8858649122766

Page 1

คูมือครู 㪌»ÃСͺ¡ÒÃÊ͹ËÇÁ¡Ñº

˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ©ºÑº »ÃСѹÏ

ภาพปกนี้มีขนาดเทากับหนังสือเรียนฉบับจริงของนักเรียน

กระบวนการสอนแบบ 5 Es ชวยสรางทักษะการเรียนรู กิจกรรมมุงพัฒนาทักษะการคิด คำถาม + แนวขอสอบเพื่อยกผลสัมฤทธิ์ O-NET กิจกรรมบูรณาการเตรียมพรอมสู ASEAN 2558


เอกสารประกอบคูมือครู

กลุมสาระการเรียนรู ศิลปะ

ดนตรี - นาฏศิลป ชั้นมัธยมศึกษาปที่

2

สําหรับครู

คูมือครู Version ใหม

ลักษณะเดน

ขยายพื้นที่รูปเลมใหญขึ้นกวาเดิม จัดแบงพื้นที่ออกเปนโซน เพื่อคนหาขอมูลไดงาย สะดวก รวดเร็ว และดูเปนระเบียบ กระตุน ความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ Expand

ตรวจสอบผล

กระตุน ความสนใจ

Evaluate

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ Expand

ตรวจสอบผล Evaluate

เปาหมายการเรียนรู สมรรถนะของผูเรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค

หน า

โซน 1 กระตุน ความสนใจ

Engage

สํารวจคนหา

Explore

อธิบายความรู

Explain

ขยายความเขาใจ

Expand

ตรวจสอบผล

หน า

หนั ง สื อ เรี ย น

โซน 1

หนั ง สื อ เรี ย น

Evaluate

ขอสอบเนน การคิด

แนว  NT  O-NE T

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

O-NET บูรณาการเชื่อมสาระ

เกร็ดแนะครู

ขอสอบ

โซน 2

โซน 3

กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย

นักเรียนควรรู

โซน 3

โซน 2 บูรณาการอาเซียน มุม IT

No.

คูมือครู

คูมือครู

No.

โซน 1 ขั้นตอนการสอนแบบ 5Es

โซน 2 ชวยครูเตรียมสอน

โซน 3 ชวยครูเตรียมนักเรียน

เพื่อใหครูเตรียมจัดกิจกรรมการเรียน การสอน โดยแนะนําขั้นตอนการสอนและ การจัดกิจกรรมแบบ 5Es อยางละเอียด เพื่อใหนักเรียนบรรลุตามตัวชี้วัด

เพื่อชวยลดภาระครูผูสอน โดยแนะนํา เกร็ดความรูสําหรับครู ความรูเสริมสําหรับ นักเรียน รวมทั้งบูรณาการความรูสูอาเซียน และมุม IT

เพื่อใหครูสะดวกตอการจัดกิจกรรม โดย แนะนํากิจกรรมบูรณาการเชือ่ มระหวางสาระหรือ กลุมสาระการเรียนรู วิชา กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย รวมถึงเนื้อหาที่เคยออกขอสอบ O-NET แนวขอสอบ NT/O-NET ทีเ่ นนการคิด พรอมเฉลยและคําอธิบายอยางละเอียด


ที่ใชในคูมือครู

แถบสีและสัญลักษณ

แถบสีแสดงขั้นตอนการสอนและการจัดกิจกรรม แบบ 5Es เพื่อใหครูทราบวาเปนขั้นการสอนขั้นใด

1. แถบสี 5Es สีแดง

สีเขียว

กระตุน ความสนใจ

เสร�ม

สํารวจคนหา

Engage

2

เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใช เทคนิคกระตุน ความสนใจ เพื่อโยง เขาสูบทเรียน

สีสม

อธิบายความรู

Explore

เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนสํารวจ ปญหา และศึกษา ขอมูล

สีฟา

Explain

เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนคนหา คําตอบ จนเกิดความรู เชิงประจักษ

สีมวง

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนนําความรู ไปคิดคนตอๆ ไป

เปนขั้นที่ผูสอน ประเมินมโนทัศน ของผูเรียน

2. สัญลักษณ สัญลักษณ

วัตถุประสงค

• เปาหมายการเรียนรู

• หลักฐานแสดง ผลการเรียนรู

• เกร็ดแนะครู

แทรกความรูเสริมสําหรับครู ขอเสนอแนะ ขอควรระวัง ขอสังเกต แนวทางการจัด กิจกรรมและอืน่ ๆ เพื่อประโยชนในการ จัดการเรียนการสอน ขยายความรูเพิ่มเติมจากเนื้อหา เพื่อให ครูนําไปใชอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียน ไดมีความรูมากขึ้น

ความรูห รือกิจกรรมเสริม ใหครูนาํ ไปใช เตรียมความพรอมใหกบั นักเรียนกอนเขาสู ประชาคมอาเซียนใน พ.ศ. 2558 โดย บูรณาการกับวิชาทีก่ าํ ลังเรียน

บูรณาการอาเซียน

คูม อื ครู

แสดงรองรอยหลักฐานตามภาระงาน ที่ครูมอบหมาย เพื่อแสดงผลการเรียนรู ตามตัวชี้วัด

• นักเรียนควรรู

มุม IT

แสดงเปาหมายการเรียนรูที่นักเรียน ตองบรรลุตามตัวชี้วัด ตลอดจนสมรรถนะ ที่จะตองมี และคุณลักษณะที่พึงเกิดขึ้น กับนักเรียน

แนะนําแหลงคนควาจากเว็บไซต เพื่อให ครูและนักเรียนไดเขาถึงขอมูลความรู ที่หลากหลาย ทั้งไทยและตางประเทศ

สัญลักษณ

ขอสอบ

วัตถุประสงค

O-NET

(เฉพาะวิชา ชัน้ ทีส่ อบ O-NET O-NET)

ขอสอบเนน การคิด

แนว  NT  O-NE O-NETT (เฉพาะระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนตน)

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET (เฉพาะระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนปลาย)

บูรณาการเชื่อมสาระ

กิจกรรมสรางเสริม

• ชีแ้ นะเนือ้ หาทีเ่ คยออกขอสอบ

O-NET โดยยกตัวอยางขอสอบ พรอมวิเคราะหคาํ ตอบ อยางละเอียด

• เปนตัวอยางขอสอบทีม่ งุ เนน

การคิดและเปนแนวขอสอบ NT/O-NET ในระดับมัธยมศึกษา ตอนตน มีทงั้ ปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลยอยางละเอียด

• เปนตัวอยางขอสอบทีม่ งุ เนน

การคิดและเปนแนวขอสอบ O-NET ในระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย มีทงั้ ปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลยอยางละเอียด

• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม

เชือ่ มกับสาระหรือกลุม สาระ การเรียนรู ระดับชัน้ หรือวิชาอืน่ ทีเ่ กีย่ วของ

• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม ซอมเสริมสําหรับนักเรียนทีค่ วร ไดรบั การพัฒนาการเรียนรู

• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม กิจกรรมทาทาย

ตอยอดสําหรับนักเรียนทีเ่ รียนรู ไดอยางรวดเร็ว และตองการ ทาทายความสามารถในระดับ ทีส่ งู ขึน้


คําแนะนําการใชคูมือครู การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอน คูมือครู รายวิชา ดนตรี-นาฏศิลป ม.2 จัดทําขึ้นเพื่อใหครูผูสอนนําไปใชเปนแนวทางวางแผนการสอนเพื่อพัฒนา ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน และประกันคุณภาพผูเ รียน ตามนโยบายของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน (สพฐ.) โดยใชหนังสือเรียน ดนตรี-นาฏศิลป ม.2 ของบริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด เปนสื่อหลัก (Core Material) เสร�ม ประกอบการสอนและการจัดกิจกรรมการเรียนรูใ หสอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั กลุม สาระการเรียนรู ศิลปะ 3 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พ.ศ. 2551 โดยออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนตามหลักการสําคัญ ดังนี้ 1 ออกแบบการสอนเปนหนวยการเรียนรูอิงมาตรฐาน คูมือครู รายวิชา ดนตรี-นาฏศิลป ม.2 วางแผนการสอนโดยแบงเปนหนวยการเรียนรูตามลําดับสาระ (Strand) และหมายเลขขอของมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั แตละหนวยจะกําหนดเปาหมายการเรียนรูแ ละจุดประสงคการเรียนรู (Objective Learning) กิจกรรมการเรียนรู (Learning Activities) และแนวทางการประเมินผลการเรียนรู (Learning Evaluation) ไวชัดเจน ครูผูสอนสามารถจัดทําแผนการสอนใหครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัด สมรรถนะ และคุณลักษณะ อันพึงประสงคที่เปนเปาหมายการเรียนรูตามที่กําหนดไวในสาระแ นสาระแกนกลาง (ตามแผนภูมิ) และสามารถบันทึกผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของผูเรียนแตละคนลงในเอกสาร ปพ.5 ไดอยางมั่นใจ แผนภูมิแสดงความสัมพันธขององคประกอบการออกแบบการเรียนรูอิงมาตรฐานและเน มาต นผูเรียนเปนสําคัญ

พผ

ูเ

จุ ด ป ร

ะสง

คก า

ส ภา

รี ย น

รู ีเรยน

มาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัดชวงชั้น

ทักษะการคิด การวัดประเมินผล การเรียนรู

กิจกรรมการเรียนรู

เทคนิคการสอน คูม อื ครู


2 การจัดการเรียนรูที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ แนวคิ ด ในการจั ด การเรี ย นการสอนที่ ยึ ด ผู  เ รี ย นเป น สํ า คั ญ พั ฒ นามาจากปรั ช ญาและทฤษฎี ก ารเรี ย นรู  Constructivism ที่เชื่อวา การเรียนรูเปนกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในสมองของผูเรียนแตละคน ผูเรียนเปนผูสรางความรู โดยการเชื่อมโยงระหวางสิ่งที่ไดเรียนรูจากบทเรียนใหมกับความรูหรือประสบการณเดิมที่มีอยู ทฤษฎีนี้มีความเชื่อวา ผูเรียนทุกคนไดเรียนรูและมีการสั่งสมความรูความเขาใจเกี่ยวกับสิ่งตางๆ ติดตัวมากอน ทีจ่ ะเขาสูห อ งเรียน ซึง่ เปนการเรียนรูท เี่ กิดจากประสบการณและสิง่ แวดลอมรอบตัวผูเ รียนแตละคน ดังนัน้ การจัดกิจกรรม เสร�ม การเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ผูสอนจะตองคํานึงถึง

4

1. ความรูเดิมของผูเรียน วิธีการสอนที่ดีจะตองเริ่มตนจากจุดที่วา ผูเ รียนมีความรูอ ะไรมาบาง แลวจึงใหความรู หรือประสบการณใหม เพื่อตอยอดจาก ความรูเดิม นําไปสูการสรางความรู ความเขาใจใหม

2. ความรูเดิมของผูเรียนถูกตองหรือไม ผูส อนตองปรับเปลีย่ นความรูค วามเขาใจเดิม ของผูเรียนใหถูกตอง และเปนพฤติกรรม การเรียนรูใ หมทมี่ คี ณุ คาตอผูเรียน เพื่อสราง เจตคติหรือทัศนคติที่ดีตอการเรียนรู สิ่งเหลานั้น

3. ผูเรียนสรางความหมายสําหรับตนเอง ผูสอนตองสงเสริมใหผูเรียนนําความรู ความเขาใจที่เกิดขึ้นไปลงมือปฏิบัติ เพื่อขยายความรูใหลึกซึ้งและมีคุณคา ตอตัวผูเรียนมากที่สุด

แนวคิด Constructivism เนนใหผูเรียนสรางความรูโดยผานกระบวนการคิดและความอยากรูของตนเอง โดยมีผูสอนเปนผูสรางบรรยากาศ

การเรียนรูและกระตุนความสนใจ คอยจัดสถานการณใหผูเรียนเกิดความขัดแยงทางความคิดระหวางประสบการณเดิมกับประสบการณ ความรูใ หม เพือ่ กระตนุ ใหผเู รียนเชือ่ มโยงความรู ความคิด กับประสบการณทมี่ อี ยูเ ดิม แลวสังเคราะหเปนความรูห รือแนวคิดใหมๆ ไดดว ยตนเอง

3 การบูรณาการกระบวนการคิด การเรียนรูของผูเรียนแตละคนจะเกิดขึ้นที่สมอง ซึ่งเปนอวัยวะที่ทําหนาที่รูคิดภายใตสภาพแวดลอมที่เอื้ออํานวย และไดรบั การกระตนุ จูงใจอยางเหมาะสม สอดคลองกับสภาพจิตใจและความตองการของผูเ รียนแตละคน การจัดกิจกรรม การเรียนรูและสาระการเรียนรูที่สอดคลองกับความสนใจและมีความหมายตอผูเรียน จะชวยกระตุนใหสมองของผูเรียน สามารถรับรูและเรียนรูไดอยางมีประสิทธิภาพตามขั้นตอนการทํางงานของสมอง ดังนี้ 1. สมองจะเรียนรูและสืบคน โดยการสังเกต คนหา ซักถาม และทดลอง ปฏิบัติ จนทําใหคนพบความรูความเขาใจ ไดอยางรวดเร็ว

2. สมองจะแยกแยะคุณคาของสิ่งตางๆ โดยการตัดสินใจวิพากษวิจารณ แสดง ความคิดเห็น ยอมรับหรือตอตานตาม อารมณความรูสึกที่เกิดขึ้นในขณะที่เรียนรู

3. สมองจะประมวลเนื้อหาสาระ โดยการสรุปเปนความคิดรวบยอดจาก เรื่องราวที่ไดเรียนรูใหมนําไปผสมผสานกับ ความรูห รือประสบการณเดิมทีถ่ กู จัดเก็บอยูใ น สมอง ผานการกลัน่ กรองเพือ่ สังเคราะหเปน ความรูค วามเขาใจใหมๆ หรือเปนทัศนคติใหม ที่จะเก็บบรรจุไวในสมองของผูเรียน

การเรียนรูที่มีประสิทธิภาพจึงตองเปนการเรียนรูที่เกิดจากกระบวนการคิดของผูเรียน เพราะการเรียนรูจะเกิดขึ้น เมื่อสมองรูคิด และตองเปนการคิดไดครบถวนตามขั้นตอนการทํางานของสมองผูเรียน โดยเริ่มตนจาก 1. ระดับการคิดพื้นฐาน ไดแก การสังเกต การจําแนก การคาดคะเน การสื่อความหมาย การรวบรวมขอมูล การสรุปผล เปนตน

คูม อื ครู

2. ระดับลักษณะการคิด ไดแก การคิดกวาง คิดลึกซึ้ง คิดไกล คิดหลากหลาย คิดคลอง คิดอยางมีเหตุผล เปนตน

3. ระดับกระบวนการคิด ไดแก กระบวนการคิดอยางมีวิจารณญาณ กระบวนการแกปญหา กระบวนการ คิดสรางสรรค กระบวนการคิดสังเคราะห เปนตน


5Es การจัดกิจกรรมตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ขั้นตอนการสอนที่สัมพันธกับขั้นตอนการคิดและการทํางานทางสมองของผูเรียนที่นิยมใชอยางแพรหลาย คือ วัฏจักรการเรียนรู 5Es ซึ่งผูจัดทําคูมือครูไดนํามาใชเปนแนวทางออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในแตละหนวย ตามลําดับขั้นตอนการเรียนรู ดังนี้ ขั้นที่ 1

กระตุนความสนใจ

(Engage)

เสร�ม

5

เปนขั้นที่ผูสอนนําเขาสูบทเรียน เพื่อกระตุนความสนใจของผูเรียนดวยเรื่องราวหรือเหตุการณที่นาสนใจโดยใชเทคนิควิธีการ และคําถามทบทวนความรูหรือประสบการณเดิมของผูเรียน เพื่อเชื่อมโยงผูเรียนเขาสูความรูของบทเรียนใหม ชวยใหผูเรียนสามารถ สรุปความสําคัญหัวขอและสาระการเรียนรูของบทเรียนได จึงเปนขั้นตอนการสอนที่สําคัญ เพราะเปนการเตรียมความพรอมและสราง แรงจูงใจใฝเรียนรูแกผูเรียน

ขั้นที่ 2

สํารวจคนหา

(Explore)

เปนขัน้ ทีผ่ สู อนเปดโอกาสใหผเู รียนลงมือศึกษา สังเกต หรือรวมมือกันสํารวจ เพือ่ ใหเห็นขอบขายของประเด็นหรือปญหา รวมถึง วิธีการศึกษาคนควา การรวบรวมขอมูลความรูที่จะนําไปสูการสรางความเขาใจประเด็นหรือปญหานั้นๆ เมื่อผูเรียนทําความเขาใจใน ประเด็นหรือปญหาที่จะศึกษาคนควาอยางถองแทแลว ก็ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมขอมูลความรู สํารวจตรวจสอบ โดยวิธีการตางๆ เชน สัมภาษณ ทดลอง อานคนควาขอมูลจากเอกสาร แหลงขอมูลตางๆ จนไดขอมูลความรูที่เกี่ยวของกับประเด็นหรือปญหาที่ศึกษา

ขั้นที่ 3

อธิบายความรู

(Explain)

เปนขั้นที่ผูสอนมีปฏิสัมพันธกับผูเรียน เชน ใหการแนะนํา ตั้งคําถามกระตุนใหคิด เพื่อใหผูเรียนคนหาคําตอบ และนําขอมูล ความรูจากการศึกษาคนควาในขั้นที่ 2 มาวิเคราะห สรุปผล และนําเสนอผลที่ไดศึกษาคนความาในรูปแบบสารสนเทศตางๆ เชน เขียนแผนภูมิ ผังมโนทัศน เขียนความเรียง เขียนรายงาน เปนตน ในขั้นตอนนี้ฝกใหผูเรียนใชสมองคิดวิเคราะหและสังเคราะห อยางเปนระบบ

ขั้นที่ 4

ขยายความเขาใจ

(Expand)

เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใชเทคนิควิธีสอนตางๆ ที่สงเสริมใหผูเรียนนําความรูที่เกิดขึ้นไปคิดคนสืบคนตอๆ ไป เพื่อพัฒนาทักษะ การเรียนรูและการทํางานรวมกันเปนกลุม ระดมสมองเพื่อคิดสรางสรรครวมกัน ผูเรียนสามารถนําความรูที่สรางขึ้นใหมไปเชื่อมโยง กับประสบการณเดิมโดยนําขอสรุปทีไ่ ดไปใชอธิบายเหตุการณตา งๆ หรือนําไปปฏิบตั ใิ นสถานการณใหมๆ ทีเ่ กีย่ วของกับชีวติ ประจําวัน ของตนเอง เพื่อขยายความรูความเขาใจใหกวางขวางยิ่งขึ้น ในขั้นตอนนี้ฝกสมองของผูเรียนใหสามารถคิดริเริ่มสรางสรรคอยางมี คุณภาพ เสริมสรางวิสัยทัศนใหกวางไกลออกไป

ขั้นที่ 5

ตรวจสอบผล

(Evaluate)

เปนขัน้ ทีผ่ สู อนประเมินมโนทัศนของผูเ รียน โดยตรวจสอบจากความคิดทีเ่ ปลีย่ นไปและความคิดรวบยอดทีเ่ กิดขึน้ ใหม ตรวจสอบ ทักษะ กระบวนการปฏิบัติ การแกปญหา การตอบคําถามรวบยอด หรือการเคารพความคิดหรือยอมรับเหตุผลของคนอื่น เพื่อการ สรางสรรคความรูร ว มกัน ผูเ รียนสามารถประเมินผลการเรียนรูข องตนเอง เพือ่ สรุปผลวามีความรูอ ะไรเพิม่ ขึน้ มาบาง เกิดความเขาใจ มากนอยเพียงใด และจะนําความรูเหลานั้นไปประยุกตใชในการเรียนรูเรื่องอื่นๆ หรือในชีวิตประจําวันไดอยางไร ผูเรียนจะเกิดเจตคติ และเห็นคุณคาของตนเองจากผลการเรียนรูที่เกิดขึ้น ซึ่งเปนการเรียนรูที่มีความสุขอยางแทจริง

การจัดกิจกรรมการเรียนรูตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es จึงเปนรูปแบบการเรียนการสอนที่เนนผูเรียน เปนสําคัญอยางแทจริง เพราะสงเสริมใหผูเรียนไดเรียนรูตามขั้นตอนของกระบวนการสรางความรูดวยตนเอง และ ฝกฝนใหใชกระบวนการคิดและกระบวนการกลุมอยางชํานาญ กอใหเกิดทักษะชีวิต ทักษะการทํางาน และทักษะการ เรียนรูที่มีประสิทธิภาพ สงผลตอการยกระดับผลสัมฤทธิ์ของผูเรียน ตามเปาหมายของการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) ทุกประการ คูม อื ครู


O-NET การเพิ่มผลสัมฤทธิ์ O-NET

การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ในแตละหนวยการเรียนรู ทางผูจัดทํา จะเสนอแนะวิธีสอน รูปแบบกิจกรรมการเรียนรู พรอมทั้งออกแบบเครื่องมือวัดและประเมินผลที่สอดคลองกับตัวชี้วัด และสาระการเรียนรูแกนกลางไวทุกขั้นตอน โดยยึดหลักสําคัญ คือ หลักของการวัดและประเมินผล เสร�ม

6

1. การวัดและประเมินผลทุกครั้ง ควรนําผลมาปรับปรุงพัฒนาผูเรียน เปนรายบุคคล

2. การวัดและประเมินผลมี เปาหมาย เพื่อพัฒนาการเรียนรู ของผูเรียนจนเต็มศักยภาพ

3. การนําผลการวัดและประเมินผล ทุกครั้งมาวางแผนปรับปรุงกิจกรรม การเรียนการสอน การเลือกเทคนิค วิธีสอน และสื่อการเรียนรูให เหมาะสมกับสภาพจริงของผูเรียน

การทดสอบผูเรียน 1. การใชขอสอบอัตนัย เนนการอาน การคิดวิเคราะห และการเขียนเพิ่มมากขึ้น 2. การใชคําถามกระตุนการคิดควบคูกับการทําขอสอบที่เนนการคิดอยางตอเนื่องตามลําดับกิจกรรมการเรียนรู และตัวชี้วัด 3. การทดสอบตองดําเนินการทั้งกอนเรียน ระหวางเรียน และหลังเรียน การทดสอบควรใชขอสอบทั้งชนิดปรนัยและ อัตนัย และเปนการทดสอบเพื่อประเมินผลการเรียนของผูเรียนแตละคน เพื่อการสอนซอมเสริมใหบรรลุตัวชี้วัด ไดครบถวน 4. การสอบกลางภาค (ถามี) ควรนําแบบฝกหัดหรือขอสอบทีน่ กั เรียนสวนใหญไมสามารถตอบไดหรือไมครบถวนชัดเจน มา สรางเปนแบบทดสอบอีกครัง้ เพือ่ ตรวจสอบความรูค วามเขาใจทีถ่ กู ตอง และประเมินความกาวหนาของผูเ รียนแตละคน 5. การสอบปลายภาคเรียนเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามตัวชี้วัดที่สําคัญ ควรออกขอสอบใหมีลักษณะเดียวกับ ขอสอบ O-NET โดยเนนการคิดวิเคราะห สังเคราะห เชื่อมโยงประยุกตใช เพื่อสรางความคุนเคย และฝกฝน วิธีการทําขอสอบดวยความมั่นใจ 6. การนําผลการทดสอบของผูเรียนมาวิเคราะห โดยผลการสอบกอนการเรียนตองสามารถพยากรณผลการสอบ กลางภาค และผลการสอบกลางภาคตองทํานายผลการสอบปลายภาคของผูเ รียนแตละคน เพือ่ ประเมินพัฒนาการ ความกาวหนาของผูเรียนเปนรายบุคคล 7. ผลการทดสอบปลายป ปลายภาค ตองมีคาเฉลี่ยสอดคลองกับคาเฉลี่ยของการสอบ NT ที่เขตพื้นที่การศึกษา จัดสอบ รวมทั้งคาเฉลี่ยของการสอบ O-NET ชวงชั้นที่สอดคลองครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดสําคัญ เพือ่ สะทอนประสิทธิภาพของครูผสู อนในการออกแบบการเรียนรูแ ละประกันคุณภาพผูเ รียนทีต่ รวจสอบผลไดชดั เจน การจัดการเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ตองใหผูเรียนไดสั่งสมความรู ความเขาใจตามลําดับขั้นตอน ของกิจกรรมในวัฏจักรการเรียนรู 5Es เพื่อใหผูเรียนไดเติมเต็มองคความรูอยางตอเนื่อง จนสามารถปฏิบัติชิ้นงานหรือ ภาระงานรวบยอดของแตละหนวย ผานเกณฑประกันคุณภาพในระดับที่นาพึงพอใจ เพื่อรองรับการประเมินภายนอกจาก สมศ. ตลอดเวลา คูม อื ครู


ASEAN การเรียนรูสูประชาคมอาเซียน เพื่ออํานวยความสะดวกแกครูผูสอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรูบูรณาการอาเซียนศึกษา ผูจัดทําไดวิเคราะห มาตรฐานการเรียนรู และตัวชี้วัดที่มีสาระการเรียนรูสอดคลองกับองคความรูเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนในแงมุมตางๆ ครอบคลุมทัง้ ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรม อาเซียน เพื่อสงเสริมการเรียนรูใหผูเรียนเกิดความตระหนัก มีความรูความเขาใจเหมาะสมกับระดับชั้นและกลุมสาระ การเรียนรู โดยเสนอแนะวิธีการจัดกิจกรรมบูรณาการเนื้อหาสาระตางๆ ที่เปนประโยชนตอผูเรียนและเปนการชวย เตรียมความพรอมผูเ รียนทุกคนทีจ่ ะกาวเขาสูก ารเปนสมาชิกของประชาคมอาเซียนไดอยางมัน่ ใจตามขอตกลงปฏิญญา เสร�ม ชะอํา-หัวหิน วาดวยความรวมมือดานการศึกษาเพือ่ บรรลุเปาหมายประชาคมอาเซียนทีเ่ อือ้ อาทรและแบงปน จึงกําหนด 7 เปนนโยบายใหกระทรวงศึกษาธิการจัดการเรียนรูเตรียมความพรอมผูเรียนเขาสูประชาคมอาเซียนภายในป พ.ศ. 2558 ตามแนวปฏิบัติที่สําคัญ ดังนี้

การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน 1. การสรางความรูความเขาใจ และตระหนักถึงความสําคัญของ กฎบัตรอาเซียน และความรวมมือ ของ 3 เสาหลัก ซึง่ กฎบัตรอาเซียน ในขณะนี้มีสถานะเปนกฎหมายที่ ประเทศสมาชิกจะตองปฏิบัติตาม หลักการที่กําหนดไวเพื่อใหบรรลุ เปาหมายของกฎบัตรมาตราตางๆ

2. การสงเสริมหลักการ ประชาธิปไตยและการสราง สิ่งแวดลอมประชาธิปไตย เพื่อการอยูรวมกันอยางกลมกลืน ภายใตวิถีชีวิตอาเซียนที่มีความ หลากหลายดานสังคมและ วัฒนธรรม

4. การตระหนักในคุณคาของ สายสัมพันธทางประวัติศาสตร และมรดกทางวัฒนธรรมที่มี พัฒนาการรวมกัน เพื่อเชื่อม อัตลักษณและสรางจิตสํานึก ในการเปนประชากรของประชาคม อาเซียนรวมกัน

3. การสงเสริมการศึกษาดาน สิทธิมนุษยชน เพื่อสรางประชาคม อาเซียนใหเปนประชาคมเพื่อ ประชาชนอยางแทจริง สามารถ อยูรวมกันไดบนพื้นฐานการเคารพ ในคุณคาของศักดิ์ศรีแหงความ เปนมนุษยเทาเทียมกัน

5. การสงเสริมสันติภาพ ความ มั่นคง และความปรองดองในสังคม ทั้งระดับประเทศและภูมิภาคของ อาเซียนบนพื้นฐานสันติวิธีและการ อยูรวมกันดวยขันติธรรม

คูม อื ครู


การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

เสร�ม

8

1. การพัฒนาทักษะการทํางาน เพื่อเสริมสรางผูเรียนใหมีทักษะ วิชาชีพที่จําเปนสอดคลองกับ ความตองการของตลาดแรงงาน และสถานประกอบการในอาเซียน สามารถเทียบโอนผลการเรียน และการทํางานตามมาตรฐานฝมือ แรงงานในภูมิภาคอาเซียน

2. การเสริมสรางวินัย ความรับผิดชอบ และเจตคติรักการทํางาน สามารถพึ่งพาตนเอง มีทักษะชีวิต ดํารงชีวิตอยางมีความสุข เห็นคุณคา และภูมิใจในตนเอง ในฐานะที่เปนพลเมืองไทยและ อาเซียน

3. การเรียนรูเพื่อพัฒนาตนเอง อยางตอเนื่องตลอดชีวิต ใหมี ทักษะการทํางานตามมาตรฐาน อาชีพ และคุณวุฒิของวิชาชีพสาขา ตางๆ เพื่อรองรับการเตรียมเคลื่อน ยายแรงงานมีฝมือและการเปน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่ เขมแข็ง เพื่อสรางขีดความสามารถ ในการแขงขันในเวทีโลก

การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน 1. การเสริมสรางความรวมมือ ในลักษณะสังคมที่เอื้ออาทร ของประชากรอาเซียน โดยยึด หลักการสําคัญ คือ ความงดงาม ของประชาคมอาเซียนมาจาก ความแตกตางและหลากหลายทาง วัฒนธรรมที่ลวนแตมีคุณคาตอ มรดกทางวัฒนธรรมของอาเซียน ซึ่งประชาชนทุกคนตองอนุรักษ สืบสานใหยั่งยืน

2. การเสริมสรางคุณลักษณะ ของผูเรียนใหเปนพลเมืองอาเซียน ที่มีศักยภาพในการกาวเขาสู ประชาคมอาเซียนอยางมั่นใจ เปนผูที่มีสุขภาพสมบูรณแข็งแรง มีทักษะการสื่อสาร ทักษะการ ทํางาน ทักษะทางสังคม สามารถ ทํางานรวมกับผูอื่นไดอยาง สรางสรรค และมีองคความรู เกี่ยวกับอาเซียนที่จําเปนตอการ ดํารงชีวิตอยางมีคุณภาพ

4. การสงเสริมการเรียนรูดาน ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถชี วี ติ ความเปนอยูข องเพือ่ นบาน ในอาเซียน เพื่อสรางจิตสํานึกของ ความเปนประชาคมอาเซียนและ ตระหนักถึงหนาที่ของการเปน พลเมืองอาเซียนรวมกัน

3. การสงเสริมการเรียนรูภาษา อังกฤษเพื่อการสื่อสารและการ ทํางานตามมาตรฐานอาชีพที่ กําหนดและสนับสนุนการเรียนรู ภาษาอาเซียนและภาษาเพื่อนบาน เพื่อชวยเสริมสรางสัมพันธภาพทาง สังคม และการอยูรวมกันอยางสันติ ทามกลางความหลากหลายทาง วัฒนธรรม

