คูมือครู 㪌»ÃСͺ¡ÒÃÊ͹ËÇÁ¡Ñº
˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ©ºÑº Í- .
ภาพปกนี้มีขนาดเทากับหนังสือเรียนฉบับจริงของนักเรียน
กระบวนการสอนแบบ 5 Es ชวยสรางทักษะการเรียนรู กิจกรรมมุงพัฒนาทักษะการคิด คำถาม + แนวขอสอบเพื่อยกผลสัมฤทธิ์ O-NET กิจกรรมบูรณาการเตรียมพรอมสู ASEAN 2558
เอกสารประกอบคูมือครู
กลุมสาระการเรียนรู สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
พระพุทธศาสนา ชั้นมัธยมศึกษาปที่
4
สําหรับครู
คูมือครู Version ใหม
ลักษณะเดน
ขยายพื้นที่รูปเลมใหญขึ้นกวาเดิม จัดแบงพื้นที่ออกเปนโซน เพื่อคนหาขอมูลไดงาย สะดวก รวดเร็ว และดูเปนระเบียบ กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล
กระตุน ความสนใจ
Evaluate
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
เปาหมายการเรียนรู สมรรถนะของผูเรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค
หน า
โซน 1 กระตุน ความสนใจ
Engage
สํารวจคนหา
Explore
อธิบายความรู
Explain
ขยายความเขาใจ
Expand
ตรวจสอบผล
หน า
หนั ง สื อ เรี ย น
โซน 1
หนั ง สื อ เรี ย น
Evaluate
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NET
ขอสอบ
โซน 2
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
เกร็ดแนะครู
O-NET
บูรณาการเชื่อมสาระ
โซน 3
กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย
นักเรียนควรรู
โซน 3
โซน 2 บูรณาการอาเซียน มุม IT
No.
คูมือครู
คูมือครู
No.
โซน 1 ขั้นตอนการสอนแบบ 5Es
โซน 2 ชวยครูเตรียมสอน
โซน 3 ชวยครูเตรียมนักเรียน
เพื่อใหครูเตรียมจัดกิจกรรมการเรียน การสอน โดยแนะนําขั้นตอนการสอนและ การจัดกิจกรรมแบบ 5Es อยางละเอียด เพื่อใหนักเรียนบรรลุตามตัวชี้วัด
เพื่อชวยลดภาระครูผูสอน โดยแนะนํา เกร็ดความรูสําหรับครู ความรูเสริมสําหรับ นักเรียน รวมทั้งบูรณาการความรูสูอาเซียน และมุม IT
เพื่อใหครูสะดวกตอการจัดกิจกรรม โดย แนะนํากิจกรรมบูรณาการเชือ่ มระหวางสาระหรือ กลุมสาระการเรียนรู วิชา กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย รวมถึงเนื้อหาที่เคยออกขอสอบ O-NET แนวขอสอบ NT/O-NET ทีเ่ นนการคิด พรอมเฉลยและคําอธิบายอยางละเอียด
ที่ใชในคูมือครู
แถบสีและสัญลักษณ
แถบสีแสดงขั้นตอนการสอนและการจัดกิจกรรม แบบ 5Es เพื่อใหครูทราบวาเปนขั้นการสอนขั้นใด
1. แถบสี 5Es สีแดง
สีเขียว
กระตุน ความสนใจ
เสร�ม
สํารวจคนหา
Engage
2
•
เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใช เทคนิคกระตุน ความสนใจ เพื่อโยง เขาสูบทเรียน
สีสม
อธิบายความรู
Explore
•
เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนสํารวจ ปญหา และศึกษา ขอมูล
สีฟา
Explain
•
เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนคนหา คําตอบ จนเกิดความรู เชิงประจักษ
สีมวง
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
•
Evaluate
เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนนําความรู ไปคิดคนตอๆ ไป
•
เปนขั้นที่ผูสอน ประเมินมโนทัศน ของผูเรียน
2. สัญลักษณ สัญลักษณ
วัตถุประสงค
• เปาหมายการเรียนรู
• หลักฐานแสดง ผลการเรียนรู
• เกร็ดแนะครู
แทรกความรูเสริมสําหรับครู ขอเสนอแนะ ขอควรระวัง ขอสังเกต แนวทางการจัด กิจกรรมและอืน่ ๆ เพื่อประโยชนในการ จัดการเรียนการสอน ขยายความรูเพิ่มเติมจากเนื้อหา เพื่อให ครูนําไปใชอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียน ไดมีความรูมากขึ้น
•
ความรูห รือกิจกรรมเสริม ใหครูนาํ ไปใช เตรียมความพรอมใหกบั นักเรียนกอนเขาสู ประชาคมอาเซียนใน พ.ศ. 2558 โดย บูรณาการกับวิชาทีก่ าํ ลังเรียน
บูรณาการอาเซียน
•
คูม อื ครู
แสดงรองรอยหลักฐานตามภาระงาน ที่ครูมอบหมาย เพื่อแสดงผลการเรียนรู ตามตัวชี้วัด
• นักเรียนควรรู
มุม IT
แสดงเปาหมายการเรียนรูที่นักเรียน ตองบรรลุตามตัวชี้วัด ตลอดจนสมรรถนะ ที่จะตองมี และคุณลักษณะที่พึงเกิดขึ้น กับนักเรียน
แนะนําแหลงคนควาจากเว็บไซต เพื่อให ครูและนักเรียนไดเขาถึงขอมูลความรู ที่หลากหลาย ทั้งไทยและตางประเทศ
สัญลักษณ
ขอสอบ
วัตถุประสงค
O-NET
(เฉพาะวิชา ชัน้ ทีส่ อบ O-NET O-NET)
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T (เฉพาะระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนตน)
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET (เฉพาะระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนปลาย)
บูรณาการเชื่อมสาระ
กิจกรรมสรางเสริม
กิจกรรมทาทาย
• ชีแ้ นะเนือ้ หาทีเ่ คยออกขอสอบ
O-NET โดยยกตัวอยางขอสอบ พรอมวิเคราะหคาํ ตอบ อยางละเอียด
• เปนตัวอยางขอสอบทีม่ งุ เนน
การคิดและเปนแนวขอสอบ NT/O-NET ในระดับมัธยมศึกษา ตอนตน มีทงั้ ปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลยอยางละเอียด
• เปนตัวอยางขอสอบทีม่ งุ เนน
การคิดและเปนแนวขอสอบ O-NET ในระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย มีทงั้ ปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลยอยางละเอียด
• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม
เชือ่ มกับสาระหรือกลุม สาระ การเรียนรู ระดับชัน้ หรือวิชาอืน่ ทีเ่ กีย่ วของ
• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม ซอมเสริมสําหรับนักเรียนทีค่ วร ไดรบั การพัฒนาการเรียนรู
• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม ตอยอดสําหรับนักเรียนทีเ่ รียนรู ไดอยางรวดเร็ว และตองการ ทาทายความสามารถในระดับ ทีส่ งู ขึน้
คําแนะนําการใชคูมือครู การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอน คูมือครู รายวิชา พระพุทธศาสนา ม. 4 จัดทําขึ้นเพื่อใหครูผูสอนนําไปใชเปนแนวทางวางแผนการสอนเพื่อพัฒนา ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน และประกันคุณภาพผูเ รียน ตามนโยบายของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน (สพฐ.) โดยใชหนังสือเรียน พระพุทธศาสนา ม. 4 ของบริษทั อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด เปนสือ่ หลัก (Core Material) ประกอบ เสร�ม การสอนและการจัดกิจกรรมการเรียนรูใหสอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดกลุมสาระการเรียนรู สังคมศึกษา 3 ศาสนา และวัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 โดยออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอน ตามหลักการสําคัญ ดังนี้ 1 ออกแบบการสอนเปนหนวยการเรียนรูอิงมาตรฐาน คูม อื ครู รายวิชา พระพุทธศาสนา ม. 4 วางแผนการสอนโดยแบงเปนหนวยการเรียนรูต ามลําดับสาระ (strand) และ หมายเลขขอของมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั แตละหนวยจะกําหนดเปาหมายการเรียนรูแ ละจุดประสงคการเรียนรู (Objective Learning) กิจกรรมการเรียนรู (Learning Activities) และแนวทางการประเมินผลการเรียนรู (Learning Evaluation) ไวชัดเจน ครูผูสอนสามารถจัดทําแผนการสอนใหครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัด สมรรถนะ และคุณลักษณะ อันพึงประสงคที่เปนเปาหมายการเรียนรูตามที่กําหนดไวในสาระแกนกลาง (ตามแผนภูมิ) และสามารถบันทึกผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของผูเรียนแตละคนลงในเอกสาร ปพ.5 ไดอยางมั่นใจ แผนภูมิแสดงความสัมพันธขององคประกอบการออกแบบการเรียนรูอิงมาตรฐานและเนนผูเรียนเปนสําคัญ
พผ
ูเ
จุดปร
ะสง
คก า
ส ภา
รียน
ร
รู ีเรยน
มาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัดชวงชั้น
ทักษะการคิด การวัดและประเมินผล การเรียนรู
กิจกรรมการเรียนรู
เทคนิคการสอน คูม อื ครู
2 การจัดการเรียนรูที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ แนวคิ ด ในการจั ด การเรี ย นการสอนที่ ยึ ด ผู เ รี ย นเป น สํ า คั ญ พั ฒ นามาจากปรั ช ญาและทฤษฎี ก ารเรี ย นรู Constructivism ที่เชื่อวา การเรียนรูเปนกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในสมองของผูเรียนแตละคน ผูเรียนเปนผูสรางความรู โดยการเชื่อมโยงระหวางสิ่งที่ไดเรียนรูจากบทเรียนใหมกับความรูหรือประสบการณเดิมที่มีอยู ทฤษฎีนี้มีความเชื่อวา ผูเรียนทุกคนไดเรียนรูและมีการสั่งสมความรูความเขาใจเกี่ยวกับสิ่งตางๆ ติดตัวมากอน ทีจ่ ะเขาสูห อ งเรียน ซึง่ เปนการเรียนรูท เี่ กิดจากประสบการณและสิง่ แวดลอมรอบตัวผูเ รียนแตละคน ดังนัน้ การจัดกิจกรรม เสร�ม การเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ผูสอนจะตองคํานึงถึง
4
1. ความรูเดิมของผูเรียน วิธีการสอนที่ดีจะตองเริ่มตนจากจุดที่วา ผูเ รียนมีความรูอ ะไรมาบาง แลวจึงใหความรู หรือประสบการณใหม เพื่อตอยอดจาก ความรูเดิม นําไปสูการสรางความรู ความเขาใจใหม
2. ความรูเดิมของผูเรียนถูกตองหรือไม ผูส อนตองปรับเปลีย่ นความรูค วามเขาใจเดิม ของผูเรียนใหถูกตอง และเปนพฤติกรรม การเรียนรูใ หมทมี่ คี ณุ คาตอผูเรียน เพื่อสราง เจตคติหรือทัศนคติที่ดีตอการเรียนรู สิ่งเหลานั้น
3. ผูเรียนสรางความหมายสําหรับตนเอง ผูสอนตองสงเสริมใหผูเรียนนําความรู ความเขาใจที่เกิดขึ้นไปลงมือปฏิบัติ เพื่อขยายความรูใหลึกซึ้งและมีคุณคา ตอตัวผูเรียนมากที่สุด
แนวคิด Constructivism เนนใหผูเรียนสรางความรูโดยผานกระบวนการคิดและความอยากรูของตนเอง โดยมีผูสอนเปนผูสรางบรรยากาศ
การเรียนรูและกระตุนความสนใจ คอยจัดสถานการณใหผูเรียนเกิดความขัดแยงทางความคิดระหวางประสบการณเดิมกับประสบการณ ความรูใ หม เพือ่ กระตนุ ใหผเู รียนเชือ่ มโยงความรู ความคิด กับประสบการณทมี่ อี ยูเ ดิม แลวสังเคราะหเปนความรูห รือแนวคิดใหมๆ ไดดว ยตนเอง
3 การบูรณาการกระบวนการคิด การเรียนรูของผูเรียนแตละคนจะเกิดขึ้นที่สมอง ซึ่งเปนอวัยวะที่ทําหนาที่รูคิดภายใตสภาพแวดลอมที่เอื้ออํานวย และไดรบั การกระตนุ จูงใจอยางเหมาะสม สอดคลองกับสภาพจิตใจและความตองการของผูเ รียนแตละคน การจัดกิจกรรม การเรียนรูและสาระการเรียนรูที่สอดคลองกับความสนใจและมีความหมายตอผูเรียน จะชวยกระตุนใหสมองของผูเรียน สามารถรับรูและเรียนรูไดอยางมีประสิทธิภาพตามขั้นตอนการทํางานของสมอง ดังนี้ 1. สมองจะเรียนรูและสืบคน โดยการสังเกต คนหา ซักถาม และทดลอง ปฏิบัติ จนทําใหคนพบความรูความเขาใจ ไดอยางรวดเร็ว
2. สมองจะแยกแยะคุณคาของสิ่งตางๆ โดยการตัดสินใจวิพากษวิจารณ แสดง ความคิดเห็น ยอมรับหรือตอตานตาม อารมณความรูสึกที่เกิดขึ้นในขณะที่เรียนรู
3. สมองจะประมวลเนื้อหาสาระ โดยการสรุปเปนความคิดรวบยอดจาก เรื่องราวที่ไดเรียนรูใหมนําไปผสมผสานกับ ความรูห รือประสบการณเดิมทีถ่ กู จัดเก็บอยูใ น สมอง ผานการกลัน่ กรองเพือ่ สังเคราะหเปน ความรูค วามเขาใจใหมๆ หรือเปนทัศนคติใหม ที่จะเก็บบรรจุไวในสมองของผูเรียน
การเรียนรูที่มีประสิทธิภาพจึงตองเปนการเรียนรูที่เกิดจากกระบวนการคิดของผูเรียน เพราะการเรียนรูจะเกิดขึ้น เมื่อสมองรูคิด และตองเปนการคิดไดครบถวนตามขั้นตอนการทํางานของสมองผูเรียน โดยเริ่มตนจาก 1. ระดับการคิดพื้นฐาน ไดแก การสังเกต การจําแนก การคาดคะเน การสื่อความหมาย การรวบรวมขอมูล การสรุปผล เปนตน
คูม อื ครู
2. ระดับลักษณะการคิด ไดแก การคิดกวาง คิดลึกซึ้ง คิดไกล คิดหลากหลาย คิดคลอง คิดอยางมีเหตุผล เปนตน
3. ระดับกระบวนการคิด ไดแก กระบวนการคิดอยางมีวิจารณญาณ กระบวนการแกปญหา กระบวนการ คิดสรางสรรค กระบวนการคิดสังเคราะห เปนตน
5Es การจัดกิจกรรมตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ขั้นตอนการสอนที่สัมพันธกับขั้นตอนการคิดและการทํางานทางสมองของผูเรียนที่นิยมใชอยางแพรหลาย คือ วัฏจักรการเรียนรู 5Es ซึ่งผูจัดทําคูมือครูไดนํามาใชเปนแนวทางออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในแตละหนวย ตามลําดับขั้นตอนการเรียนรู ดังนี้ ขั้นที่ 1
กระตุนความสนใจ
(Engage)
เสร�ม
5
เปนขั้นที่ผูสอนนําเขาสูบทเรียน เพื่อกระตุนความสนใจของผูเรียนดวยเรื่องราวหรือเหตุการณที่นาสนใจโดยใชเทคนิควิธีการ และคําถามทบทวนความรูหรือประสบการณเดิมของผูเรียน เพื่อเชื่อมโยงผูเรียนเขาสูความรูของบทเรียนใหม ชวยใหผูเรียนสามารถ สรุปความสําคัญหัวขอและสาระการเรียนรูของบทเรียนได จึงเปนขั้นตอนการสอนที่สําคัญ เพราะเปนการเตรียมความพรอมและสราง แรงจูงใจใฝเรียนรูแกผูเรียน
ขั้นที่ 2
สํารวจคนหา
(Explore)
เปนขัน้ ทีผ่ สู อนเปดโอกาสใหผเู รียนลงมือศึกษา สังเกต หรือรวมมือกันสํารวจ เพือ่ ใหเห็นขอบขายของประเด็นหรือปญหา รวมถึง วิธีการศึกษาคนควา การรวบรวมขอมูลความรูที่จะนําไปสูการสรางความเขาใจประเด็นหรือปญหานั้นๆ เมื่อผูเรียนทําความเขาใจใน ประเด็นหรือปญหาที่จะศึกษาคนควาอยางถองแทแลว ก็ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมขอมูลความรู สํารวจตรวจสอบ โดยวิธีการตางๆ เชน สัมภาษณ ทดลอง อานคนควาขอมูลจากเอกสาร แหลงขอมูลตางๆ จนไดขอมูลความรูที่เกี่ยวของกับประเด็นหรือปญหาที่ศึกษา
ขั้นที่ 3
อธิบายความรู
(Explain)
เปนขั้นที่ผูสอนมีปฏิสัมพันธกับผูเรียน เชน ใหการแนะนํา ตั้งคําถามกระตุนใหคิด เพื่อใหผูเรียนคนหาคําตอบ และนําขอมูล ความรูจากการศึกษาคนควาในขั้นที่ 2 มาวิเคราะห สรุปผล และนําเสนอผลที่ไดศึกษาคนความาในรูปแบบสารสนเทศตางๆ เชน เขียนแผนภูมิ ผังมโนทัศน เขียนความเรียง เขียนรายงาน เปนตน ในขั้นตอนนี้ฝกใหผูเรียนใชสมองคิดวิเคราะหและสังเคราะห อยางเปนระบบ
ขั้นที่ 4
ขยายความเขาใจ
(Expand)
เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใชเทคนิควิธีสอนตางๆ ที่สงเสริมใหผูเรียนนําความรูที่เกิดขึ้นไปคิดคนสืบคนตอๆ ไป เพื่อพัฒนาทักษะ การเรียนรูและการทํางานรวมกันเปนกลุม ระดมสมองเพื่อคิดสรางสรรครวมกัน ผูเรียนสามารถนําความรูที่สรางขึ้นใหมไปเชื่อมโยง กับประสบการณเดิมโดยนําขอสรุปทีไ่ ดไปใชอธิบายเหตุการณตา งๆ หรือนําไปปฏิบตั ใิ นสถานการณใหมๆ ทีเ่ กีย่ วของกับชีวติ ประจําวัน ของตนเอง เพื่อขยายความรูความเขาใจใหกวางขวางยิ่งขึ้น ในขั้นตอนนี้ฝกสมองของผูเรียนใหสามารถคิดริเริ่มสรางสรรคอยางมี คุณภาพ เสริมสรางวิสัยทัศนใหกวางไกลออกไป
ขั้นที่ 5
ตรวจสอบผล
(Evaluate)
เปนขัน้ ทีผ่ สู อนประเมินมโนทัศนของผูเ รียน โดยตรวจสอบจากความคิดทีเ่ ปลีย่ นไปและความคิดรวบยอดทีเ่ กิดขึน้ ใหม ตรวจสอบ ทักษะ กระบวนการปฏิบัติ การแกปญหา การตอบคําถามรวบยอด หรือการเคารพความคิดหรือยอมรับเหตุผลของคนอื่น เพื่อการ สรางสรรคความรูร ว มกัน ผูเ รียนสามารถประเมินผลการเรียนรูข องตนเอง เพือ่ สรุปผลวามีความรูอ ะไรเพิม่ ขึน้ มาบาง เกิดความเขาใจ มากนอยเพียงใด และจะนําความรูเหลานั้นไปประยุกตใชในการเรียนรูเรื่องอื่นๆ หรือในชีวิตประจําวันไดอยางไร ผูเรียนจะเกิดเจตคติ และเห็นคุณคาของตนเองจากผลการเรียนรูที่เกิดขึ้น ซึ่งเปนการเรียนรูที่มีความสุขอยางแทจริง
การจัดกิจกรรมการเรียนรูตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es จึงเปนรูปแบบการเรียนการสอนที่เนนผูเรียน เปนสําคัญอยางแทจริง เพราะสงเสริมใหผูเรียนไดเรียนรูตามขั้นตอนของกระบวนการสรางความรูดวยตนเอง และ ฝกฝนใหใชกระบวนการคิดและกระบวนการกลุมอยางชํานาญ กอใหเกิดทักษะชีวิต ทักษะการทํางาน และทักษะการ เรียนรูที่มีประสิทธิภาพ สงผลตอการยกระดับผลสัมฤทธิ์ของผูเรียน ตามเปาหมายของการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) ทุกประการ คูม อื ครู
O-NET การเพิ่มผลสัมฤทธิ์ O-NET
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ในแตละหนวยการเรียนรู ทางผูจัดทํา จะเสนอแนะวิธีสอน รูปแบบกิจกรรมการเรียนรู พรอมทั้งออกแบบเครื่องมือวัดและประเมินผลที่สอดคลองกับตัวชี้วัด และสาระการเรียนรูแกนกลางไวทุกขั้นตอน โดยยึดหลักสําคัญ คือ หลักของการวัดและประเมินผล เสร�ม
6
1. การวัดและประเมินผลทุกครั้ง ควรนําผลมาปรับปรุงพัฒนาผูเรียน เปนรายบุคคล
2. การวัดและประเมินผลมี เปาหมาย เพื่อพัฒนาการเรียนรู ของผูเรียนจนเต็มศักยภาพ
3. การนําผลการวัดและประเมินผล ทุกครั้งมาวางแผนปรับปรุงกิจกรรม การเรียนการสอน การเลือกเทคนิค วิธีสอน และสื่อการเรียนรูให เหมาะสมกับสภาพจริงของผูเรียน
การทดสอบผูเรียน 1. การใชขอสอบอัตนัย เนนการอาน การคิดวิเคราะห และการเขียนเพิ่มมากขึ้น 2. การใชคําถามกระตุนการคิดควบคูกับการทําขอสอบที่เนนการคิดอยางตอเนื่องตามลําดับกิจกรรมการเรียนรู และตัวชี้วัด 3. การทดสอบตองดําเนินการทั้งกอนเรียน ระหวางเรียน และหลังเรียน การทดสอบควรใชขอสอบทั้งชนิดปรนัยและ อัตนัย และเปนการทดสอบเพื่อประเมินผลการเรียนของผูเรียนแตละคน เพื่อการสอนซอมเสริมใหบรรลุตัวชี้วัด ไดครบถวน 4. การสอบกลางภาค (ถามี) ควรนําแบบฝกหัดหรือขอสอบทีน่ กั เรียนสวนใหญไมสามารถตอบไดหรือไมครบถวนชัดเจน มา สรางเปนแบบทดสอบอีกครัง้ เพือ่ ตรวจสอบความรูค วามเขาใจทีถ่ กู ตอง และประเมินความกาวหนาของผูเ รียนแตละคน 5. การสอบปลายภาคเรียนเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามตัวชี้วัดที่สําคัญ ควรออกขอสอบใหมีลักษณะเดียวกับ ขอสอบ O-NET โดยเนนการคิดวิเคราะห สังเคราะห เชื่อมโยงประยุกตใช เพื่อสรางความคุนเคย และฝกฝน วิธีการทําขอสอบดวยความมั่นใจ 6. การนําผลการทดสอบของผูเรียนมาวิเคราะห โดยผลการสอบกอนการเรียนตองสามารถพยากรณผลการสอบ กลางภาค และผลการสอบกลางภาคตองทํานายผลการสอบปลายภาคของผูเ รียนแตละคน เพือ่ ประเมินพัฒนาการ ความกาวหนาของผูเรียนเปนรายบุคคล 7. ผลการทดสอบปลายป ปลายภาค ตองมีคาเฉลี่ยสอดคลองกับคาเฉลี่ยของการสอบ NT ที่เขตพื้นที่การศึกษา จัดสอบ รวมทั้งคาเฉลี่ยของการสอบ O-NET ชวงชั้นที่สอดคลองครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดสําคัญ เพือ่ สะทอนประสิทธิภาพของครูผสู อนในการออกแบบการเรียนรูแ ละประกันคุณภาพผูเ รียนทีต่ รวจสอบผลไดชดั เจน การจัดการเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ตองใหผูเรียนไดสั่งสมความรู ความเขาใจตามลําดับขั้นตอน ของกิจกรรมในวัฏจักรการเรียนรู 5Es เพื่อใหผูเรียนไดเติมเต็มองคความรูอยางตอเนื่อง จนสามารถปฏิบัติชิ้นงานหรือ ภาระงานรวบยอดของแตละหนวย ผานเกณฑประกันคุณภาพในระดับที่นาพึงพอใจ เพื่อรองรับการประเมินภายนอกจาก สมศ. ตลอดเวลา คูม อื ครู
ASEAN การเรียนรูสูประชาคมอาเซียน เพื่ออํานวยความสะดวกแกครูผูสอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรูบูรณาการอาเซียนศึกษา ผูจัดทําไดวิเคราะห มาตรฐานการเรียนรู และตัวชี้วัดที่มีสาระการเรียนรูสอดคลองกับองคความรูเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนในแงมุมตางๆ ครอบคลุมทัง้ ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรม อาเซียน เพื่อสงเสริมการเรียนรูใหผูเรียนเกิดความตระหนัก มีความรูความเขาใจเหมาะสมกับระดับชั้นและกลุมสาระ การเรียนรู โดยเสนอแนะวิธีการจัดกิจกรรมบูรณาการเนื้อหาสาระตางๆ ที่เปนประโยชนตอผูเรียนและเปนการชวย เตรียมความพรอมผูเ รียนทุกคนทีจ่ ะกาวเขาสูก ารเปนสมาชิกของประชาคมอาเซียนไดอยางมัน่ ใจตามขอตกลงปฏิญญา เสร�ม ชะอํา-หัวหิน วาดวยความรวมมือดานการศึกษาเพือ่ บรรลุเปาหมายประชาคมอาเซียนทีเ่ อือ้ อาทรและแบงปน จึงกําหนด 7 เปนนโยบายใหกระทรวงศึกษาธิการจัดการเรียนรูเตรียมความพรอมผูเรียนเขาสูประชาคมอาเซียนภายในป พ.ศ. 2558 ตามแนวปฏิบัติที่สําคัญ ดังนี้
การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน 1. การสรางความรูความเขาใจ และตระหนักถึงความสําคัญของ กฎบัตรอาเซียน และความรวมมือ ของ 3 เสาหลัก ซึง่ กฎบัตรอาเซียน ในขณะนี้มีสถานะเปนกฎหมายที่ ประเทศสมาชิกจะตองปฏิบัติตาม หลักการที่กําหนดไวเพื่อใหบรรลุ เปาหมายของกฎบัตรมาตราตางๆ
2. การสงเสริมหลักการ ประชาธิปไตยและการสราง สิ่งแวดลอมประชาธิปไตย เพื่อการอยูรวมกันอยางกลมกลืน ภายใตวิถีชีวิตอาเซียนที่มีความ หลากหลายดานสังคมและ วัฒนธรรม
4. การตระหนักในคุณคาของ สายสัมพันธทางประวัติศาสตร และมรดกทางวัฒนธรรมที่มี พัฒนาการรวมกัน เพื่อเชื่อม อัตลักษณและสรางจิตสํานึก ในการเปนประชากรของประชาคม อาเซียนรวมกัน
3. การสงเสริมการศึกษาดาน สิทธิมนุษยชน เพื่อสรางประชาคม อาเซียนใหเปนประชาคมเพื่อ ประชาชนอยางแทจริง สามารถ อยูรวมกันไดบนพื้นฐานการเคารพ ในคุณคาของศักดิ์ศรีแหงความ เปนมนุษยเทาเทียมกัน
5. การสงเสริมสันติภาพ ความ มั่นคง และความปรองดองในสังคม ทั้งระดับประเทศและภูมิภาคของ อาเซียนบนพื้นฐานสันติวิธีและการ อยูรวมกันดวยขันติธรรม
คูม อื ครู
การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
เสร�ม
8
1. การพัฒนาทักษะการทํางาน เพื่อเสริมสรางผูเรียนใหมีทักษะ วิชาชีพที่จําเปนสอดคลองกับ ความตองการของตลาดแรงงาน และสถานประกอบการในอาเซียน สามารถเทียบโอนผลการเรียน และการทํางานตามมาตรฐานฝมือ แรงงานในภูมิภาคอาเซียน
2. การเสริมสรางวินัย ความรับผิดชอบ และเจตคติรักการทํางาน สามารถพึ่งพาตนเอง มีทักษะชีวิต ดํารงชีวิตอยางมีความสุข เห็นคุณคา และภูมิใจในตนเอง ในฐานะที่เปนพลเมืองไทยและ อาเซียน
3. การเรียนรูเพื่อพัฒนาตนเอง อยางตอเนื่องตลอดชีวิต ใหมี ทักษะการทํางานตามมาตรฐาน อาชีพ และคุณวุฒิของวิชาชีพสาขา ตางๆ เพื่อรองรับการเตรียมเคลื่อน ยายแรงงานมีฝมือและการเปน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่ เขมแข็ง เพื่อสรางขีดความสามารถ ในการแขงขันในเวทีโลก
การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน 1. การเสริมสรางความรวมมือ ในลักษณะสังคมที่เอื้ออาทร ของประชากรอาเซียน โดยยึด หลักการสําคัญ คือ ความงดงาม ของประชาคมอาเซียนมาจาก ความแตกตางและหลากหลายทาง วัฒนธรรมที่ลวนแตมีคุณคาตอ มรดกทางวัฒนธรรมของอาเซียน ซึ่งประชาชนทุกคนตองอนุรักษ สืบสานใหยั่งยืน
2. การเสริมสรางคุณลักษณะ ของผูเรียนใหเปนพลเมืองอาเซียน ที่มีศักยภาพในการกาวเขาสู ประชาคมอาเซียนอยางมั่นใจ เปนผูที่มีสุขภาพสมบูรณแข็งแรง มีทักษะการสื่อสาร ทักษะการ ทํางาน ทักษะทางสังคม สามารถ ทํางานรวมกับผูอื่นไดอยาง สรางสรรค และมีองคความรู เกี่ยวกับอาเซียนที่จําเปนตอการ ดํารงชีวิตอยางมีคุณภาพ
4. การสงเสริมการเรียนรูดาน ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถชี วี ติ ความเปนอยูข องเพือ่ นบาน ในอาเซียน เพื่อสรางจิตสํานึกของ ความเปนประชาคมอาเซียนและ ตระหนักถึงหนาที่ของการเปน พลเมืองอาเซียนรวมกัน
3. การสงเสริมการเรียนรูภาษา อังกฤษเพื่อการสื่อสารและการ ทํางานตามมาตรฐานอาชีพที่ กําหนดและสนับสนุนการเรียนรู ภาษาอาเซียนและภาษาเพื่อนบาน เพื่อชวยเสริมสรางสัมพันธภาพทาง สังคม และการอยูรวมกันอยางสันติ ทามกลางความหลากหลายทาง วัฒนธรรม
5. การสรางความรูและความ ตระหนักเกี่ยวกับดานสิ่งแวดลอม ปญหาและผลกระทบตอคุณภาพ ชีวิตของประชากรในภูมิภาค รวมทั้งแนวทางการพัฒนาอยาง ยั่งยืน ใหเปนมรดกสืบทอดแก พลเมืองอาเซียนในรุนหลังตอๆ ไป
กระทรวงศึกษาธิการจึงประกาศนโยบายการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) เพื่อเรงพัฒนาเด็ก และเยาวชนไทยใหเปนทรัพยากรมนุษยของชาติที่มีทักษะและความชํานาญ พรอมเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและ การแขงขันทั้งในภูมิภาคอาเซียนและภูมิภาคอื่นๆ ของสังคมโลก ทั้งนี้ผูบริหารสถานศึกษา ครูผูสอน และผูปกครอง ควรรวมมือกันอยางใกลชิดในการดูแลชวยเหลือผูเรียนและจัดประสบการณการเรียนรูเพื่อพัฒนาผูเรียนจนเต็มศักยภาพ เพื่อกาวเขาสูการเปนพลเมืองอาเซียนอยางมีเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีความเปนมนุษยของตน คณะผูจัดทํา คูม อื ครู
ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง สาระที่ 1
พระพุทธศาสนา (เฉพาะชั้น ม. 4)*
ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม
มาตรฐาน ส 1.1 รูและเขาใจประวัติ ความสําคัญ ศาสดา หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือและ ศาสนาอื่น มีศรัทธาที่ถูกตอง ยึดมั่นและปฏิบัติตามหลักธรรม เพื่ออยูรวมกันอยางสันติสุข ตัวชี้วัด 1. วิเคราะหสังคมชมพู ทวีป และคติความ เชื่อทางศาสนาสมัย กอนพระพุทธเจา หรือสังคมสมัยของ ศาสดาที่ตนนับถือ 2. วิเคราะห พระพุทธเจาใน ฐานะเปนมนุษยผู ฝกตนไดอยางสูงสุด ในการตรัสรู การ กอตั้ง วิธีการสอน และการเผยแผ พระพุทธศาสนา หรือวิเคราะหประวัติ ศาสดาที่ตนนับถือ ตามที่กําหนด 3. วิเคราะหพุทธประวัติ ดานการบริหาร และการธํารงรักษา ศาสนา หรือ วิเคราะหประวัติ ศาสดาที่ตนนับถือ ตามที่กําหนด 4. วิเคราะหขอปฏิบัติ ทางสายกลางใน พระพุทธศาสนา หรือแนวคิดของ ศาสนาที่ตนนับถือ ตามที่กําหนด 5. วิเคราะหการพัฒนา ศรัทธาและปญญาที่ ถูกตองในพระพุทธศาสนา หรือแนวคิด ของศาสนาที่ตน นับถือตามที่กําหนด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
ชั้น ม.4
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน ชั้น ม.5
• ลักษณะของสังคมชมพูทวีป • หนวยการเรียนรูที่ 1 และคติความเชื่อทางศาสนา ประวัติและความสําคัญ สมัยกอนพระพุทธเจา ของพระพุทธศาสนา
-
ชั้น ม.6 -
เสร�ม
9
• พระพุทธเจาในฐานะเปน • หนวยการเรียนรูที่ 2 • หนวยการเรียนรูที่ 2 • หนวยการเรียนรูที่ 2 มนุษย ผูฝกตนไดอยางสูงสุด พุทธประวัติ พระสาวก พุทธประวัติ พระสาวก พุทธประวัติ พระสาวก (การตรัสรู) ศาสนิกชนตัวอยาง ศาสนิกชนตัวอยาง ศาสนิกชนตัวอยาง • การกอตั้งพระพุทธศาสนา และชาดก และชาดก และชาดก วิธีการสอน และการเผยแผ พระพุทธศาสนาตามแนว พุทธจริยา
-
• หนวยการเรียนรูที่ 2 พุทธประวัติ พระสาวก ศาสนิกชนตัวอยาง และชาดก
• พระพุทธศาสนามีทฤษฎีและ • หนวยการเรียนรูที่ 1 วิธีการที่เปนสากลและมีขอ ประวัติและความสําคัญ ปฏิบัติที่ยึดทางสายกลาง ของพระพุทธศาสนา
-
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1 ประวัติและความสําคัญ ของพระพุทธศาสนา
-
-
• พุทธประวัติดานการบริหาร และการธํารงรักษาพระพุทธศาสนา
• พระพุทธศาสนาเนนการ พัฒนาศรัทธาและปญญาที่ ถูกตอง
-
หมายเหตุ : สําหรับสาระที่ 2 - 5 จะอยูในหนังสือเรียนหนาที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดําเนินชีวิตในสังคม เศรษฐศาสตร ประวัติศาสตรไทย ประวัติศาสตรสากล และภูมิศาสตร ม.4 - ม.6 ของ อจท. _________________________________
* สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง
กลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม. (กรุงเทพมหานคร : ชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย, 2551), หนา 29-44.
