คูมือครู 㪌»ÃСͺ¡ÒÃÊ͹ËÇÁ¡Ñº
˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ©ºÑº ÍÞ.
ภาพปกนี้มีขนาดเทากับหนังสือเรียนฉบับจริงของนักเรียน
กระบวนการสอนแบบ 5 Es ชวยสรางทักษะการเรียนรู กิจกรรมมุงพัฒนาทักษะการคิด คำถาม + แนวขอสอบเพื่อยกผลสัมฤทธิ์ O - NET กิจกรรมบูรณาการเตรียมพรอมสู ASEAN 2558
เอกสารประกอบคูมือครู
กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร
วิทยาศาสตร เลม 2 ชั้นมัธยมศึกษาปที่
1
สําหรับครู
คูมือครู Version ใหม
ลักษณะเดน
ขยายพื้นที่รูปเลมใหญขึ้นกวาเดิม จัดแบงพื้นที่ออกเปนโซน เพื่อคนหาขอมูลไดงาย สะดวก รวดเร็ว และดูเปนระเบียบ กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล
กระตุน ความสนใจ
Evaluate
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
เปาหมายการเรียนรู สมรรถนะของผูเรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค
หน า
โซน 1 กระตุน ความสนใจ
Engage
สํารวจคนหา
Explore
อธิบายความรู
Explain
ขยายความเขาใจ
Expand
ตรวจสอบผล
หน า
หนั ง สื อ เรี ย น
โซน 1
หนั ง สื อ เรี ย น
Evaluate
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
O-NET บูรณาการเชื่อมสาระ
เกร็ดแนะครู
ขอสอบ
โซน 2
โซน 3
กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย
นักเรียนควรรู
โซน 3
โซน 2 บูรณาการอาเซียน มุม IT
No.
คูมือครู
คูมือครู
No.
โซน 1 ขั้นตอนการสอนแบบ 5Es
โซน 2 ชวยครูเตรียมสอน
โซน 3 ชวยครูเตรียมนักเรียน
เพื่อใหครูเตรียมจัดกิจกรรมการเรียน การสอน โดยแนะนําขั้นตอนการสอนและ การจัดกิจกรรมแบบ 5Es อยางละเอียด เพื่อใหนักเรียนบรรลุตามตัวชี้วัด
เพื่อชวยลดภาระครูผูสอน โดยแนะนํา เกร็ดความรูสําหรับครู ความรูเสริมสําหรับ นักเรียน รวมทั้งบูรณาการความรูสูอาเซียน และมุม IT
เพื่อใหครูสะดวกตอการจัดกิจกรรม โดย แนะนํากิจกรรมบูรณาการเชือ่ มระหวางสาระหรือ กลุมสาระการเรียนรู วิชา กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย รวมถึงเนื้อหาที่เคยออกขอสอบ O-NET แนวขอสอบ NT/O-NET ทีเ่ นนการคิด พรอมเฉลยและคําอธิบายอยางละเอียด
ที่ใชในคูมือครู
แถบสีและสัญลักษณ
แถบสีแสดงขั้นตอนการสอนและการจัดกิจกรรม แบบ 5Es เพื่อใหครูทราบวาเปนขั้นการสอนขั้นใด
1. แถบสี 5Es สีแดง
สีเขียว
กระตุน ความสนใจ
เสร�ม
สํารวจคนหา
Engage
2
•
เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใช เทคนิคกระตุน ความสนใจ เพื่อโยง เขาสูบทเรียน
สีสม
อธิบายความรู
Explore
•
เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนสํารวจ ปญหา และศึกษา ขอมูล
สีฟา
Explain
•
เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนคนหา คําตอบ จนเกิดความรู เชิงประจักษ
สีมวง
ขยายความเขาใจ Expand
•
เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนนําความรู ไปคิดคนตอๆ ไป
ตรวจสอบผล Evaluate
•
เปนขั้นที่ผูสอน ประเมินมโนทัศน ของผูเรียน
2. สัญลักษณ สัญลักษณ
วัตถุประสงค
• เปาหมายการเรียนรู
• หลักฐานแสดง ผลการเรียนรู
• เกร็ดแนะครู
แทรกความรูเสริมสําหรับครู ขอเสนอแนะ ขอควรระวัง ขอสังเกต แนวทางการจัด กิจกรรมและอื่นๆ เพื่อประโยชนในการ จัดการเรียนการสอน ขยายความรูเพิ่มเติมจากเนื้อหา เพื่อให ครูนําไปใชอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียน ไดมีความรูมากขึ้น
•
ความรูหรือกิจกรรมเสริม ใหครูนําไปใช เตรียมความพรอมใหกับนักเรียนกอนเขาสู ประชาคมอาเซียนใน พ.ศ. 2558 โดย บูรณาการกับวิชาที่กําลังเรียน
บูรณาการอาเซียน
•
คูม อื ครู
แสดงรองรอยหลักฐานตามภาระงาน ที่ครูมอบหมาย เพื่อแสดงผลการเรียนรู ตามตัวชี้วัด
• นักเรียนควรรู
มุม IT
แสดงเปาหมายการเรียนรูที่นักเรียน ตองบรรลุตามตัวชี้วัด ตลอดจนสมรรถนะ ที่จะตองมี และคุณลักษณะที่พึงเกิดขึ้น กับนักเรียน
แนะนําแหลงคนควาจากเว็บไซต เพื่อให ครูและนักเรียนไดเขาถึงขอมูลความรู ที่หลากหลาย ทั้งไทยและตางประเทศ
สัญลักษณ
ขอสอบ
วัตถุประสงค
O-NET
•
ชี้แนะเนื้อหาที่เคยออกขอสอบ O-NET โดยยกตัวอยางขอสอบ พรอมวิเคราะหคําตอบ อยางละเอียด
•
เปนตัวอยางขอสอบที่มุงเนน การคิดและเปนแนวขอสอบ NT/O-NET ในระดับมัธยมศึกษา ตอนตน มีทั้งปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลยอยางละเอียด
•
เปนตัวอยางขอสอบที่มุงเนน การคิดและเปนแนวขอสอบ O-NET ในระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย มีทั้งปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลยอยางละเอียด
•
แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม เชื่อมกับสาระหรือกลุมสาระ การเรียนรู ระดับชัน้ หรือวิชาอืน่ ที่เกี่ยวของ
•
แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม ซอมเสริมสําหรับนักเรียนที่ควร ไดรับการพัฒนาการเรียนรู
•
แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม ตอยอดสําหรับนักเรียนที่เรียนรู ไดอยางรวดเร็ว และตองการ ทาทายความสามารถในระดับ ที่สูงขึ้น
(เฉพาะวิชา ชัน้ ทีส่ อบ O-NET O-NET)
NT O-NE T (เฉพาะระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนตอนตน)
แนว
O-NET
(เฉพาะระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนปลาย)
บูรณาการเชื่อมสาระ
กิจกรรมสรางเสริม
กิจกรรมทาทาย
คําแนะนําการใชคูมือครู การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอน คูม อื ครู รายวิชา วิทยาศาสตร ม.1 เลม 2 จัดทําขึน้ เพือ่ ใหครูผสู อนนําไปใชเปนแนวทางวางแผนการสอนเพือ่ พัฒนา ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน และประกันคุณภาพผูเ รียน ตามนโยบายของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน (สพฐ.) โดยใชหนังสือเรียน วิทยาศาสตร ม.1 เลม 2 ของบริษทั อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด เปนสือ่ หลัก (Core Material) ประกอบ เสร�ม การสอนและการจัดกิจกรรมการเรียนรูใหสอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดกลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร 3 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พ.ศ. 2551 โดยออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนตามหลักการสําคัญ ดังนี้ 1 ออกแบบการสอนเปนหนวยการเรียนรูอิงมาตรฐาน คูม อื ครู รายวิชา วิทยาศาสตร ม.1 เลม 2 วางแผนการสอนโดยแบงเปนหนวยการเรียนรูต ามลําดับสาระ (Strand) และหมายเลขขอของมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั แตละหนวยจะกําหนดเปาหมายการเรียนรูแ ละจุดประสงคการเรียนรู (Objective Learning) กิจกรรมการเรียนรู (Learning Activities) และแนวทางการประเมินผลการเรียนรู (Learning Evaluation) ไวชัดเจน ครูผูสอนสามารถจัดทําแผนการสอนใหครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัด สมรรถนะ และคุณลักษณะอันพึงประสงคที่เปนเปาหมายการเรียนรูตามที่กําหนดไวในสาระแกนกลาง (ตามแผนภูมิ) และสามารถ บันทึกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผูเรียนแตละคนลงในเอกสาร ปพ.5 ไดอยางมั่นใจ แผนภูมิแสดงความสัมพันธขององคประกอบการออกแบบการเรียนรูอิงมาตรฐานและเนนผูเรียนเปนสําคัญ
คก า
ส ภา
พผ
ูเ
จุดปร
ะสง
รู
รียน
ร
น เรีย
มาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัดชั้นป
ทักษะการคิด การวัดประเมินผล การเรียนรู
กิจกรรมการเรียนรู
เทคนิคการสอน คูม อื ครู
2 การจัดการเรียนรูที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ แนวคิ ด ในการจั ด การเรี ย นการสอนที่ ยึ ด ผู เ รี ย นเป น สํ า คั ญ พั ฒ นามาจากปรั ช ญาและทฤษฎี ก ารเรี ย นรู Constructivism ที่เชื่อวา การเรียนรูเปนกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในสมองของผูเรียนแตละคน ผูเรียนเปนผูสรางความรู โดยการเชื่อมโยงระหวางสิ่งที่ไดเรียนรูจากบทเรียนใหมกับความรูหรือประสบการณเดิมที่มีอยู ทฤษฎีนี้มีความเชื่อวา ผูเรียนทุกคนไดเรียนรูและมีการสั่งสมความรูความเขาใจเกี่ยวกับสิ่งตางๆ ติดตัวมากอน ทีจ่ ะเขาสูห อ งเรียน ซึง่ เปนการเรียนรูท เี่ กิดจากประสบการณและสิง่ แวดลอมรอบตัวผูเ รียนแตละคน ดังนัน้ การจัดกิจกรรม เสร�ม การเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ผูสอนจะตองคํานึงถึง
4
1. ความรูเดิมของผูเรียน วิธีการสอนที่ดีจะตองเริ่มตนจากจุดที่วา ผูเ รียนมีความรูอ ะไรมาบาง แลวจึงใหความรู หรือประสบการณใหม เพื่อตอยอดจาก ความรูเดิม นําไปสูการสรางความรู ความเขาใจใหม
2. ความรูเดิมของผูเรียนถูกตองหรือไม ผูส อนตองปรับเปลีย่ นความรูค วามเขาใจเดิม ของผูเรียนใหถูกตอง และเปนพฤติกรรม การเรียนรูใ หมทมี่ คี ณุ คาตอผูเรียน เพื่อสราง เจตคติหรือทัศนคติที่ดีตอการเรียนรู สิ่งเหลานั้น
3. ผูเรียนสรางความหมายสําหรับตนเอง ผูสอนตองสงเสริมใหผูเรียนนําความรู ความเขาใจที่เกิดขึ้นไปลงมือปฏิบัติ เพื่อขยายความรูใหลึกซึ้งและมีคุณคา ตอตัวผูเรียนมากที่สุด
แนวคิด Constructivism เนนใหผูเรียนสรางความรูโดยผานกระบวนการคิดและความอยากรูของตนเอง โดยมีผูสอนเปนผูสรางบรรยากาศ
การเรียนรูและกระตุนความสนใจ คอยจัดสถานการณใหผูเรียนเกิดความขัดแยงทางความคิดระหวางประสบการณเดิมกับประสบการณ ความรูใ หม เพือ่ กระตนุ ใหผเู รียนเชือ่ มโยงความรู ความคิด กับประสบการณทมี่ อี ยูเ ดิม แลวสังเคราะหเปนความรูห รือแนวคิดใหมๆ ไดดว ยตนเอง
3 การบูรณาการกระบวนการคิด การเรียนรูของผูเรียนแตละคนจะเกิดขึ้นที่สมอง ซึ่งเปนอวัยวะที่ทําหนาที่รูคิดภายใตสภาพแวดลอมที่เอื้ออํานวย และไดรบั การกระตนุ จูงใจอยางเหมาะสม สอดคลองกับสภาพจิตใจและความตองการของผูเ รียนแตละคน การจัดกิจกรรม การเรียนรูและสาระการเรียนรูที่สอดคลองกับความสนใจและมีความหมายตอผูเรียน จะชวยกระตุนใหสมองของผูเรียน สามารถรับรูและเรียนรูไดอยางมีประสิทธิภาพตามขั้นตอนการทํางานของสมอง ดังนี้ 1. สมองจะเรียนรูและสืบคน โดยการสังเกต คนหา ซักถาม และทดลอง ปฏิบัติ จนทําใหคนพบความรูความเขาใจ ไดอยางรวดเร็ว
2. สมองจะแยกแยะคุณคาของสิ่งตางๆ โดยการตัดสินใจวิพากษวิจารณ แสดง ความคิดเห็น ยอมรับหรือตอตานตาม อารมณความรูสึกที่เกิดขึ้นในขณะที่เรียนรู
3. สมองจะประมวลเนื้อหาสาระ โดยการสรุปเปนความคิดรวบยอดจาก เรื่องราวที่ไดเรียนรูใหมนําไปผสมผสานกับ ความรูห รือประสบการณเดิมทีถ่ กู จัดเก็บอยูใ น สมอง ผานการกลัน่ กรองเพือ่ สังเคราะหเปน ความรูค วามเขาใจใหมๆ หรือเปนทัศนคติใหม ที่จะเก็บบรรจุไวในสมองของผูเรียน
การเรียนรูที่มีประสิทธิภาพจึงตองเปนการเรียนรูที่เกิดจากกระบวนการคิดของผูเรียน เพราะการเรียนรูจะเกิดขึ้น เมื่อสมองรูคิด และตองเปนการคิดไดครบถวนตามขั้นตอนการทํางานของสมองผูเรียน โดยเริ่มตนจาก 1. ระดับการคิดพื้นฐาน ไดแก การสังเกต การจําแนก การคาดคะเน การสื่อความหมาย การรวบรวมขอมูล การสรุปผล เปนตน
คูม อื ครู
2. ระดับลักษณะการคิด ไดแก การคิดกวาง คิดลึกซึ้ง คิดไกล คิดหลากหลาย คิดคลอง คิดอยางมีเหตุผล เปนตน
3. ระดับกระบวนการคิด ไดแก กระบวนการคิดอยางมีวิจารณญาณ กระบวนการแกปญหา กระบวนการ คิดสรางสรรค กระบวนการคิดสังเคราะห เปนตน
5Es การจัดกิจกรรมตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ขั้นตอนการสอนที่สัมพันธกับขั้นตอนการคิดและการทํางานทางสมองของผูเรียนที่นิยมใชอยางแพรหลาย คือ วัฏจักรการเรียนรู 5Es ซึ่งผูจัดทําคูมือครูไดนํามาใชเปนแนวทางออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในแตละหนวย ตามลําดับขั้นตอนการเรียนรู ดังนี้ ขั้นที่ 1
กระตุนความสนใจ
(Engage)
เสร�ม
5
เปนขั้นที่ผูสอนนําเขาสูบทเรียน เพื่อกระตุนความสนใจของผูเรียนดวยเรื่องราวหรือเหตุการณที่นาสนใจโดยใชเทคนิควิธีการ และคําถามทบทวนความรูหรือประสบการณเดิมของผูเรียน เพื่อเชื่อมโยงผูเรียนเขาสูความรูของบทเรียนใหม ชวยใหผูเรียนสามารถ สรุปความสําคัญหัวขอและสาระการเรียนรูของบทเรียนได จึงเปนขั้นตอนการสอนที่สําคัญ เพราะเปนการเตรียมความพรอมและสราง แรงจูงใจใฝเรียนรูแกผูเรียน
ขั้นที่ 2
สํารวจคนหา
(Explore)
เปนขัน้ ทีผ่ สู อนเปดโอกาสใหผเู รียนลงมือศึกษา สังเกต หรือรวมมือกันสํารวจ เพือ่ ใหเห็นขอบขายของประเด็นหรือปญหา รวมถึง วิธีการศึกษาคนควา การรวบรวมขอมูลความรูที่จะนําไปสูการสรางความเขาใจประเด็นหรือปญหานั้นๆ เมื่อผูเรียนทําความเขาใจใน ประเด็นหรือปญหาที่จะศึกษาคนควาอยางถองแทแลว ก็ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมขอมูลความรู สํารวจตรวจสอบ โดยวิธีการตางๆ เชน สัมภาษณ ทดลอง อานคนควาขอมูลจากเอกสาร แหลงขอมูลตางๆ จนไดขอมูลความรูที่เกี่ยวของกับประเด็นหรือปญหาที่ศึกษา
ขั้นที่ 3
อธิบายความรู
(Explain)
เปนขั้นที่ผูสอนมีปฏิสัมพันธกับผูเรียน เชน ใหการแนะนํา ตั้งคําถามกระตุนใหคิด เพื่อใหผูเรียนคนหาคําตอบ และนําขอมูล ความรูจากการศึกษาคนควาในขั้นที่ 2 มาวิเคราะห สรุปผล และนําเสนอผลที่ไดศึกษาคนความาในรูปแบบสารสนเทศตางๆ เชน เขียนแผนภูมิ ผังมโนทัศน เขียนความเรียง เขียนรายงาน เปนตน ในขั้นตอนนี้ฝกใหผูเรียนใชสมองคิดวิเคราะหและสังเคราะห อยางเปนระบบ
ขั้นที่ 4
ขยายความเขาใจ
(Expand)
เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใชเทคนิควิธีสอนตางๆ ที่สงเสริมใหผูเรียนนําความรูที่เกิดขึ้นไปคิดคนสืบคนตอๆ ไป เพื่อพัฒนาทักษะ การเรียนรูและการทํางานรวมกันเปนกลุม ระดมสมองเพื่อคิดสรางสรรครวมกัน ผูเรียนสามารถนําความรูที่สรางขึ้นใหมไปเชื่อมโยง กับประสบการณเดิมโดยนําขอสรุปทีไ่ ดไปใชอธิบายเหตุการณตา งๆ หรือนําไปปฏิบตั ใิ นสถานการณใหมๆ ทีเ่ กีย่ วของกับชีวติ ประจําวัน ของตนเอง เพื่อขยายความรูความเขาใจใหกวางขวางยิ่งขึ้น ในขั้นตอนนี้ฝกสมองของผูเรียนใหสามารถคิดริเริ่มสรางสรรคอยางมี คุณภาพ เสริมสรางวิสัยทัศนใหกวางไกลออกไป
ขั้นที่ 5
ตรวจสอบผล
(Evaluate)
เปนขัน้ ทีผ่ สู อนประเมินมโนทัศนของผูเ รียน โดยตรวจสอบจากความคิดทีเ่ ปลีย่ นไปและความคิดรวบยอดทีเ่ กิดขึน้ ใหม ตรวจสอบ ทักษะ กระบวนการปฏิบัติ การแกปญหา การตอบคําถามรวบยอด หรือการเคารพความคิดหรือยอมรับเหตุผลของคนอื่น เพื่อการ สรางสรรคความรูร ว มกัน ผูเ รียนสามารถประเมินผลการเรียนรูข องตนเอง เพือ่ สรุปผลวามีความรูอ ะไรเพิม่ ขึน้ มาบาง เกิดความเขาใจ มากนอยเพียงใด และจะนําความรูเหลานั้นไปประยุกตใชในการเรียนรูเรื่องอื่นๆ หรือในชีวิตประจําวันไดอยางไร ผูเรียนจะเกิดเจตคติ และเห็นคุณคาของตนเองจากผลการเรียนรูที่เกิดขึ้น ซึ่งเปนการเรียนรูที่มีความสุขอยางแทจริง
การจัดกิจกรรมการเรียนรูตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es จึงเปนรูปแบบการเรียนการสอนที่เนนผูเรียน เปนสําคัญอยางแทจริง เพราะสงเสริมใหผูเรียนไดเรียนรูตามขั้นตอนของกระบวนการสรางความรูดวยตนเอง และ ฝกฝนใหใชกระบวนการคิดและกระบวนการกลุมอยางชํานาญ กอใหเกิดทักษะชีวิต ทักษะการทํางาน และทักษะการ เรียนรูที่มีประสิทธิภาพ สงผลตอการยกระดับผลสัมฤทธิ์ของผูเรียน ตามเปาหมายของการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) ทุกประการ คูม อื ครู
O-NET การเพิ่มผลสัมฤทธิ์ O-NET
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ในแตละหนวยการเรียนรู ทางผูจัดทํา จะเสนอแนะวิธีสอน รูปแบบกิจกรรมการเรียนรู พรอมทั้งออกแบบเครื่องมือวัดและประเมินผลที่สอดคลองกับตัวชี้วัด และสาระการเรียนรูแกนกลางไวทุกขั้นตอน โดยยึดหลักสําคัญ คือ หลักของการวัดและประเมินผล เสร�ม
6
1. การวัดและประเมินผลทุกครั้ง ควรนําผลมาปรับปรุงพัฒนาผูเรียน เปนรายบุคคล
2. การวัดและประเมินผลมี เปาหมาย เพื่อพัฒนาการเรียนรู ของผูเรียนจนเต็มศักยภาพ
3. การนําผลการวัดและประเมินผล ทุกครั้งมาวางแผนปรับปรุงกิจกรรม การเรียนการสอน การเลือกเทคนิค วิธีสอน และสื่อการเรียนรูให เหมาะสมกับสภาพจริงของผูเรียน
การทดสอบผูเรียน 1. การใชขอสอบอัตนัย เนนการอาน การคิดวิเคราะห และการเขียนเพิ่มมากขึ้น 2. การใชคําถามกระตุนการคิดควบคูกับการทําขอสอบที่เนนการคิดอยางตอเนื่องตามลําดับกิจกรรมการเรียนรู และตัวชี้วัด 3. การทดสอบตองดําเนินการทั้งกอนเรียน ระหวางเรียน และหลังเรียน การทดสอบควรใชขอสอบทั้งชนิดปรนัยและ อัตนัย และเปนการทดสอบเพื่อประเมินผลการเรียนของผูเรียนแตละคน เพื่อการสอนซอมเสริมใหบรรลุตัวชี้วัด ไดครบถวน 4. การสอบกลางภาค (ถามี) ควรนําแบบฝกหัดหรือขอสอบทีน่ กั เรียนสวนใหญไมสามารถตอบไดหรือไมครบถวนชัดเจน มา สรางเปนแบบทดสอบอีกครัง้ เพือ่ ตรวจสอบความรูค วามเขาใจทีถ่ กู ตอง และประเมินความกาวหนาของผูเ รียนแตละคน 5. การสอบปลายภาคเรียนเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามตัวชี้วัดที่สําคัญ ควรออกขอสอบใหมีลักษณะเดียวกับ ขอสอบ O-NET โดยเนนการคิดวิเคราะห สังเคราะห เชื่อมโยงประยุกตใช เพื่อสรางความคุนเคย และฝกฝน วิธีการทําขอสอบดวยความมั่นใจ 6. การนําผลการทดสอบของผูเรียนมาวิเคราะห โดยผลการสอบกอนการเรียนตองสามารถพยากรณผลการสอบ กลางภาค และผลการสอบกลางภาคตองทํานายผลการสอบปลายภาคของผูเ รียนแตละคน เพือ่ ประเมินพัฒนาการ ความกาวหนาของผูเรียนเปนรายบุคคล 7. ผลการทดสอบปลายป ปลายภาค ตองมีคาเฉลี่ยสอดคลองกับคาเฉลี่ยของการสอบ NT ที่เขตพื้นที่การศึกษา จัดสอบ รวมทั้งคาเฉลี่ยของการสอบ O-NET ชวงชั้นที่สอดคลองครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดสําคัญ เพือ่ สะทอนประสิทธิภาพของครูผสู อนในการออกแบบการเรียนรูแ ละประกันคุณภาพผูเ รียนทีต่ รวจสอบผลไดชดั เจน การจัดการเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ตองใหผูเรียนไดสั่งสมความรู ความเขาใจตามลําดับขั้นตอน ของกิจกรรมในวัฏจักรการเรียนรู 5Es เพื่อใหผูเรียนไดเติมเต็มองคความรูอยางตอเนื่อง จนสามารถปฏิบัติชิ้นงานหรือ ภาระงานรวบยอดของแตละหนวย ผานเกณฑประกันคุณภาพในระดับที่นาพึงพอใจ เพื่อรองรับการประเมินภายนอกจาก สมศ. ตลอดเวลา คูม อื ครู
ASEAN การเรียนรูสูประชาคมอาเซียน เพื่ออํานวยความสะดวกแกครูผูสอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรูบูรณาการอาเซียนศึกษา ผูจัดทําไดวิเคราะห มาตรฐานการเรียนรู และตัวชี้วัดที่มีสาระการเรียนรูสอดคลองกับองคความรูเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนในแงมุมตางๆ ครอบคลุมทัง้ ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรม อาเซียน เพื่อสงเสริมการเรียนรูใหผูเรียนเกิดความตระหนัก มีความรูความเขาใจเหมาะสมกับระดับชั้นและกลุมสาระ การเรียนรู โดยเสนอแนะวิธีการจัดกิจกรรมบูรณาการเนื้อหาสาระตางๆ ที่เปนประโยชนตอผูเรียนและเปนการชวย เตรียมความพรอมผูเรียนทุกคนที่จะกาวเขาสูการเปนสมาชิกของประชาคมอาเซียนไดอยางมั่นใจตามขอตกลงปฏิญญา ชะอํา-หัวหิน วาดวยความรวมมือดานการศึกษาเพื่อบรรลุเปาหมายประชาคมอาเซียนที่เอื้ออาทรและแบงปน จึงกําหนด เปนนโยบายใหกระทรวงศึกษาธิการจัดการเรียนรูเตรียมความพรอมผูเรียนเขาสูประชาคมอาเซียนภายในป พ.ศ. 2558 ตามแนวปฏิบัติที่สําคัญ ดังนี้
เสร�ม
7
การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน 1. การสรางความรูความเขาใจ และตระหนักถึงความสําคัญของ กฎบัตรอาเซียน และความรวมมือ ของ 3 เสาหลัก ซึง่ กฎบัตรอาเซียน ในขณะนี้มีสถานะเปนกฎหมายที่ ประเทศสมาชิกจะตองปฏิบัติตาม หลักการที่กําหนดไวเพื่อใหบรรลุ เปาหมายของกฎบัตรมาตราตางๆ
2. การสงเสริมหลักการ ประชาธิปไตยและการสราง สิ่งแวดลอมประชาธิปไตย เพื่อการอยูรวมกันอยางกลมกลืน ภายใตวิถีชีวิตอาเซียนที่มีความ หลากหลายดานสังคมและ วัฒนธรรม
4. การตระหนักในคุณคาของ สายสัมพันธทางประวัติศาสตร และมรดกทางวัฒนธรรมที่มี พัฒนาการรวมกัน เพื่อเชื่อม อัตลักษณและสรางจิตสํานึก ในการเปนประชากรของประชาคม อาเซียนรวมกัน
3. การสงเสริมการศึกษาดาน สิทธิมนุษยชน เพื่อสรางประชาคม อาเซียนใหเปนประชาคมเพื่อ ประชาชนอยางแทจริง สามารถ อยูรวมกันไดบนพื้นฐานการเคารพ ในคุณคาของศักดิ์ศรีแหงความ เปนมนุษยเทาเทียมกัน
5. การสงเสริมสันติภาพ ความ มั่นคง และความปรองดองในสังคม ทั้งระดับประเทศและภูมิภาคของ อาเซียนบนพื้นฐานสันติวิธีและการ อยูรวมกันดวยขันติธรรม
คูม อื ครู
การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
เสร�ม
8
1. การพัฒนาทักษะการทํางาน เพื่อเสริมสรางผูเรียนใหมีทักษะ วิชาชีพที่จําเปนสอดคลองกับ ความตองการของตลาดแรงงาน และสถานประกอบการในอาเซียน สามารถเทียบโอนผลการเรียน และการทํางานตามมาตรฐานฝมือ แรงงานในภูมิภาคอาเซียน
2. การเสริมสรางวินัย ความรับผิดชอบ และเจตคติรักการทํางาน สามารถพึ่งพาตนเอง มีทักษะชีวิต ดํารงชีวิตอยางมีความสุข เห็นคุณคา และภูมิใจในตนเอง ในฐานะที่เปนพลเมืองไทยและ อาเซียน
3. การเรียนรูเพื่อพัฒนาตนเอง อยางตอเนื่องตลอดชีวิต ใหมี ทักษะการทํางานตามมาตรฐาน อาชีพ และคุณวุฒิของวิชาชีพสาขา ตางๆ เพื่อรองรับการเตรียมเคลื่อน ยายแรงงานมีฝมือและการเปน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่ เขมแข็ง เพื่อสรางขีดความสามารถ ในการแขงขันในเวทีโลก
การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน 1. การเสริมสรางความรวมมือ ในลักษณะสังคมที่เอื้ออาทร ของประชากรอาเซียน โดยยึด หลักการสําคัญ คือ ความงดงาม ของประชาคมอาเซียนมาจาก ความแตกตางและหลากหลายทาง วัฒนธรรมที่ลวนแตมีคุณคาตอ มรดกทางวัฒนธรรมของอาเซียน ซึ่งประชาชนทุกคนตองอนุรักษ สืบสานใหยั่งยืน
2. การเสริมสรางคุณลักษณะ ของผูเรียนใหเปนพลเมืองอาเซียน ที่มีศักยภาพในการกาวเขาสู ประชาคมอาเซียนอยางมั่นใจ เปนผูที่มีสุขภาพสมบูรณแข็งแรง มีทักษะการสื่อสาร ทักษะการ ทํางาน ทักษะทางสังคม สามารถ ทํางานรวมกับผูอื่นไดอยาง สรางสรรค และมีองคความรู เกี่ยวกับอาเซียนที่จําเปนตอการ ดํารงชีวิตอยางมีคุณภาพ
4. การสงเสริมการเรียนรูดาน ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถชี วี ติ ความเปนอยูข องเพือ่ นบาน ในอาเซียน เพื่อสรางจิตสํานึกของ ความเปนประชาคมอาเซียนและ ตระหนักถึงหนาที่ของการเปน พลเมืองอาเซียนรวมกัน
3. การสงเสริมการเรียนรูภาษา อังกฤษเพื่อการสื่อสารและการ ทํางานตามมาตรฐานอาชีพที่ กําหนดและสนับสนุนการเรียนรู ภาษาอาเซียนและภาษาเพื่อนบาน เพื่อชวยเสริมสรางสัมพันธภาพทาง สังคม และการอยูรวมกันอยางสันติ ทามกลางความหลากหลายทาง วัฒนธรรม
5. การสรางความรูและความ ตระหนักเกี่ยวกับดานสิ่งแวดลอม ปญหาและผลกระทบตอคุณภาพ ชีวิตของประชากรในภูมิภาค รวมทั้งแนวทางการพัฒนาอยาง ยั่งยืน ใหเปนมรดกสืบทอดแก พลเมืองอาเซียนในรุนหลังตอๆ ไป
กระทรวงศึกษาธิการจึงประกาศนโยบายการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) เพื่อเรงพัฒนาเด็ก และเยาวชนไทยใหเปนทรัพยากรมนุษยของชาติที่มีทักษะและความชํานาญ พรอมเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและ การแขงขันทั้งในภูมิภาคอาเซียนและภูมิภาคอื่นๆ ของสังคมโลก ทั้งนี้ผูบริหารสถานศึกษา ครูผูสอน และผูปกครอง ควรรวมมือกันอยางใกลชิดในการดูแลชวยเหลือผูเรียนและจัดประสบการณการเรียนรูเพื่อพัฒนาผูเรียนจนเต็มศักยภาพ เพื่อกาวเขาสูการเปนพลเมืองอาเซียนอยางมีเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีความเปนมนุษยของตน คณะผูจัดทํา คูม อื ครู
ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง สาระที่ 1
วิทยาศาสตร (เฉพาะชั้น ม.1)*
สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดํารงชีวิต
มาตรฐาน ว 1.1 เขาใจหนวยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต ความสัมพันธของโครงสราง และหนาที่ของระบบตางๆ ของสิ่งมีชีวิต ที่ทํางานสัมพันธกัน มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู สื่อสารสิ่งที่เรียนรู และนําความรูไปใชในการดํารง ชีวิตของตนเองและดูแลสิ่งมีชีวิต ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
ม.1 1. สังเกตและอธิบายรูปราง ลักษณะ • เซลลของสิ่งมีชีวิตเซลลเดียวและเซลลของสิ่งมีชีวิต • หนวยการเรียนรูที่ 1 ของเซลลของสิ่งมีชีวิตเซลลเดียว หลายเซลล เชน เซลลพืชและเซลลสัตวมีรูปราง หนวยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต และเซลลของสิ่งมีชีวิตหลายเซลล ลักษณะแตกตางกัน 2. สังเกตและเปรียบเทียบ สวนประกอบสําคัญของเซลลพืช และเซลลสัตว
เสร�ม
9
• หนวยการเรียนรูที่ 1 • นิวเคลียส ไซโทพลาซึม และเยื่อหุมเซลล เปน สวนประกอบสําคัญของเซลลที่เหมือนกันของ หนวยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต เซลลพืชและเซลลสัตว • ผนังเซลลและคลอโรพลาสตเปนสวนประกอบที่พบได ในเซลลพืช
3. ทดลองและอธิบายหนาที่ของ • นิวเคลียส ไซโทพลาซึม เยื่อหุมเซลล แวคิวโอล เปน • หนวยการเรียนรูที่ 1 สวนประกอบที่สําคัญของเซลลพืช สวนประกอบสําคัญของเซลลสตั ว มีหนาทีแ่ ตกตางกัน หนวยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต และเซลลสัตว • นิวเคลียส ไซโทพลาซึม เยื่อหุมเซลล แวคิวโอล ผนังเซลล และคลอโรพลาสต เปนสวนประกอบทีส่ าํ คัญ ของเซลลพืช มีหนาที่แตกตางกัน 4. ทดลองและอธิบายกระบวนการ สารผานเซลล โดยการแพร และออสโมซิส
• การแพรเปนการเคลือ่ นทีข่ องสารจากบริเวณทีม่ คี วาม • หนวยการเรียนรูที่ 2 กระบวนการในการดํารงชีวิต เขมขนสูงไปสูบริเวณที่มีความเขมขนตํ่า • ออสโมซิสเปนการเคลื่อนที่ของนํ้าผานเขาและออก ของพืช (ตอนที่ 1) จากเซลล จากบริเวณที่มีความเขมขนของสารละลาย ตํ่าไปสูบริเวณที่มีความเขมขนของสารละลายสูง โดย ผานเยื่อเลือกผาน
5. ทดลองหาปจจัยบางประการทีจ่ าํ เปน • แสง คลอโรฟลล แกสคารบอนไดออกไซด และนํ้า • หนวยการเรียนรูที่ 2 ตอการสังเคราะหดวยแสงของพืช เปนปจจัยที่จําเปนตอกระบวนการสังเคราะหดวยแสง กระบวนการในการดํารงชีวิต และอธิบายวาแสง คลอโรฟลล แกส ของพืช ของพืช (ตอนที่ 1) คารบอนไดออกไซด นํ้า เปนปจจัย ที่จําเปนตองใชในการสังเคราะห ดวยแสง 6. ทดลองและอธิบายผลที่ไดจากการ • นํา้ ตาล แกสออกซิเจน และนํา้ เปนผลิตภัณฑทไี่ ดจาก • หนวยการเรียนรูที่ 2 สังเคราะหดวยแสงของพืช กระบวนการสังเคราะหดวยแสงของพืช กระบวนการในการดํารงชีวิต ของพืช (ตอนที่ 1) 7. อธิบายความสําคัญของกระบวนการ • กระบวนการสังเคราะหดวยแสงมีความสําคัญตอการ • หนวยการเรียนรูที่ 2 สังเคราะหดวยแสงของพืชตอ ดํ า รงชี วิ ต ของสิ่ ง มี ชี วิ ต และต อ สิ่ ง แวดล อ มในด า น กระบวนการในการดํารงชีวิต สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม อาหาร การหมุนเวียนของแกสออกซิเจนและแกส ของพืช (ตอนที่ 1) คารบอนไดออกไซด 8. ทดลองและอธิ บ ายกลุ ม เซลล ที่ • เนื้อเยื่อลําเลียงนํ้าเปนกลุมเซลลเฉพาะ เรียงตอกัน • หนวยการเรียนรูที่ 2 เกี่ยวของกับการลําเลียงนํ้าของพืช ตั้งแตราก ลําตนจนถึงใบ ทําหนาที่ในการลําเลียงนํ้า กระบวนการในการดํารงชีวิต และธาตุอาหาร ของพืช (ตอนที่ 1) _________________________________ * สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร. (กรุงเทพมหานคร : ชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย, 2551), หนา 10-104.
คูม อื ครู
ชั้น
เสร�ม
10
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
ม.1 9. สังเกตและอธิบายโครงสราง • เนือ้ เยือ่ ลําเลียงนํา้ และเนือ้ เยือ่ ลําเลียงอาหารเปนกลุม • หนวยการเรียนรูที่ 2 ที่ เ กี่ ย วกั บ ระบบลํ า เลี ย งนํ้ า และ เซลลทอี่ ยูค ขู นานกันเปนทอลําเลียงจากราก ลําตนถึง กระบวนการในการดํารงชีวิต อาหารของพืช ใบ ซึง่ การจัดเรียงตัวของทอลําเลียงในพืชใบเลีย้ งเดีย่ ว ของพืช (ตอนที่ 1) และพืชใบเลี้ยงคูจะแตกตางกัน • เนื้อเยื่อลําเลียงนํ้า ทําหนาที่ในการลําเลียงนํ้าและ ธาตุอาหารจากรากสูใ บ สวนเนือ้ เยือ่ ลําเลียงอาหารทํา หนาที่ลําเลียงอาหารจากใบสูสวนตางๆ ของพืช • การคายนํ้ามีสวนชวยในการลําเลียงนํ้าของพืช 10. ทดลองและอธิบายโครงสรางของ • เกสรเพศผูและเกสรเพศเมียเปนโครงสรางที่ใชในการ • หนวยการเรียนรูที่ 3 ดอกทีเ่ กีย่ วของกับการสืบพันธุข อง สืบพันธุของพืชดอก กระบวนการในการดํารงชีวิต พืช ของพืช (ตอนที่ 2) 11. อธิบายกระบวนการสืบพันธุแบบ • กระบวนการสืบพันธุแ บบอาศัยเพศของพืชดอกเปนการ • หนวยการเรียนรูที่ 3 อาศั ย เพศของพื ช ดอกและการ ปฏิสนธิระหวางเซลลสบื พันธุเ พศผูแ ละเซลลไขในออวุล กระบวนการในการดํารงชีวิต สืบพันธุแบบไมอาศัยเพศของพืช • การแตกหนอ การเกิดไหล เปนการสืบพันธุของพืช ของพืช (ตอนที่ 2) โดยใชสวนตางๆ ของพืชเพื่อชวย แบบไมอาศัยเพศ โดยไมมีการปฏิสนธิ ในการขยายพันธุ • ราก ลําตน ใบ และกิ่งของพืชสามารถนําไปใชขยาย พันธุพืชได 12. ทดลองและอธิบายการตอบสนอง • พืชตอบสนองตอสิ่งเราภายนอก โดยสังเกตไดจาก • หนวยการเรียนรูที่ 3 ของพืชตอแสง นํ้า และการสัมผัส การเคลือ่ นไหวของสวนประกอบของพืชทีม่ ตี อ แสง นํา้ กระบวนการในการดํารงชีวิต และการสัมผัส ของพืช (ตอนที่ 2) 13. อธิบายหลักการและผลของการใช • เทคโนโลยีชีวภาพเปนการใชเทคโนโลยีเพื่อทําให • หนวยการเรียนรูที่ 3 เทคโนโลยีชวี ภาพในการขยายพันธุ สิ่งมีชีวิตหรือองคประกอบของสิ่งมีชีวิตมีสมบัติตาม กระบวนการในการดํารงชีวิต ปรับปรุงพันธุ เพิ่มผลผลิตของพืช ตองการ ของพืช (ตอนที่ 2) และนําความรูไปใชประโยชน • การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช และพันธุวิศวกรรม เปน เทคโนโลยีชีวภาพที่ใชในการขยายพันธุปรับปรุงพันธุ และเพิ่มผลผลิตของพืช
สาระที่ 3
สารและสมบัติของสาร
