นักเรียนจะสรุปไดอยางไรวา สิ่งใดเปนสิ่งมี ชีวิต และสิ่งใดเปนสิ่งไมมีชีวิต (ตอบ ปลาหางนกยูงเปนสิ่งมีชีวิต เพราะกิน อาหารได และเคลื่อนไหวได สวนกอนหิน เปนสิ่งไมมีชีวิต เพราะไมกินอาหาร และไมเคลื่อนไหว) 3. ใหนักเรียนทํากิจกรรมที่ 2 จําแนกสิ่งมีชีวิต และสิ่งไมมีชีวิต แลวรวมกันสรุปผลการทํา กิจกรรม 4. ครูถามคําถามนักเรียนวา • อะไรคือขอแตกตางที่สังเกตเห็นไดชัด ระหวางสิ่งมีชีวิตกับสิ่งไมมีชีวิต (แนวตอบ การเคลื่อนที่ การกินอาหาร การตอบสนองตอสิ่งตางๆ) 5. ใหนกั เรียนดูภาพ หนา 4 แลวบอกวาภาพใด เปนสิ่งมีชีวิต และภาพใดเปนสิ่งไมมีชีวิต โดยใหนักเรียนอธิบายเหตุผลประกอบ

กิจกรรมหนูนอ ยนักสํารวจ

(ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้)

กิจกรรมที่ ๑ สังเกตลักษณะของ สิ่งมีชีวิตและสิ่งไมมีชีวิต

อุปกรณ ๑. ปลาหางนกยูง ๒-๓ ตัว ๒. กอนหิน ๒-๓ กอน ๓. อาหารสําเร็จรูป ๑ ถุง ๔. ขวดโหล ๑ ใบ ๕. แวนขยาย ๑ อัน วิธีทํา ๑. ใหนักเรียนสังเกตปลาหางนกยูง และ กอนหินในขวดโหลวามีการเคลื่อนไหว หรือไมโดยใชแวนขยาย ๒. ใหนักเรียนสังเกตวา เมื่อครูใสอาหาร สําเร็จรูปลงในขวดโหล ปลาหางนกยูง และกอนหินกินอาหารหรือไม ๓. บันทึกผลการสังเกต

กิจกรรมที่ ๒ จําแนกสิ่งมีชีวิต และสิ่งไมมีชีวิต

อุปกรณ ๑. สมุดบันทึก ๑ เลม ๒. ดินสอ ๑ แทง

วิธีทํา ๑. ใหสํารวจรอบบริเวณโรงเรียนวาพบเห็น สิ่งใดบาง ๒. สังเกตลักษณะของสิ่งที่พบเห็น ๓. นําชื่อสิ่งที่สํารวจพบทั้งหมดมาจําแนก วาเปนสิ่งมีชีวิต หรือเปนสิ่งไมมีชีวิต พรอมบอกเหตุผลประกอบ

กิจกรรมพัฒนาการเรียนรู

ดูภาพ แลวเขียนลงในสมุดวาเปนภาพอะไร เปนสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งไมมีชีวิต ๑

เกร็ดแนะครู กอนใหนักเรียนทํากิจกรรมที่ 1 ใหครูสอนเรื่องวิธีการใชแวนขยาย โดยครู ศึกษาขอมูลจาก “เรื่องนารู...เกี่ยวกับวิทยาศาสตร” ในคูมือครู หนา 69 ใหครูสาธิต วิธีการใชแวนขยาย เพื่อใหนักเรียนเขาใจและใชอยางถูกวิธี

ขอสอบเนน การคิด แนว NT

จิ้งจกกับกบ จัดเปนสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน เพราะอะไร ก. มีสี่เทา ข. หายใจได ค. กินสัตวอื่นเปนอาหาร วิเคราะหคําตอบ ลักษณะสําคัญของสิ่งมีชีวิต คือ มีการเคลื่อนไหว กินอาหาร ขับถาย หายใจ สืบพันธุ และตอบสนองตอสิ่งเราได ขอ ข. จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง

4

คู่มือครู


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

Engage

Explore

Explain

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

Expand าใจ ขยายความเข

Evaluate ตรวจสอบผล

ขยายความเขาใจ

1. ใหนักเรียนชวยกันพูดสรุปลักษณะสําคัญของ สิ่งมีชีวิตและสิ่งไมมีชีวิต 2. ใหนักเรียนนําขอมูลจากขอ 1 มาเขียนเปน แผนผังความคิดแสดงลักษณะสําคัญของ สิ่งมีชีวิตและสิ่งไมมีชีวิตลงในสมุด 3. ใหนักเรียนติดภาพสิ่งมีชีวิตและสิ่งไมมีชีวิต อยางละ 1 ภาพ ลงในสมุด จากนั้นเขียน เปรียบเทียบความแตกตาง 4. ใหนักเรียนตอบคําถามจากกิจกรรมตอนที่ 3 หนา 5 ลงในสมุด

กิจกรรมรวบยอด (ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้)

ตอนที่ ๑ แนวคิดสําคัญ ชวยกันสรุป ครูใหนักเรียนชวยกันพูดสรุปลักษณะสําคัญของสิ่งมีชีวิต และสิ่ง ไมมีชีวิต จากนั้นเขียนลงในสมุด ตอนที่ ๒ ลองทําดู หนูทําได ๑) ติดภาพสิ่งมีชีวิตและสิ่งไมมีชีวิตลงในสมุดอยางละ ๑ ภาพ แลวเขียนเปรียบเทียบความแตกตาง ๒) เขียนแผนผังความคิดแสดงลักษณะสําคัญของสิ่งมีชีวิต และสิ่งไมมีชีวิต พรอมกับยกตัวอยางสิ่งมีชีวิตและสิ่งไมมีชีวิตประกอบ ลักษณะสําคัญ

ตรวจสอบผล

สิ่งตาง ๆ

สิ่งไมมีชีวิต

ตัวอยาง

Evaluate

1. ครูตรวจสอบวา นักเรียนเขียนแสดงขอมูลใน แผนผังความคิดและยกตัวอยางไดถูกตอง หรือไม 2. ใหนักเรียนนําเสนอผลงานเปรียบเทียบความ แตกตางของสิ่งมีชีวิตและสิ่งไมมีชีวิต แลวครู ตรวจสอบวานักเรียนเปรียบเทียบไดถูกตอง หรือไม 3. ครูตรวจสอบวานักเรียนตอบคําถามไดถูกตอง หรือไม

ลักษณะสําคัญ สิ่งมีชีวิต

Expand

ตัวอยาง

ตอนที่ ๓ ฝกคิด พิชิตคําถาม เขียนตอบคําถามตอไปนี้ลงในสมุด ๑) ตนมะมวง กอนหิน สุนัข สิ่งใดเปนสิ่งมีชีวิต ๒) วัว กระปอง รถไฟ สิ่งใดแตกตางจากพวก เพราะอะไร ๓) ยกตัวอยางสิ่งมีชีวิตที่เปนสัตว มาคนละ ๓ ชนิด ๔) ยกตัวอยางสิ่งไมมีชีวิตที่พบในหองเรียน มาคนละ ๓ ชนิด ๕) ถาจะสังเกตวาสิ่งใดเปนสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งไมมีชีวิต นักเรียนจะ สังเกตจากอะไรบาง

หลักฐานแสดงผลการเรียนรู 1. ใบบันทึกผลกิจกรรมหนูนอยนักสํารวจ 2. แผนผังความคิดแสดงลักษณะของสิ่งมีชีวิต และสิ่งไมมีชีวิต 3. ผลงานการเขียนเปรียบเทียบความแตกตางของ สิ่งมีชีวิตและสิ่งไมมีชีวิต

บูรณาการเชื่อมสาระ

ครูบูรณาการเชื่อมสาระวิทยาศาสตรกับสาระสังคมศึกษา วิชาสังคมศึกษาฯ เรื่องสิ่งแวดลอม โดยใหนักเรียนสํารวจ สังเกตสิ่งแวดลอมรอบตัววา มีอะไรบาง จากนั้นนํามาจัดจําแนกโดยใชเกณฑสิ่งมีชีวิตและสิ่งไมมีชีวิตกับ เกณฑสิ่งแวดลอมทางธรรมชาติ และสิ่งแวดลอมทางสังคม แลวนําขอมูลใน แตละกลุมมาเปรียบเทียบกัน เพื่อฝกทักษะการจําแนกและเชื่อมโยงขอมูล

เกร็ดแนะครู ในขั้นขยายความเขาใจ ครูอาจใหนักเรียนดูคลิปวิดีโอ เรื่องสิ่งมีชีวิต เพื่อใหนักเรียนเขาใจเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตชัดเจนขึ้น เมื่อดูคลิปวิดีโอจบแลว ครูซักถามนักเรียนเกี่ยวกับสิ่งที่ไดดู

มุม IT ครูดาวนโหลดคลิปวิดีโอเรื่องสิ่งมีชีวิต จากเว็บไซต www.thaiteachers.tv แลวพิมพคําวา สัตวและพืช ลงในชองคนหาแลวคลิก จะปรากฏคลิปวิดีโอเรื่อง สิ่งมีชีวิต ซึ่งมีความยาวประมาณ 14 นาที

คูมือครู

5


กระตุน้ ความสนใจ กระตุEngage ้นความสนใจ

ส�ารวจค้นหา

อธิบายความรู้

ขยายความเข้าใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

เปาหมายการเรียนรู

สังเกต และอธิบายลักษณะและหนาที่ของ โครงสรางภายนอกของพืชและสัตว (ว1.1 ป.1/2)

ò

สมรรถนะของผูเรียน

แนวคิดสําคัญ

1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด

พืชและสัตวเปนสิ่งมีชีวิตเชนเดียวกัน แตมีลักษณะโครงสรางแตกตางกัน โครงสรางภายนอก ของพืช ไดแก ราก ลําตน ใบ ดอกและผล แตละสวนทําหนาที่แตกตางกัน โครงสรางภายนอกของ สัตว ไดแก ตา หู จมูก ปาก ขาและเทา แตละสวนทําหนาที่แตกตางกัน

คุณลักษณะอันพึงประสงค 1. ใฝเรียนรู 2. มุงมั่นในการทํางาน

กระตุน้ ความสนใจ

ʹã¨ã¹¾×ªáÅÐÊѵÇ

º··Õè

กิจกรรมนําสูการเรียน

Engage

1. ใหนักเรียนดูภาพ หนา 6 แลวบอกวา เปนภาพอะไร (ตอบ ตนทานตะวัน และสุนัข) 2. ครูสนทนาเพือ่ ทบทวนความรูเ ดิมของนักเรียนวา ตนทานตะวันกับสุนัขเปนสิ่งมีชีวิตหรือไมมีชีวิต เมื่อนักเรียนตอบแลว ใหชวยกันอธิบายเหตุผล ประกอบ 3. ใหนักเรียนพิจารณาลักษณะโครงสรางของตน ทานตะวัน และสุนัข แลวใหเปรียบเทียบวาทั้ง 2 สิ่งนี้ มีโครงสรางภายนอกแตกตางกันหรือไม อยางไร (ตอบ แตกตางกัน คือ ตนทานตะวัน ประกอบดวย ราก ลําตน ใบ และดอก สวนสุนัข ประกอบดวย หู ตา จมูก ปาก ขา และเทา)

๑. จากภาพ เปนภาพของอะไร ๒. ทั้ง ๒ ภาพนี้ มีลักษณะเหมือนกัน และแตกตางกัน อยางไรบาง ๖

เกร็ดแนะครู ครูจัดกระบวนการเรียนรูโดยการใหนักเรียนปฏิบัติ ดังนี้ • สํารวจ สังเกต โครงสรางภายนอกของพืชและสัตว • อภิปรายเกี่ยวกับลักษณะโครงสรางภายนอกของพืชและสัตว • เปรียบเทียบความแตกตางของโครงสรางภายนอกของพืชและสัตว • ศึกษาขอมูลหนาที่ของโครงสรางภายนอกของพืชและสัตว จนเกิดเปนความรูความเขาใจวา พืชและสัตวมีลักษณะโครงสรางภายนอก แตกตางกัน ซึ่งโครงสรางแตละสวนของพืชและสัตวจะทําหนาที่แตกตางกัน

6

คู่มือครู


กระตุ้นความสนใจ

ส�ารวจค้นหา ส�ารวจค้ Exploreนหา

อธิบายความรู้

ขยายความเข้าใจ

ตรวจสอบผล

Explore

Explain

Expand

Evaluate

Engage

ส�ารวจค้นหา

๑. โครงสรางภายนอกของพืช พืชเปนสิ่งมีชีวิตเชนเดียวกับเรา ถาเราสังเกตตนพืชจะเห็น วา พืชมีสวนตาง ๆ ไมเหมือนกับเราเลย พืชไมมีขาเหมือนเรา แตพืชมีรากจํานวนมากมายที่ชวยยึดเกาะพื้นดิน นอกจากรากแลว พืชยังมีสวนประกอบอะไรอีกบาง ÅͧÈÖ¡ÉÒâ¤Ã§ÊÌҧ ¢Í§¾×ª¨Ò¡ÀÒ¾¹Õé