คูม อื ครู
ตัวชี้วัด
เสร�ม
10
คูม อื ครู
6. วิเคราะหลักษณะ ประชาธิปไตยใน พระพุทธศาสนา หรือแนวคิดของ ศาสนาที่ตนนับถือ ตามที่กําหนด 7. วิเคราะหหลักการ ของพระพุทธศาสนา กับหลักวิทยาศาสตร หรือแนวคิดของ ศาสนาที่ตนนับถือ ตามที่กําหนด 8. วิเคราะหการฝกฝน และพัฒนาตนเอง การพึ่งตนเอง และ การมุงอิสรภาพใน พระพุทธศาสนา หรือแนวคิดของ ศาสนาที่ตนนับถือ ตามที่กําหนด 9. วิเคราะหพระพุทธศาสนาวา เปน ศาสตรแหงการ ศึกษาซึ่งเนนความ สัมพันธของเหตุ ปจจัยกับวิธีการแก ปญหา หรือแนวคิด ของศาสนาที่ตน นับถือตามที่กําหนด 10. วิเคราะหพระพุทธศาสนาในการฝก ตนไมใหประมาท มุงประโยชนและ สันติภาพบุคคล สังคมและโลก หรือ แนวคิดของศาสนา ที่ตนนับถือตามที่ กําหนด 11. วิเคราะหพระพุทธศาสนากับปรัชญา ของเศรษฐกิจพอ เพียงและการพัฒนา ประเทศแบบยั่งยืน หรือแนวคิดของ ศาสนาที่ตนนับถือ ตามที่กําหนด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
ชั้น ม.4
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน ชั้น ม.5
ชั้น ม.6
• ลักษณะประชาธิปไตยใน พระพุทธศาสนา
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1 ประวัติและความสําคัญ ของพระพุทธศาสนา
-
• หลักการของพระพุทธศาสนา กับหลักวิทยาศาสตร • การคิดตามนัยแหงพระพุทธศาสนาและการคิดแบบ วิทยาศาสตร
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1 ประวัติและความสําคัญ ของพระพุทธศาสนา
-
• พระพุทธศาสนาเนนการ ฝกหัดอบรมตน การพึ่ง ตนเอง และการมุงอิสรภาพ
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1 ประวัติและความสําคัญ ของพระพุทธศาสนา
-
• พระพุทธศาสนาเปนศาสตร แหงการศึกษา • พระพุทธศาสนาเนนความ สัมพันธ ของเหตุปจจัยและ วิธีการแกปญหา
-
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1 ประวัติและความสําคัญ ของพระพุทธศาสนา
• พระพุทธศาสนาฝกตนไมให ประมาท • พระพุทธศาสนามุงประโยชน สุขและสันติภาพแกบุคคล สังคมและโลก
-
-
• หนวยการเรียนรูที่ 1 ประวัติและความสําคัญ ของพระพุทธศาสนา
• พระพุทธศาสนากับปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียงและ การพัฒนาแบบยั่งยืน
-
-
• หนวยการเรียนรูที่ 8 พระพุทธศาสนากับ การแกปญหาและ การพัฒนา
ตัวชี้วัด 12. วิเคราะหความสําคัญ ของพระพุทธศาสนา เกี่ยวกับการศึกษาที่ สมบูรณ การเมือง และสันติภาพ หรือ แนวคิดของศาสนา ที่ตนนับถือตามที่ กําหนด 13. วิเคราะหหลักธรรม ในกรอบ อริยสัจ 4 หรือหลักคําสอนของ ศาสนา ที่ตนนับถือ พระรัตนตรัย
สาระการเรียนรูแกนกลาง
ชั้น ม.4
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน ชั้น ม.5
ชั้น ม.6
• ความสําคัญของพระพุทธศาสนากับการศึกษาที่ สมบูรณ • ความสําคัญของพระพุทธศาสนากับการเมือง • ความสําคัญของพระพุทธศาสนากับสันติภาพ
• หนวยการเรียนรูที่ 8 พระพุทธศาสนากับ การแกปญหาและการ พัฒนา
พระรัตนตรัย • วิเคราะหความหมายและ คุณคาของพุทธะ ธรรมะ สังฆะ อริยสัจ 4 • ทุกข (ธรรมที่ควรรู) - ขันธ 5 นามรูป โลกธรรม 8 จิต, เจตสิก • สมุทัย (ธรรมที่ควรละ) - หลักกรรม นิยาม 5 กรรมนิยาม (กรรม 12) ธรรมนิยาม (ปฏิจจสมุปบาท) - วิตก 3 - มิจฉาวณิชชา 5 - นิวรณ 5 - อุปาทาน 4 • นิโรธ (ธรรมที่ควรบรรลุ) - ภาวนา 4 - วิมุตติ 5 - นิพพาน • มรรค (ธรรมที่ควรเจริญ) - พระสัทธรรม 3 - ปญญาวุฒิธรรม 4 - พละ 5 - อุบาสกธรรม 5 - อปริหานิยธรรม 7 - ปาปณิกธรรม 3 - ทิฏฐธัมมิกัตถสังวัตตนิกธรรม 4 - โภคอาทิยะ 5 - อริยวัฑฒิ 5 - อธิปไตย 3 - สาราณียธรรม 6 - ทศพิธราชธรรม 10
• หนวยการเรียนรูที่ 3 • หนวยการเรียนรูที่ 3 • หนวยการเรียนรูที่ 3 หลักธรรมทาง หลักธรรมทาง หลักธรรมทาง พระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา • หนวยการเรียนรูที่ 4 • หนวยการเรียนรูที่ 4 • หนวยการเรียนรูที่ 4 พุทธศาสนสุภาษิตและ พระไตรปฎกและพุทธ พุทธศาสนสุภาษิต พระไตรปฎก ศาสนสุภาษิต คําศัพททางพระพุทธศาสนา และพระไตรปฎก
-
-
เสร�ม
11
คูม อื ครู
ตัวชี้วัด
เสร�ม
12
คูม อื ครู
สาระการเรียนรูแกนกลาง
ชั้น ม.4
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน ชั้น ม.5
ชั้น ม.6
- วิปสสนาญาณ 9 • หนวยการเรียนรูที่ 3 • หนวยการเรียนรูที่ 3 • หนวยการเรียนรูที่ 3 - มงคล 38 หลักธรรมทาง หลักธรรมทาง หลักธรรมทาง สงเคราะหบุตร พระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา สงเคราะหภรรยา • หนวยการเรียนรูที่ 4 • หนวยการเรียนรูที่ 4 • หนวยการเรียนรูที่ 4 สันโดษ พุทธศาสนสุภาษิตและ พุทธศาสนสุภาษิตและ พุทธศาสนสุภาษิต ถูกโลกธรรม พระไตรปฎก พระไตรปฎก คําศัพททางพระพุทธจิตไมหวั่นไหว ศาสนา และพระไตรปฎก จิตไมเศราโศก จิตไมมัวหมอง จิตเกษม ความเพียรเผากิเลส ประพฤติพรหมจรรย เห็นอริยสัจ บรรลุนิพพาน พุทธศาสนสุภาษิต • จิตฺตํ ทนฺตํ สุขาวหํ จิตที่ฝกดีแลวนําสุขมาให • นอุจจฺ าวจํ ปณฺฑติ า ทสฺสยนฺติ บัณฑิตยอมไมแสดงอาการ ขึ้นๆ ลงๆ • นตฺถิ โลเก อนินฺทิโต คนที่ไมถูกนินทา ไมมีในโลก • โกธํ ฆตฺวา สุขํ เสติ ฆาความโกรธไดยอ มอยูเ ปนสุข • ปฏิรูปการี ธุรวา อุฎฐาตา วินฺทเต ธนํ คนขยันเอาการเอางาน กระทําเหมาะสม ยอมหา ทรัพยได • วายเมถว ปุริโส ยาว อตฺถสฺส นิปฺปทา เกิดเปนคนควรจะพยายาม จนกวาจะประสบความสําเร็จ • สนฺตฎฐี ปรมํ ธนํ ความสันโดษเปนทรัพยอยางยิง่ • อิณาทานํ ทุกฺขํ โลเก การเปนหนี้เปนทุกขในโลก • ราชา มุขํ มนุสฺสานํ พระราชาเปนประมุขของ ประชาชน • สติ โลกสฺมิ ชาคโร สติเปนเครื่องตื่นในโลก • นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ สุขอื่นยิ่งกวาความสงบไมมี • นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ นิพพานเปนสุข อยางยิ่ง
ตัวชี้วัด 14. วิเคราะหขอคิดและ แบบอยางการดําเนิน ชีวิตจากประวัติสาวก ชาดก เรื่องเลา และ ศาสนิกชนตัวอยาง ตามที่กําหนด
15. วิเคราะหคุณคา และความสําคัญ ของการสังคายนา พระไตรปฎก หรือ คัมภีรของศาสนาที่ ตนนับถือ และการ เผยแผ
สาระการเรียนรูแกนกลาง
ชั้น ม.4
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน ชั้น ม.5
ชั้น ม.6
พุทธสาวก พุทธสาวิกา • หนวยการเรียนรูที่ 2 • หนวยการเรียนรูที่ 2 • หนวยการเรียนรูที่ 2 • พระอัสสชิ พุทธประวัติ พระสาวก พุทธประวัติ พระสาวก พุทธประวัติ พระสาวก • พระกีสาโคตรมีเถรี ศาสนิกชนตัวอยาง ศาสนิกชนตัวอยาง ศาสนิกชนตัวอยาง • พระนางมัลลิกา และชาดก และชาดก และชาดก • หมอชีวกโกมารภัจ • พระอนุรุทธะ • พระองคุลิมาล • พระธัมมทินนาเถรี • จิตตคหบดี • พระอานนท • พระปฏาจาราเถรี • จูฬสุภัททา • สุมนมาลาการ ชาดก • เวสสันดรชาดก • มโหสธชาดก • มหาชนกชาดก ชาวพุทธตัวอยาง • พระนาคเสน - พระยามิลนิ ท • สมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) • พระอาจารยมั่น ภูริทตฺโต • สุชีพ ปุญญานุภาพ • สมเด็จพระนารายณมหาราช • พระธรรมโกศาจารย (พุทธทาสภิกขุ) • พระพรหมมังคลาจารย (ปญญานันทภิกขุ) • ดร.เอ็มเบดการ • พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว • พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) • พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตโต) • อนาคาริก ธรรมปาละ • วิธีการศึกษาและคนควา • หนวยการเรียนรูที่ 4 • หนวยการเรียนรูที่ 4 • หนวยการเรียนรูที่ 4 พระไตรปฎก และคัมภีรของ พุทธศาสนสุภาษิตและ พระไตรปฎกและ พุทธศาสนสุภาษิต ศาสนาอื่นๆ การสังคายนา พระไตรปฎก พุทธศาสนสุภาษิต คําศัพททางพระพุทธและการเผยแผพระไตรปฎก ศาสนา และพระไตรปฎก • ความสําคัญและคุณคาของ พระไตรปฎก
เสร�ม
13
คูม อื ครู
เสร�ม
14
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
16. เชื่อมั่นตอผลของ การทําความดี ความชั่ว สามารถ วิเคราะหสถานการณ ที่ตองเผชิญ และ ตัดสินใจเลือกดําเนิน การหรือปฏิบัติตน ไดอยางมีเหตุผลถูก ตองตามหลักธรรม จริยธรรม และ กําหนดเปาหมาย บทบาทการดําเนิน ชีวิตเพื่อการอยูรวม กันอยางสันติสุข และอยูรวมกันเปน ชาติอยางสมานฉันท 17. อธิบายประวัติศาสดา ของศาสนาอื่นๆ โดยสังเขป
• ตัวอยางผลที่เกิดจากการ ทําความดี ความชั่ว • โยนิโสมนสิการดวยวิธีคิด แบบอริยสัจ • หลักธรรมตามสาระการเรียน รูขอ 13
ชั้น ม.4 -
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน ชั้น ม.5 • หนวยการเรียนรูที่ 3 หลักธรรมทาง พระพุทธศาสนา
ชั้น ม.6
• หนวยการเรียนรูที่ 3 หลักธรรมทาง พระพุทธศาสนา
• ประวัติพระพุทธเจา มุฮัมมัด • หนวยการเรียนรูพิเศษ • หนวยการเรียนรูที่ 2 พระเยซู ศาสนาสําคัญใน พุทธประวัติ พระสาวก ประเทศไทย ศาสนิกชนตัวอยาง และชาดก 18. ตระหนักในคุณคา • คุณคาและความสําคัญของ • หนวยการเรียนรูที่ 9 และความสําคัญของ คานิยมและจริยธรรม หลักธรรมทางศาสนา คานิยม จริยธรรมที่ • การขจัดความขัดแยงเพื่ออยู กับการอยูรวมกันอยาง เปนตัวกําหนดความ รวมกันอยางสันติสุข สันติสุข เชื่อและพฤติกรรม ที่แตกตางกันของ ศาสนิกชนศาสนา ตาง ๆ เพื่อขจัด ความขัดแยงและ อยูรวมกันในสังคม อยางสันติสุข 19. เห็นคุณคา เชื่อมั่น • พัฒนาการเรียนรูดวยวิธีคิด • หนวยการเรียนรูที่ 7 • หนวยการเรียนรูที่ 7 • หนวยการเรียนรูที่ 7 และมุงมั่นพัฒนา แบบโยนิโสมนสิการ 10 วิธี การบริหารจิตและ การบริหารจิตและ การบริหารจิตและ ชีวิตดวยการพัฒนา (เนนวิธีคิดแบบแยกแยะ การเจริญปญญา การเจริญปญญา การเจริญปญญา จิตและพัฒนาการ สวนประกอบ แบบสามัญญเรียนรูดวยวิธีคิด ลักษณะ แบบเปนอยูในขณะ แบบโยนิโสมนสิการ ปจจุบัน และแบบวิภัชชวาท) หรือการพัฒนาจิต - วิธีคิดแบบสืบสาวเหตุ ตามแนวทางของ ปจจัย ศาสนาที่ตนนับถือ - วิธีคิดแบบแยกแยะสวน ประกอบ - วิธีคิดแบบสามัญลักษณะ - วิธีคิดแบบอริยสัจ - วิธีคิดแบบอรรถธรรม สัมพันธ
คูม อื ครู
ตัวชี้วัด
20. สวดมนต แผเมตตา และบริหารจิตและ เจริญปญญาตาม หลักสติปฏฐาน หรือ ตามแนวทางของ ศาสนาที่ตนนับถือ
21. วิเคราะหหลักธรรม สําคัญในการอยูรวม กันอยางสันติสุขของ ศาสนาอื่นๆ และ ชักชวน สงเสริม สนับสนุนใหบุคคล อื่นเห็นความสําคัญ ของการทําความดี ตอกัน
22. เสนอแนวทางการจัด กิจกรรม ความรวม มือของทุกศาสนาใน การแกปญหาและ พัฒนาสังคม
สาระการเรียนรูแกนกลาง
ชั้น ม.4
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน ชั้น ม.5
- วิธีคิดแบบคุณคาแท• หนวยการเรียนรูที่ 7 คุณคาเทียม การบริหารจิตและ - วิธีคิดแบบคุณ-โทษ และ การเจริญปญญา ทางออก - วิธีคิดแบบอุบาย ปลุกเรา คุณธรรม - วิธีคิดแบบเปนอยูในขณะ ปจจุบัน - วิธีคิดแบบวิภัชชวาท สวดมนตแปลและแผเมตตา • หนวยการเรียนรูที่ 7 รูและเขาใจวิธีปฏิบัติและ การบริหารจิตและ ประโยชนของการบริหารจิตและ การเจริญปญญา เจริญปญญา • ฝกการบริหารจิตและเจริญ ปญญาตามหลักสติปฏฐาน • นําวิธีการบริหารจิตและเจริญ ปญญาไปใชในการพัฒนาการ เรียนรู คุณภาพชีวิตและ สังคม • หลักธรรมสําคัญในการอยู รวมกันอยางสันติสุข - หลักธรรมในพระพุทธศาสนา เชน สาราณียธรรม 6 อธิปไตย 3 มิจฉาวณิชชา 5 อริยวัฑฆิ 5 โภคอาทิยะ 5 • คริสตศาสนา ไดแก บัญญัติ 10 ประการ (เฉพาะที่ เกี่ยวของ) • ศาสนาอิสลาม ไดแก หลัก จริยธรรม (เฉพาะที่เกี่ยวของ) • สภาพปญหาในชุมชน และ สังคม
• หนวยการเรียนรูที่ 7 การบริหารจิตและ การเจริญปญญา
ชั้น ม.6
• หนวยการเรียนรูที่ 7 การบริหารจิตและ การเจริญปญญา
เสร�ม
15
• หนวยการเรียนรูที่ 7 การบริหารจิตและ การเจริญปญญา
• หนวยการเรียนรูพิเศษ หลักธรรมทางศาสนา ในการอยูรวมกันอยาง สันติสุข
-
• หนวยการเรียนรูที่ 7 การบริหารจิตและ การเจริญปญญา
-
• หนวยการเรียนรูที่ 8 พระพุทธศาสนากับ การแกปญหาและ การพัฒนา
คูม อื ครู
มาตรฐาน ส 1.2 เขาใจ ตระหนักและปฏิบตั ติ นเปนศาสนิกชนทีด่ ี และธํารงรักษาพระพุทธศาสนา หรือศาสนาทีต่ นนับถือ ตัวชี้วัด
เสร�ม
16
คูม อื ครู
1. ปฏิบัติตนเปน ศาสนิกชนที่ดีตอ สาวก สมาชิกใน ครอบครัว และคน รอบขาง
สาระการเรียนรูแกนกลาง
ชั้น ม.4
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน ชั้น ม.5
• หนวยการเรียนรูที่ 5 หนาที่ชาวพุทธและ • การเขาใจในกิจของพระภิกษุ มารยาทชาวพุทธ ปฏิบัติตนเปนชาวพุทธที่ดีตอ พระภิกษุ
เชน การศึกษา การปฏิบัติ ธรรม และการเปนนักบวชที่ดี • คุณสมบัติทายกและปฏิคาหก • หนาที่และบทบาทของ พระภิกษุในฐานะพระนักเทศน พระธรรมทูต พระธรรมจาริก พระวิทยากร พระวิปส สนาจารย และพระนักพัฒนา • การปกปองคุมครองพระพุทธศาสนาของพุทธบริษัทใน สังคมไทย • การปฏิบัติตนตอพระภิกษุทาง กาย วาจา และใจ ที่ประกอบ ดวยเมตตา • การปฏิสันถารที่เหมาะสมตอ พระภิกษุในโอกาสตาง ๆ ปฏิบัติตนเปนสมาชิกที่ดีของ ครอบครัวและสังคม • การรักษาศีล 8 • การเขารวมกิจกรรมและเปน สมาชิกขององคกรชาวพุทธ • การเปนชาวพุทธที่ดี ตามหลัก ทิศเบื้องบนในทิศ 6 • การปฏิบัติตนที่เหมาะสมใน ฐานะผูปกครองและผูอยูใน ปกครอง ตามหลักทิศเบื้อง ลาง ในทิศ 6 • การปฏิสันถารตามหลัก ปฏิสันถาร 2 • หนาที่และบทบาทของอุบาสก อุบาสิกาที่มีตอสังคมไทยใน ปจจุบัน • การปฏิบัติตนเปนสมาชิกที่ดี ของครอบครัว ตามหลักทิศ เบื้องหลัง ในทิศ 6 • การบําเพ็ญตนใหเปน ประโยชนตอครอบครัว ชุมชน ประเทศชาติ และโลก
• หนวยการเรียนรูที่ 5 หนาที่ชาวพุทธและ มารยาทชาวพุทธ
ชั้น ม.6
• หนวยการเรียนรูที่ 5 หนาที่ชาวพุทธและ มารยาทชาวพุทธ
ตัวชี้วัด 2. ปฏิบัติตนถูกตอง ตามศาสนพิธี พิธีกรรมตามหลัก ศาสนาที่ตนนับถือ
3. แสดงตนเปน พุทธมามกะ หรือ แสดงตนเปน ศาสนิกชนของ ศาสนาที่ตนนับถือ 4. วิเคราะหหลักธรรม คติธรรมที่เกี่ยวเนื่อง กับวันสําคัญทาง ศาสนา และเทศกาล ที่สําคัญของศาสนา ที่ตนนับถือ และ ปฏิบัติตนไดถูกตอง 5. สัมมนาและเสนอ แนะแนวทางในการ ธํารงรักษาศาสนา ที่ตนนับถือ อันสง ผลถึงการพัฒนาตน พัฒนาชาติและโลก
สาระการเรียนรูแกนกลาง
ชั้น ม.4
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน ชั้น ม.5
ชั้น ม.6
ประเภทของศาสนพิธีใน • หนวยการเรียนรูที่ 6 • หนวยการเรียนรูที่ 6 • หนวยการเรียนรูที่ 6 พระพุทธศาสนา วันสําคัญทางพระพุทธ- วันสําคัญทางพระพุทธ- วันสําคัญทางพระพุทธ• ศาสนพิธีเนื่องดวยพุทธศาสนาและศาสนพิธี ศาสนาและศาสนพิธี ศาสนาและศาสนพิธี บัญญัติ เชน พิธีแสดงตน เปนพุทธมามกะ พิธีเวียน เทียน ถวายสังฆทาน ถวาย ผาอาบนํ้าฝน พิธีทอดกฐิน พิธีปวารณา เปนตน • ศาสนพิธที นี่ าํ พระพุทธศาสนา เขาไปเกี่ยวเนื่อง เชน การทําบุญเลี้ยงพระในโอกาส ตางๆ ความหมาย ความสําคัญ คติธรรมในพิธีกรรม บทสวด มนตของนักเรียน งานพิธี คุณคาและประโยชน พิธีบรรพชาอุปสมบท คุณสมบัติของผูขอบรรพชา อุปสมบท เครื่องอัฏฐบริขาร ประโยชนของการบรรพชา อุปสมบท บุญพิธี ทานพิธี กุศลพิธี คุณคาและประโยชนของศาสนพิธี การแสดงตนเปนพุทธมามกะ • หนวยการเรียนรูที่ 5 • ขั้นเตรียมการ หนาที่ชาวพุทธและ • ขั้นพิธีการ มารยาทชาวพุทธ
เสร�ม
17
• หลักธรรม/คติธรรมที่เกี่ยว • หนวยการเรียนรูที่ 6 • หนวยการเรียนรูที่ 6 • หนวยการเรียนรูที่ 6 เนือ่ งกับวันสําคัญและเทศกาล วันสําคัญทางพระพุทธ- วันสําคัญทางพระพุทธ- วันสําคัญทางพระพุทธที่สําคัญในพระพุทธศาสนา ศาสนาและศาสนพิธี ศาสนาและศาสนพิธี ศาสนาและศาสนพิธี หรือศาสนาอื่น • การปฏิบัติตนที่ถูกตองในวัน สําคัญและเทศกาลที่สําคัญใน พระพุทธศาสนา หรือศาสนาอืน่ • การปกปอง คุมครอง ธํารง • หนวยการเรียนรูที่ 8 • หนวยการเรียนรูที่ 8 • หนวยการเรียนรูที่ 5 รักษาพระพุทธศาสนาของ พระพุทธศาสนากับ พระพุทธศาสนากับ หนาที่ชาวพุทธและ พุทธบริษัทในสังคมไทย การแกปญ หาและ การแกปญ หาและ มารยาทชาวพุทธ • การปลูกจิตสํานึก และการมี การพัฒนา การพัฒนา สวนรวมในสังคมพุทธ
คูม อื ครู
คําอธิบายรายวิชา รายวิชา พระพุทธศาสนา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 รหัสวิชา ส…………………………………
กลุมสาระการเรียนรู สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ภาคเรียนที่ 1-2 เวลา 40 ชั่วโมง/ป
ศึกษา วิเคราะหลักษณะสังคมชมพูทวีปและคติความเชื่อทางศาสนาสมัยกอนพระพุทธเจา และพระพุทธเจาใน เสร�ม ฐานะเปนมนุษยผูฝกตนไดอยางสูงสุดในการตรัสรูและกอตั้งพระพุทธศาสนา รวมถึงขอคิดและแบบอยางในการดําเนิน 18 ชีวิตจากประวัติพระสาวก ชาดก และศาสนิกชนตัวอยาง วิธีการศึกษาคนควาพระไตรปฎก หลักธรรมในกรอบอริยสัจ 4 ขอปฏิบัติทางสายกลางและแนวคิดการพัฒนาศรัทธาและปญญาทางพระพุทธศาสนา พุทธศาสนสุภาษิต การปฏิบัติตน เปนพุทธศาสนิกชนที่ดีตอสาวก สมาชิกในครอบครัวและคนรอบขาง รวมถึงในพิธีกรรมและศาสนพิธีตาง ๆ วิธีปฏิบัติใน การบริหารจิตและเจริญปญญาตามหลักสติปฏฐาน การพัฒนาการเรียนดวยวิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการ รวมถึงแนวทางใน การธํารงรักษาพระพุทธศาสนาอันสงผลตอการพัฒนาตน ชาติและโลก เพื่อใหสามารถวิเคราะหลักษณะสังคมชมพูทวีปและคติความเชื่อทางศาสนาสมัยกอนพระพุทธเจา และ พระพุทธเจาในฐานะเปนมนุษยผูฝกตนไดอยางสูงสุดในการตรัสรูและกอตั้งพระพุทธศาสนา รวมถึงขอคิดและแบบอยาง ในการดําเนินชีวิตจากประวัติพระสาวก ชาดก และศาสนิกชนตัวอยาง ศึกษาคนควาพระไตรปฎก มีความรูความเขาใจ และปฏิบัติตนตามหลักธรรมในกรอบอริยสัจ 4 ขอปฏิบัติทางสายกลางและแนวคิดการพัฒนาศรัทธาและปญญาทาง พระพุทธศาสนา พุทธศาสนสุภาษิต การเปนพุทธศาสนิกชนที่ดีตอสาวก สมาชิกในครอบครัวและคนรอบขาง รวมถึงใน พิธีกรรมและศาสนพิธีตาง ๆ บริหารจิตและเจริญปญญาตามหลักสติปฏฐาน พัฒนาการเรียนดวยวิธีคิดแบบ โยนิโสมนสิการ รวมถึงธํารงรักษาพระพุทธศาสนาอันสงผลตอการพัฒนาตน ชาติและโลก
ตัวชี้วัด ส 1.1 ม.4/1, 4, 5 ม.4/2,14 ม.4/13 ส 1.2 ม.4/1 ม.4/2, 3, 4 ม.4/5
ม.4/13,15 ม.4/19, 20 ม.4/12 รวม 17 ตัวชี้วัด
คูม อื ครู
ม.4/17
5
✓ ✓
4
6
7
8
_________________________________ หมายเหตุ ✓ เฉพาะที่สอดคลองกับตัวชี้วัด ม.4 เทานั้น ตัวชี้วัดที่เหลือจะจัดการเรียนการสอนในชั้น ม.5 และ ม.6
หนวยการเรียนรูที่ 5 : หนาที่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ
✓
✓
✓
9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 1
✓
3
หนวยการเรียนรูที่ 4 : พุทธศาสนสุภาษิตและพระไตรปฎก
✓
2
✓
✓
1
มาตรฐาน ส 1.1 ตัวชี้วัด
สาระที่ 1
หนวยการเรียนรูที่ 3 : หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
หนวยการเรียนรูที่ 2 : พุทธประวัติ พระสาวก ศาสนิกชนตัวอยาง และชาดก
หนวยการเรียนรูที่ 1 : ประวัตแิ ละความสําคัญของพระพุทธศาสนา
หนวยการเรียนรู
มาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด
2
3
4
มาตรฐาน ส 1.2 ตัวชี้วัด 5
ตาราง วิเคราะหมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั รายวิชา พระพุทธศาสนา ม.4
คําชี้แจง : ใหผูสอนใชตารางนี้ตรวจสอบความสอดคลองของเนื้อหาสาระการเรียนรูในหนวยการเรียนรูกับมาตรฐาน การเรียนรูและตัวชี้วัด เสร�ม
19
คูม อื ครู
คูม อื ครู
หนวยการเรียนรูพ เิ ศษ : ศาสนาสําคัญในประเทศไทย
หนวยการเรียนรูที่ 8 : พุทธศาสนากับการแกปญหาและ การพัฒนา
หนวยการเรียนรูที่ 7 : การบริหารจิตและการเจริญปญญา
1
2
3
4
5
6
7
8
✓
✓
✓ ✓
9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 1
มาตรฐาน ส 1.1 ตัวชี้วัด
สาระที่ 1
20
หนวยการเรียนรูที่ 6 : วันสําคัญทางพระพุทธศาสนาและศาสนพิธี
หนวยการเรียนรู
มาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด
เสร�ม 3
4
✓ ✓ ✓
2
มาตรฐาน ส 1.2 ตัวชี้วัด 5
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÃÒÂÇÔªÒ¾×é¹°Ò¹
¾รоط¸Èาส¹า Á.ô ªั¹é Áั¸ÂÁÈÖ¡Éา»‚·èÕ ô
¡ÅØ‹ÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙŒÊѧ¤ÁÈÖ¡ÉÒ ÈÒÊ¹Ò áÅÐÇѲ¹¸ÃÃÁ µÒÁËÅÑ¡ÊÙµÃ᡹¡ÅÒ§¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ¢Ñé¹¾×é¹°Ò¹ ¾Ø·¸ÈÑ¡ÃÒª òõõñ
¼ÙŒàÃÕºàÃÕ§
¼ÙŒµÃǨ
ºÃóҸԡÒÃ
È.´Ã. ÇÔ·Â ÇÔÈ·àÇ·Â È.¾ÔàÈÉ àÊ°ÕÂþ§É ÇÃó»¡
È.¾ÔàÈÉ ¨íÒ¹§¤ ·Í§»ÃÐàÊÃÔ° ÃÈ. ªÙÈÑ¡´Ôì ·Ô¾Âà¡Éà ¹ÒÂÊíÒÃÇ ÊÒÃѵ¶
¹ÒÂÊÁà¡ÕÂÃµÔ ÀÙ‹ÃÐ˧É
พิมพครั้งที่ ๘
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ ISBN : 978-616-203-345 -2 รหัสสินคา ๓๔๑๓๐๑๐
¤Œ¹¤ÇÒÁÃÙŒ¢ÂÒ¤ÇÒÁ¤Ô´¨Ò¡
¾ÔÁ¾ ¤ÃÑ駷Õè 1 ÃËÑÊÊÔ¹¤ŒÒ 3443015
EB GUIDE
ที่พิมพกํากับหัวขอสําคัญในหนังสือเรียนหลักสูตรแกนกลางฯ ผาน www.aksorn.com ไปยังแหลงความรูทั่วไทย-ทั่วโลก
คณะผูจัดทําคูมือครู
ระวิวรรณ ตั้งตรงขันติ วิทยา ยุวภูษิตานนท
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
