คูมือครู 㪌»ÃСͺ¡ÒÃÊ͹ËÇÁ¡Ñº
˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ©ºÑº »ÃСѹÏ
ภาพปกนี้มีขนาดเทากับหนังสือเรียนฉบับจริงของนักเรียน
กระบวนการสอนแบบ 5 Es ชวยสรางทักษะการเรียนรู กิจกรรมมุงพัฒนาทักษะการคิด คำถาม + แนวขอสอบเพื่อยกผลสัมฤทธิ์ O-NET กิจกรรมบูรณาการเตรียมพรอมสู ASEAN 2558
เอกสารประกอบคูมือครู
กลุมสาระการเรียนรู สุขศึกษาและพลศึกษา
สุขศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่
5
สําหรับครู
คูมือครู Version ใหม
ลักษณะเดน
ขยายพื้นที่รูปเลมใหญขึ้นกวาเดิม จัดแบงพื้นที่ออกเปนโซน เพื่อคนหาขอมูลไดงาย สะดวก รวดเร็ว และดูเปนระเบียบ กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล
กระตุน ความสนใจ
Evaluate
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
เปาหมายการเรียนรู สมรรถนะของผูเรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค
หน า
โซน 1 กระตุน ความสนใจ
Engage
สํารวจคนหา
Explore
อธิบายความรู
Explain
ขยายความเขาใจ
Expand
ตรวจสอบผล
หน า
หนั ง สื อ เรี ย น
โซน 1
หนั ง สื อ เรี ย น
Evaluate
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
O-NET บูรณาการเชื่อมสาระ
เกร็ดแนะครู
ขอสอบ
โซน 2
โซน 3
กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย
นักเรียนควรรู
โซน 3
โซน 2 บูรณาการอาเซียน มุม IT
No.
คูมือครู
คูมือครู
No.
โซน 1 ขั้นตอนการสอนแบบ 5Es
โซน 2 ชวยครูเตรียมสอน
โซน 3 ชวยครูเตรียมนักเรียน
เพื่อใหครูเตรียมจัดกิจกรรมการเรียน การสอน โดยแนะนําขั้นตอนการสอนและ การจัดกิจกรรมแบบ 5Es อยางละเอียด เพื่อใหนักเรียนบรรลุตามตัวชี้วัด
เพื่อชวยลดภาระครูผูสอน โดยแนะนํา เกร็ดความรูสําหรับครู ความรูเสริมสําหรับ นักเรียน รวมทั้งบูรณาการความรูสูอาเซียน และมุม IT
เพื่อใหครูสะดวกตอการจัดกิจกรรม โดย แนะนํากิจกรรมบูรณาการเชือ่ มระหวางสาระหรือ กลุมสาระการเรียนรู วิชา กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย รวมถึงเนื้อหาที่เคยออกขอสอบ O-NET แนวขอสอบ NT/O-NET ทีเ่ นนการคิด พรอมเฉลยและคําอธิบายอยางละเอียด
ที่ใชในคูมือครู
แถบสีและสัญลักษณ
แถบสีแสดงขั้นตอนการสอนและการจัดกิจกรรม แบบ 5Es เพื่อใหครูทราบวาเปนขั้นการสอนขั้นใด
1. แถบสี 5Es สีแดง
สีเขียว
กระตุน ความสนใจ
เสร�ม
สํารวจคนหา
Engage
2
•
เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใช เทคนิคกระตุน ความสนใจ เพื่อโยง เขาสูบทเรียน
สีสม
อธิบายความรู
Explore
•
เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนสํารวจ ปญหา และศึกษา ขอมูล
สีฟา
Explain
•
เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนคนหา คําตอบ จนเกิดความรู เชิงประจักษ
สีมวง
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
•
Evaluate
เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนนําความรู ไปคิดคนตอๆ ไป
•
เปนขั้นที่ผูสอน ประเมินมโนทัศน ของผูเรียน
2. สัญลักษณ สัญลักษณ
วัตถุประสงค
• เปาหมายการเรียนรู
• หลักฐานแสดง ผลการเรียนรู
• เกร็ดแนะครู
แทรกความรูเสริมสําหรับครู ขอเสนอแนะ ขอควรระวัง ขอสังเกต แนวทางการจัด กิจกรรมและอืน่ ๆ เพื่อประโยชนในการ จัดการเรียนการสอน ขยายความรูเพิ่มเติมจากเนื้อหา เพื่อให ครูนําไปใชอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียน ไดมีความรูมากขึ้น
•
ความรูห รือกิจกรรมเสริม ใหครูนาํ ไปใช เตรียมความพรอมใหกบั นักเรียนกอนเขาสู ประชาคมอาเซียนใน พ.ศ. 2558 โดย บูรณาการกับวิชาทีก่ าํ ลังเรียน
