คูมือครู 㪌»ÃСͺ¡ÒÃÊ͹ËÇÁ¡Ñº
˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ©ºÑº ÍÞ.
ภาพปกนี้มีขนาดเทากับหนังสือเรียนฉบับจริงของนักเรียน
กระบวนการสอนแบบ 5 Es ชวยสรางทักษะการเรียนรู กิจกรรมมุงพัฒนาทักษะการคิด คำถาม + แนวขอสอบเพื่อยกผลสัมฤทธิ์ O-NET กิจกรรมบูรณาการเตรียมพรอมสู ASEAN 2558
เอกสารประกอบคูมือครู
กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร
สิ่งมีชีวิต
กับกระบวนการดํารงชีวิต ชีวิตกับสิ่งแวดลอม ชั้นมัธยมศึกษาปที่
4-6
สําหรับครู
คูมือครู Version ใหม
ลักษณะเดน
ขยายพื้นที่รูปเลมใหญขึ้นกวาเดิม จัดแบงพื้นที่ออกเปนโซน เพื่อคนหาขอมูลไดงาย สะดวก รวดเร็ว และดูเปนระเบียบ กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล
กระตุน ความสนใจ
Evaluate
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
เปาหมายการเรียนรู สมรรถนะของผูเรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค
หน า
โซน 1 กระตุน ความสนใจ
Engage
สํารวจคนหา
Explore
อธิบายความรู
Explain
ขยายความเขาใจ
Expand
ตรวจสอบผล
หน า
หนั ง สื อ เรี ย น
โซน 1
หนั ง สื อ เรี ย น
Evaluate
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
O-NET บูรณาการเชื่อมสาระ
เกร็ดแนะครู
ขอสอบ
โซน 2
โซน 3
กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย
นักเรียนควรรู
โซน 3
โซน 2 บูรณาการอาเซียน มุม IT
No.
คูมือครู
คูมือครู
No.
โซน 1 ขั้นตอนการสอนแบบ 5Es
โซน 2 ชวยครูเตรียมสอน
โซน 3 ชวยครูเตรียมนักเรียน
เพื่อใหครูเตรียมจัดกิจกรรมการเรียน การสอน โดยแนะนําขั้นตอนการสอนและ การจัดกิจกรรมแบบ 5Es อยางละเอียด เพื่อใหนักเรียนบรรลุตามตัวชี้วัด
เพื่อชวยลดภาระครูผูสอน โดยแนะนํา เกร็ดความรูสําหรับครู ความรูเสริมสําหรับ นักเรียน รวมทั้งบูรณาการความรูสูอาเซียน และมุม IT
เพื่อใหครูสะดวกตอการจัดกิจกรรม โดย แนะนํากิจกรรมบูรณาการเชือ่ มระหวางสาระหรือ กลุมสาระการเรียนรู วิชา กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย รวมถึงเนื้อหาที่เคยออกขอสอบ O-NET แนวขอสอบ NT/O-NET ทีเ่ นนการคิด พรอมเฉลยและคําอธิบายอยางละเอียด
ที่ใชในคูมือครู
แถบสีและสัญลักษณ
แถบสีแสดงขั้นตอนการสอนและการจัดกิจกรรม แบบ 5Es เพื่อใหครูทราบวาเปนขั้นการสอนขั้นใด
1. แถบสี 5Es สีแดง
สีเขียว
กระตุน ความสนใจ
เสร�ม
สํารวจคนหา
Engage
2
•
เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใช เทคนิคกระตุน ความสนใจ เพื่อโยง เขาสูบทเรียน
สีสม
อธิบายความรู
Explore
•
เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนสํารวจ ปญหา และศึกษา ขอมูล
สีฟา
Explain
•
เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนคนหา คําตอบ จนเกิดความรู เชิงประจักษ
สีมวง
ขยายความเขาใจ Expand
•
เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนนําความรู ไปคิดคนตอๆ ไป
ตรวจสอบผล Evaluate
•
เปนขั้นที่ผูสอน ประเมินมโนทัศน ของผูเรียน
2. สัญลักษณ สัญลักษณ
วัตถุประสงค
• เปาหมายการเรียนรู
• หลักฐานแสดง ผลการเรียนรู
• เกร็ดแนะครู
แทรกความรูเสริมสําหรับครู ขอเสนอแนะ ขอควรระวัง ขอสังเกต แนวทางการจัด กิจกรรมและอื่นๆ เพื่อประโยชนในการ จัดการเรียนการสอน ขยายความรูเพิ่มเติมจากเนื้อหา เพื่อให ครูนําไปใชอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียน ไดมีความรูมากขึ้น
•
ความรูหรือกิจกรรมเสริม ใหครูนําไปใช เตรียมความพรอมใหกับนักเรียนกอนเขาสู ประชาคมอาเซียนใน พ.ศ. 2558 โดย บูรณาการกับวิชาที่กําลังเรียน
บูรณาการอาเซียน
•
คูม อื ครู
แสดงรองรอยหลักฐานตามภาระงาน ที่ครูมอบหมาย เพื่อแสดงผลการเรียนรู ตามตัวชี้วัด
• นักเรียนควรรู
มุม IT
แสดงเปาหมายการเรียนรูที่นักเรียน ตองบรรลุตามตัวชี้วัด ตลอดจนสมรรถนะ ที่จะตองมี และคุณลักษณะที่พึงเกิดขึ้น กับนักเรียน
แนะนําแหลงคนควาจากเว็บไซต เพื่อให ครูและนักเรียนไดเขาถึงขอมูลความรู ที่หลากหลาย ทั้งไทยและตางประเทศ
สัญลักษณ
ขอสอบ
วัตถุประสงค
O-NET
•
ชี้แนะเนื้อหาที่เคยออกขอสอบ O-NET โดยยกตัวอยางขอสอบ พรอมวิเคราะหคําตอบ อยางละเอียด
•
เปนตัวอยางขอสอบที่มุงเนน การคิดและเปนแนวขอสอบ NT/O-NET ในระดับมัธยมศึกษา ตอนตน มีทั้งปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลยอยางละเอียด
•
เปนตัวอยางขอสอบที่มุงเนน การคิดและเปนแนวขอสอบ O-NET ในระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย มีทั้งปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลยอยางละเอียด
•
แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม เชื่อมกับสาระหรือกลุมสาระ การเรียนรู ระดับชัน้ หรือวิชาอืน่ ที่เกี่ยวของ
•
แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม ซอมเสริมสําหรับนักเรียนที่ควร ไดรับการพัฒนาการเรียนรู
•
แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม ตอยอดสําหรับนักเรียนที่เรียนรู ไดอยางรวดเร็ว และตองการ ทาทายความสามารถในระดับ ที่สูงขึ้น
(เฉพาะวิชา ชัน้ ทีส่ อบ O-NET O-NET)
NT O-NE T (เฉพาะระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนตน)
แนว
O-NET
(เฉพาะระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนปลาย)
บูรณาการเชื่อมสาระ
กิจกรรมสรางเสริม
กิจกรรมทาทาย
คําแนะนําการใชคูมือครู การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอน คูม อื ครู รายวิชา สิง่ มีชวี ติ กับกระบวนการดํารงชีวติ ชีวติ กับสิง่ แวดลอม ม.4-ม.6 จัดทําขึน้ เพือ่ ใหครูผสู อนนําไปใช เปนแนวทางวางแผนการสอนเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และประกันคุณภาพผูเรียน ตามนโยบายของสํานักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดยใชหนังสือเรียน สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดํารงชีวิต ชีวิตกับสิ่งแวดลอม เสร�ม ม.4-ม.6 ของบริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด เปนสื่อหลัก (Core Material) ประกอบการสอนและการจัดกิจกรรม 3 การเรียนรูใหสอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดกลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 โดยออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนตามหลักการสําคัญ ดังนี้ 1 ออกแบบการสอนเปนหนวยการเรียนรูอิงมาตรฐาน คูมือครู รายวิชา สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดํารงชีวิต ชีวิตกับสิ่งแวดลอม ม.4-ม.6 วางแผนการสอนโดยแบงเปน หนวยการเรียนรูตามลําดับสาระ (strand) และหมายเลขขอของมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด แตละหนวยจะกําหนด เปาหมายการเรียนรูและจุดประสงคการเรียนรู (Objective Learning) กิจกรรมการเรียนรู (Learning Activities) และ แนวทางการประเมินผลการเรียนรู (Learning Evaluation) ไวชัดเจน ครูผูสอนสามารถจัดทําแผนการสอนใหครอบคลุม มาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัด สมรรถนะ และคุณลักษณะอันพึงประสงคที่เปนเปาหมายการเรียนรูตามที่กําหนดไวในสาระ แกนกลาง (ตามแผนภูม)ิ และสามารถบันทึกผลสัมฤทธิท์ างการเรียนของผูเ รียนแตละคนลงในเอกสาร ปพ.5 ไดอยางมัน่ ใจ แผนภูมิแสดงความสัมพันธขององคประกอบการออกแบบการเรียนรูอิงมาตรฐานและเนนผูเรียนเปนสําคัญ
พผ
ูเ
จุ ด ป ร
ะสง
คก า
ส ภา
รี ย น
ร
รู ีเรยน
มาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัดชวงชั้น
ทักษะการคิด การวัดประเมินผล การเรียนรู
กิจกรรมการเรียนรู
เทคนิคการสอน คูม อื ครู
2 การจัดการเรียนรูที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ แนวคิ ด ในการจั ด การเรี ย นการสอนที่ ยึ ด ผู เ รี ย นเป น สํ า คั ญ พั ฒ นามาจากปรั ช ญาและทฤษฎี ก ารเรี ย นรู Constructivism ที่เชื่อวา การเรียนรูเปนกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในสมองของผูเรียนแตละคน ผูเรียนเปนผูสรางความรู โดยการเชื่อมโยงระหวางสิ่งที่ไดเรียนรูจากบทเรียนใหมกับความรูหรือประสบการณเดิมที่มีอยู ทฤษฎีนี้มีความเชื่อวา ผูเรียนทุกคนไดเรียนรูและมีการสั่งสมความรูความเขาใจเกี่ยวกับสิ่งตางๆ ติดตัวมากอน ทีจ่ ะเขาสูห อ งเรียน ซึง่ เปนการเรียนรูท เี่ กิดจากประสบการณและสิง่ แวดลอมรอบตัวผูเ รียนแตละคน ดังนัน้ การจัดกิจกรรม เสร�ม การเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ผูสอนจะตองคํานึงถึง
4
1. ความรูเดิมของผูเรียน วิธีการสอนที่ดีจะตองเริ่มตนจากจุดที่วา ผูเ รียนมีความรูอ ะไรมาบาง แลวจึงใหความรู หรือประสบการณใหม เพื่อตอยอดจาก ความรูเดิม นําไปสูการสรางความรู ความเขาใจใหม
2. ความรูเดิมของผูเรียนถูกตองหรือไม ผูส อนตองปรับเปลีย่ นความรูค วามเขาใจเดิม ของผูเรียนใหถูกตอง และเปนพฤติกรรม การเรียนรูใ หมทมี่ คี ณุ คาตอผูเรียน เพื่อสราง เจตคติหรือทัศนคติที่ดีตอการเรียนรู สิ่งเหลานั้น
3. ผูเรียนสรางความหมายสําหรับตนเอง ผูสอนตองสงเสริมใหผูเรียนนําความรู ความเขาใจที่เกิดขึ้นไปลงมือปฏิบัติ เพื่อขยายความรูใหลึกซึ้งและมีคุณคา ตอตัวผูเรียนมากที่สุด
แนวคิด Constructivism เนนใหผูเรียนสรางความรูโดยผานกระบวนการคิดและความอยากรูของตนเอง โดยมีผูสอนเปนผูสรางบรรยากาศ
การเรียนรูและกระตุนความสนใจ คอยจัดสถานการณใหผูเรียนเกิดความขัดแยงทางความคิดระหวางประสบการณเดิมกับประสบการณ ความรูใ หม เพือ่ กระตนุ ใหผเู รียนเชือ่ มโยงความรู ความคิด กับประสบการณทมี่ อี ยูเ ดิม แลวสังเคราะหเปนความรูห รือแนวคิดใหมๆ ไดดว ยตนเอง
3 การบูรณาการกระบวนการคิด การเรียนรูของผูเรียนแตละคนจะเกิดขึ้นที่สมอง ซึ่งเปนอวัยวะที่ทําหนาที่รูคิดภายใตสภาพแวดลอมที่เอื้ออํานวย และไดรบั การกระตนุ จูงใจอยางเหมาะสม สอดคลองกับสภาพจิตใจและความตองการของผูเ รียนแตละคน การจัดกิจกรรม การเรียนรูและสาระการเรียนรูที่สอดคลองกับความสนใจและมีความหมายตอผูเรียน จะชวยกระตุนใหสมองของผูเรียน สามารถรับรูและเรียนรูไดอยางมีประสิทธิภาพตามขั้นตอนการทํางานของสมอง ดังนี้ 1. สมองจะเรียนรูและสืบคน โดยการสังเกต คนหา ซักถาม และทดลอง ปฏิบัติ จนทําใหคนพบความรูความเขาใจ ไดอยางรวดเร็ว
2. สมองจะแยกแยะคุณคาของสิ่งตางๆ โดยการตัดสินใจวิพากษวิจารณ แสดง ความคิดเห็น ยอมรับหรือตอตานตาม อารมณความรูสึกที่เกิดขึ้นในขณะที่เรียนรู
3. สมองจะประมวลเนื้อหาสาระ โดยการสรุปเปนความคิดรวบยอดจาก เรื่องราวที่ไดเรียนรูใหมนําไปผสมผสานกับ ความรูห รือประสบการณเดิมทีถ่ กู จัดเก็บอยูใ น สมอง ผานการกลัน่ กรองเพือ่ สังเคราะหเปน ความรูค วามเขาใจใหมๆ หรือเปนทัศนคติใหม ที่จะเก็บบรรจุไวในสมองของผูเรียน
การเรียนรูที่มีประสิทธิภาพจึงตองเปนการเรียนรูที่เกิดจากกระบวนการคิดของผูเรียน เพราะการเรียนรูจะเกิดขึ้น เมื่อสมองรูคิด และตองเปนการคิดไดครบถวนตามขั้นตอนการทํางานของสมองผูเรียน โดยเริ่มตนจาก 1. ระดับการคิดพื้นฐาน ไดแก การสังเกต การจําแนก การคาดคะเน การสื่อความหมาย การรวบรวมขอมูล การสรุปผล เปนตน
คูม อื ครู
2. ระดับลักษณะการคิด ไดแก การคิดกวาง คิดลึกซึ้ง คิดไกล คิดหลากหลาย คิดคลอง คิดอยางมีเหตุผล เปนตน
3. ระดับกระบวนการคิด ไดแก กระบวนการคิดอยางมีวิจารณญาณ กระบวนการแกปญหา กระบวนการ คิดสรางสรรค กระบวนการคิดสังเคราะห เปนตน
5Es การจัดกิจกรรมตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ขั้นตอนการสอนที่สัมพันธกับขั้นตอนการคิดและการทํางานทางสมองของผูเรียนที่นิยมใชอยางแพรหลาย คือ วัฏจักรการเรียนรู 5Es ซึ่งผูจัดทําคูมือครูไดนํามาใชเปนแนวทางออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในแตละหนวย ตามลําดับขั้นตอนการเรียนรู ดังนี้ ขั้นที่ 1
กระตุนความสนใจ
(Engage)
เสร�ม
5
เปนขั้นที่ผูสอนนําเขาสูบทเรียน เพื่อกระตุนความสนใจของผูเรียนดวยเรื่องราวหรือเหตุการณที่นาสนใจโดยใชเทคนิควิธีการ และคําถามทบทวนความรูหรือประสบการณเดิมของผูเรียน เพื่อเชื่อมโยงผูเรียนเขาสูความรูของบทเรียนใหม ชวยใหผูเรียนสามารถ สรุปความสําคัญหัวขอและสาระการเรียนรูของบทเรียนได จึงเปนขั้นตอนการสอนที่สําคัญ เพราะเปนการเตรียมความพรอมและสราง แรงจูงใจใฝเรียนรูแกผูเรียน
ขั้นที่ 2
สํารวจคนหา
(Explore)
เปนขัน้ ทีผ่ สู อนเปดโอกาสใหผเู รียนลงมือศึกษา สังเกต หรือรวมมือกันสํารวจ เพือ่ ใหเห็นขอบขายของประเด็นหรือปญหา รวมถึง วิธีการศึกษาคนควา การรวบรวมขอมูลความรูที่จะนําไปสูการสรางความเขาใจประเด็นหรือปญหานั้นๆ เมื่อผูเรียนทําความเขาใจใน ประเด็นหรือปญหาที่จะศึกษาคนควาอยางถองแทแลว ก็ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมขอมูลความรู สํารวจตรวจสอบ โดยวิธีการตางๆ เชน สัมภาษณ ทดลอง อานคนควาขอมูลจากเอกสาร แหลงขอมูลตางๆ จนไดขอมูลความรูที่เกี่ยวของกับประเด็นหรือปญหาที่ศึกษา
ขั้นที่ 3
อธิบายความรู
(Explain)
เปนขั้นที่ผูสอนมีปฏิสัมพันธกับผูเรียน เชน ใหการแนะนํา ตั้งคําถามกระตุนใหคิด เพื่อใหผูเรียนคนหาคําตอบ และนําขอมูล ความรูจากการศึกษาคนควาในขั้นที่ 2 มาวิเคราะห สรุปผล และนําเสนอผลที่ไดศึกษาคนความาในรูปแบบสารสนเทศตางๆ เชน เขียนแผนภูมิ ผังมโนทัศน เขียนความเรียง เขียนรายงาน เปนตน ในขั้นตอนนี้ฝกใหผูเรียนใชสมองคิดวิเคราะหและสังเคราะห อยางเปนระบบ
ขั้นที่ 4
ขยายความเขาใจ
(Expand)
เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใชเทคนิควิธีสอนตางๆ ที่สงเสริมใหผูเรียนนําความรูที่เกิดขึ้นไปคิดคนสืบคนตอๆ ไป เพื่อพัฒนาทักษะ การเรียนรูและการทํางานรวมกันเปนกลุม ระดมสมองเพื่อคิดสรางสรรครวมกัน ผูเรียนสามารถนําความรูที่สรางขึ้นใหมไปเชื่อมโยง กับประสบการณเดิมโดยนําขอสรุปทีไ่ ดไปใชอธิบายเหตุการณตา งๆ หรือนําไปปฏิบตั ใิ นสถานการณใหมๆ ทีเ่ กีย่ วของกับชีวติ ประจําวัน ของตนเอง เพื่อขยายความรูความเขาใจใหกวางขวางยิ่งขึ้น ในขั้นตอนนี้ฝกสมองของผูเรียนใหสามารถคิดริเริ่มสรางสรรคอยางมี คุณภาพ เสริมสรางวิสัยทัศนใหกวางไกลออกไป
ขั้นที่ 5
ตรวจสอบผล
(Evaluate)
เปนขัน้ ทีผ่ สู อนประเมินมโนทัศนของผูเ รียน โดยตรวจสอบจากความคิดทีเ่ ปลีย่ นไปและความคิดรวบยอดทีเ่ กิดขึน้ ใหม ตรวจสอบ ทักษะ กระบวนการปฏิบัติ การแกปญหา การตอบคําถามรวบยอด หรือการเคารพความคิดหรือยอมรับเหตุผลของคนอื่น เพื่อการ สรางสรรคความรูร ว มกัน ผูเ รียนสามารถประเมินผลการเรียนรูข องตนเอง เพือ่ สรุปผลวามีความรูอ ะไรเพิม่ ขึน้ มาบาง เกิดความเขาใจ มากนอยเพียงใด และจะนําความรูเหลานั้นไปประยุกตใชในการเรียนรูเรื่องอื่นๆ หรือในชีวิตประจําวันไดอยางไร ผูเรียนจะเกิดเจตคติ และเห็นคุณคาของตนเองจากผลการเรียนรูที่เกิดขึ้น ซึ่งเปนการเรียนรูที่มีความสุขอยางแทจริง
การจัดกิจกรรมการเรียนรูตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es จึงเปนรูปแบบการเรียนการสอนที่เนนผูเรียน เปนสําคัญอยางแทจริง เพราะสงเสริมใหผูเรียนไดเรียนรูตามขั้นตอนของกระบวนการสรางความรูดวยตนเอง และ ฝกฝนใหใชกระบวนการคิดและกระบวนการกลุมอยางชํานาญ กอใหเกิดทักษะชีวิต ทักษะการทํางาน และทักษะการ เรียนรูที่มีประสิทธิภาพ สงผลตอการยกระดับผลสัมฤทธิ์ของผูเรียน ตามเปาหมายของการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) ทุกประการ คูม อื ครู
O-NET การเพิ่มผลสัมฤทธิ์ O-NET
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ในแตละหนวยการเรียนรู ทางผูจัดทํา จะเสนอแนะวิธีสอน รูปแบบกิจกรรมการเรียนรู พรอมทั้งออกแบบเครื่องมือวัดและประเมินผลที่สอดคลองกับตัวชี้วัด และสาระการเรียนรูแกนกลางไวทุกขั้นตอน โดยยึดหลักสําคัญ คือ หลักของการวัดและประเมินผล เสร�ม
6
1. การวัดและประเมินผลทุกครั้ง ควรนําผลมาปรับปรุงพัฒนาผูเรียน เปนรายบุคคล
2. การวัดและประเมินผลมี เปาหมาย เพื่อพัฒนาการเรียนรู ของผูเรียนจนเต็มศักยภาพ
3. การนําผลการวัดและประเมินผล ทุกครั้งมาวางแผนปรับปรุงกิจกรรม การเรียนการสอน การเลือกเทคนิค วิธีสอน และสื่อการเรียนรูให เหมาะสมกับสภาพจริงของผูเรียน
การทดสอบผูเรียน 1. การใชขอสอบอัตนัย เนนการอาน การคิดวิเคราะห และการเขียนเพิ่มมากขึ้น 2. การใชคําถามกระตุนการคิดควบคูกับการทําขอสอบที่เนนการคิดอยางตอเนื่องตามลําดับกิจกรรมการเรียนรู และตัวชี้วัด 3. การทดสอบตองดําเนินการทั้งกอนเรียน ระหวางเรียน และหลังเรียน การทดสอบควรใชขอสอบทั้งชนิดปรนัยและ อัตนัย และเปนการทดสอบเพื่อประเมินผลการเรียนของผูเรียนแตละคน เพื่อการสอนซอมเสริมใหบรรลุตัวชี้วัด ไดครบถวน 4. การสอบกลางภาค (ถามี) ควรนําแบบฝกหัดหรือขอสอบทีน่ กั เรียนสวนใหญไมสามารถตอบไดหรือไมครบถวนชัดเจน มา สรางเปนแบบทดสอบอีกครัง้ เพือ่ ตรวจสอบความรูค วามเขาใจทีถ่ กู ตอง และประเมินความกาวหนาของผูเ รียนแตละคน 5. การสอบปลายภาคเรียนเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามตัวชี้วัดที่สําคัญ ควรออกขอสอบใหมีลักษณะเดียวกับ ขอสอบ O-NET โดยเนนการคิดวิเคราะห สังเคราะห เชื่อมโยงประยุกตใช เพื่อสรางความคุนเคย และฝกฝน วิธีการทําขอสอบดวยความมั่นใจ 6. การนําผลการทดสอบของผูเรียนมาวิเคราะห โดยผลการสอบกอนการเรียนตองสามารถพยากรณผลการสอบ กลางภาค และผลการสอบกลางภาคตองทํานายผลการสอบปลายภาคของผูเ รียนแตละคน เพือ่ ประเมินพัฒนาการ ความกาวหนาของผูเรียนเปนรายบุคคล 7. ผลการทดสอบปลายป ปลายภาค ตองมีคาเฉลี่ยสอดคลองกับคาเฉลี่ยของการสอบ NT ที่เขตพื้นที่การศึกษา จัดสอบ รวมทั้งคาเฉลี่ยของการสอบ O-NET ชวงชั้นที่สอดคลองครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดสําคัญ เพือ่ สะทอนประสิทธิภาพของครูผสู อนในการออกแบบการเรียนรูแ ละประกันคุณภาพผูเ รียนทีต่ รวจสอบผลไดชดั เจน การจัดการเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ตองใหผูเรียนไดสั่งสมความรู ความเขาใจตามลําดับขั้นตอน ของกิจกรรมในวัฏจักรการเรียนรู 5Es เพื่อใหผูเรียนไดเติมเต็มองคความรูอยางตอเนื่อง จนสามารถปฏิบัติชิ้นงานหรือ ภาระงานรวบยอดของแตละหนวย ผานเกณฑประกันคุณภาพในระดับที่นาพึงพอใจ เพื่อรองรับการประเมินภายนอกจาก สมศ. ตลอดเวลา คูม อื ครู
ASEAN การเรียนรูสูประชาคมอาเซียน เพื่ออํานวยความสะดวกแกครูผูสอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรูบูรณาการอาเซียนศึกษา ผูจัดทําไดวิเคราะห มาตรฐานการเรียนรู และตัวชี้วัดที่มีสาระการเรียนรูสอดคลองกับองคความรูเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนในแงมุมตางๆ ครอบคลุมทัง้ ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรม อาเซียน เพื่อสงเสริมการเรียนรูใหผูเรียนเกิดความตระหนัก มีความรูความเขาใจเหมาะสมกับระดับชั้นและกลุมสาระ การเรียนรู โดยเสนอแนะวิธีการจัดกิจกรรมบูรณาการเนื้อหาสาระตางๆ ที่เปนประโยชนตอผูเรียนและเปนการชวย เตรียมความพรอมผูเ รียนทุกคนทีจ่ ะกาวเขาสูก ารเปนสมาชิกของประชาคมอาเซียนไดอยางมัน่ ใจตามขอตกลงปฏิญญา เสร�ม ชะอํา-หัวหิน วาดวยความรวมมือดานการศึกษาเพือ่ บรรลุเปาหมายประชาคมอาเซียนทีเ่ อือ้ อาทรและแบงปน จึงกําหนด 7 เปนนโยบายใหกระทรวงศึกษาธิการจัดการเรียนรูเตรียมความพรอมผูเรียนเขาสูประชาคมอาเซียนภายในป พ.ศ. 2558 ตามแนวปฏิบัติที่สําคัญ ดังนี้
การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน 1. การสรางความรูความเขาใจ และตระหนักถึงความสําคัญของ กฎบัตรอาเซียน และความรวมมือ ของ 3 เสาหลัก ซึง่ กฎบัตรอาเซียน ในขณะนี้มีสถานะเปนกฎหมายที่ ประเทศสมาชิกจะตองปฏิบัติตาม หลักการที่กําหนดไวเพื่อใหบรรลุ เปาหมายของกฎบัตรมาตราตางๆ
2. การสงเสริมหลักการ ประชาธิปไตยและการสราง สิ่งแวดลอมประชาธิปไตย เพื่อการอยูรวมกันอยางกลมกลืน ภายใตวิถีชีวิตอาเซียนที่มีความ หลากหลายดานสังคมและ วัฒนธรรม
4. การตระหนักในคุณคาของ สายสัมพันธทางประวัติศาสตร และมรดกทางวัฒนธรรมที่มี พัฒนาการรวมกัน เพื่อเชื่อม อัตลักษณและสรางจิตสํานึก ในการเปนประชากรของประชาคม อาเซียนรวมกัน
3. การสงเสริมการศึกษาดาน สิทธิมนุษยชน เพื่อสรางประชาคม อาเซียนใหเปนประชาคมเพื่อ ประชาชนอยางแทจริง สามารถ อยูรวมกันไดบนพื้นฐานการเคารพ ในคุณคาของศักดิ์ศรีแหงความ เปนมนุษยเทาเทียมกัน
5. การสงเสริมสันติภาพ ความ มั่นคง และความปรองดองในสังคม ทั้งระดับประเทศและภูมิภาคของ อาเซียนบนพื้นฐานสันติวิธีและการ อยูรวมกันดวยขันติธรรม
คูม อื ครู
การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
เสร�ม
8
1. การพัฒนาทักษะการทํางาน เพื่อเสริมสรางผูเรียนใหมีทักษะ วิชาชีพที่จําเปนสอดคลองกับ ความตองการของตลาดแรงงาน และสถานประกอบการในอาเซียน สามารถเทียบโอนผลการเรียน และการทํางานตามมาตรฐานฝมือ แรงงานในภูมิภาคอาเซียน
2. การเสริมสรางวินัย ความรับผิดชอบ และเจตคติรักการทํางาน สามารถพึ่งพาตนเอง มีทักษะชีวิต ดํารงชีวิตอยางมีความสุข เห็นคุณคา และภูมิใจในตนเอง ในฐานะที่เปนพลเมืองไทยและ อาเซียน
3. การเรียนรูเพื่อพัฒนาตนเอง อยางตอเนื่องตลอดชีวิต ใหมี ทักษะการทํางานตามมาตรฐาน อาชีพ และคุณวุฒิของวิชาชีพสาขา ตางๆ เพื่อรองรับการเตรียมเคลื่อน ยายแรงงานมีฝมือและการเปน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่ เขมแข็ง เพื่อสรางขีดความสามารถ ในการแขงขันในเวทีโลก
การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน 1. การเสริมสรางความรวมมือ ในลักษณะสังคมที่เอื้ออาทร ของประชากรอาเซียน โดยยึด หลักการสําคัญ คือ ความงดงาม ของประชาคมอาเซียนมาจาก ความแตกตางและหลากหลายทาง วัฒนธรรมที่ลวนแตมีคุณคาตอ มรดกทางวัฒนธรรมของอาเซียน ซึ่งประชาชนทุกคนตองอนุรักษ สืบสานใหยั่งยืน
2. การเสริมสรางคุณลักษณะ ของผูเรียนใหเปนพลเมืองอาเซียน ที่มีศักยภาพในการกาวเขาสู ประชาคมอาเซียนอยางมั่นใจ เปนผูที่มีสุขภาพสมบูรณแข็งแรง มีทักษะการสื่อสาร ทักษะการ ทํางาน ทักษะทางสังคม สามารถ ทํางานรวมกับผูอื่นไดอยาง สรางสรรค และมีองคความรู เกี่ยวกับอาเซียนที่จําเปนตอการ ดํารงชีวิตอยางมีคุณภาพ
4. การสงเสริมการเรียนรูดาน ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถชี วี ติ ความเปนอยูข องเพือ่ นบาน ในอาเซียน เพื่อสรางจิตสํานึกของ ความเปนประชาคมอาเซียนและ ตระหนักถึงหนาที่ของการเปน พลเมืองอาเซียนรวมกัน
3. การสงเสริมการเรียนรูภาษา อังกฤษเพื่อการสื่อสารและการ ทํางานตามมาตรฐานอาชีพที่ กําหนดและสนับสนุนการเรียนรู ภาษาอาเซียนและภาษาเพื่อนบาน เพื่อชวยเสริมสรางสัมพันธภาพทาง สังคม และการอยูรวมกันอยางสันติ ทามกลางความหลากหลายทาง วัฒนธรรม
5. การสรางความรูและความ ตระหนักเกี่ยวกับดานสิ่งแวดลอม ปญหาและผลกระทบตอคุณภาพ ชีวิตของประชากรในภูมิภาค รวมทั้งแนวทางการพัฒนาอยาง ยั่งยืน ใหเปนมรดกสืบทอดแก พลเมืองอาเซียนในรุนหลังตอๆ ไป
กระทรวงศึกษาธิการจึงประกาศนโยบายการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) เพื่อเรงพัฒนาเด็ก และเยาวชนไทยใหเปนทรัพยากรมนุษยของชาติที่มีทักษะและความชํานาญ พรอมเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและ การแขงขันทั้งในภูมิภาคอาเซียนและภูมิภาคอื่นๆ ของสังคมโลก ทั้งนี้ผูบริหารสถานศึกษา ครูผูสอน และผูปกครอง ควรรวมมือกันอยางใกลชิดในการดูแลชวยเหลือผูเรียนและจัดประสบการณการเรียนรูเพื่อพัฒนาผูเรียนจนเต็มศักยภาพ เพื่อกาวเขาสูการเปนพลเมืองอาเซียนอยางมีเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีความเปนมนุษยของตน คณะผูจัดทํา คูม อื ครู
ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง สาระที่ 1
สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดํารงชีวิตฯ ม.4-6*
สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดํารงชีวิต
มาตรฐาน ว 1.1 เขาใจหนวยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต ความสัมพันธของโครงสราง และหนาที่ของระบบตางๆ ของสิ่งมีชีวิต ที่ทํางานสัมพันธกัน มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู สื่อสารสิ่งที่เรียนรู และนําความรูไปใชในการ ดํารงชีวิตของตนเองและดูแลสิ่งมีชีวิต ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
ม.4 1. ทดลองและอธิบายการรักษา • สารตางๆ เคลือ่ นทีผ่ า นเขาและออกจากเซลลตลอดเวลา • หนวยการเรียนรูที่ 1 ดุลยภาพของเซลลของสิ่งมีชีวิต เซลลจึงตองมีการรักษาดุลยภาพ เพื่อใหรางกายของ กลไกการรักษาดุลยภาพ ม.6 สิ่งมีชวี ิตดํารงชีวิตไดตามปกติ ของสิ่งมีชีวติ • เซลลมีการลําเลียงสารผานเซลลโดยวิธีการแพร การออสโมซิส การลําเลียงแบบฟาซิลิเทต การลําเลียง แบบใชพลังงาน และการลําเลียงสารขนาดใหญ • สิง่ มีชวี ติ เซลลเดียวมีการลําเลียงสารเกิดขึน้ ภายในเซลล เพียงหนึ่งเซลล แตสิ่งมีชีวิตหลายเซลลตองอาศัยการ ทํางานประสานกันของเซลลจํานวนมาก
เสร�ม
9
2. ทดลองและอธิบายกลไก • พืชมีกลไกในการรักษาดุลยภาพของนํา้ โดยมีการควบคุม • หนวยการเรียนรูที่ 1 การรักษาดุลยภาพของนํ้าในพืช สมดุลระหวางการคายนํ้า กลไกการรักษาดุลยภาพ • การเปดปดของปากใบเปนการควบคุมอัตราการคายนํ้า ของสิ่งมีชีวติ ของพืช ซึ่งชวยในการรักษาดุลยภาพของนํ้าภายในพืช ใหมีความชุมชื้นในระดับที่พอเหมาะ 3. สืบคนขอมูลและอธิบายกลไก การควบคุมดุลยภาพของนํ้า แรธาตุและอุณหภูมิของมนุษย และสัตวอื่นๆ และนําความรู ไปใชประโยชน
• ไตเปนอวัยวะสําคัญในการรักษาดุลยภาพของนํ้าและ • หนวยการเรียนรูที่ 1 สารตางๆ ในรางกาย ซึ่งมีโครงสรางและการทํางาน กลไกการรักษาดุลยภาพ รวมกับอวัยวะอื่น ของสิ่งมีชีวติ • ภายในไตมีหนวยไต ของเหลวที่ผานเขาสูหนวยไต สวนหนึง่ จะถูกดูดซึมกลับสูห ลอดเลือด สวนทีไ่ มถกู ดูดซึม จะผานไปยังทอปสสาวะ • ยูเรีย โซเดียมไอออน และคลอไรดไอออนเปนของเสีย จากกระบวนการเมแทบอลิซึมจะถูกขับออกจากไตไป พรอมกับปสสาวะ • อะมีบาและพารามีเซียมเปนสิ่งมีชีวิตเซลลเดียวที่มี โครงสรางภายในเซลลทเี่ รียกวา คอนแทร็กไทลแวคิวโอล ในการกําจัดนํ้าและของเสียออกจากเซลล • ปลานํ้าจืดมีเซลลบริเวณเหงือกที่นํ้าเขาสูรางกายได โดยการออสโมซิส สวนปลานํา้ เค็มปองกันการสูญเสียนํา้ ออกจากรางกาย โดยมีผิวหนังและเกล็ดที่ปองกันไมให แรธาตุจากนํา้ ทะเลซึมเขาสูร า งกาย และทีบ่ ริเวณเหงือก มีกลุม เซลลซงึ่ ขับแรธาตุสว นเกินออกโดยวิธกี ารลําเลียง แบบใชพลังงาน • มนุษยมีกลไกในการควบคุมอุณหภูมิของรางกายใหอยู ในสภาวะที่เหมาะสม โดยศูนยควบคุมอุณหภูมิจะอยูที่ สมองสวนไฮโพทาลามัส • สั ต ว เ ลื อ ดอุ น สามารถรั ก ษาอุ ณ หภู มิ ข องร า งกายให เกือบคงที่ไดในสภาวะแวดลอมตางๆ สวนสัตวเลือดเย็น อุณหภูมริ า งกายจะแปรผันตามอุณหภูมขิ องสิง่ แวดลอม
_________________________________ * สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร. (กรุงเทพมหานคร : ชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย, 2551), หนา 10-104.