คำ�นำ� พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำาชาติไทยและเป็นศาสนาที่คนไทยส่วนใหญ่นับถือ ดังนั้น จึงเป็นสิ่งจำาเป็นที่เยาวชนไทยจะต้องศึกษาเรียนรู้ ทั้งนี้เพื่อจะได้เล็งเห็นคุณค่าและตระหนักใน ความสำาคัญของพระพุทธศาสนา อันจะนำาไปสู่ความร่วมมือกันในการทำานุบำารุงพระพุทธศาสนา ให้เจริญรุ่งเรืองมั่นคงสืบไป รวมทั้งจะได้มีโอกาสเรียนรู้หลักธรรมที่มีคุณค่าเพื่อนำาไปใช้เป็น แนวทางในการดำาเนินชีวิต ซึ่งถ้าคนไทยส่วนใหญ่รู้จักปฏิบัติตนตามหลักคำาสอนของพระพุทธ ศาสนาแล้ว นอกจากผู้ปฏิบัติตามจะพบแต่ความสุขความเจริญแล้ว ยังจะส่งผลทางอ้อมให้สังคม ไทย มีสันติสุขมีความสงบร่มเย็นมากขึ้น ในการเรียบเรียงหนังสือเรียนพระพุทธศาสนา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔-๖ นี้ ได้จัดทำาตาม ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้แกนกลาง ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ละ ม ๒๕๕๑ โดยจัดแบ่งหนังสือเรียนออกเป็น ๓ เล่ม สำาหรับใช้ประกอบการเรียนการสอนชั้นละ ๑ เล่ ๆ กันในทุกชั้น ก็เรียบเรียง สำาหรับเนื้อหาสาระในบางหัวข้อที่มีความจำาเป็นต้องเรียนซ้ำาๆ กั ออกไป โดยลำาดับความยากง่าย เนื้อหาให้มีแนวคิดหลักและสาระของเรื่องให้มีความแตกต่างกันออกไป โดยลำ รวมทั้ ง อาศัยกรอบความคิดในการจัดทำาสาระการเรียนรู้ ให้ เ หมาะสมกั บ ผู้ เ รี ย นในแต่ ล ะชั้ น รวมทั ษา สำานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พระพุทธศาสนา ของสำานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำ กระทรวงศึกษาธิการประกอบด้วย พืน้ ฐาน กระทรวงศึ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจประวัติ ความสำาาคัคัญ พุพุทธประวัติ หลักธรรมของ พระพุทธศาสนา มีศรัทธาที่ถูกต้อง ยึยึดมั่นและปฏิบัติตามหลักธรรมเพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข รวมทั้งเพื่อจะได้เกิดความตระหนักและปฏิบัติตนเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี และร่วมกันธำารงรักษา งตลอดไป ตลอดจนสามารถนำาหลักธรรมทางพระพุทธพระพุทธศาสนาให้มีความเจริญรุ่งเรืองตลอดไป ตลอดจนสามารถนำ ศาสนาไปเป็นแนวทางปฏิบัติในการดำารงชีวิต เพื่อพัฒนาตนเอง ครอบครัว และสังคมได้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเรียนพระพุทธศาสนา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ เล่มนี้ จะเป็น สื่อการเรียนการสอนที่ช่วยอำานวยความสะดวกแก่ครูผู้สอน ให้ความรู้และช่วยพัฒนาศักยภาพ ของผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานตามที่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม กำาหนดไว้ทุกประการ คณะผู้เรียบเรียง
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
สารบัหน่วยการเรียนรู้ที่
๑
ประวัติและความสำาคัญของพระพุทธศาสนา
๑
ลักษณะของสังคมชมพูทวีปและคติความเชื่อ ทางศาสนาในสมัยก่อนพระพุทธเจ้า ● ความสำาคัญของพระพุทธศาสนา
๒ ๑๓
๒
๒๕
●
หน่วยการเรียนรู้ที่
พุทธประวัติ พระสาวก ศาสนิกชนตัวอย่าง และชาดก ● ● ● ●
พุทธประวัติ ประวัติพุทธสาวก พุทธสาวิกา ศาสนิกชนตัวอย่าง ชาดก
หน่วยการเรียนรู้ที่
๓
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ● ●
พระรัตนตรัย อริยสัจ ๔ ๔
หน่วยการเรียนรู้ที่
●
๖๓ ๖๔ ๖๘
๔
พุทธศาสนสุภาษิตและพระไตรปิฎก ●
๒๖ ๓๐ ๔๖ ๕๗
พุทธศาสนสุภาษิต พระไตรปิฎก
๘๓ ๘๔ ๘๘
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
Explain
หน่วยการเรียนรู้ที่
Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
๕
หน้าที่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ ● ●
หน้าที่ชาวพุทธ มารยาทชาวพุทธ
หน่วยการเรียนรู้ที่
๖
วันสำาคัญทางพระพุทธศาสนาและศาสนพิธี ● ●
วันสำาคัญทางพระพุทธศาสนา ศาสนพิธี
หน่วยการเรียนรู้ที่
๗
การบริหารจิตและการเจริญปัญญา ● ●
การบริหารจิต การเจริญปัญญาตามหลักโยนิโสมนสิการ
หน่วยการเรียนรู้ที่
๘
พระพุทธศาสนากับการแก้ปัญหาและการพัฒนา พระพุทธศาสนากับการศึกษาที่สมบูรณ์ ● แนวทางการสัมมนาพระพุทธศาสนา ● การสัมมนาและเสนอแนะแนวทางในการธำารง รักษาพระพุทธศาสนาอันส่งผลถึงการพัฒนาตน ●
หน่วยการเรียนรู้พิเศษ
ศาสนาสำาคัญในประเทศไทย ● ● ● ●
ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาสิข
บรรณานุกรม
๙๑ ๙๒ ๑๐๑
๑๐๗ ๑๐๘ ๑๑๘
๑๓๑ ๑๓๒ ๑๓๘
๑๔๓ ๑๔๔ ๑๔๖ ๑๔๘
๑๕๓ ๑๕๔ ๑๕๘ ๑๖๑ ๑๖๕
๑๗๑
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expore
Explain
Expand
Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
1. อธิบายสังคมชมพูทวีปและคติความเชื่อทาง ศาสนาสมัยกอนพระพุทธเจาได 2. อภิปรายขอปฏิบัติทางสายกลางในพระพุทธศาสนาได 3. อภิปรายการพัฒนาศรัทธาและปญญาที่ ถูกตองในพระพุทธศาสนาได
สมรรถนะของผูเรียน 1. ความสามารถในการสื่อการ 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแกปญ หา
˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè
๑ »ÃÐÇѵิ
คุณลักษณะอันพึงประสงค 1. 2. 3. 4. 5.
áÅÐคÇามÊÓคÑޢͧ¾รоط¸Èาʹา ÈÒʹҷءÈÒʹÒÁÕËÅÑ¡¤ÓÊ͹ãËŒÈÒʹԡª¹¢Í§áµ‹ÅÐÈÒʹҾѲ¹Òµ¹ãËŒ´¢Õ ¹Öé ÊÙ§¢Ö¹é ¨¹¡ÃÐ·Ñ§è ¡ŒÒÇä»Êً໇ÒËÁÒÂÊÙ§ÊØ´áË‹§ªÕÇÔµµÒÁÃкº¤ÇÒÁàª×è͹Ñé¹æ ÊÓËÃѺ¾Ãоط¸ÈÒÊ¹Ò ÁÕÊѨ¸ÃÃÁ·Õè¾Ãоط¸à¨ŒÒµÃÑÊÃÙŒáÅйÓÁÒà¼ÂἋÊÑè§Ê͹ᡋ»ÃЪҪ¹ «Ö觶×ÍÇ‹Ò໚¹ËÅÑ¡¤ÇÒÁ¨Ãԧṋ¹Í¹ ໚¹ÊÒ¡Å áÅÐ໚¹ËÅÑ¡»¯ÔºÑµÔ·Õè໚¹ÊÒ¡ÅÒ§ ¹Ñ蹤×Í ·Ã§ªÕéãËŒ àËç¹Ç‹ÒªÕÇÔµáÅÐâÅ¡¹Õé໚¹·Ø¡¢ ËÃ×ÍÁÕ»˜ÞËÒ »˜ÞËÒ·Ø¡Í‹ҧÁÔä´Œà¡Ô´¢Öé¹ÅÍÂæ â´ÂäÁ‹ÁÕÊÒà赯 ÊÔ觷Õè໚¹ »˜ÞËҢͧÁ¹ØÉ Á¹ØÉ ÊÒÁÒö¨Ðᡌ䢴ŒÇÂʵԻ˜ÞÞÒáÅФÇÒÁ¾Ò¡à¾ÕÂâͧµÑÇÁ¹ØÉ àͧ䴌 ตัวชี้วัด ส 1.1 ม.4/1, 4, 5 ■ วิเคราะห์สังคมชมพูทวีปและคติความเชื่อทางศาสนาสมัยก่อน พระพุทธเจ้าหรือสังคมสมัยของศาสดาที่ตนนับถือ ■ วิเคราะห์ข้อปฏิบัติทางสายกลางในพระพุทธศาสนาหรือแนวคิด ของศาสนาที่ตนนับถือตามที่กำหนด ■ วิเคราะห์การพัฒนาศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้องในพระพุทธศาสนาหรือแนวคิดของศาสนาที่ตนนับถือตามที่กำหนด
สาระการเรียนรู้แกนกลาง ■
■
■
ลักษณะของสังคมชมพูทวีปและคติความเชื่อทางศาสนาสมัย ก่อนพระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนามีทฤษฎีและวิธีการที่เป็นสากลและมีข้อปฏิบัติ ที่ยึดทางสายกลาง พระพุทธศาสนาเน้นการพัฒนาศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง
ซื่อสัตยสุจริต มีวินัย ใฝเรียนรู อยูอยางพอเพียง มุงมั่นในการทํางาน
กระตุน ความสนใจ
Engage
ครูใหนักเรียนพิจารณาภาพที่หนาหนวยการ เรียนรู แลวสนทนารวมกันถึงการสรางพุทธศาสนสถานและพุทธศาสนวัตถุตางๆ ที่เปนเครื่องระลึก ถึงพระพุทธคุณ จากนั้นตั้งคําถามเกี่ยวกับอิทธิพล ของพระพุทธศาสนาตอสังคมชมพูทวีปใหนักเรียน ชวยกันตอบ เชน • หลักธรรมคําสอนของพระพุทธเจาแตกตาง จากความเชื่อของคนสวนใหญในชมพูทวีป อยางไร (แนวตอบ พระพุทธเจาทรงสอนใหมนุษยเขาใจ ธรรมชาติของชีวติ และแกปญ หาชีวติ ของ ตนเองโดยไมหวังพึง่ การดลบันดาลเทพเจา)
เกร็ดแนะครู ครูควรจัดกิจกรรมการเรียนรูเพื่อใหนักเรียนสามารถวิเคราะหสังคมชมพูทวีป และคติความเชื่อทางศาสนาสมัยกอนพระพุทธเจา และขอปฏิบัติทางสายกลางใน พระพุทธศาสนา รวมถึงการพัฒนาศรัทธาและปญญาที่ถูกตองในพระพุทธศาสนา โดยเนนการพัฒนาทักษะกระบวนการ ไดแก ทักษะการคิดและกระบวนการกลุม ดังนี้ • ครูใหนักเรียนศึกษาความรูเกี่ยวกับลักษณะของสังคมชมพูทวีปและคติความ เชื่อทางศาสนาในสมัยกอนพระพุทธเจาจากหนังสือเรียน และแหลงการเรียน รูอื่นๆ เชน หองสมุด อินเทอรเน็ต แลวเขียนบทความเกี่ยวกับลักษณะของ สังคมชมพูทวีปและคติความเชื่อทางศาสนาในสมัยกอนพระพุทธเจา • ครูใหนักเรียนชวยกันศึกษาเกี่ยวกับความสําคัญของพระพุทธศาสนาคนละ 1 หัวขอ แลวใหนักเรียนแตละคนอธิบายความรูที่ตนศึกษามาใหแกเพื่อน ตามลําดับ จากนั้นใหนักเรียนแตละกลุมอภิปรายกลุมยอยเกี่ยวกับความ สําคัญของพระพุทธศาสนาโดยศึกษาขอมูลเพิ่มเติมจากแหลงการเรียนรูอื่น พรอมทั้งเสนอความคิดเห็นถึงการปฏิบัติตนตามแนวทางพระพุทธศาสนา ของนักเรียน จากนั้นบันทึกเปนผลการอภิปรายของกลุม คูมือครู 1
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
Engaae
สํารวจคนหา
Evaluate
สังคมชมพูทวีปเมื่อครั้งอดีต ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้และประกาศศาสนานั้น มีสภาพ ที่แตกต่างไปจากปัจจุบันนี้มาก ซึ่งสามารถสรุปภาพรวมให้เห็นความเป็นไปในแต่ละด้านได้ ดังนี้
๑.๑ ด้านการเมืองการปกครอง อิ น เดี ย ในสมั ย พุ ท ธกาลมี แ ว่ น แคว้ น ต่ า งๆ หลายสิ บ แคว้ น แต่ ล ะแว่ น แคว้ น เรี ย กว่ า “ชนบท” เฉพาะแคว้นที่มีอาณาเขตกว้างขวางเรียกว่า “มหาชนบท” ชนบทเหล่านี้แบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนกลางเรียกว่า มัชฌิมชนบท หรือ มัธยมประเทศ ส่วนที่เป็นหัวเมืองชั้นนอก เรียกว่า ปัจจันตชนบท มูลเหตุทแี่ บ่งเรียกอย่างนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณ1 วโรรส ทรงสันนิษฐานว่า เริ่มแรกที่พวกอริยกะอพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในชมพูทวีป คงจะเรียก ชนบทที่ตนเข้าไปอาศัยอยู่และเป็นใจกลางแห่งการปกครองว่า มัชฌิมชนบท เรียกชนบทที่พวก มิลักขะตั้งอยู่นอกเขตของตนว่า ปัจจันตชนบท๑ เป็นธรรมดาว่า หมู่ชนที่เจริญแล้วมักคิดว่า อาณาเขตที่ตนอาศัยอยู่เป็น “ศูนย์กลาง” ของโลก เช่นเดียวกับการที่ชาวจีนเรียกประเทศของเขา ว่า จงกั๊ว (Chung Kua) ซึ่งแปลว่า ประเทศศูนย์กลาง๒
๑) แคว้นต่างๆ ที่ประกอบเป็นมัชฌิมชนบท มัชฌิมชนบท ประกอบด้วย
มหาชนบทหรือแว่นแคว้นใหญ่ๆ (ตามที่ระบุไว้ในติกนิบาต อังคุตตรนิกาย พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๐) มีอยู่ ๑๖ แคว้น ดังนี้ ชื่อแคว้น แคว้นอังคะ แคว้นมคธ แคว้นกาสี แคว้นโกศล แคว้นวัชชี แคว้นมัลละ
ชื่อเมืองหลวง จัมปา ราชคฤห์ พาราณสี สาวัตถี เวสาลี หรือไพศาลี กุสินาราหรือปาวา
๑
2
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส. พุทธประวัติ เล่ม ๑. พิมพ์ครั้งที่ ๔๕. (กรุงเทพฯ : มหามกุฏราชวิทยาลัย. ๒๕๑๙), หน้า ๒. ๒ นิธิพัฒน์ ชาลีจันทร์. นวทัศน์แห่งพุทธประวัติ. (เชียงใหม่ : บริษัทสยามแผ่นดินทอง. ๒๕๒๓), หน้า ๑๓.
นักเรียนควรรู 1 อริยกะ หรืออารยัน เปนกลุมชาติพันธุที่สําคัญในประเทศอินเดียและประเทศ อื่นในภูมิภาคเอเชียใต โดยสันนิษฐานวา ชาวอารยันที่ตั้งถิ่นฐานอยูทางตะวันตกเฉียงเหนือไดอพยพเขามายังดินแดนทางตอนเหนือของชมพูทวีปตั้งแตยุคกอน ประวัตศิ าสตร สงผลใหชนพืน้ เมืองเดิมคือ ชาวดราวิเดียน กลายเปนชนชัน้ ลางของ สังคมจากระบบวรรณะ วัฒนธรรมทีส่ าํ คัญของชาวอารยัน เชน ศาสนาพราหมณ-ฮินดู มหากาพยรามายณะ และภาษาฮินดีที่ใชกันมากในประเทศอินเดียปจจุบัน
มุม IT ศึกษาพระประวัติของสมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ไดที่ http://mahamakuta.inet.co.th/buddhism/somdet/somdet10.htm เว็บไซตมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ คูมือครู
Elaborate
๑. ลักษณะของสังคมชมพูทวีปและคติความเชื่อทางศาสนา ในสมัยก่อนพระพุทธเจ้า
Explain
ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับลักษณะสังคม ชมพูทวีปในสมัยกอนพระพุทธเจาในดานการเมือง การปกครองที่นักเรียนไดศึกษามา จากนั้นตั้ง คําถามแลวสุมใหนักเรียนตอบ โดยใชแผนที่ ภูมิภาคเอเชียใตประกอบ ตัวอยางขอคําถามเชน • ระบอบการปกครองแควนตางๆ ในชมพู ทวีปมีลักษณะอยางไร (แนวตอบ แควนตางๆ เรียกวา ชนบท โดย ชนบทเหลานี้แบงออกเปน 2 สวน ไดแก สวนกลาง เรียกวา มัชฌิมชนบท หรือ มัธยมประเทศ สวนหัวเมืองชั้นนอกเรียกวา ปจจันตชนบท) • ขอสันนิษฐานของการแบงเรียกสวนตางๆ ภายในแตละชนบทคืออะไร (แนวตอบ สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงสันนิษฐาน วา เมื่อพวกอริยกะอพยพตั้งถิ่นฐานในชมพู ทวีป คงจะเรียกบริเวณที่ตนเขาไปตั้งถิ่นฐาน และเปนศูนยกลางของการปกครองวา มัชฌิมชนบท และเรียกชนบทที่พวกมิลักขะ หรือชนพื้นเมืองที่ตนเขามาอาศัยอยูแทนที่ วา ปจจันตชนบท เนื่องจากหมูชนที่เจริญ แลวมักคิดวาอาณาเขตที่ตนอาศัยอยูเปน ศูนยกลางของโลก)
2
ตรวจสอบผล
Explore
ครูใหนักเรียนศึกษาความรูเกี่ยวกับลักษณะ ของสังคมชมพูทวีปและคติความเชื่อทางศาสนา ในสมัยกอนพระพุทธเจาจากหนังสือเรียน หนา 2-13 และแหลงการเรียนรูอื่น ๆ เชน หองสมุด อินเทอรเน็ต ในดานตอไปนี้ 1. ดานการเมืองการปกครอง 2. ดานสังคม 3. ดานศาสนาหรือลัทธิความเชื่อ
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
เพราะเหตุใด พวกอริยกะในชมพูทวีปจึงเรียกบริเวณที่ตนอาศัยอยูวา มัชฌิมชนบท 1. ความคิดวาพวกตนเปนผูเจริญแลวและเปนศูนยกลางของแควน 2. ความเชื่อเรื่องระบบวรรณะที่ตนกําเนิดจากพระนาภีหรือทองของ พระพรหม 3. การปฏิบัติตามจีนซึ่งเปนอาณาจักรที่มีความเจริญกาวหนาทาง ศิลปวิทยาการ 4. การยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาจึงนําเอาหลักมัชฌิมาปฏิปทามา ตั้งเปนชื่อชนบทของตน วิเคราะหคําตอบ พวกอริยกะอพยพเขาไปอยูในดินแดนชมพูทวีป และพัฒนาชุมชนของตนขึ้นเปนชนบทที่เจริญกาวหนาและเปนศูนยกลาง ของการปกครองของแควน จึงเรียกชนบทของตนวา มัชฌิมชนบท สวนบริเวณนอกเขตที่ตนอาศัย เรียกวา ปจจันตชนบท ดังนั้น
คําตอบคือ ขอ 1.
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engaae
Expore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
อธิบายความรู ชื่อแคว้น
ครูตั้งคําถามแลวสุมใหนักเรียนตอบ โดยใช แผนภูมิภาคเอเชียใตประกอบตัวอยางขอคําถาม เชน • มัชฌิมชนบทในสมัยพุทธกาลมีทั้งหมดกี่ แควน ยกตัวอยางชื่อแควน เมืองหลวง และ ที่ตั้งมาพอสังเขป (แนวตอบ มัชฌิมชนบทประกอบดวย 16 แควน ยกตัวอยางเชน แควนมคธ มีเมือง หลวงชื่อ ราชคฤห ตั้งอยูคอนไปทางตะวันออกเฉียงใตของประเทศอินเดียในปจจุบัน แควนโกศล มีเมืองหลวงชื่อ สาวัตถี ตั้ง อยูบริเวณตอนกลางของประเทศอินเดียใน ปจจุบัน และแควนวัชชี มีเมืองหลวงชื่อ เวสาลีหรือไพสาลี ตั้งอยูทางตะวันออกของ แควนโกศล) • แควนใหญของชมพูทวีปในสมัยพุทธกาลที่ สันนิษฐานวาไมไดตั้งอยูในดินแดนประเทศ อินเดียในปจจุบันไดแกแควนใด (แนวตอบ แควนคันธาระ มีเมืองหลวงชื่อ ตักกศิลา และแควนกัมโพชะ มีเมืองหลวง ชื่อ ทวารกะ ตั้งอยูในดินแดนประเทศ ปากีสถานในปจจุบัน) •แควนเล็กที่มีความสําคัญในพุทธประวัติที่ นักเรียนทราบไดแกแควนใดบาง (แนวตอบ แควนสักกะ มีเมืองหลวงชื่อ กบิลพัสดุ ซึ่งเปนเมืองที่เจาชายสิทธัตถะ ประสูติ และปกครองโดยพระเจาสุทโธทนะ พระราชบิดา และแควนโกลิยะ มีเมืองหลวง ชื่อ เทวทหะ ซึ่งเปนแควนของพระราช มารดา คือ พระนางสิริมหามายา)
ชื่อเมืองหลวง
แคว้นเจตี แคว้นวังสะ แคว้นกุรุ แคว้นปัญจาละ แคว้นมัจฉะ แคว้นสุรเสนะ แคว้นอัสสกะ แคว้นอวัันตี 1 แคว้นคันธาระ แคว้นกัมโพชะ
โสตถิวดี โกสัมพี อินทปัตถ์ หัสดินปุระ สาคละ มถุรา โปตลี อุชเชนี ตักกสิลา ทวารกะ
แคว้นเล็กแคว้นน้อย ๕ แคว้น แคว้นสักกะ แคว้นโกลิยะ แคว้นภัคคะ แคว้นวิเทหะ แคว้นอังคุตตราปะ
กบิลพัสดุ์ เทวทหะ สุงสุมารคีรี มิถิลา อาปณะ
แผนทีแ่ สดงแคว้นใหญ่ตา่ งๆ ในชมพูทวีปสมัยพุทธกาล ●
คันธาระ กัมโพชะ ●
●
กุรุ
●
มัจฉะ ●
● ปัญจาละ● ● วัชชี สุรเสนะ โกศล มั ล ละ ● ● ● อังคะ ● อวันตี วังสะ กาสี ●
N
●
อัสสกะ
●
เจตี
●
มคธ
Explain
อ่าวเบงกอล
3
บูรณาการเชื่อมสาระ
ครูสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรูแ บบบูรณาการเรือ่ ง แควนสําคัญ ในชมพูทวีปสมัยพุทธกาล กับวิชาประวัตศิ าสตร เรือ่ งวิธกี ารทาง ประวัตศิ าสตร และวิชาภูมศิ าสตร เรือ่ งเครือ่ งมือทางภูมศิ าสตร โดยให นักเรียนรวมกลุม กัน กลุม ละ 4-5 คน เพือ่ ชวยกันศึกษาคนควาขอมูลเกีย่ วกับ แควนสําคัญในชมพูทวีปสมัยพุทธกาลทีค่ รูกาํ หนด เชน แควนสักกะอัน เปนสถานทีป่ ระสูตขิ องพระพุทธเจา เสนทางการเผยแผพระศาสนาของ พระพุทธเจา ดวยวิธกี ารทางประวัตศิ าสตร จากนัน้ จัดทําเปนบันทึกการศึกษาคนควา และสงตัวแทนออกมา นําเสนอหนาชัน้ เรียนโดยใชแผนทีป่ ระกอบ
เกร็ดแนะครู ครูอาจนําวีดิทัศนสารคดีเกี่ยวกับลักษณะทางสังคมของภูมิภาคเอเชียใตที่ยังมี ลักษณะไมแตกตางจากในอดีตมากนัก เชน วิถีชีวิตของชาวเอเชียใต ความเชื่อ และศาสนาของชาวอินเดีย มาใหนักเรียนพิจารณารวมกัน เพื่อกระตุนความสนใจ และใหขอมูลเบื้องตนแกนักเรียน แลวสนทนากับนักเรียนถึงความรูที่ไดจากวีดิทัศน สารคดีนั้น
นักเรียนควรรู 1 แควนคันธาระ เปนดินแดนที่มีความเจริญกาวหนาทางศิลปวิทยาการตาง ๆ อันเกิดจากการผสมผสานองคความรูของกรีก อินเดีย เปอรเซีย และเปนแหลงแรก ที่สรางสรรครูปเคารพพระพุทธเจาหรือพระพุทธรูปขึ้นจากการแกะสลักหิน ซึ่งเปน อิทธิพลทางศิลปกรรมของกรีก พระพุทธปฏิมาในสมัยแรกจึงมีชื่อเรียกตามแหลง กําเนิดวา ศิลปะแบบคันธาระ คูมือครู
3
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engaae
Expore
อธิบายความรู
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Elaborate
Evaluate
Explain
ครูใหนักเรียนสงตัวแทนออกมาชวยกันเขียน ลักษณะของระบอบการปกครองแบบราชาธิปไตย และสามัคคีธรรมที่ตารางบนกระดานหนาชั้นเรียน ซึ่งครูกําหนดหัวขอไวพอสังเขป เชน ลักษณะของ การปกครอง ตัวอยางของแควนที่ปกครองหลัก ธรรมที่ชวยสงเสริมการปกครอง เปนตน
แคว้นเล็กๆ เหล่านี้แม้ว่าจะแยกปกครองตนเองต่างหาก แต่ก็ขึ้นอยู่กับแคว้น ที่ใหญ่กว่าคล้ายกับเป็นเมืองขึ้นหรือเป็นเมืองประเทศราช เช่น แคว้นสักกะและแคว้นโกลิยะอยู่ ภายใต้อำนาจปกครองของแคว้นโกศล เป็นต้น
๒) ระบอบการปกครองของแคว้นต่างๆ รูปแบบการปกครองของแคว้นต่างๆ
แบ่งออกเป็น ๒ ระบอบ ดังนี้ ๒.๑) ราชาธิปไตย หรือสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีอำนาจสิทธิขาดในการปกครอง มีรัชทายาทสืบสันตติวงศ์ แคว้นใหญ่ๆ ส่วนมากจะปกครอง ด้วยระบอบนี้ เช่น แคว้นมคธมีพระเจ้าพิมพิสารปกครอง (ในตอนต้นพุทธกาล) และพระเจ้า อชาตศั ต รู ป กครอง (ในตอนปลายพุ ท ธกาล) แคว้ น โกศลมี พ ระเจ้ า ปเสนทิ โ กศลปกครอง แคว้นอวันตีมีพระเจ้าจัณฑปัชโชตปกครอง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าพระมหากษัตริย์จะมีอำนาจสิทธิ์ขาดในการปกครอง ประเทศเพียงพระองค์เดียวตามกฎหมาย แต่พระมหากษัตริย์ยังมีปุโรหิต เป็นที่ปรึกษาข้อราชการ เพื่อให้คำแนะนำในการตัดสินใจในกรณี ที่ ส ำคั ญ ๆ เช่ น วั ส สการพราหมณ์ แ ละเสนี ธ อำมาตย์ เป็ น ที่ปรึกษาของพระเจ้าอชาตศัตรู เป็นต้น นอกจากนั้นพระมหากษั ต ริ ย์ ก็ ยั ง ยึ ด อุ ด มการณ์ ที่ จ ะ “ปกครองโดยธรรม” คื อ ยึ ด หลักธรรมทางศาสนาเป็นแกนสำคัญ เช่น ทศพิธราชธรรม ๑๐ 1 จักรวรรดิวัตร ๑๒ เป็นต้น ๒.๒) สามัคคีธรรม หรือประชาธิปไตยระดับหนึ่ง การปกครองระบอบนี้ไม่มีพระมหากษัตริย์ที่ใช้อำนาจสิทธิ์ขาดแต่ ผู้ เ ดี ย ว และไม่ มี ก ารสื บ สั น ตติ ว งศ์ โ ดยตั้ ง รั ช ทายาทสื บ ทอด ดั ง เช่ น ระบอบประชาธิ ป ไตย การบริ ห ารประเทศจะกระทำโดย รัฐสภา ซึ่งเรียกกันสมัยนั้นว่า “สัณฐาคาร” มีประมุขรัฐสภาดำรง ตำแหน่งตามระยะเวลาที่กำหนด (เช่น พระเจ้าสุทโธทนะเป็นประมุข รัฐสภาศากยะ) หรือมีคณะกรรมการบริหารประกอบด้วย 2 เสาอโศก สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศก สมาชิกจำนวนหนึ่ง (เช่น กษัตริย์ลิจฉวี แห่งแคว้นเวสาลี) มหาราช เป็ น เครื่ อ งหมายของการ ประกาศพระธรรมของพระพุทธเจ้า กรรมการรัฐสภาเลือกจากหัวหน้าครอบครัวใหญ่ๆ ใน 4
นักเรียนควรรู 1 จักรวรรดิวัตร 12 หมายถึง พระจริยาที่พระจักรพรรดิพึงทรงบําเพ็ญ สมํ่าเสมอ ตามอรรถกถาแหงจักกวัตติสูตร ประกอบดวย การสงเคราะหชนภายใน และพลกายกองทหาร สงเคราะหกษัตริยเมืองขึ้นทั้งหลาย สงเคราะหเหลาเชื้อ พระวงศ ผูตามเสด็จเปนขาราชบริพาร คุมครองพราหมณและคฤหบดีทั้งหลาย คุมครองชาวราษฎรพื้นเมืองทั้งหลาย คุมครองเหลาสมณพราหมณ คุมครองเนื้อ นกที่เอาไวสืบพันธุ หามปรามมิใหมีการประพฤติการอันผิดธรรม ทํานุบํารุงผูขัดสน ไรทรัพย เขาไปหาและสอบถามปญหากับสมณพราหมณ เวนความกําหนัดในกาม โดยอาการไมเปนธรรม เวนโลภกลา ไมเลือกควรไมควร 2 เสาอโศก เปนเสมือนสัญลักษณที่แสดงถึงขอบเขตอาณาจักรของพระเจา อโศกมหาราช และยังแสดงถึงพระราชประสงคในการเผยแผพระพุทธศาสนาของ พระองค ลักษณะของเสาประกอบดวยสัญลักษณทางพระพุทธศาสนาตางๆ เชน ธรรมจักร ดอกบัว โดยเสาตนที่รูจักโดยทั่วไปคือ เสาอโศก เมืองสารนาถ ที่หัวเสา มีสิงหสี่ตัวหันหนาออกไปยังสี่ทิศ ซึ่งนํามาใชเปนสัญลักษณของประเทศอินเดีย
4
คูมือครู
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 53 ออกเกี่ยวกับหลักธรรมของผูปกครองประเทศ ผูปกครองประเทศควรยึดหลักใด สังคมจึงจะสงบสุขและสันติ 1. เบญจศีล 2. อริยวัฑฒิ 3. อปริหานิยธรรม 4. ทศพิธราชธรรม วิเคราะหคําตอบ พระพุทธศาสนามีหลักธรรมคําสอนที่ผูปกครอง ประเทศควรยืดถือหลายประการ ที่สําคัญไดแก ทศพิธราชธรรม และ อปริหานิยธรรม รวมถึงอริยวัฑฒิ ที่ประกอบดวย ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปญญา สวนเบญจศีลเปนหลักธรรมระดับการดําเนินชีวิตสวนบุคคล ดังนั้นคําตอบคือ ขอ 2.-4.
