คูมือครู 㪌»ÃСͺ¡ÒÃÊ͹ËÇÁ¡Ñº
˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ©ºÑº ÍÞ.
ภาพปกนี้มีขนาดเทากับหนังสือเรียนฉบับจริงของนักเรียน
กระบวนการสอนแบบ 5 Es ชวยสรางทักษะการเรียนรู กิจกรรมมุงพัฒนาทักษะการคิด คำถาม + แนวขอสอบเพื่อยกผลสัมฤทธิ์ O - NET กิจกรรมบูรณาการเตรียมพรอมสู ASEAN 2558
เอกสารประกอบคูมือครู
กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร
วิทยาศาสตร เลม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปที่
1
สําหรับครู
คูมือครู Version ใหม
ลักษณะเดน
ขยายพื้นที่รูปเลมใหญขึ้นกวาเดิม จัดแบงพื้นที่ออกเปนโซน เพื่อคนหาขอมูลไดงาย สะดวก รวดเร็ว และดูเปนระเบียบ กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล
กระตุน ความสนใจ
Evaluate
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
เปาหมายการเรียนรู สมรรถนะของผูเรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค
หน า
โซน 1 กระตุน ความสนใจ
Engage
สํารวจคนหา
Explore
อธิบายความรู
Explain
ขยายความเขาใจ
Expand
ตรวจสอบผล
หน า
หนั ง สื อ เรี ย น
โซน 1
หนั ง สื อ เรี ย น
Evaluate
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
O-NET บูรณาการเชื่อมสาระ
เกร็ดแนะครู
ขอสอบ
โซน 2
โซน 3
กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย
นักเรียนควรรู
โซน 3
โซน 2 บูรณาการอาเซียน มุม IT
No.
คูมือครู
คูมือครู
No.
โซน 1 ขั้นตอนการสอนแบบ 5Es
โซน 2 ชวยครูเตรียมสอน
โซน 3 ชวยครูเตรียมนักเรียน
เพื่อใหครูเตรียมจัดกิจกรรมการเรียน การสอน โดยแนะนําขั้นตอนการสอนและ การจัดกิจกรรมแบบ 5Es อยางละเอียด เพื่อใหนักเรียนบรรลุตามตัวชี้วัด
เพื่อชวยลดภาระครูผูสอน โดยแนะนํา เกร็ดความรูสําหรับครู ความรูเสริมสําหรับ นักเรียน รวมทั้งบูรณาการความรูสูอาเซียน และมุม IT
เพื่อใหครูสะดวกตอการจัดกิจกรรม โดย แนะนํากิจกรรมบูรณาการเชือ่ มระหวางสาระหรือ กลุมสาระการเรียนรู วิชา กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย รวมถึงเนื้อหาที่เคยออกขอสอบ O-NET แนวขอสอบ NT/O-NET ทีเ่ นนการคิด พรอมเฉลยและคําอธิบายอยางละเอียด
ที่ใชในคูมือครู
แถบสีและสัญลักษณ
แถบสีแสดงขั้นตอนการสอนและการจัดกิจกรรม แบบ 5Es เพื่อใหครูทราบวาเปนขั้นการสอนขั้นใด
1. แถบสี 5Es สีแดง
สีเขียว
กระตุน ความสนใจ
เสร�ม
สํารวจคนหา
Engage
2
•
เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใช เทคนิคกระตุน ความสนใจ เพื่อโยง เขาสูบทเรียน
สีสม
อธิบายความรู
Explore
•
เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนสํารวจ ปญหา และศึกษา ขอมูล
สีฟา
Explain
•
เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนคนหา คําตอบ จนเกิดความรู เชิงประจักษ
สีมวง
ขยายความเขาใจ Expand
•
เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนนําความรู ไปคิดคนตอๆ ไป
ตรวจสอบผล Evaluate
•
เปนขั้นที่ผูสอน ประเมินมโนทัศน ของผูเรียน
2. สัญลักษณ สัญลักษณ
วัตถุประสงค
• เปาหมายการเรียนรู
• หลักฐานแสดง ผลการเรียนรู
• เกร็ดแนะครู
แทรกความรูเสริมสําหรับครู ขอเสนอแนะ ขอควรระวัง ขอสังเกต แนวทางการจัด กิจกรรมและอื่นๆ เพื่อประโยชนในการ จัดการเรียนการสอน ขยายความรูเพิ่มเติมจากเนื้อหา เพื่อให ครูนําไปใชอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียน ไดมีความรูมากขึ้น
•
ความรูหรือกิจกรรมเสริม ใหครูนําไปใช เตรียมความพรอมใหกับนักเรียนกอนเขาสู ประชาคมอาเซียนใน พ.ศ. 2558 โดย บูรณาการกับวิชาที่กําลังเรียน
บูรณาการอาเซียน
•
คูม อื ครู
แสดงรองรอยหลักฐานตามภาระงาน ที่ครูมอบหมาย เพื่อแสดงผลการเรียนรู ตามตัวชี้วัด
• นักเรียนควรรู
มุม IT
แสดงเปาหมายการเรียนรูที่นักเรียน ตองบรรลุตามตัวชี้วัด ตลอดจนสมรรถนะ ที่จะตองมี และคุณลักษณะที่พึงเกิดขึ้น กับนักเรียน
แนะนําแหลงคนควาจากเว็บไซต เพื่อให ครูและนักเรียนไดเขาถึงขอมูลความรู ที่หลากหลาย ทั้งไทยและตางประเทศ
สัญลักษณ
ขอสอบ
วัตถุประสงค
O-NET
•
ชี้แนะเนื้อหาที่เคยออกขอสอบ O-NET โดยยกตัวอยางขอสอบ พรอมวิเคราะหคําตอบ อยางละเอียด
•
เปนตัวอยางขอสอบที่มุงเนน การคิดและเปนแนวขอสอบ NT/O-NET ในระดับมัธยมศึกษา ตอนตน มีทั้งปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลยอยางละเอียด
•
เปนตัวอยางขอสอบที่มุงเนน การคิดและเปนแนวขอสอบ O-NET ในระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย มีทั้งปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลยอยางละเอียด
•
แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม เชื่อมกับสาระหรือกลุมสาระ การเรียนรู ระดับชัน้ หรือวิชาอืน่ ที่เกี่ยวของ
•
แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม ซอมเสริมสําหรับนักเรียนที่ควร ไดรับการพัฒนาการเรียนรู
•
แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม ตอยอดสําหรับนักเรียนที่เรียนรู ไดอยางรวดเร็ว และตองการ ทาทายความสามารถในระดับ ที่สูงขึ้น
(เฉพาะวิชา ชัน้ ทีส่ อบ O-NET O-NET)
NT O-NE T (เฉพาะระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนตน)
แนว
O-NET
(เฉพาะระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนปลาย)
บูรณาการเชื่อมสาระ
กิจกรรมสรางเสริม
กิจกรรมทาทาย
คําแนะนําการใชคูมือครู การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอน คูม อื ครู รายวิชา วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 จัดทําขึน้ เพือ่ ใหครูผสู อนนําไปใชเปนแนวทางวางแผนการสอนเพือ่ พัฒนา ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน และประกันคุณภาพผูเ รียน ตามนโยบายของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน (สพฐ.) โดยใชหนังสือเรียน วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 ของบริษทั อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด เปนสือ่ หลัก (Core Material) ประกอบ เสร�ม การสอนและการจัดกิจกรรมการเรียนรูใหสอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดกลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร 3 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พ.ศ. 2551 โดยออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนตามหลักการสําคัญ ดังนี้ 1 ออกแบบการสอนเปนหนวยการเรียนรูอิงมาตรฐาน คูม อื ครู รายวิชา วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 วางแผนการสอนโดยแบงเปนหนวยการเรียนรูต ามลําดับสาระ (strand) และ หมายเลขขอของมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั แตละหนวยจะกําหนดเปาหมายการเรียนรูแ ละจุดประสงคการเรียนรู (Objective Learning) กิจกรรมการเรียนรู (Learning Activities) และแนวทางการประเมินผลการเรียนรู (Learning Evaluation) ไวชัดเจน ครูผูสอนสามารถจัดทําแผนการสอนใหครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัด สมรรถนะ และคุณลักษณะ อันพึงประสงคที่เปนเปาหมายการเรียนรูตามที่กําหนดไวในสาระแกนกลาง (ตามแผนภูมิ) และสามารถบันทึกผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของผูเรียนแตละคนลงในเอกสาร ปพ.5 ไดอยางมั่นใจ แผนภูมิแสดงความสัมพันธขององคประกอบการออกแบบการเรียนรูอิงมาตรฐานและเนนผูเรียนเปนสําคัญ
พผ
ูเ
จุ ด ป ร
ะสง
คก า
ส ภา
รี ย น
ร
รู ีเรยน
มาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัดชั้นป
ทักษะการคิด การวัดประเมินผล การเรียนรู
กิจกรรมการเรียนรู
เทคนิคการสอน คูม อื ครู
2 การจัดการเรียนรูที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ แนวคิ ด ในการจั ด การเรี ย นการสอนที่ ยึ ด ผู เ รี ย นเป น สํ า คั ญ พั ฒ นามาจากปรั ช ญาและทฤษฎี ก ารเรี ย นรู Constructivism ที่เชื่อวา การเรียนรูเปนกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในสมองของผูเรียนแตละคน ผูเรียนเปนผูสรางความรู โดยการเชื่อมโยงระหวางสิ่งที่ไดเรียนรูจากบทเรียนใหมกับความรูหรือประสบการณเดิมที่มีอยู ทฤษฎีนี้มีความเชื่อวา ผูเรียนทุกคนไดเรียนรูและมีการสั่งสมความรูความเขาใจเกี่ยวกับสิ่งตางๆ ติดตัวมากอน ทีจ่ ะเขาสูห อ งเรียน ซึง่ เปนการเรียนรูท เี่ กิดจากประสบการณและสิง่ แวดลอมรอบตัวผูเ รียนแตละคน ดังนัน้ การจัดกิจกรรม เสร�ม การเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ผูสอนจะตองคํานึงถึง
4
1. ความรูเดิมของผูเรียน วิธีการสอนที่ดีจะตองเริ่มตนจากจุดที่วา ผูเ รียนมีความรูอ ะไรมาบาง แลวจึงใหความรู หรือประสบการณใหม เพื่อตอยอดจาก ความรูเดิม นําไปสูการสรางความรู ความเขาใจใหม
2. ความรูเดิมของผูเรียนถูกตองหรือไม ผูส อนตองปรับเปลีย่ นความรูค วามเขาใจเดิม ของผูเรียนใหถูกตอง และเปนพฤติกรรม การเรียนรูใ หมทมี่ คี ณุ คาตอผูเรียน เพื่อสราง เจตคติหรือทัศนคติที่ดีตอการเรียนรู สิ่งเหลานั้น
3. ผูเรียนสรางความหมายสําหรับตนเอง ผูสอนตองสงเสริมใหผูเรียนนําความรู ความเขาใจที่เกิดขึ้นไปลงมือปฏิบัติ เพื่อขยายความรูใหลึกซึ้งและมีคุณคา ตอตัวผูเรียนมากที่สุด
แนวคิด Constructivism เนนใหผูเรียนสรางความรูโดยผานกระบวนการคิดและความอยากรูของตนเอง โดยมีผูสอนเปนผูสรางบรรยากาศ
การเรียนรูและกระตุนความสนใจ คอยจัดสถานการณใหผูเรียนเกิดความขัดแยงทางความคิดระหวางประสบการณเดิมกับประสบการณ ความรูใ หม เพือ่ กระตนุ ใหผเู รียนเชือ่ มโยงความรู ความคิด กับประสบการณทมี่ อี ยูเ ดิม แลวสังเคราะหเปนความรูห รือแนวคิดใหมๆ ไดดว ยตนเอง
3 การบูรณาการกระบวนการคิด การเรียนรูของผูเรียนแตละคนจะเกิดขึ้นที่สมอง ซึ่งเปนอวัยวะที่ทําหนาที่รูคิดภายใตสภาพแวดลอมที่เอื้ออํานวย และไดรบั การกระตนุ จูงใจอยางเหมาะสม สอดคลองกับสภาพจิตใจและความตองการของผูเ รียนแตละคน การจัดกิจกรรม การเรียนรูและสาระการเรียนรูที่สอดคลองกับความสนใจและมีความหมายตอผูเรียน จะชวยกระตุนใหสมองของผูเรียน สามารถรับรูและเรียนรูไดอยางมีประสิทธิภาพตามขั้นตอนการทํางานของสมอง ดังนี้ 1. สมองจะเรียนรูและสืบคน โดยการสังเกต คนหา ซักถาม และทดลอง ปฏิบัติ จนทําใหคนพบความรูความเขาใจ ไดอยางรวดเร็ว
2. สมองจะแยกแยะคุณคาของสิ่งตางๆ โดยการตัดสินใจวิพากษวิจารณ แสดง ความคิดเห็น ยอมรับหรือตอตานตาม อารมณความรูสึกที่เกิดขึ้นในขณะที่เรียนรู
3. สมองจะประมวลเนื้อหาสาระ โดยการสรุปเปนความคิดรวบยอดจาก เรื่องราวที่ไดเรียนรูใหมนําไปผสมผสานกับ ความรูห รือประสบการณเดิมทีถ่ กู จัดเก็บอยูใ น สมอง ผานการกลัน่ กรองเพือ่ สังเคราะหเปน ความรูค วามเขาใจใหมๆ หรือเปนทัศนคติใหม ที่จะเก็บบรรจุไวในสมองของผูเรียน
การเรียนรูที่มีประสิทธิภาพจึงตองเปนการเรียนรูที่เกิดจากกระบวนการคิดของผูเรียน เพราะการเรียนรูจะเกิดขึ้น เมื่อสมองรูคิด และตองเปนการคิดไดครบถวนตามขั้นตอนการทํางานของสมองผูเรียน โดยเริ่มตนจาก 1. ระดับการคิดพื้นฐาน ไดแก การสังเกต การจําแนก การคาดคะเน การสื่อความหมาย การรวบรวมขอมูล การสรุปผล เปนตน
คูม อื ครู
2. ระดับลักษณะการคิด ไดแก การคิดกวาง คิดลึกซึ้ง คิดไกล คิดหลากหลาย คิดคลอง คิดอยางมีเหตุผล เปนตน
3. ระดับกระบวนการคิด ไดแก กระบวนการคิดอยางมีวิจารณญาณ กระบวนการแกปญหา กระบวนการ คิดสรางสรรค กระบวนการคิดสังเคราะห เปนตน
5Es การจัดกิจกรรมตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ขั้นตอนการสอนที่สัมพันธกับขั้นตอนการคิดและการทํางานทางสมองของผูเรียนที่นิยมใชอยางแพรหลาย คือ วัฏจักรการเรียนรู 5Es ซึ่งผูจัดทําคูมือครูไดนํามาใชเปนแนวทางออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในแตละหนวย ตามลําดับขั้นตอนการเรียนรู ดังนี้ ขั้นที่ 1
กระตุนความสนใจ
(Engage)
เสร�ม
5
เปนขั้นที่ผูสอนนําเขาสูบทเรียน เพื่อกระตุนความสนใจของผูเรียนดวยเรื่องราวหรือเหตุการณที่นาสนใจโดยใชเทคนิควิธีการ และคําถามทบทวนความรูหรือประสบการณเดิมของผูเรียน เพื่อเชื่อมโยงผูเรียนเขาสูความรูของบทเรียนใหม ชวยใหผูเรียนสามารถ สรุปความสําคัญหัวขอและสาระการเรียนรูของบทเรียนได จึงเปนขั้นตอนการสอนที่สําคัญ เพราะเปนการเตรียมความพรอมและสราง แรงจูงใจใฝเรียนรูแกผูเรียน
ขั้นที่ 2
สํารวจคนหา
(Explore)
เปนขัน้ ทีผ่ สู อนเปดโอกาสใหผเู รียนลงมือศึกษา สังเกต หรือรวมมือกันสํารวจ เพือ่ ใหเห็นขอบขายของประเด็นหรือปญหา รวมถึง วิธีการศึกษาคนควา การรวบรวมขอมูลความรูที่จะนําไปสูการสรางความเขาใจประเด็นหรือปญหานั้นๆ เมื่อผูเรียนทําความเขาใจใน ประเด็นหรือปญหาที่จะศึกษาคนควาอยางถองแทแลว ก็ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมขอมูลความรู สํารวจตรวจสอบ โดยวิธีการตางๆ เชน สัมภาษณ ทดลอง อานคนควาขอมูลจากเอกสาร แหลงขอมูลตางๆ จนไดขอมูลความรูที่เกี่ยวของกับประเด็นหรือปญหาที่ศึกษา
ขั้นที่ 3
อธิบายความรู
(Explain)
เปนขั้นที่ผูสอนมีปฏิสัมพันธกับผูเรียน เชน ใหการแนะนํา ตั้งคําถามกระตุนใหคิด เพื่อใหผูเรียนคนหาคําตอบ และนําขอมูล ความรูจากการศึกษาคนควาในขั้นที่ 2 มาวิเคราะห สรุปผล และนําเสนอผลที่ไดศึกษาคนความาในรูปแบบสารสนเทศตางๆ เชน เขียนแผนภูมิ ผังมโนทัศน เขียนความเรียง เขียนรายงาน เปนตน ในขั้นตอนนี้ฝกใหผูเรียนใชสมองคิดวิเคราะหและสังเคราะห อยางเปนระบบ
ขั้นที่ 4
ขยายความเขาใจ
(Expand)
เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใชเทคนิควิธีสอนตางๆ ที่สงเสริมใหผูเรียนนําความรูที่เกิดขึ้นไปคิดคนสืบคนตอๆ ไป เพื่อพัฒนาทักษะ การเรียนรูและการทํางานรวมกันเปนกลุม ระดมสมองเพื่อคิดสรางสรรครวมกัน ผูเรียนสามารถนําความรูที่สรางขึ้นใหมไปเชื่อมโยง กับประสบการณเดิมโดยนําขอสรุปทีไ่ ดไปใชอธิบายเหตุการณตา งๆ หรือนําไปปฏิบตั ใิ นสถานการณใหมๆ ทีเ่ กีย่ วของกับชีวติ ประจําวัน ของตนเอง เพื่อขยายความรูความเขาใจใหกวางขวางยิ่งขึ้น ในขั้นตอนนี้ฝกสมองของผูเรียนใหสามารถคิดริเริ่มสรางสรรคอยางมี คุณภาพ เสริมสรางวิสัยทัศนใหกวางไกลออกไป
ขั้นที่ 5
ตรวจสอบผล
(Evaluate)
เปนขัน้ ทีผ่ สู อนประเมินมโนทัศนของผูเ รียน โดยตรวจสอบจากความคิดทีเ่ ปลีย่ นไปและความคิดรวบยอดทีเ่ กิดขึน้ ใหม ตรวจสอบ ทักษะ กระบวนการปฏิบัติ การแกปญหา การตอบคําถามรวบยอด หรือการเคารพความคิดหรือยอมรับเหตุผลของคนอื่น เพื่อการ สรางสรรคความรูร ว มกัน ผูเ รียนสามารถประเมินผลการเรียนรูข องตนเอง เพือ่ สรุปผลวามีความรูอ ะไรเพิม่ ขึน้ มาบาง เกิดความเขาใจ มากนอยเพียงใด และจะนําความรูเหลานั้นไปประยุกตใชในการเรียนรูเรื่องอื่นๆ หรือในชีวิตประจําวันไดอยางไร ผูเรียนจะเกิดเจตคติ และเห็นคุณคาของตนเองจากผลการเรียนรูที่เกิดขึ้น ซึ่งเปนการเรียนรูที่มีความสุขอยางแทจริง
การจัดกิจกรรมการเรียนรูตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es จึงเปนรูปแบบการเรียนการสอนที่เนนผูเรียน เปนสําคัญอยางแทจริง เพราะสงเสริมใหผูเรียนไดเรียนรูตามขั้นตอนของกระบวนการสรางความรูดวยตนเอง และ ฝกฝนใหใชกระบวนการคิดและกระบวนการกลุมอยางชํานาญ กอใหเกิดทักษะชีวิต ทักษะการทํางาน และทักษะการ เรียนรูที่มีประสิทธิภาพ สงผลตอการยกระดับผลสัมฤทธิ์ของผูเรียน ตามเปาหมายของการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) ทุกประการ คูม อื ครู
O-NET การเพิ่มผลสัมฤทธิ์ O-NET
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ในแตละหนวยการเรียนรู ทางผูจัดทํา จะเสนอแนะวิธีสอน รูปแบบกิจกรรมการเรียนรู พรอมทั้งออกแบบเครื่องมือวัดและประเมินผลที่สอดคลองกับตัวชี้วัด และสาระการเรียนรูแกนกลางไวทุกขั้นตอน โดยยึดหลักสําคัญ คือ หลักของการวัดและประเมินผล เสร�ม
6
1. การวัดและประเมินผลทุกครั้ง ควรนําผลมาปรับปรุงพัฒนาผูเรียน เปนรายบุคคล
2. การวัดและประเมินผลมี เปาหมาย เพื่อพัฒนาการเรียนรู ของผูเรียนจนเต็มศักยภาพ
3. การนําผลการวัดและประเมินผล ทุกครั้งมาวางแผนปรับปรุงกิจกรรม การเรียนการสอน การเลือกเทคนิค วิธีสอน และสื่อการเรียนรูให เหมาะสมกับสภาพจริงของผูเรียน
การทดสอบผูเรียน 1. การใชขอสอบอัตนัย เนนการอาน การคิดวิเคราะห และการเขียนเพิ่มมากขึ้น 2. การใชคําถามกระตุนการคิดควบคูกับการทําขอสอบที่เนนการคิดอยางตอเนื่องตามลําดับกิจกรรมการเรียนรู และตัวชี้วัด 3. การทดสอบตองดําเนินการทั้งกอนเรียน ระหวางเรียน และหลังเรียน การทดสอบควรใชขอสอบทั้งชนิดปรนัยและ อัตนัย และเปนการทดสอบเพื่อประเมินผลการเรียนของผูเรียนแตละคน เพื่อการสอนซอมเสริมใหบรรลุตัวชี้วัด ไดครบถวน 4. การสอบกลางภาค (ถามี) ควรนําแบบฝกหัดหรือขอสอบทีน่ กั เรียนสวนใหญไมสามารถตอบไดหรือไมครบถวนชัดเจน มา สรางเปนแบบทดสอบอีกครัง้ เพือ่ ตรวจสอบความรูค วามเขาใจทีถ่ กู ตอง และประเมินความกาวหนาของผูเ รียนแตละคน 5. การสอบปลายภาคเรียนเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามตัวชี้วัดที่สําคัญ ควรออกขอสอบใหมีลักษณะเดียวกับ ขอสอบ O-NET โดยเนนการคิดวิเคราะห สังเคราะห เชื่อมโยงประยุกตใช เพื่อสรางความคุนเคย และฝกฝน วิธีการทําขอสอบดวยความมั่นใจ 6. การนําผลการทดสอบของผูเรียนมาวิเคราะห โดยผลการสอบกอนการเรียนตองสามารถพยากรณผลการสอบ กลางภาค และผลการสอบกลางภาคตองทํานายผลการสอบปลายภาคของผูเ รียนแตละคน เพือ่ ประเมินพัฒนาการ ความกาวหนาของผูเรียนเปนรายบุคคล 7. ผลการทดสอบปลายป ปลายภาค ตองมีคาเฉลี่ยสอดคลองกับคาเฉลี่ยของการสอบ NT ที่เขตพื้นที่การศึกษา จัดสอบ รวมทั้งคาเฉลี่ยของการสอบ O-NET ชวงชั้นที่สอดคลองครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดสําคัญ เพือ่ สะทอนประสิทธิภาพของครูผสู อนในการออกแบบการเรียนรูแ ละประกันคุณภาพผูเ รียนทีต่ รวจสอบผลไดชดั เจน การจัดการเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ตองใหผูเรียนไดสั่งสมความรู ความเขาใจตามลําดับขั้นตอน ของกิจกรรมในวัฏจักรการเรียนรู 5Es เพื่อใหผูเรียนไดเติมเต็มองคความรูอยางตอเนื่อง จนสามารถปฏิบัติชิ้นงานหรือ ภาระงานรวบยอดของแตละหนวย ผานเกณฑประกันคุณภาพในระดับที่นาพึงพอใจ เพื่อรองรับการประเมินภายนอกจาก สมศ. ตลอดเวลา คูม อื ครู
ASEAN การเรียนรูสูประชาคมอาเซียน เพื่ออํานวยความสะดวกแกครูผูสอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรูบูรณาการอาเซียนศึกษา ผูจัดทําไดวิเคราะห มาตรฐานการเรียนรู และตัวชี้วัดที่มีสาระการเรียนรูสอดคลองกับองคความรูเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนในแงมุมตางๆ ครอบคลุมทัง้ ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรม อาเซียน เพื่อสงเสริมการเรียนรูใหผูเรียนเกิดความตระหนัก มีความรูความเขาใจเหมาะสมกับระดับชั้นและกลุมสาระ การเรียนรู โดยเสนอแนะวิธีการจัดกิจกรรมบูรณาการเนื้อหาสาระตางๆ ที่เปนประโยชนตอผูเรียนและเปนการชวย เตรียมความพรอมผูเ รียนทุกคนทีจ่ ะกาวเขาสูก ารเปนสมาชิกของประชาคมอาเซียนไดอยางมัน่ ใจตามขอตกลงปฏิญญา เสร�ม ชะอํา-หัวหิน วาดวยความรวมมือดานการศึกษาเพือ่ บรรลุเปาหมายประชาคมอาเซียนทีเ่ อือ้ อาทรและแบงปน จึงกําหนด 7 เปนนโยบายใหกระทรวงศึกษาธิการจัดการเรียนรูเตรียมความพรอมผูเรียนเขาสูประชาคมอาเซียนภายในป พ.ศ. 2558 ตามแนวปฏิบัติที่สําคัญ ดังนี้
การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน 1. การสรางความรูความเขาใจ และตระหนักถึงความสําคัญของ กฎบัตรอาเซียน และความรวมมือ ของ 3 เสาหลัก ซึง่ กฎบัตรอาเซียน ในขณะนี้มีสถานะเปนกฎหมายที่ ประเทศสมาชิกจะตองปฏิบัติตาม หลักการที่กําหนดไวเพื่อใหบรรลุ เปาหมายของกฎบัตรมาตราตางๆ
2. การสงเสริมหลักการ ประชาธิปไตยและการสราง สิ่งแวดลอมประชาธิปไตย เพื่อการอยูรวมกันอยางกลมกลืน ภายใตวิถีชีวิตอาเซียนที่มีความ หลากหลายดานสังคมและ วัฒนธรรม
4. การตระหนักในคุณคาของ สายสัมพันธทางประวัติศาสตร และมรดกทางวัฒนธรรมที่มี พัฒนาการรวมกัน เพื่อเชื่อม อัตลักษณและสรางจิตสํานึก ในการเปนประชากรของประชาคม อาเซียนรวมกัน
3. การสงเสริมการศึกษาดาน สิทธิมนุษยชน เพื่อสรางประชาคม อาเซียนใหเปนประชาคมเพื่อ ประชาชนอยางแทจริง สามารถ อยูรวมกันไดบนพื้นฐานการเคารพ ในคุณคาของศักดิ์ศรีแหงความ เปนมนุษยเทาเทียมกัน
5. การสงเสริมสันติภาพ ความ มั่นคง และความปรองดองในสังคม ทั้งระดับประเทศและภูมิภาคของ อาเซียนบนพื้นฐานสันติวิธีและการ อยูรวมกันดวยขันติธรรม
คูม อื ครู
การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
เสร�ม
8
1. การพัฒนาทักษะการทํางาน เพื่อเสริมสรางผูเรียนใหมีทักษะ วิชาชีพที่จําเปนสอดคลองกับ ความตองการของตลาดแรงงาน และสถานประกอบการในอาเซียน สามารถเทียบโอนผลการเรียน และการทํางานตามมาตรฐานฝมือ แรงงานในภูมิภาคอาเซียน
2. การเสริมสรางวินัย ความรับผิดชอบ และเจตคติรักการทํางาน สามารถพึ่งพาตนเอง มีทักษะชีวิต ดํารงชีวิตอยางมีความสุข เห็นคุณคา และภูมิใจในตนเอง ในฐานะที่เปนพลเมืองไทยและ อาเซียน
3. การเรียนรูเพื่อพัฒนาตนเอง อยางตอเนื่องตลอดชีวิต ใหมี ทักษะการทํางานตามมาตรฐาน อาชีพ และคุณวุฒิของวิชาชีพสาขา ตางๆ เพื่อรองรับการเตรียมเคลื่อน ยายแรงงานมีฝมือและการเปน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่ เขมแข็ง เพื่อสรางขีดความสามารถ ในการแขงขันในเวทีโลก
การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน 1. การเสริมสรางความรวมมือ ในลักษณะสังคมที่เอื้ออาทร ของประชากรอาเซียน โดยยึด หลักการสําคัญ คือ ความงดงาม ของประชาคมอาเซียนมาจาก ความแตกตางและหลากหลายทาง วัฒนธรรมที่ลวนแตมีคุณคาตอ มรดกทางวัฒนธรรมของอาเซียน ซึ่งประชาชนทุกคนตองอนุรักษ สืบสานใหยั่งยืน
2. การเสริมสรางคุณลักษณะ ของผูเรียนใหเปนพลเมืองอาเซียน ที่มีศักยภาพในการกาวเขาสู ประชาคมอาเซียนอยางมั่นใจ เปนผูที่มีสุขภาพสมบูรณแข็งแรง มีทักษะการสื่อสาร ทักษะการ ทํางาน ทักษะทางสังคม สามารถ ทํางานรวมกับผูอื่นไดอยาง สรางสรรค และมีองคความรู เกี่ยวกับอาเซียนที่จําเปนตอการ ดํารงชีวิตอยางมีคุณภาพ
4. การสงเสริมการเรียนรูดาน ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถชี วี ติ ความเปนอยูข องเพือ่ นบาน ในอาเซียน เพื่อสรางจิตสํานึกของ ความเปนประชาคมอาเซียนและ ตระหนักถึงหนาที่ของการเปน พลเมืองอาเซียนรวมกัน
3. การสงเสริมการเรียนรูภาษา อังกฤษเพื่อการสื่อสารและการ ทํางานตามมาตรฐานอาชีพที่ กําหนดและสนับสนุนการเรียนรู ภาษาอาเซียนและภาษาเพื่อนบาน เพื่อชวยเสริมสรางสัมพันธภาพทาง สังคม และการอยูรวมกันอยางสันติ ทามกลางความหลากหลายทาง วัฒนธรรม
5. การสรางความรูและความ ตระหนักเกี่ยวกับดานสิ่งแวดลอม ปญหาและผลกระทบตอคุณภาพ ชีวิตของประชากรในภูมิภาค รวมทั้งแนวทางการพัฒนาอยาง ยั่งยืน ใหเปนมรดกสืบทอดแก พลเมืองอาเซียนในรุนหลังตอๆ ไป
กระทรวงศึกษาธิการจึงประกาศนโยบายการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) เพื่อเรงพัฒนาเด็ก และเยาวชนไทยใหเปนทรัพยากรมนุษยของชาติที่มีทักษะและความชํานาญ พรอมเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและ การแขงขันทั้งในภูมิภาคอาเซียนและภูมิภาคอื่นๆ ของสังคมโลก ทั้งนี้ผูบริหารสถานศึกษา ครูผูสอน และผูปกครอง ควรรวมมือกันอยางใกลชิดในการดูแลชวยเหลือผูเรียนและจัดประสบการณการเรียนรูเพื่อพัฒนาผูเรียนจนเต็มศักยภาพ เพื่อกาวเขาสูการเปนพลเมืองอาเซียนอยางมีเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีความเปนมนุษยของตน คณะผูจัดทํา คูม อื ครู
ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง สาระที่ 1
วิทยาศาสตร (เฉพาะชั้น ม.1)*
สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดํารงชีวิต
มาตรฐาน ว 1.1 เขาใจหนวยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต ความสัมพันธของโครงสราง และหนาที่ของระบบตางๆ ของสิ่งมีชีวิต ที่ทํางานสัมพันธกัน มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู สื่อสารสิ่งที่เรียนรู และนําความรูไปใชในการดํารง ชีวิตของตนเองและดูแลสิ่งมีชีวิต ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
ม.1 1. สังเกตและอธิบายรูปราง ลักษณะ • เซลลของสิ่งมีชีวิตเซลลเดียวและเซลลของสิ่งมีชีวิต • หนวยการเรียนรูที่ 1 ของเซลลของสิ่งมีชีวิตเซลลเดียว หลายเซลล เชน เซลลพืชและเซลลสัตวมีรูปราง หนวยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต และเซลลของสิ่งมีชีวิตหลายเซลล ลักษณะแตกตางกัน 2. สังเกตและเปรียบเทียบ สวนประกอบสําคัญของเซลลพืช และเซลลสัตว
เสร�ม
9
• หนวยการเรียนรูที่ 1 • นิวเคลียส ไซโทพลาซึม และเยื่อหุมเซลล เปน สวนประกอบสําคัญของเซลลที่เหมือนกันของ หนวยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต เซลลพืชและเซลลสัตว • ผนังเซลลและคลอโรพลาสตเปนสวนประกอบที่พบได ในเซลลพืช
3. ทดลองและอธิบายหนาที่ของ • นิวเคลียส ไซโทพลาซึม เยื่อหุมเซลล แวคิวโอล เปน • หนวยการเรียนรูที่ 1 สวนประกอบที่สําคัญของเซลลพืช สวนประกอบสําคัญของเซลลสตั ว มีหนาทีแ่ ตกตางกัน หนวยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต และเซลลสัตว • นิวเคลียส ไซโทพลาซึม เยื่อหุมเซลล แวคิวโอล ผนังเซลล และคลอโรพลาสต เปนสวนประกอบทีส่ าํ คัญ ของเซลลพืช มีหนาที่แตกตางกัน 4. ทดลองและอธิบายกระบวนการ สารผานเซลล โดยการแพร และออสโมซิส
• การแพรเปนการเคลือ่ นทีข่ องสารจากบริเวณทีม่ คี วาม • หนวยการเรียนรูที่ 2 กระบวนการในการดํารงชีวิต เขมขนสูงไปสูบริเวณที่มีความเขมขนตํ่า • ออสโมซิสเปนการเคลื่อนที่ของนํ้าผานเขาและออก ของพืช (ตอนที่ 1) จากเซลล จากบริเวณที่มีความเขมขนของสารละลาย ตํ่าไปสูบริเวณที่มีความเขมขนของสารละลายสูง โดย ผานเยื่อเลือกผาน
5. ทดลองหาปจจัยบางประการทีจ่ าํ เปน • แสง คลอโรฟลล แกสคารบอนไดออกไซด และนํ้า • หนวยการเรียนรูที่ 2 ตอการสังเคราะหดวยแสงของพืช เปนปจจัยที่จําเปนตอกระบวนการสังเคราะหดวยแสง กระบวนการในการดํารงชีวิต และอธิบายวาแสง คลอโรฟลล แกส ของพืช ของพืช (ตอนที่ 1) คารบอนไดออกไซด นํ้า เปนปจจัย ที่จําเปนตองใชในการสังเคราะห ดวยแสง 6. ทดลองและอธิบายผลที่ไดจากการ • นํา้ ตาล แกสออกซิเจน และนํา้ เปนผลิตภัณฑทไี่ ดจาก • หนวยการเรียนรูที่ 2 สังเคราะหดวยแสงของพืช กระบวนการสังเคราะหดวยแสงของพืช กระบวนการในการดํารงชีวิต ของพืช (ตอนที่ 1) 7. อธิบายความสําคัญของกระบวนการ • กระบวนการสังเคราะหดวยแสงมีความสําคัญตอการ • หนวยการเรียนรูที่ 2 สังเคราะหดวยแสงของพืชตอ ดํ า รงชี วิ ต ของสิ่ ง มี ชี วิ ต และต อ สิ่ ง แวดล อ มในด า น กระบวนการในการดํารงชีวิต สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม อาหาร การหมุนเวียนของแกสออกซิเจนและแกส ของพืช (ตอนที่ 1) คารบอนไดออกไซด 8. ทดลองและอธิ บ ายกลุ ม เซลล ที่ • เนื้อเยื่อลําเลียงนํ้าเปนกลุมเซลลเฉพาะ เรียงตอกัน • หนวยการเรียนรูที่ 2 เกี่ยวของกับการลําเลียงนํ้าของพืช ตั้งแตราก ลําตนจนถึงใบ ทําหนาที่ในการลําเลียงนํ้า กระบวนการในการดํารงชีวิต และธาตุอาหาร ของพืช (ตอนที่ 1) _________________________________ * สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร. (กรุงเทพมหานคร : ชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย, 2551), หนา 10-104.