คูม อื ครู
ชั้น
เสร�ม
10
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
ม.4 4. อธิบายเกี่ยวกับระบบภูมิคุมกัน • รางกายมนุษยมีภูมิคุมกันซึ่งเปนกลไกในการปองกัน • หนวยการเรียนรูที่ 2 ของรางกายและนําความรูไปใช เชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมเขาสูรางกาย ภูมิคุมกันของรางกาย ม.6 ในการดูแลรักษาสุขภาพ • ผิวหนัง เซลลเม็ดเลือดขาว และระบบนํ้าเหลือง เปนสวนสําคัญของรางกายที่ทําหนาที่ปองกันและ ทําลายเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมที่เขาสูรางกาย • ระบบภูมิคุมกันมีความสําคัญยิ่งตอรางกายมนุษย การรับประทานอาหารทีถ่ กู สุขลักษณะ การออกกําลังกาย การดูแลสุขอนามัย ตลอดจนการหลีกเลี่ยงสารเสพติด และพฤติกรรมที่เสี่ยงทางเพศและการไดรับวัคซีน ในการปองกันโรคตางๆ ครบตามกําหนด จะชวย เสริมสรางภูมิคุมกันและรักษาภูมิคุมกันของรางกายได
มาตรฐาน ว 1.2 เขาใจกระบวนการและความสําคัญของการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ การใชเทคโนโลยีชีวภาพที่มีผลกระทบตอมนุษยและสิ่งแวดลอม มีกระบวนการสืบเสาะหาความรูและจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่เรียนรู และนําความรูไปใชประโยชน ชั้น
ตัวชี้วัด
ม.4 1. อธิบายกระบวนการถายทอด สารพันธุกรรม การแปรผัน ม.6 ทางพันธุกรรม มิวเทชัน และ การเกิดความหลากหลายทาง ชีวภาพ
2. สืบคนขอมูลและอภิปรายผล ของเทคโนโลยีชีวภาพที่มีตอ มนุษยและสิ่งแวดลอม และ นําความรูไปใชประโยชน
คูม อื ครู
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
• หนวยการเรียนรูที่ 3 • สิ่งมีชีวิตมีการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม จากพอแมมาสูรุนลูกหลานได ซึ่งสังเกตไดจากลักษณะ กระบวนการถายทอดทาง ที่ปรากฏ พันธุกรรม • ดีเอ็นเอเปนนิวคลีโอไทดสายยาวสองสายพันกันเปน เกลียวคูวนขวา แตละสายประกอบดวยนิวคลีโอไทด นับลานหนวย ซึ่งมีโครงสรางประกอบดวย นํ้าตาลเพนโทส ไนโตรเจนเบสสี่ชนิด และหมูฟอสเฟต โดยที่ลําดับเบสของนิวคลีโอไทดจะมีขอมูลทาง พันธุกรรมบันทึกอยูสรางภูมิคุมกันและรักษาภูมิคุมกัน ของรางกายได • มิวเทชันเปนการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมในระดับ ยีนหรือโครโมโซม ซึ่งเปนผลมาจากการเปลี่ยนแปลงที่ เกิดขึ้นกับดีเอ็นเอ โดยมิวเทชันที่เกิดในเซลลสืบพันธุ สามารถถายทอดไปสูรุนลูกและหลานได • การแปรผันทางพันธุกรรมทําใหสิ่งมีชีวิตที่เกิดใหมมี ลักษณะที่แตกตางกันหลากหลายชนิด กอใหเกิดเปน ความหลากหลายทางชีวภาพ • มนุษยนาํ ความรูท างเทคโนโลยีชวี ภาพดานพันธุวศิ วกรรม • หนวยการเรียนรูที่ 4 การโคลนและการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ มาใชในการพัฒนา ระบบนิเวศและ ใหเกิดความกาวหนาในดานตางๆ มากขึน้ และแพรหลาย ความหลากหลายทางชีวภาพ • การใชเทคโนโลยีชวี ภาพทีส่ รางสิง่ มีชวี ติ ใหมเกิดขึน้ หรือ สิ่งมีชีวิตที่มีการดัดแปรพันธุกรรม สงผลกระทบทั้งทาง ดานที่เปนประโยชนและโทษตอสิ่งแวดลอม เศรษฐกิจ และสังคม
ชั้น
ตัวชี้วัด
ม.4 3. สืบคนขอมูลและอภิปรายผล ของความหลากหลายทาง ม.6 ชีวภาพที่มีตอมนุษยและ สิ่งแวดลอม
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
• โลกมีความหลากหลายของระบบนิเวศ ซึ่งมีสิ่งมีชีวิต • หนวยการเรียนรูที่ 4 อาศัยอยูมากมายหลายสปชีส สิ่งมีชีวิตสปชีสเดียวกันก็ ระบบนิเวศและ ยังมีความหลากหลายทางพันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ • ความหลากหลายทางชีวภาพสงผลทําใหมนุษย และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ไดใชประโยชนในแงของการเปน อาหาร ที่อยูอาศัย แหลงสืบพันธุและขยายพันธุ ทําให สิ่งมีชีวิตสามารถดํารงพันธุอยูได • สิง่ มีชวี ติ ทีม่ คี วามหลากหลายทางชีวภาพมีความตองการ ปจจัยตางๆ ในการดํารงชีวิตแตกตางกันซึ่งจะชวยรักษา สมดุลของระบบนิเวศบนโลกได
เสร�ม
11
4. อธิบายกระบวนการคัดเลือก • สิง่ มีชวี ติ แตละสปชสี จ ะมีความหลากหลายทีแ่ ตกตางกัน • หนวยการเรียนรูที่ 4 ตามธรรมชาติ และผลของการ สิ่งมีชีวิตในสปชีรเดียวกันจะผสมพันธุและสืบลูกหลาน ระบบนิเวศและ คัดเลือกตามธรรมชาติตอ ความ ตอไปได ความหลากหลายทางชีวภาพ หลากหลายของสิ่งมีชีวิต • การคัดเลือกตามธรรมชาติจะสงผลทําใหลักษณะ พันธุกรรมของประชากรในกลุมยอยแตละกลุม แตกตางกัน ไปจนกลายเปนสปชีสใหมทําใหเกิดเปน ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต
สาระที่ 2
ชีวิตกับสิ่งแวดลอม
มาตรฐาน ว 2.1 เขาใจสิ่งแวดลอมในทองถิ่น ความสัมพันธระหวางสิ่งแวดลอมกับสิ่งมีชีวิต ความสัมพันธระหวาง สิ่งมีชีวิตตางๆ ในระบบนิเวศ มีกระบวนการสืบเสาะหาความรูและจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่เรียนรู และนําความรูไปใชประโยชน ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
ม.4 1. อธิบายดุลยภาพของระบบนิเวศ • ระบบนิเวศในธรรมชาติจะมีความสมดุลไดก็ตอเมื่อ มีสภาพแวดลอมตางๆ ที่เอื้ออํานวยตอการดํารงชีวิต ม.6 ของสิง่ มีชีวิตชนิดตางๆ ในระบบนิเวศ จนทําใหเกิด ความหลากหลายของระบบนิเวศบนโลก
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน • หนวยการเรียนรูที่ 4 ระบบนิเวศและ ความหลากหลายทางชีวภาพ
2. อธิบายกระบวนการเปลี่ยนแปลง • ระบบนิเวศในโลกทีม่ คี วามหลากหลาย มีการเปลีย่ นแปลง • หนวยการเรียนรูที่ 4 แทนที่ของสิ่งมีชีวิต ตางๆ เกิดขึน้ อยูต ลอดเวลา ไมวา จะเปนการเปลีย่ นแปลง ระบบนิเวศและ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หรือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจาก ความหลากหลายทางชีวภาพ มนุษยเปนผูกระทําการเปลี่ยนแปลงเหลานี้อาจสงผล ทําใหระบบนิเวศเสียสมดุลได • เมื่อระบบนิเวศเสียสมดุลจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแทนที่ เกิดขึ้นในระบบนิเวศนั้น การเปลี่ยนแปลงสภาพทาง ธรรมชาติของระบบนิเวศยอมสงผลทําใหเกิดการ เปลี่ยนแปลงแทนที่ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศนั้นดวย
คูม อื ครู
ชั้น
ตัวชี้วัด
ม.4 3. อธิบายความสําคัญของ ความหลากหลายทางชีวภาพ ม.6 และเสนอแนะแนวทางในการ ดูแลและรักษา
เสร�ม
12
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
• ความหลากหลายทางชีวภาพมีความสําคัญตอสิ่งมีชีวิต • หนวยการเรียนรูที่ 4 สิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีควาสําคัญตอระบบนิเวศ ถาสิ่งมีชีวิต ระบบนิเวศและ ชนิดใดชนิดหนึ่งถูกทําลายหรือสูญหายไป ก็จะสงผล ความหลากหลายทางชีวภาพ กระทบตอความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในระบบ นิเวศดวย • ความหลากหลายทางชีวภาพของระบบนิเวศหนึง่ ยังอาจ เกื้อกูลตอระบบนิเวศอื่นๆไดดวย • ความหลากหลายทางชีวภาพมีความสําคัญตอมนุษย มนุษยใชประโยชนจากความหลากหลายทางชีวภาพ มากมาย การใชที่ขาดความระมัดระวังอาจสงผลกระทบ ตอความหลากหลายทางชีวภาพได ซึ่งทุกคนควรมี สวนรวมในการดูแลและรักษา
มาตรฐาน ว 2.2 เขาใจความสําคัญของทรัพยากรธรรมชาติ การใชทรัพยากรธรรมชาติในระดับทองถิ่น ประเทศ และโลก นําความรูไปใชในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมในทองถิ่นอยางยั่งยืน ชั้น
ตัวชี้วัด
ม.4 1. วิเคราะหสภาพปญหา สาเหตุ ของปญหาสิ่งแวดลอมและ ม.6 ทรัพยากรธรรมชาติในระดับ ทองถิ่น ระดับประเทศ และ ระดับโลก
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
• หนวยการเรียนรูที่ 5 • ความสัมพันธซึ่งกันและกันระหวางสิ่งมีชีวิต กับสิ่งแวดลอมหรือระหวางสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตดวยกัน ทรัพยากรธรรมชาติ มีความสัมพันธกันหลายระดับ ตั้งแตระดับทองถิ่น ระดับประเทศ และระดับโลก • การเพิ่มขึ้นของประชากรมนุษยสงผลใหมีการใช ทรัพยากรธรรมชาติเพิ่มขึ้น ทําใหทรัพยากรธรรมชาติ ลดจํานวนลง และเกิดปญหามลพิษทางดานตางๆ ตามมา • ปญหามลพิษที่เกิดขึ้นมีดวยกันหลายสาเหตุ บางปญหา มีผลกระทบเกิดขึ้นในระดับทองถิ่น บางปญหาสงผล กระทบระดับประเทศ และบางปญหามีความรุนแรง จนเปนปญหาระดับโลก
2. อภิปรายแนวทางในการปองกัน • การใชทรัพยากรธรรมชาติตา งๆ ทีม่ อี ยูอ ยางจํากัดจําเปน • หนวยการเรียนรูที่ 5 แกไขปญหาสิ่งแวดลอม และ ตองใชดวยความระมัดระวังและไมใหเกิดผลกระทบตอ ทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดลอม • สิง่ แวดลอมทีอ่ ยูใ นสภาพเสือ่ มโทรม หรือเกิดเปนมลพิษ ที่เปนผลเนื่องมาจากการใชทรัพยากรธรรมชาติ ตองหา แนวทางในการปองกัน แกไข ฟนฟูใหกลับมีสภาพที่ สามารถใชการได 3. วางแผนและดําเนินการเฝาระวัง • สิ่ ง แวดล อ มและทรั พ ยากรธรรมชาติ ค วรต อ งมี ก าร • หนวยการเรียนรูที่ 5 อนุรักษ และพัฒนาสิ่งแวดลอม เฝาระวัง อนุรักษ และพัฒนา ซึ่งทุกคนควรรวมกัน ทรัพยากรธรรมชาติ และทรัพยากรธรรมชาติ ปฏิบัติ เพื่อใหเกิดการใชประโยชนอยางยั่งยืน
คูม อื ครู
สาระที่ 8
ธรรมชาติของวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 8.1 ใชกระบวนการทางวิทยาศาสตรและจิตวิทยาศาสตรในการสืบเสาะหาความรู การแกปญหา รูวาปรากฏการณทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นสวนใหญมีรูปแบบที่แนนอน สามารถอธิบายและตรวจสอบได ภายใตขอมูลและเครื่องมือที่มีอยูในชวงเวลานั้นๆ เขาใจวาวิทยาศาสตร เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดลอมมีความเกี่ยวของสัมพันธกัน ชั้น
ตัวชี้วัด
ม.4 1. ตั้งคําถามที่อยูบนพื้นฐานของ ความรูและความเขาใจทาง ม.6 วิทยาศาสตร หรือความสนใจ หรือจากประเด็นที่เกิดขึ้นใน ขณะนั้น ที่สามารถทําการ สํารวจตรวจสอบหรือศึกษา คนควาไดอยางครอบคลุมและ เชื่อถือได
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-5
2. สรางสมมติฐานที่มีทฤษฎีรองรับ หรือคาดการณสิ่งที่จะพบ หรือ สรางแบบจําลอง หรือสราง รูปแบบเพื่อนําไปสูการสํารวจ ตรวจสอบ
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-5
3. ค น คว า รวบรวมข อ มู ล ที่ ต อ ง พิจารณาปจจัยหรือตัวแปรสําคัญ ปจจัยทีม่ ผี ลตอปจจัยอืน่ ปจจัยที่ ควบคุมไมได และจํานวนครัง้ ของ การสํารวจ ตรวจสอบ เพื่อใหได ผลทีม่ คี วามเชือ่ มัน่ อยางเพียงพอ
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-5
4. เลือกวัสดุ เทคนิควิธี อุปกรณทใี่ ช ในการสังเกต การวัด การสํารวจ ตรวจสอบอยางถูก ตอ งทั้งทาง กวางและลึกในเชิงปริมาณและ คุณภาพ
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-5
5. รวบรวมขอมูลและบันทึกผล การสํารวจตรวจสอบอยาง เปนระบบถูกตอง ครอบคลุม ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยตรวจสอบความเปนไปได ความเหมาะสมหรือ ความผิดพลาดของขอมูล
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-5
6. จัดกระทําขอมูล โดยคํานึงถึง การรายงานผลเชิงตัวเลขที่มี ระดับความถูกตองและนําเสนอ ขอมูลดวยเทคนิควิธีที่เหมาะสม
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-5
เสร�ม
13
คูม อื ครู
ชั้น
ตัวชี้วัด
ม.4 7. วิเคราะหขอมูล แปลความหมายขอมูล และ ม.6 ประเมินความสอดคลองของ ขอสรุป หรือสาระสําคัญ เพื่อ ตรวจสอบกับสมมติฐานที่ตั้งไว
เสร�ม
14
คูม อื ครู
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-5
8. พิจารณาความนาเชื่อถือของ วิธีการและผลการสํารวจ ตรวจสอบ โดยใชหลัก ความคลาดเคลื่อนของการวัด และการสังเกต เสนอแนะการ ปรับปรุงวิธีการสํารวจตรวจสอบ
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-5
9. นําผลของการสํารวจตรวจสอบ ที่ไดทั้งวิธีการและองคความรู ที่ไดไปสรางคําถามใหม นําไป ใชแกปญหาในสถานการณใหม และในชีีวิตจริง
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-5
10. ตระหนักถึงความสําคัญในการ ที่ จ ะต อ งมี ส ว นร ว มรั บ ผิ ด ชอบ อธิบาย การลงความเห็น และการ สรุปผลการเรียนรูวิทยาศาสตร ที่ นํ า เสนอต อ สาธารณชนด ว ย ความถูกตอง
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-5
11. บันทึกและอธิบายผลการสํารวจ ตรวจสอบอย า งมี เ หตุ ผ ล ใช พยานหลักฐานอางอิงหรือคนควา เพิม่ เติม เพือ่ หาหลักฐานอางอิงที่ เชื่อถือได ยอมรับวา ความรูเดิม อาจมีการเปลี่ยนแปลงได เมื่อมี ข อ มู ล และประจั ก ษ พ ยานใหม เพิ่มเติมหรือโตแยงจากเดิม ซึ่ง ทาทายใหมีการตรวจสอบ อยาง ระมั ด ระวั ง อั น จะนํ า มาสู ก าร ยอมรับเปนความรูใหม
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-5
12. จัดแสดงผลงาน เขียนรายงาน และ/หรืออธิบายเกี่ยวกับแนวคิด กระบวนการและผลของโครงงาน หรือชิ้นงานใหผูอื่นเขาใจ
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1-5
คําอธิบายรายวิชา รายวิชา สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดํารงชีวิต ชีวิตกับสิ่งแวดลอม ม.4-ม.6 ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4-6 รหัสวิชา ว…………………………………
กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร ภาคเรียนที่…………….. เวลา 60 ชั่วโมง/ป
ศึกษา วิเคราะห ทดลอง และอธิบายการรักษาดุลยภาพของเซลลสิ่งมีชีวิต กลไกการรักษาดุลยภาพ เสร�ม ของนํ้าในพืช กลไกการควบคุมดุลยภาพของนํ้า แรธาตุ และอุณหภูมิของมนุษยและสัตวอื่นๆ ระบบภูมิคุมกัน 15 ของรางกาย กระบวนการถายทอดสารพันธุกรรม การแปรผันทางพันธุกรรม มิวเทชัน การเกิดความหลากหลาย ทางชีวภาพ ผลของเทคโนโลยีชีวภาพที่มีตอมนุษยและสิ่งแวดลอม ผลของความหลากหลายทางชีวภาพ ที่มีตอมนุษยและสิ่งแวดลอม กระบวนการคัดเลือกตามธรรมชาติ ผลของการคัดเลือกตามธรรมชาติตอ ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต ดุลยภาพของระบบนิเวศ กระบวนการเปลี่ยนแปลงแทนที่ของสิ่งมีชีวิต ความสําคัญของความหลากหลายทางชีวภาพและแนวทางในการดูแลรักษา สภาพปญหา สาเหตุของปญหา สิ่งแวดลอมและทรัพยากรธรรมชาติในระดับทองถิ่น ระดับประเทศ และระดับโลก แนวทางในการปองกัน แกไขปญหาสิ่งแวดลอมและทรัพยากรธรรมชาติ การดําเนินการเฝาระวัง อนุรักษ และพัฒนาสิ่งแวดลอม และทรัพยากรธรรมชาติ โดยใชกระบวนการทางวิทยาศาสตร การสืบเสาะหาความรู การสํารวจ ตรวจสอบ การสืบคนขอมูล และอภิปราย เพื่อใหเกิดความรู ความคิด ความเขาใจ สามารถสื่อสารสิ่งที่เรียนรู มีความสามารถในการตัดสินใจ มีความรับผิดชอบ รอบคอบ สามารถนําความรูไปใชในชีวิตประจําวันได มีจิตวิทยาศาสตร และจริยธรรม คมและสิ่งแวดลอม ในการใชความรูทางวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีอยางมีคุณธรรมตอสังคม ตัวชี้วัด ว 1.1 ว 1.2 ว 2.1 ว 2.2 ว 8.1
ม.4-6/1 ม.4-6/2 ม.4-6/3 ม.4-6/4 ม.4-6/1 ม.4-6/2 ม.4-6/3 ม.4-6/4 ม.4-6/1 ม.4-6/2 ม.4-6/3 ม.4-6/1 ม.4-6/2 ม.4-6/3 ม.4-6/1 ม.4-6/2 ม.4-6/3 ม.4-6/4 ม.4-6/5 ม.4-6/6 ม.4-6/7 ม.4-6/8 ม.4-6/9 ม.4-6/10 ม.4-6/11 ม.4-6/12
รวม 26 ตัวชี้วัด
คูม อื ครู
คูม อื ครู
หนวยการเรียนรูที่ 5 : ทรัพยากรธรรมชาติ
หนวยการเรียนรูที่ 4 : ระบบนิเวศและ ความหลากหลาย ทางชีวภาพ
หนวยการเรียนรูที่ 3 : กระบวนการถายทอด ทางพันธุกรรม
หนวยการเรียนรูที่ 2 : ภูมิคุมกันของรางกาย
2
3
✓
4
✓
1
3
4
1
2
ตัวชี้วัด
3
✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓
2
ตัวชี้วัด
ตัวชี้วัด
มาตรฐาน ว 2.1
2
3
2
3
4
5
6
7
8
9
10 11 12
✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓
✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓
✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓
✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓
1
ตัวชี้วัด
มาตรฐาน ว 8.1
สาระที่ 8
✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓
1
ตัวชี้วัด
มาตรฐาน ว 2.2
สาระที่ 2
16
✓ ✓ ✓
1
มาตรฐาน ว 1.2
มาตรฐาน ว 1.1
สาระที่ 1
เสร�ม
หนวยการเรียนรูที่ 1 : กลไกการรักษาดุลยภาพ ของสิ่งมีชีวิต
หนวยการเรียนรู
มาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั
ตาราง วิเคราะหมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด รายวิชา สิ่งมีชีวิตฯ ม.4-ม.6
คําชี้แจง : ใหผูสอนใชตารางนี้ตรวจสอบความสอดคลองของเนื้อหาสาระการเรียนรูในหนวยการเรียนรูกับมาตรฐาน การเรียนรูและตัวชี้วัดชวงชั้น
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÃÒÂÇÔªÒ¾×é¹°Ò¹ÇÔ·ÂÒÈÒʵÃ
สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดํารงชีวิต ชีวิตกับสิ่งแวดลอม ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4-6
กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
ผูเรียบเรียง
ดร. ฤทธิ์ วัฒนชัยยิ่งเจริญ
ผูตรวจ
ดร. พีระ อัจฉราเสถียร นายเศรษฐา อินทะสระ นางสาวอารียา ศรีประเสริฐ
บรรณาธิการ
นายวิโรจน เตรียมตระการผล พิมพครั้งที่ 5
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ รหัสสินคา 3018001
¤Œ¹¤ÇÒÁÃÙŒ¢ÂÒ¤ÇÒÁ¤Ô´¨Ò¡
¾ÔÁ¾ ¤ÃÑ駷Õè 1 ÃËÑÊÊÔ¹¤ŒÒ 3048015
EB GUIDE
ที่พิมพกํากับหัวขอสําคัญในหนังสือเรียนหลักสูตรแกนกลางฯ ผาน www.aksorn.com ไปยังแหลงความรูทั่วไทย-ทั่วโลก
คณะผูจัดทําคูมือครู ฤทธิ์ วัฒนชัยยิ่งเจริญ ปญญา ไวยบุญญา
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
¤íÒ¹íÒ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตรไดกําหนดตัวชี้วัด และสาระการเรียนรูแกนกลางไวอยางชัดเจน โดยผูเรียน เมื่อศึกษาจบแลว จะตองมีคุณลักษณะไดตามมาตรฐานตามที่หลักสูตรกําหนดไว สําหรับหนังสือเรียนสาระการเรียนรูพื้นฐาน สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดํารงชีวิต ชีวติ กับสิง่ แวดลอม ชัน้ ม. 4-6 เลมนี้ ประกอบดวยสาระที่ 1 (สิง่ มีชวี ติ กับกระบวนการ ดํารงชีวิต) สาระที่ 2 (ชีวิตกับสิ่งแวดลอม) และสาระที่ 8 (ธรรมชาติของวิทยาศาสตร และเทคโนโลยี) สําหรับเนื้อหาสาระที่นักเรียนจะไดศึกษา จะประกอบไปดวยเรื่อง กลไกการ รักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต ภูมิคุมกันของรางกาย กระบวนการถายทอดทางพันธุกรรม ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม โดย จะแบงเนื้อหาแยกเปนหนวยการเรียนรู และภายในหนวยก็จะแบงแยกยอยเปนเรื่องๆ ทั้งนี้คณะผูเรียบเรียงคาดหวังวา จะเปนสื่อสําหรับใชประกอบการเรียนการสอน ที่จะชวยพัฒนานักเรียนใหเปนคนที่มีความรู มีความมุงมั่น มีความรับผิดชอบ รูจัก รับฟงความคิดเห็นของผูอื่น มีความสามารถในการสื่อสาร รูจักใชกระบวนการทาง วิทยาศาสตรในการดํารงชีวิต การสืบเสาะหาความรู สามารถทํางานรวมกับผูอื่นได อยางสรางสรรคเปนผูมีจิตวิทยาศาสตร มีจริยธรรม และคานิยมในการใชความรูทาง วิทยาศาสตรและเทคโนโลยีอยางมีคุณธรรมตอสังคมและสิ่งแวดลอม ในการเรียบเรียงพยายามใหนักเรียนสามารถอานทําความเขาใจไดงาย ชัดเจน ไดรับความรูตรงตามประเด็นในสาระการเรียนรูแกนกลาง และเพื่ออํานวยความสะดวก ทั้งตอครูผูสอนและนักเรียน จึงไดเสริมกิจกรรมฝกทักษะทางวิทยาศาสตรเสนอแนะ คั่นแทรกไวในเนื้อหาสาระดวย ซึ่งสามารถจะใชตามนี้หรือปรับใหเหมาะสมกับสภาพ แวดลอมของสถานศึกษาแตละแหงก็ได หวังเปนอยางยิง่ วา หนังสือเรียนสาระการเรียนรูพ นื้ ฐาน สิง่ มีชวี ติ กับกระบวนการ ดํารงชีวิต ชีวิตกับสิ่งแวดลอม เลมนี้ จะมีสวนชวยใหการจัดการเรียนสอนวิทยาศาสตร ชั้น ม. 4-6 สัมฤทธิ์ผลตามเปาหมาย และมีสวนชวยเอื้ออํานวยใหนักเรียนมีคุณภาพ สมตามทีห่ ลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐานกําหนดไว
ผูเรียบเรียง
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
อธิบายความรู
Explore
ขยายความเขาใจ
Explain
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
¤íÒá¹Ð¹íÒ㹡ÒÃ㪌˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ หนั ง สื อ เรี ย น รายวิ ช าพื้ น ฐาน สิ่ ง มี ชี วิ ต กั บ กระบวนการดํ า รงชี วิ ต ชีี วิ ต กั บ สิ่ ง แวดล อ มเล ม นี้ สรางขึน้ เพือ่ ใหเปนสือ่ สําหรับใชประกอบการเรียนการสอนในรายวิชาพืน้ ฐาน กลุม สาระการเรียนรูว ทิ ยาศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 4-6 โดยเนือ้ หาตรงตามสาระการเรียนรูแ กนกลางขัน้ พืน้ ฐาน อานทําความเขาใจงาย ใหทงั้ ความรูแ ละ ชวยพัฒนาผูเรียนตามหลักสูตรและตัวชี้วัด เนื้อหาสาระแบงออกเปนหนวยการเรียนรูตามโครงสรางรายวิชา สะดวกแกการจัดการเรียนการสอนและการวัดผลประเมินผล พรอมเสริมองคประกอบอืน่ ๆ ทีจ่ ะชวยทําใหผเู รียน ÈѾ· ¹‹ÒÃÙŒ ͸ԺÒ¤ÇÒÁËÁÒ 蹹íÒà¾×èÍãˌࢌÒ㨶֧ÊÒÃÐÊíÒ¤ÑÞ à¹×éÍËҵçµÒÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹Ãٌ᡹¡ÅÒ§ ไดรบั ความรูอ ยางมีประสิทธิภาพ à¡ÃÔ ¢Í§¤íÒÈѾ· ·Õè¼ÙŒàÃÕ¹¤ÇÃÃÙŒ·Õè ã¹Ë¹‹Ç·Õè¨ÐàÃÕ¹ ãËŒ¤ÇÒÁÃÙŒáÅÐàÍ×é͵‹Í¡ÒùíÒä»ãªŒÊ͹à¾×èÍ
1 ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ
¹ÃÙŒ·Õè
ย สิ่งมีชีวิตทั้งที่เปนพืชและสัตวทุกชนิดประกอบดว หี นาที่ หนวยขนาดเล็ก ทีเ่ รียกวา เซลล ซึง่ เปนหนวยทีม่ น การ ควบคุมกระบวนการทีส่ ำคัญตางๆ ภายในรางกาย เช าญสาร ถายทอดลักษณะตางๆ ทางพันธุกรรม การเผาผล นและ อาหารใหกลายเปนพลังงาน การสังเคราะหโปรตี เอนไซมตา งๆ เปนตน นี้ เนื่องจากการทำงานและการดำรงอยูของเซลล เวณ ทำใหเซลลตองมีการแลกเปลี่ยนสารตางๆ กับบริ ดวย รอบขางอยูตลอดเวลา ดังนั้นเซลลจึงตองประกอบ คุม โครงสรางตางๆ มากมาย ทีจ่ ะชวยใหเซลลสามารถควบ ใหอยู ปริมาณและชนิดของสารที่เขาหรือออกจากเซลล เซลล ในสภาวะที่เหมาะสม การใชกลองจุลทรรศนสองดู ทำใหนกั ชีววิทยาไดขอ สรุปวา สวนประกอบหลักของเซลล ne) ทุ ก ชนิ ด คื อ ส ว นห อ หุ ม เซลล (cell membra ไซโทพลาซึม (cytoplasm) และนิวเคลียส (nucleus) ญ ำคั ส ่ ี ท ของเซลล นประกอบ ว ส น เป อ ื ถ สวนหอหุมเซลล ึมเปน ที่สุดในการกำหนดขอบเขตของเซลล ไซโทพลาซ งสราง ของเหลวคอนขางขนที่เซลลสรางขึ้น โดยพบโคร อยู ขนาดเล็กที่มีรูปรางและหนาที่แตกตางกันแขวนลอย ยกวา โครงสรางเหลานี้เปรียบเสมือนอวัยวะของเซลล เรี (mitoออรแกเนลล (organelle) เชน ไมโทคอนเดรีย chondria) กอลจิคอมเพลกซ (golgi complex) ไรโบโซม (ribosome) เซนทริโอล (centrioles) รางแหเอนโด ) พลาซึม (endoplasmic reticulum) ไลโซโซม (lysosome นาที่ และแวคิวโอล (vacuole) เปนตน โดยลักษณะและห ดังนี้ ของโครงสรางตางๆ ของเซลลพืชและเซลลสัตว มี
เนื่องจากสิ สรางสารตางๆ ่งมีชีวิตทุกชนิดไมสามา รถส ขึ มีความสัมพัน ้นไดดวยตนเอง สิ่งมีชีวิต รางพลังงาน หรือ จึงจำเปนตอ ธกับ ง เพื่อใหไดมาซึ สภาพแวดลอมตางๆ ่งพลังงาน และ ตางๆ ทีจ่ ะนำ สาร ไปใชในการดำ รงชวี ติ ของสิ่งมีชีวิต เมื่อ กั บ สภ าพแ วดล สิ่งมีชีวิตมีความสัมพันธ อ การจัดการภาย ม สิ่งมีชีวิตก็ตองมีระบบ ในตัวเองที่เหมา จั ด การ ต า งๆ ะสม ซึ่งระบ บ ภาย ในร า งกา เรียกวา กลไ ยขอ งสิ่ ง มี ชี ว กการรักษาด ุลยภาพของสิ ิ ต นี้ โดยกลไกการรั ่งมีชีวิต กษาด เซลลจนถึงการ ุลยภาพนี้ มีตั้งแตในระ ดับ รักษาดุลยภา รวมกันของอวั พโดยการทำ งาน ยวะตางๆ ตัวชี้วัดชวงชั้น
มฐ. ว 1.1 ม.4 ทดลองและอธิ 6/1-3 ของสิ่งมีชีวิต บายการรักษาดุลยภาพของเ ซลล ทดลองและอธิ บายกล ■ สืบ คนขอมูลและอ ไกการรักษาดุลยภาพของน ้ำในพืช แรธาตุ และอ ธิบายกลไกการควบคุม และนำความรู ุณหภูมิของมนุษยและสัตวอ ดุลยภาพของน้ำ ไปใชประโยชน ื่นๆ มฐ. ว 8.1 ม.46/1-12 ■
สาระการเรียนรู แกนกลาง
สารตางๆเคลื่อ นที่ผ ■ เซลล มีการลำเลี านเขาและออกจากเซลลต ลอดเวลา ฯ ■ สิ่ง มีชีวิตเซลลเดี ยงสารผานเซลล ฯ ■ พืช มีกลไกในการ ยวมีการลำเลียงสารเกิดขึ้น รักษาดุลยภาพ ภายในเซลลเพี ■ การเ ปดปดของปากใบ ของน้ำ ฯ ยงหนึ่งเซลล ฯ ■ ไตเป นอวัยวะสำคัญ เปนการควบคุมอัตรากา ■ ภายใ นไตมีหนวยไต ในการรักษาดุลยภาพของนรคายน้ำของพืช ฯ ้ำและสารตางๆ ■ ยูเ รีย โซเดียมไออ ฯ ในรางงกาย ฯ เมแทบอลิซึม อน และคลอไรดไอออน ฯ เปนของเสียจากก ■ อะมี บาและพารามี ระบวนการ เ ■ ปลาน ้ำจืดมีเซลลบริซียมเปนสิ่งมีชีวิตเซลลเดีย วฯ เวณเหงือกที่น ■ มนุ ษยมีกลไกในการ ำ ้ เข า สู ร า งกาย ■ สัต วเลือดอุน สามา ควบคุมอุณหภูมิของรา ไดโดยการออสโมซิส งกาย ฯ รถรักษาอุณหภู ตางๆ ฯ มขิ องรางกาย ฯ ใหเกือบคงที่ได ในสภาวะแวดล อม ■
µÑǪÕÇé ´Ñ áÅÐÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙጠ¡¹¡ÅÒ§ µÒÁ·ÕËè ÅÑ¡Êٵà ¡íÒ˹´ à¾×èÍãËŒ·ÃÒº¶Ö§à»‡ÒËÁÒÂ㹡ÒÃÈÖ¡ÉÒ
2
¾Ñ²¹Ò·Ñ¡ÉÐÇÔ·ÂÒÈÒʵà ໚¹¡Ô¨¡ÃÃÁ¡Ò÷´ÅͧÊíÒËÃѺ ãËŒ¼ÙŒàÃÕ¹½ƒ¡»¯ÔºÑµÔ à¾×èͪ‹ÇÂÊÌҧ·Ñ¡ÉÐÇÔ·ÂÒÈÒʵà áÅÐ ª‹Ç¾Ѳ¹Ò¼ÙŒàÃÕ¹ãËŒÁդسÀÒ¾µÒÁµÑǪÕéÇÑ´ 1.2
พัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร
การคายน้ำของพืช วัสดุและอุปกรณ กิ่งไม 1 กิ่ง ขาตั้งพรอมไมหนีบ 1 ชุด บีกเกอร 1 ใบ หลอดแกวคะปลลารี 1 หลอด
5. 6. 7. 8.