บูรณาการอาเซียน
•
คูม อื ครู
แสดงรองรอยหลักฐานตามภาระงาน ที่ครูมอบหมาย เพื่อแสดงผลการเรียนรู ตามตัวชี้วัด
• นักเรียนควรรู
มุม IT
แสดงเปาหมายการเรียนรูที่นักเรียน ตองบรรลุตามตัวชี้วัด ตลอดจนสมรรถนะ ที่จะตองมี และคุณลักษณะที่พึงเกิดขึ้น กับนักเรียน
แนะนําแหลงคนควาจากเว็บไซต เพื่อให ครูและนักเรียนไดเขาถึงขอมูลความรู ที่หลากหลาย ทั้งไทยและตางประเทศ
สัญลักษณ
ขอสอบ
วัตถุประสงค
O-NET
(เฉพาะวิชา ชัน้ ทีส่ อบ O-NET)
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T (เฉพาะระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนตน)
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET (เฉพาะระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนปลาย)
บูรณาการเชื่อมสาระ
กิจกรรมสรางเสริม
กิจกรรมทาทาย
• ชีแ้ นะเนือ้ หาทีเ่ คยออกขอสอบ
O-NET โดยยกตัวอยางขอสอบ พรอมวิเคราะหคาํ ตอบ อยางละเอียด
• เปนตัวอยางขอสอบทีม่ งุ เนน
การคิดและเปนแนวขอสอบ NT/O-NET ในระดับมัธยมศึกษา ตอนตน มีทงั้ ปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลยอยางละเอียด
• เปนตัวอยางขอสอบทีม่ งุ เนน
การคิดและเปนแนวขอสอบ O-NET ในระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย มีทงั้ ปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลยอยางละเอียด
• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม
เชือ่ มกับสาระหรือกลุม สาระ การเรียนรู ระดับชัน้ หรือวิชาอืน่ ทีเ่ กีย่ วของ
• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม ซอมเสริมสําหรับนักเรียนทีค่ วร ไดรบั การพัฒนาการเรียนรู
• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม ตอยอดสําหรับนักเรียนทีเ่ รียนรู ไดอยางรวดเร็ว และตองการ ทาทายความสามารถในระดับ ทีส่ งู ขึน้
คําแนะนําการใชคูมือครู การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอน คูม อื ครู รายวิชา สุขศึกษา ม.5 จัดทําขึน้ เพือ่ ใหครูผสู อนนําไปใชเปนแนวทางวางแผนการสอนเพือ่ พัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน และประกันคุณภาพผูเรียน ตามนโยบายของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดยใช หนังสือเรียน สุขศึกษา ม.5 ของบริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด เปนสื่อหลัก (Core Material) ประกอบการสอนและ เสร�ม การจัดกิจกรรมการเรียนรูใ หสอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั กลุม สาระการเรียนรู สุขศึกษาและพลศึกษา ตาม 3 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 โดยออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนตามหลักการสําคัญ ดังนี้ 1 ออกแบบการสอนเปนหนวยการเรียนรูอิงมาตรฐาน คูมือครู รายวิชา สุขศึกษา ม.5 วางแผนการสอนโดยแบงเปนหนวยการเรียนรูตามลําดับสาระ (Strand) และ หมายเลขขอของมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั แตละหนวยจะกําหนดเปาหมายการเรียนรูแ ละจุดประสงคการเรียนรู (Objective Learning) กิจกรรมการเรียนรู (Learning Activities) และแนวทางการประเมินผลการเรียนรู (Learning Evaluation) ไวชัดเจน ครูผูสอนสามารถจัดทําแผนการสอนใหครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัด สมรรถนะ และคุณลักษณะ อันพึงประสงคที่เปนเปาหมายการเรียนรูตามที่กําหนดไวในสาระแกนกลาง (ตามแผนภูมิ) และสามารถบันทึกผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของผูเรียนแตละคนลงในเอกสาร ปพ.5 ไดอยางมั่นใจ แผนภูมิแสดงความสัมพันธขององคประกอบการออกแบบการเรียนรูอิงมาตรฐานและเนนผูเรียนเปนสําคัญ