คูม อื ครู
ชั้น
เสร�ม
10
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
ม.1 9. สังเกตและอธิบายโครงสราง • เนือ้ เยือ่ ลําเลียงนํา้ และเนือ้ เยือ่ ลําเลียงอาหารเปนกลุม • หนวยการเรียนรูที่ 2 ที่ เ กี่ ย วกั บ ระบบลํ า เลี ย งนํ้ า และ เซลลทอี่ ยูค ขู นานกันเปนทอลําเลียงจากราก ลําตนถึง กระบวนการในการดํารงชีวิต อาหารของพืช ใบ ซึง่ การจัดเรียงตัวของทอลําเลียงในพืชใบเลีย้ งเดีย่ ว ของพืช (ตอนที่ 1) และพืชใบเลี้ยงคูจะแตกตางกัน • เนื้อเยื่อลําเลียงนํ้า ทําหนาที่ในการลําเลียงนํ้าและ ธาตุอาหารจากรากสูใ บ สวนเนือ้ เยือ่ ลําเลียงอาหารทํา หนาที่ลําเลียงอาหารจากใบสูสวนตางๆ ของพืช • การคายนํ้ามีสวนชวยในการลําเลียงนํ้าของพืช 10. ทดลองและอธิบายโครงสรางของ • เกสรเพศผูและเกสรเพศเมียเปนโครงสรางที่ใชในการ • หนวยการเรียนรูที่ 3 ดอกทีเ่ กีย่ วของกับการสืบพันธุข อง สืบพันธุของพืชดอก กระบวนการในการดํารงชีวิต พืช ของพืช (ตอนที่ 2) 11. อธิบายกระบวนการสืบพันธุแบบ • กระบวนการสืบพันธุแ บบอาศัยเพศของพืชดอกเปนการ • หนวยการเรียนรูที่ 3 อาศั ย เพศของพื ช ดอกและการ ปฏิสนธิระหวางเซลลสบื พันธุเ พศผูแ ละเซลลไขในออวุล กระบวนการในการดํารงชีวิต สืบพันธุแบบไมอาศัยเพศของพืช • การแตกหนอ การเกิดไหล เปนการสืบพันธุของพืช ของพืช (ตอนที่ 2) โดยใชสวนตางๆ ของพืชเพื่อชวย แบบไมอาศัยเพศ โดยไมมีการปฏิสนธิ ในการขยายพันธุ • ราก ลําตน ใบ และกิ่งของพืชสามารถนําไปใชขยาย พันธุพืชได 12. ทดลองและอธิบายการตอบสนอง • พืชตอบสนองตอสิ่งเราภายนอก โดยสังเกตไดจาก • หนวยการเรียนรูที่ 3 ของพืชตอแสง นํ้า และการสัมผัส การเคลือ่ นไหวของสวนประกอบของพืชทีม่ ตี อ แสง นํา้ กระบวนการในการดํารงชีวิต และการสัมผัส ของพืช (ตอนที่ 2) 13. อธิบายหลักการและผลของการใช • เทคโนโลยีชีวภาพเปนการใชเทคโนโลยีเพื่อทําให • หนวยการเรียนรูที่ 3 เทคโนโลยีชวี ภาพในการขยายพันธุ สิ่งมีชีวิตหรือองคประกอบของสิ่งมีชีวิตมีสมบัติตาม กระบวนการในการดํารงชีวิต ปรับปรุงพันธุ เพิ่มผลผลิตของพืช ตองการ ของพืช (ตอนที่ 2) และนําความรูไปใชประโยชน • การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช และพันธุวิศวกรรม เปน เทคโนโลยีชีวภาพที่ใชในการขยายพันธุปรับปรุงพันธุ และเพิ่มผลผลิตของพืช
สาระที่ 3
สารและสมบัติของสาร
มาตรฐาน ว 3.1 เขาใจสมบัตขิ องสาร ความสัมพันธระหวางสมบัตขิ องสารกับโครงสรางและแรงยึดเหนีย่ วระหวางอนุภาค มีกระบวนการสืบเสาะหาความรูและจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่เรียนรู นําความรูไปใชประโยชน ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
ม.1 1. ทดลองและจํ า แนกสารเป น กลุ ม • เมือ่ ใชเนือ้ สารเปนเกณฑ จําแนกสารไดเปนสารเนือ้ เดียว • หนวยการเรียนรูที่ 4 โดยใชเนื้อสารหรือขนาดอนุภาค และสารเนือ้ ผสม ซึง่ สารแตละกลุม จะมีสมบัตแิ ตกตางกัน สมบัติของสารและการจําแนก เปนเกณฑ และอธิบายสมบัติของ • เมือ่ ใชขนาดอนุภาคของสารเปนเกณฑจาํ แนกสารเปน สาร สารในแตละกลุม สารแขวนลอย คอลลอยดและสารละลาย ซึง่ สารแตละ กลุมจะมีสมบัติแตกตางกัน 2. อธิบายสมบัตแิ ละการเปลีย่ นสถานะ • สี รูปราง ขนาด ความแข็ง ความหนาแนน จุดเดือด • หนวยการเรียนรูที่ 4 ของสาร โดยใชแบบจําลองการ จุดหลอมเหลว เปนสมบัตทิ างกายภาพของสาร ความ สมบัติของสารและการจําแนก จัดเรียงอนุภาคของสาร เปนกรด-เบส ความสามารถในการรวมตัวกับสารอืน่ ๆ สาร การแยกสลายของสารและการเผาไหม เปนสมบัตทิ างเคมี • สารตางๆ มีลักษณะการจัดเรียงอนุภาค ระยะหาง ระหวางอนุภาค และแรงยึดเหนี่ยวระหวางอนุภาค แตกตางกัน ซึ่งสามารถใชแบบจําลองการจัดเรียง อนุภาคอธิบายสมบัติบางประการของสารได
คูม อื ครู
ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
ม.1 3. ทดลองและอธิ บ ายสมบั ติ ค วาม • สารละลายที่มีนํ้าเปนตัวทําละลาย อาจจะมีสมบัติเปน • หนวยการเรียนรูที่ 4 เปนกรด เบส ของสารละลาย กรด กลาง หรือเบส ซึง่ สามารถทดสอบไดดว ยกระดาษ สมบัติของสารและการจําแนก ลิตมัส หรืออินดิเคเตอร สาร 4. ตรวจสอบคา pH ของสารละลาย • ความเปนกรด-เบสของสารละลาย ระบุเปนคา pH • หนวยการเรียนรูที่ 4 และนําความรูไปใชประโยชน ซึ่ ง ตรวจสอบได ด ว ยเครื่ อ งมื อ วั ด ค า pH หรื อ สมบัติของสารและการจําแนก ยูนิเวอรซัลอินดิเคเตอร สาร • ผลิ ต ภั ณ ฑ ที่ ใ ช ใ นชี วิ ต ประจํ า วั น อาจมี ค วามเป น กรด-เบสแตกตางกันจึงควรเลือกใชใหถกู ตองปลอดภัย ตอตนเองและสิ่งแวดลอม
เสร�ม
11
มาตรฐาน ว 3.2 เขาใจหลักการและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร การเกิดสารละลาย การเกิดปฏิกิริยา มีกระบวนการสืบเสาะหาความรูและจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่เรียนรู และนําความรูไปใชประโยชน ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
ม.1 1. ทดลองและอธิ บ ายวิ ธี เ ตรี ย ม • สารละลายประกอบดวยตัวละลายและตัวทําละลาย • หนวยการเรียนรูที่ 4 สารละลายที่ มี ค วามเข ม ข น เป น สารละลายที่ระบุความเขมขนเปนรอยละ หมายถึง สมบัติของสารและการจําแนก รอยละ และอภิปรายการนําความรู สารละลายทีม่ อี ตั ราสวนของปริมาณตัวละลาย ละลาย สาร เกี่ยวกับสารละลายไปใชประโยชน อยูในสารละลายรอยสวน • ในชีวติ ประจําวัน ไดมกี ารนําความรูเ รือ่ งสารละลายไป ใชประโยชนทางดานการเกษตร อุตสาหกรรมอาหาร การแพทย และดานอื่น ๆ 2. ทดลองและอธิบายการเปลีย่ นแปลง • เมือ่ สารเกิดการเปลีย่ นสถานะและเกิดการละลาย มวล • หนวยการเรียนรูที่ 4 สมบัติ มวลและพลังงานของสาร ของสารจะไมเปลี่ยนแปลง แตสมบัติทางกายภาพ สมบัติของสารและการจําแนก เมื่อสารเปลี่ยนสถานะและเกิดการ เปลี่ยนแปลง รวมทั้งมีการถายโอนพลังงานระหวาง สาร ละลาย ระบบกับสิ่งแวดลอม 3. ทดลองและอธิบายปจจัยที่มีผลตอ • อุณหภูมิ ความดัน ชนิดของสารมีผลตอการเปลี่ยน • หนวยการเรียนรูที่ 4 การเปลี่ยนสถานะ และการละลาย สถานะ และการละลายของสาร สมบัติของสารและการจําแนก ของสาร สาร
สาระที่ 4
แรงและการเคลื่อนที่
มาตรฐาน ว 4.1 เขาใจธรรมชาติของแรงแมเหล็กไฟฟา แรงโนมถวง และแรงนิวเคลียร มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชนอยางถูกตองและมีคุณธรรม ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
ม.1 1. สืบคนขอมูล และอธิบายปริมาณ • ปริมาณทางกายภาพแบงเปนปริมาณสเกลารและ • หนวยการเรียนรูที่ 5 สเกลาร ปริมาณเวกเตอร ปริมาณเวกเตอร ปริมาณสเกลารเปนปริมาณที่มีแต แรงและการเคลื่อนที่ ขนาด ปริมาณเวกเตอรเปนปริมาณที่มีทั้งขนาดและ ทิศทาง 2. ทดลองและอธิบายระยะทาง • การเคลือ่ นทีข่ องวัตถุเกีย่ วของกับระยะทาง การกระจัด • หนวยการเรียนรูที่ 5 การกระจัด อัตราเร็ว และความเร็ว อัตราเร็ว ความเร็ว ระยะทาง คือ ความยาวที่วัดตาม แรงและการเคลื่อนที่ ในการเคลื่อนที่ของวัตถุ แนวทางการเคลื่อนที่ของวัตถุจากตําแหนงเริ่มตน ไปยังตําแหนงสุดทาย การกระจัด คือ เวกเตอรที่ชี้ ตําแหนงสุดทายของวัตถุเทียบกับตําแหนงเริ่มตน อัตราเร็ว คือ ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ไดในหนึ่งหนวย เวลา ความเร็ว คือ การกระจัดของวัตถุในหนึง่ หนวยเวลา
คูม อื ครู
สาระที่ 5
พลังงาน
มาตรฐาน ว 5.1 เขาใจความสัมพันธระหวางพลังงานกับการดํารงชีวิต การเปลี่ยนรูปพลังงาน ปฏิสัมพันธระหวางสาร และพลังงาน ผลของการใชพลังงานตอชีวิตและสิ่งแวดลอม มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู สื่อสาร สิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชน ชั้น
เสร�ม
12
ตัวชี้วัด
ม.1 1. ทดลองและอธิบายอุณหภูมิ และการวัดอุณหภูมิ
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
• การวัดอุณหภูมิเปนการวัดระดับความรอนของสาร • หนวยการเรียนรูที่ 6 สามารถวัดดวยเทอรมอมิเตอร พลังงานความรอน
2. สั ง เกตและอธิ บ ายการถ า ยโอน • การถายโอนความรอนมีสามวิธี คือ การนําความรอน • หนวยการเรียนรูที่ 6 ความร อ น และนํ า ความรู ไ ปใช การพาความรอนและการแผรังสีความรอน พลังงานความรอน ประโยชน • การนําความรอน เปนการถายโอนความรอนโดยการสัน่ ของโมเลกุล • การพาความรอน เปนการถายโอนความรอนโดยโมเลกุล ของสารเคลื่อนที่ไปดวย • การแผรังสีความรอน เปนการถายโอนความรอนจาก คลื่นแมเหล็กไฟฟา • การนําความรูเ รือ่ งการถายโอนความรอนไปใชประโยชน 3. อธิบายการดูดกลืน การคาย • วัตถุทแี่ ตกตางกันมีสมบัตใิ นการดูดกลืนความรอนและ • หนวยการเรียนรูที่ 6 ความรอน โดยการแผรังสี และนํา คายความรอนไดตางกัน พลังงานความรอน ความรูไปใชประโยชน • การนําความรูเรื่องการดูดกลืนความรอนและการคาย ความรอนไปใชประโยชน 4. อธิบายสมดุลความรอนและผลของ • เมื่อวัตถุสองสิ่งอยูในสมดุลความรอน วัตถุทั้งสองมี • หนวยการเรียนรูที่ 6 ความรอนตอการขยายตัวของสาร อุณหภูมิเทากัน พลังงานความรอน และนําความรูไ ปใชในชีวติ ประจําวัน • การขยายตัวของวัตถุเปนผลจากความรอนทีว่ ตั ถุไดรบั เพิ่มขึ้น • การนําความรูเรื่องการขยายตัวของวัตถุเมื่อไดรับ ความรอนไปใชประโยชน
สาระที่ 6
กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก
มาตรฐาน ว 6.1 เขาใจกระบวนการตางๆ ที่เกิดขึ้นบนผิวโลกและภายในโลก ความสัมพันธของกระบวนการตางๆ ที่มีผล ตอการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และสัณฐานของโลก มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู และจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชน ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
ม.1 1. สืบคนและอธิบายองคประกอบและ • บรรยากาศของโลกประกอบดวยสวนผสมของแกส • หนวยการเรียนรูที่ 7 การแบงชั้นบรรยากาศที่ปกคลุม ตางๆ ที่อยูรอบโลกสูงขึ้นไปจากพื้นผิวโลกหลาย บรรยากาศ (ตอนที่ 1) ผิวโลก กิโลเมตร • บรรยากาศแบงเปนชั้นตามอุณหภูมิและการ เปลี่ยนแปลงอุณหภูมิตามความสูงจากพื้นดิน 2. ทดลองและอธิบายความสัมพันธ ระหวางอุณหภูมิ ความชื้น และความกดอากาศที่มีผลตอ ปรากฏการณทางลมฟาอากาศ
คูม อื ครู
• อุณหภูมิ ความชื้นและความกดอากาศ มีผลตอ ปรากฏการณทางลมฟาอากาศ
• หนวยการเรียนรูที่ 7 บรรยากาศ (ตอนที่ 1)
ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
ม.1 3. สังเกต วิเคราะห และอภิปรายการ • ปรากฏการณทางลมฟาอากาศ ไดแก การเกิดเมฆ • หนวยการเรียนรูที่ 8 เกิดปรากฏการณทางลมฟาอากาศ ฝน พายุฟาคะนอง พายุหมุนเขตรอน ลมมรสุม ฯลฯ บรรยากาศ (ตอนที่ 2) ที่มีผลตอมนุษย 4. สืบคน วิเคราะห และแปลความหมาย • การพยากรณอากาศอาศัยขอมูลเกี่ยวกับอุณหภูมิ • หนวยการเรียนรูที่ 8 ขอมูลจากการพยากรณอากาศ ความกดอากาศ ความชืน้ ปริมาณเมฆ ปริมาณนํา้ ฝน บรรยากาศ (ตอนที่ 2) และนํามาแปลความหมายเพื่อใชในการทํานายสภาพ อากาศ
เสร�ม
13
5. สืบคน วิเคราะห และอธิบายผล • สภาพลมฟาอากาศที่เปลี่ยนแปลงบนโลกทําใหเกิด • หนวยการเรียนรูที่ 8 ของลมฟาอากาศตอการดํารงชีวิต พายุ ปรากฏการณเอลนิโญ ลานีญา ซึ่งสงผลตอการ บรรยากาศ (ตอนที่ 2) ของสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดลอม ดํารงชีวิตของมนุษย และสิ่งแวดลอม 6. สืบคน วิเคราะห และอธิบายปจจัย • ปจจัยทางธรรมชาติและการกระทําของมนุษย เชน • หนวยการเรียนรูที่ 8 ทางธรรมชาติและการกระทําของ ภูเขาไฟระเบิด การตัดไมทําลายปา การเผาไหมของ บรรยากาศ (ตอนที่ 2) มนุษยที่มีผลตอการเปลี่ยนแปลง เครือ่ งยนตและการปลอยแกสเรือนกระจก มีผลทําให อุณหภูมิของโลก รูโหวโอโซน และ เกิดภาวะโลกรอน รูโหวของชั้นโอโซน และฝนกรด ฝนกรด • ภาวะโลกรอนคือปรากฏการณทอี่ ณ ุ หภูมเิ ฉลีย่ ของโลก สูงขึ้น 7. สืบคน วิเคราะหและอธิบายผล ของภาวะโลกรอน รูโหวโอโซน และฝนกรด ที่มีตอสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดลอม
สาระที่ 8
• ภาวะโลกรอนทําใหเกิดการละลายของธารนํ้าแข็ง • หนวยการเรียนรูที่ 8 ระดับนํา้ ทะเลสูงขึน้ การกัดเซาะชายฝง เพิม่ ขึน้ นํา้ ทวม บรรยากาศ (ตอนที่ 2) ไฟปา สงผลใหสิ่งมีชีวิตบางชนิดสูญพันธุและทําให สิ่งแวดลอมเปลี่ยนแปลงไป • รูโหวโอโซนและฝนกรดมีผลตอการเปลี่ยนแปลงของ สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม
ธรรมชาติของวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 8.1 ใชกระบวนการทางวิทยาศาสตรและจิตวิทยาศาสตร ในการสืบเสาะหาความรู การแกปญหา รูวา ปรากฏการณทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นสวนใหญมีรูปแบบแนนอน สามารถอธิบายและตรวจสอบไดภายใต ขอมูลและเครื่องมือที่มีอยูในชวงเวลานั้นๆ เขาใจวา วิทยาศาสตร เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดลอม มีความเกี่ยวของสัมพันธกัน ชั้น
ตัวชี้วัด
ม.1 1. ตั้งคําถามที่กําหนดประเด็นหรือ ตัวแปรที่สําคัญในการสํารวจ ตรวจสอบ หรือศึกษาคนควาเรื่อง ที่สนใจไดอยางครอบคลุมและ เชื่อถือได
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-8
2. สรางสมมติฐานที่สามารถ ตรวจสอบไดและวางแผนการ สํารวจตรวจสอบหลายวิธี
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-8
3. เลือกเทคนิควิธีการสํารวจ ตรวจสอบทั้งเชิงปริมาณและ เชิงคุณภาพที่ไดผลเที่ยงตรงและ ปลอดภัย โดยใชวัสดุและเครื่องมือ ที่เหมาะสม
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-8
คูม อื ครู
ชั้น
เสร�ม
14
คูม อื ครู
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
ม.1 4. รวบรวมขอมูล จัดกระทําขอมูล เชิงปริมาณและคุณภาพ
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-8
5. วิเคราะหและประเมิน ความสอดคลองของประจักษ พยานกับขอสรุป ทั้งที่สนับสนุน หรือขัดแยงกับสมมติฐาน และ ความผิดปกติของขอมูลจากการ สํารวจตรวจสอบ
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-8
6. สรางแบบจําลอง หรือรูปแบบ ที่อธิบายผลหรือแสดงผลของการ สํารวจตรวจสอบ
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-8
7. สรางคําถามที่นําไปสูการสํารวจ ตรวจสอบ ในเรื่องที่เกี่ยวของ และ นําความรูที่ไดไปใชในสถานการณ ใหมหรืออธิบายเกี่ยวกับแนวคิด กระบวนการ และผลของโครงงาน หรือชิ้นงานใหผูอื่นเขาใจ
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-8