มาตรฐาน ว 3.1 เขาใจสมบัตขิ องสาร ความสัมพันธระหวางสมบัตขิ องสารกับโครงสรางและแรงยึดเหนีย่ วระหวางอนุภาค มีกระบวนการสืบเสาะหาความรูและจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่เรียนรู นําความรูไปใชประโยชน ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
ม.1 1. ทดลองและจํ า แนกสารเป น กลุ ม • เมือ่ ใชเนือ้ สารเปนเกณฑ จําแนกสารไดเปนสารเนือ้ เดียว • หนวยการเรียนรูที่ 4 โดยใชเนื้อสารหรือขนาดอนุภาค และสารเนือ้ ผสม ซึง่ สารแตละกลุม จะมีสมบัตแิ ตกตางกัน สมบัติของสารและการจําแนก เปนเกณฑ และอธิบายสมบัติของ • เมือ่ ใชขนาดอนุภาคของสารเปนเกณฑจาํ แนกสารเปน สาร สารในแตละกลุม สารแขวนลอย คอลลอยดและสารละลาย ซึง่ สารแตละ กลุมจะมีสมบัติแตกตางกัน 2. อธิบายสมบัตแิ ละการเปลีย่ นสถานะ • สี รูปราง ขนาด ความแข็ง ความหนาแนน จุดเดือด • หนวยการเรียนรูที่ 4 ของสาร โดยใชแบบจําลองการ จุดหลอมเหลว เปนสมบัตทิ างกายภาพของสาร ความ สมบัติของสารและการจําแนก จัดเรียงอนุภาคของสาร เปนกรด-เบส ความสามารถในการรวมตัวกับสารอืน่ ๆ สาร การแยกสลายของสารและการเผาไหม เปนสมบัตทิ างเคมี • สารตางๆ มีลักษณะการจัดเรียงอนุภาค ระยะหาง ระหวางอนุภาค และแรงยึดเหนี่ยวระหวางอนุภาค แตกตางกัน ซึ่งสามารถใชแบบจําลองการจัดเรียง อนุภาคอธิบายสมบัติบางประการของสารได
คูม อื ครู
ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
ม.1 3. ทดลองและอธิ บ ายสมบั ติ ค วาม • สารละลายที่มีนํ้าเปนตัวทําละลาย อาจจะมีสมบัติเปน • หนวยการเรียนรูที่ 4 เปนกรด เบส ของสารละลาย กรด กลาง หรือเบส ซึง่ สามารถทดสอบไดดว ยกระดาษ สมบัติของสารและการจําแนก ลิตมัส หรืออินดิเคเตอร สาร 4. ตรวจสอบคา pH ของสารละลาย • ความเปนกรด-เบสของสารละลาย ระบุเปนคา pH • หนวยการเรียนรูที่ 4 และนําความรูไปใชประโยชน ซึ่ ง ตรวจสอบได ด ว ยเครื่ อ งมื อ วั ด ค า pH หรื อ สมบัติของสารและการจําแนก ยูนิเวอรซัลอินดิเคเตอร สาร • ผลิ ต ภั ณ ฑ ที่ ใ ช ใ นชี วิ ต ประจํ า วั น อาจมี ค วามเป น กรด-เบสแตกตางกันจึงควรเลือกใชใหถกู ตองปลอดภัย ตอตนเองและสิ่งแวดลอม
เสร�ม
11
มาตรฐาน ว 3.2 เขาใจหลักการและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร การเกิดสารละลาย การเกิดปฏิกิริยา มีกระบวนการสืบเสาะหาความรูและจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่เรียนรู และนําความรูไปใชประโยชน ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
ม.1 1. ทดลองและอธิ บ ายวิ ธี เ ตรี ย ม • สารละลายประกอบดวยตัวละลายและตัวทําละลาย • หนวยการเรียนรูที่ 4 สารละลายที่ มี ค วามเข ม ข น เป น สารละลายที่ระบุความเขมขนเปนรอยละ หมายถึง สมบัติของสารและการจําแนก รอยละ และอภิปรายการนําความรู สารละลายทีม่ อี ตั ราสวนของปริมาณตัวละลาย ละลาย สาร เกี่ยวกับสารละลายไปใชประโยชน อยูในสารละลายรอยสวน • ในชีวติ ประจําวัน ไดมกี ารนําความรูเ รือ่ งสารละลายไป ใชประโยชนทางดานการเกษตร อุตสาหกรรมอาหาร การแพทย และดานอื่น ๆ 2. ทดลองและอธิบายการเปลีย่ นแปลง • เมือ่ สารเกิดการเปลีย่ นสถานะและเกิดการละลาย มวล • หนวยการเรียนรูที่ 4 สมบัติ มวลและพลังงานของสาร ของสารจะไมเปลี่ยนแปลง แตสมบัติทางกายภาพ สมบัติของสารและการจําแนก เมื่อสารเปลี่ยนสถานะและเกิดการ เปลี่ยนแปลง รวมทั้งมีการถายโอนพลังงานระหวาง สาร ละลาย ระบบกับสิ่งแวดลอม 3. ทดลองและอธิบายปจจัยที่มีผลตอ • อุณหภูมิ ความดัน ชนิดของสารมีผลตอการเปลี่ยน • หนวยการเรียนรูที่ 4 การเปลี่ยนสถานะ และการละลาย สถานะ และการละลายของสาร สมบัติของสารและการจําแนก ของสาร สาร
สาระที่ 4
แรงและการเคลื่อนที่
มาตรฐาน ว 4.1 เขาใจธรรมชาติของแรงแมเหล็กไฟฟา แรงโนมถวง และแรงนิวเคลียร มีกระบวนการสืบเสาะหา ความรู สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชนอยางถูกตองและมีคุณธรรม ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
ม.1 1. สืบคนขอมูล และอธิบายปริมาณ • ปริมาณทางกายภาพแบงเปนปริมาณสเกลารและ • หนวยการเรียนรูที่ 5 สเกลาร ปริมาณเวกเตอร ปริมาณเวกเตอร ปริมาณสเกลารเปนปริมาณที่มีแต แรงและการเคลื่อนที่ ขนาด ปริมาณเวกเตอรเปนปริมาณที่มีทั้งขนาดและ ทิศทาง 2. ทดลองและอธิบายระยะทาง • การเคลือ่ นทีข่ องวัตถุเกีย่ วของกับระยะทาง การกระจัด • หนวยการเรียนรูที่ 5 การกระจัด อัตราเร็ว และความเร็ว อัตราเร็ว ความเร็ว ระยะทาง คือ ความยาวที่วัดตาม แรงและการเคลื่อนที่ ในการเคลื่อนที่ของวัตถุ แนวทางการเคลื่อนที่ของวัตถุจากตําแหนงเริ่มตน ไปยังตําแหนงสุดทาย การกระจัด คือ เวกเตอรที่ชี้ ตําแหนงสุดทายของวัตถุเทียบกับตําแหนงเริ่มตน อัตราเร็ว คือ ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ไดในหนึ่งหนวย เวลา ความเร็ว คือ การกระจัดของวัตถุในหนึง่ หนวยเวลา
คูม อื ครู
สาระที่ 5
พลังงาน
มาตรฐาน ว 5.1 เขาใจความสัมพันธระหวางพลังงานกับการดํารงชีวิต การเปลี่ยนรูปพลังงาน ปฏิสัมพันธระหวางสาร และพลังงาน ผลของการใชพลังงานตอชีวิตและสิ่งแวดลอม มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู สื่อสาร สิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชน ชั้น
เสร�ม
12
ตัวชี้วัด
ม.1 1. ทดลองและอธิบายอุณหภูมิ และการวัดอุณหภูมิ
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
• การวัดอุณหภูมิเปนการวัดระดับความรอนของสาร • หนวยการเรียนรูที่ 6 สามารถวัดดวยเทอรมอมิเตอร พลังงานความรอน
2. สั ง เกตและอธิ บ ายการถ า ยโอน • การถายโอนความรอนมีสามวิธี คือ การนําความรอน • หนวยการเรียนรูที่ 6 ความร อ น และนํ า ความรู ไ ปใช การพาความรอนและการแผรังสีความรอน พลังงานความรอน ประโยชน • การนําความรอน เปนการถายโอนความรอนโดยการสัน่ ของโมเลกุล • การพาความรอน เปนการถายโอนความรอนโดยโมเลกุล ของสารเคลื่อนที่ไปดวย • การแผรังสีความรอน เปนการถายโอนความรอนจาก คลื่นแมเหล็กไฟฟา • การนําความรูเ รือ่ งการถายโอนความรอนไปใชประโยชน 3. อธิบายการดูดกลืน การคาย • วัตถุทแี่ ตกตางกันมีสมบัตใิ นการดูดกลืนความรอนและ • หนวยการเรียนรูที่ 6 ความรอน โดยการแผรังสี และนํา คายความรอนไดตางกัน พลังงานความรอน ความรูไปใชประโยชน • การนําความรูเรื่องการดูดกลืนความรอนและการคาย ความรอนไปใชประโยชน 4. อธิบายสมดุลความรอนและผลของ • เมื่อวัตถุสองสิ่งอยูในสมดุลความรอน วัตถุทั้งสองมี • หนวยการเรียนรูที่ 6 ความรอนตอการขยายตัวของสาร อุณหภูมิเทากัน พลังงานความรอน และนําความรูไ ปใชในชีวติ ประจําวัน • การขยายตัวของวัตถุเปนผลจากความรอนทีว่ ตั ถุไดรบั เพิ่มขึ้น • การนําความรูเรื่องการขยายตัวของวัตถุเมื่อไดรับ ความรอนไปใชประโยชน
สาระที่ 6
กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก
มาตรฐาน ว 6.1 เขาใจกระบวนการตางๆ ทีเ่ กิดขึน้ บนผิวโลกและภายในโลก ความสัมพันธของกระบวนการตางๆ ทีม่ ผี ล ตอการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และสัณฐานของโลก มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู และจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชน ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
ม.1 1. สืบคนและอธิบายองคประกอบและ • บรรยากาศของโลกประกอบดวยสวนผสมของแกส • หนวยการเรียนรูที่ 7 การแบงชั้นบรรยากาศที่ปกคลุม ตางๆ ที่อยูรอบโลกสูงขึ้นไปจากพื้นผิวโลกหลาย บรรยากาศ (ตอนที่ 1) ผิวโลก กิโลเมตร • บรรยากาศแบงเปนชั้นตามอุณหภูมิและการ เปลี่ยนแปลงอุณหภูมิตามความสูงจากพื้นดิน 2. ทดลองและอธิบายความสัมพันธ ระหวางอุณหภูมิ ความชื้น และความกดอากาศที่มีผลตอ ปรากฏการณทางลมฟาอากาศ
คูม อื ครู
• อุณหภูมิ ความชื้นและความกดอากาศ มีผลตอ ปรากฏการณทางลมฟาอากาศ
• หนวยการเรียนรูที่ 7 บรรยากาศ (ตอนที่ 1)
ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
ม.1 3. สังเกต วิเคราะห และอภิปรายการ • ปรากฏการณทางลมฟาอากาศ ไดแก การเกิดเมฆ • หนวยการเรียนรูที่ 8 เกิดปรากฏการณทางลมฟาอากาศ ฝน พายุฟาคะนอง พายุหมุนเขตรอน ลมมรสุม ฯลฯ บรรยากาศ (ตอนที่ 2) ที่มีผลตอมนุษย 4. สืบคน วิเคราะห และแปลความหมาย • การพยากรณอากาศอาศัยขอมูลเกี่ยวกับอุณหภูมิ • หนวยการเรียนรูที่ 8 ขอมูลจากการพยากรณอากาศ ความกดอากาศ ความชืน้ ปริมาณเมฆ ปริมาณนํา้ ฝน บรรยากาศ (ตอนที่ 2) และนํามาแปลความหมายเพื่อใชในการทํานายสภาพ อากาศ 5. สืบคน วิเคราะห และอธิบายผล • สภาพลมฟาอากาศที่เปลี่ยนแปลงบนโลกทําใหเกิด • หนวยการเรียนรูที่ 8 ของลมฟาอากาศตอการดํารงชีวิต พายุ ปรากฏการณเอลนิโญ ลานีญา ซึ่งสงผลตอการ บรรยากาศ (ตอนที่ 2) ของสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดลอม ดํารงชีวิตของมนุษย และสิ่งแวดลอม
เสร�ม
13
6. สืบคน วิเคราะห และอธิบายปจจัย • ปจจัยทางธรรมชาติและการกระทําของมนุษย เชน • หนวยการเรียนรูที่ 8 ทางธรรมชาติและการกระทําของ ภูเขาไฟระเบิด การตัดไมทําลายปา การเผาไหมของ บรรยากาศ (ตอนที่ 2) มนุษยที่มีผลตอการเปลี่ยนแปลง เครือ่ งยนตและการปลอยแกสเรือนกระจก มีผลทําให อุณหภูมิของโลก รูโหวโอโซน และ เกิดภาวะโลกรอน รูโหวของชั้นโอโซน และฝนกรด ฝนกรด • ภาวะโลกรอนคือปรากฏการณทอี่ ณ ุ หภูมเิ ฉลีย่ ของโลก สูงขึ้น 7. สืบคน วิเคราะหและอธิบายผล ของภาวะโลกรอน รูโหวโอโซน และฝนกรด ที่มีตอสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดลอม
สาระที่ 8
• ภาวะโลกรอนทําใหเกิดการละลายของธารนํ้าแข็ง • หนวยการเรียนรูที่ 8 ระดับนํา้ ทะเลสูงขึน้ การกัดเซาะชายฝง เพิม่ ขึน้ นํา้ ทวม บรรยากาศ (ตอนที่ 2) ไฟปา สงผลใหสิ่งมีชีวิตบางชนิดสูญพันธุและทําให สิ่งแวดลอมเปลี่ยนแปลงไป • รูโหวโอโซนและฝนกรดมีผลตอการเปลี่ยนแปลงของ สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม
ธรรมชาติของวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 8.1 ใชกระบวนการทางวิทยาศาสตรและจิตวิทยาศาสตร ในการสืบเสาะหาความรู การแกปญหา รูวา ปรากฏการณทางธรรมชาติทเี่ กิดขึน้ สวนใหญมรี ปู แบบแนนอน สามารถอธิบายและตรวจสอบไดภายใต ขอมูลและเครื่องมือที่มีอยูในชวงเวลานั้นๆ เขาใจวา วิทยาศาสตร เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดลอม มีความเกี่ยวของสัมพันธกัน ชั้น
ตัวชี้วัด
ม.1 1. ตั้งคําถามที่กําหนดประเด็นหรือ ตัวแปรที่สําคัญในการสํารวจ ตรวจสอบ หรือศึกษาคนควาเรื่อง ที่สนใจไดอยางครอบคลุมและ เชื่อถือได 2. สรางสมมติฐานที่สามารถ ตรวจสอบไดและวางแผนการ สํารวจตรวจสอบหลายวิธี 3. เลือกเทคนิควิธีการสํารวจ ตรวจสอบทั้งเชิงปริมาณและ เชิงคุณภาพที่ไดผลเที่ยงตรงและ ปลอดภัย โดยใชวัสดุและเครื่องมือ ที่เหมาะสม
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน • หนวยการเรียนรูที่ 1-8
-
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-8 • หนวยการเรียนรูที่ 1-8
-
คูม อื ครู
ชั้น
ตัวชี้วัด
ม.1 4. รวบรวมขอมูล จัดกระทําขอมูล เชิงปริมาณและคุณภาพ
เสร�ม
14
5. วิเคราะหและประเมิน ความสอดคลองของประจักษ พยานกับขอสรุป ทั้งที่สนับสนุน หรือขัดแยงกับสมมติฐาน และ ความผิดปกติของขอมูลจากการ สํารวจตรวจสอบ 6. สรางแบบจําลอง หรือรูปแบบ ที่อธิบายผลหรือแสดงผลของ การสํารวจตรวจสอบ 7. สรางคําถามที่นําไปสูการสํารวจ ตรวจสอบ ในเรื่องที่เกี่ยวของ และ นําความรูที่ไดไปใชในสถานการณ ใหมหรืออธิบายเกี่ยวกับแนวคิด กระบวนการ และผลของโครงงาน หรือชิ้นงานใหผูอื่นเขาใจ 8. บันทึกและอธิบายผลการสังเกต การสํารวจ ตรวจสอบ คนควา เพิ่มเติมจากแหลงความรูตางๆ ให ไดขอมูลที่เชื่อถือได และยอมรับ การเปลี่ยนแปลงความรูที่คนพบ เมื่อมีขอมูลและประจักษพยานใหม เพิ่มขึ้นหรือโตแยงจากเดิม 9. จัดแสดงผลงาน เขียนรายงาน และ/หรืออธิบายเกี่ยวกับแนวคิด กระบวนการ และผลของโครงงาน หรือชิ้นงานใหผูอื่นเขาใจ
คูม อื ครู
สาระการเรียนรูแกนกลาง -
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน • หนวยการเรียนรูที่ 1-8 • หนวยการเรียนรูที่ 1-8
-
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-8 • หนวยการเรียนรูที่ 1-8
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-8 -
• หนวยการเรียนรูที่ 1-8 -
คําอธิบายรายวิชา รายวิชา วิทยาศาสตร เลม 2 ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 รหัสวิชา ว…………………………………
กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร ภาคเรียนที่ 2 เวลา 60 ชั่วโมง/ป
ศึกษา วิเคราะหปริมาณสเกลาร ปริมาณเวกเตอร ระยะทาง การกระจัด อัตราเร็ว และความเร็วใน เสร�ม การเคลื่อนที่ของวัตถุ การถายโอนความรอน การขยายตัวของวัตถุ การดูดกลืนแสงและการคายความรอน 15 สวนประกอบและการแบงชั้นบรรยากาศ อุณหภูมิของอากาศ ความชื้น ความกดดันอากาศ ลมฟาอากาศ และภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและการพยากรณอากาศ การกระทําของมนุษยที่มีผลตอการ เปลีย่ นแปลงอุณหภูมขิ องโลก และผลของภาวะโลกรอน รูโหวโอโซนและฝนกรดทีม่ ตี อ สิง่ มีชวี ติ และสิง่ แวดลอม โดยใชกระบวนการทางวิทยาศาสตร การสืบเสาะหาความรู การสํารวจตรวจสอบ การสืบคนขอมูลและ อภิปราย เพื่อใหเกิดความรู ความคิด ความเขาใจ สามารถสื่อสารสิ่งที่ไดเรียนรู มีความสามารถในการตัดสินใจ เห็นคุณคาของการนําความรูไปใชในชีวิตประจําวัน มีจิตวิทยาศาสตร จริยธรรม คุณธรรม และคานิยม ที่เหมาะสม ตัวชี้วัด ว 4.1 ว 5.1 ว 6.1 ว 8.1
ม.1/1 ม.1/1 ม.1/1 ม.1-3/1
ม.1/2 ม.1/2 ม.1/3 ม.1/4 ม.1/2 ม.1/3 ม.1/4 ม.1/5 ม.1/6 ม.1/7 ม.1-3/2 ม.1-3/3 ม.1-3/4 ม.1-3/5 ม.1-3/6 ม.1-3/7 ม.1-3/8 ม.1-3/9 รวม 22 ตัวชี้วัด
คูม อื ครู
คูม อื ครู
บรรยากาศ (ตอนที่ 2)
หนวยการเรียนรูที่ 8
บรรยากาศ (ตอนที่ 1)
หนวยการเรียนรูที่ 7
พลังงานความรอน
หนวยการเรียนรูที่ 6
แรงและการเคลือ่ นที่
หนวยการเรียนรูที่ 5
กระบวนการทางวิทยาศาสตร เลม 2
หนวยการเรียนรูพิเศษ
สมบัตขิ องสารและ การจําแนกสาร
หนวยการเรียนรูที่ 4
กระบวนการในการดํารงชีวติ ของพืช (ตอนที่ 2)
หนวยการเรียนรูที่ 3
กระบวนการในการดํารงชีวติ ของพืช (ตอนที่ 1)
หนวยการเรียนรูที่ 2
หนวยพืน้ ฐานของสิง่ มีชวี ติ ✓ ✓ ✓
หนวยการเรียนรูที่ 1
เลม 1
ตัวชี้วัด
ตัวชี้วัด
ตัวชี้วัด
ตัวชี้วัด
สาระที่ 4
ตัวชี้วัด
สาระที่ 5
มาตรฐาน มาตรฐาน มาตรฐาน ว 5.1 ว 3.2 ว 4.1
ตัวชี้วัด
มาตรฐาน ว 6.1
สาระที่ 6 ตัวชี้วัด
มาตรฐาน ว 8.1
สาระที่ 8
✓✓✓✓✓✓ ✓✓✓✓ ✓✓✓✓✓✓✓
✓✓ ✓✓✓✓ ✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓
✓✓✓✓✓✓✓✓✓
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 1 2 3 4 1 2 3 1 2 1 2 3 4 1 2 3 4 5 6 7 1 2 3 4 5 6 7 8 9
มาตรฐาน ว 3.1
สาระที่ 3
เสร�ม
16
มาตรฐาน ว 1.1
สาระที่ 1
ตาราง วิเคราะหมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด รายวิชา วิทยาศาสตร ม.1