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engaae
Expore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
อธิบายความรู ชนบท (เมือง) นิคม (อำเภอ) และคาม (ตำบล) อย่างในกรณีรัฐสภาศากยะ เจ้าศากยะซึ่งมีอายุ ๒๐ ปีขึ้นไป ทุกคนมีสิทธิ์ได้เป็นสมาชิกของสภานี้่และก่อนจะเข้าเป็นสมาชิกจะต้องกล่าวคำ ปฏิญาณว่า๓ ๑. ข้าพเจ้าจะอุทิศร่างกาย จิตใจ และทรัพย์สมบัติของข้าพเจ้า เพื่อรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ 1 ของศากยวงศ์ ๒. ข้าพเจ้าจะไม่ขาดการประชุม ๓. ข้าพเจ้าจะต้องแสดงความคิดเห็นโดยเปิดเผย เมื่อเห็นว่าศากยะผู้ใดประพฤติผิดหน้าที ่ เป็นการทำลายประโยชน์ของศากยวงศ์ ข้าพเจ้าจะแจ้งเรื่องนั้นให้สภาทราบโดยไม่ปิดบัง ๔. ข้ า พเจ้ า จะต้ อ งไม่ โ กรธตอบเมื่ อ ถู ก กล่ า วหาว่ า กระทำผิ ด ใดๆ และข้ า พเจ้ า จะยอม สารภาพผิดในเมื่อกระทำผิดต่อบทบัญญัติของศากยวงศ์
สำหรับข้อราชการต่างๆ จะนำเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภาวินิจฉัยตัดสิน และยึดถือ ปฏิบัติตามเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ การปกครองระบบนี้ต้องการความสามัคคีพร้อมเพรียงเป็น องค์ประกอบสำคัญ เมื่อใดที่สมาชิกรัฐสภาแตกสามัคคีกัน การบริหารประเทศชาติก็จะประสบ อุปสรรคอาจถึงขั้นวิบัติสูญเสียอิสรภาพได้ ดังกรณีของพวกลิจฉวี เป็นต้น การปกครองระบอบนี้จะเป็นไปด้วยดี จะต้องยึดถือหลัก ๗ ประการ เรียกว่า “อปริหานิยธรรม” ได้แก่ ๑. ๒. ๓. ๔. ๕. ๖. ๗.
๓
หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันประชุม พร้ ไม่บัญญัติสิ่งใหม่อันขัดต่อหลักการเดิม ไม่ ไม่ล้มล้างข้อบัญญัติเก่าที่ยังใช้ได้อยู่ เคารพนับถือและเชื่อฟังผู้ใหญ่ ปกป้องกุลสตรีมิให้ถูกข่มเหงหรือฉุดคร่าขืนใจ (สนับสนุนสิทธิเสรีภาพของสตรี) ใจ (สนั เคารพบูชาปูชนียสถาน ปูชนียวัตถุ ตลอดถึงอนุสาวรีย์ต่างๆ งๆ จัดอารักขา คุ้มครอง ป้ป้องกันภัยอันชอบธรรมแก่สมณชีพราหมณ์ผู้เป็นหลักทางใจ ของประชาชนทั้งหลาย
B.R. Ambedkar. The Buddha and His Dhamma. (Bombay : People’s Education Society. 1957), P. 23
5
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
การปกครองแบบสามัคคีธรรมมีหลักธรรมสําคัญที่สามารถนํามา ประยุกตใชกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยในปจจุบันไดอยางไรบาง
แนวตอบ หลักธรรมสําคัญของการปกครองแบบสามัคคีธรรม คือ อปริหานิยธรรม 7 ซึง่ ผูป กครองตามระบอบประชาธิปไตยในปจจุบนั สามารถ นํามาประยุกตใชได เชน การหมัน่ ประชุมกันเนืองนิตย การพรอมเพรียงกัน ประชุมและเลิกประชุม รวมถึงการไมลมลางขอบัญญัติเกาที่ยังใชไดอยู ซึ่งจะชวยใหการบริหารประเทศเปนไปอยางถูกตอง รวดเร็ว และโปรงใส
Explain
ครูตั้งประเด็นใหนักเรียนอภิปรายเปรียบเทียบ ลักษณะการปกครองระบอบสามัคคีธรรมในสมัย พุทธกาลกับระบอบประชาธิปไตยในปจจุบัน จาก นั้นใหนักเรียนชวยกันสรุปผลการอภิปรายใน ประเด็นยอย ดังนี้ • ความคลายคลึงของการปกครองระบอบ สามัคคีธรรมในสมัยพุทธกาลกับระบอบ ประชาธิปไตยในปจจุบัน (แนวตอบ การมีคณะกรรมการคลายรัฐสภาที่ เรียกวา สัณฐาคาร ทําหนาที่บริหารประเทศ โดยวินิจฉัยตัดสินขอราชการตางๆ ตาม เสียงขางมาก และคุณธรรมสําคัญของการ ปกครองระบอบนี้คือ ความสามัคคี) • ความแตกตางของการปกครองระบอบ สามัคคีธรรมในสมัยพุทธกาลกับระบอบ ประชาธิปไตยในปจจุบัน (แนวตอบ การเลือกสมาชิกคณะกรรมการ ที่ทําหนาที่บริหารประเทศจากหัวหนา ครอบครัวใหญในชนบท นิคม และคาม ตางๆ สวนการปกครองระบอบประชาธิปไตย ในปจจุบันสมาชิกรัฐสภาสวนใหญมาจาก การเลือกตั้งของประชาชน) • หลักการของการปกครองระบอบ สามัคคีธรรมที่นักเรียนคิดวามีประโยชนตอ การปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทย ในปจจุบันคืออะไร (แนวตอบ ขอปฏิบัติบางประการในคํา ปฏิญาณกอนเขาเปนสมาชิกสัณฐานคาร เชน การอุทิศรางกายและจิตใจ เพื่อรักษา ไวซึ่งประโยชนของประเทศ การไมขาดการ ประชุม และหลักอปริหานิยธรรม เชน การ หมั่นประชุมกันเนืองนิตย การไมบัญญัติสิ่ง ใหมที่ขัดตอหลักการเดิม และการเคารพ นับถือเชื่อฟงผูใหญ เปนตน)
เกร็ดแนะครู ครูสนทนารวมกันกับนักเรียนถึงปญหาดานการเมืองการปกครองไทยในปจจุบัน แลวใหนักเรียนชวยกันยกตัวอยางหลักธรรมที่ผูบริหารราชการแผนดินไทย ควรยึดถือ เพื่อความมั่นคงและเจริญกาวหนาของประเทศชาติ นอกเหนือจาก อปริหานิยธรรม เชน สัปปุรสิ ธรรม 8 กุศลกรรมบถ 10 และกาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 เปนตน
นักเรียนควรรู 1 ศากยวงศ ตระกูลแหงศากยะในวรรณกษัตริยพูทวัป ณ มัชฌิมชนบท แควนสักกะ ชมพูทวีป มีพระเจาโอกกากราชเปนตนสกุล โดยทรงตัง้ นครกบิลพัสดุ และพระราชโอรสธิดาไดสบื เชือ้ สายตอมาจนถึงพระเจาสุทโธทนะ ผูเ ปนพระราชบิดา ของเจาชายสิทธัตถะ ซึง่ ตอมาไดเสด็จออกบรรพชาและตรัสรูเ ปนสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา เมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา คูมือครู
5
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engaae
Expore
อธิบายความรู
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Elaborate
Evaluate
Explain
ครูอภิปรายรวมกันกับนักเรียนเกี่ยวกับลักษณะ ดานสังคมของชมพูทวีปสมัยกอนพระพุทธเจา จากนั้นครูใหตัวแทนนักเรียนผลัดกันออกมาเขียน ขอมูลของวรรณะตางๆ ในรูปแบบตารางหรือ ผังกราฟกที่เหมาะสมกับขอมูล เชน ผังแบบ พีระมิด ผังมโนทัศน หรือผังขั้นบันได ที่กระดาน หนาชั้นเรียน ในหัวขอบทบาทหนาที่ทางสังคม สีประจําวรรณะ และอื่นๆ
๑.๒ ด้านสังคม สภาพสังคมอินเดียได้จัดแบ่งผู้คนออกเป็นชนชั้นเรียกว่า “วรรณะ” เพราะตามความเชื่อ ทางศาสนาพราหมณ์ถือเอาเชื้อชาติเป็นเกณฑ์ ในการแบ่ง คนเกิดในวรรณะใดจะมีสิทธิและ 1 แนวทางดำเนินชีวิตตามหลักคำสอนที่ได้วางไว้โดยขัดขืนไม่ได้ ระบบวรรณะนั้นชาวอินเดียถือว่า ถูกกำหนดไว้ตายตัวโดยพระผู้เป็นเจ้า การเปลี่ยนแปลงสถานภาพทางสังคม เช่น คนเกิด ในวรรณะต่ำจะยกตัวเองให้สูงขึ้นด้วยการศึกษา การสร้างฐานะทางเศรษฐกิจ และความสำเร็จใน ชีวิตอื่นๆ ไม่ได้
๑) ชนชั้นต่างๆ ในระบบวรรณะ ระบบวรรณะของอินเดียประกอบด้วยชนชั้น
ต่างๆ รวม ๔ วรรณะด้วยกัน ดังนี้ ๑.๑) วรรณะพราหมณ์ ได้แก่ พวกศึกษาคัมภีร์พระเวท มีหน้าที่ติดต่อกับเทวะ และกระทำพิธีกรรมทางศาสนา สีประจำวรรณะคือ สีขาว ๑.๒) วรรณะกษัตริย์ ได้แก่ พวกนักรบ นักปกครอง สีประจำวรรณะคือสีแดง ๑.๓) วรรณะแพศย์หรือไวศยะ ได้แก่ ประชาชนนอกเหนือจากสองวรรณะ ข้างต้น ซึ่งเป็นชนส่วนใหญ่ในสังคมที่ประกอบอาชีพต่างๆ กัน เช่น พาณิชยกรรม เกษตรกรรม ศิลปหัตถกรรม เป็นต้น ต่อมาในระยะหลังมักตีความว่าหมายถึงเพียง “พ่อค้า” อย่างเดียว สีประจำวรรณะคือ สีเหลือง ๑.๔) วรรณะศูทร ได้แก่ พวกกรรมกรผู้ใช้แรงงาน ไม่มีสีประจำวรรณะ จะใช้สี อะไรก็ได้ เช่น สีดำ สีเขียว นอกจากสีประจำวรรณะทั้งสามข้างต้น เรื่องน่ารู้ วรรณะที่ 5
นอกจากวรรณะทั้ง ๔ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทรแล้ว ในสังคมอินเดียยังมีชนชั้นอีกวรรณะหนึ่ง เรียกว่า วรรณะจัณฑาล คือ บุคคลที่เกิดจากบิดามารดาต่างวรรณะกัน ชนชั้นนี้จะถูกเหยียดหยามว่าเป็นชนชั้นต่ำ ซึ่งเป็น ลักษณะความเชื่อตามหลักศาสนาพราหมณ์ แต่ทั้งนี้ทางพระพุทธศาสนาปฏิเสธเรื่องวรรณะเพราะถือว่าบุคคลจะดี หรือเลว มิได้อยู่ที่ชาติกำเนิด แต่อยู่ที่กรรมหรือการกระทำของบุคคลนั้นๆ
EB GUIDE
http://www.aksorn.com/LC/Rel/M4/01
6
นักเรียนควรรู 1 ระบบวรรณะ ในสังคมอินเดียปจจุบัน ปรากฏวามีหลัก 2 ประการในการ แบงวรรณะ คือ หลักชนมชาติ และหลักกรมชาติ หลักชนมชาตินั้นถือวา วรรณะ หมายถึง ตระกูล คนที่เกิดมาจากตระกูลวรรณะใดก็อยูในวรรณะนั้น สวนหลัก กรมชาตินนั้ ถือวา การกระทําหรืออาชีพของคนๆ นัน้ ตรงกับลักษณะของวรรณะใด ก็ใหถือวาคนๆ นั้นเปนวรรณะนั้นๆ ทั้งนี้เกิดจากตีความหมายของเนื้อหาใน คัมภีรพระเวทที่แตกตางกัน
มุม IT ศึกษาความเปนมาและบทบาทหนาทีข่ องวรรณะตางๆ ในสังคมอินเดียเพิม่ เติมไดที่ http://www.human.cmu.ac.th/courseonline/course/004233/pdf/doc06.pdf เว็บไซตบทเรียนออนไลนของคณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม
6
คูมือครู
กิจกรรมสรางเสริม ครูอาจมอบหมายใหนักเรียนสืบคนขอมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทบาท หนาที่และการดําเนินชีวิตของวรรณะตางๆ ที่ตนสนใจมาคนละ 1 วรรณะ แลวจัดทําเปนบันทึกการสืบคนสงครูผูสอน
กิจกรรมทาทาย ครูอาจมอบหมายใหนักเรียนสืบคนขอมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทบาท หนาที่และการดําเนินชีวิตของวรรณะตางๆ แลวจัดทําเปนบันทึกการ สืบคนสงครูผูสอน
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engaae
Expore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
อธิบายความรู
Explain
ครูสอบถามนักเรียนเกี่ยวกับมูลเหตุที่ทําให เกิดวรรณะ ไดแก 1. มูลเหตุทางตํานาน แบงออกเปน ทฤษฎี เกี่ยวกับยุค และทฤษฎีเกี่ยวกับองคาพยพ ของพระผูสราง 2. มูลเหตุตามหลักวิชา แลวใหนักเรียนสรุปขอมูลในรูปผังกราฟก ตางๆ เชน ผังมโนทัศน ลงในสมุด จากนั้นครู สุมนักเรียนใหออกมาอธิบายมูลเหตุที่ทําใหเกิด วรรณะโดยใชผังกราฟกของตนเองประกอบ ที่หนาชั้นเรียน
๒) มูลเหตุที่ทำให้เกิดวรรณะ เหตุเกิดวรรณะ อาจกล่าวได้เป็น ๒ ทาง ดังนี้
๒.๑) ทางตำนาน ได้แก่ทฤษฎีต่างๆ ดังนี้ (๑) ทฤษฎีเกี่ยวกับยุค ได้แบ่งยุคหรือระยะกาลเวลาออกเป็น ๔ ยุค ถือว่าแต่ละยุคได้เกิดคนในวรรณะต่างๆ ตามลำดับ ดังนี้ 1 (๑.๑) พวกที่เกิดในกฤตยุค ได้แก่ มนุษย์วรรณะพราหมณ์ (๑.๒) พวกที่เกิดในไตรดายุค ได้แก่ มนุษย์วรรณะกษัตริย์ (๑.๓) พวกที่เกิดในทวาปรยุค ได้แก่ มนุษย์วรรณะแพศย์ (๑.๔) พวกที่เกิดในกลียุค ได้แก่ มนุษย์วรรณะศูทร และจัณฑาล (๒) ทฤษฎีเกี่ยวกับองคาพยพของพระผู้สร้าง กล่าวว่า พระพรหมเป็น ผู้สร้างมนุษย์จากอวัยวะส่วนต่างๆ ของพระองค์เอง แล้วจัดวรรณะให้พร้อมกัน ดังนี้ (๒.๑) ทรงสร้างวรรณะพราหมณ์จากพระโอษฐ์ (ปาก) (๒.๒) ทรงสร้างวรรณะกษัตริย์จากพระพาหา (แขน) (๒.๓) ทรงสร้างวรรณะแพศย์จากพระอูรุ (โคนขาหรือตะโพก) (๒.๔) ทรงสร้างวรรณะศูทรจากพระบาท (เท้า) ๒.๒) สันนิษฐานตามหลักวิชา เนื่องจากคำว่า วรรณะ แปลว่า สีผิว ทำให้ สันนิษฐานว่า การแบ่งชนชั้นเดิมคงถือตามสีผิวเป็นสำคัญ พราหมณ์ซึ่งเป็นวรรณะสูงสุดเดิม คงมีผิวกายขาว ต่อมาเมื่อกาลเวลาล่วงเลยไป มีการผสมปะปนกันทางเชื้อชาติบ้าง สภาพ แวดล้อมทางภูมิศาสตร์ และความเป็นอยู่เป็นองค์ประกอบบ้าง สีผิวจึงเป็นเครื่องกำหนดที่ ไม่แน่นอน กล่าวอีกนัยหนึ่ง ชาติ (กำเนิดหรือเผ่าพันธุ์) คงเป็นตัวกำหนดวรรณะ เพราะ แต่เดิมมีการแบ่งเหล่ากันตามเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ คือ เผ่าอารยันทั้งหมดจัดอยู่ในสามวรรณะแรก (อารยันที่เป็นนักบวชเป็นวรรณะพราหมณ์ นักรบเป็นวรรณะกษัตริย์ พ่อค้าเป็นวรรณะแพศย์) ส่วนคนพื้นเมืองและเผ่าอื่นๆ ถูกจัดให้เป็นวรรณะศูทรเหมือนกันหมด อย่างไรก็ตาม การถือวรรณะในสมัยต้นๆ คงยังไม่เคร่งครัดมากนัก ครั้นเมื่อ กาลเวลาล่วงผ่านไปนานเข้า ก็ยิ่งเพิ่มความเคร่งครัดมากขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะพวกวรรณะ พราหมณ์จะถือเอาความได้เปรียบทางเชื้อชาติดูถูกเหยียดหยามวรรณะอื่นๆ แม้กระทั่งวรรณะ กษัตริย์และแพศย์ว่าต่ำต้อยไม่เป็นอารยชน จนกระทั่งละเลยศีลธรรม จริยธรรม และมาตรฐาน 7
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
จากการศึกษาเกี่ยวกับมูลเหตุที่ทําใหเกิดวรรณะ นักเรียนเชื่อถือ ในแนวคิดใด อธิบายพอสังเขป
แนวตอบ แนวคิดตามหลักวิชา จากการอพยพเขาสูดินแดนชมพูทวีป ของพวกอริยกะ และตอมามีอํานาจในการปกครองแควนมากกวาพวก มิลักขะชนพื้นเมืองที่อาศัยอยูเดิม อริยกะจึงสรางระบบวรรณะขึ้นจาก สีผิวที่แตกตางกันของพวกตนกับมิลักขะ เพื่อควบคุมมิใหพวกมิลักขะมี บทบาทหนาที่ในสังคม โดยเฉพาะในการปกครอง ซึ่งอาจแยงชิงอํานาจ ทางการปกครองของตนได รวมถึงมิใหเกิดการปะปนทางเชือ้ ชาติระหวางกัน
เกร็ดแนะครู ครูอาจใหนักเรียนชวยกันวิเคราะหขอดี-ขอเสียของระบบวรรณะตอสังคมอินเดีย ทั้งในอดีตและปจจุบัน รวมถึงแนวโนมของระบบวรรณะในอนาคต แลวใหนักเรียน บันทึกผลการวิเคราะหลงในสมุด
นักเรียนควรรู 1 วรรณะพราหมณ เปนวรรณะทวิชะ หมายถึง วรรณะที่มีการเกิดสองครั้ง คือ ครั้งแรกเกิดในตระกูลวรรณะพราหมณ ครั้งที่สองเกิดในพิธีการเขาศึกษาเลาเรียน โดยพราหมณผูทําพิธีจะทองมนตศักดิ์สิทธิ์และคลองดายศักดิ์สิทธิ์เรียกวา ยัชโญประวีต หรือสายคุรําเฉวียงบา
คูมือครู
7
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engaae
Expore
อธิบายความรู
อธิบายความรู Explain
Elaborate
Evaluate
ความดีงามทางสังคมอย่างอื่น เพื่อชี้ให้เห็นความบกพร่องด้านนี้ พระพุทธเจ้าได้ตรัสเตือนพวก พราหมณ์ว่า “คนเราจะดีหรือชั่ว มิใช่เพราะเชื้อชาติวรรณะเป็นตัวกำหนด การกระทำของเขา ต่างหากเป็นตัวกำหนด” หรือ “เราไม่เรียกคนที่เกิดจากท้องมารดาวรรณะพราหมณ์ว่าเป็น พราหมณ์ที่แท้จริง คนที่ละกิเลสได้หมดสิ้นต่างหากจึงควรเรียกว่า พราหมณ์ที่แท้จริง”
๑.๓ ด้านศาสนาหรือลัทธิความเชื่อ คนอินเดีย1สมัยพุทธกาล ส่วนมากนับถือศาสนาพราหมณ์ นอกนั้นก็นับถือลัทธิศาสนาอื่น เช่น ศาสนาเชนของศาสดามหาวีระ เป็นต้น ความเชื่อและแนวทางปฏิบัติ จึงอยู่บนพื้นฐานของ คำสอนทางศาสนาพราหมณ์เป็นใหญ่ ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
๑) ความเชือ่ ในเรือ่ งการล้างบาป ชาวอินเดียเชือ่ ในความศักดิส์ ทิ ธิข์ องแม่นำ้ 2
คงคาว่าถ้าใครได้อาบหรือดื่มน้ำในแม่น้ำคงคา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เมืองพาราณสี ซึ่งถือกันว่า เป็นเมืองของพระศิวะและที่เมืองคยา ซึ่งถือว่าเป็นเมืองพระวิษณุจะได้บุญมาก ความชั่วที่ทำไว้ ทั้งหมดจะถูกลอยไปกับสายน้ำ กลายเป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งทางกายและทางใจ ส่วนแม่น้ำอื่นๆ ที่พวกนับถือศาสนาพราหมณ์หรือศาสนาฮินดูก็เชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ สามารถชำระล้างบาปได้เช่นเดียวกัน แต่ไม่นิยมมากเท่าแม่น้ำคงคา เพราะถือกันว่าแม่น้ำคงคา มีต้นน้ำไหลมาจากสวรรค์ ทางมวยผมพระศิวะ จึงนิยมมาอาบและดื่มกินเพื่อลอยบาปกัน มากมาย แม้กระทั่งก่อนตายก็สั่งให้ญาติมิตร นำศพไปเผาริมน้ำ แล้วลอยกระดูกและเถ้า ถ่านลงไปในแม่น้ำคงคา ส่วนคนที่ยากจนไม่ สามารถหาฟื นมาเผาได้ ก็ เ อาศพทิ้ ง ลงใน แม่น้ำ ด้วยยความเชือ่ ว่าผูต้ ายจะได้ขนึ้ สวรรค์ไป อยูก่ ับพระผู้เป็นเจ้าอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงมัก มีศพขึ้นอืดลอยมาตามกระแสน้ำคงคาอยู่เป็น ประจำ ในขณะที่นักแสวงบุญทั้งหลายต่างก็ ดำผุดดำว่ายบ้าง วักน้ำกินบ้าง โดยไม่รังเกียจ ชาวอินเดียมีความเชื่อว่าการได้อาบน้ำในแม่น้ำคงคา ซึ่ง ถือเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลมาจากสวรรค์ จะสามารถ เดียดฉันท์หรือขยะแขยงแต่ประการใด แต่ก็ ชำระล้างบาปที่ตนได้ก่อไว้ได้ทั้งหมด น่าแปลกที่น้ำในแม่น้ำคงคาซึ่งดูสกปรกเช่นนั้น 8
EB GUIDE
นักเรียนควรรู 1 ศาสนาเชน เปนศาสนาที่เกิดขึ้นในชมพูทวีปในชวงเวลาที่ใกลเคียงกับ พระพุทธศาสนา มีพระมหาวีระเปนศาสดา ศาสนาเชนไมเชื่อในการมีอยูและ อํานาจของเทพเจา แตเชื่อวาการบําเพ็ญตนใหลําบากจะสามารถชวยใหชีวิต พนทุกขได ปจจุบันศาสนาเชนแบงออกไดเปน 2 นิกายใหญ ไดแก นิกายทิคัมพร และนิกายเศวตัมพร ผูนับถือสวนใหญอยูในประเทศอินเดีย 2 แมนํ้าคงคา เปนพรมแดนธรรมชาติระหวางประเทศอินเดียกับประเทศ บังกลาเทศ มีความยาวประมาณ 2,525 กิโลเมตร ตนนํ้าอยูทางตะวันตกของ เทือกเขาหิมาลัยในเขตอุตตรขัณฑและไหลทางตะวันออกเฉียงใตลงสูอาวเบงกอล ในประเทศบังกลาเทศ ปจจุบันบริเวณที่ราบลุมแมนํ้าคงคามีประชากรอาศัยอยู มากกวา 400 ลานคน จึงเปนที่ราบลุมแมนํ้าที่มีประชากรอาศัยอยูอยางหนาแนน ที่สุดในโลก
คูมือครู
ตรวจสอบผล
Explain
ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับพุทธวจนะเกี่ยว กับระบบวรรณะ จากนั้นใหนักเรียนชวยกันยก ตัวอยางพุทธศาสนสุภาษิต สํานวน หรือคําพังเพย ที่สอดคลองกับพุทธวจนะดังกลาว เชน ผูทํากรรม ดียอมไดผลดี ผูทํากรรมชั่วยอมไดผลชั่ว กงเกวียน กําเกวียน คนดีตกนํ้าไมไหล ตกไฟไมไหม เปนตน แลวตัง้ คําถามเกีย่ วกับความเชือ่ ในเรือ่ งการลางบาป ของคนในชมพูทวีปสมัยกอนพระพุทธเจาให นักเรียนชวยกันตอบ เชน • วิธีการลางบาปของคนในชมพูทวีปสมัยกอน พระพุทธเจามีการปฏิบัติอยางไรบาง (แนวตอบ การอาบและดื่มกินนํ้าในแมนํ้า คงคาเชื่อวาจะไดบุญมาก ความชั่วที่ทํา ไวทั้งหมดจะถูกลอยไปกับสายนํ้า กลาย เปนผูบริสุทธิ์ทั้งทางกายและใจ รวมถึงการ ประกอบพิธีเผาศพและลอยเถากระดูกหรือ ศพไปในแมนํ้าคงคา ดวยความเชื่อที่วา ผู ตายจะไดขึ้นสวรรคไปอยูกับพระผูเปนเจา) • เพราะเหตุใด ชาวชมพูทวีปจึงเชื่อวาแมนํ้า คงคาเปนแมนํ้าศักดิ์สิทธิ์ (แนวตอบ ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ ถือวา แมนํ้าคงคามีตนนํ้าไหลมาจากสวรรค ผานทางมวยผมของพระศิวะ) • ทัศนะของพระพุทธเจาหรือพระสาวกเกี่ยว กับความเชื่อเรื่องการลางบาปคืออะไร (แนวตอบ พระพุทธเจาทรงตรัสกับพราหมณ ที่ชักชวนพระองคไปลางบาปที่แมนํ้าคงคา มีใจความสําคัญวา คนเราถาทําชั่วถึงจะไป อาบนํ้าที่แมนํ้าที่เชื่อวาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายก็ พนจากบาปไมได เพราะแมนํ้าไมสามารถ ลางกรรมของคนได ควรอาบนํ้าธรรมวินัย คือ การปฏิบัติดีทั้งทางกาย วาจา ใจ แลว ทานก็จะบริสุทธิ์เอง)
8
ขยายความเขาใจ
http://www.aksorn.com/LC/Rel/M4/02
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
หากนักเรียนเดินทางไปทองเที่ยวที่ประเทศอินเดีย และตองการศึกษา ความเชื่อการลางบาปของผูที่นับถือศาสนาฮินดู นักเรียนควรเดินทางไปยัง เมืองใด 1. เมืองพาราณสี 2. เมืองโกลกาตา 3. เมืองนาลันทา 4. เมืองกุสินารา วิเคราะหคําตอบ ชาวฮินดูทําพิธีลางบาปริมฝงแมนํ้าคงคา เนื่องจากเชื่อ วาไหลมาจากสวรรคผานทางมวยผมพระศิวะ เมืองที่นิยมทําพิธีนี้ไดแก เมืองพาราณสี ซึ่งถือวาเปนเมืองของพระศิวะ และเมืองคยา ซึ่งถือวาเปน เมืองของพระวิษณุ โดยเชื่อวาจะไดบุญมาก ดังนั้นคําตอบคือ ขอ 1.