8. บันทึกและอธิบายผลการสังเกต การสํารวจ ตรวจสอบ คนควา เพิ่มเติมจากแหลงความรูตางๆ ให ไดขอมูลที่เชื่อถือได และยอมรับ การเปลี่ยนแปลงความรูที่คนพบ เมื่อมีขอมูลและประจักษพยานใหม เพิ่มขึ้นหรือโตแยงจากเดิม
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-8
9. จั ด แสดงผลงาน เขี ย นรายงาน และ/หรื อ อธิ บ ายเกี่ ย วกั บ แนวคิ ด กระบวนการ และผลของโครงงาน หรือชิ้นงานใหผูอื่นเขาใจ
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-8
คําอธิบายรายวิชา รายวิชา วิทยาศาสตร เลม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 รหัสวิชา ว…………………………………
กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร ภาคเรียนที่ 1 เวลา 60 ชั่วโมง/ป
ศึกษา วิเคราะห กระบวนการทางวิทยาศาสตร ซึ่งประกอบดวยการสังเกต การตั้งสมมุติฐาน การทดลอง เสร�ม การรวบรวมขอมูล สรุปผล และการเขียนรายงานการทดลอง ศึกษา วิเคราะหลักษณะและรูปรางของเซลล 15 สิ่งมีชีวิต โครงสรางและหนาที่ของเซลลพืชและเซลลสัตว กระบวนการเคลื่อนที่ของสารผานเซลล การลําเลียง สารในพืช กระบวนการสังเคราะหดว ยแสง กระบวนการสืบพันธุข องพืช การตอบสนองของพืชตอสิง่ เรา เทคโนโลยี ชีวภาพสําหรับพืช สารและการจําแนกสารเปนสารเนื้อเดียว สารเนื้อผสม สมบัติของสาร และการแยกสาร โดยใชกระบวนการทางวิทยาศาสตร การสืบเสาะหาความรู การสํารวจตรวจสอบ การสืบคนขอมูลและ อภิปราย เพื่อใหเกิดความรู ความคิด ความเขาใจ สามารถสื่อสารสิ่งที่ไดเรียนรู มีความสามารถในการตัดสินใจ เห็นคุณคาของการนําความรูไปใชในชีวิตประจําวัน มีจิตวิทยาศาสตร จริยธรรม คุณธรรม และคานิยม ที่เหมาะสม ตัวชี้วัด ว 1.1 ว 3.1 ว 3.2 ว 8.1
ม.1/1
ม.1/2
ม.1/3
ม.1/4
ม.1/1
ม.1/2
ม.1/3
ม.1/4
ม.1/1
ม.1/2
ม.1/3
ม.1/5
ม.1/6
ม.1/7
ม.1/8
ม.1/9 ม.1/10 ม.1/11 ม.1/2
ม.1/3
ม.1-3/1 ม.1-3/2 ม.1-3/3 ม.1-3/4 ม.1-3/5 ม.1-3/6 ม.1-3/7 ม.1-3/8 ม.1-3/9
รวม 29 ตัวชี้วัด
คูม อื ครู
คูม อื ครู
บรรยากาศ (ตอนที่ 2)
หนวยการเรียนรูที่ 8
บรรยากาศ (ตอนที่ 1)
หนวยการเรียนรูที่ 7
พลังงานความรอน
หนวยการเรียนรูที่ 6
แรงและการเคลือ่ นที่
หนวยการเรียนรูที่ 5
กระบวนการทางวิทยาศาสตร เลม 2
หนวยการเรียนรูพิเศษ
สมบัตขิ องสารและ การจําแนกสาร
หนวยการเรียนรูที่ 4
กระบวนการในการดํารงชีวติ ของพืช (ตอนที่ 2)
หนวยการเรียนรูที่ 3
กระบวนการในการดํารงชีวติ ของพืช (ตอนที่ 1)
หนวยการเรียนรูที่ 2
หนวยพืน้ ฐานของสิง่ มีชวี ติ ✓ ✓ ✓
หนวยการเรียนรูที่ 1
เลม 1
ตัวชี้วัด
ตัวชี้วัด
ตัวชี้วัด
ตัวชี้วัด
สาระที่ 4
ตัวชี้วัด
สาระที่ 5
มาตรฐาน มาตรฐาน มาตรฐาน ว 5.1 ว 3.2 ว 4.1
ตัวชี้วัด
มาตรฐาน ว 6.1
สาระที่ 6 ตัวชี้วัด
มาตรฐาน ว 8.1
สาระที่ 8
✓✓✓✓✓✓ ✓✓✓✓ ✓✓✓✓✓✓✓
✓✓ ✓✓✓✓ ✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 1 2 3 4 1 2 3 1 2 1 2 3 4 1 2 3 4 5 6 7 1 2 3 4 5 6 7 8 9
มาตรฐาน ว 3.1
สาระที่ 3
เสร�ม
16
มาตรฐาน ว 1.1
สาระที่ 1
ตาราง วิเคราะหมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด รายวิชา วิทยาศาสตร ม.1
คําชี้แจง : ใหผูสอนใชตารางนี้ตรวจสอบความสอดคลองของเนื้อหาสาระการเรียนรูในหนวยการเรียนรูกับมาตรฐาน การเรียนรูและตัวชี้วัดชั้นป
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÃÒÂÇÔªÒ¾×é¹°Ò¹
วิทยาศาสตร เลม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1
¡ÅØ‹ÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙŒÇÔ·ÂÒÈÒʵà ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
ผูเรียบเรียง
รศ. ดร. ยุพา วรยศ นายถนัด ศรีบุญเรือง มิสเตอรโจ บอยด มิสเตอรวอลเตอร ไวทลอร
ผูตรวจ
ดร. ฤทธิ์ วัฒนชัยยิ่งเจริญ นางกุณฑรี เพ็ชรทวีพรเดช นางสาวอารียา ศรีประเสริฐ
บรรณาธิการ
นายวิโรจน เตรียมตระการผล นางสาววราภรณ ทวมดี
รหัสสินคา 2118002
ค้นความรู้ขยายความคิด¨าก ¾ÔÁ¾ ¤ÃÑ駷Õè ñ ÃËÑÊÊÔ¹¤ŒÒ 2148017
EB GUIDE
ที่พิมพกํากับหัวขอสําคัญในหนังสือเรียนหลักสูตรแกนกลางฯ ผาน www.aksorn.com ไปยังแหลงความรูทั่วไทย-ทั่วโลก
คณะผูจัดทําคูมือครู
พัชรินทร แสนพลเมือง สายสุนีย งามพรหม จิตรา สังขเกื้อ
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÃÒÂÇÔªÒ¾×é¹°Ò¹
วิทยาศาสตร เลม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1
คํา
เตือ น
¡ÅØ‹ÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙŒÇÔ·ÂÒÈÒʵà ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
˹ѧÊ×ÍàÅ‹Á¹Õéä´ŒÃѺ¡Òä،Á¤ÃͧµÒÁ ¾.Ã.º. ÅÔ¢ÊÔ·¸Ôì ËŒÒÁÁÔãËŒ¼ÙŒã´ ·íÒ«éíÒ ¤Ñ´ÅÍ¡ àÅÕ¹Ẻ ·íÒÊíÒà¹Ò ¨íÒÅͧ§Ò¹¨Ò¡µŒ¹©ºÑºËÃ×Íá»Å§à»š¹ÃٻẺÍ×è¹ ã¹ÇÔ¸Õµ‹Ò§æ ·Ø¡ÇÔ¸Õ äÁ‹Ç‹Ò·Ñé§ËÁ´ËÃ×ͺҧʋǹ â´ÂÁÔä´ŒÃѺ͹ØÞÒµ¨Ò¡à¨ŒÒ¢Í§ÅÔ¢ÊÔ·¸Ôì¶×Í໚¹¡ÒÃÅÐàÁÔ´ ¼ÙŒ¡ÃзíҨеŒÍ§ÃѺ¼Ô´·Ñ駷ҧᾋ§áÅзҧÍÒÞÒ
พิมพครั้งที่ 8
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ ISBN : 978-616-203-095-6
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
¤íÒ¹íÒ วิทยาศาสตรเปนวิชาทีม่ บี ทบาทสําคัญยิง่ ตอสังคมทัง้ ในโลกปจจุบนั และอนาคต เพราะวิทยาศาสตร จะมีความเกี่ยวของกับเราทุกคนทั้งในการดําเนินชีวิตประจําวัน การประกอบอาชีพการงานตางๆ ตลอดจนเทคโนโลยี เครื่องมือเครื่องใชและผลผลิตตางๆ ที่มนุษยสรางสรรคขึ้นมา วิทยาศาสตรชวยพัฒนาความคิดของมนุษย ใหคิดเปนเหตุเปนผล คิดสรางสรรค คิดวิเคราะห วิจารณ มีทักษะสําคัญในการแสวงหาความรู สามารถแกไขปญหาอยางเปนระบบ สามารถตัดสินใจ โดยใชขอมูลที่หลากหลายและมีประจักษพยานที่ตรวจสอบได วิทยาศาสตรจึงเปนวัฒนธรรมของโลก สมัยใหมที่เราทุกคนจําเปนตองไดรับการพัฒนา สําหรับหนังสือเรียนรายวิชาพืน้ ฐาน วิทยาศาสตร ชุดนี้ สาระภายในเลมไดพฒ ั นามาจากหนังสือ ชุด New Understanding Science ของประเทศอังกฤษ โดยเรียบเรียงใหสอดคลองกับตัวชี้วัดและสาระ การเรียนรูแกนกลาง ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เนื้อหาภายใน เลมจะเรียงไปตามสาระ และแบงยอยเปนหนวยการเรียนรู การนําเสนอนอกจากเนื้อหาสาระแลว ก็จะ มีกจิ กรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตรแทรกคัน่ ไวให และทุกทายหนวยการเรียนรู จะมีกจิ กรรมสรางสรรค พัฒนาที่เปนกิจกรรมการทดลองทางวิทยาศาสตรทบทวนอีกครั้งหนึ่ง ทัง้ นี้ในแตละชัน้ จะแบงหนังสือเรียนออกเปน 2 เลม ใชประกอบการเรียนการสอนภาคเรียนละเลม ซึ่งในชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 จัดแบงเนื้อหาตามสาระ ดังนี้ วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 มีเนื้อหาเกี่ยวกับกระบวนการศึกษาวิทยาศาสตร หนวยพื้นฐานของ สิง่ มีชวี ติ กระบวนการในการดํารงชีวติ ของพืช สมบัตขิ องสารและการ จําแนกสาร วิทยาศาสตร ม.1 เลม 2 มีเนื้อหาเกี่ยวกับแรงและการเคลื่อนที่ พลังงานความรอน และ บรรยากาศ ในการเรียบเรียงพยายามใหนักเรียนสามารถอานทําความเขาใจไดงาย ชัดเจน ไดรับความรู ตรงตามประเด็นในสาระการเรียนรูแกนกลาง และอํานวยความสะดวกทั้งตอครูผูสอนและนักเรียน หวังเปนอยางยิ่งวา หนังสือเรียนสาระการเรียนรูพื้นฐาน วิทยาศาสตรชุดนี้ จะมีสวนชวยใหการจัด การเรียนการสอนวิทยาศาสตร ระดับมัธยมศึกษาปที่ 1-3 สัมฤทธิผลตามเปาหมาย และมีสวนชวยให นักเรียนมีคุณภาพอยางที่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานไดกําหนดไว ¼ÙŒàÃÕºàÃÕ§
Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
ÊÒúÑÞ àÅ‹Á 1 ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè
˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè
˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè
˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè
1 2 3 4
˹‹Ç¾×é¹°Ò¹¢Í§ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ ● ●
ÅѡɳÐáÅÐÃٻËҧ¢Í§à«ÅÅ ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ â¤Ã§ÊÌҧáÅÐ˹ŒÒ·Õè¢Í§à«ÅÅ ¾×ªáÅÐà«ÅÅ ÊѵÇ
¡Ãкǹ¡ÒÃ㹡ÒôíÒçªÕÇÔµ¢Í§¾×ª (µÍ¹·Õè 1) ● ● ●
¡Ãкǹ¡ÒÃà¤Å×è͹·Õè¢Í§ÊÒü‹Ò¹àÂ×èÍËØŒÁà«ÅÅ ¡ÒÃÅíÒàÅÕ§ÊÒÃ㹾ת ¡Ãкǹ¡ÒÃÊѧà¤ÃÒÐË ´ŒÇÂáʧ
¡Ãкǹ¡ÒÃ㹡ÒôíÒçªÕÇÔµ¢Í§¾×ª (µÍ¹·Õè 2) ● ● ●
¡Ãкǹ¡ÒÃÊ׺¾Ñ¹¸ آͧ¾×ª ¡Òõͺʹͧ¢Í§¾×ªµ‹ÍÊÔè§àÃŒÒ à·¤â¹âÅÂÕªÕÇÀÒ¾ÊíÒËÃѺ¾×ª
ÊÁºÑµÔ¢Í§ÊÒÃáÅСÒèíÒṡÊÒà ● ● ● ●
ÊÁºÑµÔ¢Í§ÊÒÃáÅСÒèíÒṡÊÒà ÊÒÃà¹×éÍà´ÕÂÇ ÊÒÃà¹×éͼÊÁ ÊÁºÑµÔ¢Í§ÊÒÃÅÐÅÒ¡ô-àºÊ
ÀÒ¤¼¹Ç¡ ¡Ãкǹ¡Ò÷ҧÇÔ·ÂÒÈÒʵà ● ● ● ● ●
¡Ãкǹ¡Ò÷ҧÇÔ·ÂÒÈÒʵà ¡Ò÷´Åͧ ¡ÒÃËÒ¢ŒÍÁÙÅ ¡ÒÃÇÑ´»ÃÔÁÒ³ ¡ÒÃà¢Õ¹ÃÒ§ҹ
ºÃóҹءÃÁ
àÅ‹Á 2
˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè 5 áçáÅСÒÃà¤Å×è͹·Õè ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè ¾Åѧ§Ò¹¤ÇÒÁÌ͹ ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè 7 ºÃÃÂÒ¡ÒÈ (µÍ¹·Õè 1) ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè 8 ºÃÃÂÒ¡ÒÈ (µÍ¹·Õè 2)
1-16 2 7
17-36
18 22 26
37-54 38 45 48
55-90 56 65 74 78
91-108 92 95 98 100 103
108
กระตุน ความสนใจ
1
˹‹Ç ¡Ò
Õè ÂÕ ¹ÃÙŒ· ÃàÃ
กระตุEngage นความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
1. อธิบายรูปราง ลักษณะของเซลลของสิ่งมีชีวิต เซลลเดียวและเซลลของสิง่ มีชวี ติ หลายเซลลได 2. อธิบายโครงสรางและหนาที่ของเซลลพืชและ เซลลสัตวได 3. เปรียบเทียบสวนประกอบสําคัญของเซลลพืช และเซลลสัตวได
˹‹Ç¾×é¹°Ò¹ ¢Í§ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ
สมรรถนะของผูเรียน
ร่างกายของพืชและสัตว์ทุกชนิดประกอบด้วยหน่วยโครงสร้างพื้นฐานที่ เล็กที่สุด เรียกว่า เซลล์ (cell) จ�านวนมากมายนับล้านเซลล์ โดยแต่ละเซลล์จะมี ส่วนประกอบพื้นฐานเหมือนกัน คือ เยื่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึม และนิวเคลียส ซึ่งหากจะศึกษาให้ลึกลงไปในแต่ละเซลล์จะต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ช่วยในการศึกษา เพื่อให้ทราบถึงขนาด รูปร่าง และส่วนประกอบของเซลล์ได้ชัดเจนขึ้น
1. ความสามารถในการคิด 2. ความสามารถในการแกปญหา
คุณลักษณะอันพึงประสงค ตัวชี้วัดชั้นป มฐ. ว 1.1 ม. 1/1, 2, 3 • สังเกตและอธิบายรูปร่าง ลักษณะของเซลล์ ของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวและเซลล์ของสิ่งที่มีชีวิต หลายเซลล์ • สังเกตและเปรียบเทียบส่วนประกอบส�าคัญของ เซลล์พืชและเซลล์สัตว์ • ทดลองและอธิบายหน้าที่ของส่วนประกอบที่ส�าคัญ ของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ มฐ. ว 8.1 ม. 1-3/1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 • ข้อ 1-ข้อ 9
1. มีวินัย 2. ใฝเรียนรู 3. มุงมัน่ ในการทํางาน
กระตุน ความสนใจ
Engage
ครูใหนักเรียนพิจารณาภาพหนาหนวยแลวให นักเรียนรวมกันอภิปรายวาเปนเซลลชนิดใด และ มีหนาที่อยางไร และถามความคิดเห็นของนักเรียน วาเซลลชนิดตางๆ นาจะมีรูปรางและหนาที่ เหมือนกันหรือไม
เกร็ดแนะครู การเรียนการสอนเรื่อง หนวยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต ครูควรเนนใหนักเรียนได ศึกษาถึงรูปราง ลักษณะของเซลลจริง โดยสิ่งจําเปนอยางยิ่งในการศึกษาเรื่องเซลล คือ กลองจุลทรรศน ดังนั้น ครูควรฝกพื้นฐานการใชกลองจุลทรรศนอยางถูกตอง ใหแกนักเรียน ทั้งนี้เพื่อเปนพื้นฐานในการศึกษาระดับที่สูงขึ้นไป
คูมือครู
1
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุEngage นความสนใจ
กระตุน ความสนใจ
Exploreนหา สํารวจค
Engage
ครูนําเขาสูบทเรียนโดยการเลาประวัติของ รอเบิรต ฮุค อยางสังเขปๆ พรอมอธิบายเพิ่มเติม เกีย่ วกับกลองจุลทรรศนทรี่ อเบิรต ฮุค เปนผูป ระดิษฐ มาเพื่อใชศึกษาเกี่ยวกับเซลล จากนั้นครูตั้งคําถาม เพื่อกระตุนความสนใจของนักเรียน • เซลลที่รอเบิรต ฮุค คนพบมีลักษณะ เปนอยางไร (แนวตอบ รอเบิรต ฮุค ใชกลองจุลทรรศน สองดูไมคอรกที่เฉือนบางๆ ซึ่งพบชองเล็กๆ จํานวนมาก เขาจึงเรียกชองเล็กๆ เหลานี้วา เซลล (cell) ซึ่งเซลลที่รอเบิรต ฮุค พบนั้นเปน เซลลที่ตายแลว แตการที่คงเปนชองอยูไดก็ เนื่องจากเซลลนั้นมีผนังเซลลนั่นเอง โดยเซลล จะเปนองคประกอบที่อยูในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด)
สํารวจคนหา
1.1 ลÑกɳÐáลÐรู»ร่างของเ«ลล สิ่งมÕชÕÇิต
รอเบิร์ต ฮุค เป็นผู้ค้นพบเซลล์เป็นคนแรก
ลักษณะกล้องจุลทรรศน์ ของรอเบิร์ต ฮุค และเซลล์ไม้คอร์ก
อะมีบา
แบคทีเรีย
ยีสต์
ตัวอย่างสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว
2
เกร็ดแนะครู 1. ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับลักษณะ สวนประกอบ และการทํางานของ กลองจุลทรรศนประเภทตางๆ 2. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา ภายในนิวเคลียสจะมีหนวยพันธุกรรม คือ ยีน (gene) ซึ่งทําหนาที่ควบคุมและถายทอดขอมูลเกี่ยวกับลักษณะทางพันธุกรรมตางๆ ของสิ่งมีชีวิตจากรุนหนึ่งไปสูอีกรุนหนึ่ง
มุม IT ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเซลลของสิ่งมีชีวิตไดจาก http://www.myf irstbrain. com/student_view.aspx?ID=71878
คูมือครู
ไดอะตอม พารามีเซียม
Expand
ครูใหนักเรียนแบงกลุมเปน 6 กลุม ทําสมุดภาพ โดยวาดภาพรูปรางของสิ่งมีชีวิตเซลลเดียวชนิดใด ชนิดหนึ่ง ไดแก อะมีบา พารามีเซียม ยูกลีนา ยีสต แบคทีเรีย และไดอะตอม พรอมทั้งบอกวาสิ่งมีชีวิต ชนิดนั้นมีสวนประกอบอะไรบาง
2
สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว (unicellular organism) ร่างกายจะประกอบด้วย เซลล์เพียงเซลล์เดียว กิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการด�ารงชีวิต เช่น การ กินอาหาร การขับถ่าย การสืบพันธุ์ จะเกิดขึ้นภายในเซลล์เพียงเซลล์เดียว ภายในเซลล์จะประกอบด้วยโครงสร้างต่างๆ เหมือนกับเซลล์ของสิ่งมีชีวิต หลายเซลล์ ส่วนมากนิวเคลียสมีเยื่อหุ้ม สามารถด�ารงชีวิตอยู่เป็นอิสระได้ เช่น สาหร่ายเซลล์เดียว อะมีบา ยีสต์ เป็นต้น บางชนิดนิวเคลียสไม่มเี ยือ่ หุม้ เช่น แบคทีเรีย ดังนัน้ DNA (Deoxyibonucleic acid) จะกระจายอยู่ในไซโทพลาซึม ท�าให้ไม่มีนิวเคลียสเป็นก้อนเหมือนสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ และมีโครโมโซม รูปวงกลม 1 อัน ท�าหน้าที่ควบคุมกิจกรรมต่างๆ ภายในเซลล์
Explain
ครูสุมนักเรียนใหออกมารายงานเรื่องที่ศึกษา หนาชั้นเรียน และใหนักเรียนคนอื่นๆ รวมกัน อภิปรายและแสดงความคิดเห็น รวมทั้งครูชวย อธิบายเพิ่มเติมเพื่อใหเกิดความเขาใจที่ถูกตอง
ขยายความเขาใจ