5. การสรางความรูและความ ตระหนักเกี่ยวกับดานสิ่งแวดลอม ปญหาและผลกระทบตอคุณภาพ ชีวิตของประชากรในภูมิภาค รวมทั้งแนวทางการพัฒนาอยาง ยั่งยืน ใหเปนมรดกสืบทอดแก พลเมืองอาเซียนในรุนหลังตอๆ ไป

กระทรวงศึกษาธิการจึงประกาศนโยบายการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) เพื่อเรงพัฒนาเด็ก และเยาวชนไทยใหเปนทรัพยากรมนุษยของชาติที่มีทักษะและความชํานาญ พรอมเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและ การแขงขันทั้งในภูมิภาคอาเซียนและภูมิภาคอื่นๆ ของสังคมโลก ทั้งนี้ผูบริหารสถานศึกษา ครูผูสอน และผูปกครอง ควรรวมมือกันอยางใกลชิดในการดูแลชวยเหลือผูเรียนและจัดประสบการณการเรียนรูเพื่อพัฒนาผูเรียนจนเต็มศักยภาพ เพื่อกาวเขาสูการเปนพลเมืองอาเซียนอยางมีเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีความเปนมนุษยของตน คณะผูจัดทํา คูม อื ครู


ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง สาระที่ 2

ดนตรี-นาฏศิลป (เฉพาะชั้น ม.2)*

ดนตรี

มาตรฐาน ศ 2.1 เขาใจและแสดงออกทางดนตรีอยางสรางสรรค วิเคราะห วิพากษวิจารณคุณคาดนตรี ถายทอด ความรูสึก ความคิดตอดนตรีอยางอิสระ ชื่นชมและประยุกตใชในชีวิตประจําวัน ชั้น

ตัวชี้วัด

ม.2 1. เปรียบเทียบการใชองคประกอบ ดนตรีทมี่ าจากวัฒนธรรมตางกัน

สาระการเรียนรูแกนกลาง

หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน

• องคประกอบของดนตรีจากแหลงวัฒนธรรมตางๆ • หนวยการเรียนรูที่ 1 ดนตรีกับสังคมและวัฒนธรรม

2. อาน เขียน รองโนตไทยและ โนตสากลที่มีเครื่องหมาย แปลงเสียง

• เครื่องหมายและสัญลักษณทางดนตรี - โนตจากเพลงไทยอัตราจังหวะสองชั้น - โนตสากล (เครื่องหมายแปลงเสียง)

• หนวยการเรียนรูที่ 2 ความรูทั่วไปเกี่ยวกับดนตรีไทย • หนวยการเรียนรูที่ 4 ความรูทั่วไปเกี่ยวกับดนตรีสากล

3. ระบุปจจัยสําคัญที่มีอิทธิพลตอ การสรางสรรคงานดนตรี

• เทคนิคและการแสดงออกในการ - จินตนาการในการสรางสรรคบทเพลง - การถายทอดเรื่องราวความคิด ในบทเพลง

• หนวยการเรียนรูที่ 2 ความรูทั่วไปเกี่ยวกับดนตรีไทย • หนวยการเรียนรูที่ 4 ความรูทั่วไปเกี่ยวกับดนตรีสากล

4. รองเพลงและเลนดนตรีเดี่ยว และรวมวง

• เทคนิคการรองและบรรเลงดนตรี - การรองและบรรเลงเดี่ยว - การรองและบรรเลงเปนวง

• หนวยการเรียนรูที่ 3 ทักษะดนตรีไทย • หนวยการเรียนรูที่ 5 ทักษะดนตรีสากล

5. บรรยายอารมณของเพลงและ ความรูสึกที่มีตอบทเพลงที่ฟง

• การบรรยายอารมณและความรูสึก ในบทเพลง

• หนวยการเรียนรูที่ 2 ความรูทั่วไปเกี่ยวกับดนตรีไทย

6. ประเมิน พัฒนาการทักษะ ทางดนตรีของตนเองหลังจาก การฝกปฏิบัติ

• การประเมินความสามารถทางดนตรี - ความถูกตองในการบรรเลง - ความแมนยําในการอานเครื่องหมาย และสัญลักษณ - การควบคุมคุณภาพเสียงในการรอง และบรรเลง

• หนวยการเรียนรูที่ 3 ทักษะดนตรีไทย • หนวยการเรียนรูที่ 5 ทักษะดนตรีสากล

7. ระบุงานอาชีพตางๆ ที่เกี่ยวของ กับดนตรีและบทบาทของดนตรี ในธุรกิจบันเทิง

• อาชีพทางดานดนตรี • บทบาทของดนตรีในธุรกิจบันเทิง

• หนวยการเรียนรูที่ 6 ดนตรีกับอาชีพทางดานดนตรี

เสร�ม

9

มาตรฐาน ศ 2.2 เขาใจความสัมพันธระหวางดนตรี ประวัติศาสตรและวัฒนธรรม เห็นคุณคาของดนตรีที่เปนมรดก ทางวัฒนธรรม ภูมิปญญาทองถิ่น ภูมิปญญาไทยและสากล ชั้น

ตัวชี้วัด

ม.2 1. บรรยายบทบาทและอิทธิพลของ ดนตรีในวัฒนธรรมของประเทศ ตางๆ

สาระการเรียนรูแกนกลาง • ดนตรีในวัฒนธรรมตางประเทศ - บทบาทของดนตรีในวัฒนธรรม - อิทธิพลของดนตรีในวัฒนธรรม

2. บรรยายอิทธิพลของวัฒนธรรมและ • เหตุการณประวัตศิ าสตรกบั การเปลีย่ นแปลง เหตุการณในประวัติศาสตรที่มีตอ ทางดนตรีในประเทศไทย รูปแบบของดนตรีในประเทศไทย - การเปลีย่ นแปลงทางการเมืองกับงานดนตรี - การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีกับงานดนตรี

หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน • หนวยการเรียนรูที่ 1 ดนตรีกับสังคมและวัฒนธรรม • หนวยการเรียนรูที่ 1 ดนตรีกับสังคมและวัฒนธรรม

คูม อื ครู


สาระที่ 3

นาฏศิลป

มาตรฐาน ศ 3.1 เขาใจและแสดงออกทางดนตรีอยางสรางสรรค วิเคราะห วิพากษวิจารณคุณคาดนตรี ถายทอด ความรูสึก ความคิดตอดนตรีอยางอิสระ ชื่นชมและประยุกตใชในชีวิตประจําวัน ชั้น

เสร�ม

10

ตัวชี้วัด

ม.2 1. อธิบายการบูรณาการศิลปะแขนง อืน่ ๆ กับการแสดง

2. สรางสรรคการแสดงโดยใช องคประกอบนาฏศิลปและ การละคร

สาระการเรียนรูแกนกลาง

หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน

• ศิลปะแขนงอื่นๆ กับการแสดง - แสง สี เสียง - ฉาก - เครื่องแตงกาย - อุปกรณ

• หนวยการเรียนรูที่ 7 ความรูทั่วไปเกี่ยวกับนาฏศิลป • หนวยการเรียนรูที่ 11 การแสดงละคร

• หลักและวิธีการสรางสรรคการแสดง โดยใช องคประกอบนาฏศิลปและการละคร

• หนวยการเรียนรูที่ 8 การแสดงนาฏศิลปไทยมาตรฐาน • หนวยการเรียนรูที่ 10 ความรูทั่วไปเกี่ยวกับการละคร

3. วิเคราะหการแสดงของตนเองและ • หลักและวิธีการวิเคราะหการแสดง ผูอื่น โดยใชนาฏยศัพทหรือศัพท ทางการละครที่เหมาะสม

• หนวยการเรียนรูที่ 7 ความรูทั่วไปเกี่ยวกับนาฏศิลป • หนวยการเรียนรูที่ 11 การแสดงละคร

4. เสนอขอคิดเห็นในการปรับปรุง การแสดง

• วิธีการวิเคราะห วิจารณการแสดงนาฏศิลป และการละคร • รําวงมาตรฐาน

• หนวยการเรียนรูที่ 8 การแสดงนาฏศิลปไทยมาตรฐาน

5. เชื่อมโยงการเรียนรูระหวาง นาฏศิลปและการละครกับสาระ การเรียนรูอื่นๆ

• ความสัมพันธของนาฏศิลปหรือการละครกับ สาระการเรียนรูอื่นๆ

• หนวยการเรียนรูที่ 7 ความรูทั่วไปเกี่ยวกับนาฏศิลป • หนวยการเรียนรูที่ 10 ความรูทั่วไปเกี่ยวกับการละคร

มาตรฐาน ศ 3.2 เขาใจความสัมพันธระหวางนาฏศิลป ประวัติศาสตรและวัฒนธรรม เห็นคุณคาของนาฏศิลปที่เปน มรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปญญาทองถิ่น ภูมิปญญาไทยและสากล ชั้น

ตัวชี้วัด

ม.2 1. เปรียบเทียบลักษณะเฉพาะ ของการแสดงนาฏศิลปจาก วัฒนธรรมตางๆ

คูม อื ครู

สาระการเรียนรูแกนกลาง • นาฏศิลปพื้นเมือง - ความหมาย - ที่มา - วัฒนธรรม - ลักษณะเฉพาะ

หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน • หนวยการเรียนรูที่ 3 การแสดงนาฏศิลปพื้นเมือง

2. ระบุ หรือแสดงนาฏศิลป นาฏศิลป • รูปแบบการแสดงประเภทตางๆ พื้นบาน ละครไทย ละครพื้นบาน - นาฏศิลป หรือมหรสพอื่นที่เคยนิยมกัน - นาฏศิลปพื้นเมือง ในอดีต - ละครไทย - ละครพื้นบาน

• หนวยการเรียนรูที่ 3 การแสดงนาฏศิลปพื้นเมือง

3. อธิบายอิทธิพลของวัฒนธรรม ที่มีผลตอเนื้อหาของละคร

• หนวยการเรียนรูที่ 11 การแสดงละคร

• การละครสมัยตางๆ


คําอธิบายรายวิชา รายวิชา ดนตรี-นาฏศิลป ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 รหัสวิชา ศ…………………………………

กลุมสาระการเรียนรู ศิลปะ ภาคเรียนที่………… เวลา 40 ชั่วโมง/ป

ศึกษา เปรียบเทียบองคประกอบทางดนตรี เครื่องหมายและสัญลักษณทางดนตรี ลักษณะเฉพาะของการแสดง นาฏศิลปที่มาจากวัฒนธรรมตางๆ ระบุปจจัยที่มีอิทธิพลตอการนําเทคนิคการรอง การบรรเลงมาใชสรางสรรคงานดนตรี เสร�ม อาชีพตางๆ ทีเ่ กีย่ วของกับดนตรีและบทบาทของดนตรีในธุรกิจบันเทิง รูปแบบการแสดงนาฏศิลปประเภทตางๆ ทัง้ นาฏศิลป 11 พื้นบาน ละครไทย ละครพื้นบาน หรือมหรสพอื่นที่เคยนิยมกันในอดีต บรรยายอารมณและความรูสึกที่มีตอบทเพลง ที่ฟง บทบาทและอิทธิพลของดนตรีในวัฒนธรรมของประเทศตางๆ รวมถึงวัฒนธรรมและเหตุการณในประวัติศาสตรที่มี ตอรูปแบบของดนตรีในประเทศไทย อธิบายการบูรณาการศิลปะแขนงอื่นๆ กับการแสดง อิทธิพลของวัฒนธรรมที่มีผล ตอเนื้อหาของละคร สรางสรรคการแสดงโดยใชองคประกอบนาฏศิลปและการละคร วิเคราะห ประเมินพัฒนาการทักษะ ทางดนตรี การแสดงของตนเองและผูอื่น พรอมทั้งเสนอขอคิดเห็นในการปรับปรุงและเชื่อมโยงการเรียนรูกับสาระ การเรียนรูอื่นๆ โดยใชทักษะกระบวนการทางดนตรีและนาฏศิลป กระบวนการปฏิบัติ กระบวนการกลุม ในการแสดงออกทางดนตรี และนาฏศิลปอยางสรางสรรค เพื่อใหเกิดความรู ความเขาใจ ความสัมพันธระหวางดนตรี-นาฏศิลป เทคนิคการสรางสรรคการแสดงออก ทางดนตรีและนาฏศิลป รวมถึงเห็นคุณคาของงานดนตรีและนาฏศิลปที่เปนมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปญญาทองถิ่น ภูมิปญญาไทยและสากล

ตัวชี้วัด ศ 2.1 ศ 2.2 ศ 3.1 ศ 3.2

ม.2/1 ม.2/1 ม.2/1 ม.2/1

ม.2/2 ม.2/2 ม.2/2 ม.2/2

ม.2/3

ม.2/4

ม.2/5

ม.2/3 ม.2/3

ม.2/4

ม.2/5

ม.2/6

ม.2/7

รวม 17 ตัวชี้วัด

คูม อื ครู


ตาราง

วิเคราะหมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั รายวิชา ดนตรี-นาฏศิลป ม.2

คําชี้แจง : ใหผูสอนใชตารางนี้ตรวจสอบความสอดคลองของเนื้อหาสาระการเรียนรูในหนวยการเรียนรูกับมาตรฐาน การเรียนรูและตัวชี้วัดชวงชั้น เสร�ม

12

มาตรฐานการเรียนรู และตัวชี้วัด

หนวยการเรียนรู หนวยการเรียนรูที่ 1 : ดนตรีกับสังคมและวัฒนธรรม หนวยการเรียนรูที่ 2 : ความรูทั�วไปเกี่ยวกับดนตรีไทย

1

2

3

หนวยการเรียนรูที่ 5 : ทักษะดนตรีสากล หนวยการเรียนรูที่ 6 : ดนตรีกับอาชีพทางดานดนตรี หนวยการเรียนรูที่ 7 : ความรูทั�วไปเกี่ยวกับนาฏศิลป

มาตรฐาน ศ 2.2

มาตรฐาน ศ 3.1

มาตรฐาน ศ 3.1

ตัวชี้วัด

ตัวชี้วัด

ตัวชี้วัด

ตัวชี้วัด

4

5

สาระที่ 3

6

7

✓ ✓

หนวยการเรียนรูที่ 3 : ทักษะดนตรีไทย หนวยการเรียนรูที่ 4 : ความรูทั�วไปเกี่ยวกับ ดนตรีสากล

สาระที่ 2 มาตรฐาน ศ 2.1

1

2

1

2

3

4

5

3

หนวยการเรียนรูที่ 9 : การแสดงนาฏศิลปพื้นเมือง หนวยการเรียนรูที่ 10 : ความรูทั�วไปเกี่ยวกับ การละคร

คูม อื ครู

2

หนวยการเรียนรูที่ 8 : การแสดงนาฏศิลปไทย มาตรฐาน

หนวยการเรียนรูที่ 11 : การแสดงละคร

1


กระตุน ความสนใจ Engage

สํารวจคนหา Explore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ Expand

ตรวจสอบผล Evaluate

˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÃÒÂÇÔªÒ¾×é¹°Ò¹

´¹µÃÕ-¹Ò¯ÈÔÅ»Š Á.ò

ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๒

กลุมสาระการเรียนรูศิลปะ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ผูเรียบเรียง

รศ. สุมนมาลย นิ่มเนติพันธ รศ. สําเร็จ คําโมง นายสุดใจ ทศพร รศ. ณรงคชัย ปฎกรัชต ผศ. ดร. รจนา สุนทรานนท ผศ. มณฑา กิมทอง นายชนินทร พุมศิริ

ผูตรวจ

ผศ. กฤษณา บัวสรวง ผศ. เดชน คงอิ่ม นายโฆษิต มั่นคงหัตถ

บรรณาธิการ

ดร. มนัส แกวบูชา นายสมเกียรติ ภูระหงษ พิมพครั้งที่ ๗

สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ รหัสสินคา ๒๒๑๕๐๐๔

¤Œ¹¤ÇÒÁÃÙŒ¢ÂÒ¤ÇÒÁ¤Ô´¨Ò¡

¾ÔÁ¾ ¤ÃÑ駷Õè 2 ÃËÑÊÊÔ¹¤ŒÒ 2245008

EB GUIDE

ที่พิมพกํากับหัวขอสําคัญในหนังสือเรียนหลักสูตรแกนกลางฯ ผาน www.aksorn.com ไปยังแหลงความรูทั่วไทย-ทั่วโลก

คณะผูจัดทําคูมือครู

สุมนมาลย นิ่มเนติพันธ สุนิสา รังสิพุฒิกุล ฐิตาภรณ เติมเกียรติเจริญ


กระตุน ความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

¤íÒá¹Ð¹íÒ㹡ÒÃ㪌˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ หนังสือเรียน ดนตรี-นาฏศิลป เลมนี้ ใชประกอบการเรียนการสอนในรายวิชาพื้นฐาน กลุมสาระ การเรียนรูศ ลิ ปะ ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ ๒ เนื้อหาตรงตามสาระการเรียนรูแกนกลางขั้นพื้นฐาน อานทําความเขาใจงาย ใหทั้งความรูและชวย พัฒนาผูเรียนตามหลักสูตรและตัวชี้วัด เนื้อหาแบงออกเปนหนวยการเรียนรูตามโครงสรางรายวิชา สะดวก แกการจัดการเรียนการสอนและการวัดผลประเมินผล พรอมเสริมองคประกอบอืน่ ๆ ทีจ่ ะชวยทําใหผเู รียนไดรบั ความรูอ ยางมีประสิทธิภาพ à¹×éÍËҵçµÒÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹Ãٌ᡹¡ÅÒ§ ¨Ñ´¡ÅØ‹Áà¹×éÍËÒ໚¹Ë¹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ Êдǡᡋ¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹

à¡Ãç´ÈÔÅ»Šà¾ÔèÁàµÔÁ¨Ò¡à¹×éÍËÒ ÁÕá·Ã¡à»š¹ÃÐÂÐæ

ãËŒ¤ÇÒÁÃÙŒáÅÐàÍ×é͵‹Í¡ÒùíÒä»ãªŒÊ͹à¾×èÍ à¡ÃÔè¹¹íÒà¾×èÍãˌࢌÒ㨶֧ÊÒÃÐÊíÒ¤ÑÞ ãËŒºÃÃÅصÑǪÕéÇÑ´ áÅÐÊÌҧ¤Ø³ÅѡɳРÍѹ¾Ö§»ÃÐʧ¤ ã¹Ë¹‹Ç·Õè¨ÐàÃÕ¹ ๓) ตัวละคร

หน่วยการเรีย

นรู้ที่

ø

ตัวชี้วัด ■

สร้ำงสรรคก ำรแส และกำรละคร ดงโดยใช้องคประกอ บนำฏศิลป เสนอข้อคิดเห็ (ศ ๓.๑ ม.๒/๒) นในกำรปรับ ปรุงกำรแสดง (ศ ๓.๑ ม.๒/ ๔)

กา นาฏศิลปไทยม รแสดง าตรฐาน

เกร็ด

ศิลป “ความเปนจริง” กับ “ความสม จริง” เราคงได้ยนิ ได้ฟง มาบ้างแล้ว ว่า เรื แสดงไม่เป็น “ความจริง” แต่ “สมจริ อ่ งทีล่ ะครน�ามา ง”” ซึง่ ทัง้ สองค�านี้ มีนัยที่แตกต่างกัน กล่าวคือ ผูแ้ ต่งบทละครจะต้องผูกเรือ่ งและส่ องค์ประกอบของเรื่องให้ผู้ชมละครรู วนต่างๆ ทีเ่ ป็น ้ส แต่ไม่ใช่การถอดแบบมาจากธรรมชาติ ึกว่าเป็นจริงได้ เ การวาดภาพ การระบายสี ดังที่ จอร์ หมือนจิตรกรรม จ (George Bernard Shaw) นัก เบอร์นาร์ด ชอว์ เขียนบทละครชื่อดัง ชาวไอริช กล่าวไว้ว่า “ถาแตงบทละครต ามพฤติกรรม ที่เปนจริง จะไมมีใครไปชมละคร เพราะเขาอยูที่บาน เขาก็เห็นประจักษอยูแลว” ” ฉะนั้นการสร้างบทละคร ที่จะน�ามาใช้ในการแสดง ผู้ประพั จอร์ จ เบอร์ น าร์ ด ชอว์ นั ก เขี นธ์ ย นบทละคร ชื่ อ ดั ง ให้ผชู้ มละครรูส้ กึ ว่าเป็นจริงให้จงได้ จึงจะต้องผูกเรือ่ ง ชาวไอริช จึงใช้คา� ว่า “สมจริง”

น าฏ ศิ ล ป ไ ทย มา

แสดงนาฏศ ตร ฐา น เป ิลป น ปรมาจารย ไทยตามแบบแผนดั้ง กา ร ท างน เดิม ที่ ใหปฏิบัติสืบ าฏศลิ ปไทยไดกาํ หน ดไว ทอ กระบวนทา ดตอกันมาอยางเครง เพือ่ ครัด ซึ่ง รํา ลักษณะกา การแสดงจ รแตงกาย รูปแบบ ะเป ฝ ก หั ด นา ฏศ ลี่ยนแปลงมิได ดังนั้น ผู ิ ล ป ทุ ก คน สาระการเรียนรู จึ ง จํ า เป น ที่จะ มี ค วาม รู ค ้แกนกลาง จะ ต วาม หลักและวิธ แส ดง แล ะเอ เข า ใจเ กี่ ย วกั บ พื้ น ฐา อ ง ีก นำฏศิลปและกำำรสร้ำงสรรคกำรแสดงโด นก กล าร ั ก ษณ ข อง ยใช้องคประกอ วิธีกำรวิเครำะ รละคร แตละชุดเสี บ กา ห รแ วิ จ ำรณ สด ย ก กำรแสดงนำ ร�ำวงมำตรฐำ ฏศิลปและกำ น ถูกตอง นอ อน เพื่อจะไดปฏิบัต งใน รละคร ิไดอ กจ มีความรูเกี ากนี้ ผูเรียนนาฏศิล ยาง ่ยวกั ปก็ควร กา รแ สด งน บหลักการวิเคราะห วิจารณ าฏ ศิ ล ป ด ว ย ดั ง กล า วจ ะช ว ยส ร า งค เพ ราะ หลั ก กา ร วาม เข า ใจต ระหวางผูแ สดง และผู รง กั น ชมการแสด ง ■

ตัวละครเอกในเรื่อ แสดงได้สมบทบาท ท�าให้ผู้ชมละครเ งมีบุคลิกลักษณะที่เหมาะสมกับละครประเภทสมจริง กิดความรู้สึกสะเทือนอารมณ์ ได้ตามความ บทละคร แต่สา� หรับตัวละครประกอบอื มุ่งหมายของ น่ ๆ ทีเ่ ที่จะต้องฝึกซ้อมให้มีการแสดงที่สมบทบาทสริมอยู่ในเรือ่ ง ยังมีขอ้ บกพร่อง คือ ค�าพูดและอารมณ์ โดยผู้ก�ากับการแสดงควรจะต้องให้ ตัวละครประกอบให้เท่าเทียมกับตัว ความส�าคัญกับ ละครเอก โดยฝึกฝนการแสดงอาร มณ์และค�าพูดให้สมจริง เท่าเทียมกับตัวละครเอก จะท�าให้ล ะครมีอรรถรสและสะเทือนอารมณ์ผ ู้ชมมากยิ่งขึ้น ๔) ทัศนองค์ประกอบต่างๆ ที บรรยากาศในการแสดงละครให้ดูสมจริ ่ช่วยส่งเสริมด้านอารมณ์ของผู้ชม เป็นการช่วยสร้าง ง ได้แก่ • ฉากและอุปกรณ์ป ระกอบฉาก มีความวิจิตรงดงามเหมาะส เหตุการณ์ในเรื่อง มกับสถานที่และ • การแต่งกาย สามารถแต่ งได้ ประเพณี มีความผสมกลมกลืนกับ แสง สี ถกู ต้องตามเชือ้ ชาติ ฐานะของตัวละคร ขนบธรรมเนยี ม รวมทัง้ การแต่งหน้า แต่งผมมีความเหมา ตามยุคสมัย ะสมกับเนือ้ เรือ่ ง

ประจ�ำชำติ วงซำยวำยใช้บรรเลงในงำนพิธี เป็นวงดนตรีแบบแผนที่รู้จักกันทั่วไป ถือเป็นวงดนตรี วข้องกับพิธกี รรมทำงพระพุทธศำสนำ งำนทีเ่ กีย่ ของทำงรำชกำร งำนต้อนรับอำคันตุกะของรัฐบำล ั นำขึน้ มำอย่ำงต่อเนื่องจนกลำยเป็น พม่ำได้พฒ ดนตรี ย ว ฎรด้ รรมของรำษ ก ี ธ นงำนพิ ใ ตลอดจนใช้ ลำยชนิด ซึ่งแต่ละชนิดมีกำรแกะสลัก ปิดทอง ดนตรีของรำชส�ำนัก ประกอบด้วยเครื่องดนตรีห ่องดนตรีพม่ำที่ควรรู้จัก เช่น ประดับประดำด้วยกระจกสีต่ำงๆ อย่ำงสวยงำม เครื ่มีรู ๗ รู ส�ำหรับเปลี่ยนระดับเสียง เลำปี ยใบตำล ว ด้ ำ � ท ่ ปี น ้ ลิ ปเนห์ เป็นปี่ที่มีล�ำโพง ก�ำพวดปี่ ปี่เนห์มีทั้งขนำดเล็กและขนำดใหญ่ เนิดเสียงอยู่ที่กำรน�ำเอำ “ลูกโหม่ง” ที่พม่ำ มองซาย มีลักษณะเหมือนฆ้องของไทย จุดก�ำ ขึ้นรูปให้กลมและแบนบำงอย่ำงถำด มีปุ่มนูน เรียกว่ำ “มอง” ซึ่งเป็นโลหะทองเหลืองที่ถูกตี นจ�ำนวน ๓ รำง จำกนั้นน�ำไปร้อยเชือกผูกไว้ ขึ้นเป็นจุดกระทบตรงกลำงมำประกอบติดกันเป็ ง่ ชุดจะมีลกู โหม่งจ�ำนวนทัง้ หมด ๑๗-๑๘ ใบ ในรำงไม้ ซึง่ พม่ำเรียกว่ำ “ซาย” ส�ำหรับใช้ไม้ตี มองซำยหนึ นวงปี่พำทย์ของพม่ำ ที่นิยมใช้ใ ไล่เรียงขนำดจำกใหญ่ไปหำเล็ก เป็นเครื่องดนตรี กษณ์ของดนตรีพม่ำ เป็นเครื่องดนตรีของ เอกลั น เป็ วำมสวยงำม ค ี ม ่ ที ำ พม่ ณ พิ ซองเกาะ เป็น รับกำรพัฒนำอย่ำงต่อเนื่อง เดิมซองเกำะมีสำย รำชส�ำนักและชนชั้นสูง ศิลปะกำรเล่นซองเกำะได้ สำย ดังปรำกฏในปัจจุบัน ซองเกำะนิยมบรรเลง เพียง ๓ สำย แต่นักดนตรีพม่ำได้เพิ่มเป็น ๑๖ วและประกอบกำรขับร้อง ในงำนส�ำคัญๆ ของทำงกำร ใช้ได้ทั้งบรรเลงเดี่ย

■ ■

µÑǪÕÇé ´Ñ áÅÐÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙጠ¡¹¡ÅÒ§ µÒÁ·ÕËè ÅÑ¡Êٵà ¡íÒ˹´ à¾×èÍãËŒ·ÃÒº¶Ö§à»‡ÒËÁÒÂ㹡ÒÃÈÖ¡ÉÒ Design ˹ŒÒẺãËÁ‹ ÊǧÒÁ ¾ÔÁ¾ ô ÊÕ µÅÍ´àÅ‹Á ª‹ÇÂãˌ͋ҹ·íÒ¤ÇÒÁࢌÒã¨ä´Œ§‹ÒÂ

เนือ้ ร้อง

“ปราโมทย์แสน”

“องค์อัปสรอมรแมน”

“แดนสวรรค์”

“ยินกฤดาภินิหาร”

128

ท่ารำา

คำาอธิบายท่ารำา ท่าออก พระและนางหันหน้าทิศ ๒ ท�าท่า สอดสร้ อ ยมาลา มื อ ขวาถื อ พาน มือซ้ายจีบหงายระดับชายพก ศีรษะ เอียงซ้าย ก้าวหน้าเท้าซ้าย ยืดยุบเข่า แล้วหันหน้าตรงมาทิศ ๑ ท่าป้องหน้า พระและนางหันหน้าทิศ ๒ มือซ้าย ป้องหน้า มือขวาถือพาน ศีรษะ เอียงขวา กระดกเท้าซ้าย ตัวพระ มือซ้ายจีบระดับปาก มือขวาถือพาน ก้าวขวา ยืนทอดขวาซ้าย ตัวนาง มือซ้ายจีบระดับปาก มือขวาถือพาน ระดับวงล่าง ก้าวเท้าขวา แล้วก้าวไขว้ เท้าซ้าย พร้อมกับกดไหล่ซา้ ย ศีรษะ เอียงซ้าย ตัวพระและตัวนาง จีบสอดสูงมือซ้ายพร้อม กับแตะเท้าขวา ศีรษะเอียงขวา แล้ว เอียงซ้าย ตัวพระและตัวนาง เท้าขวาก้าวไขว้ ศีรษะ เอียงซ้าย ก้าวขวา กระดกเท้าซ้าย ศีรษะเอียงขวา ตัวพระ ตัวนาง

หันหลังเท้าซ้ายก้าวหน้า มืออยู่ใน ลักษณะเดิม เท้าซ้ายก้าวหน้า มืออยูใ่ นลักษณะเดิม ทัง้ ตัวพระและตัวนางยืดยุบวิง่ วนเป็น วงกลมกลับมาที่เดิม