คําชี้แจง : ใหผูสอนใชตารางนี้ตรวจสอบความสอดคลองของเนื้อหาสาระการเรียนรูในหนวยการเรียนรูกับมาตรฐาน การเรียนรูและตัวชี้วัดชั้นป
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÃÒÂÇÔªÒ¾×é¹°Ò¹
วิทยาศาสตร เลม 2 ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1
¡ÅØ‹ÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙŒÇÔ·ÂÒÈÒʵà ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
ผูเรียบเรียง
รศ. ดร. ยุพา วรยศ นายถนัด ศรีบุญเรือง มิสเตอรโจ บอยด มิสเตอรวอลเตอร ไวทลอร
ผูตรวจ
ดร. ฤทธิ์ วัฒนชัยยิ่งเจริญ นางกุณฑรี เพ็ชรทวีพรเดช นางสาวอารียา ศรีประเสริฐ
บรรณาธิการ
นายวิโรจน เตรียมตระการผล นางสาววราภรณ ทวมดี พิมพครั้งที่ 8
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ ISBN : 978-616-203-096-3
¤Œ¹¤ÇÒÁÃÙŒ¢ÂÒ¤ÇÒÁ¤Ô´¨Ò¡ ¾ÔÁ¾ ¤ÃÑ駷Õè 1 ÃËÑÊÊÔ¹¤ŒÒ 2148018
EB GUIDE
ที่พิมพกํากับหัวขอสําคัญในหนังสือเรียนหลักสูตรแกนกลางฯ ผาน www.aksorn.com ไปยังแหลงความรูทั่วไทย-ทั่วโลก
คณะผูจัดทําคูมือครู
พัชรินทร แสนพลเมือง สายสุนีย งามพรหม จิตรา สังขเกื้อ
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
¤íÒ¹íÒ วิทยาศาสตรเปนวิชาทีม่ บี ทบาทสําคัญยิง่ ตอสังคมทัง้ ในโลกปจจุบนั และอนาคต เพราะวิทยาศาสตร มีความเกีย่ วของกับเราทุกคนทัง้ ในการดําเนินชีวติ ประจําวัน การประกอบอาชีพการงานตางๆ ตลอดจน เทคโนโลยี เครื่องมือเครื่องใชและผลผลิตตางๆ ที่มนุษยสรางสรรคขึ้นมา วิทยาศาสตรชวยพัฒนาความคิดของมนุษย ใหคิดเปนเหตุเปนผล คิดสรางสรรค คิดวิเคราะห วิจารณ มีทักษะสําคัญในการแสวงหาความรู สามารถแกไขปญหาอยางเปนระบบ สามารถตัดสินใจ โดยใชขอมูลที่หลากหลายและมีประจักษพยานที่ตรวจสอบได วิทยาศาสตรจึงเปนวัฒนธรรมของ โลกสมัยใหมที่เราทุกคนจําเปนตองไดรับการพัฒนา สําหรับหนังสือเรียนรายวิชาพืน้ ฐาน วิทยาศาสตร ชุดนี้ สาระภายในเลมไดพฒ ั นามาจากหนังสือ ชุด New Understanding Science ของประเทศอังกฤษ โดยเรียบเรียงใหสอดคลองกับตัวชี้วัดและสาระ การเรียนรูแกนกลาง ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เนื้อหาภายใน เลมจะเรียงไปตามสาระ และแบงยอยเปนหนวยการเรียนรู การนําเสนอนอกจากเนื้อหาสาระแลว ก็จะ มีกจิ กรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตรแทรกคัน่ ไวให และทุกทายหนวยการเรียนรู จะมีกจิ กรรมสรางสรรค พัฒนาที่เปนกิจกรรมการทดลองทางวิทยาศาสตรทบทวนอีกครั้งหนึ่ง ทัง้ นี้ในแตละชัน้ จะแบงหนังสือเรียนออกเปน 2 เลม ใชประกอบการเรียนการสอนภาคเรียนละเลม ซึ่งในชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 จัดแบงเนื้อหาตามสาระ ดังนี้ วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 มีเนื้อหาเกี่ยวกับกระบวนการศึกษาวิทยาศาสตร หนวยพื้นฐานของ สิง่ มีชวี ติ กระบวนการในการดํารงชีวติ ของพืช สมบัตขิ องสารและการ จําแนกสาร วิทยาศาสตร ม.1 เลม 2 มีเนื้อหาเกี่ยวกับแรงและการเคลื่อนที่ พลังงานความรอน และ บรรยากาศ ในการเรียบเรียงพยายามใหนักเรียนสามารถอานทําความเขาใจไดงาย ชัดเจน ไดรับความรู ตรงตามประเด็น ในสาระการเรี ยนรู แกนกลาง อํ านวยความสะดวกทั้ ง ต อ ครู ผู ส อนและนั ก เรี ย น หวังเปนอยางยิ่งวาหนังสือเรียนสาระการเรียนรูพื้นฐาน วิทยาศาสตรชุดนี้ จะมีสวนชวยใหการจัดการ เรียนการสอนวิทยาศาสตร ระดับมัธยมศึกษาปที่ 1-3 สัมฤทธิผ์ ลตามเปาหมาย และมีสว นชวยใหนกั เรียน มีคุณภาพอยางที่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานไดกําหนดไว ¼ÙŒàÃÕºàÃÕ§
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
¤íÒá¹Ð¹íÒ㹡ÒÃ㪌˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร ม.1 เลม 2 เลมนี้ สรางขึ้นเพื่อใหเปนสื่อสําหรับใชประกอบการเรียนการสอน ในรายวิชาพืน้ ฐาน กลุม สาระการเรียนรูว ทิ ยาศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปท่ี 1 โดยเนือ้ หาตรงตามสาระการเรียนรูแ กนกลางขัน้ พืน้ ฐาน อานทําความเขาใจงาย ใหทง้ั ความรูแ ละชวยพัฒนาผูเ รียนตามหลักสูตร และตัวชี้วัด เนื้อหาสาระแบงออกเปนหนวยการเรียนรูตามโครงสรางรายวิชา สะดวกแกการจัดการเรียนการสอนและการวัดผล ประเมินผล พรอมเสริมองคประกอบอืน่ ๆ ทีจ่ ะชวยทําใหผเู รียนไดรบั ความรูอ ยางมีประสิทธิภาพ
¨Ñ´¡ÅØ‹Áà¹×éÍËÒ໚¹Ë¹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ Êдǡᡋ¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹
5
ห น่ ว
ยก
ี่ รยี นรูู้ท าร เ
à¹×éÍËҵçµÒÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹Ãٌ᡹¡ÅÒ§ ãËŒ¤ÇÒÁÃÙŒáÅÐàÍ×é͵‹Í¡ÒùíÒä»ãªŒÊ͹à¾×èÍ ãËŒºÃÃÅصÑǪÕéÇÑ´ áÅÐÊÌҧ¤Ø³ÅѡɳРÍѹ¾Ö§»ÃÐʧ¤
à¡ÃÔè¹¹íÒà¾×èÍãˌࢌÒ㨶֧ÊÒÃÐÊíÒ¤ÑÞ ã¹Ë¹‹Ç·Õè¨ÐàÃÕ¹
Web Guide á¹Ð¹íÒáËÅ‹§¤Œ¹¤ÇŒÒ ¢ŒÍÁÙÅà¾ÔèÁàµÔÁ¼‹Ò¹Ãкº Online
5.2 การเคลื่อนที่ของวัตถุ
5.1 แรง
แรงและการเคลื
่อให้วัตถุ ในรูปของกำรดึงหรือผลัก เพื แรง คือ สิ่งที่กระท�ำต่อวัตถุ ลือ่ นทีห่ รือไม่ก็ได้ ำต่อวัตถุแล้ววัตถุนนั้ อำจจะเค เคลือ่ นที่ แต่เมือ่ ออกแรงกระท� กรณีออกแรง แรงต่ำงๆ ทีม่ ำกระท�ำต่อวัตถุ ทัง้ นีข้ นึ้ กับขนำดและทิศทำงของ เช่น เสำหรือก�ำแพง เสำหรือก�ำแพง แรง ง งแข็ ำ ย่ อ ไว้ ด ึ ย ่ ี ท ถุ ต วั ได้แก่ แรง กระท�ำกับ วนอื่นกระท�ำต่อวัตถุด้วย ซึ่ง ย่อมไม่เคลื่อนที่ เพรำะมีแรงจำกส่ ำงก�ำแพงกับพืน้ ปูน ซึง่ มีแรงต้ำนทำน อระหว่ ยึดเหนีย่ วระหว่ำงเสำกับดิน หรื บวัตถุหนึ่ง อำจท�ำให้วัตถุเกิด ของเรำ โดยเมื่อแรงกระท�ำกั ำกกว่ำแรงผลักของเร มมำกกว่ ดังนี้ ำรเปลี่ยนแปลงได้ใน 4 รูปแบบ ่อนที่ กกำรเปลี ำจเริ่มเคลื 1. วัตถุที่อยู่นิ่งออำจเริ ่อยู่เปลี่ยนแปลงไป ำมเร็วของวัตถุที่ก�ำลังเคลื่อนที นแปลงไป ควำมเร็ คว 2. ควำ จเปลี่ย คลื่อนที่ของวัตถุอำจเปลี งกำำรเคลื ำงก ทำงกำรเ 3. ทิศททำ จเปลี่ยนแปลงไป งวัตถุอำำจเปลี ำดของวั ขนำดขอ ขนำ 4. รูปร่ำง ขน
่อนที่
ในชีวติ ประจำ� วั ใช้แรงในกำรท�ำกิจกรรม แรงผลัก แรงบีบ แรงกนของคนเรำำำใช้ ต่ำงๆ ต่อวัตถุ จะท�ำให้ว ด แรงบิด และแรงพยุง เป็นต้น ผลข เช่น แรงดึง แรงดัน ัตถุ เร็วขึ้น ช้ำลง หรือ นั้นเคลื่อนที่ เปลี่ยนรูปร่ำง เปลี่ยนทิ องกำรออกแรงที่กระท�ำ หยุ ศทำง ระยะทำงและเวลำ ดนิ่ง ซึ่งกำรเคลื่อนที่ของวัตถุด้วยควำ ท�ำให้วัตถุเคลื่อนที่ มเร็วนั้นจะเกี่ยวข้อ งกับ
ตัวชี้วัดชั้นปี มฐ. ว 4.1 ม.1/1, 2 • สืบค้นข้อมูล และอธ ิบำยปริมำณสเกลำร์ เวกเตอร์ ปริมำณ • ทดลองและอธ ิบำยระยะทำง กำรกระ และควำมเร็วในกำรเ คลื่อนที่ของวัตถุ จัด อัตรำเร็ว มฐ. ว 8.1 ม.1-3/1 , • ข้อ 1 - ข้อ 9 2, 3, 4, 5, 5, 6, 7, 8, 9
่อนที่
แรงท�ำให้วัตถุที่หยุดนิ่งเริ่มเคลื
โลกรอบตัวเรำไม่เคยหยุดนิ่ง สิ่งต่ำ งๆ มีกำรเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลำ เช่น รถยนต์แล่นบนท้องถนน เครื่อ งบินบิน วัตถุจะเคลื่อนที่ได้นั้น ต้องมีแรงมำกระ อยู่บนท้องฟ้ำ เป็นต้น ซึ่งกำรที่ ท�ำต่อวัตถุ
5.2.1 กฎการเคลื่อนที่ของนิ
วตัน
ในชีวิตประจ�ำวันของเรำจะสัมพันธ์ กำรเคลื่อนที่อยู่เสมอ เช่น กำรเคลืกับ ่อนที่ของ ยำนพำหนะ
ภาพ
ณท 5.1.1 ปริมาณทางกายำต้้องพบเห็นและเกี่ยวข้องกับปริมำำณทำง
รเคลื่อื นที่ ำงกำรเคลื ทำงกำรเคล แรงท�ำให้วัตถุเปลี่ยนทิศททำ
ัญลักษณ์
ตัวอย่างหน่วยวัดปริมาณและส
ปริมาณ
ำง ำรชั่งมวลของวัตถุ เป็นตัวอย่ กกำรชั ณสเกลำำร์ ณสเกล ำรวัดปริมำำณสเกลำร์ กกำรวั
มวล มยำำว ควำมย ควำมยำว ควำ เวลำำ เวล แรง กระแสไฟฟำ้ พื้นที่ ตร ปริมำำตร อุณหภูมิ
เมื่อนั่งบนเก้ำอี้ที่มีล้อเลื่อน แล้วใช้ ก�ำแพง เรำจะเคลื่อนถอยออกจำกก�มือผลัก เนื่องจำกแรงปฏิกิริยำที่ก�ำแพงมีต่อ ำแพง แรงผลัก จำกมือเรำ
สัญลักษณ์ kg m s N A m2 m3 �c
หน่วยวัด กิโลกรัม เมตร วินำำทีที นิวตัน แอมแปร์ ำรำงเมตร ตตำรำงเมตร ำศก์เมตร บบำศก์ ลูกบำ ำเซลเซียี ส องศำเซลเซ องศำ องศ
400 m c
2
500
b a m
300 m
สาระการเรียนรู้แกนกลา ง • ปริมำณทำงกำยภำ ปริมำณเวกเตอร์ พแบ่งเป็นปริมำณสเกลำร์และ ขน ขนำด ปริมำณเวกปริมำณสเกลำร์เป็นปริมำณที ณทีม่ แี ต่ เตอร์เป็นปริมำณที ทิศทำง ม่ ที งั้ ขนำดและ • กำรเคลอื่ นทีข่ องวั ต ถุ เ กี ย ่ วข้องกับระยะทำง กำรกระ อัตรำเร็ว ควำมเร จัด แนวทำงกำรเคลื ว็ ระยะทำง คือ ควำมยำวทีว่ ดั ตำม ยังต�ำแหน่งสุดท้อ่ ำนทีข่ องวัตถุจำกต�ำแหน่งเริม่ ต้นไป ย กำรกระจัด คือ ต�ำแหน่งสุดท้ำยของว เวกเตอร์ อัตรำเร็ว คือ ระยะท ัตถุเทียบกับต�ำแหน่งเริ่มต้ทนี่ชี้ ำงที งที่วัตถุเคลื่อนที่ไ หน่วยเวลำ ควำมเร ด้ในหนึ หนึ่งหน่วยเวลำ ็ว คือ กำรกระจัดของวัตถุใน่ง
ของเรำต ของเรำ ในชีวิตประจ�ำวันของเร ำรบอก เป็นต้น กกำรบอก ำ เป็ ฟฟ้ฟ้ำ เป็ แสไฟฟ้ กระแสไฟ ำ กระแสไ เวลำ กระ เวลำ มยำำว มวล เวล ำมย ควำมยำว ควำ เช่น คว เช่ ลอดเวลำ เช่ อยูต่ ลอดเวลำ ยภำำพอยู ำยภ กกำยภำพ มำรถเข้้ำใจได้ ณให้สำำมำรถเข ิดของปริมำำณให้ ณเหล่ำนี้จะมีหน่วยวัด เพื่อแสดงชนนระยะท วล 15 ปริมำำณเหล่ ำง 200 เมตร ใช้เวลำ 15 ะทำง ำนระยะทำ รยำนระย รยำ กย ว 2 เมตร ขี่จักรย ตรงกัน เช่น เชือกยำว ยภำำพ แบ่งออกเป็น ยภ งกำำำยภำพ ณทำำงก ณท ณที่มีแต่ วินำำทีที เป็นต้น ปริมำำณทำงก ำยถึง ปริมำำณที หมำยถึ หม quantity) หมำ ำ 1) ปริมาณสเกลาร์ (scalar เวลำ ตร มวล เวล มยำำวพื้นที่ ปริมำำตร ำมย ควำมยำ ควำ ำง เช่น คว ททำง ำกมี วหำกมี วหำ ำดเพียี งอย่ำงเดียว ไม่มีทิศทำ ขนำดเพ ขนำ ขน ณดังกล่ำวห ำน เป็นต้น ปริมำำณดั งงำน ำเร็ว พลังงำ รรำเร็ แน่น อัตรำ มหนำำำแน่ ำมหน ควำมหน ควำ ว 10 เมตร อุณหภูมิ คว ย้ ำำว10 นี น กเส้ อ เชื น เช่ ว ล้ แ ณ์ ร มหมำำยสมบู ำมหม วำมหมำ งขนำำดก็มคี ววำ เพียี งขน รบอกเพ ำรบอกเพ กกำรบอก เซียส เป็นต้น เซลเซี ำ องศำเซล องศำ 30 ด สุ ง ู ส ิ ม หภู ณ ุ อ ้ วัตถุก้อนนี้มีมวล 5 กรัม วันนี
EB GUIDE
เซอร์ไอแซก นิวตัน (Sir Isaac Newton) เป็นผูค้ น้ พบกฎกำรเคลือ่ นที่ ของวัตถุ ซึ่งมีอยู่ 3 ข้อ ดังนี้ กฎข้อที่ 1 ของนิวตัน มีใจควำมว่ สภาพเคลอื่ นทีอ่ ย่างสม�า่ เสมอ นอกจากจ ำ “วัตถุจะรักษาสภาพอยู่นิ่งหรือ ะมีแรงลัพธ์ทมี่ คี า่ ไม่เท่ากับศูนย์มา กระท�าต่อวัตถุ” กล่ำวคือ วัตถุจะพยำยำม รักษำสภำพเดิมอยู่เสมอ ถ้ำอยู่นิ่ง ก็จะอยู่นิ่งตลอดเวลำ ถ้ำเคลื่อนที่ก ็จะเคลื่อนที่ด้วยควำมเร็วคงที่ต่อไป กฎข้อที่ 2 ของนิวตัน มีใจควำมว่ำ “เมื่อมีแรงลัพธ์ที่มีค่าไม่เท่ากับ ศูนย์มากระท�าต่อวัตถุ จะท�าให้วัตถุ เคลื่อนที่ด้วยความเร่งในทิศเดียวกับ แรง ลัพธ์ และขนาดของความเร่งจะแปรผั นตรงกับขนาดของแรงลัพธ์” กฎข้อที่ 3 ของนิวตัน มีใจควำมว่ำ “ทุ กแรงกิรยิ าย่อมมีแรงปฏิกริ ยิ า ที่มีขนาดเท่ากันแต่มีทิศทางตรงข้า มกันเสมอ” กล่ำวคือ เมื่อวัตถุอัน หนึ่ง ออกแรงกระท�ำต่อวัตถุอกี อันหนึง่ (แรงกิ รยิ ำ) วัตถุอนั หลังจะออกแรงกระท�ำต่ อ วัตถุอนั แรกด้วยแรงขน ยแรงขนำดเท่ำกันในทิศทำงตรงขำ้ มกั น (แรงปฏิกริ ยิ ำ) โดยแรง ทั้งสองจะเกิดพร้อมกัน
5.2.2 ปริมาณที่เกี่ยวข้องกับ
การเคลื่อนที่
ในชีวติ ประจ�ำวันของเรำเกยี่ วข้องกับ กำรเคลือ่ นทีข่ องวัตถุ ซึง่ ปริมำณ ต่ำงๆ ที่เกี่ยวข้องกับกำรเคลื่อนที่ ได้แก่ ระยะทำง กำรกระจัด ควำมเร็ ว และอัตรำเร็ว 1) ระยะทาง (distance) คือ ควำมยำว ทีว่ ดั ตำมแนวทำงกำรเคลอื่ นที่ ของวัตถุจำกต�ำแหน่งเริ่มต้นไปยังต� ำแหน่งสุดท้ำย ซึ่งเป็นปริมำณสเกลำ ร์ มีหน่วยเป็นเมตร (m) 2) การกระจัด (displacement) คื อ ระยะทำงที่วัดได้ตำมแนวตรง จำกจุดเริม่ ต้นไปยังจุดสุดท้ำยของกำร เคลือ่ เป็นเมตร (m) ตัวอย่ำงเช่น เด็กคนหนึ นที่ เป็นปริมำณเวกเตอร์ มีหน่วย ง่ เดิน 300 เมตร (a) แล้วเลี้ยวซ้ำยเดินไปยั จำกบ้ำนไปยังเสำไฟเป็นระยะทำง งต้นไม้ 400 เมตร (b) เด็กคนนี้เดิน เป็น ระยะทำงเท่ำกับ 700 เมตร (a) + ระยะท (b) ส่วนกำรกระจัดจะวัดเป็นเส้นตรงจำก ต้นไม้ไปยังบ้ำน ซึ่งจะเท่ำกับ 500 เมตร (c) ในทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
http://www.aksorn.com/LC/Sci B2/M1/01
6
µÑǪÕÇé ´Ñ áÅÐÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙጠ¡¹¡ÅÒ§ µÒÁ·ÕËè ÅÑ¡Êٵà ¡íÒ˹´ à¾×èÍãËŒ·ÃÒº¶Ö§à»‡ÒËÁÒÂ㹡ÒÃÈÖ¡ÉÒ ¡Ô¨¡ÃÃÁ¾Ñ²¹Ò·Ñ¡ÉÐÇÔ·ÂÒÈÒʵà ໚¹¡Ô¨¡ÃÃÁ ¡Ò÷´ÅͧÊíÒËÃѺãËŒ¼ÙŒàÃÕ¹½ƒ¡»¯ÔºÑµÔ à¾×èͪ‹Ç ÊÌҧ·Ñ¡ÉÐÇÔ·ÂÒÈÒʵà áÅЪ‹Ç¾Ѳ¹Ò¼ÙŒàÃÕ¹ ãËŒÁդسÀÒ¾µÒÁµÑǪÕéÇÑ´
รม กิฒจกร นาทั ก ษะ
พั วิทยาศาสตร์
สมบัติของแรง
ำ ก. แรงที่มากระทา� วันของเรำ ดังตัวอย่ กำรด�ำรงชีวิตประจ�ำ แรงมีอิทธิพลต่อ
5.1
งต่อไปนี้
วตัน ง คือ เซอร์ไอแซค นิ ยำศำสตร์ผู้มีชื่อเสีย และได้ตั้งกฎแห่งกำร มำจำกชื่อของนักวิท เคลื่อนที่ นิวตัน ค�ำว่ำนิวตันได้ เรื่องของแรงและกำร แรงมีหน่วยเป็น ) เขำศึกษำเกี่ยวกับ 2270 2185 พ.ศ. (Sir lsaac Newton อง ันมำจนปัจจุบัน ภาพประกอบการทดล เคลื่อนที่ ที่ยังคงใช้ก ีการทดลอง วิธ อุปกรณ์ การใช้แรง ้นตอน ดังนี้ • ดินน�้ำมัน สร้ำงปรำสำท ตำมขั น�ำดินน�้ำมันมำสร้ • เครื่องชั่งสปริงของ 1. ปั้นดินน�้ำมันเป็นรูปทรงกระบอก นิวตัน น ว ส่ 3 2. แบ่งออกเป็น • รถทดลอง ่ยม ้นเป็นแผ่นอิฐรูปสี่เหลี • ลูกน�้ำหนัก 3. น�ำส่วนที่หนึ่งมำปั • กระดำษจดบันทึก ะบอก 2 อัน บ่งครึ่งปั้นเป็นรูปทรงกร 4. น�ำส่วนที่สองมำแ
Design ˹ŒÒẺãËÁ‹ ÊǧÒÁ ¾ÔÁ¾ 4 ÊÕ µÅÍ´àÅ‹Á ª‹ÇÂãˌ͋ҹ·íÒ¤ÇÒÁࢌÒ㨧‹ÒÂ
ส�ำหรับคนไท ภัยแล้ง ดินถล่มทีเ่ ยทีร่ สู้ กึ ว่ำปัญหำนีย้ งั ไกลตวั อยำกให้ กิดขึ ลองนึ ผ่ำนมำ อุณหภูมิเฉลี น้ บ่อยครัง้ และทวีควำมรนุ แรงขนึ้ ทุก กถึงน�ำ้ ท่วม ทีในรอบ ่ย กำรตกของฝนจะเปลี ในเอเชียสูงขึ้น ประมำณ 1-3 องศำเซลเซ 100 ปีที่ ย่ น�้ำท่วม หรือบำงป นแปลงไปจำกเดมิ คือ ฝนจะตกครำวละ ียส ลักษณะ ีทิ้งช่วงนำนมำกจนเกิ มำกๆ จนเกดิ ดภัยแล้ง ภำวะโลกร้อนยังส่ง ผลกระทบต่อระบบ ฟอกขำว เนื่องจำก นิ เ วศ เช่น ปะกำ อุณ แหล่งอำหำร และช หภูมิของน�้ำสูงขึ้น ท�ำให้สำหร่ำยเซล รังเกิดกำร ่ว ล์ ท�ำให้ปะกำรงั มีสขี ยสร้ำงสีสันให้แก่ปะกำรัง ไม่สำมำร เดียว ซึ่งเป็น ำว และต ถด� เกิดกำรกดั เซำะชำยฝั ำยในทีส่ ดุ นอกจำกนีก้ ำรทีน่ ำ�้ ทะเล ำรงชีวิตอยู่ได้ ง่ สูญเสียพื้นที่ชำยฝั มำกขนึ้ ตำมมำ โดยในช่วง 30 ปีทผี่ สูงขึน้ ยังท�ำให้ ำ่ นมำประเทศไทย ่งกว่ ทะเลของประเทศไทยจำ 120,000 ไร่ หำกไม่มีกำรด�ำเนิน กำรใด ะถูกน�้ำทะเลท่วมลึ กเข้ำมำอีก 6-8 กิ ๆ ชำยฝั่ง โลเมตร ใช้ไฟฟ้าให้น้อยลง ที่จ�ำเป็น ปิดสวิ ควรใช้ไฟฟ้ำเท่ำ เมื่อไม่ใช้งำน ปรัตบช์และดึงปลั๊กทุกครั้ง อุณ อำกำศที่ 25 องศำเหภูมิเครื่องปรับ ซลเซียส
นรูปกรวย 2 รูป
ป็น 2 ส่วน ปั้นให้เป็
6. แบ่งรูปทรงกลมออกเ
เป็นปรำสำท ดังภำพ
7. น�ำทุกชิ้นมำต่อกัน
ลดการใช้ถุงพลาส กำรผลิตถุงพลำสต ติก ิกก่อ ให้เกิดแก๊สเรือนกระจ อีกทั้งถุงพลำสติกย่ ก อย สลำยได้ยำก จึงควรใช ถุงผ้ำหรือตะกร้ำแทน ้
ปะกำรังฟอกขำว