ผล

ดอก ใบ ลําตน

ราก กิจกรรมหนูนอ ยนักสํารวจ

Explore

1. ใหนกั เรียนชวยกันบอกวารูจ กั ตนไมชนิดใดบาง แลวครูจดชื่อตนไมที่นักเรียนบอกลงบน กระดาน 2. ครูถามวา นักเรียนเคยสังเกตไหมวา ตนไมที่ ตนเองรูจักมีโครงสรางภายนอก (สวนประกอบ) อะไรบาง 3. ใหนักเรียนศึกษาโครงสรางของพืชในหนา 7 และใหนักเรียนชวยกันตอบคําถาม • จากภาพ โครงสรางภายนอก ของพืชประกอบดวยอะไรบาง (ตอบ ราก ลําตน ใบ ดอก และผล) 4. ใหนักเรียนแบงกลุมทํากิจกรรมที่ 1 โดยศึกษาโครงสรางภายนอกของพืชจากการ สังเกตตนพืชจริง และบันทึกผลการสังเกต 5. ใหแตละกลุมสังเกตโครงสรางแตละสวนของ พืช ไดแก ราก ลําตน ใบ วามีลักษณะอยางไร จากนั้นรวมกันแสดงความคิดเห็นวาโครงสราง เหลานั้นทําหนาที่อะไร 6. ใหแตละกลุมศึกษาขอมูล หนา 8 จากนั้น รวมกันสรุปภายในกลุม

(ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้)

กิจกรรมที่ ๑ รูจักสวนตาง ๆ ของพืช

อุปกรณ

ตนพืชตนเล็ก ๆ ๑ ตน เชน ตนกระสัง ตนถั่ว ตนมะเขือ

วิธีทํา

๑. แบงกลุม ใหแตละกลุมนําตนไมตนเล็ก ๆ มากลุมละ ๑ ตน ๒. สังเกตดูสวนตาง ๆ แตละสวนของพืช ๓. วาดภาพตนพืชที่กลุมของตนเองศึกษา และชี้บอกสวนตาง ๆ ๗

ขอสอบเนน การคิด แนว NT

ถาตนไมเปรียบเหมือนบาน ใบไมจะเปรียบเหมือนกับสวนใด ก. หองนอน ข. หองรับแขก ค. หองครัว

เกร็ดแนะครู ในขั้นสํารวจคนหา ครูควรสงเสริมใหนักเรียนไดสํารวจตรวจสอบ เพื่อสราง องคความรูดวยตนเอง โดยครูทําหนาที่ใหคําปรึกษาแกนักเรียน และใหเวลา นักเรียนในการคิดขอสงสัยตลอดจนปญหาตางๆ

วิเคราะหคําตอบ ใบไมมีหนาที่ในการสรางอาหาร จึงเปรียบไดกับ หองครัว ดังนั้น ขอ ค เปนคําตอบที่ถูกตอง

คู่มือครู

7


กระตุ้นความสนใจ

ส�ารวจค้นหา

Engage

Explore

อธิบายความรู้

✓ แบบวัดฯ ใบงาน แบบฝกฯ ว�ทยาศาสตร ป.1 แบบฝกกิจกรรม เร�่อง โครงสร้างภายนอกของพืชและสัตว

2

อธิบExplain ายความรู้

ขยายความเข้าใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

Explain

1. ครูและนักเรียนชวยกันสรุปผลการทํากิจกรรม วาพืชประกอบดวยสวนตางๆ คือ ราก ลําตน ใบ ดอก และผล 2. ครูตั้งประเด็นใหนักเรียนรวมกันอภิปรายวา โครงสรางภายนอกแตละสวนของพืชมีความ สําคัญอยางไร 3. ใหนักเรียนทําแบบฝกกิจกรรมขอ 1 จาก แบบวัดฯ วิทยาศาสตร ป.1

บทที่

อธิบายความรู้

จากการสํารวจตนพืชจะพบวา พืชทั่วไปมีสวนตาง ๆ ไดแก ราก ลําตน ใบ ดอก และผล ซึ่งแตละสวนมีหนาที่แตกตางกัน ดังนี้ ดอก ดอกไมบางชนิดมีสสี วย สีและ กลิ่นของดอกไมชวยลอแมลง ใหมาผสมเกสร ดอกไมจึงชวย ในการสืบพันธุ

ผลและเมล็ด ดอกของพืชเมื่อไดรับการผสมพันธุจะ เติบโตพัฒนาไปเปนผล ในผลจะมีเมล็ด อยู ถานําเมล็ดไปปลูกจะงอกเปนตน พืชไดอกี เมล็ดจึงชวยในการขยายพันธุ 1

ลําตน ลําตนทําหนาที่ สําคัญอยางหนึ่ง คือ ชูกิ่ง กาน และใบ

สนใจในพืชและสัตว แบบฝกกิจกรรม

โครงสรางภายนอกของพืชและสัตว

คําชี้แจง : การเรียนรูโครงสรางภายนอกของพืชและสัตว ทําใหสามารถ อธิบายลักษณะและหนาที่ของโครงสรางเหลานั้นได

1 โยงเสนจับคูภาพโครงสรางภายนอกของพืชกับหนาที่ที่สัมพันธกัน

1) ทําหนาที่หอหุมเมล็ด

2)

ชวยยึดลําตนของพืช ไมใหโคนลม

3)

ฉบับ

เฉลย

ทําหนาที่สืบพันธุ

4)

ชวยชูกิ่ง กาน ใบ ใหไดรับ แสงแดดอยางเพียงพอ

5)

ทําหนาที่สรางอาหาร 7

ใบ ตนไมทุกตน มีใบ และใบไม สวนใหญมีสีเขีย2ว สีเขียวในใบไม ชวยในการสราง อาหารของพืช

4. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปวาพืชมีโครงสราง ภายนอกอะไรบาง และโครงสรางภายนอก แตละสวนทําหนาที่อะไร

3

ราก รากสวนใหญอยูใตดินและมีลักษณะ แผขยายออกไป รากจึงทําหนาที่สําคัญ อยางหนึ่ง คือ ยึดลําตนของพืชใหตั้ง บนดินไดโดยไมโคนลม รวมทั้งดูดนํ้า และธาตุอาหารในดินไปเลี้ยงสวนตาง ๆ

นักเรียนควรรู 1 ลําตน นอกจากจะทําหนาทีช่ กู งิ่ กาน และใบแลว ยังทําหนาทีใ่ นการลําเลียงนํา้ และอาหารอีกดวย โดยลําเลียงนํา้ และธาตุอาหารทีร่ ากดูดขึน้ มาไปเลีย้ งยังสวนตางๆ ของพืช 2 สีเขียวในใบไม เรียกวา คลอโรฟลล ทําหนาที่ดูดกลืนพลังงานแสงมาใชใน การสรางอาหารของพืช 3 ราก พืชบางชนิดมีรากที่สามารถสะสมอาหารไดจนรากเปลี่ยนแปลงรูปราง ใหมีขนาดใหญ ซึ่งมักจะเรียกกันวา หัว เชน หัวแครอต หัวมันแกว หัวไชเทา เปนตน

8

คู่มือครู

ขอสอบเนน การคิด แนว NT ขอใดเปนลักษณะของราก ก. มีขอและปลอง ข. สะสมอาหารได ค. สวนใหญมีสีเขียว

วิเคราะหคําตอบ รากพืชบางชนิดทําหนาที่สะสมอาหารได เชน หัวแครอต หัวไชเทา หัวมันเทศ หัวมันสําปะหลัง เปนตน ดังนั้น ขอ ข เปนคําตอบที่ถูกตอง


กระตุ้นความสนใจ

ส�ารวจค้นหา

อธิบายความรู้

Engage

Explore

Explain

ขยายความเข้าใจ

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

Expand าใจ ขยายความเข้

Evaluate ตรวจสอบผล

ขยายความเข้าใจ

โครงสรางสวนตาง ๆ ของพืชนี้ จะทํางานรวมกัน ถาหาก ขาดสวนใดสวนหนึ่งไป ก็จะมีผลตอการดํารงชีวิตของพืช à¾×è͹ æ ¤Ô´Ç‹Ò ¶ŒÒµÑ´Ê‹Ç¹ã´Ê‹Ç¹Ë¹Öè§ ¢Í§¾×ªÍÍ¡ µŒ¹¾×ª¨Ð໚¹Í‹ҧäà Åͧ·íÒ¡Ô¨¡ÃÃÁ¹Õé กิจกรรมพัฒนาการเรียนรู

ใหนักเรียนแบงกลุม แลวปฏิบัติกิจกรรม ดังนี้ ๑) ใหแตละกลุมวาดภาพตนพืชที่มีสวนใดสวนหนึ่งขาดหายไป เชน ตนพืชที่ไมมีราก ตนพืชที่ไมมีใบ ๒) รวมกันอภิปรายภายในกลุมถึงผลที่เกิดขึ้นกับตนพืช ๓) นําเสนอความคิดของกลุม แลวครูชวยสรุปอีกครั้งหนึ่ง

จากการทํากิจกรรม ทําใหทราบวา ถาพืชขาดโครงสราง สวนใดสวนหนึ่งไป จะมีผลตอการดํารงชีวิตของพืช เชน ไมมีสวนที่ ทําหนาที่ดูดนํ้า1 และธาตุอาหาร จากดิน ไมมอี าหารและนํา้ ไปเลี้ยงลําตน

ไมมีราก ไมมีสวนที่ ชวยยึดลําตน

ตาย ๙

หากพรวนดินโดยไมระวัง แลวทําใหรากของตนกุหลาบขาด จะมีผล กระทบตอหนาที่ใดของตนพืช ก. การสืบพันธุ ข. การสรางอาหาร ค. การดูดนํ้าและธาตุอาหาร

1. ครูวาดภาพตนไม และภาพคนบนกระดาน จากนั้นสนทนากับนักเรียนใหเห็นความสําคัญ ของโครงสรางภายนอกของพืช โดยเปรียบเทียบกับสวนตางๆ ของรางกายของเรา เชน • ถาเรามีแขนขางเดียว เราจะเปนอยางไร (ตอบ หยิบจับสิ่งของไดลําบาก) • ถาเรามีขาขางเดียว เราจะเปนอยางไร (ตอบ เคลื่อนที่ไดลําบาก) จากนั้นครูเชื่อมโยงใหนักเรียนเขาใจวา พืช ก็เปนเชนเดียวกับคน หากพืชขาดโครงสราง สวนใดสวนหนึ่งไป ตองมีผลตอการดํารงชีวิต ของพืชเชนเดียวกัน 2. ใหนักเรียนอานแผนภูมิในหนานี้ แลวถาม นักเรียนวา • ถาพืชไมมีราก จะเกิดผลอยางไรบาง (ตอบ พืชไมไดรับนํ้าและอาหารจากดิน และ ลําตนโคนลมไดงาย เนื่องจากไมมีรากคอย ชวยยึดเกาะดิน) 3. ใหครูยกตัวอยางวา ถาพืชขาดสวนประกอบ อื่นๆ เชน ใบ ลําตน ดอก เปนตน แลวให นักเรียนรวมกันอภิปรายวาจะเกิดผลอยางไร ตอพืช 4. ใหนักเรียนวาดภาพหรือติดภาพตนพืชที่ ตนเองรูจักลงในสมุด แลวชี้บอกโครงสราง แตละสวน พรอมกับเขียนหนาที่ของโครงสราง นั้นๆ ดวย

ตรวจสอบผล

โคนลมงาย

ขอสอบเนน การคิด แนว NT

Expand

Evaluate

1. ครูสังเกตการเขารวมอภิปรายของนักเรียน และการใหเหตุผลประกอบ 2. ครูตรวจสอบการบอกโครงสรางภายนอกของ พืชและหนาที่ของโครงสรางนั้นๆ วาถูกตอง สมบูรณหรือไม

นักเรียนควรรู 1 ธาตุอาหาร ที่พืชไดจากดินมี 13 ชนิด ซึ่งธาตุอาหารแตละชนิดมีความ สําคัญตอการเจริญเติบโตของพืช ธาตุอาหารที่สําคัญ เชน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม เปนตน

วิเคราะหคําตอบ รากของพืชทําหนาที่ดูดนํ้าและธาตุอาหารจากดิน ขึ้นไปเลี้ยงสวนตางๆ ของลําตน ขอ ค จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง

คู่มือครู

9


กระตุน้ ความสนใจ กระตุEngage ้นความสนใจ

ส�ารวจค้นหา

อธิบายความรู้

ขยายความเข้าใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

กระตุน้ ความสนใจ

Engage

1. ใหนักเรียนชวยกันบอกวารูจักสัตวชนิดใดบาง แลวครูจดชื่อสัตวบนกระดาน 2. ใหนักเรียนดูชื่อสัตวบนกระดาน แลวครูขอ อาสาสมัครใหอธิบายลักษณะของสัตว บนกระดานมา 1 ชนิด ตามความเขาใจของ นักเรียน 3. ครูถามปริศนาคําทายเกี่ยวกับสัตว แลวให นักเรียนแขงกันยกมือตอบ เชน • อะไรเอย สี่ตีนเดินมา หลังคามุงกระเบื้อง (ตอบ เตา) • อะไรเอย สองตีนเดินมา หลังคามุงจาก (ตอบ ไก) • อะไรเอย นกมีหู หนูมีปก (ตอบ คางคาว) • อะไรเอย สองมือยกขึ้นปองใบหนา มีแปด บาทา พาตัวเดินไป (ตอบ ปู) • อะไรเอย มีขานับไมถวน มวนตัวกลมได (ตอบ กิ้งกือ) 4. ครูสนทนากับนักเรียนวา การอธิบายลักษณะ ของสัตว และการเลนทายปริศนาคําทาย เกี่ยวกับสัตว นักเรียนจะตองรูจักโครงสราง ภายนอกของสัตวจึงจะสามารถบอกไดวา เปนสัตวชนิดใด

๒. โครงสรางภายนอกของสัตว สัตวเปนสิง่ มีชวี ติ เชนเดียวกับคนและพืช สัตวมลี กั ษณะรูปราง เหมือนกับคนและพืชหรือไม มาศึกษาขอมูลเพิ่มเติม ÅͧÈÖ¡ÉÒâ¤Ã§ÊÌҧ¢Í§ÊÑµÇ ¨Ò¡ÀÒ¾¢ŒÒ§Å‹Ò§¹Õé