องราชส�านักและชนชั้นสูง อเป็นเครื่องดนตรีของราชส

ซองเกาะ เป็นพิณพม่าที่มีความสวยงามและถื

1๔

EB GUIDE

http://www.aksorn.com/LC/Mu&Pa/M2/02

17๐

EB GUIDE

http://www.aksorn.com/LC/Mu&Pa/M

2/20

Web Guide á¹Ð¹íÒáËÅ‹§¤Œ¹¤ÇŒÒ¢ŒÍÁÙÅ à¾ÔèÁàµÔÁ¼‹Ò¹Ãкº Online àÊÃÔÁÊÒÃШҡà¹×Íé Ëҹ͡à˹×ͨҡ ·ÕÁè ãÕ ¹ÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙጠ¡¹¡ÅÒ§ à¾×Íè à¾ÔÁè ¾Ù¹áÅТÂÒ¾ÃÁá´¹¤ÇÒÁÃÙ㌠ˌ ¡ÇŒÒ§¢ÇÒ§ÍÍ¡ä» ําวา ายของค นของคน ความหม ะ “ฟอน” �าหรือฟ้อ วามจริง ็นการร่ายร “เซิ้ง” แล แต่ค เสริมสาระ ือระบ�าเป ของคนภาคอีสาน ตลอด เชน่ หร า ร� า ั่วไปคิดว่ งิ้ เปน็ การรา่ ยรา� กวา่ “ฟอ้ น” มาโดย ่างค�าว่า นท งค และเรยี าคเหนือ เซ ้เห็นเลย อย มเข้าใจขอ ตามควา รรา่ ยรา� ของคนภ สี านนัน้ มีมานาน กฏค�าว่า “ร�า” ให งโขนฟ้อน กินรี คอ ลิ อ้ นเป็นกา า…” อด ไม่ปรา อนของภา ทวยฟ้อน ภาคกลาง ฟนัน้ ไม ่ เพราะการฟ้ ้ค�าว่า “ฟ้อน” ตล ามยามฟ้อน ระ ะฟ้อน ฟ้อนหย่อนข ญบั้งไฟ ะใช “ย น่ แล า ล� ง ้ ทั ช้ในงานบุ ์ หาเปน็ เช ีอีสานหลายเรื่องจ น หย่องฟ้อ �าว่า “เซิ้ง” นิยมใ กอบการขับกาพย คด รณ วร ใน ระ ส่วนค ไฟเป็นการฟ้อนป ้าๆ ของกลองตุ้ม ะช ้ง การเซิ้งบั ะขึ้นลงตามจังหว ประกอบ นิยมเซิ้ง เซิ้ง ลักษณ ือในบางครัง้ ก็มีโทน ขึ้นไป จะมีหัวหน้า ับ หร คน ด งร ๔ อ ฮา ร้ ๓ง ่ พั ้วคนอื่นจะ ุ่มๆ ตั้งแต กันเป็นกล กาพย์เซิ้งน�า แล บ ฐ์ เป็นคนขั ารประดษิ กก จา มา ไปเรื่อยๆ คนอีสานนัน้ น่าจะ ง แคน ซึง กรับ อนของ ประกอบด้วยกลอ ิบข้าวมาใช้ใน ฟ้ าร ก ึ ง รี บ ิ ะต ยถ นต กร เซิ้งกระต “เซิง้ ” หมา ง และน�า า และใช้ด ่านผู้หญิง มเข้าใจว่า ลงมาจากหมอล� ผ้าสไบ เกล้าผมสู ิ้งครั้งแรกนั้น ท ะเปลีย่ น รเซ �าเพ ห่ม ก้ ารทีม่ คี วา แล ทัง้ นี กระติบ” ขึ้น โดยน ุกคนแต่งตัวนุ่งซิ่น ์ของคนอีสาน ซึ่งกา ดงกันแพร่หลาย ้ง ท่าร�า “เซิ ในครั้งนั้นผู้แสดงท ข้าวเป็นสัญลักษณ มาไดม้ กี ารน�าไปแส ึ่ง ิบ อ่ โปงลาง ซ พราะเห็นว่ากระต ว้ า่ “เซิง้ อีสาน” ต า ให การแสดง เ นนาค เปน็ ผูต้ งั้ ชือ่ การดัดแปลงท่าร� มี นุ้ มณรี ตั น์ บุ “เซิง้ กระตบิ ข้าว” วไหม เซงิ้ ข้าวป น สา ้ ิ ง ป็ เ ย่ไข่ ม่ เซ ิ ง ให แห ชือ่ น่ เซงิ้ สว ิ้งสาละวัน เซิ้ง เป็น เช าย กม เซ อีกมา ิ้งกระหยัง จารณาให้ดีแล้วจะ ล่าว เซ ง ้ ะด เซิ้งกร ็นต้น แต่ถ้าพิ งที่ได้ก การเซงิ้ ดั เป มดแดง การฟอ้ นมากกวา่ อง ลักษณะข ฟ้อนภูไท มาข้างต้น

¡Ô¨¡ÃÃÁÈÔÅ»Š»¯ÔºµÑ ÙŒãÔ ËŒ¼ÙŒàÃÕ¹䴌½ƒ¡»¯ÔºÑµÔ à¾×èÍãËŒ ÁդسÀÒ¾ºÃÃÅØÁҵðҹáÅеÑǪÕéÇÑ´

ส�าหรับแสง นอกจากจะให้ความสว่างแล้ว ยังช่วยบอกเวลา สร้างอารมณ์ แสงนวลอ่อนใน เวลากลางคืนหรือแสงสว่างจ้าในเวลากลางวัน จะมีความเข้มของแสงต่างกันเป็นการสร้างบรรยากาศที่ แตกต่างกัน เช่น แสงที่มืดสลัว ท�าให้เกิดบรรยากาศทีน่ า่ สะพรึงกลัว บรรยากาศแจ่มใส สีตอ้ งสดใส ภาพและสีในแต่ละฉากจึงเป็นการสร้างเสริมบรรยากาศให้ดูสมจริง นอกจากนี ้ องค์ประกอบส�าคัญทีจ่ ะขาดเสียไม่ได้ในการสร้างบรรยากาศ ก็คอื เพลงทีเ่ รียกว่า “เพลงภูมหิ ลัง (Background Music)” ไม่มเี นือ้ ร้องมีแต่ทา� นอง ไม่เกีย่ วกับการด�าเนินเรือ่ ง แต่ชว่ ย สร้างอารมณ์ความรู้สึกให้แก่ผู้ชม ส�าหรับละครไทยนั้นจะมีเพลงที่ ใช้เพื่อแสดงอารมณ์ตามบทบาทของตัวละครอยู่ หลายเพลง เป็นต้นว่าเพลงอารมณ์เศร้า เช่น เพลงโอด เพลงนางครวญ เพลงธรณีกรรแสง เป็นต้น เพลงอารมณ์รื่นเริง เช่น เพลงกราวร�า เพลงแขกบรเทศ เพลงประสิทธิ์ เป็นต้น เพลงอารมณ์โกรธ เช่น เพลงเทพทอง เพลงนาคราช เพลงลิงโลด เป็นต้น

เรื่อง

ละคร

เนื้อหาสรุป

นิสัยตัวละคร

บรรยากาศ

กิจ กรรมศิลป์ปฏิบัติ ๑๐.๑ 15๗

164

กิจกรรมที่ ๑ เชิ ญ วิ ท ยากรมาบรรยายให้ ความรู้ เ กี่ ย วกั บ หลั ก การสร้ า งสรรค์ ล ะคร ให้นักเรียนจดบันทึกข้อมูลจากการรับฟังไว้ กิจกรรมที่ ๒ ให้นักเรียนชมตัวอย่างละครจากซีดี ดีวีดี หรือจากเครือข่ายอินเทอร์เน็ต แล้วร่วมกันอภิปรายถึงองค์ประกอบต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในละครดังกล่าว


กระตุน ความสนใจ Engage

˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè

สํารวจคนหา Explore

ñ ò ó

● ●

● ●

Evaluate

à¤Ã×èͧËÁÒÂáÅÐÊÑÞÅѡɳ ·Ò§´¹µÃÕä·Â »˜¨¨ÑÂÊíÒ¤ÑÞ·ÕèÁÕÍÔ·¸Ô¾Åµ‹Í¡ÒÃÊÌҧÊÃä §Ò¹´¹µÃÕ ÍÒÃÁ³ à¾Å§áÅФÇÒÁÃÙŒÊ֡㹺·à¾Å§

ñ-òò ò ø ñö

òó-ôö òô óð ôò

ô÷-öö ôø õð õö õø öó

¤ÇÒÁÃÙŒ·ÑèÇä»à¡ÕèÂǡѺ´¹µÃÕÊÒ¡Å

ö÷-øò

● ● ●

õ

ตรวจสอบผล

¡ÒâѺÌͧà¾Å§ä·Â ¡ÒúÃÃàŧà¤Ã×èͧ´¹µÃÕä·Â ËÅÑ¡¡ÒúÃÃàŧà¤Ã×èͧ´¹µÃÕä·Â “«ÍÍÙŒ” º·à¾Å§ä·ÂÊíÒËÃѺ½ƒ¡»¯ÔºÑµÔ ¡ÒûÃÐàÁÔ¹¤ÇÒÁÊÒÁÒö·Ò§´¹µÃÕ

˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè

ͧ¤ »ÃСͺ¢Í§´¹µÃÕã¹Êѧ¤ÁáÅÐÇѲ¹¸ÃÃÁ ´¹µÃÕã¹ÇѲ¹¸ÃÃÁµ‹Ò§»ÃÐà·È à˵ءÒó »ÃÐÇѵÔÈÒʵà ¡Ñº¡ÒÃà»ÅÕè¹á»Å§·Ò§´¹µÃÕ ã¹»ÃÐà·Èä·Â

·Ñ¡Éд¹µÃÕä·Â

ô

Expand

¤ÇÒÁÃÙŒ·ÑèÇä»à¡ÕèÂǡѺ´¹µÃÕä·Â

˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè

ขยายความเขาใจ

´¹µÃÕ¡ºÑ Êѧ¤ÁáÅÐÇѲ¹¸ÃÃÁ

˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè

Explain

ÊÒúÑÞ ●

˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè

อธิบายความรู

à¤Ã×èͧËÁÒÂáÅÐÊÑÞÅѡɳ ·Ò§´¹µÃÕ »˜¨¨ÑÂÊíÒ¤ÑÞ·ÕèÁÕÍÔ·¸Ô¾Åµ‹Í¡ÒÃÊÌҧÊÃä §Ò¹´¹µÃÕ ¡ÒúÃÃÂÒÂÍÒÃÁ³ áÅФÇÒÁÃÙŒÊ֡㹺·à¾Å§

·Ñ¡Éд¹µÃÕÊÒ¡Å ● ● ●

¡ÒâѺÌͧà¾Å§ÊÒ¡Å ¡ÒúÃÃàŧà¤Ã×èͧ´¹µÃÕÊÒ¡Å ¡ÒûÃÐàÁÔ¹¤ÇÒÁÊÒÁÒö·Ò§´¹µÃÕ

öø ÷ó ÷ù

øó-ùø øô ø÷ ùö


กระตุน ความสนใจ Engage

สํารวจคนหา Explore

˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè

ö

อธิบายความรู Explain

÷

● ●

● ●

˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè

ø ù

● ●

● ●

● ● ●

˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè

ññ

¤ÇÒÁËÁÒÂáÅзÕèÁҢͧ¹Ò¯ÈÔÅ»Š¾×é¹àÁ×ͧ »˜¨¨Ñ·ÕèÁÕÍÔ·¸Ô¾Åµ‹Í¹Ò¯ÈÔÅ»Š¾×é¹àÁ×ͧ ÅѡɳÐ੾ÒТͧ¹Ò®ÈÔÅ»Š¾×é¹àÁ×ͧã¹áµ‹ÅÐÀÒ¤ ¡ÒÃáÊ´§¹Ò®ÈÔÅ»Š¾×é¹àÁ×ͧᵋÅÐÀÒ¤

¤ÇÒÁÃÙŒ·ÑèÇä»à¡ÕèÂǡѺ¡ÒÃÅФà ●

ËÅÑ¡¡ÒÃÊÌҧÊÃä ¡ÒÃáÊ´§ÅФà ͧ¤ »ÃСͺ¢Í§ÅФà ËÅÑ¡¡ÒÃÇÔà¤ÃÒÐË ÇÔ¨Òó ¡ÒÃáÊ´§ÅФà ¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸ ¢Í§¡ÒÃÅФáѺÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙŒÍ×è¹

¡ÒÃáÊ´§ÅФà ● ● ●

ตรวจสอบผล Evaluate

ùù-ññð ñðð ñðõ ñð÷

ñññ-ñòô ññò ññô ññ÷ ññù

ñòõ-ñôð

¡ÒÃáÊ´§¹Ò¯ÈÔÅ»Šä·ÂÁҵðҹ ªØ´ “ÃкíÒ¡Ä´ÒÀÔ¹ÔËÒÔ ñòö ¡ÒÃáÊ´§ÃíÒǧÁҵðҹ à¾Å§ “¤×¹à´×͹˧Ò” ñó÷

¡ÒÃáÊ´§¹Ò¯ÈÔÅ»Š¾×é¹àÁ×ͧ

ñð

ËÅÑ¡¡ÒÃáÅÐÇÔ¸Õ¡ÒÃÊÌҧÊÃä ¡ÒÃáÊ´§¹Ò¯ÈÔÅ»Š ÈÔÅ»Ðᢹ§Í×è¹æ ¡Ñº¡ÒÃáÊ´§ ËÅÑ¡¡ÒÃÇÔ¨Òó ¡ÒÃáÊ´§¹Ò¯ÈÔÅ»Šä·Â ¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸ ¢Í§¹Ò¯ÈÔÅ»Š¡ÑºÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙŒÍ×è¹

¡ÒÃáÊ´§¹Ò¯ÈÔÅ»Šä·ÂÁҵðҹ

˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè

ÍÒªÕ¾´¹µÃÕ º·ºÒ·¢Í§´¹µÃÕ㹸ØáԨºÑ¹à·Ô§ º·ºÒ·¢Í§´¹µÃÕ·ÕèÁÕµ‹ÍÊѧ¤ÁáÅÐÇѲ¹¸ÃÃÁä·Â

¤ÇÒÁÃÙŒ·ÑèÇä»à¡ÕèÂǡѺ¹Ò¯ÈÔÅ»Š ●

˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè

Expand

´¹µÃաѺÍÒªÕ¾·Ò§´ŒÒ¹´¹µÃÕ ●

˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè

ขยายความเขาใจ

ÅФÃã¹ÂؤÊÁѵ‹Ò§æ ¡ÒÃÊÌҧÊÃä ÅФÃÃíÒ ¡ÒÃÊÌҧÊÃä ÅФÃàÇ·Õ

ºÃóҹءÃÁ

ñôñ-ñõø ñôò ñôô ñôö ñôù

ñõù-ñ÷ö ñöð ñöò ñöö ñ÷ñ

ñ÷÷-òðò ñ÷ø ñøô ñùô

òðó


กระตุน ความสนใจ กระตุEngage นความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

เปาหมายการเรียนรู

1. เปรียบเทียบการใชองคประกอบดนตรีที่มา จากวัฒนธรรมตางกัน 2. บรรยายบทบาทและอิทธิพลของดนตรี ในวัฒนธรรมของประเทศตางๆ 3. บรรยายอิทธิพลของวัฒนธรรมและเหตุการณ ในประวัติศาสตรที่มีตอรูปแบบของดนตรีใน ประเทศไทย

สมรรถนะของผูเรียน

หน่วยการเรียนรูที่

ñ

ตัวชี้วัด ■

เปรียบเทียบการใช้องค์ประกอบดนตรีที่มาจากวัฒนธรรม ต่างกัน (ศ ๒.๑ ม.๒/๑) บรรยายบทบาทและอิทธิพลของดนตรีในวัฒนธรรม ของประเทศต่างๆ ( ศ ๒.๒ ม.๒/๑) บรรยายอิทธิพลของวัฒนธรรมและเหตุการณ์ในประวัตศิ าสตร์ ที่มีต่อรูปแบบของดนตรีในประเทศไทย ( ศ ๒.๒ ม.๒/๒)

สาระการเรียนรูแกนกลาง ■ ■

องค์ประกอบของดนตรีจากแหล่งวัฒนธรรมต่างๆ ดนตรีในวัฒนธรรมต่างประเทศ - บทบาทของดนตรีในวัฒนธรรม – อิทธิพลของดนตรีในวัฒนธรรม เหตุการณ์ประวัติศาสตร์กับการเปลี่ยนแปลงทางดนตรี ในประเทศไทย - การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองกับงานดนตรี – การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีกับงานดนตรี

1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี

ดนตรีกับสังคม และวัฒนธรรม

คุณลักษณะอันพึงประสงค 1. 2. 3. 4.

ด นตรี จั ด เป น ศิ ล ปะที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ

วัฒนธรรมและสังคมของมนุษยมาตัง้ แตอดีต ทั้งนี้ดนตรีเปนเสียงที่ถูกเรียบเรียงขึ้นเปน ทํ า นองที่ เ ชื่ อ มโยงองค ป ระกอบสํ า คั ญ เขาดวยกัน และมีการสรางสรรคเครื่องดนตรี เพือ่ ถายทอดสิง่ ทีผ่ คู นในสังคมสรางสรรคขนึ้ ออกมาเปนบทเพลง ซึ่งในแตละชนชาติยอม มีลักษณะเฉพาะที่แตกตางกันออกไป ทําให สามารถแยกแยะไดวา เปนดนตรีของชนชาติใด ขณะเดียวกัน งานดนตรีกเ็ ปนหลักฐาน สํ า คั ญ อย า งหนึ่ ง ทางด า นประวั ติ ศ าสตร ที่ สามารถสะท อ นเรื่ อ งราวที่ เ กิ ด ขึ้ น ในแต ล ะ ยุคสมัยได

มีวินัย ใฝเรียนรู มุงมั่นในการทํางาน รักความเปนไทย

กระตุน ความสนใจ

Engage

ครูเปดซีดี หรือดีวีดีเพลงบรรเลงทั้งเพลง ไทยเดิมและเพลงของชาติอื่นๆ ใหนักเรียนฟง จากนั้นครูถามนักเรียนวา • บทเพลงที่นักเรียนไดฟงนั้นมาจาก วัฒนธรรมใดและนักเรียนมีวิธีการวิเคราะห บทเพลงอยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ)

เกร็ดแนะครู การเรียนการสอนในหนวยการเรียนรูนี้ ครูควรนําซีดีหรือดีวีดีที่นาสนใจมาเปด ใหนักเรียนชม เชน การแสดงดนตรีในวัฒนธรรมของประเทศสมาชิกประชาคม อาเซียน หรือสมาคมประชาชาติแหงเอเชียตะวันออกเฉียงใต (Association of South Nations : ASEAN ) ดนตรีในวัฒนธรรมอินเดีย ดนตรีในวัฒนธรรมจีน เปนตน เพื่อเปนการเปดโลกทัศนใหแกนักเรียน ครูอาจอธิบายเพิ่มเติมวาดนตรีในแตละ ประเทศจะมีรูปแบบที่แตกตางกันออกไปตามแตวัฒนธรรมของทองถิ่น แตสิ่งจําเปน ที่ตองมีเหมือนกันนั่นก็คือ เรื่องขององคประกอบดนตรี เพราะองคประกอบดนตรี เปนสวนหนึ่งของบทเพลง ถามีองคประกอบดนตรีที่สมบูรณและมีคุณภาพแลว จะทําใหบทเพลงมีความไพเราะและเปนการสรางสรรคผลงานทางดนตรีที่ดีชิ้นหนึ่ง ซึ่งบทเพลงที่ถายทอดออกมาจะแสดงใหเห็นถึงอิทธิพลทางวัฒนธรรมและเหตุการณ ในประวัติศาสตรของประเทศนั้นๆ ไดอยางชัดเจน

คูมือครู

1


กระตุน ความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

กระตุEngage นความสนใจ

Exploreนหา สํารวจค

กระตุน ความสนใจ

Engage

ครูชักชวนนักเรียนสนทนาเกี่ยวกับองคประกอบ ของดนตรีในสังคมและวัฒนธรรม จากนั้นครูถาม นักเรียนวา • ดนตรีมีความเกี่ยวของกับชีวิตมนุษยอยางไร (แนวตอบ ดนตรีจดั เปนสวนหนึง่ ในกิจกรรม การดําเนินชีวติ ของมนุษย เพราะเสียงของ ดนตรีทาํ ใหเกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน รวมทัง้ มีสว นสําคัญในการพัฒนาบุคลิกภาพ อารมณและจิตใจของมนุษยดว ย)

สํารวจคนหา

ñ. ͧ¤ »ÃСͺ¢Í§´¹µÃÕã¹Êѧ¤ÁáÅÐÇѲ¹¸ÃÃÁ ดนตรี มีความเกีย่ วของกับเรือ่ งราวของเสียงทีเ่ รียบเรียงขึน้ เปนทํานอง การเกิดทํานองเพลงได ตองนําองคประกอบสวนยอยตางๆ มารวมเขาดวยกัน ทัง้ ดนตรีไทย ดนตรีจนี ดนตรีอนิ เดีย ดนตรี เปอรเซีย และดนตรีตะวันตก ตางตองมีสวนประกอบสําคัญอยางนอย ๖ อยาง ที่เชื่อมโยงและ สัมพันธกัน เพื่อใหเกิดความชัดเจนตามคําอธิบายที่ไดกลาวมาในขางตนใหนักเรียนนึกถึงทํานอง เพลงที่นักเรียนคุนเคย หรืออาจเลือกเพลงและดนตรีที่ปรากฏในสังคมและวัฒนธรรมแหงใด แหงหนึ่งเปนตัวอยาง และเชื่อมโยงกับองคประกอบของดนตรี ดังตอไปนี้

๑.๑ เสียง

Explore

เสียงดนตรี หมายถึง สีสันของเสียง (Tone) ที่เกิดจากความถี่ของคลื่นเสียง ความดัง-คอย สูง-ตํา่ ความเขมทีห่ นาแนนหรือโปรงเบา มีระดับความดัง-เบา ของเครือ่ งดนตรีแตละชนิด สีสนั ของ เสียงที่แตกตาง ระดับเสียงที่แตกต1าง เมื่อเกิดการเคลื 2 ่อนที่เปนลีลาทํ3านองของเครื่องดนตรี4 แตละ ชนิด อาทิ ซออูของไทย ซองเกาะของพมา ซีตารของอินเดีย รือบับของอินโดนีเซีย ผิผาของจีน ไวโอลินของตะวันตก เครือ่ งดนตรีเหลานีเ้ มือ่ นักเรียนไดยนิ เสียงก็จะสามารถระบุชอื่ เครือ่ งดนตรีได การรับฟงความไพเราะของดนตรีจึงพิจารณาไดจากสีสันของเสียงดนตรี ความแตกตางหลากหลายที่เกิดจากเสียงดนตรีเปนคุณสมบัติที่แสดงคุณภาพของเสียง ซึ่งมี อิทธิพลตอการรับฟง เพราะกอใหเกิดความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ โดยระดับเสียงดังกอใหเกิด ความรูสึกมีพลังอํานาจ และความหรูหรา ระดับเสียงเบาจะใหความรูสึกนุมนวล เมื่อเสียงที่เบานั้น คอยๆ ดังขึน้ ความเปลีย่ นแปลงในอารมณทเี่ กิดขึน้ ก็คอื เกิดความรูส กึ ตืน่ เตน หากระดับเสียงทีด่ งั นัน้ คอยๆ เบาลงและแผวจาง อารมณความรูสึกก็จะคอยๆ ผอนคลาย เปนตน

ใหนักเรียนแบงกลุมออกเปน 6 กลุม ใหนักเรียน ศึกษา คนควา หาความรูเพิ่มเติมเกี่ยวกับ องคประกอบของดนตรีในสังคมและวัฒนธรรม จากแหลงการเรียนรูตางๆ เชน หองสมุดโรงเรียน หองสมุดชุมชน อินเทอรเน็ต เปนตน ในหัวขอ ที่ครูกําหนดให ดังตอไปนี้ กลุมที่ 1 เสียง กลุมที่ 4 การประสานเสียง กลุมที่ 2 จังหวะ กลุมที่ 5 เนื้อดนตรี กลุมที่ 3 ทํานอง กลุมที่ 6 บันไดเสียง

อธิบายความรู

Explain

ใหนกั เรียนกลุม ที่ 1 ทีไ่ ดศกึ ษา คนควา หาความรู เพิ่มเติมเกี่ยวกับองคประกอบของดนตรีในสังคม และวัฒนธรรม สงตัวแทน 2 - 3 คน ออกมาอธิบาย ความรูในหัวขอเสียง ตามที่ไดศึกษามาหนาชั้นเรียน จากนั้นครูถามนักเรียนวา • หากโลกเราไรซึ่งเสียงดนตรีจะกอใหเกิด สิ่งใด (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ)

สีสันของเสียงที่เกิดจากการบรรเลงเครื่องดนตรีชวยทําใหผูฟงเกิดความรูสึกที่แตกตางกัน ไมวาจะเปนความรูสึกตื่นเตน ผอนคลาย หรือนุมนวล

นักเรียนควรรู 1 ซองเกาะ เปนพิณของพมา มี 16 สาย จัดเปนเครื่องดนตรีของราชสํานัก และเหลาบรรดาชนชั้นสูงในประเทศพมา นิยมนํามาบรรเลงในงานสําคัญตางๆ ของทางราชการ 2 ซีตาร จัดเปนเครื่องดนตรีคลาสสิกของประเทศอินเดีย ซีตารถือกําเนิดขึ้น ประมาณคริสตศตวรรษที่ 12 โดยอมีร กรุศโรว (Amir Krushrow) ชาวอินเดีย ซึ่งมีเชื้อสายเปอรเซีย เปนผูคิดคน 3 รือบับ เปนเครื่องดนตรีที่นิยมเลนกันในพื้นที่ภาคใตของไทยใชประกอบ การแสดงเมาะโยง หรือมะโยง ซึ่งการละเลนชนิดนี้ไมสามารถระบุไดวาเปน ศิลปะละครรําในวัฒนธรรมหลวง หรือเปนวัฒนธรรมราษฎรของคนถิ่นมลายู 4 ผิผา เปนเครื่องดนตรีจีน จัดเปนเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย วิธีการเลนจะใชนิ้วดีดที่สาย ผีผามีรูปรางลักษณะคลายกับลูกแพร

2

คูมือครู

ขอสอบเนน การคิด

แนว  NT  O-NE T

ขอใด ไมใช องคประกอบของดนตรี 1. จังหวะ 2. เสียง 3. ทํานองเพลง 4. อารมณเพลง วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. เพราะอารมณของเพลงเปนสิ่งที่สามารถ รับรูไดจากการถายทอดเนื้อหาของบทเพลง โดยผูถายทอดอารมณเพลง จะเรียกวา “ศิลปนหรือนักรอง” เพราะเปนบุคคลที่ถายทอดเจตนารมณ และความรูสึกของนักแตงเพลงออกมาในขณะที่ตัวเองก็ตองทําใหผูฟงสนใจ และสามารถรับรูอารมณของนักแตงเพลงไดดวย ดังนั้น จึงไมไดนํา อารมณเพลงมาจัดเปนองคประกอบของดนตรี


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบายความรู

Explain

ใหนกั เรียนกลุม ที่ 2 ทีไ่ ดศกึ ษา คนควา หาความรู เพิ่มเติมเกี่ยวกับองคประกอบของดนตรีในสังคม และวัฒนธรรม สงตัวแทน 2 - 3 คน ออกมาอธิบาย ความรูในหัวขอจังหวะ ตามที่ไดศึกษามา หนาชั้นเรียน จากนั้นครูถามนักเรียนวา • นักเรียนคิดวา “จังหวะ” มีความสําคัญ ตอเสียงดนตรีอยางไร (แนวตอบ จังหวะ เปนสิ่งที่ทําใหดนตรี สามารถขับเคลื่อนไดอยางเปนระบบ และทําหนาที่ควบคุมการเคลื่อนที่ของ ทํานองและแนวประสานเสียงตางๆ เพื่อใหการบรรเลงดนตรีมีความสัมพันธกัน) • อัตราจังหวะถูกสรางขึ้นมาเพื่อทําหนาที่ใด (แนวตอบ จัดแบงจังหวะเคาะออกเปนกลุม เพื่อทําใหเกิดการเคาะจังหวะและการเนน มีความสมํ่าเสมอ การจัดกลุมจังหวะเคาะ ที่พบในบทเพลงทั่วๆ ไป คือ 2 3 และ 4 จังหวะเคาะ เชน อัตรา 2 จังหวะ 1 - 2 - 1 - 2 - 1 - 2 - 1 - 2 - 1 - 2 อัตรา 3 จังหวะ 1 - 2 - 3 - 1 - 2 - 3 - 1 - 2 - 3 1 - 2 - 3 - 1 - 2 - 3 เปนตน) • ดนตรีและการจับจังหวะของการเตนลีลาศ ในจังหวะวอลซควรมีลักษณะอยางไร (แนวตอบ ดนตรีและการจับจังหวะ จะเปน แบบ 34 คือ มี 3 จังหวะใน 1 หองเพลง เราจะไดยินเสียงการเคาะจังหวะพั่ม แท็ก แท็ก ตอเนื่องกันตลอดทั้งเพลงและจะมี ความชา - เร็วของจังหวะที่เทากันสมํ่าเสมอ สามารถวิเคราะหไดจากการฟงจังหวะ โดยวิเคราะหเสียงเบส (เสียงพั่มจะตรงกับ เสียงเบส) และเสียงกลอง (เสียงแท็ก แท็ก จะตรงกับเสียงกลอง)

๑.๒ จังหวะ จังหวะดนตรี (Time Elements) จัดเป็นส่วนส�ำคัญของดนตรี เพรำะเป็นสิ่งที่ท�ำให้ดนตรี ขับเคลื่อนไปอย่ำงเป็นระบบ จ�ำแนกได้ ๓ อย่ำง คือ อัตรำจังหวะ (Meters) จังหวะ (Rhythm) และอัตรำควำมเร็ว (Tempo) ๑) อัตราจังหวะ (Meters) คือ อัตรำกำรเคลือ่ นทีข่ องแนวท�ำนองหรือเสียงในช่วงเวลำ หนึง่ ทีว่ ำงแบบให้มจี ดุ เน้นทีแ่ น่นอน โดยวิธแี บ่งจ�ำนวนเคำะจังหวะหลักออกเป็นกลุม่ กลุม่ ละเท่ำๆ กัน เช่น กลุ่มละ ๒ เคำะ ๓ เคำะ หรือ ๔ เคำะ เป็นต้น เรียกกลุ่มเคำะแต่ละกลุ่มเป็น ๑ ห้อง ก�ำหนด เครื่องหมำยประจ�ำจังหวะ (Time Signature) ด้วยสัญลักษณ์เป็นตัวเลข ๒ ตัววำงซ้อนกัน โดย วำงอยูห่ ลังกุญแจประจ�ำหลักทีส่ ว่ นต้นของบรรทัดห้ำเส้นบรรทัดแรกของเพลง สังเกตได้จำกเพลง ที่บันทึกด้วยโน้ตสำกล ๒) จังหวะ (Rhythm) คือ กระสวนหรือแบบรูป (Pattern) ของกำรเคำะจังหวะ ที่แบ่ง ซอยจังหวะให้เป็นตำมทีอ่ ตั รำจังหวะก�ำหนดไว้ มีควำมถี-่ ห่ำงต่ำงกัน เพือ่ ให้ตรงตำมกระบวนแบบ หรือลีลำของบทเพลง นักเรียนสำมำรถสังเกตได้ ซึ่งก�ำหนดชื่อเฉพำะของจังหวะไว้ 1 จำกบทเพลง 2 เช่น จังหวะร�ำวง วอลตซ์ ร็อก แทงโก โซล สวิง รุมบำ บ เป็นต้น ๓) อัตราความเร็ว (Tempo) คือ อัตรำควำมเร็วของกำรด�ำเนินจังหวะทุกส่วน ทั้งส่วนอัตรำจังหวะ ส่วนแบบรูปจังหวะ และส่วนอัตรำควำมเร็ มเร็ว ตัวอย่ำงที่ศึกษำได้ ษ คือ มเร็วด้วยค�ำว่ำ Slow หรือ Fast หรือ เพลงสมัยนิยมหรือเพลงป๊อปปูลำร์ เพลงเหล่ำนีร้ ะบุอตั รำควำมเร็ Quick น�ำหน้ำชื่อลีลำหรื หรือกระบวนแบบของบทเพลง เช่น Slow Tango หมำยถึ หม ยถึง จังหวะแทงโก อย่ำงช้ำ Quick Waltz หมำยถึ ยถึง จังหวะวอลตซ์อย่ำงรวดเร็ว เป็นต้น