ก. แรงที่สัมผัสไม่ได้ คือ แรงบางอย่างที่สามารถท�างานได้ในระยะห่างจากวัตถุ เช่น แรงโน้มถ่วง แรงประจุไฟฟ้า และแรงแม่เหล็ก ส่วนแรงที่สัมผัสได้ เป็นแรงที่ต้องมาสัมผัสกับวัตถุก่อนจึงมีผลบางอย่างเกิดขึ้นตามมา เช่น แรงจากการดึง การดัน และการบิด เป็นต้น อุปกรณ์และสารเคมี • ท่อกระดาษยาวม้วน ท�าเป็นท่อ • ขาตั้ง • ไม้บรรทัด • ดินน�้ามัน
ใช้ประโยชน์ไม้จากสวน ป่าที่ปลูก ทดแทนได้ลดกำรท �ำ ำไม้และ ผลผลิตจำกสวนป่ลำยป่ ำที่ปลูก การลด ภาวะโลกร้อน สามารถเริ่มต้นง่ายๆ ที่ตัวเราเอง
ทิ้งขยะให้น ลดปริมำณขยะ ้อใช้ยลง แยกขยะที่สำมำรถซ�้ำและ รีไซเคิลได้มำใช้ให้น�ำไป เกิด ประโยชน์
5
1. แรงที่สัมผัสไม่ ได้
ิต
ปลูกต้นไม้ ฟื้นฟูส เสื่อมโทรม ต้นไม้ ภาพป่า จะช่วย ดูดซับแก๊สเรือนกระจ ก
ลดการใช้น�้ามันเชื ้อเพลิ เวลำนนำ นำน เดินหรือใช้จกั ง ดับเครื่องยนต์เมื่อต้องจอดรถเป็ รยำนในกำรเ น ไม่เกิน 90 กิโลเมตร /ชั่วโมง หรือใช้บดิรินทำงระยะใกล้ ขับรถ กำรรถขนส่งมวลช น
4
กิจกรรม
สร้างสรรค์พัฒนาประจ�ำหน่วยกำรเรียนรู้ที่
บริโภคผลผลิ เพื่อลดกำรใช้พลัตงที่ผลิตได้เองในท้องถิ่น งำนในกำรขนส่งผลผล
นรูปทรงกลม
ั้นเป็ 5. น�ำส่วนที่สำมมำป
¡Ô¨¡ÃÃÁÊÌҧÊÃä ¾² Ñ ¹Ò»ÃШíÒ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ ãËŒ¼ÙŒàÃÕ¹½ƒ¡»¯ÔºÑµÔËÅѧ¨Ò¡ÈÖ¡ÉÒà¹×éÍËÒᵋÅР˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ
ใช้พลังงานหมุน ทดแทน เช่น พลัเวีง ยน งำน แสงอำทิตย์ พลั งำน จำกเชื้อเพลิงชีวงมวล พลังน�้ำ พลังงำนลม เป็นต้น ไม่เผาพื้นที่ กำรเผ หรือเศษเหลือใช้ห ำหญ้ำ ขยะ ไม้ ลังกำรเก็บเกี่ยว ผลผลิตทำงกำรเกษต แก๊สเรือนกระจกเพิ ร ท�ำให้เกิด ่มมำกข ยังเป็นกำรท� ก ำลำยดินอีกด้ึ้นอีกทั้ง วย
89
อุปกรณ์และสารเคมี • เม็ดโฟม • เศษผ้า • แท่งพลาสติก • ที่จับเวลา • กระดาษกรอง
วิธีการทดลอง มีเกมให้เล่น 3 เกมที่จะช่วยให้เข้าใจเรื่องของแรงที่สัมผัสไม่ได้ ได้ดีขึ้น ดังนี้ เกมที่ 1 ตีลูกบอล (เกมความโน้มถ่วง) การตกสูพ่ นื้ ของวัตถุ เกิดจากแรงโน้มถ่วงดึงวัตถุเข้าสูศ่ นู ย์กลาง ของโลก 1. ปัน้ ดินน�า้ มันให้เป็นลูกบอลขนาดเล็ก และเตรียมอุปกรณ์ตาม ภาพ 2. ให้คู่ร่วมงานของนักเรียนปล่อยลูกบอลลงในท่อกระดาษ ใช้ ไม้ บ รรทั ด ตี ลู ก บอล ขณะที่ ลู ก บอลหล่ น ออกจากท่ อ ท�าซ�้า 3 ครั้ง 3. เปลี่ยนให้คู่ร่วมงานของนักเรียนเป็นผู้เล่นเกมบ้าง
ภาพประกอบ
4. หยดสีเมทิลีนบลู 1-2 หยด ลงบนเนื้อเยื่อ 5. ปิดด้วยกระจกปิดสไลด์แล้วไปส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์
ใช้ไม้บรรทัดตีลูกบอล
วิธีการทดลอง เกมที่ 2 กอล์ฟแสนกล (เกมไฟฟ้า) ถูแท่งพลาสติกด้วยเศษผ้าเพื่อให้เกิดไฟฟ้าสถิตขึ้นจากนั้นจะ พบว่าแท่งพลาสติกสามารถดูดวัตถุบางอย่างได้ 1. ถูแท่งพลาสติกด้วยเศษผ้าเพื่อให้มีไฟฟ้าสถิตเกิดขึ้น น�าแท่ง พลาสติกมาดูดเม็ดโฟมให้ลงในท่อกระดาษโดยไม่ ให้แท่ง พลาสติกแตะเม็ดโฟม จับเวลาที่ ใช้ ไปว่านานเท่าไหร่ 2. ให้ คู ่ ร ่ ว มงานท� า การทดลองบ้ า ง แล้ ว ดู ว ่ า ใครใช้ เ วลา น้อยกว่ากัน
ลูกบอลดินน�้ำมัน
ท่อ
ภาพประกอบ
เม็ดโฟม แท่งพลาสติก
11
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
ÊÒúÑÞ àÅ‹Á 1 ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè ÀÒ¤¼¹Ç¡
àÅ‹Á 2 ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè
˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè
1 2 3 4
˹‹Ç¾×é¹°Ò¹¢Í§ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ ¡Ãкǹ¡ÒÃ㹡ÒôíÒçªÕÇÔµ¢Í§¾×ª (µÍ¹·Õè 1) ¡Ãкǹ¡ÒÃ㹡ÒôíÒçªÕÇÔµ¢Í§¾×ª (µÍ¹·Õè 2) ÊÁºÑµÔ¢Í§ÊÒÃáÅСÒèíÒṡÊÒà ¡Ãкǹ¡ÒÃÈÖ¡ÉÒÇÔ·ÂÒÈÒʵÃ
5 6
áçáÅСÒÃà¤Å×è͹·Õè áç ¡ÒÃà¤Å×è͹·Õè¢Í§Çѵ¶Ø
2 6
¾Åѧ§Ò¹¤ÇÒÁÌ͹
15-34
● ●
● ● ●
˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè
7
●
8
ÍسËÀÙÁÔáÅСÒÃÇÑ´ ¡Òö‹ÒÂâ͹¤ÇÒÁÌ͹ ¡Òôٴ¡Å×¹áÅСÒäÒ¤ÇÒÁÌ͹ ÊÁ´ØŤÇÒÁÌ͹áÅСÒâÂÒµÑǢͧÇѵ¶Øà¹×èͧ¨Ò¡¤ÇÒÁÌ͹
ºÃÃÂÒ¡ÒÈ (µÍ¹·Õè 1) ● ● ●
˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè
1-14
●
ͧ¤ »ÃСͺáÅСÒÃẋ§ªÑ鹺ÃÃÂÒ¡ÒÈ ÍسËÀÙÁԢͧÍÒ¡ÒÈ ¤ÇÒÁª×鹢ͧÍÒ¡ÒÈ ¤ÇÒÁ¡´ÍÒ¡ÒÈ
ºÃÃÂÒ¡ÒÈ (µÍ¹·Õè 2) ● ● ● ●
àÁ¦áÅн¹ ÅÁáÅоÒÂØ ¡ÒþÂҡó ÍÒ¡ÒÈ ¡ÒÃà»ÅÕè¹á»Å§ÍسËÀÙÁԢͧâÅ¡
ºÃóҹءÃÁ
16 19 25 29
35-60 36 42 48 52
61-97 62 67 73 82
98
กระตุน ความสนใจ
5
˹‹Ç ¡Ò
Õè ÂÕ ¹ÃÙŒ· ÃàÃ
กระตุEngage นความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
1. อธิบายความหมายและความแตกตางระหวาง ปริมาณสเกลารและปริมาณเวกเตอรได 2. ทดลองและอธิบายตัวอยางของปริมาณ สเกลารและปริมาณเวกเตอร ไดแก ระยะทาง การกระจัด อัตราเร็ว และความเร็วในการ เคลื่อนที่ของวัตถุได 3. วิเคราะหผลของแรงและการเคลื่อนที่จาก กฎการเคลื่อนที่ของนิวตันได
áçáÅСÒÃà¤Å×è͹·Õè
ในชีวติ ประจ�าวันของคนเราใช้แรงในการท�ากิจกรรมต่างๆ เช่น แรงดึง แรงดัน แรงผลัก แรงบีบ แรงกด แรงบิด และแรงพยุง เป็นต้น ผลของการออกแรงที่กระท�า ต่อวัตถุ จะท�าให้วัตถุนั้นเคลื่อนที่ เปลี่ยนรูปร่าง เปลี่ยนทิศทาง ท�าให้วัตถุเคลื่อนที่ เร็วขึ้น ช้าลง หรือหยุดนิ่ง ซึ่งการเคลื่อนที่ของวัตถุด้วยความเร็วนั้นจะเกี่ยวข้องกับ ระยะทางและเวลา
สมรรถนะของผูเรียน 1. ความสามารถในการคิด 2. ความสามารถในการแกปญหา 3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
ตัวชี้วัดชั้นปี มฐ. ว 4.1 ม.1/1, 2 • สืบค้นข้อมูล และอธิบายปริมาณสเกลาร์ ปริมาณ เวกเตอร์ • ทดลองและอธิบายระยะทาง การกระจัด อัตราเร็ว และความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุ มฐ. ว 8.1 ม.1-3/1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 • ข้อ 1 - ข้อ 9
คุณลักษณะอันพึงประสงค 1. 2. 3. 4.
มีวินัย ใฝเรียนรู ซื่อสัตยสุจริต มุงมั่นในการทํางาน
กระตุน ความสนใจ
Engage
ครูยกตัวอยางแรงชนิดตางๆ จากบทนําของ หนังสือเรียนในหนาที่ 1 แลวถามคําถามเพื่อให นักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็นอยางอิสระ • แรงดึง แรงดัน แรงผลัก แรงบีบ และ แรงอื่นๆ มีลักษณะอยางไร • เรือสามารถลอยนํ้าอยูไดอยางไร • แรงมีความเกี่ยวของกับเหตุการณที่เกิดขึ้น ในภาพอยางไร
เกร็ดแนะครู การเรียนการสอนในเรื่อง แรงและการเคลื่อนที่ ครูควรเนนใหนักเรียนไดเห็น ภาพของแรงชนิดตางๆ และผลของแรงเหลานั้น โดยใหนักเรียนทดลองออกแรง ในรูปแบบตางๆ เชน ยกหนังสือ ผลักโตะ ขยํากระดาษ เปดฝากระปองนํ้าอัดลม เปนตน เพื่อใหนักเรียนไดเห็นถึงผลของแรงที่เกิดขึ้นจริง
คูมือครู
1
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา Exploreนหา สํารวจค
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุEngage นความสนใจ
กระตุน ความสนใจ
Engage
ครูใหนักเรียนออกแรงดันหนังสือบนโตะไปตาม ทิศทางตางๆ ดวยแรงสมํ่าเสมอ แลวสังเกตผล จากนั้นตั้งคําถามเพื่อกระตุนความสนใจ • เพราะเหตุใดหนังสือจึงเคลื่อนที่ไปในทิศทาง ที่แตกตางกัน (แนวตอบ เพราะหนังสือเคลื่อนที่ไปตามทิศทาง ของแรงดันที่มีทิศทางแตกตางกัน) • การบอกปริมาณของแรงจําเปนตองอธิบายถึง สิ่งใดบาง (แนวตอบ ขนาดและทิศทางของแรง)
สํารวจคนหา
5.1 แรง
ภาพที่ 5.1 แรงท�าให้วัตถุที่หยุดนิ่งเริ่มเคลื่อนที่ (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
Explore
ใหนักเรียนแตละคนศึกษาปริมาณทางกายภาพ จากหนังสือเรียน หนา 1-2 จากนัน้ ครูสมุ ตัวแทน นักเรียนออกมาสรุปเกีย่ วกับปริมาณทางกายภาพ ใหเพือ่ นในหองฟง เมือ่ ตัวแทนนักเรียนสรุปเสร็จ ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนซักถามขอสงสัยตางๆ โดยครูเปนผูใ หคาํ ตอบจนนักเรียนมีความเขาใจ ทีถ่ กู ตองตรงกัน
แรง คือ สิ่งที่กระท�าต่อวัตถุในรูปของการดึงหรือผลัก เพื่อให้วัตถุ เคลือ่ นที่ แต่เมือ่ ออกแรงกระท�าต่อวัตถุแล้ววัตถุนนั้ อาจจะเคลือ่ นทีห่ รือไม่ก็ได้ ทัง้ นีข้ นึ้ กับขนาดและทิศทางของแรงต่างๆ ทีม่ ากระท�าต่อวัตถุ กรณีออกแรง กระท�ากับวัตถุที่ยึดไว้อย่างแข็งแรง เช่น เสาหรือก�าแพง เสาหรือก�าแพง ย่อมไม่เคลื่อนที่ เพราะมีแรงจากส่วนอื่นกระท�าต่อวัตถุด้วย ซึ่งได้แก่ แรง ยึดเหนีย่ วระหว่างเสากับดิน หรือระหว่างก�าแพงกับพืน้ ปูน ซึง่ มีแรงต้านทาน มากกว่าแรงผลักของเรา โดยเมื่อแรงกระท�ากับวัตถุหนึ่ง อาจท�าให้วัตถุเกิด การเปลี่ยนแปลงได้ใน 4 รูปแบบ ดังนี้ 1. วัตถุที่อยู่นิ่งอาจเริ่มเคลื่อนที่ 2. ความเร็วของวัตถุที่ก�าลังเคลื่อนที่อยู่เปลี่ยนแปลงไป 3. ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุอาจเปลี่ยนแปลงไป 4. รูปร่าง ขนาดของวัตถุอาจเปลี่ยนแปลงไป
5.1.1 ปริมาณทางกายภาพ
ภาพที่ 5.2 แรงท�าให้วตั ถุเปลีย่ นทิศทางการเคลือ่ นที่ (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
ในชีวิตประจ�าวันของเราต้องพบเห็นและเกี่ยวข้องกับปริมาณทาง กายภาพอยูต่ ลอดเวลา เช่น ความยาว มวล เวลา กระแสไฟฟ้า เป็นต้น การบอก ปริมาณเหล่านี้จะมีหน่วยวัด เพื่อแสดงชนิดของปริมาณให้สามารถเข้าใจได้ ตรงกัน เช่น เชือกยาว 2 เมตร ขี่จักรยานระยะทาง 200 เมตร ใช้เวลา 15 วินาที เป็นต้น ปริมาณทางกายภาพ แบ่งออกเป็น 1) ปริมำณสเกลำร์ (scalar quantity) หมายถึง ปริ1มาณที2่มีแต่ ขนาดเพียงอย่างเดียว ไม่3มที ศิ ทาง เช่น ความยาว พืน้ ที่ ปริมาตร มวล เวลา อุณหภูมิ ความหนาแน่น อัตราเร็ว พลังงาน เป็นต้น ปริมาณดังกล่าวหากมี การบอกเพียงขนาดก็มคี วามหมายสมบูรณ์แล้ว เช่น เชือกเส้นนีย้ าว 10 เมตร วัตถุก้อนนี้มีมวล 5 กรัม วันนี้อุณหภูมิสูงสุด 30 องศาเซลเซียส เป็นต้น ตำรำงที่ 1 ตัวอย่ำงหน่วยวัดปริมำณและสัญลักษณ์
ภาพที่ 5.3 การชัง่ มวลของวัตถุ เป็นตัวอย่างการวัด ปริมาณสเกลาร์ (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
ปริมาณ
หน่วยวัด
สัญลักษณ์
มวล ความยาว เวลา แรง กระแสไฟฟ้า พื้นที่ ปริมาตร อุณหภูมิ
กิโลกรัม เมตร วินาที 4 นิวตัน แอมแปร์ ตารางเมตร ลูกบาศก์เมตร องศาเซลเซียส
kg m s N A m2 m3 �c
2
นักเรียนควรรู 1 ปริมาตร จํานวนทีบ่ อกขนาดของรูป 3 มิติ มีหนวยมาตรฐานตางๆ เชน ลิตร ลูกบาศกเมตร เปนตน 2 มวล ปริมาณซึ่งเปนสมบัติเฉพาะของวัตถุ แสดงถึงความสามารถในการตาน การเปลี่ยนแปลงสภาพการเคลื่อนที่ ตัวอยางเชน รถบรรทุกซึ่งมีมวลมากจะทําให เคลื่อนที่ไดยากกวารถจักรยานซึ่งมีมวลนอย 3 ความหนาแนน เปนปริมาณทีแ่ สดงอัตราสวนระหวางมวลตอปริมาตรของวัตถุ 4 นิวตัน เปนหนวยของแรง ซึ่งแรง 1 นิวตัน (N หรือ kg•m/s2) เปนแรงที่ ทําใหมวล 1 กิโลกรัม (kg) เคลื่อนที่ดวยความเรง 1 เมตรตอวินาทียกกําลังสอง (m/s2)
2
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
การบวกลบปริมาณเวกเตอรแตกตางจากการบวกลบปริมาณสเกลาร อยางไร แนวตอบ เนื่องจากเวกเตอรเปนปริมาณที่ตองระบุทิศทาง การบวกลบ เวกเตอรจึงตองคํานึงถึงทิศทางของเวกเตอรที่นํามาบวกลบกันดวย โดย อาศัยการวาดภาพเพื่อหาขนาดและทิศทางของเวกเตอรลัพธที่ได ซึ่งตาง จากการบวกลบปริมาณสเกลารที่ไมคํานึงถึงทิศทาง
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบExplain ายความรู
อธิบายความรู 2) ปริมำณเวกเตอร์ (vector 1 quantity) หมายถึ 2 ง ปริมาณที่มีทั้ง ขนาดและทิศทาง เช่น การกระจัด ความเร็ว ความเร่ง แรง เป็นต้น ตัวอย่าง เช่น รถยนต์คันหนึ่งแล่นจากกรุงเทพฯ ไปอยุธยา ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของ กรุงเทพ ด้วยความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะเห็นได้ว่าแรงที่กระท�าต่อ วัตถุให้เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว จัดเป็นปริมาณเวกเตอร์
5.1.2 ประเภทของแรง ได้ดังนี้
สามารถแบ่งตามขนาด ลักษณะของแรง และการเคลื่อนที่ของวัตถุ
ครูทดสอบความเขาใจของนักเรียนในเรื่อง ปริมาณทางกายภาพ โดยใหนกั เรียนปฏิบตั กิ จิ กรรม ที่ 5.1 จากแบบวัดและบันทึกผลการเรียนรู วิทยาศาสตร ม.1
1 ช่อง = เมตร
✓ แบบวัดฯ ใบงาน แบบฝกฯ ว�ทยาศาสตร ม.1 กิจกรรมที่ 5.1 หนวยที่ 5 แรงและการเคลื่อนที่
ภาพที่ 5.4 การเขียนเวกเตอร์จะใช้ลกู ศรแทนขนาด และหัวลูกศรแทนทิศทาง จากภาพ เป็นเวกเตอร์ ขนาด 4 เมตร ในทิศตะวันออกเฉียงเหนือ (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
กิจกรรมตามตัวชี้วัด
ตำรำงที่ 2 ประเภทและลักษณะของแรง ประเภท
1) แรงลัพธ์
2) แรงย่อย
Explain
กิจกรรมที่ 5.1 ใหนักเรียนปฏิบัติตามคําแนะนําตอไปนี้ (ว 4.1 ม.1/1) 1. สืบคนขอมูลเกี่ยวกับปริมาณสเกลารและปริมาณเวกเตอร แลวนําขอมูล มาเติมลงในตารางใหถูกตอง
ลักษณะ
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
10
แรงรวมหรือผลรวมของแรงย่อยหลายแรงที่กระท�าต่อวัตถุ โดยต้องเป็นการรวมกันในแบบปริมาณเวกเตอร์ ถ้าแรงลัพธ์ มีค่าเป็นศูนย์จะท�าให้วัตถุหยุดนิ่งกับที่
ปริมาณทางฟสิกส
ความหมาย
ตัวอยาง
ปริมาณสเกลาร
เปนปริมาณที่มีแตขนาดเพียง ………………………………………………………………………..
ระยะทาง อัตราเร็ว มวล พื้นที่ ………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………..
พลังงาน อุณหภูมิ ………………………………………………………………………..
แรงที่กระท�าร่วมกันหลายแรง ซึ่งเป็นส่วนประกอบของแรง ลัพธ์
ปริมาณเวกเตอร
เปนปริมาณที่มีทั้งขนาดและทิศทาง ………………………………………………………………………..
การกระจัด ความเร็ว ความเรง ………………………………………………………………………..
อยางเดียว ไมมีทิศทาง ………………………………………………………………………..
ปริมาตร ความหนาแนน เวลา ………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………..
นํ้าหนัก แรง ………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………..
2. อานขอความที่กําหนดให แลวบอกปริมาณทางฟสิกสใหถูกตอง
3) แรงขนาน
แรงที่มีทิศทางขนานกัน ซึ่งอาจกระท�าที่จุดเดียวกันหรือต่าง จุดกัน
4) แรงหมุน
แรงที่กระท�าต่อวัตถุ ท�าให้วัตถุเคลื่อนที่โดยหมุนรอบจุดหมุน หรือแกนกลาง ผลของการหมุน เรียกว่า โมเมนต์ เช่น การปิด-เปิดประตู หรือหน้าต่าง
5) แรงดึง
แรงที่เกิดจากการเกร็งตัวเพื่อต่อต้านแรงกระท�าของวัตถุ เป็น แรงที่เกิดในวัตถุที่มีลักษณะยาวๆ เช่น เส้นเชือก เส้นลวด
6) แรงต้าน
แรงทีต่ อ่ ต้านการเคลือ่ นทีข่ องวัตถุ ซึง่ จะมีทศิ ทางตรงข้ามกับ แรงกระท�า เช่น แรงต้านของอากาศ แรงเสียดทาน
7) แรงโน้มถ่วง ของโลก
แรงดึงดูดทีม่ วลของโลกกระท�ากับมวลของวัตถุ เพือ่ ดึงดูดวัตถุ นั้นเข้าสู่ศูนย์กลางของโลก
8) แรงกิริยาและ แรงปฏิกิริยา
ปริมาณสเกลาร ………………………………………………….
มาลีเดินจากบานไปโรงเรียนใชเวลา 15 นาที
ปริมาณสเกลาร ………………………………………………….
อุณหภูมิบนยอดเขาวัดได 10 องศาเซลเซียส
ปริมาณสเกลาร ………………………………………………….
ความเรงโนมถวงของโลกมีคาประมาณ 9.8 เมตรตอวินาที 2
ปริมาณเวกเตอร ………………………………………………….
รถโดยสารวิ่งจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหมดวย ความเร็ว 80 กิโลเมตรตอชั่วโมง
ปริมาณเวกเตอร ………………………………………………….