·Ñé§ ô µÑÇÁÕ ¢ÒáÅÐ෌Ҥ‹Ð

ÊÑµÇ ã¹ÀÒ¾ÁÕʋǹµ‹Ò§ æ àËÁ×͹¡Ñ¹ËÃ×ÍäÁ‹ ÍÐäúŒÒ§

·Ñé§ ô µÑÇÁÕ µÒ ËÙ ¨ÁÙ¡ »Ò¡ ¤ÃѺ ๑๐

เกร็ดแนะครู ในการเรียนการสอนเรื่อง โครงสรางภายนอกของสัตว ครูอาจรวบรวมภาพสัตว ชนิดตางๆ มาใหนักเรียนไดสังเกต นอกเหนือจากภาพในหนังสือเรียน เพื่อให นักเรียนเขาใจมากยิ่งขึ้น

ขอสอบเนน การคิด แนว NT

ลักษณะของสัตว 4 ชนิด เปนดังนี้ สัตว

โครงสรางของสัตว ขา

ขน

ปก

เขา

ชนิดที่ 1

-

ชนิดที่ 2

-

-

-

-

ชนิดที่ 3

-

สัตวชนิดที่ 2 ควรเปนสัตวชนิดใด ก. นก หนู ข. งู กบ ค. ปลา ไสเดือน

10

วิเคราะหคําตอบ ปลา และไสเดือน เปนสัตวที่ไมมีขา ไมมีขน ไมมีปก และไมมีเขา ดังนั้น ขอ ค. จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง คู่มือครู


สํารวจคนหา

กระตุนความสนใจ Engage

สํารวจค Exploreนหา

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explore

Explain

Expand

Evaluate

สํารวจคนหา กิจกรรมหนูนอ ยนักสํารวจ

(ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้)

กิจกรรมที่ ๒ รูจักสวนตาง ๆ ของสัตว

อุปกรณ

ภาพสัตวที่ชอบ ๑ ชนิด

วิธีทํา

๑. ติดภาพสัตวที่ชอบลงในสมุด ๒. ชี้บอกสวนตาง ๆ ของสัตวที่นักเรียนรูจักและมองเห็น

โดยทัว่ ไป สัตวสว นใหญจะมีสว นประกอบของรางกายคลายกับ คน สวนประกอบของรางกายนี้ เรียกวา อวัยวะ อวัยวะภายนอก ของสัตว ไดแก ตา หู จมูก ปาก ขาและเทา หู

ตา

หู

จมูก

ปาก

Explore

1. ใหนักเรียนสังเกตลักษณะของสัตวจากหนังสือ หนา 10 แลวชวยกันบอกวา สัตวในภาพมี โครงสรางภายนอกอะไรบาง (แนวตอบ สัตวแตละชนิดมีโครงสรางภายนอก เหมือนกัน คือ ตา หู จมูก ปาก ขา และเทา) 2. ใหนักเรียนทํากิจกรรมที่ 2 หนา 11 โดยนํา ภาพสัตวที่ชอบ 1 ชนิด มาศึกษาโครงสราง ภายนอกของสัตววามีอะไรบาง และรวมกัน สรุปผลการทํากิจกรรม 3. ใหนักเรียนทํากิจกรรมที่ 3 หนา 12 โดยสํารวจหนาที่ของอวัยวะตนเอง และนํามา เปรียบเทียบกับหนาที่ของอวัยวะของสัตว

ตา จมูก

ปาก ขา ขา

เทา

เทา

à¾×è͹ æ ¤Ô´Ç‹Ò ÍÇÑÂÇе‹Ò§ æ ¢Í§ÊÑµÇ ·íÒ˹ŒÒ·ÕèÍ‹ҧäúŒÒ§ àËÁ×͹¡ÑºÍÇÑÂÇТͧ¤¹ËÃ×ÍäÁ‹ ๑๑

บูรณาการเชื่อมสาระ

ครูบูรณาการความรูในสาระวิทยาศาสตรกับสาระศิลปะ วิชาทัศนศิลป เรื่อง โครงสรางภายนอกของสัตว โดยใหนักเรียนนําความรูจากการศึกษา โครงสรางภายนอกของสัตวไปทํางานศิลปะ โดยปนดินนํ้ามันเปนสัตวที่ชอบ คนละ 1 ชนิด และนําเสนอผลงานพรอมกับอธิบายโครงสรางภายนอกของสัตว เพื่ออธิบายความรูผานผลงานศิลปะ

เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจวา แมวาสัตวตางๆ จะมีโครงสรางภายนอก ไดแก ตา หู จมูก ปาก ขาและเทา เชนเดียวกัน แตโครงสรางภายนอกสัตวแตละ ชนิดก็มีลักษณะแตกตางกัน เพื่อใหเหมาะสมกับการดํารงชีวิตของสัตวชนิดนั้น

คูมือครู

11


กระตุ้นความสนใจ

ส�ารวจค้นหา

Engage

Explore

อธิบายความรู้

อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้

ขยายความเข้าใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

Explain

1. ใหแตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอ ผลการทํากิจกรรมที่ 2 และ 3 2. ใหนักเรียนรวมกันสรุปความรูเรื่องโครงสราง ภายนอกของสัตววา สัตวมีโครงสรางภายนอก ของรางกายคลายกับคน คือ มีตา หู จมูก ปาก ขา และเทา ซึง่ อวัยวะเหลานีท้ าํ หนาทีแ่ ตกตางกัน 3. ใหนักเรียนรวมกันสรุปหนาที่ของอวัยวะตางๆ ของสัตว 4. ใหนักเรียนทําแบบฝกกิจกรรม ขอ 3 จาก แบบวัดฯ วิทยาศาสตร ป.1 ✓ แบบวัดฯ ใบงาน แบบฝกฯ ว�ทยาศาสตร ป.1 แบบฝกกิจกรรม เร�่อง โครงสร้างภายนอกของพืชและสัตว

กิจกรรมหนูนอ ยนักสํารวจ

(ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้)

กิจกรรมที่ ๓ หนาที่ของอวัยวะของสัตว

วิธีทํา

๑. แบงกลุมชวยกันสํารวจหนาที่ของ ตา หู จมูก ปาก ขาและเทา ของตนเอง ๒. รวมกันอภิปรายภายในกลุม เปรียบเทียบวาอวัยวะตาง ๆ ของคนกับ อวัยวะของสัตววาทําหนาที่เหมือนกันหรือไม แตละอวัยวะทําหนาที่ อะไร

จากการทํากิจกรรม ทําใหทราบวา อวัยวะตาง ๆ ของสัตว ทําหนาที่เหมือนกันกับอวัยวะตาง ๆ ของคน ดังนี้ 1

ตา ทําหนาที่ มองดูสิ่งตาง ๆ

3 เลือกคําเติมลงในชองวางใหถูกตอง

ตา หู จมูก ปาก ขา เทา

ผิวหนัง ทําหนาที่ ปกคลุมรางกายใหอบอุน หู ทําหนาที่ ฟงเสียงตาง ๆ

หู จมูก ตา ปาก ขา เทา

ฉบับ

เฉลย

มองดู เดินและวิ่ง กินอาหาร ดมกลิ่น ฟงเสียง ฟงเสียง

ขาและเทา ทําหนาที่ในการ เคลื่อนที่และรับ นํ้าหนักตัว

มองดู

ดมกลิ่น

จมูก ทําหนาที่ หายใจและดมกลิ่น

เดินและวิ่ง กินอาหาร

9

ปาก ทําหนาที่ กินอาหาร และสงเสียงรอง ๑๒

นักเรียนควรรู 1 ผิวหนัง คือสิ่งภายนอกที่ปกคลุมรางกาย และคอยปองกันรางกายของคน และสัตวจากเชื้อโรคตางๆ ผิวหนังของสัตวแตละชนิดจะแตกตางกันไป สัตวบางชนิดมีขนเสนเล็กๆ ปกคลุมที่ผิวหนัง เชน สุนัข แมว วัว ควาย เสือ ลิง เปนตน สัตวบางชนิดมีขน แบบกานปกคลุมที่ผิวหนัง เชน นก เปด ไก เปนตน สวนสัตวบางชนิดมีเกล็ด ปกคลุมผิวหนัง เชน ปลา งู จระเข ตะกวด เปนตน

12

คู่มือครู

ขอสอบเนน การคิด แนว NT

แทะผลไม กัดเหยื่อ ดมกลิ่น สงเสียงรอง หายใจ จากขอความ ขอใดไมใชหนาที่ของปาก ก. ดมกลิ่น กัดเหยื่อ ข. หายใจ ดมกลิ่น ค. สงเสียงรอง แทะผลไม วิเคราะหคําตอบ แทะผลไม กัดเหยื่อ สงเสียงรอง เปนหนาที่ของปาก ดมกลิ่น หายใจ เปนหนาที่ของจมูก ดังนั้น ขอ ข. เปนคําตอบที่ถูกตอง


กระตุ้นความสนใจ

ส�ารวจค้นหา

อธิบายความรู้

Engage

Explore

Explain

ขยายความเข้าใจ Expand าใจ ขยายความเข้

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

ขยายความเข้าใจ กิจกรรมพัฒนาการเรียนรู

(ดูเฉลยกิจกรรมที่สอนเสริมดานหนาของเลมนี้)

๑. ครูอานขอความที่กําหนด แลวใหนักเรียนตอบวาเปนหนาที่ของอวัยวะ สวนใด á·Ð¼ÅäÁŒ ËÒÂ㨠¡ÃÐâ´´ ¿˜§àÊÕ§

Áͧ´Ù

¡Ñ´àËÂ×èÍ

Ê‹§àÊÕ§Ìͧ

à´Ô¹ ÇÔè§

´Á¡ÅÔè¹

๒. ใหนักเรียนแบงกลุม แลวปฏิบัติกิจกรรม ดังนี้ ๑) ใหแตละกลุมวาดภาพสัตวที่สนใจมา ๑ ชนิด โดยที่สัตวตัวนั้นมี สวนใดสวนหนึ่งหายไป เชน ไมมีขา ไมมีหู ๒) รวมกันอภิปรายภายในกลุมถึงผลที่เกิดขึ้นกับสัตวเมื่อมีอวัยวะ สวนหนึ่งขาดหายไป ๓) นําเสนอความคิดของกลุม แลวครูชวยสรุปอีกครั้งหนึ่ง

อวัยวะตาง ๆ ของสัตวจะทํางานรวมกัน ถาขาดอวัยวะที่ควรมี วร สวนใดสวนหนึ่งไป จะมีผลตอการดํารงชีวิตของสัตว จากการทํากิจกรรม ทําใหเราทราบวา ถาสัตวขาดอวัยวะที่ ควรมีสวนใดสวนหนึ่ง จะมีผลตอการดํารงชีวิตของสัตว เชน ถาสัตวไมมีขา จะทําใหเคลื่อนที่ไดไมสะดวก ถาสัตวไมมีตา จะไมสามารถมองเห็นสิ่งตาง ๆ ได ถาสัตวไมมีหู จะไมไดยินเสียงตาง ๆ

Expand

1. ใหนักเรียนวาดภาพสัตวที่มีสวนใดสวนหนึ่ง หายไป จากนั้นรวมกันอภิปรายวา เมื่อสัตวมี อวัยวะสวนใดสวนหนึ่งขาดหายไป จะเกิดผล ตอสัตวอยางไร 2. ครูถามนักเรียนวา • อวัยวะสวนตางๆ ของสัตวมีการทํางาน สัมพันธกันอยางไร (แนวตอบ เชน ตากับเทา โดยสัตวมองเห็น สิ่งตางๆ ได ก็จะทําใหสัตวเคลื่อนที่ไปใน ทิศทางตางๆ ไดสะดวก) • ถาสัตวขาดอวัยวะสวนใดสวนหนึ่งไปจะสง ผลกระทบตอการดํารงชีวิตของสัตวอยางไร (แนวตอบ สัตวจะดํารงชีวิตไดอยางยาก ลําบาก เชน สุนัขที่ขาพิการจะเคลื่อนที่ได ลําบากมากกวาสุนัขที่มีขาเปนปกติ) 3. ใหนักเรียนทํากิจกรรมพัฒนาการเรียนรู ขอ 1 หนา 13 โดยครูบอกหนาที่ของอวัยวะ แลวใหนักเรียนตอบชื่ออวัยวะทีละคน 4. ใหนักเรียนพูดสรุปลักษณะโครงสรางภายนอก และหนาที่ของโครงสรางภายนอกของสัตว 5. ใหนักเรียนตอบคําถามจากกิจกรรมตอนที่ 3 หนา 14 ลงในสมุด

๑๓

ขอสอบเนน การคิด แนว NT

ลักษณะปากและฟนของสัตวแตละชนิด มีความแตกตางกัน มีความ สัมพันธกับขอใด ก. การสงเสียงรองของสัตว ข. การกินอาหารของสัตว ค. การเคลื่อนที่ของสัตว วิเคราะหคําตอบ ปากและฟนของสัตวเปนอวัยวะที่ใชในการกินอาหาร ซึ่งปากและฟนของสัตวแตละชนิดมีความเกี่ยวของกับอาหารที่สัตวกิน ดังนั้น ขอ ข. เปนคําตอบที่ถูกตอง

เกร็ดแนะครู ในการเรียนเรื่องสัตว ครูควรสอดแทรกเรื่องความมีเมตตาตอสัตวตางๆ โดยชวนนักเรียนสนทนาวา ถาบานของนักเรียนมีสัตวเลี้ยง นักเรียนควรดูแล เอาใจใสสัตวเลี้ยงของตนเอง และควรเลี้ยงดูดวยความเมตตา ไมรังแกสัตว หรือถาพบเห็นสัตวอื่นๆ ที่ไมใชสัตวเลี้ยงของเรา ก็ควรมีเมตตาตอสัตว เชน ไมควรรังแกสัตวเพื่อความสนุกสนานของตนเอง

คู่มือครู

13


กระตุ้นความสนใจ

ส�ารวจค้นหา

อธิบายความรู้

Engage

Explore

Explain

ขยายความเข้าใจ

2 สังเกตภาพสัตวทกี่ าํ หนด และบอกโครงสรางภายนอกของสัตว และหนาทีข่ องโครงสรางนัน้

อวัยวะน�้ คือ…………หู……………………. ทําหนาที…่ ………ฟ…ง…เสี……ย…ง……………… อวัยวะน�้ คือ……จมู……ก……. ………………………………………….