เซลล์จดั เป็นหน่วยทีเ่ ล็กทีส่ ดุ ทีท่ า� หน้าทีข่ องสิง่ มีชวี ติ ได้ เช่น เจริญเติบโต สืบพันธุ์เป็นต้น ปี พ.ศ. 2208 รอเบิร์ต ฮุค (Robert Hooke) นักวิทยาศาสตร์ ชาวอังกฤษ ได้ค้นพบเซลล์จากการที่เขาได้น�าเลนส์มาส่องดูสิ่งต่างๆ เช่น แมลง ขนนก เกล็ดปลา เป็นต้น ซึง่ สิง่ ทีเ่ ขาสนใจมากทีส่ ดุ คือ เปลือกต้นโอ๊ก หรือทีเ่ รียกอีกชือ่ หนึง่ ว่า ไม้คอร์ก เขาน�าเปลือกต้นโอ๊กมาตัดเป็นชิน้ บางๆ แล้วน�ามาส่องดูด้วยเลนส์เห็นเป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ เรียงติดต่อกัน ฮุคจึง เรียกช่องเหล่านี้ว่า เซลล์ (cell) โดยเซลล์ไม้คอร์กที่เขาเห็นนี้ เป็นเซลล์ที่ ตายแล้ว เพราะประกอบด้วยผนังเซลล์เรียงติดต่อกันเป็นช่องสี่เหลี่ยม และ ภายในไม่มีองค์ประกอบที่มีชีวิต
1.1.1 สิ่งมีชีวิตเซลลเดียว
Explore
ใหนักเรียนศึกษาเกี่ยวกับลักษณะและรูปราง ของสิ่งมีชีวิตเซลลเดียวชนิดตางๆ จากหนังสือเรียน หนา 2 แลวสรุปและบันทึกลงในสมุดของนักเรียน
อธิบายความรู
อธิบExplain ายความรู
กิจกรรมสรางเสริม ใหนักเรียนศึกษาคนควาเพิ่มเติมรวบรวมรายชื่อชนิดของสิ่งมีชีวิต เซลลเดียวใหไดมากที่สุด โดยจดลงในสมุดบันทึก
กิจกรรมทาทาย ใหนักเรียนศึกษาคนควาเพิ่มเติมวาสิ่งมีชีวิตเซลลเดียว เชน อะมีบา พารามีเซียม ยูกลีนา ยีสต แบคทีเรีย ไดอะตอม เปนตน มีการดําเนิน กิจกรรมตางๆ ที่เกี่ยวของกับการดํารงชีวิต เชน การกินอาหาร การขับถาย การเคลื่อนที่ การสืบพันธุอยางไร แลวทํารายงานสงครูผูสอน
กระตุนความสนใจ Engage
สํารวจคนหา
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
สํารวจค Exploreนหา
สํารวจคนหา
ครูใหนักเรียนหาคําตอบเกี่ยวกับรูปราง ลักษณะ และหนาที่ของเซลลชนิดตางๆ ที่เปน สวนประกอบในสิ่งมีชีวิตหลายเซลล เชน เซลลคุม เซลลขนราก เซลลประสาท เซลลกลามเนื้อ เปนตน โดยเลือกมาคนละ 1 เซลล แลวบันทึกผล ลงในสมุด
1.1.2 สิ่งมีชีวิตหลายเซลล
สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ (multicellular organism) ได้แก่ พืชและสัตว์ ทั่วไป ร่างกายจะประกอบขึ้นจากเซลล์มากมายหลายล้านเซลล์ โดยเซลล์ ที่มีลักษณะคล้ายกันหรือเป็นเซลล์ชนิดเดียวกันมาอยู่ด้วยกัน ท�าหน้าที่ อย่างเดียวกัน เรียกกลุ่มเซลล์เหล่านี้ว่า เนือ้ เยื่อ (tissues) ถึงแม้เซลล์ของ พืชและเซลล์ของสัตว์จะมีโครงสร้างพื้นฐาน คือ เยื่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึม และนิวเคลียสเหมือนกัน แต่เซลล์พชื และเซลล์สตั ว์กม็ สี ว่ นประกอบของเซลล์ ที่แตกต่างกันหลายอย่าง
เซลล์คุม อยูบริเวณใต้ใบของพืช ทุกชนิด ยกเว้นพืชที่อยูในนํ้า
เซลล์ขนราก มีลักษณะยาวและ บาง เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวในการดูดซึม นํ้าและแรธาตุ ภาพที่ 1.5 ตัวอย่างเซลล์ของสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ (ที่มาของภาพ : science tracks 8 p.42)
ภาพที่ 1.4 ผี เ สื้ อ เป็ น ตั ว อย่ า งของสิ่ ง มี ชี วิ ต หลายเซลล์ (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
เซลล์ประสาท มีแขนงยื่น ออกมาชวยเพิ่มพื้นที่ ใน การสงสัญญาณประสาท
อธิบายความรู
Explain
ครูสุมตัวแทนนักเรียนออกมานําเสนอผลงาน หนาชั้นเรียน โดยใหนักเรียนคนอื่นๆ รวมกัน วิพากษวิจารณวาสรุปไดครบถวนตรงประเด็น หรือไม หากไมครบถวนใหชวยกันเสนอแนะใหได ขอสรุปที่ถูกตองชัดเจน หลังจากนั้นใหนักเรียนทํา กิจกรรมที่ 1.2 จากแบบวัดและบันทึกผลการเรียนรู วิทยาศาสตร ม.1
เซลล์กล้ามเนือ้ มีลกั ษณะยาว หัวท้ายแหลม มีนิวเคลียสอยู กลางเซลล์
✓ แบบวัดฯ ใบงาน แบบฝกฯ ว�ทยาศาสตร ม.1 กิจกรรมที่ 1.2 หนวยที่ 1 หนวยพืน้ ฐานของสิง่ มีชว� ต�
¤วาÁàËÁ×อ¹áÅФวาÁáต¡ต่างÃÐËว่าง ÊÔèงÁÕªÕวÔตà«ÅÅ à´Õยว¡ัºÊÔèงÁÕªÕวÔตËÅายà«ÅÅ
พืช
แบคทีเรีย
สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว • สิ่งมีชีวิตที่ประกอบด้วยเซลล์เพียง หนึ่งเซลล์ • กิจกรรมต่างๆ เกีย่ วกับการด�ารงชีวติ เกิดขึ้นภายในเซลล์เดียว 1 • ตัวอย่างเช่น2อะมีบา ยูกลีนา พารามีเซียม ไดอะตอม เป็นต้น
Explore
กิจกรรมที่ 1.2
สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ • สิ่งมีชีวิตที่ประกอบด้วยเซลล์ มากกว่าหนึ่งเซลล์ • เซลล์ชนิดเดียวกันหลายๆ เซลล์จะมา รวมตัวกันเพือ่ ท�าหน้าทีอ่ ย่างเดียวกัน เรียกว่า “เนื้อเยื่อ” • ได้แก่ พืชและสัตว์ต่างๆ
ใหนกั เรียนเปรียบเทียบลักษณะเซลลของสิง่ มีชวี ติ เซลลเดียว และเซลลของสิ่งมีชีวิตหลายเซลล (ว 1.1 ม.1/1)
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
10
ลักษณะเซลลของสิ่งมีชีวิตเซลลเดียว
ลักษณะเซลลของสิ่งมีชีวิตหลายเซลล
กิจกรรมตางๆ ที่เกี่ยวของกับการดํารงชีวิต ……………………………………………………………………………………
แตละเซลลจะมีโครงสรางพื้นฐานเหมือนกัน ……………………………………………………………………………………
จะเกิดขึ้นภายในเซลลเพียงเซลลเดียว ภายใน ……………………………………………………………………………………
คือ เยื่อหุมเซลล ไซโทพลาซึม และนิวเคลียส ……………………………………………………………………………………
เซลลประกอบดวยโครงสรางตางๆ เหมือนกับ ……………………………………………………………………………………
แตในเซลลพชื และเซลลสตั วนั้นจะมีโครงสราง ……………………………………………………………………………………
เซลลของสิ่งมีชีวิตหลายเซลล ……………………………………………………………………………………
บางอยางที่แตกตางกัน ……………………………………………………………………………………
รางกายประกอบไปดวยเซลลเพียงเซลลเดียว ……………………………………………………………………………………
กิจกรรมที่ 1.3
เซลลหลายเซลลจะประกอบกันเปนรางกาย ……………………………………………………………………………………
ใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมตามคําแนะนํา (ว 1.1 ม.1/1)
ฉบับ
เฉลย
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
15
ตอนที่ 1 บอกสวนประกอบของกลองจุลทรรศน และหนาทีข่ องสวนประกอบตางๆ 5
อะมีบา
สัตว์
1 2
3
3 4
ใกลวัตถุ ตถุ 1. เลนส …………………………………. หนาที่ ขยายภาพของวั ……………………………………………………………………… นวางวัตถุ วางสไลดตัวอยางที่ตองการศึกษา 2. แท …………………………………. หนาที่ ใช ……………………………………………………………………… แสงสองสวางเพื่อดูวัตถุ 3. หลอดไฟ …………………………………. หนาที่ ให ……………………………………………………………………… บนํ้าหนักของตัวกลอง …………………………………. หนาที่ รองรั ……………………………………………………………………… 6 4. ฐาน ใกลตา ตถุ 5. เลนส …………………………………. หนาที่ ขยายภาพของวั ……………………………………………………………………… แขน ใชเปนที่จับ เมื่อเคลื่อนยายกลอง 7 6. …………………………………. หนาที่ ……………………………………………………………………… ปุ ม ปรั บ ภาพหยาบ ใช เ ลื อ ่ นแท น วางวั ตถุเพื่อใหมองเห็นภาพ 7. …………………………………. หน า ที ่ ……………………………………………………………………… 8 มปรับภาพละเอียด หนาที่ ปรั บความคมชัดของภาพ 8. ปุ…………………………………. ………………………………………………………………………
3
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
การขับถายของสัตวในขอใดแตกตางจากขออื่น 1. อะมีบา 2. ไดอะตอม 3. พลานาเรีย 4. พารามีเซียม
วิเคราะหคําตอบ อะมีบา ไดอะตอม และพารามีเซียม เปนสิ่งมีชีวิต เซลลเดียว ดังนั้นการขับถายจึงเกิดขึ้นในเซลลเพียงเซลลเดียว แต พลานาเรียเปนสิ่งมีชีวิตหลายเซลล ซึ่งจะมีระบบขับถายทําหนาที่ใน การขับถาย โดยระบบขับถายเกิดจากการรวมกันของอวัยวะที่ทําหนาที่ใน การขับถาย ซึ่งอวัยวะแตละอวัยวะจะเกิดจากการรวมกันของเนื้อเยื่อ และ เนื้อเยื่อเกิดจากการรวมกลุมของเซลลหลายๆ เซลลนั่นเอง พลานาเรีย จึงมีการขับถายแตกตางจากสิ่งมีชีวิตอื่นขออื่น ดังนั้น จึงตอบขอ 2.
เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมวา ในสิ่งมีชีวิตหลายเซลลนั้น เซลลจะมีการรวมกลุมกันเปน เนื้อเยื่อชนิดตางๆ เนื้อเยื่อชนิดตางๆ จะรวมกันเปนอวัยวะ และอวัยวะก็รวมกัน เปนระบบ ระบบแตละระบบจะทําหนาที่เฉพาะ เชน ระบบยอยอาหาร ระบบหายใจ ระบบขับถาย เปนตน ซึ่งระบบเหลานี้จะรวมกันและประกอบขึ้นเปนรูปรางหรือ รางกายของสิ่งมีชีวิตแตละชนิด
นักเรียนควรรู 1 ยูกลีนา โพรติสตเซลลเดียวที่มีสารสีแคโรทีนและคลอโรฟลล ดํารงชีพเปน ผูผลิต มีอายสปอต (eye spot) ในการตอบสนองตอแสง 2 พารามีเซียม โปรโตซัวสกุลหนึ่ง มีรูปรางลักษณะคลายกับรองเทาแตะ มีขนรอบๆ ตัว ใชในการเคลื่อนที่ เรียกวา ซิเลีย (celia) อาศัยในแหลงนํ้าจืด ตามธรรมชาติ คูมือครู
3
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
Expand
1. ครูใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเซลลตางๆ ในสิง่ มีชวี ติ หลายเซลลทงั้ เซลลพชื และเซลลสตั ว แลวทําปายนิเทศเผยแพรความรูในชั้นเรียน โดยออกแบบใหเขาใจงาย ซึ่งอาจใชภาพ ประกอบการอธิบาย 2. ใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 1.1 ขอ 1. สวนประกอบของ กลองจุลทรรศน โดยบันทึกลงในสมุดของ นักเรียน
กิจกรรม
พั ฒ นาทั ก ษะ วิทยาศาสตร์
1.1
1. ส่วนประกอบของกล้องจุลทรรศน์ นักวิทยาศาสตร์จ�าเป็นต้องใช้กล้องจุลทรรศน์เพื่อศึกษาสิ่งต่างๆ ที่มีขนาดเล็กมากที่ ไม่สามารถมองเห็นด้วย ตาเปล่า โดยกล้องจุลทรรศน์จะช่วยขยายภาพที่มีขนาดเล็กให้มีขนาดใหญ่ขึ้น
ภาพตัดขวางของใบพืช ก�าลังขยาย 400 เท่า
ภาพที่ 1.6 กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง (ที่มาของภาพ : biology expression p.18)
ภาพตัดขวางของใบพืช ก�าลังขยาย 400 เท่า
ภาพที่ 1.7 กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน (ที่มาของภาพ : biology expression p.18)
ส่วนประกอบของกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสงจะช่วยขยายภาพวัตถุให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เมื่อแสงส่องผ่านไปยังวัตถุ นักเรียนก็จะ ษณะบางมาก เห็นภาพของวัตถุนั้นได้ แต่วัตถุที่น�ามาส่องดูนี้ต้องมีลักษณะบา 1. ให้นักเรียนหาแผนภาพแสดงกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสงจากหนังสือในห้องสมุดหรือจากอินเทอร์เน็ตแล้ว
น�าไปติดในสมุด จากนั้นเขียนค�าอธิบายส่วนต่างๆ เพิ่มเติม 2. ให้นักเรียนสร้างตารางที่มี 2 คอลัมน์ลงในสมุด แล้วเขียนส่วนประกอบต่างๆ ของกล้องจุลทรรศน์ลงใน คอลัมน์แรก จากนั้นจึงเขียนอธิบายหน้าที่ของส่วนประกอบแต่ละส่วนลงในคอลัมน์ที่สอง
4
แนวตอบ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.1 1. สวนประกอบของกลองจุลทรรศน 1. พิจารณาจากผลงานของนักเรียน โดยอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน 2. สวนประกอบของ กลองจุลทรรศน
4
หนาที่ของสวนประกอบ
สวนประกอบของ กลองจุลทรรศน
หนาที่ของสวนประกอบ
1. ลํากลอง
ปลายดานบนมีเลนสใกลตาสวมอยู อีกดานหนึ่งมีชุดของเลนสใกล วัตถุซึ่งติดอยูกับจานหมุน
8. แขนกลอง
สวนที่ยึดลํากลองและฐานไวดวยกัน ใชเปนที่จับเวลาเคลื่อนยาย กลองจุลทรรศน
2. จานหมุนเลนส
ใชหมุนเพื่อเปลี่ยนกําลังขยายของเลนส
9. แทนวางสไลด
3. เลนสใกลวัตถุ
ขยายภาพของวัตถุ
สําหรับวางสไลดตัวอยางที่ตองการศึกษา มีลักษณะเปนแทน สี่เหลี่ยมหรือวงกลม ตรงกลางมีรูใหแสงจากหลอดไฟสองผานวัตถุ
4. ที่หนีบสไลด
สําหรับยึดสไลดและมีอุปกรณชวยในการเลื่อนสไลด
5. คอนเดนเซอร
เปนเลนสรวมแสง เพื่อรวมแสงผานไปยังวัตถุที่อยูบนสไลด สามารถเลื่อนขึ้นลงได
6. หลอดไฟ
สําหรับใหแสงสองสวางเพื่อดูวัตถุ
7. เลนสใกลตา
ใชขยายภาพของวัตถุ
คูมือครู
10. ปุมปรับภาพหยาบ ใชเลื่อนตําแหนงของแทนวางวัตถุขึ้นลง เมื่ออยูในระยะโฟกัสก็จะ มองเห็นภาพได 11. ปุมปรับภาพ ละเอียด
ใชปรับภาพเพื่อใหไดภาพคมชัดยิ่งขึ้นหลังจากปรับปุมปรับ ภาพหยาบ
12. ฐาน
รับนํ้าหนักทั้งหมดของกลองจุลทรรศน มีรูปรางสี่เหลี่ยม หรือ วงกลม ที่ฐานจะมีปุมสําหรับปด-เปดไฟฟา
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
ขยายความเขาใจ 1. ให้นักเรียนเขียนอักษร A บนสไลด์แล้วน�าสไลด์ไปส่องดู ด้วยกล้องจุลทรรศน์ จากนัน้ ให้นกั เรียนเคลือ่ นแผ่นสไลด์ ขึ้นลง และเคลือ่ นแผ่นสไลด์ไปด้านซ้ายขวาสังเกตและจด บันทึกลักษณะการเคลื่อนที่ของตัวอักษร A เมื่อมองผ่าน ด้วยกล้องจุลทรรศน์ 2. หาสไลด์มาอีกชุดหนึง่ จ�านวน 3 แผ่น เขียนตัวอักษรลงบน สไลด์ตามÀาพด้านขวา ปรับÀาพให้เห็นตัวอักษรบนสไลด์ แผ่นที่ 1 แล้วปรับÀาพใหม่ให้เห็นตัวอักษรบนสไลด์แผ่น ที่ 2 ½ƒกปรับÀาพให้เห็นตัวอักษรบนสไลด์แผ่นที่ 1 และ แผ่นที่ 2 โดยมีสไลด์แผ่นที่ 3 วางทับอยู่สลับกันจนเกิด ความช�านาญ
Expand
ครูใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ วิธีการใชกลองจุลทรรศน ลักษณะของสิ่งที่ เห็นผานกลองจุลทรรศน และประโยชนของ กลองจุลทรรศน จากหนังสือ อินเทอรเน็ต หรือ แหลงเรียนรูตางๆ สรุปสาระสําคัญลงในสมุด ของนักเรียน จากนั้นใหนักเรียนทํากิจกรรม พัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.1 ขอ 2. การใช กลองจุลทรรศน
A
ภาพที่ 1.8 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
2. การใช้กล้องจุลทรรศน์ 1. ให้นักเรียนศึกษาลักษณะเส้นใยจากผ้าชนิดต่างๆ โดย น�าเส้นใยมาวางบนสไลด์แล้วใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดู แล้ ว วาดÀาพเส้ น ใยที่ เ ห็ น จากกล้ อ งจุ ล ทรรศน์ แ ละ เขียนชื่อเส้นใยนั้นก�ากับไว้ด้วย
ภาพที่ 1.9 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
2. ให้นักเรียนหาสไลด์ที่สะอาดมา 1 แผ่น น�าสิ่งที่นักเรียนสนใจมาวางบนสไลด์แล้วส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ ตัวอย่าง เช่น ผ้า เส้นผม กระดาษ เส้นขน ใบไม้ และอื่นๆ วาดÀาพสิ่งที่นักเรียนน�ามาส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ลงในสมุด โดยวาดÀาพให้มีขนาดใหญ่พอสมควร
? กล้องจุลทรรศน์มีประโยชน์ต่อการศึกษาทางวิทยาศาสตร์อย่างไร http://www.aksorn.com/LC/Sci B1/M1/01
EB GUIDE
5
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
คอนเดนเซอร (Condencer) เปนเลนสรวมแสง จากประโยชนขางตน นักเรียนคิดวาเลนสรวมแสงคือเลนสอะไร 1. เลนสนูน 2. เลนสเวา 3. เลนสกาบกลวย 4. ถูกทุกขอ
แนวตอบ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.1 2. การใชกลองจุลทรรศน กลองจุลทรรศนมีประโยชนตอการศึกษาวิทยาศาสตรหลายดาน เชน 1) ชวยในการมองเห็นสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็กเกินกวาที่ตาเราจะมองเห็นได 2) ชวยในการศึกษาหาขอมูลหลักฐานทางวิทยาศาสตร
วิเคราะหคําตอบ เลนสที่ทําหนาที่รวมแสงใหไปตกที่จุดเดียวกันคือ เลนสนูน ใชแกปญหาสายตาสั้น เลนสเวาจะทําหนาที่กระจายแสง ใชแกปญหาสายตายาว สวนเลนสกาบกลวยจะทําหนาที่หักเหแสง ใชแกปญหาสายตาเอียง ตอบขอ 1.
