8858649122889

Page 1


เอกสารประกอบคูมือครู

กลุมสาระการเรียนรู สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม

ประวัติศาสตร ไทย ชั้นมัธยมศึกษาปที่

4-6

สําหรับครู

คูมือครู Version ใหม

ลักษณะเดน

ขยายพื้นที่รูปเลมใหญขึ้นกวาเดิม จัดแบงพื้นที่ออกเปนโซน เพื่อคนหาขอมูลไดงาย สะดวก รวดเร็ว และดูเปนระเบียบ กระตุน ความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ Expand

ตรวจสอบผล

กระตุน ความสนใจ

Evaluate

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ Expand

ตรวจสอบผล Evaluate

เปาหมายการเรียนรู สมรรถนะของผูเรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค

หน า

โซน 1 กระตุน ความสนใจ

Engage

สํารวจคนหา

Explore

อธิบายความรู

Explain

ขยายความเขาใจ

Expand

ตรวจสอบผล

หน า

หนั ง สื อ เรี ย น

โซน 1

หนั ง สื อ เรี ย น

Evaluate

ขอสอบเนน การคิด

แนว  NT  O-NET

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

O-NET บูรณาการเชื่อมสาระ

เกร็ดแนะครู

ขอสอบ

โซน 2

โซน 3

กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย

นักเรียนควรรู

โซน 3

โซน 2 บูรณาการอาเซียน มุม IT

No.

คูมือครู

คูมือครู

No.

โซน 1 ขั้นตอนการสอนแบบ 5Es

โซน 2 ชวยครูเตรียมสอน

โซน 3 ชวยครูเตรียมนักเรียน

เพื่อใหครูเตรียมจัดกิจกรรมการเรียน การสอน โดยแนะนําขั้นตอนการสอนและ การจัดกิจกรรมแบบ 5Es อยางละเอียด เพื่อใหนักเรียนบรรลุตามตัวชี้วัด

เพื่อชวยลดภาระครูผูสอน โดยแนะนํา เกร็ดความรูสําหรับครู ความรูเสริมสําหรับ นักเรียน รวมทั้งบูรณาการความรูสูอาเซียน และมุม IT

เพื่อใหครูสะดวกตอการจัดกิจกรรม โดย แนะนํากิจกรรมบูรณาการเชือ่ มระหวางสาระหรือ กลุมสาระการเรียนรู วิชา กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย รวมถึงเนื้อหาที่เคยออกขอสอบ O-NET แนวขอสอบ NT/O-NET ทีเ่ นนการคิด พรอมเฉลยและคําอธิบายอยางละเอียด


ที่ใชในคูมือครู

แถบสีและสัญลักษณ

แถบสีแสดงขั้นตอนการสอนและการจัดกิจกรรม แบบ 5Es เพื่อใหครูทราบวาเปนขั้นการสอนขั้นใด

1. แถบสี 5Es สีแดง

สีเขียว

กระตุน ความสนใจ

เสร�ม

สํารวจคนหา

Engage

2

เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใช เทคนิคกระตุน ความสนใจ เพื่อโยง เขาสูบทเรียน

สีสม

อธิบายความรู

Explore

เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนสํารวจ ปญหา และศึกษา ขอมูล

สีฟา

Explain

เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนคนหา คําตอบ จนเกิดความรู เชิงประจักษ

สีมวง

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนนําความรู ไปคิดคนตอๆ ไป

เปนขั้นที่ผูสอน ประเมินมโนทัศน ของผูเรียน

2. สัญลักษณ สัญลักษณ

วัตถุประสงค

• เปาหมายการเรียนรู

• หลักฐานแสดง ผลการเรียนรู

• เกร็ดแนะครู

แทรกความรูเสริมสําหรับครู ขอเสนอแนะ ขอควรระวัง ขอสังเกต แนวทางการจัด กิจกรรมและอืน่ ๆ เพื่อประโยชนในการ จัดการเรียนการสอน ขยายความรูเพิ่มเติมจากเนื้อหา เพื่อให ครูนําไปใชอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียน ไดมีความรูมากขึ้น

ความรูห รือกิจกรรมเสริม ใหครูนาํ ไปใช เตรียมความพรอมใหกบั นักเรียนกอนเขาสู ประชาคมอาเซียนใน พ.ศ. 2558 โดย บูรณาการกับวิชาทีก่ าํ ลังเรียน

บูรณาการอาเซียน

คูม อื ครู

แสดงรองรอยหลักฐานตามภาระงาน ที่ครูมอบหมาย เพื่อแสดงผลการเรียนรู ตามตัวชี้วัด

• นักเรียนควรรู

มุม IT

แสดงเปาหมายการเรียนรูที่นักเรียน ตองบรรลุตามตัวชี้วัด ตลอดจนสมรรถนะ ที่จะตองมี และคุณลักษณะที่พึงเกิดขึ้น กับนักเรียน

แนะนําแหลงคนควาจากเว็บไซต เพื่อให ครูและนักเรียนไดเขาถึงขอมูลความรู ที่หลากหลาย ทั้งไทยและตางประเทศ

สัญลักษณ

ขอสอบ

วัตถุประสงค

O-NET

(เฉพาะวิชา ชัน้ ทีส่ อบ O-NET)

ขอสอบเนน การคิด

แนว  NT  O-NE T (เฉพาะระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนตน)

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET (เฉพาะระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนปลาย)

บูรณาการเชื่อมสาระ

กิจกรรมสรางเสริม

กิจกรรมทาทาย

• ชีแ้ นะเนือ้ หาทีเ่ คยออกขอสอบ

O-NET โดยยกตัวอยางขอสอบ พรอมวิเคราะหคาํ ตอบ อยางละเอียด

• เปนตัวอยางขอสอบทีม่ งุ เนน

การคิดและเปนแนวขอสอบ NT/O-NET ในระดับมัธยมศึกษา ตอนตน มีทงั้ ปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลยอยางละเอียด

• เปนตัวอยางขอสอบทีม่ งุ เนน

การคิดและเปนแนวขอสอบ O-NET ในระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย มีทงั้ ปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลยอยางละเอียด

• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม

เชือ่ มกับสาระหรือกลุม สาระ การเรียนรู ระดับชัน้ หรือวิชาอืน่ ทีเ่ กีย่ วของ

• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม ซอมเสริมสําหรับนักเรียนทีค่ วร ไดรบั การพัฒนาการเรียนรู

• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม ตอยอดสําหรับนักเรียนทีเ่ รียนรู ไดอยางรวดเร็ว และตองการ ทาทายความสามารถในระดับ ทีส่ งู ขึน้


คําแนะนําการใชคูมือครู การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอน คูม อื ครู รายวิชา ประวัตศิ าสตรไทย ม.4-6 จัดทําขึน้ เพือ่ ใหครูผสู อนนําไปใชเปนแนวทางวางแผนการสอนเพือ่ พัฒนา ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน และประกันคุณภาพผูเ รียน ตามนโยบายของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน (สพฐ.) โดยใชหนังสือเรียน ประวัตศิ าสตรไทย ม.4-6 ของบริษทั อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด เปนสือ่ หลัก (Core Material) ประกอบ เสร�ม การสอนและการจัดกิจกรรมการเรียนรูใหสอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดกลุมสาระการเรียนรู สังคมศึกษา 3 ศาสนา และวัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 โดยออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอน ตามหลักการสําคัญ ดังนี้ 1 ออกแบบการสอนเปนหนวยการเรียนรูอิงมาตรฐาน คูม อื ครู รายวิชา ประวัตศิ าสตรไทย ม.4-6 วางแผนการสอนโดยแบงเปนหนวยการเรียนรูต ามลําดับสาระ (strand) และ หมายเลขขอของมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั แตละหนวยจะกําหนดเปาหมายการเรียนรูแ ละจุดประสงคการเรียนรู (Objective Learning) กิจกรรมการเรียนรู (Learning Activities) และแนวทางการประเมินผลการเรียนรู (Learning Evaluation) ไวชัดเจน ครูผูสอนสามารถจัดทําแผนการสอนใหครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัด สมรรถนะ และคุณลักษณะ อันพึงประสงคที่เปนเปาหมายการเรียนรูตามที่กําหนดไวในสาระแกนกลาง (ตามแผนภูมิ) และสามารถบันทึกผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของผูเรียนแตละคนลงในเอกสาร ปพ.5 ไดอยางมั่นใจ แผนภูมิแสดงความสัมพันธขององคประกอบการออกแบบการเรียนรูอิงมาตรฐานและเนนผูเรียนเปนสําคัญ

พผ

ูเ

จุ ด ป ร

ะสง

คก า

ส ภา

รี ย น

รู ีเรยน

มาตรฐานการเรียนรู ชวงชั้น

ทักษะการคิด การวัดประเมินผล การเรียนรู

กิจกรรมการเรียนรู

เทคนิคการสอน คูม อื ครู


2 การจัดการเรียนรูที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ แนวคิ ด ในการจั ด การเรี ย นการสอนที่ ยึ ด ผู  เ รี ย นเป น สํ า คั ญ พั ฒ นามาจากปรั ช ญาและทฤษฎี ก ารเรี ย นรู  Constructivism ที่เชื่อวา การเรียนรูเปนกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในสมองของผูเรียนแตละคน ผูเรียนเปนผูสรางความรู โดยการเชื่อมโยงระหวางสิ่งที่ไดเรียนรูจากบทเรียนใหมกับความรูหรือประสบการณเดิมที่มีอยู ทฤษฎีนี้มีความเชื่อวา ผูเรียนทุกคนไดเรียนรูและมีการสั่งสมความรูความเขาใจเกี่ยวกับสิ่งตางๆ ติดตัวมากอน ทีจ่ ะเขาสูห อ งเรียน ซึง่ เปนการเรียนรูท เี่ กิดจากประสบการณและสิง่ แวดลอมรอบตัวผูเ รียนแตละคน ดังนัน้ การจัดกิจกรรม เสร�ม การเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ผูสอนจะตองคํานึงถึง

4

1. ความรูเดิมของผูเรียน วิธีการสอนที่ดีจะตองเริ่มตนจากจุดที่วา ผูเ รียนมีความรูอ ะไรมาบาง แลวจึงใหความรู หรือประสบการณใหม เพื่อตอยอดจาก ความรูเดิม นําไปสูการสรางความรู ความเขาใจใหม

2. ความรูเดิมของผูเรียนถูกตองหรือไม ผูส อนตองปรับเปลีย่ นความรูค วามเขาใจเดิม ของผูเรียนใหถูกตอง และเปนพฤติกรรม การเรียนรูใ หมทมี่ คี ณุ คาตอผูเรียน เพื่อสราง เจตคติหรือทัศนคติที่ดีตอการเรียนรู สิ่งเหลานั้น

3. ผูเรียนสรางความหมายสําหรับตนเอง ผูสอนตองสงเสริมใหผูเรียนนําความรู ความเขาใจที่เกิดขึ้นไปลงมือปฏิบัติ เพื่อขยายความรูใหลึกซึ้งและมีคุณคา ตอตัวผูเรียนมากที่สุด

แนวคิด Constructivism เนนใหผูเรียนสรางความรูโดยผานกระบวนการคิดและความอยากรูของตนเอง โดยมีผูสอนเปนผูสรางบรรยากาศ

การเรียนรูและกระตุนความสนใจ คอยจัดสถานการณใหผูเรียนเกิดความขัดแยงทางความคิดระหวางประสบการณเดิมกับประสบการณ ความรูใ หม เพือ่ กระตนุ ใหผเู รียนเชือ่ มโยงความรู ความคิด กับประสบการณทมี่ อี ยูเ ดิม แลวสังเคราะหเปนความรูห รือแนวคิดใหมๆ ไดดว ยตนเอง

3 การบูรณาการกระบวนการคิด การเรียนรูของผูเรียนแตละคนจะเกิดขึ้นที่สมอง ซึ่งเปนอวัยวะที่ทําหนาที่รูคิดภายใตสภาพแวดลอมที่เอื้ออํานวย และไดรบั การกระตนุ จูงใจอยางเหมาะสม สอดคลองกับสภาพจิตใจและความตองการของผูเ รียนแตละคน การจัดกิจกรรม การเรียนรูและสาระการเรียนรูที่สอดคลองกับความสนใจและมีความหมายตอผูเรียน จะชวยกระตุนใหสมองของผูเรียน สามารถรับรูและเรียนรูไดอยางมีประสิทธิภาพตามขั้นตอนการทํางานของสมอง ดังนี้ 1. สมองจะเรียนรูและสืบคน โดยการสังเกต คนหา ซักถาม และทดลอง ปฏิบัติ จนทําใหคนพบความรูความเขาใจ ไดอยางรวดเร็ว

2. สมองจะแยกแยะคุณคาของสิ่งตางๆ โดยการตัดสินใจวิพากษวิจารณ แสดง ความคิดเห็น ยอมรับหรือตอตานตาม อารมณความรูสึกที่เกิดขึ้นในขณะที่เรียนรู

3. สมองจะประมวลเนื้อหาสาระ โดยการสรุปเปนความคิดรวบยอดจาก เรื่องราวที่ไดเรียนรูใหมนําไปผสมผสานกับ ความรูห รือประสบการณเดิมทีถ่ กู จัดเก็บอยูใ น สมอง ผานการกลัน่ กรองเพือ่ สังเคราะหเปน ความรูค วามเขาใจใหมๆ หรือเปนทัศนคติใหม ที่จะเก็บบรรจุไวในสมองของผูเรียน

การเรียนรูที่มีประสิทธิภาพจึงตองเปนการเรียนรูที่เกิดจากกระบวนการคิดของผูเรียน เพราะการเรียนรูจะเกิดขึ้น เมื่อสมองรูคิด และตองเปนการคิดไดครบถวนตามขั้นตอนการทํางานของสมองผูเรียน โดยเริ่มตนจาก 1. ระดับการคิดพื้นฐาน ไดแก การสังเกต การจําแนก การคาดคะเน การสื่อความหมาย การรวบรวมขอมูล การสรุปผล เปนตน

คูม อื ครู

2. ระดับลักษณะการคิด ไดแก การคิดกวาง คิดลึกซึ้ง คิดไกล คิดหลากหลาย คิดคลอง คิดอยางมีเหตุผล เปนตน

3. ระดับกระบวนการคิด ไดแก กระบวนการคิดอยางมีวิจารณญาณ กระบวนการแกปญหา กระบวนการ คิดสรางสรรค กระบวนการคิดสังเคราะห เปนตน


5Es การจัดกิจกรรมตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ขั้นตอนการสอนที่สัมพันธกับขั้นตอนการคิดและการทํางานทางสมองของผูเรียนที่นิยมใชอยางแพรหลาย คือ วัฏจักรการเรียนรู 5Es ซึ่งผูจัดทําคูมือครูไดนํามาใชเปนแนวทางออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในแตละหนวย ตามลําดับขั้นตอนการเรียนรู ดังนี้ ขั้นที่ 1

กระตุนความสนใจ

(Engage)

เสร�ม

5

เปนขั้นที่ผูสอนนําเขาสูบทเรียน เพื่อกระตุนความสนใจของผูเรียนดวยเรื่องราวหรือเหตุการณที่นาสนใจโดยใชเทคนิควิธีการ และคําถามทบทวนความรูหรือประสบการณเดิมของผูเรียน เพื่อเชื่อมโยงผูเรียนเขาสูความรูของบทเรียนใหม ชวยใหผูเรียนสามารถ สรุปความสําคัญหัวขอและสาระการเรียนรูของบทเรียนได จึงเปนขั้นตอนการสอนที่สําคัญ เพราะเปนการเตรียมความพรอมและสราง แรงจูงใจใฝเรียนรูแกผูเรียน

ขั้นที่ 2

สํารวจคนหา

(Explore)

เปนขัน้ ทีผ่ สู อนเปดโอกาสใหผเู รียนลงมือศึกษา สังเกต หรือรวมมือกันสํารวจ เพือ่ ใหเห็นขอบขายของประเด็นหรือปญหา รวมถึง วิธีการศึกษาคนควา การรวบรวมขอมูลความรูที่จะนําไปสูการสรางความเขาใจประเด็นหรือปญหานั้นๆ เมื่อผูเรียนทําความเขาใจใน ประเด็นหรือปญหาที่จะศึกษาคนควาอยางถองแทแลว ก็ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมขอมูลความรู สํารวจตรวจสอบ โดยวิธีการตางๆ เชน สัมภาษณ ทดลอง อานคนควาขอมูลจากเอกสาร แหลงขอมูลตางๆ จนไดขอมูลความรูที่เกี่ยวของกับประเด็นหรือปญหาที่ศึกษา

ขั้นที่ 3

อธิบายความรู

(Explain)

เปนขั้นที่ผูสอนมีปฏิสัมพันธกับผูเรียน เชน ใหการแนะนํา ตั้งคําถามกระตุนใหคิด เพื่อใหผูเรียนคนหาคําตอบ และนําขอมูล ความรูจากการศึกษาคนควาในขั้นที่ 2 มาวิเคราะห สรุปผล และนําเสนอผลที่ไดศึกษาคนความาในรูปแบบสารสนเทศตางๆ เชน เขียนแผนภูมิ ผังมโนทัศน เขียนความเรียง เขียนรายงาน เปนตน ในขั้นตอนนี้ฝกใหผูเรียนใชสมองคิดวิเคราะหและสังเคราะห อยางเปนระบบ

ขั้นที่ 4

ขยายความเขาใจ

(Expand)

เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใชเทคนิควิธีสอนตางๆ ที่สงเสริมใหผูเรียนนําความรูที่เกิดขึ้นไปคิดคนสืบคนตอๆ ไป เพื่อพัฒนาทักษะ การเรียนรูและการทํางานรวมกันเปนกลุม ระดมสมองเพื่อคิดสรางสรรครวมกัน ผูเรียนสามารถนําความรูที่สรางขึ้นใหมไปเชื่อมโยง กับประสบการณเดิมโดยนําขอสรุปทีไ่ ดไปใชอธิบายเหตุการณตา งๆ หรือนําไปปฏิบตั ใิ นสถานการณใหมๆ ทีเ่ กีย่ วของกับชีวติ ประจําวัน ของตนเอง เพื่อขยายความรูความเขาใจใหกวางขวางยิ่งขึ้น ในขั้นตอนนี้ฝกสมองของผูเรียนใหสามารถคิดริเริ่มสรางสรรคอยางมี คุณภาพ เสริมสรางวิสัยทัศนใหกวางไกลออกไป

ขั้นที่ 5

ตรวจสอบผล

(Evaluate)

เปนขัน้ ทีผ่ สู อนประเมินมโนทัศนของผูเ รียน โดยตรวจสอบจากความคิดทีเ่ ปลีย่ นไปและความคิดรวบยอดทีเ่ กิดขึน้ ใหม ตรวจสอบ ทักษะ กระบวนการปฏิบัติ การแกปญหา การตอบคําถามรวบยอด หรือการเคารพความคิดหรือยอมรับเหตุผลของคนอื่น เพื่อการ สรางสรรคความรูร ว มกัน ผูเ รียนสามารถประเมินผลการเรียนรูข องตนเอง เพือ่ สรุปผลวามีความรูอ ะไรเพิม่ ขึน้ มาบาง เกิดความเขาใจ มากนอยเพียงใด และจะนําความรูเหลานั้นไปประยุกตใชในการเรียนรูเรื่องอื่นๆ หรือในชีวิตประจําวันไดอยางไร ผูเรียนจะเกิดเจตคติ และเห็นคุณคาของตนเองจากผลการเรียนรูที่เกิดขึ้น ซึ่งเปนการเรียนรูที่มีความสุขอยางแทจริง

การจัดกิจกรรมการเรียนรูตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es จึงเปนรูปแบบการเรียนการสอนที่เนนผูเรียน เปนสําคัญอยางแทจริง เพราะสงเสริมใหผูเรียนไดเรียนรูตามขั้นตอนของกระบวนการสรางความรูดวยตนเอง และ ฝกฝนใหใชกระบวนการคิดและกระบวนการกลุมอยางชํานาญ กอใหเกิดทักษะชีวิต ทักษะการทํางาน และทักษะการ เรียนรูที่มีประสิทธิภาพ สงผลตอการยกระดับผลสัมฤทธิ์ของผูเรียน ตามเปาหมายของการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) ทุกประการ คูม อื ครู


O-NET การเพิ่มผลสัมฤทธิ์ O-NET

การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ในแตละหนวยการเรียนรู ทางผูจัดทํา จะเสนอแนะวิธีสอน รูปแบบกิจกรรมการเรียนรู พรอมทั้งออกแบบเครื่องมือวัดและประเมินผลที่สอดคลองกับตัวชี้วัด และสาระการเรียนรูแกนกลางไวทุกขั้นตอน โดยยึดหลักสําคัญ คือ หลักของการวัดและประเมินผล เสร�ม

6

1. การวัดและประเมินผลทุกครั้ง ควรนําผลมาปรับปรุงพัฒนาผูเรียน เปนรายบุคคล

2. การวัดและประเมินผลมี เปาหมาย เพื่อพัฒนาการเรียนรู ของผูเรียนจนเต็มศักยภาพ

3. การนําผลการวัดและประเมินผล ทุกครั้งมาวางแผนปรับปรุงกิจกรรม การเรียนการสอน การเลือกเทคนิค วิธีสอน และสื่อการเรียนรูให เหมาะสมกับสภาพจริงของผูเรียน

การทดสอบผูเรียน 1. การใชขอสอบอัตนัย เนนการอาน การคิดวิเคราะห และการเขียนเพิ่มมากขึ้น 2. การใชคําถามกระตุนการคิดควบคูกับการทําขอสอบที่เนนการคิดอยางตอเนื่องตามลําดับกิจกรรมการเรียนรู และตัวชี้วัด 3. การทดสอบตองดําเนินการทั้งกอนเรียน ระหวางเรียน และหลังเรียน การทดสอบควรใชขอสอบทั้งชนิดปรนัยและ อัตนัย และเปนการทดสอบเพื่อประเมินผลการเรียนของผูเรียนแตละคน เพื่อการสอนซอมเสริมใหบรรลุตัวชี้วัด ไดครบถวน 4. การสอบกลางภาค (ถามี) ควรนําแบบฝกหัดหรือขอสอบทีน่ กั เรียนสวนใหญไมสามารถตอบไดหรือไมครบถวนชัดเจน มา สรางเปนแบบทดสอบอีกครัง้ เพือ่ ตรวจสอบความรูค วามเขาใจทีถ่ กู ตอง และประเมินความกาวหนาของผูเ รียนแตละคน 5. การสอบปลายภาคเรียนเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามตัวชี้วัดที่สําคัญ ควรออกขอสอบใหมีลักษณะเดียวกับ ขอสอบ O-NET โดยเนนการคิดวิเคราะห สังเคราะห เชื่อมโยงประยุกตใช เพื่อสรางความคุนเคย และฝกฝน วิธีการทําขอสอบดวยความมั่นใจ 6. การนําผลการทดสอบของผูเรียนมาวิเคราะห โดยผลการสอบกอนการเรียนตองสามารถพยากรณผลการสอบ กลางภาค และผลการสอบกลางภาคตองทํานายผลการสอบปลายภาคของผูเ รียนแตละคน เพือ่ ประเมินพัฒนาการ ความกาวหนาของผูเรียนเปนรายบุคคล 7. ผลการทดสอบปลายป ปลายภาค ตองมีคาเฉลี่ยสอดคลองกับคาเฉลี่ยของการสอบ NT ที่เขตพื้นที่การศึกษา จัดสอบ รวมทั้งคาเฉลี่ยของการสอบ O-NET ชวงชั้นที่สอดคลองครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดสําคัญ เพือ่ สะทอนประสิทธิภาพของครูผสู อนในการออกแบบการเรียนรูแ ละประกันคุณภาพผูเ รียนทีต่ รวจสอบผลไดชดั เจน การจัดการเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ตองใหผูเรียนไดสั่งสมความรู ความเขาใจตามลําดับขั้นตอน ของกิจกรรมในวัฏจักรการเรียนรู 5Es เพื่อใหผูเรียนไดเติมเต็มองคความรูอยางตอเนื่อง จนสามารถปฏิบัติชิ้นงานหรือ ภาระงานรวบยอดของแตละหนวย ผานเกณฑประกันคุณภาพในระดับที่นาพึงพอใจ เพื่อรองรับการประเมินภายนอกจาก สมศ. ตลอดเวลา คูม อื ครู


ASEAN การเรียนรูสูประชาคมอาเซียน เพื่ออํานวยความสะดวกแกครูผูสอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรูบูรณาการอาเซียนศึกษา ผูจัดทําไดวิเคราะห มาตรฐานการเรียนรู และตัวชี้วัดที่มีสาระการเรียนรูสอดคลองกับองคความรูเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนในแงมุมตางๆ ครอบคลุมทัง้ ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรม อาเซียน เพื่อสงเสริมการเรียนรูใหผูเรียนเกิดความตระหนัก มีความรูความเขาใจเหมาะสมกับระดับชั้นและกลุมสาระ การเรียนรู โดยเสนอแนะวิธีการจัดกิจกรรมบูรณาการเนื้อหาสาระตางๆ ที่เปนประโยชนตอผูเรียนและเปนการชวย เตรียมความพรอมผูเ รียนทุกคนทีจ่ ะกาวเขาสูก ารเปนสมาชิกของประชาคมอาเซียนไดอยางมัน่ ใจตามขอตกลงปฏิญญา เสร�ม ชะอํา-หัวหิน วาดวยความรวมมือดานการศึกษาเพือ่ บรรลุเปาหมายประชาคมอาเซียนทีเ่ อือ้ อาทรและแบงปน จึงกําหนด 7 เปนนโยบายใหกระทรวงศึกษาธิการจัดการเรียนรูเตรียมความพรอมผูเรียนเขาสูประชาคมอาเซียนภายในป พ.ศ. 2558 ตามแนวปฏิบัติที่สําคัญ ดังนี้

การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน 1. การสรางความรูความเขาใจ และตระหนักถึงความสําคัญของ กฎบัตรอาเซียน และความรวมมือ ของ 3 เสาหลัก ซึง่ กฎบัตรอาเซียน ในขณะนี้มีสถานะเปนกฎหมายที่ ประเทศสมาชิกจะตองปฏิบัติตาม หลักการที่กําหนดไวเพื่อใหบรรลุ เปาหมายของกฎบัตรมาตราตางๆ

2. การสงเสริมหลักการ ประชาธิปไตยและการสราง สิ่งแวดลอมประชาธิปไตย เพื่อการอยูรวมกันอยางกลมกลืน ภายใตวิถีชีวิตอาเซียนที่มีความ หลากหลายดานสังคมและ วัฒนธรรม

4. การตระหนักในคุณคาของ สายสัมพันธทางประวัติศาสตร และมรดกทางวัฒนธรรมที่มี พัฒนาการรวมกัน เพื่อเชื่อม อัตลักษณและสรางจิตสํานึก ในการเปนประชากรของประชาคม อาเซียนรวมกัน

3. การสงเสริมการศึกษาดาน สิทธิมนุษยชน เพื่อสรางประชาคม อาเซียนใหเปนประชาคมเพื่อ ประชาชนอยางแทจริง สามารถ อยูรวมกันไดบนพื้นฐานการเคารพ ในคุณคาของศักดิ์ศรีแหงความ เปนมนุษยเทาเทียมกัน

5. การสงเสริมสันติภาพ ความ มั่นคง และความปรองดองในสังคม ทั้งระดับประเทศและภูมิภาคของ อาเซียนบนพื้นฐานสันติวิธีและการ อยูรวมกันดวยขันติธรรม

คูม อื ครู


การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

เสร�ม

8

1. การพัฒนาทักษะการทํางาน เพื่อเสริมสรางผูเรียนใหมีทักษะ วิชาชีพที่จําเปนสอดคลองกับ ความตองการของตลาดแรงงาน และสถานประกอบการในอาเซียน สามารถเทียบโอนผลการเรียน และการทํางานตามมาตรฐานฝมือ แรงงานในภูมิภาคอาเซียน

2. การเสริมสรางวินัย ความรับผิดชอบ และเจตคติรักการทํางาน สามารถพึ่งพาตนเอง มีทักษะชีวิต ดํารงชีวิตอยางมีความสุข เห็นคุณคา และภูมิใจในตนเอง ในฐานะที่เปนพลเมืองไทยและ อาเซียน

3. การเรียนรูเพื่อพัฒนาตนเอง อยางตอเนื่องตลอดชีวิต ใหมี ทักษะการทํางานตามมาตรฐาน อาชีพ และคุณวุฒิของวิชาชีพสาขา ตางๆ เพื่อรองรับการเตรียมเคลื่อน ยายแรงงานมีฝมือและการเปน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่ เขมแข็ง เพื่อสรางขีดความสามารถ ในการแขงขันในเวทีโลก

การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน 1. การเสริมสรางความรวมมือ ในลักษณะสังคมที่เอื้ออาทร ของประชากรอาเซียน โดยยึด หลักการสําคัญ คือ ความงดงาม ของประชาคมอาเซียนมาจาก ความแตกตางและหลากหลายทาง วัฒนธรรมที่ลวนแตมีคุณคาตอ มรดกทางวัฒนธรรมของอาเซียน ซึ่งประชาชนทุกคนตองอนุรักษ สืบสานใหยั่งยืน

2. การเสริมสรางคุณลักษณะ ของผูเรียนใหเปนพลเมืองอาเซียน ที่มีศักยภาพในการกาวเขาสู ประชาคมอาเซียนอยางมั่นใจ เปนผูที่มีสุขภาพสมบูรณแข็งแรง มีทักษะการสื่อสาร ทักษะการ ทํางาน ทักษะทางสังคม สามารถ ทํางานรวมกับผูอื่นไดอยาง สรางสรรค และมีองคความรู เกี่ยวกับอาเซียนที่จําเปนตอการ ดํารงชีวิตอยางมีคุณภาพ

4. การสงเสริมการเรียนรูดาน ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถชี วี ติ ความเปนอยูข องเพือ่ นบาน ในอาเซียน เพื่อสรางจิตสํานึกของ ความเปนประชาคมอาเซียนและ ตระหนักถึงหนาที่ของการเปน พลเมืองอาเซียนรวมกัน

3. การสงเสริมการเรียนรูภาษา อังกฤษเพื่อการสื่อสารและการ ทํางานตามมาตรฐานอาชีพที่ กําหนดและสนับสนุนการเรียนรู ภาษาอาเซียนและภาษาเพื่อนบาน เพื่อชวยเสริมสรางสัมพันธภาพทาง สังคม และการอยูรวมกันอยางสันติ ทามกลางความหลากหลายทาง วัฒนธรรม

5. การสรางความรูและความ ตระหนักเกี่ยวกับดานสิ่งแวดลอม ปญหาและผลกระทบตอคุณภาพ ชีวิตของประชากรในภูมิภาค รวมทั้งแนวทางการพัฒนาอยาง ยั่งยืน ใหเปนมรดกสืบทอดแก พลเมืองอาเซียนในรุนหลังตอๆ ไป

กระทรวงศึกษาธิการจึงประกาศนโยบายการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) เพื่อเรงพัฒนาเด็ก และเยาวชนไทยใหเปนทรัพยากรมนุษยของชาติที่มีทักษะและความชํานาญ พรอมเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและ การแขงขันทั้งในภูมิภาคอาเซียนและภูมิภาคอื่นๆ ของสังคมโลก ทั้งนี้ผูบริหารสถานศึกษา ครูผูสอน และผูปกครอง ควรรวมมือกันอยางใกลชิดในการดูแลชวยเหลือผูเรียนและจัดประสบการณการเรียนรูเพื่อพัฒนาผูเรียนจนเต็มศักยภาพ เพื่อกาวเขาสูการเปนพลเมืองอาเซียนอยางมีเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีความเปนมนุษยของตน คณะผูจัดทํา คูม อื ครู


ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง สาระที่ 4

ประวัติศาสตรไทย (เฉพาะชั้น ม.4-6)*

ประวัติศาสตร

มาตรฐาน ส 4.1 เขาใจความหมาย ความสําคัญของเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร สามารถใชวิธีการทาง ประวัติศาสตรมาวิเคราะหเหตุการณตางๆ อยางเปนระบบ ชั้น

ตัวชี้วัด

สาระการเรียนรูแกนกลาง

ม.4-6 1. ตระหนักถึงความ สําคัญของเวลา และยุคสมัยทาง ประวัติศาสตร ที่แสดงถึงการ เปลี่ยนแปลงของ มนุษยชาติ

• เวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตรที่ปรากฏ ในหลักฐานทางประวัติศาสตร ไทยและ ประวัติศาสตรสากล • ตัวอยางเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร ของสังคมมนุษยที่มีปรากฏในหลักฐานทาง ประวัติศาสตร (เชื่อมโยงกับ มฐ. ส 4.3) • ความสําคัญของเวลาและยุคสมัยทาง ประวัติศาสตร 2. สรางองคความรูใหม • ขั้นตอนของวิธีการทางประวัติศาสตร ทางประวัติศาสตร โดยนําเสนอตัวอยางทีละขั้นตอนอยางชัดเจน โดยใชวิธีการทาง • คุณคาและประโยชนของวิธีการทาง ประวัติศาสตรอยาง ประวัติศาสตร ที่มีตอการศึกษาทาง เปนระบบ ประวัติศาสตร • ผลการศึกษาหรือโครงงานทางประวัติศาสตร

หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน

เสร�ม

9

• หนวยการเรียนรูที่ 1 เวลา และยุคสมัย ทางประวัติศาสตรไทย

• หนวยการเรียนรูที่ 2 การสรางองคความรูใหม ทางประวัติศาสตรไทย

มาตรฐาน ส 4.3 เขาใจความเปนมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปญญาไทย มีความรัก ความภูมิใจและธํารง ความเปนไทย ชั้น

ตัวชี้วัด

ม.4-6 1. วิเคราะหประเด็น สําคัญของ ประวัติศาสตรไทย

2. วิเคราะหความ สําคัญของสถาบัน พระมหากษัตริย ตอชาติไทย

สาระการเรียนรูแกนกลาง

• ประเด็นสําคัญของประวัติศาสตร ไทย เชน แนวคิดเกี่ยวกับความเปนมาของชาติไทย อาณาจักรโบราณในดินแดนไทยและอิทธิพล ที่มีตอสังคมไทย ปจจัยที่มีผลตอการสถาปนา อาณาจักรไทยในชวงเวลาตางๆ สาเหตุและ ผลของการปฏิรูปการปกครองบานเมือง การ เลิกทาส เลิกไพร การเสด็จประพาสยุโรปและ หัวเมืองสมัยรัชกาลที่ 5 การเปลี่ยนแปลงการ ปกครอง พ.ศ. 2475 บทบาทของสตรีไทย • บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริยในการ พัฒนาชาติไทยในดานตางๆ เชน การปองกัน และรักษาเอกราชของชาติ การสรางสรรค วัฒนธรรมไทย

หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน

• หนวยการเรียนรูที่ 3 วิเคราะหประเด็นสําคัญ ทางประวัติศาสตรไทย

• หนวยการเรียนรูที่ 3 วิเคราะหประเด็นสําคัญ ทางประวัติศาสตรไทย

_________________________________ * สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง กลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม. (กรุงเทพมหานคร : ชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย, 2551), หนา 92-118.

คูม อื ครู


ชั้น

เสร�ม

10

คูม อื ครู

ตัวชี้วัด

ม.4-6 3. วิเคราะหปจจัยที่ สงเสริมการสรางสรรค ภูมิปญญาไทย และ วัฒนธรรมไทย ซึ่งมี ผลตอสังคมไทยใน ยุคปจจุบัน 4. วิเคราะหผลงาน ของบุคคลสําคัญ ทั้งชาวไทยและ ชาวตางประเทศ ที่มีสวนสรางสรรค วัฒนธรรมไทยและ ประวัติศาสตรไทย

สาระการเรียนรูแกนกลาง

หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน

• อิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออก • หนวยการเรียนรูที่ 3 ที่มีตอสังคมไทย วิเคราะหประเด็นสําคัญ ทางประวัติศาสตรไทย

• หนวยการเรียนรูที่ 4 • ผลงานของบุคคลสําคัญทั้งชาวไทยและ ตางประเทศที่มีสวนสรางสรรควัฒนธรรมไทย ผลงานของบุคคลสําคัญ และประวัติศาสตร ไทย เชน ในการสรางสรรคชาติไทย - พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลานภาลัย • หนวยการเรียนรูที่ 5 - พระบาทสมเด็จพระนั่งเกลาเจาอยูหัว การสรางสรรควัฒนธรรม - พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลาเจาอยูหัว - สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณ และภูมิปญญาไทย วโรรส - พระเจาบรมวงศเธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท - สมเด็จพระเจาบรมวงศเธอ พระองคเจาดิศวรกุมาร กรมพระยาดํารงราชานุภาพ - สมเด็จพระเจาบรมวงศเธอ เจาฟาจิตรเจริญ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ - หมอมราโชทัย หมอมราชวงศกระตาย อิศรางกูร - สมเด็จเจาพระยามหาศรีสรุ ยิ วงศ (ชวง บุนนาค) - บาทหลวงปาลเลอกัวซ - พระยากัลยาณไมตรี (Dr. Francis B. Sayre ดร.ฟรานซิส บี แซร) - ศาสตราจารยศิลป พีระศรี - พระยารัษฎานุประดิษฐมหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) • ปจจัยและบุคคลที่สงเสริมความสรางสรรค ภูมิปญญาไทยและวัฒนธรรมไทย ซึ่งมีผลตอ สังคมไทยในปจจุบัน เชน - พระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัวภูมิพลอดุลยเดช - สมเด็จพระนางเจาสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ - สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี - สมเด็จพระเจาพี่นางเธอ เจาฟากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร • หนวยการเรียนรูที่ 5 • สภาพแวดลอมที่มีผลตอการสรางสรรค 5. วางแผนกําหนด ภูมิปญญาและวัฒนธรรมไทย แนวทางและการมี การสรางสรรควัฒนธรรม สวนรวมการอนุรักษ • วิถีชีวิตของคนไทยในสมัยตางๆ และภูมิปญญาไทย ภูมิปญญาไทยและ • การสืบทอดและเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมไทย • แนวทางการอนุรักษภูมิปญญาและวัฒนธรรม วัฒนธรรมไทย ไทย และการมีสวนรวมในการอนุรักษ • วิธีการมีสวนรวมอนุรักษภูมิปญญาและ วัฒนธรรมไทย


คําอธิบายรายวิชา รายวิชา ประวัติศาสตรไทย ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4-6 รหัสวิชา ส…………………………………

กลุมสาระการเรียนรู สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ภาคเรียนที่ 1-2 เวลา 40 ชั่วโมง/ป

ศึกษา วิเคราะห ความสําคัญของเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตรที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลง เสร�ม ของมนุษยชาติ ขั้นตอนของวิธีการทางประวัติศาสตร คุณคาและประโยชนของวิธีการทางประวัติศาสตร 11 ที่มีตอการศึกษาทางประวัติศาสตร ประเด็นสําคัญทางประวัติศาสตรตั้งแตความเปนมาของชาติไทยสมัย กอนอาณาจักรสุโขทัยจนถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ความสําคัญของสถาบันพระมหากษัตริยตอชาติ ไทย ปจจัยที่สงเสริมการสรางสรรคภูมิปญญาไทยและวัฒนธรรมไทยซึ่งมีผลตอสังคมไทยในยุคปจจุบัน บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริยใ นการพัฒนาชาติไทยในดานตางๆ อิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออก ที่มีตอสังคมไทย ผลงานของบุคคลสําคัญทั้งชาวไทยและตางประเทศที่มีสวนสรางสรรควัฒนธรรมไทยและ ประวัติศาสตรไทย ปจจัยและบุคคลที่สงเสริมความสรางสรรคภูมิปญญาไทยและวัฒนธรรมไทยที่มีผลตอสังคม ไทยในปจจุบัน สภาพแวดลอมที่มีผลตอการสรางสรรคภูมิปญญาและวัฒนธรรมไทย การกําหนดแนวทางและ การมีสวนรวมอนุรักษภูมิปญญาไทยและวัฒนธรรมไทย โดยใชวธิ กี ารทางประวัตศิ าสตร กระบวนการคิด กระบวนการสืบคนขอมูล กระบวนการปฏิบตั ิ กระบวนการ ทางสังคม กระบวนการเผชิญสถานการณ กระบวนการแกปญหา กระบวนการกลุม เพื่ อ ให เ กิ ด ความรู  ความเข า ใจ ตระหนั ก ในความสํ า คั ญ ของการศึ ก ษาประวั ติ ศ าสตร ช าติ ไ ทย เกิดความรักความภาคภูมิใจและธํารงความเปนไทย มีคุณลักษณะที่พึงประสงคในดานรักชาติ ศาสน กษัตริย ซื่อสัตยสุจริต มีวินัย ใฝเรียนรู รักความเปนไทย มุงมั่นในการทํางาน ตัวชี้วัด ส 4.1 ส 4.3

ม.4-6/1 ม.4-6/1

ม.4-6/2 ม.4-6/2

ม.4-6/3 ม.4-6/4 รวม 7 ตัวชี้วัด

ม.4-6/5

คูม อื ครู


ตาราง

วิเคราะหมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด รายวิชา ประวัตศิ าสตรไทย ม.4-6

คําชี้แจง : ใหผูสอนใชตารางนี้ตรวจสอบความสอดคลองของเนื้อหาสาระการเรียนรูในหนวยการเรียนรูกับมาตรฐาน การเรียนรูและตัวชี้วัดชั้นป

มาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด เสร�ม

12

หนวยการเรียนรู

หนวยการเรียนรูที่ 1 : เวลา และยุคสมัย ทางประวัติศาสตรไทย

หนวยการเรียนรูที่ 2 : การสรางองคความรูใหม ทางประวัติศาสตรไทย

หนวยการเรียนรูที่ 3 : วิเคราะหประเด็นสําคัญ ทางประวัติศาสตรไทย

คูม อื ครู

สาระที่ 4

มาตรฐาน ส 4.1 ตัวชี้วัด 1

2

มาตรฐาน ส 4.3 ตัวชี้วัด 1

2

3

4

5

หนวยการเรียนรูที่ 4 : ผลงานของบุคคลสําคัญ ในการสรางสรรคชาติไทย

หนวยการเรียนรูที่ 5 : การสรางสรรควัฒนธรรม และภูมิปญญาไทย


กระตุน ความสนใจ Engage

สํารวจคนหา Explore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ Expand

ตรวจสอบผล Evaluate

˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÃÒÂÇÔªÒ¾×é¹°Ò¹

»ÃÐÇѵÈÔ Òʵà ä·Â Á.ô - Á.ö ªÑ¹é ÁѸÂÁÈÖ¡ÉÒ»‚·èÕ ô - ö

¡ÅØ‹ÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙŒÊѧ¤ÁÈÖ¡ÉÒ ÈÒÊ¹Ò áÅÐÇѲ¹¸ÃÃÁ µÒÁËÅÑ¡ÊÙµÃ᡹¡ÅÒ§¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ¢Ñé¹¾×é¹°Ò¹ ¾Ø·¸ÈÑ¡ÃÒª òõõñ

¼ÙŒàÃÕºàÃÕ§

¼ÙŒµÃǨ

ºÃóҸԡÒÃ

ÃÈ. ³Ã§¤ ¾‹Ç§¾ÔÈ ÃÈ. ÇزԪÑ ÁÙÅÈÔÅ»Š

ÃÈ. ´¹Ñ äªÂâÂ¸Ò ¹Ò§¹ÀÒÈÃÕ ¢íÒàÁ¦ ¹Ò§ÊÒǾ¨ÁÒÅ à¾ç§»Ò¹

¹ÒÂÊÁà¡ÕÂÃµÔ ÀÙ‹ÃÐ˧É

พิมพครั้งที่ ๑๑

สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ รหัสสินคา ๓๐๑๓๐๐๓

¤Œ¹¤ÇÒÁÃÙŒ¢ÂÒ¤ÇÒÁ¤Ô´¨Ò¡

¾ÔÁ¾ ¤ÃÑ駷Õè 1 ÃËÑÊÊÔ¹¤ŒÒ 3043026

EB GUIDE

ที่พิมพกํากับหัวขอสําคัญในหนังสือเรียนหลักสูตรแกนกลางฯ ผาน www.aksorn.com ไปยังแหลงความรูทั่วไทย-ทั่วโลก

คณะผูจัดทําคูมือครู ดวงใจ สุขอึ้ง


กระตุน ความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

Explain

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

¤íÒá¹Ð¹íÒ㹡ÒÃ㪌˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ประวัติศาสตรไทยเลมนี้ สรางขึ้นเพื่อใหเปนสื่อสําหรับใชประกอบ การเรียนการสอนในรายวิชาพื้นฐาน กลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นมัธยม ศึกษาปท่ี ๔ - ๖ โดยเนือ้ หาตรงตามสาระการเรียนรูแ กนกลางขัน้ พืน้ ฐาน อานทําความเขาใจงาย ใหทง้ั ความรูแ ละชวย พัฒนาผูเ รียนตามหลักสูตรและตัวชีว้ ดั เนือ้ หาสาระแบงออกเปนหนวยการเรียนรูต ามโครงสรางรายวิชา สะดวก แกการจัดการเรียนการสอนและการวัดผลประเมินผล พรอมเสริมองคประกอบอืน่ ๆ ทีจ่ ะชวยทําใหผเู รียนไดรบั à¹×éÍËҵçµÒÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹Ãٌ᡹¡ÅÒ§ ความรูอ ยางมีประสิทธิภาพ ÁÕàÊŒ¹àÇÅÒáÊ´§à˵ءÒó à¡ÃÔè¹¹íÒà¾×èÍãˌࢌÒ㨶֧ÊÒÃÐÊíÒ¤ÑÞ ãËŒ¤ÇÒÁÃÙŒáÅÐàÍ×é͵‹Í¡ÒùíÒä»ãªŒÊ͹à¾×èÍ ¨Ñ´¡ÅØ‹Áà¹×éÍËÒ໚¹Ë¹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ Êдǡᡋ¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹

นา กรมหลวงนราธิวาส๕) สมเด็จพระเจาพี่นางเธอ เจาฟากัลยาณิวัฒ ราชนครินทร

˹‹Ç¡ÒÃàÃ

Õ¹ÃÙŒ·Õè

·Ò§»ÃÐÇѵ àÇÅÒ áÅФ ÔÈÒʵà ä·Â Ø ÊÁ Ñ

»ÃÐÇ àÇÅÒáÅÐÂؤ ѵÔÈÒʵà ໚¹¡ÒÃÈÖ¡ÉÒà ÊÁÑ àÇÅ Ò໚ ¹ »‚ ·ҧ»ÃÐÇѵÔÈÒʵà ¢Öé¹ Ã×èͧÃÒǢͧÁ¹ØÉ ·Õèà¡Ô´ È »ÃÐÇѵÔÈÒʵ Ñ ¡ ÃÒª ¡Ó ˹ ´ÂØ ¤ ÊÁ à¾×èÍãËŒà¡Ô´¤ÇÒÁࢌÒ㨻 ¢Öé¹ã¹Í´Õµ ¹Ñ¡»ÃÐÇѵÔÈÒʵ Ñ ÂѧÁÕ¡ÒÃẋ à ä·ÂÁÕ¡ÒÃẋ§ÂؤÊÁÑÂ໚ ໚ ¹ ÊÁÑ Â ¡‹ Í ¹» ÃÐÇÑ µ ÃÐÇѵÔÈÒʵà Í‹ҧªÑ´à¨¹ à 䴌¡Ó˹´ §Â‹ÍÂŧä»Í ÔÈ à˵ءÒó ä´Œ Õ¡ ઋ¹ ÊÁÑ ¹ÊÁÑ¡‹Í¹»ÃÐÇѵÔÈÒʵ ÒÊ µÃ á ÅÐ ÊÁÑ Â »Ã ÐÇÑ àª‹¹ ¡Ó˹´ µ à ࡳ± ÃÇÁ· ´ÕÂÔ觢Öé¹ ã¹¡ÒÃẋ§Âؤ ÊØ⢷Ñ ÊÁÑÂÍÂظÂÒ à»š áÅÐÊÁÑ»ÃÐÇѵÔÈÒÊµÃ Ô È ÒÊ µÃ ã¹ Ñ駹ÓÈÑ¡ÃÒªÁÒã ÊÁѹѡ»ÃÐ ã¹áµ‹ÅÐÊÁÑ ÇѵÔÈÒʵ ¹µŒ¹ à¾×èÍãËŒà¢ŒÒ ªŒà¾×èÍÃкØàÇÅÒ ãËŒªÑ´à¨¹ «Öè§ Ã ä´Œ¶×ÍàÍÒÅѡɳÐà´ã¨¤ÇÒÁµ‹Íà¹×èͧ¢Í§ ¨Ðª‹ÇÂãËŒ¨´¨Ó ‹¹¢Í§ ตัวชี้วัด áÅÐࢌÒ㨻ÃÐÇ à˵ءÒó ໚¹ ѵÔÈÒʵà 䴌´ ส ๔.๑ ม.๔๖/๑ Õ¢Öé¹ ตระหนั

๒. การเสด็จประพาสทวีปยุโรป พระบา ทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว ประพาสทวีปยุโรป ๒ ครั้ง เสด็จ ครั้ ง ที่ ๑ พ.ศ. ๒๔๔๐ เพื่ อ ทอดพ ระเนต รความ เจริ ญ ของยุ โ รป ซึ ศูนยกลางของโลกในเวลานั้น และเพ ่ ง เป น ื่อหาพันธมิตรที่จะชวยรับประกันเอกราช การเจรจาทำความเขาใจกับฝรั่งเศสซึ ของไทย รวมทั้ง ่งคุกคามไทยอยางหนัก โดยเฉพาะในวิ ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖) ที่สงเรือรบตี กฤติการณ ร.ศ. ฝาปอมตางๆ ที่ปากน้ำเขามาถึงกรุ งเทพฯ ในครั้งนี้พระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว เสด็จประพาสประเทศตางๆ รวม ๑๓ ประเทศ โดยในบาง ประเทศเสด็จประพาสมากกวาหนึ่ งครั้ง และทรงใชเวลาเดินทางไปกลั บรวม ๘ เดือนเศษ ผล การเสด็จประพาสยุโรปครั้งนี้ก็ประสบค วามสำเร็จในการสรางสัมพันธไมตร ีกับรัสเซียในรัชสมัย เสนเวลา แสดงลำดับเหตุการณพระบาทสม เด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูห วั เสด็จประพาสท วีปยุ โรป ครัง้ ที่ ๑ เมือ่ พ.ศ. ๒๔๔๐

¾.È. òôôð àÁ.Â.