กระดาษเยื่อ 2-3 แผน ทอพลาสติกขนาดใหญกวากิ่งไมเล็กนอย น้ำสี วาสลีน
วิธีดำเนินการทดลอง
่งออก โดยขณะตัดใหตัดใตผิวน้ำ เพื่อปองกันไมใหเกิด 1. นำกิ่งไมที่เพิ่งตัดใหมมาแชลงในน้ำแลวตัดบริเวณโคนกิ ฟองอากาศขึ้นในกิ่งไม 40 ซม. เขาไปในทอพลาสติก แลวนำไปแชลงใน วามยาว ค ี ม ่ ี ท ลารี ล คะป ว 2. เสียบปลายขางหนึ่งของหลอดแก กจนเต็ม อางน้ำใหน้ำไหลเขาไปในหลอดแกวคะปลลารีและทอพลาสติ ่อยูใตผิวน้ำ โดยตัดกิ่งไมเสียบใหกระชับพอดีกับทอ 3. เสียบกิ่งไมลงในปลายอีกดานของทอพลาสติกขณะที นการรั่ว พลาสติก จากนั้นจึงทาบริเวณรอยตอดวยวาสลีน เพื่อปองกั ำ ซับปลาย 4. นำกิ่งไม ทอพลาสติก และหลอดแกวคะปลลารีขึ้นจากน้ ว แลว หลอดแกวดวยกระดาษเยื่อ เพื่อใหเกิดฟองอากาศในหลอดแก จุม ปลายหลอดแกวลงในบีกเกอรที่บรรจุดวยน้ำสี ง้ ดังภาพ ขาตั บ กั ด ติ ึ ด ย ห ใ ไม ่ ง 5. ใชไมหนีบจับหลอดแกวคะปลลารี และกิ ่ ระยะทางที ด วั ง 6. ตั้งเครื่องมือไวในหองปฏิบัติการที่มีแสงสวางสองถึ ด ฟองอากาศหรือน้ำสีเคลื่อนที่ไปทุกๆ 3 นาที โดยใชเวลาตรวจวั ทอพลาสติก ประมาณ 21 นาที ษาการคายน้ำ 7. นำขอมูลที่ตรวจวัดไดมาเขียนกราฟแสดงผล เพื่อศึก ของพืช
หลอดแกว คะปลลารี
นิวเคลียส ไลโซโซม
ยื่นไซโทพลาซึม มาลอมรอบสาร
ไซโทพลาซึม เยื่อหุมเซลล
สารที่จะนำเขาสูเซลล
สารอาหารถูกนำเขาสูเซลล
รางกายของสิ่งมีชีวิตประกอบดวยหนวยที่เล็ก คือ เซลล
ที่สุด ภาพแสดงกระบวนก ารฟาโกไซโทซิสเพื่อนำสารเขาสู เซลลของเซลลอะมีบา ซึ่งอาศัยการยื จากนั้นจึงสรางเปนถุง เพื่อนำเข ่นไซโทพลาซึมออกมาลอมรอบสาร าสูเซลล
เอาไว
14 EB GUIDE
1. 2. 3. 4.
2) เอนโดไซโทซิส (endocytosis) เปนการลำเลียง โมเลกุลของสารในทิศทางตรงขา มกับเอกโซไซโทซิส โดยนำสารเขาสูเ ซลลดว ยการเกดิ แอง รับสารทีเ่ ยือ่ หุม เซลล ศัพทนารู และเวาเขาสูภายในเซลล จากนั้น จึงเกิด ไซโทพลาซึม (cytoplasm) ของเยือ่ หุม เซลลเกิดเปนถุงลอมรอบส การเชื่อมตอ ารทีจ่ ะนำเขาเซลล เปนสวนของเหลวทีอ่ ยูภ ายในเยือ่ หุม เซลล ทำใหสามารถนำเขาสูภายในเซลล ได โดยลักษณะการ ลอมรอบนิวเคลียส โดยประกอบด วย เกิดเอนโดไซโทซิสเพื่อการนำสารเข ส ว นสำคั ญ ไดแก ออรแกเนลล าสูเซลลจะสามารถ และ แบงไดเปน 3 วิธี ไดแก วิธฟี าโกไซโท ไซโทซอล ซึง่ ไซโทซอล จะมีลักษณะเป ซิส วิธพี โิ นไซโทซสิ น และวิธีนำสารเขาสูเซลลโดยอาศัยตั ของกึ ง ่ แข็ ง กึ ง ่ เหลวมี อ ยู ป ระมาณ 50-60% วรับ ดังนี้ ของเซลล สามารถไหลไปมาได จึงทำให 1. ฟาโกไซโทซิส (phagocytosis ) เป น การ มี ก ารเปลี ย ่ นแปลงร ปู รางของเซลลได ลำเลียงสารที่เปนของแข็งเขาสูเซลล พบได ในเซลล จำพวกอะมีบา และกลุมเซลลเม็ดเลื อดขาว โดยเซลลจะ ยื่นไซโทพลาซึมออกไปลอมรอบอ นุภาคของสาร และ เกิดการสรางถุงลอมรอบสาร จากนั น้ จึงนำสารเขาสูเ ซลล และเกิดการยอยสลายภายในเซลล การลำเ ฟาโกไซโทซิสนีส้ ามารถเรียกอีกอยางว ลียงสารแบบ า การกินของเซลล (cell eating)
1. องคประกอบของเซลล
¡Åä¡¡Òà ¢Í§ÊÔè§ÁÕªÕÇÃÑ¡ÉÒ´ØÅÂÀÒ¾ Ôµ
■
à¡ÕèÂÇ¢ŒÍ§¡Ñºà¹×éÍËÒ
ãËŒºÃÃÅصÑǪÕéÇÑ´
¨Ñ´¡ÅØ‹Áà¹×éÍËÒ໚¹Ë¹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ Êдǡᡋ¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹
http://www.aksorn.com/LC/Env/M4-6/01
Web guide á¹Ð¹íÒáËÅ‹§¤Œ¹¤ÇŒÒ¢ŒÍÁÙÅ à¾ÔèÁàµÔÁ¼‹Ò¹Ãкº Online
àÊÃÔÁ»ÃÐʺ¡Òó ÇÔ·ÂÒÈÒʵà ໚¹¢ŒÍÁÙÅàÊÃÔÁ ¤ÇÒÁÃÙàŒ ¾ÔÁè àµÔÁ¨Ò¡à¹×Íé ËÒ à¾×Íè ¢ÂÒ¢ͺࢵ¤ÇÒÁÃÙŒ ãËѡѺ¼ÙŒàÃÕ¹
¡Ô¨¡ÃÃÁ¹íÒ¤Ô´ ໚¹¤íÒ¶ÒÁà¾×èÍ¡Ãе،¹ ¤ÇÒÁ¤Ô´ÊÌҧÊÃä ¢Í§¼ÙŒàÃÕ¹
พัฒนาทักษะ
งสัตว ุลยภาพขอ การรักษาด็ม เนื่องจากสัตว า ้ำจืด ระบบ ้ำเค 5) สัตวน กตางจากสัตวน งสารละลายต่ำกว วามแต สามารถ มเขมขอ น้ำจืดมีค ยอยูในน้ำที่มีควา ายนอกรางกาย จึงตอง ด กภ น้ำจืดอาศั าย ทำใหน้ำจา ไดมาก ปลาน้ำจื การขับ งก มี ภายในรา เขาสูภายในรางกาย รซึมเขาของน้ำ ่เหงือก ที ออสโมซิส ะเกล็ดปองกันกา ะมีอวัยวะพิเศษ แล มีผิวหนัง อยและเจือจาง แลางกาย ร บ สู น วะ คื ปสสา อแรที่จำเปน นุษย ลื รธาตุในม บ คอยดูดเก าพน้ำและแ ค ป ระ กอ ษาดุลยภ นุ ษ ย จ ะมี น้ ำ เป น องของน้ำหนักตัว ก รั าร ก 3.3 ร า งกาย ขอ งม ะมาณ 75% 3 สวน ใน หรือปร แบงออกไดเปน ำที่อยู น้ 3 ใน 4 รถ ประมาณ ยูในรางกายสามา ลลประมาณ 60% ้ำเลือด อ ่ เซ ที แล ำ ใน ้ อ ่ ื ้อเย ะน ุมใหมี โดยน ระกอบอยูภาย ที่อยูในเนื ่ป คือ น้ำที ระมาณ 30% น้ำ ละสวนจะถูกควบค งเพื่อ ป ปล นอกเซลล 10% ซึ่งน้ำในแต ุนเวียนเปลี่ยนแ หม อีกไมเกิน ูได โดยจะมีการ อย ดุลยภาพ อยูตลอดเวลา ัน ทดแทนก
วิธีดำเนินการ 1. ใหนักเรียนแบงเปนกลุม กลุมละ 3-5 คน 2. ใหนักเรียนแตละกลุมเลือกศึกษาพฤติกรรมการควบคุมอุณหภูมิรางกายของสัตวเลือดเย็น และสัตวเลือดอุน อยางละ 1 ชนิด โดยสืบคนขอมูลจากแหลงขอมูลตางๆ เชน หนังสือเรียน หนังสืออางอิง หนังสืออานประกอบ หนังสือพิมพ วารสาร และเครือขายอินเทอรเน็ต 3. ใหแตละกลุมนำขอมูลที่ไดมาอภิปรายหนาชั้นเรียนรวมกัน
เสริมประสบการณ วิทยาศาสตร
การรักษาอุณหภูมขิ องอูฐ
หี่ยวยน ธาตุ ของเราเ ้ำและแร ใหนิ้วมือ าพของน แลว จะทำ ษาดุลยภ เวลานาน นการรัก ้ำจืดเปน บว น ระ แช ก ี เรา ียนม ดเมื่อ ลาตะเพ วา เหตุใ ูน และป ยนรูไหม ลาการต 1. นักเรี ระหวางป ร ทราบวา 2. อยาก รือตางกันอยางไ เหมือนห
กิจกรรมิด
นำค
ียน
ปลาตะเพ
ตูน
ปลาการ
3. นักเรี
18
22
ยนคิดว
่ขาดน้ำ าตนพืชที
านาน มาเปนเวล
1.3
วิทยาศาสตร
พฤติกรรมการควบคุมอุณหภูมิของรางกาย
จะมีการ
เปลี่ยนแ
ปลงของ
ปากใบอ
ยางไร
อูฐ เปนสัตวทะเลทรายที่มีความสามารถในการปรับตัว ตออุณหภูมิที่รอนไดดีมาก
อู ฐ เป น สั ตว ท ะเลทรายที่ มี ความสามารถใน การปรับตัวตออุณหภูมิในสภาพที่รอนไดดีมาก อุณหภูมิ รางกายของอูฐ โดยทั่วไปอยูในภาวะปกติ ประมาณ 3638 องศาเซลเซี ย ส เมื่ อ อยู ใ นสภาพที่ อุ ณ หภู มิ ข อง รางกายสูงเกินไป อูฐจะระบายความรอนออกจากรางกาย โดยการหลั่งเหงื่อ เมื่อถึงเวลากลางคืนอุณหภูมิของ สิ่งแวดลอมลดลง อูฐจะระบายความรอนที่สะสมอยูใน รางกายออกสูอากาศภายนอกที่หนาวเย็นซึ่งอุณหภูมิ ของรางกายก็จะลดลงมาจนถึง 34-35 องศาเซลเซียส พอรุงเชาอุณหภูมิภายนอกเริ่มสูงขึ้น อุณหภูมิในตัวของ อูฐก็จะคอยๆ สูงขึ้น เนื่องจากสามารถรับความรอนจาก ภายนอกได ดังนัน้ การรักษา และควบคุมอุณหภูมขิ องอูฐ จึงเหมาะสมกับสภาพการอยูในทะเลทรายเปนอยางมาก นอกจากนี้ ยั ง ช ว ยสงวนรั ก ษาน้ ำ ไว ใ นร า งกายได เ ป น อยางดีอีกดวย
เวลากลางคืน อุณหภูมใิ นทะเลทรายจะลดลงและจะคอยๆ สูงขึน้ ในตอนรุง เชา
33
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè ● ● ● ●
˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè ● ● ● ● ●
˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè ● ● ● ● ● ● ●
˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè ● ● ● ● ● ●
˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè ● ● ● ● ● ● ●
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
ÊÒúÑÞ
1
¡Åä¡¡ÒÃÃÑ¡ÉÒ´ØÅÂÀÒ¾¢Í§ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ
2
ÀÙÁԤ،Á¡Ñ¹¢Í§Ã‹Ò§¡ÒÂ
3
¡Ãкǹ¡Òö‹Ò·ʹ·Ò§¾Ñ¹¸Ø¡ÃÃÁ
Åѡɳзҧ¾Ñ¹¸Ø¡ÃÃÁ â¤ÃâÁâ«ÁáÅСô¹ÔǤÅÕÍÔ¡ »ÃÐàÀ·¢Í§ÊÒþѹ¸Ø¡ÃÃÁ ¡ÒÃẋ§à«ÅÅ ¡Òö‹Ò·ʹÅѡɳзҧ¾Ñ¹¸Ø¡ÃÃÁ ¡ÒÃà»ÅÕè¹á»Å§áÅСÒÃá»Ã¼Ñ¹·Ò§¾Ñ¹¸Ø¡ÃÃÁ ¤ÇÒÁ¼Ô´»¡µÔ·Õèà¡Ô´¨Ò¡¡ÒÃá»Ã¼Ñ¹·Ò§¾Ñ¹¸Ø¡ÃÃÁ áÅÐâä·Ò§¾Ñ¹¸Ø¡ÃÃÁ
4
72 73 78 81 89 91 97
Ãкº¹ÔàÇÈáÅФÇÒÁËÅÒ¡ËÅÒ·ҧªÕÇÀÒ¾
103 - 148
5
·ÃѾÂҡøÃÃÁªÒµÔ
1 - 34
ͧ¤ »ÃСͺ¢Í§à«ÅÅ ¡ÒÃÃÑ¡ÉÒ´ØÅÂÀÒ¾¹íéÒáÅÐá˸ҵآͧà«ÅÅ ¡ÒÃÃÑ¡ÉÒ´ØÅÂÀÒ¾¹íéÒáÅÐá˸ҵآͧÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ ¡ÒÃÃÑ¡ÉÒ´ØÅÂÀÒ¾¢Í§ÍسËÀÙÁÔã¹ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ
2 6 16 28
35 - 70
ÅѡɳСÒ÷íÒ§Ò¹¢Í§ÃкºÀÙÁԤ،Á¡Ñ¹ »ÃÐàÀ·¢Í§ÃкºÀÙÁԤ،Á¡Ñ¹ã¹Ã‹Ò§¡Ò ͧ¤ »ÃСͺÃдѺà«ÅÅ ·Õèà¡ÕèÂÇ¢ŒÍ§¡ÑºÃкºÀÙÁԤ،Á¡Ñ¹ ¡ÒÃàÊÃÔÁÊÌҧáÅÐÃÑ¡ÉÒÀÙÁԤ،Á¡Ñ¹¢Í§Ã‹Ò§¡Ò âä·Õèà¡ÕèÂÇ¢ŒÍ§¡ÑºÃкºÀÙÁԤ،Á¡Ñ¹
36 47 50 59 63
71 - 102
Ãкº¹ÔàÇÈ ¤ÇÒÁËÅÒ¡ËÅÒ·ҧªÕÇÀÒ¾ ¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸ ¢Í§ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµã¹Ãкº¹ÔàÇÈ ¼Å¢Í§¤ÇÒÁËÅÒ¡ËÅÒ·ҧªÕÇÀÒ¾·ÕèÁÕµ‹ÍÁ¹ØÉ á¹Ç·Ò§¡ÒôÙáÅáÅÐÃÑ¡ÉÒ¤ÇÒÁËÅÒ¡ËÅÒ·ҧªÕÇÀÒ¾ à·¤â¹âÅÂÕªÕÇÀÒ¾¡Ñº¤ÇÒÁËÅÒ¡ËÅÒ¢ͧÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ
104 126 134 139 141 145
149 - 172
ÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ ·ÃѾÂҡøÃÃÁªÒµÔ ¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸ ÃÐËÇ‹Ò§ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ »˜ÞËÒÁžÔÉ ÊÒà˵آͧ»˜ÞËÒÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ áÅзÃѾÂҡøÃÃÁªÒµÔ á¹Ç·Ò§¡Òû‡Í§¡Ñ¹á¡Œä¢»˜ÞËÒÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ áÅзÃѾÂҡøÃÃÁªÒµÔ »ÃѪÞÒàÈÃÉ°¡Ô¨¾Íà¾Õ§¡Ñº¡ÒèѴ¡ÒÃÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ áÅзÃѾÂҡøÃÃÁªÒµÔ
150 151 154 155 156 162 167
กระตุน ความสนใจ
1
กระตุEngage นความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
1. ทดลองและอธิบายกลไกการรักษาดุลยภาพ ของเซลลของสิ่งมีชีวิตได 2. ทดลองและอธิบายกลไกการรักษาดุลยภาพ ของนํ้าในพืชได 3. สืบคนขอมูลและอธิบายกลไกการควบคุม ดุลยภาพของนํ้า แรธาตุ และอุณหภูมิของ มนุษยและสัตวอื่นๆ และนําความรูไปใช ประโยชนได
˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè
¡Åä¡¡ÒÃÃÑ¡ÉÒ´ØÅÂÀÒ¾ ¢Í§ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ
เนื่องจากสิ่งมีชีวิตทุกชนิดไมสามารถสรางพลังงาน หรือ สรางสารตางๆ ขึ้นไดดวยตนเอง สิ่งมีชีวิตจึงจำเปนตอง มีความสัมพันธกับสภาพแวดลอมตางๆ เพื่อใหไดมาซึ่งพลังงาน และสาร ตางๆ ทีจ่ ะนำไปใชในการดำรงชีวติ ของสิ่งมีชีวิต เมื่อสิ่งมีชีวิตมีความสัมพันธ กั บ สภาพแวดล อ ม สิ่งมีชีวิตก็ตองมีระบบ การจัดการภายในตัวเองที่เหมาะสม ซึ่งระบบ จั ด การต า งๆ ภายในร า งกายของสิ่ ง มี ชี วิ ต นี้ เรียกวา กลไกการรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต โดยกลไกการรักษาดุลยภาพนี้ มีตั้งแตในระดับ เซลลจนถึงการรักษาดุลยภาพโดยการทำงาน รวมกันของอวัยวะตางๆ ตัวชี้วัด มฐ. ว 1.1 ม.4 - 6/1-3 ■ ทดลองและอธิบายการรักษาดุลยภาพของเซลล์
ของสิ่งมีชีวิต
■ ทดลองและอธิบายกลไกการรักษาดุลยภาพของน้ำในพืช
■ สืบค้นข้อมูลและอธิบายกลไกการควบคุมดุลยภาพของน้ำ
แร่ธาตุ และอุณหภูมิของมนุษย์และสัตว์อื่นๆ
และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
มฐ. ว 8.1 ม.4-6/1-12
เปาหมายการเรียนรู
สมรรถนะของผูเรียน 1. ความสามารถในการคิด 2. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
คุณลักษณะอันพึงประสงค 1. มีวินัย 2. ใฝเรียนรู 3. มุงมัน่ ในการทํางาน
กระตุน ความสนใจ
Engage
ครูกลาวนําใหนักเรียนรวมกันสนทนาเกี่ยวกับ ความหมายของวลีที่วา “กลไกการรักษาดุลยภาพ ของสิ่งมีชีวิต” จากนั้นใชคําถามกระตุนความ สนใจของนักเรียนวา • เมื่ออากาศรอนทําไมเราจึงรูสึกกระหายนํ้า • นักเรียนคิดวาเพราะเหตุใดสัตวบางชนิดจึง มีพฤติกรรมออกมานอนผึ่งแดด • นักเรียนคิดวาสิ่งมีชีวิตมีการรักษาดุลยภาพ ของรางกายดวยวิธีใดบาง จากนั้นครูอธิบายอยางสังเขปวา จากตัวอยาง ในคําถามขางตนนั้น ลวนเปนพฤติกรรมในการ รักษาดุลยภาพของรางกาย
เกร็ดแนะครู การเรียนการสอนเรื่อง กลไกการรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต ครูควรใช กระบวนการเรียนรูโดยใหนักเรียนไดคนควา พรอมทั้งครูควรยกตัวอยางใหเห็น ชัดเจน โดยครูอาจใชสถานการณปจจุบันที่นักเรียนประสบอยู เชน หากในวันนั้น อากาศรอน ครูอาจถามนักเรียนวา นักเรียนรูสึกอยางไรบาง กระหายนํ้าหรือไม และมีวิธีการใดที่จะชวยบรรเทาความรอนไดบาง หรือครูอาจนําภาพบุคคลที่มีเหงื่อ หรือนําภาพสัตวตางๆ ที่ออกมาผึ่งแดดเพื่อปรับอุณหภูมิของรางกาย เชน จระเข เตา เปนตน มาใชในการถามคําถาม
คูมือครู
1
กระตุน ความสนใจ กระตุEngage นความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุน ความสนใจ
Engage
ครูตั้งคําถามเพื่อกระตุนการเรียนรู และทดสอบ ความรูของนักเรียน • เซลลคืออะไร และรางกายของสิ่งมีชีวิต แตละชนิดมีจํานวนเซลลเทากันหรือไม (แนวตอบ เซลล คือ หนวยโครงสรางพื้นฐาน ของสิ่งมีชีวิต ซึ่งรางกายของสิ่งมีชีวิต แตละชนิดจะมีจํานวนเซลลแตกตางกัน โดย สิ่งมีชีวิตเซลลเดียว (unicellular organism) รางกายจะประกอบดวยเซลลเพียงเซลลเดียว เชน แบคทีเรีย อะมีบา พารามีเซียม เปนตน สวนในสิ่งมีชีวิตหลายเซลล (multicellular organism) รางกายจะประกอบขึ้นจากเซลล จํานวนมาก สิ่งมีชีวิตพวกนี้ ไดแก พืชและ สัตวทั่วไป) จากนั้นครูอาจใหนักเรียนดูวีดิทัศนเกี่ยวกับ สิ่งมีชีวิตเซลลเดียวและสิ่งมีชีวิตหลายเซลล หรือนํา แบบจําลองโครงสรางของเซลล หรือแผนภาพเซลล มาใหนักเรียนศึกษา แลวตั้งคําถามเพื่อนําเขาสู บทเรียน • ใหนักเรียนบอกสวนประกอบของเซลล (แนวตอบ พิจารณาจากคําตอบของนักเรียน โดยอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน) • นักเรียนคิดวาสารใดบางที่มีการลําเลียง ผานเซลล (แนวตอบ สารอาหาร นํ้า และแรธาตุ)
1. องค์ประกอบของเซลล์
สิ่งมีชีวิตทั้งที่เป็นพืชและสัตว์ทุกชนิดประกอบด้วย หน่วยขนาดเล็ก ทีเ่ รียกว่า เซลล์ ซึง่ เป็นหน่วยทีม่ หี น้าที่ ควบคุมกระบวนการทีส่ ำคัญต่างๆ ภายในร่างกาย เช่น การ ถ่ายทอดลักษณะต่างๆ ทางพันธุกรรม การเผาผลาญสาร อาหารให้ 1 กลายเป็นพลังงาน การสังเคราะห์โปรตีนและ เอนไซม์ตา่ งๆ เป็นต้น
เนื่องจากการทำงานและการดำรงอยู่ของเซลล์น ี้ ทำให้เซลล์ต้องมีการแลกเปลี่ยนสารต่างๆ กับบริเวณ
รอบข้างอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเซลล์จึงต้องประกอบด้วย โครงสร้างต่างๆ มากมาย ทีจ่ ะช่วยให้เซลล์สามารถควบคุม ปริมาณและชนิดของสารที่เข้าหรือออกจากเซลล์ให้อยู ่ ในสภาวะที่เหมาะสม การใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูเซลล์ ทำให้นกั ชีววิทยาได้ขอ้ สรุปว่า ส่วนประกอบหลักของเซลล์ ทุ ก ชนิ ด คื อ ส่ ว นห่ อ หุ้ ม เซลล์ (cell membrane)
ไซโทพลาซึม (cytoplasm) และนิวเคลียส (nucleus)
ส่วนห่อหุ้มเซลล์ถือเป็นส่วนประกอบของเซลล์ที่สำคัญ ที่สุดในการกำหนดขอบเขตของเซลล์ ไซโทพลาซึมเป็น ของเหลวค่อนข้างข้นที่เซลล์สร้างขึ้น โดยพบโครงสร้าง ขนาดเล็กที่มีรูปร่างและหน้าที่แตกต่างกันแขวนลอยอยู่
โครงสร้างเหล่านี้เปรียบเสมือนอวัยวะของเซลล์ เรียกว่า
ออร์แกเนลล์ (organelle) เช่น ไมโทคอนเดรีย (mito-
chondria) กอลจิคอมเพลกซ์ (golgi complex) ไรโบโซม (ribosome) เซนทริโอล (centrioles) ร่างแหเอนโด-
พลาซึม (endoplasmic reticulum) ไลโซโซม (lysosome) และแวคิวโอล (vacuole) เป็นต้น โดยลักษณะและหน้าที่ ของโครงสร้างต่างๆ ของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ มีดังนี้
EB GUIDE
ภาพที ่ 1.1 ร่างกายของสิง่ มีชวี ติ ประกอบด้วยหน่วย ที่เล็กที่สุด คือ เซลล์ (ที่มาของภาพ : life p.582)
http://www.aksorn.com/LC/Env/M4-6/01
2
เกร็ดแนะครู การกระตุนความสนใจของนักเรียนนั้น ครูอาจบอกใหนักเรียนปดหนังสือไวกอน แลวรวมกันสนทนาซักถาม เพื่อไมใหนักเรียนมุงไปอานขอความในหนังสือเพื่อหา คําตอบที่ครูถาม ซึ่งจะชวยใหนักเรียนไดแสดงออกถึงความรูเดิมที่ไดศึกษามาแลว และยังทําใหนักเรียนมีสมาธิตั้งใจฟงคําถามของครูอีกดวย ซึ่งเมื่อสนทนาจบแลว จึงใหนักเรียนเปดหนังสือดู เพื่อเปนการตรวจสอบดวยวาสิ่งที่นักเรียนตอบไป ขางตนนั้น ถูกตอง ครบถวนเพียงใด
นักเรียนควรรู 1 เอนไซม เปนโปรตีนที่ทําหนาที่เรงปฏิกิริยาเคมี โดยปฏิกิริยาของเอนไซมจะ ดําเนินไปไดเร็วหรือชานั้นขึ้นอยูกับปจจัยตางๆ ไดแก อุณหภูมิ ความเปนกรด-เบส ปริมาณของเอนไซม และปริมาณสารตั้งตน
2
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
นักเรียนคิดวาโครงสรางใดของเซลลที่มีความสําคัญตอการรักษา ดุลยภาพของนํ้าและแรธาตุในเซลล แนวตอบ โครงสรางของเซลลที่มีความสําคัญตอการรักษาดุลยภาพของ นํ้าและแรธาตุในเซลล คือ เยื่อหุมเซลล เนื่องจากเยื่อหุมเซลลทําหนาที่ ควบคุมปริมาณและชนิดของสารตางๆ ที่ผานเขาออกเซลล โดยมี คุณสมบัติเปนเยื่อเลือกผาน
กระตุนความสนใจ Engage
สํารวจคนหา สํารวจค Exploreนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
สํารวจคนหา นิวเคลียส
ใหนักเรียนจับคูกันศึกษาภาพเซลลใน หนังสือเรียน หนา 3 โดยครูบอกใหนักเรียนปดชื่อ สวนประกอบของเซลลไว แลวพิจารณาภาพและ บอกวาสวนประกอบตางๆ ตามที่เสนโยงนั้น คืออะไร จากนั้นครูตั้งคําถามเพื่อชักนําใหนักเรียนได คิดวิเคราะห • ในเซลลพืชและเซลลสัตวมีสวนประกอบ เหมือนกัน หรือแตกตางกันอยางไร (แนวตอบ สวนประกอบหลักของเซลล ไดแก สวนหอหุม เซลล ไซโทพลาซึม และนิวเคลียส ซึง่ ภายในไซโทพลาซึมจะพบออรแกเนลลทมี่ ี โครงสราง รูปราง และหนาที่แตกตางกัน เชน ไมโทคอนเดรีย กอลจิคอมเพลกซ เซนทริโอล เปนตน ซึ่งเซลลพืชและเซลล สัตวมีความแตกตางกันที่สวนประกอบ บางชนิดของเซลล โดยจะพบผนังเซลล และคลอโรพลาสตเฉพาะในเซลลพืช และ จะพบไลโซโซมและเซนทริโอลเฉพาะใน เซลลสัตวเทานั้น)
ร่างแหเอนโดพลาซึมชนิดผิวหยาบ ร่างแหเอนโดพลาซึมชนิดผิวเรียบ ไรโบโซม
กอลจิคอมเพลกซ์
แวคิวโอล
เซลล์พืช (plant cell)
ไมโทคอนเดรีย
เยื่อหุ้มเซลล์ คลอโรพลาสต์ ผนังเซลล์
ร่างแหเอนโดพลาซึมชนิดผิวเรียบ
นิวเคลียส
ร่างแหเอนโดพลาซึมชนิดผิวหยาบ แฟลเจลลา (ขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์) ไลโซโซม
Explore
ไรโบโซม
เซนทริโอล
กอลจิคอมเพลกซ์ เยื่อหุ้มเซลล์ ไมโทคอนเดรีย
เซลล์สัตว์ (animal cell) ภาพที ่ 1.2 (ที่มาของภาพ : life p.19, 20)
3
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับสวนประกอบของเซลล เซลลที่มีสวนประกอบดังตอไปนี้ : ดีเอ็นเอ ไรโบโซม เยื่อหุมเซลล เอนไซม และไมโทคอนเดรีย เปนเซลลของสิ่งมีชีวิตในขอใด 1. แบคทีเรีย 2. พืชเทานั้น 3. สัตวเทานั้น 4. อาจเปนไดทั้งพืชหรือสัตว วิเคราะหคําตอบ สวนประกอบตางๆ ที่กําหนดใหในโจทยนั้นสามารถพบ ไดทั้งในเซลลพืชและในเซลลสัตว ดังนั้น ตอบขอ 4.
เกร็ดแนะครู ครูอาจนําภาพเซลลพืชและเซลลสัตวจากสื่อดิจิตอลตางๆ หรือนําแบบจําลอง ของเซลลมาใหนักเรียนพิจารณา แลวรวมกันอภิปรายถึงสวนประกอบภายในเซลล วาแตละสวนเรียกวาอะไร มีหนาที่อยางไร และเปรียบเทียบความแตกตางของ เซลลพืชและเซลลสัตว
มุม IT ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเซลลและทฤษฎีเซลลไดจากเว็บไซต http://www. thaigoodview.com/library/contest2551/science04/25/2/miracle_cell/index. html หรือ http://www.cellsalive.com/cells/cell_model.htm
คูมือครู
3
กระตุนความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Exploreนหา สํารวจค
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
สํารวจคนหา
Explore
ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5 - 6 คน สืบคน ขอมูลเกี่ยวกับโครงสรางของเซลลตามขั้นตอน ตอไปนี้ 1. แตละกลุมวางแผนการสืบคนขอมูล โดยแบง หัวขอยอยใหเพื่อนสมาชิกชวยกันสืบคนตาม ที่สมาชิกกลุมชวยกันกําหนดหัวขอยอย เชน - โครงสรางของเซลล - สวนประกอบและหนาที่ของเซลลพืชและ เซลลสัตว - การเปรียบเทียบสวนประกอบและหนาที่ ของเซลลพืชและเซลลสัตว 2. สมาชิกกลุมแตละคนชวยกันสืบคนขอมูล ตามหัวขอยอยที่ตนเองรับผิดชอบ โดยสืบคน จากหนังสือเรียน หนา 4 - 5 3. สมาชิกกลุมนําขอมูลที่สืบคนไดมาเลาให เพื่อนๆ สมาชิกในกลุมฟง รวมทั้งรวมกัน อภิปรายซักถาม จนคาดวาสมาชิกทุกคน มีความรูความเขาใจที่ตรงกัน
ตารางที่ 1 แสดงลักษณะ และหน้าที่ของโครงสร้างต่างๆ ภายในเซลล์ โครงสร้าง
ลักษณะ
หน้าที่
ผนังเซลล์ (cell wall)
เป็นส่วนประกอบที่พบในเซลล์พืช เท่านั้น ทำให้เซลล์มีรูปร่างคงตัวแน่นอน เป็ น ส่ ว นที่ อ ยู่ ชั้ น นอกสุ ด1 มี ค วามแข็ ง แรง ไม่เปลีย่ นแปลง และป้องกัน มากประกอบด้วยเซลลูโลส อันตรายทีอ่ าจเกิดกับเซลล์
เยื่อหุ้มเซลล์ (cell membrane)
ควบคุมปริมาณและชนิดของสารที่ มีลกั ษณะเป็นเยือ่ บางๆ ห่อหุ้มเซลล์ ประกอบด้วยสารกลุม่ โปรตีนและไขมันเรียงตัว ผ่านเข้าออกเซลล์ มีคุณสมบัติเป็น เยือ่ เลือกผ่าน (semi permeability) เป็น 2 ชั้น สามารถยืดหยุ่นได้ มีช่อง สามารถให้สารผ่านเข้า-ออกได้
นิวเคลียส (nucleus)
มีรูปร่างค่อนข้างกลม ห่อหุ้มด้วยเยื่อที่มี รูพรุน ลักษณะใกล้เคียงกับเยื่อหุ้มเซลล์ มีสมบัติเป็นเยื่อเลือกผ่าน
ไมโทคอนเดรีย (mitochondria)
เป็ น แหล่ ง ผลิ ต และสะสมสารเคมี ที่ มี มีลักษณะเป็นแท่งยาวรี ประกอบด้วย เนื้อเยื่อ 2 ชั้น ชั้นนอกเรียบ ชั้นในขดไปมา พลังงานสูงให้แก่เซลล์ เป็นชั้นๆ เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวด้านใน
ร่างแหเอนโดพลาซึม เป็นถุงเยื่อบางๆ ชั้นเดียว เรียงซ้อนกันและ ทบกันเป็นร่างแห มี 2 ชนิด คือ ร่างแห (endoplasmic เอนโดพลาซึมชนิดผิวเรียบและชนิด reticulum) ผิวหยาบ
ควบคุมการทำงานของเซลล์ และเป็นที่อยู่ของสารพันธุกรรม
ชนิดผิวเรียบสังเคราะห์ไขมันประเภท สเตอรอยด์ และคาร์โบไฮเดรต และกำจัดสารพิษ ชนิดผิวหยาบสร้าง และขนส่งโปรตีนออกสู่ภายนอกเซลล์
ไรโบโซม (ribosome)
สังเคราะห์โปรตีนชนิดต่างๆ มีลักษณะเป็นก้อนกลม ไม่มีเยื่อหุ้ม ประกอบด้วยโปรตีนและอาร์เอ็นเอ กระจาย อยู่ในไซโทพลาซึมและพบเกาะอยู่ที่ผิวของ ร่างแหเอนโดพลาซึมชนิดหยาบ
กอลจิคอมเพลกซ์ (golgi complex)
เป็นถุงเยื่อแบนยาวซ้อนกันเป็นชั้น
เติมหมู่น้ำตาลให้กับโปรตีน และบรรจุโปรตีนเพื่อการหลั่ง
4
นักเรียนควรรู 1 เซลลูโลส มีสูตรเคมี คือ (C6H10O5)n เปนสารประกอบอินทรียที่เกิดจาก โมเลกุลกลูโคสประมาณ 300 โมเลกุลขึ้นไป มาเชื่อมตอกันเปนสายยาว แตละสาย ของเซลลูโลสเรียงขนานกันและมีแรงยึดเหนี่ยวระหวางสาย ทําใหมีลักษณะเปน เสนใย พบสะสมอยูในเซลลพืช และไมพบในเซลลสัตว เซลลูโลสไมละลายนํ้า ซึ่งรางกายของมนุษยไมสามารถยอยสลายได (ในกระเพาะอาหารของสัตวกินหญา เชน วัว กระบือ เปนตน มีแบคทีเรียที่สามารถ ยอยสลายเซลลูโลสใหเปนกลูโคสได) แตเซลลูโลสจะชวยในการกระตุนลําไสใหญ ใหเคลื่อนไหว เสนใยของเซลลูโลสสามารถดูดซับนํ้าไดดี จึงทําใหอุจจาระออนนุม และขับถายงาย
4
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
หากเซลลพืชไมมีผนังเซลล จะสงผลตอเซลลอยางไร 1. เซลลจะมีรูปรางไมคงตัว 2. เซลลมีความแข็งแรงมาก 3. สารตางๆ จะไมสามารถผานเซลลได 4. เซลลจะไมสามารถสังเคราะหสารตางๆ ได วิเคราะหคําตอบ หากเซลลพืชไมมีผนังเซลลจะทําใหมีรูปรางไมคงตัว และเซลลอาจไดรับอันตรายงายหากถูกกระทบกระเทือนจากสิ่งแวดลอม ดังนั้น ตอบขอ 1.