คูมือครู
5
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
Engage
Explore
Explain
Expand
ตรวจสอบผล
ตรวจสอบผล Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate
Evaluate
นักเรียนอธิบายรูปราง ลักษณะ สวนประกอบ ของเซลลของสิ่งมีชีวิตเซลลเดียวและเซลลของ สิ่งมีชีวิตหลายเซลลได และตอบคําถามกิจกรรม พัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.1 ไดถูกตอง
3. โครงสร้างของไรน�้า
1
ภาพที่นักเรียนเห็นข้างล่างนี้เป็นภาพโครงร่างของไรน�้า (Daphnia) ชนิดหนึ่ง
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู 1. สมุดภาพเกี่ยวกับรูปรางและสวนประกอบของ สิ่งมีชีวิตเซลลเดียว 2. ปายนิเทศเผยแพรความรูเกี่ยวกับเซลลตางๆ ใน สิ่งมีชีวิตหลายเซลล ทั้งเซลลพืชและเซลลสัตว 3. แบบบันทึกผลการปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 1.1
เนื่ อ งจากไรน�้ า เป็ น สิ่ ง มี ชี วิ ต ขนาดเล็ ก จ� า เป็ น ต้ อ งใช้ ก ล้ อ งจุ ล ทรรศน์ ส ่ อ งดู จึ ง จะสามารถมองเห็ น รายละเอียดส่วนต่างๆ ในร่างกายของไรน�้าได้ แต่ภาพข้างบนนี้ยังไม่ได้แสดงส่วนต่างๆ เช่น ขา หนวด หัวใจ ตา และ ทางเดินอาหารไว้ ในภาพ การทดลองเรื่อง โครงสร้างของไรน�้า อุปกรณ์ • กล้องจุลทรรศน์ • สไลด์ • ไรน�้า
วิธีการทดลอง 1. ให้นกั เรียนคัดลอกภาพโครงร่างของไรน�า้ ตามภาพข้างบนลงในสมุด 2. หยดน�้าที่มีไรน�้าลงบนสไลด์ 1 หยด
ภาพประกอบการทดลอง ตา หัวใจ
3. ปรับโฟกัสของกล้องจุลทรรศน์เพื่อให้เห็นตัวไรน�้าได้ชัดเจน แล้วให้ นักเรียนศึกษาส่วนต่างๆ ของไรน�้า ดังนี้ • ขา • หัวใจ • ตา • หนวด ขา หนวด ทางเดินอาหาร • ทางเดินอาหาร โดยหาข้อมูลเพิ่มเติมจากห้องสมุดหรืออินเทอร์เน็ต ภาพที่ 1.10 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) 4. ให้นักเรียนวาดภาพส่วนต่างๆ ของไรน�้า (จากข้อ 3.) ลงในภาพ โครงร่างของไรน�้าที่คัดลอกไว้ แล้วเขียนอธิบายส่วนต่างๆ นั้นลง ในภาพด้วย 5. น�าตัวไรน�า้ ทีอ่ ยูบ่ นสไลด์ ไปเก็บไว้ ในภาชนะที่ใช้เลีย้ งตามเดิม 6. ให้นักเรียนลองสังเกตสัตว์หรือพืชเล็กๆ ชนิดอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ ใน สระน�้า โดยน�าสัตว์หรือพืชเล็กๆ นั้นมาส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ แล้ววาดภาพตามที่เห็นลงในสมุด
6
นักเรียนควรรู 1 ไรนํ้า หรือไรแดง ชื่อวิทยาศาสตร Moina macrocopa เปนแพลงกตอนสัตว ชนิดหนึ่ง มีขนาด 0.4 -1.8 มิลลิมตร ลําตัวมีสีแดงเรื่อๆ ถาอยูรวมกันจํานวนมาก จะมองเห็นเปนสีแดงเขม ไรแดงเปนอาหารธรรมชาติที่มีคุณคาทางโภชนาการสูง ดังนั้น การอนุบาลสัตวนํ้าวัยออนดวยไรแดงจะทําใหอัตรารอดชีวิตและอัตราการ เจริญเติบโตสูงมาก ซึ่งไรแดง 1 กรัม (นํ้าหนักแหง) ประกอบดวยโปรตีน 74.09 % คารโบไฮเดรต 12.50 % ไขมัน 10.19 % และกากอาหาร 3.47 % แนวตอบ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.1 3. โครงสรางของไรนํ้า พิจารณาจากคําตอบของนักเรียน โดยอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน
6
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
กลองจุลทรรศนมีประโยชนตอการศึกษาทางวิทยาศาสตรอยางไร แนวตอบ กลองจุลทรรศนมีประโยชนตอการศึกษาทางวิทยาศาสตร โดยชวยทําใหสามารถมองเห็นสิ่งมีชีวิต หรือสิ่งตางๆ ที่มีขนาดเล็กกวา ที่สายตามนุษยจะมองเห็นได ทําใหสามารถศึกษาลักษณะภายนอก รายละเอียด และองคประกอบภายในสิ่งมีชีวิตตางๆ ได ซึ่งนับวาเปน เครื่องมือที่มีความสําคัญอยางมากตอการศึกษาทางชีววิทยา
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา สํารวจค Exploreนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุEngage นความสนใจ
กระตุน ความสนใจ
ครูนําภาพเซลลพืชและเซลลสัตวหลายชนิด มาใหนักเรียนพิจารณา แลวถามคําถามเพื่อ กระตุนการเรียนรู • เซลลพืชและเซลลสัตวที่เห็นมีความ แตกตางกันอยางไร (แนวตอบ เซลลพืชและเซลลสัตวมีความ แตกตางกัน ดังนี้ 1. เซลลพชื มีรปู รางเปนเหลีย่ ม แตเซลลสตั ว มีรูปรางกลม หรือรี 2. เซลลพืชมีผนังเซลล แตเซลลสัตวไมมี ผนังเซลล แตจะมีสารเคลือบเซลลอยู ดานนอก 3. เซลลพืชมีคลอโรพลาสตภายในเซลล แตเซลลสัตวไมมีคลอโรพลาสต 4. เซลลพืชไมมีเซนทริโอล แตเซลลสัตว มีเซนทริโอลใชในการแบงเซลล 5. เซลลพืชมีแวคิวโอลขนาดใหญ มองเห็น ไดชัดเจน แตเซลลสัตวมีแวคิวโอล ขนาดเล็กมองเห็นไดไมชัดเจน)
1.2 â¤รงสร้างáลÐหน้า·Õ่ของเ«ลล พืชáลÐ เ«ลล สÑตÇ โครงสร้างและหน้าที่ของส่วนต่างๆ ของเซลล์คล้ายคลึงกัน แต่จะ แตกต่างกันไปบ้างขึ้นกับชนิดของเซลล์ เช่น ■ เซลล์พืชมักมีรูปร่างเป็นเหลี่ยม มีผนังเซลล์ (cell wall) ห่อหุ้ม เพือ่ เพิม่ ความแข็งแรงให้กบั เซลล์1มีคลอโรพลาสต์ (chloroplast) เพือ่ ใช้ในการ สังเคราะห์แสง แต่ไม่มีเซนทริโอล (centriole) ซึ่งเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการ แบ่งเซลล์ ■ เซลล์สต ั ว์มรี ปู ร่างไม่แน่นอน ไม่มผี นังเซลล์ ไม่มคี ลอโรพลาสต์ แต่มีเซนทริโอล ถึงแม้ว่ารูปร่างของเซลล์สิ่งมีชีวิตจะแตกต่างกัน แต่โครงสร้างหลัก ก็ยังคงเหมือนกัน คือ จะมีเยื่อหุ้มเซลล์ นิวเคลียส และไซโทพลาซึม ไซโทพลาซึม
นิวเคลียส
ผนังเซลล์
เยื่อหุ้มเซลล์
Engage
ตัวอย่างของเซลล์พืช มักมีรูปร่างเป็นเหลี่ยม
ตัวอย่างของเซลล์สัตว์ มีรูปร่างไม่แน่นอน
สํารวจคนหา
ภาพที่ 1.13 เซลล์สาหร่าย (ที่มาของภาพ : biology p.14)
Explore
ครูเตรียมสไลดเซลลพืชและเซลลสัตว เชน เซลลเยื่อหอม เซลลสาหรายหางกระรอก เซลลเยื่อบุขางแกม เปนตน มาใหนักเรียนศึกษา โครงสราง โดยการสองดูดวยกลองจุลทรรศน แลวใหนักเรียนวาดภาพลักษณะของเซลลที่เห็น จากกลองจุลทรรศนลงในสมุด จากนั้นครูสุมให นักเรียนบางคนออกมาอธิบายลักษณะของเซลล ที่เห็นจากกลองจุลทรรศหนาชั้นเรียน โดยให คนอื่นๆ รวมกันวิพากษวิจารณวามีลักษณะของ เซลลที่เห็นเหมือนกันหรือไม
1.2.1 โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล
เซลล์ทุกชนิดจะประกอบด้วยโครงสร้างหรือส่วนประกอบที่ท�าให้ เซลล์สามารถด�ารงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งเซลล์ประกอบด้วยโครงสร้างพื้นฐาน าน ดังนี้ 1. ผนังเซลล์ ผนังเซลล์ (cell wall) เป็นโครงสร้2างที่ไม่มีชีวิตห่อหุ้มรอบนอก ของเซลล์ ประกอบด้วยสารจ�าพวกเซลลู เซลลูโลส ผนังเซลล์ท�าหน้าที่ให้ความ แข็งแรงแก่เซลล์ และช่วยให้เซลล์สามารถคงรูปอยู่ได้ ซึ่งพบเฉพาะใน เซลล์พืชเท่านั้น
7
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 51 ออกเกี่ยวกับสวนประกอบของเซลล สวนประกอบใดของเซลลที่พบทั้งในเซลลพืชและเซลลสัตว 1. นิวเคลียส 2. ผนังเซลล 3. คลอโรฟลล 4. คลอโรพลาสต (วิเคราะหคําตอบ ผนังเซลล คลอโรฟลล และคลอโรพลาสต จะพบ เฉพาะในเซลลพืชเทานั้น สวนนิวเคลียสจะพบไดทั้งในเซลลพืชและ เซลลสัตว ดังนั้น จึงตอบขอ 1.)
นักเรียนควรรู 1 เซนทริโอล สวนที่อยูใกลนิวเคลียส พบในเซลลสัตวและโพรตีสตบางชนิด มีขนาดเล็ก ใส มีรูปรางคลายทอทรงกระบอก ในแตละเซลลจะมีเซนทริโอล 2 อัน เรียงในลักษณะตั้งฉากกัน เซนทริโอลทําหนาที่ชวยในการเคลื่อนที่ของโครโมโซม ในขณะที่มีการแบงเซลล และชวยในการเคลื่อนที่ของเซลลบางชนิด 2 เซลลูโลส สารอินทรียที่มีอยูในผนังเซลลของพืชทุกชนิด มีสูตรเคมี คือ (C6H10O5)n เปนพอลิเมอรของนํ้าตาล ใชในอุตสาหกรรมเสนใยสังเคราะห และ พลาสติกบางชนิด
คูมือครู
7
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
Exploreนหา สํารวจค
Engage
สํารวจคนหา
Explore
ครูใหนักเรียนศึกษาคนควาเกี่ยวกับโครงสราง และหนาที่ของเซลล จากหนังสือเรียนหนา 7-8 โดยเขียนสรุปลงในตารางที่นักเรียนสรางขึ้น
อธิบายความรู
Explain
ครูสุมตัวแทนนักเรียนใหออกมาสรุปเกี่ยวกับ โครงสรางและหนาที่ของเซลลที่ไดศึกษา แลว รวมกันวิพากษวิจารณวาสรุปไดครบถวนตรง ประเด็นหรือไม หากไมครบถวนใหชวยกัน เสนอแนะใหไดขอสรุปที่ถูกตองชัดเจน หลังจากนั้น ใหนักเรียนทํากิจกรรมที่ 1.5 จากแบบวัดและบันทึก ผลการเรียนรู วิทยาศาสตร ม.1
ลักษณะของร่างแหเอนโดพลาซึม
✓ แบบวัดฯ ใบงาน แบบฝกฯ ว�ทยาศาสตร ม.1 กิจกรรมที่ 1.5 หนวยที่ 1 หนวยพืน้ ฐานของสิง่ มีชว� ต� กิจกรรมที่ 1.5
ใหนักเรียนบอกสวนประกอบของเซลลจากภาพที่กําหนด และบอกหนาทีข่ องสวนประกอบตางๆ ของเซลล (ว 1.1 ม.1/2)
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
15
ผนังเซลล ……………………………………..
นิวเคลียส ……………………………………..
เยื่อหุมเซลล ……………………………………..
รางแหเอนโดพลาซึม ……………………………………..
คลอโรพลาสต ……………………………………..
ไมโทคอนเดรีย ……………………………………..
กอลจิบอดี ……………………………………..
แวคิวโอล ……………………………………..
ฉบับ
เซลลพืช
เฉลย
นิวเคลียส ……………………………………..
รางแหเอนโดพลาซึม …………………………………….. ไมโทคอนเดรีย ……………………………………..
แวคิวโอล ……………………………………..
กอลจิบอดี ……………………………………..
ลักษณะของนิวเคลียส
เยื่อหุมเซลล ……………………………………..
2. เยื่อหุ้มเซลล์ เยือ่ หุม้ เซลล์ (cell membrane) เป็นเยือ่ บางๆ ทีห่ อ่ หุม้ ส่วนต่างๆ ของเซลล์ไว้ มีองค์ประกอบหลักเป็นสารพวกโปรตีนและไขมัน มีคุณสมบัติ ยอมให้สารบางชนิดผ่านได้ เรียกว่า เยื่อเลือกผาน (semi-permeable membrane) พบในเซลล์ทุกชนิด 3. ไซโทพลาซึม ไซโทพลาซึม (cytoplasm) อยู่ภายในเยื่อหุ้มเซลล์ ประกอบ ด้วยสารประกอบทางเคมีและโครงสร้างต่างๆ ที1่ท�าหน้าที่เกี่ยวกับกิจกรรม ส่วนใหญ่ภายในเซลล์ ซึ่งส่วนที่เป็นออร์แกเนลล์มีหลายชนิดและท�าหน้าที่ ต่างๆ กัน ดังนี้ 1) ร่างแหเอนโดพลาซึ 2 ม (endoplasmic reticulum) มีหน้าที่ สังเคราะห์โปรตีนและเอนไซม์ 2) กอลจิบอดี (golgi body) ประกอบด้วยถุงที่เป็นเยื่อบางๆ เรียงซ้อนกัน ท�าหน้าที่เก็บสารที่ร่างแหเอนโดพลาซึมสร้างขึ้น 3) ไมโทคอนเดรีย (mitochondria) มีลักษณะเป็นก้อนกลมๆ มีผนังหุ้มที่เป็นเยื่อ 2 ชั้น ท�าหน้าที่เป็นแหล่งสร้างพลังงานให้แก่เซลล์ 4) คลอโรพลาสต์ (chloroplast) จะพบเฉพาะในเซลล์ พืชและ 3 สาหร่ายบางชนิด มีเยื่อหุ้ม 2 ชั้น ภายในมีรงควัตถุหรือสารสีที่เกี่ยวข้อง กับกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ที่เรียกว่า คลอโรฟิลล์ (chlorophyll) 5) แวคิวโอล (vacuole) มีลักษณะใสกว่าส่วนอื่นๆ ท�าให้มอง เห็นคล้ายเป็นช่องว่างภายในเซลล์ พบได้ทั้งในเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ ใน เซลล์พืชจะเป็นแหล่งสะสมน�้าและสารสีต่างๆ ที่ท�าให้พืชมีสีสันสวยงาม ซึ่ง แวคิวโอลในเซลล์พืชมีขนาดใหญ่กว่าในเซลล์สัตว์มาก 4. นิวเคลียส นิวเคลียส (nucleus) เป็นโครงสร้างที่ส�าคัญที่สุดภายในเซลล์ โดยทัว่ ไปมีรปู ร่างค่อนข้างกลม แต่อาจพบรูปร่างรี แบน หรือไม่มรี ปู ทรงก็ได้ ขึ้นกับชนิดของเซลล์ พบทั้งในเซลล์พืช4และเซลล์สัตว์ มักจะมีจ�านวนเพียง 1 นิวเคลียส ยกเว้นเซลล์เม็ดเลือดขาว พบว่ามีนิวเคลียสหลายนิวเคลียส เป็นต้น
เซลลสัตว
6
8
นักเรียนควรรู 1 ออรแกเนลล โครงสรางภายในเซลลซึ่งทําหนาที่เฉพาะอยาง เชน ไรโบโซม ไมโทคอนเดรีย แวคิวโอล เปนตน 2 เอนไซม โปรตีนที่ทําหนาที่เรงปฏิกิริยาเคมี เอนไซมมีความสําคัญและ จําเปนสําหรับสิ่งมีชีวิต เพราะวาปฏิกิริยาเคมีสวนใหญในเซลลจะเกิดชามาก หรือถาไมมีเอนไซมอาจทําใหผลิตภัณฑจากปฏิกิริยากลายเปนสารเคมีชนิดอื่น ซึ่งถาขาดเอนไซมระบบการทํางานของเซลลจะผิดปรกติ 3 รงควัตถุ สารมีสีที่อยูในเซลลพืชหรือสัตว เชน คลอโรฟลล เปนสารสีเขียว ซึ่งทําใหใบไมมีสีเขียว 4 เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดที่ไมมีสี คอนขางใส รูปรางคอนขางกลม เสนผาน ศูนยกลางประมาณ 10-25 ไมครอน มีนิวเคลียสขนาดใหญ เม็ดเลือดขาว มีหลายชนิด ทําหนาที่ตอตานและทําลายเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมตางๆ ที่เขาสูรางกาย
8
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ออรแกเนลลในไซโทพลาซึมคูใดมีความสัมพันธกันมากที่สุด 1. ไมโทคอนเดรีย-แวคิวโอล 2. เซนทริโอล-ไมโทคอนเดรีย 3. รางแหเอนโดพลาซึม-แวคิวโอล 4. รางแหเอนโดพลาซึม-กอลจิบอดี วิเคราะหคําตอบ ไมโทคอนเดรียทําหนาที่เปนแหลงสรางพลังงานใหแก เซลล แวคิวโอลทําหนาที่เปนที่เก็บ หลั่ง และถายเทของเหลวภายในเซลล เซนทริโอลทําหนาที่ชวยในการเคลื่อนที่ของโครโมโซมในขณะแบงเซลล และชวยในการเคลื่อนที่ของเซลลบางชนิด รางแหเอนโดพลาซึมทําหนาที่ สังเคราะหโปรตีนและเอนไซม และกอลจิบอดีทําหนาที่เก็บสารที่รางแห เอนโดพลาซึมสรางขึ้น รางแหเอนโดพลาซึมและกอลจิบอดีจึงมีความ สัมพันธกันมากที่สุด ดังนั้น จึงตอบขอ 4.
กระตุนความสนใจ Engage
สํารวจคนหา
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
สํารวจค Exploreนหา
สํารวจคนหา
Explore
ครูใหนักเรียนไปศึกษาเกี่ยวกับโครงสราง ของเซลลพืชและเซลลสัตว จากหนังสือเรียน หนา 9 แลวใหนักเรียนเขียนอธิบายและ เปรียบเทียบโครงสรางตางๆ ในเซลลพืชและ เซลลสัตวที่เหมือนกันและแตกตางกันลงในสมุด
นิวเคลียสท�าหน้าที่เป็นศูนย์กลางควบคุมการท�างานของเซลล์ มีบทบาทเกี่ยวกับการแบ่งเซลล์ กล่าวคือถ้าไม่มีนิวเคลียส เซลล์จะไม่มี การแบ่งตัว และมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการถ่1ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม นอกจากนี้ยังท�าหน้าที่ควบคุมการสังเคราะห์สารประกอบโปรตีนของเซลล์
1.2.2 การเปรียบเทียบเซลลพืชและเซลลสัตว
จากที่นักเรียนได้ศึกษาเกี่ยวกับลักษณะ รูปร่าง ส่วนประกอบและ หน้าทีข่ องเซลล์พชื และเซลล์สตั ว์มาแล้วนัน้ สามารถน�ารายละเอียดจากการ ศึกษามาเปรียบเทียบกันเพื่อให้เห็นความเหมือนและความแตกต่างระหว่าง เซลล์พืชและเซลล์สัตว์ ได้ดังนี้
อธิบายความรู
Explain
ครูสุมนักเรียนบางคนใหออกมาอธิบายและ เปรียบเทียบโครงสรางตางๆ ในเซลลพืชและ เซลลสัตว โดยใหนักเรียนคนอื่นๆ รวมกัน อภิปรายแสดงความคิดเห็น รวมทั้งครูชวยอธิบาย เพิ่มเติมเพื่อใหเกิดความเขาใจที่ถูกตอง จากนั้น ใหนักเรียนทํากิจกรรมที่ 1.6 จากแบบวัดและ บันทึกผลการเรียนรู วิทยาศาสตร ม.1
â¤ÃงÊÃŒาง·ÕèÊíา¤ัÞ¢องà«ÅÅ Êัตว áÅÐà«ÅÅ ¾×ª
นิวเคลียส เยื่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึม
✓ แบบวัดฯ ใบงาน แบบฝกฯ ว�ทยาศาสตร ม.1 กิจกรรมที่ 1.6 หนวยที่ 1 หนวยพืน้ ฐานของสิง่ มีชว� ต�
คลอโรพลาสต์ แวคิวโอล ผนังเซลล์
กิจกรรมที่ 1.6
เซลล์สัตว์
เซลล์พืช
ใหนักเรียนออกแบบเซลลบนจานอาหาร โดยนําอาหาร แตละชนิดที่นักเรียนรับประทานมาแทนสวนประกอบตางๆ ภายในเซลล โดยจัดวางใหมีลักษณะคลายภาพเซลลมากที่สุด แลววาดภาพผลงานลงในกรอบดานลาง (ว 1.1 ม.1/2)
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
10
พิจารณาจากผลงานของนักเรียน โดยอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน
เซลล์สัตว์
สิ่งเปรียบเทียบ
เซลล์พืช
ค่อนข้างกลม ไม่มี มี ไม่มี ขนาดเล็ก มี
รูปร่าง ผนังเซลล์ เยื่อหุ้มเซลล์ คลอโรพลาสต์ แวคิวโอล เซนทริโอล
ค่อนข้างเหลี่ยม มี มี มี ขนาดใหญ่ ไม่มี
ตัวอยางภาพเซลลพืช ฉบับ
เฉลย กิจกรรมที่ 1.7
หากนําเซลลชนิดหนึ่งไปศึกษาดวยกลองจุลทรรศน นักเรียนจะมีวิธีการ สังเกตอยางไรที่จะระบุไดวาเซลลนั้นเปนเซลลพืชหรือเซลลสัตว แนวตอบ พิจารณาจากคําตอบของนักเรียน โดยอยูในดุลยพินิจของ ครูผูสอน ซึ่งความแตกตางระหวางเซลลพืชและเซลลสัตวนั้น นักเรียนได ศึกษาผานมาแลว โดยนักเรียนอาจตอบวาสังเกตไดจาก • รูปรางของเซลล (มีรูปรางกลมหรือเหลี่ยม) • ผนังเซลล (มีผนังเซลลหรือไม) • คลอโรพลาสต (มีคลอโรพลาสตหรือไม) • แวคิวโอล (มีแวคิวโอลขนาดใหญหรือเล็ก)
ใหนกั เรียนเปรียบเทียบสวนประกอบสําคัญของเซลลพชื และ เซลลสัตว (ว 1.1 ม.1/2)
สิ่งเปรียบเทียบ
9
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ภาพเซลลบนจานอาหาร คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
10
เซลลพืช
เซลลสัตว
คอนขางเหลี่ยม
…………………………………………………………..