53
ขยายความเขาใจ
แรงกิริยา คือ แรงที่กระท�าต่อวัตถุที่จุดจุดหนึ่ง อาจเป็นแรง เพียงแรงเดียวหรือแรงลัพธ์ของแรงย่อยก็ได้ แรงปฏิกิริยา คือ แรงที่กระท�าตอบโต้ต่อแรงกิริยาที่จุด เดียวกัน โดยมีขนาดเท่ากับแรงกิรยิ า แต่ทศิ ทางของแรงทัง้ สองจะตรงข้ามกัน
ฉบับ
เฉลย
หองเรียนมีพื้นที่ 70 ตารางเมตร
ภาพที่ 5.5 แรงโน้มถ่วงของโลก ดึงดูดให้วตั ถุตกลง สู่พื้น (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
Expand
ใหนักเรียนยกตัวอยางแรงตางๆ ที่พบเห็นได ในชีวิตประจําวัน พรอมระบุวาเปนแรงชนิดใด บันทึกลงในสมุดของนักเรียน
3
กิจกรรมสรางเสริม ใหนักเรียนเปรียบเทียบความแตกตางระหวางปริมาณสเกลารกับ ปริมาณเวกเตอร พรอมยกตัวอยางปริมาณแตละประเภท สรุปเปนใบงาน สงครูผูสอน
กิจกรรมทาทาย ใหนักเรียนศึกษาคนควาเพิ่มเติมจากแหลงเรียนรูตางๆ เกี่ยวกับประเภท และลักษณะของแรงชนิดตางๆ ทีม่ ผี ลตอการเคลือ่ นทีข่ องวัตถุ เชน แรงลัพธ แรงหมุน แรงดึง แรงผลัก แรงเสียดทาน แรงโนมถวงของโลก เปนตน วามีลักษณะอยางไร และมีผลตอการเคลื่อนที่ของวัตถุอยางไร แลวสรุปเปน ใบงานสงครูผูสอน
เกร็ดแนะครู ครูควรแสดงตัวอยางการบวกลบเวกเตอรดวยวิธีการตางๆ เชน การวาดภาพ เวกเตอร การบวกลบเวกเตอรที่ขนานกัน เปนตน เพื่อใหนักเรียนเกิดความชํานาญ และสามารถนํามาใชในการบวกลบเวกเตอรของแรงได
นักเรียนควรรู 1 การกระจัด เปนปริมาณเวกเตอรซึ่งบอกถึงการเปลี่ยนตําแหนงของวัตถุ มีขนาดเทากับระยะทางในแนวตรงจากตําแหนงของวัตถุเดิมไปยังตําแหนงใหม และมีทิศทางจากตําแหนงเดิมไปยังตําแหนงใหม 2 ความเรง เปนปริมาณการเคลื่อนที่ที่ขึ้นอยูกับเวลา ซึ่งมีคาเทากับอัตราสวน ของความเร็วที่เปลี่ยนไปในหนึ่งชวงเวลา คูมือครู
3
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
Expand
ครูนําสนทนากอนเริ่มปฏิบัติกิจกรรมพัฒนา ทักษะทางวิทยาศาสตรวา เครื่องมือที่นํามาใช วัดขนาดและทิศทางของแรงอยางงาย คือ เครื่องชั่งสปริง แลวนําเครื่องชั่งสปริงมาใชสาธิต และอธิบายเกี่ยวกับขนาดและทิศทางของแรง และใหนักเรียนทดลองใชเครื่องชั่งสปริงในการ หาขนาดและทิศทางของแรงชนิดตางๆ จากนั้น ใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 5.1 หนา 4-5
กิจกรรม
พั ฒ นาทั ก ษะ วิทยาศาสตร์ สมบัติของแรง
5.1
ก. แรงที่มำกระท�ำ แรงมีอิทธิพลต่อการด�ารงชีวิตประจ�าวันของเรา ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ภาพที่ 5.6 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
1
แรงมีหน่วยเป็นนิวตัน ค�าว่านิวตันได้มาจากชื่อของนักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียง คือ เซอร์ไอแซค นิวตัน (Sir lsaac Newton พ.ศ. 2185 - 2270) เขาศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของแรงและการเคลื่อนที่ และได้ตั้งกฎแห่งการ เคลื่อนที่ ที่ยังคงใช้กันมาจนปัจจุบัน กำรทดลองเรื่อง กำรใช้แรง อุปกรณ์ • ดินนํ้ามัน
วิธีการทดลอง
ภาพประกอบการทดลอง
นําดินนํ้ามันมาสร้างปราสาท ตามขั้นตอน ดังนี้ 1. ปนดินนํ้ามันเป็นรูปทรงกระบอก 2. แบ่งออกเป็น 3 ส่วน
3. นําส่วนที่หนึ่งมาปนเป็นแผ่นอิฐรูปสี่เหลี่ยม 4. นําส่วนที่สองมาแบ่งครึ่งปนเป็นรูปทรงกระบอก 2 อัน
5. นําส่วนที่สามมาปนเป็นรูปทรงกลม 6. แบ่งรูปทรงกลมออกเป็น 2 ส่วน ปนให้เป็นรูปกรวย 2 รูป 7. นําทุกชิ้นมาต่อกันเป็นปราสาท ดังภาพ
ภาพที่ 5.7 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
4
นักเรียนควรรู 1 เซอรไอแซค นิวตัน นอกจากจะเปนผูที่ตั้งกฎแหงการเคลื่อนที่ ที่ยังคงใชกัน จนถึงปจจุบันแลว นิวตันยังมีผลงานดานอื่นๆ อีกหลายดาน เชน • คนพบกฎแรงโนมถวงของโลก • ตั้งทฤษฎีแคลลูลัส • ประดิษฐกลองโทรทรรศนชนิดหักเหแสง • คนพบวาแสงขาวนั้นประกอบไปดวยแสงสี 7 สี ไดแก มวง คราม นํ้าเงิน เขียว เหลือง แสด และแดงตามลําดับ
4
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับแรง 1. แรงทําใหวัตถุหยุดนิ่ง 2. แรงทําใหวัตถุเปลี่ยนสถานะ 3. แรงทําใหวัตถุเกิดการเคลื่อนที่ 4. แรงทําใหวัตถุเปลี่ยนแปลงรูปราง วิเคราะหคําตอบ แรงจะทําใหวัตถุหยุดนิ่ง เคลื่อนที่ หรือเปลี่ยนรูปรางได แตแรงไมสามารถทําใหวัตถุเปลี่ยนสถานะได ดังนั้น ตอบขอ 2.
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
Engage
Explore
Explain
Expand
ตรวจสอบผล Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate
ตรวจสอบผล
ครูยกตัวอยางหรือนําภาพการทํากิจกรรม ตางๆ ในชีวิตประจําวันมาใหนักเรียนดู เพื่อให นักเรียนวิเคราะหวา กิจกรรมตางๆ เกิดแรงชนิดใด พรอมทั้งเขียนสัญลักษณแสดงทิศทางของแรง แตละชนิดที่เกิดขึ้น
การทดลองเรื่อง การวัดแรง ÍØ»¡Ã³ • เครื่องชั่งสปริงของ นิวตัน • รถจําลอง • ลูกนํ้าหนัก • กระดาษจดบันทึก
ÇÔ¸Õ¡Ò÷´Åͧ
ÀÒ¾»ÃСͺ¡Ò÷´Åͧ
ใชเครื่องชั่งสปริงของนิวตันวัดคาของแรงที่เกิดจากการกระทําตอ ไปนี้ • ฉีกกระดาษ • เคลื่อนยายหนังสือ • ดึงรถทดลอง • ยกลูกนํ้าหนัก บันทึกผลที่ไดจากการทดลองลงบนกระดาษจดบันทึก
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู 1. แบบบันทึกผลการปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 5.1 2. สมุดบันทึกตัวอยางแรงตางๆ ที่พบเห็น ในชีวิตประจําวัน
ภาพที่ 5.8 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
?
Evaluate
1. คัดลอกภาพขั้นตอนการปนรูปปราสาทจากกิจกรรมในหนา 4 ลงในสมุดของนักเรียน เขียนชื่อชนิดของ แรงที่ใชในแตละขั้นตอนลงใตภาพ 2. ใชเครื่องมือชนิดใดในการวัดปริมาณของแรง มีหนวยวัดเปนอะไร
ข. แรงที่พบทั่วไป ใหนักเรียนศึกษากิจกรรมที่เกิดขึ้นในชีวิตประจําวัน ดังภาพขางลาง และชวยกันคิดวากิจกรรมตางๆ เหลานี้เกิดจากการใชแรงดัน แรงดึง หรือแรงบิด
เปดฝาขวด
ขยํากระดาษ เขียนหนังสือ
นํ้ามัน นํ้า ทิ้งขยะลงตะกรา
เปดฝากระปอง ภาพที่ 5.9 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
ทําตารางบันทึกผลที่ไดจากการปรึกษากัน โดยตารางตองประกอบดวย 2 ชอง
5
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ขอใดระบุชนิดของแรงที่ใชทํากิจกรรมไดถูกตอง 1. ตักนํ้า-แรงดัน 2. ปาเปา-แรงบิด 3. นวดแปง-แรงกด 4. โยนลูกบอล-แรงดึง
วิเคราะหคําตอบ การตักนํ้าตองใชแรงดึง การปาเปาตองใชแรงดัน การนวดแปงตองใชแรงกดและแรงบีบ การโยนลูกบอลตองใชแรงดัน ดังนั้น ตอบขอ 3.
แนวตอบ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 5.1 สมบัติของแรง ก. แรงที่มากระทํา 1. ขั้นตอนที่ 1 2 3 4 5 6 7
ข. แรงที่พบทั่วไป แรงที่ใช แรงดัน แรงบิด แรงกด แรงบิด แรงบีบ แรงบีบ แรงดัน
กิจกรรม เปดฝาขวด ขยํากระดาษ เปดฝากระปอง เขียนหนังสือ ทิ้งขยะลงตะกรา
แรงที่ใช แรงบิด แรงดัน แรงดัน แรงดัน แรงดัน
2. ใชเครื่องชั่งสปริง มีหนวยวัดเปนนิวตัน (N)
คูมือครู
5
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา Exploreนหา สํารวจค
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุEngage นความสนใจ
กระตุน ความสนใจ
Engage
ครูสาธิตการเคลื่อนที่เนื่องจากแรง เชน ออกแรงดันหนังสือที่วางบนโตะไปในทิศทางตางๆ การโยนสิ่งของใหนักเรียนบางคนรับ เปนตน แลว ตั้งคําถามใหนักเรียนแสดงความคิดเห็น • หนังสือที่ถูกดันหรือโยนออกไปมีการเปลี่ยน ตําแหนงไปจากเดิมหรือไม อยางไร (แนวตอบ เกิดการเปลี่ยนตําแหนงไปในทิศ ทางที่ออกแรงกระทํา) • การเคลื่อนที่ของหนังสือหรือวัตถุที่ถูกโยนไป มีความชาเร็วแตกตางกันหรือไม อยางไร (แนวตอบ มีความชาเร็วแตกตางกันขึ้นอยูกับ แรงที่กระทํา ซึ่งวัตถุจะเคลื่อนที่เร็วเมื่อมี แรงกระทํามาก ซึ่งทําใหวัตถุเปลี่ยนตําแหนง ในเวลาที่รวดเร็ว และเคลื่อนที่ชาเมื่อออกแรง กระทํานอย ซึ่งทําใหวัตถุเปลี่ยนตําแหนงดวย เวลาที่นานกวา) • การเคลื่อนที่ประเภทใดที่นักเรียนพบเห็นได ในชีวิตประจําวัน (แนวตอบ เชน การเดิน การวิ่ง รถแลนบนถนน การวายนํ้า เปนตน)
สํารวจคนหา
Explore
5.2 การàคลืèอน·Õèของวѵ¶ุ
โลกรอบตัวเราไม่เคยหยุดนิ่ง สิ่งต่างๆ มีการเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา เช่น รถยนต์แล่นบนท้องถนน เครื่องบินบินอยู่บนท้องฟ้า เป็นต้น ซึ่งการที่ วัตถุจะเคลื่อนที่ได้นั้น ต้องมีแรงมากระท�าต่อวัตถุ
5.2.1 กฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน ภาพที่ 5.10 ในชีวิตประจ�าวันของเราจะสัมพันธ์ กับการเคลื่อนที่อยู่เสมอ เช่น การเคลื่อนที่ของ ยานพาหนะ (ที่มาของภาพ : physics insights p.76)
ภาพที่ 5.11 เมื่อนั่งบนเก้าอี้ที่มีล้อเลื่อน แล้วใช้ มือผลักก�าแพง เราจะเคลื่อนถอยออกจากก�าแพง เนื่องจากแรงปฏิกิริยาที่ก�าแพงมีต่อแรงผลักจาก มือเรา (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4 - 5 คน พิจารณาภาพแสดงการเคลื่อนที่ของเด็กหญิงคนหนึ่ง จากหนังสือเรียน หนา 6 (ภาพที่ 5.12) และศึกษา ปริมาณในการเคลื่อนที่ตางๆ ไดแก ระยะทาง การกระจัด ความเร็ว และอัตราเร็ว จากหนังสือเรียน หนา 6-7
400 m c
b a m
300 m
500
ภาพที่ 5.12 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
EB GUIDE
เซอร์ไอแซก นิวตัน (Sir Isaac Newton) เป็นผูค้ น้ พบกฎการเคลือ่ นที่ ของวัตถุ ซึ่งมีอยู่ 3 ข้อ ดังนี้ กฎข้อที่ 1 ของนิวตัน มีใจความว่า “วัตถุจ1ะรักษำสภำพอยู่นิ่งหรือ สภำพเคลือ่ นทีอ่ ย่ำงสม�ำ่ เสมอ นอกจำกจะมีแรงลัพธ์ทมี่ คี ำ่ ไม่เท่ำกับศูนย์มำ กระท�ำต่อวัตถุ” กล่าวคือ วัตถุจะพยายามรักษาสภาพเดิมอยู่เสมอ ถ้าอยู่นิ่ง ก็จะอยู่นิ่งตลอดเวลา ถ้าเคลื่อนที่ก็จะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่ต่อไป กฎข้อที่ 2 ของนิวตัน มีใจความว่า “เมื่อมีแรงลัพธ์ที่มีค่ำไม่เท่ำกับ ศูนย์มำกระท�ำต่อวัตถุ จะท�ำให้วัตถุเคลื่อนที่ด้วยควำมเร่งในทิศเดียวกับแรง ลัพธ์ และขนำดของควำมเร่ง2จะแปรผันตรงกับขนำดของแรงลัพธ์” กฎข้อที ่ 3 ของนิวตัน มีใจความว่า “ทุกแรงกิรยิ ำย่อมมีแรงปฏิกริ ยิ ำ ที่มีขนำดเท่ำกันแต่มีทิศทำงตรงข้ำมกันเสมอ” กล่าวคือ เมื่อวัตถุอันหนึ่ง ออกแรงกระท�าต่อวัตถุอกี อันหนึง่ (แรงกิรยิ า) วัตถุอนั หลังจะออกแรงกระท�าต่อ วัตถุอนั แรกด้วยแรงขนาดเท่ากันในทิศทางตรงข้ามกัน (แรงปฏิกริ ยิ า) โดยแรง ทั้งสองจะเกิดพร้อมกัน
5.2.2 ปริมาณที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่
ในชีวติ ประจ�าวันของเราเกีย่ วข้องกับการเคลือ่ นทีข่ องวัตถุ ซึง่ ปริมาณ ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ ได้แก่ ระยะทาง การกระจัด ความเร็ว และอัตราเร็ว 1) ระยะทำง (distance) คือ ความยาวทีว่ ดั ตามแนวทางการเคลือ่ นที่ ของวัตถุจากต�าแหน่งเริ่มต้นไปยังต�าแหน่งสุดท้าย ซึ่งเป็นปริมาณสเกลาร์ มีหน่วยเป็นเมตร (m) 2) กำรกระจัด (displacement) คือ ระยะทางที่วัดได้ตามแนวตรง จากจุดเริม่ ต้นไปยังจุดสุดท้ายของการเคลือ่ นที่ เป็นปริมาณเวกเตอร์ มีหน่วย เป็นเมตร (m) ตัวอย่างเช่น เด็กคนหนึง่ เดินจากบ้านไปยังเสาไฟเป็นระยะทาง 300 เมตร (a) แล้วเลี้ยวซ้ายเดินไปยังต้นไม้ 400 เมตร (b) เด็กคนนี้เดินเป็น ระยะทางเท่ากับ 700 เมตร (a) + (b) ส่วนการกระจัดจะวัดเป็นเส้นตรงจาก ต้นไม้ไปยังบ้าน ซึ่งจะเท่ากับ 500 เมตร (c) ในทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
http://www.aksorn.com/LC/Sci B2/M1/01
6
เกร็ดแนะครู ครูอาจหาภาพการเคลื่อนที่ที่แตกตางกันใหนักเรียนแตละกลุมศึกษา เพื่อให นักเรียนสามารถนํามาอภิปรายในชั้นเรียนได
นักเรียนควรรู 1 แรงลัพธ เปนผลรวมของแรงที่กระทําตอวัตถุชิ้นหนึ่งๆ แบบเวกเตอร เนื่องจากอาจมีแรงมากระทําตอวัตถุหนึ่งไดมากกวาหนึ่งแรง 2 กฎขอที่ 3 ของนิวตัน หรือกฎของแรงกิริยาและแรงปฏิกิริยาซึ่งมีทิศทาง ตรงกันขาม แตกระทําตอวัตถุคนละชิ้น แรงทั้งสองจึงไมหักลางกัน เนื่องจากไมได กระทําตอวัตถุชิ้นเดียวกัน
6
คูมือครู
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับอัตราเร็วเฉลี่ย สนามเด็กเลนมีพนื้ ทีเ่ ปนวงกลม รัศมี 10 เมตร ชายคนหนึง่ ออกวิง่ จาก จุด A ดวยความเร็วสมํ่าเสมอไปตามขอบพื้นที่ และไปหยุดที่จุด B ใชเวลา ทั้งสิ้น 1 นาที ขนาดของอัตราเร็วเฉลี่ย ที่ชายคนนี้วิ่งเปนกี่เมตรตอวินาที B A 1. π¶/6 2. π¶/3 3. 10π 4. 20π¶ อัตราเร็วเฉลี่ย = ระยะทางทั้งหมด เวลาทั้งหมด ระยะทางจาก A ถึง B = 2π ¶r/2 = 2π ¶(10)/2 เมตร เวลา = 1 นาที = 60 วินาที อัตราเร็วเฉลี่ย = 2π(10)/2 เมตร 60 วินาที = π/6 เมตรตอวินาที ดังนั้น ตอบขอ 1.
วิเคราะหคําตอบ
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบExplain ายความรู
อธิบายความรู 3) ควำมเร็1ว (velocity) เป็นปริมาณเวกเตอร์ ต้องระบุทั้งขนาดและ ทิศทางการเคลือ่ นที่ ซึง่ เราสามารถค�านวณความเร็วของการเคลือ่ นทีข่ องวัตถุ ได้จากอัตราส่วนของระยะการกระจัดกับเวลาที่ใช้ไป ตัวอย่างที่ 1
A
ใหนักเรียนแตละกลุมออกมาอธิบายเกี่ยวกับ ปริมาณการเคลื่อนที่ตางๆ โดยสุมเลือกมากลุมละ 1 ปริมาณ จากนั้นครูผูสอนใหนักเรียนปฏิบัติ กิจกรรมที่ 5.4 จากแบบวัดและบันทึกผล การเรียนรู วิทยาศาสตร ม.1
ด ความเร็ว = การกระจั เวลา (ความเร็วมีหน่วยเป็นเมตรต่อวินาที)
รถยนต์คันหนึ่งวิ่งจากจุด A ไปยังจุด B ซึ่งอยู่ห่างกัน 500 เมตร ใช้เวลา 10 วินาที จงหาการกระจัดและความเร็ว
วิธีท�ำ
500 เมตร
Explain
✓ แบบวัดฯ ใบงาน แบบฝกฯ ว�ทยาศาสตร ม.1 กิจกรรมที่ 5.4 หนวยที่ 5 แรงและการเคลื่อนที่
ระยะทางจาก A - B (การกระจัด) = 500 เมตร เวลาที่ใช้ในการเดินทาง = 10 วินาที ความเร็ว = การกระจัด เวลา = 500 เมตร 10 วินาที = 50 เมตรต่อวินาที B
กิจกรรมที่ 5.4
ใหนักเรียนพิจารณาภาพเสนทางจากบานไปโรงเรียน แลว ตอบคําถามใหถูกตอง (ว 4.1 ม.1/2)
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
10
C 400 เมตร
ดังนั้น รถยนต์วิ่งจากจุด A ไปยังจุด B ซึ่งมีการกระจัด 500 เมตรด้วยความเร็ว 50 เมตรต่อวินาที ตอบ
A B 200 เมตร
หมายเหตุ : การกระจัด คือ ระยะทางจากจุดเริม่ ต้นถึงจุดสุดท้าย ระยะระหว่าง AB เป็นเส้นตรงนัน่ คือ มีการกระจัดเท่ากับ 500 เมตร การบอกความเร็วจะต้องระบุทศิ ทางในการเคลือ่ นทีด่ ว้ ยเสมอ
1. ฟาเดินทางจากบานไปโรงเรียนโดยใชเสนทาง B และเดินทางกลับบานโดยใชเสนทาง C ฟาเดินเปนระยะทางเทาใด
4) อัตรำเร็ว (speed) เราสามารถบอกอัตราเร็ว ในการเคลือ่ นทีข่ อง วัตถุโดยวัดระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ได้ใน 1 หน่วยเวลา ซึ่งบอกเป็นกิโลเมตร ต่อชัว่ โมง หรือเมตรต่อวินาที ดังนัน้ อัตราเร็วจึงเป็นปริมาณสเกลาร์ โดยระบุ ขนาดแต่ไม่ระบุทิศทาง ซึ่งมีสูตรในการค�านวณดังนี้
ระยะทาง = 200 + 400 = 600 เมตร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ฉบับ
เฉลย
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
2. ถาฟาใชเวลาในการเดินทางทั้งสิ้น 20 นาที ฟาเดินดวยอัตราเร็วเทาใด ระยะทาง เวลา
600 20 × 60
อัตราเร็ว = = = 0.5 เมตรตอวินาที ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
3. การกระจัดคือเสนทางใด เพราะเหตุใด
เสนทาง A เพราะเปนเสนทางที่วัดไดตามแนวตรงจากจุดเริ่มตนไปยังจุดสุดทายของการเคลื่อนที่ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
4. ถาฟาเดินทางจากบานไปโรงเรียนตามเสนทาง A โดยใชการกระจัด 100 เมตร และใชเวลา 5 นาที ฟาเดินดวยความเร็วเทาใด
อัตราเร็ว = ระยะทาง เวลา
การกระจัด เวลา
100 5 × 60
ความเร็ว = = = 0.33 เมตรตอวินาที ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ถ้าพิจารณา ถึงการเคลื่อนที่ของวัตถุ จะเห็นได้ว่าความเร็วและ อัตราเร็วของวัตถุอาจมีค่าเดียวกัน ถ้าการเคลื่อนที่นั้นเป็นแนวเส้นตรงเดียว ซึ่งระยะทางก็จะเท่ากับการกระจัด แต่จะต่างกัน คือ ความเร็วจะบอกทิศทาง ในการเคลื่อนที่ด้วย ส่วนอัตราเร็วไม่ต้องบอกทิศทาง อย่างไรก็ตาม ปกติอัตราเร็วในการเคลื่อนที่จะไม่คงที่ตลอด การเดินทาง มีบางช่วงช้าและบางช่วงเร็ว เช่น การเคลื่อนที่ของรถยนต์ จะไม่สามารถใช้ 2 อตั ราเร็วคงที่ได้ตลอด ดังนัน้ การบอกอัตราเร็วจึงมักบอกเป็น ยเวล อัตราเร็วเฉลี่ย คือ ผลรวมของระยะทางที่เคลื่อนที่ทั้งหมดหารด้วยเวลา ยเ อัตราเร็วเฉลี่ย = ผลรวมของระยะทางทั้งหมด เวลาทั้งหมด
ภาพที่ 5.13 มาตรวัดความเร็วบนหน้าปัดรถยนต์ จะบอกอัตราเร็วเทียบกับเวลา (ในทีน่ เี้ ป็นกิโลเมตร ต่อชั่วโมง) (ที่มาของภาพ : physics insights p.29)
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
5. นักเรียนคิดวาเปนไปไดหรือไม การเคลื่อนที่ของวัตถุในแตละครั้งจะมีระยะทางเทากับ การกระจัด เพราะเหตุใดจึงคิดเชนนั้น เปนไปได เพราะถาวัตถุเคลื่อนที่เปนเสนตรงโดยไมเปลี่ยนทิศทาง จะมีระยะทางเทากับการกระจัด ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
56
ขยายความเขาใจ ภาพที่ 5.14 การหาอัตราเร็วในการเคลื่อนที่ของ วัตถุมกั จะเป็นอัตราเร็วเฉลีย่ เพราะวัตถุจะเคลือ่ นที่ ด้วยอัตราเร็วไม่คงที่ (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
Expand
ใหนักเรียนศึกษาการหาความเร็วของการ เคลือ่ นทีท่ เี่ กิดขึน้ ในชีวติ ประจําวัน ในตัวอยางที่ 1 จากหนังสือเรียน หนา 7 โดยครูผูสอนอธิบาย เพิ่มเติม
7
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 53 ออกเกี่ยวกับอัตราเร็ว นิลตองการเดินทางจากบานไปวัด โดยเริ่มเดินทางจากบาน ผานโรงเรียน และผานบานของแกว ซึ่งแผนผังการเดินทางเปนดังรูป ถาวัดอยูหางจาก บานแกวไปทางทิศตะวันตกเปนระยะ 160 เมตร และนิลใชเวลาเดินทาง จากบานไปวัดทั้งหมด 50 วินาที นิลเดินทางดวยอัตราเร็วกี่เมตรตอวินาที กําหนดใหหัวกระดาษเปนทิศเหนือ 160 เมตร โรงเรียน บานนิล ระยะทาง แนวตอบ อัตราเร็ว = 120 เมตร เวลา บานแกว = 160+120+160 เมตร 50 วินาที = 8.8 เมตรตอวินาที ดังนั้น ตอบ 8.8 เมตรตอวินาที
เกร็ดแนะครู ครูควรยกตัวอยางเพิ่มเติมเกี่ยวกับการคํานวณหาความเร็วเพื่อใหนักเรียน เกิดความเขาใจมากยิ่งขึ้น
นักเรียนควรรู 1 ทิศทางการเคลื่อนที่ นอกจากความเร็วจะมีทิศทางเดียวกับการเคลื่อนที่แลว ยังมีทศิ ทางเดียวกับทิศทางของแรงทีม่ ากระทําเมือ่ วัตถุเคลือ่ นทีด่ ว ยความเร็วเพิม่ ขึน้ และมีทิศทางตรงกันขามกับแรงที่มากระทําเมื่อวัตถุเคลื่อนที่ดวยความเร็วลดลง 2 อัตราเร็วเฉลี่ย ไมสามารถอธิบายการเคลื่อนที่ไดดีในกรณีที่วัตถุมีการเปลี่ยน รูปแบบการเคลื่อนที่อยูตลอดเวลา เชน หยุดนิ่งสลับกับการเคลื่อนที่ แตเหมาะจะ ใชอธิบายการเคลื่อนที่ของวัตถุที่มีการเคลื่อนที่คอนขางสมํ่าเสมอ คูมือครู
7
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบExplain ายความรู
Explain
ครูสุมตัวแทนนักเรียน 3 คน ออกมาอธิบาย การหาอัตราเร็วและความแตกตางระหวางปริมาณ การเคลื่อนที่ตางๆ ไดแก ระยะทาง การกระจัด อัตราเร็ว และความเร็ว จากนั้นใหนักเรียนปฏิบัติ กิจกรรมที่ 5.5 จากแบบวัดและบันทึกผลการเรียนรู วิทยาศาสตร ม.1
ตัวอย่างที่ 2
✓ แบบวัดฯ ใบงาน แบบฝกฯ ว�ทยาศาสตร ม.1 กิจกรรมที่ 5.5 หนวยที่ 5 แรงและการเคลื่อนที่ กิจกรรมที่ 5.5 ใหนักเรียนปฏิบัติตามคําแนะนําตอไปนี้ (ว 4.1 ม.1/2) 1. พิจารณาภาพที่กําหนดใหแลวคํานวณหาอัตราเร็วเมื่อถึงวินาทีที่ 4
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
20
อัตราเร็ว = ระยะทาง …………………………………………………………………………………………………………………………………. เวลา = 20 …………………………………………………………………………………………………………………………………. 4 = 5 เมตรตอวินาที ………………………………………………………………………………………………………………………………….