¾.¤. ñø ¾.¤.-ñ ÁÔ.Â. àÊ´ç¨ÊÇÔµà«Íà Ᏼ ñ-ñö ÁÔ.Â. àÊ´ç¨ÍÔµÒÅÕ ¤ÃÑ駷Õè ò

งพระปรีชาสามารถ ั นา กรมหลวงนราธวิ าสราชนครินทร ทีแ่ สดงถึ เจาฟากัลยาณิวฒ ตัวอยางบทพระนิพนธ ใน สมเด็จพระเจาพีน่ างเธอ ทางดานอักษรศาสตรของพระองค

EB GUIDE

http://www.aksorn.com/LC/Hist_Th/M4-6/21

µÑǪÕÇé ´Ñ áÅÐÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙጠ¡¹¡ÅÒ§ µÒÁ·ÕËè ÅÑ¡Êٵà ¡íÒ˹´ à¾×èÍãËŒ·ÃÒº¶Ö§à»‡ÒËÁÒÂ㹡ÒÃÈÖ¡ÉÒ

นคุณค่า ๒) การประเมินคุณค่าภายในหรือวิพากษ์วิธีภายใน เป็นการประเมิ การณ์ ในช่วง อมูลภายในหลักฐานนั้น เป็นต้นว่า มีชื่อบุคคล สถานที่ เหตุ

ของหลักฐานจากข้ เป็นของสมัยสุโขทัยแต่มีการพูดถึง เวลาที่หลักฐานนั้นทำขึ้นหรือไม่ ดังเช่น หลักฐานซึ่งเชื่อว่า ของสมัยสุโขทัยจริงหรือไม่ เพราะใน สหรัฐอเมริกาในหลักฐานนั้น ก็ควรสงสัยว่าหลักฐานนั้นเป็น ่ทำขึ้นเมื่อคนไทยได้รับรู้ว่ามี ฐานที ก หลั น จะเป็ า ่ น แต่ า ก อเมริ ฐ ระเทศสหรั ป ี สมัยสุโขทัยยังไม่ม โขทัยจริง แต่การคัดลอกต่อกันมามี ประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว หรือหลักฐานเป็นของเก่าสมัยสุ การเติมชื่อประเทศสหรัฐอเมริกาเข้าไป เป็นต้น ารณ์ สถานที่ ถ้อยคำ วิพากษ์วิธีภายในยังสังเกตได้จากการกล่าวถึงตัวบุคคล เหตุก ถ้าหากไม่ถูกต้องก็ควรสงสัยว่าเป็น เป็นต้น ในหลักฐานว่ามีความถูกต้องในสมัยนั้นๆ หรือไม่ ัติศาสตร์ ส่วนหลักฐาน หลักฐานปลอมแปลง หลักฐานที่แท้จริงเท่านั้นที่มีคุณค่าในทางประว งนั้น การประเมินคุณค่า ต้องด้วย ดั ปลอมแปลงไม่มีคุณค่าใดๆ อีกทั้งจะทำให้เกิดความรู้ที่ไม่ถูก ของหลักฐานจึงมีความสำคัญและจำเป็นมาก

มูล

๒.๔ การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และจัดหมวดหมู่ข้อ

อ เท็ จ จริ ง หรื อ ความจริ ง ใน เมื่ อ ทราบว่ า หลั ก ฐานนั้ น เป็ น ของแท้ ให้ ข้ อ มู ล ที่ เ ป็ น ข้ หรือข้อสนเทศในหลักฐานนั้นว่าให้ ประวัติศาสตร์ ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ก็จะต้องศึกษาข้อมูล หรือข้อมูลนั้นมีจุดมุ่งหมาย งใด ย พี เ ณ์ ร วามสมบู ค มี น ้ นั ล มู อ ข้ ง า ะไรบ้ อ าสตร์ ศ ิ ต ข้อมูลทางประวั วามยุติธรรมหรือไม่ จากนั้นจึงนำ เบื้องต้นอย่างไร มีจุดมุ่งหมายแอบแฝงหรือไม่ ข้อมูลมีค ารณ์ สาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ ข้อมูลทั้งหลายมาจัดหมวดหมู่ เช่น ความเป็นมาของเหตุก ความเป็นไปของเหตุการณ์ ผลของเหตุการณ์ เป็นต้น เรื่องนั้นก็จะต้องหาความ เมื่อได้ข้อมูลเป็นเรื่อง เป็นประเด็นแล้ว ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ ใดที่ซ่อนเร้น อำพราง ไม่กล่าวถึง สัมพันธ์ของประเด็นต่างๆ และตีความข้อมูลว่ามีข้อเท็จจริง หรือในทางตรงกันข้ามอาจมีข้อมูลที่กล่าวเกินความ มุมน่ารู้ เป็นจริงไปมาก ิ ต ประวั ล มู อ หาข้ ปั จ จุ บั น การค้ น ในการวิเคราะห์ สังเคราะห์ขอ้ มูล ผูศ้ กึ ษาประวัต-ิ ศาสตร์ ท างอิ น เทอร์ เ น็ ต สามารถทำได้ ศาสตร์ควรมีความละเอียดรอบคอบ วางตัวเป็นกลาง ด ระมั ง ึ พ แต่ ย า ่ จ ใช้ รวดเร็วและประหยัดค่า ต น็ เ เทอร์ น งในอิ า มีจนิ ตนาการ มีความรอบรู้ โดยศึกษาข้อมูลทั้งหลาย ระวังเพราะข้อมูลบางอย่ อาจเป็นเพียงข้อคิดเห็นมิใช่ข้อเท็จจริง หรือ อย่างกว้างขวาง และนำผลการศึกษาเรื่องนั้นที่มีแต่ เป็นข้อมูลทีย่ งั มิได้ตรวจสอบ ดังนัน้ ก่อนใช้ ง จากแหล่ อ เดิมมาวิเคราะห์เปรียบเทียบ รวมทั้งจัดหมวดหมู่ จึงควรตรวจสอบกับเอกสารหรื ข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อถือได้เสียก่อน ข้อมูลให้เป็นระบบ

ÁÔ.Â.

¡.¤. ñó-òð ¡.¤. àÊ´ç¨ÊÇÕà´¹ ¹Íà àÇÂ

ñ÷ ¡.Â.-ò µ.¤. àÊ´ç¨Íѧ¡ÄɤÃÑ駷Õè ò ò-ô µ.¤. àÊ´ç¨àºÅàÂÕÂÁ¤ÃÑ駷Õè ò ñð-ñô µ.¤. àʴ稽ÃÑè§àÈʤÃÑ駷Õè ò òñ-òó µ.¤. àÊ´ç¨â»ÃµØà¡Ê µ.¤. ¾.Â.

òù ¡.¤.-òñ Ê.¤. àÊ´ç¨Íѧ¡ÄɤÃÑ駷Õè ñ ù-ññ ¡.Â. àÊ´ç¨àºÅàÂÕÂÁ ¤ÃÑ駷Õè ñ

Ê.¤.

¡.Â.

òò Ê.¤.-ö ¡.Â. àÊ´ç¨àÂÍÃÁ¹Õ ¤ÃÑ駷Õè ñ ö-ù ¡.Â. àÊ´ç¨ à¹à¸Íà Ᏼ

๑๗๕

ññ-ñ÷ ¡.Â. àʴ稽ÃÑè§àÈÊ ¤ÃÑ駷Õè ñ ô-ù µ.¤. àÊ´ç¨àÂÍÃÁ¹Õ ¤ÃÑ駷Õè ò

ò÷ µ.¤.-ó ¾.Â. àÊ´ç¨ÍÔµÒÅÕ ¤ÃÑ駷Õè ó

¸.¤. ñö ¸.¤. ¡ÅѺ¶Ö§ ¡Ãا෾Ï

ñõ-òð µ.¤. àÊ´ç¨Ê໹

๕๘

Web Guide á¹Ð¹íÒáËÅ‹§¤Œ¹¤ÇŒÒ¢ŒÍÁÙÅ à¾ÔèÁàµÔÁ¼‹Ò¹Ãкº Online ¤íÒ¶ÒÁ»ÃШíÒ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒáÅСԨ¡ÃÃÁ ÊÌҧÊÃä ¾Ñ²¹Ò¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ¢Í§¼ÙŒàÃÕ¹ãËŒÁÕ ¤Ø³ÀÒ¾µÒÁµÑǪÕéÇÑ´

àÃ×Íè §àÅ‹Ò¨Ò¡Í´Õµ ¹Í¡à˹×ͨҡ·ÕÁè ãÕ ¹ÊÒÃÐ ¡ÒÃàÃÕ¹Ãٌ᡹¡ÅÒ§ à¾×èÍà¾ÔèÁ¾Ù¹áÅТÂÒ ¾ÃÁá´¹¤ÇÒÁÃÙŒãËŒ¡ÇŒÒ§¢ÇÒ§ÍÍ¡ä»

ÁØÁ¹‹ÒÃÙŒ à¾ÔèÁàµÔÁ¨Ò¡à¹×éÍËÒ ÁÕá·Ã¡à»š¹ÃÐÂÐæ

òó-òö ¡.¤. àÊ´ç¨à´¹ÁÒà ¡ ñ-ñò ¡.¤. àÊ´ç¨ÃÑÊà«ÕÂ

ñô-ñø ¾.¤. àÊ´ç¨ÍÔµÒÅÕ¤ÃÑé§áá

แกนกลาง

เวลาและยุค สมั ประวัติศาสตร ยทางประวัติศาสตรท ี่ปรากฏในห ตัวอยางเวล ไทย ลักฐานทาง าและยุคสมัย ทางประวัติศ ปรากฏในห ลัก าสตรของสัง คมมนุษยที่ม ความสำคัญ ฐานทางประวัตศิ าสตร ของเวลาและยุ (เชื ี คสมัยทางป อ่ มโยงกับ มฐ. ส ๔.๓) ระวัติศาสตร 

ñ÷-óð ÁÔ.Â. àÊ´ç¨ÍÍÊàµÃÕÂ-Îѧ¡ÒÃÕ

÷ àÁ.Â. àÊ´ç¨Å§ àÃ×;ÃзÕè¹Ñ觨ѡÃÕ

24

ครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๔๑๓ อังกฤษ) และชวา (ขณะนั้นเปนอาณาน เสด็จประพาสสิงคโปร (ขณะนั้นเปนอาณานิคมของ ิคมของฮอลันดา) เพื ครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๔๑๔ เสด็จประพา ่อทอดพระเนตรความเจริญ สอินเดีย (ขณะนั้นเป อังกฤษ) โดยผานทางสิงคโปร พม า (ขณะนั้นเปนอาณานิคมของอังกฤษ) นอาณานิคมของ ความเจริญ เพื่อทอดพระเนตร ครั้งที่ ๓ พ.ศ. ๒๔๓๙ เสด็จประพา สชวา ครั้งที่ ๒ โดยผานทางสิงคโปร รักษาพระองค และทอดพระเนตรความ เพื่อ เจริญ ครั้งที่ ๔ พ.ศ. ๒๔๔๕ เสด็จประพา สชวาครั้งที่ ๓ เพื่อรักษาพระองคแ พระเนตรความเจริญดวย ละทอด

สมเด็จพระเจาพี่นางเธอ เจาฟากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร ทรงมี บทบาทสำคัญในการสงเสริมการสรางสรรควัฒนธรรม น และภูมิปญญาไทยมาอยางตอเนื่องยาวนาน ดังจะเห็ อ ทุ ก ได จากการที่ พ ระองค ท รงสนพระ ทั ย อ า นหนั ง สื ประเภทโดยเฉพาะดานภาษาไทย และประวัติศาสตร สมเด็จเจาฟาฯ กรมหลวงนราธิวาสราชปนที่ นครินทรทรงพระปรีชาสามารถดานพระนิพนธเ เกี่ยว ประจักษจากผลงานอันประกอบดวย พระนิพนธ กับพระราชวงศ ๑๒ เรือ่ ง เชน แมเลาใหฟง พระราช- สมเด็จพระเจาพีน่ างเธอ เจาฟากัลยาณิวฒั นา กรม และงาน ลฯ ด มหิ ของ า ฟ า หลวงนราธิวาสราชนครินทร สมเด็จอาจารย ธิดาในรัชกาลที่ ๕ สมเด็จเจ ระ เหลานักศึกษา ศิลปะ และจุฬาลงกรณราชสันตติวงศ พระนามพ น ต น เป ดา ด ชนั และพระรา า ด ราชโอรส พระราชธิ อีกเปนจำนวนมาก เชน พระนิพนธสารคดีเชิง นอกจากนี้ยังทรงพระนิพนธหนังสือประเภทอื่นๆ งวิชาการ เปนตน ทองเที่ยว พระนิพนธแปล และพระนิพนธบทความทา

สาระการเรียนรู

กถึงความ ที่แสดงถึงการเ สำคัญของเวลาและยุ คสมั ปลี่ยนแปลงขอ งมนุษยชาต ยทางประวัติศาสตร ิ

ÊíÒ¤ÑÞã¹»ÃÐÇѵÔÈÒʵà à¾×èÍãËŒà¡Ô´¤ÇÒÁࢌÒ㨠ÁÒ¡¢Öé¹

ãËŒºÃÃÅصÑǪÕéÇÑ´ áÅÐÊÌҧ¤Ø³ÅѡɳРÍѹ¾Ö§»ÃÐʧ¤

ã¹Ë¹‹Ç·Õè¨ÐàÃÕ¹

ะวัตศิ าสตร ไทย ดับยุคสมัยกอนปร เสนเวลา แสดงลำ มนุษยรูจักใชเครื่องมือหิน ะแรกมี กะเทาะ โดยในระย น ลักษณะหยาบ เช าะ เครื่องมือหินกะเทณคดี พบที่แหลงโบรา ผาบุง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม

ยุคหินเกา ป ๗๐๐,๐๐๐-๑๐,๐๐๐

๑๐,๐๐๐ ป

ยุคหินใหม ป ๑๐,๐๐๐-๔,๐๐๐

๘,๐๐๐ ป

๔,๐๐๐ ป

๖,๐๐๐ ป

ยุคสำริ๐-ด ๔,๐๐ ๒,๕๐๐ ป

ื่องมือ หะสำริดมาทำเคร มนุษยรูจักนำโลขวาน มีด ใบหอก กลองสำริด เครื่องใช เชน ลองมโหระทึก ที่บานโคกพลับ เปนตน ดังพบกจังหวัดราชบุรี อำเภอบางแพ

Õµ

àÃ×èͧàÅ‹Ò¨Ò¡Í´

คาถาม ประจำหน่วยการเรียนรู้

รื่องมือหินขัด มนุษยรูจักทำเค เผาทั้งแบบ ทำเครื่องปนดิน เชน ภาชนะ มีขาและไมมีขาพบที่บานเกา ดินเผาสามขา หวัดกาญจนบุรี อำเภอเมือง จัง

๒,๐๐๐ ป

๑. วัฒนธรรมและภูมิปัญญามีความสำคัญอย่างไรต่อสังคม จงวิเคราะห์ ๒. สภาพภูมิศาสตร์และสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย อย่างไร ๓. นักเรียนคิดว่าคนไทยควรทำอย่างไรจึงจะสามารถส่งเสริมและอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทยไว้ได้ อย่างยั่งยืน ๔. จงยกตัวอย่างวัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทยในอดีตที่สามารถนำมาปรับใช้แก้ปัญหาใน สังคมไทยปัจจุบันได้ดีมา ๑ อย่าง ๕. ให้กล่าวถึงพระราชกรณียกิจสำคัญของพระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงส่งเสริมการสร้างสรรค์ ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยมา ๑ พระองค์

ปลวงมาแลว

ยุคเหล็ก ๒,๕๐๐ ป

อ ล็กมาทำเครื่องมื มนุษยรูจักนำเหเชน เสียม มีดขอ เครื่องใชตางๆ เปนตน ดังพบเครือ่ งมือ ใบหอก หัวธนู ชัยมงคล อำเภอตาคลี นใหม า  เหล็ก ที่บ  จังหวัดนครสวรรค

ทศไทย

าคใตของประเ

คนพบใหมทางภ

จังหวัดชุมพร ดีเขาสามแกว งๆ แหลงโบราณค า จากการขุดคน าณคดีชื่อดังจากสถาบันต อของนักโบร ุดพบหลักฐาน มมื ว ารข ก มร มี ๒ ควา โดย ๒๕๕ ย ของประเทศไท ภาพันธ พ.ศ. หิน แกวโมเสก สี พบที่ภาคใต ในชวงเดือนกุม อ ลูกปดโบราณที่เปนลูกปด ลูกปดแกวสลับ นานาชาติ ตรา คื เปนศูนย น ดี เงิ ง ถึ าณค รวม โบร ทาง ผลิต อง วณดังกลาวเคย หวัดชุมพร ระน ลงความเห็นตรงกันวา บริเ อัญมณี อุปกรณ ลูกปดทองคำ ดภาคใตตอนกลาง ตั้งแตจัง ถาบันตางๆ ปมาแลว ๐๐ ากส จ หวั ง ดี ๒,๐ จั ๕ ่ าณค ราว ที อ ่ น ้ ื ในพ ั้งแตเมื บี่ นักโบร พังงา และกระ และอัญมณีในระดับภูมิภาคต สุราษฎรธานี บ ายเครื่องประดั ผลิตและจำหน

ลูกปดโบราณ

กิจสร้กรรม างสรรค์พัฒนาการเรียนรู้ กิจกรรมที่ ๑ ให้ นั ก เรี ย นรวบรวมผลงานภู มิ ปั ญ ญาไทยตั้ ง แต่ ส มั ย สุ โ ขทั ย ถึ ง ปั จ จุ บั น คนละ ๑ ชิ้น พร้อมทั้งบอกที่มา ลักษณะสำคัญ ประโยชน์ของผลงานนั้น ทำลงในกระดาษ A๔ ตกแต่งผลงานให้สวยงาม ครูผู้สอนรวบรวมผลงาน แล้วนำมารวมเป็นเล่ม “สมุดภูมิปัญญาไทย” เพื่อใช้เป็นแหล่งข้อมูลของ ห้องเรียน กิจกรรมที่ ๒ ให้นักเรียนไปสืบค้นข้อมูลบุคคลที่ส่งเสริมการสร้างสรรค์วัฒนธรรมและ ภูมิปัญญาไทยที่มีผลต่อสังคมไทยปัจจุบันเพิ่มเติมจากหนังสือเรียน แล้วทำ เป็นรายงานส่งครูผู้สอน กิจกรรมที่ ๓ ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละเท่าๆ กัน ร่วมกันวางแผนกำหนดแนวทางการ อนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย แล้วปฏิบัติภายในเวลา ๑ สัปดาห์ กิจกรรมที่ ๔ ให้นักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น แล้วเขียนรายงานสรุป สิ่งที่ได้รับจากการเข้าร่วมกิจกรรมคนละ ๑ หน้ากระดาษ A๔

๗ 178


กระตุน ความสนใจ Engage

สํารวจคนหา Explore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ Expand

ตรวจสอบผล Evaluate

ÊÒúÑÞ Ë¹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè

ñ

àÇÅÒ áÅÐÂؤÊÁÑ·ҧ»ÃÐÇѵÔÈÒʵà ä·Â ● ● ●

àÇÅÒ ÂؤÊÁÑ áÅÐÈÑ¡ÃҪ㹻ÃÐÇѵÔÈÒʵà ä·Â ¡ÒÃẋ§ÂؤÊÁÑ·ҧ»ÃÐÇѵÔÈÒʵà ä·Â µÑÇÍ‹ҧàÇÅÒáÅÐÂؤÊÁÑ·Õè»ÃÒ¡¯ã¹ËÅÑ¡°Ò¹ ·Ò§»ÃÐÇѵÔÈÒʵà ä·Â

˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè

ò

¡ÒÃÊÌҧͧ¤ ¤ÇÒÁÃÙŒãËÁ‹·Ò§»ÃÐÇѵÔÈÒʵà ä·Â ●

● ● ●

¤ÇÒÁËÁÒ ¤ÇÒÁÊíÒ¤ÑÞ áÅлÃÐ⪹ ¢Í§ÇÔ¸Õ¡Òà ·Ò§»ÃÐÇѵÔÈÒʵà ¢Ñ鹵͹¢Í§ÇÔ¸Õ¡Ò÷ҧ»ÃÐÇѵÔÈÒʵà ËÅÑ¡°Ò¹·Ò§»ÃÐÇѵÔÈÒʵà ä·Â µÑÇÍ‹ҧ¡ÒùíÒÇÔ¸Õ¡Ò÷ҧ»ÃÐÇѵÔÈÒʵà ÁÒ㪌 㹡ÒÃÈÖ¡ÉÒ»ÃÐÇѵÔÈÒʵà ä·Â

˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè

ó

ÇÔà¤ÃÒÐË »ÃÐà´ç¹ÊíÒ¤ÑÞ·Ò§»ÃÐÇѵÔÈÒʵà ä·Â ● ● ● ● ● ● ● ●

á¹Ç¤Ô´à¡ÕèÂǡѺ¤ÇÒÁ໚¹ÁҢͧª¹ªÒµÔä·Â ÍҳҨѡÃâºÃҳ㹴Թᴹä·ÂáÅÐÍÔ·¸Ô¾Å·ÕèÁÕµ‹ÍÊѧ¤Áä·Â »˜¨¨Ñ·ÕèÁռŵ‹Í¡ÒÃʶһ¹ÒÍҳҨѡÃä·Â ¡Òû¯ÔÃÙ»ºŒÒ¹àÁ×ͧã¹ÊÁÑÂÃѪ¡ÒÅ·Õè õ ¡ÒÃà»ÅÕè¹á»Å§¡Òû¡¤Ãͧ ¾.È. òô÷õ º·ºÒ·¢Í§ÊµÃÕä·Â º·ºÒ·¢Í§Ê¶ÒºÑ¹¾ÃÐÁËÒ¡ÉѵÃÔ 㹡ÒþѲ¹ÒªÒµÔä·Â ÍÔ·¸Ô¾Å¢Í§ÇѲ¹¸ÃÃÁµÐÇѹÍÍ¡áÅеÐÇѹµ¡ ·ÕèÁÕµ‹ÍÊѧ¤Áä·Â

ñ ò ô ñô

ñù òð òñ òõ óó

ó÷ óø ôõ ôù õñ öò öù ÷ô ÷ù


กระตุน ความสนใจ Engage

สํารวจคนหา Explore

อธิบายความรู Explain

˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè

ขยายความเขาใจ Expand

ตรวจสอบผล Evaluate

ô

¼Å§Ò¹¢Í§ºØ¤¤ÅÊíÒ¤ÑÞ㹡ÒÃÊÌҧÊÃä ªÒµÔä·Â ø÷ ● ● ●

¾ÃÐÁËÒ¡ÉѵÃÔ ·ÕèÁÕº·ºÒ·ã¹¡ÒÃÊÌҧÊÃä ªÒµÔä·Â ¾ÃкÃÁǧÈÒ¹ØÇ§È ·ÕèÁÕº·ºÒ·ã¹¡ÒÃÊÌҧÊÃä ªÒµÔä·Â ¢Ø¹¹Ò§áÅЪÒǵ‹Ò§ªÒµÔ·ÕèÁÕº·ºÒ·ã¹¡ÒÃÊÌҧÊÃä ªÒµÔä·Â

˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè

õ

¡ÒÃÊÌҧÊÃä ÇѲ¹¸ÃÃÁáÅÐÀÙÁÔ»˜ÞÞÒä·Â ● ● ●

¡ÒÃÊÌҧÊÃä ÇѲ¹¸ÃÃÁä·Â ¡ÒÃÊÌҧÊÃä ÀÙÁÔ»˜ÞÞÒä·Â ¡ÒÃÊ׺·Í´áÅÐà»ÅÕè¹á»Å§¢Í§ÇѲ¹¸ÃÃÁ áÅÐÀÙÁÔ»˜ÞÞÒä·Â µÑÇÍ‹ҧ¢Í§¡ÒÃÊÌҧÊÃä ÀÙÁÔ»˜ÞÞÒä·Â ã¹»ÃÐÇѵÔÈÒʵà »˜¨¨ÑÂáÅкؤ¤Å·ÕèÊ‹§àÊÃÔÁ¡ÒÃÊÌҧÊÃä ÇѲ¹¸ÃÃÁ áÅÐÀÙÁÔ»˜ÞÞÒä·Â·ÕèÁռŵ‹ÍÊѧ¤Áä·Â»˜¨¨ØºÑ¹ ºØ¤¤Å·ÕèÁÕº·ºÒ·ã¹¡ÒÃÊ‹§àÊÃÔÁ¡ÒÃÊÌҧÊÃä ÀÙÁÔ»˜ÞÞÒ áÅÐÇѲ¹¸ÃÃÁä·Â«Öè§Áռŵ‹ÍÊѧ¤Áä·Â»˜¨¨ØºÑ¹

ºÃóҹءÃÁ

øù ññô ñòô

ñôñ ñôò ñôõ ñô÷ ñôø ñöó ñöö

ñ÷ù


กระตุน ความสนใจ Engage

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Expore

Explain

Expand

Evaluate

เปาหมายการเรียนรู

1. บอกความสําคัญของเวลาและยุคสมัยทาง ประวัติศาสตรได 2. นับและเทียบศักราชแบบตางๆ ในประวัติศาสตรไทยได 3. อธิบายการแบงยุคสมัยทางประวัติศาสตร ไทยได 4. ยกตัวอยางการใชเวลาและยุคสมัยที่ปรากฏ ในหลักฐานทางประวัติศาสตรไทยได

สมรรถนะของผูเรียน

˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè

1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแกปญ  หา

๑ àÇÅา áÅÐÂØคÊมÑÂ

คุณลักษณะอันพึงประสงค

·า§»รÐÇѵิÈาʵร ä·Â

»ÃÐÇѵÔÈÒʵà ໚¹¡ÒÃÈÖ¡ÉÒàÃ×èͧÃÒǢͧÁ¹ØÉ ·Õèà¡Ô´¢Öé¹ã¹Í´Õµ ¹Ñ¡»ÃÐÇѵÔÈÒʵà 䴌¡Ó˹´ àÇÅÒáÅÐÂؤÊÁÑ·ҧ»ÃÐÇѵÔÈÒʵà ¢Öé¹ à¾×èÍãËŒà¡Ô´¤ÇÒÁࢌÒ㨻ÃÐÇѵÔÈÒʵà Í‹ҧªÑ´à¨¹ ઋ¹ ¡Ó˹´ àÇÅÒ໚ ¹ »‚ ÈÑ ¡ ÃÒª ¡Ó˹´ÂØ ¤ ÊÁÑ Â à»š ¹ ÊÁÑ Â ¡‹ Í ¹»ÃÐÇÑ µÔ È Òʵà á ÅÐÊÁÑ Â »ÃÐÇÑ µÔ È Òʵà 㹠»ÃÐÇѵÔÈÒʵà ä·ÂÁÕ¡ÒÃẋ§ÂؤÊÁÑÂ໚¹ÊÁÑ¡‹Í¹»ÃÐÇѵÔÈÒʵà áÅÐÊÁÑ»ÃÐÇѵÔÈÒʵà ã¹áµ‹ÅÐÊÁÑ ÂѧÁÕ¡ÒÃẋ§Â‹ÍÂŧä»ÍÕ¡ ઋ¹ ÊÁÑÂÊØ⢷Ñ ÊÁÑÂÍÂظÂÒ à»š¹µŒ¹ à¾×èÍãˌࢌÒ㨤ÇÒÁµ‹Íà¹×èͧ¢Í§ à˵ءÒó ä´Œ´ÕÂÔ觢Öé¹ ã¹¡ÒÃẋ§ÂؤÊÁѹѡ»ÃÐÇѵÔÈÒʵà 䴌¶×ÍàÍÒÅѡɳÐà´‹¹¢Í§à˵ءÒó ໚¹ ࡳ± ÃÇÁ·Ñ駹ÓÈÑ¡ÃÒªÁÒ㪌à¾×èÍÃкØàÇÅÒãËŒªÑ´à¨¹ «Ö觨Ъ‹ÇÂãËŒ¨´¨ÓáÅÐࢌÒ㨻ÃÐÇѵÔÈÒʵà 䴌´Õ¢Öé¹ ตัวชี้วัด ■ ■

ส 4.1 ม.4-๖/1 ตระหนักถึงความสำคัญของเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของมนุษยชาติ

สาระการเรียนรูแกนกลาง ■

เวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ที่ปรากฏในหลักฐานทาง ประวัติศาสตร์ไทย ตัวอย่างเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ของสังคมมนุษย์ที่มี ปรากฏในหลักฐานทางประวัตศิ าสตร์ (เชือ่ มโยงกับ มฐ. ส ๔.๓) ความสำคัญของเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์

1. 2. 3. 4.