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบายความรู โครงสราง
ลักษณะ
หนาที่
แวคิวโอล (vacuole)
เปนถุงบรรจุของเหลว มีผนังเพียง ชั้นเดียว มีความยืดหยุนสูง
เก็บสะสมอาหาร น้ํา หรือของเสีย เพื่อรักษาดุลยภาพของเซลล
คลอโรพลาสต (chloroplast)
พบไดเฉพาะในเซลลพืช มีเยื่อบางๆ หุม 2 ชั้น ชั้นนอกเรียบ สวนชั้นในขดพับไปมา ซอนกันเปนชั้นๆ มีคลอโรฟลลซึ่งมี สีเขียวบรรจุอยู
มีบทบาทสําคัญในกระบวนการ สังเคราะหดวยแสงของพืช และของ สิ่งมีชีวิตเซลลเดียวหลายชนิด ชวยใหสามารถสังเคราะหแปง และน้ําตาลได
ไลโซโซม (lysosome)
พบไดเฉพาะในเซลลสัตว มีลักษณะเปนถุง มีเอนไซมไฮโดรเลส เพื่อยอยสลายสาร ตางๆ ในเซลล ไดแก โปรตีน ที่มีเยื่อหุมชั้นเดียว ภายในบรรจุ ไขมัน และคารโบไฮเดรต เอนไซม
เซนทริโอล (centriole)
พบไดเฉพาะในเซลลสัตว มีลักษณะเปน มัดทอ 2 มัด เรียงตัวในตําแหนงที่ตั้ง ฉากกัน
มีบทบาทในการชวยดึงและจัด เรียงโครโมโซมในชวงการแบงตัว ของเซลล
แฟลเจลลัม (flagellum)
พบไดเฉพาะในเซลลสัตวบางชนิด มีลักษณะเปนโครงสรางเปนเสนยาว ยื่นออกมาจากเซลล
ใชในการเคลื่อนที่ของเซลล
Explain
ครูตั้งคําถามใหนักเรียนรวมกันตอบและ แสดงความคิดเห็น • โครงสรางพื้นฐานของเซลลประกอบดวย อะไรบาง (แนวตอบ โครงสรางพื้นฐานของเซลล ประกอบดวยสวนสําคัญ 3 สวน คือ เยื่อหุมเซลล นิวเคลียส และไซโทพลาซึม) • เยื่อหุมเซลลเปนโครงสรางที่มีลักษณะ อยางไร ในเซลลพืชและเซลลสัตวมีลักษณะ แตกตางกันหรือไม (แนวตอบ เยื่อหุมเซลลเปนเยื่อบางๆ มีชั้นไขมันและโปรตีนเปนองคประกอบที่ สําคัญ มีคุณสมบัติเปนเยื่อเลือกผาน พบทั้งในเซลลพืชและเซลลสัตว ซึ่งเปน สวนประกอบที่อยูนอกสุดของเซลลสัตว สวนในเซลลพืชจะพบผนังเซลล (cell wall) อยูนอกสุด ซึ่งประกอบดวยสารจําพวก เซลลูโลส ทําใหเซลลพืชคงรูปอยูได) จากนั้นใหนักเรียนตอบคําถามในกิจกรรม นําคิด โดยบันทึกลงในสมุดของนักเรียน
กิจกรรม
นําคิด 1. สารสําคัญที่ตองมีการลําเลียงเพื่อนําเขาหรือสงออกจากเซลล ไดแกสารใดบาง และสารชนิดใดที่มี การลําเลียงผานเซลลมากที่สุด 2. จงอธิบายลักษณะและหนาที่ของโครงสรางตางๆ ภายในเซลลดังตอไปนี้ - ผนังเซลล (cell wall) - นิวเคลียส (nucleus) - กอลจิคอมเพลกซ (golgi complex)
5
แนวตอบ กิจกรรมนําคิด 1. สารตางๆ ที่มีการลําเลียงเขาสูเซลล ไดแก สารอาหาร นํ้า และแรธาตุ เพื่อนําไปใชในกระบวนการตางๆ ของเซลลที่ เกี่ยวของกับการดํารงชีวิต เชน การเผาผลาญสารอาหารใหเกิดพลังงาน การสังเคราะหโปรตีน เปนตน สวนสารที่ตอง ขับออกจากเซลล ไดแก นํ้า แรธาตุ และของเสียตางๆ เชน แกสคารบอนไดออกไซด เปนตน 2. - ผนังเซลล เปนสวนประกอบที่พบไดเฉพาะในเซลลพืชเทานั้น มีลักษณะเปนโครงสรางแข็งที่ประกอบดวยเซลลูโลส ชวยทําใหเซลลมีรูปรางคงตัว และปองกันอันตรายที่อาจเกิดกับเซลล - นิวเคลียส พบทั้งในเซลลพืชและเซลลสัตว มีรูปรางคอนขางกลม มีเยื่อหุมที่มีลักษณะเปนรูพรุนและเยื่อเลือกผาน ภายในมีสารพันธุกรรม นิวเคลียสทําหนาที่ควบคุมการทํางานของเซลล - กอลจิคอมเพลกซ เปนสวนประกอบที่อยูในไซโทพลาซึม มีลักษณะเปนถุงเยื่อแบนพับซอนกันหลายชั้น มีหนาที่เติม หมูนํ้าตาลใหแกโปรตีนที่สรางมาจากไรโบโซม
คูมือครู
5
กระตุน ความสนใจ กระตุEngage นความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุน ความสนใจ
Engage
ครูอาจนําไขไกตมสุกมาใหนักเรียนลอง ปอกเปลือกแลวสังเกตเยื่อบางๆ ที่อยูติดกับเปลือก โดยครูอธิบายเพิ่มเติมวา เยื่อบางๆ ที่เห็นนั้นคือ เยื่อหุมเซลล จากนั้นกระตุนความสนใจของนักเรียน โดยพูดคุยซักถามความรูเดิมของนักเรียนเกี่ยวกับ เยื่อหุมเซลล เพื่อเชื่อมโยงไปสูการเรียนรูเรื่อง การลําเลียงสารผานเซลล ตัวอยางเชน • เยื่อหุมเซลลของสิ่งมีชีวิตมีองคประกอบ ใดบาง และมีลักษณะอยางไร (แนวตอบ เยื่อหุมเซลลประกอบดวยสารจําพวก ไขมันเรียงตัวกัน 2 ชั้น และมีโปรตีนแทรกอยู ในชั้นไขมัน) • เยื่อหุมเซลลมีหนาที่ใด (แนวตอบ เปนเยื่อเลือกผาน และควบคุม ปริมาณและชนิดของสารที่ผานเขา-ออก จากเซลล) จากนั้นครูนํารูปโครงสรางของเยื่อหุมเซลล มาใหนักเรียนดู และรวมกันอภิปรายถึงการรักษา ดุลยภาพของเซลลดวยการลําเลียงสาร โดยครู ใชคําถามกระตุน ดังนี้ • เพราะเหตุใดเซลลจึงตองลําเลียงสารตางๆ เขา-ออกจากเซลลตลอดเวลา (แนวตอบ เพื่อรักษาดุลยภาพของเซลล) • นักเรียนคิดวานํ้าและสารตางๆ ลําเลียงเขาออกจากเซลลดวยวิธีเดียวกันหรือไม อยางไร (แนวตอบ นักเรียนจะไดศึกษาตอไป)
นอกจากการแบ่ ง กลุ่ ม เซลล์ ต ามลั ก ษณะความ
แตกต่างของสิ่งมีชีวิตเป็นเซลล์พืชและเซลล์สัตว์แล้ว
เรายังสามารถจัดแบ่งตามลักษณะของเซลล์ เป็นเซลล์1
ที่ โ ครงสร้ า งไม่ ซั บ ซ้ อ น เรี ย กว่ า เซลล์ โ พรคาริ โ อต (prokaryotic cell) และเซลล์ที่โครงสร้างซับซ้อนเรียกว่า
2 เซลล์ยูคาริโอต (eukaryotic cell) ซึ่งเซลล์ทั้ง 2 กลุ่ม
มีลักษณะแตกต่างกัน ดังนี้ ตารางที่ 2 เปรียบเทียบลักษณะของเซลล์โพรคาริโอต และเซลล์ยูคาริโอต เซลล์โพรคาริโอต
เซลล์ยูคาริโอต
1. ไม่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส
1. มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส
2. พบออร์แกเนลล์เฉพาะไรโบโซม
2. มีออร์แกเนลล์หลายชนิด รวมทั้งไรโบโซม
3. เซลล์บางชนิดพบคลอโรฟิลล์ละลายในไซโทพลาซึม 3. เซลล์พชื มีคลอโรฟิลล์อยูใ่ นโครงสร้างคลอโรพลาสต์ แต่ไม่พบโครงสร้างคลอโรพลาสต์ 4. สารพันธุกรรมกระจายอยู่ในไซโทพลาซึม โดยจะพบเฉพาะกรดนิวคลีอิก
4. สารพันธุกรรมรวมกันอยู่ในนิวเคลียส โดยสายของกรดนิวคลีอิกมีการม้วนตัว อยู่กับโปรตีน เรียกว่า นิวคลีโอโปรตีน
2. การรักษาดุลยภาพน้ำและแร่ธาตุของเซลล์
ในสภาวะปกติเซลล์จะสัมผัสกับสารต่างๆ งๆ หลายชนิด
ทัง้ ทีเ่ ป็นของแข็ง ของเหลว และแก๊ ของเหลว และแก๊ส ซึซึง่ ได้แก่ สารละลาย
งๆ หรือเซลล์ทอี่ ยูข่ า้ งเคียงง
ทีม่ อี งค์ประกอบของแร่ธาตุตา่ งๆ โดยโครงสร้างทีส่ ำคัญของเซลล์ ทีจ่ ะเป็นด่านแรกทีส่ มั ผัส
งๆ และเป็นด่านสำคัญในการรับสารเข้า
กับสิง่ แวดล้อมต่างๆ และขับสารหรือของเสียออกจากเซลล์ คือ เยื เยือ่ หุม้ เซลล์
เยือ่ หุม้ เซลล์ มีบทบาททีส่ ำคัญในการควบคุมแรงดัน
งๆ ภายในเซลล์ เนือ่ งจากเยือ่ หุม้ เซลล์
และปริมาณสารต่างๆ มีคุณสมบัติในการเป็นเยื่อเลือกผ่านน จึงทำให้สามารถ
งๆ ที่ผ่านเข้าและออกนอกเซลล์ ให้อยู่ใน
ควบคุมสารต่างๆ สภาวะทีส่ มดุล ไม่รบั สารเข้ามากเกินไปจนทำให้เซลล์แตก
และไม่ขบั สารออกมากเกินไปจนทำให้เซลล์เหีย่ วเสียสภาพ
6
นักเรียนควรรู 1 เซลลโพรคาริโอต ไดแก แบคทีเรีย และสาหรายสีเขียวแกมนํ้าเงิน 2 เซลลยูคาริโอต ไดแก สาหราย รา โปรโตซัว พืช และสัตว
มุม IT ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับลักษณะของเซลลโพรคาริโอตและเซลลยูคาริโอต ไดจากเว็บไซต http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/ science04/48/2/team/page/bio2.html
6
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
เยื่อหุมเซลลมีบทบาทในการรักษาดุลยภาพนํ้าและแรธาตุของเซลล อยางไร แนวตอบ เยื่อหุมเซลลมีคุณสมบัติเปนเยื่อเลือกผาน มีหนาที่ควบคุม ปริมาณสารตางๆ ที่ผานเขา-ออกจากเซลล โดยขึ้นอยูกับสภาพแวดลอม รอบๆ เซลล วามีสารตางๆ อยูปริมาณมากนอยเพียงใด ซึ่งการทํางาน ของเยื่อหุมเซลลนี้ ทําใหนํ้าและแรธาตุภายในเซลลอยูในสภาวะสมดุล
กระตุนความสนใจ Engage
สํารวจคนหา
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
สํารวจค Exploreนหา
สํารวจคนหา
ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับเรื่อง การลําเลียงสารผานเยื่อหุมเซลล วามีเยื่อหุมเซลล เปนตัวกลาง โดยแบงออกเปนแบบไมใชพลังงาน และแบบใชพลังงาน โดยนักเรียนจะไดศึกษา การลําเลียงแบบไมใชพลังงานกอน ใหนักเรียนแบงกลุมเปน 6 กลุม ใหแตละกลุม ศึกษาเรื่องการลําเลียงแบบไมใชพลังงาน ดังนี้ • กลุมที่ 1 และ 2 ศึกษาเรื่อง การแพร • กลุมที่ 3 และ 4 ศึกษาเรื่อง การออสโมซิส • กลุมที่ 5 และ 6 ศึกษาเรื่อง การแพรแบบ ฟาซิลิเทต โดยใหแตละกลุมสรุปสาระสําคัญ และเตรียม นําเสนอในรูปแบบที่นาสนใจ
การรักษาดุลยภาพของน้ำในเซลล์ เป็นกระบวนการ รักษาสมดุลที่เกิดจากความแตกต่างของสภาวะแวดล้อม ภายในและภายนอกเซลล์ เพือ่ ให้สามารถรักษาภาวะสมดุล ของเซลล์ไว้ได้ โดยอาศัยการควบคุมปริมาณน้ำ หรือ
สารต่างๆ ภายในเซลล์ ด้วยกระบวนการนำเข้าและส่งออก ของสารผ่านเซลล์นี้ สามารถแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบด้วยกัน คือการลำเลียงสารผ่านเยือ่ หุม้ เซลล์ และลำเลียงสารโดย
ไม่ผา่ นเยือ่ หุม้ เซลล์ ดังนี้
2.1 การลำเลียงสารผ่านเยื่อหุ้มเซลล์
เป็นกระบวนการลำเลียงสารที่เกิดขึ้นโดยมีเยื่อหุ้ม เซลล์เป็นตัวกลางกั้นระหว่างบริเวณที่มีการแพร่ของสาร หรือน้ำ การลำเลียงสารจะส่งผ่านจากด้านหนึง่ ไปสูอ่ กี ด้าน
ที่อยู่ตรงข้ามเยื่อหุ้มเซลล์ โดยการลำเลียงสารผ่านเยื่อ
หุม้ เซลล์สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ตามลักษณะการ ใช้พลังงานในการลำเลียงสาร ดังนี้ 1) การลำเลียงแบบไม่ใช้พลังงาน เป็นการลำเลียง สารผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ โดยอาศัยความแตกต่างของน้ำ
และสาร ระหว่างภายในเซลล์กับภายนอกเซลล์ โดยสาร
จะเคลื่อนที่ผ่านเซลล์ได้ด้วยการแพร่หรือโดยอาศัยตัวพา (carrier) เพือ่ ให้เกิดดุลยภาพของเซลล์ ซึง่ วิธกี ารลำเลียง แบบไม่ใช้พลังงานนี้ ได้แก่ วิธีการแพร่ วิธีออสโมซิส และวิธกี ารแพร่แบบฟาซิ 1 ลเิ ทต 1. การแพร่ (diffusion) เป็นกระบวนการเคลื่อนที่ ของโมเลกุลสารจากบริเวณที่มีความเข้มข้นของสารสูง
หรือมีอนุภาคสารมาก ไปสูบ่ ริเวณทีม่ คี วามเข้มข้นของสาร หรือมีอนุภาคสารน้อยกว่า โดยอนุภาคสารจะเคลื่อนที ่ ไปในทุกทิศทางแบบไม่มที ศิ ทางแน่นอน จนกระทัง่ ความ เข้มข้นของสารในทัง้ สองบริเวณมีความสมดุลกัน เรียกว่า ภาวะสมดุลของการแพร่ (diffusion equilibrium)
Explore
อธิบายความรู
Explain
ครูสุมใหนักเรียน 1 กลุมที่ศึกษาเรื่อง การแพร ออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน โดยใหนักเรียนกลุมที่ ศึกษาเรื่องเดียวกันคอยเสนอแนะในประเด็นที่อาจ ขาดหายไป จากนั้นครูและนักเรียนทั้งหองรวมกัน อภิปรายเพื่อใหไดขอสรุปที่ถูกตอง
ศัพท์น่ารู้ ตัวพา (carrier) เป็นสารจำพวกโปรตีนที่อยู่บริเวณเยื่อหุ้ม เซลล์ ท ำหน้ า ที่ ค ล้ า ยกั บ ประตู ช่ ว ยนำ
พาเอาสารอื่นๆ เข้าหรือออกจากเซลล์
ด้วยกระบวนการแพร่ เช่น การแพร่แบบ
ฟาซิลิเทต โดยเมื่อมีการนำส่งสาร ตัวพา จะเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างไป และจะ คืนสู่สภาพเดิมเมื่อการส่งสารเสร็จสิ้น
7
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ความเขมขนของสารมีผลตอกระบวนการแพรอยางไร 1. มีผลตอเยื่อหุมเซลล 2. มีผลตออัตราการแพร 3. ไมมีผลตอกระบวนการแพร 4. มีผลตอปริมาณนํ้าในการแพร
วิเคราะหคําตอบ ความเขมขนของสารจะมีผลตออัตราการแพร โดยหาก ความเขมขนของสาร 2 บริเวณแตกตางกันมาก จะทําใหการแพรเกิดขึ้น ไดเร็ว ดังนั้น ตอบขอ 2.
นักเรียนควรรู 1 การแพร ปจจัยที่มีผลตออัตราการแพร ไดแก 1. อุณหภูมิ ในขณะที่อุณหภูมิสูง โมเลกุลของสารจะมีพลังงานจลนมากขึ้น ทําใหโมเลกุลเหลานี้เคลื่อนที่ไดเร็วกวาในขณะที่อุณหภูมิตํ่า การแพรจึงเกิดไดเร็ว 2. ความแตกตางของความเขมขน หากความเขมขนของสาร 2 บริเวณ แตกตางกันมาก จะทําใหการแพรเกิดขึ้นไดเร็ว 3. ขนาดของโมเลกุลสาร สารที่มีขนาดโมเลกุลเล็กจะเกิดการแพรไดเร็วกวา สารที่มีขนาดโมเลกุลใหญ 4. ความเขมขนและชนิดของสารตัวกลาง สารตัวกลางที่มีความเขมขนมาก จะมีแรงดึงดูดระหวางโมเลกุลของตัวกลางมาก ทําใหโมเลกุลของสารเคลื่อนที่ไป ไดยาก แตหากสารตัวกลางมีความเขมขนนอย โมเลกุลของสารก็จะเคลื่อนที่ไดดี ทําใหการแพรเกิดขึ้นเร็วดวย
คูมือครู
7
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
Explain
ครูสุมใหนักเรียน 1 กลุมที่ศึกษาเรื่อง การ ออสโมซิส ออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน โดยให นักเรียนกลุมที่ศึกษาเรื่องเดียวกันคอยเสนอแนะ ในประเด็นทีอ่ าจขาดหายไป จากนัน้ ครูและนักเรียน ทั้งหองรวมกันอภิปรายเพื่อใหไดขอสรุปที่ถูกตอง ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกีย่ วกับหลักการ ของการแพรกับหลักการของการออสโมซิส วามี ความเหมือนหรือแตกตางกันอยางไร โดยมีแนวทาง การสรุป ดังนี้ “การแพร เปนกระบวนการเคลื่อนที่ของ โมเลกุลสาร จากบริเวณที่มีความเขมขนสูงไปยัง บริเวณที่มีความเขมขนตํ่า ซึ่งการออสโมซิสก็ใช หลักการเดียวกัน เพียงแตการออสโมซิสนั้นจะ พิจารณาโมเลกุลของนํ้า เนื่องจากการออสโมซิส เปนกระบวนการแพรของโมเลกุลของนํ้านั่นเอง”
การเคลือ่ นทีข่ องอนุภาคสาร เกิดขึน้ จากพลังงานจลน (kinetic energy) เนือ่ งจากในบริเวณทีม่ คี วามเขมขนสาร หรือมีอนุภาคของสารอยูม าก อนุภาคของสารจะมีโอกาส ชนกันและเกิดการกระจายของโมเลกุลไปยังทีม่ อี นุภาคของ สารนัน้ นอยกวา ตัวอยางเชน การแพรของอนุภาคสารผาน เยื่อหุมเซลล การแพรกระจายของอนุภาคดางทับทิมใน นํา้ กลัน่ เปนตน ภายนอกเซลล
เยื่อหุมเซลล
ภายในเซลล
ระยะเวลา
ภาพที่ 1.3 การลําเลียงสารผานเยื่อหุมเซลลดวยวิธีการแพร โดยสารจะสามารถแพรเขาสูเซลลได จนกระทั่งความเขมขนของสารภายในเซลลสมดุลกับภายนอกเซลล (ที่มาของภาพ : http://commons.wikimedia.org/wiki/File:Scheme_simple_diffusion_in_ cell_membrane-en.svg)
2. ออสโมซิส (osmosis) เปนกระบวนการแพรของ โมเลกุลนํา้ โดยผานเยือ่ หุม เซลล จากบริเวณทีม่ ปี ริมาณนํา้ มากกวา หรือมีความเขมขนของสารละลายตํา่ ไปสูบ ริเวณ ที่มีปริมาณนํ้านอยหรือมีความเขมขนของสารละลายสูง ตัวอยางการลําเลียงนํา้ โดยวิธอี อสโมซิส ไดแก การดูดนํา้ ของพืชผานเซลลราก ซึง่ นํา้ จากในดินทีม่ ปี ริมาณมากกวา จะเกิดการออสโมซิสผานเยื่อหุมเซลลของเซลลรากเขา สูภายในเซลลราก ซึ่งมีนํ้านอยและมีความเขมขนของ สารละลายสูงกวาสารละลายในดิน 8
เกร็ดแนะครู ครูควรอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเภทของสารละลายเมื่อเปรียบเทียบกับ ความเขมขนของสารละลายภายในเซลล ซึ่งจําแนกได 3 ประเภท ไดแก 1. สารละลายไอโซโทนิค (isotonic solution) หมายถึง สารละลายที่มีความ เขมขนเทากับสารละลายภายในเซลล คาแรงดันออสโมติก (osmotic pressure) เทากับภายในเซลล การเคลื่อนที่ของนํ้าเขาและออกจากเซลลเทากัน 2. สารละลายไฮโพโทนิค (hypotonic solution) หมายถึง สารละลายที่มี ความเขมขนนอยกวาภายในเซลล คาแรงดันออสโมติกจะนอยกวาภายในเซลล นํ้าจะออสโมซิสเขาสูเซลล เซลลจึงเตง 3. สารละลายไฮเพอรโทนิค (hypertonic solution) หมายถึง สารละลายที่มี ความเขมขนสูงกวาสารละลายภายในเซลล คาแรงดันออสโมติกจะสูงกวาภายใน เซลล นํ้าจะเคลื่อนที่ออกจากเซลล ทําใหเซลลเหี่ยว
8
คูมือครู
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับออสโมซิสของนํ้าเขา-ออกเซลล เมื่อหยดนํ้าเกลือลงบนสไลดที่มีใบสาหรายหางกระรอกอยู จะสังเกต เห็นการเปลี่ยนแปลงของเซลลคลายกับที่เกิดขึ้นเมื่อหยดสารใดมากที่สุด และเกิดเร็วที่สุด 1. นํ้ากลั่น 2. นํ้าเชื่อม 3. นํ้านมสด 4. แอลกอฮอล วิเคราะหคําตอบ เมื่อหยดนํ้าเกลือลงไปบนสไลดที่มีใบสาหราย หางกระรอกอยูจะทําใหภายนอกเซลลมีความเขมขนของเกลือมากกวา ภายในเซลล โมเลกุลของนํ้าภายในเซลลจะออสโมซิสออกจากเซลล สงผลใหเซลลเหี่ยว ซึ่งเมื่อหยดนํ้าเชื่อมลงบนสไลดก็จะเกิดเหตุการณ ลักษณะนี้เชนกัน ดังนั้น ตอบขอ 2.
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบายความรู
ครูสุมใหนักเรียน 1 กลุมที่ศึกษาเรื่อง การแพร แบบฟาซิลิเทต ออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน โดยใหนักเรียนกลุมที่ศึกษาเรื่องเดียวกันเสนอแนะ ในประเด็นที่อาจขาดหายไป จากนั้นครูและ นักเรียนทั้งหองรวมกันอภิปรายเพื่อใหไดขอสรุป ที่ถูกตอง จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายถึง หลักการของการแพรแบบฟาซิลิเทต วาเหมือน หรือแตกตางจากการแพรแบบธรรมดา และ การออสโมซิสอยางไร โดยมีแนวทางสรุป ดังนี้ “การแพรแบบฟาซิลิเทต เปนกระบวนการ ลําเลียงสารจากบริเวณที่มีความเขมขนสูงไปยัง บริเวณที่มีความเขมขนตํ่า เชนเดียวกับการแพร และการออสโมซิส แตตองอาศัยโปรตีนที่เปน ตัวพาดวย”
ความเข้มข้นของสารละลายต่ำ โมเลกุลน้ำ
เยื่อหุมเซลล์
โมเลกุลสาร
ความเข้มข้นของสารละลายสูง ภาพที ่ 1.4 (ทีม่ าของภาพ : http://www.euronuclear.org/info/encyclopedia/d/ diffusionseparating.htm
Explain
การออสโมซิส เป็นการแพร่ของน้ำผ่านเยือ่ หุม้ เซลล์ จากบริเวณที่มีปริมาณน้ำมาก มีความเข้มข้นของ สารละลายต่ ำ ไปสู่ บ ริ เ วณที่ มี ป ริ ม าณน้ ำ น้ อ ยมี ความเข้มข้นของสารละลายสูงกว่า
1 3. การแพร่แบบฟาซิลิเทต (facilitated diffusion) เป็นกระบวนการลำเลียงสารจากบริเวณที่มีความเข้มข้น ของสารมากไปบริเวณที่ความเข้มข้นของสารน้อยกว่า
โดยอาศัยการเกาะติดไปกับโปรตีนที่เป็นตัวพาซึ่งอยู่ท ี่ เยื่อหุ้มเซลล์ โดยในขณะที่ตัวพาทำหน้าที่ส่งสารผ่าน
เยื่อหุ้มเซลล์อาจมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างไป จนเมื่อ สามารถส่ ง สารผ่ า นเยื่ อ หุ้ ม เซลล์ แ ล้ ว ตั ว พาจึ ง มี การ เปลีย่ นแปลงรูปร่างกลับสูส่ ภาพเดิม และพร้อมทีจ่ ะลำเลียง สารใหม่ ไ ด้ การลำเลี ย งด้ ว ยกระบวนการแพร่ แ บบนี้
จะไม่ใช้พลังงาน ตัวอย่างการแพร่ของสารแบบฟาซิลเิ ทตนี้ ได้แก่ การลำเลียงน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เซลล์เม็ดเลือดแดง
เป็ น ต้ น ซึ่ ง การแพร่ แ บบฟาซิ ลิ เ ทตนี้ จ ะเกิ ด ขึ้ น ได้ ช้ า
หรือเร็ว ขึ้นอยู่กับความแตกต่างระหว่างความเข้มข้น ของสารภายในและภายนอกเซลล์
9
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
การแพรแบบฟาซิลิเทตมีอัตราการแพรเร็วกวา หรือชากวาการแพร แบบธรรมดา เพราะเหตุใด 1. ชากวา เพราะสารมีโมเลกุลใหญ 2. ชากวา เพราะโปรตีนตัวพามีจํานวนนอย 3. เร็วกวา เพราะสารมีโมเลกุลใหญ แตมีปริมาณมาก 4. เร็วกวา เพราะโปรตีนตัวพาทําใหสารผานเยื่อหุมเซลลไดเร็ว
วิเคราะหคําตอบ การแพรแบบฟาซิลิเทตจะมีอัตราการแพรเร็วกวา การแพรแบบธรรมดา แมวาสารที่แพรจะมีโมเลกุลขนาดใหญ แตเนื่องจาก มีโปรตีนตัวพาที่ชวยลําเลียงสารผานเยื่อหุมเซลลไดเร็ว ดังนั้น ตอบขอ 4.
นักเรียนควรรู 1 การแพรแบบฟาซิลิเทต อัตราการแพรของสารจะเร็วกวาการแพรแบบ ธรรมดา พบที่เซลลเยื่อบุผิวลําไสเล็ก เซลลตับ ซึ่งสารที่ลําเลียงเขาสูเซลล ไดแก สารที่มีโมเลกุลใหญที่ละลายนํ้าได สารที่มีประจุจําพวกไอออนตางๆ เชน กลูโคส กรดอะมิโน คารบอนไดออกไซดในรูปของไบคารบอเนตไอออน เปนตน
มุม IT ศึกษาเพิ่มเติมและดูวิดีโอเกี่ยวกับกระบวนการแพรแบบฟาซิลิเทต ไดจาก เว็บไซตของยูทูป โดยคนหาคําวา “facilitated diffusion”
คูมือครู
9
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
Expand
ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5 - 6 คน ทํา กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.1 โดยครู ควรแนะนําใหนักเรียนปฏิบัติตามขั้นตอน ดังนี้ 1. อานรายละเอียดเกี่ยวกับวัสดุอุปกรณ และ วิธีการทดลองโดยละเอียด 2. ตั้งปญหาและสมมติฐานการทดลอง บันทึก ผลการทดลอง สรุปและอภิปรายผล การทดลองสงครูผูสอน จากนั้นครูอาจใหนักเรียนรวมกันตั้งปญหา และ สมมติฐานของการทดลอง โดยมีแนวทาง ดังนี้ • ปญหาของการทดลอง : ความเขมขนของ สารละลายมีผลตอการเปลี่ยนแปลงของ เซลลหรือไม • สมมุติฐานของการทดลอง : ความเขมขน ของสารละลายมีผลตอการเตงและการเหี่ยว ของเซลล
ภายนอกเซลล์ สาร
ตัวพา
ภายในเซลล์ ภาพที ่ 1.5 การแพร่แบบฟาซิลเิ ทต จะอาศัยตัวพาช่วยส่งสารผ่านเยือ่ หุม้ เซลล์ โดยตัวพานีจ้ ะมีการเปลีย่ นแปลงรูปร่างขณะส่งสารผ่าน เยือ่ หุม้ เซลล์ และจะกลับคืนสู่สภาพเดิมเมื่อส่งสารผ่านเยื่อหุ้มเซลล์แล้ว (ที่มาของภาพ : http://faculty.southwest.tn.edu/rburkett/GB1-osmosis.ht)
พัฒนาทักษะ
1.1
วิทยาศาสตร
การแพร่และการออสโมซิส วัสดุและอุปกรณ์ 1. หัวหอม 1 หัว 2. ใบมีดโกน 3. ปากคีบ 4. กล้องจุลทรรศน์
5. น้ำกลั่น 30 มิลลิเมตร 6. สไลด์และกระจกปิดสไลด์ 7. อะซีโตนคาร์มีน (acctocarmine) 8. ตะเกียงแอลกอฮอล์
วิธีดำเนินการทดลอง หอมออก 1. นำหัวหอมมาปอกเอาเปลือกหรือเยือ่ ทีอ่ ยูด่ า้ นนอกออกให้หมด จากนัน้ จึงตัดรากและด้านปลายของหัวหอมออก 2. ใช้ใบมีดโกนผ่าครึง่ ตามยาว และลอกเอาเนือ้ เยือ่ ด้านนอกของหัวหอมออก โดยใช้ปากคีบหรือใช้ใบมีดกดเนือ้ เยือ่ เบาๆ ที่บริเวณโคนกลีบของหัวหอม 3. นำเนื้อเยื่อที่ได้มาตัดเป็นชิ้นขนาดเล็กๆ และวางบนสไลด์
10
แนวตอบ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.1 สรุปและอภิปรายผลการทดลอง เมื่อหยดนํ้าจนทวมเซลล จะทําใหภายนอกเซลลมีโมเลกุลของนํ้ามาก นํ้าจึง ออสโมซิสเขาสูเซลล เซลลจึงเตง แตเมื่อหยดสารละลายซูโครสลงไป ทําให ภายนอกเซลลมีความเขมขนของซูโครสสูง และมีปริมาณนํ้านอยกวาภายในเซลล นํ้าภายในเซลลจึงออสโมซิสออกจากเซลล ในขณะที่ซูโครสก็แพรเขาสูเซลล ทําให เซลลเหี่ยว ดังนั้น จึงสรุปไดวาความเขมขนของสารละลายมีผลตอการเปลี่ยนแปลงของ เซลล โดยถาสารละลายภายนอกมีความเขมขนตํ่ากวาสารละลายภายในเซลล นํ้าภายนอกเซลลจะออสโมซิสเขาสูเซลล ทําใหเซลลเตงขึ้น แตถาสารละลาย ภายนอกมีความเขมขนสูงกวาสารละลายภายในเซลล นํ้าภายในเซลลจะออสโมซิส ออกจากเซลล ทําใหเซลลเหี่ยว
10
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ขอความใดตอไปนี้ถูกตอง 1. การออสโมซิสเปนการแพรอยางหนึ่ง 2. การแพรเกิดขึ้นในตัวกลางที่เปนแกสเทานั้น 3. การแพรไมเกิดขึ้นในตัวกลางที่เปนของเหลว 4. สารตางๆ จะผานเขา-ออก โดยวิธีการแพรเทานั้น วิเคราะหคําตอบ การแพรเปนกระบวนการเคลื่อนที่ของโมเลกุลสาร จากบริเวณที่สารมีความเขมขนสูง ไปยังบริเวณที่สารมีความเขมขน ตํ่ากวา โดยผานตัวกลางที่อาจเปนแกสหรือของเหลว สวนการออสโมซิส ก็คือการแพรของโมเลกุลนํ้านั้นเอง ซึ่งทั้งการแพรและการออสโมซิส เปนกระบวนการในการนําสารเขาและออกจากเซลล และนอกจากนี้ยัง มีกระบวนการอื่นๆ อีกหลายกระบวนการ เชน การลําเลียงสารแบบใช พลังงาน การลําเลียงสารโดยไมผานเยื่อหุมเซลล ดังนั้น ตอบขอ 1.