๑.๓ ทำานอง ทำานอง (Melody) คือ อนุกรมของหน่วยเสียงดนตรีตำ่ งระดับ (Pitches) และต่ำงอัตรำกำร ร กำร ยืดเสียง (Duration) ที่น�ำมำร้อยเรียงเข้ำกันเป็นวรรคตอนหรือประโยคเพลง มีแนวท�ำนองหรือ เคลื่อนไหวขึ้น-ลง สลับกัน โดยด�ำเนินไปต มหลักไวย ไวยำกรณ์ กรณ์เพลง จจำกหน่ กหน่วยที่เล็กที่สุดของ ลีลำเคลื ไปตำมหลั ท�ำนอง คือ หน่วยเสียงหรือค�ำของท�ำนอง หลำยหน่ ยหน่วยเสียงเรียงเป็นวลี วรรคตอน ประโยค และ ท่อนเพลง ท�ำนองเพลงมีส่วนประกอบส�ำคัญ คือ ๑) หมวดเสียง (Mode) และมาตราเสียง (Scale) หมำยถึ ยถึง เสียงระดับสูง-ต�่ำต่ำงๆ ตำมระบบหมวดเสียงและมำตรำเสี เสียง หมวดเสียงและมำตรำเสี งและม เสียงจะปรำกฏในบทเพลง งจะปร กฏในบทเพลง ดังนี้

3

กิจกรรมสรางเสริม ใหนกั เรียนเขียนแผนผัง (Mind Mapping) สรุปสาระสําคัญของจังหวะ แตละประเภท ลงกระดาษรายงาน นําสงครูผสู อน

กิจกรรมทาทาย ใหนักเรียนเลือกฟงเพลงที่มีจังหวะที่แตกตางกัน ตามความสนใจ ของตนเอง 2 - 3 เพลง จากนั้นเขียนบรรยายลักษณะเดนของจังหวะ ที่พบในบทเพลงที่ฟง พรอมเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกตาง ของจังหวะ ลงกระดาษรายงาน นําสงครูผูสอน

นักเรียนควรรู 1 โซล เปนแนวเพลงที่เกิดจากการรวมตัวกันระหวางอารแอนดบีและกอสเปล โซลมีความหมายวา “ดนตรีที่เกิดขึ้นโดยคนดําในอเมริกา ที่เปลี่ยนรูปจากกอสเปล และอารแอนดบีในจังหวะที่สนุกสนาน โดยไมมีเนื้อหาเกี่ยวกับทางศาสนา” 2 รุมบา เปนจังหวะที่จัดอยูในพวกละตินอเมริกัน ลักษณะของจังหวะรุมบา จะมีรปู แบบคลายกับจังหวะวอลซ แตจงั หวะจะคอนขางเร็วกวา การกาวเทาสัน้ กวา นอกจากนี้ รุมบายังตองใชสะโพกเคลื่อนไหวใหสัมพันธกับการเคลื่อนไหว ของเทาดวย

มุม IT นักเรียนสามารถศึกษา คนควาเพิ่มเติมจากการชมการแสดงลีลาศในจังหวะ รุมบา ไดจาก http://www.youtube.com โดยคนหาจากคําวา เตนรุมบา คูมือครู

3


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

Explain

ใหนกั เรียนกลุม ที่ 3 ทีไ่ ดศกึ ษา คนควา หาความรู เพิ่มเติมเกี่ยวกับองคประกอบของดนตรีในสังคม และวัฒนธรรม สงตัวแทน 2 - 3 คน ออกมาอธิบาย ความรูในหัวขอทํานอง ตามที่ไดศึกษามา หนาชั้นเรียน จากนั้นครูถามนักเรียนวา • นักเรียนคิดวาหากดนตรีมีเพียงจังหวะ แตขาดทํานองจะกอใหเกิดสิ่งใด และเปนไปไดหรือไมวาจังหวะและทํานอง สามารถแยกออกจากกันได (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ) • เสียงในมาตราไดอะทอนิก (Diatonic Scale) และเสียงในมาตราโครมาติก (Chromatic Scale) มีความเหมือนหรือแตกตางกันอยางไร (แนวตอบ เสียงในมาตราไดอะทอนิก คือ เสียงที่มีระดับขั้นของเสียงหางกันเต็มเสียง และครึ่งเสียงคละกันไป 8 ขั้น มี 2 ชนิด คือ เสียงในมาตราเมเจอรไดอะทอนิก (Major Diatonic Scale) เสียงในมาตราไมเนอร ไดอะทอนิก (Minor Diatonic Scale) สวนเสียงในมาตราโครมาติก คือ เสียงที่มี ระดับขั้นของเสียงหางกันครึ่งเสียง เรียงลําดับกันไปทุกขั้น 13 ขั้น เปน 1 ชุด เมื่อลําดับเสียงไปทีละขั้นจะปรากฏชวงเสียง หางกันครึ่งเสียง) • คําวา “ทิศทางเดิน” มีความสําคัญเกี่ยวของ กับดนตรีอยางไร (แนวตอบ เปนการนําระดับเสียงตางๆ ที่มีอยู ในมาตราเสียง หมวดเสียงที่ตองการนํามา บรรจุลงที่ตัวโนต เพื่อกอใหเกิดการเคลื่อนที่ ของทํานองจากเสียงหนึ่งไปยังอีกเสียงหนึ่ง ตอเนื่องกันอยางสมํ่าเสมอจนจบวรรคตอน)

(๑) เสียงในมำตรำเพนทำทอนิก (Pentatonic Scale) ประกอบด้วย เสียง C D E G A (โด เร มี ซอล ลำ) เมือ่ น�ำมำแต่งท�ำนองเพลงจะให้ควำมรูส้ กึ ว่ำฟังสบำย ชวนให้อยำกขับร้องตำม พบได้ในเพลงของประเทศอินโดนีเซีย จีน ไทย ลำว กัมพูชำ และในภูมภิ ำคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (๒) เสียงในมำตรำไดอะทอนิก (Diatonic Scale) ประกอบด้วยเสียง C D E F G A B C (โด เร มี ฟำ ซอล ลำ ที โด) เสียงในระบบมำตรำไดอะทอนิก หมวดเมเจอร์เมื่อน�ำมำแต่ง ท�ำนองเพลงจะให้ควำมรูส้ กึ ร่ำเริง หรูหรำ สง่ำ กล้ำหำญ หรือตืน่ เต้น แต่ถำ้ เป็นเสียงในระบบมำตรำ ไดอะทอนิก หมวดไมเนอร์ เมื่อน�ำมำแต่งท�ำนองเพลงจะให้ควำมรู้สึกเศร้ำ ห่อเหี่ยว มืดทึม หรือ ลึกลับ (๓) เสียงในมำตรำโครมำติ 1 ก (Chromatic Scale) ประกอบด้วย เสียง C C# D D# E F F# G G# A A# B C (โด โดชำร์ป เร เรชำร์ป มี ฟำ ฟำชำร์ป ซอล ซอลชำร์ป ลำ ลำชำร์ป ที โด) เสียงในระบบมำตรำโครมำติก เมื่อน�ำมำแต่งท�ำนองเพลงจะให้ควำมรู้สึกกระด้ำง ไม่กลมกล่อม (๔) เสียงในหมวดเมเจอร์ (Major Mode) ประกอบด้วยเสียง C D E F G A B C (โด เร มี ฟำ ซอล ลำ ที โด) (๕) เสียงในหมวดไมเนอร์ (Minor Mode) ประกอบด้วยเสียง A B C D E F G A (ลำ ที โด เร มี ฟำ ซอล ลำ) ๒) จังหวะ (Rhythm) หมำยถึง กำรเรียบเรียงหน่วยเสียงจำกหมวดเสียงและ มำตรำเสียงให้ตอ่ เนือ่ ง มีอตั รำกำรยืดเสียงแตกต่ำงกัน แต่ตอ้ งอยู่ในกรอบจ�ำนวนจังหวะเคำะหลัก พลงสำมำรถออกแบบจังหวะได้หลำกหลำย หรืออัตรำจังหวะที่ก�ำหนดไว้ ทั้งนี้นักประพันธ์เพลงสำม ๓) ทิศทางเดิน (Direction) หมำยถึง กำรน�ำระดับเสียงต่ำงๆ จำกมำตรำเสียงหรือ หมวดเสียงทีต่ อ้ งกำรมำบรรจุลงทีต่ วั โน้ต เพือ่ ให้เกิดเป็นท�ำนองทีเ่ คลือ่ นทีจ่ ำกเสียงหนึง่ ไปยังเสียง หนึ่งเรียงต่อเนื่องกันไปจนจบวรรคตอน ทิศทำงของท�ำนองเพลง จ�ำแนกได้ ๓ ลักษณะ คือ (๑) ท�ำนองเดินขึน้ คือ ท�ำนองทีต่ งั้ ต้นด้วยระดับเสียงต�ำ่ และจบวรรคตอนด้วยระดับ เสียงสูง ทิศทำงเดินในลักษณะนี้ มีผลท�ำให้ฟังแล้วเกิดอำรมณ์ที่มีพลัง (๒) ท�ำนองเดินลง คือ ท�ำนองทีต่ งั้ ต้นด้วยระดับเสียงสูง และจบวรรคด้วยระดับเสียงต�ำ่ ทิศทำงเดินในลักษณะนี้ มีผลท�ำให้ฟังแล้วเกิดอำรมณ์ผ่อนคลำย (๓) ท�ำนองอยูค่ งที่ คือ ท�ำนองทีร่ ะดับเสียงตัง้ ต้นกับระดับเสียงจบวรรคตอนเป็นเสียง ระดับเดียวกัน ทิศทำงเดินในลักษณะนี้ มีผลท�ำให้ฟงั แล้วเกิดอำรมณ์ตดิ ขัด ต้องแก้ดว้ ยกำรเอำท�ำนอง เดินขึ้นหรือเดินลงมำต่อ

EB GUIDE

http://www.aksorn.com/LC/Mu&Pa/M2/01

เกร็ดแนะครู ครูควรอธิบายความรูเพิ่มเติมเกี่ยวกับสเกลเพนทาทอนิกวา เปนสเกลที่มีตัวโนต เพียง 5 เสียง สามารถแบงออกเปน สเกลเพนทาทอนิก เมเจอร สรางจากสเกลเมเจอร โดยตัดโนตตัวที่ 4 และ 7 ออกจากสเกล และสเกลเพนทาทอนิก ไมเนอร สรางจาก สเกลไมเนอร โดยตัดโนตตัวที่ 2 และ 6 ออกไป เชน สเกลซี เพนทาทอนิก เมเจอร ประกอบดวยโนต C D E G A จะตัดโนตตัว F (4) และ B (7) ออก สเกลซี เพนทาทอนิก ไมเนอร ประกอบดวยโนต C Eb F G Bb จะตัดโนตตัว D (2) และ Ab (6) ออก เปนตน

นักเรียนควรรู 1 ชารป ระดับเสียงที่สูงขึ้นทีละครึ่งเสียง เขียนแทนดวยสัญลักษณ # เปนเครื่องหมายแปลงเสียงชนิดหนึ่ง เนื่องจากสัญลักษณดังกลาวมีรูปรางคลายกับ เครื่องหมายนัมเบอร # เครื่องหมายนัมเบอรจึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งวา “ชารป”

4

คูมือครู

ขอสอบเนน การคิด

แนว  NT  O-NE T

ถานักเรียนตองการวิเคราะหทํานองเพลง ควรเลือกวิเคราะหประเด็นใด จึงจะถูกตอง 1. มิติ 2. บันไดเสียง 3. หมวดเสียง 4. อัตราจังหวะ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เพราะหมวดเสียงจะแสดงใหเห็นถึงระดับ เสียงสูง - เสียงตํ่าตามระบบหมวดเสียงและมาตรฐานเสียง ซึ่งจะปรากฏ อยูในบทเพลง เชน หมวดเสียงในมาตราเพนทาทอนิก ไดอะทอนิก โครมาติก เมเจอร ไมเนอร เปนตน ซึ่งสิ่งเหลานี้ลวนเปนองคประกอบ สําคัญในการวิเคราะหทํานองเพลงที่ถูกตอง


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบายความรู

ครูสุมนักเรียน 2 - 3 คน ใหตอบคําถาม ดังตอไปนี้ • จังหวะของทํานองมีลักษณะเปนอยางไร (แนวตอบ มีลักษณะใหเห็นดังภาพ

๔) ลักษณะการเคลื่อนที่ของระดับเสียงที่อยู่ในทำานอง (Progression) คือ

ระดับเสียงจำกอนุกรมเสียงในระบบมำตรำ (Scale) และหมวด (Mode) ต่ำงๆ ที่บรรจุลงและเรียง กันอยู่ในวรรคตอนของบทเพลง โดยจ�ำแนกลักษณะกำรเคลื่อนที่ออกเป็นคู่ๆ จำกโน้ตตัวหนึ่งไป ยังโน้ตอีกตัวหนึ่งที่อยู่ถัดไป เรียงไปจนจบวรรคตอน ลักษณะกำรเคลื่อนที่ของระดับเสียง แบ่งได้ ๒ แบบ คือ (๑) เคลื่อนตำมล�ำดับขั้นเสียงหรือเรียงเสียง (Conjunct) เช่น จำก “โด” ไป “เร” จำก “เร” ไป “มี” จำก “มี” ไป “ฟา” เป็นต้น กำรเคลื่อนที่ของล�ำดับเสียงในลักษณะนี้ช่วยให้ นักดนตรีบรรเลงเพลงได้ง่ำย ท�ำให้ผู้ฟังเกิดควำมรู้สึกรำบรื่นและฟังสบำย (๒) เคลือ่ นข้ำมขัน้ เสียงหรือเว้นเสียง (Disjunct) เช่น จำก “โด” ไป “มี” จำก “โด” ไป “ซอล” จำก “ซอล” ไป “โดสูง” กำรเคลือ่ นทีข่ องล�ำดับเสียงในลักษณะนีท้ ำ� ให้นกั ดนตรีบรรเลงเพลง ได้ยำกขึน้ แต่กท็ ำ� ให้ผฟู้ งั เกิดควำมรูส้ กึ ตืน่ เต้น มีพละก�ำลัง ประหนึง่ ว่ำจะต้องใช้กำ� ลังก้ำวข้ำมผ่ำน อุปสรรคไปให้จงได้ ๕) มิติ (Dimension) หมำยถึง สัดส่วนควำมสั้น-ยำว และควำมแคบ-กว้ำง เรียกว่ำ “ช่วงเสียง” (Range) ของท�ำนอง บทเพลงยิ่งมีช่วงเสียงหรือควำมแคบ-กว้ำง มำกเท่ำใด ยิ่งท�ำให้ นักร้องหรือนักดนตรีขับร้องหรือบรรเลงเพลงนั้นๆ ได้ยำกขึ้นตำมไปด้วย ๖) รูปร่างทรวดทรง (Contour) หมำยถึง รูปร่ำงทรวดทรงของท�ำนอง ซึ่งจะสังเกต ได้จำกกำรลำกเส้นจำกหัวของตัวโน้ตตัวเริม่ ต้นท�ำนองในบรรทัดห้ำเส้น ผ่ำนไปยังหัวตัวโน้ตตัวอืน่ ๆ ทีบ่ นั ทึกเรียงล�ำดับไปจนถึงหัวตัวโน้ตสุดท้ำยทีจ่ บวรรคตอน เส้นทีเ่ กิดขึน้ คือ รูปร่ำงทรวดทรงของ ท�ำนองนั่นเอง ๗) เขตช่วงเสียง (Registers) (Registers) คือ อนุกรมระดับเสียงในท�ำนองทั้งชุดที่ผู้แต่งเพลง เลือกใช้ให้เหมำะสมกั ะสมกับช่วงเสียงของผูข้ บั ร้องหรือเสียงของเครือ่ งดนตรีทจี่ ะใช้บรรเลง และเนือ้ หหำ สำระที่อยู่ในท�ำนอง ตัวอย่ำงเช่น • เขตช่วงเสียงของนักร้องชำยย มีระดับต�่ำกว่ำเขตช่วงเสียงของนักร้องหญิง • เขตช่วงเสียงของท�ำนองที่ใช้พรรณนำเสี เสียงนกร้อง ควรอยู่ในเขตช่วงเสียงสูง

กลาวคือ เปนทํานองของเพลงที่มีความ สั้น - ยาวของเสียงแตละเสียงที่นํามา ประกอบกันเปนเพลง) • ภาพนี้ตองการสื่อใหเห็นถึงสิ่งใด

๑.๔ การประสานเสียง การประสานเสียง (Harmony) คือ กำรน�ำกลุม่ เสียงหลำยระดั ยระดับ ทัง้ สูง กล กลำงง ต�ำ่ และกลุม่ เสียง หลำยคุณภำพ ทัง้ ใส ทึบ ทุม้ แหลม แผดจ้ำ เบำบำง เบำบำง มำบรรเลงร่ เบ บรรเลงร่วมกัน เพือ่ สนับสนุนแนวท�ำนองหลัก งของเสียงบรรเลงอยู่ ซึ่งแนวเสียงประสำนจะช่ งประส นจะช่วยแต่งเติมให้เสียง งประสำ ของบทเพลงที่เป็นศูนย์กลำงของเสี บรรเลงน่ำสนใจยิ่งขึ้น และท�ำให้ผู้ฟังเกิดอำรมณ์ควำมรู้สึกไปตำมกลุ่มเสียงที่ใช้ เช่น 5

ขอสอบเนน การคิด

แนว  NT  O-NE T

คําวา “ทํานอง” มีความหมายวาอยางไร 1. อนุกรมของการยึดเสียง 2. อนุกรมของหนวยเสียงดนตรีชั้นเดียว 3. อนุกรมของหนวยเสียงดนตรีครึ่งชั้น 4. อนุกรมของหนวยเสียงดนตรีตางระดับ

วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. เพราะทํานอง คือ ความตอเนื่องของโนต ดนตรีที่ถูกเรียบเรียงอยางเหมาะสม มีการใชเสียงสูง - ตํ่า, เสียงยาว - สั้น นํามาตอกันเปนชุด ทํานองที่ดีตองมีความหมาย มีเสียงที่สมดุลและมี เอกลักษณ สรางความประทับใจใหแกผูฟง ดังนั้นทํานองจึงเรียกไดอีก อยางหนึ่งวา “อนุกรมของหนวยเสียงดนตรีตางระดับ”

Explain

(แนวตอบ ชวงกวางของเสียง หรือมิติ เปนชวงหางของเสียงที่นํามารวมกัน เปนทํานองเพลง ชวงหางของเสียงนั้น จะถูกกําหนดขึ้นจากผูประพันธเพลงเทานั้น บทเพลงที่มีชวงเสียงที่กวาง หรือแคบมาก เทาใดก็จะทําใหนักรอง หรือนักดนตรี บรรเลงเพลงนั้นๆ ไดยากขึ้นตามไปดวย) • เสียงขับรองของชายและหญิง มีความแตกตางกันหรือไม อยางไร (แนวตอบ แตกตางกัน คือ เสียงสูงสุดของผูหญิง คือ เสียงโซปราโน และเสียงตํ่าของผูหญิง คือ เสียงเทเนอร เสียงสูงของผูชาย คือ เสียงอัลโต และเสียงตํ่าของผูชาย คือ เสียงเบส เชน เขตชวงเสียงของนักรองชาย จะมีระดับ ตํ่ากวาเขตชวงเสียงของนักรองหญิง เปนตน) • นักเรียนคิดวาเสียงของตนเอง มีลักษณะอยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ)

เกร็ดแนะครู ครูควรเนนใหนักเรียนเห็นวาเสียงของมนุษยจะมีลักษณะเฉพาะ ของแตละบุคคลตางกัน ซึ่งขึ้นอยูกับปจจัย ดังนี้ 1. เชื้อชาติและเผาพันธุ ความแตกตางของโครงสรางอวัยวะภายในรางกาย 2. ภาษาดัง้ เดิมของชนชาตินนั้ ๆ มีสว นสําคัญในการกําหนดลักษณะการเปลงเสียง 3. อวัยวะที่กอใหเกิดเสียง เปนปจจัยในการกําหนดทั้งเสียงพูดและเสียงรอง เพลงของมนุษย สังเกตไดจากเสนเสียงยาว เสียงจะมีพิสัยที่กวาง เสนเสียงสั้น เสียงจะมีพิสัยที่แคบ เสนเสียงหนา เสียงจะทุม และเสนเสียงบาง เสียงจะแหลม เสียงขับรองของมนุษย สามารถแบงออกเปน 4 ประเภท คือ เสียงโซปราโน คือ เสียงสูงสุดของผูหญิง เสียงอัลโต คือ เสียงตํ่าของผูหญิง เสียงเทเนอร คือ เสียงสูงของผูชาย และเสียงเบส คือ เสียงตํ่าของผูชาย

คูมือครู

5


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

Explain

ใหนักเรียนกลุมที่ 4 - 5 ที่ไดศึกษา คนควา หาความรูเพิ่มเติมเกี่ยวกับองคประกอบของดนตรี ในสังคมและวัฒนธรรม สงตัวแทนกลุมละ 2 - 3 คน ออกมาอธิบายความรูในหัวขอการประสานเสียง และเนื้อดนตรี ตามที่ไดศึกษามาหนาชั้นเรียน จากนั้นครูถามนักเรียนวา • นักเรียนเคยฟงการขับรองเพลงแบบ ประสานเสียงหรือไม ถาเคย เสียงเพลง ที่ไดฟงนั้นใหความรูสึกอยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ) • การประสานเสียงทีด่ สี ามารถปฏิบตั ไิ ดอยางไร (แนวตอบ การประสานทีด่ จี ะตองมีการประสาน กับแนวทํานองหลัก หรือแนวทํานองนําของบท เพลงนั้นๆ ไดอยางเหมาะสม กลมกลืนกัน) • “เนื้อดนตรีหรือ Texture” มีลักษณะอยางไร (แนวตอบ รูปแบบของเสียงที่มีการประสาน สัมพันธและไมประสานสัมพันธ อาจจะเปน การนําเสียงมาบรรเลงซอนกัน หรือบรรเลง พรอมกัน ซึง่ อาจพบทัง้ ในแนวตัง้ และแนวนอน ตามกระบวนการประพันธเพลง ผลรวมของ เสียงจะจัดเปนเนื้อดนตรีทั้งสิ้น) • ลักษณะแนวเสียงประสานในรูปของ Polyphonic Texture มีวิวัฒนาการอยางไร (แนวตอบ วิวัฒนาการมาจากเพลงชานท (Chant) ที่มีพื้นผิวเสียงในลักษณะของเพลง ทํานองเดียว แตภายหลังไดมีการเพิ่มแนว ขับรองเขาไปอีกหนึ่งแนว แนวที่เพิ่มเขาไป ใหมนี้จะใชระยะขั้นคู 4 และคู 5 และดําเนิน ไปในทางเดียวกับเพลงชานทเดิม การดําเนินทํานองในลักษณะนี้เรียกวา “ออรกานุม” (Organum))

1 • ถ้ำใช้กลุ่มเสียงกลมกลืน เสียงที่ประสำนเสียงจะท�ำให้ผู้ฟังเกิดอำรมณ์ควำมรู้สึก ผ่อนคลำย สงบ และคล้อยตำมเสียงบรรเลง • ถ้ำใช้กลุม่ เสียงกระด้ำง เสียงทีป่ ระสำนเสียงจะท�ำให้ผฟู้ งั เกิดอำรมณ์เครียด ไม่สงบ และกระด้ำง

๑.๕ เน�้อดนตรี

2 เนือ้ ดนตรี (Texture) เกิดจำกกำรบรรเลง ดนตรีที่ครบทุกส่วน ทั้งจังหวะ ท�ำนอง เสียง ประสำน และลีลำสอดประสำน ซึ่งท�ำให้เสียง ดนตรีมีควำมหนำแน่นต่ำงกัน ๓ ลักษณะ คือ ๑) เนือ้ ดนตรีแบบแนวเดียว คือ เนื้อดนตรีที่เกิดจำกกำรบรรเลงแนวเดียว ไม่ว่ำ จะบรรเลงคนเดียวหรือหลำยคน หรือหลำย เครือ่ งดนตรีกต็ ำม เนือ้ ดนตรีเช่นนีจ้ ะเพิม่ ควำม หนำแน่นของเสียงขึ้นตำมจ�ำนวนของเครื่อง การบรรเลงแนวเดียวด้วยเครื่องดนตรีชนิดเดียวกัน เป็น การเพิ่มความหนาแน่นของเสียง ซึ่งความไพเราะนั้น ดนตรีที่ร่วมบรรเลง ควำมไพเรำะของเสียงขึ้น ขึ้นอยู่กับฝมือการบรรเลง อยู่กับฝีมือกำรบรรเลง ๒) เนือ้ ดนตรีแบบร่วมคอร์ด คือ เนื้อดนตรีที่เกิดจำกกำรบรรเลง ๒ แนว แนวหนึ่ง เป็นท�ำนองหลัก อีกแนวหนึ่งเป็นกลุ่มเสียงคอร์ดที่น�ำมำบรรเลงสนับสนุนในแนวตั้ง ๓) เนือ้ ดนตรีแบบหลายแนว คือ เนื้อดนตรีที่เกิดจำกกำรน�ำท�ำนองสอดประสำน มำบรรเลงพร้อมกัน แต่ละท�ำนองต่ำงก็มีแนวทำงเดินของตน แต่ทุกท�ำนองสำมำรถสอดรับกันได้ อย่ำงเหมำะสม โดยมีเสียงประสำนแนวตั้งเป็นเสียงเชื่อมโยง

๑.๖ บันไดเสียง บันไดเสียง (Scale) เป็นมำตรำเสียงดนตรีทเี่ กีย่ วข้องกับกำรจัดเรียงอนุกรมของระดับเสียงดนตรี จำกเสียงต�่ำไต่ขึ้นไปหำระดับเสียงสูงเป็นขั้นๆ ตำมล�ำดับ จำกล่ำงไปสู่ตอนบนเหมือนขั้นบันได และอำจมีควำมห่ำงของขั้นเสียงไม่เท่ำกัน บันไดเสียงดนตรีของดนตรีสำกลมี ๔ ลักษณะ แต่ละลักษณะมีชื่อเรียกเฉพำะ ดังนี้ ๑) บันไดเสียงเพนทาทอนิก คือ มำตรำเสียงที่จัดขั้นบันไดเป็น ๕ ขั้น แต่ละขั้น มีชื่อเรียกระดับเสียงและวำงระยะห่ำงระหว่ำงขั้นเป็น ๑ เสียงเต็ม (Tone) และ ๑ ๑๒ เสียงเต็ม หรือ ๓ ครึ่งเสียง (๓ Semitones) ไว้ดังนี้ ๖

นักเรียนควรรู 1 เสียง เกิดจากการสั่นสะเทือนของอากาศที่เปนไปอยางสมํ่าเสมอและเกิดจาก การสั่นสะเทือนของอากาศที่ไมสมํ่าเสมอ ลักษณะความแตกตางของเสียงขึ้นอยู กับคุณสมบัติสําคัญ 4 ประการ คือ ระดับเสียง ความยาวของเสียง ความเขม ของเสียง และคุณภาพของเสียง 2 Texture สามารถแบงออกเปน 4 ลักษณะ คือ 1. Monophonic Texture เปนลักษณะพื้นผิวของเสียงที่มีแนวทํานองเดียว ไมมีเสียงประสาน 2. Polyphonic Texture เปนลักษณะพื้นผิวของเสียงที่ประกอบดวยแนว ทํานองตั้งแต 2 แนวทํานองขึ้นไป โดยแตละแนวมีความเดนและเปนอิสระจากกัน 3. Homophonic Texture เปนลักษณะพื้นผิวของเสียงที่ประสานดวยแนว ทํานองแนวเดียว โดยมีกลุมเสียงทําหนาที่สนับสนุน 4. Heterophonic Texture เปนรูปแบบของแนวเสียงที่มีทํานองหลายทํานอง แตละแนวมีความสําคัญเทากันทุกแนว

6

คูมือครู

ขอสอบเนน การคิด

แนว  NT  O-NE T

มารยาทในการขับรองที่ดีควรปฏิบัติอยางไร แนวตอบ 1. แตงกายใหเหมาะสมกับโอกาสและสถานที่ทําการขับรอง 2. เลือกเพลงที่จะขับรองใหเหมาะสมกับกลุมผูฟง 3. ไมควรพูดจาหยอกลอกับผูฟงมากจนเกินไป และใชภาษาสุภาพ ในการสื่อสารกัน 4. ควรมีหนาตายิ้มแยมแจมใส ไมหงุดหงิด 5. พยายามสบตาและกวาดสายตาไปยังผูชมใหทั่วถึง


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบExplain ายความรู

Expand าใจ ขยายความเข

Evaluate ตรวจสอบผล

อธิบายความรู

ใหนกั เรียนกลุม ที่ 6 ทีไ่ ดศกึ ษา คนควา หาความรู เพิ่มเติมเกี่ยวกับองคประกอบของดนตรีในสังคม และวัฒนธรรม สงตัวแทน 2 - 3 คน ออกมาอธิบาย ความรูในหัวขอบันไดเสียง ตามที่ไดศึกษามา หนาชั้นเรียน จากนั้นครูถามนักเรียนวา • บันไดเสียงมีความสําคัญตองานดนตรี อยางไร (แนวตอบ บันไดเสียง เปนตัวกําหนดแนวทาง การเคลือ่ นของตัวโนตในเพลงและสรางความ เปนอันหนึ่งอันเดียวกันใหกับบทเพลง) • บันไดเสียงสากลสามารถแบงออก เปนกี่ประเภท อะไรบาง (แนวตอบ สามารถแบงออกเปน 4 ประเภท คือ บันไดเสียงเพนทาทอนิก บันไดเสียง ไดอะทอนิก บันไดเสียงโครมาติก และบันไดเสียงโฮลโทน) • บันไดเสียงโฮลโทนมีลักษณะอยางไร (แนวตอบ เปนบันไดเสียงที่มีระยะแตละขั้น เต็มเสียงตลอด จะมีโนตอยู 6 ตัว แตมี 7 ขั้น โนตขั้นที่ 1 กับ 7 เปนชื่อเดียวกัน ปจจุบัน นิยมใชกับเพลงในแนวแจส ฟวชั่น และคลาสสิกรวมสมัย)