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engaae
Expore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
อธิบายความรู
Explain
1. ครูสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนเกี่ยวกับ ความเชื่อเรื่องการลางบาป เชน • นักเรียนเชื่อวาเราสามารถลางบาป แกกรรมชั่วไดหรือไม อยางไร (แนวตอบ ตามความเชื่อทางพระพุทธศาสนา บาปหรือกรรมชั่วเปนการกระทําที่ประกอบ ดวยความเจตนา และสงผลกระทบตอผูอื่น และตนเองไมมากก็นอย การลางบาปหรือ แกกรรมจึงไมสามารถทําใหกลายเปนผู บริสุทธิ์ได) 2. ครูตั้งคําถามเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องโลกและ ชีวิตของคนในชมพูทวีปสมัยกอนพระพุทธเจา ใหนักเรียนชวยกันตอบ เชน • สถานภาพของโลกและชีวิตตามความเชื่อ ของคนในชมพูทวีปสมัยกอนพระพุทธเจา เปนอยางไร (แนวตอบ ชาวชมพูทวีปมีความเชื่อเกี่ยวกับ สถานภาพของโลกอยางหลากหลาย เชน บางกลุมเชื่อวาโลกนี้เปนนิรันดร บางกลุม เชื่อวาโลกนี้เปนนิรันดรบางสวน สวนความ เชือ่ เกีย่ วกับชีวติ หลังความตาย เชน บางกลุม เชื่อวาคนเราตายแลวตองเกิดอีก บางกลุม เชือ่ วาตายแลวไมเกิดอีก เปนตน)
กลับไม่ปรากฏว่ามีพิษจนเป็นอันตรายแก่ผู้ดื่มกินแต่ประการใด๔ ปรากฏการณ์เช่นนี้ยิ่งทำให้คน อินเดียเชือ่ มัน่ ว่าแม่นำ้ คงคานีม้ ีความศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ความนิยมล้างบาปด้วยการอาบน้ำในแม่น้ำคงคาแพร่หลายมาก ถึงขนาดพราหมณ์ คนหนึ่ง ซึ่งรู้จักคุ้นเคยกับพระพุทธเจ้าเป็นการส่วนตัว ได้ชักชวนพระพุทธองค์ไปอาบน้ำที่แม่น้ำ คงคากับตนเพื่อชำระล้างบาป แต่พระพุทธเจ้าทรงตอบปฏิเสธ โดยตรัสว่า “คนเราถ้าทำชัว่ ถึงจะไปอาบน้ำทีแ่ ม่นำ้ พาหุกา แม่นำ้ อธิกา แม่นำ้ สุนทริกา แม่น้ำ สรัสตี แม่น้ำพาหุมตี เป็นนิตย์ ก็บริสุทธิ์พ้นจากบาปไม่ได้ เพราะแม่น้ำไม่สามารถชำระล้าง กรรมหยาบช้าของคนให้หมดจดได้ ท่านจงอาบน้ำธรรมวินัยนี้เถิด (คือหันมาทำความดีทางกาย วาจา ใจ) ถ้าท่านไม่พูดเท็จ ไม่เบียดเบียนสัตว์ ไม่ถือเอาของที่เขามิได้ให้ มีความเชื่อตาม เหตุผล ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว ท่านก็จะบริสุทธิ์เอง ถ้าทำความดีแล้วจะอาบน้ำดื่มน้ำชนิดไหน มันก็จะกลายเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น” ๕ เถรีภาษิตอีกแห่งหนึง่ สนับสนุนทรรศนะนีค้ อื “ถ้าบุคคลจะพ้นจากบาปกรรม เพราะการ รดน้ำศักดิ์สิทธิ์แล้ว กบ เต่า นาก จระเข้ และสัตว์น้ำทั้งปวง ก็จักได้ไปสวรรค์หมดเป็นแน่” ๖ 1 ๒) ทรรศนะเกี่ยวกับโลกและชีวิต ถึงแม้จะมีความเชื่อว่า พระพรหมเป็น ผู้สร้างโลกและกำหนดชะตากรรมของมนุษย์โดยส่วนรวมก็ตาม แต่คนอินเดียในสมัยพุทธกาล ก็ ยั ง มี ท รรศนะแตกต่ า งกั น เกี่ ย วกั บ สถานภาพของโลก เช่ น บางพวกเห็ นว่ า โลกนี้ นิ รั น ดร บางพวกว่านิรันดรบางส่วน บางพวกว่าโลกมีที่สุด บางพวกว่าโลกไม่มีที่สุด เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ หลังตายก็เช่นกัน บ้างว่าคนเราตายแล้วต้องเกิดอีก บางพวกว่าตายแล้วไม่เกิดอีก บางพวกว่า ตายแล้วยังมีสัญญา (ความจำได้) อยู่ บางพวกว่าตายแล้วไม่มีสัญญา เป็นต้น ทรรศนะเหล่านี้มี บันทึกไว้ใน “พรหมชาลสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๙” มีทั้งหมด ๖๒ ทรรศนะ ซึ่งจะนำมากล่าว พอสังเขป ดังนี้ ๔
แต่เดิมเคยมีการทดสอบน้ำในแม่น้ำคงคา ปรากฏว่าน้ำมีความเป็นด่างอย่างแรงพอที่จะทำลายเชื้อโรคและ แบคทีเรียบางอย่างได้ ทำให้ไม่เป็นอันตรายต่อผู้มาอาบหรือดื่มกิน อันอาจจะเป็นเพราะธรรมชาติของแม่น้ำที่ใต้แม่น้ำบาง บริเวณเป็นแอ่งมหึมา อย่างเช่น บริเวณหน้าเมืองพาราณสี ทำให้มีหินปูนมาตกตะกอนทับถมส่งผลให้มีความเป็นด่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม การที่อินเดียมีประชากรเพิ่มมากขึ้น มีการทิ้งซากศพและสิ่งปฏิกูล รวมทั้งมีการปล่อยน้ำเสียจำนวนมาก ลงสู่แม่น้ำตลอดเวลา ทำให้จากการทดสอบตัวอย่างน้ำในแม่น้ำคงคาของนักวิทยาศาสตร์อเมริกันเมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๒ พบว่าแม่นำ้ คงคามีคณุ ภาพลดลงกว่าเดิม ซึง่ ทางรัฐบาลอินเดียก็พยายามทีจ่ ะแก้ไขปัญหาแม่นำ้ สายสำคัญทีส่ ดุ ของประเทศอยู่ ๕ ถอดความจาก. มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่มที่ ๒. ข้อที่ ๙๘. หน้า ๖๙-๗๐. ๖ ปุณญิกาชเถรีภาษิต เล่มที่ ๒๖. ข้อที่ ๑๖๖. หน้า ๔๗๓.
9
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 51 ออกเกี่ยวกับหลักความเชื่อทางพระพุทธศาสนา เรื่องภพ-ภูมิ สัมพันธกับหลักพระพุทธศาสนาในเรื่องใด 1. กรรม 2. กิเลส 3. นิพพาน 4. อริยสัจ วิเคราะหคําตอบ เรื่องภพ-ภูมิ สัมพันธกับหลักพระพุทธศาสนาในเรื่อง กรรม ซึ่งเปนการกระทําที่ประกอบดวยเจตนา ยอมสงผลตอผูกระทําตาม สิ่งที่กระทําไปไมวาเร็วหรือชา และสามารถอธิบายไดตามหลักธรรมกรรม 12 คือ กรรมจําแนกตามหลักเกณฑเกี่ยวกับการใหผล 12 ประการ เชน ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม กรรมใหผลในปจจุบัน ชนกกรรม กรรมแตงใหเกิด กรรมที่เปนตัวนําไปเกิด ดังนั้นคําตอบคือ ขอ 1.
เกร็ดแนะครู ครูควรนํากรณีศึกษาความเชื่อเกี่ยวกับผลของกรรมในสังคมไทยปจจุบัน เชน การแกกรรม การระลึกชาติ มาใหนักเรียนพิจารณา หลังจากที่นักเรียนไดศึกษา ทรรศนะทางพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับกรรมและชีวิต แลวใหนักเรียนอภิปรายถึง ความเชื่อในกรณีศึกษากับทรรศนะทางพระพุทธศาสนา จากนั้นบันทึกผลการ อภิปรายลงในสมุด
นักเรียนควรรู 1 โลกและชีวิต ในทางพระพุทธศาสนามนุษยเปนสวนหนึ่งของธรรมชาติ ชีวิตของมนุษยจึงอยูภายใตกฎเกณฑของธรรมชาติอยางหลีกเลี่ยงไมได มนุษย จึงตองรูเทาทันทุกขและพัฒนาสุขในระดับตางๆ ตามนัยแหงพระพุทธศาสนาดวย ปญญาแหงธรรม คูมือครู
9
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engaae
Expore
อธิบายความรู
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Elaborate
Evaluate
Explain
ครูใหตัวแทนนักเรียนออกมาเขียนความเชื่อ เกี่ยวกับโลกและชีวิตของคนในชมพูทวีปกอนสมัย พระพุทธเจาที่บันทึกไวในพรหมชาลสูตร ที่ตาราง บนกระดานหนาชั้นเรียนในหัวขอ ดังนี้ 1. ความเชื่อเกี่ยวกับสถานภาพของโลก 2. ความเชื่อเกี่ยวกับสถานภาพของสรรพสิ่ง 3. ความเชื่อเกี่ยวกับการตายและการเกิด 4. ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องสุขและทุกข 5. ความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย 6. ความเชื่อเกี่ยวกับเปาหมายสูงสุดของชีวิต 7. ความเชื่อที่ไมแนนอน แลวสํารวจความเชื่อของนักเรียนในหัวขอ ตางๆ ขางตน โดยใหนักเรียนยกมือในความเชื่อ ที่นักเรียนเห็นดวย ครูบันทึกจํานวนนักเรียนที่ เห็นดวยกับความเชื่อตางๆ จากนั้นสุมนักเรียนให อธิบายวา เพราะเหตุใดจึงเห็นดวยกับความเชื่อนั้น โดยเฉพาะในหัวขอความเชื่อเกี่ยวกับสถานภาพ ของโลกและความเชื่อเกี่ยวกับการตายและการเกิด
๑. ๒. ๓.
๔. ๕. ๖. ๗.
เกี่ยวกับการตายและการเกิด ๑.๑ พวกหนึ่งเห็นว่าตายแล้วเกิดอีก ๑.๒ อีกพวกหนึ่งเห็นว่าตายแล้วสูญ เกี่ยวกับเรื่องสุขและทุกข์ ๒.๑ พวกหนึ่งเห็นว่าสุขและทุกข์ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย (คือ เกิิดขึ้นได้เอง ดับได้เอง) ๒.๒ อีกพวกหนึ่งเห็นว่าสุขและทุกข์มีเหตุ มีปัจจัย เกี่ยวกับสถานภาพของสรรพสิ่ง ๓.๑ พวกหนึ่งเห็นว่าสรรพสิ่งเที่ยงแท้นิรันดร ๓.๒ อีกพวกหนึ่งเห็นว่านิรันดรเพียงบางส่วนบางอย่าง เกี่ยวกับสถานภาพของโลก ๔.๑ พวกที่ ๑ เห็นว่าโลกมีที่สุด ๔.๒ พวกที่ ๒ เห็นว่าโลกไม่มีที่สุด ๔.๓ พวกที่ ๓ เห็นว่าโลกมีที่สุดบางอย่าง ๔.๔ พวกที่ ๔ เห็นว่าโลกมีที่สุดก็ไม่ใช่ ไม่มีที่สุดก็ไม่ใช่ เกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย ๕.๑ พวกที่ ๑ เห็นว่าสัตว์ตายแล้วยังมีสัญญา (ความจำได้) อยู่ ๕.๒ พวกที่ ๒ เห็นว่าสัตว์ตายแล้วไม่มีสัญญา ๕.๓ พวกที่ ๓ เห็นว่าสัตว์ตายแล้วมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ เกี่ยวกับเป้าหมายสูงสุดของชีวิต ๖.๑ พวกที่ ๑ เห็ เห็นว่าความสุขในกามารมณ์ เป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิต 1 งๆ เป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิต ๖.๒ พวกที่ ๒ เห็ เห็นว่าการได้ฌานชั้นต่างๆ อน ยัยังมีอีกพวกหนึ่งเห็นว่าไม่ควรบัญญัติอะไรว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี ้ ทรรศนะไม่แน่นอน เพราะไม่มีอะไรเป็นกฎเกณฑ์แน่นอนตายตัว การปฏิเสธหรือยอมรับอะไรง่ายๆ อาจ ผิดพลาดขึ้นได้ ดังนั้นจึงไม่ควรผูกมัดตัวเองกับทฤษฎีใดๆ
๓) การแสวงหาสัจธรรม สภาพเศรษฐกิจที่มีความยากจนบีบคั้น และสภาพ
10
สังคมที่มีการแบ่งชั้นวรรณะ มีการดูหมิ่นเหยียดหยาม เอารัดเอาเปรียบกัน ทำให้คนอีกกลุ่มหนึ่ง เกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตทีี่เต็มไปด้วยความทุกข์ พากันปลีกตนออกจากบ้านเรือนเข้าสู่ป่า แสวงหาคำตอบแก่ชีวิตในรูปแบบต่ 2 างๆ ถือเพศผู้แสวงหาโมกษะ (ทางหลุดพ้น) มีชื่อเรียกว่า อาชีวกบ้าง ปริพาชกบ้าง ชฎิลบ้าง สมณะบ้าง ตั้งตนเป็นเจ้าสำนักสอนลัทธิของตนแก่มหาชน มีผู้นับถือมากมาย หลักฐานระบุไว้ถึง ๖๒ ลัทธิดังกล่าวข้างต้นและมีเจ้าลัทธิที่มีชื่อเสียงมากใน ยุคนั้น ๖ ท่าน ดังต่อไปนี้
นักเรียนควรรู 1 ฌาน ในทางพระพุทธศาสนาคือ การเพงอารมณจนใจแนวแน เปนอัปปนา สมาธิ หรือภาวะจิตสงบประณีต ซึ่งมีสมาธิเปนองคธรรมหลัก ในเบื้องตนแบงออก ไดเปน 4 ระดับ ไดแก ปฐมฌาน คือ วิตก วิจาร ปติ สุข และเอกัคคตา ทุติยฌาน คือ ปติ สุข และเอกัคคตา ตติยฌาน คือ สุขและเอกัคคตา และจตุตถฌาน คือ อุเบกขาและเอกัคคตา 2 ชฎิล คือ นักบวชประเภทหนึ่ง เกลาผมมุนเปนมวยสูงขึ้น มักถือลัทธิบูชาไฟ บางครั้งจัดเขาในพวกฤๅษี ชฎิลสําคัญที่ปรากฏในประวัติพระพุทธศาสนา ไดแก ชฎิลกัสสปะหรือชฎิลสามพี่นอง ประกอบดวย อุรุเวลกัสสปะ นทีกัสสปะ และคยากัสสปะ ซึ่งภายหลังไดรับการเทศนาธรรมจากพระพุทธเจาทําใหหันมา ยอมรับนับถือพระพุทธศาสนา
10
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ทรรศนะเกี่ยวกับความสุขและทุกขของชีวิตในชมพูทวีปมีลักษณะอยางไร 1. กลุมตางๆ เชื่อวาไมมีความสุขความทุกข มนุษยลวนคิดไปเอง 2. กลุมตางๆ เชื่อวาความสุขทางกายเปนเปาหมายสูงสุดของชีวิต 3. กลุมหนึ่งเชื่อวาเกิดขึ้นเอง อีกกลุมหนึ่งเชื่อวาเกิดขึ้นดวยเหตุปจจัย 4. กลุมหนึ่งเชื่อวาพระเจาบันดาลสุข อีกกลุมหนึ่งเชื่อวาภูติผีสรางทุกขเข็ญ วิเคราะหคําตอบ ทรรศนะเกี่ยวกับชีวิตมนุษยในชมพูทวีปเรื่องความสุข และทุกขนั้น แบงออกไดเปน 2 กลุมใหญๆ คือ กลุมที่เชื่อวาความสุข และทุกขในชีวิตนั้นเกิดขึ้นเอง ไมมีเหตุปจจัย เชน ลัทธิมักขลิโคสาล กับ กลุมที่เชื่อวา ความสุขและทุกขนั้นมีเหตุปจจัย เชน พระพุทธศาสนา ดังนั้นคําตอบคือ ขอ 3.
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engaae
Expore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
อธิบายความรู ลัทธิ
๗
1
ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับการแสวงหา สัจธรรมของคนในชมพูทวีปสมัยกอนพระพุทธเจา แลวใหนักเรียนพิจารณาแถบขอความคําตอไปนี้ • เห็นวาทําก็เทากับไมทํา • เห็นวาไมมีเหตุ มีแตผล • เห็นวาไมมี เห็นวาสูญ • เห็นวานิรันดร • เห็นวาความจริงมีหลายแง • เห็นวาไมตายตัว จากนั้นใหนักเรียนชวยกันจับคูลัทธิที่มีหลัก คําสอนตรงขามกัน ครูติดแถบขอความที่นักเรียน จับคูไดถูกตองบนกระดานเปนคูๆ (คูที่ถูกตอง ไดแก เห็นวาทําก็เทากับไมทํา คือ ปูรณกัสสป คู กับ เห็นวาไมมีเหตุ มีแตผล คือ มักขลิโคสาล เห็นวาไมมี เห็นวาสูญ คือ อชิตเกสกัมพล คูกับ เห็นวานิรันดร คือ ปกุธกัจจายนะ และเห็นวา ความจริงมีหลายแง คือ นิครนถนาฏบุตร คูกับ เห็นวาไมตายตัว คือ สัญชัยเวลัฏบุตร) แลวสุม นักเรียนเปนคูใหออกมาเขียนหลักคําสอนของลัทธิ ที่ตรงขามกันที่กระดานหนาชั้นเรียน
หลักคำสอน
ปูรณกัสสป
มีความเห็นว่า บุญบาปไม่มจี ริง สิง่ ทีท่ ำลงไปว่าดีหรือชัว่ ไม่มผี ลอะไรตอบสนอง ทำแล้วก็แล้วไป ลัทธินเี้ รียกว่า “อกิรยิ ทิฏฐิ” (เห็นว่าทำก็เท่ากับไม่ทำ)
มักขลิโคสาล
มีความเห็นว่า ความบริสทุ ธิแ์ ละความมัวหมองไม่มเี หตุปจั จัย สัตว์ทงั้ หลาย บริสุทธิ์และเศร้าหมองเองตามธรรมชาติ ลัทธินี้เรียกว่า “อเหตุกทิฏฐิ” (เห็น ว่าไม่มีเหตุ มีแต่ผล) ลัทธินี้เรียกอีกอย่างว่า “สังสารสุทธิ” คือ เชื่อว่า หลังจากเวียนว่ายตายเกิดเป็นเวลานาน สัตว์ทั้งหลายก็จะบริสุทธิ์ได้เอง
อชิตเกสกัมพล
มีความเห็นว่า คนไม่มี สัตว์ไม่มี มีแต่การประชุมแห่งธาตุทั้ง ๔ เมื่อธาตุ ทั้ง ๔ แยกกันแล้วก็เป็นอันสิ้นสุด บาปบุญไม่มี ทานและการบูชายัญเป็น บัญญัติของคนโง่ ที่สุดของชีวิตก็คือเถ้าถ่าน ไม่มีอะไรเหลืออยู่ ตายแล้ว สูญหมด ลัทธินี้เรียกว่า “นัตถิกทิฏฐิ” (เห็นว่าไม่มี) และ “อุจเฉททิฏฐิ” (เห็นว่าสูญ) นับว่าเป็นลัทธิวัตถุนิยมของอินเดีย
ปกุธกัจจายนะ
มีความเห็นว่า สิ่งที่เที่ยงแท้มีอยู่ ๗ อย่าง คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม สุข ทุกข์ และชีวะ ไม่ผันแปรเป็นอย่างอื่น มีอยู่อย่างไรก็อย่างนั้น ลัทธินี้เรียกว่า “สัสสตทิฏฐิ” (เห็นว่านิรันดร) และในด้านจริยธรรมถือว่าไม่มีคนฆ่า ไม่มีคน ถูกฆ่า เป็นแต่เพียงศัสตราวุธชำแหละผ่านอวัยวะที่ไม่ยั่งยืนเท่านั้น แต่ชีวะ ที่เที่ยงแท้ไม่มีใครฆ่าได้ จึงไม่มีผลทางจริยธรรมแต่อย่างใด ลัทธินี้จึงจัด เป็น “นัตถิกทิฏฐิ” ได้อีกด้วย
นิครนถ์นาฏบุตร๗
มีความเห็นว่า การทรมานกายให้ลำบากด้วยวิธีต่างๆ เป็นทางหลุดพ้นหลัก คำสอน ลัทธินี้เน้นความเข้มงวดต่างๆ เช่น ถือการไม่เบียดเบียนอย่าง ยิ่งยวด ถึงกับเอาผ้าปิดปากปิดจมูก เกรงว่าเวลาหายใจจะสูดจุลินทรีย์สัตว์ เข้าไปโดยไม่เจตนา หรือเวลาเดินไปไหนจะเอาไม้เท้ากวาดพื้นเสียก่อนแล้ว ค่อยๆ ย่องไปอย่างช้าๆ ไม่มีสมบัติครอบครอง ไม่นุ่งห่มผ้า ประพฤติตน เป็นชีเปลือย เชื่อว่าการอดข้าวจนสิ้นชีพจะทำให้พ้นทุกข์ ลัทธินี้เรียกว่า “อัตตกิลมถานุโยค” (ลัทธิทรมานตน) ในแง่อภิปรัชญาลัทธินี้ถือว่า ความ จริงแท้มีหลายแง่ เรื่องหนึ่งมองในแง่นี้อาจเป็นจริง แต่ถ้ามองในแง่อื่นใน สถานการณ์อื่นอาจไม่จริงก็ได้ เรียกว่า “อเนกานตวาท” (ถือว่าความจริงมี หลายเงื่อนหลายแง่)
สัญชัยเวลัฏฐบุตร
มีความเห็นว่า การจะผูกมัดตัวเองกับทรรศนะใดๆ ย่อมมีส่วนผิดพลาดได้ จึงไม่ยืนยันและปฏิเสธทรรศนะใด เอาแน่อะไรไม่ได้ เช่น ถ้าถามว่าเป็น อย่างนี้หรือ ก็ตอบว่าไม่ใช่ ถ้าถามว่าไม่ใช่หรือ ก็ตอบว่าใช่ ลัทธินี้เรียกว่า “อมราวิกเขปิกาทิฏฐิ” (มีความเห็นไม่ตายตัว ลืน่ ไหลไปมาเหมือนปลาไหล)
นิครนถ์นาฏบุตร เป็นที่รู้จักกันในอีกนามหนึ่ง พระมหาวีระ ซึ่งเป็นศาสดาของศาสนาเชน
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ลัทธิรวมสมัยกับพระพุทธเจาที่พัฒนาขึ้นเปนศาสนาในปจจุบันคืออะไร และมีหลักคําสอนสําคัญอยางไร
แนวตอบ ลัทธินิครนถนาฏบุตร คือ ศาสนาเชน ในปจจุบัน มีพระมหาวีระ เปนศาสดา หลักคําสอนสําคัญของลัทธินี้คือ การทรมานกายใหลําบาก ดวยวิธีตางๆ เปนแนวทางหลุดพนจากทุกข และในการปฏิบัติเนนความ เขมงวดเปนอยางยิ่ง เชน การไมครอบครองสมบัติ การไมนุงหมผา การอดขาวจนสิ้นชีพ เปนตน
Explain
11
นักเรียนควรรู 1 ลัทธิ คติความเชื่อ ความคิดเห็น และหลักการที่มีผูนิยมนับถือและปฏิบัติ ตามสืบเนื่องกันมา มักใชทั้งในดานศาสนาและดานการเมืองการปกครอง เชน ลัทธิของเหลาติตถกร (เจาลัทธิทั้ง 6 ในสมัยพุทธกาล) ลัทธิสังคมนิยม และลัทธิ ทุนนิยม เปนตน
มุม IT ศึกษาความเชื่อและรายละเอียดเพิ่มเติมของลัทธิตางๆ ในสังคมชมพูทวีป สมัยกอนพระพุทธเจาไดที่ http://www.mcu.ac.th/site/articlecontent_desc. php?article_id=428&articlegroup_id=104 เว็บไซตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
คูมือครู
11
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engaae
Expore
อธิบายความรู
อธิบายความรู Explain
Expand
ครูมอบหมายใหนักเรียนเขียนบทความเกี่ยว กับลักษณะของสังคมชมพูทวีปและคติความเชื่อ ทางศาสนาในสมัยกอนพระพุทธเจา โดยกําหนด ใหมีเนื้อหาครอบคลุมดานการเมืองการปกครอง ดานสังคม และดานศาสนาหรือลัทธิความเชื่อ ความยาวไมตํ่ากวา 2 หนากระดาษ A4 จาก ความรูที่นักเรียนไดศึกษามาและคนควาขอมูล เพิ่มเติมในเชิงลึกจากแหลงการเรียนรูตางๆ
ตรวจสอบผล
Evaluate
ครูคัดเลือกบทความที่ดีเกี่ยวกับลักษณะของ สังคมชมพูทวีปและคติความเชื่อทางศาสนาในสมัย กอนพระพุทธเจา แลวนํามาใหนักเรียนชวยกันตรวจ อีกครั้ง โดยพิจารณาจากความสมบูรณของเนื้อหา สาระและการนําเสนอที่เขาใจงาย รวมถึงความนา สนใจ จากนัน้ อภิปรายรวมกันกับนักเรียนถึงแนวทาง ในการแกไขปรับปรุงและพัฒนาชิน้ งานตอไป
12
1 อาฬารดาบส กาลามโคตร เปนอาจารยที่สอนสมาบัติแกพระพุทธเจาใน ขณะที่ยังเปนพระสิทธัตถะ อาฬารดาบสไดสมาบัติถึงชั้นอากิญจัญญาตนฌาน คือ ฌานกําหนดภาวะที่ไมมีอะไรเลยเปนอารมณ 2 อุททกดาบส รามบุตร เปนอาจารยที่สอนสมาบัติแกพระพุทธเจาในขณะ ที่ยังเปนพระสิทธัตถะเชนกัน อุททกดาบสไดสมาบัติถึงชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ คือ ภาวะที่มีสัญญาก็ไมใช ไมมีสัญญาก็ไมใช
คูมือครู
ตรวจสอบผล Evaluate
๔) แนวทางปฏิบัติ แนวทางปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจากความทุกข์ของคน
อินเดียยุคพุทธกาลมีอยู่ ๓ ทาง ดังนี้ ๔.๑) การหมกมุ่นเสพสุขทางกามารมณ์ ได้แก่ การแสวงหาความสุขทาง เนื้อหนังอย่างเต็มที่ พวกนี้ถือว่าชีวิตมีชีวิตเดียว ความสุขทางเนื้อหนังจึงเป็นจุดหมายสูงสุด ของชีวิต ตายไปแล้วทุกอย่างเป็นอันสิ้นสุด พวกนี้ได้ประกาศทรรศนะของตนว่า “คนเราประกอบ ด้วยธาตุ ๔ เมื่อตายลง ธาตุดินก็กลับคืนสู่ดิน ธาตุน้ำก็กลับคืนสู่น้ำ ธาตุไฟก็กลับคืนสู่ ไฟ ธาตุลมก็กลับคืนสู่ลม ความรู้สึกทั้งหลายหายไปในอวกาศ คนเราไม่ว่าโง่หรือฉลาด เมื่อกาย แตกสลายก็แตกดับหายสูญ ไม่คงอยู่อีกต่อไป ไม่มีโลกหน้า ความตายคือที่สุดของสรรพสิ่ง โลกปัจจุบันนี้เท่านั้นคือความจริง สิ่งที่เรียกว่านรกสวรรค์ เป็นเพียงจินตนาการของคนโกง” พวกคนที่มีความเห็นเช่นนี้เรียกว่า “โลกายตะ” ซึ่งเป็นลัทธิวัตถุนิยมของ อินเดียโบราณ พระพุทธศาสนาเรียกลัทธินวี้ า่ “กามสุขลั ลิกานุโยค” (ลัทธิหมกมุน่ อยู่ในสุขทางกาม) ๔.๒) การบำเพ็ญตบะ คือ ทำตนให้ลำบากด้วยการบำเพ็ญตบะต่างๆ เช่น ย่างตนให้ร้อนด้วยไฟ ขุดหลุมฝังตนเอง เอาขี้เถ้าหรือโคลนทาตัวให้สกปรกจนเป็นสะเก็ดดำ อย่างตอตะโก แช่กายในน้ำที่เย็นจัด ทำให้อวัยวะพิการด้วยวิธีต่างๆ ฯลฯ ตลอดจนการอดอาหาร ด้วยความเชื่อว่าเมื่อทรมานตนให้ลำบากแล้วกิเลสภายในจิตใจจะเหือดแห้งไป หรือพระผู้เป็นเจ้า จักมีพระกรุณาประทานความหลุดพ้นให้ วิธีการนี้เรียกว่า “ตบวิธี” (อ่านว่า ตะ - บะ - วิ - ธี) ทางพระพุทธศาสนา เรียกว่า “อัตตกิลมถานุโยค” (ลัทธิทรมานตนให้ลำบาก) ๔.๓) การฝึกโยคะ คือ การ ฝึกทำจิตใจให้สงบ เพื่อให้พลังจิตควบคุมหรือ บังคับกาย ผลของการฝึกจิตคือทำให้ได้ฌาน สมาบัติขั้นต่างๆ วิธีนี้เรียกว่า “โยควิธี” ผู้ที่ฝึก ปฏิบัติวิธีนี้เรียกว่า “โยคี” มีแพร่หลายมากใน ประเทศอินเดียโบราณแม้ปจั จุบนั ก็ยงั ปรากฏอยู่ ผู้ ที่ เ ป็ น เจ้ า สำนั ก ที่ มี ชื่ อ เสี ย งมากในสมั ย นั้ น แม้พระพุทธเจ้าก็เสด็จไปทดสอบฝึกปฏิบัติอยู่ การบำเพ็ญตบะ คือ การทรมานตนเองด้วยเชื่อว่าเป็น 1 หนทางแห่งการหลุดพ้นได้ ด้วยก่อนตรัสรู้คือ อาฬารดาบส กาลามโคตร 2 และอุททกดาบส รามบุตร
นักเรียนควรรู
12
Expand
Explain
ครูสุมนักเรียนใหตอบคําถามเกี่ยวกับแนวทาง ปฏิบัติเพื่อความหลุดพนจากทุกขของคนในชมพู ทวีปสมัยกอนพระพุทธเจา เชน • แนวทางที่อาจกลาวไดวาสอดคลองกับลัทธิ วัตถุนิยมในปจจุบันคืออะไร และมีแนวทาง การปฏิบัติอยางไร (แนวตอบ ผูที่เชื่อในแนวทางเชนนี้เรียกวา โลกายตะ ในทางพระพุทธศาสนาเรียกลัทธิ นี้วา กามสุขัลลิกานุโยค หมายถึง ลัทธิ หมกมุนอยูในสุขทางกาม พวกที่เชื่อในลัทธิ นี้จะแสวงหาความสุขทางเนื้อหนังอยางเต็ม ที่ เพราะถือวามีชีวิตเดียว ความสุขทางเนื้อ หนังจึงเปนจุดหมายสูงสุดของชีวิต เมื่อตาย ไปแลวทุกอยางก็สิ้นสุด)
ขยายความเขาใจ
ขยายความเขาใจ
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
พระพุทธเจาทรงแสวงหาทางหลุดพนจากทุกขของชีวิตโดยทรงปฏิบัติ ตามแนวทางใดบาง 1. โลกายตะ ตบวิธี 2. ตบวิธี โยควิธี 3. โยควิธี สมถวิธี 4. สมถวิธี นิคคหวิธี วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. พระพุทธเจาทรงแสวงหาทางหลุดพนจาก ทุกขของชีวิตตามแนวทางตางๆ ในสังคมชมพูทวีปสมัยนั้น ไดแก โยค วิธี หรือการฝกโยคะ คือ การฝกทําจิตใจใหสงบ เพื่อใหพลังจิตควบคุม กายจนไดฌานสมาบัติชั้นตางๆ และตบวิธี หรือการบําเพ็ญตบะ คือ การทรมานตนใหลาํ บากดวยวิธกี ารตางๆ เชน กลัน้ ลมหายใจเอาลิน้ ดุน เพดานปากจนเกิดความรอนไปทั่วรางกาย ตลอดจนการบําเพ็ญทุกกรกิริยา หรือการอดอาหารจนผายผอม แตก็ไมพบทางพนทุกขจึงทรงเลิก ปฏิบัติในที่สุด
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
กระตุน ความสนใจ
ครูตั้งคําถามเกี่ยวกับความสําคัญของ พระพุทธศาสนา โดยเชื่อมโยงกับลักษณะทาง สังคมชมพูทวีปสมัยกอนพระพุทธเจาที่นักเรียนได ศึกษามา แลวใหนักเรียนชวยกันตอบ เชน • หลักธรรมและขอปฏิบตั ทิ างพระพุทธศาสนา มีความแตกตางจากคติความเชื่อทาง ศาสนาในสมัยกอนพระพุทธเจาอยางไรบาง (แนวตอบ หลักธรรมทางพระพุทธศาสนามี ความเปนกลาง ไมขึ้นตอบุคคล กลุม เชื้อ ชาติ หรือศาสนาใดๆ เมื่อพูดวาสิ่งนี้ดี สิ่ง นี้ไมดี ยอมดีหรือไมดีสําหรับคนทุกหมูเหลา และทุกกาลเทศะ สวนขอปฏิบตั ทิ างพระพุทธศาสนานั้นยึดทางสายกลาง และเนนการ พัฒนาศรัทธาและปญญาบนหลักของเหตุผล)
กล่าวโดยสรุปในทางศาสนาหรือลััทธิความเชื่อ พวกพราหมณ์ที่ผูกขาดสืบทอด 1 พระเวทติดต่อกันมาได้พัฒนาคำสอนในด้านพิธีกรรมต่างๆ ให้สลับซับซ้อนยิ่งขึ้น ซึ่งพิธีกรรม เหล่านีม้ งุ่ สนองความต้องการหรือผลประโยชน์สว่ นตัวของเหล่าอภิสทิ ธิช์ นมากกว่าการสร้างสรรค์ ประโยชน์สุขแก่สังคมส่วนรวม เช่น พิธีบูชายัญที่ต้องเซ่นสรวงสังเวยด้วยชีวิตของสัตว์คราว ละมากๆ ในเวลาเดียวกันนี้ พราหมณ์บางพวกได้คิดว่าพิธีกรรมต่างๆ ไม่สามารถตอบสนอง ความต้องการของคนได้อย่างสูงสุด จึงเริ่มหันมาเอาจริงเอาจังกับปัญหาชีวิตนิรันดรและหนทาง ที่จะนำไปสู่ภาวะนั้น ถึงกับปลีกตนออกจากสังคมไปบวชบำเพ็ญตบะหรือโยคะแบบต่างๆ เช่น การทรมานตนให้ลำบากด้วยวิธีการพิสดารต่างๆ นานาชนิดที่คนทั่วไปนึกไม่ถึงว่าจะเป็นไปได้ หรือไม่ก็บำเพ็ญสมาธิจนถึงขั้นทำอิทธิปาฏิหาริย์ และได้ฌานสมาบัติก็มี ระบบความเชื่อของคน อินเดียยุคพุทธกาลมีมากมาย เฉพาะที่บันทึกไว้ในคัมภีร์พระไตรปิฎกมีถึง ๖๒ ทฤษฎี มีสำนัก คณาจารย์ที่มีชื่อเสียงถึง ๖ สำนักด้วยกัน ดังนั้น จะเห็นได้ว่าในขณะที่คนกลุ่มหนึ่งกำลังรุ่งเรืองในทางการเมืองการ ปกครองและมีความสุขอย่างเหลือเฟือ แต่อีกกลุ่มหนึ่งกลับมีฐานะทางสังคมด้อยลงทุกขณะ เพราะไม่ได้รับการดูแล และยังมีอีกพวกหนึ่งที่ปลีกตัวออกจากสังคมเพื่อมุ่งแสวงหาความจริง ทางด้านปรัชญา โดยไม่ได้สนใจสภาพของสังคมที่เป็นอยู่
สํารวจคนหา
๒. ความสำคัญของพระพุทธศาสนา ๒.๑ พระพุทธศาสนามีทฤษฎีที่เป็นสากล พระพุทธศาสนานั้นสอนความจริงเป็นกลางๆ ไม่ขึ้นต่อบุคคล กลุ่ม หรือเชื้อชาติศาสนา ใดๆ เมื่อพูดว่าสิ่งนี้ดี สิ่งนี้ไม่ดี ย่อมดีหรือไม่ดีสำหรับคนทุกหมู่เหล่า และทุกกาลเทศะ เพราะ เป็นสิ่งที่ดี ที่เป็นสากล ยกตัวอย่างเช่น พระพุทธศาสนาสอนว่า ปาณาติบาต : การทำลายชีวิต เป็นสิ่งไม่ดี ก็สอนเป็นกลางๆ ว่า ไม่ว่าจะฆ่าคนซึ่งไม่จำกัดว่าเป็นใครก็ตาม หรือไม่ว่าจะฆ่าสัตว์ ชนิดไหนก็ตาม ถือว่าเป็นบาปทั้งนั้น ไม่มียกเว้นว่าฆ่าคนดีเท่านั้นที่บาป ฆ่าคนชั่วไม่บาป หรือ ฆ่าคนเท่านั้นจึงจะบาป ฆ่าสัตว์ไม่บาป หรือฆ่าสัตว์เพื่อความสนุกสนาน เพื่อหวังทำลายชีวิตให้ ตกไปเท่านั้นเป็นบาป แต่ฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหารไม่บาป ทั้งนี้เพราะพระพุทธศาสนาถือหลักการ สากลว่า “คนและสัตว์ต่างรักตัวกลัวตาย การทำลายชีวิตทุกชีวิตให้ตกล่วงไปถือว่าเป็นบาปเช่น เดียวกัน” ฉะนั้น การทำปาณาติบาตในทุกกรณี จึงถือเป็นสิ่งไม่ดีในทางพระพุทธศาสนา 13
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับความเปนสากลของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนหลักความจริงที่เปนสากลในเรื่องใด 1. ตนเปนที่พึ่งแหงตน 2. การทําลายชีวิตเปนบาป 3. ทุกชีวิตตองเผชิญปญหาดวยความไมประมาท 4. มนุษยใชปญญาหาสาเหตุเพื่อแกปญหาได วิเคราะหคําตอบ ความจริงที่เปนสากลของพระพุทธศาสนา หมายถึง ความจริงที่เปนกลาง ไมขึ้นตอบุคคลที่นับถือ ศาสนาใด เมื่อพูดวาสิ่ง นี้ดี สิ่งนี้ไมดี ยอมดีหรือไมดีสําหรับทุกคน ตัวเลือกที่เปนสากลคือ การ ทําลายชีวิตเปนบาป สอดคลองกับหลักคําสอนของทุกศาสนา สวนตัวเลือก ขออืน่ ไมเปนสากล เนือ่ งจากศาสนาทีเ่ ชือ่ ในพระเจา เนนใหมนุษยศรัทธาใน พระเจา ผูส ามารถดลบันดาลสิง่ ตางๆ ในการดําเนินชีวติ ได ดังนัน้ คําตอบ
คือ ขอ 2.