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
ขยายความเขาใจ (ตอ) 4. หยดน้ำกลั่นลงบนสไลด์ให้ท่วมเนื้อเยื่อ หรืออาจใช้อะซีโตคาร์มีนหยดให้ท่วมเนื้อเยื่อ และนำไปผ่านเปลวไฟ ของตะเกียงแอลกอฮอล์ในสารละลายสีเกิดความร้อน ปิดด้วยกระจกปิดสไลด์อย่างระมัดระวัง ไม่ให้เกิด ฟองอากาศขึ้นในสไลด์ 5. ส่องดูใต้กล้องจุลทรรศน์โดยใช้เลนส์ใกล้วัตถุที่กำลังขยายต่ำ ปรับให้เห็นภาพที่ชัดเจน 6. เพิ่มกำลังขยายภาพโดยใช้เลนส์ใกล้วัตถุที่มีกำลังขยายสูงขึ้น สังเกตและบันทึกภาพที่เห็น 7. นำสไลด์แผ่นเดิมมาซับน้ำกลั่นออก โดยใช้กระดาษเยื่อซับที่ขอบด้านหนึ่งของกระจกปิดสไลด์ แล้วจึงหยดด้วย สารละลายซูโครสที่มีความเข้มข้น 10-20% ให้ไหลเข้าแทนที่ 8. นำแผ่นสไลด์ดังกล่าว ส่องดูใต้กล้องจุลทรรศน์โดยใช้เลนส์ใกล้วัตถุที่กำลังขยายต่ำ ปรับให้เห็นภาพที่ชัดเจน 9. เพิ่มกำลังขยายภาพโดยใช้เลนส์ใกล้วัตถุที่มีกำลังขยายสูงขึ้น สังเกตและบันทึกภาพที่เห็น
กิจกรรม
นำคิด 1. การแพร่แบบฟาซิลิเทต มีลักษณะเป็นอย่างไร และมีความแตกต่างจากการลำเลียงสารผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ แบบอื่นๆ อย่างไร
Expand
เมื่อนักเรียนทําการทดลองและสรุปผล การทดลองแลว ครูตงั้ คําถามทีเ่ กีย่ วของกับ การทดลอง ใหนักเรียนรวมกันตอบและ แสดงความคิดเห็น • นักเรียนจะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของ เซลลไดโดยสังเกตจากลักษณะใด (แนวตอบ สังเกตจากลักษณะของเยือ่ หุม เซลล และออรแกเนลลตางๆ หากเยื่อหุมเซลล อยูชิดผนังเซลลและออรแกเนลลสวนใหญ กระจายอยูทั่วไปในเซลล แสดงวาเซลลเตง แตถาเยื่อหุมเซลลอยูหางจากผนังเซลลและ ออรแกเนลลสวนใหญรวมอยูกลางเซลล แสดงวาเซลลเหี่ยว) จากนั้นใหนักเรียนตอบคําถามในกิจกรรม นําคิด โดยบันทึกลงในสมุดของนักเรียน
2. ให้นักเรียนยกตัวอย่างการลำเลียงน้ำโดยวิธีออสโมซิส พร้อมกับอธิบายกระบวนการลำเลียง 3. จากกิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร์ การแพร่และการออสโมซิส นักเรียนสามารถสรุปได้ว่าอย่างไร 4. จากภาพจำลองเซลล์พืชทั้งสองภาพด้านล่าง นักเรียนคิดว่า ลูกศรที่แสดงบนภาพมีความหมายอย่างไร และมีปจจัยใดบ้างที่ทำให้เซลล์มีลักษณะดังภาพ
ภาพที ่ 1.6 (ที (ที่มาของภาพ : biology insights p.57)
11
แนวตอบ กิจกรรมนําคิด 1. การแพรแบบฟาซิลิเทต เปนกระบวนการลําเลียงสารจากบริเวณที่มีความเขมขนของสารมาก ไปยังบริเวณที่มีความเขมขน ของสารนอย เชนเดียวกับการแพรแบบธรรมดา แตแตกตางกันที่การแพรแบบฟาซิลิเทตนั้นตองอาศัยโปรตีนตัวพา ซึ่งการ อาศัยโปรตีนตัวพานี้ก็พบในการลําเลียงสารแบบใชพลังงานดวย แตการลําเลียงสารแบบใชพลังงานจะเปนการลําเลียงสาร จากบริเวณที่มีความเขมขนของสารนอย ไปยังบริเวณที่มีความเขมขนของสารมาก 2. ตัวอยางเชน การดูดนํ้าของรากพืช เนื่องจากปริมาณนํ้าในดินมีมากกวาในเซลลขนราก นํ้าในดินจึงออสโมซิสเขาสู เซลลขนราก 3. เมื่อหยดนํ้ากลั่นลงบนสไลด นํ้าจะออสโมซิสจากภายนอกเซลลเขาสูเซลล ซึ่งสังเกตไดจากสีของอะซีโตคารมีนที่ แพรกระจายเขาสูเซลล ทําใหเซลลเตงขึ้น และเมื่อหยดสารละลายซูโครสลงบนสไลด นํ้าจากภายในเซลลจะออสโมซิส ออกสูนอกเซลล ทําใหเซลลเหี่ยวลง 4. ภาพซาย เปนกระบวนการออสโมซิสของนํ้าจากภายในเซลลออกสูนอกเซลล จึงทําใหเซลลเหี่ยว ภาพขวา เปนกระบวนการออสโมซิสของนํ้าจากภายนอกเซลลเขาสูเซลล จึงทําใหเซลลเตง
คูมือครู
11
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
Expand
ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายและสรุปเรื่อง การลําเลียงสารแบบไมใชพลังงาน วาลวนเปนการ ลําเลียงสารจากบริเวณที่มีความเขมขนของสารมาก ไปยังบริเวณที่มีความเขมขนของสารนอยกวา แลว ครูตั้งคําถามวา • มีวิธีการใดหรือไม ที่จะสามารถลําเลียงสาร จากบริเวณที่มีความเขมขนของสารนอย ไป ยังบริเวณที่มีความเขมขนของสารมากกวาได (แนวตอบ ใชวิธีการลําเลียงแบบใชพลังงาน) ใหนักเรียนศึกษาเรื่อง การลําเลียงสารแบบ ใชพลังงาน จากหนังสือเรียน หนา 12 จากนั้น ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายและสรุปเกี่ยวกับ ความเหมือนและความแตกตางของการลําเลียงสาร โดยการแพรแบบฟาซิลิเทต กับการลําเลียงสาร แบบใชพลังงาน โดยมีแนวการสรุป ดังนี้ “ทั้งการลําเลียงสารโดยการแพรแบบฟาซิลิเทต และการลําเลียงแบบใชพลังงาน เปนการลําเลียงสาร โดยใชโปรตีนเปนตัวพาเหมือนกัน แตการลําเลียง แบบใชพลังงานจะลําเลียงสารจากบริเวณที่มีความ เขมขนนอยไปสูบริเวณที่มีความเขมขนมาก โดยอาศัยพลังงานจาก ATP ชวย”
2) การลําเลียงแบบใชพลังงาน เปนกระบวนการ ลําเลียงทีเ่ ซลลตอ งอาศัยพลังงานจากการสลายสารอาหาร ซึ�งจะเกิดขึ้นเฉพาะในเซลลที่ยังมีชีวิตอยู การลําเลียงสาร ลักษณะน�้จะมีทิศทางการลําเลียงจากบริเวณที่มีความ เขมขนของสารนอยไปสูบ ริเวณทีม่ คี วามเขมขนของสารมาก การลํ า เลี ย งแบบใช พ ลั ง งาน จะอาศั ย โปรตี น ที่ แทรกอยูในเยื่อหุมเซลลทําหนาที่เปนตัวลําเลี1ยง โดยตอง เผาผลาญสารพลังงานสูงบางชนิด เชน ATP เพื่อใชเปน แรงผลักดันสําหรับลําเลียงสารจากบริเวณทีม่ คี วามเขมขน ของสารนอยไปสูบริเวณที่มีความเขมขนมาก ตัวอยาง การลําเลียงสารแบบใชพลังงาน ไดแก การดูดซึมสารอาหาร ของรากพืช การลําเลียงโซเดียม-โพแทสเซียมของเซลล การดูดซึมกลับของสารที่หลอดไต เปนตน
ศัพทนารู ATP (adenosine triphosphate) เปนสารชีวเคมีที่เปนแหลงพลังงานสําคัญ ของเซลล รางกายสามารถสังเคราะหขึ้น ไดโดยอาศัยนํา้ ตาล กรดไขมัน กรดอะมิโน และสารอื่นๆ อีกมาก
การแพร การลําเลียงแบบไมใชพลังงาน การแพรแบบฟาซิลิเทต
ATP การลําเลียงแบบใชพลังงาน
ภาพที่ 1.7 การลําเลียงสารแบบใชพลังงาน จะทําใหสามารถลําเลียงสารจากบริเวณที่มีความเขมขนของสารนอย ไปสูบริเวณที่มี ความเขมขนของสารมากได จึงสามารถลําเลียงสารในทิศทางที่ตรงขามกั มกบการลําเลียงแบบไมใชพลังงาน (ที่มาของภาพ : http://kentsimmons.uwinnipeg.ca/cm1504/membranefunction.htm)
12
นักเรียนควรรู 1 ATP เปนสารพลังงานสูง ทําหนาที่เก็บพลังงานที่ไดจากกระบวนการสลาย สารอาหารของเซลล ประกอบดวยอะดีนีน (adenine) กับนํ้าตาลไรโบส (ribose) ซึ่งรวมเรียกวา อะดีโนซีน (adenosine) แลวตอกับหมูฟอสเฟต (P) 3 หมู พันธะที่ เกิดขึ้นระหวางหมูฟอสเฟตหมูที่ 2 และ 3 เปนพันธะที่มีพลังงานสูง โดยเมื่อสลาย แลวจะใหพลังงาน 7.3 กิโลแคลอรีตอโมล เซลลจะมีการสลาย ATP โดย ATP จะเปลี่ยนไปเปน ADP (adenosine diphosphate) หมูฟอสเฟต และปลดปลอยพลังงานออกมา ดังสมการ ADP + หมูฟอสเฟต + พลังงาน ATP
12
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
การลําเลียงสารแบบใชพลังงานเปรียบเทียบไดกับเหตุการณใด 1. การตักนํ้าใสกะละมัง 2. การสูบนํ้าขึ้นสูถังเก็บนํ้า 3. การเทนํ้าออกจากกะละมัง 4. การปลอยนํ้าลงจากถังเก็บนํ้า วิเคราะหคําตอบ การลําเลียงสารแบบใชพลังงาน เปนการลําเลียงสาร จากบริเวณที่มีความเขมขนนอยไปสูบริเวณที่มีความเขมขนมาก โดยใช โปรตีนเปนตัวพา และอาศัยพลังงานจาก ATP ซึ่งอาจเปรียบไดกับ การสูบนํ้าขึ้นสูถังเก็บนํ้า ซึ่งตองอาศัยพลังงานไฟฟา ดังนั้น ตอบขอ 2.
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา สํารวจค Exploreนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุEngage นความสนใจ
กระตุน ความสนใจ
ครูและนักเรียนรวมกันทบทวนเรื่อง การ ลําเลียงสารผานเยื่อหุมเซลล วาแตละวิธีนั้นมี หลักการอยางไร จากนั้นครูตั้งคําถามเพื่อกระตุน การคิดของนักเรียน • นักเรียนคิดวา นอกจากการลําเลียงสารผาน เยื่อหุมเซลลแลว ยังมีวิธีอื่นอีกหรือไมที่จะ สามารถทําใหสารผานเขา-ออกจากเซลลได (แนวตอบ พิจารณาจากคําตอบของนักเรียน โดยอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน ซึ่งนักเรียน จะไดศึกษาตอไป) • การลําเลียงสารผานเยื่อหุมเซลลดวยวิธีการ ตางๆ ที่ไดศึกษามาแลวนั้น ลวนเปนวิธีการ ลําเลียงสารที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก แตหาก สารบางชนิดที่มีโมเลกุลขนาดใหญ นักเรียน คิดวาจะสามารถผานเขา-ออกจากเซลลได หรือไม อยางไร (แนวตอบ พิจารณาจากคําตอบของนักเรียน โดยอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน ซึ่งนักเรียน จะไดศึกษาตอไป) จากนั้นครูอธิบายอยางสังเขปวา การลําเลียง สารที่มีขนาดโมเลกุลใหญซึ่งไมสามารถแทรก ผานเยื่อหุมเซลลไดนั้น จะมีกลไกการลําเลียงที่มี ลักษณะจําเพาะ โดยการลําเลียงเขาและออกจาก เซลล จะมีวิธีการที่แตกตางกัน
2.2 การลำเลียงสารโดยไม่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์
ในการลำเลียงสารทีม่ โี มเลกุลขนาดใหญ่ สารเหล่านี้ จะไม่ ส ามารถแทรกตั ว ผ่ า นเยื่ อ หุ้ ม เซลล์ ไ ด้ โ ดยตรง
ดังนัน้ จึงจำเป็นต้องอาศัยกลไกการลำเลียงสารทีม่ ลี กั ษณะ จำเพาะ ด้ ว ยการสร้ า งถุ ง หรื อ แอ่ ง ที่ เ รี ยกว่ า เวสิ เ คิ ล (vesicle) ซึ่งเกิดขึ้นจากการหดตัวเป็นแอ่งของเยื่อหุ้ม เซลล์หรือการเปดออกของออร์แกเนลล์ตา่ งๆ ภายในเซลล์
การรวมตัวของเยื่อหุ้มเซลล์กับเยื่อหุ้มออร์แกเนลล์น ี้ จะทำให้เยือ่ หุม้ เซลล์สามารถล้อมรอบสารโมเลกุลใหญ่ได้
การลำเลียงสารโดยไม่ผา่ นเยือ่ หุม้ เซลล์แบ่งได้เป็น 2 ชนิด
คือ แบบเอกโซไซโทซิส และแบบเอนโดไซโทซิส 1) เอกโซไซโทซิส (exocytosis) เป็นกระบวนการ
ลำเลียงสารโมเลกุลขนาดใหญ่ออกจากเซลล์ โดยสารทีถ่ กู ลำเลียงออกนอกเซลล์จะถูกบรรจุในถุงเวสิเคิล และถุงนีจ้ ะ เคลื่อนที่ไปรวมตัวต่อเชื่อมกับเยื่อหุ้มเซลล์ และเยื่อหุ้ม เซลล์จะแยกตัวเปดเป็นช่องสู่ภายนอก ปลดปล่อยสาร
ที่ ต้ อ งการลำเลี ย งออกสู่ ภายนอกเซลล์ ตั ว อย่ า งเช่ น
การลำเลียงของเสียที่ย่อยไม่ได้ออกจากเซลล์ เป็นต้น ภายนอกเซลล์
เยื่อหุมเซลล์
ภายในเซลล์
สารที่ตองลำเลียงออก
Engage
สํารวจคนหา
ใหนักเรียนแบงกลุม ออกเปน 8 กลุม โดยให แตละกลุมศึกษาเรื่องตางๆ ดังนี้ • กลุมที่ 1 และ 2 ศึกษาเรื่อง เอกโซไซโทซิส • กลุมที่ 3 และ 4 ศึกษาเรื่อง ฟาโกไซโทซิส • กลุมที่ 5 และ 6 ศึกษาเรื่อง พิโนไซโทซิส • กลุมที่ 7 และ 8 ศึกษาเรื่อง การนําสารเขา สูเซลลโดยอาศัยตัวรับ ใหแตละกลุมสรุปสาระสําคัญเพื่อเตรียมออก มานําเสนอใหเพื่อนในหองฟง
เวสิเคิล
ภาพที่ 1.8 กระบวนการลำเลียงสารออกจากเซลล์แบบเอกโซไซโทซิส (ที่มาของภาพ : http://www.linkpublishing.com/video-transport.htm)
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
การลําเลียงสารขนาดใหญออกจากเซลล ทําไดโดยใชสมบัติใดของ เยื่อหุมเซลล 1. สามารถเปลี่ยนแปลงรูปรางได 2. มีไขมันชนิดพิเศษเปนสวนประกอบ 3. มีโปรตีนชนิดพิเศษเปนสวนประกอบ 4. มีชองวางขนาดใหญใหสารเดินทางผาน
วิเคราะหคําตอบ กระบวนการลําเลียงสารขนาดใหญออกจากเซลล เรียกวา เอกโซไซโทซิส โดยสารจะถูกบรรจุในถุงเวสิเคิล ซึ่งถุงนี้จะ เคลื่อนที่ไปรวมตัวเชื่อมกับเยื่อหุมเซลล แลวเยื่อหุมเซลลจะแยกตัวเปด เปนชองสูภายนอกเซลล ซึ่งเปนสมบัติหนึ่งของเยื่อหุมเซลลที่สามารถ เปลี่ยนแปลงรูปรางได ดังนั้น ตอบขอ 1.
Explore
13
เกร็ดแนะครู ครูอาจนําวิดีโอกระบวนการลําเลียงสารโดยไมผานเยื่อหุมเซลลมาใหนักเรียนดู เพื่อชวยใหเกิดความเขาใจถึงหลักการและขั้นตอนการลําเลียงสารดวยวิธีตางๆ ไดงายขึ้น
มุม IT ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลําเลียงสารโดยไมผานเยื่อหุมเซลล ไดจากเว็บไซต http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/science04/45/2/cell/ content/tran.html หรือ http://www.youtube.com/watch?v=FJmnxbYBlr4&f eature=related
คูมือครู
13
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบExplain ายความรู
Explain
ครูสุมกลุมของนักเรียนที่ศึกษาในแตละเรื่อง ออกมาเรื่องละ 1 กลุม สรุปสาระสําคัญใหเพื่อน ในหองฟง โดยครูและนักเรียนคนอื่นๆ รวมกัน เสนอแนะ จากนั้นรวมกันอภิปรายเพื่อใหได ขอสรุปรวมกัน
ขยายความเขาใจ
อธิบายความรู
Expand
ครูและนักเรียนรวมกันทบทวนเรื่อง การรักษา ดุลยภาพนํ้าและแรธาตุของเซลล จากนั้นให นักเรียนแตละคนสรุปสาระสําคัญในรูปของแผนผัง ความคิด โดยทําเปนใบงานสงครูผูสอน จากนั้นใหนักเรียนแบงกลุม ออกเปน 4 กลุม จัดปายนิเทศเผยแพรความรูเรื่องการรักษาดุลยภาพ นํ้าและแรธาตุของเซลล โดยใหแตละกลุมจัดทํา เรื่องตางๆ ดังนี้ • กลุมที่ 1 และ 2 จัดปายนิเทศเรื่อง การลําเลียงสารโดยผานเยื่อหุมเซลล • กลุมที่ 3 และ 4 จัดปายนิเทศเรื่อง การลําเลียงสารโดยไมผานเยื่อหุมเซลล
2) เอนโดไซโทซิส (endocytosis) เป็นการลำเลียง
โมเลกุลของสารในทิศทางตรงข้ามกับเอกโซไซโทซิส ศัพท์น่ารู้ โดยนำสารเข้าสูเ่ ซลล์ดว้ ยการเกิดแอ่งรับสารทีเ่ ยือ่ หุม้ เซลล์ ไซโทพลาซึม (cytoplasm) และเว้าเข้าสู่ภายในเซลล์ จากนั้นจึงเกิดการเชื่อมต่อ
เป็นส่วนของเหลวทีอ่ ยูภ่ ายในเยือ่ หุม้ เซลล์
ของเยือ่ หุม้ เซลล์เกิดเป็นถุงล้อมรอบสารทีจ่ ะนำเข้าเซลล์ ทำให้สามารถนำเข้าสู่ภายในเซลล์ได้ โดยลักษณะการ ล้อมรอบนิวเคลียส โดยประกอบด้วย
ว นสำคั ญ ได้แก่ ออร์แกเนลล์ และ
เกิดเอนโดไซโทซิสเพื่อการนำสารเข้าสู่เซลล์จะสามารถ ส่ไซโทซอล ซึ ง่ ไซโทซอล จะมีลักษณะเป็น แบ่งได้เป็น 3 วิธ ี ได้แก่ วิธฟี าโกไซโทซิส วิธพี โิ นไซโทซิส ของกึง่ แข็งกึง่ เหลวมีอยูป่ ระมาณ 50-60% และวิธีนำสารเข้าสู่เซลล์โดยอาศัยตัวรับ ดังนี้
ของเซลล์ สามารถไหลไปมาได้ จึงทำให้ 1. ฟาโกไซโทซิส (phagocytosis) เป็นการ มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเซลล์ได้
ลำเลียงสารที่เป็น ของแข็งเข้าสู่เซลล์ พบได้ 1 ในเซลล์
จำพวกอะมีบา และกลุ่มเซลล์เม็ดเลือดขาว โดยเซลล์จะ
ยื่นไซโทพลาซึมออกไปล้อมรอบอนุภาคของสาร และ
เกิดการสร้างถุงล้อมรอบสาร จากนัน้ จึงนำสารเข้าสูเ่ ซลล์
และเกิดการย่อยสลายภายในเซลล์ การลำเลียงสารแบบ
ฟาโกไซโทซิสนีส้ ามารถเรียกอีกอย่างว่า การกินของเซลล์ (cell eating) นิวเคลียส ไลโซโซม
ยื่นไซโทพลาซึม มาลอมรอบสาร
ไซโทพลาซึม
เยื่อหุมเซลล์
สารที่จะนำเขาสูเซลล์
สารอาหารถูกนำเขาสูเซลล์
ภาพที่ 1.9 กระบวนการฟาโกไซโทซิสเพื่อนำสารเข้าสู่เซลล์ของเซลล์อะมีบา ซึ่งอาศัยการยื่นไซโทพลาซึมออกมาล้อมรอบ มรอบสารเอาไว้ จากนั้นจึงสร้างเป็นถุง เพื่อนำเข้าสู่เซลล์ (ที่มาของภาพ : http://www.britannica.com/EBchecked/topicart/454919/106998/The-process-by-which-cells-engulfsolid-matter-is-called)
14
นักเรียนควรรู 1 เซลลเม็ดเลือดขาว การจําแนกชนิดของเซลลเม็ดเลือดขาวตามหนาที่ จําแนกไดเปน 2 กลุม ไดแก 1. ฟาโกไซโทซิส (phagocytosis) เปนเซลลเม็ดเลือดขาวที่ทําลายเชื้อโรค โดยวิธีฟาโกไซโทซิส ไดแก เม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟล (neutrophil) แอซิโดฟล (acidophil) เบโซฟล (basophil) และโมโนไซต (monocyte) 2. ลิมโฟไซต (lymphocyte) เปนเซลลเม็ดเลือดขาวที่สรางแอนติบอดีขึ้นมา ตอตานสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรค
14
คูมือครู
กิจกรรมทาทาย ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5 - 6 คน รวมกันคิดกิจกรรมการทดลอง เกี่ยวกับการรักษาดุลยภาพนํ้าและแรธาตุของเซลล โดยดูแนวทางจาก กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.1 เขียนรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการ ทดลอง ลองปฏิบัติจริงและบันทึกผลสงครูผูสอน
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
Engage
Explore
Explain
Expand
ตรวจสอบผล Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate
ตรวจสอบผล
ครูทดสอบความเขาใจของนักเรียนโดยการ ตั้งคําถาม ตัวอยางเชน • เซลลเกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะใด เมื่อความเขมขนของสารภายนอกเซลล เปลี่ยนแปลงไป (แนวตอบ หากสารละลายภายนอกเซลล มีความเขมขนนอยกวาภายในเซลล นํ้าจะ ออสโมซิสเขาสูเซลล ทําใหเซลลเตง ในทาง กลับกันหากสารละลายภายนอกเซลลมี ความเขมขนมากกวาสารละลายภายในเซลล นํ้าจะออสโมซิสออกจากเซลล ทําให เซลลเหี่ยว) • เซลลมีการรักษาดุลยภาพของเซลลดวย วิธีการใด และเพื่ออะไร (แนวตอบ เซลลมกี ารรักษาดุลยภาพของเซลล ดวยการลําเลียงสารผานเขาและออกจาก เซลล เพื่อใหเซลลทํางานไดเปนปกติ) จากนั้นใหนักเรียนแตละคนทําใบงานสรุป สาระสําคัญเรื่อง การรักษาดุลยภาพนํ้าและแรธาตุ ของเซลล และแบงกลุมจัดปายนิเทศเผยแพร ความรู
2. พิโนไซโทซิส (pinocytosis) เปนกระบวนการ นำสารในรูปสารละลายเขาสูเซลล โดยทำใหเยื่อหุมเซลล เวาเปนแองเขาสูภายในเซลลอยางชาๆ จนกลายเปน ถุงขนาดเล็ก และเยื่อหุมเซลลจะสรางเปนถุงปดลอม สารละลาย จากนั้นจึงหลุดเขาไปภายในเซลลกลายเปน ถุงสารละลายอยูในไซโทพลาซึม ซึ่งสามารถเรียกไดอีก อยางวา การดื่มของเซลล (cell drinking)
ภาพที่ 1.10 พิโนไซโทซิส เปนการนำสารละลายเขาสูเ ซลล โดยการเกิดแองเวา ของเยือ่ หุม เซลล จนกลายเปนถุงปดลอมสารละลาย เพือ่ นำสารเขาสูภ ายในเซลล (ที่มาของภาพ : http://classes.midlandstech.com/bio112/figure3.10 endocytosis.htm)
3. การนำสารเขาสูเ ซลลโดยอาศัยตัวรับ (receptormediated endocytosis) เป1นกระบวนการนำสารเขาสู เซลล โดยอาศัยโปรตีนตัวรับ (receptor) ที่อยูบนเยื่อ หุ ม เซลล ซึ่ ง มี ความจำเพาะในการจั บ ตั ว กั บ สารที่ จ ะ ลำเลียงเขาสูเซลล โดยเมื่อโปรตีนตัวรับจับตัวกับสารที่ จะนำเขาสูเ ซลลแลว จากนัน้ เยือ่ หุม เซลลจะเวาตัวเปนถุง และหลุดเขาสูภายในเซลล
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู 1. แบบบันทึกการปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 1.1 2. ใบงานสรุปสาระสําคัญเรื่อง การรักษา ดุลยภาพนํ้าและแรธาตุของเซลล 3. ปายนิเทศเผยแพรความรูเรื่อง การรักษา ดุลยภาพนํ้าและแรธาตุของเซลล
โปรตีนตัวรับ
ภาพที่ 1.11 การนำสารเขาสูเซลลโดยอาศัยตัวรับ จะอาศัยโปรตีนตัวรับจับตัว กับสารทีจ่ ะนำเขา จากนัน้ เยือ่ หุม เซลลจงึ เวาเปนถุงเพือ่ นำสารเขาสูภ ายในเซลล (ที่ ม าของภาพ : http://en.wikipedia.org/wiki/Receptor-mediated_ endocytosis)
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
หากรางกายไดรับเชื้อโรคชนิดหนึ่งทางผิวหนัง รางกายจะใชเซลลใด และกระบวนการใดในการจํากัดเชื้อโรคดังกลาว ขอ ก ข ค ง 1. ก
เซลล เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดขาว 2. ข
กระบวนการ ฟาโกไซโทซิส พิโนไซโทซิส ฟาโกไซโทซิส พิโนไซโทซิส 3. ค 4. ง
วิเคราะหคําตอบ หากรางกายไดรับเชื้อโรคชนิดหนึ่งทางผิวหนัง เซลลเม็ดเลือดขาวจะมีหนาที่จํากัดเชื้อโรคเหลานั้น โดยกระบวนการ ฟาโกไซโทซิส ดวยการยื่นไซโทพลาสซึมออกไปลอมรอบเชื้อโรค แลวนําเขาสูเซลลเพื่อเกิดการยอยสลายภายในเซลล ดังนั้น ตอบขอ 3.
Evaluate
15
นักเรียนควรรู 1 โปรตีนตัวรับ ทําหนาที่เปนตัวสงผานสารตางๆ เขาสูเซลล เชน โรดอปซิน (rhodopsin) ที่อยูในบริเวณเรตินา เปนตัวตอบสนองตอแสง อินซูลินรีเซปเตอร (insulin receptor) เปนตัวชวยใหเซลลตบั มีการตอบสนองกับฮอรโมนอินซูลนิ เปนตน
มุม IT ศึกษากลไกของเอกโซไซโทซิส และเอนโดไซโทซิส ไดจากเว็บไซตยูทูป http://www.youtube.com/watch?v=25UHw1Mc0I4&feature=related หรือ http://www.youtube.com/watch?v=Oy7yG2Hfbkg&feature=related
คูมือครู
15
กระตุน ความสนใจ กระตุEngage นความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุน ความสนใจ
Engage
ครูพูดคุยซักถามประสบการณเดิมของนักเรียน เกี่ยวกับการคายนํ้าของพืช เพื่อกระตุนความสนใจ ของนักเรียน ตัวอยางเชน • พืชกําจัดนํ้าสวนที่เกินจากความตองการ ดวยวิธีใด (แนวตอบ ดวยการคายนํ้า) • พืชที่เจริญเติบโตในทะเลทรายตองลดรูปของ ใบไปเปนหนามเพราะเหตุใด (แนวตอบ เพื่อลดการสูญเสียนํ้า) • นักเรียนคิดวาเวลาใดที่พืชเกิดการคายนํ้า มากที่สุด เพราะเหตุใด (แนวตอบ เวลากลางวัน เพราะอากาศมี อุณหภูมิสูงทําใหพืชคายนํ้ามาก) จากนั้นครูนํารูปผิวใบจากกลองจุลทรรศนที่เห็น ลักษณะของปากใบและเซลลคุมมาใหนักเรียนดู และรวมกันอภิปรายถึงการรักษาดุลยภาพนํ้าของ พืช โดยครูตั้งคําถามกระตุนความสนใจ ดังนี้ • นักเรียนเห็นสวนประกอบใดบาง และ แตละสวนมีหนาที่อะไร (แนวตอบ พิจารณาจากคําตอบของนักเรียน โดยอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน เชน ปากใบ ทําหนาที่ควบคุมการคายนํ้าของพืช เซลลคุม ทําหนาที่ควบคุมการปด-เปดของปากใบ) • เซลลคุมมีกลไกในการทํางานอยางไร (แนวตอบ เซลลคุมเปนเซลลที่อยูบริเวณรอบ ปากใบ มีบทบาทเกี่ยวของกับการคายนํ้า ของพืช โดยหากในพืชมีนํ้าอยูมาก เซลลคุม จะเตง ทําใหปากใบเปด แตในทางกลับกัน หากในพืชมีนํ้านอย เซลลคุมจะเหี่ยว ทําให ปากใบปด ซึ่งนักเรียนจะไดศึกษาตอไป)
3. การรักษาดุลยภาพนํา้ และแรธาตุของสิง่ มีชวี ติ
โครงสรางของสิ�งมีชีวิตทั้งพืช สัตว และมนุษ ย ประกอบดวยเซลลจํานวนมากมายมหาศาลมาอยูรวมกัน เปนระบบเน�อ้ เยือ่ และอวัยวะตางๆ ซึง� การทํางานของเซลล ตางๆ ก็ตองอาศัยสภาพแวดลอมที่มีความเหมาะสม ตอเซลลดวย ดังนั้นในโครงสรางรางกายของสิ�งมีชีวิต จึง จําเปนตองมีระบบการรักษาดุลยภาพของสารตางๆ เพื่อ ชวยควบคุมปริมาณสารตางๆ ใหมีความเหมาะสมตอการ ทํางานของเซลลอยูเสมอ โดยระบบการรักษาดุลยภาพ ของนําและแรธาตุของพืช สัตวตางๆ รวมถึงมนุษยจะมี ความแตกตางกันดังน�้
3.1 การรักษาดุลยภาพนํ้าและแรธาตุในพืช
พืชเปนสิ่งมีชีวิตที่ดํารงชีวิตอยูในสิ่งแวดลอม โดย อาศัยแรธาตุและนํ้าจากสิ่งแวดลอม เปนวัตถุดิบในการ สังเคราะหอาหารดวยกระบวนการสังเคราะหดว ยแสง พืชจะนํานํ้าไปใชในกระบวนการสังเคราะหดวยแสง เพียง 1-2% เทานั้น สวนนํ้าที่เหลือ1ประมาณ 98-99% จะถูกขับออกจากตนพืชดวยการคายนํา้ ทางใบ เพือ่ ใหเกิด แรงดึงจากการคายนํา้ ทําใหสามารถลําเลียงนํา้ จากรากพืช ไปสูส ว นยอดได และยังใชสาํ หรับรักษาความสมดุลของระบบ ตางๆ ในตนพืช นํ้าสวนใหญ ในตนพืชจะถูกกําจัดออกทางปากใบ ในรู ป ของไอนํ้ า ที่ ร ะเหยออกจากปากใบ (stomata) นอกจากนีบ้ างสวนอาจสูญเสียออกไปทางผิวใบ สวนของ ลําตนที่เปนเนื้อเยื่อออนๆ และตามรอยแตกหรือรูเล็กๆ ตามลําตน ในชวงที่ตนพืชขาดนํ้า ตนพืชจะปดปากใบ เพื่อลดการคายนํ้า แตจะยังคงมีการระเหยออกทางผิว ใบ และรอยแตกตามลําตน จึงชวยทําใหใบและลําตนพืช ไมรอ นจัดเกินไป
ไอน้ําจาก การคายน้ํา
แรงดึงจาก การคายน้ํา
น้ําที่ดูดซับโดยราก
ภาพที่ 1.12 การคายน้าํ จากปากใบ จะชวยใหตน พืช รักษาสมดุลของน้ําไวได และยังชวยใหเกิดแรงดึง จากการคายน้ํา ทําใหสามารถลําเลียงน้ําจากราก ไปสูยอดได (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
16
นักเรียนควรรู 1 การคายนํ้า ปจจัยที่มีผลตอการคายนํ้าของพืช ไดแก • อุณหภูมิ ถาอุณหภูมิของอากาศสูง นํ้าจะแพรออกจากปากใบมาก • ความชื้น ถาความชื้นในอากาศลดลง จะทําใหเกิดการคายนํ้ามากขึ้น • ลม ลมที่พัดผานใบไมจะทําใหความกดอากาศที่บริเวณผิวใบลดลง ไอนํ้า บริเวณปากใบจะแพรออกสูอากาศไดมากขึ้น • สภาพนํ้าในดิน การเปด-ปดของปากใบมีความสัมพันธกับสภาพนํ้าในดิน ซึ่งเมื่อดินมีนํ้านอยลงและพืชเริ่มขาดนํ้า จะทําใหปากใบปด การคายนํ้า จึงลดลง • ความเขมของแสง เมื่อมีความเขมแสงสูง ปากใบจะเปดและมีการ คายนํ้ามาก
16
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
การคายนํ้าของพืชมีผลตอการดูดนํ้าของรากพืชหรือไม อยางไร แนวตอบ การคายนํ้าของพืชมีผลตอการดูดนํ้าของรากพืช โดยเมื่อพืช ขาดนํ้า นํ้าจากเซลลคุมจะออสโมซิสออกจากเซลล ทําใหเซลลคุมเหี่ยว ปากใบจึงปด เพื่อลดการสูญเสียนํ้า ซึ่งจะชวยกระตุนใหเกิดการดูดนํ้า มากขึ้นบริเวณรากพืช
กระตุนความสนใจ Engage
สํารวจคนหา
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
สํารวจค Exploreนหา
สํารวจคนหา
ใหนักเรียนศึกษาเรื่อง การคายนํ้าของพืช จาก หนังสือเรียน หนา 17 แลวเขียนสรุปลงในสมุดของ นักเรียน
การควบคุมการคายนํ้าที่ปากใบเกิ 1 ดขึ้นไดเนื่องจาก ที่บริเวณรอบปากใบจะมีเซลลคุม (guard cell) ซึ่งเปน เซลลชั้นนอกสุดของผิวใบ (epidermis layer) พบได ทั้งดานบนและดานลางของใบ โดยดานลางของใบจะมี จํานวนเซลลคุมมากกวาดานบนของใบ ภายในเซลลคุม จะมีคลอโรพลาสต มีลักษณะที่แตกตางจากเซลลอื่นๆ บนผิวใบ คือ เซลลคุมจะมีลักษณะเปนเซลลคู โดยผนัง ดานในของเซลลคุมจะหนากวาผนังเซลลดานนอก
อธิบายความรู
ผนังสวนที่หนา
คลอโรพลาสต ปากใบเปด
ภาพที่ 1.13 ลักษณะปากใบบนเซลลผิวใบ เมื่อมองผานกลองจุลทรรศน (ที่มาของภาพ : life p.507)
การเปดและปดปากใบเกิดขึ้นเนื่องจากความเตง ของเซลล คุ ม โดยเมื่ อ ในต น พื ช มี นํ้ า อยู ม าก นํ้ า จาก เซลลตางๆ รอบเซลลคุมจะแพรเขาสูเซลลคุม ทําให เซลลคุมเตงเนื่องจากมีปริมาณนํ้ามาก ผนังของเซลล คุมจึงยืดออกดึงใหผนังสวนที่หนางอตัวแยกออกจากกัน สงผลใหปากใบเปดออก แตในกรณีที่ในตนพืชขาดแคลนนํ้า นํ้าจากเซลลคุม จะแพรออกสูเซลลตางๆ ที่อยูรอบเซลลคุม เซลลคุมจึง หดตัวไมสามารถดึงผนังสวนที่หนาแยกออกจากกันได สงผลใหปากใบปดลง นอกจากนี้ยังพบวา แสง อุณหภูมิ และแกสคารบอนไดออกไซด ก็เปนปจจัยทีม่ ผี ลตอการเปด และปดปากใบดวยเชนกัน
Explore
เมือ่ น้าํ แพรเขาสูเ ซลล จะทําใหเซลลคมุ เตง จึงยืดตัว ใหผนังสวนที่หนาแยกจากกันได ปากใบปด
Explain
ครูนํารูปผิวใบจากกลองจุลทรรศน ที่นํามาให นักเรียนดูในขั้นกระตุนความสนใจ มาใหนักเรียน ดูอีกครั้ง แลวครูถามคําถามเดิมที่เคยถามไปแลว ดังนี้ • นักเรียนเห็นสวนประกอบใดบาง และ แตละสวนมีหนาที่อะไร (แนวตอบ เห็นเซลลของใบพืชที่มีลักษณะเปน เหลี่ยม และมีนิวเคลียสอยูภายใน และยัง เห็นเซลลที่มีรูปรางแปลกไปจากเซลลอื่นๆ คือ เปนเซลลที่อยูคูกัน และภายในมี คลอโรพลาสตเห็นไดอยางชัดเจน) • เซลลคุมมีกลไกในการทํางานอยางไร (แนวตอบ เมื่อตนพืชมีนํ้าอยูมาก นํ้าจะ ออสโมซิสเขาสูเซลลคุม เซลลคุมเตง ทําให ปากใบเปดออก เพื่อคายนํ้าออกสูภายนอก ในทางกลับกันหากพืชขาดนํ้า นํ้าจาก เซลลคุมจะออสโมซิสออกจากเซลล ทําให เซลลคุมเหี่ยว ปากใบจึงปด เพื่อลดการ สูญเสียนํ้า และชวยกระตุนใหเกิดการดูดนํ้า มากขึ้นบริเวณรากพืช)
เมือ่ น้าํ แพรออกจากเซลลคมุ จะทําใหหดตัวไมสามารถ ดึงผนังสวนที่หนาใหแยกออกจากกันได ภาพที่ 1.14 (ทีม่ าของภาพ : biology insights p.72)
17
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
เมื่อใสปุยใหตนไมมากเกินไป ตนไมจะไมเจริญงอกงามตามตองการ แตกลับเหี่ยวเฉาลง เพราะเหตุใด 1. สารละลายในดินมีความเขมขนมากกวาในเซลล ทําใหนํ้าออสโมซิส จากเซลลออกสูดิน 2. สารละลายในดินมีความเขมขนมากกวาในเซลล ทําใหนํ้าออสโมซิส จากดินเขาสูเซลล 3. สารละลายในดินมีความเขมขนนอยกวาในเซลล ทําใหนํ้าออสโมซิส จากเซลลออกสูดิน 4. สารละลายในดินมีความเขมขนนอยกวาในเซลล ทําใหนํ้าออสโมซิส จากดินเขาสูเซลล วิเคราะหคําตอบ หากใสปุยใหตนไมมากเกินไป จะทําใหในดินมี แรธาตุเขมขนมาก ดังนั้น นํ้าในเซลลรากตนไมจะออสโมซิสออกจาก เซลล ตนไมจึงขาดนํ้า สงผลใหตนไมเหี่ยวเฉา ดังนั้น ตอบขอ 1.