พผ
ูเ
จุ ด ป ร
ะสง
คก า
ส ภา
รี ย น
ร
รู ีเรยน
มาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัดชวงชั้น
ทักษะการคิด การวัดประเมินผล การเรียนรู
กิจกรรมการเรียนรู
เทคนิคการสอน คูม อื ครู
2 การจัดการเรียนรูที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ แนวคิ ด ในการจั ด การเรี ย นการสอนที่ ยึ ด ผู เ รี ย นเป น สํ า คั ญ พั ฒ นามาจากปรั ช ญาและทฤษฎี ก ารเรี ย นรู Constructivism ที่เชื่อวา การเรียนรูเปนกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในสมองของผูเรียนแตละคน ผูเรียนเปนผูสรางความรู โดยการเชื่อมโยงระหวางสิ่งที่ไดเรียนรูจากบทเรียนใหมกับความรูหรือประสบการณเดิมที่มีอยู ทฤษฎีนี้มีความเชื่อวา ผูเรียนทุกคนไดเรียนรูและมีการสั่งสมความรูความเขาใจเกี่ยวกับสิ่งตางๆ ติดตัวมากอน ทีจ่ ะเขาสูห อ งเรียน ซึง่ เปนการเรียนรูท เี่ กิดจากประสบการณและสิง่ แวดลอมรอบตัวผูเ รียนแตละคน ดังนัน้ การจัดกิจกรรม เสร�ม การเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ผูสอนจะตองคํานึงถึง
4
1. ความรูเดิมของผูเรียน วิธีการสอนที่ดีจะตองเริ่มตนจากจุดที่วา ผูเ รียนมีความรูอ ะไรมาบาง แลวจึงใหความรู หรือประสบการณใหม เพื่อตอยอดจาก ความรูเดิม นําไปสูการสรางความรู ความเขาใจใหม
2. ความรูเดิมของผูเรียนถูกตองหรือไม ผูส อนตองปรับเปลีย่ นความรูค วามเขาใจเดิม ของผูเรียนใหถูกตอง และเปนพฤติกรรม การเรียนรูใ หมทมี่ คี ณุ คาตอผูเรียน เพื่อสราง เจตคติหรือทัศนคติที่ดีตอการเรียนรู สิ่งเหลานั้น
3. ผูเรียนสรางความหมายสําหรับตนเอง ผูสอนตองสงเสริมใหผูเรียนนําความรู ความเขาใจที่เกิดขึ้นไปลงมือปฏิบัติ เพื่อขยายความรูใหลึกซึ้งและมีคุณคา ตอตัวผูเรียนมากที่สุด
แนวคิด Constructivism เนนใหผูเรียนสรางความรูโดยผานกระบวนการคิดและความอยากรูของตนเอง โดยมีผูสอนเปนผูสรางบรรยากาศ
การเรียนรูและกระตุนความสนใจ คอยจัดสถานการณใหผูเรียนเกิดความขัดแยงทางความคิดระหวางประสบการณเดิมกับประสบการณ ความรูใ หม เพือ่ กระตนุ ใหผเู รียนเชือ่ มโยงความรู ความคิด กับประสบการณทมี่ อี ยูเ ดิม แลวสังเคราะหเปนความรูห รือแนวคิดใหมๆ ไดดว ยตนเอง
3 การบูรณาการกระบวนการคิด การเรียนรูของผูเรียนแตละคนจะเกิดขึ้นที่สมอง ซึ่งเปนอวัยวะที่ทําหนาที่รูคิดภายใตสภาพแวดลอมที่เอื้ออํานวย และไดรบั การกระตนุ จูงใจอยางเหมาะสม สอดคลองกับสภาพจิตใจและความตองการของผูเ รียนแตละคน การจัดกิจกรรม การเรียนรูและสาระการเรียนรูที่สอดคลองกับความสนใจและมีความหมายตอผูเรียน จะชวยกระตุนใหสมองของผูเรียน สามารถรับรูและเรียนรูไดอยางมีประสิทธิภาพตามขั้นตอนการทํางานของสมอง ดังนี้ 1. สมองจะเรียนรูและสืบคน โดยการสังเกต คนหา ซักถาม และทดลอง ปฏิบัติ จนทําใหคนพบความรูความเขาใจ ไดอยางรวดเร็ว
2. สมองจะแยกแยะคุณคาของสิ่งตางๆ โดยการตัดสินใจวิพากษวิจารณ แสดง ความคิดเห็น ยอมรับหรือตอตานตาม อารมณความรูสึกที่เกิดขึ้นในขณะที่เรียนรู
3. สมองจะประมวลเนื้อหาสาระ โดยการสรุปเปนความคิดรวบยอดจาก เรื่องราวที่ไดเรียนรูใหมนําไปผสมผสานกับ ความรูห รือประสบการณเดิมทีถ่ กู จัดเก็บอยูใ น สมอง ผานการกลัน่ กรองเพือ่ สังเคราะหเปน ความรูค วามเขาใจใหมๆ หรือเปนทัศนคติใหม ที่จะเก็บบรรจุไวในสมองของผูเรียน