ทําหนาที…่ ……หายใจ ………………. และดมกลิ ……………………่น…………………….. ฉบับ

เฉลย

อวัยวะน�้ คือ…………ปาก ……………………. ทําหนาที…่ ……กิ…น……อาหาร ………………………

ส……ง…เสี…ย…งร ……อ…ง…………………………………….

และใชในการเคลื่อนที่

…………………………………………………………. ตัวชี้วัด ว 1.1 ขอ 2

ไดคะแนน คะแนนเต็ม

10

เกณฑประเมินชิ้นงาน

ขอ 1 - 2 การเติมคําตอบ (5 ขอ ขอละ 2 คะแนน) • บอกชื่อโครงสรางของพืชหรืออวัยวะของสัตวไดถูกตอง • บอกหนาที่ของโครงสรางหรืออวัยวะไดถูกตอง

1 คะแนน 1 คะแนน

12

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

กิจกรรมรวบยอด

✓ แบบวัดฯ ใบงาน แบบฝกฯ ว�ทยาศาสตร ป.1 กิจกรรมรวบยอดที่ 1.2 แบบประเมินตัวช�้วัด ว1.1 ป.1/2

อวัยวะน�้ คือ……………ขา…………………. ก…ตั…ว……… ทําหนาที…่ ……รั…บ…นํ…้า…หนั ………

ตรวจสอบผล

Expand าใจ ขยายความเข้

Evaluate ตรวจสอบผล

Expand

ใหนักเรียนทํากิจกรรมรวบยอดที่ 1.2 จากแบบวัดฯ วิทยาศาสตร ป.1

อวัยวะน�้ คือ…………ตา……………………. งๆ………… ทําหนาที…่ …มองดู …………ส ……ิ่ง…ต…า…

ขยายความเข้าใจ

Evaluate

1. ครูตรวจสอบวานักเรียนสรุปโครงสรางและ หนาที่ของโครงสรางของสัตวไดถูกตองหรือไม 2. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมรวบยอดที่ 1.2

(ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้)

ตอนที่ ๑ แนวคิดสําคัญ ชวยกันสรุป ครูใหนักเรียนชวยกันพูดสรุปลักษณะโครงสรางภายนอกของพืช และสัตว รวมทั้งหนาที่ของโครงสรางแตละสวน จากนั้นใหเขียนลงในสมุด ตอนที่ ๒ ลองทําดู หนูทําได ๑) วาดภาพหรือติดภาพตนพืชที่ตนเองรูจักลงในสมุด แลวชี้บอก โครงสรางแตละสวน พรอมกับบอกหนาที่ของโครงสรางนั้น ๆ ๒) วาดภาพหรือติดภาพสัตวทตี่ นเองชอบมากทีส่ ดุ ลงในสมุด แลว ชี้บอกโครงสรางแตละสวน พรอมกับบอกหนาที่ของโครงสรางนั้น ๆ ตอนที่ ๓ ฝกคิด พิชิตคําถาม เขียนตอบคําถามตอไปนี้ลงในสมุด ๑) พืชและสัตวมีรูปรางลักษณะแตกตางกันอยางไร ๒) สวนใดของพืชทําหนาที่ดูดนํ้าและธาตุอาหาร ๓) สวนใดของพืชทําหนาที่สรางอาหาร ๔) สัตวที่ไมมีขาและเทา สามารถเคลื่อนที่ไดหรือไม อยางไร ๕) สัตวทั้ง ๒ ชนิดนี้คือสัตวชนิดใด และมีลักษณะโครงสราง แตกตางกันอยางไร

หลักฐานแสดงผลการเรียนรู 1. ใบบันทึกผลกิจกรรมหนูนอยนักสํารวจ 2. กิจกรรมรวบยอดที่ 1.2 ขอ 2 จากแบบวัดฯ วิทยาศาสตร ป.1

๑๔

กิจกรรมทาทาย ใหนักเรียนจัดทําสมุดภาพสัตว โดยวาดภาพหรือติดภาพสัตวตางๆ ลงในสมุดวาดเขียนพรอมกับเขียนชื่อสัตว และชี้บอกโครงสรางภายนอก ของสัตวในแตละภาพ

14

คู่มือครู


กระตุน้ ความสนใจ

º··Õè

ó

กระตุEngage ้นความสนใจ

ส�ารวจค้นหา

อธิบายความรู้

ขยายความเข้าใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

เปาหมายการเรียนรู

ระบุลักษณะของสิ่งมีชีวิตในทองถิ่นและนํา มาจัดจําแนกโดยใชลักษณะภายนอก เปนเกณฑ (ว 1.1 ป. 1/2)

ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµã¡ÅŒµÑÇàÃÒ

สมรรถนะของผูเรียน

แนวคิดสําคัญ

1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชทกั ษะชีวิต

ในทองถิ่นตาง ๆ จะมีสิ่งมีชีวิตมากมายหลายชนิด สิ่งมีชีวิตในทองถิ่น จะมีทั้งลักษณะที่เหมือน กันและแตกตางกัน ซึ่งสามารถนํามาจําแนกโดยใชลักษณะภายนอกเปนเกณฑ

คุณลักษณะอันพึงประสงค

กิจกรรมนําสูการเรียน

1. ใฝเรียนรู 2. มุงมั่นในการทํางาน

กระตุน้ ความสนใจ

Engage

ใหนักเรียนดูภาพ และชวยกันบอกวา • จากภาพ มีสิ่งมีชีวิตอะไรบาง (ตอบ ตนทานตะวัน ตนมะมวง ผีเสื้อ ตนมะพราว จิ้งจก วัว ตนกลวย และกุง) • นักเรียนจะจําแนกสิ่งมีชีวิตในภาพได อยางไร (แนวตอบ เชน จําแนกเปน สัตว - ผีเสื้อ จิ้งจก วัว กุง พืช - ตนทานตะวัน ตนมะมวง ตนมะพราว ตนกลวย) • นักเรียนใชเกณฑใดในการจําแนก (แนวตอบ ประเภทของสิ่งมีชีวิต)

๑. จากภาพ นักเรียนรูจักสิ่งมีชีวิตเหลานี้หรือไม มีอะไรบาง ๒. ถาจะจําแนกสิง่ มีชวี ติ ในภาพเปน ๒ กลุม นักเรียนจะจําแนก ไดอยางไร ๓. นักเรียนใชสิ่งใดเปนเกณฑในการจําแนก ๑๕

เกร็ดแนะครู ครูจัดกระบวนการเรียนรูโดยการใหนักเรียนปฏิบัติ ดังนี้ • สํารวจ สังเกตลักษณะภายนอกของพืชและสัตวในทองถิ่น • อภิปรายลักษณะของพืชและสัตวที่สํารวจพบ • จําแนกพืชและสัตว โดยใชลักษณะภายนอกเปนเกณฑ จนเกิดเปนความรูความเขาใจวา สิ่งมีชีวิตแตละชนิดอาจมีลักษณะทั้งที่ เหมือนกันหรือแตกตางกัน ทําใหสามารถจําแนกสิ่งมีชีวิตโดยใชลักษณะภายนอก เปนเกณฑได

คู่มือครู

15


กระตุน้ ความสนใจ กระตุEngage ้นความสนใจ

ส�ารวจค้นหา

อธิบายความรู้

ขยายความเข้าใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

กระตุน้ ความสนใจ

Engage

1. ครูพานักเรียนไปเดินดูตนไมในบริเวณสวนหรือ สนามของโรงเรียนหรืออาจหาตนไม 2-3 ชนิด มาใหดู และใหนักเรียนชวยกันบอกชื่อตนไม 2. ใหนักเรียนรวมกันสังเกตวาตนไมแตละชนิดมี โครงสรางอะไรบาง ตามที่นักเรียนไดเคยเรียน มาแลว เพื่อเปนการทบทวนความรูเดิม 3. ครูนําภาพสัตวชนิดตางๆ (ควรเปนสัตวที่ นักเรียนพบเห็นได) เชน สุนัข แมว หมู วัว ชาง มา เปนตน มาใหนักเรียนดูและชวยกันบอกชื่อ สัตวแตละชนิด 4. ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับสัตวในภาพ แลวใหนกั เรียนทีเ่ คยพบเห็นสัตวเหลานี้ ผลัดกัน เลาเกี่ยวกับสัตวที่ตนเองรูจักหรือเคยพบเห็น 5. ครูนําเขาสูบทเรียนโดยเชื่อมโยงใหนักเรียน เขาใจวาในบทเรียนนีน้ กั เรียนจะไดเรียนรูเ กีย่ วกับ ลักษณะภายนอกของพืชและสัตวที่พบไดใน ทองถิ่น

ลักษณะของสิ่งมีชีวิตและการจําแนก ในแตละทองถิ่นจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยูมากมาย สิ่งมีชีวิต เหลานี้ ไดแก พืช และสัตว สับปะรด

ไผ

พืชที่พบ ในทองถิ่น กลวย

ออย

Åͧª‹Ç¡ѹºÍ¡ÊÔÇ‹Ò ¾×ªáÅÐÊÑµÇ áµ‹ÅЪ¹Ô´ ÁÕÅѡɳÐᵡµ‹Ò§¡Ñ¹Í‹ҧäÃ

นก

กบ

สัตวที่พบ ในทองถิ่น เตา

ลิง

๑๖

บูรณาการอาเซียน ครูอธิบายใหนักเรียนเขาใจวา ประเทศสมาชิกอาเซียนถือเปนประเทศเพื่อนบานของเรา และมีที่ตั้งอยูในภูมิภาคเดียวกับ ประเทศไทย คือ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต ดังนั้นสภาพภูมิประเทศและสภาพภูมิอากาศจึงมีความคลายคลึงกัน ทําใหมี พืชพรรณธรรมชาติคลายคลึงกัน ประเทศสมาชิกอาเซียนแตละประเทศมีดอกไมประจําชาติ ดังนี้

บรูไน : ดอกสานชะวา

กัมพูชา : ดอกลําดวน

อินโดนีเซีย : ดอกกลวยไมราตรี

ลาว : ดอกจําปาลาว

มาเลเซีย : ดอกชบา

พมา : ดอกประดู

ฟลิปปนส : ดอกพุดแกว

สิงคโปร : ดอกกลวยไม ตระกูลแวนดา

ไทย : ดอกราชพฤกษ

เวียดนาม : ดอกบัว

16

คู่มือครู


กระตุ้นความสนใจ

ส�ารวจค้นหา ส�ารวจค้ Exploreนหา

อธิบายความรู้

ขยายความเข้าใจ

ตรวจสอบผล

Explore

Explain

Expand

Evaluate

Engage

ส�ารวจค้นหา

1. ใหนักเรียนทํากิจกรรมหนูนอยนักสํารวจ หนา 17 โดยรวมกันกําหนดบริเวณและเวลาที่ จะทําการสํารวจสิ่งมีชีวิตและบันทึกผล (ดังตัวอยางนี้) และตอบคําถาม

Ãͺ æ µÑÇàÃÒÁÕÊÔè§ÁÕªÕÇÔµÍÐäúŒÒ§ ÅͧÁÒ·íÒ¡Ô¨¡ÃÃÁ¹Õé¤ÃѺ กิจกรรมหนูนอ ยนักสํารวจ

Explore

(ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้)

กรรมที่ ๑่ ๑ สิสิ่ง่งมีมีชชีวีวิติตใกล ใกลตตัวัวเรา เรา กิกิจจกรรมที

จําแนกเปน

สิ่งมีชีวิต ที่พบ

โครงสรางภายนอก ที่พบ

มด

- มี ตา ปาก ขา ลําตัว

✓ ✓

พืช

อุปกรณ

๑. สมุด ๑ เลม

๒. ดินสอ ๑ แทง

สุนัข

- มี ตา ปาก จมู ก ปาก ลําตัว ขา เทา

วิธีทํา

๑. แบงกลุม ใหแตละกลุมสํารวจสิ่งมีชีวิตบริเวณบาน โรงเรียน หรือในชุมชนใกลเคียง ๒. จดบันทึกชื่อสิ่งมีชีวิตที่พบเห็น อาจวาดภาพประกอบดวย ๓. นําผลการสํารวจมาจัดแยกประเภทเปนพืชและสัตว และให เหตุผลประกอบ

เข็ม

- ใบ ลําตน กิ่ง ดอก

µÑÇÍ‹ҧµÒÃÒ§ºÑ¹·Ö¡

สิ่งที่สํารวจ

ลักษณะที่ สังเกตเห็น

จําแนกเปน พืช สัตว

2.

เหตุผลประกอบ 3.

4.

๑๗

ขอสอบเนน การคิด แนว NT

สัตวในขอใด มีจมูกยื่นยาว ตรงปลายมีจงอยใชสําหรับจับของได ก. มา ข. วัว ค. ชาง

วิเคราะหคําตอบ จมูกยื่นยาว ตรงปลายมีจงอยใชสําหรับจับของคือ งวง ของชาง ดังนั้น ขอ ค. เปนคําตอบที่ถูกตอง

5.