ขั้นที่ : ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ (๑) ตัวอย่ำงตัวโน้ต : C D E G A (C) หรือ : F G A C D (F) อ่ำนออกเสียงว่ำ : โด เร มี ซอล ลำ (โด) หรือ : ฟำ ซอล ลำ โด เร (ฟำ) ระยะห่ำงระหว่ำงขั้น : T T ๓S T ๓S [T = ๑ เสียงเต็ม (๑ Tone) ๓S = ๓ ครึ่งเสียง (๓ semitones)] ๒) บันไดเสียงไดอะทอนิก คือ มำตรำเสียงที่จัดขั้นบันไดให้ช่วงทบหนึ่งๆ มี ๗ ขั้น แต่ละขั้นก�ำหนดมีชื่อเรียกระดับเสียง และวำงระยะห่ำงระหว่ำงขั้นบันไดเป็น ๑ เสียงเต็ม (Tone) และครึ่งเสียง (Semitone) ไว้ ดังนี้ ขั้นที่ : ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ (๑) ตัวอย่ำงตัวโน้ต : C D E F G A B (C) อ่ำนออกเสียงว่ำ : โด เร มี ฟำ ซอล ลำ ที (โด) ระยะห่ำงระหว่ำงขั้น : T T S T T T S [T = ๑ Tone S = ๑ semitone] บันไดเสียงไดอะทอนิกมี ๒ หมวด คือ ไดอะทอนิกหมวดเมเจอร์ และไดอะทอนิก หมวดไมเนอร์ แต่ละหมวดจัดวำงระยะห่ำงระหว่ำงขัน้ บันไดเป็น ๑ เสียงเต็ม และครึง่ เสียงเหมือนกัน แต่อยู่ต่ำงที่กันในบำงขั้นเท่ำนั้น เช่น หมวดเมเจอร์ตั้งต้นที่เสียง “โด” ส่วนหมวดไมเนอร์ตั้งต้นที่ เสียง “ลำ” เป็นต้น ๓) บันไดเสียงโครมาติก คือ มำตรำเสี ม ำเสี เสียงที่จัดขั้นบันไดให้ช่วงทบหนึ่งๆ มี ๑๒ ขั้น ให้แต่ละขั้นห่ำงกัน ๑ ครึ่งเสียง (๑ Semitone) ทุกๆ ขั้น โดยก�ำหนดชื่อระดับเสียงประจ�ำขั้น ดังนี้ ขั้นที่ : ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๑๑ ๑๒ (๑) ตัวอย่ำงตัวโน้ต : C C# D D# E F F# G G# A A# B C หรือ : b D b D Eb E F G b G A b A B b B C

ขยายความเขาใจ

๔) บันไดเสียงโฮลโทน คือ มำตรำเสียงทีจ่ ดั ขัน้ บันไดให้ชว่ งทบหนึง่ ๆ มี ๖ ขัน้ แต่ละขัน้

ขอสอบเนน การคิด

แนว  NT  O-NE T

ขอใดตอไปนี้ ไม สัมพันธกัน 1. เพนทาทอนิก คือ มาตราเสียงที่จัดขั้นบันไดใหชวงทบหนึ่งๆ มี 5 ขั้น 2. ไดอะทอนิก คือ มาตราเสียงที่จัดขั้นบันไดใหชวงทบหนึ่งๆ มี 7 ขั้น 3. โครมาติก คือ มาตราเสียงที่จัดขั้นบันไดใหชวงทบหนึ่งๆ มี 12 ขั้น 4. โฮลโทน คือ มาตราเสียงที่จัดขั้นบันไดใหชวงทบหนึ่งๆ มี 6 ขั้น

วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. เพราะเพนทาทอนิก คือ มาตราเสียงที่ จัดขั้นบันไดเปน 5 ขั้น แตละขั้นจะมีชื่อเรียกระดับเสียงและวางระยะหาง ระหวางขั้นเปน 1 เสียงเต็ม และ 1 21 เสียงเต็ม

Expand

ใหนักเรียนรวมกันสรุปสาระสําคัญเกี่ยวกับ องคประกอบของดนตรีในสังคมและวัฒนธรรม ลงกระดาษรายงาน นําสงครูผูสอน

หมายเหตุ : เครื่องหมำย # เรียกว่ำ “ชาร์ป (Sharp)” ใช้แปลงเสียงที่มีเครื่องหม งหมำยนี ยนี้ติดอยู่ให้สูงขึ้น กว่ำเสียงปกติอีก “ครึ่งเสียง (๑ semitone)” เครื่องหมำย bเรียกว่ำ “แฟลต (Flat)” ใช้แปลงเสียงที่มีเครื่องหมำยนี งหม ยนี้ติดอยู่ให้ต�่ำลงกว่ำเสียงปกติ อีก “ครึ่งเสียง”

มีระยะห่ำงเท่ำกัน ตัวอย่ำงเช่น

Explain

ตรวจสอบผล

Evaluate

ครูพิจารณาจากการสรุปสาระสําคัญเกี่ยวกับ องคประกอบของดนตรีในสังคมและวัฒนธรรม ของนักเรียน

7

เกร็ดแนะครู ครูควรอธิบายความรูเพิ่มเติมเกี่ยวกับชื่อและลําดับขั้นของตัวโนตในบันไดเสียง วาลําดับขั้นของตัวโนตในบันไดเสียงจะมีชื่อเรียกแตกตางกันออกไปยกเวนขั้นที่ 1 และขั้นที่ 8 จะมีชื่อเหมือนกัน เพราะเปนโนตเสียงเดียวกัน แตมีระดับเสียงตางกัน 1 คูแปด คือ โทนิค (Tonic note) ซุปเปอรโทนิค (Supertonic note) มีเดียนท (Mediant note) ซับโดมินันท (Subdominant note) โดมินันท (Dominant note) ซับมีเดียนท (Submediant note) และลีดดิ้งโนต (Leading note) ดังภาพ ลําดับขั้นของสเกล

ชื่อของแตละขั้นของสเกล

1st

2nd

3nd

4th

5th

6th

7th

C

D

E

F

G

A

B

8th

Tonic Submediant Mediant Submediant Dominant Submediant Leading

C

Tonic

คูมือครู

7


กระตุน ความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

กระตุEngage นความสนใจ

กระตุน ความสนใจ

Exploreนหา สํารวจค

Engage

ครูนําภาพการแสดงดนตรีในวัฒนธรรม ตางประเทศ มาใหนักเรียนดู จากนั้นครูถาม นักเรียนวา • นักเรียนเคยชมการแสดงดนตรีในวัฒนธรรม ตางประเทศบางหรือไม (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ) • การแสดงดนตรีเหลานี้มีความคลายคลึง กับการแสดงดนตรีไทยหรือไม อยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ)

สํารวจคนหา

ขั้นที่ : ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ (๑) ตัวอย่ำงตัวโน้ต : C D E F# G# A# (C) ระยะห่ำงระหว่ำงขั้น : T T T T T T

๒. ดนตรีในวัฒนธรรมต่างประเทศ ๒.๑ ดนตรีในวัฒนธรรมอินเดีย ประเทศอินเดียมีพื้นที่กว้ำงใหญ่ เป็นแหล่งอำรยธรรมที่มีอิทธิพลแพร่กระจำยไปยังดินแดน ต่ำงๆ ของภำคพื้นเอเชีย และที่อื่นๆ ของโลก โดยเฉพำะศำสนำ ภำษำ และวัฒนธรรม ส�ำหรับ ประเทศไทยได้รบั แนวคิดและแนวปฏิบตั ดิ ำ้ นศำสนำและวัฒนธรรมของอินเดียมำเป็นฐำนรำกของ วัฒนธรรมไทยจ�ำนวนมำก เพรำะในอดีตมีกำรเผยแผ่ศำสนำพรำหมณ์-ฮินดู พระพุทธศำสนำ ภำษำ บำลีสันสกฤต เข้ำมำสู่ดินแดนสุวรรณภูมิ ท�ำให้เกิดกำรผสมผสำนระหว่ำงแนวควำมคิด ควำมเชื่อ ดัง้ เดิมกับศำสนำพรำหมณ์-ฮินดู และพระพุทธศำสนำ ดังจะเห็นได้จำกดนตรีไทยทีม่ รี ะบบควำมเชือ่ เรื่องเทพเจ้ำแห่งดนตรีตำมอย่ำงอินเดีย แม้ว่ำรูปแบบของดนตรีไทยมีควำมแตกต่ำงกับดนตรี อินเดียก็ตำม แต่ควำมเชื่อและแนวคิดก็สำมำรถสอดรับกันได้ กำรทีป่ ระเทศอินเดียมีอำณำเขตกว้ำงใหญ่ มีควำมแตกต่ำงของสภำพภูมอิ ำกำศและภูมปิ ระเทศ มีควำมหลำกหลำยทำงชำติ กหลำยทำงช ติพนั ธุ์ และมีประชำกรจ� ระช ำนวนมำกกว่ำพันล้ำนคน วัฒนธรรมของอินเดีย จึงมีควำมแตกต่ งหลำกหลำยตำมไปด้ วย ด้ำนวัฒนธรรมดนตรีในพื้นที่ทำงตอนเหนือจะเป็น ำมแตกต่ มแตกต่ำำงหลำกหล กหล กหลำยตำ กลุ่มวัฒนธรรมดนตรี “ฮินดูสถานสังคีต” (Hindustani Music) ดนตรีลักษณะนี้ได้รับอิทธิพล จำกดนตรี จำ กดนตรีทำงใต้และดนตรีของชำวอำหรับที่ เข้ำไปมีอิทธิพลและครอบครองอินเดีย ส่วน ททำงตอนใต้ งตอนใต้เป็นดนตรีอินเดียดั้งเดิม เรียกดนตรี ในกลุม่ วัฒนธรรมนีว้ ำ่ “การะนาตักสังคีต” (Karnatic Music) ดนตรีของอินเดียจะสัมพันธ์กบั เทพเจ้ำตำม รำกฐำนและแนวคิดทีเ่ กีย่ วกับศำสนำพรำหมณ์ฮินดูที่มีมำกว่ำ ๕,๐๐๐ ปี โดยเฉพำะจำกคัมภีร์ ควำมส�ำคัญของดนตรีอยู่ที่ท�ำนอง วงดนตรีอินเดีย บรรเลงเพลงประเภทคานะ ที่ชาวอินเดีย พระเวท คว เชื่อว่าเป็นเพลงที่มนุษยโลกได้สร้างสรรค์ขึ้นเอง บันไดเสียง จังหวะ และเสียงหนัก-เบำ บทบำท

Explore

ใหนักเรียนแบงกลุมออกเปน 6 กลุม ใหนักเรียน ศึกษา คนควา หาความรูเพิ่มเติมเกี่ยวกับดนตรี ในวัฒนธรรมตางประเทศ จากแหลงการเรียนรูต า งๆ เชน หองสมุดโรงเรียน หองสมุดชุมชน อินเทอรเน็ต เปนตน ในหัวขอที่ครูกําหนดให ดังตอไปนี้ กลุมที่ 1 ดนตรีในวัฒนธรรมอินเดีย กลุมที่ 2 ดนตรีในวัฒนธรรมจีน กลุมที่ 3 ดนตรีในวัฒนธรรมกัมพูชา กลุมที่ 4 ดนตรีในวัฒนธรรมเวียดนาม กลุมที่ 5 ดนตรีในวัฒนธรรมพมา กลุมที่ 6 ดนตรีในวัฒนธรรมอินโดนีเซีย

อธิบายความรู

Explain

ครูสุมนักเรียน 2 - 3 คน ใหตอบคําถาม ดังตอไปนี้ • เพราะเหตุใดเราจึงตองเรียนรูในเรื่อง วัฒนธรรมทางดนตรีของชาติตางๆ (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ)

8

เกร็ดแนะครู ครูควรเปดซีดี หรือดีวีดี หรือสื่ออินเทอรเน็ตที่เกี่ยวกับการแสดงดนตรี ในวัฒนธรรมอินเดียใหนักเรียนชมและอธิบายเพิ่มเติมวา ดนตรีอินเดียมีเอกลักษณ เฉพาะตัว ไมวาในเรื่องของจังหวะ หรือราคะ (ชุดของเสียงดนตรีที่เลือกมาจากเสียง ถาตะ อยางนอย 5 เสียง มาเรียงไวเปนชุด) ดนตรีอินเดียแบงออกเปน 2 วัฒนธรรม ดนตรี คือ วัฒนธรรมดนตรีแบบฮินดูสถาน ซึ่งอยูทางภาคเหนือของอินเดีย และวัฒนธรรมการะนาตักสังคีต ซึง่ อยูท างภาคใตของอินเดีย เครือ่ งดนตรีของอินเดีย แบงออกไดเปน 4 ประเภท คือ ตะตะ สุษิระ อวนัทธะ และฆะนะ

มุม IT นักเรียนสามารถศึกษา คนควาเพิ่มเติมจากการชมการแสดงดนตรี ในวัฒนธรรมอินเดีย ไดจาก http://www.youtube.com โดยคนหาจากคําวา ดนตรีอินเดีย

8

คูมือครู

ขอสอบเนน การคิด

แนว  NT  O-NE T

ดนตรีในวัฒนธรรมอินเดียมีอิทธิพลตอดนตรีในวัฒนธรรมไทยอยางไร แนวตอบ การที่ประเทศอินเดียมีอาณาเขตกวางใหญ มีความแตกตางกัน ทางสภาพภูมิศาสตร ความหลากหลายทางชาติพันธุและจํานวนประชากร วัฒนธรรมของอินเดียมีความสัมพันธกับเทพเจาตามแนวคิดที่เกี่ยวกับ ศาสนาพราหมณ - ฮินดู ความสําคัญของดนตรีอยูที่ทํานองบันไดเสียง จังหวะและเสียงหนัก - เบา บทบาทของดนตรีจึงมีความสําคัญในการ บวงสรวงเทพเจา ชาวอินเดียมีความเชื่อวาสามารถใชเสียงดนตรีสื่อสาร กับเทพเจาได ทั้งนี้เชื่อวาดนตรีไทยบางอยางไดรับแบบอยางมาจาก อินเดีย เนื่องจากวัฒนธรรมอินเดียไดเขามามีอิทธิพลตอประเทศตางๆ นับตั้งแตอดีต


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบายความรู ของดนตรีจะมีควำมส�ำคัญต่อกำรบวงสรวงเทพเจ้ำ โดยชำวอินเดียมีควำมเชื่อว่ำเสียงสำมำรถใช้ สือ่ สำรกับเทพเจ้ำได้ ขณะเดียวกันดนตรียงั มีอทิ ธิพลต่อวิถชี วี ติ ของผูค้ น ทัง้ ใช้บรรเลงในงำนพิธกี ำร ทำงสังคม และใช้สร้ำงควำมรื่นเริงในลักษณะต่ำงๆ พัฒนำกำรของดนตรีอินเดีย นอกจำกควำมศรัทธำต่อเทพเจ้ำแล้ว ดนตรีอินเดียยังได้รับกำร สนับสนุนจำกพระมหำกษัตริย์ มีนักปรำชญ์และศิลปินจ�ำนวนมำก โดยช่วงก่อนคริสต์ศตวรรษที่ ๒ ท่ำนภรตมุนีได้ประพันธ์คัมภีร์นำฏยศำสตร์ว่ำด้วยต�ำรำร�ำละคร จ�ำนวน ๓๖ บท โดยมีเรื่องรำว ที่เกี่ยวข้องกับดนตรี ๖ บท ซึ่งกล่ำวถึงกำรจ�ำแนกกลุ่มเครื่องดนตรีไว้ ๔ กลุ่ม และกล่ำวถึงเรื่อง ลักษณะของเพลง ๒ ประเภท คือ เพลงประเภทคำนธรวะ ซึ่งเป็นบรรดำเพลงที่เทพเจ้ำมอบให้แก่ มวลมนุษย์ และเพลงประเภทคำนะ เป็นเพลงที่มนุษยโลกได้สร้ำงสรรค์ขึ้นเอง รูปแบบของดนตรีอินเดีย นอกจำกจะพัฒนำในวงวัฒนธรรมของตนแล้ว ยังรับเอำวัฒนธรรม อิสลำมและตะวันตกเข้ำมำผสมผสำน ท�ำให้ดนตรีและเพลงของอินเดียมีควำมหลำกหลำย 1 เครือ่ งดนตรีของอินเดีย นอกจำกมีใช้ในอินเดียแล้ว บำงชนิดก็แพร่กระจำยไปยังเนปำล พม่ำ ไทย กัมพูชำ ลำว ตัวอย่ำงเครื่องดนตรีอินเดียที่ควรรู้จัก เช่น ตานปุระ เป็นเครือ่ งดนตรีทมี่ บี ทบำทในกำรสร้ำงเสียงเครือ ทีเ่ รียกกันว่ำ “เสียงดรอน” (Drone) เสียงของตำนปุระจะช่วยให้นักดนตรีคนอื่นๆ ที่ร่วมบรรเลงทรำบต�ำแหน่งจังหวะของเพลง ศิลปิน อินเดียมีควำมเชื่อว่ำ เสียงของตำนปุระจะช่วยสื่อสำรระหว่ำงมนุษย์กับพระเจ้ำ ซารังกี เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่อง สำยที่ใช้กำรสี มีสะพำนหรือหย่องเป็นต�ำแหน่ง ให้ศิลปินใช้วำงนิ้วกดสำย นิยมน�ำมำใช้บรรเลง ประกอบกำรขับร้อง ซีตาร์ เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสำย ใช้ดีด แต่เดิมซีตำร์มีสำยจ�ำนวน ๓ สำย ต่อมำ ได้พฒ ั นำให้มจี ำ� นวนสำยเพิม่ เป็น ๒๐ สำย ส่วน กำรจัดเรียงสำยมีทั้งด้ำนบนและด้ำนล่ำงของ ตัวเครื่องดนตรี เชห์ไน เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่ำ ที่ได้รบั อิทธิพลจำกอำหรับ มีลกั ษณะเป็นปีล่ นิ้ คู่ ล�ำโพงท�ำด้วยโลหะ มีรูเปิด-ปิดนิ้ว เพื่อเปลี่ยน ซีตาร์ เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายใช้ดีดของ ระดับเสียงไปตำมท�ำนองเพลง อินเดีย 9

กิจกรรมสรางเสริม ใหนักเรียนรวบรวมภาพเครื่องดนตรีอินเดีย มาจัดทําเปนสมุดภาพ พรอมเขียนอธิบายลักษณะของเครื่องดนตรี ตกแตงใหสวยงาม นําสงครูผูสอน

กิจกรรมทาทาย ใหนักเรียนทําตารางวิเคราะหเปรียบเทียบลักษณะของเครื่องดนตรี อินเดียกับเครื่องดนตรีของไทย โดยจําแนกประเภท คือ เครื่องดีด เครื่องสี เครื่องตี และเครื่องเปา วามีลักษณะคลายคลึงกันหรือไม อยางไร พรอมหาภาพมาประกอบเปรียบเทียบใหเห็นอยางชัดเจน ลงกระดาษรายงาน ตกแตงใหสวยงาม นําสงครูผูสอน

Explain

ใหนกั เรียนกลุม ที่ 1 ทีไ่ ดศกึ ษา คนควา หาความรู เพิ่มเติมเกี่ยวกับดนตรีในวัฒนธรรมตางประเทศ สงตัวแทน 2 - 3 คน ออกมาอธิบายความรูในหัวขอ ดนตรีในวัฒนธรรมอินเดีย ตามที่ไดศึกษามา หนาชั้นเรียน จากนั้นครูถามนักเรียนวา • ดนตรีของอินเดียมีลักษณะที่แตกตาง จากดนตรีชาติอื่นๆ อยางไร (แนวตอบ ดนตรีจะแบงออกไดเปน 2 ฝาย คือ ดนตรีประจําชาติฝายฮินดู และฝายมุสลิม อิทธิพลของดนตรีมุสลิมจะอยูทางตอนใต ของประเทศ อิทธิพลของดนตรีฮนิ ดูจะอยูท าง ตอนเหนือของประเทศ วัฒนธรรมทางดนตรี อินเดียจะแบงแยกกันอยางชัดเจนไมวา จะเปนการเรียกชื่อเครื่องดนตรี ประเภท ของเครื่องดนตรี แตมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน ก็คือ ชาวอินเดียจะใชเสียงดนตรีเปนสื่อ ติดตอกับพระเจา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเอง เคารพนับถืออยู) • อิทธิพลของดนตรีในวัฒนธรรมอินเดีย ที่มีผลตอวัฒนธรรมไทยอยางไร (แนวตอบ ประเทศไทยไดรับแนวคิด และแนว ปฏิบตั ดิ า นศาสนาและวัฒนธรรมของอินเดีย มาเปนรากฐานของวัฒนธรรมไทย ทําใหเกิด การผสมผสานระหวางแนวคิด ความเชื่อ ดั้งเดิมกับศาสนาพราหมณ - ฮินดู และพระพุทธศาสนา ดังจะเห็นไดจาก ดนตรีไทยมีระบบความเชื่อเรื่องเทพเจา แหงดนตรีของอินเดีย) • เพราะเหตุใดอินเดียจึงไดรับการขนาน นามวา “จาวแหงจังหวะ” (แนวตอบ เพราะเสียงที่เกิดขึ้นจากจังหวะ ของกลองอินเดีย ไดทําหนาที่เพิ่มสีสัน เพลงอินเดียใหเราใจนาฟงยิง่ ขึน้ กลองทีน่ ยิ ม ใชในการแสดงดนตรีมีอยู 3 ชนิด คือ มริทังค ปกชวัช และตับบลา)

นักเรียนควรรู 1 เครื่องดนตรีของอินเดีย แบงออกเปน 4 กลุม คือ 1. ตะตะ (Ta ta) คือ เครื่องดนตรีที่ผลิตเสียงโดยอาศัยสายเปนสําคัญ เครื่องดนตรีในตระกูลนี้แบงได 2 ประเภท คือ เครื่องสายประเภทไมใชทํานอง และเครื่องสายประเภทใชทํานอง 2. อวนัทธะ (Avanaddha) คือ เครื่องดนตรีประเภทเครื่องหนัง คือ กลองทุกประเภท จะเกิดเสียงเมื่อถูกตี หรือเคาะ 3. สุษิระ (Susira) คือ เครื่องดนตรีประเภทเครื่องเปา แบงออกเปน 3 ประเภท คือ ประเภทปที่มีลิ้น ประเภทขลุย และประเภทแตร 4. ฆะนะ (Ghana) คือ เครื่องดนตรีที่เกิดเสียงจากการสั่นสะเทือนของวัตถุ เชน ฉิ่ง ฉาบ กรับ เปนตน

คูมือครู

9


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

Explain

ใหนกั เรียนกลุม ที่ 2 ทีไ่ ดศกึ ษา คนควา หาความรู เพิ่มเติมเกี่ยวกับดนตรีในวัฒนธรรมตางประเทศ สงตัวแทน 2 - 3 คน ออกมาอธิบายความรูในหัวขอ ดนตรีในวัฒนธรรมจีน ตามทีไ่ ดศกึ ษามาหนาชัน้ เรียน จากนั้นครูถามนักเรียนวา • ดนตรีในวัฒนธรรมจีนมีที่มาอยางไร (แนวตอบ จีนมีประวัติศาสตรและวัฒนธรรมที่ เกาแกแหงหนึ่งของโลก โดยชาวจีนไดสั่งสม วัฒนธรรมของตนมาอยางตอเนื่อง และยาวนาน รวมถึงทางดานดนตรีดวย ดนตรีของชาวจีนมีทั้งที่เปนของราชสํานัก และของราษฎรทั่วไป สําหรับดนตรี ราชสํานักนั้น จักรพรรดิจีนทุกราชวงศจะ ใหการสนับสนุน รวมถึงชนชั้นสูง นักปราชญ ราชบัณฑิตตางก็มีคานิยมในการศึกษา และบรรเลงดนตรี) • นักเรียนรูจักเครื่องดนตรีจีนบางหรือไม ถารูจัก นักเรียนรูจักเครื่องดนตรีชนิดใด จงยกตัวอยางมา 1 ชนิด (แนวตอบ พิณหลิว (Liuqin) เปนเครื่องดนตรี ประเภทพิณ สัณฐาน และโครงสราง ของพิณหลิวมีลักษณะคลายกับพิณโบราณ ของจีน ในอดีตพิณหลิวจะมีโครงสรางที่ ไมซับซอนและมีรูปรางเรียบงาย ชาวจีน จึงเรียกวา “ถูผิผา” แปลวา “พิณชาวบาน” นิยมใชกันอยางแพรหลายในแถบมณฑล ซานตง อันฮุย และเจียงซู จัดเปน เครื่องดนตรีที่ใชบรรเลงประกอบการแสดง อุปรากร (งิ้ว) วิธีการบรรเลงพิณหลิว จะคลายกับการบรรเลงพิณผิผา ผูบรรเลงจะตองนั่งตัวตรง เอาพิณหลิว วางเฉียงที่หนาอก มือซายถือคันพิณ ใชนิ้วแมมือและนิ้วชี้ของมือขวาจับเครื่อง และดีดสายพิณ)

ตับบลา เปนเครือ่ งดนตรีประเภทกลอง ทีม่ เี สียงดังไพเราะ ศิลปนตองใชเทคนิคในการตีเพือ่ ให เกิดเสียงลักษณะตางๆ ตับบลาสํารับหนึ่งมีกลอง ๒ ใบ กลองใบเล็กอยูดานขวาของผูตี ทําจากไม ใหเสียงสูง กลองใบใหญอยูดานซาย ทําจากโลหะใหเสียงทุมตํ่า

๒.๒ ดนตรีในวัฒนธรรมจีน

จีนเปนประเทศที่มีพื้นที่กวางใหญไพศาล มีพลเมืองจํานวนมาก หลากหลายชาติพันธุ มีประวัตศิ าสตรและวัฒนธรรมทีเ่ กาแกแหงหนึง่ ของโลก โดยชาวจีนไดสั่งสมวัฒนธรรมของตน มาอยางตอเนือ่ งและยาวนาน รวมถึงวัฒนธรรม ทางดานดนตรีดวย ดนตรีของชาวจีนมีทั้งที่เปนของราชสํานัก และของราษฎรทั่วไป สําหรับดนตรีของราชสํานัก จักรพรรดิจีนทุกราชวงศใหการสนับสนุน วัฒนธรรมดนตรีของจีนมีความเจริญกาวหนามายาวนาน รวมทัง้ ชนชัน ้ สูงและนักปราชญราชบัณฑิตตางมี โดยปจจุบันไดมีการบรรจุวิชาดนตรีไวในหลักสูตรการ คานิยมในการศึกษาและบรรเลงดนตรี ศึกษาของจีนดวย นอกจากนี้ ลัทธิขงจือี๊ ซึง่ มีอทิ ธิพลอยางมาก ตอสังคมจีน ก็ใหความสําคัญอยางสูงกับดนตรี โดยมีการนําดนตรีมาบรรเลงประกอบพิธกี รรมของ ราชสํานัก ประกอบการเลี้ยงรับรอง ประกอบการเตนรํา ฟอนรํา ขับรอง ประกอบอุปรากรจีน นํา ขบวนแหในพิธสี าํ คัญๆ หรือใชประกอบพิธกี รรมบวงสรวงเซนไหวเทพยดาฟาดินตามลัทธิความเชือ่ ประเภทของเครื่องดนตรีจีน จัดแบงออกเปน ๘ หมวดหมู ตามวัสดุอุปกรณที่นํามาใชทํา เ ่องดนตรีจีนที่ควรรูจัก เชน เครื่องดนตรี คือ โลหะ หิน ไม ดิน หนัง ไมไผ นํ้าเตา และไหม เครื กูเจิงหรือเจง เปนเครื่องดนตรีประเภทเครื่องดีด ลําตัวหรือกลองเสียงทําดวยไม มีนมพาด สายตามจํานวนสาย แตเดิมกูเจิงมีสาย ๑๒ สาย แตในปจจุบันไดพัฒนาขึ้นจนมี ๑๖ สาย มีระดับ เสียง ๓ ชวงทบ เปนเครื่องดนตรีโบราณที่ไดรับความนิยมอยางแพรหลายมาตั้งแตสมัยราชวงศ ฉิน สามารถใชบรรเลงเดี่ยว บรรเลงรวมกับเครื่องดนตรีอื่น หรื ห อบรรเลงรวมกับการขับรองก็ได หยางฉิน่ เปนเครือ่ งดนตรีประเภทเครือ่ งสาย รูปทรงประกอบดวยกลองเสียง มีหลักหรือหยอง รองรับสายคั่นตามขวาง ๔ แถว หยางฉินเปนเครื่องดนตรีที่ไดรับอิทธิพลมาจากอาหรับ แตได พัฒนารูปทรงและระบบเสียงตามแบบจีน ใชตีประกอบการแสดงอุปรากรรวมกับวงเครื่องสาย ไทยเรียกหยางฉิ่นวา “ขิม” และรูจักมาตั้งแตสมัยอยุธยา ดังปรากฏในชื่อเพลงจีนขิม เปนตน ๑๐

เกร็ดแนะครู ครูควรแนะนํานักเรียนเพิ่มเติมเกี่ยวกับวงดนตรีของจีน ซึ่งแบงออกเปน 2 ประเภท คือ 1. ซื่อจู (Sizhu) เปนการรวมวงดวยเครื่องดนตรีจําพวกเสนไหมและไมไผ เชน ซอ Erhu ขิม Yang chin ซึง Yue chin ขลุย Diz (Shiao, Zither cheng) และ เครื่องประกอบจังหวะ เพลงของวงดนตรีประเภทนี้จะนุมและเบา ลักษณะรูปพรรณ ของบทเพลงเปนแบบ Heterophony ซอ Erhu คือ เครื่องดนตรีหลักของวง วงซื่อจู นิยมนํามาบรรเลงในหองเล็กๆ 2. ซุยดา (Chuida) เปนการรวมวงดวยเครือ่ งเปาและเครือ่ งตีกระทบชนิดตางๆ เปนหลัก เชน ป Sona ขลุย Dizi, sheng oboe กลอง ฆองฉาง วูดบลอก (Wood Block) เปนตน วงซุยดานิยมนํามาบรรเลงกลางแจง พิธีที่ใชวงซุยดาบรรเลง คือ งานศพและพิธีบูชาบรรพบุรุษ นอกจากวงดนตรีทั้ง 2 แบบแลว จีนยังมีวงดนตรี อื่นๆ อีกหลายชนิด เชน วงดนตรีพื้นบาน ซึ่งจะแตกตางกันออกไปตามลักษณะ ของพื้นที่และผูคนที่อาศัยอยู เปนตน

10

คูมือครู

ขอสอบเนน การคิด

แนว  NT  O-NE T

ประเทศไทยไดรับวัฒนธรรมทางดนตรีของจีนไดอยางไร แนวตอบ ไทยไดมีการติดตอสรางความสัมพันธกับจีนมาเปนเวลานาน นับตั้งแตสมัยสุโขทัย อยุธยา มีชาวจีนบางกลุมที่อพยพมาพํานักอาศัยอยูใน เมืองไทย มีการนําเครื่องดนตรีพื้นบานของตนเขามาดวย เชน หยางฉิ่น หรือ “ขิม” ขิมเปนเครื่องดนตรีจีนชนิดหนึ่ง มีรูปคลายพระจันทรครึ่งซีก โดยชาวจีนนํามาบรรเลงรวมอยูในวงเครื่องสายจีนและประกอบการแสดงงิ้ว บรรเลงในงานเทศกาลและงานรืน่ เริงตางๆ ซึง่ มีความไพเราะและมีทว งทํานอง ที่นาฟง ไทยจึงรับเขามาใชกับดนตรีไทย