มี
…………………………………………………………..
มี
…………………………………………………………..
มี
…………………………………………………………..
ขนาดใหญ
…………………………………………………………..
ไมมี
…………………………………………………………..
รูปราง
…………………………………………………………..
ผนังเซลล
…………………………………………………………..
เยื่อหุมเซลล
…………………………………………………………..
คลอโรพลาสต
…………………………………………………………..
แวคิวโอล
…………………………………………………………..
เซนทริโอล
…………………………………………………………..
คอนขางกลม ไมมี มี
ไมมี
ขนาดเล็ก มี
8
เกร็ดแนะครู ครูอาจนําแบบจําลองของเซลลพืชและเซลลสัตวมาแสดงใหนักเรียนดู เพื่อให นักเรียนเกิดความเขาใจเกี่ยวกับลักษณะและโครงสรางของเซลลพืชและเซลลสัตว มากขึ้น
นักเรียนควรรู 1 การสังเคราะห กระบวนการในการทําใหเกิดสารประกอบที่ตองการ โดย การนําสารประกอบยอยๆ มาทําปฏิกิริยากันใหไดสารประกอบโมเลกุลใหญ หรือ สารที่มีโมเลกุลที่มีความซับซอนมากขึ้น
คูมือครู
9
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
Expand
ครูใหนักเรียนศึกษาวิธีการเตรียมสไลดเพื่อนํา ไปสองดูดวยกลองจุลทรรศน โดยครูอาจใชคําถาม กระตุนการคิดวิเคราะหของนักเรียน เชน • การเตรียมสไลดตัวอยางสิ่งมีชีวิตเพื่อนํามา ศึกษาดวยกลองจุลทรรศนจะตองเตรียม อุปกรณใดบาง (แนวตอบ พิจารณาจากคําตอบของนักเรียน ตัวอยางเชน การเตรียมสไลดตัวอยาง สิ่งมีชีวิต ตองเตรียมอุปกรณ ดังนี้ 1. สไลด 2. กระจกปดสไลด 3. หลอดหยด 4. สียอมตางๆ 5. กระดาษทิชชู 6. ชิ้นสวนสิ่งมีชีวิต จากนั้นใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 1.2 หนา 10 -13 โดยบันทึกลงในสมุด ของนักเรียน
กิจกรรม
พั ฒ นาทั ก ษะ วิทยาศาสตร์
1.2
1. เซลล์ เมื่ อ ประมาณ 300 ป‚ ม าแล้ ว รอเบิ ร ์ ต Îุ ค ได้ ใ ช้ ก ล้ อ งจุ ล ทรรศน์ อ ย่ า งง่ า ยที่ เ ขาประดิ ษ °์ ขึ้ น ส่ อ งดู สิ่งต่างๆ จนน�าไปสู่การค้นพบที่ส�าคัญ ซึ่งนักเรียนจะได้ศึกษาต่อไปว่า เขาได้ค้นพบอะไร แต่สิ่งแรกที่นักเรียนจะต้อง ท�าความเข้าใจคือ การเตรียมสไลด์เพื่อน�าไปส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์
การทดลองเรื่อง เซลล์ อุปกรณ์และสารเคมี
วิธีการทดลอง
ภาพประกอบ
• กล้องจุลทรรศน์ 1 . ให้นักเรียนเตรียมสไลด์ชิ้นส่วนของเยื่อหอม แล้วให้ • ส ไลด์ แ ละกระจกปิ ด นักเรียนอธิบายวิธีเตรียมสไลด์ ดังกล่าว สไลด์ 2. น�าสไลด์เยื่อหอมไปส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์แบบ • หลอดหยด ใช้แสง โดยใช้กา� ลังขยายต�า่ ให้สงั เกตว่าสิง่ ทีเ่ ห็นจาก • สีย้อมไอโอดีน กล้องจุลทรรศน์มีลักษณะคล้ายกับอะไร • ชิ้นส่วนของเยื่อหอม
หยดน�้าลงไป 1 หยด
3. ยอ้ มสีโดยหยดสารละลายไอโอดีน 1 หยด ลงบนสไลด์ เยื่อหอม ปิดด้วยกระจกปิดสไลด์แผ่นใหม่ น�าไปส่อง ดูดว้ ยกล้องจุลทรรศน์อกี ครัง้ หนึง่ โดยใช้กา� ลังขยายที่ สูงขึ้น
วางเยื่อหอมลงบนแผ่นสไลด์
ใช้กระจกปิดสไลด์ปิดทับบนเยื่อหอม
สไลด์ที่เตรียมเสร็จเรียบร้อย ภาพที่ 1.17 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
10
เกร็ดแนะครู การเตรียมสไลดชิ้นสวนของเยื่อหอม ในขั้นตอนการปดกระจกปดสไลด ครูอาจแนะนําวิธีการปดกระจกปดสไลดไมใหเกิดฟองอากาศภายในสไลด โดยการใชเข็มเขี่ยรองรับแผนกระจกปดสไลดไวดานหนึ่ง สวนอีกดานหนึ่งของ กระจกปดสไลดแตะอยูบนหยดนํ้าตัวอยาง จากนั้นคอยๆ ลดระดับเข็มเขี่ยใหตํ่าลง จนกระทั่งกระจกปดสไลดปดลงบนหยดนํ้าทั้งหมด ซึ่งหากไมใชเข็มเขี่ยอาจจะใช คีมปลายแหลม (forceps) หรือเข็มหมุดแทนก็ได แนวตอบ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.2 1. เซลล วิธีการเตรียมสไลด 1) หยดนํ้า 1 หยด ลงบนแผนสไลด 2) ลอกเยื่อหอมบางๆ วางลงบนสไลดในขอ 1. 3) ปดดวยกระจกปดสไลด โดยระวังไมใหเกิดฟองอากาศ
10
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
“การเตรียมสไลดเพื่อศึกษาเซลลนั้น ในขั้นตอนการปดกระจกปดสไลด ตองระมัดระวังไมใหเกิดฟองอากาศบนสไลด” จากขอความดังกลาว นักเรียนคิดวาเพราะเหตุใดจึงตองระมัดระวังไมใหเกิดฟองอากาศบน กระจกสไลด แนวตอบ พิจารณาจากคําตอบของนักเรียน โดยมีแนวการตอบ ดังนี้ “หากเกิดฟองอากาศบนสไลดอาจทําใหเห็นรายละเอียดตางๆ ของเซลล ไดไมชัดเจน และอาจกอใหเกิดความสับสนไดวาฟองอากาศนั้นเปน สวนประกอบหนึ่งของเซลล ซึ่งจะทําใหไดขอมูลที่ผิดพลาด”
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
ขยายความเขาใจ สิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็กมากบางชนิดจะประกอบด้วยเซลล์เพียง 1 เซลล์ แต่พืชและสัตว์ส่วนใหญ่ร่างกาย ประกอบด้วยเซลล์จ�านวนมาก เช่น ในเลือดของมนุษย์ที่มีปริมาตร 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร จะมีเซลล์ต่างๆ อยู่ มากกว่า 5 ล้านเซลล์ ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตจะมีส่วนต่างๆ ของเซลล์ที่ท�าหน้าที่แตกต่างกันไป ซึ่งเซลล์ส่วนใหญ่จะมีโครงสร้างที่ส�าคัญ ดังต่อไปนี้ 1. เยื่อหุ้มเซลล์ ท�าหน้าที่ควบคุมการ 2. ไซโทพลาซึ ม เป็ น บริ เ วณที่ เ กิ ด 3. นิวเคลียส ท�าหน้าที่ควบคุมการ เคลื่อนที่ของสารต่างๆ ที่เข้าและ กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเคมี ท�างานของเซลล์ ออกจากเซลล์ ในเซลล์
Expand
1. ครูใหนักเรียนหาภาพโครงสรางแตละชนิดของ เซลล แลวนํามาทําเปนสมุดภาพสรุปเกี่ยวกับ รูปราง ลักษณะ และหนาที่ของโครงสราง เหลานั้น 2. ครูใหนักเรียนคนควาเพิ่มเติมวานอกจาก สวนประกอบตางๆ ในเซลลที่ไดศึกษาไปแลว ในเซลลยังมีสวนประกอบอื่นๆ อีกหรือไม ถามีสวนประกอบเหลานั้นมีความสําคัญ อยางไร
4. ผนังเซลล์ ช่วยสร้างความแข็งแรง 5. ค ลอโรพลาสต์ ท� า หน้ า ที่ ส ร้ า ง 6. แวคิวโอล ท�าหน้าที่เก็บสะสมสาร ให้กับเซลล์และท�าให้เซลล์คงรูป อาหารโดยอาศัยพลังงานแสง ในรูปสารละลาย (ที่ละลายในน�้า)
ภาพที่ 1.18 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
1. ให้ ให้นกั เรียนหาแผนภาพของเซลล์พชื และเซลล์สตั ว์จากหนังสือในห้องสมุด หรื หรือจากอินเทอร์เน็ต จากนั จากนัน้ ให้
น�าไปติดในสมุด แล้วเขียนแสดงส่วนต่างๆ ที่ส�าคัญทั้งของเซลล์สัตว์และเซลล์พืชลงในแผนภาพนี้ด้วย 2. ให้ ให้นักเรียนคัดลอกตารางตามตัวอย่างด้านล่างลงในสมุด แล้ แล้วเขียนเติมตารางนี้ ให้สมบูรณ์ ส่วนประกอบของเซลล์พืช 1. 2.
หน้าที่ 1. 2.
2. ความแตกต่างของเซลล์ 1. เตรียมสไลด์จากส่วนต่างๆ ของพืชสีเขียว 2. น�าสไลด์ไปส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์
ให้นักเรียนวาดภาพเซลล์พืชมา 2 เซลล์ แล้วให้วาดภาพแสดงส่วนประกอบที่ส�าคัญของเซลล์มา 4 อย่าง
11
แนวตอบ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.2 1. เซลล (ตอ) 1. พิจารณาจากผลงานของนักเรียน โดยอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน 2. สวนประกอบของเซลลพืช หนาที่ ผนังเซลล
หอหุมเซลล ใหความแข็งแรงแกเซลล และชวยใหเซลลคงรูปอยูได
เยื่อหุมเซลล
เยื่อบางๆที่หอหุมเซลล ถัดจากผนังเซลล
ไซไทพลาซึม - รางแหเอนโดพลาซึม - กอลจิบอดี - ไมโทคอนเดรีย - คลอโรพลาสต - แวคิวโอล
ประกอบดวยสารเคมีและโครงสรางตางๆที่ทําหนาที่เกี่ยวกับกิจกรรมภายในเซลล -สังเคราะหโปรตีนและเอนไซม -เก็บสารที่รางแหเอนโดพลาซึมสรางขึ้น -เปนแหลงสรางพลังงานใหแกเซลล -เกี่ยวของกับการสังเคราะหดวยแสง -แหลงสะสมนํ้าและสารสีที่ทําใหพืชมีสีสันสวยงาม
นิวเคลียส
ศูนยกลางควบคุมการทํางานของเซลล มีบทบาทเกี่ยวกับการแบงเซลล
2. ความแตกตางของเซลล พิจารณาจากคําตอบของนักเรียน โดยอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน คูมือครู
11
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
Expand
ครูใหนักเรียนศึกษาคนควาเพิ่มเติมจากหนังสือ อินเทอรเน็ต หรือแหลงเรียนรูตางๆ เกี่ยวกับรูปราง สวนประกอบ และหนาที่ของเซลลที่ทําหนาที่เฉพาะ ทั้งเซลลพืชและเซลลสัตว เชน เซลลทอลําเลียงนํ้า เซลลทอลําเลียงอาหาร เซลลคุม เซลลสืบพันธุ เซลลเม็ดเลือดขาว เซลลผิวหนัง เซลลกระดูก เปนตน เพื่อใหเกิดความเขาใจเกี่ยวกับเซลลที่ ทําหนาที่เฉพาะมากขึ้น
3. เซลล์ที่ท�าหน้าที่เฉพาะ สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่จะประกอบด้วยเซลล์หลายชนิด เซลล์แต่ละชนิดจะมีรูปร่างแตกต่างกันไป ทั้งนี้เนื่องจากเซลล์ แต่ละชนิดจะ¶ูกสร้างขึ้นมาเพื่อท�าหน้าที่เ©พาะแตกต่างกัน 1 เซลล์สืบพัน¸ุ์ (sex cell) ท�า หน้าที่น�าข้อมูลทางพัน¸ุกรรม ไป¶่ายทอดให้1แก่รุ่นลูก โดย เพศผู้สร้า2งอสุจิ ส่วนเพศเมีย จะสร้างไข่
2 เซลล์กล้ามเนือ้ (muscle cell) มีความสามาร¶ที่จะหดตัวและ คลายตัวได้ เพื่อท�าให้เกิดการ เคลื่อนไหว
3 เซลล์ ป ระสาทสมอง (brain nerve cell) จะส่งสัญญาณ ประสาทผ่านไปยังเซลล์ประสาท อื่นๆ ที่เชื่อมโยงกันอยู่
4 เซลล์ประสาทสั่งงาน (motor nerve cell) ท�าหน้าที่ควบคุม การเคลือ่ นไหวของอวัยวะต่างๆ
5 เซลล์ เ ม็ ด เลื อ ดขาว (white blood cell) ท�าหน้าที่ต่อสู้กับ เชื้อโรคที่เข้ามาในร่างกาย
6 เซลล์ ผิ ว หนั ง (skin cell) ท�าหน้าที่ห่อหุ้มร่างกายโดยจะ เรียงตัวเป็นชั้นๆ
ภาพที่ 1.19 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
อุปกรณ์
วิธีการทดลอง
• กล้องจุลทรรศน์ • สไลด์ของรากพืชที่ ก�าลังงอก • สไลด์ของใบพืช • สีย้อมเมทิลีนบลู
การศึกษาเซลล์รากพืช 1. น�าสไลด์ถาวรของรากไปส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ โดยให้ศึกษาเซลล์ของขนราก (root hair) แล้ว เปรียบเทียบกับเซลล์ของรากที่ส่วนอื่นๆ 2. ว าดภาพของเซลล์ ข นราก 1 เซลล์ เพื่ อ แสดง โครงสร้างต่างๆ ของเซลล์ขนราก (อธิบายด้วยว่า เซลล์ขนรากมีลักษณะคล้ายอะไร) 3. นา� สไลด์ถาวรของใบพืชมาส่องดูดว้ ยกล้องจุลทรรศน์ จะพบว่ามีชั้นของเซลล์ผิวชั้นนอกอยู่ ให้นักเรียน วาดภาพเซลล์ผวิ ชัน้ นอก แล้วเขียนอธิบายหน้าทีข่ อง เซลล์ผิวชั้นนอกด้วย
ภาพประกอบ
ภาพที่ 1.20 ภาพตัดขวางของใบพืช (ที่มาของภาพ : biology p.15)
12
นักเรียนควรรู 1 อสุจิ เพศชายจะเริ่มสรางตัวอสุจิเมื่ออายุประมาณ 12-13 ป และจะสราง ไปตลอดชีวิต การหลั่งนํ้าอสุจิแตละครั้งจะมีของเหลวประมาณ 3-4 ลูกบาศกเซนติเมตร ซึ่งมีตัวอสุจิเฉลี่ยประมาณ 300-500 ลานตัว 2 ไข เด็กหญิงแรกเกิดจะมีเซลลไขที่ยังไมเจริญเต็มที่ประมาณ 5 แสนเซลล และจะลดจํานวนลงเรื่อยๆ จนถึงวัยที่ตกไขได จะเหลือประมาณ 490 เซลล
12
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
เซลลเม็ดเลือดขาวแตกตางจากเซลลเม็ดเลือดแดงอยางไร วิเคราะหคําตอบ เซลลเม็ดเลือดแดงจะมีขนาดประมาณ 6-8 ไมครอน รูปรางคอนขางกลม แตเวา บริเวณกลางคลายโดนัท มีสีแดงเพราะมี ฮีโมโกลบิน ไมมีนิวเคลียส และเซลลเม็ดเลือดแดงทําหนาที่ในการลําเลียง ออกซิเจนไปเลี้ยงเซลลตางๆ ทั่วรางกาย แตเซลลเม็ดเลือดขาวจะมีขนาด ประมาณ 6-15 ไมครอน รูปรางและขนาดแตกตางกันตามชนิด ปกติจะ ใหญกวาเซลลเม็ดเลือดแดงเกือบ 2 เทา ไมมีสีเพราะไมมีฮีโมโกลบิน แต มีนิวเครียส เซลลเม็ดเลือดขาวจะทําหนาที่เปนเซลลของระบบภูมิคุมกัน ซึ่งจะคอยปองกันรางกายจากเชื้อโรคและสารแปลกปลอมตางๆ ที่เขามา ในรางกาย
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
Engage
Explore
Explain
Expand
ตรวจสอบผล Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate
ตรวจสอบผล
? 1. โครงสร้างของเซลล์ขนรากจะช่วยในการดูดน�า้ ของรากจากดิน
อย่างไร 2. ให้นกั เรียนเลือกเซลล์ของร่างกายมา 2 ชนิด แล้วค้นหาข้อมูล เกี่ยวกับเซลล์ที่นักเรียนเลือก โดยปฏิบัติดังนี้ 1) เขียนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเซลล์แต่ละชนิดมา 3 ข้อ 2) ว าดภาพของเซลล์ ทั้ ง 2 ชนิ ด ที่ นั ก เรี ย นเลื อ กไว้ แล้วเขียนอธิบายโครงสร้างของเซลล์ พร้อมทั้งบอกว่า โครงสร้างเหล่านี้ช่วยในการท�างานของเซลล์อย่างไร 3) ให้นกั เรียนศึกษาภาพเซลล์สบื พันธุข์ องมนุษย์ดา้ นขวามือ เซลล์ไข่และเซลล์อสุจขิ องมนุษย์ (ก�าลังขยาย 400 เท่า) ใน บพันธุข์ องมนุษย์แต่ละครัง้ จะมีการสร้างเซลล์ไข่เพียง แล้ ว บั น ทึ ก ผลที่ สั ง เกตได้ ล งในตารางตามตั ว อย่ า ง การสื 1 เซลล์ แต่อสุจิจะมีจ�านวนหลายล้านเซลล์ที่ถูกปล่อยออก ด้านล่าง มาในแต่ละครั้ง
Evaluate
นักเรียนอธิบายโครงสราง หนาที่ และ เปรียบเทียบสวนประกอบที่สําคัญของเซลลพืช และเซลลสัตวได และตอบคําถามกิจกรรมพัฒนา ทักษะวิทยาศาสตร 1.1 ไดถูกตอง
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู 1. สมุดภาพสรุปเกี่ยวกับรูปราง ลักษณะ และ หนาที่ของโครงสรางแตละชนิดของเซลล 2. แบบบันทึกผลการปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 1.2
ให้นักเรียนคัดลอกตารางด้านล่างลงในสมุดแล้วเติมตารางให้สมบูรณ์ คุณลักษณะ
เซลล์อสุ¨ิของมนุษย์
เซลล์ไข่ของมนุษย์
รูปร่าง (ให้นักเรียนวาดภาพ) ขนาด (เล็กหรือใหญ่) จ�านวน (น้อยหรือมาก)
การทดลองเรือ่ ง การศึกษาเรือ่ งเซลล์ อุปกรณ์และสารเคมี
วิธีการทดลอง
ภาพประกอบการทดลอง
• กล้องจุลทรรศน์ • สไลด์ • กระจกปิดสไลด์ • ใบมีดโกน • ล�าต้นส่วนยอดของ พืชใบเลี้ยงคู่ที่มี เส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 0.5 ซม. (เช่น มะลิ เข็ม) • สีย้อมเมทิลีนบลู
1. ให้ นั ก เรี ย นเตรี ย มสไลด์ ข องล� า ต้ น พื ช ใบเลี ย งคู ่ โดยย้อมสีด้วยเมทิลีนบลู 2. น�าสไลด์ ไปส่องดูด้วยกล้องจุลลทรรศน์
เซลล์ที่ทําหน้าที่ หอหุ้ม
เซลล์ที่ทําหน้าที่ ลําเลียงนํ้า
3. สั ง เกตลั ก ษณะของเซลล์ ต ่ า งๆ ในล� า ต้ น แล้ ว วาดภาพแสดงโครงสร้างต่างๆ
เซลล์ที่ทําหน้าที่ ให้ความแข็งแรง
13
แนวตอบ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.2 3. เซลลที่ทําหนาที่เฉพาะ 1. โครงสรางของเซลลขนรากมีสวนชวยในการดูดนํ้าและแรธาตุ เนื่องจากเซลลขนรากมีผนังเซลลบาง และมีพื้นที่ผิว สัมผัสกับนํ้าและแรธาตุมาก 2. 1) พิจารณาจากคําตอบของนักเรียน โดยอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน 2) พิจารณาจากคําตอบของนักเรียน โดยอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน 3) คุณลักษณะ
เซลลอสุจิของมนุษย
เซลลไขของมนุษย
รูปราง (ใหนักเรียนวาดภาพ)
ภาพที่นักเรียนวาด
ภาพที่นักเรียนวาด
ขนาด (เล็กหรือใหญ)
เล็กกวาเซลลไข
ใหญกวาเซลลอสุจิ 50,000-90,000 เทา
จํานวน (นอยหรือมาก)
มาก (ประมาณ 350-500 ลานเซลลตอ ลูกบาศกเซนติเมตร)
นอย (1 เซลลตอเดือน)
คูมือครู
13
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
Expand
ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายและสรุป เกี่ยวกับรูปราง ลักษณะ โครงสรางและหนาที่ของ เซลลจากเนื้อหาที่ไดเรียนมาในหนวยการเรียนรูที่ 1 จากนั้นครูอาจนําสนทนาเกี่ยวกับคุณลักษณะของ นักวิทยาศาสตร โดยตั้งประเด็นใหนักเรียน รวมกันอภิปรายวา นักวิทยาศาสตรควรมี คุณลักษณะอยางไร แลวใหนักเรียนอานประวัติ ของอันตน ฟาน เลเวนฮุก จากกิจกรรมสรางสรรค พัฒนาประจําหนวยการเรียนรูที่ 1 ทํากิจกรรม โดยบันทึกลงในสมุดของนักเรียน พรอมทั้งวิเคราะห ดวยวา อังตน ฟาน เลเวนฮุก มีคุณลักษณะของ นักวิทยาศาสตรอยางไรบาง
กิจกรรม
สร้างสรรค์พัฒนาประจ�าหน่วยการเรียนรู้ที่
1
1. อังตน ฟาน เลเวนฮุก อังตน ฟาน เลเวนฮุก (Anton Van Leeuwenhook) เกิดเมื่อ วันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2175 ที่เมืองเดลฟท์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ใน ครอบครัวชนชั้นกลางที่ยากจน เลเวนฮุกไม่ ได้รับการศึกษาสูงนัก แต่ เขาเป็นคนช่างสังเกตและชอบศึกษาเรียนรู้สิ่งรอบๆ ตัว ผลงานที่สร้าง ชื่อเสียงให้แก่เขาเป็นอย่างมาก คือ “ประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์” ซึ่งให้ คุณประโยชน์แก่วงการวิทยาศาสตร์และการแพทย์ โดยเฉพาะการค้นพบ แบคทีเรีย ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า หลังจากที่เลเวนฮุกประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์ส�าเร็จ เขาใช้ เวลาส่วนใหญ่ศึกษาธรรมชาติที่อยู่รอบๆ ตัว วันหนึ่งเลเวนฮุกได้ ใช้ กล้องจุลทรรศน์ส่องดูน�้าที่ขังอยู่บนพื้นดิน ปรากฏว่าเขาสามารถมองเห็นสัตว์ตัวเล็กๆ จ�านวนมาก ที่ไม่สามารถมอง เห็นด้วยตาเปล่า เลเวนฮุกเรียกสัตว์จ�าพวกนี้ว่า “Wretahed Beasties” เมื่อเขาเห็นสัตว์พวกนี้ผ่านทางกล้องจุลทรรศน์ เขามีความสงสัยต่อไปอีกว่า สัตว์เหล่านี้มาจากที่ไหน ซึ่งน�าไปสู่การค้นคว้าของเขาเกี่ยวกับเรื่องจุลินทรีย์ 1. ให้นักเรียนเขียนสรุปประวัติและผลงานของอังตน ฟาน เลเวนฮุก ลงในสมุดโดยใช้ตัวอย่างแบบบันทึก
ข้อมูลข้างล่าง ª×èÍ ..................................................................................................................................................... ............................................................................................................................... ʶҹ·Õèà¡Ô´........................................................................................................................ »‚à¡Ô´............................................................................................................................... .............................................................................................................................................. ¼Å§Ò¹ ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................... ................................................................................................................................................................