สัตว

• จากผลการสํารวจสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตชนิดใด ที่มีลักษณะภายนอกเหมือนกัน (แนวตอบ ขึ้นอยูกับขอมูลของนักเรียน) • นักเรียนจะจําแนกพืชที่สํารวจไดโดยใช อะไรเปนเกณฑ (แนวตอบ ขึ้นอยูกับขอมูลของนักเรียน) สมาชิกในกลุมรวมกันแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับผลการสํารวจ และรวมกันสรุปใหได วา สิ่งมีชีวิตที่สํารวจพบ สิ่งใดเปนพืช และ สิ่งใดเปนสัตว ใหแตละกลุมทํากิจกรรมที่ 1 ใหมอีกครั้ง คราวนี้ใหสํารวจเฉพาะตนพืชประมาณ 4-5 ชนิด และเขียนบอกลักษณะภายนอกของ ตนพืชที่สังเกตเห็น เชน ใบมีลักษณะ... ลําตนมีลักษณะ... ดอกมีสี... ครูถามนักเรียนวา • ลักษณะภายนอกของพืชสามารถนํามาใช จําแนกพืชไดหรือไม อยางไร (แนวตอบ ได โดยกําหนดเกณฑที่ตองการใช จําแนกกอน พืชที่มีลักษณะตรงกับเกณฑก็ อยูในกลุมเดียวกัน) ใหสมาชิกแตละกลุมใชขอมูลลักษณะภายนอก ของพืชที่สังเกตไดมาจําแนกพืชโดยกําหนด เกณฑเอง

เกร็ดแนะครู ในการใหนักเรียนทํากิจกรรมที่ 1 ในหนานี้ ครูควรใหแตละกลุมรวมกันกําหนด วา กลุมใดจะไปสํารวจในบริเวณใด เพื่อไมใหสํารวจในบริเวณเดียวกัน และครูควร ตกลงกับนักเรียนทุกกลุมวา ใชเวลาเทาไรในการสํารวจ เมื่อหมดเวลาแลวใหมา รวมกันที่จุดนัดพบที่ครูกําหนด

คู่มือครู

17


กระตุ้นความสนใจ

ส�ารวจค้นหา

Engage

Explore

อธิบายความรู้

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

Expand าใจ ขยายความเข้

Evaluate ตรวจสอบผล

พืชและสัตวทสี่ าํ รวจพบแตละชนิด อาจมีลกั ษณะบางอยาง เหมือนกัน และอาจมีลกั ษณะบางอยางแตกตางกัน จึงสามารถ จําแนกพืชและสัตวใหอยูในกลุมเดียวกันได โดยใชลักษณะที่ เหมือนกันเปนเกณฑ เกณฑทใี่ ชในการจัดกลุม พืช คือ สิง่ ทีเ่ หมือนกันของพืช เชน ลักษณะภายนอก ประโยชน บริเวณที่ขึ้น เปนตน สีแดง - สีอื่น ขนาดเล็ก - ใหญ

Expand

1. ใหนักเรียนอานขอมูลในหนานี้แลวถาม นักเรียนวา • นักเรียนสามารถจัดกลุมพืชโดยสังเกตจาก อะไรไดอีกบาง (ตอบ บริเวณที่ขึ้น และประโยชนของพืช) 2. ใหนักเรียนนําผลการสํารวจ หนา 17 มาจําแนก พืชโดยใชบริเวณที่ขึ้นหรือประโยชนของพืช เปนเกณฑ โดยจัดทําเปนผลงานสงครู 3. ครูสุมนักเรียนออกมา 2-3 คน แลวใหนักเรียน นําเสนอผลการจําแนกพืชของตนเอง

ตรวจสอบผล

ขยายความเข้าใจ

อธิบExplain ายความรู้

Explain

1. ใหตัวแทนแตละกลุมออกมานําเสนอผลการ สํารวจสิ่งมีชีวิต และการจําแนกประเภทของ สิ่งมีชีวิต 2. ใหนกั เรียนรวมกันสรุปหลักเกณฑในการจําแนก สิง่ มีชวี ติ ใหไดวา ใชโครงสรางภายนอกเปนเกณฑ เพราะพืชและสัตวมีโครงสรางภายนอก แตกตางกัน 3. ใหตัวแทนแตละกลุมออกมานําเสนอผลการ จําแนกพืชโดยบอกเกณฑของกลุมตนเอง และ กลุมของพืชที่จําแนกได โดยใหครูเขียนเกณฑที่ ใชในการจําแนกพืชของทุกกลุมลงบนกระดาน 4. ใหนักเรียนรวมกันสรุปเกณฑที่ใชในการจําแนก พืชวา มีหลากหลาย

ขยายความเข้าใจ

อธิบายความรู้

ตั้งตรง - เถาเลื้อย มีหนาม - ไมมีหนาม

อื่น ๆ ดอก ใบ ลําตน

ขอบใบหยัก - ขอบใบเรียบ มีสีเขียว - มีสีอื่น

ลักษณะภายนอก

1

การจัดกลุมพืช

ประโยชน ทํายา ทําของใชตาง ๆ ทําอาหาร อื่น ๆ

บริเวณที่ขึ้น

Evaluate

ในนํ้า บนดิน บนตนไมอื่น

ครูประเมินทักษะการจําแนกของนักเรียนเปน รายบุคคล โดยพิจารณาจากผลงานการจําแนกพืช

2

๑๘

นักเรียนควรรู 1 บริเวณที่ขึ้น การจําแนกพืชโดยใชบริเวณที่ขึ้นเปนเกณฑ จําแนกพืชไดเปน 3 กลุม คือ 1) พืชที่ขึ้นในนํ้า เชน บัว สาหราย จอก แหน ผักตบชวา ผักบุง ฯลฯ 2) พืชที่ขึ้นบนบก เชน กลวย มะมวง ออย มะพราว ขนุน ฯลฯ 3) พืชที่ขึ้นบนตนไมอื่น เชน เฟรน กลวยไม กาฝาก พลูดาง ฯลฯ 2 ประโยชน การจําแนกพืชโดยใชประโยชนเปนเกณฑ สามารถจําแนกพืชได หลากหลายกลุม ขึ้นอยูวาจะใชประโยชนดานใดเปนเกณฑ เชน 1) พืชที่ใชทํายา เชน ขิง ขา ตะไคร มะกรูด มะนาว กระเทียม ฯลฯ 2) พืชที่ใชทําของใช เชน สัก รัง ไผ มะพราว ตาล ฯลฯ 3) พืชที่ใชทําอาหาร เชน ผักกาด แครอต หัวไชเทา ตําลึง คะนา ฯลฯ

18

คู่มือครู

ขอสอบเนน การคิด แนว NT

ขอมูลการสํารวจลักษณะใบพืช 4 ชนิด เปนดังนี้ ชนิดของใบ

สีของใบ

ขอบใบ

ขนาดของใบ

ใบตอง

เขียว

เรียบ

ใหญ

ใบตําลึง

เขียว

หยัก

เล็ก

ใบไผ

เขียว

เรียบ

เล็ก

ใบฟกทอง

เขียว

หยัก

ใหญ

หากใชสีของใบเปนเกณฑในการจําแนกพืช จะจําแนกพืชไดเปนกี่กลุม เพราะอะไร แนวตอบ จําแนกพืชไดเปน 1 กลุม คือ กลุมของพืชที่มีใบสีเขียว เพราะจากขอมูลพืชที่กําหนดใบพืชทั้ง 4 ชนิด มีสีเขียว


กระตุน้ ความสนใจ

ส�ารวจค้นหา ส�ารวจค้ Exploreนหา

อธิบายความรู้

ขยายความเข้าใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

กระตุEngage ้นความสนใจ

กระตุน้ ความสนใจ

Engage

1. ใหนักเรียนดูภาพสัตวในหนานี้ แลวใหนักเรียน ชวยกันบอกชื่อสัตวแตละชนิด 2. ใหนักเรียนผลัดกันบอกชื่อสัตวที่ตนเองชอบ พรอมกับบอกเหตุผลประกอบ 3. ใหนักเรียนสังเกตภาพสัตวในหนานี้อีกครั้ง จากนั้นใหนักเรียนแขงขันกันตอบคําถาม เกี่ยวกับสัตว เชน • สัตวชนิดใดไมมีขา (งู ปลา) • สัตวชนิดใดมี 4 ขา (วัว ยีราฟ เสือ) • สัตวชนิดใดมีขามากกวา 4 ขา (ปู) • สัตวชนิดใดลําตัวมีเกล็ด (งู ปลา) 4. ครูเชื่อมโยงใหนักเรียนเขาใจวา การสังเกต ลักษณะตางๆ ของสัตว ทําใหสามารถนํา ลักษณะเหลานั้นมาใชเปนเกณฑในการ จําแนกสัตวได

การจัดกลุมสัตวใชลักษณะที่เหมือนกันเปนเกณฑ เชนกัน ´ÙÀÒ¾ÊÑµÇ àËÅ‹Ò¹Õé áŌǪ‹Ç¡ѹ¨Ñ´¡ÅØ‹Á â´Â㪌ÅѡɳÐÀÒ¹͡໚¹à¡³±

ส�ารวจค้นหา

¡ÅØ‹Á¢Í§ÊÑµÇ ·ÕèÁÕ¢Ò

¡ÅØ‹Á¢Í§ÊÑµÇ ·Õè äÁ‹ÁÕ¢Ò

๑๙

ขอสอบเนน การคิด แนว NT

ถาจัด มด ผีเสื้อ ยุง อยูในกลุมเดียวกัน ขอใดเปนเกณฑที่ใชในการ จําแนก ก. อาหารที่กิน ข. แหลงที่อยู ค. จํานวนขา วิเคราะหคําตอบ มด ผีเสื้อ และยุง มีขา 6 ขา เทากัน ขอ ค. เปนคําตอบที่ถูกตอง

Explore

1. ใหนักเรียนดูภาพสัตว หนา 19 แลวถาม นักเรียนวา • สัตวแตละชนิดมีลกั ษณะใดทีแ่ ตกตางกันบาง (แนวตอบ เชน สัตวบางชนิดมีขา สวนสัตว บางชนิดไมมีขา) • นักเรียนสามารถจําแนกสัตวเปนกลุมได อยางไร (แนวตอบ เชน สัตวที่มีขา ไดแก ปู วัว ยีราฟ เสือ สัตวที่ไมมีขา ไดแก งู ปลา) 2. ใหนักเรียนแบงกลุม แตละกลุมวางแผนสํารวจ สัตวในบริเวณบานหรือโรงเรียนประมาณ 4-5 ชนิด แลวสังเกตลักษณะภายนอกของสัตวที่ พบและบันทึกผล เชน - จํานวนขา - ขนปกคลุมลําตัว - สีของลําตัว - จํานวนปก 3. ใหสมาชิกในกลุมใชขอมูลลักษณะของสัตวที่ สังเกตไดมาจําแนกสัตวโดยกําหนดเกณฑเอง

เกร็ดแนะครู เชน

ในการเรียนการสอนเรื่องการจําแนกสัตว ครูอาจใชสื่อการสอนที่หลากหลาย • ตุกตาสัตวจําลอง • บัตรภาพสัตว • คลิปวิดีโอเกี่ยวกับสัตว • เว็บไซตของสวนสัตว • การไปทัศนศึกษาที่สวนสัตว ทั้งนี้เพื่อใหนักเรียนเรียนรูดวยความสนุกสนาน

คู่มือครู

19


กระตุ้นความสนใจ

ส�ารวจค้นหา

Engage

Explore

อธิบายความรู้

อธิบายความรู้

ขยายความเข้าใจ Expand าใจ ขยายความเข้

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบExplain ายความรู้

Explain

1. ใหตัวแทนแตละกลุมออกมานําเสนอผลการ จําแนกสัตวโดยบอกเกณฑของกลุมตนเองและ กลุมของสัตวที่จําแนกไดโดยครูเขียนเกณฑที่ใช ในการจําแนกสัตวของทุกกลุมลงบนกระดาน 2. ใหนักเรียนรวมกันสรุปใหไดวาเกณฑที่ใชใน การจําแนกสัตวมีหลากหลาย

ขยายความเข้าใจ

เกณฑที่ใชในการจัดกลุมสัตวมีหลายอยาง เชน ลักษณะ ภายนอก การเคลือ่ นที่ ประโยชน อาหาร ทีอ่ ยูอ าศัย เปนตน ÈÖ¡ÉÒ¡ÒèѴ¡ÅØ‹ÁÊÑµÇ ¨Ò¡ á¼¹¼Ñ§¤ÇÒÁ¤Ô´

Expand

ขา ขน ปก สีของลําตัว ลักษณะภายนอก

1. ใหนักเรียนอานขอมูลในหนานี้ จากนั้นครูเขียน ชื่อสัตว 5-10 ชื่อ บนกระดาน แลวใหนักเรียน จับคูกันจําแนกสัตวโดยใชเกณฑอื่นๆ ที่ไมใช ลักษณะภายนอก โดยจัดทําเปนผลงานสงครู 2. ใหนักเรียนทํากิจกรรมรวบยอดที่ 1.3 ขอ 3 จากแบบวัดฯ วิทยาศาสตร ป.1 ✓ แบบวัดฯ ใบงาน แบบฝกฯ ว�ทยาศาสตร ป.1 กิจกรรมรวบยอดที่ 1.3 แบบประเมินตัวช�้วัด ว 1.2 ป. 1/1

การจัดกลุมสัตว

3 สังเกตภาพสัตวที่กําหนด แลวจําแนกสัตวเปนกลุมโดยใชลักษณะภายนอกเปนเกณฑ

ฉบับ

เฉลย

เปด

ปลา

งู

แมลงปอ

เตา

อึ�งอาง

วัว

(ตัวอยาง)

คางคาว

ที่อยูอาศัย

ชาง

มีขา - ไมมีขา ครัง้ ที่ 2 ใชเกณฑ………………………………………… ชือ่ สัตวในกลุม ………………………………………………

………………………………………………………………………………….