รักชาติ ศาสน กษัตริย ใฝเรียนรู มุงมั่นในการทํางาน รักความเปนไทย

กระตุน ความสนใจ

Engage

ครูใหนักเรียนดูภาพหนาหนวย แลวตั้งคําถาม ใหนักเรียนตอบ เชน • ภาพหนาหนวยเปนภาพอะไร มีอายุ อยูในยุคสมัยใด และมีความสําคัญ ทางประวัติศาสตรอยางไร (แนวตอบ เครื่องปนดินเผาบานเชียง สมัยกอนประวัติศาสตร เปนหลักฐานทาง ประวัติศาสตรที่สามารถนํามาใชในการ ศึกษาคนควาเรื่องราวของมนุษยในอดีต วามีชีวิตความเปนอยูอยางไร)

เกร็ดแนะครู ครูควรจัดการเรียนรูโดยเนนทักษะกระบวนการ เพื่อใหนักเรียนเขาใจถึง ความสําคัญของเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร สามารถนับและเทียบศักราช ในประวัติศาสตรไทยได โดยจัดกิจกรรม ดังนี้ • ยกตัวอยางขอมูลทางประวัติศาสตรที่มีศักราชตางๆ แลวใหนักเรียน ฝกเทียบศักราช • ใหนักเรียนไปสืบคนตัวอยางหลักฐานทางประวัติศาสตรไทยที่มีการใชเวลา ศักราชและยุคสมัย จากนั้นใหสรุปสาระสําคัญ

คูมือครู

1


กระตุน ความสนใจ Engage

สํารวจคนหา Explore

กระตุน ความสนใจ

อธิบายความรู Explain

การศึกษาประวัตศิ าสตร์มคี วามเกีย่ วข้องกับเวลา เพราะประวัตศิ าสตร์เป็นการศึกษาเรือ่ งราว ในอดีตของมนุษย์ทมี่ ผี ลกระทบต่อพัฒนาการของมนุษย์ในอดีตและปัจจุบนั กล่าวได้วา่ การดำรง ชีวิตของมนุษย์มีความเกี่ยวข้องกับเวลา ดังนั้น จึงมีการกำหนดระบบการบอกเวลา เช่น เช้า สาย บ่าย เย็น วัน เดือน ปี ฤดู เป็นต้น เพือ่ ให้เกิดความเข้าใจทีต่ รงกัน เวลามีความสำคัญต่อ มนุษย์มาก เช่น ใช้ในการนัดหมาย การดำเนินชีวติ การเริม่ เพาะปลูก การเก็บเกีย่ ว ถ้าการนับ เวลาผิดพลาด อาจทำให้เกิดความเสียหายได้ เช่น การนัดผิดเวลา อาจส่งผลให้การค้าเสียหาย การเริ่มเพาะปลูก การทำนาช้าไป เร็วไป ก็ทำให้พืชผลเสียหาย หรือไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ดังนั้น การนับเวลาที่ถูกต้องจึงมีความสำคัญมาก ในประวัติศาสตร์ ได้มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นมากมายในระยะเวลาหลายพันหลายร้อยปี นักประวัติศาสตร์จึงกำหนดช่วงเวลา เช่น แบ่งเวลาเป็นช่วง ๑๐ ปี หรือทศวรรษ ๑๐๐ ปี หรือ ศตวรรษ ๑,๐๐๐ ปี หรือสหัสวรรษ กำหนดเวลาเป็นปีศักราช เช่น พุทธศักราช (พ.ศ.) คริสต์ศักราช (ค.ศ.) ฮิจเราะห์ศักราช (ฮ.ศ.) และกำหนดยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ เช่น “สมัยก่อน ประวัติศาสตร์” หมายถึงเวลาที่มนุษย์ยังไม่มีตัวอักษรใช้ “สมัยประวัติศาสตร์” หมายถึงช่วงเวลา ที่มนุษย์เริ่มมีตัวอักษรใช้แล้ว การกำหนดช่วงเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ทำให้รู้ว่าเหตุการณ์ ในประวัติศาสตร์เกิดมา นานเท่าใดแล้ว หรืออยู่ในยุคสมัยใด เช่น ๑,๕๐๐ ปี, ๕๐๐ ปี, ๑๐๐ ปี หรือ ๕ ปีที่ผ่านมา อยู่ในสมัยก่อน ประวัติศาสตร์ ในสมัยสุโขทัย หรือในสมัยอยุธยา เป็นต้น นอกจากนี้เวลายังทำให้ง่ายต่อการลำดับและ เปรียบเทียบเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ว่าเหตุการณ์ ใดเกิดก่อน เกิดก่อนกี่ปี เหตุการณ์ใดเกิดทีหลัง เกิด หลังกี่ปี และจะช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์ถึงสาเหตุ และผลของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยต่างๆ ซึ่งจะ ทำให้เราเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ ได้ชัดเจนและถูกต้อง สมัยก่อนประวัติศาสตร์เป็นเวลาที่มนุษย์ยังไม่มีตัว มากยิ่งขึ้น และเวลายังใช้ในการบันทึกเพื่อบอกเล่า อักษรใช้ มนุษย์จะอาศัยอยู่ตามถ้ำหรือเพิงผา และ ดำรงชีวิตด้วยการหาของป่า ล่าสัตว์ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาแล้วอีกด้วย

Explain

2

เกร็ดแนะครู ครูใหนกั เรียนยกตัวอยางคําบอกเวลา พรอมทัง้ ใหอธิบายความหมาย เชน • ทุม วิธีนับเวลาตามประเพณีสําหรับ 6 ชั่วโมงแรกของกลางคืน ตั้งแต 19.00 น. - 24.00 น. เรียกวา 1 ทุม - 6 ทุม แต 6 ทุม นิยมเรียกวา 2 ยาม • โมง วิธีนับเวลาตามประเพณีในเวลากลางวัน ถาเปนเวลากอนเที่ยงวัน ตั้งแต 07.00 น. - 11.00 น. เรียกวา โมงเชา 4 - 5 โมงเชา ถาเปน 12 นาฬกา นิยมเรียกวา เทีย่ งวัน ถาหลังเทีย่ งวันตัง้ แต 13.00 น. - 17.00 น. เรียกวา บายโมง - บาย 5 โมง ถา 18 นาฬกา นิยมเรียกวา 6 โมงเย็น หรือยํ่าคํ่า

นักเรียนควรรู 1 ประวัติศาสตร ในภาษาอังกฤษใชคําวา History ซึ่งมาจากภาษาละตินวา “Historia” รากศัพทเดิมของคําดังกลาวนี้มาจากภาษากรีกวา “Histori หรือ Historiai” แปลวา ถัก หรือ ทอ คูมือครู

Evaluate

๑.๑ ความสำคัญ1ของเวลา และยุคสมัยทางประวัติศาสตร์

Explore

ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับเวลา ยุคสมัย และศักราชในประวัติศาสตรไทย จากนั้น สุมถามคําถามนักเรียน เชน • เวลากับประวัติศาสตรมีความสัมพันธกัน อยางไร (แนวตอบ ประวัติศาสตรเปนการศึกษา เรื่องราวในอดีตของมนุษยที่มีผลกระทบตอ พัฒนาการของมนุษยในอดีตและปจจุบัน ซึ่งมีความเกี่ยวของกับเวลา ดังนั้น จึงตอง มีการกําหนดระบบการบอกเวลาเพื่อใหเกิด ความเขาใจตรงกัน)

2

Elaborate

๑. เวลา ยุคสมัย และศักราชในประวัติศาสตร์ไทย

ครูใหนักเรียนศึกษาเกี่ยวกับเวลา ยุคสมัย และ ศักราชในประวัติศาสตรไทย จากหนังสือเรียนหนา 2-3 หรือจากแหลงเรียนรูอื่นๆ เชน หนังสือใน หองสมุด เว็บไซตในอินเทอรเน็ต เปนตน เพื่อนํามา อภิปรายรวมกันในชั้นเรียน

อธิบายความรู

ตรวจสอบผล

Engage

ครูนําภาพเหตุการณทางประวัติศาสตรไทยมา ใหนักเรียนศึกษา แลวใหบอกวาเปนเหตุการณอะไร ตรงกับเวลาหรือยุคสมัยใด เชน • ภาพสงครามยุทธหัตถี ระหวางสมเด็จ พระนเรศวรมหาราช กษัตริยอยุธยากับ พระมหาอุปราชา แมทพั พมา เมือ่ พ.ศ. 2135 • ภาพเหตุการณการเลิกทาสในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว รัชกาลที่ 5 • ภาพเหตุการณการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475

สํารวจคนหา

ขยายความเขาใจ

ขอสอบ

O-NET

ขอสอบป ’ 53 ออกเกี่ยวกับยุคสมัยทางประวัติศาสตร การเพาะปลูกของมนุษยยุคหินใหมในระยะเริ่มแรก ใชวิธีการแบบใด 1. นาดํา 2. นาหวาน 3. ไถพรวน 4. ไรเลื่อนลอย วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. ในระยะเริม่ แรกของยุคหินใหม มนุษยรจู กั เพาะปลูกโดยการทําไรแบบเลื่อนลอย คือ การถางปา เผาตนไมที่ตัดโคน แลวจึงทําการเพาะปลูกบนที่ดินดังกลาว เมื่อดินขาดความอุดมสมบูรณจึงยายไปเพาะปลูกยังที่แหงใหม


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engaae

Expore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ Expand

ตรวจสอบผล Evaluate

อธิบายความรู

1. ครูสุมใหนักเรียนอธิบายวิธีการนับศักราชแบบ ตางๆ คือ พุทธศักราช (พ.ศ.) มหาศักราช (ม.ศ.) จุลศักราช (จ.ศ.) รัตนโกสินทรศก (ร.ศ.) 2. ครูอธิบายหลักเกณฑการเทียบศักราช แบบตางๆ จากนั้นยกตัวอยางขอมูลทาง ประวัติศาสตรที่มีศักราชตางๆ แลวให นักเรียนฝกเปรียบเทียบศักราช

๑.๒ การนับและการเทียบศักราชในประวัติศาสตร์ไทย ๑) การนับศักราช ในการศึกษาประวัติศาสตร์ ไทยเราจะพบว่ามีการใช้ศักราช หลายแบบ ดังนั้น เพื่อให้สามารถศึกษาประวัติศาสตร์ ได้อย่างถูกต้อง เราจึงควรทำความเข้าใจ เกี่ยวกับวิธีการนับศักราชแบบต่างๆ ดังนี้ 1

พุทธศักราช (พ.ศ.) เปนศักราชทางพระพุทธศาสนา นิยมใชกันในหลายประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา เปนศาสนาประจำชาติ สำหรับประเทศไทยไดเริ่มใช พุทธศักราชมาตั้งแตสมัยอยุธยา ในสมัยสมเด็จพระ นารายณมหาราช และนำมาใชกันอยางแพรหลายเปน แบบอยางของทางราชการตัง้ แต พ.ศ. ๒๔๕๕ รัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลาเจาอยูหัวเปนตนมา จนกระทั่งถึงปจจุบัน

มหาศั กราช (ม.ศ.) เป น ศั ก ราชที่ พ ระเจ า กนิ ษ กะ กษัตริยอินเดียทางตอนเหนือมีพระราชดำริขึ้น จากนั้น จึงแพรหลายไปทั่วอินเดียและประเทศที่ไดรับอิทธิพล ทางอารยธรรมอินเดีย สำหรับประเทศไทยไดรับมหาศักราชผานมาทางขอมหรือเขมร ดังปรากฏหลักฐาน อยูในหลักศิลาจารึกหลักที่ ๑ สำหรับการเทียบมหาศักราชเปนพุทธศักราช ใหบวกดวย ๖๒๑

จุลศักราช (จ.ศ.) เปนศักราชที่กษัตริยของพมาสมัย อาณาจั ก รพุ ก ามทรงมี พ ระราชดำริ ขึ้ น ภายหลั ง พุ ท ธศั ก ราช ๑,๑๘๑ ป จากนั้ น ได แ พร ห ลาย เขามาโดยผานทางอาณาจักรลานนา ซึ่งจะนิยมใชกัน มากในหลักฐานทางประวัติศาสตรไทย ไมวาจะเปน สมัยสุโขทัย อยุธยา รัตนโกสินทรตอนตน และลานนา สำหรับการเทียบจุลศักราชเปนพุทธศักราช ใหบวก ดวย ๑๑๘๑

รัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.) เปนศักราชที่พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกลาเจาอยูหัวมีพระราชดำริใหบัญญัติขึ้น โดยเริ่มใชในชวงกลางรัชสมัยของพระองค ดังปรากฏ อยูในเอกสารราชการ และเลิกใช ร.ศ. ในต น สมั ย รัชกาลที่ ๖ โดยเริ่มนับปที่สถาปนากรุงรัตนโกสินทร เปนราชธานี คือ พ.ศ. ๒๓๒๕ เปน ร.ศ. ๑ สำหรับ การเทียบรัตนโกสินทรศกเปนพุทธศักราช ใหบวกดวย ๒๓๒๔

Explain

ขยายความเขาใจ

Expand

ครูใหนักเรียนไปสืบคนตัวอยางขอมูลทาง ประวัติศาสตรที่มีศักราชแบบตางๆ เพิ่มเติม แลวเทียบศักราช โดยใช พ.ศ. เปนศักราชเปรียบเทียบ จากนั้นใหนักเรียนสรุปหลักเกณฑการเทียบศักราช ลงในสมุด แลวนําสงครูผูสอน

ตรวจสอบผล

Evaluate

1. ตรวจสอบความถูกตองของการเทียบศักราช 2. ตรวจสรุปหลักเกณฑการเทียบศักราช

๒) การเทียบศักราช ศักราชแบบต่างๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในข้างต้น สามารถ

นำมาเปรียบเทียบใ ห้เป็นศักราชแบบเดียวกัน โดยสามารถดูจากตารางข้างล่าง ดังต่อไปนี้ หลักเกณฑ์การเทียบศักราช ม.ศ. + ๖๒๑ จ.ศ. + ๑๑๘๑ ร.ศ. + ๒๓๒๔

= พ.ศ. = พ.ศ. = พ.ศ.

พ.ศ. พ.ศ. พ.ศ. -

๖๒๑ ๑๑๘๑ ๒๓๒๔

= ม.ศ. = จ.ศ. = ร.ศ.

http://www.aksorn.com/LC/Hist_Th/M4-6/01

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

ถาปจุบันประเทศไทยยังใชระบบศักราชแบบรัตนโกสินทรศก (ร.ศ.) ปพุทธศักราช 2556 จะตรงกับรัตนโกสินทรศกใด 1. ร.ศ. 224 2. ร.ศ. 225 3. ร.ศ. 227 4. ร.ศ. 232

วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. ร.ศ. หรือรัตนโกสินทรศก เปน ศักราชที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัวมีพระราชดําริให บัญญัติขึ้น โดยเริ่มนับปทสี่ ถาปนากรุงรัตนโกสินทรเปนราชธานี คือ พ.ศ. 2325 เปน ร.ศ. 1 การเทียบ พ.ศ. ใหเปน ร.ศ. ใหนํา พ.ศ. ลบดวย 2324 ดังนั้น 2556-2324 = 232

EB GUIDE

เกร็ดแนะครู ครูควรนําตัวอยางเสนเวลา (Timeline) เกี่ยวกับเหตุการณในประวัติศาสตรไทย มาอธิบายเพิ่มเติม เพื่อใหนักเรียนเกิดความเขาใจเรื่องเวลาและสามารถนําขอมูล เรื่องเวลาไปวิเคราะหและเปรียบเทียบเหตุการณทางประวัติศาสตรตางๆ ไดดียิ่งขึ้น

นักเรียนควรรู 1 พุทธศักราช (พ.ศ.) จุดเริ่มตนในการนับ พ.ศ. 1 มี 2 แบบ คือ 1. แบบไทย-ลาว-เขมร เริ่ม พ.ศ.1 เมื่อพระพุทธเจาเสด็จดับขันธปรินิพพาน ไปแลว 1 ป 2. แบบลังกา-พมา-อินเดีย เริ่ม พ.ศ.1 ในปที่พระพุทธเจาเสด็จดับขันธปรินิพพาน (จึงมี พ.ศ. มากกวาไทย-ลาว-เขมร 1 ป)

คูมือครู

3


กระตุน ความสนใจ Engage

สํารวจคนหา Explore

กระตุน ความสนใจ

อธิบายความรู Explain

สมัย

ลักษณะการแบ่ง

ช่วงระยะเวลา

๑. แบ่งตาม ลักษณะเครื่องมือหิน

๑.๑ ยุคหินเก่า (ประมาณ ๗๐๐,๐๐๐ - ๑๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว) ๑.๒ ยุคหินใหม่ (ประมาณ ๑๐,๐๐๐ - ๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว)๑

เครื่องมือโลหะ

๒.๒ ยุคเหล็ก (ประมาณ ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว)

๑. แบ่งตาม ราชอาณาจักรหรือ ราชธานี

๑.๑ ๑.๒ ๑.๓ ๑.๔

สมัยก่อน ประวัติศาสตร์ ๒. แบ่งตามลักษณะ ๒.๑ ยุคสำริด (ประมาณ ๔,๐๐๐ - ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว)

Explain

๒. แบ่งตามลักษณะ สมัย ประวัติศาสตร์ การปกครอง

สมัยสุโขทัย (ราว พ.ศ. ๑๗๙๒ - พ.ศ. ๒๐๐๖) สมัยอยุธยา (พ.ศ. ๑๘๙๓ - พ.ศ. ๒๓๑๐) สมัยธนบุรี (พ.ศ. ๒๓๑๐ - พ.ศ. ๒๓๒๕) สมัยรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. ๒๓๒๕ - ปัจจุบัน)

๒.๑ สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (พ.ศ. ๑๗๙๒ - พ.ศ. ๒๔๗๕) ๒.๒ สมัยประชาธิปไตย (พ.ศ. ๒๔๗๕ - ปัจจุบัน)

๓. แบ่งตามหลักสากล ๓.๑ สมัยโบราณ (พ.ศ. ๑๗๙๒ - พ.ศ. ๒๓๙๔) ๓.๒ สมัยใหม่ หรือสมัยปรับปรุงประเทศ (พ.ศ. ๒๓๙๔ - พ.ศ. ๒๔๗๕) ๓.๓ สมัยปัจจุบัน หรือสมัยประชาธิปไตย (พ.ศ. ๒๔๗๕ - ปัจจุบัน) ๑

4

ศัพทานุกรมโบราณคดี. สำนักโบราณคดี กรมศิลปากร. ๒๕๕๐. หน้า ๔๙๕. ยุคหินกลางพบในยุโรป แอฟริกา และหลายภูมิภาคของเอเชีย ยกเว้นไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นักเรียนควรรู 1 อักษรคูนิฟอรม Cuneiform หรืออักษรรูปลิ่ม เกิดจากการใชเครื่องมือกดลง บนแผนดินเหนียวจนเกิดเปนตัวอักษรที่มีลักษณะรูปรางคลายลิ่ม 2 ชาวเมโสโปเตเมีย กลุมชนที่อาศัยอยูบริเวณดินแดนที่ชาวกรีกเรียกวา เมโสโปเตเมีย ซึง่ ตัง้ อยูร ะหวางแมนาํ้ ไทกริสและยูเฟรทีส (ปจจุบนั คือ ประเทศอิรกั ) เปนสวนหนึ่งของดินแดนรูปพระจันทรเสี้ยวอันอุดมสมบูรณ ซึ่งเปนดินแดนรูปครึ่ง วงกลมที่ทอดโคงขึ้นไปจากอาวเปอรเซีย โดยคนกลุมแรกที่สรางสรรคอารยธรรม เมโสโปเตเมีย คือ ชาวซูเมเรีย ซึ่งเปนผูประดิษฐอักษรคูนิฟอรม 3 สมัยกอนประวัติศาสตร เปนชวงเวลาที่ยังไมมีการประดิษฐตัวอักษรขึ้นใช บันทึกเรื่องราวตางๆ สวนใหญสื่อสารกันดวยกิริยาทาทาง คําพูด การศึกษา เรื่องราวสมัยกอนประวัติศาสตรจึงศึกษาจากการตั้งถิ่นฐานของชุมชนโบราณ โดยอาศัยการวิเคราะหตคี วามจากหลักฐานทางโบราณคดีประเภทเครือ่ งมือเครือ่ งใช โครงกระดูก เครื่องประดับ เปนตน คูมือครู

Evaluate

การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ไทยที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้น มักเป็นแบบผสมระหว่าง หลักเกณฑ์การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์สากลกับหลักเกณฑ์ของไทย โดยหลักเกณฑ์การ แบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์สากล จะกำหนดให้สมัยประวั 1 ติศาสตร์ของมนุษยชาติ 2 เริ่มขึ้นเมื่อ มนุษย์รู้จักประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นมาใช้ คือ อักษรคูนิฟอร์ม ของชาวเมโสโปเตเมีย เมื่อประมาณ ๕,๕๐๐ ปีล่วงมาแล้ว โดยเรียกว่า “สมัยประวั 3 ติศาสตร์” สำหรับช่วงเวลาก่อนที่มนุษย์จะมีตัว อักษรใช้ เรียกว่า “สมัยก่อนประวัติศาสตร์” นอกจากนี้ยังได้แบ่งเรื่องราวของมนุษย์ในสมัย ประวัติศาสตร์ออกเป็นยุคสมัยต่างๆ ได้แก่ ประวัติศาสตร์สมัยโบราณ ประวัติศาสตร์สมัยกลาง ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ และประวัติศาสตร์ร่วมสมัยหรือยุคร่วมสมัย สำหรั บ หลั ก เกณฑ์ การแบ่ ง ยุ ค สมั ย ของไทยจะคล้ า ยคลึ ง กั บ แบบสากลตรงที่ แ บ่ ง เป็ น สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และสมัยประวัติศาสตร์ โดยในสมัยประวัติศาสตร์ก็จะแบ่งย่อยลงไปอีก อาจใช้ราชธานีหรือลักษณะการปกครองเป็นตัวกำหนดก็ได้ ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้ ตารางแสดงการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ไทย