ตัวอย่างที่ 3
2. พิจารณาขอมูลการเคลื่อนที่ของวัตถุแตละชนิดตอไปนี้ 1) อัตราเร็วในการบินของนกมีคาเทาใด ระยะทาง = 240 m เวลา = 60 s
อัตราเร็ว = ระยะทาง เวลา = 240 60 = 4 เมตรต อวินาที ………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………….
ฉบับ
เฉลย 2) ระยะทางในการเคลื่อนที่ของการวิ่ง อัตราเร็ว = 30 m/s มีคาเทาใด ระยะทาง = อัตราเร็ว × เวลา เวลา = 20 s ……………………………………………………………………………………………….
= 30 × 20 = 600 เมตร
………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………….
3) ความเร็วในการเคลือ่ นทีข่ องจักรยานมีคา เทาใด การกระจัด = 2,000 m เวลา = 40 s
ด ความเร็ว = การกระจั เวลา = 2,000 40 = 50 เมตรตอวินาที ………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………….
57
ขยายความเขาใจ
Expand
ใหนักเรียนศึกษาการหาอัตราเร็วของการ เคลื่อนที่ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจําวัน ในตัวอยางที่ 2 และ 3 จากหนังสือเรียน หนา 8 โดยครูผูสอน อธิบายเพิ่มเติม
ในการเรียนการสอนเรื่อง อัตราเร็วและความเร็ว ครูควรเนนใหนักเรียนเขาใจ เกีย่ วกับความหมายของอัตราเร็วและความเร็วมากกวาเนนวิธกี ารคํานวณหาอัตราเร็ว และความเร็ว
นักเรียนควรรู 1 กิโลเมตรตอชั่วโมง หนวยแสดงอัตราเร็วหรือความเร็วเชนเดียวกับหนวย เมตรตอวินาที เปนหนวยที่นิยมใชในการอธิบายการเคลื่อนที่ในชีวิตประจําวัน นอกจากนี้ยังมีหนวยอื่นๆ ที่ใชแสดงอัตราเร็วหรือความเร็ว เชน ไมลตอชั่วโมง นอต ไมลทะเลตอชั่วโมง เปนตน
คูมือครู
วิธีท�ำ
อัตราเร็ว = ระยะทาง เวลา = 300 10 = 30 เมตรต่อวินาที ด ความเร็ว = การกระจั เวลา = 300 10 = 30 เมตรต่อวินาทีไปทางทิศใต้ ดังนั้น รถยนต์แล่นด้วยอัตราเร็ว 30 เมตรต่อวินาที และด้วยความเร็ว 30 เมตรต่อวินาทีไปทางทิศใต้
ตอบ
ชายคนหนึ่งเดินทางจากต�าบล A ไปยังต�าบล B ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือและห่างจากต�าบล A 3 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางครึ่งชั่วโมง จากต�าบล B เลี้ยวไปต�าบล C ซึ่งอยู่ทางทิศ ตะวันออก และห่างจากต�าบล B 4 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางครึ่งชั่วโมง จงหาอัตราเร็วแต่ละ ช่วงของการเดินทางและอัตราเร็วเฉลี่ยตลอดการเดินทาง วิธีท�ำ
อัตราเร็ว = ระยะทาง เวลา 3 อัตราเร็วในช่วง A ถึง B = 0.5 = 6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 4 อัตราเร็วในช่วง B ถึง C = 0.5 1 = 8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราเร็วเฉลี่ย = ระยะทางทัง้ หมด เวลาทั้งหมด 3+4 = 0.5+0.5 = 7 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ดังนั้น ชายคนนีเ้ ดินทางด้วยอัตราเร็ว 6 กิโลเมตรต่อชัว่ โมงในช่วง A ถึง B ด้วยอัตราเร็ว 8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในช่วง B ถึง C และด้วยอัตราเร็วเฉลี่ยตลอดการเดินทาง 7 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตอบ
8
เกร็ดแนะครู
8
บนถนนมอเตอร์เวย์ รถยนต์คันหนึ่งแล่นไปทางทิศใต้ได้ 300 เมตร ในเวลา 10 วินาที จงหาอัตราเร็วและความเร็วของรถยนต์คันนี้
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 53 ออกเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ นักเรียนคนหนึ่งเดินจากจุด A ไปจุด B เปนเสนทางดังรูป หากนักเรียนใชเวลาในการเดินทาง 40 วินาที B 100 เมตร ขอใดตอไปนี้ไมถูกตอง A 1. นักเรียนเดินดวยความเร็วเฉลี่ย 2.5 เมตรตอวินาที 2. นักเรียนเดินดวยอัตราเร็วเฉลี่ย 2.5 เมตรตอวินาที 3. การกระจัดที่นักเรียนเดินไดเปน 0 4. นักเรียนเดินไดระยะทาง 100 เมตร วิเคราะหคําตอบ จากโจทยระยะทาง = การกระจัด = 100 เมตร นักเรียนเดินดวยอัตราเร็วเฉลีย่ = ระยะทาง = 100 = 2.5 เมตรตอวินาที เวลา 40 นักเรียนเดินดวยความเร็วเฉลี่ย = การกระจัด = 100 = 2.5 เมตรตอวินาที เวลา 40 ดังนัน้ ตอบขอ 3.
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
กิจกรรม
พั ฒ นาทั ก ษะ วิทยาศาสตร์
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
ขยายความเขาใจ
ใหนกั เรียนปฏิบตั กิ จิ กรรมที่ 5.6 จากแบบวัด และบันทึกผลการเรียนรู วิทยาศาสตร ม.1
5.2
✓ แบบวัดฯ ใบงาน แบบฝกฯ ว�ทยาศาสตร ม.1 กิจกรรมที่ 5.6 หนวยที่ 5 แรงและการเคลื่อนที่
ความเร็ว ¡. ¡ÒÃÇÑ´¤ÇÒÁàÃçÇ ผู้คนส่วนมากชอบการเดินทางอย่างรวดเร็ว แต่การเดินทางดังกล่าวมีความเสี่ยงและมีอันตรายสูง ยานพาหนะ ส่วนใหÞ่จะมีเคร×อ่ งวัดความเร็ว (speedometer) ทีใ่ ช้วดั ความเร็วของการเคล×อ่ นทีใ่ นระยะเวลาหนึง่ ซึง่ ความเร็วค�านวณ ได้จากระยะทางหารด้วยเวลา ด ความเร็ว = การกระจั เวลา
Expand
กิจกรรมที่ 5.6
ใหนักเรียนคํานวณหาปริมาณที่เกี่ยวของกับการเคลื่อนที่ ของวัตถุตอไปนี้ (ว 4.1 ม.1/2) 1. เสือตัวหนึ่งวิ่งดวยอัตราเร็ว 10 เมตรตอวินาที ถาเวลาผานไป 2 วินาที เสือจะวิ่งไดระยะทางเทาใด
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
20
ระยะทาง
อัตราเร็ว = เวลา ……………………………………………………………………………………………………………………………… ระยะทาง 2
10 = ……………………………………………………………………………………………………………………………… ระยะทาง = 10 × 2 ………………………………………………………………………………………………………………………………
1
ในทางวิทยาÈาสตร์ ความเร็วมีหน่วยเปšนเมตรต่อวินาที แต่เคร×่องวัดความเร็วส่วนใหÞ่ที่ใช้กันจะวัดในหน่วยไมล์ ต่อชั่วโมง หร×อกิโลเมตรต่อชั่วโมง 2 แรงเปšนสิง่ จ�าเปšนทีใ่ ช้หยุดการเคล×อ่ นทีข่ องวัตถุได้ เช่น การห้ามล้อของรถยนต์ (break) จะใช้แรงเสียดทานช่วยให้ รถยนต์วงิ่ ช้าลงจนหยุดนิง่ โดยรถยนต์ทวี่ งิ่ ด้วยความเร็วสูงต้องใช้เวลาในการหยุดนานกว่าและใช้ระยะทางยาวกว่ารถยนต์ ที่วิ่งด้วยความเร็วต�่า จากความรู้เร×่องความเร็ว ท�าให้เราสามารถสร้างความปลอดภัยให้เกิดขึ้นได้ดังนี้
= 20 เมตร ………………………………………………………………………………………………………………………………
2. มาวิง่ ดวยอัตราเร็ว 8 เมตรตอวินาที ถาระยะทาง 1,000 เมตร มาจะวิ่งเปนเวลาเทาใดจึงจะถึงจุดหมาย ระยะทาง
อัตราเร็ว = เวลา …………………………………………………………………………………………………………………………….. 1,000 เวลา 1,000 8 = 125 วินาที …………………………………………………………………………………………………………………………….. 8 = ………………………………………………………………………………………………………………………………
เวลา = ……………………………………………………………………………………………………………………………..
ฉบับ
เฉลย
3. ในเวลา 10 วินาที รถจักรยานยนตคันหนึ่งวิ่งไดระยะทาง 150 เมตร รถคันนี้วิ่งดวยอัตราเร็วเทาใด ระยะทาง
อัตราเร็ว = เวลา ……………………………………………………………………………………………………………………………… 150 10
= ……………………………………………………………………………………………………………………………..
ÃÐÂзҧ·Õè¤Ô´¨ÐËÂشö 9 àÁµÃ
·Õè¤ÇÒÁàÃçÇ 50 ¡ÔâÅàÁµÃµ‹ 3 ͪÑèÇâÁ§ ÃÐÂзҧ·Õè㪌ˌÒÁÅŒÍ ÃÐÂзҧ·Õè㪌·Ñé§ËÁ´ 14 àÁµÃ 23 àÁµÃ
= 15 เมตรตอวินาที ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………..
4. ชายคนหนึ่งวายนํ้าไดระยะทาง 300 เมตร ซึ่งใชเวลา 5 นาที ชายคนนี้วายนํ้าดวยอัตราเร็วเทาใด ระยะทาง
อัตราเร็ว = เวลา ……………………………………………………………………………………………………………………………… 300 5 × 60 = 1 เมตรตอวินาที ………………………………………………………………………………………………………………………………
= …………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………..
ÃÐÂзҧ·Õè¤Ô´¨ÐËÂشö 15 àÁµÃ
·Õè¤ÇÒÁàÃçÇ 80 ¡ÔâÅàÁµÃµ‹ÍªÑèÇâÁ§ ÃÐÂзҧ·Õè㪌ˌÒÁÅŒÍ ÃÐÂзҧ·Õè㪌·Ñé§ËÁ´ 38 àÁµÃ 53 àÁµÃ
ÃÐÂзҧ·Õè¤Ô´¨ÐËÂشö 21 àÁµÃ
·Õè¤ÇÒÁàÃçÇ 110 ¡ÔâÅàÁµÃµ‹ÍªÑèÇâÁ§ ÃÐÂзҧ·Õè㪌ˌÒÁÅŒÍ ÃÐÂзҧ·Õè㪌·Ñé§ËÁ´ 75 àÁµÃ 96 àÁµÃ
58
จากนั้นใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมพัฒนา ทักษะวิทยาศาสตร 5.2
9
กิจกรรมทาทาย ใหนักเรียนสํารวจสถิติการแขงกีฬาประเภทตางๆ ที่มีการวัดอัตราเร็ว โดยประกอบดวยขอมูล ดังนี้ • ระยะทางในการแขงขัน • เวลาในการแขงขัน • อัตราเร็วในการแขงขัน เชื่อมโยงขอมูลดังกลาวกับการหาความเร็วและอัตราเร็วที่ไดศึกษามา พรอมบอกประโยชนของการหาความเร็วและอัตราเร็วในการเคลื่อนที่ แลวทําเปนรายงานสงครูผูสอน
นักเรียนควรรู 1 ไมล มาตรวัดระยะทางของอังกฤษ โดย 1 ไมล เทากับ 1,609 กิโลเมตร 2 แรงเสียดทาน แรงที่ตานการเคลื่อนที่ของวัตถุ เชน แรงเสียดทานเนื่องจาก ผิวสัมผัส แรงตานในอากาศ เปนตน 3 ระยะทางที่ใชหามลอ ระยะทางที่นอยที่สุดที่ใชในการหยุดรถที่กําลังเคลื่อนที่ ดวยความเร็ว ซึ่งมีคาขึ้นอยูกับความเร็วของรถและแรงเสียดทานระหวางลอรถและ พื้นถนน
คูมือครู
9
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
Engage
Explore
Explain
Expand
ตรวจสอบผล
ตรวจสอบผล Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate
Evaluate
นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 5.2 และตอบคําถามทายกิจกรรมได อยางถูกตอง
กำรทดลองเรื่อง กำรวัดควำมเร็ว อุปกรณ์ วิธีการทดลอง • ไม้เมตร 1. เลือกของเล่นมา 2 ชิ้น จากที่มีอยู่ • นาฬิกาจับเวลา 2. ตรวจหาว่าของเล่นชิ้นใดมีความเร็วมากที่สุดโดยทําการไขลานของเล่น แล้วปล่อยให้เคลื่อนที่ไป วัดระยะทาง • ชอล์ก • ข องเล่ น ประเภท ที่เคลื่อนที่ไปในเวลา 10 วินาที คํานวณความเร็วเป็นเมตร/วินาที ไขลานที่เคลื่อนที่ได้ 3. ทําการทดลองซํ้า 3 ครั้ง คํานวณหาความเร็วเฉลี่ยของของเล่นแต่ละชิ้น • กระดาษกราฟ 4. เก็บความเร็วที่วัดได้ ไว้เป็นความลับ จัดการแข่งขันขึ้นในชั้นเรียน ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มนําของเล่นชิ้นที่มี ความเร็วมากที่สุดเข้าทําการแข่งขัน
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู 1. แบบบันทึกผลการปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 5.2 2. สมุดบันทึกการคํานวณหาปริมาณการเคลื่อนที่ ไดแก ระยะทาง การกระจัด อัตราเร็ว และ ความเร็ว
1. เขียนรายงานการทดลองสั้นๆ ที่ประกอบด้วย
- ชื่อเรื่อง - วิธีการวัดความเร็ว - ค�าอธิบายว่าเพราะเหตุใดจึงต้องท�าการทดลองซ�้า - วิธีการค�านวณ เพื่อแสดงการหาค่าความเร็วเป็น เมตร/วินาที - ตารางแสดงค่าความเร็วเฉลี่ยของของเล่นแต่ละชนิดเป็น เมตร/วินาที 2. ใช้ข้อมูลจากภาพในหน้า 9 เขียนกราฟแสดงระยะทางที่ใช้หยุดรถยนต์ (บนแกน Y) กับความเร็วของ รถยนต์ (บนแกน X) จ�าไว้ว่าต้องใส่มาตราส่วนและค่าของมาตราส่วนลงบนแกนทั้งสองของกราฟด้วย จากนั้นใส่ชื่อกราฟ
¢. ¡ÒÃà¾ÔèÁ¤ÇÒÁàÃçÇ 1. ใช้เคร×่องม×อเช่นเดียวกับการทดลองครั้งที่แล้วโดยเล×อกของเล่นชิ้นที่มีความเร็วมากที่สุดเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น 2. ให้นักเรียนออกแบบการทดลองใช้วัดความเร็วหลายæ วิ¸ี โดยใช้อุปกรณ์หม×อนเดิมในการทดลองครั้งแรก ตัวแปรที่นักเรียนจะต้องควบคุมค×อ เวลา ในการทดลองครั้งนี้ตัวแปรอะไรที่นักเรียนจะต้องควบคุม 3. ท�าการทดลอง หาความเร็วเ©ลี่ยจากการทดลอง 3 ครั้ง
ภาพที่ 5.15 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
4. ถ้ามีเวลาให้นักเรียนพยายามท�าการเปลี่ยนแปลง “สภาพพ×้นผิว” ที่จะท�าให้ของเล่นวิ่งไปได้ไกลขึ้น
เขียนค�าแนะน�าวิธีการทดลองแบบต่างๆ ที่นักเรียนแต่ละกลุ่มได้ออกแบบไว้
10
แนวตอบ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 5.2 ความเร็ว ก. การวัดความเร็ว 1. ชื่อเรื่อง การวัดความเร็ว การวัดความเร็วคํานวณไดจากอัตราสวนระหวางระยะทางทีข่ องเลนเคลือ่ นทีก่ บั เวลา มีหนวยเปน เมตรตอวินาที (m/s) ดังสูตร ความเร็ว = ระยะทาง และสาเหตุทตี่ อ งทําการทดลองซํา้ เพือ่ ใหไดผลการทดลองทีถ่ กู ตอง แมนยําทีส่ ดุ เวลา ตารางแสดงความเร็วเฉลี่ยของของเลนแตละชนิด ชนิดของเลน ครั้งที่ ระยะทาง ความเร็ว ความเร็วเฉลี่ย 1 จริง) 2 1 ทดลอง ร า ก ก 3 ี่ไดจา ดลองท ท 1 ร า ก ผล 2 (บันทึก 2 3
2. พิจารณาจากคําตอบของนักเรียน โดยอยูใ นดุลยพินจิ ของครูผสู อน ข. การเพิม่ ความเร็ว พิจารณาจากคําตอบของนักเรียน โดยอยูใ นดุลยพินจิ ของครูผสู อน
10
คูมือครู
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
กิจกรรม
1. แรงที่สัมผัสไม่ ได้ ¡. áç·ÕèÊÑÁ¼ÑÊäÁ‹ä´Œ 1 2 ค×อ แรงบางอย่างที่สามารถท�างานได้ในระยะห่างจากวัตถุ เช่น แรงโน้มถ่วง แรงประจุไ¿¿‡า และแรงแม่เหล็ก ส่วนáç·ÕèÊÑÁ¼ÑÊä´Œ เปšนแรงที่ต้องมาสัมผัสกับวัตถุก่อนจึงมีผลบางอย่างเกิดขึ้นตามมา เช่น แรงจากการดึง การดัน การบิด เปšนต้น
กำรทดลองเรื่อง แรงโน้มถ่วง อุปกรณ์ • ท่อกระดาษยาวม้วน ทําเป็นท่อ • ขาตั้ง • ไม้บรรทัด • ดินนํ้ามัน
วิธีการทดลอง เกมที่ 1 ตีลูกบอล (เกมความโน้มถวง) 1. ปน ดินนํา้ มันให้เป็นลูกบอลขนาดเล็ก และเตรียมอุปกรณ์ตามภาพ 2. ให้ คู ่ ร ่ ว มงานของนั ก เรี ย นปล่ อ ยลู ก บอลลงในท่ อ กระดาษใช้ ไม้บรรทัดตีลูกบอล ขณะที่ลูกบอลหล่นออกจากท่อ ทําซํ้า 3 ครั้ง 3. เปลี่ยนให้คู่ร่วมงานของนักเรียนเป็นผู้เล่นเกมบ้าง
Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
ขยายความเขาใจ
5
สร้างสรรค์พัฒนาประจ�าหน่วยการเรียนรู้ที่
ขยายความเขาใจ
ภาพประกอบ ลูกบอลดินน�้ามัน
ท่อ ใช้ไม้บรรทัดตีลูกบอล
Expand
ครูและนักเรียนรวมกันทบทวนความรูเรื่อง แรงและการเคลื่อนที่ของวัตถุ ที่ไดศึกษาไปแลว จากนั้นครูตั้งคําถามเพื่อนําสูการทํากิจกรรม สรางสรรคพัฒนาประจําหนวยการเรียนรูที่ 5 • นักเรียนคิดวาแรงดึงและแรงผลักมีความ แตกตางจากแรงโนมถวงอยางไร (แนวตอบ แรงดึงและแรงผลักจะทําใหวัตถุ เกิดการเปลี่ยนแปลงได แรงนั้นจะตองสัมผัส กับวัตถุ แตแรงโนมถวงสามารถทําใหวัตถุ เกิดการเปลี่ยนแปลงได โดยแรงนั้นไมตอง สัมผัสกับวัตถุ) จากนั้นใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมสรางสรรค พัฒนาประจําหนวยการเรียนรูที่ 5 ขอ 1. แรงที่ สัมผัสไมได
กำรทดลองเรื่อง แรงประจุไฟฟ้ำ อุปกรณ์ • เม็ดโฟม • เศษผ้า • แท่งพลาสติก • นาฬิกาจับเวลา
วิธีการทดลอง เกมที่ 2 กอลฟแสนกล (เกมไฟฟา) 1. ถูแท่งพลาสติกด้วยเศษผ้าเพื่อให้มี ไฟฟาสถิตเกิดขึ้น นําแท่ง พลาสติกมาดูดเม็ดโฟมให้ ไปถึงจุดหมายทีก่ าํ หนดไว้ โดยไม่ ให้แท่ง พลาสติกแตะเม็ดโฟม จับเวลาที่ ใช้ ไปว่านานเท่าไหร่ 2. ให้คู่ร่วมงานทําการทดลองบ้าง แล้วดูว่าใครใช้เวลาน้อยกว่ากัน
ภาพประกอบ แท่งพลาสติก เม็ดโฟม
กำรทดลองเรื่อง แรงแม่เหล็ก อุปกรณ์ วิธีการทดลอง • จานแก้ว เกมที่ 3 สร้างใบหน้า (เกมแมเหล็ก) • โครงร่างใบหน้า 1. แต่งรูปหน้าให้สมบูรณ์ โดยใช้แท่งแม่เหล็กดูดผงตะไบเหล็กไป • แท่งแม่เหล็กขนาดเล็ก เติมเป็นคิ้วทั้ง 2 ข้าง เติมจุดกลางดวงตาทั้งคู่ และปิดฟนซี่หนึ่ง • ผงตะไบเหล็ก นักเรียนใช้เวลาไปนานเท่าไหร่ 2. เปลี่ยนให้คู่ร่วมงานทําการทดลองบ้าง แล้วดูว่าใครใช้เวลาน้อย กว่ากัน
ภาพประกอบ ผงตะไบเหล็ก
คว�่าจานแก้วลง ภาพที่ 5.16 (ทีม่ าของภาพ : photo bank ACT.)