………………………………………………………………………………….

………………………………………………………………………………….

………………………………………………………………………………….

มีปก - เปด แมลงปอ คางคาว ไมมีปก - ปลา งู เตา อึ่งอาง วัว ชาง ………………………………………………………………………………….

ประโยชน เปนอาหาร1 ใชแรงงาน เลี้ยงไว ดูเลน 2 อื่น ๆ

บนบก ในนํ้า

มีปก - ไมมีปก ครัง้ ที่ 1 ใชเกณฑ………………………………………… ชือ่ สัตวในกลุม ………………………………………………

เดิน วิ่ง กระโดด บิน เลื้อย คลาน วายนํ้า การเคลือ่ นที่

¡ŒÒº..º

มีขา

- เปด แมลงปอ เตา อึง่ อาง วัว คางคาว ชาง ไมมีขา - ปลา งู ………………………………………………………………………………….

Åͧª‹Ç¡ѹ¤Ô´ ª×èÍÊÑµÇ ã¹áµ‹ÅСÅØ‹ÁÊÔ¤ÃѺ

ตัวชี้วัด ว 1.2 ขอ 1

ไดคะแนน คะแนนเต็ม

10

เกณฑประเมินชิ้นงาน

ขอ 1 การบันทึกขอมูล (2 ขอ ขอละ 5 คะแนน) • บอกชื่อภาพถูกตอง • บอกประเภทภาพถูกตอง • บอกลักษณะภายนอกไดถูกตอง 3 ลักษณะขึ้นไป

1 คะแนน 1 คะแนน 3 คะแนน

ขอ 2 - 3 การจําแนกขอมูล (2 ครั้ง ครั้งละ 5 คะแนน)

20

• บอกเกณฑที่ใชในการจําแนกไดถูกตอง • จัดกลุมขอมูลไดถูกตองครบถวน

2 คะแนน 3 คะแนน

นักเรียนควรรู 1 ใชแรงงาน สัตวทถี่ กู นํามาใชแรงงาน เชน • ชาง ใชชักลากซุง เปนพาหนะ • มา ใชลากรถ เปนพาหนะ • วัว ใชเทียมเกวียน • ควาย ใชไถนา • ลิง ใชเก็บมะพราว 2 อื่นๆ ประโยชนของสัตวในดานอื่นๆ เชน • พิษงู ใชผลิตเซรุม • กระตาย หนู ใชในการคนควา ทดลอง • สุนัข ใชฝกในงานดานตางๆ เชน กูภัย คนหายาเสพติด นําทางคนตาบอด

20

คู่มือครู

๒๐

ขอสอบเนน การคิด แนว NT ปอจัดกลุมสัตวไดดังนี้ กลุมที่ 1 สิงโต กวาง ลิง

กลุมที่ 2 กุง วาฬ โลมา

ปอใชเกณฑใดในการจําแนกสัตวออกเปน 2 กลุม ก. ชนิดของอาหาร ข. แหลงที่อยู ค. การสืบพันธุ วิเคราะหคําตอบ สิงโต กวาง ลิง อาศัยอยูบนบก สวนกุง วาฬ โลมา อาศัยอยูในนํ้า ดังนั้น ขอ ข. จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง


กระตุ้นความสนใจ

ส�ารวจค้นหา

อธิบายความรู้

Engage

Explore

Explain

ขยายความเข้าใจ

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

Expand าใจ ขยายความเข้

Evaluate ตรวจสอบผล

ขยายความเข้าใจ

1. ใหนักเรียนรวมกันพูดสรุปเกณฑการจําแนก พืชและสัตว 2. ใหนักเรียนตอบคําถามจากกิจกรรมตอนที่ 2 หนา 21 ลงในสมุด

Ãٌࡳ± ¡ÒèíÒṡ¾×ªáÅÐÊÑµÇ ¡Ñ¹áÅŒÇ ÁÒÊíÒÃǨáÅШíÒṡ¾×ªáÅÐÊÑµÇ ÃͺµÑǡѹ´Õ¡Ç‹Ò¤ÃѺ (ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้)

กิจกรรมหนูนอ ยนักสํารวจ

กิจกรรมที่ ๒ จําแนกพืชและสัตวโดย ใชลักษณะภายนอก

อุปกรณ วิธีทํา

๑. สมุด ๑ เลม ๒. ดินสอ ๑ แทง ๑. แบงกลุม ใหแตละกลุมสํารวจ พืชและสัตว บริเวณบานหรือโรงเรียน ๒. จดบันทึกชื่อพืชและสัตวทพี่ บ ๓. สังเกตลักษณะภายนอกของ พืชและสัตว และบันทึกขอมูล ๔. จําแนกกลุมพืชและกลุมสัตวโดยใช ลักษณะภายนอกเปนเกณฑ

กิจกรรมรวบยอด

Expand

µÑÇÍ‹ҧµÒÃÒ§ºÑ¹·Ö¡

ตรวจสอบผล

พืช สัตว ลั ก ษณะ กษณะ ชนิด ภายนอก ชนิด ลัภายนอก

1. ครูประเมินทักษะการจําแนกของนักเรียน เปนรายบุคคลโดยพิจารณาจากผลงาน 2. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมรวบยอดที่ 1.3 ขอ 3 จากแบบวัดฯ วิทยาศาสตร ป.1 3. ครูตรวจสอบวานักเรียนสามารถสรุปเกณฑ การจําแนกพืชและสัตวไดถูกตองหรือไม 4. ครูตรวจสอบวานักเรียนสามารถตอบคําถาม ไดถูกตองหรือไม

การจําแนกพืช เกณฑที่ใช ……………………………………………………… กลุมพืชที่จําแนก ………………………………………. ………………………………………………………………………………….

การจําแนกสัตว เกณฑที่ใช ……………………………………………………… กลุมสัตวที่จําแนก …………………………………….. ………………………………………………………………………………….

(ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้)

ตอนที่ ๑ แนวคิดสําคัญ ชวยกันสรุป ครูใหนักเรียนชวยกันพูดสรุปหลักเกณฑที่ใชในการจําแนกพืช และ จําแนกสัตวเปนกลุม (โดยเนนที่ลักษณะภายนอก) จากนั้นใหเขียนลงในสมุด ตอนที่ ๒ ฝกคิด พิชิตคําถาม เขียนตอบคําถามตอไปนี้ลงในสมุด ๑) การจําแนกกลุมพืชและสัตว มีหลักในการจําแนกอยางไร ๒) ยกตัวอยางการจําแนกกลุมพืชและกลุมสัตว พรอมทั้งบอก เกณฑที่ใชในการจําแนก

Evaluate

หลักฐานแสดงผลการเรียนรู 1. ใบบันทึกผลกิจกรรมหนูนอยนักสํารวจ 2. ผลการจําแนกพืชและสัตวโดยใชลักษณะ ภายนอกเปนเกณฑ 3. กิจกรรมรวบยอดที่ 1.3 ขอ 3 จากแบบวัดฯ วิทยาศาสตร ป.1

๒๑

บูรณาการอาเซียน ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา ประเทศสมาชิกอาเซียนแตละประเทศมีสัตวประจําชาติ ดังนี้ ประเทศ

สัตวประจําชาติ

1. บรูไน

เสือโครง

2. กัมพูชา

กูปรี

3. อินโดนีเซีย

มังกรโคโมโด

4. ลาว

ชาง

5. มาเลเซีย

เสือโครง

6. พมา

เสือโครง

7. ฟลิปปนส

ควาย

8. สิงคโปร

นกกินปลีสีแดงสด

9. ไทย

ชาง

10. เวียดนาม

มังกรโคโมโด

กูปรี

เสือโครง

คู่มือครู

21


กระตุน้ ความสนใจ กระตุEngage ้นความสนใจ

ส�ารวจค้นหา

อธิบายความรู้

ขยายความเข้าใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

เปาหมายการเรียนรู

สํารวจ ทดลอง และอธิบายองคประกอบและ สมบัติทางกายภาพของดินในทองถิ่น (ว 6.1 ป. 1/1)

ô

สมรรถนะของผูเรียน

แนวคิดสําคัญ

1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแกปญ  หา

ดินเปนสิ่งแวดลอมทางธรรมชาติที่ประกอบดวยเศษหิน ซากพืช ซากสัตว โดยมีนํ้าและอากาศ แทรกอยูในชองวางของเม็ดดิน ดินในแตละทองถิ่นมีสมบัติทางกายภาพแตกตางกันในดานสี เม็ดดิน และการจับตัวของดิน

คุณลักษณะอันพึงประสงค

กิจกรรมนําสูการเรียน

1. ใฝเรียนรู 2. มุงมั่นในการทํางาน

กระตุน้ ความสนใจ

´Ô¹ã¹·ŒÍ§¶Ôè¹

º··Õè

Engage

1. ครูนาํ ตัวอยางดิน หิน และทราย มาใหนกั เรียนดู แลวใหบอกวา สิ่งที่ครูนํามาใหดูสิ่งไหน คือดิน 2. ใหนักเรียนสังเกต ดิน หิน และทรายอีกครั้ง และตอบคําถามตอไปนี้ • ดินมีลักษณะอยางไร (ตอบ มีลักษณะแตกตางกันขึ้นอยูกับชนิดของ ดิน เชน ดินเหนียวมีสีดํา และมีเม็ดดินขนาด เล็ก เนื้อเหนียว เปนตน) • ดินมีลกั ษณะแตกตางจากหินและทรายอยางไร (ตอบ ดินมีเนือ้ นิม่ กวาหิน เนือ้ ดินไมยดึ เกาะกัน เปนกอนแข็งเหมือนหิน และเนื้อดินไมรวน เปนเม็ดเหมือนกับทราย) 3. ครูสนทนากับนักเรียนวา ทําไมเราจึงตองเรียนรู เกี่ยวกับเรื่องดิน จากนั้นใหนักเรียนรวมกัน แสดงความคิดเห็นตามความเขาใจของนักเรียน

๑. จากภาพ ภาพใดคือภาพดิน ๒. ดินมีลักษณะอยางไร ๓. นักเรียนคิดวา ดินมีลักษณะแตกตางจากหิน และทรายอยางไร ๒๒

เกร็ดแนะครู ครูจัดกระบวนการเรียนรูโดยการใหนักเรียนปฏิบัติ ดังนี้ • สํารวจ สังเกตลักษณะดิน • ทดลองเรื่ององคประกอบและสมบัติทางกายภาพของดิน • อภิปรายผลการทดลอง และลงขอสรุป • เปรียบเทียบสมบัติของดินจากแหลงตางๆ จนเกิดเปนความรูความเขาใจวา ดินประกอบดวยเศษหิน ซากพืช ซากสัตว นํ้า และอากาศ ดินในแตละบริเวณจะมีสมบัติแตกตางกันทั้งสี เม็ดดิน และการ จับตัวของดิน

22

คู่มือครู


กระตุน้ ความสนใจ

ส�ารวจค้นหา ส�ารวจค้ Exploreนหา

อธิบายความรู้

ขยายความเข้าใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

กระตุEngage ้นความสนใจ

กระตุน้ ความสนใจ

๑. องคประกอบของดิน ดินเปนสิง่ แวดลอมทางธรรมชาติทมี่ คี วามสําคัญตอการดํารง ชีวิตของพืชและสัตว ในดินประกอบดวยอะไรบาง ศึกษาไดจากกิจกรรมตอไปนี้ กิจกรรมหนูนอยนักทดลอง

(ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้)

กิจกรรมที่ ๑ องคประกอบของดิน

อุปกรณ

๑. กอนดิน ๓ กอน (ครูเตรียม)

วิธีทํา

๓. จาน ๒ ใบ ๔. แกวใส ๓ ใบ ๕. ไมจิ้ม ๑ อัน แบงกลุมนักเรียน กลุมละ ๔ คน ปฏิบัติกิจกรรม ดังนี้

(ตอ ๑ กลุม) ๒. แวนขยาย ๑ อัน

Engage

1. ครูพานักเรียนไปบริเวณลานดินรอบๆ โรงเรียน เชน แปลงเกษตร สนาม แลวถาม นักเรียนวา • นักเรียนคิดวา ดินมีความเกี่ยวของกับการ ดํารงชีวิตของคนเราหรือไม เพราะอะไร (แนวตอบ เกี่ยวของ เพราะคนเราตองใช ประโยชนจากดิน เชน เปนแหลงเพาะปลูก พืช เลี้ยงสัตว เปนแหลงปลูกสรางบานเรือน เปนตน) 2. ใหนกั เรียนสังเกตดินในบริเวณทีค่ รูพาไปดู แลวรวมกันแสดงความคิดเห็นวาดินมี สวนประกอบอะไรบาง

ส�ารวจค้นหา

Explore

1. ใหนักเรียนแบงกลุม แลวใหแตละกลุมศึกษา ขอมูลกิจกรรมที่ 1 หนา 23 โดยครูชวยชี้แนะ และอธิบายเพิ่มเติมในสิ่งที่นักเรียนสงสัยหรือ ไมเขาใจ 2. ใหนักเรียนชวยกันตั้งคําถามเกี่ยวกับกิจกรรม ที่ 1 (กําหนดปญหา) ซึ่งควรจะไดวา • ในดินประกอบดวยอะไรบาง จากนั้นใหนักเรียนชวยกันคิดคําตอบลวงหนา กอนทําการทดลอง (ตั้งสมมติฐาน) 3. ใหแตละกลุมทําการทดลองตามขั้นตอนใน หนา 23 (ตรวสอบสมมติฐาน) 4. สมาชิกในกลุมบันทึกผลการทดลอง จากนั้น รวมกันอภิปรายเพื่อสรุปผล (วิเคราะหผล และสรุปผล)