Engage
Explore
ครูใหนักเรียนรวมกลุมกัน กลุมละ 3 คน เพื่อ ใหแบงหนาที่กันศึกษาเกี่ยวกับความสําคัญของ พระพุทธศาสนา จากหนังสือเรียน หนา 13-23 คนละหัวขอ ดังนี้ นักเรียนคนที่ 1 ศึกษาพระพุทธศาสนามี ทฤษฎีที่เปนสากล นักเรียนคนที่ 2 ศึกษาพระพุทธศาสนามีขอ ปฏิบัติที่ยึดทางสายกลาง นักเรียนคนที่ 3 ศึกษาพระพุทธศาสนาเนน การพัฒนาศรัทธาและปญญา ที่ถูกตอง จากนั้นใหนักเรียนแตละคนอธิบายความรูที่ ตนศึกษามาใหแกเพื่อนในกลุมตามลําดับ เมื่อครบ ทุกหัวขอแลวใหนักเรียนในแตละกลุมสอบถามขอ สงสัยจนมีความเขาใจตรงกัน
เกร็ดแนะครู ครูอาจอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการมีทฤษฎีที่เปนสากลของพระพุทธศาสนาใน แงพระพุทธศาสนาแสดงธรรมทั้งหลายเปนธรรมดา ไมบังคับใหทํา และไมขูดวย การลงโทษ ใครจะเชื่อหรือไมเชื่อก็ไมบังคับ สอนใหรูวาความจริงเปนอยางนั้น เมื่อ กระทําแลวจะเกิดผลดีหรือผลเสียก็เปนไปตามธรรมดาของมันเอง เปนเรื่องที่ทุกคน สามารถพิจารณาไดดวยสติปญญาของตนเอง
นักเรียนควรรู 1 พระเวท คือ คัมภีรในศาสนาพราหมณ-ฮินดู ประกอบดวย 3 เลม เรียกวา ไตรเพท ไดแก ฤคเวท ประมวลบทสวดสรรเสริญเทพเจา ยชุรเวท ประกอบดวย บทสวดออนวอนในพิธีบูชายัญตาง ๆ และสามเวท ประมวลบทเพลงขับสําหรับ สวดหรือรองเปนทํานองในพิธีบูชายัญ ทั้งนี้ตอมาไดมีคัมภีรเพิ่มขึ้นอีกเลมหนึ่ง คือ อาถรรพเวทหรืออาถรรพณเวท อันวาดวยคาถาอาคมทรงไสยศาสตร คูมือครู
13
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engaae
Expore
อธิบายความรู
อธิบายความรู Explain
Elaborate
Evaluate
ข้อทฤษฎีที่เป็นสากลที่พระพุทธศาสนาสอนเน้นอยู่เสมอก็คือ หลักความจริงอันประเสริฐ แห่งชีวิต ๔ ประการ (อริยสัจ ๔) ดังนี้
๑) สอนว่าชีวิตและโลกนี้มีปัญหา เมื่อมองชีวิตแต่ละชีวิตที่เกิดมา ล้วนแต่
มี ปั ญ หาสารพั ด ชนิ ด ทั้ ง ปั ญ หาเล็ ก และปั ญ หาใหญ่ ทั้ ง ปั ญ หาภายในและปั ญ หาภายนอก สัตว์เดรัจฉานต้องเผชิญปัญหาการเอาตัวรอดจากภัยพิบัติ ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อหาอาหารมา เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง กล่าวได้ว่านับตั้งแต่เกิดจนโต กว่าสัตว์เดรัจฉานจะเอาชีวิตรอดมาได้ ก็ต้อง เผชิญภยันตรายต่างๆ อย่างสาหัส แม้วันนี้จะสามารถอยู่รอดได้ ก็ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้จะปลอดภัย จะทำสิิ่งใดๆ จึงต้องระมัดระวังไปแทบทุกฝีก้าว ส่วนมนุษย์มิได้มีปัญหาอยู่เพียงเรื่องปากท้อง เท่านั้น ยังมีปัญหาอื่นๆ ทับถมเข้ามาอีก เช่น มีกินอิ่มแล้ว ยังอยากมีมากกว่าเดิมอีก อยากมีไว้ เผื่อลูกหลานอีก เกิดความโลภอยากได้ ไม่รู้จบ ปากท้องได้กินอิ่มแล้ว ยังต้องการให้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้กินอีก เมื่อไขว่คว้าหารูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส มาปรนเปรอบำรุงบำเรอ ไม่จบสิ้น ปัญหาก็ยิ่งเพิ่มทวีคูณจนยากที่จะสะสางให้เบาบางได้ เมื่อมองภาพรวมของโลกทั้งหมด ทุกชีวิตที่เกิดมาล้วนเผชิญกับปัญหาที่เป็นสากล ด้วยกันทั้งนั้นคือ ปัญหาการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ปัญหาการไม่ได้สมปรารถนา ปัญหาที่ต้อง ประสบกับบุคคล สัตว์ และสิ่งของที่ไม่เป็นที่รัก และปัญหาการพลัดพรากจากบุคคล สัตว์ และ สิ่งของอันเป็นที่รัก
๒) สอนว่ า ปั ญ หามี ส าเหตุ มิได้เกิดขึ้นลอยๆ พระพุทธศาสนาสอนว่า
พระพุทธศาสนาสอนว่าปัญหาทุกปัญหามีสาเหตุ การใช้ ความร่ ว มมื อ กั น ปรึ ก ษากั น เพื่ อ แก้ ไขปั ญ หา จึ ง เป็ น หนทางที่สมควร
สรรพสิ่ ง เกิ ด จากเหตุ สรรพสิ่ ง จะดั บ หรื อ หมดไป ก็ เ พราะดั บ เหตุ ไม่ มี สิ่ ง ใดเกิ ด ขึ้ น เป็นไป หรือดับสลายไปเฉยๆ โดยไม่มีเหตุ ปัจจัย พูดอีกนัยหนึ่งพระพุทธศาสนามิได้สอน ให้เชื่อในเรื่องบังเอิญ ในบางครั้งที่เราคิดว่ามัน เป็นไปโดย “บังเอิญ” ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยนั้น เป็นเพราะว่าเรามองไม่เห็นหรือไม่เข้าใจเหตุ หรือปัจจัยของมัน จึงทึกทักเอาว่าสิ่งนั้นเกิด ขึ้นหรือดับไปโดยบังเอิญ เช่น ดำกับแดงเป็น
14
เกร็ดแนะครู ครูอธิบายใหนักเรียนเขาใจเพิ่มเติมการคิดตามหลักอริยสัจ 4 โดยการเชื่อมโยง กับโยนิโสมนสิการ คือ การทําในใจโดยแยบคายที่นักเรียนไดศึกษามาแลววา การทําในใจโดยแยบคาย คือ การพิจารณาเพือ่ เขาถึงความจริง โดยสืบคนหาเหตุผล ไปตามลําดับจนถึงตนเหตุ แยกแยะองคประกอบจนมองเห็นตัวสภาวะและความ สัมพันธแหงเหตุปจจัยหรือตริตรองใหรูจักสิ่งที่ดีที่ชั่ว ยังกุศลธรรมใหเกิดขึ้นโดย อุบายที่ชอบ ซึ่งจะมิใหเกิดอวิชชาและตัณหา
มุม IT ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักอริยสัจและทัศนะจากอริยสงฆไดที่ http://www.thammapedia.com/ariyasaj/ariyasaj.php เว็บไซต มูลนิธิธรรมทานกุศลจิต คูมือครู
ตรวจสอบผล
Explain
ครูสนทนารวมกันกับนักเรียนเกี่ยวกับการมี ทฤษฎีที่เปนสากลของพระพุทธศาสนา จากนั้นให นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมาตอบคําถาม เกี่ยวกับหลักความจริงแหงชีวิต 4 ประการ เชน • เพราะเหตุใด มนุษยจึงมีปญหาชีวิต มากกวาสัตวโลกทั้งหลาย (แนวตอบ กิเลสตัณหาที่ครอบงําจิตใจของ มนุษย ทําใหมนุษยประสบกับปญหาชีวิตโดย ตลอด เชน มีกินอิ่มแลว ยังอยากมีมากกวา เดิมอีก อยากมีไวเผื่อลูกหลานอีก เกิดความ โลภอยากไดอยากมีไมรูจบ) • มนุษยทุกคนตองประสบกับปญหาชีวิตใด บาง (แนวตอบ การเกิด แก เจ็บ ตาย ปญหา การไมไดสมความปรารถนา ปญหาที่ตอง ประสบกับสิ่งที่ไมเปนที่รัก และปญหาการ พลัดพรากจากสิ่งที่เปนที่รัก) • พระพุทธศาสนามีทัศนะเกี่ยวกับการเกิด ปญหาอยางไร (แนวตอบ ปญหาเกิดขึ้นจากสาเหตุมิไดเกิด ขึ้นลอยๆ ดังคําที่วา สรรพสิ่งเกิดจากเหตุ สรรพสิ่งจะดับหรือหมดไป ก็เพราะดับเหตุ ไมมีสิ่งใดเกิดขึ้น เปนไป หรือดับสลายไป เฉยๆ โดยไมมีเหตุปจจัย) • เพราะเหตุใด พระพุทธศาสนาจึงไมสอนให เชื่อในเรื่องความบังเอิญ (แนวตอบ เพื่อใหเราพิจารณาหาสาเหตุของ ปญหาอยางจริงจัง เพราะในบางครั้งที่เรา คิดวามันเปนไปโดยบังเอิญ เปนเพราะวาเรา มองไมเห็นหรือไมเขาใจเหตุหรือปจจัยของ มัน จึงทึกทักเอาวาสิ่งนั้นเกิดขึ้นหรือดับไป โดยบังเอิญ)
14
ขยายความเขาใจ
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ทุกขประจําของชีวิตที่มนุษยและสัตวเดรัจฉานมีรวมกันคืออะไร 1. การมีชีวิตรอด 2. การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก 3. การอยากไดอยากมีอยากเปนไมสิ้นสุด 4. การเผชิญกับปญหาดานการเรียนและการงาน วิเคราะหคําตอบ สิ่งมีชีวิตทั้งปวงไมวาจะมนุษยหรือสัตวเดรัจฉานลวน มีทุกขที่ตองเผชิญรวมกันหรือทุกขประจํา คือ การพยายามมีชีวิตรอด หมายถึง ความตองการอาหารยังชีพและการเอาตัวรอดจากภยันตรายตางๆ ดังนั้นคําตอบคือ ขอ 1.
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engaae
Expore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
อธิบายความรู เพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก มีนิสัยชอบการชกต่อยต่อสู้ ครูเขียวซึง่ เป็นหัวหน้าค่ายมวยในท้องถิน่ จึ ง จั บ ดำกั บ แดงมาฝึ ก หั ด ซ้ อ มมวย จนกระทั่ ง เด็ ก ทั้ ง สองมี ความเชี่ ย วชาญในเชิ ง มวยไทย ครูเขียวจึงพาไปขึ้นชกในงานมหรสพที่จัดขึ้นตามเวทีงานวัดต่างๆ หลายแห่ง ซึ่งทั้งดำและแดง ก็สะสมชัยชนะมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักกันทั่วไป ในที่สุดก็ ได้เข้ามาเป็นนักมวยสังกัดค่าย มวยใหญ่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ทั้งสองได้หันมาชกมวยสากล จนกระทั่งก้าวขึ้นเป็นแชมป์มวย สากลแต่ละรุ่นในเวลาไล่เลี่ยกัน หลังจากได้แชมป์แล้ว ดำยังคงหมั่นซ้อมสม่ำเสมอมิได้ขาด ประพฤติตนอยู่ในโอวาทของครูฝึกและหัวหน้าค่ายมวยเป็นอย่างดี ส่วนแดงเปลี่ยนไปจากเดิม 1 คือ หลงระเริงในชื่อเสียง เกียรติยศที่ตนได้รับ ไม่สนใจฝึกซ้อมเท่าที่ควร เอาแต่เที่ยวเตร่ หาความสนุกสำราญ ไม่อยู่ในโอวาทของครูฝึกและหัวหน้าค่ายมวย ที่สุดก็สูญเสียตำแหน่งแชมป์ และถูกไล่ออกจากค่ายมวยไปในทีส่ ดุ ยังคงมีแต่ดำเท่านัน้ ทีย่ งั ครองตำแหน่งแชมป์อยูเ่ ป็นเวลานาน ชีวิตประสบแต่ความสำเร็จ มีทั้งเกียรติยศชื่อเสียง เงินทอง เป็นที่สรรเสริญของคนทั่วไป จากเรื่องเล่าดังกล่าวถ้าหากเรามองชีวิตของดำและแดงเพียงผิวเผินก็อาจจะคิดว่า ชีวิตของคนทั้งสองเป็นไปโดยบังเอิญว่าครูเขียวเห็นเด็กสองคนอยู่ว่างๆ จึงเอามาฝึกชกมวย จนกระทั่งเป็นนักมวยมีฝีมือ และบังเอิญทั้งสองมีโอกาสลงไปกรุงเทพฯ ไปอยู่ค่ายมวยใหญ่ มีผจู้ ดั การดี มีครูฝกึ ดี ได้รบั การสนับสนุนให้ขนึ้ ชกมวยสากลจนได้เป็นแชมป์โลก เมือ่ ได้แชมป์โลก แล้วบังเอิญว่าดำรักษาแชมป์ไว้ได้นานเพราะชกกับนักมวยทีม่ ฝี มี อื ยังอ่อนประสบการณ์ ในขณะที่ แดงบังเอิญไปคบเพื่อนไม่ดี ถูกเพื่อนชักจูงไปเที่ยวสนุกสำราญจนลืมซ้อมมวย หรือคู่ชกของ แดงเป็นนักมวยที่เก่งมาก จึงทำให้แดงต้องเสียแชมป์ไปในที่สุด แต่ถ้าพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว จะเห็นว่าทุกอย่างดำเนินไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นและเป็นไปโดยไม่มีสาเหตุ ที่คิดว่าเป็นเพราะความ “บังเอิญ” นั้น เพราะมอง สาเหตุไม่ออกหรือมองไม่ชัดเจนเท่านั้นเอง เหตุที่ทำให้ดำและแดงประสบความสำเร็จในวิชาชีพ นักมวยที่สำคัญก็คือ การกระทำของเขาทั้งสองกับการอุปการะช่วยเหลือของครูฝึกและหัวหน้า ค่ายมวยรวมทั้งบุคคลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และเหตุที่ทำให้แดงต้องเสียแชมป์และถูกไล่ออกจาก ค่ายมวยในขณะที่ดำยังคงครองความเป็นนักมวยยิ่งใหญ่อยู่ได้นั้น ก็คือ ความประพฤติของ ทั้งสองคนที่แตกต่างกันนั่นเอง พระพุทธศาสนาเน้นว่า ปัญหาทุกอย่างมีสาเหตุ การที่จะแก้ ปัญหาได้ต้องศึกษาหาสาเหตุให้เข้าใจชัดเจนแล้วแก้ที่สาเหตุนั้น มิฉะนั้นแล้วแม้จะพยายามแก้ ปัญหาเท่าใดก็ยิ่งจะเพิ่มปัญหาใหม่ทับถมปัญหาเก่ามากขึ้น เข้าทำนองว่ายิ่งแก้ก็ยิ่งยุ่ง ปัญหา ก็จะยิ่งมากและซับซ้อนยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
กิจกรรมสรางเสริม ครูอาจใหนักเรียนพิจารณาความทุกขในชีวิตของตน สาเหตุ และ แนวทางการแกไขความทุกขนั้น แลวบันทึกลงในสมุดสงครูผูสอน
กิจกรรมทาทาย
15
Explain
นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมาตอบ คําถามเกี่ยวกับหลักความจริงแหงชีวิต 4 ประการ เชน • คุณธรรม จริยธรรมที่ไดจากการศึกษากรณี ตัวอยางนักมวยดําและแดงไดแกอะไรบาง (แนวตอบ คุณธรรม จริยธรรม ที่ไดจาก การศึกษากรณีตัวอยาง เชน ความกตัญู กตเวที การไมยุงเกี่ยวกับอบายมุข ความมี ระเบียบวินัย เปนตน) • สาเหตุที่แทจริงของปญหาชีวิตของแดงคือ อะไร (แนวตอบ ความประพฤติของแดงที่ขาด ระเบียบวินัยในการฝกซอม ไมอยูในโอวาท ของครูฝกและหัวหนาคายมวย หลงระเริง ไปกับเกียรติยศชื่อเสียง และเอาแตเที่ยวเตร หาความสุข) • การแกปญหาชีวิตตามหลักอริยสัจของ พระพุทธศาสนานั้นในขั้นตนตองทําอยางไร (แนวตอบ การศึกษาหาสาเหตุใหเขาใจ ชัดเจนแลวแกที่สาเหตุนั้น มิฉะนั้นแลวแม จะพยายามแกปญหาเทาใดก็อาจจะยิ่งเพิ่ม ปญหาใหมทับถมปญหาเกามากขึ้น ปญหาก็ จะยิ่งมากและซับซอนยิ่งกวาเดิม) • ความเชื่อของพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับความ เปนเวไนยสัตวของมนุษยสัมพันธกับความ ศรัทธาในเทพเจาของคนในชมพูทวีปอยางไร (แนวตอบ พระพุทธศาสนาเชื่อในศักยภาพ ของมนุษยวา มนุษยสามารถพัฒนาตนไป สูจุดหมายสูงสุดของชีวิตไดดวยสติปญญา และความพากเพียรของตนเอง หรือเชื่อใน ความเปนเวไนยสัตวของมนุษย คือ ความ เปนผูที่ฝกฝนอบรมได จึงไมสัมพันธกับ ความเชื่อของคนสวนใหญในชมพูทวีปสมัย นั้นที่ศรัทธาในเทพเจาตางๆ วาสามารถดล บันดาลใหชีวิตประสบกับความสุขหรือทุกข)
เกร็ดแนะครู ครูอาจใหนักเรียนชวยกันวิเคราะหความสอดคลองของหลักอริยสัจ 4 กับหลัก การดําเนินชีวิตที่ชวยปองกันและแกไขปญหาตางๆ เชน หลักปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียง จากนั้นใหนักเรียนเสนอแนวทางการดําเนินชีวิตของตนตามหลักดังกลาว บันทึกลงในสมุดและนําไปปฏิบัติในชีวิตประจําวัน
นักเรียนควรรู ครูอาจใหนักเรียนพิจารณาปญหาของบุคคลโดยทั่วไป โดยใหนักเรียน ยกตัวอยางปญหาทีเ่ ปนความทุกขพนื้ ฐานมา 2-3 ตัวอยาง แลวเสนอแนะ แนวทางการแกปญหาตามหลักทางพระพุทธศาสนา จากนั้นบันทึก ลงในสมุดสงครูผูสอน
1 เกียรติยศ หนึ่งในความเปนธรรมดาของโลกในทางพระพุทธศาสนา เรียกวา โลกธรรม คือ ธรรมที่มีประจําโลก ธรรมที่ครอบงําสัตวโลก และสัตวโลกก็เปน ไปตามที่สิ่งเหลานั้น มี 8 ประการ คือ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข
คูมือครู
15
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engaae
Expore
อธิบายความรู
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Elaborate
Evaluate
Explain
นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมาตอบ คําถามเกี่ยวกับหลักความจริงแหงชีวิต 4 ประการ เชน • เพราะเหตุใด พระพุทธศาสนาจึงสอนวา มนุษยสามารถแกปญหาชีวิตไดดวยตนเอง (แนวตอบ เพราะปญหาของชีวิตเรา ตัวเรา เทานั้นที่ยอมจะรูดีและแกไขไดดีที่สุด มิใช การบนบานศาลกลาวหรือพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดวยพิธีกรรมตางๆ ขอเพียงแตรูสาเหตุของ ปญหาและวิธีแกที่ถูกตองเทานั้น เชน การแกปญหาความยากจน แนวทางการ แกไขปญหาก็มิใชการเลนหวย เพราะอาจจะ ทําใหยากจนมากยิง่ ขึน้ แตควรขยันหมัน่ เพียร ในการประกอบการงานมากกวา) • ปญญาเพียงอยางเดียวชวยในการแกปญหา ชีวิตของมนุษยใหหมดสิ้นไปไดหรือไม เพราะเหตุใด (แนวตอบ ไมได เพราะปญหาทุกชนิดจะตอง อาศัยทั้งปญญาและความพากเพียรจึงจะแก ได กลาวคือ จะตองใชปญญาพิจารณาเพื่อรู วาปญหาคืออะไร สาเหตุมาจากไหน มีทาง แกไขหรือไม วิธีการแกไขจะตองทําอยางไร บาง จากนั้นจึงลงมือแกปญหาดวยความ พากเพียรพยายามอยางตอเนื่อง)
๓) สอนว่ามนุษย์สามารถแก้ปัญหาด้วยตนเอง พระพุทธศาสนาเน้นอยู่
เสมอว่ามนุษย์มีศักยภาพในตัวเอง หรือเรียกอย่างศัพท์ศาสนาก็ว่า มนุษย์เป็น “เวไนยสัตว์” (ผู้ที่ ฝึกฝนอบรมได้) มนุษย์ทุกคนมีความสามารถที่จะพัฒนาตนจากจุดเริ่มต้นก้าวไปสู่จุดหมายสูงสุด ของชีวติ ได้ดว้ ยสติปญั ญา ด้วยความพากเพียรของตนเอง โดยมิตอ้ งอาศัยอำนาจสิง่ ศักดิส์ ทิ ธิ์ใดๆ มาดลบันดาลให้เป็นไป คนส่วนมากเมื่อเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้นในชีวิต แทนที่จะพิจารณาหาทางแก้ปัญหา ด้วยตนเอง กลับหันไปพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอกให้ช่วยเหลือด้วยการบนบาน เซ่นสรวงภูตผี เทวดา รดน้ำมนต์ สะเดาะเคราะห์ ดูหมอ เสี่ยงทายและทำพิธีทางไสยศาสตร์ต่างๆ บ้าง หันไปพึ่งอบายมุขบ้าง ด้วยคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยผ่อนคลายปัญหา หรือช่วยแก้ปัญหาให้ได้ อันที่จริงแล้วเป็นความเข้าใจผิด ที่จริงแล้วปัญหาของเราเอง ตัวเราเท่านั้นย่อมที่จะรู้ดีและแก้ ไขได้ดีกว่าผู้อื่น ขอเพียงแต่รู้จักวิธีแก้ที่ถูกเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาความยากจน มีเงินทองไม่พอใช้จ่าย ยังชีพ ถ้าหวังแก้จนโดยการซื้อหวยเถื่อนเพื่อผ่อนคลายปัญหาความยากจน แทนที่ปัญหาจะ หมดไป กลับเป็นการสร้างหนี้สร้างสิน ยากจนหนักขึ้นกว่าเดิมอีก พระพุทธศาสนาจึงเน้นให้แก้ที่ ต้นเหตุ ซึ่งต้นเหตุอย่างหนึ่งของความจน คือ การพนัน เพราะฉะนั้นการหวังจะเล่นการพนัน เพื่อแก้ความจนจึงเป็นการแก้ที่ไม่ถูกจุด
๔) สอนว่าการแก้ปัญหานั้น ต้ อ งใช้ ปั ญ ญาและความพากเพี ย ร
การแก้ ปั ญ หาต่ า งๆ จำต้ อ งใช้ ปั ญ ญาและความเพี ย ร เกื้อหนุนกัน โดยควรได้รับการฝึกฝนตั้งแต่วัยเยาว์
ปัญหาทุกชนิดจะต้องใช้ปัญญาและความเพียร จึ ง จะแก้ ไ ด้ พู ด อี ก นั ย หนึ่ ง ก็ คื อ จะต้ อ งรู้ ว่ า ปัญหาคืออะไร สาเหตุมาจากไหน มีทางแก้ ได้ ไ หม วิ ธี การจะแก้ จ ะต้ อ งทำอย่ า งไรบ้ า ง เมื่อรู้ตลอดสายอย่างนี้แล้วถึงลงมือแก้ปัญหาที่ เกิดด้วยความพากเพียรพยายามอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้ น จะเห็ นว่ า ในกระบวนการแก้ ปัญหานั้น ปัญญา กับ วิริยะ (ความเพียร) จะต้องผสมผสานกัน เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน
16
เกร็ดแนะครู ครูควรอธิบายนักเรียนเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีคิดแบบอริยสัจ ซึ่งเปนวิธีคิดที่สําคัญ ตามการคิดแบบโยนิโสมนสิการ ดังนี้ วิธีคิดแบบอริยสัจ คือ การคิดแบบแกปญหา แบงออกไดเปน 2 วิธี ไดแก วิธีคิดตามเหตุผล เปนการสืบสาวจากผลไปหาเหตุแลว แกไขที่เหตุนั้น จัดเปนสองคู คือ คูที่ 1 ทุกขเปนผล เปนตัวปญหา เปนสถานการณ ที่ไมตองการ สมุทัยเปนเหตุ เปนที่มาของปญหา เปนจุดที่ตองการแกไข คูที่ 2 นิโรธเปนผล เปนภาวะสิ้นปญหา เปนจุดหมายที่ตองการจะเขาถึง มรรคเปนเหตุ เปนขอปฏิบัติที่ตองการกระทําในการแกไขสาเหตุ เพื่อบรรลุจุดหมายคือ ภาวะสิ้น ปญหาอันไดแกความดับทุกข และวิธีคิดที่ตรงจุดตรงเรื่อง เปนการคิดอยางตรงไป ตรงมา นําเอาสิ่งหรือเรื่องที่ตองเกี่ยวของมาใชในการแกปญหา ไมนําสิ่งหรือเรื่องที่ ปฏิบัติไมไดเขามาเกี่ยวของ
16
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ขอใดแสดงถึงการเปนศาสนาประเภทอเทวนิยมของพระพุทธศาสนา ไดชัดเจนที่สุด 1. การเชื่อในศักยภาพของมนุษย 2. การเชื่อวาสรรพสิ่งทั้งหลายไมจีรังยั่งยืน 3. การใชปญญาและวิริยะแกปญหาทั้งหลาย 4. การปฏิเสธพิธีกรรมและการสรางศาสนวัตถุทั้งปวง วิเคราะหคําตอบ พระพุทธศาสนาเชื่อวา มนุษยมีศักยภาพที่จะพัฒนา ตนเองไปสูจ ดุ หมายสูงสุดของชีวติ และสามารถแกปญ หาชีวติ ไดดว ยตนเอง เทพเจาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายไมสามารถดลบันดาลใหปญหาหมดไป ไดเหมือนกับการแกไขดวยปญญาและความพากเพียรของตนเอง ดังนั้น
คําตอบคือ ขอ 1.