Explore

1. ครูตั้งประเด็นคําถามใหนักเรียนรวมกัน แสดงความคิดเห็น เชน • หลักเกณฑการแบงยุคสมัยของไทยและสากล มีความเหมือนหรือแตกตางกันอยางไร (แนวตอบ ยุคสมัยของไทยและสากลมีการ แบงยุคสมัยคลายคลึงกัน คือ แบงเปนสมัย กอนประวัติศาสตรและสมัยประวัติศาสตร แตตา งกันทีใ่ นสมัยประวัตศิ าสตรของไทย จะแบงยอยลงไป อาจใชราชธานีหรือ ลักษณะการปกครองเปนตัวกําหนด สวนสมัย ประวัติศาสตรสากลแบงเปนสมัยโบราณ สมัยใหม และสมัยปจจุบัน) 2. ครูใหอาสาสมัครนักเรียนออกมาอธิบายตาราง แสดงการแบงยุคสมัยทางประวัติศาสตรไทย ในหนังสือเรียนหนา 4 ที่หนาชั้นเรียน

4

Elaborate

๒. การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ไทย

ครูใหนักเรียนแบงกลุม 2 กลุม เพื่อศึกษา คนควาเกีย่ วกับการแบงยุคสมัยทางประวัตศิ าสตรไทย ตามประเด็น ดังนี้ กลุมที่ 1 สมัยกอนประวัติศาสตรใน ประเทศไทย กลุมที่ 2 สมัยประวัติศาสตรของประเทศไทย ใหนักเรียนแตละกลุมจัดทํารายงาน และ เตรียมตัวนําเสนอผลการศึกษาคนควาทีห่ นาชัน้ เรียน

อธิบายความรู

ตรวจสอบผล

Engage

ครูนําภาพเกี่ยวกับหลักฐานทางประวัติศาสตร ไทยมาใหนักเรียนดู เชน ขวานหิน หมอสามขา หลักศิลาจารึก เปนตน จากนั้นตั้งคําถาม กระตุนความสนใจของนักเรียน เชน • เปนหลักฐานเกี่ยวกับอะไร มีความสําคัญ อยางไร และอยูในสมัยใด

สํารวจคนหา

ขยายความเขาใจ

บูรณาการเชื่อมสาระ

ครูสามารถนําเนือ้ หาเรือ่ งการแบงยุคสมัยทางประวัตศิ าสตรไทย ไปบูรณาการเชื่อมกับกลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและ เทคโนโลยี วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สาร โดยใหนกั เรียน นําขอมูลจากตารางแสดงการแบงยุคสมัยทางประวัติศาสตรไทย ในหนังสือเรียนหนา 4 มาปรับการนําเสนอใหมเปนรูปแบบเสนเวลา หรือ Timeline เพื่อใหนักเรียนสามารถจดจําและเขาใจเกี่ยวกับ การแบงยุคสมัยทางประวัติศาสตรไทยไดดียิ่งขึ้น และใหนักเรียน ไดแสดงความคิดสรางสรรคในการออกแบบใหสวยงาม โดยใช โปรแกรมคอมพิวเตอรเขามาชวยในการออกแบบสรางสรรคชิ้นงาน


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engaae

Expore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

อธิบายความรู

1. ครูใหนักเรียนชวยกันยกตัวอยางหลักฐาน ทางประวัติศาสตรไทย พรอมบอกสถานที่พบ หลักฐานดังกลาว (แนวตอบ หลักฐานทางประวัติศาสตรที่พบใน ประเทศไทย เชน - เครื่องมือหินกะเทาะ พบที่ถํ้าหลังโรงเรียน ทับปริก อ.เมือง จ.กระบี่ - ขวานหินขัด พบที่โคกพนมดี อ.พนัสนิคม จ.ลพบุรี - ภาชนะดินเผา พบที่โคกพนมดี อ.พนัสนิคม จ.ลพบุรี) 2. นักเรียนกลุมที่ 1 สงตัวแทนออกมานําเสนอ ผลการศึกษาคนควาเรื่องสมัยกอน ประวัติศาสตรในประเทศไทยที่หนาชั้นเรียน 3. ครูใหนักเรียนบอกความแตกตางระหวาง ยุคหินเกากับยุคหินใหม (แนวตอบ ยุคหินเกา มีอายุระหวาง 700,00010,000 ปมาแลว เปนยุคที่มนุษยรูจักการใช เครื่องมือหินกรวดกะเทาะหนาเดียว สําหรับใช สับ ตัด หรือขุด สวนยุคหินใหม มีอายุระหวาง 10,000-4,000 ปมาแลว หลักฐานที่พบ เชน เครื่องมือหินขัดที่มีลักษณะดานหนึ่งคม ดานหนึ่งมน และมีผิวเรียบ ภาชนะดินเผา แบบตางๆ ทั้งแบบมีขาและไมมีขา) 4. ครูใหนักเรียนบอกลักษณะเดนของมนุษย ในยุคหินใหมวามีพัฒนาการอยางไร (แนวตอบ มนุษยรูจักทอผา สรางบานเรือนอยาง งายๆ เพาะปลูก ทําเครื่องปนดินเผา และ รูจักเลี้ยงสัตว สัตวชนิดแรกๆ ไดแก แพะ และแกะ)

๒.๑ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย สมัยก่อนประวัติศาสตร์ไทยเป็นสมัยที่ยังไม่ปรากฏหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรบนผืน แผ่นดินไทย การแบ่งยุคสมัยจะนิยมแบ่งตามนักโบราณคดี ซึ่งกำหนดจากการที่มนุษย์ในยุคนั้นๆ รู้จักประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้เพื่อการดำรงชีวิต สมัยก่อนประวัติศาสตร์ไทยสามารถแบ่งออก เป็น ๒ ยุคใหญ่ๆ ดังนี้ ๑) ยุคหิน นับเป็นยุคสมัยเริ่มแรกของมนุษย์ แบ่งออกเป็น ๒ ยุค ดังนี้ ยุคหิน

หลักฐานทางประวัติศาสตร์

๑. ยุคหินเกา มีอายุระหว่าง ๗๐๐,๐๐๐ - ๑๐,๐๐๐ ปี มาแล้ ว มนุ ษ ย์ ยุ ค หิ น เก่ า รู้ จั ก ใช้ เ ครื่ อ งมื อ หิ น กรวด กะเทาะหน้าเดียว สำหรับใช้สบั ตัด หรือขุด ซึง่ เครือ่ งมือหินดังกล่าวพบได้ ในหลายพื้นที่ของประเทศไทย เช่ น ที่ บ้ า นแม่ ท ะและบ้ า นดอนมู ล จั ง หวั ด ลำปาง ที่แหล่งโบราณคดีผาบุ้ง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ที่ บ้ า นเก่ า จั ง หวั ด กาญจนบุ รี ที่ ถ้ ำ หลั ง โรงเรี ย น ทับปริก อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ เป็นต้น ๒. ยุคหินใหม มีอายุระหว่าง ๑๐,๐๐๐ - ๔,๐๐๐ ปีมา แล้ ว จากการขุ ด ค้ น ทางโบราณคดี พบหลั ก ฐาน เครื่องมือหินขัดที่มีลักษณะด้านหนึ่งคม ด้านหนึ่งมน และมีผวิ เรียบ นอกจากนีย้ งั พบภาชนะดินเผาแบบต่างๆ ทัง้ แบบมีขาและไม่มขี าอีกด้วย สำหรับหลักฐานยุคหินใหม่ สามารถพบได้หลายแห่งทั่วทุกภาคของประเทศไทย เช่น ที่บ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี ที่บ้านเชียง จังหวัด อุดรธานี ที่โคกพนมดี อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี เป็นต้น

1

ขวานหิน พบที่แหล่งโบราณคดีบ้านพลีควาย อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา

Explain

เครื่องมือหินกะเทาะ พบที่ถ้ำหลังโรงเรียนทับปริก อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่

ขวานหินขัด พบที่โคกพนมดี อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี

ภาชนะดินเผา พบที่โคกพนมดี อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

พัฒนาการของมนุษยในการสรางและทําเพือ่ ความอยูร อดในการ ดํารงชีวติ เกิดขึ้นครั้งแรกในยุคใด 1. ยุคหินเกา 2. ยุคสําริด 3. ยุคเหล็ก 4. ยุคโลหะ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. ยุคหินเกาถือเปนยุคแรกที่มนุษย ดํารงชีวิตดวยการลาสัตว หาของปา ประดิษฐเครื่องมือเครื่องใช รูจักใชไฟทําอาหาร ประกอบพิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย ซึ่งเปน สิ่งที่มนุษยสรางและทําเพื่อความอยูรอดในการดํารงชีวิต และมี พัฒนาการเรื่อยมาตามยุคสมัยตางๆ

เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการศึกษาเรื่องราวสมัยกอนประวัติศาสตรใน ประเทศไทยวา เริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2474 โดยศาสตราจารยฟริทซ ซาราซิน (Fritz Sarasin) ไดเขามาสํารวจและขุดคนตามถํ้าตางๆ ใน จ. เชียงราย เชียงใหม ลพบุรี และราชบุรี ผลการสํารวจและขุดคนไดพบเครื่องมือหินกะเทาะทําจากหินกรวด หลายชิ้น พบเศษภาชนะดินเผา เปนตน ผูที่คนพบเครื่องมือหินกะเทาะไดตั้งชื่อ เครื่องมือหินนั้นวา ไซแอมเมียน (Siamian) ตอมาใน พ.ศ. 2480 สมเด็จพระเจาบรมวงศเธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพทรงพระนิพนธหนังสือ เรือ่ ง กอนประวัตศิ าสตร นับเปนหนังสือกอนประวัติศาสตรเลมแรกของประเทศไทย

นักเรียนควรรู 1 ขวานหิน เครื่องมือหรืออาวุธมีใชมาตั้งแตยุคกอนประวัติศาสตร ใชในการสับ ตัด ฟน หรือผา ทําจากหินกะเทาะใหเกิดคมและมีรปู รางตางๆ บางครัง้ มีการขัดผิว จนเรียบ สามารถใชโดยมีดามประกอบหรือไมมีก็ได คูมือครู 5


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engaae

Expore

อธิบายความรู

อธิบายความรู Explain

ÁØÁ¹‹ÒÃÙŒ

Elaborate

Evaluate

1

ภาชนะดินเผาแบบสามขา ยุคหินใหม่ อายุประมาณ ๔,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ ป ม าแล้ ว พบที่ บ้ า นเก่ า จั ง หวั ด กาญจนบุ รี โดยคณะสำรวจก่อนประวัติศาสตร์ไทยเดนมาร์ก เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕ พบว่ามีลักษณะที่คล้ายคลึงกับภาชนะของมนุษย์ยุคหินใหม่ที่ตำบล ลุงชานหรือหลงชาน ในมณฑลชานตุง ประเทศจีน

ภาชนะดินเผาสามขา พบที่มณฑลชานตุง ภาชนะดินเผาสามขา ประเทศจีน พบที่บ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี

๒) ยุคโลหะ แบ่งออกเป็น ๒ ยุคย่อย ดังนี้ ยุคโลหะ

หลักฐานทางประวัติศาสตร์

๑. ยุคสำริด มีอายุระหว่าง ๔,๐๐๐-๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว มนุษย์ ในยุคนี้รู้จักนำโลหะสำริดที่มีส่วนผสมของทองแดงกับดีบุก หรือ ตะกั่วมาทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ เช่น ขวาน มีด ใบหอก กลอง สำริด เครื่องประดับประเภทกำไลแขนสำริด แหวนสำริด ลูกปัด เป็นต้น โดยขุดพบหลักฐานเครื่องมือเครื่องใช้สำริดได้ในพื้นที่หลาย แห่งของประเทศไทย เช่น ทีบ่ า้ นโคกพลับ จังหวัดราชบุรี ทีบ่ า้ นนาดี ที่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี เป็นต้น โดยเฉพาะการขุดค้นทางโบราณคดีที่บ้านเชียง นอกจากจะพบ เครื่องมือสำริดแล้ว ยังพบเศษภาชนะดินเผาซึ่งมีรูปทรงแปลกตา และมีลวดลายเขียนด้วยสีแดงอย่างสวยงาม เชื่อว่าแหล่งอารยธรรม บ้านเชียงเป็นแหล่งอารยธรรมของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มี ความเจริญอยู่ในระดับสูงแห่งหนึ่งที่ปรากฏในดินแดนประเทศไทย

ขวานสำริด พบที่บ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี

๒. ยุคเหล็ก เริ่มเมื่อประมาณ ๒,๕๐๐ ปีล่วงมาแล้ว มีการ พบเครื่องมือที่ทำด้วยเหล็ก ซึ่งมีความแข็งแรง และใช้ประโยชน์ได้ มากกว่าสำริดในหลายที่ เช่น ที่บ้านดอนตาเพชร จังหวัดกาญจนบุรี พบเสียม มีดขอ ใบหอก หัวธนู ที่บ้านหนองนาตูม อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา พบใบหอก เสียม ที่บ้านใหม่ชัยมงคล อำเภอ ตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ พบขวานเหล็ก เสียมเหล็ก เป็นต้น ในยุคเหล็ก ผู้คนมีวิถีชีวิตที่เจริญขึ้น สังคมมีความซับซ้อนมาก ขึ้น มีชนชั้นทางสังคม และมีการติดต่อค้าขายกับต่างแดน แต่ใน ช่วงแรกของยุคเหล็กยังไม่ปรากฏหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร

เครื่องมือเหล็ก พบที่บ้านดอนตาเพชร อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี

EB GUIDE

นักเรียนควรรู 1 ภาชนะดินเผาแบบสามขา ภาชนะดินเผายุคกอนประวัติศาสตรประเภทหนึ่ง มีขา 3 ขา เพื่อใชในการตั้งวางเชื้อเพลิง หรือเพื่ออํานวยความสะดวกในการวาง เชื้อเพลิงสําหรับหุงตม มักพบในแหลงโบราณคดีทางภาคตะวันตกและภาคใตของ ประเทศไทย

บูรณาการอาเซียน ครูใหนักเรียนไปศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับสมัยกอนประวัติศาสตรในภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต ซึ่งเปนที่ตั้งของประเทศสมาชิกอาเซียนวา มีการแบง ยุคสมัยเหมือนหรือแตกตางจากประเทศไทยอยางไร แลวใหยกตัวอยางหลักฐาน ทางประวัติศาสตรสมัยกอนประวัติศาสตรของแตละประเทศ โดยใหทําในกระดาษ A4 พรอมมีภาพประกอบตกแตงใหสวยงาม แลวนําสงครูผูสอน คูมือครู

ตรวจสอบผล

Explain

1. ครูใหนักเรียนบอกความแตกตางระหวาง ยุคสําริดกับยุคเหล็ก (แนวตอบ ยุคสําริดมีอายุระหวาง 4,000-2,000 ป มาแลว มนุษยรูจักนําโลหะสําริดที่มีสวนผสม ของทองแดงกับดีบุกหรือตะกั่ว แลวนํามาทํา เปนเครื่องมือเครื่องใชและเครื่องประดับ) 2. ครูใหนักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็นวา เพราะเหตุใดแหลงโบราณคดีบานเชียงจึงไดชื่อ วาเปนแหลงอารยธรรมที่สําคัญของไทย (แนวตอบ แหลงอารยธรรมบานเชียงเปนแหลง อารยธรรมของมนุษยยุคกอนประวัติศาสตร ที่มีความเจริญอยูในระดับสูงแหงหนึ่งที่พบใน ดินแดนประเทศไทย โดยมีการพบเครือ่ งมือสําริด เศษภาชนะดินเผาที่มีรูปทรงแปลกตา และมี ลวดลายเขียนดวยสีแดงอยางสวยงาม) 3. ครูใหนักเรียนอธิบายวา มนุษยในยุคเหล็กมี พัฒนาการจากยุคสําริดอยางไร (แนวตอบ มนุษยมีวิถีชีวิตที่เจริญขึ้น มีการพบ เครื่องมือที่ทําดวยเหล็กที่มีความแข็งแรงและ ใชประโยชนไดมากกวาสําริด สังคมมีความ ซับซอนมากขึ้น มีชนชั้นทางสังคม และมีการ ติดตอคาขายกับดินแดนอืน่ แตยงั ไมพบหลักฐาน ที่เปนลายลักษณอักษร) 4. ครูขออาสาสมัครนักเรียนอธิบายเกี่ยวกับ ลักษณะสังคมในยุคเหล็ก (แนวตอบ สังคมยุคเหล็กมีความซับซอนมากขึ้น มีการติดตอกับตางถิ่น มีชนชั้น ดังจะเห็นได จากการฝงศพ ที่บางศพมีขาวของเครื่องใชและ เครื่องประดับมากมาย แสดงถึงการเปนบุคคล สําคัญ หรือการมีชนชั้นในสังคมนั่นเอง)

6

ขยายความเขาใจ

http://www.aksorn.com/LC/Hist_Th/M4-6/02

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET ขอใดเปนจุดเริ่มตนของยุคโลหะ 1. การหลอมดีบุก 2. การหลอมเหล็ก 3. การหลอมสําริด 4. การหลอมทองแดง

วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. การที่มนุษยรูจักหลอมทองแดง กับดีบุกหรือตะกั่วจนเปนโลหะสําริด แลวนํามาทําเครื่องมือ เครื่องใช เชน ขวาน มีด ใบหอก เครื่องประดับสําริด เปนตน นับเปนจุดเริม่ ตนของยุคโลหะ กอนทีจ่ ะพัฒนามาเปนเครือ่ งมือเหล็ก ที่มีความแข็งแรงกวาในสมัยตอมา


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engaae

Expore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

อธิบายความรู

1. ครูใหอาสาสมัครนักเรียนออกมาอธิบาย เสนเวลาแสดงลําดับยุคสมัย กอนประวัติศาสตรไทย ใหเพื่อนฟง 2. ครูใหนักเรียนอานเรื่องเลาจากอดีต เรื่อง ลูกปดโบราณคนพบใหมทางภาคใตของไทย แลวใหนักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็นวา การคนพบลูกปดโบราณดังกลาวบงบอก อะไรไดบาง และมีความสําคัญตอการศึกษา ประวัติศาสตรไทยอยางไร (แนวตอบ การขุดพบลูกปดโบราณที่เปนลูกปด หิน แกวโมเสก ลูกปดทองคํา อัญมณี อุปกรณ ผลิต รวมถึงเงินตรานานาชาติ ในพื้นที่หลาย จังหวัดทางภาคใตของไทย แสดงใหเห็นวา บริเวณดังกลาวเคยเปนศูนยผลิตและจําหนาย เครื่องประดับและอัญมณีที่สําคัญของภูมิภาค มาตั้งแตเมื่อราว 2,000 ปมาแลว) 3. ครูใหนักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็นวา เพราะเหตุใดยุคหินใหมจึงเรียกวาเปนสมัย แหงการปฏิรูปวิถีชีวิตของมนุษยสมัยกอน ประวัติศาสตร (แนวตอบ เพราะเปนชวงที่มนุษยสมัยกอน ประวัติศาสตรเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตจากการ เรรอนมาเปนการตั้งถิ่นฐานอยูบริเวณที่ราบลุม แมนํ้า ดํารงชีวิตดวยการจับสัตวนํ้าเปนอาหาร มีการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว)

เสนเวลา แสดงลำดับยุคสมัยกอนประวัตศิ าสตร ไทย มนุษย์รู้จักใช้เครื่องมือหิน กะเทาะ โดยในระยะแรกมี ลักษณะหยาบ เช่น เครื่องมือหินกะเทาะ พบที่แหล่งโบราณคดี ผาบุ้ง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ยุคหินเก่า ๗๐๐,๐๐๐-๑๐,๐๐๐ ป

มนุษย์รู้จักทำเครื่องมือหินขัด ทำเครื่องปั้นดินเผาทั้งแบบ มีขาและไม่มีขา เช่น ภาชนะ ดินเผาสามขา พบที่บ้านเก่า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี

ยุคหินใหม่ ๑๐,๐๐๐-๔,๐๐๐ ป ๑๐,๐๐๐ ป

๘,๐๐๐ ป

๖,๐๐๐ ป

๔,๐๐๐ ป

๒,๐๐๐ ป

ยุคสำริด ๔,๐๐๐๒,๕๐๐ ป มนุษย์รู้จักนำโลหะสำริดมาทำเครื่องมือ เครื่องใช้ เช่น ขวาน มีด ใบหอก 1 กลองสำริด เป็นต้น ดังพบกลองมโหระทึก ที่บ้านโคกพลับ อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี

Explain

ปลวงมาแลว

ยุคเหล็ก ๒,๕๐๐ ป

มนุษย์รู้จักนำเหล็กมาทำเครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ เช่น เสียม มีดขอ ใบหอก หัวธนู เป็นต้น ดังพบเครือ่ งมือ เหล็ก ที่บ้านใหม่ชัยมงคล อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์

àÃ×èͧàÅ‹Ò¨Ò¡Í´Õµ 2

ลูกปดโบราณคนพบใหมทางภาคใตของประเทศไทย จากการขุดค้นแหล่งโบราณคดีเขาสามแก้ว จังหวัดชุมพร โดยความร่วมมือของนักโบราณคดีชื่อดังจากสถาบันต่างๆ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒ มีการขุดพบหลักฐาน ทางโบราณคดี คือ ลูกปดโบราณที่เป็นลูกปดหิน แก้วโมเสก ลูกปดทองคำ อัญมณี อุปกรณ์ผลิต รวมถึงเงินตรานานาชาติ ลูกปดแก้วสลับสี พบที่ภาคใต้ของประเทศไทย ในพื้นที่ ๕ จังหวัดภาคใต้ตอนกลาง ตั้งแต่จังหวัดชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี พังงา และกระบี่ นักโบราณคดีจากสถาบันต่างๆ ลงความเห็นตรงกันว่า บริเวณดังกล่าวเคยเป็นศูนย์ ผลิตและจำหน่ายเครื่องประดับและอัญมณีในระดับภูมิภาคตั้งแต่เมื่อราว ๒,๐๐๐ ปมาแล้ว

ขอสอบ

O-NET

ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับยุคกอนประวัติศาสตร หากทานเขาชมพิพิธภัณฑมนุษยยุคกอนประวัติศาสตร ทานจะไมพบสิ่งใด 1. เครื่องประดับ 2. อาวุธหินกะเทาะ 3. แผนศิลาจารึก 4. หมอดินเผาสามขา วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. จะไมพบแผนศิลาจารึก เพราะ แผนศิลาจารึกเปนหลักฐานสมัยประวัติศาสตร ซึ่งเปนสมัยที่ มนุษยมีตัวอักษรใช สวนสมัยกอนประวัติศาสตรเปนชวงเวลาที่ มนุษยยังไมมีตัวอักษรใช

เกร็ดแนะครู ครูใหนักเรียนไปคนหาขาวเกี่ยวกับการคนพบหลักฐานทางประวัติศาสตร แหลงใหมๆ ในประเทศไทย จากแหลงเรียนรูตางๆ เชน หนังสือพิมพ เว็บไซต ในอินเทอรเน็ต เปนตน แลวสรุปสาระสําคัญจากขาวดังกลาว จากนั้นนําขอมูลมา อภิปรายรวมกันในชั้นเรียน

นักเรียนควรรู 1 กลองมโหระทึก กลองหลอจากสําริดเพื่อใชในการประกอบพิธีกรรม ลักษณะ ทรงกระบอก สวนบนและสวนลางผายออก ที่หนากลองมีลวดลายประดับ เชน รูปพระอาทิตย เรือ เปนตน 2 ลูกปด เครื่องประดับทําจากวัสดุตางๆ เชน หิน แร กระดูก ฟน เขี้ยวสัตว เปลือกหอย ทองคํา สําริด เปนตน นํามาขัดฝนหรือหลอใหเปนรูปลักษณตางๆ กัน มีรูรอยดายหรือเชือกเปนเสน เพื่อประดับตกแตงรางกายหรือสิ่งของ คูมือครู 7