การเรียนรูที่มีประสิทธิภาพจึงตองเปนการเรียนรูที่เกิดจากกระบวนการคิดของผูเรียน เพราะการเรียนรูจะเกิดขึ้น เมื่อสมองรูคิด และตองเปนการคิดไดครบถวนตามขั้นตอนการทํางานของสมองผูเรียน โดยเริ่มตนจาก 1. ระดับการคิดพื้นฐาน ไดแก การสังเกต การจําแนก การคาดคะเน การสื่อความหมาย การรวบรวมขอมูล การสรุปผล เปนตน
คูม อื ครู
2. ระดับลักษณะการคิด ไดแก การคิดกวาง คิดลึกซึ้ง คิดไกล คิดหลากหลาย คิดคลอง คิดอยางมีเหตุผล เปนตน
3. ระดับกระบวนการคิด ไดแก กระบวนการคิดอยางมีวิจารณญาณ กระบวนการแกปญหา กระบวนการ คิดสรางสรรค กระบวนการคิดสังเคราะห เปนตน
5Es การจัดกิจกรรมตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ขั้นตอนการสอนที่สัมพันธกับขั้นตอนการคิดและการทํางานทางสมองของผูเรียนที่นิยมใชอยางแพรหลาย คือ วัฏจักรการเรียนรู 5Es ซึ่งผูจัดทําคูมือครูไดนํามาใชเปนแนวทางออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในแตละหนวย ตามลําดับขั้นตอนการเรียนรู ดังนี้ ขั้นที่ 1
กระตุนความสนใจ
(Engage)
เสร�ม
5
เปนขั้นที่ผูสอนนําเขาสูบทเรียน เพื่อกระตุนความสนใจของผูเรียนดวยเรื่องราวหรือเหตุการณที่นาสนใจโดยใชเทคนิควิธีการ และคําถามทบทวนความรูหรือประสบการณเดิมของผูเรียน เพื่อเชื่อมโยงผูเรียนเขาสูความรูของบทเรียนใหม ชวยใหผูเรียนสามารถ สรุปความสําคัญหัวขอและสาระการเรียนรูของบทเรียนได จึงเปนขั้นตอนการสอนที่สําคัญ เพราะเปนการเตรียมความพรอมและสราง แรงจูงใจใฝเรียนรูแกผูเรียน
ขั้นที่ 2
สํารวจคนหา
(Explore)
เปนขัน้ ทีผ่ สู อนเปดโอกาสใหผเู รียนลงมือศึกษา สังเกต หรือรวมมือกันสํารวจ เพือ่ ใหเห็นขอบขายของประเด็นหรือปญหา รวมถึง วิธีการศึกษาคนควา การรวบรวมขอมูลความรูที่จะนําไปสูการสรางความเขาใจประเด็นหรือปญหานั้นๆ เมื่อผูเรียนทําความเขาใจใน ประเด็นหรือปญหาที่จะศึกษาคนควาอยางถองแทแลว ก็ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมขอมูลความรู สํารวจตรวจสอบ โดยวิธีการตางๆ เชน สัมภาษณ ทดลอง อานคนควาขอมูลจากเอกสาร แหลงขอมูลตางๆ จนไดขอมูลความรูที่เกี่ยวของกับประเด็นหรือปญหาที่ศึกษา
ขั้นที่ 3
อธิบายความรู
(Explain)
เปนขั้นที่ผูสอนมีปฏิสัมพันธกับผูเรียน เชน ใหการแนะนํา ตั้งคําถามกระตุนใหคิด เพื่อใหผูเรียนคนหาคําตอบ และนําขอมูล ความรูจากการศึกษาคนควาในขั้นที่ 2 มาวิเคราะห สรุปผล และนําเสนอผลที่ไดศึกษาคนความาในรูปแบบสารสนเทศตางๆ เชน เขียนแผนภูมิ ผังมโนทัศน เขียนความเรียง เขียนรายงาน เปนตน ในขั้นตอนนี้ฝกใหผูเรียนใชสมองคิดวิเคราะหและสังเคราะห อยางเปนระบบ
ขั้นที่ 4
ขยายความเขาใจ
(Expand)
เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใชเทคนิควิธีสอนตางๆ ที่สงเสริมใหผูเรียนนําความรูที่เกิดขึ้นไปคิดคนสืบคนตอๆ ไป เพื่อพัฒนาทักษะ การเรียนรูและการทํางานรวมกันเปนกลุม ระดมสมองเพื่อคิดสรางสรรครวมกัน ผูเรียนสามารถนําความรูที่สรางขึ้นใหมไปเชื่อมโยง กับประสบการณเดิมโดยนําขอสรุปทีไ่ ดไปใชอธิบายเหตุการณตา งๆ หรือนําไปปฏิบตั ใิ นสถานการณใหมๆ ทีเ่ กีย่ วของกับชีวติ ประจําวัน ของตนเอง เพื่อขยายความรูความเขาใจใหกวางขวางยิ่งขึ้น ในขั้นตอนนี้ฝกสมองของผูเรียนใหสามารถคิดริเริ่มสรางสรรคอยางมี คุณภาพ เสริมสรางวิสัยทัศนใหกวางไกลออกไป
ขั้นที่ 5
ตรวจสอบผล
(Evaluate)
เปนขัน้ ทีผ่ สู อนประเมินมโนทัศนของผูเ รียน โดยตรวจสอบจากความคิดทีเ่ ปลีย่ นไปและความคิดรวบยอดทีเ่ กิดขึน้ ใหม ตรวจสอบ ทักษะ กระบวนการปฏิบัติ การแกปญหา การตอบคําถามรวบยอด หรือการเคารพความคิดหรือยอมรับเหตุผลของคนอื่น เพื่อการ สรางสรรคความรูร ว มกัน ผูเ รียนสามารถประเมินผลการเรียนรูข องตนเอง เพือ่ สรุปผลวามีความรูอ ะไรเพิม่ ขึน้ มาบาง เกิดความเขาใจ มากนอยเพียงใด และจะนําความรูเหลานั้นไปประยุกตใชในการเรียนรูเรื่องอื่นๆ หรือในชีวิตประจําวันไดอยางไร ผูเรียนจะเกิดเจตคติ และเห็นคุณคาของตนเองจากผลการเรียนรูที่เกิดขึ้น ซึ่งเปนการเรียนรูที่มีความสุขอยางแทจริง
การจัดกิจกรรมการเรียนรูตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es จึงเปนรูปแบบการเรียนการสอนที่เนนผูเรียน เปนสําคัญอยางแทจริง เพราะสงเสริมใหผูเรียนไดเรียนรูตามขั้นตอนของกระบวนการสรางความรูดวยตนเอง และ ฝกฝนใหใชกระบวนการคิดและกระบวนการกลุมอยางชํานาญ กอใหเกิดทักษะชีวิต ทักษะการทํางาน และทักษะการ เรียนรูที่มีประสิทธิภาพ สงผลตอการยกระดับผลสัมฤทธิ์ของผูเรียน ตามเปาหมายของการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) ทุกประการ คูม อื ครู
O-NET การเพิ่มผลสัมฤทธิ์ O-NET
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ในแตละหนวยการเรียนรู ทางผูจัดทํา จะเสนอแนะวิธีสอน รูปแบบกิจกรรมการเรียนรู พรอมทั้งออกแบบเครื่องมือวัดและประเมินผลที่สอดคลองกับตัวชี้วัด และสาระการเรียนรูแกนกลางไวทุกขั้นตอน โดยยึดหลักสําคัญ คือ หลักของการวัดและประเมินผล เสร�ม
6
1. การวัดและประเมินผลทุกครั้ง ควรนําผลมาปรับปรุงพัฒนาผูเรียน เปนรายบุคคล
2. การวัดและประเมินผลมี เปาหมาย เพื่อพัฒนาการเรียนรู ของผูเรียนจนเต็มศักยภาพ
3. การนําผลการวัดและประเมินผล ทุกครั้งมาวางแผนปรับปรุงกิจกรรม การเรียนการสอน การเลือกเทคนิค วิธีสอน และสื่อการเรียนรูให เหมาะสมกับสภาพจริงของผูเรียน
การทดสอบผูเรียน 1. การใชขอสอบอัตนัย เนนการอาน การคิดวิเคราะห และการเขียนเพิ่มมากขึ้น 2. การใชคําถามกระตุนการคิดควบคูกับการทําขอสอบที่เนนการคิดอยางตอเนื่องตามลําดับกิจกรรมการเรียนรู และตัวชี้วัด 3. การทดสอบตองดําเนินการทั้งกอนเรียน ระหวางเรียน และหลังเรียน การทดสอบควรใชขอสอบทั้งชนิดปรนัยและ อัตนัย และเปนการทดสอบเพื่อประเมินผลการเรียนของผูเรียนแตละคน เพื่อการสอนซอมเสริมใหบรรลุตัวชี้วัด ไดครบถวน 4. การสอบกลางภาค (ถามี) ควรนําแบบฝกหัดหรือขอสอบทีน่ กั เรียนสวนใหญไมสามารถตอบไดหรือไมครบถวนชัดเจน มา สรางเปนแบบทดสอบอีกครัง้ เพือ่ ตรวจสอบความรูค วามเขาใจทีถ่ กู ตอง และประเมินความกาวหนาของผูเ รียนแตละคน 5. การสอบปลายภาคเรียนเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามตัวชี้วัดที่สําคัญ ควรออกขอสอบใหมีลักษณะเดียวกับ ขอสอบ O-NET โดยเนนการคิดวิเคราะห สังเคราะห เชื่อมโยงประยุกตใช เพื่อสรางความคุนเคย และฝกฝน วิธีการทําขอสอบดวยความมั่นใจ 6. การนําผลการทดสอบของผูเรียนมาวิเคราะห โดยผลการสอบกอนการเรียนตองสามารถพยากรณผลการสอบ กลางภาค และผลการสอบกลางภาคตองทํานายผลการสอบปลายภาคของผูเ รียนแตละคน เพือ่ ประเมินพัฒนาการ ความกาวหนาของผูเรียนเปนรายบุคคล 7. ผลการทดสอบปลายป ปลายภาค ตองมีคาเฉลี่ยสอดคลองกับคาเฉลี่ยของการสอบ NT ที่เขตพื้นที่การศึกษา จัดสอบ รวมทั้งคาเฉลี่ยของการสอบ O-NET ชวงชั้นที่สอดคลองครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดสําคัญ เพือ่ สะทอนประสิทธิภาพของครูผสู อนในการออกแบบการเรียนรูแ ละประกันคุณภาพผูเ รียนทีต่ รวจสอบผลไดชดั เจน การจัดการเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ตองใหผูเรียนไดสั่งสมความรู ความเขาใจตามลําดับขั้นตอน ของกิจกรรมในวัฏจักรการเรียนรู 5Es เพื่อใหผูเรียนไดเติมเต็มองคความรูอยางตอเนื่อง จนสามารถปฏิบัติชิ้นงานหรือ ภาระงานรวบยอดของแตละหนวย ผานเกณฑประกันคุณภาพในระดับที่นาพึงพอใจ เพื่อรองรับการประเมินภายนอกจาก สมศ. ตลอดเวลา คูม อื ครู