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบายความรู ผิผา เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสำยของจีนที่รู้จักกันทั่วไป และยังแพร่กระจำยไปสู่ ดินแดนเวียดนำม เกำหลี มองโกเลียด้วย ผิผำมีรปู ทรงคล้ำยพิณ มี ๔ สำย มีนม ๑๖ อัน ใช้บรรเลงเดีย่ ว หรือบรรเลงร่วมกับเครื่องดนตรีอื่นๆ โซนา เป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่ำชนิด ลิ้นคู่หรือประเภทปี่ โซนำประกอบด้วยเลำปี่ที่ ท�ำจำกไม้ และส่วนล�ำโพงท�ำจำกโลหะ บนเลำปี่ เจำะรูสำ� หรับเปิด-ปิด เพือ่ บังคับระดับเสียงทัง้ สิน้ ๘ รู เป็นรูสำ� หรับนิว้ ค�ำ้ ๑ รู รูสำ� หรับบังคับระดับ เสียง ๗ รู โซนำมีเสียงที่ดังฟังชัด จึงนิยมน�ำ มำใช้บรรเลงอยู่ในทุกภูมิภำคของจีน โซนำจะ 1 มีบทบำทในกำรแสดงอุ รแสดงอุปรำกรจีน และยังนิยม น�ำมำใช้บรรเลงเดี่ยวและบรรเลงร่วมกับเครื่อง ดนตรีชนิดอื่นๆ ในขบวนแห่ต่ำงๆ

๒.๓ ดนตรีในวัฒนธรรมกัมพูชา

ผิผา เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายของจีน มีรูปร่าง คล้ายพิณใช้บรรเลงเดี่ยวหรือร่วมกับเครื่องดนตรีอื่นๆ

กัมพูชำเป็นประเทศหนึ่งในดินแดนสุวรรณภูมิที่มีควำมรุ่งเรืองมำนำน ควำมเจริญทำงสังคม และวัฒนธรรมส่วนใหญ่ได้รบั มำจำกอินเดีย โดยเฉพำะทำงด้ำนศำสนำ ควำ ควำมยิ มยิง่ ใหญ่ของกัมพูชำใน อดีตสำมำรถดูได้จำกวัฒนธรรมของอำณำจักร ฟูนันและเจนละ รวมทั้งควำมยิ่งใหญ่ของเมือง พระนคร ซึ่งมีนครวัดเป็นศูนย์กลำงง ตลอดจน หลักฐำนทำงด้ำนศิลปะ ปรำสำทหิ ทหิน โบรำณณสถำน และคติควำมเชื่อต่ำงๆ ส�ำหรับดนตรีของกัมพูชำมีบทบำทเด่ ทเด่นใน ฐำนะที่น�ำมำใช้ประกอบพิธีกรรมตำมควำมเชื มเชื่อ พิธีกรรมทำงศำสนำ สร้ำงควำมบันเทิง และใช้ บรรเลงประกอบกำรแสดงโขน หนังใหญ่ ละคร และฟ้อนร�ำ นอกจำกนี้ ภำคเหนือของกัมพูชำ คตะวันตกเฉียงเหนือ มีพื้นที่ติดกับลำว และภำคตะวั ดนตรีของกัมพูชาจะมีความเป็นเอกลักษณ์และนิยมใช้ ติดกับไทย ในพื3้นที่นี้ จึงมีกำร บรรเลงประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อและพิธีกรรม 2 ดนตรีกัมพูชำในพื ต่างๆ ทางศาสนา ใช้แคน และมีกำรแสดงหมอล� รแสดงหมอล�ำด้วย 11

บูรณาการเชื่อมสาระ

จากการศึกษาเกีย่ วกับความรูพ นื้ ฐานเกีย่ วกับดนตรีในวัฒนธรรมตางประเทศ สามารถเชื่อมโยงกับการเรียนการสอนในกลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ในเรื่องประวัติความเปนมาและอารยธรรมของประเทศ ในทวีปเอเชีย เพราะการศึกษาเกี่ยวกับประวัติความเปนมาและอารยธรรมของ ประเทศในทวีปเอเชีย จะทําใหเราเขาใจสามารถเขาในเรื่องของวิวัฒนาการ ทางดนตรีที่มีรูปแบบแตกตางกันออกไปตามแตละวัฒนธรรมของชาติตางๆ และการที่ประเทศไทยไดรับเอาอิทธิพลทางดนตรีมาผสมผสาน ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงใหมีรูปแบบเปนของไทยเอง ซึ่งสิ่งเหลานี้ลวนมาจากแลกเปลี่ยน เรียนรูทางวัฒนธรรมดนตรีซึ่งกันและกัน ทําใหดนตรีมีรูปแบบที่เปลี่ยนแปลง ไปจากเดิม และมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะชวยใหนักเรียนเกิดการ เรียนรูในเรื่องดนตรีในวัฒนธรรมตางประเทศไดดียิ่งขึ้น

Explain

ใหนกั เรียนกลุม ที่ 3 ทีไ่ ดศกึ ษา คนควา หาความรู เพิ่มเติมเกี่ยวกับดนตรีในวัฒนธรรมตางประเทศ สงตัวแทน 2 - 3 คน ออกมาอธิบายความรูในหัวขอ ดนตรีในวัฒนธรรมกัมพูชา ตามที่ไดศึกษามา หนาชั้นเรียน จากนั้นครูถามนักเรียนวา • ดนตรีกัมพูชามีเอกลักษณที่โดดเดนอยางไร (แนวตอบ ดนตรีกัมพูชา มีบทบาทในฐานะ ที่นํามาใชประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ พิธีกรรมทางศาสนา สรางความบันเทิง และใชบรรเลงขับรองประกอบการแสดงโขน หนังใหญ ละคร และการฟอนรํา อิทธิพลของ ศาสนาพราหมณ - ฮินดู เปนปจจัยที่เปน ฐานรากสําคัญของวัฒนธรรมดนตรีกัมพูชา บรรดาเครื่องดนตรีที่ใชประกอบในงาน พิธีกรรมที่เกี่ยวของกับการติดตอทาง วิญญาณ คือ วงอารัก วงการ นิยมใชบรรเลง ในงานมงคลสมรส นอกจากนี้ก็มีวงมโหรี วงอาไย วงเจรียงจเปยใชบรรเลงในงานรืน่ เริง บันเทิงทั่วไป) • ดนตรีกัมพูชาไดเขามามีบทบาทกับดนตรี พืน้ บานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ของไทยอยางไร (แนวตอบ มีการนําดนตรีกันตรึมของกัมพูชา เขามาในภาคอีสานของไทย เนื่องจากมี อาณาเขตติดตอกับประเทศไทย ทางภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ ดนตรีในพื้นที่นี้ ของกัมพูชาจึงมีการใชแคน และมีการแสดง หมอลําดวย) • นักเรียนเคยชมการแสดงดนตรีวงกันตรึม หรือไม ถาเคย การแสดงนี้ใหความรูสึก อยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ)

นักเรียนควรรู 1 อุปรากรจีน หรืองิ้ว เปนการแสดงที่ผสมผสานการขับรองและการเจรจา ประกอบการแสดงลีลาทาทางของนักแสดงออกเปนเรื่องราว โดยนิยมนําเอา พงศวดารและประวัติศาสตรมาดัดแปลงเปนบทละครผสมผสานกับความเชื่อ ประเพณีและศาสนา การแสดงอุปรากรจีนในประเทศไทยไดรับความนิยมสูงสุด ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว (รัชกาลที่ 5) 2 แคน เครื่องดนตรีประเภทเครื่องเปา จัดเปนเครื่องดนตรีพื้นบานภาคอีสาน ที่ไดรับความนิยมเปนอยางมากชนิดหนึ่ง ทําจากไมซางขนาดตางๆ ประกอบกัน เขาเปนตัวแคน มีลิ้นโลหะ เสียงเกิดจากลมผานลิ้นโลหะไปตามลําไมที่เปนลูกแคน การเปาแคนตองใชทั้งเปาลมเขาและดูดลมออกดวย แคนมีหลายขนาด บางขนาด มีเสียงประสานประสมอยูดวย แคนนอกจากบรรเลงเปนวงแลว ยังนิยมนํามา บรรเลงประกอบการลํา หรือบรรเลงรวมกับพิณและโปงลาง 3 หมอลํา ผูที่มีความชํานาญในการบรรยายเรื่องราวตางๆ ดวยทํานองเพลง จัดเปนรูปแบบของเพลงลาวโบราณในประเทศลาวและภาคอีสานของประเทศไทย คูมือครู

11


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

Explain

ครูสุมนักเรียน 2 - 3 คน ตอบคําถามดังตอไปนี้ • เพราะเหตุใดอิทธิพลของศาสนา พราหมณ - ฮินดูจึงเขามามีบทบาทเกี่ยวของ กับดนตรีของกัมพูชา (แนวตอบ เพราะอิทธิพลของศาสนา พราหมณ - ฮินดู จัดเปนปจจัยที่เปนรากฐาน สําคัญของวัฒนธรรมดนตรีกัมพูชา บรรดา เครื่องดนตรีที่มีความเกี่ยวของกับศาสนา พราหมณ - ฮินดู ก็มีการนํามาใชประกอบ ในงานพิธีกรรมทางศาสนาของกัมพูชาดวย เชน สังข กลอง เปนตน) • นักเรียนทราบหรือไมวาเครื่องดนตรีชิ้นนี้ มีชื่อเรียกวาอยางไรและมีลักษณะคลายกับ เครื่องดนตรีไทยประเภทใด

ประเภทของวงดนตรีกมั พูชำ เช่น วงพิณเพียต เป็นวงดนตรีพธิ กี รรมที่ใช้ทงั้ ในรำชส�ำนัก ในวัด ในงำนพิธกี รรมทัว่ ไป วงอำรักเป็นวงดนตรีที่ใช้ประกอบในงำนพิธกี รรมทีเ่ กีย่ วข้องกับกำรติดต่อทำง วิญญำณ วงกำร์นิยมใช้บรรเลงในงำนมงคลสมรส และวงโมโหรี วงอำไย วงเจรียงจเปย ใช้ส�ำหรับ งำนรื่นเริงบันเทิงทั่วไป อิทธิพลของศำสนำพรำหมณ์-ฮินดู เป็นปัจจัยทีเ่ ป็นฐำนรำกส�ำคัญของวัฒนธรรมดนตรีกมั พูชำ บรรดำเครือ่ งดนตรีทเี่ กีย่ วข้องกับศำสนำพรำหมณ์-ฮินดูก็ได้นำ� มำใช้ในงำนพิธกี รรมทำงศำสนำของ กัมพูชำด้วย เช่น สังข์ กลอง ตัวอย่ำงเครื่องดนตรีกัมพูชำที่ควรรู้จัก เช่น กระแสมู ย หรื อ พิ ณ น�้ ำ เต้ ำ ปลำยด้ ำ นหนึ่ ง จะติ ด กล่ อ งเสี ย งหรื อ กะโหลกที่ ท� ำ จำก ผลน�้ำเต้ำผ่ำครึ่ง ถัดจำกกะโหลกไปด้ำนบนมีลูกบิด ส่วนปลำยอีกด้ำนของคันพิณมีกำรเจำะ เดือย ส�ำหรับขึงสำยพิณ ๑ สำย เชือ่ มกับลูกบิด กำรบังคับเสียงของกระแสมูยท�ำได้โดยกำรควบคุม กำรเปิด-ปิดของกะโหลกพิณที่ต้องแนบกับระดับหน้ำอกขณะดีดให้สัมพันธ์กับจังหวะ เปยออ หรือตรงกับเครื่องดนตรีไทย คือ ปี่อ้อ ตัวปี่ (เลำ) ท�ำจำกไม้รวกปล้องเดียว ไม่มีข้อ เจำะรูส�ำหรับเปิด-ปิด นิ้วเรียงตำมล�ำดับด้ำนหน้ำ ๗ รู และมีนิ้วค�้ำด้ำนหลัง ๑ รู เช่นเดียวกับขลุ่ย ส่วนที่เป็นลิ้นท�ำด้วยไม้อ้อเหลำจนบำงลงและบีบให้แบนประกบกันในลักษณะของลิ้นแฝด แต่ อีกด้ำนหนึ่งยังมีลักษณะกลมอยู่เพื่อให้สอดเข้ำกับตัวของปี่ได้ เสียงของเป็ยออมีลักษณะแหบ ทุ้มกังวำน

๒.๔ ดนตรีในวัฒนธรรมเวียดนาม (แนวตอบ มีชื่อวา ซัมโฟ (Sampho) เปนกลองยาว ขนาดเล็กของชนพื้นเมือง ในประเทศกัมพูชา มี 2 หนา และเลนโดยการ ใชมอื ทัง้ 2 ขางตี ซัมโฟทําหนาทีเ่ ปนผูน าํ กลุม เครื่องเปาและกลองคอยกําหนดจังหวะ ซัมโฟของกัมพูชามีลักษณะคลายกับตะโพน ของไทย) • ซอของกัมพูชาชนิดใดที่มีลักษณะคลายคลึง กับซอสามสายของประเทศไทย (แนวตอบ โตร (Tro) เปนเครื่องดนตรีพื้นเมือง ประเภทเครื่องสายของกัมพูชา ตัวซอ ทํามาจากกะลามะพราวชนิดพิเศษ ปลายขางหนึ่งจะถูกปดดวยหนังสัตว สายทั้ง 3 สาย ทํามาจากเสนไหม)

ดนตรีของเวียดนำมที่มีชื่อเสียงได้รับกำรกล่ำวถึง เป็นผลงำนนับตั้งแต่ยุคส�ำริด คือ กำร สร้ำงกลองโลหะส�ำริดขนำดใหญ่ ทีเ่ รียกว่ำ “มโหระทึก” ใช้ในพิธีกรรมทำงกำรเกษตร โดยเฉพำะในพิธีขอฝน บ้ำงก็ว่ำน�ำไปใช้ในกำรตีบอกสัญญำณในกำรสู้รบ ท�ำสงครำมด้วย ต่อมำกำรท�ำมโหระทึกได้แพร่กระจำย ไปยังดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศจีน ดนตรีของเวียดนำม จะจัดแบ่งเครื่องดนตรี ออกเป็น ๘ ประเภท คือ หิน โลหะ เส้นใย ไหม ไม้ไผ่ ไม้เนื้อแข็ง หนังสัตว์ น�้ำเต้ำ และดินเผำ คล้ำยกับเครื่องดนตรีของจีน เนื่องจำกได้รับ กลองมโหระทึก วัฒนธรรมดองซอน ประเทศเวียดนาม อิ ท ธิ พ ลมำจำกวั ฒ นธรรมจี น เครื่ อ งดนตรี สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคส�าริด สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เวียดนำมที่เรำควรรู้จัก เช่น 1๒

เกร็ดแนะครู ครูแนะนํานักเรียนเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องดนตรีของกัมพูชา พรอมนําภาพ มาใหนักเรียนดูประกอบ เชน กรอเปอ (Krapeu) หรือทีเ่ รียกวา “จะเข” เปนเครื่องดนตรีที่มีรูปรางเหมือนจะเข ประดับดวยลวดลาย มีสาย 3 สาย สําหรับดีด คําวา “กรอเปอ” ในภาษากัมพูชา หมายถึง จะเข เปนเครื่องดนตรีคลาสสิก ของกัมพูชา จะเขจะมี 3 หรือ 5 ขา รองรับตัวเครื่อง เมื่อแสดงผูเลนจะนั่งขาง เครือ่ งดนตรี มือซายดีดขึน้ และลง ขณะทีม่ อื ขวาดึงดวยการใชไมดดี นิยมนํามาบรรเลง ในงานมงคลสมรส

12

คูมือครู

กิจกรรมสรางเสริม ใหนักเรียนรวมรวมภาพเครื่องดนตรีกัมพูชา มาจัดทําเปนสมุดภาพ พรอมเขียนอธิบายลักษณะของเครื่องดนตรี ตกแตงใหสวยงาม นําสงครูผูสอน

กิจกรรมทาทาย ใหนักเรียนวิเคราะหความแตกตางของเครื่องดนตรีไทยและเครื่องดนตรี กัมพูชา คือ ตะโพนกับซัมโฟ พรอมหาภาพมาประกอบเปรียบเทียบ ใหเห็นอยางชัดเจน ลงกระดาษรายงาน ตกแตงใหสวยงาม นําสงครูผูสอน


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบายความรู

Explain

ใหนักเรียนกลุมที่ 4 ที่ไดศึกษา คนควา หาความรูเพิ่มเติมเกี่ยวกับดนตรีในวัฒนธรรม ตางประเทศ สงตัวแทน 2 - 3 คน ออกมาอธิบาย ความรูในหัวขอดนตรีในวัฒนธรรมเวียดนาม ตามที่ไดศึกษามาหนาชั้นเรียน จากนั้นครูถาม นักเรียนวา • อิทธิพลของดนตรีในวัฒนธรรมเวียดนามมี ผลตอวัฒนธรรมไทยหรือไม อยางไร (แนวตอบ ชาวเวียดนามไดอพยพเขามาอยู ในประเทศไทย โดยกระจายอยูทั่วไปและ ไทยไดรับเอาดนตรีบางประเภท เชน กลอง มโหระทึกเขามาเลนในประเทศไทยอยาง แพรหลาย โดยนํามาใชประโคมในงานพิธี เชน กระบวนพยุหยาตรา งานพระบรมศพ งานศพเจานาย เปนตน) • จากภาพเปนเครื่องดนตรีที่มีชื่อเรียกวา อยางไรและมีลักษณะคลายกับ เครื่องดนตรีไทยชนิดใด

ปเสน เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่ำ เลำของปี่เสนท�ำด้วยไม้ไผ่ ลิ้นท�ำด้วยผิวไผ่หรือ โลหะแผ่นบำง ล�ำตัวของปี่เจำะรูเปลี่ยนเสียงจ�ำนวน ๗ รู เมื่อจะเป่ำ ผู้เป่ำต้องอมปลำยด้ำนหนึ่ง ที่เป็นส่วนของลิ้นเข้ำไว้ในปำก แล้วบังคับลมออกมำ ปตอด เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่ำ เลำของปีต่ อ ดท�ำด้วยไม้ไผ่ ล�ำท่อกว้ำงประมำณ ๑ เซนติเมตร เมื่อเป่ำจะใช้จมูกเป่ำลมเข้ำไป ดังนั้น ขณะที่เป่ำจึงใช้ช่องเสียงแนบกับจมูก จำกนัน้ จึงเป่ำลมเข้ำไปภำยในให้เกิดเสียง ปีต่ อ ด นิยมใช้เป่ำประกอบกำรร้องเพลงกล่อมเด็ก ด่านตาม เป็นเครื่องดนตรีพื้นบ้ำนของ เวียดนำมประเภทพิณ กล่องเสียงท�ำด้วยไม้ รูปทรงสีเ่ หลีย่ ม คันพิณยำว มีสำยจ�ำนวน ๓ สำย นอกจำกกำรดี ด เล่ น ทั่ ว ไปแล้ ว ยั ง นิ ย มน� ำ เป็นเครื่องดนตรีประเภทพิณของเวียดนาม ด่ำนตำมไปประสมในวงดนตรีออร์เคสตรำของ ด่ปัาจนตาม จุบันนิยมน�าไปประสมในวงดนตรีออร์เคสตราของ เวียดนำมด้วย เวียดนาม ตรื ง บาฮนาร เป็ น เครื่ อ งดนตรี ป ระเภท เครื่องเคำะของชนเผ่ำ ท�ำด้วยไม้ ๑๒ อัน ตีด้วยไม้ท่อน เพื่อช่วยสร้ำงจังหวะในกำรบรรเลง ซึ่งตัวท่อนท�ำด้วยไม้ไผ่หรือแก่นไม้ น�ำมำตกแต่งให้ได้เสียงตำมต้องกำร ปัจจุบันพัฒนำโดยใช้ โลหะแทนไม้ นอกจำกนี้ ดนตรีของเวียดนำมยังมีกำรน�ำเครือ่ งดนตรีตำ่ งๆ มำประสมวงบรรเลง แตกต่ำงกันไป ตำมแต่ละวัฒนธรรมและท้องถิ่น รวมทั้งเมื่อครั้งที่ฝรั่งเศสเข้ำปกครองประเทศเวียดนำมในช่วง คริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ เวียดนำมก็รับอิทธิพลของเครื่องดนตรีตะวันตกมำใช้ด้วย

๒.๕ ดนตรีในวัฒนธรรมพม่า พม่ำมีพื้นที่ติดต่อกับไทยเป็นแนวยำวทำงภำคตะวันตก เป็นประเทศที่มีควำมหลำกหลำย ทำงวัฒนธรรมมำก เพรำะประกอบไปด้วยวัฒนธรรมพม่ำ มอญ กะเหรี่ยง ไทยใหญ่ รวมทั้ง กลุ่มวัฒนธรรมของชนชำติอื่นๆ ด้วย วัฒนธรรมดนตรีของพม่ำ มีทั้งดนตรีแบบแผนที่เป็นของรำชส�ำนัก ดนตรีของรำษฎร และ ดนตรีของกลุ่มชำติพันธุ์ต่ำงๆ บทบำทของดนตรีจะถูกน�ำมำใช้ในกำรประกอบพิธีกรรมต่ำงๆ เพื่อ ควำมรืน่ เริงบันเทิง เฉลิมฉลอง ตลอดจนใช้ประกอบกำรแสดงด้วย วงดนตรีทสี่ ำ� คัญ คือ วงซำยวำย 13

ขอสอบเนน การคิด

แนว  NT  O-NE T

ดานตาม เปนเครื่องดนตรีที่มีลักษณะคลายคลึงกับเครื่องดนตรีชนิดใด 1. ป 2. พิณ 3. รํามะนา 4. ฆองวง

วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. เพราะเปนเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย ที่มีลักษณะคลายพิณ มี 16 สาย สามารถนํามาเลนเดี่ยวและเลนรวมวง เปนเครื่องดนตรีที่สรางขึ้นโดยจักรพรรดิ Phuc Hi ของจีน จัดเปน เครื่องดนตรีชนิดหนึ่งที่นิยมนํามาเลนกันเปนอยางมากในประเทศเวียดนาม

(แนวตอบ ดานญี่ (Dan nhi) เปนเครื่องดนตรี ประเภทเครื่องสาย มีลักษณะคลายซอดวง ของไทย มีเสียงสูง - ตํ่าที่เปนเอกลักษณ เฉพาะตัว ดานญี่ (Dan nhi) มีสาย 2 สาย สายทํามาจากไหมถักและกลองเสียง ทํามาจากหนังงู ในปจจุบนั ดานญี่ (Dan nhi) สายมักทําจากลวดและกลองเสียงทําดวยไม)

บูรณาการอาเซียน จากการศึกษาความรูพื้นฐานเกี่ยวกับเครื่องดนตรีในวัฒนธรรมตางๆ สามารถเชื่อมโยงกับประเทศสมาชิกอาเซียน คือ ประเทศเวียดนาม ซึ่งมีความ คลายคลึงในเรื่องของเครื่องดนตรี คือ กลองมโหระทึก ในวัฒนธรรมดองซอน ประเทศเวียดนามกับกลองมโหระทึก ในวัฒนธรรมไทย กลองมโหระทึก เปนกลอง ศักดิส์ ทิ ธิ์ ถูกคนพบในภาคอีสาน จะมีลวดลายดานบนเปนรูปกบ 4 ตัว หมายถึง ฝน ซึ่งหมายถึง ความอุดมสมบูรณของพืชพันธุธัญญาหาร นักโบราณคดีสันนิษฐานวา คนในสมัยโบราณสรางกลองมโหระทึก เพื่อใชในพิธีขอฝน หรือพิธีไสยศาสตร หรือแสดงฐานะอันมั่นคงสูงสง หรือใชในพิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย หรือใช ในสงคราม ลวดลายอันสวยงามบนผิวกลอง ไดแก ลายรัศมีดาว หรืออาทิตย 12 แฉก ลายคนสวมเครื่องประดับศีรษะดวยขนนก ลายนกกระสา ลายซี่หวี และลายกลีบดอกไม

คูมือครู

13


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

Explain

ใหนกั เรียนกลุม ที่ 5 ทีไ่ ดศกึ ษา คนควา หาความรู เพิ่มเติมเกี่ยวกับดนตรีในวัฒนธรรมตางประเทศ สงตัวแทน 2 - 3 คน ออกมาอธิบายความรูในหัวขอ ดนตรีในวัฒนธรรมพมา ตามที่ไดศึกษามาหนาชั้น เรียน จากนั้นครูถามนักเรียนวา • ดนตรีของพมามีรูปแบบอยางไร (แนวตอบ ดนตรีของพมา มีทงั้ ดนตรีแบบแผนที่ เปนของราชสํานัก ดนตรีของราษฎรและดนตรี ของกลุมชาติพันธุตางๆ บทบาทของดนตรี จะถูกนํามาใชในการประกอบพิธีกรรมตางๆ เพื่อความรื่นเริงบันเทิง เฉลิมฉลอง ตลอดจน ใชประกอบการแสดงดวย วงดนตรีที่สําคัญ คือ “วงซายวาย” เปนวงดนตรีแบบแผน ที่รูจักกันทั่วไป ถือเปนวงดนตรีประจําชาติ ทีน่ กั ดนตรีชาวพมาไดพฒ ั นาขึน้ อยางตอเนือ่ ง จนกลายเปนดนตรีของราชสํานัก) • พมาไดรับอิทธิพลทางดนตรีจากไทย บางหรือไม ถาไดรบั จะไดรบั อิทธิพลในดานใด (แนวตอบ ไดรับอิทธิพลทางดานเพลง สําหรับ เพลงของพมา มีเพลงโบราณเพลงหนึ่งชื่อ เพลงโยธยา เชื่อวาไดรับสืบทอดจากศิลปน ของอยุธยาเมื่อครั้งที่พมากวาดตอนผูคน ไปอยูที่หงสาวดี ) • คําวา “ซายวาย” หมายถึงสิ่งใด (แนวตอบ ซายวาย เปนวงดนตรีประจําชาติ ของพมา ที่ใชในงานพิธีและงานบันเทิง มีเลนทั้งในงานหลวง งานวัดและงานราษฎร ปจจุบันพมายังคงมีความนิยมนําวงซายวาย มาเลนในงานพิธตี า งๆ เชน งานบวช งานทรงเจา งานรับปริญญา งานตอนรับ แขกบานแขกเมือง เปนตน เสียงดนตรี ที่บรรเลงจากวงซายวายนั้นมีลีลาเครงขรึม แตนุมนวล ใหทั้งอารมณสนุกสนาน เราใจ และโศกเศรา)

เป็นวงดนตรีแบบแผนที่รู้จักกันทั่วไป ถือเป็นวงดนตรีประจ�ำชำติ วงซำยวำยใช้บรรเลงในงำนพิธี ของทำงรำชกำร งำนต้อนรับอำคันตุกะของรัฐบำล งำนทีเ่ กีย่ วข้องกับพิธกี รรมทำงพระพุทธศำสนำ ตลอดจนใช้ในงำนพิธีกรรมของรำษฎรด้วย ดนตรีพม่ำได้พฒ ั นำขึน้ มำอย่ำงต่อเนื่องจนกลำยเป็น ดนตรีของรำชส�ำนัก ประกอบด้วยเครื่องดนตรีหลำยชนิด ซึ่งแต่ละชนิดมีกำรแกะสลัก ปิดทอง ประดับประดำด้วยกระจกสีต่ำงๆ อย่ำงสวยงำม เครื่องดนตรีพม่ำที่ควรรู้จัก เช่น ปเนห์ เป็นปี่ที่มีล�ำโพง ก�ำพวดปี่ ลิ้นปี่ท�ำด้วยใบตำล เลำปี่มีรู ๗ รู ส�ำหรับเปลี่ยนระดับเสียง ปี่เนห์มีทั้งขนำดเล็กและขนำดใหญ่ มองซาย มีลักษณะเหมือนฆ้องของไทย จุดก�ำเนิดเสียงอยู่ที่กำรน�ำเอำ “ลูกโหม่ง” ที่พม่ำ เรียกว่ำ “มอง” ซึ่งเป็นโลหะทองเหลืองที่ถูกตีขึ้นรูปให้กลมและแบนบำงอย่ำงถำด มีปุ่มนูน ขึ้นเป็นจุดกระทบตรงกลำงมำประกอบติดกันเป็นจ�ำนวน ๓ รำง จำกนั้นน�ำไปร้อยเชือกผูกไว้ ในรำงไม้ ซึง่ พม่ำเรียกว่ำ “ซาย” ส�ำหรับใช้ไม้ตี มองซำยหนึง่ ชุดจะมีลกู โหม่งจ�ำนวนทัง้ หมด ๑๗-๑๘ ใบ ไล่เรียงขนำดจำกใหญ่ไปหำเล็ก เป็นเครื่องดนตรีที่นิยมใช้ในวงปี่พำทย์ของพม่ำ ซองเกาะ เป็นพิณพม่ำที่มีควำมสวยงำม เป็นเอกลักษณ์ของดนตรีพม่ำ เป็นเครื่องดนตรีของ รำชส�ำนักและชนชั้นสูง ศิลปะกำรเล่นซองเกำะได้รับกำรพัฒนำอย่ำงต่อเนื่อง เดิมซองเกำะมีสำย เพียง ๓ สำย แต่นักดนตรีพม่ำได้เพิ่มเป็น ๑๖ สำย ดังปรำกฏในปัจจุบัน ซองเกำะนิยมบรรเลง ในงำนส�ำคัญๆ ของทำงกำร ใช้ได้ทั้งบรรเลงเดี่ยวและประกอบกำรขับร้อง

ซองเกาะ เป็นพิณพม่าที่มีความสวยงามและถือเป็นเครื่องดนตรีของราชส�านักและชนชั้นสูง

1๔

EB GUIDE

บูรณาการอาเซียน จากการศึกษาความรูพื้นฐานเกี่ยวกับเครื่องดนตรีในวัฒนธรรมตางๆ สามารถเชือ่ มโยงกับประเทศสมาชิกอาเซียน คือ ประเทศพมา ซึง่ มีความคลายคลึง ในเรื่องของเครื่องดนตรี คือ จะเข ในภาษามอญจะเรียกจะเขวา “จฺยาม” ในภาษา พมาเรียกวา “มิจอง” หรือ “หมี่จอง” ซึ่งตางก็แปลวา “จระเข” ดวยกันทั้ง 2 ภาษา เพราะพิจารณาจากรูปลักษณของเครือ่ งดนตรีทมี่ คี วามพิเศษดวยนิยมทีจ่ ะแกะหุน ของเครื่องดนตรี ซึ่งทําหนาที่เปนกลองเสียงใหเปนรูปจระเขนอนเหยียดยาว ซึ่งมีความเปนไปไดวาแตเดิมจะเขของไทยก็นาจะมีรูปรางและความหมายที่ เหมือนกัน แตตอมาในสมัยหลังชางไทยไดตัดทอนลายละเอียดตางๆ ออกไป เหลือไวเพียงแคโครงสรางดังทีเ่ ห็นกันอยูใ นปจจุบนั การชือ่ เรียกเครือ่ งดนตรีชนิดนี้ วา “จะเข” ก็ยังคงเปนสิ่งตกคางสําคัญที่ยืนยันไดถึงแหลงที่มาของวัฒนธรรม รวมกันระหวางมอญ พมา และไทย

14

คูมือครู

http://www.aksorn.com/LC/Mu&Pa/M2/02

กิจกรรมสรางเสริม ใหนักเรียนรวมรวมภาพเครื่องดนตรีพมา มาจัดทําเปนสมุดภาพ พรอมเขียนอธิบายลักษณะของเครื่องดนตรี ตกแตงใหสวยงาม นําสงครูผูสอน