เกร็ดแนะครู ในขั้นสํารวจคนหานั้น เมื่อครูตั้งคําถามเดิมที่เคยถามในขั้นกระตุนความสนใจ ครูควรสังเกตถึงพฤติกรรมการเรียนรูของนักเรียนวามีการพัฒนาขึ้นจากกอนเขาสู บทเรียนหรือไม โดยพิจารณาจากคําตอบของนักเรียน
นักเรียนควรรู 1 เซลลคุม เปนเซลลบุผิวที่แตกตางจากเซลลบุผิวอื่นๆ คือ มีคลอโรฟลลอยูดวย จึงสามารถสังเคราะหดวยแสงได และการสังเคราะหดวยแสงนี้เปนกลไกที่ทําใหเกิด การเปดปดของปากใบ โดย 1 ปากใบ หรือ 1 หนวยของ stoma เรียกวา “stoma complex” ซึ่งประกอบไปดวยเซลลคุม 2 เซลล
คูมือครู
17
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
Expand าใจ ขยายความเข
Evaluate ตรวจสอบผล
Expand
ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายและสรุปเรื่อง การรักษาดุลยภาพนํ้าและแรธาตุในพืช จากนั้นให นักเรียนทํากิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.2 บันทึกผลการทดลองสงครูผูสอน เมื่อนักเรียนทํากิจกรรมเสร็จแลว ครูและ นักเรียนรวมกันตรวจสอบผลการทดลองวาแตละ กลุมไดผลเชนเดียวกันหรือไม โดยผลการทดลอง ควรมีแนวทาง ดังนี้ “เมื่อตั้งชุดทดลองไวในที่ที่มีแสงสวางสองถึง จะสังเกตเห็นนํ้าสีในหลอดแกวคอยๆ เคลื่อนที่ สูงขึ้นเรื่อยๆ”
ตรวจสอบผล
ขยายความเขาใจ
Evaluate
ครูและนักเรียนรวมกันสรุปผลการทดลอง และ เขียนรายงานสงครูผูสอน โดยมีแนวทางการสรุป ดังนี้ “การคายนํ้าและการลําเลียงนํ้าของพืชมีความ สัมพันธกัน ทั้งนี้เพื่อการรักษาดุลยภาพของนํ้า ซึ่งมี ปจจัยหลายอยางที่มีผลตอการคายนํ้าของพืช โดย ในการทดลองนัน้ แสงเปนปจจัยทีค่ วบคุมการคายนํา้ เมื่อนําพืชไปไวในที่ที่มีแสงสวาง พืชจะเกิดการ คายนํ้า ทําใหพืชสูญเสียนํ้า จึงดูดนํ้าขึ้นมาทดแทน เพื่อรักษาดุลยภาพของนํ้าในตนพืชไว”
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู
พัฒนาทักษะ
1.2
วิทยาศาสตร
การคายน้ำของพืช วัสดุและอุปกรณ 1. 2. 3. 4.
กิ่งไม 1 กิ่ง ขาตั้งพรอมไมหนีบ 1 ชุด บีกเกอร 1 ใบ หลอดแกวคะปลลารี 1 หลอด
5. 6. 7. 8.
กระดาษเยื่อ 2-3 แผน ทอพลาสติกขนาดใหญกวากิ่งไมเล็กนอย น้ำสี วาสลีน
วิธีดำเนินการทดลอง 1. นำกิ่งไมที่เพิ่งตัดใหมมาแชลงในน้ำแลวตัดบริเวณโคนกิ่งออก โดย ขณะตัดใหตัดใตผิวน้ำ เพื่อปองกันไมใหเกิดฟองอากาศขึ้นในกิ่งไม 2. เสี ย บปลายข า งหนึ่ ง ของหลอดแก ว คะป ล ลารี ที่ มี ค วามยาว 40 เซนติเมตร เขาไปในทอพลาสติก แลวนำไปแชลงในอางน้ำใหน้ำไหล เขาไปในหลอดแกวคะปลลารีและทอพลาสติกจนเต็ม 3. เสี ย บกิ่ ง ไม ล งในปลายอี ก ด า นของท อ พลาสติ ก ขณะที่ อ ยู ใ ต ผิ ว น้ ำ โดยตัดกิ่งไมเสียบใหกระชับพอดีกับทอพลาสติก จากนั้นจึงทาบริเวณ รอยตอดวยวาสลีน เพื่อปองกันการรั่ว 4. นำกิ่งไม ทอพลาสติก และหลอดแกวคะปลลารีขึ้นจากน้ำ ซับปลาย หลอดแกวดวยกระดาษเยื่อ เพื่อใหเกิดฟองอากาศในหลอดแกว แลว จุม ปลายหลอดแกวลงในบีกเกอรที่บรรจุดวยน้ำสี 5. ใชไมหนีบจับหลอดแกวคะปลลารี และกิง่ ไมใหยดึ ติดกับขาตัง้ ดังภาพ 6. ตั้งเครื่องมือไวในหองปฏิบัติการที่มีแสงสวางสองถึงวัดระยะทางที่ ฟองอากาศหรือน้ำสีเคลื่อนที่ไปทุกๆ 3 นาที โดยใชเวลาตรวจวัด ประมาณ 21 นาที 7. นำขอมูลที่ตรวจวัดไดมาเขียนกราฟแสดงผล เพื่อศึกษาการคายน้ำ ของพืช
ทอพลาสติก
หลอดแกว คะปลลารี
• แบบบันทึกผลการทํากิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 1.2 ภาพที่ 1.15 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
18
แนวตอบ พัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.2 สรุปและอภิปรายผลการทดลอง เมื่อนําพืชไปไวในที่ที่มีแสงสวาง พืชจะเกิดการคายนํ้า ทําใหพืชสูญเสียนํ้า จึงดูดนํ้าขึ้นมาทดแทนเพื่อรักษาดุลยภาพของนํ้าในตนพืชไว สังเกตไดจาก การเคลื่อนที่ของนํ้าสีขึ้นไปในหลอดแกวคะปลลารี ซึ่งการคายนํ้าและการลําเลียงนํ้า ของพืชนั้นเพื่อรักษาดุลยภาพภายในเซลลพืชไว
กิจกรรมสรางเสริม ใหนักเรียนเขียนแผนผังความคิดสรุปสาระสําคัญเรื่อง การรักษา ดุลยภาพนํ้าและเแรธาตุในพืช โดยทําเปนใบงานสงครูผูสอน
กิจกรรมทาทาย ใหนักเรียนออกแบบการทดลองเกี่ยวกับผลของอุณหภูมิตอการคายนํ้า ของพืช โดยดูแนวทางจากกิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.2 โดยให เขียนวิธีการทดลองสงครูผูสอน
18
คูมือครู
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา สํารวจค Exploreนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุEngage นความสนใจ
กระตุน ความสนใจ
ใหนักเรียนดูวีดิทัศนเกี่ยวกับการทํางานของ คอนแทรกไทล แวคิวโอล ของพารามีเซียม โดยครู อาจนํามาจากเว็บไซตยูทูป จากนั้นครูตั้งคําถาม ใหนักเรียนชวยกันคิดวิเคราะห เพื่อกระตุน การเรียนรู • นักเรียนคิดวาสิ่งมีชีวิตเซลลเดียวมีการ รักษาสมดุลของสารในรางกายดวยวิธีใด (แนวตอบ มีการแลกเปลี่ยนสารตางๆ กับ สิ่งแวดลอม โดยการแพรผานเยื้อหุมเซลล โดยตรง) • นักเรียนคิดวาปลานํ้าจืดมีวิธีปองกัน การสูญเสียนํ้าจากรางกายดวยวิธีใด (แนวตอบ มีเกล็ดปองกันนํ้าซึมเขารางกาย)
3.2 การรักษาดุลยภาพน้ำและแร่ธาตุในสัตว์
สัตว์แต่ละชนิดจะมีกลไกการรักษาดุลยภาพของน้ำ ในร่างกาย เพือ่ ให้รา่ งกายอยูใ่ นสภาวะสมดุลและเหมาะสม ต่อการดำรงชีวิต เนื่องจากน้ำในร่างกายของสิ่งมีชีวิต
จะมีความสัมพันธ์กับความเข้มข้นของแร่ธาตุ และสาร ต่างๆ ที่ละลายอยู่ในน้ำ ดังนั้นการรักษาดุลยภาพของน้ำ ในร่างกายจึงมีความเกี่ยวข้องกับการรักษาดุลยภาพของ เกลือแร่ และสารต่างๆ ในร่างกายด้วยเช่นกัน
การเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ำในส่วนต่างๆ ของ ร่างกายจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของ
แร่ธาตุและสารต่างๆ ในร่างกาย ซึง่ จะมีผลกระทบต่อเนือ่ ง ไปถึงดุลยภาพในการลำเลียงสารในระดับเซลล์ดว้ ย ดังนัน้ การรักษาดุลยภาพของน้ำและแร่ธาตุในสิ่งมีชีวิต จึงมี ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยในสัตว์บางชนิดอาจจะมี ระบบการรักษาดุลยภาพของน้ำและแร่ธาตุในร่างกายที่ แตกต่างกันได้ ดังนี้
1 1) สิง่ มีชวี ติ เซลล์เดียวหรือโพรโทซัวทีอ่ าศัยในน้ำจืด ได้แก่ อะมีบา พารามีเซียม เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้าง ภายในเซลล์ที่ไม่ซับซ้อน จะใช้วิธีการรักษาปรับสมดุล ของน้ำและของเสียที่เกิดขึ้นในเซลล์ เช่น แอมโมเนีย
และแก๊ ส คาร์ บ อนไดออกไซด์ โดยการแพร่ ผ่ า นเยื่ อ
หุ้มเซลล์ออกไปสู่สิ่งแวดล้อมโดยตรง นอกจากนี้ภายใน 2 เซลล์ยังมีโครงสร้างที่เรียกว่า คอนแทรกไทล์ แวคิวโอล (contractile vacuole) ซึ่ ง มี ห น้ า ที่ ก ำจั ด สารละลาย
ของเสียและน้ำออกสู่ภายนอกเซลล์ ด้วยวิธีการลำเลียง แบบเอกโซไซโทซิส ทำให้สามารถรักษาดุลยภาพของน้ำ ไว้ได้ และยังเป็นการช่วยปองกันไม่ให้เซลล์เต่งหรือบวม มากจนเกินไป
Engage
คอนแทรกไทล์ แวคิวโอล
สํารวจคนหา
Explore
ใหนักเรียนแตละคนศึกษาเรื่อง การรักษา ดุลยภาพของนํ้าและแรธาตุในสัตว จาก หนังสือเรียน หนา 19-22 แลวสรุปสาระสําคัญ ลงในสมุดของนักเรียน
ภาพที่ 1.16 ลักษณะคอนแทรกไทล์ แวคิวโอลของ พารามีเซียม (ที่มาของภาพ : life p.406)
http://www.aksorn.com/LC/Env/M4-6/02
EB GUIDE
19
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
เพราะเหตุใดโพรโตซัวนํ้าจืดจึงตองมีกลไกการกําจัดนํ้าออกจากรางกาย 1. นํ้าจากภายนอกออสโมซิสเขาเซลลตลอดเวลา 2. แรธาตุในรางกายแพรออกสูภายนอกตลอดเวลา 3. กระบวนการสลายสารอาหารไดนํ้าเปนของเสียจํานวนมาก 4. เซลลของรางกายมีลักษณะแข็ง นํ้าจึงออสโมซิสออกสูภายนอกไดยาก วิเคราะหคําตอบ โพรโตซัวที่อาศัยอยูในนํ้าจืดที่มีความเขมขนของ สารตางๆ นอยกวาภายในรางกาย นํ้าจากสิ่งแวดลอมจึงออสโมซิส เขาสูรางกายตลอดเวลาและในปริมาณมาก ดังนั้น โพรโตซัวจึงตองมี โครงสรางที่เรียกวา คอนแทรกไทล แวคิวโอล ทําหนาที่กําจัดนํ้าออกจาก รางกาย ทั้งนี้เพื่อชวยรักษาดุลยภาพของนํ้าและแรธาตุภายในรางกาย ดังนั้น ตอบขอ 1.
นักเรียนควรรู 1 โพรโทซัว เปนสิ่งมีชีวิตเซลลเดียว มีขนาดเล็ก สามารถอาศัยอยูไดทั้งนํ้าจืด และนํ้าเค็ม รวมทั้งบริเวณที่ชื้นแฉะ และยังพบวาอาศัยอยูในรางกายของสัตวบก อีกหลายชนิด เชน ยูกลีนา (euglena) พลาสโมเดียม (plasmodium) โพรโทซัว ในลําไสปลวก (Trichonympha) เปนตน 2 คอนแทรกไทล แวคิวโอล พบมากในโพรโตซัวที่อยูในนํ้าจืดซึ่งจําเปนตอง กําจัดนํ้าที่ออสโมซิสเขาสูรางกาย เพื่อรักษาระดับความเขมขนของสารละลาย ภายในเซลลใหคงที่ โดยอัตราการบีบตัวของคอนแทรกไทล แวคิวโอล ขึ้นอยูกับ ความดันออสโมติกของนํ้า กลาวคือ อัตราการบีบตัวจะลดตํ่าลง หากความดัน ออสโมติกเพิ่มขึ้น
คูมือครู
19
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
Explain
ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายและหาขอสรุป จากการศึกษา โดยครูใชแนวคําถาม ตอไปนี้ • สิ่งมีชีวิตเซลลเดียวมีกลไกการรักษา ดุลยภาพนํ้าและแรธาตุในรางกายอยางไร (แนวตอบ ใชวิธีการแพรผานเยื่อหุมเซลล โดยตรง และยังมีคอนแทรกไทล แวคิวโอล ทําหนาที่กําจัดนํ้าออกจากรางกาย) • นกทะเลมีการรักษาสมดุลของนํ้าในรางกาย ไดดวยวิธีใด (แนวตอบ มีตอมเกลือทําหนาที่กําจัดแรธาตุ และเกลือสวนเกินออกจากรางกาย) • อวัยวะหลักที่ทําหนาที่ควบคุมสมดุลของนํ้า และแรธาตุรางกายของสัตวบก คืออวัยวะใด (แนวตอบ ไต ) • ปลานํ้าเค็มมีกลไกในการรักษาสมดุลของ แรธาตุในรางกายดวยวิธีใด (แนวตอบ มีหลายวิธี โดยบางชนิดอาจมีการ สะสมยูเรียในกระแสเลือด บางชนิดมีการขับ เกลือแรออกทางทวารหนัก และมีกลุมเซลล ที่เหงือกทําหนาที่ขับแรธาตุออกจากรางกาย ดวยวิธีลําเลียงแบบใชพลังงาน) • ปลานํ้าจืดมีกลไกในการรักษาสมดุลของนํ้า ในรางกายดวยวิธีใด (แนวตอบ มีหนังและเกล็ดเพื่อปองกันการซึม ของนํ้าเขาสูรางกาย และมีกลุมเซลลที่เหงือก ทําหนาที่ดูดแรธาตุเขาสูรางกายดวยวิธี ลําเลียงแบบใชพลังงาน)
2) สั ต ว์ ป ก นกหลายชนิ ด จะมี ข นปกคลุ ม เพื่ อ
ปองกันการสูญเสียน้ำเนื่องจากความร้อน และยังมีระบบ
การรักษาดุลยภาพของน้ำด้วยการขับออกในรูปปสสาวะ
นอกจากนี้ยังพบว่านกทะเลที่กินพืชหรือสัตว์ทะเลเป็น
อาหาร จะมีอวัยวะที่ทำหน้าที่กำจัดแร่ธาตุหรือ1เกลือ
ส่วนเกินออกไปจากร่างกาย เรียกว่า ต่อมเกลือ (salt gland) ซึ่งอยู่บริเวณหัวและจมูก โดยแร่ธาตุและเกลือ
จะถูกกำจัดออกในรูปของน้ำเกลือ วิธีการรักษาสมดุล
เช่นนี้ จึงทำให้นกทะเลต่างๆ สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้
แม้จะบริโภคอาหารที่มีแร่ธาตุและเกลือสูงเป็นประจำ
ตอมเกลือ
ภาพที ่ 1.17 นกทะเลชนิดต่างๆ เช่น นกนางนวล จะมีต่อมเกลือช่วยปรับสมดุลของแร่ธาตุและเกลือ ในร่างกาย (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
น้ำเกลือ ที่กำจัดออก
ภาพที่ 1.18 ภาพตัดขวางส่วนหัวของนกทะเล แสดงที่ตั้งของต่อมเกลือ ซึ่งอยู่บริเวณเหนือจมูกของนกทะเล โดยจะกำจัดแร่ธาตุ และเกลือส่วนเกินออกในรูปของหยดน้ำเกลือ (ที่มาของภาพ : http://www.bio.miami.edu/~cmallery/150/physiol/physiology.htm)
3) สัตว์บกก
สัตว์บกจะได้รับน้ำจากการดื่มน้ำ และ
จากน้ ำ ที่ เ ป็ น ส่ ว นประกอบในอาหาร เช่ น ในพื ช ผั ก
ผลไม้ ตลอดจนน้ำที่อยู่ในเนื้อสัตว์ต่างๆ นอกจากนี้ยัง
ได้รับน้ำจากกระบวนการย่อยสลายสารอาหาร ตลอดจน
การเผาผลาญสารอาหาร หากร่างกายได้รับน้ำปริมาณ
มากเกินไป ร่างกายจะกำจัดน้ำส่วนเกินออกในรูปของ
เหงื่อ ไอน้ำในลมหายใจ ปสสาวะ และอุจจาระ โดยมีไต
เป็นอวัยวะหลักที่ทำหน้าที่ควบคุมสมดุลของน้ำ และ
แร่ธาตุในร่างกาย
20
นักเรียนควรรู 1 ตอมเกลือ ปลาบางชนิดมีการปรับตัวและมีวิวัฒนาการเกี่ยวกับตอมเกลือ ไดดี จึงสามารถอยูไดทั้งในนํ้าทะเล นํ้ากรอย และนํ้าจืด เชน ปลาหมอเทศ ขณะที่ ปลาสวนใหญถาเปลี่ยนนํ้าก็อาจตายได
มุม IT ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรักษาดุลยภาพของนํ้าและแรธาตุในสัตว ไดจาก เว็บไซต http://www.dlf.ac.th/uploads/document/125687379716941.pdf หรือ http://www.slideshare.net/Tattheptv/4-4780641
20
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ขอใดจับคูชื่อสัตวกับอวัยวะที่ทําหนาที่รักษาดุลยภาพนํ้าและแรธาตุได ไมถูกตอง 1. สุนัข : ไต 2. เปด : ตอมเกลือ 3. ปลาตะเพียน : ตอมเกลือ 4. พารามีเซียม : คอนแทรกไทล แวคิวโอล วิเคราะหคําตอบ สัตวแตละชนิดจะมีอวัยวะที่ทําหนาที่รักษาดุลยภาพ นํ้าและแรธาตุภายในรางกายแตกตางกัน โดยโพรโทซัวนํ้าจืด จะมี คอนแทรกไทล แวคิวโอล สัตวที่กินพืชหรือสัตวทะเลเปนอาหาร จะมีตอมเกลือ สัตวบกรวมทั้งปลา จะมีไต ดังนั้น ตอบขอ 3.
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
ขยายความเขาใจ 4) สัตวนํ้าเค็ม จะมีวิธีการควบคุมสมดุลนํ้าและ แรธาตุในรางกายที่แตกตางไปจากสัตวบก เนื่องจาก สัตวนํ้าเค็มจะตองมีการปรับความเขมขนของเกลือแร ในรางกายใหใกลเคียงกับสภาพแวดลอม เรียกระดับ ความเข ม ข น เกลื อ แร ภายในร า งกายที่ ใ กล เ คี ย งกั บ สภาพแวดลอมวา ไอโซทอนิก (isotonic) ซึ่งจะชวย ทําใหรางกายกับสภาพแวดลอมมีความสมดุลกันจึงไมมี การสูญเสียนํ้าหรือรับนํ้าเขาสูรางกาย โดยสัตวนํ้าเค็ม แตละชนิดจะมีกลไกในการรักษาดุลยภาพที่แตกตางกัน ดังนี้ 1 ในปลากระดูกออน เชน ปลาฉลาม จะมีระบบ การรักษาสมดุลโดยการพัฒนาใหมยี เู รียสะสมในกระแสเลือด ในปริมาณสูง จนมีความเขมขนใกลเคียงกับนํ้าทะเล จึงไมมีการรับนํ้าเพิ่มหรือสูญ2 เสียนํ้าไปโดยไมจําเปน สวนในปลากระดูกแข็งจะมีเกล็ดตามลําตัว เพื่อใช ปองกันการสูญเสียนํา้ ภายในรางกายออกสูส ภาพแวดลอม เนื่องจากสภาพแวดลอมมีความเขมขนของสารละลาย มากกว า ในร า งกาย และมี การขั บ เกลื อ แร อ อกทาง ทวารหนัก และในลักษณะปสสาวะที่มีความเขมขนสูง และมีกลุมเซลลที่เหงือกทําหนาที่ลําเลียงแรธาตุออก นอกรางกายดวยวิธีการลําเลียงแบบใชพลังงาน
ศัพทนารู ไฮโพทอนิก (hypotonic) คือ สภาวะที่สารละลายนอกเซลลมีความ เข ม ข น ของสารละลายตํ า กว า ในเซลล ดังนั้นเมื่อใสเซลลลงในสารละลายชนิด น�้ จะทําใหนําจากสารละลายรอบเซลล แพรเขาสูในเซลลมากกวานาํ จากในเซลลท่ี แพรออกสูนอกเซลล จึงทําใหเซลลบวม เตงขึ้นได
ภาพที่ 1.19 ทีร่ ะดับไอโซทอนิก ความเขมขนของสาร ภายในเซลลกับภายนอกเซลล จะมีคาใกลเคียงกัน จึงเกิดการแพรของสารเขาและออกจากเซลลสมดุลกัน (ทีม่ าของภาพ : photo bank ACT.)
Expand
ครูตั้งคําถามใหนักเรียนไดคิดวิเคราะหจาก เนื้อหาที่ไดเรียนมา • นักเรียนมีความคิดเห็นอยางไรกับการ รณรงคไมใหจับสัตวทะเลสวยงามมาเลี้ยง ในตูเลี้ยงปลาดวยนํ้าจืด (แนวตอบ เห็นดวย เนื่องจากสัตวทะเลมี การดํารงชีวิตอยูในนํ้าเค็ม ซึ่งมีการปรับตัว เพือ่ ชวยในการรักษาดุลยภาพภายในรางกาย หากนําสัตวทะเลมาเลี้ยงในนํ้าจืด จะทําให สัตวนนั้ ๆ ตายได เนือ่ งจากสภาพแวดลอม ในตูเ ลีย้ งปลาแตกตางไปจากสภาพแวดลอม ที่เคยดํารงชีวิตอยูมาก) จากนั้นใหนักเรียนชวยกันสรุปสาระสําคัญ เรื่อง การรักษาดุลยภาพของนํ้าและแรธาตุในสัตว ในรูปของแผนผังความคิด โดยสงตัวแทนออกมา เขียนหนาชั้นเรียน ซึ่งเมื่อไดขอสรุปที่ถูกตอง ตรงกันแลว ใหนักเรียนแตละคนคัดลอกแผนผัง ความคิดนั้นลงในสมุดบันทึกของตนเอง
ภาพที่ 1.20 ปลาฉลาม (รูปซาย) เปนปลากระดูกออน และปลาผีเสื้อ (รูปขวา) เปนปลากระดูกแข็ง สัตวทั้ง 2 ประเภท แมจะอาศัย อยูในทะเลเหมือนกัน แตก็เปนสัตวที่มีระบบการรักษาดุลยภาพในรางกายที่แตกตางกัน (ที่มาของภาพ : http://fwmail.teenee.com/strange/13599.html และ http://www.oknation.net/blog/print.php?id=66505)
21
กิจกรรมทาทาย ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5 - 6 คน ออกแบบการทดลองเกี่ยวกับ การรักษาดุลยภาพนํ้าและแรธาตุในสัตว โดยเขียนรายงานเกี่ยวกับวิธีการ ทดลอง บันทึกผลการทดลอง และสรุปผลการทดลองสงครูผูสอน โดยครูควรใหคําแนะนําแกนักเรียนวาอาจทดลองโดยการสังเกต พฤติกรรมของปลานํ้าจืดเมื่อนํามาเลี้ยงในนํ้าเค็ม แตตองระมัดระวังเปน พิเศษ โดยสังเกตพฤติกรรรมของปลา หากปลามีอาการไมดีก็ควรรีบนํา ออกจากนํ้าเค็ม แลวนํากลับไปไวในนํ้าจืดทันที
นักเรียนควรรู 1 ปลากระดูกออน อยูในคลาสคอนดริกไทอีส (chondrichthyes) มีโครงรางที่ เปนกระดูกออน (cartilaginous skeleton) มีชองเหงือกเห็นไดชัดเจนจากภายนอก เชน ฉลาม ฉนาก โรนัน กระเบน เปนตน 2 ปลากระดูกแข็ง อยูในคลาสออสทีอิกไทอีส (osteichthyes) มีโครงรางที่ เปนกระดูกแข็ง มีแผนแกมปดชองเหงือก เรียกวา โอเพอคิวลัม (operculum) ทําใหมองไมเห็นชองเหงือก เชน ปลากะพง ปลาชอน ปลาหมอเทศ ปลาดุก ปลาทู ปลาตะเพียน เปนตน
คูมือครู
21
กระตุน ความสนใจ กระตุEngage นความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุน ความสนใจ
Engage
ครูนํารูปนักกีฬาที่มีเหงื่อออกมากหรือภาพผูใช แรงงานที่มีเหงื่อมากจากการทํางานมาใหนักเรียนดู และใหนักเรียนชวยตอบคําถามตอไปนี้ • นักเรียนคิดวาบุคคลในภาพมีวิธีในการ ทดแทนนํ้าที่สูญเสียไปกับเหงื่อไดดวยวิธีใด (แนวตอบ ดื่มนํ้าเพื่อทดแทนนํ้าที่เสียไป) • ถาบุคคลในภาพไมไดดื่มนํ้าหลังเลนกีฬาหรือ ใชแรงงาน นักเรียนคิดวาปสสาวะของบุคคล เหลานี้จะมีลักษณะใด (แนวตอบ ปสสาวะจะมีสีเขมกวาปกติ) • เพราะเหตุใดในวันที่อากาศรอนหรือหลัง ออกกําลังกาย นักเรียนจะรูส กึ กระหายนํา้ มาก (แนวตอบ เนื่องจากรางกายสูญเสียนํ้าไปทาง เหงื่อเปนจํานวนมาก สมองจึงสั่งการใหรูสึก กระหายนํ้า)
5) สัตว์น้ำจืด ระบบการรักษาดุลยภาพของสัตว์
น้ ำ จื ด มี ความแตกต่ า งจากสั ตว์ น้ ำ เค็ ม เนื่ อ งจากสั ตว์
น้ำจืดอาศัยอยู่ในน้ำที่มีความเข้มของสารละลายต่ำกว่า
ภายในร่างกาย ทำให้น้ำจากภายนอกร่างกายสามารถ
ออสโมซิสเข้าสู่ภายในร่างกายได้มาก ปลาน้ำจืดจึงต้อง
มีผิวหนังและเกล็ดปองกันการซึมเข้าของน้ำ มีการขับ
ปสสาวะบ่อยและเจือจาง และมีอวัยวะพิเศษที่เหงือก
คอยดูดเกลือแร่ที่จำเป็นคืนสู่ร่างกาย
3.3 การรักษาดุลยภาพน้ำและแร่ธาตุในมนุษย์
ในร่ า งกายของมนุ ษ ย์ จ ะมี น้ ำ เป็ น องค์ ป ระกอบ
ประมาณ 3 ใน 4 หรือประมาณ 75% ของน้ำหนักตัว
โดยน้ำที่อยู่ในร่างกายสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน
คือ น้ำที่ประกอบอยู่ภายในเซลล์ประมาณ 60% น้ำที่อยู่
นอกเซลล์ประมาณ 30% น้ำที่อยู่ในเนื้อเยื่อและน้ำเลือด
อีกไม่เกิน 10% ซึ่งน้ำในแต่ละส่วนจะถูกควบคุมให้มี
ดุลยภาพอยู่ได้ โดยจะมีการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงเพื่อ
ทดแทนกันอยู่ตลอดเวลา
กิจกรรม
นำคิด 1. นักเรียนรู้ไหมว่า เหตุใดเมื่อเราแช่น้ำจืดเป็นเวลานานแล้ว จะทำให้นิ้วมือของเราเหี่ยวย่น 2. อยากทราบว่าระหว่างปลาการ์ตูน และปลาตะเพียนมีกระบวนการรักษาดุลยภาพของน้ำและแร่ธาตุ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
ปลาการ์ตูน ปลาตะเพียน ภาพที ่ 1.21 (ทีม่ าของภาพ : http://www.flickr.com/photos/dre464/3985676660/ และ http://pet-cute.blogspot.com/2009_01_01_archive.html)
3. นักเรียนคิดว่าต้นพืชที่ขาดน้ำมาเป็นเวลานาน จะมีการเปลี่ยนแปลงของปากใบอย่างไร
22
แนวตอบ กิจกรรมนําคิด 1. เนื่องจากที่ชั้นหนังกําพราจะมีสารประกอบที่มีลักษณะคลายนํ้ามันเคลือบผิวหนังไว ซึ่งเมื่อแชนํ้านานๆ สารดังกลาวนี้ก็จะถูก ชะลางไป นํ้าจากภายนอกจึงสามารถออสโมซิสเขาสูเซลลไดมาก ทําใหเซลลเตงและบวม โดยเฉพาะเซลลบริเวณปลายนิ้วมือ ซึ่งที่เขาใจวานิ้วมือเหี่ยวยนนั้น แทจริงแลวเปนการบวมของเซลลในชั้นหนังกําพรานั่นเอง 2. แตกตางกัน โดยปลาการตูนเปนปลานํ้าเค็ม อาศัยอยูในนํ้าที่มีความเขมขนของสารละลายสูงกวาในรางกาย ดังนั้น จึงตองมี การปองกันการสูญเสียนํ้าในรางกาย โดยการมีเกล็ด มีการขับเกลือแรออกทางทวารหนักและปสสาวะที่มีความเขมขนสูง และ ยังมีกลุมเซลลที่เหงือกทําหนาที่ขับแรธาตุออกจากรางกายดวยวิธีการลําเลียงแบบใชพลังงาน สวนปลาตะเพียน เปนปลานํ้าจืด อาศัยอยูในนํ้าที่มีความเขมขนของสารละลายตํ่ากวาในรางกาย ดังนั้น จึงตองมีการ ปองกันไมใหนํ้าเขาสูรางกายมากเกินไป โดยมีผิวหนังและเกล็ดที่ปองกันนํ้าซึมเขา มีการขับปสสาวะที่เจือจาง และยังมี กลุมเซลลที่เหงือกทําหนาที่ดูดแรธาตุเขาสูรางกายดวยวิธีการลําเลียงแบบใชพลังงาน 3. ตนพืชที่ขาดนํ้า นํ้าที่อยูในเซลลคุมจะออสโมซิสออกไปยังเซลลรอบขาง เซลลคุมจะเหี่ยว จึงทําใหปากใบปด
22
คูมือครู
กระตุน ความสนใจ กระตุEngage นความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุน ความสนใจ
ครูนําแบบจําลองหรือแผนภาพแสดง สวนประกอบของไตมาใหนักเรียนดู แลวให นักเรียนชวยกันบอกสวนประกอบภายในไต จากนั้นครูตั้งคําถามเพื่อทดสอบความรูเดิม ของนักเรียน • ไตอยูบริเวณใดของชองทอง (แนวตอบ ไตมีรูปรางคลายเมล็ดถั่วแดง มีอยู 1 คู โดยอยูในชองทองชวงเอวคอนไป ทางดานหลัง) • ไตมีหนาที่ใดบาง (แนวตอบ ไตเปนอวัยวะในระบบขับถาย ซึ่ง มีหนาที่กรองของเสียจากเลือดแลวสงไปยัง กระเพาะปสสาวะ และดูดกลับแรธาตุตางๆ กลับสูรางกาย) • ไตมีความสําคัญตอการรักษาดุลยภาพนํ้า และแรธาตุภายในรางกายอยางไร (แนวตอบ นักเรียนจะไดศึกษาตอไป)
ปกติมนุษ ย์ต้องการน้ำประมาณวันละ 2-3 ลิตร
ซึ่ ง ได้ จ ากการดื่ ม น้ ำ การบริ 1 โ ภคอาหาร และจาก
กระบวนการออกซิ เ ดชั น จากสารอาหารอี ก ประมาณ
200 มิ ล ลิ เ มตร โดยร่ า งกายจะมี การขั บ น้ ำ ออกจาก
ร่างกายในลักษณะของปสสาวะ อุจจาระ ลมหายใจ และ
เหงื่อ ซึ่งวิธีการหลักที่ร่างกายใช้ในการขับน้ำออกจาก
ร่ า งกาย คื อ ทางป ส สาวะ โดยในแต่ ล ะวั นมนุ ษ ย์ จ ะ
มี ก ารขั บ น้ ำ ออกทางป ส สาวะประมาณ 500-2,300
มิลลิเมตร หรือเฉลี่ยวันละประมาณ 1,500 มิลลิเมตร
ตารางที่ 3 แสดงปริมาณน้ำที่ร่างกายได้รับและขับออกใน 1 วัน ปริมาณน้ำที่ร่างกายได้รับ
ปริมาณน้ำที่ร่างกายขับออก
1. จากน้ำดื่ม 1,200 มิลลิเมตร
1. ปสสาวะ 1,500 มิลลิเมตร
2. จากอาหาร 1,000 มิลลิเมตร
2. เหงื่อ 500 มิลลิเมตร
3. จากปฏิกิริยาต่างๆ ในร่างกาย 300 มิลลิเมตร
3. ลมหายใจออก 350 มิลลิเมตร 4. อุจจาระ 150 มิลลิเมตร รวม 2,500 มิลลิเมตร
รวม 2,500 มิลลิเมตร
Engage
อวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่ในการรักษาดุลยภาพของ
น้ำและแร่ธาตุในร่างกายมนุษย์ ได้แก่ ไต ปอด และ
ผิวหนัง ซึง่ แต่ละอวัยวะมีลกั ษณะการทำงานทีแ่ ตกต่างกัน ดังนี้
1) ไต (kidney)
เป็นอวัยวะที่มีความสำคัญในการ
รักษาดุลยภาพน้ำและแร่ธาตุภายในร่างกายของมนุษย์
มีรูปร่างคล้ายเมล็ดถั่วแดง สีแดงแกมน้ำตาล มีขนาด
กว้างประมาณ 6 เซนติเมตร ยาวประมาณ 10 เซนติเมตร
หนาประมาณ 3 เซนติเมตร และมีน้ำหนัก 150 กรัม
มีตำแหน่งอยูบ่ ริเวณช่องท้องช่วงเอว ค่อนไปทางด้านหลัง หรืออยู่หลังเยื่อบุช่องท้อง (retroperitoneal organ)
มีด้วยกัน 1 คู่ โดยจะแยกกันอยู่ทั้งสองด้านของแนว
กระดูกสันหลัง
ขอสอบ
ไต
กระเพาะปสสาวะ
ภาพที ่ 1.22 ตำแหน่งของไตและกระเพาะป ของไตและกระเพาะ สสาวะ (ที่มาของภาพ : biology insights p.154)
O-NET
ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับกระบวนการดูดนํ้ากลับที่ทอหนวยไต กระบวนการใดไมพบในกระบวนการดูดนํ้ากลับที่ทอหนวยไต 1. การแพร 2. ออสโมซิส 3. เอนโดไซโทซิส 4. การลําเลียงแบบใชพลังงาน วิเคราะหคําตอบ ไตทําหนาที่ดูดนํ้าจากเลือดกลับคืนสูรางกายโดยวิธี ออสโมซิส และยังดูดสารอาหารที่มีประโยชนตางๆ ดวยวิธีการแพรและ เอนโดไซโทซิส ดังนั้น ตอบขอ 4.