ASEAN การเรียนรูสูประชาคมอาเซียน เพื่ออํานวยความสะดวกแกครูผูสอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรูบูรณาการอาเซียนศึกษา ผูจัดทําไดวิเคราะห มาตรฐานการเรียนรู และตัวชี้วัดที่มีสาระการเรียนรูสอดคลองกับองคความรูเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนในแงมุมตางๆ ครอบคลุมทัง้ ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรม อาเซียน เพื่อสงเสริมการเรียนรูใหผูเรียนเกิดความตระหนัก มีความรูความเขาใจเหมาะสมกับระดับชั้นและกลุมสาระ การเรียนรู โดยเสนอแนะวิธีการจัดกิจกรรมบูรณาการเนื้อหาสาระตางๆ ที่เปนประโยชนตอผูเรียนและเปนการชวย เตรียมความพรอมผูเ รียนทุกคนทีจ่ ะกาวเขาสูก ารเปนสมาชิกของประชาคมอาเซียนไดอยางมัน่ ใจตามขอตกลงปฏิญญา เสร�ม ชะอํา-หัวหิน วาดวยความรวมมือดานการศึกษาเพือ่ บรรลุเปาหมายประชาคมอาเซียนทีเ่ อือ้ อาทรและแบงปน จึงกําหนด 7 เปนนโยบายใหกระทรวงศึกษาธิการจัดการเรียนรูเตรียมความพรอมผูเรียนเขาสูประชาคมอาเซียนภายในป พ.ศ. 2558 ตามแนวปฏิบัติที่สําคัญ ดังนี้
การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน 1. การสรางความรูความเขาใจ และตระหนักถึงความสําคัญของ กฎบัตรอาเซียน และความรวมมือ ของ 3 เสาหลัก ซึง่ กฎบัตรอาเซียน ในขณะนี้มีสถานะเปนกฎหมายที่ ประเทศสมาชิกจะตองปฏิบัติตาม หลักการที่กําหนดไวเพื่อใหบรรลุ เปาหมายของกฎบัตรมาตราตางๆ
2. การสงเสริมหลักการ ประชาธิปไตยและการสราง สิ่งแวดลอมประชาธิปไตย เพื่อการอยูรวมกันอยางกลมกลืน ภายใตวิถีชีวิตอาเซียนที่มีความ หลากหลายดานสังคมและ วัฒนธรรม
4. การตระหนักในคุณคาของ สายสัมพันธทางประวัติศาสตร และมรดกทางวัฒนธรรมที่มี พัฒนาการรวมกัน เพื่อเชื่อม อัตลักษณและสรางจิตสํานึก ในการเปนประชากรของประชาคม อาเซียนรวมกัน
3. การสงเสริมการศึกษาดาน สิทธิมนุษยชน เพื่อสรางประชาคม อาเซียนใหเปนประชาคมเพื่อ ประชาชนอยางแทจริง สามารถ อยูรวมกันไดบนพื้นฐานการเคารพ ในคุณคาของศักดิ์ศรีแหงความ เปนมนุษยเทาเทียมกัน
5. การสงเสริมสันติภาพ ความ มั่นคง และความปรองดองในสังคม ทั้งระดับประเทศและภูมิภาคของ อาเซียนบนพื้นฐานสันติวิธีและการ อยูรวมกันดวยขันติธรรม
คูม อื ครู
การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
เสร�ม
8
1. การพัฒนาทักษะการทํางาน เพื่อเสริมสรางผูเรียนใหมีทักษะ วิชาชีพที่จําเปนสอดคลองกับ ความตองการของตลาดแรงงาน และสถานประกอบการในอาเซียน สามารถเทียบโอนผลการเรียน และการทํางานตามมาตรฐานฝมือ แรงงานในภูมิภาคอาเซียน
2. การเสริมสรางวินัย ความรับผิดชอบ และเจตคติรักการทํางาน สามารถพึ่งพาตนเอง มีทักษะชีวิต ดํารงชีวิตอยางมีความสุข เห็นคุณคา และภูมิใจในตนเอง ในฐานะที่เปนพลเมืองไทยและ อาเซียน
3. การเรียนรูเพื่อพัฒนาตนเอง อยางตอเนื่องตลอดชีวิต ใหมี ทักษะการทํางานตามมาตรฐาน อาชีพ และคุณวุฒิของวิชาชีพสาขา ตางๆ เพื่อรองรับการเตรียมเคลื่อน ยายแรงงานมีฝมือและการเปน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่ เขมแข็ง เพื่อสรางขีดความสามารถ ในการแขงขันในเวทีโลก
การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน 1. การเสริมสรางความรวมมือ ในลักษณะสังคมที่เอื้ออาทร ของประชากรอาเซียน โดยยึด หลักการสําคัญ คือ ความงดงาม ของประชาคมอาเซียนมาจาก ความแตกตางและหลากหลายทาง วัฒนธรรมที่ลวนแตมีคุณคาตอ มรดกทางวัฒนธรรมของอาเซียน ซึ่งประชาชนทุกคนตองอนุรักษ สืบสานใหยั่งยืน