ตอนที่ ๑ ๑. ใหนําดินกอนที่ ๑ ใสจาน แลวใชไมเขี่ยดิน ๒. สังเกตสิ่งที่อยูในดิน โดยใชแวนขยายสองดู ๓. บันทึกสิ่งที่เห็นลงในสมุด ตอนที่ ๒ ๑. ใสนํ้าในแกวประมาณครึ่งแกว ๒. นําดินกอนที่ ๒ ใสลงในแกวนํ้า ๓. สังเกตขณะที่ดินจมนํ้า วาเห็นอะไรบาง ๔. บันทึกสิ่งที่เห็นลงในสมุด ตอนที่ ๓ ๑. นําดินกอนที่ ๓ ใสในจานอีกใบ ๒. นําแกวเปลามาควํ่าครอบกอนดินไว ๓. นําจานไปตั้งไวกลางแดดประมาณ ๓๐ นาที ๔. สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นภายในแกว ๕. บันทึกสิ่งที่เห็นลงในสมุด ๒๓

ขอสอบเนน การคิด แนว NT

ทดลองนํา ดิน 1 กอน วางบนจาน แลวนําแกวใสครอบกอนดินไว ตั้งไว กลางแดดประมาณ 30 นาที จากการทดลองนี้ สิ่งที่ตองสังเกตคืออะไร ก. การเปลี่ยนแปลงของจาน ข. การเปลี่ยนแปลงของแกว ค. การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในแกว วิเคราะหคําตอบ จากการทดลองตองการทราบวา ในดินมีนํ้าเปน สวนประกอบหรือไม จึงตองสังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในแกว เพราะถาดินมีนํ้าเปนสวนประกอบ เมื่อไดรับความรอนจากแสงแดด นํ้าก็จะ ระเหยออกออกมาเกาะอยูขางแกว ดังนั้น ขอ ค. เปนคําตอบที่ถูกตอง

เกร็ดแนะครู ในการทํากิจกรรมสํารวจตรวจสอบหรือการทดลองใหครูอธิบายใหนักเรียน เขาใจวา • ทําไมจึงตองทดลอง • ระหวางทดลองจะตองทําอะไร • สังเกตอะไร อยางไร • สรุปผลอยางไร

คู่มือครู

23


กระตุ้นความสนใจ

ส�ารวจค้นหา

Engage

Explore

อธิบายความรู้

อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้

ขยายความเข้าใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

Explain

1. ใหตัวแทนแตละกลุมออกมานําเสนอผล การทดลอง 2. ใหนกั เรียนนําผลการทดลองมาอภิปรายรวมกัน เพือ่ ใหไดขอ สรุปวา ดินประกอบดวยหิน ซากพืช ซากสัตว นํ้า และอากาศ 3. ครูตั้งประเด็นใหนักเรียนรวมกันอภิปรายวา • เพราะอะไร ในดินจึงมีนํ้าและอากาศ เปนองคประกอบ (แนวตอบ เพราะระหวางเม็ดดินมีชองวาง ทําใหสามารถกักเก็บนํ้า และอากาศได เมื่อ นํ้าไหลแทรกซึมลงในดิน นํ้าจะขังอยูตาม ชองวางระหวางเม็ดดิน สวนอากาศจะแทรก อยูในชองวางระหวางเม็ดดินในสวนที่ไมมีนํ้า)

จากการทดลองพบวา ในดินประกอบดวยเม็ดดิน เม็ดทราย เศษใบไมแหง ดินบางแหงอาจมีซากสัตวปะปนอยูดวย เพราะ ดินเปนที่อยูของสัตวหลายชนิด นอกจากนี้ในดินยังมีนํ้าประกอบ อยู เพราะนํา้ ฝนทีต่ กลงมา จะไหลผานดินชัน้ บนไปสูด นิ ชัน้ ลาง และเนื่องจากในดินมีชองวาง ทําใหมีอากาศแทรกอยูในดินดวย แผนภูมิแสดงองคประกอบของดิน 1 เศษหิน ซากพืช ซากสัตว ดิน อากาศ นํ้า

๒. สมบัติทางกายภาพของดิน สมบัตทิ างกายภาพ หมายถึง ลักษณะทีเ่ ราสังเกตเห็นไดหรือ จับตองได ดินทีพ่ บเห็นอยูท วั่ ไปอาจมีสมบัตทิ างกายภาพเหมือน กันหรือแตกตางกัน เนื่องจากบริเวณตาง ๆ ในทองถิ่นมีลักษณะ แตกตางกัน à¾×è͹ æ Åͧª‹Ç¡ѹÊíÒÃǨ

µÃǨÊͺÊÁºÑµÔ¢Í§´Ô¹ã¹ºÃÔàdz ªØÁª¹¢Í§µ¹àͧ¡Ñ¹à¶ÍФÃѺ

(ดูเฉลยกิจกรรมที่สอนเสริมดานหนาของเลมนี้)

กิจกรรมหนูนอ ยนักสํารวจ

กิจกรรมที่ ๒ ตรวจสอบสมบัติของดิน

อุปกรณ

๑. กอนดินจากบริเวณตาง ๆ ในชุมชน ประมาณ ๓-๔ แหง

(ตอ ๑ กลุม) ๒. แวนขยาย ๑ อัน

วิธีทํา

๑. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ ๓-๔ คน แลวใหแตละกลุมสังเกต สีของดินในแตละแหง ๒. ใหใชแวนขยายสองดูเนื้อดิน และใชมือสัมผัสเนื้อดิน ๓. บันทึกผลการทํากิจกรรมลงในสมุด

๒๔

เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจวา ดินเปนทรัพยากรธรรมชาติที่เกิดจากการ สลายตัวของหินและแรธาตุตางๆ รวมกับซากพืชซากสัตวที่เนาเปอยผุพัง และมีนํ้า และอากาศเขาไปแทรกอยูในชองวางระหวางเม็ดดิน กระบวนการเกิดดินใชเวลานานหลายลานป ดังนัน้ ดินจึงเปนทรัพยากรธรรมชาติที่ มีคณ ุ คา ซึง่ เราควรชวยกันดูแลรักษาใหอยูใ นสภาพทีอ่ ดุ มสมบูรณ เพือ่ การใชประโยชน ที่ยั่งยืน

นักเรียนควรรู 1 ซากพืช ซากสัตว จะถูกจุลินทรียในดินยอยสลายจนเนาเปอยผุพัง กลายเปนสารคลายวุนสีดํา มีลักษณะหยุน เรียกวา ฮิวมัส

24

คู่มือครู

ขอสอบเนน การคิด แนว NT ดินชนิดที่ 1 • เมื่อสัมผัสแลวรูสึก สากมือ • เนื้อดินไมยึดเกาะกัน

ดินชนิดที่ 2

ดินชนิดที่ 3

• เมื่อสัมผัสแลวรูสึกนุมมือ • เมื่อสัมผัสแลว เหนียวเหนอะ ติดมือ • เนื้อดินจับกันเปนกอน • เนื้อดินจับกันเปนกอน ไมแตกจากกัน คลึงเปนเสนยาวได

หากเทนํ้าปริมาณเทากันลงในดินทั้ง 3 ชนิด นํ้าจะซึมผานดินชนิดใด ไดเร็วที่สุด ก. ชนิดที่ 1 ข. ชนิดที่ 2 ค. ชนิดที่ 3 วิเคราะหคําตอบ ดินชนิดที่ 1 เนื้อดินไมยึดเกาะกัน ทําใหมีชองวาง ระหวางเม็ดดินมาก ทําใหมีการระบายนํ้าไดดี นํ้าจึงสามารถซึมผานดิน ชนิดนี้ไดเร็วที่สุด ขอ ก เปนคําตอบที่ถูกตอง


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explore

Explain

Expand

Evaluate

สํารวจค Exploreนหา

Engage

สํารวจคนหา

จากการทํากิจกรรมที่ ๒ ทําใหเราสามารถบอกสมบัติทาง กายภาพของดินได ดังนี้ ๑. สี ดินแตละแหงมีสีแตกตางกัน เนื่องจากมีสิ่งเจือปน ตางกัน ดินบางแหงมีสีดํา บางแหงมีสีนํ้าตาลแดง บางแหง มีสีนํ้าตาลเขม เปนตน ๒. เนือ้ ดิน ดินบางแหงมีเนื้อดินหยาบ เม็ดดินมีขนาดใหญ ดินบางแหงมีเนือ้ ดินละเอียด เม็ดดินมีขนาดเล็กจนเรามองดวย ตาเปลาไมเห็น เปนตน ๓. การอุม นํา้ ของดิน หมายถึง ความสามารถในการเก็บกัก นํ้าของดิน ดินบางแหงเก็บกักนํ้าไดดี เรียกวา ดินอุมนํ้า แต ดินบางแหงเก็บกักนํ้าไดไมดี เรียกวา ดินไมอุมนํ้า ๔. การจับตัวของดิน เปนสมบัติอยางหนึ่งของดิน ดินที่มี เนื้อละเอียด จะจับตัวเปนกอน ทําใหมีความเหนียว จึงนําดินมา ปนเปนสิ่งตาง ๆ ได สวนดินที่มีเนื้อหยาบ เม็ดดินมีขนาดใหญ ทําใหมชี อ งวางระหวางเม็ดดินมาก จึงไมจบั ตัวกันเปนกอน ไม สามารถนํามาปนเปนสิ่งตาง ๆ ได

1

ดินเหนียวมีเนื้อดินละเอียดจับตัวกันแนน นิยมนํามาปนเปนภาชนะตาง ๆ

๒๕

สมบัติของดินทั้ง 3 ชนิด เปนดังนี้ ดินชนิดที่ 1 • เมื่อสัมผัสแลวรูสึก สากมือ • เนื้อดินไมยึดเกาะกัน

ขอสอบเนน การคิด แนว NT

ดินชนิดที่ 2

ดินชนิดที่ 3

• เมื่อสัมผัสแลวรูสึกนุมมือ • เมื่อสัมผัสแลว เหนียวเหนอะ ติดมือ • เนื้อดินจับกันเปนกอน • เนื้อดินจับกันเปนกอน ไมแตกจากกัน คลึงเปนเสนยาวได

Explore

1. ครูเตรียมดินจากบริเวณตางๆ 2-4 แหง มาให นักเรียนสังเกต แลวใหนักเรียนชวยกันบอกวา ดินที่สังเกตมีลักษณะอยางไรบาง 2. ใหนักเรียนแตละกลุมศึกษาขอมูลกิจกรรมที่ 2 หนา 24 และใหชวยกันตั้งคําถามเกี่ยวกับ กิจกรรม ซึ่งควรจะไดวา • ดินมีสมบัติทางกายภาพอยางไร จากนั้นใหนักเรียนชวยกันคิดคําตอบลวงหนา กอนทํากิจกรรม 3. ใหแตละกลุมทํากิจกรรมและบันทึกผล แลวรวมกันอภิปรายภายในกลุมเพื่อสรุปผล

อธิบายความรู

Explain

1. ใหตัวแทนแตละกลุมออกมานําเสนอผลการทํา กิจกรรม 2. ครูถามนักเรียนวา • จากกิจกรรม นักเรียนสามารถบอกสมบัติ อะไรของดินไดบาง (ตอบ สีของดิน และลักษณะของเนื้อดิน) 3. ใหนักเรียนอานขอมูล หนา 25 แลวตอบ คําถาม • ดินที่อุมนํ้าไดดี จัดเปนดินที่ระบายนํ้าไดดี หรือไม เพราะอะไร (แนวตอบ ระบายนํ้าไดไมดี เพราะเนื้อดินจะ เก็บกักนํ้าไวตามชองวางของเม็ดดิน ทําให ระบายนํ้าไดไมดี) • การจับตัวของเนื้อดินเกี่ยวของกับการอุมนํ้า ของดินหรือไม อยางไร (แนวตอบ เกี่ยวของ เนื่องจากดินที่จับตัวกัน ไดดีจะมีเม็ดดินเล็ก เนื้อละเอียด ทําใหอุมนํ้า ไดดดี ว ย สวนดินทีไ่ มจบั ตัวกัน จะมีเม็ด ดินใหญ และมีชองวางระหวางเม็ดดินมาก ทําใหนํ้าไหลผานไดงาย จึงไมอุมนํ้า) 4. ใหนักเรียนรวมกันสรุปความรูเรื่องสมบัติทาง กายภาพของดินวามีอะไรบาง

นักเรียนควรรู 1 ดินเหนียว เปนดินที่ใชทําเครื่องปนดินเผา เชน กระถาง หมอดิน โอง แจกัน เปนตน เมื่อนําดินเหนียวที่ปนแลวไปเขาเตาเผา แรบางชนิดในดินจะแปรสภาพ และยึดดินไวดวยกัน สีของดินเหนียวที่ถูกเผาก็จะเปลี่ยนแปลงไปดวย แหลงดินเหนียวที่ใชผลิตเครื่องปนดินเผา เชน ปทุมธานี นนทบุรี ราชบุรี นครราชสีมา เปนตน