กิจกรรมทาทาย ใหนักเรียนวิเคราะหความแตกตางเครื่องดนตรีไทยกับเครื่องดนตรีพมา ระหวางฆองวงกับมองซาย พรอมหาภาพมาประกอบเปรียบเทียบใหเห็น อยางชัดเจน ลงกระดาษรายงาน ตกแตงใหสวยงาม นําสงครูผูสอน


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบExplain ายความรู

Expand าใจ ขยายความเข

Evaluate ตรวจสอบผล

อธิบายความรู

Explain

ใหนกั เรียนกลุม ที่ 6 ทีไ่ ดศกึ ษา คนควา หาความรู เพิ่มเติมเกี่ยวกับดนตรีในวัฒนธรรมตางประเทศ สงตัวแทน 2 - 3 คน ออกมาอธิบายความรูในหัวขอ ดนตรีในวัฒนธรรมอินโดนีเซีย ตามที่ไดศึกษามา หนาชั้นเรียน จากนั้นครูถามนักเรียนวา • ประเทศอินโดนีเซียไดรับอิทธิพล เครื่องดนตรีสําริดมาจากวัฒนธรรมใด (แนวตอบ จากวัฒนธรรมดองซอนของ เวียดนาม นอกจากกลองมโหระทึกแลว ก็มีการสรางฆอง แผนตีสําริดขนาดตางๆ สําหรับใชเปนเครื่องตี รวมทั้งมีการสราง เครื่องดนตรีอื่นๆ อีกหลายชนิด และ สามารถนํามาประสมวงเปนวงดนตรี ขนาดใหญได เรียกวา “วงกาเมลัน”)

๒.๖ ดนตรีในวัฒนธรรมอินโดน�เซีย อินโดนีเซียหรือชือ่ ทีค่ นไทยรูจ กั มาแตเดิมคือ “ชวา” เปนประเทศหมูเ กาะขนาดใหญทสี่ ดุ ในโลก วัฒนธรรมของอินโดนีเซียมาจากการผสมผสานอิทธิพลของศาสนาพราหมณ-ฮินดู พระพุทธศาสนา จากอินเดีย ศาสนาอิสลามจากตะวันออกกลาง และศาสนาคริสตจากยุโรป ในขณะที่ผูคนตาม เกาะตางๆ ยังคงยึดถือขนบธรรมเนียม ความเชือ่ และวิถีชีวิตดั้งเดิมของตนอยู อินโดนีเซียไดรบั อิทธิพลเครือ่ งดนตรีสาํ ริด จากวั ฒ นธรรมดองซอนของเวี ย ดนาม ซึ่ ง นอกจากมโหระทึกแลวก็มีการสรางฆอง แผนตี สํ า ริ ด ขนาดต า งๆ สํ า หรั บ ใช เ ป น เครื่ อ งตี รวมทั้งมีการสรางเครื่องดนตรีอื่นๆ อีกหลาย 1 ชนิด และสามารถนํามาประสมวงเปนวงดนตรี ขนาดใหญได เรียกวา “วงกาเมลัน” หมายถึง เครือ่ งดนตรีประเภทเครือ่ งตี ซึง่ จะใชเปนหลักในวงดนตรี การบรรเลงด ว ยเครื่ อ งดนตรี ป ระเภทเครื่ อ ง ขนาดใหญของอินโดนีเซีย ตี เ ป น หลั ก ทั้ ง เครื่ อ งดนตรี ที่ ทํ า ด ว ยโลหะ และที่ ทํ า ด ว ยไม บทบาทของวงกาเมลั น จะใช ใ นการประกอบพิ ธี กรรม การแสดงละคร และกิจกรรมรื่นเริงในเทศกาลตางๆ สําหรับความสัมพันธระหวางดนตรีอินโดนีเซียกับดนตรีไทย ปรากฏมาตั้งแตสมัยอยุธยา โดยไทยไดนาํ เอาปช วา กลองแขก มาบรรเลงในการรําอาวุธ ในขบวนแหพยุหยาตรา มีการนําวรรณกรรม ของชวามาแตงเปนบทละครเรื่องอิเหนาและดาหลัง สําหรับใชแสดงละครใน มีการนํากลองแขก ของชวามาตีเขากับปชวา และในสมัยรัตนโกสินทร หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ยังไดนําเครื่องดนตรีอังกะลุงเขามาในไทย และมีการแตงเพลงไทยใหมีสําเนียงชวา สําหรับ ใชในการบรรเลงอังกะลุงดวย เครื่องดนตรีของอินโดนีเซียที่ควรรูจัก เชน รือบับ เปนเครือ่ งดนตรีประเภทเครือ่ งสายที่ใชคนั ชักอิสระ โดยทัว่ ไปมี ๒ สาย บางถิน่ มี ๓ สาย รูปรางของรือบับคลายกับซอสามสายของไทย ใชบรรเลงเดี่ยวและบรรเลงประกอบการขับรอง ทั้งในวงกัมเมลัน และในวงดนตรีของชาวบานทั่วไป ซารอน เปนเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตี มีแผนโลหะจํานวน ๕-๗ อัน ลักษณะคลายกับแผน ระนาดเหล็กของไทย ตั้งเรียงโดยมีหลักโลหะปกหัว-ทาย มีรางทําดวยไมเพื่อเปนกลองเสียง ใชไม ตีที่ทําดวยเขาควาย

ขยายความเขาใจ

Expand

ใหนักเรียนนําขอมูลเกี่ยวกับดนตรีใน วัฒนธรรมตางประเทศมารวมกันจัดนิทรรศการ เรื่อง “วัฒนธรรมดนตรีเอเซีย” พรอมหาภาพ มาประกอบใหสวยงาม

ตรวจสอบผล

Evaluate

ครูพิจารณาจากการจัดนิทรรศการเรื่อง “วัฒนธรรมดนตรีเอเซีย” ของนักเรียน โดยพิจารณาในดานความถูกตองของเนื้อหา การนําเสนอขอมูล ความสวยงาม และความคิดริเริ่มสรางสรรค

๑๕

ขอสอบเนน การคิด

แนว  NT  O-NE T

เครื่องดนตรีในขอใดที่ ไม จัดอยูในวัฒนธรรมเดียวกัน 1. ตานปุระ ซีตาร เชหไน 2. ซากังรี กูเจิง ปเสน 3. ผิผา โซนา หยางฉิ่น 4. ปเนห มองซาย ซองเกาะ

วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. เพราะซากังรี เปนเครื่องดนตรีในวัฒนธรรม อินเดีย กูเจิง เปนเครื่องดนตรีในวัฒนธรรมจีนและปเสน เปนเครื่องดนตรี ในวัฒนธรรมเวียดนาม

เกร็ดแนะครู ครูควรแนะนําใหนักเรียนหาเพลงพื้นเมืองของประเทศพื้นบานอาเซียนมาฟง เพื่อใหเขาใจถึงทวงทํานองของลักษณะการบรรเลงที่เปนอัตลักษณเฉพาะของชาติ นั้นๆ

นักเรียนควรรู 1 วงดนตรี สามารถแบงออกเปน 2 ประเภทใหญๆ ไดแก 1. Gamelan คือ วงดนตรีดั้งเดิมของชาวอินโดนีเซีย เครื่องดนตรีที่นํามา ประสมเกิดจากภูมิปญญาของชาวอินโดนีเซียเอง วงกาเมลัน คือ สวนหนึ่งของ วิถีชีวิตของชาวอินโดนีเซีย นิยมนํามาบรรเลงในพิธีตางๆ และเพื่อสรางความ บันเทิงทั่วไป 2. Popular Band คือ วงดนตรีที่เกิดขึ้นจากอิทธิพลวัฒนธรรมดนตรี ของชาวตางชาติที่เขาไปในอินโดนีเซีย เชน อินเดีย อาหรับ โปรตุเกส เปนตน คูมือครู

15


กระตุน ความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

กระตุEngage นความสนใจ

Exploreนหา สํารวจค

กระตุน ความสนใจ

Engage

ครูชักชวนนักเรียนสนทนาเกี่ยวกับองคประกอบ ของดนตรีในสังคมและวัฒนธรรม จากนั้นครูถาม นักเรียนวา • ปจจัยสําคัญที่มีผลตอการเปลี่ยนแปลง ทางดนตรีในประเทศไทยมีอะไรบาง (แนวตอบ ปจจัยสําคัญที่มีอิทธิพลตอการ เปลี่ยนแปลงทางดนตรีในประเทศไทย มี 2 ประการ ไดแก การเปลี่ยนแปลง ทางการเมืองและการเปลี่ยนแปลง ทางเทคโนโลยี)

สํารวจคนหา

ซูลิง เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าที่ทำาด้วยไม้ไผ่ ลักษณะคล้ายกับขลุ่ย มีหลายขนาด ซูลิงมีเสียงไพเราะ ใช้ประสมในวงกัมเมลัน บรรเลงประกอบการขับร้อง และในกิจกรรมต่างๆ เซรูไน เป็นเครือ่ งดนตรีประเภทเครือ่ งเป่าทีม่ ลี นิ้ คู่ มีกาำ พวดสำาหรับเสียบเข้ากับเลาของเซรูไน ทีเ่ ลามีรเู ปิด-ปิดเสียง ส่วนปลายเป็นปากลำาโพงมีทงั้ ทีท่ าำ ด้วยไม้และโลหะ มีหลายขนาด ใช้ประสม ในวงฆ้องกลอง บรรเลงประกอบพิธกี รรม และประกอบการแสดงสีละ ซึง่ เป็นการแสดงต่อสูป้ อ้ งกันตัว

กิจ กรรมศิลป์ปฏิบัติ ๑.๑ ๑

กิจกรรมที่

Explore

ใหนักเรียนศึกษา คนควา หาความรูเพิ่มเติม เกีย่ วกับเหตุการณประวัตศิ าสตรกบั การเปลีย่ นแปลง ทางดนตรีในประเทศไทย จากแหลงการเรียนรูต า งๆ เชน หองสมุดโรงเรียน หองสมุดชุมชน อินเทอรเน็ต เปนตน ในหัวขอที่ครูกําหนดให ดังตอไปนี้ 1. การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองกับงานดนตรี 2. การเปลีย่ นแปลงทางเทคโนโลยีกบั งานดนตรี

อธิบายความรู

กิจกรรมที่

ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ ๕ คน เพื่อศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับดนตรีใน วัฒนธรรมต่างๆ โดยอธิบายถึงลักษณะของดนตรีในวัฒนธรรมที่กลุ่มได้ เลือกศึกษา นำาเสนอเป็นรายงานกลุม่ ส่งครูผสู้ อน ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ ๕ คน จัดนิทรรศการเกี่ยวกับวัฒนธรรม ดนตรีของประเทศในภูมภิ าคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเลือกมากลุม่ ละ ๑ ประเทศ

๓. เหตุการณ์ประวัติศาสตร์กับการเปลี่ยนแปลงทางดนตรี ในประเทศไทย ดนตรีเป็นศิลปะของมนุษยชาติทถี่ า่ ยทอดความรูส้ กึ นึกคิดทางวัฒนธรรมของแต่ละวัฒนธรรม จึงย่อมมีการผสมผสาน ปรับปรุง และเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ซึ่งปัจจัยสสำาคัญ ๒ ประการที่มีอิทธิพล ต่องานดนตรีของประเทศไทย ก็คือการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและการเปลี่ยนแปลงทาง เทคโนโลยี ซึ่งสามารถสรุปได้ ดังนี้

Explain

ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับเหตุการณ ประวัติศาสตรกับการเปลี่ยนแปลงทางดนตรีใน ประเทศไทย ในหัวขอการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง กับงานดนตรี ตามที่ไดศึกษามา จากนั้นครูถาม นักเรียนวา • เพราะเหตุใดดนตรีจึงมีการเปลี่ยนแปลง รูปแบบไปจากอดีต (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ)

๓.๑ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองกับงานดนตรี การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมีอิทธิพลต่องานดนตรีของประเทศไทยในทุกยุคสมัย ทั้งโดย เปลี่ยนจากพื้นฐานของตนเอง และรับแนวคิดจากวัฒนธรรมภายนอก ๑) ช่วงปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ประเทศไทยได้รับแนวคิด การมีเพลงเกียรติยศส ศสำาหรับสถาบันหรือบุคคลส คลสำาคัญของชาติจากชาวตะวันตก กล่าวคือ ประเทศ ที่มีกษัตริย์ก็ต้องมีเพลงส พลงสำ ผลทาให้เกิ3ดเพลงเกียรติยศขึ้นมาหลายเพลง เช่น 1 าหรับกษัตริ2ย์ ส่งผลทำ เพลงสรรเสริญพระบารมี เพลงมหาชัย เพลงมหาฤกษ์ เป็นต้น 16

นักเรียนควรรู 1 เพลงสรรเสริญพระบารมี เปนเพลงบรรเลงเพื่อสรรเสริญพระบารมีแหง พระมหากษัตริย แตเดิมไดใชเพลงนี้เปนเพลงประจําชาติของไทย จัดเปนเพลง ชาติไทยฉบับที่ 3 ทํานองโดย ปโยตร ชูรอฟสกี้ (Pyotr Schurovsky) นักประพันธ เพลงชาวรัสเซีย คํารองเปนพระนิพนธในสมเด็จพระเจาบรมวงศเธอ เจาฟาจิตรเจริญ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ 2 เพลงมหาชัย เปนเพลงเกียรติยศสําหรับพระบรมวงศ สมเด็จพระบรมราชชนนี ผูสําเร็จราชการแทนพระองค นายกรัฐมนตรี ใชเปนเพลงเดินธงในพิธีการสําคัญ ทางทหารและใชบรรเลงในการอวยพร 3 เพลงมหาฤกษ เปนเพลงที่ใชบรรเลงในเวลาไดฤกษเปดงานที่เปนพิธีสําคัญ สําหรับเชื้อพระวงศที่ตํ่ากวาชั้นพระบรมวงศลงมา ขาราชการที่มีระดับตํ่ากวา นายกรัฐมนตรีและทหารที่มียศตํ่ากวาจอมพลลงมาจนถึงสามัญชนทั่วไป ประพันธ ทํานองโดยสมเด็จพระเจาบรมวงศเธอ เจาฟาบริพัตรสุขุมพันธุ กรมพระนครสวรรค วรพินิต

16

คูมือครู

ขอสอบเนน การคิด

แนว  NT  O-NE T

ขอใด ไมใช สาเหตุที่ทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงทางดนตรีในประเทศไทย 1. การเปลี่ยนแปลงการปกครองตามนโยบายของรัฐบาล 2. ภายหลังเหตุการณ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 3. สภาพทางภูมิอากาศและภูมิประเทศเกิดการเปลี่ยนแปลง 4. ปฏิรูปการปกครองแผนดินในสมัยรัชกาลที่ 5 วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เพราะสภาพทางภูมิอากาศและภูมิประเทศ เกิดการเปลี่ยนแปลงไมไดมีสวนเกี่ยวของที่ทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลง ทางดนตรีในประเทศไทย


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบายความรู

Explain

ครูสุมนักเรียน 2 - 3 คน ใหตอบคําถาม ดังตอไปนี้ • การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองกับงานดนตรี จะเกิดขึ้นเมื่อเกิดเหตุการณในชวงใด (แนวตอบ เกิดเหตุการณในชวงการปฏิรูป การปกครองแผนดิน ชวงหลังการเปลีย่ นแปลง การปกครอง ชวงสมัยรัฐนิยม ชวงเหตุการณ วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516) • เพลงเกียรติยศหมายถึงเพลงที่มีลักษณะ อยางไร (แนวตอบ เพลงเกียรติยศ เปนเพลงบรรเลง เพื่อเปนเกียรติยศแกบุคคล ผูดํารงตําแหนง สําคัญ หรือผูมียศทางทหารตางๆ ในโอกาส ตางๆ ซึ่งในบางประเทศก็ใชเพลงชาติ ในการทําหนาที่ดังกลาวนี้ดวย) • เพราะเหตุใดจึงมีการยกเลิกเพลงสรรเสริญ พระบารมีไมใชเปนเพลงประจําชาติ (แนวตอบ เพราะมีการประพันธเพลงชาติ ขึ้นใหม ทํานองโดยพระเจนดุริยางค ในชวง หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อป พ.ศ. 2475 ซึ่งเพลงสรรเสริญพระบารมี ไมไดใชในฐานะเพลงชาติอีกตอไป แตยัง นํามาใชในฐานะเพลงที่ใชแสดงเพื่อถวาย ความเคารพแดองคพระมหากษัตริย) • เพราะเหตุใดจึงนําเพลงมหาฤกษมาใช ในงานมงคลสมรส (แนวตอบ เพราะเพลงมหาฤกษเปนเพลงที่ นิยมนํามาใชแทนคําอวยพรซึ่งกันและกัน ในพิธีมงคลฤกษตางๆ เพลงนี้จึงถูกนํามา ใชเพื่อเปนการอวยพรใหแกคูบาวสาว เพื่อเปนการแสดงความยินดี ทุกคนในงาน จะรวมกันยืนขึน้ เปนการใหเกียรติพรอมกัน)

ส�ำหรับที่มำของเพลงสรรเสริญพระบำรมี เกิดจำกเมื่อครั้งที่พระบำทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ำเจ้ำอยู่หัวเสด็จประพำสเกำะชวำ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๔ ขณะที่ประทับอยู่ที่สิงคโปร์ วงดุริยำงค์ของอังกฤษต้องกำรบรรเลงเพลง เกียรติยศเพือ่ รับเสด็จ ในสมัยนัน้ ประเทศไทยยัง ไม่มเี พลงเกียรติยศส�ำหรับกษัตริย์ วงดุรยิ ำงค์จงึ ใช้เพลง “God Save the Queen” ซึ่งเป็นเพลง เกียรติยศของอังกฤษบรรเลงรับเสด็จแทน และ เมือ่ ทรงเสด็จไปยังเมืองปัตตำเวีย ชำวฮอลันดำ ก็ได้สอบถำมถึงเพลงประจ�ำพระองค์ เพื่อจะได้ น�ำไปบรรเลงรับเสด็จเช่นกัน เมื่ อ เสด็ จ นิ วั ต สู ่ เ มื อ งไทย จึ ง ทรง โปรดเกล้ำฯ ให้ด�ำเนินกำรให้มีเพลงเกียรติยศ ส�ำหรับกษัตริย์อย่ำงเป็นทำงกำร ซึ่งครูดนตรี ธีสวนสนามของทหารม้ารักษาพระองค์มีการบรรเลง ไทยได้เลือกเพลงบุหลันลอยเลือ่ นในสมัยรัชกำล พิเพลงสรรเสริ ญ พระบารมี เพื่ อ รั บ เสด็ จ และส่ ง เสด็ จ ที่ ๒ มำปรับปรุงเป็นเพลงสรรเสริญพระบำรมี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ท่วงท�ำนองจังหวะยังคงไม่เหมำะกับกำรใช้ เครื่องดนตรีสำกลบรรเลง ในเวลำต่อมำจึงโปรดเกล้ำฯ ให้น�ำท�ำนอง เพลงที่ครูดนตรีชำวฮอลันดำเป็นผู้แต่งมำใช้ ใช้ ส่วนเนื้อร้องเป็นบทพระนิพนธ์ของสมเด็จฯ เจ้ำฟ้ำกรมพระยำนริศรำนุวัดติวงศ์ ซึง่ ภำยหลั ำยหลั ยหลัง พระบำทสมเด็จพระมงกุฎเกล้ำเจ้ำอยูห่ วั ทรงปรับ ค�ำบำงแห่ งแห่งให้สอดคล้องกัน ดังเนื้อเพลงที่ ใช้ ร้องกันในปัจจุบัน ส�ำหรับเพลงมหำชัย สมเด็จพระเจ้ำบรมวงศ์เธอ เจ้ำฟ้ำกรมพระยำนริศรำนุวัดติวงศ์ทรงพระนิพนธ์ขึ้น เพื่อเป็ น เพลง เกี ย รติ ย ศของประธำนในพิ ธี ที่ เ ป็ น พระบรม วงศำนุนุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ เช่น สมเด็จพระเทพรัตนปัจจุบันนิยมบรรเลงเพลงมหาฤกษ์ ท�านองเพลงฝรั่งใน รำชสุดำฯ สยำมบรมรำชกุมำรี เป็นต้น และ ช่วงเวลาทีถ่ อื เป็นฤกษ์ หรือในการเปิดงานทีเ่ ป็นพิธตี า่ งๆ 17

กิจกรรมสรางเสริม ใหนักเรียนฝกขับรองเพลงสรรเสริญพระบารมี หรือเพลงมหาฤกษ หรือเพลงมหาชัย ตามความสนใจของตนเอง 1 เพลง จากนั้นออกมา ขับรองเพลงใหเพื่อนชมหนาชั้นเรียน พรอมอธิบายเหตุผลในการเลือกเพลง นี้มาใชในการขับรอง โดยมีครูเปนผูชี้แนะความถูกตอง

กิจกรรมทาทาย ใหนักเรียนฟงเพลงสรรเสริญพระบารมี หรือเพลงมหาฤกษ หรือเพลงมหาชัย ตามความสนใจของตนเอง 1 เพลง จากนั้นวิเคราะห ความหมายของบทเพลง ลงกระดาษรายงาน นําสงครูผูสอน

เกร็ดแนะครู ครูควรอธิบายความรูเ พิม่ เติมเกีย่ วกับเพลงมหาชัยวา ในชวงทีม่ กี ารเปลีย่ นแปลง การปกครอง พ.ศ. 2475 คณะราษฎรไดนําเอาเพลงมหาชัยมาใชเปนเพลงปฏิวัติ มีชื่อวา “เพลงชาติมหาชัย” คํารองโดยเจาพระยาธรรมศักดิ์มนตรี เนื้อเพลง ชาติมหาชัย มีดังนี้ “สยามอยูคูฟาอยาสงสัย เพราะชาติไทยเปนไทยไปทุกเมื่อ ชาวสยามนําสยามเหมือนนําเรือ ผานแกงเกาะเพราะเพื่อชาติพนภัย เรารวมใจรวมรักสมัครหนุน วางธรรมนูญสถาปนาพาราใหม ยกสยามยิ่งยงธํารงชัย ใหคงไทยตราบสิ้นดินฟา”

มุม IT นักเรียนสามารถฟงเพลงชาติมหาชัย ไดจาก http://www.youtube.com โดยคนหาจากคําวา เพลงชาติมหาชัย คูมือครู

17


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

Explain

ครูสุมนักเรียน 2 - 3 คน ใหตอบคําถาม ดังตอไปนี้ • ในชวงเปลี่ยนแปลงการปกครองป พ.ศ. 2475 ดนตรีมีการเปลี่ยนแปลงไปอยางไร (แนวตอบ คณะราษฎรไดประกาศใชเพลง ชาติมหาชัย ซึง่ ประพันธเนือ้ รองโดยเจาพระยา ธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เปนเพลงชาติอยู 7 วัน แตไมไดรับความนิยม จากประชาชน จึงไดเปลี่ยนมาเปนเพลงชาติ ฉบับที่แตงทํานองโดยพระเจนดุริยางค (ปติ วาทยะกร) เปนเพลงชาติอยาง เปนทางการแทนเพลงสรรเสริญพระบารมี) • เพราะเหตุใดในชวงสมัยรัฐนิยมการดนตรี จึงมีรูปแบบเปลี่ยนไปจากอดีตเปนอยางมาก (แนวตอบ เพราะรัฐบาลตองการที่จะพัฒนา ประเทศใหมีความทันสมัยมากขึ้นเหมือนกับ ชาติตะวันตก จึงไดมีการกําหนดวัฒนธรรม ขึ้นใหมเพื่อใหคนไทยยึดถือและปฏิบัติตาม ซึ่งนโยบายนี้มีผลกระทบตอดนตรีไทย คือ มีการหามบรรเลงดนตรีไทย เพราะเห็นวา ไมสอดคลองกับการพัฒนาประเทศ ใครที่ตองการจัดใหมีการบรรเลงดนตรีไทย ตองขออนุญาตจากทางราชการกอน) • ละครหลวงวิจติ รวาทการคือละครทีม่ ลี กั ษณะ อยางไร (แนวตอบ เปนละครที่จะใชเปนสื่อปลุกใจ ใหประชานเกิดความรักชาติ เนื้อหาสวนใหญ นํามาจากประวัติศาสตรตอนใดตอนหนึ่ง บทละครจะมีทั้งรัก รบ อารมณสะเทือนใจ ความรักที่มีตอคูรัก ถึงแมจะมากมายเพียงไร ก็ไมเทากับความรักชาติ ตัวเอกของเรื่อง จะเสียสละชีวิตเพื่อชาติ)

1 เพลงมหำฤกษ์ สมเด็จพระเจ้ำบรมวงศ์เธอ เจ้ำฟ้ำบริพตั รสุขมุ พันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินติ ทรงน�ำ ท�ำนองของเก่ำครัง้ สมัยอยุธยำมำพระนิพนธ์ขนึ้ ให้เป็นท�ำนองอย่ำงเพลงฝรัง่ ใช้ในวโรกำสทีเ่ กีย่ วกับ ฤกษ์พิธี หรือช่วงเวลำที่เหมำะสมและส�ำคัญที่สุดของงำน รวมทั้งใช้บรรเลงต้อนรับประธำนในพิธี ที่มิได้เป็นพระบรมวงศำนุวงศ์ ๒) ช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ภำยหลังเปลี่ยนแปลงกำรปกครอง มำเป็นระบอบประชำธิปไตย เมื่อเดือนมิถุนำยน พ.ศ. ๒๔๗๕ ก็ได้มีกำรใช้เพลงชำติฉบับที่ พระเจนดุรยิ ำงค์ (ปิติ วำทยกร) ประพันธ์ทำ� นอง และขุนวิจติ รมำตรำ (สง่ำ กำญจนำคพันธุ)์ ประพันธ์ เนื้อเพลง แต่ใช้เป็นช่วงสั้นๆ อย่ำงไม่เป็นทำงกำร ในปี พ.ศ. ๒๔๗๗ รัฐบำลได้จดั ประกวดเนือ้ ร้องเพลงชำติใหม่ ผลปรำกฏว่ำเนือ้ ร้องของ ขุนวิจิตรมำตรำยังคงได้รับกำรรับรองให้ใช้อีกต่อไป แต่มีกำรเพิ่มเนื้อร้องของนำยฉันท์ ข�ำวิไล เข้ำต่อท้ำยอีก ๒ บท ท�ำให้เนื้อร้องเพลงชำติยำวมำก ต่อมำเมื่อมีกำรเปลี่ยนชื่อประเทศจำก สยำมมำเป็นไทย ในปี พ.ศ. ๒๔๘๒ ทำงรำชกำรจึงเลือกใช้ท�ำนองเพลงเดิมของพระเจนดุริยำงค์ 2 ส่วนเนือ้ เพลงได้เปิดให้มกี ำรประกวดทัว่ ไป ผลปรำกฏว่ำเนือ้ เพลงของพันเอก หลวงสำรำนุประพันธ์ (นวล ปำจิณพยัคฆ์) ซึง่ แต่งในนำมกองทัพบกได้รบั คัดเลือกและน�ำมำใช้อย่ำงเป็นทำงกำร นับตัง้ แต่ วันที่ ๑๐ ธันวำคม พ.ศ. ๒๔๘๒ เป็นต้นมำ ๓) ช่วงสมัยรัฐนิยม กำรเมืองของประเทศไทยหลัง พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นต้นมำ รัฐบำลมีควำมต้องกำรจะพัฒนำประเทศให้มีควำมทันสมัยเหมือนอย่ำงตะวันตก รวมทั้งต้องกำร ปลูกฝังให้คนไทยมีควำมคิดแบบชำตินิยม จึงพยำยำมก�ำหนดวัฒนธรรมใหม่ให้คนไทยยึดถือ แนวควำมคิดนี้มีควำมชัดเจนมำกใน 3 รัฐบำลของจอมพล ป. พิบูลสงครำม ซึ่งด�ำรง ต�ำแหน่งนำยกรัฐมนตรี ระหว่ำง พ.ศ. ๒๔๘๑๒๔๘๗ ได้ออกประกำศรัฐนิยม ถึง ๑๒ ฉบับ ประกอบด้วยกิจกรรมหลำยลักษณะ รวมทั้ง ดนตรีก็ถูกน�ำไปมีส่วนร่วมในกำรสร้ำงควำม รู้สึกชำตินิยมด้วย ซึ่งหน่วยงำนที่เป็นหลักใน กำรด�ำเนินงำนสร้ำงจิตส�ำนึกรักชำติ ได้แก่ กรมศิลปำกร และกรมโฆษณำกำร บุคคลส�ำคัญที่ มีบทบำทในกำรท�ำงำนก็คือหลวงวิจิตรวำทกำร ละครเรื่อง เลือดสุพรรณ เป็นละครที่ปลุกใจให้รักชาติ อธิบดีคนแรกของกรมศิลปำกรที่ ใช้ละครเป็น ปัจจุบันยังมีการน�ามาแสดงในโอกาสต่างๆ เครื่องมือสื่อสำรแนวคิดในกำรรักชำติ 18

นักเรียนควรรู 1 สมเด็จพระเจาบรมวงศเธอ เจาฟาบริพตั รสุขมุ พันธุ กรมพระนครสวรรควรพินติ พระองคทรงมีพระปรีชาสามารถในงานดนตรีและทรงไดรับการขนานพระนาม เปน “พระบิดาแหงเพลงไทยเดิม” ทรงพระนิพนธเพลงไทย เพลงฝรั่ง และเพลงไทยเดิมไวมากมาย ไดแก เพลงวอลซปลื้มจิต เพลงวอลซชุมพล เพลงสุดเสนาะ เพลงมหาฤกษ และเพลงพญาโศก 2 พันเอกหลวงสารานุประพันธ (นวล ปาจิณพยัคฆ) นักเขียน นักประพันธ บรรณาธิการหนังสือสารานุกูล เปนผูประพันธเพลงชาติไทย 3 จอมพล ป.พิบูลสงคราม (แปลก พิบูลสงคราม) เปนนายกรัฐมนตรีของไทย ที่มีระยะเวลาในการดํารงตําแหนงมากที่สุด คือ 8 สมัย รวม 14 ป 11 เดือน 18 วัน เปนผูเปลี่ยนชื่อ “ประเทศสยาม” เปน “ประเทศไทย” และเปนผูเปลี่ยน “เพลงชาติไทย” มาเปนเพลงที่ใชกันอยูในปจจุบัน

18

คูมือครู

ขอสอบเนน การคิด

แนว  NT  O-NE T

ขอใดกลาว ไมถูกตอง เกี่ยวกับเพลงปลุกใจ 1. เพลงที่มีความหมายมุงปลุกจิตสํานึกของคนไทยใหเกิดความรักชาติ บานเมือง 2. เพลงปลุกใจของไทยเริ่มขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา นภาลัย รัชกาลที่ 2 3. เปนเพลงที่มีเนื้อรอง ทํานอง จังหวะเราใจ ชวนใหผูฟงเกิดอารมณ ฮึกเหิมและคึกคัก 4. เพลงปลุกใจมีอยูหลายบทเพลง เชน เพลงตื่นเถิดไทย เพลงใตรมธงไทย เพลงถิ่นเมืองไทย เพลงไทยรวมกําลัง เปนตน วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. เพราะเพลงปลุกใจของไทยเริ่มขึ้น ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลาเจาอยูหัว รัชกาลที่ 6