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engaae
Expore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
อธิบายความรู
Explain
นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมาตอบ คําถามเกี่ยวกับหลักความจริงแหงชีวิต 4 ประการ เชน • ผูที่มีปญญาหรือความเพียรเพียงอยาง ใดอยางหนึ่งสามารถแกปญหาไดหรือไม อธิบายพอสังเขป (แนวตอบ ไมสามารถแกปญหาไดเสมอ ไป เนื่องจากคนที่มีปญญา มีความรูความ สามารถอาจแกปญหาไมได เพราะนึกวาตน รูแลว แตไมลงมือแกปญหาเลย ปญหาจึง ยังคงมีอยูเหมือนเดิม สวนคนที่มีความเพียร อาจแกปญหาไมได ดวยปราศจากปญญา ความรูความสามารถ ถึงจะพยายามแก ปญหาอยางไร ก็ยากที่จะประสบความสําเร็จ บางครั้งอาจกอใหเกิดปญหาเพิ่มขึ้นอีกโดย ไมรูตัว) • จากคํากลาวที่วา “ความพากเพียรของ คนฉลาดนั้น เทวดาก็กีดกั้นมิได” มีความ หมายวาอยางไร (แนวตอบ ผูที่มีปญญาและมีความพากเพียร กอปรดวยคุณธรรมอื่นๆ เชน ความไม ประมาท จะสามารถแกปญหาชีวิตและ พัฒนาตนใหเจริญกาวหนาได ดังกรณี พระราชาแหงนคร ข. เรงบํารุงกองทัพของตน อยางดีและฝกซอมอยางสมํ่าเสมอ จนใน ที่สุดก็สามารถเอาชนะพระราชาแหงนคร ก. ที่สวรรคกําหนดใหเปนผูชนะได)
จึงจะสำเร็จผลด้วยดี คือสามารถแก้ไขปัญหาให้สำเร็จลุล่วงไปได้ ถ้ามีแต่ความรู้ บางทีก็แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะจะนึกแต่ว่าตนรู้แล้ว บางทีไม่ลงมือ แก้ปัญหาเลย ปัญหาที่มีอยู่ก็ยังคงมีอยู่เหมือนเดิม ถ้ามีแต่ความเพียร โดยปราศจากความรู้ ถึงจะพยายามแก้ปัญหาอย่างไร ก็ยากที่ จะประสบความสำเร็จ หนำซ้ำบางทีกลับยิ่งเพิ่มปัญหาใหม่ขึ้นมาอีกโดยไม่รู้ตัว เรื่องนี้ขอยกตัวอย่างด้วยนิทานชาดกเรื่องหนึ่งความว่า มีพระราชาแห่งสองนคร ได้ รั บ พยากรณ์ จากฤๅษี ผู้ เ คร่ ง ญาณ 1(ซึ่ ง ได้ รั บ คำบอกเล่ า มาจากพระอิ น ทร์ อี ก ต่ อ หนึ่ ง ) ว่ า พระราชาแห่งนคร ก. จะรบชนะพระราชาแห่งนคร ข. พระราชาแห่งนคร ก. เมื่อได้ทราบ คำพยากรณ์นั้นก็ดีใจ เมื่อดีใจก็ตกอยู่ในความประมาทไม่สนใจฝึกปรือกองทัพของตนให้เข้มแข็ง เพราะคิดว่าถึงอย่างไร กองทัพของตนก็จะชนะอยู่แล้ว ส่วนพระราชาแห่งนคร ข. เมื่อได้รับคำพยากรณ์เช่นนั้นก็มิได้ประมาทหรือหมด กำลังใจ ตรงกันข้ามกลับมุมานะมากยิ่งขึ้น พยายามบำรุงกำลังกองทัพของตนอย่างดี เอาใจใส่ ฝึกซ้อมสม่ำเสมอมิได้ขาด เมื่อถึงเวลากองทัพทั้งสองรบกันจริงๆ ปรากฏว่าพระราชาที่ได้รับการพยากรณ์ว่า จะชนะกลับพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ พระราชาที่ได้รับพยากรณ์ว่าพ่ายแพ้กลับชนะ พระราชาที่เป็น ฝ่ายพ่ายแพ้จึงไปต่อว่าฤๅษี ฤๅษีซึ่งได้รับบอกเล่ามาจากพระอินทร์อีกต่อหนึ่ง จึงไปต่อว่า พระอินทร์ว่าทำให้ตนเสียชื่อโดยแสร้งบอกคำพยากรณ์ไปผิดๆ พระอินทร์ได้กล่าวแก้ฤๅษีว่า คำพยากรณ์มิได้ผิดพลาด ถ้าปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมดาของมัน พระราชาแห่งนคร ก. จะต้องชนะแน่นอน แต่เนื่องจากพระราชาแห่งนคร ข. ไม่ประมาท ใช้ปัญญาและความพากเพียร ปรับปรุงตนและกองทัพของตนให้เข้มแข็งเตรียมพร้อมอยู่เสมอ จึงสามารถเอาชนะพระราชา แห่งนคร ก. และคำพยากรณ์ได้ ซึ่งพระอินทร์ได้กล่าวย้ำว่า “ความพากเพียรของคนฉลาดนั้น เทวดาก็กีดกันมิได้” เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า การจะแก้ปัญหาไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ จะต้องใช้ปัญญาและ ความเพียรควบคู่กันไป ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้
๒.๒ พระพุทธศาสนามีข้อปฏิบัติที่ยึดทางสายกลาง ข้อปฏิบัติที่ยึดทางสายกลางของพระพุทธศาสนาเรียกว่า “มัชฌิมาปฏิปทา” อันได้แก่ 2 “อริยมรรคมีองค์แปด” ได้แก่ 17
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 51 ออกเกี่ยวกับหลักอริยสัจ การรูแจงในอริยสัจ 4 สัมพันธกับสติปฏฐานขอใด 1. กายานุปสสนา 2. เวทนานุปสสนา 3. จิตตานุปสสนา 4. ธัมมานุปสสนา วิเคราะหคําตอบ อริจสัจ 4 คือ ความจริงอันประเสริฐของชีวิต เปน ความจริงที่มีอยูในธรรมชาติ ซึ่งพระพุทธเจาทรงคนพบและนํามาสั่งสอน ใหมนุษยเขาใจชีวิต และดําเนินชีวิตไดอยางเปนสุข จึงสัมพันธกับสติปฏฐานขอธัมมานุปสสนา การตั้งสติกําหนดพิจารณาธรรม การมีสติกํากับดู รูเทาทันธรรม ดังนั้นคําตอบคือ ขอ 4.
นักเรียนควรรู 1 ญาณ ญาณที่เกิดแตผูบําเพ็ญวิปสสนาโดยลําดับตั้งแตตนจนถึงจุดหมาย คือ มรรคผลนิพพาน 16 อยาง หรือโสฬสญาณ เชน นามรูปปรจเฉทญาณ ญาณ กําหนดแยกนามรูป ปจจัยปริคคหญาณ ญาณกําหนดจับปจจัยแหงญาณรูป โคตรภูญาณ ญาณครอบโคตรคือหัวตอที่ขามพนภาวะปุถุชน มัคคญาณ ญาณใน อริยมรรค เปนตน 2 มรรค แปลวา ทางหรือเหตุ มักใชรวมกับคําวา ผล วา เปนมรรคเปนผล ใน ทางพระพุทธศาสนา อริยมรรคมีองคแปด จึงหมายถึง ทางที่จะนําไปสูความพน ทุกข 8 ประการ นอกจากนี้ยังเปนชื่อแหงโลกุตตรธรรมคูกับผลมี 4 ชั้น คือ โสดาปตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และอรหัตมรรค
คูมือครู
17
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engaae
Expore
อธิบายความรู
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Elaborate
Evaluate
Explain
ครูสนทนารวมกันกับนักเรียนเกีย่ วกับพระพุทธศาสนามีขอปฏิบัติที่ยึดทางสายกลาง จากนั้นให นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนคนอื่นออกมาตอบ คําถามเกี่ยวกับขอปฏิบัติที่ยึดทางสายกลาง เชน • ขอปฏิบัติที่ยึดทางสายกลางของพระพุทธศาสนาเรียกวาอะไร และมีแนวทางการ ปฏิบัติอยางไร (แนวตอบ ขอปฏิบัติที่ยึดทางสายกลางของ พระพุทธศาสนาเรียกวา มัชฌิมาปฏิปทา มี แนวทางการปฏิบัติ 8 ประการ ที่เรียกวา อริยมรรคมีองคแปด) • อริยมรรคมีองคแปดใหแนวทางนักเรียนใน การปฏิบัติตนตามทางสายกลางอยางไรบาง ยกตัวอยางประกอบพอสังเขป (แนวตอบ มีสัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นชอบ เชน เห็นวาการทําความดี ยอมไดรบั ผลดีตอบ การทําความชั่ว ยอมไดรับความเดือดรอน ตามมา เห็นถึงพระคุณของบิดามารดาผูให กําเนิด เลีย้ งดู และอบรมสัง่ สอนมาจนเติบใหญ มีสัมมากัมมันตะ คือ การกระทําชอบ เชน การปฏิบัติตามเบญจศีล คือ ไม เบียดเบียนสิ่งมีชีวิต ไมลักเอาของผูอื่น ไม ประพฤติผิดในกาม ไมพูดปด และไมเสพ ของมึนเมา มีสัมมาสมาธิ คือ ความตั้งใจมั่นชอบ เชน การมีจิตใจแนวแน มีสมาธิ ไมใหนิวรณ ตางๆ คือ ความใครในกาม ความพยาบาท ปองรายเขา ความงวงซึม ความฟุงซาน รําคาญใจ และความลังเลสงสัย ซึ่งเปนสิ่งปด กัน้ จิตจากความดีงามเขามาครอบงําจิตใจได)
การเลีย้ งชีพโดยสุจริตตามหลักสัมมาอาชีวะ เป็นหลักธรรม หนึง่ ของการปฏิบัติที่ยึดหลักทางสายกลาง
1
๑. ความเห็นชอบ (สัมมาทิฐิ) เช่น เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เห็นว่านรกสวรรค์มีจริง คุณของบิดามารดามีจริง เป็นต้น ๒. ความดำริชอบ (สัมมาสังกัปปะ) เช่น ดำริออกจากความยึดติดในกามารมณ์ ดำริไม่ พยาบาทปองร้ายผู้อื่น และดำริไม่เบียดเบียนผู้อื่น ๓. เจรจาชอบ (สัมมาวาจา) เช่น ไม่พูดเท็จ (พูดคำสัตย์ คำจริง) ไม่พูดส่อเสียด (พูด สมัครสมานสามัคคี) ไม่พูดคำหยาบ (พูดคำสุภาพอ่อนหวาน) ไม่พูดเพ้อเจ้อ (พูดคำที่มี สาระไม่เหลวไหล) ๔. การกระทำชอบ(สั การกระทำชอบ (สัมมากัมมันตะ) เช่น ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ๕. การเลี้ยงชีพชอบ (สัมมาอาชีวะ) เช่น เลี้ยงชีพด้วยอาชีพที่สุจริต ไม่ประกอบอาชีพทุจริต เป็นต้นว่า ค้ามนุษย์ ค้าอาวุธ ค้าสิ่งเสพติด ค้าน้ำเมา เป็นต้น ๖. พยายามชอบ (สัมมาวายามะ) เช่น พยายามระวังมิให้ความชั่วเกิดขึ้นในจิต พยายาม ละความชั่วที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดไป พยายามสร้างความดีที่ยังไม่มีให้มี และพยายาม รักษาความดีที่มีอยู่แล้วให้คงอยู่ตลอดไป ๗. ระลึกชอบ (สัมมาสติ) เช่น มีสติ รู้ตัวทั่วพร้อม หรือระลึกรู้กาย เวทนา (ความรู้สึก) จิต (สภาพจิต) ธรรม (สภาวธรรม) ตามความเป็นจริงว่าเป็นสภาพที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และ ดับไปตามธรรมดาของโลก ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนของเราของเขา ๘. ตั้งใจมั่นชอบ (สัมมาสมาธิ) เช่น การที่จิตแน่วดิ่งเป็นสมาธิ ปราศจากนิวรณ์ (เครื่อง ปิดกั้นจิตจากความดีงาม) ๕ อย่าง คือ ความใคร่ในกาม ความพยาบาทปองร้ายเขา ความง่วงซึม ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ และความลังเลสงสัย 18
เกร็ดแนะครู ครูอาจนําขาวหรือบทความเกีย่ วกับบุคคลทีป่ ระสบความสําเร็จในชีวติ ดานตางๆ เชน นักเรียนที่สอบเขามหาวิทยาลัยไดดวยคะแนนอันดับหนึ่ง นักเรียนที่ไดรับ การยกยองวามีความประพฤติดี มีคุณธรรม มาใหนักเรียนพิจารณา แลวชวยกัน วิเคราะหวา บุคคลเหลานั้นดําเนินชีวิตตามหลักอริยมรรคมีองคแปดในขอใดบาง รวมถึงมีคุณธรรมที่ควรยึดถือเปนแบบอยางใด
นักเรียนควรรู 1 สัมมา โดยชอบ ดี ถูกตอง ถูกถวน สมบูรณ จริง แท ในทางพระพุทธศาสนา นอกจากสัมมาทั้งแปดประการหรืออริยมรรคแลว ปรากฎหลักธรรมสัมมัตตะหรือ อเสขธรรม 10 คือ ความเห็นถูก มี 10 ประการ โดยเพิ่มเติมจากหลักอริยมรรค คือ สัมมาญาณ การรูชอบ ไดแก ผลญาณและปจจเวกขณญาณ และสัมมาวิมุตติ การพนชอบ ไดแก อรหัตตผลวิมุตติ
18
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
อริยมรรคมีองคแปดในขอใดมีลักษณะแตกตางจากขออื่น 1. สัมมาสติ 2. สัมมาสมาธิ 3. สัมมาวายามะ 4. สัมมากัมมันตะ วิเคราะหคําตอบ อริยมรรคมีองคแปดในขอ 1.-3. ไดแก สัมมาสติ สัมมาสมาธิ และสัมมาวายามะ จัดอยูในจิตตสิกขาตามหลักไตรสิกขา ซึ่งหมายถึง การกระทําการใดๆ ที่ประกอบดวยพลังจิตที่เขมแข็ง มี ความแนวแนมั่นคงตอจุดหมายที่ตั้งไว สวนขอ 4. สัมมากัมมันตะ นั้น จัดอยูในสีลสิกขา หมายถึง การมีพฤติกรรมที่สอดคลองกับความรู ความเขาใจ เพื่อใหบรรลุเปาหมาย ดังนั้นคําตอบคือ ขอ 4.
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engaae
Expore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
อธิบายความรู คำว่า “ชอบ” ในทีน่ มี้ ไิ ด้หมายความว่า ชอบใจ หรือพอใจ แต่หมายความว่า ถูกต้อง ไม่ผิดพลาด การแก้ปัญหาในชีวิตตาม “ทางสายกลาง” จึงหมายถึงการปฏิบัติตามแนวทาง ที่ถูกต้อง ได้แก่ ทางที่มีองค์ประกอบ ๘ ประการข้างต้น ทางสายกลางเป็นทางที่ไม่สัมพันธ์และ ไม่เอียงเข้าใกล้ทางสุดโต่งทั้ง ๒ ทาง คือ ทางที่บำรุงบำเรอความสุขทางกาย กับทางที่ทรมาน ตนให้ลำบากด้วยวิธีต่างๆ ซึ่งพระพุทธองค์ ได้ทรงทดลองปฏิบัติมาแล้วและทรงพบว่ามิ ใช่ แนวทางที่ถูกต้อง ส่วนทางสายกลางเป็นแนวทางที่ถูกต้อง ถ้าปฏิบัติตามแล้วย่อมดับความทุกข์ ความเดือดร้อนได้ หนทางนี้เป็นทางที่นำพระพุทธองค์ไปสู่การตรัสรู้และนิพพานในที่สุด
๒.๓ พระพุทธศาสนาเน้นการพัฒนาศรัทธาและปั- - าที่ถูกต้อง
๑) การพัฒนาศรัทธา ศรัทธา แปลว่า ความเชื่อ ศรัทธาในพระพุทธศาสนานั้น
จะต้องเป็นความเชื่อมั่นในคุณงามความดีที่ประกอบด้วยเหตุผล ผิดจากนี้แล้วไม่นับว่าเป็น ศรัทธา ยกตัวอย่าง มีคนมาบอกว่า ถ้าอยากเรียนหนังสือเก่ง สอบได้คะแนนดี เรียนจบแล้ว ได้ทำงานที่ก้าวหน้า ประสบความสำเร็จในชีวิต ให้ท่องคาถาบทใดบทหนึ่งวันละร้อยครั้ง เราเชื่อ และทำตามความเชื่อ อย่างนี้ไม่จัดเป็นศรัทธาเพราะไม่มีเหตุผล คนที่ต้องการเรียนหนังสือเก่ง แต่แค่ท่องคาถา ไม่สนใจอ่านหนังสือ แทนที่จะเรียนเก่ง สอบได้คะแนนดี ก็จะกลับสอบตกได้ ง่ายๆ แต่ถ้าใครพูดว่าถ้าอยากประสบความสำเร็จดังกล่าวข้างต้นนั้นต้องขยันหมั่นเพียร ศึกษา เรื่องน่ารู้ อริยมรรค : ไตรสิกขา
อริยมรรคมีองค์แปดประการนี้ ถ้าหากจะสรุปลงในไตรสิกขา จะแบ่ จะแ งได้ดังนี้ 1. ปัญญาสิกขา ประกอบด้วย สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ อันหมายถึงว่า จะทำการอะไรจะต้องมีความรู้ความ เข้าใจเป็นพื้นฐานสำคัญก่อนอื่น 2. สีลสิกขา ประกอบด้วย สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ อันหมายถึงว่าจะต้องควบคุมพฤติกรรมให้ สอดคล้องกับความรู้ความเข้าใจนั้นด้วยการกระทำจึงบรรลุเป้าหมาย 3. จิตตสิกขา ประกอบด้วย สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ อันหมายถึงว่า ในการกระทำการใดๆ นั้น จิตต้องมีพลังเข้มแข็ง แน่วแน่มั่นคงต่อเป้าหมายที่วางไว้ด้วย อริยมรรคที่สรุปลงในไตรสิกขานี้เป็นข้อปฏิบัติที่ยึดทางสายกลาง คือ ทางสายกลางระหว่างความ “สุดโต่ง” หรือ “เอียงสุด” ๒ ด้าน คือ 1. กามสุขัลลิกานุโยค การหมกมุ่นอยู่ในความสุขทางกามารมณ์ หรือความเสพสุขทางเนื้อหนังมังสา รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อันเป็นความเอียงสุดทางด้านกาย 2. อัตตกิลมถานุโยค การทรมานตนด้วยวิธีต่างๆ ดังเช่นที่ฤาษีโยคีทั้งหลายกระทำกันอยู่ เพื่อย่างกิเลส ให้เหือดแห้งไปพร้อมกับเนื้อหนังมังสา ตามความเข้าใจของคนอินเดียสมัยก่อน ซึ่งเป็นความเอียงสุดทางด้านจิตใจ
19
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
คุณธรรมฝายปญญาที่สงเสริมการมองโลกและชีวิตตามความเปนจริงใน มรรค 8 ไดแกขอใด 1. สัมมาสติ สัมมาสมาธิ 2. สัมมาวาจา สัมมาวายามะ 3. สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ 4. สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ
วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ คือ ความเห็นชอบ ความดําริชอบ ตามลําดับ อันจะชวยสงเสริมใหบุคคลมองโลกและชีวิตตาม ความเปนจริง เชน เห็นถึงผลของการกระทํา การไมคิดเบียดเบียนหรือ ปองรายผูอื่น เปนตน
Explain
1. นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมาตอบ คําถามเกี่ยวกับขอปฏิบัติที่ยึดทางสายกลาง เชน • คําวา “ชอบ” ในอริยมรรคมีองคแปดมี ความหมายแตกตางจากความหมายโดย ทั่วไปอยางไร (แนวตอบ คําวา ชอบ ในอริยมรรคมีองค แปดมิไดหมายถึง ชอบใจ แตมีความหมาย วา ถูกตอง ไมผิดพลาด การแกปญหาและ ดําเนินชีวิตตามทางสายกลาง จึงหมายถึง การปฏิบัติตนตามแนวทางที่ถูกตอง) • พระพุทธองคทรงคนพบทางสายกลางได อยางไร (แนวตอบ พระพุทธเจาครั้งเปนพระสิทธัตถะ ทรงทดลองปฏิบัติตามแนวทางตางๆ ที่ คนในชมพูทวีปสมัยนั้นยึดถือ ที่สําคัญไดแก การบํารุงบําเรอความสุขทางกาย และการ ทรมานตนเองใหลําบากดวยวิธีตางๆ และ ทรงพบวา มิใชแนวทางที่จะทําใหหลุดพน จากทุกขไดอยางแทจริง จึงทรงปฏิบัติตน ตามทางสายกลางซึ่งนําไปสูการดับทุกขและ ตรัสรูเปนพระสัมมาสัมพุทธเจาไดในที่สุด) 2. ครูสนทนารวมกันกับนักเรียนเกีย่ วกับพระพุทธศาสนาเนนการพัฒนาศรัทธาและปญญาที่ถูก ตอง จากนั้นใหนักเรียนแตละกลุมสงตัวแทน คนอื่นออกมาตอบคําถามเกี่ยวกับการพัฒนา ศรัทราและปญญาตามหลักพระพุทธศาสนา เชน • ศรัทธาในทางพระพุทธศาสนามีความหมาย วาอยางไร (แนวตอบ ศรัทธาในทางพระพุทธศาสนา หมายถึง ความเชื่อที่ประกอบดวยเหตุผล และเชื่อมั่นในคุณงามความดี)
เกร็ดแนะครู ครูควรอธิบายนักเรียนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการคนพบทางสายกลางของพระพุทธเจา ในพุทธประวัติ คือ การที่มีพระอินทรมาเทียบสายพิณใหฟงขณะที่พระสิทธัตถะทรง แสวงหาทางหลุดพนดวยการบําเพ็ญทุกกรกิริยา ทั้งนี้วิเคราะหไดวา อาจหมายถึง พระอินทรจริงๆ มาเทียบสายพิณใหพระสิทธัตถะฟง เพื่อเตือนสติวาใหทําแตพอดี หรืออาจเปนบุคคลใดบุคคลหนึ่งเทียบสายพิณแลวดีด ในบริเวณที่พระสิทธัตถะทรง บําเพ็ญทุกกรกิริยาอยู พระองคจึงทรงระลึกได หรืออาจเปนพระสิทธัตถะทรงคิด เปรียบเทียบดวยพระองคเอง จากการแสวงหาทางหลุดพนตามวิธีการของลัทธิความ เชื่อตางๆ ทั้งที่ยอหยอนเกินไปและตึงจนเกินไป พระองคจึงทรงเห็นวาทุกสิ่งตอง ใหพอเหมาะพอดีจึงจะสําเร็จผล อยางไรก็ตามการปฏิบัติตามทางสายกลางหรือ มัชฌิมาปฏิปทานี้ ทําใหพระองคตรัสรูเปนพระสัมมาสัมพุทธเจาไดในที่สุด
คูมือครู
19
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engaae
Expore
อธิบายความรู
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Elaborate
Evaluate
Explain
นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมาตอบ คําถามเกี่ยวกับการพัฒนาศรัทธาและปญญาตาม หลักพระพุทธศาสนา เชน • ศรัทธาที่ควรพัฒนาในทางพระพุทธศาสนา ขอใดแสดงถึงการเปนศาสนาประเภท อเทวนิยม (ศาสนาที่ไมนับถือพระเจา) (แนวตอบ ความศรัทธาหรือเชื่อมั่นในความดี งามของมนุษย คือ เชื่อวาความดีงามที่เกิด ขึ้นเปนไปตามเหตุปจจัย มิใชเกิดจากการดล บันดาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเกิดจากความ บังเอิญ กลาวอีกนัยหนึ่งคือ เชื่อวามนุษยเรา มีศักยภาพที่จะพัฒนาตนใหบรรลุถึงความดี งามนั้นไดดวยความพากเพียรของตนเอง) • ศรัทธาที่ควรพัฒนาในทางพระพุทธศาสนา สอดคลองกับหลักกรรมอยางไร (แนวตอบ ความศรัทธาหรือเชื่อมั่นในกฎแหง การกระทําและผลของการกระทํา และความ เชื่อมั่นวามนุษยตองรับผิดชอบตอการกระทํา และผลของการกระทํานั้น หมายถึง เชื่อมั่นวาไมมีสิ่งใดเกิดขึ้นลอยๆ โดยไมมี เหตุปจจัย เมื่อทําอะไรลงไปแลวไมวาดีหรือ ชั่วยอมจะมีผลของการกระทํานั้นตามมาไม โดยทางตรงก็ทางออม สอดคลองกับหลัก กรรมที่เชื่อวา การกระทําใดๆ ที่ประกอบ ดวยเจตนายอมเปนกรรม ซึ่งจะมีผลตอผู กระทําไมเร็วก็ชา ดังพุทธศาสนสุภาษิตบท ที่วา กมฺมุนา วตฺตตี โลโก สัตวโลกยอมเปน ไปตามกรรม)
หาความรู้ ตั้งใจฟังครูอาจารย์สอน ฟังแล้วนำมาคิดพินิจพิจารณาเพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้น เรื่องใด ยังไม่เข้าใจหรือเข้าใจไม่กระจ่างก็ซักถาม เมื่อได้ความรู้ถูกต้องแน่นอนแล้วให้จดบันทึกกันลืม ผู้มีวิญญาณแห่ง “ผู้ใฝ่รู้” เช่นนี้ประสบความสำเร็จในการเรียนแน่นอน เราเชื่อและกระทำตามนี้ ความเชื่ออย่างนี้จัดเป็นศรัทธาที่พึงประสงค์ได้ แม้ว่าจะเป็นความเชื่อในเรื่องธรรมดาสามัญ ก็ตาม เพราะความเชื่อเช่นนี้มีครบองค์ประกอบ ๒ อย่าง คือ อยู่บนพื้นฐานของเหตุและผล และ สิ่งที่เชื่อและกระทำนั้นเป็นสิ่งที่ดีงามหรือเป็นไปเพื่อความดีงามแห่งชีวิต ศรัทธาที่ควรพัฒนา มีลักษณะ ๓ ประการ ได้แก่ ๑.๑) เชื่อมั่นในความดีงามของมนุษ ย์ หมายถึง เชื่อมั่นว่ามีหลักแห่งความ ดีงามของมนุษย์ และความดีงามนั้นเป็นไปตามเหตุปัจจัยมิใช่มีขึ้นมาเองโดยบังเอิญ เชื่อมั่นว่า ความดีงามนั้นสามารถสร้างขึ้นมาได้ หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่ามนุษ ย์เรามีศักยภาพจะพัฒนา ตนให้บรรลุถึงความดีงามนั้นได้ด้วยความพากเพียรของตนเอง มิใช่ด้วยการอ้อนวอนร้องขอให้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ บันดาลให้เป็นไป โดยมีพระพุทธเจ้าทรงทำให้เป็นตัวอย่าง และเชื่อมั่นว่ามี กลุ่มบุคคลที่ปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธองค์แล้วได้บรรลุถึงความดีงามนั้นจริงๆ ปรากฏ เป็นสักขีพยานอยู่ ๑.๒) เชื่อมั่นในกฎแห่งการกระทำและผลของการกระทำ หมายถึง เชื่อมั่นว่า ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นลอยๆ โดยไม่มีเหตุปัจจัยทำให้เกิด เมื่อกระทำอะไรลงไปแล้วย่อมจะมีผลของ การกระทำนั้นตามมาไม่โดยทางตรงก็ทางอ้อม ยกตัวอย่าง สมศักดิ์เป็นเด็กขยันเรียน ขยัน ทำการบ้านทบทวนตำราอยู่เสมอ การกระทำของสมศักดิ์นี้เป็นเหตุ สมศักดิ์ย่อมได้รับผลของการ กระทำแน่นอน โดยตรงก็คือ “ได้ความเป็นคนขยัน” ได้ความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่ไม่เคยรู้ไม่เคย เข้าใจ ผลโดยอ้อมก็คือสมศักดิ์อาจสอบได้คะแนนดี ครูอาจารย์ เพื่อนๆ หรือคนอื่นๆ ที่รู้ก็อาจ ชื่นชมสมศักดิ์ (พึงเข้าใจว่า คนขยัน เรียนดี มีความรู้ความเข้าใจในวิชาที่เรียน ไม่จำเป็นจะต้อง สอบได้คะแนนดีก็ได้ เพราะการสอบของเขาขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ครูผู้ตรวจให้คะแนน หรือเครื่องตรวจคะแนน ผลของการเรียนจึงถือเป็นผลโดยอ้อมของการเรียนดี) ๑.๓) เชื่อมั่นว่ามนุษย์ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำและผลของการกระทำนั้น ข้อนี้สืบเนื่องมาจากข้อ ๑.๒) คือ ถ้าคนเชื่อว่ากระทำอะไรลงไปแล้วไม่ว่าดีหรือชั่วย่อมได้รับผล ของการกระทำนั้นไม่โดยทางตรงก็ทางอ้อม จะทำให้เป็นคนระมัดระวังตนอย่างดี มีความละเอียด รอบคอบ ไม่เผลอทำอะไรตามอำนาจความอยากความต้องการ เพราะเขาเชื่อว่าถ้าทำอะไรไม่ดี 20