11
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
แรงโนมถวง แรงประจุไฟฟา และแรงแมเหล็กมีความเหมือนหรือ แตกตางกันอยางไร
แนวตอบ แรงทัง้ สามลวนเปนปริมาณทีก่ ระทําตอวัตถุอยางมีทศิ ทางทัง้ สิน้ แตจะกระทําตอวัตถุที่แตกตางกัน กลาวคือ แรงโนมถวงจะกระทําตอวัตถุ ทีม่ มี วล แรงไฟฟาจะกระทําตอวัตถุทมี่ ปี ระจุทางไฟฟา ไดแก ประจุบวก และประจุลบ สวนแรงแมเหล็กจะกระทําตอวัตถุที่มีสมบัติทางแมเหล็ก ซึ่งแรงทั้งสามชนิดจัดวาเปนแรงที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
นักเรียนควรรู 1 แรงประจุไฟฟา แรงที่เกิดขึ้นเนื่องจากอํานาจทางไฟฟาระหวางประจุ หากเปนประจุชนิดเดียวกันแรงที่เกิดขึ้นจะเปนแรงผลัก ในทางตรงกันขาม หากเปนประจุตางชนิดกันจะเกิดแรงดึงดูดระหวางประจุทั้งสอง 2 แรงแมเหล็ก แรงธรรมชาติเนื่องจากอํานาจทางแมเหล็ก เกิดขึ้นภายใน สนามแมเหล็ก เชน สนามแมเหล็กโลกที่ออกแรงกระทําใหเข็มทิศซึ่งประกอบดวย สารแมเหล็กชี้ในแนวเหนือ-ใต แรงแมเหล็กที่ดูดแมเหล็กติดตูเย็นใหติดกับตูเย็น เปนตน
คูมือครู
11
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
Expand
ใหนักเรียนคนหนึ่งทดลองออกแรงดันโตะไป ทางดานซายจนโตะเริ่มเคลื่อนที่แลวดันโตะตอไป เรื่อยๆ ดวยแรงขนาดเทาเดิม ตอมาใหเพื่อน นักเรียนอีกคนหนึ่งดันโตะตัวเดียวกัน แตดันไป ทางขวา จนกระทั่งโตะหยุดการเคลื่อนที่ จากนั้น ใหนักเรียนทั้ง 2 คน ยังคงออกแรงเทาเดิมตอไป แลวใหนักเรียนในหองสังเกตการเคลื่อนที่ของ โตะตัวนี้ จากนั้นครูตั้งคําถาม • สุดทายโตะตัวนี้มีการเคลื่อนที่หรือไม อยางไร (แนวตอบ สุดทายโตะตัวนี้จะอยูนิ่งไมมีการ เคลื่อนที่ เนื่องจากแรงของนักเรียนทั้ง 2 คน ที่กระทําตอโตะมีขนาดเทากัน ทําใหเกิด สมดุลของแรง โตะจึงหยุดนิ่งไมเคลื่อนที่) จากนั้นใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมสรางสรรค พัฒนาประจําหนวยการเรียนรูที่ 5 ขอ 2. การทําให เกิดสมดุล
1. เขียนชื่อของแรงสัมผัสได้และแรงที่สัมผัสไม่ได้มาอย่างละ 3 ชนิด
2. เขียนชื่อแรงที่สัมผัสไม่ได้ที่น�ามาใช้ในแต่ละเกม พร้อมทั้งบอกรายละเอียดวิธีใช้แรงเหล่านั้น 3. คัดลอกตารางข้างล่างนี้พร้อมทั้งเติมข้อความให้สมบูรณ์ เกม
แรงกระท�าบน
วัตถุถูกดูดâดย
1 ¢. ¡ÒÃ㪌áç·ÕèÊÑÁ¼ÑÊäÁ‹ä´Œ จากภาพ นักเรียนจะพบว่ากิจกรรมในชีวติ ประจ�าวันของเราหลายอย่างทีต่ อ้ งใช้แรงทีก่ ระท�ากับวัตถุทอี่ ยูห่ า่ งไกลกัน
การนั่งบนรถไฟ การเปดตู้เย็น เหาะตีลังกาในสวนสนุก ภาพที่ 5.17 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
การท�างานของเข็มทิศ
ลูกโปงลอยได้
เขียนชื่อแรงสัมผัสไม่ได้ที่ถูกใช้ในแต่ละภาพ
2. การท�าให้เกิดสมดุล เม×่อมีแรงมากระท�ากับวัตถุก้อนหนึ่ง อาจท�าให้วัตถุอยู่ในสมดุลหร×อไม่สมดุลก็ได้ โดยแรงที่ท�าให้วัตถุเกิดสมดุลนั้น รูปร่างของวัตถุจะไม่เปลี่ยนไป หร×อวัตถุยังคงอยู่ในสภาพเดิม หร×อเคล×่อนที่ไปในความเร็วคงที่ ส่วนแรงที่ท�าให้วัตถุ ไม่สมดุลนั้นเปšนแรงที่ท�าให้มีการเปลี่ยนรูปร่างของวัตถุ หร×อเปลี่ยนความเร็ว หร×อเปลี่ยนทิÈทางการเคล×่อนที่ นักเรียน คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเส้นเช×อกที่ก�าลังถูกชักเย่อ เม×่อแรงในแต่ แรงในแต่ละข้างถูกท�าให้เกิดสมดุลและไม่ท�าให้เกิดสมดุล
กำรทดลองเรื่อง กำรท�ำให้เกิดสมดุล
อุปกรณ์ วิธีการทดลอง • ไม้กระดก ให้นักเรียนจับคู่กันคิดหาวิธีแก้ปญหาลับสมอง (มีการบอกใบ้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรในตอนท้ายของหน้า) • เหรียญ หรือ ภาพประกอบ แผ่นโลหะกลม 14 อัน • เหรียญขนาดใหญ่ หรือ แผ่นโลหะกลม 1 อัน • ลูกกลมทําด้วย ดินนํ้ามัน
ภาพที่ 5.18 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
12
แนวตอบ กิจกรรมสรางสรรคพัฒนาประจําหนวยการเรียนรูที่ 5 1. แรงที่สัมผัสไมได ก. แรงที่สัมผัสไมได 1. แรงที่สัมผัสได เชน แรงดึง แรงดัน แรงกด แรงที่สัมผัสไมได เชน แรงแมเหล็ก แรงโนมถวง แรงประจุไฟฟา 2. เกมที่ แรงที่สัมผัสไมได 1. ตีลูกบอล
แรงโนมถวง ซึ่งเปนแรงดึงดูดที่มวลของโลกกระทําตอมวลของวัตถุ เพื่อดึงดูดวัตถุเขาสู ศูนยกลางของโลก
2. กอลฟแสนกล แรงประจุไฟฟา เปนแรงดึงดูดที่เกิดจากประจุไฟฟาขั้วบวกและขั้วลบทําปฏิกิริยาตอกัน 3. สรางใบหนา
3.
12
แรงแมเหล็ก เปนแรงดึงดูดที่เกิดจากขั้วบวกและขั้วลบของแมเหล็กทําปฏิกิริยาตอกัน
เกมที่ 1. ตีลูกบอล
ลูกบอล
วัตถุถูกดูดโดย แรงโนมถวง
2. กอลฟแสนกล
เม็ดโฟม
แรงประจุไฟฟา
3. สรางใบหนา
ผงตะไบเหล็ก
แรงแมเหล็ก
คูมือครู
แรงกระทําบน
ข. การใชแรงที่สัมผัสไมได เกมที่ 1. การนั่งบนรถไฟเหาะ ตีลังกาในสวนสนุก
แรงที่สัมผัสไมได แรงโนมถวง
2. การเปดตูเย็น
แรงแมเหล็ก
3. การทํางานของเข็มทิศ
แรงแมเหล็ก หรือแรงสนามแมเหล็กโลก
4. ลูกโปงลอยได
แรงดันอากาศ
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
Expand าใจ ขยายความเข
Evaluate ตรวจสอบผล
ขยายความเขาใจ »˜ÞËÒÅѺÊÁͧ ถ้ า มี นั ก เรี ย นอยู ่ 15 คนในชั้ น เรี ย น โดยนั ก เรี ย น 14 คน มี น�้ า หนั ก เท่ า กั น นั ก เรี ย นอี ก คนหนึ่ ง มี น�้าหนักมากกว่านักเรียนคนอ×่นæ 2 กิโลกรัม ท�าอย่างไรจึงจะใช้ไม้กระดกเปšนเคร×่องม×อหานักเรียนคนที่มีน�้าหนัก ต่างจากคนอ×่นได้ นักเรียนสามารถใช้ไม้กระดกได้เพียง 3 ครั้งเท่านั้น
เขียนรายละเอียดว่านักเรียนมีวธิ แี ก้ปญ ั หาเรือ่ งไม้กระดกได้อย่างไร โดยมีคา� ว่าสมดุลของแรงและสมดุลของ
วัตถุ อยู่ในค�าตอบด้วย
ºÍ¡ãºŒ»Þ˜ ËÒÅѺÊÁͧ àÃÔÁè ¨Ò¡ãËŒ¹¡Ñ àÃÕ¹¹Ñ§è º¹äÁŒ¡Ãдҹ¢ŒÒ§ÅÐ 7 ¤¹ ¶ŒÒäÁŒ¡Ãд¡ ÁÕÊÁ´ØÅ áÊ´§Ç‹Ò¹Ñ¡àÃÕ¹·Õàè ËÅ×Í໚¹¤¹·ÕÁè ¹Õ Òíé ˹ѡÁÒ¡·ÕÊè ´Ø áµ‹¶ÒŒ äÁŒ¡Ãд¡äÁ‹ÊÁ´ØÅ ¹Ñ¡àÃÕ¹·ÕèÁÕ¹íéÒ˹ѡÁÒ¡µŒÍ§ÍÂÙ‹¢ŒÒ§·ÕèäÁŒ¡Ãд¡Å§
Expand
ใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมสรางสรรคพัฒนา ประจําหนวยการเรียนรูที่ 5 ขอ 3. การออกแบบ ผลิตภัณฑที่ดีและไมดี จากนั้นใหนักเรียนแบงกลุม กลุม ละ 4-5 คน ยกตัวอยางผลิตภัณฑหรือเครือ่ งมือ ที่ออกแบบขึ้นเพื่อปองกันแรงที่มากระทําใหเกิด ความเสียหาย นอกเหนือจากตัวอยางในกิจกรรม สรางสรรคพัฒนาประจําหนวยการเรียนรูที่ 5 เพื่อ นํามาบรรยายหนาชั้นเรียน
ตรวจสอบผล
Evaluate
นักเรียนตอบคําถามจากกิจกรรมสรางสรรค พัฒนาประจําหนวยที่ 5 ไดถูกตอง
3. การออกแบบผลิตภัณฑที่ดีและไม่ดี เคร×่องม×อ เคร×่องจักร และผลิตภัณ±์ต่างæ ล้วนถูกออกแบบมาไว้เพ×่อป‡องกันแรงต่างæ ที่จะมากระท�าให้เกิดความ เสียหายได้ ให้นักเรียนสังเกตผลิตภัณ±์ต่างæ ในภาพข้างล่างนี้ว่ามีการออกแบบที่ไม่ดีอย่างไรบ้าง จากนั้นให้เขียนบทความ เพ×่อบรรยายหน้าชั้นที่ประกอบด้วยหัวข้อ ดังนี้ • ชนิดของแรงที่มากระท�า • การออกแบบที่จะท�าให้ผลิตภัณ±์สามารถต้านทานแรงต่างæ ที่จะมาท�าให้เกิดความเสียหายได้ • การปรับปรุงรูปแบบของผลิตภัณ±์ที่ไม่ดีนี้ นักเรียนสามารถใช้ภาพถ่ายหร×อผลิตภัณ±์จริงมาเปšนตัวอย่างประกอบการบรรยายหน้าชั้นเรียน
ภาพที่ 5.19 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
13
แนวตอบ กิจกรรมสรางสรรคพัฒนาประจําหนวยการเรียนรูที่ 5 2. การทําใหเกิดสมดุล ครั้งที่ 1 แบงกลุมนักเรียนออกเปน 2 กลุม กลุมละ 7 คน เหลือเศษ 1 คน ใหนักเรียน 2 กลุม นั่งบนไมกระดกขางละกลุม ถาไมอยู ในสมดุล แสดงวาคนที่เหลือมีนํ้าหนักมากกวาคนอื่น แตถาไมเอียงดานใดดานหนึ่ง แสดงวาดานนั้นมีคนที่นํ้าหนักมากกวา อยูในกลุม ครัง้ ที่ 2 แบงนักเรียนกลุม ทีอ่ ยูด า นไมเอียงออกเปน 2 กลุม กลุม ละ 3 คน เหลือ 1 คน แลวใหนงั่ ไมขา งละกลุม สังเกตผลเชนเดียวกับ ครัง้ ที่ 1 ครั้งที่ 3 แบงนักเรียนจากกลุม 3 คน ใหนั่งบนไมขางละคน หากไมอยูในสมดุล แสดงวานักเรียนคนที่เหลือมีนํ้าหนักมากกวาคนอื่น 3. การออกแบบผลิตภัณฑที่ดีและไมดี ภาพ เปดฝากระปอง
ชนิดของแรง แรงดึง
การออกแบบ ใชโลหะที่มีความเหนียวมาทําหวงที่ใชดึงฝา
การปรับปรุง ใชขวดแกวหรือกระปองแบบฝาเกลียว
เปดถุงขนม
แรงฉีก
ใชถุงพลาสติกที่มีความเหนียวคงทน
ทํารอยตัดไวดานขางสําหรับฉีก
หั่นเนื้อ
แรงกด
ใชโลหะที่มีความแข็งแรงตอแรงกด
มีดควรมีรอยหยักเหมือนฟนเลื่อย
แขวนผาบนไมแขวนผา
แรงกด
ใชลวดโลหะที่มีความแข็งแรงและคงทน
ไมแขวนผาตองมีความแข็งแรงและควรมีที่ยึด หรือเกี่ยวผาไมใหไหลมารวมกัน
คูมือครู
13
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
Engage
Explore
Explain
Expand
ตรวจสอบผล
Evaluate
ครูใหนักเรียนอานสรุปทบทวนประจําหนวย การเรียนรูที่ 5 จากนั้นครูตั้งคําถามใหนักเรียนตอบ เพื่อเปนการตรวจสอบความเขาใจของนักเรียน
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู 1. แบบบันทึกผลการปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 2. สมุดบันทึกตัวอยางแรงตางๆ ที่พบเห็นในชีวิต ประจําวัน 3. สมุดบันทึกการคํานวณหาปริมาณการเคลื่อนที่ ไดแก ระยะทาง การกระจัด อัตราเร็ว และ ความเร็ว 4. แบบบันทึกผลการปฏิบัติกิจกรรมสรางสรรค พัฒนาประจําหนวยการเรียนรูที่ 5
ตรวจสอบผล Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate
สรุปทบทวน
ประจ�าหน่วยการเรียนรู้ที่
5
■ แรงที่ใช้ในชีวิตประจ�าวัน เช่น แรงดัน แรงดึง แรงหมุน แรงบีบ เป็นต้น โดยเมื่อแรงกระท�าต่อวัตถุหนึ่ง อาจมีผลท�าให้วัตถุที่หยุดนิ่งอยู่เกิดการเคลื่อนที่ ท�าให้วัตถุที่เคลื่อนที่อยู่มีการเคลื่อนที่เร็วขึ้น ช้าลง หยุดนิ่ง หรือ เปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ และอาจท�าให้วัตถุมีรูปร่างและขนาดเปลี่ยนแปลงไป ■ ปริมาณทางกายภาพแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ปริมาณสเกลาร์และปริมาณเวกเตอร์ ■ ปริมาณสเกลาร์ เป็นปริมาณที่มีแต่ขนาดเพียงอย่างเดียว เช่น มวล ปริมาตร ความยาว เวลา อุณหภูมิ เป็นต้น ■ ปริมาณเวกเตอร์ เป็นปริมาณที่มีทั้งขนาดและทิศทาง เช่น ความเร็ว การกระจัด ความเร่ง เป็นต้น ■ การเคลื่อนที่ของวัตถุเกี่ยวข้องกับระยะทาง การกระจัด อัตราเร็ว และความเร็ว ■ ระยะทาง คือ ความยาวทีว ่ ดั ตามแนวทางการเคลือ่ นทีข่ องวัตถุจากต�าแหน่งเริม่ ต้นไปยังต�าแหน่งสุดท้าย ■ การกระจัด คือ เวกเตอร์ที่ชี้ต�าแหน่งสุดท้ายของวัตถุเทียบกับต�าแหน่งเริ่มต้น ■ อัตราเร็ว คือ ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ได้ในหนึ่งหน่วยเวลา ■ ความเร็ว คือ การกระจัดของวัตถุในหนึ่งหน่วยเวลา ■ เซอร์ ไอแซก นิวตัน เป็นผู้ค้นพบกฎการเคลื่อนที่ของวัตถุ ซึ่งมีอยู่ 3 ข้อ ■ กฎข้อที่ 1 ของนิวตัน มีใจความว่า วัตถุจะรักษาสภาพอยูน ่ งิ่ หรือสภาพเคลือ่ นทีอ่ ย่างสม�า่ เสมอ นอกจาก จะมีแรงลัพธ์ที่มีค่าไม่เท่ากับศูนย์มากระท�าต่อวัตถุ ■ กฎข้อที่ 2 ของนิวตัน มีใจความว่า เมื่อมีแรงลัพธ์ที่มีค่าไม่เท่ากับศูนย์มากระท�าต่อวัตถุ จะท�าให้วัตถุ เคลื่อนที่ด้วยความเร่งในทิศเดียวกับแรงลัพธ์ และขนาดของความเร่งจะแปรผันตรงกับขนาดของแรงลัพธ์ ■ กฎข้อที่ 3 ของนิวตัน มีใจความว่า ทุกแรงกิรย ิ าย่อมมีแรงปฏิกริ ยิ าทีม่ ขี นาดเท่ากันแต่มที ศิ ทางตรงข้าม กันเสมอ
14
เกร็ดแนะครู เมื่อจบการเรียนการสอนในหนวยการเรียนรูที่ 5 แลว ครูอาจใหนักเรียน เขียนสรุปเนื้อหาสาระสําคัญทั้งหมดที่ไดเรียนไปในหนวยการเรียนรูที่ 5 ออกมา เปนแผนผังความคิดในรูปแบบที่งายตอการเขาใจ แลวนําสงครูผูสอน เพื่อให ครูไดตรวจสอบความเขาใจของนักเรียนอีกครั้งหนึ่ง และนักเรียนสามารถนํา แผนผังความคิดนี้ไปใชอานประกอบเพื่อเตรียมตัวสอบในเรื่องแรงและการเคลื่อนที่ ของวัตถุได
14
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ใหนักเรียนอธิบายวา ความเร็วกับอัตราเร็วมีความแตกตางกันอยางไร แนวตอบ ความเร็ว มีคาเทากับอัตราสวนระหวางการกระจัดกับเวลาที่ ใชในการเคลื่อนที่ ซึ่งเปนปริมาณเวกเตอร ที่ตองบอกทั้งขนาดและทิศทาง ในการเคลื่อนที่ สวนอัตราเร็ว มีคาเทากับอัตราสวนระหวางระยะทางกับ เวลาที่ใชในการเคลื่อนที่ ซึ่งเปนปริมาณสเกลาร ที่ระบุแตขนาดโดยไมตอง ระบุทิศทางในการเคลื่อนที่ ดังนั้น หากการเคลื่อนที่ใดๆ มีการกระจัด เทากับระยะทาง ทั้งความเร็วและอัตราเร็วจะมีคาเทากัน