2. การเสริมสรางคุณลักษณะ ของผูเรียนใหเปนพลเมืองอาเซียน ที่มีศักยภาพในการกาวเขาสู ประชาคมอาเซียนอยางมั่นใจ เปนผูที่มีสุขภาพสมบูรณแข็งแรง มีทักษะการสื่อสาร ทักษะการ ทํางาน ทักษะทางสังคม สามารถ ทํางานรวมกับผูอื่นไดอยาง สรางสรรค และมีองคความรู เกี่ยวกับอาเซียนที่จําเปนตอการ ดํารงชีวิตอยางมีคุณภาพ
4. การสงเสริมการเรียนรูดาน ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถชี วี ติ ความเปนอยูข องเพือ่ นบาน ในอาเซียน เพื่อสรางจิตสํานึกของ ความเปนประชาคมอาเซียนและ ตระหนักถึงหนาที่ของการเปน พลเมืองอาเซียนรวมกัน
3. การสงเสริมการเรียนรูภาษา อังกฤษเพื่อการสื่อสารและการ ทํางานตามมาตรฐานอาชีพที่ กําหนดและสนับสนุนการเรียนรู ภาษาอาเซียนและภาษาเพื่อนบาน เพื่อชวยเสริมสรางสัมพันธภาพทาง สังคม และการอยูรวมกันอยางสันติ ทามกลางความหลากหลายทาง วัฒนธรรม
5. การสรางความรูและความ ตระหนักเกี่ยวกับดานสิ่งแวดลอม ปญหาและผลกระทบตอคุณภาพ ชีวิตของประชากรในภูมิภาค รวมทั้งแนวทางการพัฒนาอยาง ยั่งยืน ใหเปนมรดกสืบทอดแก พลเมืองอาเซียนในรุนหลังตอๆ ไป
กระทรวงศึกษาธิการจึงประกาศนโยบายการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) เพื่อเรงพัฒนาเด็ก และเยาวชนไทยใหเปนทรัพยากรมนุษยของชาติที่มีทักษะและความชํานาญ พรอมเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและ การแขงขันทั้งในภูมิภาคอาเซียนและภูมิภาคอื่นๆ ของสังคมโลก ทั้งนี้ผูบริหารสถานศึกษา ครูผูสอน และผูปกครอง ควรรวมมือกันอยางใกลชิดในการดูแลชวยเหลือผูเรียนและจัดประสบการณการเรียนรูเพื่อพัฒนาผูเรียนจนเต็มศักยภาพ เพื่อกาวเขาสูการเปนพลเมืองอาเซียนอยางมีเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีความเปนมนุษยของตน คณะผูจัดทํา คูม อื ครู
ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง สาระที่ 1
สุขศึกษา (เฉพาะชั้น ม.4-6)*
การเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย
มาตรฐาน พ 1.1 เขาใจธรรมชาติของการเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
1. อธิบาย • กระบวนการสรางเสริม กระบวนการสราง และดํารงประสิทธิภาพ เสริมและดํารง การทํางานของระบบ ประสิทธิภาพ อวัยวะตางๆ การทํางาน - การทํางานของระบบ ของระบบ อวัยวะตางๆ อวัยวะตาง ๆ - การสรางเสริมและ ดํารงประสิทธิภาพ ของอวัยวะตางๆ (อาหาร การออกกําลังกาย นันทนาการ การตรวจสุขภาพ ฯลฯ) 2. วางแผนดูแล • การวางแผนดูแล สุขภาพตามภาวะ สุขภาพของตนเองและ การเจริญเติบโต บุคคลในครอบครัว และพัฒนาการ ของตนเองและ บุคคลในครอบครัว
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน ชั้น ม.4
ชั้น ม.5
ชั้น ม.6
• หนวยการเรียนรูท ี่ 1 • หนวยการเรียนรูท ี่ 1 • หนวยการเรียนรูท ี่ 1 การทํางานของ ระบบหายใจ ระบบ ระบบประสาท ระบบผิวหนัง ไหลเวียนโลหิต ระบบสืบพันธุ และ ระบบกระดูก และระบบขับถาย ระบบตอมไรทอ และระบบ กลามเนือ้
• หนวยการเรียนรูท ี่ 2 • หนวยการเรียนรูท ี่ 2 การวางแผนดูแล การวางแผนดูแล สุขภาพของตนเอง สุขภาพของตนเอง และครอบครัว และครอบครัว
เสร�ม
9
-
หมายเหตุ : สําหรับสาระที่ 3 จะอยูในหนังสือเรียนพลศึกษา ม.5 ของ อจท. _________________________________ * สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง กลุมสาระการเรียนรูสุขศึกษาและพลศึกษา. (กรุงเทพมหานคร : ชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย, 2551), หนา 7-47.