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engaae

Expore

อธิบายความรู

อธิบายความรู Explain

Elaborate

Evaluate

๒.๒ สมัยประวัติศาสตร์ของประเทศไทย หลักฐานเกี่ยวกับการเริ่มสมัยประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นสมัยที่เริ่มมีตัวอักษรใช้ ในดินแดน ประเทศไทยที่เก่าแก่ที่สุด คือ ศิลาจารึก ซึ่งพบในหลายๆ ที่ที่มีอายุอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน เช่น ที่ศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ซับจำปา จังหวัดลพบุรี แต่จารึก1ที่ปรากฏศักราชชัดเจนที่สุด พบที่ปราสาท เขาน้อย จังหวัดสระแก้ว ระบุศักราช ๕๕๙ ซึ่งเป็น มหาศักราช 2หรือตรงกับ พ.ศ. ๑๑๘๐ จารึกด้วย อักษรปัลลวะ เป็นภาษาสันสกฤตและเขมร สำหรับ สมัยประวัติศาสตร์ในดินแดนไทยนิยมแบ่งดังนี้ ๑) สมัยอาณาจักรโบราณ หรือสมัย ก่อนสุโขทัย ดินแดนที่ตั้งของประเทศไทยในปัจจุบัน ในอดี ต มี อาณาจั กรตั้ ง อยู่ ห ลายอาณาจั กร แต่ จาก เหรียญเงินด้านหนึง่ มีอกั ษรจารึกเป็นภาษาสันสกฤตว่า “ศรีทวารวตี ศวรปุณยะ” อีกด้านเป็นลายหม้อน้ำ หลั ก ฐานทางประวั ติ ศ าสตร์ อาณาจั กรเก่ า แก่ ที่ สุ ด พบที่จังหวัดนครปฐม น่าจะอยูบ่ ริเวณภาคกลางของดินแดนไทย คือ อาณาจักรทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๖) ซึ่งมีศูนย์กลาง ในเขตจังหวัดนครปฐม3 โดยพบเหรียญเงินที่มีจารึกว่า “ศรีทวารวตี ศวรปุณยะ” สำหรับอาณาจักรโบราณอืน่ ๆ เช่น ละโว้ (พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๘) ตามพรลิงค์ (พุทธศตวรรษที่ ๗-๑๙) ศรีวิชัย (พุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๙) เป็นต้น ๒) สมัยสุโขทัย (ราว พ.ศ. ๑๗๙๒ ๒๐๐๖) เริ่มตั้งแต่การสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย จน สุโขทัยรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยา สมั ย สุ โ ขทั ย เป็ น ช่ ว งที่ มี การสร้ า งสรรค์ อารยธรรม หลายประการ เช่น การประดิษฐ์ตัวอักษรไทย การรับ นับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท การจัดระเบียบ การปกครอง การสร้างสรรค์ศิลปะแบบสุโขทัย เช่น เจดียท์ รงดอกบัวตูม (หรือทรงพุม่ ข้าวบิณฑ์) พระพุทธศิลาจารึกสุโขทัย หลักที่ ๒ หรือศิลาจารึกวัดศรีชุม พบที่วัดศรีชุม อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย รูปปางลีลา เป็นต้น 8

นักเรียนควรรู 1 ปราสาทเขานอย เปนศาสนสถานของศาสนาฮินดู โดยเปนอาคารกออิฐ ไมผสมปูน 3 หลัง พังทลายเหลือแตปรางคองคกลางกับเนินดินอีก 2 เนิน บริเวณ โบราณสถานพบโบราณวัตถุหลายชิ้น เชน ทับหลังศิลปะเขมร จารึกระบุมหาศักราช 559 เสาประดับกรอบประตู ศิลปะเขมร ประติมากรรมรูปบุคคลมี 4 กร นอกจากนี้ ยังพบทับหลัง 4 ชิ้นที่ปราสาทองคทิศเหนือบริเวณหนาซุมประตู เปนศิลปะเขมรแบบตางๆ และพบโบราณวัตถุทําจากหินทรายจํานวนมาก เชน ศิวลึงค ประติมากรรมรูปบุคคล เครื่องปนดินเผา เครื่องโลหะ เปนตน 2 อักษรปลลวะ รูปแบบอักษรที่ไดรับการพัฒนาขึ้นมาในอินเดียและแพรเขามา ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใตจนกลายเปนตนแบบของอักษรเกือบทั้งหมดใน ภูมิภาคนี้ 3 ศรีทวารวตี ศวรปุณยะ นักประวัติศาสตรหลายทานไดใหความหมายวา “การบุณยของพระเจาศรีทวารวดี” คูมือครู

ตรวจสอบผล

Explain

1. ครูใหกลุมที่ 2 สงตัวแทนออกมานําเสนอ ผลการศึกษาคนควาเรื่องสมัยประวัติศาสตร ของประเทศไทย 2. ครูถามนักเรียนวาสมัยประวัติศาสตรของ ประเทศไทยเริ่มขึ้นเมื่อใด (แนวตอบ เริ่มเมื่อปลายพุทธศตวรรษที่ 12 เนือ่ งจากมีการพบศิลาจารึกหลายแหงทีม่ อี ายุอยู ในชวงเวลาเดียวกัน เชน ทีศ่ รีเทพ จ. เพชรบูรณ ที่ซับจําปา จ. ลพบุรี แตจารึกที่ปรากฏศักราช ชัดเจนที่สุด พบที่ปราสาทเขานอย จ.สระแกว ระบุศักราช 559 ซึ่งเปนมหาศักราช หรือ ตรงกับ พ.ศ.1180 จารึกดวยอักษรปลลวะ เปนภาษาสันสกฤตและเขมร) 2. ครูใหนักเรียนสรุปการแบงสมัยประวัติศาสตร ของประวัติศาสตรไทย (แนวตอบ สมัยประวัติศาสตรแบงตามราชธานี และแบงตามราชวงศการปกครอง คือ • แบงตามราชธานีเริ่มตนตั้งแตสมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา สมัยธนบุรี และสมัยรัตนโกสินทร • แบงตามราชวงศที่ปกครอง เชน สมัยอยุธยา แบงเปน 5 ราชวงศ คือ อูทอง สุพรรณภูมิ สุโขทัย ปราสาททอง และบานพลูหลวง) 3. ครูใหนักเรียนชวยกันยกตัวอยางอาณาจักร โบราณในดินแดนประเทศไทยสมัยกอนสุโขทัย พรอมบอกระยะเวลาและที่ตั้งของอาณาจักร ดังกลาว (แนวตอบ อาณาจักรโบราณที่สําคัญ เชน • อาณาจักรทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 11-16) มีศูนยกลางในเขต จ.นครปฐม) • อาณาจักรละโว (พุทธศตวรรษที่ 12-18) ตัง้ อยูบ ริเวณลุม แมนาํ้ เจาพระยาฝง ตะวันออก หรือ จ.ลพบุรีในปจจุบัน • อาณาจักรตามพรลิงค (พุทธศตวรรษที่ 7-19) มีศูนยกลางอยูที่ จ.นครศรีธรรมราช)

8

ขยายความเขาใจ

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

สมัยสุโขทัยตรงกับสมัยประวัติศาสตรสากลในขอใด 1. สมัยกลางหรือยุคมืด 2. สมัยแหงสงครามเพโลพอนนีเชียน 3. สมัยจักรวรรดิโรมันตะวันตกลมสลาย 4. สมัยจักรพรรดิคอนสแตนตินแหงโรมัน วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. สมัยสุโขทัยตรงกับ พ.ศ. 17922006 หรือ ค.ศ. 1249-1463 ซึ่งตรงกับสมัยกลาง ค.ศ. 476-1492 เปนระยะเวลาที่ชาวยุโรปซึ่งมีชีวิตอยูในชวงคริสตศตวรรษที่ 16 เห็นวาเปนยุคมืดทีแ่ สงของอารยธรรมกรีก-โรมันหายไป ทัง้ ยังถูกชีน้ าํ โดยศาสนจักรคาทอลิกที่มีสันตะปาปาเปนผูนํา และตกอยูใตระบอบ การปกครองแบบฟวดัล อํานาจการปกครองถูกกระจายอยูในมือของ ขุนนางและอัศวินทองถิ่น สวนชาวไรชาวนาตางสูญเสียอิสรภาพและ กลายเปนทาสติดที่ดิน


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engaae

Expore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

อธิบายความรู 1

๓) สมัยอยุธยา (พ.ศ. ๑๘๙๓ - ๒๓๑๐) เมื่ออาณาจักรสุโขทัยเสื่อมอำนาจ

คนไทยทางลุ่มน้ำเจ้าพระยาได้ตั้งอาณาจักรใหม่ คือ อยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๓ ซึ่งยืนยาวถึง ๔๑๗ ปี จนถึง พ.ศ. ๒๓๑๐ อยุธยาจึงเสื่อมอำนาจลง สมัยอยุธยาเป็นสมัยที่มีการสร้างความ เป็นปึกแผ่นของคนไทย มีการสร้างสมมรดกของชาติ ที่สำคัญในทุกๆ ด้าน ทั้งนี้นักประวัติศาสตร์ได้แบ่ง สมัยอยุธยาออกเป็นสมัยย่อยๆ๒ อีก ดังนี้ (๑) สมัยการวางรากฐานอำนาจและเสริม สรางความมั่นคง (พ.ศ. ๑๘๙๓ - ๑๙๙๑) คือ สมัย สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (อู่ทอง) ถึงสมัยสมเด็จ พระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) ซึ่งถือเป็น ช่วงเวลาเริ่มต้น อาณาจักรยังมีขนาดเล็ก การบริหาร จึงเป็นการพยายามทำให้อาณาจักรมั่นคงเข้มแข็ง พระบรมรูปสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (อูท่ อง) ปฐมกษัตริย์ กรอยุธยา เมือ่ พ.ศ. ๑๘๙๓ ประดิษฐาน โดยการเป็นพันธมิตรกับขอมหรือเขมรในระยะแรก ผูณส้ ถาปนาอาณาจั หน้าศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยาหลังเดิม ต่อมาเมื่อขอมเปลี่ยนท่าทีจากการเป็ 2 นมิตรหรือเอาใจ ออกห่าง อยุธยาจึงยกทัพไปตีขอม นอกจากนั้นยังมี การติดต่อค้าขายกับต่างประเทศโดยเฉพาะกับจีน (๒) สมัยที่มีอำนาจทางการเมืองและมี ความรุงเรืองทางเศรษฐกิจ (พ.ศ. ๑๙๙๑ - ๒๒๓๑) คื อ สมั ย สมเด็ จ พระบรมไตรโลกนาถจนถึ ง สมั ย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นช่วงเวลาที่อยุธยามี การปกครองที่มั่นคงเป็นระบบยิ่งขึ้น และมีการติดต่อ ค้าขายกับต่างชาติอย่างกว้างขวาง ทั้งในทวีปเอเชีย และยุโรป แม้ว่าไทยจะเสียกรุงศรีอยุธยาในครั้งที่ ๑ แต่ก็เป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ และก็สามารถฟื้นตัวได้ ต รกรรมฝาผนั ง แสดงเหตุ ก ารณ์ ส มเด็ จ พระนเรศวร อย่างรวดเร็ว สมัยนี้มีกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่หลายพระองค์ จิมหาราชทรงหลั ่งน้ำทักษิโณทก ประกาศอิสรภาพไม่ขึ้น ได้ แ ก่ สมเด็ จ พระบรมไตรโลกนาถ สมเด็ จ พระ กับกรุงหงสาวดีของพม่า เมือ่ พ.ศ. ๒๑๒๗ ในพระวิหาร วัดสุวรรณดาราราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นเรศวรมหาราช และสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ๒

วุฒชิ ยั มูลศิลป. “กรุงศรีอยุธยา” ในสารานุกรมประวัตศิ าสตร์ไทย เล่ม ๑ อักษร ก ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๔๙ หน้า ๑๘๐-๑๘๖.

กิจกรรมสรางเสริม ครูใหนักเรียนศึกษาคนควาเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติศาสตรใน สมัยอยุธยาในแตละสมัย ตั้งแตสมัยการวางรากฐานอํานาจและ เสริมสรางความมั่นคง สมัยที่มีอํานาจทางการเมืองและมีความ รุงเรืองทางเศรษฐกิจ และสมัยเสื่อมอํานาจ จากนั้นใหจัดทํา เสนเวลาแสดงเหตุการณสําคัญทางประวัติศาสตรในสมัยอยุธยา โดยใหเลือกทํา 1 สมัย

กิจกรรมทาทาย ครูมอบหมายใหนักเรียนสรุปผังมโนทัศนเกี่ยวกับสมัยการวาง รากฐานอํานาจและเสริมสรางความมั่นคง พ.ศ. 1893-1991 สมัยที่มีอํานาจทางการเมืองและความรุงเรืองทางเศรษฐกิจ และ สมัยเสื่อมอํานาจ โดยใหเลือกทํา 1 หัวขอ

Explain

1. ครูใหนักเรียนยกตัวอยางพระมหากษัตริยที่มี บทบาทสําคัญในสมัยอยุธยา พรอมบอกวามี บทบาทอยูในชวงเวลาใด และมีบทบาทสําคัญ อยางไร (แนวตอบ พระมหากษัตริยท มี่ บี ทบาทสําคัญ เชน • สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (อูท อง) ครองราชย พ.ศ.1893-1912 เปนปฐมกษัตริยผูสถาปนา อาณาจักรอยุธยา • สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ครองราชย พ.ศ.1991-2031 กษัตริยผูปฏิรูปการปกครอง ของไทยทีใ่ ชมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทรตอนตน • สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ครองราชย พ.ศ. 2133-2148 กษัตริยผูประกาศเอกราช ใหกับกรุงศรีอยุธยา และทําสงครามปกปอง ราชอาณาจักรใหปลอดภัยและมั่นคง • สมเด็จพระนารายณมหาราช ครองราชย พ.ศ. 2199-2231 กษัตริยผูทรงใชนโยบาย ทางการทูตในการรักษาเอกราชของ บานเมือง) 2. ครูใหนักเรียนอธิบายวา สมัยการวางรากฐาน อํานาจและเสริมสรางความมั่นคง พ.ศ. 1893-1991 มีความสําคัญอยางไร (แนวตอบ สมัยที่เริ่มกอตั้งอาณาจักร จึงเปน การพยายามทําใหอาณาจักรมั่นคงแข็งแรง โดยการเปนพันธมิตรกับขอมในระยะแรก และยังสงเสริมการติดตอคาขายกับตางชาติ เพื่อสรางวางรากฐานอาณาจักรใหมั่นคง) 3. ครูถามนักเรียนวา เพราะเหตุใดใน พ.ศ. 1991-2231 จึงเปนสมัยที่อยุธยามีอํานาจ ทางการเมืองและความเจริญรุง เรืองทางเศรษฐกิจ (แนวตอบ เนื่องจากเปนชวงเวลาที่อยุธยามีการ ปกครองที่มั่นคงเปนระบบยิ่งขึ้น และมีการ ติดตอคาขายกับตางชาติอยางกวางขวาง ทั้งในทวีปเอเชียและยุโรป จึงทําใหอยุธยา มีความมั่นคงและมั่งคั่ง)

เกร็ดแนะครู ครูอาจนําภาพยนตรเรื่องพระสุริโยทัยหรือตํานานสมเด็จพระนเรศวร มาให นักเรียนดู แลวใหนกั เรียนรวมกันอภิปรายและแสดงความคิดเห็นเกีย่ วกับสาระสําคัญ ทางประวัติศาสตรที่ไดรับจากการชมภาพยนตร

นักเรียนควรรู 1 สมัยอยุธยา สมัยที่ดินแดนไทยถูกปกครองโดยอาณาจักรซึ่งมีราชธานีอยูที่ กรุงศรีอยุธยา สมัยอยุธยามีอายุยาวนานถึง 417 ป มีพระมหากษัตริยปกครอง ทั้งหมด 33 พระองค 2 ขอม คําวา “กรอม” “กรอม” เพี้ยนมาจากคําภาษาเขมรวา “โกรม” แปลวา ใต และคําที่เขียนวา “กรอม” นี้ ชาวลานนาอานออกเสียงเปน “ขอม” สวนคนไทย ภาคกลางออกเสียงเปน “กรอม” คูมือครู

9


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engaae

Expore

อธิบายความรู

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Elaborate

Evaluate

Explain

1. ครูถามนักเรียนวา การแบงสมัยอยุธยาออกเปน สมัยยอยๆ มีขอดีอยางไร (แนวตอบ ทําใหเห็นลักษณะสําคัญของ ประวัติศาสตรอยุธยาและพัฒนาการ ทางประวัติศาสตรสมัยอยุธยาไดอยางชัดเจน ตั้งแตสมัยการวางรากฐานอํานาจและเสริมสราง ความมั่นคง สมัยที่มีอํานาจทางการเมืองและ มีความรุงเรืองทางเศรษฐกิจ และสมัยเสื่อม อํานาจ จึงทําใหเขาใจประวัติศาสตรสมัยอยุธยา ไดดียิ่งขึ้น) 2. ครูใหนักเรียนแสดงความคิดเห็นวา การแบง สมัยอยุธยาตามราชวงศที่ปกครอง มีขอดี อยางไร (แนวตอบ ทําใหเห็นไดชัดวาอยุธยาอยูภายใต การปกครองของราชวงศใด ราชวงศใดปกครอง ยาวนานที่สุด และสามารถเปรียบเทียบไดวา ในสมัยราชวงศใดที่อยุธยาเจริญรุงเรืองและ เสื่อมอํานาจ) 3. ครูใหนักเรียน 2-3 คน ชวยกันสรุปความสําคัญ ของสมัยธนบุรี (แนวตอบ เปนสมัยกอบกูอิสรภาพของบานเมือง หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยา จึงมีการฟนฟู ประเทศในหลายดาน เชน การฟนฟูพระพุทธศาสนา ศิลปกรรม เปนตน และมีการฟนฟู ความสัมพันธกับจีนเพื่อประโยชนทางการคา และเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังตองมีการทํา สงครามกับพมาตลอดเวลา)

(๓) สมัยเสื่อมอำนาจ (พ.ศ. ๒๒๓๑ - ๒๓๑๐) คือ จากสมัยสมเด็จพระเพทราชา ถึงสมัยสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์1 อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศ) นับเป็นช่วงเวลาที่อยุธยามีความเข้ม แข็งน้อยลง เนื่องจากเกิดกบฏภายในมีการแย่งชิงอำนาจกันหลายครั้ง และถูกข้าศึกโจมตีจนเสีย กรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ซึ่งเป็นการสิ้นสุดสมัยอยุธยา การแบ่งเป็นสมัยย่อยข้างต้นทำให้เห็นลักษณะสำคัญของประวัติศาสตร์อยุธยาได้ ชัดเจน และเข้าใจได้ดี แต่มีนักประวัติศาสตร์บางท่านก็จัดแบ่งในลักษณะอื่นด้วย เช่น แบ่งตาม ราชวงศ์ที่ปกครอง ดังนี้ สมัย

ช่วงเวลา

๑. สมัยราชวงศ์อู่ทอง ๒. สมัยราชวงศ์สุพรรณภูมิ 2 ๓. สมัยราชวงศ์สุโขทัย ๔. สมัยราชวงศ์ปราสาททอง ๕. สมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวง

พ.ศ. ๑๘๙๓ - ๑๙๑๓ และ พ.ศ. ๑๙๓๑ - ๑๙๕๒ พ.ศ. ๑๙๑๓ - ๑๙๓๑ และ พ.ศ. ๑๙๕๒ - ๒๑๑๒ พ.ศ. ๒๑๑๒ - ๒๑๗๓ พ.ศ. ๒๑๗๓ - ๒๒๓๑ พ.ศ. ๒๒๓๑ - ๒๓๑๐

การแบ่งดังกล่าวข้างต้น ทำให้เห็นได้ชัดว่าอยุธยาอยู่ภายใต้การปกครองของ ราชวงศ์ใดบ้าง ราชวงศ์ใดปกครองยาวนานที่สุด และอาจเปรียบเทียบว่าในสมัยราชวงศ์ใดที่ อยุธยารุ่งเรืองหรือเสื่อมอำนาจ

๔) สมั ย ธนบุ รี (พ.ศ. ๒๓๑๐ -

๒๓๒๕) เป็นสมัยกอบกู้อิสรภาพของบ้านเมืองหลัง

3

สมุ ด ภาพไตรภู มิ เ ป็ น วรรณกรรมทางพระพุ ท ธศาสนาที่เขียนขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราช

จากเสียกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ เพื่อทำให้ บ้านเมืองเป็นปึกแผ่นมีอำนาจขึ้นมาใหม่ มีการฟื้นฟู พระพุทธศาสนา ศิลปกรรม วรรณกรรม เช่น สมเด็จ พระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดฯ ให้เขียนสมุดภาพไตรภูมิ ทรงให้ฟื้นฟูละครหลวงขึ้นใหม่ ทรงประพันธ์บทละคร รามเกียรติ์ ในด้านเศรษฐกิจ ทรงฟื้นฟูความสัมพันธ์ กั บ จี น เพื่ อ ผลประโยชน์ ท างการค้ า และการฟื้ น ฟู เศรษฐกิจ นอกจากนี้ในสมัยธนบุรียังเป็นสมัยที่มีการ ทำสงครามกับพม่าเกือบตลอดเวลา และขยายอำนาจ ไปยังล้านนา ล้านช้างอีกด้วย

10

นักเรียนควรรู 1 กบฏ การประทุษรายตออาณาจักร ความทรยศ กบฏทีส่ าํ คัญ คือ กบฏธรรมเถียร และกบฏบุญกวาง ในสมัยสมเด็จพระเพทราชา 2 ราชวงศสุโขทัย หรือราชวงศพระรวง เปนราชวงศที่สถาปนาขึ้นโดย พอขุนศรีอินทราทิตย ปฐมกษัตริยแหงกรุงสุโขทัย เชื้อสายของวงศพระรวงสืบทอด ยาวนานตลอดสมัยสุโขทัย จนตกอยูภายใตการปกครองของอยุธยา พระมหากษัตริย ทีส่ าํ คัญของราชวงศสโุ ขทัยในสมัยอยุธยา เชน สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จ พระเจาทรงธรรม เปนตน 3 สมุดภาพไตรภูมิ สมเด็จพระเจากรุงธนบุรีไดทรงพระกรุณาโปรดเกลาฯ ใหชางเขียนขึ้นใน พ.ศ. 2319 โดยใหชางไปเขียนในสํานักสมเด็จพระสังฆราช (สี) วัดบางวาใหญ และใหสมเด็จพระสังฆราชทรงกํากับการเขียนใหถูกตรงตาม ภาษาบาลี และคัดภาษาบาลีลงกํากับภาพไวใหเปนที่เขาใจโดยชัดเจน

10

คูมือครู

กิจกรรมสรางเสริม ครูใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับราชวงศที่ปกครอง กรุงศรีอยุธยาวา ในแตละราชวงศประกอบดวยพระมหากษัตริย พระองคใดบาง พรอมบอกระยะเวลาในการครองราชย โดยให จัดทําเปนแบบตารางหรือแบบผังมโนทัศน เพื่อใหนักเรียนเห็น ภาพรวมและจดจําขอมูลไดดียิ่งขึ้น

กิจกรรมทาทาย ครูใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติศาสตรไทยสมัย อยุธยา จากนั้นใหสรุปวา สมัยอยุธยาปกครองโดยราชวงศใดบาง มีระยะเวลาปกครองนานแคไหน และสมัยราชวงศใดที่มีความ เจริญรุงเรืองหรือเสื่อมอํานาจ โดยใหบันทึกลงในกระดาษ A4


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engaae

Expore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

อธิบายความรู ๕) สมัยรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. ๒๓๒๕ - ปจจุบัน)

เริ่มจากสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟาจุฬาโลกมหาราชจนกระทั่ง ปัจจุบัน ซึ่งแบ่งเป็นสมัยย่อยได้ ดังนี้ (๑) สมัยรัตนโกสินทรตอนตน (พ.ศ.๒๓๒๕ - ๒๓๙๔) ในช่วงเวลา ๓ รัชกาลแรก คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธ ยอดฟาจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ ๑) พระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) และพระบาท สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) เป็นสมัยของ การฟื้นฟูประเทศต่อจากสมัยธนบุรี หรือเรียกกันว่า “สมัยการทำให้เหมือนเมื่อครั้งที่บ้านเมืองดี” คือ ให้ เหมือนสมัยอยุธยาในเวลาที่บ้านเมืองสงบสุข พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า สมั ย รั ต นโกสิ น ทร์ ต อนต้ น เป็ น ช่ ว งที่ มี การฟื้ น ฟู เจ้ า อยู่ หั ว ณ ลานพลั บ พลามหาเจษฎาบดิ น ทร์ กรุงเทพมหานคร ในสมัยของพระองค์มีการฟนฟู บ้านเมืองให้มีความเจริญก้าวหน้าโดยเฉพาะทาง บ้านเมืองในทุกด้าน เช่น ด้านการเมืองการปกครอง ด้านเศรษฐกิจ รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้ชำระกฎหมาย เรียกกัน 1 ว่า กฎหมายตราสามดวง ทรงให้ขุดคลองรอบกรุง สร้างปอมปราการและกำแพงพระนคร ทรง ทำสงครามเพื่อสร้างความมั่นคงแก่บ้านเมือง รัชกาลที่ ๒ ทรงตรากฎหมายห้ามสูบฝน ใน พ.ศ. 2 ๒๓๕๔ และ พ.ศ. ๒๓๖๒ รัชกาลที่ ๓ ทรงทำสัญญาทางพระราชไมตรีและการค้ากับอังกฤษ ด้านสังคมและวัฒนธรรม รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระบรมมหาราชวังและวัดให้มีรูปแบบเหมือนสมัยอยุธยา ทรงให้สังคายนาพระไตรปฎก ออกกฎหมาย คณะสงฆ์ ทรงฟื้นฟูพระราชพิธีสมัยอยุธยา เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ทรงส่งเสริม วรรณกรรมทั้งทรงมีพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ และโปรดเกล้าฯ ให้แปลหนังสือจีนเป็น ภาษาไทย เช่น สามกก รัชกาลที่ ๒ ทรงบูรณะวัดอรุณราชวราราม ทรงฟื้นฟูพระราชพิธี วิสาขบูชา ทรงส่งเสริมด้านศิลปกรรมและวรรณกรรม รัชกาลที่ ๓ ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ทรงสร้างและบูรณะวัดจำนวนมาก (๒) สมัยรัตนโกสินทรยุคปรับปรุงประเทศ (พ.ศ. ๒๓๙๔ - ๒๔๗๕) ในช่วงเวลา ๔ รัชกาลต่อมา คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗) ถึง พ.ศ. ๒๔๗๕ สมัยการเปลี่ยนแปลงการ ปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย และเป็นสมัยของการปฏิรูปประเทศให้ทันสมัย 11