เกร็ดแนะครู ครูอาจอธิบายนักเรียนเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวใจนักปราชญเพื่อการพัฒนาศรัทธา ที่ถูกตองตามขั้นตอนดังตอไปนี้ ขั้นแรก สุ มาจาก สุต หมายถึง การฟง เพราะ การศึกษาเลาเรียน แสวงหาความรู อาศัยการฟงเปนพื้นฐาน ขั้นที่สอง จิ มาจาก จินตนะ หมายถึง การคิดพิจารณาขอมูลที่ไดรับรูมา อันเปนพื้นฐานของ การคิดสรางสรรค ขั้นที่สาม ปุ มาจาก ปุจฉา หมายถึง การถาม ซึ่งเปนขั้นตอน ที่ตอเนื่องจากการฟงและคิด เกี่ยวของกับการพูด เปนการถามขอสงสัยที่ผานการ ไตรตรองอยางดีแลว ขั้นสุดทาย ลิ มาจาก ลิขิต หมายถึง การเขียน การบันทึกไว เปนผลสืบเนื่องจากการฟง คิด และถาม
20
คูมือครู
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 53 ออกเกี่ยวกับแนวคิดของพระพุทธศาสนา ขอใดไมใชแนวคิดของพระพุทธศาสนา 1. สอนใหอุทิศตนแกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 2. สอนใหพิสูจนคําบอกเลาแลวจึงเชื่อ 3. เชื่อวากรรมเปนตัวกําหนดสรรพสิ่ง 4. หลักศีลธรรมเกิดจากการศึกษาของผูรู วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. สอนใหอุทิศตนแกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจาก พระพุทธศาสนามีแนวคิดที่เชื่อวามนุษยมีศักยภาพที่จะพัฒนาตนใหบรรลุ ความดีงามไดดวยตนเอง มิใชดวยการออนวอนรองขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บันดาลใหเปนไป
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engaae
Expore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
อธิบายความรู
Explain
นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมาตอบ คําถามเกี่ยวกับการพัฒนาศรัทธาและปญญาตาม หลักพระพุทธศาสนา เชน • ความรูเชนไรจึงถือวาเปนปญญาที่แท (แนวตอบ ความรูในเรื่องใดๆ อยางทั่วถึง ทะลุปรุโปรง และรอบดาน นับเปนปญญา ที่แท) • พระพุทธศาสนาเชื่อวาปญญาแบงออกเปน กี่ประเภท และปญญาประเภทใดที่สามารถ พัฒนาได (แนวตอบ พระพุทธศาสนาเชื่อวาปญญา หรือความรู แบงออกเปน 2 ประเภท ไดแก สหชาติปญญา หรือความรูที่มีมาตั้งแตเกิด เปนความรูที่ทุกคนพึงมีมากบางนอยบาง แลวแตบุคคล บางคนก็มีความรูพิเศษที่คน อื่นไมมีซึ่งภาษาไทยเรียกวา พรสวรรค และ โยคปญญา หรือความรูที่มีขึ้นดวยการศึกษา เลาเรียนและฝกฝน เปนความฉลาดรอบรูที่ ฝกฝนอบรมได เรียกวา พรแสวง) • ปจจัยสําคัญที่ชวยพัฒนาปญญาคืออะไร แนวตอบ ปจจัยสําคัญที่ชวยพัฒนาปญญา คือ การฝกฝนพัฒนา ดังคํากลาวที่วา ปญญามี ไดเพราะการฝกฝนพัฒนา ปญญาเสื่อมไป เพราะไมฝกฝนพัฒนา) • ผูที่มีปญญารูจักความเสื่อมหรืออปายโกศล ตองมีลักษณะเชนไร (แนวตอบ ผูที่มีปญญารูจักความเสื่อมหรือ อปายโกศลตองรูวาอะไรคือความเสื่อม และอะไรคือสาเหตุที่แทจริงของความเสื่อม)
ลงไปเขาจะต้องรับผลของการกระทำนั้น คนที่เชื่อมั่นอย่างนี้ย่อมเป็นคนมีความรับผิดชอบสูง คือ รับทั้งผิด รับทั้งชอบ อันจักเกิดขึ้นจากการกระทำของตน ไม่เหมือนคนส่วนมากที่ยินดี รับเฉพาะ “ชอบ” ไม่ยอมรับ “ผิด” คนที่คิดเสมอว่าตนเองจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของ ตนเอง จะไม่ทำความเสียหายง่ายๆ เพราะเขาคิดล่วงหน้าไปไกลว่า ถ้าทำลงไปแล้วคนอื่นเขา รู้เข้าเขาจะว่าอย่างไร เกียรติยศ ชืิ่อเสียงของเราจะมิเสียหายหรือ ตายไปแล้วจะมิตกนรกหรือ อย่างนี้เป็นต้น เขาจึงพร้อมจะปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรมของตนเองให้ดีขึ้นเสมอ 1 ๒) การพัฒนาปัญญา ปัญญา แปลว่า รู้ทั่วถึง หมายความว่า ความรู้ในเรื่องใด ถ้ารู้ไม่ทั่วถึง ไม่ทะลุปรุโปร่ง ไม่รอบด้าน ไม่นับเป็นปัญญาที่แท้ ความรู้มีอยู่ ๒ ประเภท คือ ความรู้ที่มีมาตั้งแต่เกิด (สหชาติปัญญา) และความรู้ที่มีขึ้นด้วยการศึกษาเล่าเรียนและฝึกฝน (โยคปัญญา) อย่างแรกเป็นความรู้พื้นฐานที่ทุกคนพึงมีมากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่บุคคล บางคน ก็มีความรู้พิเศษที่คนอื่นไม่มีซึ่งภาษาไทยเรียกว่า “พรสวรรค์” เช่น มีความสามารถวาดภาพได้ งดงาม ทั้งๆ ที่ไม่ได้เรียนมาจากใครเลย แต่กรณีอย่างนี้มีน้อย ความรู้ประเภทหลังนี้เท่านั้นที่ ต้องการเน้นในที่นี้ เพราะความรู้ความฉลาดเป็นเรื่องที่ฝึกฝนอบรมกันได้ เรียกว่า “พรแสวง” คือ แสวงหาเอาภายหลังได้ดังพระบาลีรับรองไว้ว่า “ปัญญามีได้เพราะการฝึกฝนพัฒนา ปัญญา เสื่อมไปเพราะไม่ฝึกฝนพัฒนา” ปั ญ ญาหรื อ ความรู้ ที่ ควรพั ฒ นา มี ๓ ลักษณะ ซึ่งขออธิบายพร้อมยกตัวอย่าง ประกอบ ดังต่อไปนี้ ๒.๑) ปัญญารู้จักความเสื่อม (อปายโกศล) หมายถึ ง รู้ ว่ า อะไรคื อ ความ เสื่อม และอะไรคือเหตุทำให้เกิดความเสื่อม การรู้เพียงแง่ใดแง่หนึ่งยังไม่ถือว่าเป็นอปายโกศล เช่น บางคนเงินเดือนไม่พอจ่าย ชักหน้า ไม่ถึงหลัง เป็นหนี้สินมากมาย เขารู้ว่าเขามี ปัญหา มีความทุกข์ เขาคิดว่าความทุกข์ที่เขา ได้รับนี้ เพราะเจ้านายจ่ายเงินเดือนให้เขาน้อย การพัฒนาปัญญา ต้องอาศัยการหมั่นศึกษาหาความรู้ เกินไปจึงไม่พอใช้จ่าย แต่เขาหารู้ไม่ว่าสาเหตุ อย่างสม่ำเสมอ 21
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับกฎแหงกรรม เรื่องกฎแหงกรรมในพระพุทธศาสนาสอดคลองกับเรื่องใด 1. ภพ-ภูมิ 2. ไตรสิกขา 3. ไตรลักษณ 4. กฎธรรมชาติ วิเคราะหคําตอบ ในทางพระพุทธศาสนา กรรมสงผลตอการเกิดในภพภูมิตางๆ ดังขอชนกกรรม ในหลักกรรม 12 ซึ่งหมายถึง กรรมเปนตัวนํา ไปเกิด และสอดคลองกับกฎธรรมชาติ กลาวคือ ไมมีสิ่งใดเกิดขึ้นลอยๆ ลวนเกิดจากเหตุปจจัยตางๆ รวมถึงมนุษยทุกคนตองเผชิญกับความตาย ดังนั้นคําตอบคือ ขอ 1. และขอ 4.
นักเรียนควรรู 1 การพัฒนาปญญา หรือการเจริญปญญาใหเจริญงอกงาม สามารถทําได 3 ทาง คือ สุตมยปญญา ปญญาเกิดจากการฟง ประโยชนหลัก คือ ทําใหเขาใจสิ่งที่เราไม เคยรูมากอนหรือเขาใจสิ่งนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น จินตามยปญญา ปญญาเกิดจากการคิด ประโยชนหลัก คือ การเกิดความรูค วามเขาใจทีถ่ กู ตองชัดเจนขึน้ ในสิง่ ทีเ่ รารับฟงมา และภาวนามยปญญา ปญญาเกิดจากการลงมือทํา ประโยชนหลัก คือ การมีความรู ความเขาใจในสิ่งที่ไดรับฟงมาอยางสมบูรณจากการลงมือปฏิบัติดวยตนเอง
คูมือครู
21
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engaae
Expore
อธิบายความรู
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Elaborate
Evaluate
Explain
นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมาตอบ คําถามเกี่ยวกับการพัฒนาศรัทธาและปญญาตาม หลักพระพุทธศาสนา เชน • อายโกศลและสิ่งที่ชวยสงเสริมอายโกศลคือ อะไร (แนวตอบ อายโกศล คือ ปญญารูความเจริญ ไดแก รูวาอะไรคือความดี ความเจริญที่แท และรูวาอะไรคือสาเหตุที่ทําใหเกิดความดี และความเจริญนั้น สวนสิ่งที่ชวยสงเสริม อายโกศลคือ ศีลธรรมและกฎหมาย กลาวคือ ศีลธรรมและกฎหมายชวยใหรูสาเหตุที่แท จริงของความดีและความเจริญตางๆ เชน คนที่รํ่ารวยจากการทุจริต ผูที่มีอายโกศลจะ สามารถแยกแยะไดวา สาเหตุที่แทจริงของ ความรํ่ารวยนั้นมาจากการทุจริต ซึ่งเปนสิ่ง ที่ไมถูกตอง) • การรูครบวงจรตามอุปายโกศลมีประโยชน และความสําคัญอยางไร (แนวตอบ การรูครบวงจรตามอุปายโกศล คือ การรูทั้งสองดาน ไดแก ดานความเสื่อมและ สาเหตุของความเสื่อม และดานความเจริญ และสาเหตุของความเจริญ มีความสําคัญคือ คนที่รูความเสื่อมและเหตุแหงความเสื่อม อาจเพียงระมัดระวังไมทําความชั่วเทานั้น แตอาจไมไดทําความดีหรือสรางสรรค ประโยชนใดใหแกตนและสังคม สวนคนที่รู ความเจริญและสาเหตุของความเจริญอยาง เดียวก็อาจทําใหไมระมัดระวัง เพราะคิด แตประโยชนที่จะได จึงอาจกอใหเกิดความ เสื่อมตามมาได)
แท้จริงก็คือการที่เขาใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือย และไม่รู้จักประหยัดอดออม การรู้จักแต่ความเสื่อม แต่ไม่รู้ลึกไปถึงสาเหตุแห่งความเสื่อม อย่างนี้ยังไม่พอจะต้องพิจารณาจนทราบสาเหตุที่แท้จริง ของความเสื่อมด้วย ๒.๒) ปัญญารู้ความเจริญ (อายโกศล) คือ รู้ว่าอะไรคือความดี ความเจริญที่แท้ และก็รู้ด้วยว่าอะไรคือสาเหตุให้เกิดความดีความเจริญนั้น คนที่รู้ว่าความร่ำรวย ความมีหลักฐาน มั่นคงเป็นความดีระดับโลกอย่างหนึ่งที่มนุษย์ปุถุชนพึงมีพึงได้ แต่คิดไปว่าการจะร่ำรวยมีหน้า มีตาในสังคมนั้นจะต้องเป็นนักฉวยโอกาส รู้จักเอารัดเอาเปรียบคน หรือขายของหนีภาษี หรือ สิ่งเสพติด เป็นต้น อย่างนี้ไม่1เรียกว่าเป็นอายโกศลเพราะรู้แต่อะไรคือความเจริญ แต่สาเหตุให้ ลุถึงความเจริญด้วยโภคทรัพย์นั้นไม่ถูกต้อง จริงอยู่คนทุจริตคดโกงนั้นร่ำรวยได้และร่ำรวยเร็ว ด้วย แต่มิใช่สาเหตุที่แท้จริงเพราะผิดกฎหมายและศีลธรรม การรู้ว่าอะไรคือความเจริญ อะไรคือ สาเหตุให้เกิดความเจริญอย่างแท้จริงเป็นปัญญาประการที่ ๒ ๒.๓) ปัญญารู้จักวิธีการละเหตุแห่งความเสื่อมและสร้างเหตุแห่งความเจริญ (อุปายโกศล) คือ รู้ทั้งสองด้าน เรียกว่า “รู้ครบวงจร” คนที่รู้ความเสื่อมและเหตุแห่งความเสื่อม อาจเพียงระมัดระวังไม่ทำความชั่วเท่านั้น แต่อาจไม่ทำความดีหรือสร้างสรรค์ประโยชน์อะไร ให้แก่ตนและสังคมก็ ได้ และในบางกรณีอาจระวังตัวมากจนกลายเป็นโทษก็ ได้ ยกตัวอย่าง ข้าราชการระดับสูงรู้ว่าการเซ็นอนุมัติอะไรง่ายๆ อาจทำให้ผิดพลาดถึงขั้นออกจากงานหรือ ติดคุกได้ จึงระมัดระวังไม่ยอมเซ็นอนุมัติอะไรง่ายๆ แม้แต่เรื่องที่เป็น “กิจวัตรประจำวัน” จึงอาจ ทำให้งานล่าช้าเกิดความเสียหายแก่ราชการได้ในบางเรื่องบางกรณี ในทางตรงกันข้าม ถ้ามองแต่ในแง่ความเจริญและเหตุแห่งความเจริญ อย่ า งเดี ย วก็ อ าจทำให้ ไ ม่ ร ะมั ด ระวั ง เพราะคิ ด แต่ จ ะได้ ป ระโยชน์ ก็ ไ ด้ ยกตั ว อย่ า งเช่ น ชาวนาชาวสวนเห็นที่ดินราคาแพงขึ้นคิดว่าเป็นโอกาสได้เงินมหาศาล จึงขายไร่นาที่เป็นมรดก ตกทอดมานานได้เงินหลายสิบล้านบาท แรกๆ ก็แบ่งขายแต่เมื่อเห็นว่าได้ราคาดีมากจึงขาย จนหมด เพราะไม่มีความรู้ในการบริหารเงินจำนวนมากขนาดนี้ จึงเอาเงินไปซื้อรถปิ๊กอัพบ้าง รถจักรยานยนต์บ้าง แจกลูกหลานคนละคันสองคัน ซื้อวัตถุอำนวยความสะดวกบำรุงบำเรอชีวิต มากมาย ไม่นานเงินที่ ได้จากการขายไร่นาก็ร่อยหรอหมดไป ในที่สุดก็มาเช่านายทุนทำกิน บนที่ดินดั้งเดิมของตนนั้นเอง อย่างนี้เรียกว่ามองแต่ผลที่จะได้ มองเห็นแต่ความเจริญด้านเดียว ไม่รู้จักมองด้านเสื่อมซึ่งอาจจะตามมาได้ 22
นักเรียนควรรู 1 โภคทรัพย แปลวา ทรัพยสิ่งของที่ใชอุปโภคบริโภค มีประโยชนในทาง พระพุทธศาสนา หรือโภคอาทิยะ 5 ประการ คือ เลี้ยงตัว บิดามารดา บุตร ภรรยา บาวไพร ใหเปนสุข เลีย้ งเพือ่ นฝูงใหเปนสุข บําบัดปองกันภยันตราย ทําพลี 5 อยาง เชน การชวยเหลือญาติที่เดือดรอน และทําทานในสมณพราหมณ เปนตน
มุม IT ศึกษาเพิ่มเติมถึงการพัฒนาพฤติกรรม จิตใจ และปญญา ตามแนวทาง พระพุทธศาสนาไดที่ http://www.swu.ac.th/journal/swuvision/v1n3/ article04.htm เว็บไซตยุทธศาสตรการพัฒนาสื่อสารการเรียนรูเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
22
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
นิวใชคอมพิวเตอรไดอยางชํานาญจึงทําแผนซีดีเพลงและภาพยนตรที่ กําลังไดรับความนิยมออกจําหนาย เพื่อหารายไดเสริม นิวจัดวาเปนผูมี ปญญาหรือไม เพราะเหตุใด 1. มี เพราะรูจักใชความสามารถใหเกิดประโยชน 2. มี เพราะทําใหเพื่อนไดซีดีเพลงและภาพยนตรราคาถูก 3. ไมมี เพราะเปนการละเมิดทรัพยสินทางปญญาไมถูกตองทั้งทาง ศีลธรรมและกฎหมาย 4. ไมมี เพราะนิวไมไดสอนใหเพื่อนๆ สามารถทําแผนซีดีเพลงและ ภาพยนตรไดเหมือนตนเอง วิเคราะหคําตอบ ปญญาในทางพระพุทธศาสนานั้นตองประกอบดวย ความถูกตองทั้งทางศีลธรรมและกฎหมาย หรือที่เรียกวา อายโกศล การกระทําของนิวถือวาเปนการละเมิดทรัพยสินทางปญญาของผูอื่น จึงไมถือวาเปนผูมีปญญา ดังนั้นคําตอบคือ ขอ 3.
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engaae
Expore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
อธิบายความรู
ครูและนักเรียนรวมกันสรุปสาระสําคัญ เกี่ยวกับความสําคัญของพระพุทธศาสนาทั้ง ในดานการมีทฤษฎีที่เปนสากล การมีขอปฏิบัติที่ ยึดทางสายกลาง และการเนนการพัฒนาศรัทธา และปญญาที่ถูกตอง แลวใหนักเรียนบันทึกขอสรุป ที่ไดลงในสมุด
ผู้ที่ฉลาดแท้จริงจะต้องมีปัญญาทั้ง ๓ ประการ คือ
๑. รู้ทางเสื1่อมและผลของทางเสื่อม รู้ทางเจริญและผลของทางเจริญ ๒. รู้อุบายหรือวิธีแก้และป้องกันความเสื่อม ๓. รู้วิธีสร้างความเจริญและรักษาความเจริญให้คงอยู่ ตลอดถึงส่งเสริมให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป อีกด้วย
ขยายความเขาใจ
พระพุทธศาสนาเน้นว่าศรัทธาที่ถูกต้องจะต้องเป็นความเชื่อมั่นในความดีงาม ของมนุษย์ เชื่อมั่นในการกระทำและผลของการกระทำ เชื่อมั่นว่าเราต้องรับผิดชอบต่อการ กระทำของตนเอง ศรัทธาที่ถูกต้องจะต้องไม่ ใช่ความเชื่อ “ฝังหัว” อย่างมืดบอดในเรื่องใด เรื่องหนึ่ง หากแต่เป็นไปเพื่อให้เกิดปัญญา รู้ผิดชอบชั่วดี รู้ทางเสื่อมทางเจริญ และรู้วิธีละทาง เสื่อมสร้างสรรค์ทางเจริญ
ตรวจสอบผล
ÇÔÃÔ๠·Ø¡¢Á¨à¨µÔ Ú¢Á¨Úà¨µÔ ¤¹Å‹Ç§·Ø¡¢ ä´Œà¾ÃÒФÇÒÁà¾ÕÂÃ
กิจกรรมสรางเสริม ครูอาจมอบหมายใหนักเรียนคนควาขอมูลเกี่ยวกับการพัฒนาปญญาทาง พระพุทธศาสนาตามหลักธรรมที่กําหนด เชน วุฑฒิธรรม 4 จักรธรรม 4 แลวจัดทําเปนแผนพับ จากนั้นครูคัดเลือกผลงานที่ดีจัดแสดงที่ปายนิเทศ ในชั้นเรียน
กิจกรรมทาทาย ครูอาจมอบหมายใหนักเรียนคนควาขอมูลเกี่ยวกับการพัฒนาปญญา ในแนวทางอื่นๆ ของพระพุทธศาสนา แลวจัดทําเปนแผนพับ จากนั้น ครูคัดเลือกผลงานที่ดีจัดแสดงที่ปายนิเทศในชั้นเรียน
Expand
ครูตั้งประเด็นใหนักเรียนแตละกลุมอภิปราย กลุมยอยเกี่ยวกับความสําคัญของพระพุทธศาสนา ในดานการมีทฤษฎีที่เปนสากล การมีขอปฏิบัติที่ ยึดทางสายกลาง และการเนนการพัฒนาศรัทธา และปญญาที่ถูกตอง โดยศึกษาขอมูลเพิ่มเติมจาก แหลงการเรียนรูอื่น ๆ เชน พระสงฆ หองสมุด อินเทอรเน็ต พรอมทั้งเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับ การปฏิบัติตนของนักเรียนตามแนวทางทั้งสามของ พระพุทธศาสนา จากนั้นจัดทําเปนบันทึกผลการ อภิปรายของกลุม
พระพุ ท ธศาสนาเกิ ด ขึ้ น ท า มกลางสภาพสั ง คมในอิ น เดี ย ที่ เ ต็ ม ไปด ว ยป ญ หา วุนวายนานัปการ ขณะที่คำสอนหรือแนวคิดใดๆ ก็ยังไมสามารถชวยแกปญหาความคับของใจ ของผูคนในสังคมอินเดียขณะนั้นได พระพุทธศาสนาจึงเปนสิ่งแปลกใหมในสังคมอินเดีย เปน แรงดึงดูดใหผูคนหันมาศึกษาและยอมรับนับถือพระพุทธศาสนากันเปนจำนวนมาก แมวาคำสอน ของพระพุทธศาสนาจะแตกตางจากหลักคำสอนของศาสนาอื่นๆ หรือลัทธิความเชื่ออื่นๆ ที่ใน อินเดียนับถือกันมากอนหนานั้นก็ตาม ทั้งนี้เพราะพระพุทธศาสนานั้นปฏิเสธความเชื่อเรื่องพระเจา แลวสอนใหมนุษยพิจารณาสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเปนจริงตามธรรมชาติ พิจารณาหาสาเหตุ และผลลัพธของการกระทำ นอกจากนี้ลักษณะเดนของพระพุทธศาสนาที่ทำใหมีผูคนหันมานับถือ กั น มากมายนั้ น คื อ การมี ท ฤษฎี ที่ เ ป น สากล มี ข อ ปฏิ บั ติ ที่ ยึ ด หลั ก ทางสายกลางและมุ ง เน น การพัฒนาศรัทธาที่ถูกตอง หรืออาจจะกลาวไดวาพระพุทธศาสนาเปดโอกาสใหมนุษยใชปญญา พิจารณาตัดสินทุกๆ สิ่งตามความเปนจริงดวยตัวเอง ไมมีโอกาสกำหนดกฎเกณฑขูบังคับใดๆ เมื่อมนุษยพิจารณาเห็นความจริงตามคำสอนในพระพุทธศาสนาแลว จึงหันมาศรัทธาและนับถือ พระพุทธศาสนาเปนศาสนาหลักในการดำเนินชีวิตสืบทอดมาจนปจจุบันนั่นเอง
(¾Ø·¸ÈÒʹÊØÀÒÉÔµ)
Explain
23
Evaluate
1. ครูและนักเรียนชวยกันตรวจบันทึกผลการ อภิปรายเกี่ยวกับความสําคัญของพระพุทธศาสนาของแตละกลุม โดยใหแตละกลุมสงตัว แทนออกมานําเสนอผลการอภิปรายของกลุม ตนที่หนาชั้นเรียน แลวพิจารณาถึงความถูก ตองครบถวนของขอมูล และความคิดเห็นที่ เหมาะสม จากนั้นครูใหนักเรียนปฏิบัติตนตาม แนวทางของพระพุทธศาสนาที่ไดศึกษามา 2. ครูสังเกตพฤติกรรมการมีสวนรวมในกิจกรรม การเรียนรู เชน การตอบคําถาม การทํางานกลุม เปนตน
เกร็ดแนะครู ครูอาจอภิปรายรวมกันกับนักเรียนในประเด็นความสําคัญของพระพุทธศาสนา เชน พระพุทธศาสนา : ศรัทธาและปญญาที่กอใหการเปลี่ยนแปลงในสังคมชมพูทวีป ลักษณะสังคมชมพูทวีปในสมัยพุทธกาล จากนั้นใหนักเรียนสรุปสาระสําคัญของการ อภิปรายลงในสมุด
นักเรียนควรรู 1 อุบาย วิธีสําหรับประกอบ หนทาง วิธีการ หรือกลวิธี ในปจจุบันนิยมใช ในความหมายวา เลหเหลี่ยม
คูมือครู
23
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
Engaae
Expore
Explain
Elaborate
ตรวจสอบผล
ตรวจสอบผล Evaluate
Evaluate
ครูตรวจสอบความถูกตองในการตอบคําถาม ประจําหนวยการเรียนรู
คาถาม ประจำหน่วยการเรียนรู้
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู
๑. ลักษณะของสังคมชมพูทวีป ในสมัยก่อนพระพุทธเจ้า ในด้านการเมืองการปกครอง ด้านสังคม และด้านศาสนาหรือลัทธิความเชื่อ มีส่วนเหมือน คล้ายคลึง หรือแตกต่าง กับลักษณะของสังคมอินเดียในปัจจุบันอย่างไร ๒. นักเรียนคิดว่าความเชื่อทางศาสนาสมัยก่อนพระพุทธเจ้านั้น ส่งผลต่อการดำเนินชีวิต ของคนในสมัยนั้นอย่างไรบ้าง จงอธิบาย ๓. นอกจากความสำคัญของพระพุทธศาสนาทั้ง ๓ ด้านที่ได้เรียนไปในหน่วยนี้ นักเรียน คิดว่ามีความสำคัญในด้านใดอีกบ้าง จงวิเคราะห์พร้อมยกตัวอย่างประกอบการอธิบาย
1. บทความเกี่ยวกับลักษณะของสังคมชมพูทวีป และคติความเชื่อทางศาสนาในสมัยกอน พระพุทธเจา 2. บันทึกผลการอภิปรายเกี่ยวกับความสําคัญของ พระพุทธศาสนา
กิจกรรม จกรรม สร้างสรรค์พัฒนาการเรียนรู้ กิจกรรมที่ ๑ ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มทำรายงานเกี่ยวกับแคว้นต่างๆ ในชมพูทวีปสมัยก่อน พระพุทธเจ้า โดยในรายงานให้ประกอบด้วยภาพวาดแผนที่แสดงแคว้นและ เมืองสำคัญต่างๆ พร้อมทั้งระบุความสำคัญของแคว้นหรือเมืองต่างๆ ที่มี ความสำคัญหรือมีความเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนาส่งครูผู้สอน กิจกรรมที่ ๒ ทำผังมโนทัศน์สรุปภาพรวมของสังคมชมพูทวีปและคติความเชื่อทางศาสนา ในสมัยก่อนพระพุทธเจ้า โดยวาดภาพประกอบพร้อมตกแต่งให้สวยงามส่ง ครูผู้สอน
24
แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู 1. ความแตกตางของลักษณะทางสังคมอินเดียในปจจุบันกับสังคมชมพูทวีปในอดีตที่สําคัญไดแก ในดานการเมืองการปกครอง กลาวคือ ระบอบการปกครองที่ในอดีต มีกษัตริยเปนประมุข แตในปจจุบันปกครองดวยระบอบประชาธิปไตยที่มีประธานาธิบดีเปนประมุข ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากอิทธิพลของประเทศอังกฤษที่เปนเจาอาณานิคม ของอินเดียสมัยจักรวรรดินิยม สําหรับในดานสังคม ลัทธิความเชื่อและศาสนา สังคมอินเดียในปจจุบันมีความคลายคลึงกับสังคมชมพูทวีปในอดีต กลาวคือ ชาวอินเดีย สวนใหญยังคงนับถือศาสนาฮินดู และมีสถานภาพตามระบบวรรณะซึ่งอาจไมเครงครัดเทาในอดีต เนื่องจากภาครัฐและประชาชนมีความตระหนักในเรื่องสิทธิมนุษยชน มากขึ้น 2. ความเชื่อทางศาสนามีอิทธิพลตอการดําเนินชีวิตของคนในชมพูทวีปสมัยกอนพระพุทธเจาคอนขางมาก โดยคนสวนใหญที่นับถือศาสนาพราหมณ (ซึ่งในเวลาตอมา พัฒนาเปนศาสนาฮินดู จึงอาจเรียกวา ศาสนาพราหมณ-ฮินดู) ลวนดําเนินชีวิตตามระบบวรรณะที่เชื่อวา คนวรรณะตาง ๆ ถือกําเนิดจากองคาพยพที่แตกตางกันของ พระพรหมผูสราง จึงมีสิทธิและบทบาทหนาที่ในสังคมแตกตางกัน เชน คนในวรรณะกษัตริยนั้นเกิดจากพระพาหา (แขน) ของพระพรหม มีหนาที่ปกครองและปกปอง ความสงบสุขของแควน สวนคนในวรรณะศูทรเกิดจากพระบาท (เทา) ของพระพรหม จึงมีหนาที่ใชแรงงานรับใชวรรณะตางๆ เปนตน 3. พระพุทธศาสนามีความสําคัญตอสังคมชมพูทวีปในหลายดาน โดยเฉพาะความเชื่อในการหลุดพนจากทุกขของชีวิต อันเปนความเชื่อสูงสุดหรือปรมัตถธรรม คือ นิพพาน เปนการหลุดพนจากสังสารวัฏ เปนภาวะวางเปลา ไมเวียนวายตายเกิดอีก ซึง่ เปนความสุขสงบทีแ่ ทจริง ตางจากความเชือ่ สุงสุดของศาสนาพราหมณทเี่ ชือ่ วา การหลุดพนจากความทุกขของชีวิต ไมตองเวียนวายตายเกิดอีกนั้น วิญญาณจะตองกลับไปรวมกับวิญญาณของพรหมหรือปรมาตมันอันเปนจุดกําเนิดอีกครั้งหนึ่ง
24
คูมือครู