23
นักเรียนควรรู 1 กระบวนการออกซิเดชัน หมายถึง กระบวนการของปฏิกิริยาเคมีที่สารเสีย อิเล็กตรอน หรือสารมีการเพิ่มเลขออกซิเดชัน
มุม IT ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรักษาดุลยภาพของนํ้าและสารตางๆ ในรางกาย ไดจากเว็บไซต http://aorlovely.blogspot.com/2011/03/blog-post.html หรือ http://school.obec.go.th/samoengpit/elearning/bio01/bio7.html
คูมือครู
23
กระตุนความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Exploreนหา สํารวจค
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
สํารวจคนหา
Explore
ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5 - 6 คน ศึกษา ขอมูลเกี่ยวกับไต จากหนังสือเรียน หนา 23-25 ตามขั้นตอนทางวิทยาศาสตร ดังนี้ 1. แตละกลุมวางแผนการสืบคนขอมูล โดยแบง หัวขอยอยใหเพื่อนสมาชิกชวยกันสืบคนตาม ที่สมาชิกกลุมชวยกันกําหนดหัวขอยอย เชน - โครงสรางของไต - การทํางานของไต - บทบาทของไตตอการรักษาดุลยภาพนํ้า และแรธาตุตางๆ - วิธีดูแลรักษาไต 2. สมาชิกกลุมนําขอมูลที่สืบคนไดมาเลาให เพื่อนๆ สมาชิกในกลุมฟง รวมทั้งรวมกัน อภิปรายซักถามจนคาดวาสมาชิกทุกคนมี ความรูความเขาใจที่ตรงกัน และชวยกัน จัดทํารายงานการศึกษาคนควาความรู เกี่ยวกับไต
เนื้อเยื่อภายในไตจะสามารถแบงไดเปน 2 สวน คือ เนื้ อ เยื่ อ ชั้ น นอก ซึ่ ง มี สี แ ดงเข ม เรี ย กว า คอร เ ทกซ (cortex) และเนือ้ เยือ่ ชัน้ ในทีม่ สี อี อ นกวา เรียกวา เมดัลลา (medulla) มีลกั ษณะเวาเขาเปนตำแหนงทีอ่ ยูข องหนวยไต (nephron) และเป 1 นบริเวณที่มีการเชื่อมตอกับสวนที่ เปนโพรง กรวยไต (pelvis) ซึง่ ทำหนาทีร่ วบรวมของเสีย จากกระบวนการกรองของหนวยไต ทาลามัส
หนวยไต กรวยไต
ไฮโพทาลามัส ตอมใตสมอง
ทอไต เมดัลลา
คอรเทกซ
ภาพที่ 1.23 ภาพตัดขวางของไต แสดงสวนประกอบตางๆ ของไต (ที่มาของภาพ : life p.747)
ในสภาวะทีร่ า งกายสูญเสียน้ำมากเกินไปหรือขาดน้ำ จะมี ผ ลทำให น้ ำ ในเลื อ ดมี ป ริ ม าณน อ ยลง เลื อ ดจึ ง มี ความเขมขนสูงขึ้นและมีความดันเลือดลดลง ซึ่งการ เปลี่ยนแปลงภายในร างกายเชนนี้ จะทำใหสมองสวน 2 ไฮโพทาลามัสสงสัญญาณประสาทไปกระตุน ตอมใตสมอง 3 สวนทายใหหลั่งฮอรโมนแอนติ มนแอนติไดยูเรติก (antidiuretic hormone; ADH) หรือวาโซเพรสซิน (vasopressin) เข า สู กระแสเลื อ ด ซึ่ ง ฮอร โ มนนี้ จ ะไปกระตุ น ท อ ของ หนวยไตใหดูดน้ำกลับเขาสูกระแสเลือด ทำใหมีปริมาณ น้ำในเลือดสูงขึ้น แตรางกายจะขับถายน้ำปสสาวะลดลง และปสสาวะมีความเขมขนมากขึ้น
ภาพที่ 1.24 ไฮโพทาลามัส เปนสมองที่อยูใตสมอง สวนทาลามัส ซึ่งเปนสมองสวนหนา (ทีม่ าของภาพ : science1 natural sciences p.186)
ศัพทนารู ไฮโพทาลามัส (hypothalamus) คือ สมองสวนที่เปนศูนยกลางของระบบ ประสาทอัตโนมัติ มีหนาที่สรางฮอรโมน เพื่อควบคุมการสรางฮอรโมนของตอม ใตสมอง และฮอรโมนอืน่ ๆ อีกหลายชนิด และเกี่ ย วข อ งกั บ การควบคุ ม ความหิ ว ความอิ่ม ความกระหาย อุณหภูมิของ รางกาย และอารมณความรูสึกตางๆ
24
นักเรียนควรรู 1 กรวยไต (renal pelvis) มีลักษณะเปนโพรง เปนสวนที่ตอกับทอไต (ureter) มีหนาที่ในการเก็บกักปสสาวะที่กรองแลวจากเซลลของไต กอนจะปลอยลงสูทอไต ซึ่งหากมีการติดเชื้อในระบบทางเดินปสสาวะ มักเปนปจจัยเสริมใหเกิดการอักเสบ ของกรวยไตได 2 ไฮโพทาลามัส มีหนาที่เปนศูนยควบคุมการเตนของหัวใจ อุณหภูมิของ รางกาย สมดุลนํ้าและเกลือแร การนอนหลับ ความหิว ความอิ่ม ความกระหาย และควบคุมการหลั่งฮอรโมนของตอมใตสมอง 3 ฮอรโมนแอนติไดยูเรติก มีหนาที่ในการดูดนํ้ากลับที่ทอไต ทําใหปริมาณของ ปสสาวะลดนอยลง ปริมาตรของเลือดในรางกายเพิ่มมากขึ้น และทําใหความดัน โลหิตปกติ
24
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
เพราะเหตุใดผูที่รับประทานอาหารที่เค็มจัดจะมีโอกาสเกิดความผิดปกติ กับไตไดมากกวาบุคคลอื่น 1. เกิดการสะสมโซเดียมที่ไต ทําใหไตบวม 2. อาหารเค็มจัดทําใหความเขมขนของเลือดสูงขึ้น 3. ไตตองทํางานหนักในการกําจัดเกลือที่มากเกินความตองการ 4. อาหารเค็มจัด มีโซเดียมคลอไรดมาก ทําใหการหลั่งฮอรโมน ADH มากขึ้น วิเคราะหคําตอบ หากรับประทานอาหารที่เค็มจัด จะทําใหเกิดการสะสม ของโซเดียมและนํ้าในอวัยวะตางๆ ทําใหไตทํางานหนักขึ้นเพื่อเพิ่ม การกรองโซเดียมและนํ้าสวนเกินออกจากรางกาย ผลที่ตามมา คือ เกิดความดันในหนวยไตสูงขึ้น ทําใหไตเสื่อมเร็วขึ้น ดังนั้น ตอบขอ 3.
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบายความรู
ครูตั้งคําถามเพื่อทดสอบความรูของนักเรียน • จงอธิบายหลักการทํางานของไตในการ รักษาดุลยภาพนํ้าและแรธาตุ มาพอสังเขป (แนวตอบ ในภาวะรางกายสูญเสียนํ้า นํ้าใน เลือดจะนอยลง เลือดจึงมีความเขมขนสูง สมองสวนไฮโพทาลามัสจะทําการกระตุน ตอมใตสมองใหหลั่ง ADH ซึ่งจะไปกระตุน การดูดนํ้ากลับที่หนวยไต และทําใหรูสึก กระหายนํ้า แตหากรางกายมีนํ้ามาก เลือด จะมีความเขมขนตํา่ สมองสวนไฮโพทาลามัส จะยับยัง้ การหลัง่ ADH ทําใหหนวยไตดูดนํา้ กลับนอยลง จึงปสสาวะปริมาณมาก) • ถาไตทํางานผิดปกติจะมีผลตอการรักษา ดุลยภาพนํ้าและแรธาตุในรางกายอยางไร (แนวตอบ เซลลภายในรางกายจะมีของเสีย สะสมอยูมาก สงผลตอการรับ-สงสาร ภายในเซลล ทําใหการทํางานของเซลล ผิดปกติไป ซึ่งอาจเปนอันตรายตอชีวิตได)
สมองส่ ว นไฮโพทาลามั ส นอกจากจะกระตุ้ น ให้
หน่วยไตดูดน้ำกลับเข้าสู่กระแสเลือดมากขึ้นแล้ว ยัง
กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกหรืออาการกระหายน้ำขึ้นด้วย
ซึ่ ง ความรู้ สึ ก กระหายจะยิ่ ง เพิ่ ม มากขึ้ น ตราบเท่ า ที่
ร่างกายยังสูญเสียน้ำและยังไม่ได้รับการชดเชย
ในกรณี ที่ ร่ า งกายได้ รั บ น้ ำ มาก จะมี ผ ลทำให้ น้ ำ
ในเลือดมีปริมาณมาก เลือดจึงมีความเข้มข้นลดน้อยลง
และมีความดันเลือดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลง
ภายในร่างกายเช่นนี้ จะทำให้สมองส่วนไฮโพทาลามัส
ยับยั้งการหลั่งฮอร์โมน ADH ของต่อมใต้สมองส่วนท้าย
ทำให้ท่อของหน่วยไตดูดน้ำกลับคืนในปริมาณน้อยลง
จึงมีการขับน้ำออกเป็นปสสาวะมากขึ้น และเป็นปสสาวะ
ที่เจือจาง
นอกจากการควบคุมปริมาณน้ำในร่างกายและใน
เลือดแล้ว ไตยังเป็นอวัยวะที่มีหน้าที่สำคัญต่อการดำเนิน
ชีวิตของมนุษย์ ดังนี้
1. ขับถ่ายสารแปลกปลอมต่างๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย
ศัพท์น่ารู้ รวมถึงของเสีย1ซึ่งเกิดจากกระบวนการทำงานภายใน
2 ไอออน (ion)
เซลล์ เช่น ยูเรีย (urea) กรดยูริก (uric acid) เป็นต้น
2. ดูดสารอาหารที่มีประโยชน์บางชนิดกลับคืนสู่ คือ อะตอมหรือกลุ่มอะตอม ที่มีประจุ สุทธิทางไฟฟาเป็นบวกหรือลบ โดยมีอยู่
ร่างกาย เช่น กลูโคส กรดอะมิโน เป็นต้น
3. สังเคราะห์กลู โคสจากกรดอะมิโนหรือจากสาร 2 ชนิดคือ แอนไอออน หรือไอออนลบ
ซึ่ ง จะมี จ ำนวนอิ เ ล็ ก ตรอน (ประจุ ล บ)
ชนิดอืน่ ๆ โดยไตสามารถช่วยสร้างน้ำตาลเข้าสูก่ ระแสเลือด มากกว่ า จำนวนโปรตอน (ประจุ บ วก)
ได้ถึงร้อยละ 20 ของน้ำตาลที่สร้างจากตับ
ส่วนไอออนอีกชนิด คือแคทไอออน หรือ
4. ขั บ ถ่ า ยไอออนส่ ว นเกิ น ของแร่ ธ าตุ บ างชนิ ด ไอออนบวก ซึ่ ง มี จ ำนวนอิ เ ล็ ก ตรอน
เช่น โซเดียมไออน (Na+), โพแทสเซียมไอออน (K+)
น้อยกว่าจำนวนโปรตอน
เป็นต้น
5. ควบคุ ควบคุมระดับความเป็นกรด-เบสของของเหลว
ในร่างกาย
http://www.aksorn.com/LC/Env/M4-6/03
Explain
EB GUIDE
25
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
หากการทํางานของไตมีความผิดปกติ จะสังเกตไดจากสิ่งใด 1. เหงื่อ 2. อุจจาระ 3. ปสสาวะ 4. ลมหายใจออก
วิเคราะหคําตอบ ไตเปนอวัยวะสําคัญในการรักษาดุลยภาพของนํ้าและ แรธาตุในรางกายมนุษย ซึ่งไตมีหนาที่หลักในการกรองเลือด โดยจะมีการ ดูดนํ้ากลับ และกําจัดของเสีย (ยูเรีย) ออกไปในรูปของปสสาวะ ซึ่งหาก การทํางานของไตเกิดความผิดปกติ จะทําใหองคประกอบของปสสาวะ เปลี่ยนแปลงไป หรือเกิดความผิดปกติเกี่ยวกับการขับถายปสสาวะ ดังนั้น ตอบขอ 3.
นักเรียนควรรู 1 ยูเรีย ภายในเซลลพาเรงไคมา (parenchymal cell) ของตับ แอมโมเนียจะ ถูกเปลี่ยนเปนยูเรียที่ไมเปนพิษและสามารถขับออกทางปสสาวะได ซึ่งยูเรียเปน สารประกอบไนโตรเจนที่มีมากที่สุดในปสสาวะ 2 กรดยูริก คือ กรดชนิดหนึ่งในรางกาย เกิดจากการเผาผลาญสารพิวรีน ถามีมากเกินไปจะสะสมตามขอตางๆ จนอาจทําใหเปนโรคเกาทได โดยเพศชาย ไมควรมีกรดยูริกในเลือดมากกวา 8 มิลลิกรัมตอเดซิลิตร สวนเพศหญิง ไมควร มีกรดยูริกในเลือดมากกวา 6 มิลลิกรัมตอเดซิลิตร ซึ่งอาหารที่มีพิวรีนสูงที่จะ ทําใหเกิดกรดยูริกไดสูง เชน เครื่องในไก เนื้อของสัตวปก ไขปลา ปลาดุก กระถิน ชะอม เปนตน
คูมือครู
25
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
Expand
ใหนักเรียนแตละคนศึกษาเนื้อหาจากเสริมประสบการณวิทยาศาสตร ในหนังสือเรียน หนา 26 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายสรุปเกี่ยวกับ การทํางานของไตกับการรักษาดุลยภาพนํ้าและ แรธาตุในมนุษย โดยมีแนวทางการสรุป ดังนี้ “ไตเปนอวัยวะที่มีความสําคัญตอการรักษา ดุลยภาพของนํ้าและแรธาตุในรางกาย ถาไตเกิด ความผิดปกติหรือเสื่อมสมรรถภาพการทํางาน จะทําใหเกิดการสะสมนํ้าและแรธาตุสวนเกิน รวมถึงของเสียที่รางกายไมตองการ ซึ่งสงผลตอ การทํางานของระบบตางๆ ในรางกายและเปน อันตรายตอชีวิตได” จากนั้นใหนักเรียนตอบคําถามในกิจกรรมนําคิด และจับคูก นั ทําใบงานเรือ่ ง ไตกับการรักษาดุลยภาพ นํ้าและแรธาตุในมนุษย โดยอธิบายถึงหลักการ ทํางานของไตในรูปแบบที่เขาใจงายและนาสนใจ
เสริมประสบการณ วิทยาศาสตร
หนวยไต (Nephron) หนวยไตแตละหนวยจะมีลักษณะเปนทอ มีปลายขางหนึ�งเปนกระเปาะ ประกอบดวยเยื่อบางๆ สองชั้น โดยภายในกระเปาะจะมีกลุมหลอดเลือดฝอย เรียกวา โกลเมอรูลัส (glomerulus) ทําหนาที่ในการกรอง โดย ผนังหลอดเลือดฝอยจะทําหนาที่เปนเยื่อกรองการลําเลียงนําหรือสารอาหารตางๆ เขาออกจากเซลล สวนสาร ทีถ่ กู กรองออกจากเลือดจะเขาสูท อ ในหนวยไตเพือ่ สงไปสูก ระเพาะปสสาวะและกําจัดออกไปพรอมกับนาํ ปสสาวะ คอรเทกซ เมดัลลา
กรวยไต ทอไต ปสสาวะที่ถูกขับออก
หนวยไต
ภาพที่ 1.25 ภาพขยายแสดงสวนประกอบตางๆ ของไต และหนวยไต (ที่มาของภาพ : life p.747)
กิจกรรม
นําคิด 1. นักเรียนรูแลววา ไตเปนอวัยวะที่มีความสําคัญตอการรักษาดุลยภาพในรางกาย ซึ่งเปนสิ่งสําคัญตอ การดํารงชีวิตเปนอยางยิ่ง แลวนักเรียนจะมีวิธีการดูแลไตไมใหตองทํางานหนักเกินไปไดอยางไร 2. กระบวนการทํางานของรางกาย เพื่อรักษาดุลยภาพของนํ้าและแรธาตุในมนุษย เมื่อระดับนํ้าในรางกาย ของมนุษยลดตํ่าลง มีลักษณะอยางไร 3. นักเรียนทราบไหมวาปริมาณนํ้าที่รางกายไดรับและขับออกใน 1 วัน มีลักษณะเปนอยางไร จงอธิบาย 4. ในกรณีที่รางกายไดรับนํ้ามาก เหตุใดจึงทําใหสมองสวนไฮโพทาลามัสยับยั้งการหลั่งฮอรโมน ADH ของตอมใตสมองสวนทาย จงอธิบาย
26
แนวตอบ กิจกรรมนําคิด 1. การปฏิบัติตัวเพื่อดูแลรักษาไต ตัวอยางเชน - หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็ม รสจัด และอาหารที่มีคอเลสเทอรอลสูง - ไมสูบบุหรี่ ไมดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล และไมใชสารเสพติดทุกชนิด - ดื่มนํ้าอยางนอยวันละ 6-8 แกว - ไมควรอั้นปสสาวะ - ควรสังเกตลักษณะของปสสาวะวามีความผิดปกติหรือไม หากสงสัยวาเกิดความผิดปกติควรไปพบแพทย 2. เมื่อปริมาณนํ้าในรางกายตํ่าลง นํ้าในเลือดจะนอยลง เลือดจึงมีความเขมขนมาก ทําใหสมองสวนไฮโพทาลามัส กระตุนให ตอมใตสมองสวนทายหลั่งฮอรโมน ADH ซึ่งมีผลใหเกิดการดูดนํ้ากลับที่หนวยไตมากขึ้น จึงทําใหปสสาวะมีปริมาณนอยและ มีความเขมขนมาก 3. ในแตละวันรางกายจะไดรับนํ้าจากการดื่มนํ้า จากอาหาร และจะขับออกทางปสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ และการหายใจออก ซึ่งปริมาณนํ้าที่รางกายไดรับจะมีปริมาณเทากับที่รางกายขับออก ทั้งนี้เพื่อเปนการรักษาดุลยภาพของรางกาย 4. เมื่อรางกายมีนํ้าอยูมาก ในเลือดก็จะมีนํ้าอยูมาก เลือดมีความเขมขนตํ่า แตมีความดันเลือดสูงขึ้น ซึ่งสงผลใหสมองสวน ไฮโพทาลามัสยับยั้งการหลั่งฮอรโมน ADH
26
คูมือครู
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
Expand าใจ ขยายความเข
Evaluate ตรวจสอบผล
ขยายความเขาใจ 2) ปอด (lung) เปนอวัยวะที่มีบทบาทในระบบ หายใจ โดยใชในการแลกเปลี่ยนแกสดวยการรับเอา แกสออกซิเจนจากสิ่งแวดลอมเขาสูรางกาย แลวสงผาน เขาสูก ระแสเลือดเพือ่ ขนสงไปใหเซลลตา งๆ ในรางกายใช เผาผลาญสารอาหารเพื่อผลิตพลังงาน ขณะที่เซลลจะสง แกสคารบอนไดออกไซดกลับเขาสูกระแสเลือดเพื่อนําไป กําจัดออกที่ปอดดวยการหายใจออก โดยสิ่งที่ถูกกําจัด ออกไปพรอมกับการหายใจออกของมนุษยนี้ ไมใชมเี พียง แกสคารบอนไดออกไซดเพียงอยางเดียว แตยังรวมถึง แกสอื่นๆ และไอนํ้าอีกดวย 3) ผิวหนัง (skin) เปนสวนที่ปกคลุมอยูชั้นนอกสุด ของรางกาย ประกอบดวยเนื้อเยื่อ 2 ชั้น คือ ชั้นหนัง กําพรา (epidermis) และชั้นหนังแท (dermis) โดย หนั ง กํ า พร า เป น ผิ ว หนั ง ที่ อ ยู ชั้ น นอกสุ ด มี ความหนา ประมาณ 0.07-0.12 มม. สวนผิวหนังชั้นที่ถัดเขามา จะเป น ชั้ น หนั ง แท ซึ่ ง เป น ชั้ น ที่ ป ระกอบด ว ยรู ขุ ม ขน1 ตอมไขมัน หลอดเลือด เสนประสาท และตอมเหงื่อ (sweat gland) ซึ่งตอมเหงื่อเปนอวัยวะที่สําคัญของ ผิวหนัง มีหนาที่รักษาดุลยภาพนํ้าและแร2 ธาตุในรางกาย ดวยการขับนํ้าสวนเกินออกในรูปเหงื่อ และชวยปรับ สมดุลของแรธาตุตางๆ ในรางกาย
ปอดจะถูกปกปอง โดยกระดูกซี่โครง หลอดลม ปอด
ภาพที่ 1.26 ปอดของมนุ ษ ย เ ป น อวั ย วะสํ า หรั บ แลกเปลี่ ย นแก ส รวมทั้ ง ยั ง มี ห น า ที่ กํ า จั ด แก ส คารบอนไดออกไซดและไอน้ําสวนเกิน (ที่มาของภาพ : biology insights p.132, 138)
ตอมเหงื่อ
ครูตั้งคําถามใหนักเรียนชวยกันตอบและ แสดงความคิดเห็น • นอกจากไตแลวยังมีอวัยวะอื่นอีกหรือไมที่ ชวยรักษาดุลยภาพนํ้าและแรธาตุในรางกาย (แนวตอบ ปอด และผิวหนัง) • ปอด และผิวหนังมีกลไกในการรักษา ดุลยภาพนํ้าและแรธาตุในรางกายอยางไร (แนวตอบ ปอด มีหนาทีแ่ ลกเปลีย่ นแกสและ กําจัดไอนํา้ สวนเกินของรางกาย โดยการ หายใจออก ผิวหนัง มีตอมเหงื่อชวยขับนํ้าสวนเกินของ รางกายออกไปในรูปของเหงื่อ) จากนั้นใหนักเรียนศึกษาเนื้อหาในหนา 27 แลวชวยกันสรุปสาระสําคัญ
ตรวจสอบผล
Evaluate
ครูและนักเรียนทบทวนเรื่องการรักษาดุลยภาพ นํ้าและแรธาตุในสัตว และในมนุษย แลวให นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5 - 6 คน ศึกษาคนควา เพิ่มเติมและทํารายงานเรื่อง การรักษาดุลยภาพนํ้า และแรธาตุในสัตว และในมนุษย สงครูผูสอน หยดเหงื่อ
เสนขน
Expand
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู • รายงานเรื่อง การรักษาดุลยภาพนํ้าและ แรธาตุในสัตว และในมนุษย
กลามเนื้อ
หลอดเลือดฝอย ตอมเหงื่อ
ภาพที่ 1.27 ตอมเหงื่อจะแทรกตัวอยูในชั้นหนังแท มีหนาที่รักษาดุลยภาพน้ําและแรธาตุในรางกาย ดวยการขับน้ําสวนเกินออก ในรูปของเหงื่อ (ที่มาของภาพ : life p.589)
27
กิจกรรมสรางเสริม ใหนักเรียนสรุปบทบาทหนาที่ของไตในการรักษาสมดุลของนํ้าและ แรธาตุในรางกายมนุษย โดยทําเปนใบงานสงครูผูสอน
กิจกรรมทาทาย ใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับไต ทําเปนรายงานสงครูผูสอน โดยมี รายละเอียด ดังนี้ • โครงสรางและหนาที่ของไต • ความผิดปกติของไต (โรคไต) • การดูแลรักษาไตใหทํางานไดตามปกติ
นักเรียนควรรู 1 ตอมเหงื่อ ทั่วรางกายมีประมาณ 2,000,000 ตอม พบมากที่สุดบริเวณฝามือ ฝาเทา และพบนอยที่สุดบริเวณหลังและขา 2 เหงื่อ แบงออกเปน 2 ชนิด ไดแก • เหงื่อที่ผลิตจาก eccrine sweat gland ซึ่งตอมเหงื่อชนิดนี้พบทั่วรางกาย ผลิตเหงื่อที่มีลักษณะใสเหมือนนํ้า ไมมีกลิ่น • เหงื่อที่ผลิตจาก apocrinn sweat gland ซึ่งตอมเหงื่อชนิดนี้พบบางแหง ในรางกาย เชน รักแร ขาหนีบ ทวารหนัก หัวหนาว แผนหลัง เปนตน ผลิตเหงื่อลักษณะเหนียว ใส และมีสวนผสมของไขมันอยูมาก จึงมีกลิ่น ซึ่งกลิ่นนี้จะชวยกระตุนอารมณทางเพศได
คูมือครู
27
กระตุน ความสนใจ กระตุEngage นความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
Engage
ครูกระตุนความสนใจของนักเรียน โดยการ พูดคุยซักถามประสบการณเดิมของนักเรียนเกี่ยวกับ พฤติกรรมที่ตอบสนองตออุณหภูมิของสัตว โดยครู ตั้งคําถาม ดังนี้ • สัตวเลีย้ งของนักเรียนมีพฤติกรรมอยางไรบาง ในวันที่มีอากาศรอน (แนวตอบ พิจารณาจากคําตอบของนักเรียน ตัวอยางเชน มีอาการหอบ แลบลิ้นตลอดเวลา นอนอยูเฉยๆ ลงแชนํ้า เปนตน) • สัตวเลีย้ งของนักเรียนมีพฤติกรรมอยางไรบาง ในวันที่มีอากาศหนาว (แนวตอบ พิจารณาจากคําตอบของนักเรียน ตัวอยางเชน นอนขดตัว นอนกลางแจง เขาไปอยูใตตู เปนตน) • นักเรียนคิดวาเพราะเหตุใดสัตวเลี้ยงตางๆ จึงมีพฤติกรรมดังกลาวขางตนนั้น (แนวตอบ เปนการแสดงพฤติกรรมที่ชวยในการ ปรับดุลยภาพของอุณหภูมิในรางกาย) • นักเรียนคิดวาการรักษาดุลยภาพของอุณหภูมิ ในรางกาย มีความสําคัญตอสิ่งมีชีวิตอยางไร (แนวตอบ การรักษาดุลยภาพของอุณหภูมิ ในรางกาย จะชวยใหการทํางานตางๆ ของ รางกายเปนไปอยางปกติ)
4. การรักษาดุลยภาพของอุณหภูมใิ นสิง่ มีชวี ติ
สั ตว์ ทุ ก ชนิ ด จะมี การย่ อ ยสลายอาหารต่ า งๆ ให้ กลายเป็น โมเลกุลสารอาหารขนาดเล็ก แล้วน�า เข้าสู่ ภายในเซลล์ เ พื่ อ ไปใช้ เ ผาผลาญให้ เ กิ ด เป็ น พลั ง งาน ส�าหรับการด�ารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตและพลังงานความร้อน โดยพลังงานความร้อนที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งจะถูกถ่ายเทสู่ สิ่งแวดล้อม และอีกส่วนหนึ่งจะถูกสะสมไว้ในร่างกาย เพื่อรักษาความอบอุ่นของร่างกาย การรักษาดุลยภาพของอุณหภูมิในร่างกายเป็นสิ่งที่ มี ความส� า คั ญ ต่ อ สิ่ ง มี ชี วิ ต เป็ น อย่1า งยิ่ ง เนื่ อ งมาจาก การท�างานของฮอร์โมนและเอนไซม์ต่างๆ ในร่างกายต้อง อาศัยระดับอุณหภูมิที่เหมาะสม ดังนั้นถ้าหากอุณหภูมิ ในร่างกายของสิ่งมีชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงผิดปกติไ ป ก็จะมีผลท�าให้การท�างานของฮอร์โมนและเอนไซม์ต่างๆ ในร่างกายผิดปกติได้ ศัพท์น่ารู้ การทํางานของเอนไซม์ การท
กระตุน ความสนใจ
เอนไซม์ (enzyme)
อุณหภูมิ ( ํC)
0 10 20 30 40 50 ภาพที่ 1.28 อุณหภูมิร่างกายที่เหมาะสมที่สุดสำาหรับการทำางานของเอนไซม์ ต่างๆ คือ ที่ 37 ำC หรือที่อุณหภูมิร่างกายปกติ (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
อุอุ ณ หภู มิ ใ นร่ า งกายของสิ่ ง มี ชี วิ ต แต่ ล ะชนิ ด จะ สามารถเปลีี่ยนแปลงได้ โดยสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ สามารถเปล ากหรือน้อยขึ้นอยู่กับระบบการควบคุมอุณหภูมิของ มากหรื สิ่งมีชีวิตชนิดนั้น ซึ่งถ้าหากจ�าแนกลักษณะของสิ่งมีชีวิต โดยอาศั าศัยระบบการควบคุมอุณหภูมิในร่างกายเป็นเกณฑ์ จะสามารถจ�าแนกกลุ่มสิ่งมีชีวิตได้เป็น 2 ประเภท คือ สัตว์เลือดเย็น และสัตว์เลือดอุ่น ซึ่งแตกต่างกัน ดังนี้
คือ ตัวเร่ง ปฏิกิริยาทางชีวภาพ เป็น สารประกอบจ�าพวกโปรตีน สามารถลด ระดับพลังงานกระตุน้ ของปฏิกริ ยิ าได้ โดย เอนไซม์แต่ละชนิดจะมีความจ�าเพาะต่อ ปฏิกริ ยิ า นอกจากนีเ้ อนไซม์จะไม่มผี ลต่อ ชนิดของผลิตภัณฑ์ที่จะเกิดขึ้น ฮอร์โมน (hormone) คือ สารเคมีที่สร้างขึ้นจากเนื้อเยื่อ หรือ ต่อมไร้ท่อ แล้วถูกล�าเลียงไปตามระบบ หมุนเวียนโลหิต เพื่อท�าหน้าที่ควบคุม การเจริญเติบโต ควบคุมลักษณะทางเพศ และควบคุมการท�างานของระบบต่างๆ ในร่างกาย
28
นักเรียนควรรู 1 เอนไซม ปจจัยที่มีผลตอการทํางานของเอนไซม ไดแก • ความเขมขนของเอนไซมและสารตั้งตน อัตราเร็วของการเกิดปฏิกิริยา ขึ้นอยูกับการชนกันของโมเลกุลเอนไซมกับสารตั้งตน ซึ่งจะชนกันมากขึ้น เมื่อเอนไซมและสารตั้งตนมีปริมาณมาก • ความเปนกรด-ดาง (pH) เอนไซมแตละชนิดจะมีคา pH ที่เหมาะสมตอ การทํางาน คา pH ที่เหมาะสมตอการทํางานของเอนไซมสวนใหญจะอยู ในชวง 6-8 • อุณหภูมิ การเพิ่มอุณหภูมิจะทําใหพลังงานจลนเพิ่มขึ้น ซึ่งจะสงผลใหเกิด ปฏิกิริยาเพิ่มขึ้นดวย • สารระงับการทํางานของเอนไซม (inhibitors) เชน โลหะหนักตางๆ สารประกอบฟโนลิค (phenolic) เปนตน
28
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ในที่อุณหภูมิตํ่าอัตราเมแทบอลิซึมของสัตวเลือดอุนเทียบกับ สัตวเลือดเย็นจะเปนดังขอใด 1. ทั้งสัตวเลือดอุนและสัตวเลือดเย็นมีอัตราเมแทบอลิซึมสูง 2. ทั้งสัตวเลือดอุนและสัตวเลือดเย็นมีอัตราเมแทบอลิซึมตํ่า 3. สัตวเลือดอุนมีอัตราเมแทบอลิซึมสูง สวนสัตวเลือดเย็นมีอัตรา เมแทบอลิซึมตํ่า 4. สัตวเลือดอุนมีอัตราเมแทบอลิซึมตํ่า สวนสัตวเลือดเย็นมีอัตรา เมแทบอลิซึมสูง วิเคราะหคําตอบ หากรางกายของสัตวมีอุณหภูมิตํ่า สมองจะสั่งการ ใหมีอัตราเมแทบอลิซึมสูงขึ้น เพื่อชวยทําใหรางกายเกิดความอบอุนขึ้น เนื่องจากกระบวนการเมแทบอลิซึมจะไดพลังงานที่ชวยใหความอบอุนแก รางกาย ดังนั้น ตอบขอ 1.