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบายความรู โดยเฉพำะละครปลุกใจเรื่องต่ำงๆ ของหลวงวิจิตรวำทกำร จะเน้นเนื้อหำสำระให้ผู้ชม ตระหนักถึงควำมสำมัคคี รักชำติ มีควำมเสียสละเพือ่ ส่วนรวมผ่ำนตัวละคร บทร้อง และท�ำนองเพลง ดังปรำกฏในละครเรื่องเลือดสุพรรณ รำชมนู ศึกถลำง เจ้ำหญิงแสนหวี มหำเทวี เป็นต้น และเมื่อ มีกำรก่อปฏิวตั ริ ฐั ประหำร ทำงรัฐบำลก็ได้นำ� เพลงทีเ่ รียกว่ำเพลงปลุกใจทีอ่ ยู่ในละครมำออกอำกำศ ทำงสถำนีวทิ ยุกระจำยเสียง และสถำนีโทรทัศน์ เช่น เพลงเลือดสุพรรณ จำกละครเรือ่ งเลือดสุพรรณ เพลงรักเมืองไทย จำกละครเรือ่ งรำชมนู เพลงศึกถลำง เพลงแหลมทอง เพลงตืน่ เถิดชำวไทย จำก ละครเรื่องศึกถลำง เป็นต้น ๔) ช่วงเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ สถำนกำรณ์บ้ำนเมืองในขณะนั้น มีควำมแตกแยกทำงควำมคิดอย่ำงหนัก โดยเฉพำะควำมวิตกกังวลเกีย่ วกับกำรแพร่ขยำยของลัทธิ คอมมิวนิสต์ ขณะเดียวกันก็เกิดกำรต่อต้ำนลัทธิทนุ นิยมตะวันตก รวมทัง้ ประชำชนเกิดควำมต้องกำร ให้บ้ำนเมืองมีกำรปกครองแบบประชำธิปไตยอย่ำงสมบูรณ์ ให้รัฐบำลแก้ไขปัญหำคนยำกจนที่ถูก เอำรัดเอำเปรียบ และไม่ได้รับควำมเป็นธรรมต่ำงๆ สภำพเหตุกำรณ์บ้ำนเมืองในขณะนั้น ได้เป็นแรงบันดำลใจให้ศิลปินสร้ำงสรรค์ดนตรี และบทเพลงออกมำรับใช้สงั คมเป็นจ�ำนวนมำก โดยเฉพำะบทเพลงเพือ่ ชีวติ เพลงทีม่ เี นือ้ หำสำระ บอกเล่ำเรื่องรำวควำมเป็นไปในสังคม ให้เห็นควำมยำกไร้ของชนชั้นกรรมำชีพ กำรต่อต้ำนสินค้ำ ต่ำงชำติ ควำมไม่เป็นธรรม เพลงเพื่อชีวิตจะใช้ เครื่องดนตรีง่ำยๆ แล้วแต่ควำมถนัด ผสม ผสำนระหว่ำงเครือ่ งดนตรีตะวันออกกับตะวันตก 1 วงดนตรีเพื่อ2ชีวิตในยุคนั้น เช่น วงคำรำวำน วำำน วงแฮมเมอร์ เป็นต้น ช่ ว งเวลำดั ง กล่ ำ วก็ มี ด นตรี ใ นอี ก ลักษณะหนึ่ง คือ เพลงปลุกใจ ที่มีเนื้อหำสำระ ระ เน้ น ให้ รั ก ชำติ รั ก แผ่ น ดิ น ต่ อ ต้ ำ นลั ท ธิ คอมมิวนิสต์ ต่อต้ำนผู้ที่ท�ำให้บ้ำนเมืองวุ่นวำย เพลงปลุ ก ใจเป็ น เพลงที่ มี อิ ท ธิ พ ลต่ อ ผลกำร ยในของผูฟ้ งั ให้กระตือรือร้น เกิด กระตุน้ พลังภำยในของผู ควำมฮึกเหิม กล้ำหำญญ เพลงปลุกใจทีผ่ คู้ นน�ำมำ ร้องกันบ่อย เช่น เพลงหนักแผ่นดิน ถำมคนไทย วงคาราวานเป็นวงดนตรีเพื่อชีวิตที่โด่งดังมากในช่วง เหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖ (จากภาพ) ปกเทปเพลงของ อยุธยำร�ำลึก เป็นต้น วงคาราวาน อัลบัมอเมริกันอันตราย 19

ขอสอบเนน การคิด

แนว  NT  O-NE T

ขอใดเปนเหตุการณที่เกิดขึ้นในชวงวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 1. ขุนวิจิตรมาตราประพันธเนื้อเพลงชาติ 2. มีบทเพลงเพื่อชีวิตที่มีเนื้อหาสาระบอกเลาเรื่องราวความเปนไปในสังคม มากขึ้น 3. จอมพล ป. พิบูลสงคราม ใหหนวยงานของรัฐบาลดําเนินงานสรางจิตสํานึก ใหประชาชนรักชาติ 4. สมเด็จพระเจาบรมวงศเธอ เจาฟาจิตรเจริญ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ ทรงนิพนธเพลงมหาชัย วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. เพราะชวงเวลาดังกลาวดนตรีจะเนนเนื้อหา สาระในเชิงปลุกใจใหรักชาติ มีบทเพลงเพื่อชีวิตที่มีเนื้อหาสาระบอกเลา เรื่องราวความเปนไปในสังคมมากขึ้น ถูกถายทอดโดยวงคาราวาน และวงแฮมเมอร เปนตน

Explain

ครูสุมนักเรียน 2 - 3 คน ใหตอบคําถาม ดังตอไปนี้ • นักเรียนทราบหรือไมวาวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ไดเกิดเหตุการณใดขึ้นกับ ประเทศไทย (แนวตอบ เหตุการณวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 หรือวันมหาวิปโยค เปนเหตุการณ ที่นักศึกษาและประชาชนในประเทศไทย มากกวา 5 แสนคน ไดรวมตัวกัน เพือ่ เรียกรองรัฐธรรมนูญจากรัฐบาลเผด็จการ จอมพลถนอม กิตติขจร โดยในเหตุการณนี้ มีผูเสียชีวิต บาดเจ็บและสูญหาย เปนจํานวนมาก) • จากเหตุการณที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 วงการดนตรีมกี ารเปลีย่ นแปลงไป อยางไร (แนวตอบ จากเหตุการณที่เกิดขึ้นไดเปน การสรางแรงบันดาลใจใหแกศิลปนในการ สรางสรรคงานดนตรีและบทเพลงออกมา เพื่อรับใชสังคมเปนจํานวนมาก โดยเฉพาะ บทเพลงเพื่อชีวิตที่มีเนื้อหาสาระบอกเลา เรื่องราวความเปนไปในสังคมมากขึ้น) • เพลงเพื่อชีวิตหมายถึงเพลงที่มีลักษณะ อยางไร (แนวตอบ เพลงเพื่อชีวิต หมายถึง เพลงที่มีเนื้อหากลาวถึงชีวิตของคน โดยเฉพาะคนชนชั้นลาง กลาวถึงความ ยากลําบากในการใชชีวิต การถูก เอารัดเอาเปรียบ เพลงเพื่อชีวิต ในประเทศไทยเปนที่รูจักและไดรับ ความนิยมอยางมากในชวงหลังเหตุการณ วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 โดยเนื้อหา ของเพลงไมจํากัดเฉพาะชีวิตของคนชั้นลาง แตเพียงอยางเดียว แตยงั รวมถึงการเรียกรอง ประชาธิปไตยและการเหน็บแนมทาง การเมืองอีกดวย)

นักเรียนควรรู 1 วงคาราวาน เปนวงดนตรีเพลงเพื่อชีวิตวงแรกๆ ของประเทศไทย ถือกําเนิด มาจากการรวมวงดนตรี 2 วง คือ ทอเสน สัญจร และบังกลาเทศแบนด คาราวาน ไดออกอัลบั้มแรก คือ “คนกับควาย” ในชวงเหตุการณวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ซึ่งเปนวงดนตรีที่แตงเพลงออกมาเรียกรองประชาธิปไตยอยางแทจริง 2 วงแฮมเมอร เปนวงดนตรีพี่นองชาวไทยมุสลิมเชื้อสายปาทาน มีงานเพลง ที่ไดรับความนิยม เชน เพลงบินหลา เพลงปกษใตบานเรา เปนตน “แฮมเมอร” หมายถึง คอนที่ทุบทําลายความอยุติธรรมตางๆ และสรางความ เปนธรรมในสังคม

มุม IT นักเรียนสามารถฟงเพลงบินหลาของวงแฮมเมอร ไดจาก http://www.youtube.com โดยคนหาจากคําวา เพลงบินหลา

คูมือครู

19


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

Explain

ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับเหตุการณ ประวัติศาสตรกับการเปลี่ยนแปลงทางดนตรี ในประเทศไทย ในหัวขอการเปลี่ยนแปลง ทางเทคโนโลยีกับงานดนตรี ตามที่ไดศึกษามา จากนั้นครูถามนักเรียนวา • เทคโนโลยีของโลกตั้งแตยุคโบราณ จนถึงยุคปจจุบันใดบางที่สงผลตอดนตรี และเทคโนโลยีนั้นสงผลอยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ) • เทคโนโลยีมีความสําคัญตอการเปลี่ยนแปลง ทางดนตรีอยางไร (แนวตอบ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีได สงผลใหงานดนตรีมีการพัฒนาทั้งในระบบ คอมพิวเตอร เครื่องดนตรี เครื่องบันทึกเสียง เครื่องขยายเสียง และการปรับปรุงรูปแบบ ของดนตรีจนเกิดประสิทธิภาพสูงสุด) • เครื่องบันทึกเสียงหมายถึงเครื่องมือ ที่นํามาใชทําสิ่งใด (แนวตอบ เครื่องบันทึกเสียง คือ เครื่องมือ สําหรับบันทึกสัญญาณแมเหล็กไฟฟา ความถี่เสียงลงบนแถบบันทึกเสียง และเลนกลับเปนคลื่นเสียงตามธรรมชาติ ใหสามารถไดยนิ เสียงทีถ่ กู บันทึกไวไดอกี ซํา้ ๆ) • ในชีวิตประจําวันนักเรียนสามารถ นําเครื่องบันทึกเสียงมาใชในกิจกรรมใด (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ)

หลังเหตุกำรณ์ ๑๔ ตุลำคม พ.ศ. ๒๕๑๖ จนถึงปัจจุบัน สภำพบ้ำนเมืองเปลี่ยนแปลงไป จำกเดิมเป็นอันมำก และแม้ในบำงช่วงจะมีกำรเปลี่ยนแปลงทำงกำรเมืองที่ส�ำคัญเกิดขึ้นใน ประเทศไทย แต่สภำพดนตรีก็ยังไม่เปลี่ยนรูปแบบไปมำกนัก เพียงแต่มีกำรปรับให้สอดคล้องกับ สภำพสังคมและกำรแข่งขันทำงเศรษฐกิจของธุรกิจค่ำยเพลง อย่ำงเพลงเพือ่ ชีวติ ก็ไม่เน้นเรือ่ งรำว ของชนชั้นกรรมำชีพนัก แต่จะกล่ำวถึงเรื่องรำวที่สังคมสนใจ รวมทั้งควำมรักของหนุ่มสำวด้วย หรือจำกจังหวะท�ำนองที่เรียบง่ำย หลำยเพลงก็เปลี่ยนมำเป็นจังหวะท�ำนองที่สนุกสนำนแทน เพื่อให้เข้ำถึงกลุ่มผู้ฟังที่เป็นวัยรุ่นได้ง่ำยขึ้น เนื้อหำของเพลงปลุกใจก็จะเป็นเรื่องรำวหลำกหลำย มำกกว่ำเดิม เช่น เน้นในเรื่องกำรรู้รักสำมัคคี ควำมจงรักภักดี กำรอนุรักษ์ทรัพยำกรธรรมชำติ ศิลปวัฒนธรรม เป็นต้น

๓.๒ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีกับงานดนตรี

๒๐

ควำมเจริญก้ำวหน้ำทำงด้ำนเทคโนโลยีมีควำมส�ำคัญอย่ำงมำกต่อกำรสร้ำงสรรค์ผลงำนอันมี คุณค่ำ และยังส่งผลต่อกำรพัฒนำงำนด้ำนต่ำงๆ ไม่วำ่ จะเป็นด้ำนวรรณกรรม ศิลปกรรม นำฏกรรม ดนตรี โสตทัศนวัสดุ ภำพยนตร์ และวิทยำศำสตร์ โดยเฉพำะด้ำนงำนดนตรี กำรเปลี่ยนแปลงทำง เทคโนโลยีได้สง่ ผลให้งำนดนตรีมกี ำรพัฒนำทัง้ ในระบบคอมพิวเตอร์ เครือ่ งดนตรี เครือ่ งบันทึกเสียง เครื่องขยำยเสียง และกำรปรับปรุงรูปแบบของดนตรีจนเกิดประสิทธิภำพสูงสุด กำรน�ำเทคโนโลยีเข้ำมำใช้กับงำนดนตรี เริ่มต้นเมื่อ โทมัส อัลวำ เอดิสัน (Thomas Alva Edison) นักวิทยำศำสตร์ที่มีชื่อเสียงของโลก ได้คิดประดิษฐ์เครื่องมือส�ำหรับใช้บันทึกเสียงดนตรีขึ้น เรียกเครื่องมือชนิดนี้ว่ำ “เครื่องบันทึกเสียงเอดิสัน โฟโนกราฟ” (Edison Phonograph) เครื่องมือ ชนิดนี้สำมำรถบันทึกท�ำนองและจังหวะของ บทเพลงเพื่อสื่อไปถึงผู้ฟังได้ ซึ่งแตกต่ำงจำก กำรบั น ทึ ก เพลงด้ ว ยตั ว โน้ ต เหมื อ นแต่ ก ่ อ น ในช่วงแรกเครื่องบันทึกเสียงดังกล่ำวยังให้รำย ละเอียดและคุณภำพเสียงได้ไม่ดีนัก แต่ก็ถือ เป็นสิง่ ทีส่ ร้ำงควำมมหัศจรรย์ให้แก่วงกำรดนตรี อย่ำงมำกในสมัยนั้น อีกทั้งยังเป็นกำรเริ่มต้น กำรพัฒนำระบบกำรบันทึกเสียงดนตรีอีกหลำย รูปแบบในภำยหลัง ไม่ว่ำจะเป็นกำรบันทึกเสียง ลงในกระบอกเสียงไขขี้ผึ้ง (Wax Cylinder) (จากภาพ) โทมัส อัลวา เอดิสันกับเครื่องบันทึกเสียง 1 กำร บันทึกเสียงลงในจำนเสียงหรือแผ่นเสียง ใช้เปิด เอดิสัน โฟโนกราฟ (Edison Phonograph) กับเครื่องเล่นจำนเสียง (Gramophone)

เกร็ดแนะครู ครูควรอธิบายเพิม่ เติมเกีย่ วกับประวัตโิ ทมัส อัลวา เอดิสนั (Thomas Alva Edison) วาเปนนักประดิษฐและนักธุรกิจชาวอเมริกัน ผูประดิษฐอุปกรณที่สําคัญตางๆ มากมาย และในป ค.ศ. 1877 เอดิสันไดประดิษฐเครื่องบันทึกเสียงขึ้นและฉายา “พอมดแหงเมนโลพารก” ก็ไดมาจากการที่เขาประดิษฐเครื่องบันทึกเสียงชิ้นนี้

นักเรียนควรรู 1 แผนเสียง วัสดุที่กอใหเกิดเสียง ทําจากวัสดุหลายชนิดและมีหลายขนาด ในอดีตจะเปนกระบอกอัดเสียงเคลือบขี้ผึ้งแบบเอดิสัน ซึ่งในเมืองไทยนํามาใช บันทึกเพลงไทยเดิม ตั้งแตราวปลายรัชกาลที่ 4 ตอมาเริ่มมีการบันทึกเสียงลง แผนเสียง ในสมัยรัชกาลที่ 5 สวนใหญเปนเพลงเรื่องที่บรรเลงดวยวงปพาทย ดึกดําบรรพ ซึ่งกําลังไดรับความนิยมเปนอยางมากในสมัยนั้นและมักไมจบ ในหนาเดียวจึงตองบันทึกตอกันหลายแผนเปนชุด

20

คูมือครู

กิจกรรมสรางเสริม ใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี กับงานดนตรี เขียนสรุปสาระสําคัญและการเปลี่ยนแปลงตางๆ ที่เกิดขึ้น ลงกระดาษรายงาน นําสงครูผูสอน

กิจกรรมทาทาย ใหนักเรียนวิเคราะหขอดี ขอเสียของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี กับงานดนตรี ลงกระดาษรายงาน นําสงครูผูสอน


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบExplain ายความรู

อธิบายความรู

ครูสุมนักเรียน 2 - 3 คน ใหตอบคําถาม ดังตอไปนี้ • “บิดาแหงวงการวิทยุกระจายเสียงไทย” หมายถึงบุคคลใด (แนวตอบ พลเอกพระเจาบรมวงศเธอ พระองคเจาบุรฉัตรไชยากร กรมพระกําแพงเพชรอัครโยธิน) • วิทยุไดเขามามีสวนเกี่ยวของกับการ เปลี่ยนแปลงการปกครองอยางไร (แนวตอบ วิทยุกบั การเปลีย่ นแปลงการปกครอง ในป พ.ศ. 2475 ประเทศไทยมีการ เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชยมาเปนระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย ทรงเปนพระประมุข โดยคณะราษฎร ซึ่งนําโดยพันเอกพหลพลพยุหเสนา ในยุคนั้นคณะราษฎรไดใชวิทยุกระจายเสียง เปนสือ่ ในการเผยแพรความรูใ นการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยใหแกประชาชน) • นักเรียนรูจักวิทยุชุมชนหรือไม ถารูจัก วิทยุชุมชนมีลักษณะอยางไร (แนวตอบ วิทยุชุมชนมี 2 ลักษณะ คือ ตั้งโดย ประชาชน ไมหากําไร ทําเพื่อคนในชุมชน à ตั้งโดยผูประกอบการวิทยุทองถิ่น เนนเพลง และโฆษณา)

นอกจำกกำรประดิษฐ์เครื่องมือเกี่ยวกับกำรบันทึกเสียงแล้ว ยังมีกำรปรับปรุงคุณภำพของ งำนดนตรีโดยนักฟิสิกส์ที่ชื่อว่ำ “อเล็กซานเดอร์ เจ. เอลลิส” (Alexander J. Ellis) ได้ศึกษำ วิธวี ดั ระยะขัน้ คูเ่ สียง โดยก�ำหนดให้ ๑ ช่วงทบเสียง (Octave) มีค่ำเท่ำกับ ๑,๒๐๐ เซ็นต์ โดยแบ่ง ระยะครึ่งเสียงในดนตรีตะวันตกเท่ำกับ ๑๐๐ เซ็นต์ ซึ่งวิธีคิดเช่นนี้ก็ยังคงใช้มำจนถึงปัจจุบัน ส�ำหรับในประเทศไทย เทคโนโลยีได้เข้ำมำ มีบทบำทส�ำคัญในกำรเผยแพร่งำนดนตรี ให้ ได้รับควำมนิยมจำกนักฟังเพลงมำกขึ้น เพรำะ นับตัง้ แต่ทมี่ กี ำรเปิดใช้ไฟฟ้ำครัง้ แรกในพระนคร เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๗ โดยจอมพลเจ้ำพระยำสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต) มอบหมำยให้ ครูฝกทหำรชำวอิตำลีเป็นผู้ไปด�ำเนินกำรจัดซื้อ เครื่องเล่นจานเสียง (Gramophone) ประดิษฐ์ขึ้นโดย เครื่องจักรไฟฟ้ำจำกประเทศอังกฤษ เมื่อมี นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน เพื่อใช้เล่นแผ่นเสียง กระแสไฟฟ้ำใช้เรียบร้อยแล้ว พลเอกพระเจ้ำบรมวงศ์เธอ กรมพระก�ำแพงเพชรอัครโยธิน จึงได้ทรงเริ่มกระจำยเสียงจำกวังบ้ำนดอกไม้ เมื่อวันที่ ๑๓ มกรำคม พ.ศ. ๒๔๕๖ โดยเริ่มจำก กำรกระจำยเสียงข่ำวสำรของทำงรำชกำร จำกนั้นจึงมีรำยกำรบรรเลงดนตรีของวงต่ำงๆ ตำมมำ ทั้งวงดนตรีสำกล วงดนตรีไทยสำกล วงดนตรีไทย ออกอำกำศตำมรำยกำรที่จัดขึ้นจ�ำนวนมำก ท�ำให้ประชำชนมีโอกำสได้รับฟังข่ำวสำรและเพลงจำกรำยกำรต่ำงๆ เป็นกำรน�ำดนตรีไปสู่ผู้ฟัง ทั้งในพระนครและต่ำงจังหวัด กำรพัฒนำเทคโนโลยีดำ้ นงำนดนตรีกย็ งั ด�ำเนินต่อไปอย่ำงไม่หยุดนิง่ นักวิทยำศำสตร์ได้สร้ำง เครือ่ งบันทึกเสียงต่อมำอีกหลำยลักษณะ เทคโนโลยีเกีย่ วกับงำนดนตรีก็ได้พฒ ั นำขึน้ ตำมควำมนิยม ของนักฟังเพลง ซึง่ ปรับเปลีย่ นไปตำมยุคสมัย โดยในปัจจุบนั พัฒนำกำรของกำรดนตรีได้ปรับตำม เทคโนโลยีระบบดิจิทัล คือ นอกจำกกำรน�ำเสียงดนตรีไปสู่ผู้ฟังผ่ำนทำงวิทยุกระจำยเสียงแล้ว ก็ ยังพัฒนำไปสู่กำรเผยแพร่ทำงสถำนีโทรทัศน์ เครือข่ำยอินเทอร์เน็ต จนเข้ำสู่ระบบดำวเทียมที่ใน ปัจจุบันถือว่ำเป็นสื่อเผยแพร่ที่มีควำมส�ำคัญในกำรน�ำเพลงไพเรำะสู่กลุ่มผู้ฟังเพลงทั่วโลก ควำมก้ำวหน้ำของเทคโนโลยีได้ส่งผลให้งำนดนตรีมีกำรพัฒนำ ทั้งในระบบคอมพิวเตอร์ กำรพัฒนำเครือ่ งดนตรี เครือ่ งบันทึกเสียง เครือ่ งขยำยเสียง และปรับปรุงรูปแบบของดนตรีให้เกิด ประสิทธิภำพสูงสุด เพื่อน�ำบทเพลงไพเรำะสู่ผู้ฟังให้ได้รับควำมสุขอย่ำงเต็มที่ http://www.aksorn.com/LC/Eco/Mu&Pa/M2/03

ขอสอบเนน การคิด

แนว  NT  O-NE T

ขอใดเปนการสรางสรรคเทคโนโลยีกับงานดนตรีในยุคเริ่มแรก 1. ผลิตมิวสิกวีดีโอประกอบเพลง 2. สรางแผนซีดี หรือดีวีดีไวบันทึกเสียง 3. ประดิษฐเครื่องมือสําหรับใชบันทึกเสียงดนตรี 4. เปดโรงเรียนสอนปฏิบัติเครื่องดนตรีที่หลากหลาย

วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เพราะโทมัส อัลวา เอดิสัน ประดิษฐ เครื่องมือสําหรับใชบันทึกเสียงดนตรีขึ้น เพื่อนํามาใชในการบันทึกทํานอง และจังหวะของบทเพลงเพื่อสื่อไปถึงผูฟงได ซึ่งจะแตกตางจากการบันทึก โนตอยางเชนอดีตที่ผานมา

Explain

ขยายความเขาใจ

Expand

ใหนักเรียนรวมกันสรุปสาระสําคัญเกี่ยวกับ เหตุการณประวัติศาสตรกับการเปลี่ยนแปลง ทางดนตรีในประเทศไทย ลงกระดาษรายงาน นําสงครูผูสอน

EB GUIDE

๒1

เกร็ดแนะครู ครูควรอธิบายความรูเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิทยุเครื่องแรกของโลกใหนักเรียนฟงวา กําเนิดวิทยุของโลกมีความเปนมา ดังนี้ วิทยุโทรเลข การสงขอความผานสายดวยรหัสที่เปนเสนและจุด พ.ศ. 2408 เจมส คลาก แมกซเวล พบวาคลื่นแมเหล็กไฟฟาเคลื่อนที่ไดเร็วเทาคลื่นแสง และสามารถสงสัญญาณในอากาศไดไมตองใชสาย พ.ศ. 2430 เฮนริช รูดอลฟ เฮิรตซ นักฟสิกสชาวเยอรมัน สงและรับคลื่นแมเหล็กไฟฟาเปนคนแรกของโลก ดวยเครื่องออสซิเลเตอร คลื่นแมเหล็กไฟฟา นั่นคือ เฮิรตเซียน เรียกงายๆ วา คลื่น Hertz หรือยอวา Hz พ.ศ. 2444 กูลิเอลโม มารโคนี สามารถสงคลื่นวิทยุ โทรเลขขามมหาสมุทรแอตแลนติก ระยะแรกเปนการสงวิทยุโทรเลข ยังไมสามารถ สงสัญญาณที่เปนเสียงพูดได พ.ศ. 2449 จึงสามารถสงสัญญาณเสียงพูดไดโดยการ พัฒนาของเรจินัลต เอ. เพสเสนเดน และลีเดอฟอเรส ทําไดสําเร็จในป พ.ศ. 2451 ซึ่งเปนการสงเสียงพูดจากเครื่องสงไปยังเครื่องรับเครื่องหนึ่งในระยะไกล เรียกวา วิทยุโทรศัพท ออกอากาศครั้งแรกของโลกคือ สถานี KCBS ในซานฟรานซิโก สหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2453 เขาไดรับยกยองเปน “บิดาแหงวงการวิทยุ” คูมือครู 21


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

Engage

Explore

Explain

Expand

ตรวจสอบผล

ตรวจสอบผล Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate

Evaluate

ครูพิจารณาจากการสรุปสาระสําคัญเกี่ยวกับ เหตุการณประวัติศาสตรกับการเปลี่ยนแปลง ทางดนตรีในประเทศไทยของนักเรียน

¡Ô¨ ¡รรมศÔÅปŠป¯ÔºัตÔ ñ.๒ กิจกรรมที ่ ๑

หลักฐานแสดงผลการเรียนรู

กิจกรรมที่

1. ผลการสรุปสาระสําคัญเกี่ยวกับองคประกอบ ของดนตรีในสังคมและวัฒนธรรม 2. ผลการจัดนิทรรศการเรื่อง “วัฒนธรรมดนตรีเอเซีย” 3. ผลการสรุปสาระสําคัญเกี่ยวกับเหตุการณ ประวัติศาสตรกับการเปลี่ยนแปลงทางดนตรี ในประเทศไทย

ให้นักเรียนศึกษำค้นคว้ำเกี่ยวกับเหตุกำรณ์ประวัติศำสตร์ท่ีมีอิทธิพลต่อ รูปแบบของดนตรีในประเทศไทย แล้วมำอภิปรำยร่วมกันในชัน้ เรียน ๒ ให้นกั เรียนตอบค�ำถำมต่อไปน�้ ๑. องค์ประกอบของดนตรีทส่ี ำ� คัญมีอะไรบ้ำง จงอธิบำย ๒. ดนตรีในแต่ละวัฒนธรรมมีควำมแตกต่ำงกันอย่ำงไร อธิบำยมำพอสังเขป ๓. ให้นักเรียนยกตัวอย่ำงเหตุกำรณ์ประวัติศำสตร์ท่มี ีอิทธิพลต่อรูปแบบ ของดนตรีในประเทศไทยมำ ๑ เหตุกำรณ์

ก ลาวโดยสรุปไดวา ถึงแมองคประกอบของดนตรีในแตละสังคมจะมีความ

คลายคลึงกัน คือ ประกอบไปดวยเสียง จังหวะ ทํานอง การประสานเสียง เนื้อดนตรี และบันไดเสียง แตลักษณะทางวัฒนธรรมที่มีความแตกตางกัน จึงสงผลทําใหดนตรี ในแตละวัฒนธรรมมีความแตกตางกันตามไปดวย อันกอใหเกิดเอกลักษณที่ทําใหเมื่อ ฟงเสียงดนตรีแลวสามารถจะแยกแยะไดวา เปนของชาติใดหรือวัฒนธรรมใด ทัง้ นีด้ นตรี ที่เราคุนเคยและมีอิทธิพลตอสังคมไทย นอกจากดนตรีจากวัฒนธรรมตะวันตกแลว แล น ยังมีดนตรีจากชาติเพื่อนบานอาเซียน และดนตรีจากวัฒนธรรมอินเดียและจี ทั้งนี้ดนตรีไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย โดยมีปจจัยสําคัญที่ทําใหเกิด การเปลี่ยนแปลง คือ การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ที่ทําใหเกิดเพลงในแนวเกียรติยศ เพลงปลุกใจ เพลงเพื่อชีวิตขึ้นมา รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีก็สงผล ใหวธิ กี ารสรางสรรค การนําเสนอ รูปแบบ แนวเพลง และการแสดงดนตรีถกู ปรับเปลีย่ นไป อยางรวดเร็วเชนกัน ดังนั้น จึงอาจกลาวไดวาดนตรีก็เสมือนเปนบันทึกประวัติศาสตร อยางดี ที่ชวยสะทอนลักษณะของสังคมและวัฒนธรรมของแตละยุคสมัยไดเปนอย

๒๒

แนวตอบ กิจกรรมศิลปปฏิบัติ 1.2 กิจกรรมที่ 2 1. องคประกอบของดนตรีประกอบไปดวยเสียง จังหวะ ทํานอง การประสานเสียง เนื้อดนตรีและบันไดเสียง 2. ดนตรีในแตละประเทศจะมีรูปแบบที่แตกตางกันออกไปตามแตวัฒนธรรมของทองถิ่นนั้น เชน มีความแตกตางกันออกไปตามแนวคิด ความเชื่อ คานิยม จารีต ประเพณี วัฒนธรรม เปนตน แตสิ่งจําเปนที่ตองมีเหมือนกันนั่นก็คือในเรื่องขององคประกอบดนตรี เพราะองคประกอบดนตรีเปนสวนหนึ่งของบทเพลง ซึ่งถามีองคประกอบที่สมบูรณและมีคุณภาพแลว จะทําใหบทเพลงมีความไพเราะและเปนการสรางสรรคผลงานทางดนตรีที่ดีชิ้นหนึ่ง ซึ่งบทเพลงที่ถายทอดออกมา จะแสดงใหเห็นถึงอิทธิพลทางวัฒนธรรมและเหตุการณในประวัติศาสตรของประเทศนั้นๆ ไดอยางชัดเจน 3. นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็นไดอยางอิสระ โดยขึ้นอยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน

22

คูมือครู


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.