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

ขอใดเปนการฟนฟูบานเมืองดานการเมืองการปกครองในสมัย รัชกาลที่ 1 1. ทําสนธิสัญญาเบอรนีย 2. กฎหมายตราสามดวง 3. ตรากฎหมายหามสูบฝน 4. การสังคายนาพระไตรปฎก

วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. รัชกาลที่ 1 โปรดเกลาฯ ใหชําระ กฎหมาย เรียกวา กฎหมายตราสามดวง ซึ่งเปนการฟนฟูบานเมือง ดานการเมืองการปกครอง สวนการสังคายนาพระไตรปฎก เปนการ ฟนฟูบานเมืองดานสังคมและวัฒนธรรมในสมัยรัชกาลที่ 1 การตรา กฎหมายหามสูบฝน เกิดขึน้ ในสมัยรัชกาลที่ 2 และการทําสนธิสญ ั ญา เบอรนียเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3

Explain

1. ครูใหนักเรียนอธิบายการแบงสมัยยอยของ สมัยรัตนโกสินทร (พ.ศ. 2325-ปจจุบัน) (แนวตอบ สมัยรัตนโกสินทรแบงเปน • สมัยรัตนโกสินทรตอนตน (พ.ศ. 2325-2394) อยูในชวงรัชกาลที่ 1-3 เปนชวงที่มีการฟนฟู บานเมืองทุกดาน • ยุคปรับปรุงประเทศ (พ.ศ. 2394-2475) อยูในชวงรัชกาลที่ 4-7 (กอนเปลี่ยนแปลง การปกครอง) • ยุคประชาธิปไตย (พ.ศ. 2475-ปจจุบัน) อยูในชวงที่ประเทศไทยปกครองระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริยทรงเปน ประมุข) 2. ครูใหนักเรียนอธิบายวา เพราะเหตุใดสมัย รัตนโกสินทรตอนตน (พ.ศ. 2325-2394) จึงเรียกวา “สมัยการทําใหเหมือนเมื่อครั้งที่ บานเมืองดี” (แนวตอบ เพราะเปนสมัยที่เริ่มสถาปนา บานเมืองขึ้นมาภายหลังจากเสียกรุงศรีอยุธยา ใหแกพมา จึงตองมีการฟน ฟูบา นเมืองในทุกดาน ใหเหมือนสมัยอยุธยาในเวลาทีบ่ า นเมืองสงบสุข) 3. ครูใหนักเรียนยกตัวอยางการฟนฟูบานเมืองใน สมัยรัชกาลที่ 1 (แนวตอบ ตัวอยางการฟนฟูบานเมือง เชน • ดานการปกครอง โปรดเกลาฯ ใหชําระ กฎหมาย เรียกวา กฎหมายตราสามดวง ทรงใหขุดคลองรอบกรุง สรางปอมปราการ และกําแพงพระนคร • ดานสังคมและวัฒนธรรม โปรดเกลาฯ ให สรางพระบรมมหาราชวังและวัดใหมีรูปแบบ เหมือนสมัยอยุธยา ทรงใหสังคายนา พระไตรปฎก ทรงสงเสริมวรรณกรรมโดยได พระราชนิพนธเรื่องรามเกียรติ์ โปรดเกลาฯ ใหแปลหนังสือจีนเปนภาษาไทย เปนตน)

นักเรียนควรรู 1 กฎหมายตราสามดวง ประมวลกฎหมายที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟาจุฬาโลกมหาราชโปรดเกลาฯ ใหชําระกฎหมายเกาที่มีมาแตครั้งโบราณขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2347 มีการประทับตรา 3 ดวง คือ ตราพระราชสีห ตราพระคชสีห และ ตราบัวแกว 2 สัญญาทางพระราชไมตรีและการคากับอังกฤษ ในสมัยรัชกาลที่ 3 ไดทํา สนธิสญ ั ญาเบอรนยี ก บั อังกฤษ เมือ่ วันที่ 20 มิถนุ ายน พ.ศ. 2369 ซึง่ เปนสนธิสญ ั ญา ทางพระราชไมตรีและการพาณิชยฉบับแรกที่ไทยไดทํากับชาติตะวันตก ในสมัยรัตนโกสินทร สนธิสัญญาฉบับนี้ไมทําใหไทยเสียผลประโยชนมากนัก เพราะมีผลบังคับใชเฉพาะพอคาอังกฤษและคนในบังคับ ซึง่ ขณะนัน้ เขามาติดตอกับ ไทยนอยมาก ในทางตรงกันขามกลับทําใหไทยไดประโยชนมากขึ้นจากการที่มีเรือ สินคาอังกฤษเขามาคาขายมากขึ้น

คูมือครู

11


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engaae

Expore

อธิบายความรู

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Elaborate

Evaluate

Explain

1. ครูใหนักเรียนยกตัวอยางการปรับปรุงบานเมือง ในสมัยรัชกาลที่ 4-6 (แนวตอบ การปรับปรุงบานเมือง มีดังนี้ • รัชกาลที่ 4 มีการปรับปรุงการคมนาคม เชน ตัดถนนเจริญกรุง บํารุงเมือง ขุดคลอง ภาษีเจริญ คลองมหาสวัสดิ์ และมีการจาง ชาวตะวันตกมาฝกทหาร สอนหนังสือ เปนตน • รัชกาลที่ 5 มีการปฏิรูประบบบริหารราชการ แผนดิน รวมอํานาจเขาสูศูนยกลาง มีการ เลิกทาส เลิกไพร มีการพัฒนาการคมนาคม ดวยการสรางทางรถไฟ รถราง มีการใช โทรเลข ไฟฟา ประปา เปนตน • รัชกาลที่ 6 มีการสรางแนวคิดชาตินิยมให จงรักภักดีตอ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย มีการกําหนดใหใชนามสกุล คํานําหนานาม เปนตน) 2. ครูใหนกั เรียนแสดงความคิดเห็นวา เพราะเหตุใด รัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 จึงตองปรับปรุง ประเทศ (แนวตอบ เพื่อใหเกิดความเจริญกาวหนาและ เปนพื้นฐานที่จะไดมีการเปลี่ยนแปลงในโอกาส ตอไป และเพื่อรักษาเอกราชของชาติใหรอดพน จากการครอบครองของประเทศตะวันตกที่กําลัง ขยายอิทธิพลเขามาในประเทศไทยในขณะนั้น) 3. ครูถามนักเรียนวา ในสมัยรัชกาลที่ 6 ประเทศไทยเกี่ยวของกับสังคมโลกอยางไร (แนวตอบ เปนชวงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 รัชกาลที่ 6 ไดนําประเทศไทยเขาสูสังคมโลก โดยการสงทหารเขารวมกับฝายสัมพันธมิตร)

สมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นช่วงการเริ่มปรับปรุงประเทศ เช่น เปดการติดต่อ อย่างเป็นทางการกับชาติตะวันตกด้วยการทำสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีและการค้า มีการ 1 ปรับปรุงการคมนาคม เช่น ตัดถนนเจริญกรุง บำรุงเมือง ขุดคลอง เช่น คลองภาษีเจริญ คลอง 2 มหาสวัสดิ์ คลองเจดีย์บูชา มีการจ้างชาวตะวันตกมา ทำงาน เช่น ฝึกทหาร สอนหนังสือเจ้านาย เป็นต้น สมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นสมัยของ การปฏิรูปประเทศในทุกด้านเพื่อพัฒนาประเทศให้ทัน สมั ย และป อ งกั น การยึ ด ครองจากจั กรวรรดิ นิ ย ม ตะวันตกมีการปฏิรูป เช่น ปฏิรูประบบบริหารราชการ แผ่ น ดิ น รวมอำนาจเข้ า สู่ ศู น ย์ ก ลางที่ กรุ ง เทพฯ ปฏิ รู ป สั ง คมด้ ว ยการเลิ ก ทาส เลิ ก ไพร่ ขยายการ ศึกษา ปฏิรูปบ้านเมือง เช่น 3พัฒนาการคมนาคม สื่อสารด้วยการสร้างทางรถไฟ รถราง ใช้ โทรเลข ถนนเจริญกรุงเป็นถนนที่ตัดขึ้นในรัชสมัยพระบาท สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๔ ไฟฟา ประปา เป็นต้น สมัยรัชกาลที่ ๖ เป็นช่วงของการนำประเทศเข้าสู่สังคมโลก เช่น ส่งทหาร เข้าร่วมกับฝายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ ๑ สร้างแนวคิดชาตินิยมให้จงรักภักดีต่อ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กำหนดให้ใช้นามสกุล คำนำหน้านาม ธงไตรรงค์ ในสมัยนี้ได้เกิด ปัญหาเศรษฐกิจและมีการเรียกร้องการปกครองระบอบประชาธิปไตย

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเครื่องแบบเสือป่า และ ลายพระหัตถ์พระราชทานแก่กองเสือป่า

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ วั ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ ป ระกาศใช้ พ ระราชบั ญ ญั ติ น ามสกุ ล เมื่ อ พ.ศ. ๒๔๕๖

12

นักเรียนควรรู 1 ถนนเจริญกรุง เปนถนนที่ตัดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เริ่มตั้งแตถนนสนามไชย ถึงแมนาํ้ เจาพระยาทีบ่ ริเวณถนนตก กรุงเทพฯ เปนถนนรุน แรกทีใ่ ชเทคนิคการสราง แบบตะวันตก 2 คลองเจดียบูชา เปนคลองที่ขุดจากแมนํ้านครชัยศรี ไปยังพระตําหนัก ที่นครปฐม และสิ้นสุดลงที่วัดพระงาม รวมระยะทางประมาณ 18 กิโลเมตร เพื่อใชเปนเสนทางคมนาคมไปยังพระปฐมเจดียและเมืองนครปฐมในสมัยนั้น 3 ทางรถไฟ ทางรถไฟสายแรกที่มีการสรางในไทย คือ ทางรถไฟสาย กรุงเทพฯ - นครราชสีมา โดยมีการสรางเมื่อ พ.ศ. 2434 แตปรากฏวาหลังจาก กอสรางไดไมนาน บริษัทอังกฤษผูรับสัมปทานไมสามารถสรางทางรถไฟไดเสร็จ ตามสัญญา กรมรถไฟหลวงจึงเลิกจางแลวดําเนินการกอสรางเอง จนเปดใชการได ชวงแรก กรุงเทพฯ - อยุธยา เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2439 มีระยะทาง 71 กิโลเมตร

12

คูมือครู

กิจกรรมสรางเสริม ครูใหนักเรียนไปศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของ รัชกาลที่ 4-6 ในการปรับปรุงประเทศในดานตางๆ โดยใหสรุปใน แตละดาน เชน ดานการปกครอง ดานสังคมและวัฒนธรรม ดานเศรษฐกิจ เปนตน และอธิบายผลจากการเปลีย่ นแปลงดังกลาว

กิจกรรมทาทาย ครูใหนกั เรียนศึกษาคนควาเพิม่ เติมเกีย่ วกับการปรับปรุงบานเมือง ในสมัยรัชกาลที่ 4-6 โดยใหยกตัวอยาง 1 เรื่อง แลววิเคราะห ความเปนมา ความสําคัญ และพัฒนาการจนถึงปจจุบัน ในรูปแบบรายงาน


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engaae

Expore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ Expand

ตรวจสอบผล Evaluate

อธิบายความรู

1. ครูใหนักเรียนบอกสาเหตุที่ทําใหเกิดการ เปลี่ยนแปลงการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 7 (แนวตอบ เกิดจากปจจัยทางการเมืองและ เศรษฐกิจ เชน การปฏิรูปบานเมืองและปฏิรูป การศึกษาในสมัยรัชกาลที่ 5 ทําใหเกิดชนชั้น กลางที่ตองการใหมีการปกครองระบอบรัฐสภา และมีรัฐธรรมนูญ และจากปญหาเศรษฐกิจ ตกตํ่าทั่วโลก รัฐบาลตองลดงบประมาณ และจํานวนขาราชการ จึงเปนสาเหตุหนึ่งที่ คณะราษฎรใชโจมตีการปกครองในระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย จนเกิดการเปลี่ยนแปลง การปกครองมาเปนระบอบประชาธิปไตยใน พ.ศ. 2475) 2. ครูใหนักเรียนสรุปความสําคัญของสมัย ประชาธิปไตย 3. ครูสุมนักเรียน 1-2 คนออกมาสรุปการแบง สมัยประวัติศาสตรของไทย จากนั้นครูอธิบาย เพิ่มเติมโดยเปดโอกาสใหนักเรียนซักถาม ขอสงสัยเพื่อใหเกิดความเขาใจมากยิ่งขึ้น

สมัยรัชกาลที่ ๗ เกิดปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก รัฐบาลต้องลดงบ ประมาณและจำนวนข้าราชการ เกิดกระแสเรียกร้องประชาธิปไตยเพิ่มมากขึ้น และเกิดการ เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย ในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕

1

รัชกาลที่ ๗ และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ในงานพระราชทาน อนุสาวรียป์ ระชาธิปไตย สัญลักษณ์การปกครองสมัยประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญฉบับชัว่ คราว วันที่ ๒๗ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ของไทย สร้างขึน้ ในสมัยรัฐบาล จอมพล ป.พิบลู สงคราม

(๓) สมัยประชาธิปไตย (พ.ศ. ๒๔๗๕ - ปจจุบัน) เป็นช่วงเวลาที่ไทยมีการ ปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและมีรัฐธรรมนูญเป็น กฎหมายสูงสุดของประเทศ อำนาจการปกครองแบ่งเป็น ๓ ฝาย คือ ฝายบริหาร ฝายนิติบัญญัติ และฝายตุลาการ การปกครองในระบอบประชาธิ ปไตยที่ผ่านมากว่า ๗๐ ปียังไม่มั่นคงนัก เพราะ 2 มีการปฏิวัติรัฐประหารหลายครั้ง รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญหลายฉบับ สำหรับ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเป็นฉบับที่ ๑๘ ประกาศใช้เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ สรุปการแบ่งสมัยประวัติศาสตร์ของไทย การแบ่งสมัยประวัติศาสตร์ไทยดังกล่าวข้างต้น เป็นการแบ่งโดยยึดอาณาจักรหรือ ราชธานีเป็นสำคัญ แต่ในสมัยรัตนโกสินทร์มีการแบ่งเป็นสมัยย่อยๆ โดยยึดการเปลี่ยนแปลงของ บ้านเมืองและการปกครองร่วมกันมาเป็นเกณฑ์ อย่างไรก็ดีมีนักประวัติศาสตร์บางคนเสนอการแบ่งยุคสมัยประวัติศาสตร์ไทยเป็น ๒ สมัย ดังนี้ ๑. ประวัติศาสตร์ไทยสมัยโบราณ นับจากเริ่มแรกจนถึง พ.ศ. ๒๓๙๔ ๒. ประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่ นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๙๔ จนถึงปัจจุบัน การแบ่งเช่นนี้ถือตามการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองเป็นสำคัญ นั่นคือ พัฒนาการ ของบ้านเมืองตามแบบเก่าถือเป็นประวัติศาสตร์สมัยโบราณ แต่เมื่อมีการปรับปรุงประเทศ ตามแบบชาติตะวันตก ซึ่งเริ่มในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวถือเป็นประวัติศาสตร์สมัยใหม่

กิจกรรมสรางเสริม ครูใหนักเรียนไปศึกษาคนควาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง การปกครอง พ.ศ. 2475 โดยมีประเด็นสําคัญ คือ • สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 • ผลของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475

กิจกรรมทาทาย ครูใหนักเรียนไปศึกษาคนควาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปฏิวัติ รัฐประหารในประวัติศาสตรการเมืองไทย โดยใหสรุปเนื้อหา ในรูปแบบตาราง จากนั้นใหเลือกการปฏิวัติประหาร 1 ตัวอยาง แลวสรุปประเด็นสําคัญ ดังนี้ • สาเหตุของการปฏิวัติรัฐประหาร • ผลของการปฏิวัติรัฐประหาร

Explain

ขยายความเขาใจ

Expand

ครูใหนักเรียนสรุปการแบงสมัยประวัติศาสตร ของไทยเปนแผนผังความคิด โดยสรุปใหเห็นองค ประกอบของเวลาและยุคสมัยของประวัติศาสตร ในภาพรวม จําแนกขอมูลและเปรียบเทียบขอมูล ใหชัดเจน

ตรวจสอบผล

1๓

Evaluate

1. ตรวจรายงานการแบงยุคสมัยทาง ประวัติศาสตรไทย 2. ประเมินจากการนําเสนอผลงานกลุม 3. แผนผังความคิดการแบงสมัยประวัติศาสตร ของไทย

นักเรียนควรรู 1 อนุสาวรียป ระชาธิปไตย อนุสาวรียท ตี่ งั้ อยูก ลางวงเวียนระหวางถนนราชดําเนินกลาง กับถนนดินสอ เขตพระนคร กรุงเทพฯ สรางขึ้นเพื่อเปนอนุสรณการเปลี่ยนแปลง การปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชยมาเปนระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริยทรงเปนประมุขภายใตรัฐธรรมนูญ มีพิธีเปดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2483 ในสมัยจอมพล ป. พิบลู สงคราม ดํารงตําแหนงนายกรัฐมนตรี บริเวณ อนุสาวรียป ระชาธิปไตยเปนสถานทีแ่ สดงออกทางการเมืองหลายครั้ง เชน การชุมนุมของประชาชนและนักศึกษาในเหตุการณ 14 ตุลา พ.ศ. 2516 การชุมนุม ของประชาชนในเหตุการณพฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535 เปนตน 2 รัฐประหาร การใชกําลังเปลี่ยนแปลงคณะรัฐบาลโดยฉับพลัน เปนการลมลาง รัฐบาลที่บริหารปกครองรัฐในขณะนั้น แตไมใชการลมลางระบอบการปกครองหรือรัฐ ทั้งรัฐ และไมจําเปนตองใชความรุนแรงหรือนองเลือดเสมอไป อาจใชกําลังบังคับให ออกจากตําแหนงและประกาศรัฐธรรมนูญใหม หรือประกาศใหมีการเลือกตั้งใหม แตหากการกอรัฐประหารไมสําเร็จก็จะถูกดําเนินคดีในขอหากบฏ คูมือครู

13


กระตุน ความสนใจ Engage

สํารวจคนหา Explore

กระตุน ความสนใจ

อธิบายความรู Explain

หลักฐานทางประวัติศาสตร์ไทยที่เป็นหลักฐานเก่าร่วมสมัย มีการใช้เวลาหลายอย่างทั้ง มหาศักราช จุลศักราช พุทธศักราช รัตนโกสินทร์ศก ดังตัวอย่างต่อไปนี้ “๑๒๐๕ ศก ปมะแม พอขุนรามคำแหง หาใครใจในใจ แลใสลายสือไทยนี้ ลายสือไทยนี้ จึ่งมีเพื่อขุนผูนั้นใสไว” ที่มา : ศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๑ จารึกพอขุนรามคำแหง หนา ๓๖. เวลาที่กลาวถึงในศิลาจารึกนี้ ๑๒๐๕ เปนมหาศักราช เทียบเปนพุทธศักราช + ๖๒๑ = ๑๘๒๖ พอขุนรามคำแหงมหาราชทรงประดิษฐอักษรไทย ลายสือไทยจึงมีขึ้น เพราะพอขุนราม คำแหงมหาราชคิดประดิษฐขึ้นมา ๖ “ศักราช ๗๑๒ ขาลศก วัน ๖ ฯ ๕ ค่ำ เวลารุงแลว ๓ นาฬกา ๙ บาท แรกสถาปนากรุงพระนครศรีอยุธยา” ที่มา: พระราชพงศาวดารกรุงเกา ฉบับหลวงประเสริฐฯ หนา ๕. ศักราชที่กลาวถึง ๗๑๒ เปนจุลศักราช เมื่อเทียบเปน พ.ศ. + ๑๑๘๑ = ๑๘๙๓ วัน ๖ คือ วันศุกร เดือน ๕ ขึ้น ๖ ค่ำ ตรงกับวันที่ ๔ มีนาคม รุงแลว ๓ นาฬกา ๙ บาท คือ เวลา ๙ นาฬกา ๕๔ นาที (๑ บาท = ๖ นาที) เปนเวลาที่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจาอูทอง) ทรง สถาปนาพระนครศรีอยุธยาเปนราชธานี ถือเปนการเริ่มตนสมัยอยุธยา “ถึงรัชกาลที่ ๔ เมื่อปกุน พ.ศ. ๒๓๙๔ พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกลาเจาอยูหัวทรง สถาปนาสมเด็จพระอนุชาธิราช เจาฟากรมขุนอิศเรศรังสรรคเปนพระมหาอุปราช แตโปรดให ยกพระยศขึ้นเปนอยางพระเจาแผนดินอีกพระองคหนึ่ง ทรงพระนามวา พระบาทสมเด็จ พระปนเกลาเจาอยูหัว ทรงศักดิ์สูงกวาพระมหาอุปราช” ที่มา: สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ. พระราชพงศาวดาร รัชกาลที่ ๕ หนา ๑๗๓. เวลาที่กลาวถึงนี้ ชัดเจนอยูแลววาเปนพุทธศักราชหรือ พ.ศ. ในปนั้น พระบาทสมเด็จ พระจอมเกลาเจาอยูหัวเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ทรงสถาปนาพระอนุชาเปนพระมหาอุปราช แตมีพระยศสูงกวาพระมหาอุ1ปราช คือเทียบเทาพระเจาแผนดิน จึงทรงพระนามวา “พระบาท สมเด็จพระปนเกลาเจาอยูหัว”

Explain

14

เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมวา จารึกพอขุนรามคําแหง มีคําบางคําที่ใชมาจนถึงปจจุบัน แตมีความหมายไมเหมือนปจจุบัน เชน คําวา แพ หมายถึง ชนะ เพื่อ หมายถึง เพราะ กวา หมายถึง ไป แล หมายถึง และ เปนตน ดังนั้น จึงตองระมัดระวังใน การตีความ

นักเรียนควรรู 1 พระบาทสมเด็จพระปนเกลาเจาอยูหัว พระนามเดิม คือ สมเด็จเจาฟา จุฑามณี (สมเด็จเจาฟากรมขุนอิศเรศรังสรรค) และไดรับการสถาปนาเปน พระบาทสมเด็จพระปนเกลาเจาอยูหัว พระเจาแผนดินพระองคที่ 2 (The Second King) ในสมัยรัชกาลที่ 4

คูมือครู

Evaluate

๓.๑ ตัวอย่างการใชเวลาและศักราช

Explore

1. ครูใหนักเรียนแตละกลุมนําตัวอยางการใชเวลา ศักราช และยุคสมัย ในหลักฐานทาง ประวัติศาสตรไทยมาเทียบศักราชเปน พ.ศ. แลวแปลความจากขอมูลดังกลาว โดยใหทํา ในกระดาษ A4 พรอมบอกที่มาของขอมูล และมีภาพประกอบ 2. ครูใหนักเรียนกลุมที่ 1 สงตัวแทนออกมา นําเสนอผลการศึกษาคนควาตัวอยางการใช เวลาและศักราชที่หนาชั้นเรียน

14

Elaborate

๓. ตัวอย่างเวลาและยุคสมัยที่ปรากฏในหลักฐานทาง ประวัติศาสตร์ไทย

ครูใหนกั เรียนกลุม เดิมรวมกันวางแผนการสืบคน ตัวอยางเวลาและยุคสมัยในหลักฐาน ประวัติศาสตรไทย โดยสืบคนจากแหลงเรียนรู ตางๆ เชน หนังสือในหองสมุด เว็บไซตใน อินเทอรเน็ต เปนตน โดยมีประเด็นดังนี้ • กลุมที่ 1 การใชเวลาและศักราช • กลุมที่ 2 การใชยุคสมัย

อธิบายความรู

ตรวจสอบผล

Engage

ครูใหนักเรียนอานตัวอยางการใชเวลาและ ศักราชในหนังสือเรียนหนา 14-15 แลวใหบอกวา หลักฐานทางประวัติศาสตรแตละชิ้นใชศักราช แบบใด (แนวตอบ ตัวอยางการใชเวลาและศักราช เชน • ศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 1 ใชมหาศักราช (ม.ศ.) • พระราชพงศาวดารกรุงเกา ฉบับหลวงประเสริฐฯ ใชจุลศักราช (จ.ศ.) • พระราชพงศาวดาร รัชกาลที่ 5 ใช พุทธศักราช (พ.ศ.) • หนังสือไกลบาน ใชรัตนโกสินทรศก (ร.ศ.))