กระตุนความสนใจ Engage
สํารวจคนหา
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
สํารวจค Exploreนหา
สํารวจคนหา
ใหนักเรียนศึกษาเรื่อง การรักษาดุลยภาพของ อุณหภูมิในสัตวเลือดเย็น จากหนังสือเรียน หนา 29 หรือจากแหลงเรียนรูอื่นๆ
4.1 สัตวเลือดเย็น
สัตวเลือดเย็น ไดแก งู ปลา และสัตวเลื้อยคลาน ชนิดตางๆ เปนสัตวทไี่ มสามารถรักษาอุณหภูมขิ องรางกาย ใหคงที่ได เมื่ออากาศหรือสภาพแวดลอมเปลี่ยนแปลง อุณหภูมิรางกายจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพอากาศดวย เชน เมื่อสภาพอากาศหนาวเย็น รางกายสัตวเลือดเย็น ก็จะมีอุณหภูมิต่ำไปดวย เปนตน อุณหภูมิของรางกายที่ลดต่ำลงหรือสูงขึ้นจะมีผล ทำใหกระบวนการทำงานตางๆ ภายในรางกายผิดปกติ ไปได สัตวเลือดเย็นจึงตองมีการปรับตัวดวยการใชสภาพ แวดลอมเขาชวย เชน การหนีจากความรอนโดยวิธีหลบ ในรู ห รื อ โพรงไม การผึ่ ง แดดเพื่ อ ให อุ ณ หภู มิ ภายใน รางกายสูงขึน้ 1 การอพยพจากสภาพอากาศที่ไมเหมาะสม หรือการจำศีลใหพนจากฤดูหนาวหรือฤดูรอน เปนตน
Explore
อธิบายความรู
ภาพที่ 1.29 กบจะมีการจำศีลในชวงฤดูรอน เพื่อ หลบจากสภาพอากาศรอน และความแหงแลง (ทีม่ าของภาพ : http://www.rd1677.com/branch. php?id=40919)
Explain
ครูตั้งคําถามใหนักเรียนรวมกันตอบและ แสดงความคิดเห็น • ใหนักเรียนยกตัวอยางสัตวเลือดเย็นมา อยางนอย 10 ชนิด (แนวตอบ สัตวเลือดเย็น เชน งู ปลา กบ คางคก อึง่ อาง กิง้ กา จิง้ เหลน จิง้ จก จระเข เตา เปนตน) • ใหนักเรียนยกตัวอยางการปรับตัวของ สัตวเลือดเย็นเมื่ออุณหภูมิของสิ่งแวดลอม เปลี่ยนแปลงไป (แนวตอบ หลบอยูในโพรงเมื่ออากาศรอน การผึ่งแดดเมื่ออากาศเย็น การจําศีล เปนตน)
ภาพที่ 1.30 สัตวเลื้อยคลาน เชน จระเข และเตา จะมีการผึ่งแดดเพื่อเพิ่มอุณหภูมิภายในรางกายใหสูงขึ้น (ที่มาของภาพ : http://th.wikipedia.org/wiki/NileCrocodile.jpg และ http://www.siamreptile.com/webboard/webboard_ show.php?id=50316
4.2 สัตวเลือดอุน
สัตวเลือดอุน เชน นก สัตวเลีย้ งลูกดวยน้ำนมตางๆ และมนุ ษ ย เป น สั ตว ที่ ส ามารถปรั บ อุ ณ หภู มิ ภ ายใน รางกายใหมีดุลยภาพอยู ได โดยวิธีการรักษาอุณหภูมิ ภายในรางกายของสัตวเลือดอุน อาจเกิดขึ้นจากลักษณะ โครงสรางทางรางกาย หรือการทำงานของระบบตางๆ ภายในรางกาย และจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ดังนี้
ขอสอบ
29
O-NET
ขอสอบป ’ 53 ออกเกี่ยวกับอุณหภูมิในรางกายของสัตว สัตวในขอใดอุณหภูมิในรางกายคอนขางคงที่ แมสิ่งแวดลอมจะเปลี่ยนไป 1. นกกระจอกเทศ กบ 2. งู จระเข 3. พะยูน นกกระจิบ 4. ปลาฉลาม วาฬ (วิเคราะหคําตอบ สัตวที่สามารถปรับอุณหภูมิภายในรางกายใหมี ดุลยภาพอยูไดแมวาสิ่งแวดลอมจะมีอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด คือ สัตวเลือดอุน ซึ่งไดแก นก สัตวเลี้ยงลูกดวยนํ้านม รวมทั้งมนุษย ดังนั้น ตอบขอ 3.
นักเรียนควรรู 1 การจําศีล มี 2 ชนิด ไดแก 1. การจําศีลจริง (true hibernation) ในระหวางการจําศีลสัตวจะนอนอยู นิ่งๆ จังหวะการเตนของหัวใจจะชาลง การหายใจก็จะเปนไปอยางชาๆ ซึ่งชวงกอนการจําศีล สัตวจะตองออกหาอาหารกินจํานวนมากเพื่อสะสม อาหารไวในรางกาย 2. การจําศีลเทียม (torpor) เปนการนอนหลับที่คลายกับการจําศีล โดยมี อัตราการเตนของหัวใจชาลง แตจะเปนในชวงเวลาสั้นๆ เชน คางคาว จะออกหาอาหารและตื่นตัวในเวลากลางคืน แตจะกลับมานอนสงบนิ่ง ในตอนกลางวัน เปนตน
คูมือครู
29
กระตุน ความสนใจ กระตุEngage นความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุน ความสนใจ
Engage
ครูกระตุนความสนใจของนักเรียน โดยการ พูดคุยซักถามประสบการณเดิมของนักเรียน เกี่ยวกับพฤติกรรมที่ตอบสนองตออุณหภูมิ • รางกายของนักเรียนมีการตอบสนองตอ อากาศรอนลักษณะใด (แนวตอบ เหงื่อออกและกระหายนํ้าบอย) • รางกายของนักเรียนมีการตอบสนองตอ อากาศหนาวลักษณะใด (แนวตอบ ขนลุกและรางกายสั่น) จากนั้นครูอธิบายวาการตอบสนองตางๆ นั้น เปนการชวยรักษาดุลยภาพของอุณหภูมิในรางกาย แลวถามคําถามอีกวา • มนุษยสามารถเดินทางไปในสถานที่ตางๆ ที่ มีอุณหภูมิแตกตางกันมากได เพราะอะไร (แนวตอบ มนุษยเปนสัตวเลือดอุนที่รางกาย สามารถปรับอุณหภูมิภายในรางกายใหมี ดุลยภาพอยูไดแมวาสิ่งแวดลอมจะมีอุณหภูมิ เปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด) แลวครูจึงกลาวอยางสังเขปวา สัตวเลือดอุน มีวิธีการรักษาดุลยภาพของอุณหภูมิในรางกายโดย วิธีอาศัยโครงสรางของรางกาย อาศัยการทํางาน ของระบบตางๆ ในรางกาย และการปรับเปลี่ยน พฤติกรรม
1) การรั ก ษาอุ ณ หภู มิ โ ดยอาศั ย โครงสร้ า งของ ร่างกาย โดยสัตว์เลือดอุ่นจะมีการพัฒนาโครงสร้างของ
ผิวหนังเพื่อปองกันการสูญเสียความร้อนของร่างกายจาก
สภาวะแวดล้อมทีม่ อี ณ ุ หภูมติ ำ่ เช่น การมีชนั้ ไขมันหนา
อยู่ ใต้ชั้นผิวหนัง การมีขนปกคลุมร่างกาย หรือการมี
โครงสร้างเพื่อลดความร้อนของร่างกายจากสภาวะที่มี
อุณหภูมิสูง เช่น มีต่อมเหงื่อและรูขุมขนตามร่างกาย
สำหรับระบายความร้อน เป็นต้น
2) การรั ก ษาอุ ณ หภู มิ โ ดยอาศั ย การทำงานของ ระบบต่ า งๆ ภายในร่ า งกาย เป็ น การตอบสนองต่ อ
อุ ณ หภู มิ ที่ เ กิ ด จากการทำงานร่ ว มกั น ของระบบต่ า งๆ
ภายในร่างกาย โดยมีศูนย์กลางการควบคุมอุณหภูมิอยู่ท ี่ สมองส่วนไฮโพทาลามัส ซึ่งกระบวนการทำงานภายใน
ร่างกาย เพื่อตอบสนองต่ออุณหภูมิจะมีลำดับขั้นตอน
การทำงาน ดังนี้
1. การรับรูความรูสึกหนาวหรือรอน จะเกิดขึ้นที่
ตัวรับรู้การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ (thermoreceptor)
ซึ่งมี 2 ชนิด คือ ตัวรับความรู้สึกร้อน (heat receptor)
ซึ่งสามารถพบได้ ในผิวหนังทุกส่วน โดยจะพบมากที่
บริเวณฝามือและฝาเท้า ส่วนตัวรับความรูส้ กึ หนาว (cold receptor) จะพบได้มากที่บริเวณเปลือกตาด้านใน และ
บริเวณเยือ่ บุในช่องปาก 2. การทำงานร่ ว มกั น ของศู น ย ควบคุ ม ในสมอง (central integrator)
โดยสมองส่วนไฮโพทาลามัสจะรับ
สั ญ ญาณความรู้ สึ ก จากตั ว รั บ รู้ ก ารเปลี่ ย นแปลงของ
อุณหภูมิทั่วร่างกายแล้ 1 วจัดการแปลข้อมูล จากนั้นจึง
ส่งกระแสประสาทไปสู่อวัยวะหรือตัวแสดงการตอบสนอง
ที่ทำหน้าที่ปรับระดับอุณหภูมิในร่างกาย เพื่อให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงที่จะช่วยปรับระดับอุณหภูมิในร่างกายให้อยู่
ในระดับที่เหมาะสม คือ ไม่ร้อนและไม่เย็นจนเกินไป
ภาพที ่ 1.31 สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมจะมีการรักษา อุณหภูม ิ โดยพัฒนาโครงสร้างในร่างกายให้มีขน ปกคลุมทัว่ ร่างกาย และมีการสะสมไขมันหนาใต้ชั้น ผิวหนัง (ที่ ม าของภาพ : http://fwmail.teenee.com/ strange/14304.html และ http://modernin. mcot.net/inside.php?modid =5077?modtype=3)
30
นักเรียนควรรู 1 กระแสประสาท การสงกระแสประสาทจะมีความเร็วมากหรือนอยขึ้นอยูกับ ปจจัยตางๆ ดังนี้ • เยื่อไมอีลิน (myelin sheath) เซลลประสาทที่มีเยื่อไมอีลินหุมจะ สงกระแสประสาทไปไดเร็วกวาเซลลที่ไมมีเยื่อไมอีลินหุม • โหนดออฟเรนเวียร (node of ranvier) เปนบริเวณชองวางระหวาง เยื่อไมอีลินแตละชวง ซึ่งถามีโหนดออฟเรนเวียรหางมาก กระแสประสาท จะเคลื่อนที่ไดเร็ว • เสนผานศูนยกลางของเสนใยเซลลประสาท หากมีขนาดเสนผานศูนยกลาง ใหญ กระแสประสาทจะเคลื่อนที่ไดเร็ว
30
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
เหตุการณใดจะเกิดกับสัตวเลี้ยงลูกดวยนํ้านม หากจับสัตวนั้นไปไวใน สิ่งแวดลอมที่มีอุณหภูมิตํ่ากวาอุณหภูมิรางกายมากๆ เปนเวลานาน 1. เกิดการสั่น 2. เกิดการหลั่งเหงื่อ 3. มีอัตราการหายใจเพิ่มขึ้น 4. มีอัตราการยอยอาหารเพิ่มขึ้น วิเคราะหคําตอบ สัตวเลี้ยงลูกดวยนมเปนสัตวเลือดอุน โดยหากอยูใน ที่ที่มีอุณหภูมิตํ่ามาก รางกายจะมีอัตราเมแทบอลิซึมสูงขึ้น อัตราการ หายใจชาลง หลอดเลือดจะหดตัว เหงื่อออกนอย รูขุมขนหดตัวทําให ขนลุก และกลามเนื้อหดตัวทําใหมีอาการสั่น ซึ่งเปนวิธีชวยทําใหภายใน รางกายมีอุณหภูมิสูงขึ้น ดังนั้น ตอบขอ 1.
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
สํารวจค Exploreนหา
Engage
สํารวจคนหา 3. การแสดงการตอบสนอง (effectors) เมื่อไดรับ สัญญาณจากสมองแลว ตัวแสดงการตอบสนองตางๆ ในรางกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลง เพื่อชวยใหระดับ อุ ณ หภู มิ ใ นร า งกายกลั บ เข า สู ส มดุ ล โดยลั ก ษณะ การตอบสนองเพือ่ รักษาระดับอุณหภูมิในรางกายอาจมีได หลายลักษณะ ดังนี้ ■ กระบวนการเมแทบอลิ ซึ ม เป น การเผาผลาญ สารอาหารใหเกิดพลังงานความรอน โดยเมื่อรางกาย มีอณุ หภูมลิ ดตํา่ ลง สมองสวนไฮโพทาลามัสจะสงสัญญาณ ไปกระตุนอวัยวะที่ควบคุมอัตราเมแทบอลิซึมในรางกาย เพื่ อ เพิ่ ม กระบวนการเมแทบอลิ ซึ ม ให ม ากขึ้ น ทํ า ให อุณหภูมิรางกายสูงขึ้น แตหากรางกายมีอุณหภูมิสูง สมองสวนไฮโพทาลามัสก็จะสงสัญญาณไปกระตุนอวัยวะ ตางๆ เพื่อลดกระบวนการเมแทบอลิซึมในรางกายให ลดลง ทําใหอุณหภูมิรางกายลดลงดวย ■ หลอดเลือด เมือ ่ รางกายมีอณุ หภูมสิ งู หลอดเลือด จะขยายตัว ทําใหมีการลําเลียงเลือดจากอวัยวะตางๆ ภายในรางกายไปยังผิวหนังดีขึ้น ความรอนในรางกายจึง ถายเทออกสูภายนอกไดดีขึ้น ทําใหอุณหภูมิของรางกาย ลดลง แตถารางกายมีอุณหภูมิตํ่า หลอดเลือดจะหดตัว ทําใหมีการลําเลียงเลือดไปยังผิวหนังนอยลง ความรอน ในรางกายจึงถายเทออกสูภายนอกไดนอยลง รางกายจึง เก็บรักษาความรอนไวได 1 ■ การหลั่ ง ของเหงื่ อ เป น การระบายความร อ น ไปพรอมกับหยดนํ้าเหงื่อ ทําใหอุณหภูมิรางกายลดลง ■ การหดตัวของรูขุมขน การหดตัวของกลามเนื้อ โคนขน มี ผ ลทํ า ให รู ขุ ม ขนหดเล็ ก ลง จึ ง ช ว ยลด การสูญเสียความรอนทางรูขุมขน ทําใหเกิดอาการขนลุก ■ การหดตั ว ของกล า มเนื้ อ ทํ า ให เ กิ ด อาการสั่ น จึงไดพลังงานความรอนมาชดเชยความรอนที่สูญเสียไป
ภาพที่ 1.32 การเคลื่ อ นไหวอย า งรวดเร็ ว เช น การเลนกีฬาจะทําใหรา งกายมีอณ ุ หภูมสิ งู ขึน้ รางกาย จึงตองรักษาสมดุลโดยการขับความรอนออกทาง เหงื่อและทางรูขุมขน (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
Explore
ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5-6 คน แบง หนาที่กันศึกษาวิธีการรักษาดุลยภาพของอุณหภูมิ ในรางกายของสัตวเลือดอุน จากหนังสือเรียน หนา 30-32 หรือจากแหลงเรียนรูตางๆ ตาม ขั้นตอน ดังนี้ 1. ใหสมาชิกแตละคนไปศึกษาเรื่องที่ตนเอง ไดรับมอบหมาย 2. สมาชิกแตละคนนําเรื่องที่ศึกษามาเลาให เพื่อนในกลุมฟง 3. รวมกันอภิปรายจนไดขอ สรุปทีเ่ ขาใจตรงกัน 4. สรุปสาระสําคัญในรูปของแผนผังความคิด
อธิบายความรู
Explain
ครูสุมนักเรียน 2-3 กลุม ออกมานําเสนอ แผนผังความคิดที่กลุมตนเองรวมกันสรุป โดยให นักเรียนคนอื่นๆ รวมกันเสนอแนะ และครูคอย ใหคําแนะนําและอธิบายเพิ่มเติม จนไดขอสรุปที่ ถูกตองตรงกัน
ภาพที่ 1.33 สุ นัข เป น สั ต ว ท่ีไ ม มีตอ มเหงื่อ ตาม รางกาย จึงไมสามารถระบายความรอนในรูปเหงือ่ ได การระบายความรอนสวนใหญจงึ อาศัยทางลมหายใจ และการแลบลิน้ (ทีม่ าของภาพ : http://taladchon.khonsuratthani. com/market/mbdetail.php?id=U010570)
31
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
หลังจากออกกําลังกายกลางแดดนานๆ รางกายมีกลไกการรักษา ดุลยภาพของอุณหภูมิอยางไร 1. ลดอัตราเมแทบอลิซึม และหลอดเลือดหดตัว 2. ลดอัตราเมแทบอลิซึม และหลอดเลือดขยายตัว 3. เพิ่มอัตราเมแทบอลิซึม และหลอดเลือดหดตัว 4. เพิ่มอัตราเมแทบอลิซึม และหลอดเลือดขยายตัว
วิเคราะหคําตอบ หลังจากออกกําลังกายกลางแดดนานๆ รางกายจะ มีอุณหภูมิสูงขึ้น จึงตองมีการปรับสมดุลของอุณหภูมิในรางกาย โดยจะมี เมแทบอลิซึมลดลงเพื่อชวยใหอุณหภูมิรางกายลดลง และหลอดเลือดจะ ขยายตัวเพื่อชวยระบายความรอนออกนอกรางกาย ดังนั้น ตอบขอ 2.
นักเรียนควรรู 1 เหงื่อ สามารถบงบอกอาการของโรคบางชนิดได ดังนี้ 1. โรคที่ทําใหเหงื่อออกมาก เชน • เครียด เหงื่อจะออกมากบริเวณฝามือ ฝาเทา รักแร และหนาผาก ประกอบกับมีอาการชีพจรเตนเร็ว ใจสั่น มือสั่น • ตอมไทรอยดเปนพิษ หรือคอพอก เหงื่อจะออกทั่วตัว รวมกับมีอาการ มือสั่น นํ้าหนักลด ตาโปน เหนื่อยงาย • โรคหัวใจ เหงื่อออกรวมกับใจสั่น เหนื่อยหอบ แนนหนาอก 2. โรคที่ทําใหเหงื่อออกนอย เชน • โรคผิวหนัง เนื่องจากตอมเหงื่อใตผิวหนังถูกกดไวจนไมสามารถ ขับเหงื่อไดตามปกติ ทําใหเกิดอาการอุดตันในขุมขน • ไมเกรน คนที่มีความเครียด ชีพจรเตนเร็วกวาปกติ หากรางกายเกิด ความรอนสะสมแตกลับไมมีเหงื่อออกมา อาจทําใหใจสั่น นอนไมหลับ เกิดภาวะปวดศีรษะอยางรุนแรง คูมือครู
31
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
Explain
ครูตั้งคําถามเพื่อทดสอบความเขาใจของ นักเรียน • นักเรียนคิดวาเพราะเหตุใดสุนัขหรือแมวที่มี ถิ่นกําเนิดอยูในเขตรอนจึงมีขนที่สั้น (แนวตอบ เปนการปรับตัวของสิ่งมีชีวิต โดย อาศัยโครงสรางของรางกาย การมีขนสั้นนั้น เพื่อใหความรอนสามารถระบายออกจาก รางกายไดงาย) • นักเรียนคิดวาเพราะเหตุใดหมีขั้วโลก สามารถดํารงชีวิตอยูในบริเวณที่มีอากาศ หนาวเย็นและมีแตนํ้าแข็งได (แนวตอบ เนื่องจากหมีขั้วโลกมีชั้นไขมันหนา อยูใตผิวหนัง จึงชวยใหความอบอุนแก รางกายได) • นักเรียนคิดวาเพราะเหตุใดปลาที่ชาวประมง จับมาไดแลวนําไปแชในนํ้าแข็งจะตายทันที (แนวตอบ เนื่องจากปลาเปนสัตวเลือดเย็น อุณหภูมิของรางกายจะเปลี่ยนแปลงไปตาม สภาพแวดลอม ซึ่งเมื่อแชในนํ้าแข็ง จะทําให อุณหภูมิในรางกายตํ่าลงมาก จนระบบตางๆ ในรางกายไมสามารถทํางานได ปลาจึงตาย ทันที) • ในวันที่อากาศรอน เพราะเหตุใดรางกายเรา จึงมีเหงื่อออกมาก (แนวตอบ เมื่อรางกายมีอุณหภูมิสูง จะมีการ หลั่งเหงื่อออกมามากเพื่อชวยระบาย ความรอนออกจากรางกาย) • อาการขนลุกเมื่อมีอากาศหนาวเกิดขึ้น เพราะเหตุใด (แนวตอบ เมื่ออากาศหนาว รางกายจะมี อุณหภูมิตํ่า กลามเนื้อบริเวณรูขุมขนจะหดตัว เพื่อลดการสูญเสียความรอนออกจากรางกาย ซึ่งการหดตัวของกลามเนื้อนั้นทําใหขนลุก)
ตารางที่ 4 แสดงลักษณะการตอบสนองเพื่อรักษาดุลยภาพของอุณหภูมิในสิ่งมีชีวิต ลักษณะการตอบสนอง กระบวนการเมแทบอลิซึม หลอดเลือด ตอมเหงื่อ รูขุมขน กลามเนื้อ
อัตราการเมแทบอลิซึมลดลง ขยายตัว สรางเหงื่อมากขึ้น ขยายตัว ไมหดตัว
อัตราการเมแทบอลิซึมเพิ่มขึ้น หดตัว ไมสรางเหงื่อ หดตัว ทำใหขนลุก หดตัว ทำใหรางกายหนาวสั่น
ภาพที่ 1.35 ควายมี พ ฤติ ก รรมในการแช ป ลั ก โคลน เพื่ อ ลด อุณหภูมิของรางกาย และใชโคลนพอกตามรางกายเพื่อปองกัน แมลงตางๆ (ที่มาของภาพ : http://www.oknation.net/blog/print.php?id= 34786)
ภาพที่ 1.34 มนุษยมีพฤติกรรมการรักษาอุณหภูมิ รางกายที่แ ตกต า งจากสิ่ ง มี ชี วิ ต อื่ น ๆ โดยการใส เสื้ อ กั น หนาวเพื่ อ ลดการสู ญ เสี ย ความร อ นของ รางกาย (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
ภาพที่ 1.36 นกนางนวล มีพฤติกรรมการอพยพยายถิ่น โดย ในฤดู ห นาวจะอพยพหนี ห นาวจากตอนกลางของทวี ป เอเชี ย ลงมาสูตอนใตของทวีป (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.)
32
1 การอพยพ นกอพยพในประเทศไทย แบงออกเปน 3 ประเภท ไดแก 1. นกอพยพยายถิ่นในฤดูหนาว คือ นกที่อพยพชวงนอกฤดูผสมพันธุ ซึ่งอพยพมาจากประเทศรัสเซียและจีน เชน นกพงหญา นกกินแมลง นกนางแอน นกเปดนํ้า เปนตน 2. นกอพยพยายถิ่นผาน คือ นกที่อพยพจากซีกโลกตอนบน ไดแก ประเทศ รัสเซีย จีน เกาหลี ญี่ปุน ผานประเทศไทยไปยังซีกโลกตอนใต ไดแก ประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย เชน กลุมนกชายเลน กลุมนก ลาเหยื่อ 3. นกอพยพยายถิ่นเขามาสรางรัง คือ นกที่อพยพมาเพื่อผสมพันธุ สรางรัง และวางไขในประเทศไทย เชน นกแตวแลวธรรมดา นกปากหาง นกแอนทุง เปนตน
คูมือครู
อุณหภูมิรางกายต่ำ
3) การรักษาอุณหภูมโิ ดยการปรับเปลีย่ นพฤติกรรม ในกรณีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของสิ่งแวดลอม อยางรุนแรง การรักษาอุณหภูมโิ ดยโครงสรางของรางกาย และการทำงานของระบบตางๆ ภายในรางกายไมเพียงพอ ตอการรักษาอุณหภูมิภายในรางกาย สัตวตางๆ จึงมีการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอยาง เพื่อใหสามารถใชสภาพ แวดลอมเขามาชวยในการรักษาอุ1ณหภูมิภายในรางกาย เชน การนอนแชน้ำ การอพยพไปสูพื้นที่ที่มีอุณหภูมิ เหมาะสมกวา การใสเสื้อกันหนาวของมนุษย เปนตน
นักเรียนควรรู
32
อุณหภูมิรางกายสูง
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 53 ออกเกี่ยวกับอาการตางๆ เมื่อรางกายมนุษยอยูในบริเวณที่มี อากาศหนาวจัด ใชขอมูลตอบคําถาม ก. เพิ่มอัตราเมแทบอลิซึม ง. หลอดเลือดขยายตัว ข. ลดอัตราเมแทบอลิซึม จ. หลอดเลือดหดตัว ค. ขนตั้งตรง เหงื่อไมออก ฉ. ขนเอนราบ เหงื่อออกมาก ถานายเอ อยูบนภูกระดึง จังหวัดเลย ในเดือนมกราคมที่มีอากาศ หนาวจัด นายเอ ควรมีอาการเชนไร 1. ก. ค. และ จ. 2. ข. ง. และ ฉ. 3. ก. ง. และ ฉ. 4. ข. ค. และ จ. วิเคราะหคําตอบ เมื่ออยูในที่ที่มีอากาศหนาวจัด อุณหภูมิในรางกาย จะลดตํ่าลง สงผลใหรางกายตองปรับตัวโดยการเพิ่มอัตราเมแทบอลิซึม กลามเนื้อรอบรูขุมขนหดตัวจึงมีขนลุก เหงื่อไมออก และหลอดเลือดจะ หดตัว ทั้งนี้เพื่อชวยใหรางกายมีอุณหภูมิสูงขึ้น ดังนั้น ตอบขอ 1.
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
ขยายความเขาใจ
พัฒนาทักษะ
1.3
วิทยาศาสตร
พฤติกรรมการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย วิธีดำเนินการ 1. ให้นักเรียนแบ่งเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 3-5 คน 2. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มเลือกศึกษาพฤติกรรมการควบคุมอุณหภูมิร่างกายของสัตว์เลือดเย็น และสัตว์เลือดอุ่น อย่างละ 1 ชนิด โดยสืบค้นข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น หนังสือเรียน หนังสืออ้างอิง หนังสืออ่านประกอบ หนังสือพิมพ์ วารสาร และเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 3. ให้แต่ละกลุ่มนำข้อมูลที่ได้มาอภิปรายหน้าชั้นเรียนร่วมกัน
เสริมประสบการณ
Expand
ใหนักเรียนอานเสริมประสบการณ วิทยาศาสตร จากหนังสือเรียน หนา 33 จากนั้น ปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.3 โดยทําเปนใบงานสงครูผูสอน ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5-6 คน สืบคน ขอมูลและทํารายงานเรื่อง การรักษาดุลยภาพ ของอุณหภูมิในรางกายของมนุษยและสัตว จากแหลงเรียนรูตางๆ เชน หนังสือเรียน หนังสือ อางอิง หนังสืออานประกอบ หนังสือพิมพ วารสาร วิทยาศาสตร หรือเว็บไซตทางอินเทอรเน็ตที่ เกี่ยวของกับหัวขอเรื่อง
วิทยาศาสตร
การรักษาอุณหภูมขิ องอูฐ
ภาพที่ 1.37 อูฐ เป็นสัตว์ทะเลทรายที่มีความสามารถ ในการปรับตัวต่ออุณหภูมิที่ร้อนได้ดีมาก (ทีม่ าของภาพ : http://truthpraiseandhelp.wordpress. com/2010/01/04/cracking-the-camel-case-code/ )
อู ฐ เป็ น สั ตว์ ท ะเลทรายที่ มี ความสามารถใน
การปรับตัวต่ออุณหภูมิในสภาพที่ร้อนได้ดีมาก อุณหภูมิ ร่างกายของอูฐ โดยทั่วไปอยู่ในภาวะปกติ ประมาณ 3638 องศาเซลเซี ย ส เมื่ อ อยู่ ใ นสภาพที่ อุ ณ หภู มิ ข อง ร่างกายสูงเกินไป อูฐจะระบายความร้อนออกจากร่างกาย โดยการหลั่งเหงื่อ เมื่อถึงเวลากลางคืนอุณหภูมิของ
สิ่งแวดล้อมลดลง อูฐจะระบายความร้อนที่สะสมอยู่ใน ร่างกายออกสู่อากาศภายนอกที่หนาวเย็นซึ่งอุณหภูมิ ของร่างกายก็จะลดลงมาจนถึง 34-35 องศาเซลเซียส
พอรุ่งเช้าอุณหภูมิภายนอกเริ่มสูงขึ้น อุณหภูมิในตัวของ อูฐก็จะค่อยๆ สูงขึ้น เนื่องจากสามารถรับความร้อนจาก ภายนอกได้ ดังนัน้ การรักษา และควบคุมอุณหภูมขิ องอูฐ จึงเหมาะสมกับสภาพการอยู่ในทะเลทรายเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ ยั ง ช่ ว ยสงวนรั ก ษาน้ ำ ไว้ ใ นร่ า งกายได้ เ ป็ น อย่างดีอีกด้วย
ภาพที ่ 1.38 เวลากลางคืน อุณหภูมิในทะเลทรายจะลดลง และจะค่อยๆ สูงขึน้ ในตอนรุง่ เช้า (ที่มาของภาพ : http://wallpapers.free-review.net/42_ Namibia_Desert.htm)
33
กิจกรรมสรางเสริม ใหนักเรียนยกตัวอยางพฤติกรรมของมนุษยและสัตว (ทั้งสัตวเลือดเย็น และสัตวเลือดอุน) เมื่อยูในสภาพแวดลอมที่มีอุณหภูมิสูงมากและตํ่ามาก ทําเปนใบงานสงครูผูสอน
กิจกรรมทาทาย
เกร็ดแนะครู ครูอาจนําวิดีโอเกี่ยวกับพฤติกรรมการควบคุมอุณหภูมิในรางกายของสัตว ชนิดตางๆ มาใหนักเรียนศึกษา และอภิปรายเพื่อใหไดขอสรุปรามกัน ซึ่งครูอาจ นํามาจากเว็บไซตของยูทูป โดยคนหาคําวา “การรักษาดุลยภาพอุณหภูมิ” แนวตอบ พัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.3 พิจารณาจากผลงานของนักเรียน โดยอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน
ใหนกั เรียนสืบคนขอมูลและทํารายงานเรือ่ ง การรักษาดุลุ ยภาพอุณหภูมิ ในรางกายของสัตวในเขตรอนและในเขตหนาว ตามหัวขอ ตอไปนี้ 1. การรักษาดุลยภาพอุณหภูมิของรางกายในสัตว 2. พฤติกรรมของสัตวเลือดอุนและสัตวเลือดเย็นในเขตรอน 3. พฤติกรรมของสัตวเลือดอุนและสัตวเลือดเย็นในเขตหนาว คูมือครู
33
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
Engage
Explore
Explain
Expand
ตรวจสอบผล
ตรวจสอบผล Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate
Evaluate
ครูและนักเรียนรวมกันสรุปเรื่อง การรักษา ดุลยภาพของอุณหภูมิในสิ่งมีชีวิต โดยมีแนวทาง สรุป ดังนี้ “สัตวเลือดเย็น จะมีการปรับตัวเพื่อรักษา ดุลยภาพของอุณหภูมิในรางกาย เชน ผึ่งแดด จําศีล เปนตน สวนสัตวเลือดอุนสามารถควบคุม อุณหภูมิในรางกายใหคงที่ และมีการปรับพฤติกรรม เพื่อชวยทําใหรักษาอุณหภูมิในรางกายไดดียิ่งขึ้น เชน มีขนยาวปลุกคลุมลําตัว มีชั้นไขมันที่หนา แชนํ้าเพื่อคลายความรอน สวนมนุษยอาจสวม เสื้อผาหนาๆ ในวันที่อากาศหนาว และอาบนํ้า เพื่อชวยระบายความรอนในวันที่อากาศรอน” จากนั้นใหนักเรียนจับคูกันสรุปสาระสําคัญ ในรูปของแผนผังความคิด
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู 1. แบบบันทึกผลการทํากิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 1.1 2. ปายนิเทศเผยแพรความรูเรื่อง การรักษา ดุลยภาพนํ้าและแรธาตุของเซลล 3. แบบบันทึกผลการทํากิจกรรมพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร 1.2 4. รายงานเรื่อง การรักษาดุลยภาพนํ้าและแรธาตุ ในสัตวและในมนุษย 5. รายงานเรื่อง การรักษาดุลยภาพของอุณหภูมิ ในรางกายของมนุษยและสัตว
สิ่งมีชีวิตต่างๆ ทุกชนิดในธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น
มนุษย์ สัตว์ พืช หรือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก เช่น จุลินทรีย์
ต่างๆ ล้วนมีระบบการจัดการภายในตนเอง เพื่อการ
รักษาดุลยภาพของสารต่างๆ ภายในร่างกาย เช่น น้ำ
แร่ ธ าตุ และการรั ก ษาระดั บ อุ ณ หภู มิ ที่ เ หมาะสมของ
ร่างกาย ทำให้ระบบการทำงานต่างๆ ภายในร่างกายของ
สิ่งมีชีวิตสามารถดำเนิน ไปได้ตามปกติ และสามารถ ดำเนินชีวิตอยู่ได้
แม้สภาพอากาศภายนอกจะเปลี่ยนแปลงไปก็ตาม
แต่หากสภาพแวดล้อมภายนอกมีการเปลี่ยนแปลงมาก เกินไปจนร่างกายไม่สามารถรักษาสมดุลอยู่ได้ สิ่งมีชีวิต ก็ จ ำเป็ น ต้ อ งมี พ ฤติ กรรมบางอย่ า งเพื่ อ หลี ก เลี่ ย งจาก สภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น การอพยพย้ายถิ่น การจำศีล เป็น ต้น ดังนั้น กลไกการรัก ษาดุลยภาพใน ร่างกายของสิ่งมีชีวิตจึงเป็นกลไกที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะทำให้สิ่งมีชีวิตมีชีวิตอยู่รอดได้ในสภาพแวดล้อมที่มี การเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
กิจกรรม
นำคิด 1. เซลล์พืชและเซลล์สัตว์มีความแตกต่างกันอย่างไร 2. เมื่อดื่มน้ำมากๆ จะมีน้ำปสสาวะออกมาปริมาณมาก ทั้งนี้เนื่องจากสาเหตุใด 3. ในปลากระดูกแข็ง จะอาศัยเซลล์เหงือกขับแร่ธาตุส่วนเกินออกจากร่างกายด้วยกระบวนการใด 4. จงอธิบายการควบคุมรักษาดุลยภาพของอุณหภูมิในร่างกายของอูฐ ที่ทำให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสภาพ อากาศแบบทะเลทรายได้
34
แนวตอบ กิจกรรมนําคิด 1. เซลลพืชมีลักษณะเปนเหลี่ยม มีผนังเซลลซึ่งชวยทําใหเซลลคงรูปอยูได และ มีคลอโรพลาสตจึงสามารถสังเคราะหดวยแสงได สวนเซลลสัตวมีลักษณะกลม ไมมีผนังเซลลและคลอโรพลาสต 2. เมื่อดื่มนํ้ามาก เลือดจะมีความเขมขนตํ่า ความดันเลือดเพิ่มมากขึ้น ทําให สมองสวนไฮโพทาลามัสยับยั้งการหลั่ง ADH สงผลใหการดูดนํ้ากลับที่หนวยไต นอยลง จึงมีการปสสาวะออกมาปริมาณมาก 3. การลําเลียงแบบใชพลังงาน ซึ่งขับแรธาตุออกจากรางกายโดยมีทิศทางการ ลําเลียงจากบริเวณที่มีความเขมขนตํ่าไปยังบริเวณที่มีความเขมขนสูง 4. ในเวลากลางคืนอูฐจะระบายความรอนที่สะสมอยูในรางกายออกสูอากาศภายนอก ซึ่งจะทําใหรางกายมีอุณหภูมิลดลง เมื่อรุงเชาอุณหภูมิภายนอกเริ่มสูงขึ้น อุณหภูมิในตัวของอูฐก็จะคอยๆ สูงขึ้น โดยยังไมตองมีการสูญเสียนํ้าหรือหลั่ง เหงื่อเลยเนื่องจากสามารถรับความรอนสวนที่เกิดเพิ่มขึ้นได
34
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
เพราะเหตุใดสิ่งมีชีวิตทุกชนิด จึงมีกลไกในการรักษาดุลยภาพของ สารตางๆ ในรางกาย แนวตอบ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดลวนมีกลไกในการรักษาดุลยภาพของสารตางๆ ในรางกาย เชน นํ้า แรธาตุ เปนตน และมีกลไกในการรักษาอุณหภูมิภายใน รางกาย เพื่อทําใหระบบตางๆ ในรางกายสามารถทํางานไดอยางปกติ ทั้งนี้ เพื่อทําใหสิ่งมีชีวิตสามารถดํารงชีวิตอยูได