กล้องจุลทรรศน์ของเลเวนฮุก
2. ให้นักเรียนค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับประวัติและผลงานของเลเวนฮุก เพิ่มเติมจากหนังสือในห้องสมุดหรือ จากอินเทอร์เน็ต แล้วเขียนอธิบายลงในสมุดหรือในใบงาน ค�าที่นักเรียนสามารถใช้เพื่อค้นหาจากดัชนี ค้นหาค�า เช่น เลเวนฮุก (Leeuwenhook) กล้องจุลทรรศน์เลนส์เดี่ยว
14
แนวตอบ กิจกรรมสรางสรรคพัฒนาประจําหนวยการเรียนรูที่ 1 1. อังตน ฟาน เลเวนฮุก 1.
กลองจุลทรรศนของเลเวนฮุก
อังตน ฟาน เลเวนฮุก ชื่อ..................................................................................................................... เมืองเดลฟท ประเทศเนเธอรแลนด สถานที่เกิด..................................................................................................... พ.ศ. 2175 (ค.ศ. 1632) ปเกิด..................................................................................................... ......... ผลงาน ประดิษฐกลองจุลทรรศน และคนควาเกี่ยวกับจุลินทรีย ....... ................................................................................................................... .......................................................................................................................... ..........................................................................................................................
2. พิจารณาจากคําตอบของนักเรียน โดยอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน
14
คูมือครู
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
Expand าใจ ขยายความเข
Evaluate ตรวจสอบผล
ขยายความเขาใจ
ครูและนักเรียนทบทวนเกี่ยวกับรูปราง และ องคประกอบของเซลลพืชและเซลลสัตว จากนั้น ครูอาจตั้งคําถามที่เกี่ยวของกับกิจกรรมขอ 2. การไหลของไซโทพลาซึม เชน • ไซโทพลาซึมภายในเซลลมีลักษณะอยางไร (แนวตอบ เปนของเหลวขน โปรงแสง) • นักเรียนคิดวาเราจะสังเกตการไหลของ ไซโทพลาซึมไดอยางไร (แนวตอบ เนื่องจากโซโทพลาซึมมีลักษณะ โปรงแสง ดังนั้น จะสามารถสังเกตการไหล ของไซโทพลาซึมไดจากการเคลือ่ นทีข่ อง ออรแกเนลลที่อยูภายในเซลล) จากนั้นใหนักเรียนทํากิจกรรมสรางสรรค พัฒนาประจําหนวยการเรียนรูที่ 1 ขอ 2. และ ขอ 3.
2. การไหลของไซโทพลาซึมภายในเซลล์ การทดลองเรื่อง การไหลของไซโทพลาซึม อุปกรณ์และสารเคมี 1. สไลด์ และกระจกปิดสไลด์ 2. ใบสาหร่ายหางกระรอก (บริเวณยอด) 3. กล้องจุลทรรศน์
วิธีการทดลอง 1. หยดน�้า 1 หยด ลงบนสไลด์ 2. เด็ดใบสาหร่ายหางกระรอกบริเวณยอด 1 ใบ วางลงในหยดน�้าบนสไลด์ ในข้อ 1. 3. ปิดด้วยกระจกปิดสไลด์ 4. ส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์และวาดภาพตามที่นักเรียนเห็นจากสไลด์
? 1. นักเรียนสังเกตเห็นเซลล์ ในใบสาหร่ายหางกระรอกมีลักษณะอย่างไร
2. นักเรียนสังเกตเห็นการไหลของไซโทพลาซึมหรือไม่ และสังเกตได้จากอะไร
3. เปรียบเทียบลักษณะของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ การทดลองเรื่อง ลักษณะรูปร่างและโครงสร้างของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ อุปกรณ์และสารเคมี 1. สไลด์ และกระจกปิดสไลด์ 2. หัวหอม 3. สารละลายไอโอดีน 4. กล้องจุลทรรศน์
Expand
วิธีการทดลอง 1. ตัดหัวหอมเป็นชิ้นจ�านวน 4 ชิ้น หรือ 8 ชิ้น
ตรวจสอบผล
2. ใช้ปากคีบลอกเนื้อเยื่อบางๆ ภายในของกลีบหอม ให้ ได้ชิ้นขนาดประมาณครึ่งนิ้ว วางบนสไลด์ 3. หยดสารละลายไอโอดีนบนเยื่อหอม 1 หยด แล้วปิดด้วยกระจกปิดสไลด์ 4. สังเกตลักษณะของเซลล์เยื่อหอมเมื่อส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ 5. วาดภาพและจดบันทึกรูปร่างลักษณะของเซลล์เยื่อหอม ใช้ปลายนิ้วขูดที่ผนังด้านในของช่องปากบริเวณข้างแก้มเบาๆ เบาๆ 6. ล้างมือให้สะอาด ใช้ ใช้นิ้วป้ายที่แผ่นสไลด์อีกแผ่นหนึ่ง 7. ใช้ 3. ถึงข้อ 5.5. 8. ท�าซ�้าตามขั้นตอนข้อ 3. ถึ
Evaluate
นักเรียนสามารถตอบคําถามกิจกรรมสรางสรรค พัฒนาประจําหนวยการเรียนรูที่ 1 ไดถูกตอง
1. ให้นักเรียนคัดลอกตารางด้านล่างลงในสมุด แล้ แล้วบันทึกข้อมูลที่สังเกตได้จากการท�ากิจกรรม ลักษณะเซลล์เยื่อหอม
ลักษณะเซลล์เยื่อบุข้างแก้ม
2. เซลล์พืชและเซลล์สัตว์มีส่วนใดที่เหมือนกัน 3. เซลล์พืชมีส่วนประกอบใดที่ไม่พบในเซลล์สัตว์ 15
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
จากการทดลองเปรียบเทียบลักษณะของเซลลพืชและเซลลสัตว ในขั้นตอนที่ 3 ทําไมจึงตองมีการหยดไอโอดีนลงไปที่เซลล 1. เพื่อลางทําความสะอาดเซลล 2. เพื่อหยุดการทํางานของเซลล ณ ขณะนั้น 3. เพื่อทําใหเซลลพืชและเซลลสัตวมีการกลายพันธุ 4. เพือ่ ทําใหสามารถมองเห็นเซลลพชื และเซลลสตั วไดชดั เจนยิง่ ขึน้
วิเคราะหคําตอบ เนื่องจากเซลลมีลักษณะใส ทําใหสังเกตเห็นไดยาก จึงมีการหยดไอโอดีนเพื่อเปนการชวยยอมสีเซลลใหสามารถสังเกตเห็น โครงสรางของเซลลไดชัดเจนขึ้นเมื่อนําไปสองดูดวยกลองจุลทรรศน ดังนั้น ตอบขอ 4.
แนวตอบ
กิจกรรมสรางสรรคพัฒนาประจําหนวยการเรียนรูที่ 1
2. การไหลของไซโทพลาซึมภายในเซลล 1. เซลลของใบสาหรายหางกระรอกมีลักษณะเปนเหลี่ยม มีผนังเซลลหนา 2. เห็นการไหลของไซโทพลาซึม โดยสังเกตจากคลอโรพลาสตที่อยูใน ไซโทพลาซึมเคลื่อนที่ไปยังสวนตางๆ ของเซลล 3. เปรียบเทียบลักษณะของเซลลพืชและเซลลสัตว 1. ลักษณะเซลลเยื่อหอม ลักษณะเซลลเยื่อบุขางแกม 1. รูปรางคอนขางเปนเหลี่ยม
1. รูปรางคอนขางกลม
2. มีผนังเซลล
2. ไมมีผนังเซลล
3. มีเยื่อหุมเซลล
3. มีเยื่อหุมเซลล
4. มีคลอโรพลาสต
4. ไมมีคลอโรพลาสต
2. สวนที่เหมือนกันของเซลลพืชและเซลลสัตว คือ เยื่อหุมเซลล ไซโทพลาซึม และนิวเคลียส 3. สวนประกอบที่พบเฉพาะในเซลลพืช คือ ผนังเซลล และคลอโรพลาสต คูมือครู
15
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
Engage
Explore
Explain
Expand
ตรวจสอบผล
Evaluate
ครูใหนักเรียนอานสรุปทบทวนประจําหนวย การเรียนรูที่ 1 จากนั้นครูตั้งคําถามเกี่ยวกับ บทเรียนใหนักเรียนชวยกันตอบ เพื่อเปนการ ตรวจสอบความเขาใจของนักเรียน
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู 1. แบบบันทึกผลการปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 2. สมุดภาพเกี่ยวกับรูปรางและสวนประกอบของ สิ่งมีชีวิตเซลลเดียว 3. ปายนิเทศเผยแพรความรูเกี่ยวกับเซลลตางๆ ในสิ่งมีชีวิตหลายเซลลทั้งเซลลพืชและเซลลสัตว 4. สมุดภาพสรุปเกี่ยวกับรูปราง ลักษณะ และ หนาที่ของโครงสรางแตละชนิดของเซลล 5. แบบบันทึกผลการปฏิบัติกิจกรรมสรางสรรค พัฒนาประจําหนวยการเรียนรูที่ 1
ตรวจสอบผล Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate
สรุปทบทวน
ประจ�าหน่วยการเรียนรู้ที่
1
■ รอเบิรต ์ ฮุก เป็นคนแรกทีพ่ ยายามหาค�าตอบว่าสิง่ มีชวี ติ ประกอบด้วยอะไร เป็นคนแรกทีค่ น้ พบโครงสร้าง พื้นฐานที่เล็กที่สุดของสิ่งมีชีวิตและตั้งชื่อว่า เซลล์ โดยกล่าวว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดประกอบด้วยเซลล์ ■ เซลล์เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของสิ่งมีชีวิต สามารถเพิ่มจ�านวน เจริญเติบโต และตอบสนอง ต่อสิ่งเร้าได้ เซลล์บางเซลล์สามารถเคลื่อนที่ได้ เช่น เซลล์อสุจิ เป็นต้น เซลล์บางเซลล์มลี ักษณะพิเศษ เพือ่ ท�าหน้าทีเ่ ฉพาะอย่าง เช่น เซลล์ประสาทมีแขนงยื่นยาวเพื่อใช้รับ - ส่งกระแสประสาท ■ เซลล์ส่วนใหญ่มีขนาดเล็กมาก ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จะต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดู เพื่อ ท�าให้การศึกษาขนาด รูปร่าง และส่วนประกอบต่างๆ ของเซลล์ท�าได้ง่ายขึ้น ■ เซลล์ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดประกอบด้วยโครงสร้างพื้นฐาน 3 อย่าง คือ เยื่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึม และ นิวเคลียส เยื่อหุ้มเซลล์ท�าหน้าที่ควบคุมการผ่านเข้าออกของสารประกอบทางเคมี เช่น สารอาหาร และแก๊สต่างๆ ในไซโทพลาซึมจะเป็นทีเ่ กิดของปฏิกริ ยิ าเคมีทกุ ชนิด ส�าหรับในนิวเคลียสมีสารพันธุกรรมทีอ่ ยูบ่ นโครโมโซม ท�าหน้าที่ ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต ■ ผนังเซลล์เป็นโครงสร้างที่อยู่นอกสุดของเซลล์พืช ประกอบด้วยสารพวกเซลลู โลส มีหน้าที่ ให้ความ แข็งแรงแก่เซลล์ และช่วยให้เซลล์สามารถคงรูปร่างอยู่ได้ ■ เยือ ่ ห้มุ เซลล์เป็นเยือ่ บางๆ ทีห่ อ่ หุม้ ส่วนต่างๆ ของเซลล์ มีคณุ สมบัตยิ อมให้สารบางชนิดผ่านได้ เรียกว่า เยื่อเลือกผ่าน (semi-permeable membrane) ■ ไซโทพลาซึมอยูภ ่ ายในเยือ่ หุม้ เซลล์ ประกอบด้วยสารประกอบทางเคมีและออร์แกเนลล์ตา่ งๆ ทีท่ า� หน้าที่ เกี่ยวกับกิจกรรมภายในเซลล์ ได้แก่ ร่างแหเอนโดพลาซึม กอลจิบอดี ไมโทคอนเดรีย คลอโรพลาสต์ และแวคิวโอล ■ นิวเคลียสท�าหน้าที่เป็นศูนย์กลางควบคุมการท�างานของเซลล์ เกี่ยวข้องกับการแบ่งเซลล์และถ่ายทอด ลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต ■ เซลล์สัตว์และเซลล์พืชมีความแตกต่างกัน เซลล์พืชมีผนังเซลล์ คลอโรพลาสต์ และแวคิวโอล ซึ่ง เซลล์สัตว์ไม่มี ส่วนรูปร่างของเซลล์ เซลล์สัตว์มีรูปร่างค่อนข้างกลม แต่เซลล์พืชมีรูปร่างเป็นเหลี่ยม ■ เซลล์มีรูปร่างและขนาดต่างๆ กัน รูปร่างของเซลล์ขึ้นอยู่กับการท�าหน้าที่เฉพาะอย่างของเซลล์ เช่น เซลล์เม็ดเลือดแดง เป็นเซลล์ที่ไม่มีนิวเคลียส รูปร่างกลม ตรงกลางเว้า เพื่อช่วยในการขนส่งแก๊สออกซิเจน และ เคลื่อนที่ไหลไปตามหลอดเลือดได้สะดวก เซลล์อสุจิมีส่วนหัวเรียวและส่วนหางยาวเพื่อช่วยในการเคลื่อนที่ไปผสม กับเซลล์ไข่ เซลล์คุมมีรูปร่างคล้ายเมล็ดถั่ว ช่วยในการควบคุมการคายน�้า เป็นต้น
16
เกร็ดแนะครู เมื่อจบการเรียนการสอนในหนวยการเรียนรูที่ 1 แลว ครูอาจใหนักเรียนเขียน สรุปเนื้อหาสาระสําคัญทั้งหมดที่ไดเรียนไปในหนวยการเรียนรูที่ 1 ออกมาเปน แผนผังความคิดในรูปแบบที่งายตอการเขาใจ แลวนําสงครูผูสอน เพื่อใหครูได ตรวจสอบความเขาใจของนักเรียนอีกครั้งหนึ่ง และนักเรียนสามารถนําแผนผัง ความคิดนี้ไปใชอานประกอบเพื่อเตรียมตัวสอบในเรื่องลักษณะ รูปราง โครงสราง และหนาที่ของเซลลสิ่งมีชีวิตได
16
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ขอใดกลาวไดถูกตอง 1. เซลลสัตวจะมีรูปรางเปนเหลี่ยม 2. เซลลสามารถมองเห็นไดดวยตาเปลา 3. ผนังเซลลของพืชประกอบดวยสารจําพวกไขมันเปนสวนใหญ 4. ในเซลลจะมีนิวเคลียสซึ่งทําหนาที่ควบคุมการทํางานของเซลล วิเคราะหคําตอบ เซลลเปนหนวยที่เล็กที่สุดของสิ่งมีชีวิต ที่ไมสามารถ มองเห็นไดดวยตาเปลา เซลลสัตวจะมีรูปรางกลม เพราะไมมีผนังเซลล สวนเซลลพืชจะมีรูปรางเหลี่ยม เนื่องจากมีผนังเซลลที่ประกอบดวย เซลลูโลส ซึ่งทําใหเซลลมีความแข็งแรง และในเซลลพืชและเซลลสัตว จะมีนิวเคลียสทําหนาที่ควบคุมการทํางานของเซลล ดังนั้นจึงตอบขอ 4.