สํารวจคนหา

ขยายความเขาใจ

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

หลักฐานทางประวัติศาสตรในขอใดที่บงบอกพัฒนาการอาณาจักร โบราณในดินแดนประเทศไทยกอนสมัยสุโขทัย 1. ตํานาน 2. ศิลาจารึก 3. พงศาวดาร 4. โบราณสถาน วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. ศิลาจารึกเปนหลักฐานทาง ประวัติศาสตรที่สามารถบงบอกพัฒนาการของอาณาจักรโบราณ ในดินแดนประเทศไทยกอนสมัยสุโขทัย เชน จารึกปราสาทเขานอย จ. สระแกว เปนหลักฐานประเภทลายลักษณอักษรที่เกาแกที่พบใน เมืองไทยที่มีการระบุศักราชชัดเจน เปนตน


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engaae

Expore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

อธิบายความรู

Explain

1. ครูใหนักเรียนสรุปวา หลักฐานทาง ประวัติศาสตรไทยมีการใชศักราชอยางไร (แนวตอบ หลักฐานทางประวัติศาสตรไทย มีการใชศักราชมาตั้งแตสมัยสุโขทัย โดยใน สมัยสุโขทัยและสมัยอยุธยาใชพุทธศักราช จุลศักราช มหาศักราช เปนหลัก สวนในสมัย รัตนโกสินทรมีการใชรัตนโกสินทรศกเพิ่มขึ้นมา สําหรับพุทธศักราชมีการประกาศใชอยางเปน ทางการ เมื่อ พ.ศ. 2455 ในสมัยรัชกาลที่ 6 ) 2. ครูใหนักเรียนสืบคนตัวอยางหลักฐานทาง ประวัติศาสตรไทยที่มีการใชเวลาและศักราช ไดแก มหาศักราช จุลศักราช พุทธศักราช และรัตนโกสินทรศก จากนั้นใหสรุปสาระ สําคัญ ดังนี้ • เหตุการณดังกลาวเกิดขึ้นในชวงเวลาใด • ประเด็นสําคัญของเหตุการณคืออะไร โดยใหบนั ทึกลงกระดาษ A4 แลวนําสงครูผสู อน 3. ครูใหนักเรียนยกตัวอยางคําที่ใชแทนยุคสมัย หรือเวลาในประวัติศาสตร (แนวตอบ เชน คําใหการกรุงเกา เปนหนังสือ พงศาวดารบอกเลาเรื่องราวในประวัติศาสตร ไทยในสมัยอยุธยา ตั้งแตกอตั้งอาณาจักร คือ พ.ศ.1893 จนถึงเสียกรุงแกพมาใน พ.ศ. 2310) 4. ครูใหนักเรียนกลุมที่ 2 สงตัวแทนออกมา นําเสนอผลการศึกษาคนควาตัวอยางการใช ยุคสมัยที่หนาชั้นเรียน

“ไกลบาน พระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว ถึงสมเด็จพระเจา ลูกยาเธอ เจาฟานิภานภดล เมื่อเสด็จไปประพาสยุโรป ร.ศ. ๑๒๖” ตัวอยางนี้เปนขอความบนปกหนังสือไกลบาน ซึ่งเปนเรื่องการเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ ๒ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว เมื่อ ร.ศ. ๑๒๖ หรือรัตนโกสินทรศก ๑๒๖ เทียบ เปน พ.ศ. + ๒๓๒๔ = ๒๔๕๐

จากตัวอย่างดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไทยมีการใช้ศักราช มาตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยในสมัยสุโขทัยและอยุธยาใช้พุทธศักราช จุลศักราช1 มหาศักราช เป็นหลัก ครั้นถึงสมัยรัตนโกสินทร์มีการใช้ศักราชเพิ่มขึ้นมา คือ รัตนโกสินทร์ศก ซึ่งพบมากในเอกสาร ราชการ ส่วนพุทธศักราชมีการประกาศใช้อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๕ ซึ่งตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

๓.๒ ตัวอย่างการใชยุคสมัย นักประวัติศาสตร์ ได้กำหนดคำเรียกยุคสมัยเพื่อกำหนดเวลาในประวัติศาสตร์ การใช้ คำเรียกยุคสมัยหรือเวลาในประวัติศาสตร์ เห็นได้จากตัวอย่างดังนี้ ๑. การใชยุคสมัยเปนชื่อหนังสือ เพื่อใหรูชัดเจนวา หนังสือนั้นเปนเรื่องราว เกี่ยวกับสมั 2 ยใด เชน หนังสือสมัยกอนประวัติศาสตรในประเทศไทย ของศาสตราจารย ชิน อยูดี เปนหนังสือที่รวบรวมเรื่องราวสมัยกอนประวัติศาสตรในดินแดนประเทศไทย หนังสือกฎหมายสมัยอยุธยา ของ ม.ร.ว.เสนีย ปราโมช เปนหนังสือที่รวบรวมกฎหมาย ในสมัยอยุธยาหรือเปนหนังสือที่ผูเขียนเขียนเกี่ยวกับกฎหมายสมัยอยุธยา นอกจากคำวา “สมัย” ที่บอกถึงยุคสมัยทางประวัติศาสตรแลว การใชชื่อราชธานี เชน กรุงสุโขทัย ก็หมายถึง ชวงเวลาสมัยสุโขทัย หรือกรุงเกา หมายถึง สมัยอยุธยา ดังหนังสือประชุม ศิลาจารึก ภาคที่ ๑ จารึกกรุงสุโขทัย เปนการรวบรวมขอมูลจากศิลาจารึกสมัยสุโขทัยที่ มีการอานและทำคำอธิบาย พระราชพงศาวดารกรุงเกา ฉบับหลวงประเสริฐฯ (กรุงเกา คือ กรุงศรีอยุธยาเมื่อครั้งเปนราชธานี) คือ พระราชพงศาวดารหรือเรื่องราวของพระ มหากษัตริยสมัยอยุธยา ที่เรียกฉบับหลวงประเสริฐฯ เพราะหลวงประเสริฐหรือหลวง ประเสริ ฐ อั ก ษรนิ ติ์ (แพ ตาละลั ก ษณ ) เป น ผู พ บและมอบให ห อสมุ ด แห ง ชาติ จึงเรียกเพื่อเปนการใหเกียรติแกทาน

1๕

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

ในปจจุบันตรงกับปพุทธศักราช 2556 ถือวาอยูในพุทธศตวรรษใด 1. พุทธศตวรรษที่ 24 2. พุทธศตวรรษที่ 25 3. พุทธศตวรรษที่ 26 4. พุทธศตวรรษที่ 27

วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. พุทธศตวรรษ คือชวงเวลา 100 ป โดยพุทธศักราชที่ 1 หรือ พ.ศ. 1 เมื่อผานไป 100 ป ก็จะนับเปน หนึ่งพุทธศตวรรษ ดังนั้น ถาปจจุบันตรงกับ พ.ศ. 2556 ก็จะตรงกับ พุทธศตวรรษที่ 26 (พ.ศ. 2501-2600)

นักเรียนควรรู 1 รัตนโกสินทรศก ภายหลังจากตั้งกรุงรัตนโกสินทรใน พ.ศ. 2525 แลว ไทยยังนิยมใชจุลศักราชเปนศักราชหลักอยู แตเมื่อถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระจอมเกลาเจาอยูห วั โปรดเกลาฯ ใหมปี ระกาศเรือ่ ง “ใชเลขปรชั กาลทับหลังศก” โดยวิธีการเขียนเลขปกํากับรัชกาลก็คือ ใหเขียนเลขเหนือคําวา ศก เชน ปกุน ตรีศก เปนปที่ 7 ในรัชกาล ก็ใหกํากับเลขลงไว คือ ปกุน ตรีศ๗ก ครั้นถึงในสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว ทรงเปลี่ยนใหใชรัตนโกสินทรศกแทน โดยเขียนอยางยอวา “ร, ศก” 2 ศาสตราจารยชิน อยูดี ผูเชี่ยวชาญทางโบราณคดีสมัยกอนประวัติศาสตร ของกรมศิลปากร ไดเสนอผลงานเรื่อง สมัยกอนประวัติศาสตรในประเทศไทย ตีพิมพเผยแพรใน พ.ศ. 2510 เนื้อหาโดยสรุป คือ บริเวณพื้นที่ประเทศไทยปจจุบัน มีรองรอยของผูคนอาศัยอยูตั้งแตยุคหินเกาจนถึงยุคประวัติศาสตร แตละยุค จะแสดงถึงความสืบเนื่องทางวัฒนธรรมมาจนถึงปจจุบัน คูมือครู

15


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engaae

Expore

อธิบายความรู

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Elaborate

Evaluate

Explain

1. ครูสุมใหนักเรียนออกมาอธิบายตัวอยางการใช ยุคสมัยในหนังสือเรียนหนา 15-16 2. ครูใหนักเรียนแสดงความคิดเห็นวา การใชคํา บอกยุคสมัยมีความสําคัญอยางไร (แนวตอบ คําบอกยุคสมัยสามารถใชแทนการ อธิบายเหตุการณทางประวัติศาสตรที่ยืดยาวได ทําใหเรื่องกระชับ ชัดเจน ไมเยิ่นเยอ และเกิด ความเขาใจที่ตรงกันระหวางผูเขียนกับผูอานวา กําลังกลาวถึงยุคสมัยใด) 3. ครูใหนักเรียนสืบคนขอมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการ ใชคําเรียกยุคสมัยหรือเวลาในประวัติศาสตร เชน การใชยุคสมัยเปนชื่อหนังสือ การใช ยุคสมัยเพื่ออธิบายความ การใชยุคสมัย ประกอบบทความ เปนตน จากนั้นใหบันทึก ตัวอยาง 5 ตัวอยาง ลงในกระดาษ A4 แลวนํา สงครูผูสอน

๒. การใชยุคสมัยเพื่ออธิบายความ เพื่อใหเกิดความเขาใจงาย ตรงกั น โดยไม ต อ งอธิ บ ายให ยื ด ยาว เช น ลั ก ษณะสำคั ญ ในการ ปรับปรุงบานเมืองในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟาจุฬาโลก มหาราช นักประวัติศาสตรมักจะอธิบายวา เปนการ “ทำใหเหมือนเมื่อ ครั้งบานเมืองดี” ซึ่งจะพบในหนังสือทั่วไปเกี่ยวกับการปรับปรุงบาน เมืองสมัยรัชกาลที่ ๑ คำวา “เหมือนเมื่อครั้งบานเมืองดี” คือในยุค สมัยที่กรุงศรีอยุธยา มีสันติสุขภายใน การใชคำในลักษณะนี้ทำใหเกิด ความสนใจ อยากรูวา “เหมือนเมื่อครั้งบานเมืองดี” เปนอยางไร ๓. การใชยุคสมัยประกอบบทความ เพื่อใหเกิดความเขาใจตรงกันวา บทความ นั้นจะศึกษาวิเคราะหประวัติศาสตรยุคสมัยใด เพื่อไมใหเขาใจผิดทั้งผูเขียนและผูอาน บทความนั้น เชน “การปรับตัวของไทย จีน และญี่ปุน ในยุคจักรวรรดินิยมใหม” ใน หนังสือไทย จีน ญี่ปุน ในยุคจักรวรรดินิยมใหม ของวุฒิชัย มูลศิลป ยุคจักรวรรดินิยม ใหม หรือมักเรียกกันโดยทั่วไปวา ยุคจักรวรรดินิยมอยูในชวงคริสตศตวรรษที่ ๑๙ ตน คริสตศตวรรษที่ ๒๐ หรือตรงกับสมัยรัช1กาลที่ ๔ รัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๖ ของไทย2 ของจีนอยูในสมัยพระนางฉือซี (หรือซูสี) เปนผูสำเร็จราชการ และญี่ปุนในจักรพรรดิเมจิ เปนชวงเวลาทีช่ าติจกั รวรรดินยิ มตะวันตกไดขยายอำนาจเขาไปยึดครองหรือสรางอิทธิพล ในประเทศตางๆ ในทวีปเอเชียและแอฟริกา บทความนี้อธิบายถึงการปรับตัวของ ประเทศไทย จีน และญีป่ นุ ความสำเร็จ ลมเหลว ในการปรับตัว ใครปรับตัวไดดกี วากัน นักเรียนจะพบวามีบทความมากมายที่มีการใชคำบอกยุคสมัยประกอบ เพื่อใหเขาใจตรง กันวา ผูเขียนตองการศึกษาวิเคราะหยุคสมัยนั้นๆ เทานั้น ไมใชยุคสมัยอื่น

เมื่อนักเรียนอ่าน ค้นคว้า หนังสือทางประวัติศาสตร์จะพบว่า มีการใช้คำบอกยุคสมัยแทน การอธิบายเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ยืดยาวได้ ทำให้เรื่องกระชับ ชัดเจน ไม่เยิ่นเย้อ และ เกิดความเข้าใจที่ตรงกันระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่านว่ากำลังกล่าวถึงยุคสมัยใด นอกจากการใช้ยุคสมัยเพื่อบอกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ยังมีการใช้ศักราชกำกับไว้ ด้ ว ย เพื่ อ เป็ น การระบุ เ วลาของยุ ค สมั ย ที่ นั ก ประวั ติ ศ าสตร์ ต้ อ งการอธิ บ ายหรื อ ศึ ก ษา เช่ น “ประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (พ.ศ. ๒๓๒๕ - ๒๓๙๔)” ช่วงเวลาที่ต้องการอธิบาย หรือศึกษา คือ พ.ศ. ๒๓๒๕ เป็นปีเริ่มต้นสมัยรัตนโกสินทร์ ถึง พ.ศ. ๒๓๙๔ อันเป็นปีที่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต ซึ่งถือว่าเป็นปีสิ้นสุดของสมัยรัตนโกสินทร์ ตอนต้น จัดเป็นช่วงเวลาที่บ้านเมืองยังเป็นแบบเก่าทั้งทางด้านการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมที่สืบต่อมาจากสมัยอยุธยา สมัยธนบุรี โดยยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ หลังจากนี้จึงเริ่มสมัยใหม่ที่มีการปรับปรุงหรือปฏิรูปประเทศในทุกๆ ด้าน เป็นต้น 1๖

นักเรียนควรรู 1 พระนางฉือซี (หรือซูสี) เดิมทีเปนพระมเหสีของจักรพรรดิองคที่ 9 แหง ราชวงศชิง มีพระนามวา จักรพรรดิเสียนเฟง แตหลังจากจักรพรรดิสวรรคต พระนางก็ตั้งตนขึ้นเปนผูสําเร็จราชการปกครองจีน กอนจะมีการปฏิวัติ เปลี่ยนแปลงการปกครองเปนสาธารณรัฐในภายหลัง 2 จักรพรรดิเมจิ มีนามเดิมวา มุสึฮิโต ทรงเปนจักรพรรดิพระองคที่ 122 ของ ประเทศญี่ปุน ครองราชยตอจากสมเด็จพระจักรพรรดิโคเม (โอซาฮิโต) พระราชบิดา ทรงบริหารประเทศรวมกับผูนํารัฐบาล ซึ่งไดมีการปฏิรูปการปกครองในญี่ปุน ที่สําคัญ คือ การลดจํานวนนางกํานัล เพราะนางกํานัลมีอิทธิพลครอบงําวังหลวง มากเกินไป การเปดโอกาสใหบุคคลตางๆ ทั้งฝายทหาร ตั้งแตชั้นนักรบสามัญหรือ ซามูไรขึ้นไป และผูที่สืบเชื้อสายหรือสืบความรูทางการปกครอง ไดเขาทํางานและ รับพระราชทานตําแหนงสูงๆ ตามความเหมาะสมภายในวังหลวงได

16

คูมือครู

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

หากพบขอความในบทความวา “แผนดินสมเด็จพระนารายณ มหาราช” ในประวัติศาสตรไทยหมายถึงอะไร 1. บริเวณอําเภอเมือง จังหวัดลพบุรี 2. รัชสมัยของสมเด็จพระนารายณมหาราช 3. พระราชอํานาจของสมเด็จพระนารายณมหาราช 4. อาณาเขตที่ปกครองโดยสมเด็จพระนารายณมหาราช วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. แผนดินสมเด็จพระนารายณมหาราช ในประวัติศาสตรไทย หมายถึง รัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ มหาราช พ.ศ. 2199-2231


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

Engaae

Expore

Explain

ขยายความเขาใจ Expand

ตรวจสอบผล Evaluate

ขยายความเขาใจ

Expand

ครูใหนักเรียนหาตัวอยางการใชเวลา ศักราช และยุคสมัยเพิ่มเติม แลวจัดทําเปนใบความรู เพื่อ ไวศึกษาคนควาเพิ่มเติมในชั้นเรียน ซึ่งจะทําให นักเรียนเรียนรูวิธีการสืบคนขอมูลมากขึ้น

1 การใช้เวลาหรือศักราช อาจแคบกว่าตัวอย่างข้างต้นก็ได้ เช่น “วิกฤติการณ์สยาม ร.ศ. ๑๑๒” ร.ศ. ๑๑๒ หรือ พ.ศ. ๒๔๓๖ เป็นการบอกให้รู้ว่าต้องการศึกษา อธิบาย วิกฤติการณ์ที่ เกิดขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๓๖ เท่านั้น ไม่ใช่วิกฤติการณ์อื่นหรือปีอื่น เพราะในประวัติศาสตร์ไทยมี วิกฤติการณ์อื่นที่เกิดขึ้นในปีอื่นด้วย

ตรวจสอบผล

การศึกษาประวัติศาสตรใหละเอียดอาจเปนเรื่องที่ยุงยากและยากตอความเขาใจเพราะ ประวัติศาสตรของมนุษยชาติมีระยะเวลานานและมีเรื่องราวมากมาย ดังนั้น นักประวัติศาสตรจึงยึดเอาหลักฐานที่มนุษยสรางขึ้น คือ การรูจักประดิษฐตัวอักษรขึ้นมาใชเปนเกณฑ ซึ่งประวัติศาสตรสากลแบงเปน “สมัยกอนประวัติศาสตร” ที่จะแบงยอยเปนยุคหินและยุค โลหะ และ “สมัยประวัติศาสตร” ซึ่งแบงเปนสมัยโบราณ สมัยกลาง และสมัยปจจุบันหรือ รวมสมัย และแตละสมัยก็ยังแบงเปนสมัยยอยๆ อีก สำหรับประวัติศาสตรไทยมีการแบงยุคสมัยทำนองเดียวกับประวัติศาสตรสากล แตมี ความแตกตางกันบาง ในสวนที่เปนสมัยประวัติศาสตร เพราะสมัยประวัติศาสตรไทยนิยม แบงสมัยตามอาณาจักร คือ สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา สมัยรัตนโกสินทร นอกจากนี้ยังมีการ ใชเวลาหรือศักราชรวมกับยุคสมัย เพื่อใหเกิดความเขาใจตรงกันและสื่อสารไดชัดเจนยิ่งขึ้น

Evaluate

1. ตรวจตัวอยางเวลาและยุคสมัยในหลักฐาน ประวัติศาสตรไทย 2. ประเมินจากการนําเสนอผลงานกลุม 3. ประเมินจากการรวมอภิปรายและการตอบ คําถามในชั้นเรียน

1๗

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

ขอใดเปนจุดเริ่มตนยุคประวัติศาสตร 1. การรูจักใชไฟ 2. รูจักตั้งถิ่นฐาน 3. รูจักการเพาะปลูก 4. รูจักบันทึกขอความ

วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. ยุคประวัติศาสตรเริ่มขึ้นเมื่อมนุษย รูจักประดิษฐตัวอักษรขึ้นมาใช เพื่อบันทึกเรื่องราวหรือเหตุการณ ตางๆ ลงบนวัสดุหลากหลายชนิด เชน แผนหิน แผนดินเหนียว ไมไผ กระดาษ เปนตน

นักเรียนควรรู 1 วิกฤติการณสยาม ร.ศ. 112 เหตุการณความขัดแยงระหวางราชอาณาจักร สยามกับฝรั่งเศส ซึ่งเกิดขึ้นใน พ.ศ. 2436 จากการอางอํานาจอธิปไตยเหนือ พื้นที่ฝงซายของแมนํ้าโขง (พื้นที่สวนใหญของประเทศลาวในปจจุบัน) ผลของ วิกฤตการณครั้งนี้ ทําใหฝายไทยตองยอมยกดินแดนลาวฝงซายของแมนํ้าโขงใหแก ฝรัง่ เศส นับเปนการขยายอิทธิพลครัง้ สําคัญครัง้ หนึง่ ของฝรัง่ เศสในภูมภิ าคอินโดจีน และนําไปสูการสูญเสียดินแดนประเทศราชของไทยในเขมรและลาวในเวลาตอมา อีกดวย

มุม IT ศึกษาคนควาขอมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับยุคสมัยทางประวัติศาสตรไทย ไดที่ http://www.lek-prapai.org/watch.php?id=797 เว็บไซตมลู นิธเิ ล็ก-ประไพ วิรยิ ะพันธุ คูมือครู

17


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

Engaae

Expore

Explain

Elaborate

ตรวจสอบผล

ตรวจสอบผล Evaluate

Evaluate

ครูตรวจความถูกตองจากการตอบคําถาม ประจําหนวยการเรียนรู

คาถาม ประจำหน่วยการเรียนรู้

หลักฐานแสดงผลการเรียนรู

๑. ๒. ๓. ๔.

การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์มีความสำคัญต่อการศึกษาประวัติศาสตร์อย่างไร การแบ่งยุคสมัยแบบไทยกับแบบสากลเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันให้แง่คิดทางด้านใดต่อนักเรียนบ้าง วิ ถี การดำรงชี วิ ต ของมนุ ษ ย์ ส มั ย ก่ อ นประวั ติ ศ าสตร์ กั บ มนุ ษ ย์ ส มั ย ปั จ จุ บั น มี ความ แตกต่างกันอย่างไร ๕. เพราะเหตุใดเมื่อมีการแบ่งเวลาเป็นยุคสมัยแล้ว จึงต้องมีการแบ่งย่อยลงไปอีก ให้อธิบาย และยกตัวอย่างประกอบ

1. รายงานการแบงยุคสมัยทางประวัติศาสตรไทย 2. ตัวอยางเวลาและยุคสมัยในหลักฐาน ประวัติศาสตรไทย

กิจสร้กรรม างสรรค์พัฒนาการเรียนรู้ กิจกรรมที่ ๑ กิจกรรมที่ ๒ กิจกรรมที่ ๓

ให้นักเรียนไปค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ ไทย มา ๑ เหตุการณ์ โดยให้จัดทำเส้นแบ่งเวลาของเหตุการณ์ดังกล่าวมาพอ สังเขป พร้อมติดภาพประกอบให้สวยงาม ให้ นั ก เรี ย นแบ่ ง กลุ่ ม กลุ่ ม ละ ๕ คน สื บ ค้ น เรื่ อ งการแบ่ ง ยุ ค สมั ย ทาง ประวัติศาสตร์ ไทย แล้วจัดทำเป็นผังมโนทัศน์ ตกแต่งให้สวยงาม จากนั้น ส่งตัวแทนออกมานำเสนอหน้าชั้นเรียน ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ ๕ คนไปสืบค้นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่มี การระบุศักราชมา ๕ อย่าง แล้วนำมาฝึกเทียบศักราชแบบต่างๆ และ วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของช่วงเวลาดังกล่าว

18

แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู 1. การแบงยุคสมัยเปนการแบงชวงเวลาในการศึกษาประวัติศาสตร ทําใหมีความสะดวกและเรียนรูพัฒนาการของมนุษยชาติและประวัติศาสตรของชาตินั้นๆ ไดตรงกัน 2. ประวัตศิ าสตรสากลและไทยมีการแบงยุคสมัยเหมือนกัน คือ ใชการเริ่มมีตัวอักษรในการแบงยุคสมัย โดยชวงเวลาตั้งแตมนุษยเริ่มมีอักษรใช จัดเปนยุคประวัติศาสตร และกอนหนาที่มีตัวอักษรเปนยุคกอนประวัติศาสตร สวนความแตกตาง คือ ยุคสมัยกอนประวัติศาสตรและสมัยประวัติศาสตรมีชวงเวลาเริ่มตนและการสิ้นสุดไมพรอม กัน และสมัยประวัติศาสตรสากลและไทยยังแบงออกเปนสมัยยอยๆ อีก เชน ประวัติศาสตรสากลนิยมแบงเปนสมัยใหญๆ ตามชวงเวลา โดยแบงเปน ประวัติศาสตร สมัยโบราณ สมัยกลาง สมัยใหม สมัยปจจุบัน หรือรวมสมัย แตประวัติศาสตรไทยนิยมแบงสมัยตามอาณาจักร หรือแบงตามราชวงศที่ปกครอง 3. การศึกษาประวัติศาสตรไทยทําใหเกิดความรัก เกิดความภาคภูมิใจในความเปนชาติไทย สงผลใหเกิดความสามัคคี การอนุรักษโบราณสถาน โบราณวัตถุ และการรักษา ศิลปวัฒนธรรมอันเปนมรดกของชาติไทยใหคงอยูตลอดไป 4. • มนุษยสมัยกอนประวัติศาสตร มีการลาสัตว หาของปา ตอมาเริ่มรูจักเพาะปลูก เลี้ยงสัตว อาศัยอยูเปนหลักแหลง และมีการใชชีวิตแบบเรียบงาย • มนุษยสมัยปจจุบัน มีการอยูรวมกันเปนสังคมใหญ มีกฎระเบียบทางสังคม มีการประกอบอาชีพที่หลากหลาย และมีการดําเนินชีวิตสะดวกสบาย 5. การแบงเวลาเปนยุคสมัย แลวยังตองมีการแบงยอยลงไปอีก เพราะจะทําใหการศึกษาประวัติศาสตรมีความชัดเจนมากขึ้น เชน สมัยสุโขทัย แบงยอย ดังนี้ • สมัยการวางรากฐานอํานาจและเสริมสรางความมั่นคง (พ.ศ. 1893-1991) คือ สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (อูทอง) ถึงสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจาสามพระยา) • สมัยที่มีอํานาจทางการเมืองและมีความรุงเรืองทางเศรษฐกิจ (พ.ศ. 1991-2231) คือ สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจนถึงสมัยสมเด็จพระนารายณมหาราช • สมัยเสื่อมอํานาจ (พ.ศ. 2231-2310) คือ สมัยสมเด็จพระเพทราชาถึงสมัยสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศนอัมรินทร (พระเจาเอกทัศ)

18

คูมือครู


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.