หากจะนําไปปนเปนภาชนะ ดินชนิดใดเหมาะสมที่สุด ก. ชนิดที่ 1 ข. ชนิดที่ 2 ค. ชนิดที่ 3 วิเคราะหคําตอบ ดินที่จะนํามาปนเปนรูปทรงตางๆ ได จะตองมีความ เหนียว ซึ่งจากขอมูลที่กําหนด ดินชนิดที่ 3 เนื้อดินจับกันเปนกอน คลึงเปน เสนยาวได แสดงวาดินมีความเหนียว ดังนั้น ขอ ค. เปนคําตอบที่ถูกตอง คูมือครู

25


กระตุ้นความสนใจ

ส�ารวจค้นหา

อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้

ขยายความเข้าใจ

ตรวจสอบผล

Explore

Explain

Expand

Evaluate

Engage

ส�ารวจค้นหา

Exploreนหา ส�ารวจค้

Explore

1. ครูสนทนาซักถามนักเรียนวา ถาอยากทราบวา ดินแตละชนิดอุมนํ้าไดดีหรือไม ควรทําอยางไร 2. ใหนักเรียนแตละกลุมศึกษาขอมูลกิจกรรมที่ 3 หนา 26 โดยครูชวยชี้แนะและอธิบายเพิ่มเติม ในสิ่งที่นักเรียนไมเขาใจหรือมีขอสงสัย 3. ใหนกั เรียนชวยกันตัง้ คําถามเกีย่ วกับกิจกรรมที่ 3 ซึ่งควรจะไดวา • ดินแตละชนิดมีการอุมนํ้าไดแตกตางกัน หรือไม จากนัน้ ใหนกั เรียนชวยกันคิดหาคําตอบลวงหนา กอนทําการทดลอง 4. ใหแตละกลุม ทําการทดลองตามขัน้ ตอนในหนานี้ 5. สมาชิกในกลุมบันทึกผลการทดลองและรวมกัน อภิปรายเพื่อสรุปผล

อธิบายความรู้

Explain

1. ใหตัวแทนแตละกลุมออกมานําเสนอผล การทดลอง 2. ครูถามนักเรียนวา • ดินจะอุมนํ้าไดมากหรือนอย ขึ้นอยูกับอะไร (แนวตอบ ขึ้นอยูกับเนื้อดิน ดินที่มีเนื้อละเอียด จะอุม นํา้ ไดมาก สวนดินทีม่ เี นือ้ หยาบจะอุม นํา้ ไดนอย) • เพราะเหตุใด ดินที่มีเนื้อละเอียดจึงอุมนํ้า ไดมาก (แนวตอบ เพราะดินที่มีเนื้อละเอียด เนื้อดิน จับตัวกันแนน ทําใหมีชองวางระหวางเม็ดดิน นอย นํ้าจึงแทรกซึมผานไปไดนอย ทําใหเก็บ กักนํ้าไวไดมาก) 3. ใหนักเรียนรวมกันสรุปใหไดวา ดินชนิดที่ 1 (เนื้อหยาบ) นํ้าผานไดเร็วที่สุด ดินชนิดที่ 2 (เนือ้ ละเอียดปานกลาง) นํา้ ผานไดเร็วปานกลาง ดินชนิดที่ 3 (เนื้อละเอียด) นํ้าผานไดชาที่สุด

เกร็ดแนะครู จากการทํากิจกรรมที่ 3 ครูใหนักเรียนชวยกันบอกวา • ในการทดลองนี้ สิ่งที่ตองจัดใหแตกตางกันคืออะไร (ตอบ ชนิดของดิน) • ในการทดลองนี้ สิ่งที่ตองติดตามดูคืออะไร (ตอบ ปริมาณนํ้าที่ไหลผานดินแตละชนิด)

26

คู่มือครู

กิจกรรมหนูนอ ยนักทดลอง

(ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้)

กิจกรรมที่ ๓ การอุมนํ้าของดิน

อุปกรณ

๑. ดิน ๓ ชนิด (เนื้อหยาบ เนื้อละเอียด และเนื้อปานกลาง) (ตอ ๑ กลุม) ๒. แวนขยาย ๑ อัน ๔. กระปองเจาะรู ๓ ใบ ๓. นํ้า ๓ แกว ๕. แกวเปลา ๓ ใบ วิธีทํา ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ ๔-๕ คน ปฏิบัติกิจกรรม ดังนี้ ๑. ใหแตละกลุมใชแวนขยายสองดูเนื้อดินและใชมือสัมผัสเนื้อดิน ๒. นําดินทั้ง ๓ ชนิด แยกใสกระปอง กระปองละ ๑ ชนิด ในปริมาณ ที่เทากัน ๓. นําแกวมารองไวใตกระปองทั้ง ๓ ใบ จากนั้นตักนํ้าเทใสกระปองที่มีดิน กระปองละ ๑ แกว โดยเทนํ้าลงชา ๆ ๔. สังเกตปริมาณนํ้าที่ไหลออกมาจากทั้ง ๓ กระปอง ในเวลาที่เทากัน และบันทึกผล ¨Ò¡¼Å¡Ò÷íÒ¡Ô¨¡ÃÃÁ·íÒãËŒ ¹Ñ¡àÃÕ¹·ÃÒºÇ‹Ò ´Ô¹·ÕèÁÕÅѡɳÐà¹×éÍ´Ô¹ ᵡµ‹Ò§¡Ñ¹ ·íÒãËŒ´Ô¹ÍØŒÁ¹íéÒä´Œ ᵡµ‹Ò§¡Ñ¹

ผลการทดลอง สิ่งที่สังเกต ดินชนิดที่ ๑ ดินชนิดที่ ๒ ดินชนิดที่ ๓

๑. ลักษณะ ของเนื้อดิน ๒. ปริมาณ นํ้าที่ไหล ออกจาก กระปอง ๒๖

ขอสอบเนน การคิด แนว NT

ถาตองการทราบวา ดินมีความเหนียวหรือไม ควรตรวจสอบดวยวิธีการใด แนวตอบ ตรวจสอบดวยการนําดินมาปนเปนกอนหรือคลึงเปนเสนยาว เพราะดินที่มีความเหนียว เนื้อดินจะจับตัวกัน ทําใหนํามาปนเปนกอน หรือคลึงเปนเสนยาวได


กระตุ้นความสนใจ

ส�ารวจค้นหา

อธิบายความรู้

Engage

Explore

Explain

ขยายความเข้าใจ Expand าใจ ขยายความเข้

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

ขยายความเข้าใจ

จากการทดลองเรือ่ งการอุม นํา้ ของดินทีม่ ลี กั ษณะของเนือ้ ดิน แตกตางกัน ทําใหนกั เรียนทราบวา ลักษณะของเนือ้ ดินมีผลตอ การดูดซับนํ้าหรือการอุมนํ้าของดิน เนื้อดินเปนสมบัติทางกายภาพของดินที่มีผลตอการเจริญ เติบโตของพืช เพราะพืชแตละชนิดชอบดินที่มีเนื้อดินตางกัน ดินที่มีเนือ้ ดินหยาบ จะมีชองวางระหวาง เม็ดดินกวาง เนื้อดินไมจับตัวกัน ทําให นํ้าซึมผานไปไดเร็ว จึงอุมนํ้าไดนอย

Expand

1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายความสัมพันธ ระหวางเนื้อดินกับการอุมนํ้าของดินและการ จับตัวของดิน จากนั้นสรุปผลการอภิปราย (แนวตอบ ดินที่มีเนื้อหยาบจะมีชองวางระหวาง เม็ดดินมาก และเนื้อดินไมจับตัวกัน นํ้าจึงซึม ผานไดงาย ทําใหดินไมอุมนํ้า สวนเนื้อดินที่มีเนื้อละเอียดจะมีชองวาง ระหวางเม็ดดินนอย และดินจับตัวกันแนน นํ้าจึงซึมผานไดยาก ทําใหดินอุมนํ้าไดดี) 2. ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันศึกษาขอมูลใน หนา 27 และนําขอมูลไปเปรียบเทียบกับดินที่ นํามาทดลอง เพื่อลงความเห็นวาดินชนิดที่ 1-3 เปนดินชนิดใดระหวางดินรวน ดินเหนียว และดินทราย

ดินที่มีเนือ้ ดินละเอียด มีชองวางระหวาง เม็ ด ดิ น เล็ ก มาก เนื้ อ ดิ น จั บ ตั ว กั น แน น ทําใหนํ้าซึมผานไปไดชา จึงอุมนํ้าไดมาก ดินที่มีเนือ้ ปานกลาง จะมีเนื้อหยาบ และ เนือ้ ละเอียดผสมอยูเ ทา ๆ กัน ทําใหเนือ้ ดิน โปรง ชองวางระหวางเม็ดดินจึงไมเล็กและ ไมใหญเกินไป ทําใหนํ้าซึมผานไดพอควร จึงอุมนํ้าไดปานกลาง ๒๗

กิจกรรมสรางเสริม ใหนักเรียนหาดินจากบริเวณใดบริเวณหนึ่งมาใสกลองพลาสติกใสที่มี ฝาเปด จากนั้นสังเกตลักษณะของดินตามที่ไดเรียนมา แลวบันทึกขอมูล และนํามาติดกับกลองใสดิน

เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจวา พืชแตละชนิดมีการเจริญเติบโตในดินที่มี สมบัติแตกตางกัน เชน ขาวเปนพืชที่ชอบนํ้า ดังนั้นดินที่เหมาะสมกับการปลูกขาว จึงควรเปนดินในพื้นที่ลุม เนื้อดินมีความเหนียว มีการระบายนํ้าไดไมดี ซึ่งจะชวย ขังนํ้าไวในนาขาวได แตถาตองการปลูกพืชไร หรือไมผล ดินที่ใชปลูกควรเปนดินลึก มีหนาดินหนา เนื้อดินเปนพวกดินรวน มีการระบายนํ้าไดดี มีความอุดมสมบูรณ เพื่อใหรากพืช สามารถชอนไชลงไปในดินไดลึกและยึดเกาะดินไวเพื่อใหลําตนสามารถตานทาน แรงลมไดดี

คู่มือครู

27


กระตุ้นความสนใจ

ส�ารวจค้นหา

อธิบายความรู้

Engage

Explore

Explain

ขยายความเข้าใจ

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

Expand าใจ ขยายความเข้

Evaluate ตรวจสอบผล

Expand

1. ใหนักเรียนชวยกันพูดสรุปองคประกอบและ สมบัติทางกายภาพของดิน 2. ใหนักเรียนเขียนแผนผังความคิดแสดง องคประกอบของดิน 3. ใหนักเรียนดูภาพดินในกิจกรรม ตอนที่ 2 หนา 28 และเขียนเปรียบเทียบสมบัติทาง กายภาพของดิน 4. ใหนักเรียนตอบคําถามจากกิจกรรมตอนที่ 3 หนา 28 ลงในสมุด

ตรวจสอบผล

ขยายความเข้าใจ

Evaluate

1. ครูตรวจสอบวานักเรียนสรุปองคประกอบและ สมบัติทางกายภาพของดินไดถูกตองหรือไม 2. ครูตรวจผลงานแผนผังความคิดแสดง องคประกอบของดินวาครบถวนถูกตองหรือไม 3. ครูตรวจสอบวานักเรียนเขียนเปรียบเทียบสมบัติ ทางกายภาพของดินไดถูกตองหรือไม

กิจกรรมรวบยอด

ตอนที่ ๑ แนวคิดสําคัญ ชวยกันสรุป (ดูเฉลยกิจกรรมที่สวนเสริมดานหนาของเลมนี้) ครู ใหนักเรียนในชั้นชวยกันพูดสรุปองคประกอบและสมบัติทาง กายภาพของดินตามที่ไดเรียนรูมา จากนั้นเขียนลงในสมุด ตอนที่ ๒ ลองทําดู หนูทําได ๑) ใหเขียนแผนผังความคิดแสดงองคประกอบของดินลงในสมุด ๒) ดูภาพและเขียนเปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพของดิน ลงในสมุด

หลักฐานแสดงผลการเรียนรู 1. ใบบันทึกผลกิจกรรมหนูนอยนักทดลอง และหนูนอยนักสํารวจ 2. แผนผังความคิดแสดงองคประกอบของดิน 3. การเขียนเปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพของดิน

ภาพที่ ๑

ภาพที่ ๒

ตอนที่ ๓ ฝกคิด พิชิตคําถาม เขียนตอบคําถามตอไปนี้ลงในสมุด ๑) ดินแตละแหงมีสีแตกตางกันเพราะอะไร ๒) องคประกอบใดในดินที่มีผลตอการเจริญเติบโตของพืช ๓) ดินที่อุมนํ้าไดดี เนื้อดินมีลักษณะอยางไร ๔) ดินลักษณะใดที่มีนํ้าไหลผานไดงาย ๕) ในดินมีอากาศหรือไม ทราบไดอยางไร ๒๘

เกร็ดแนะครู เมื่อเรียบจบหนวยนี้แลว ครูใหนักเรียนชวยกันสรุปความรูทั้งหมดที่ไดจากหนวย การเรียนรูนี้ โดยครูใชเทคนิคการเขียนแผนผังความคิดเปนเครื่องมือในการให นักเรียนไดระดมสมองในการสรุปบทเรียน โดยใหนักเรียนผลัดกันออกมาเขียนสิ่งที่ ตนเองรูในรูปแผนผังความคิด

28

คู่มือครู

ขอสอบเนน การคิด แนว NT

ถาในดินมีซากพืชซากสัตวอยูมาก จะเกิดผลดีหรือผลเสียตอดินอยางไร แนวตอบ จะเกิดผลดีตอดิน เพราะซากพืชซากสัตวจะเนาเปอยผุพัง และกลายเปนฮิวมัส ซึ่งจะทําใหดินมีความอุดมสมบูรณเหมาะแกการ เพาะปลูกพืช


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.