คูม อื ครู
สาระที่ 2
ชีวิตและครอบครัว
มาตรฐาน พ 2.1 เขาใจและเห็นคุณคาตนเอง ครอบครัว เพศศึกษา และมีทักษะในการดําเนินชีวิต ตัวชี้วัด
เสร�ม
10
1. วิเคราะหอิทธิพล ของครอบครัว เพื่อน สังคม และ วัฒนธรรมที่มี ผลตอพฤติกรรม ทางเพศและ การดําเนินชีวิต 2. วิเคราะหคานิยม ในเรื่องเพศ ตาม วัฒนธรรมไทย และวัฒนธรรม อื่นๆ 3. เลือกใชทักษะ ที่เหมาะสมใน การปองกัน ลดความขัดแยง และแกปญหา เรื่องเพศและ ครอบครัว
สาระการเรียนรูแกนกลาง
ชั้น ม.5
ชั้น ม.6
• อิทธิพลของครอบครัว • หนวยการเรียนรูท ี่ 3 เพื่อน สังคม และ พฤติกรรมทางเพศ วัฒนธรรมที่มีตอ และการดําเนินชีวติ พฤติกรรมทางเพศ และ การดําเนินชีวิต
-
-
• คานิยมในเรื่องเพศ • หนวยการเรียนรูท ี่ 4 ตามวัฒนธรรมไทยและ คานิยมทางเพศกับ วัฒนธรรมอื่นๆ วัฒนธรรม
-
-
-
• หนวยการเรียนรูท ี่ 3 ทักษะในการ ปองกัน ลดความ ขัดแยงและ แกปญ หาเรือ่ งเพศ และครอบครัว
-
• หนวยการเรียนรูท ี่ 5 สัมพันธภาพ ระหวางนักเรียน หรือเยาวชนใน ชุมชน
-
-
• แนวทางในการเลือกใช ทักษะตางๆ ในการ ปองกัน ลดความขัดแยง และแกปญ หาเรือ่ งเพศ และครอบครัว - ทักษะการสื่อสารและ สรางสัมพันธภาพ - ทักษะการตอรอง - ทักษะการปฏิเสธ - ทักษะการคิดวิเคราะห - ทักษะการตัดสินใจ และแกไขปญหา ฯลฯ 4. วิเคราะหสาเหตุ • ความขัดแยงที่อาจ และผลของ เกิดขึ้นระหวางนักเรียน ความขัดแยง หรือเยาวชนในชุมชน ที่อาจเกิดขึ้น - สาเหตุของความ ระหวางนักเรียน ขัดแยง หรือเยาวชนใน - ผลกระทบที่เกิดจาก ชุมชน และเสนอ ความขัดแยงระหวาง แนวทางแกไข นักเรียน หรือ ปญหา เยาวชนในชุมชน - แนวทางในการ แกปญหาที่อาจ เกิดจากความขัดแยง ของนักเรียนหรือ เยาวชนในชุมชน
คูม อื ครู
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน ชั้น ม.4
สาระที่ 4
การสรางเสริมสุขภาพ สมรรถภาพและการปองกันโรค
มาตรฐาน พ 4.1 เห็นคุณคาและมีทักษะในการสรางเสริมสุขภาพ การดํารงสุขภาพ การปองกันโรค และการสรางเสริม สมรรถภาพเพื่อสุขภาพ ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
1. วิเคราะหบทบาท และความ รับผิดชอบของ บุคคลที่มีตอ การสรางเสริม สุขภาพและ การปองกันโรค ในชุมชน 2. วิเคราะห อิทธิพล ของสื่อโฆษณา เกี่ยวกับสุขภาพ เพื่อการเลือก บริโภค 3. ปฏิบัติตนตาม สิทธิของผูบริโภค
• บทบาทและความ รับผิดชอบของบุคคล ที่มีตอการสรางเสริม สุขภาพและการปองกัน โรคในชุมชน
4. วิเคราะหสาเหตุ และเสนอแนวทาง การปองกันการ เจ็บปวยและการ ตายของคนไทย 5. วางแผนและ ปฏิบัติตาม แผนการพัฒนา สุขภาพของ ตนเองและ ครอบครัว
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน ชั้น ม.4
ชั้น ม.5
ชั้น ม.6
-
-
• หนวยการเรียนรูท ี่ 2 การสรางเสริม สุขภาพและ การปองกันโรค ในชุมชน
-
• หนวยการเรียนรูท ี่ 4 สือ่ โฆษณากับ สุขภาพ
• อิทธิพลของสื่อโฆษณา เกี่ยวกับสุขภาพ • แนวทางการเลือก บริโภคอยางฉลาด และปลอดภัย • สิทธิพื้นฐานของ ผูบริโภคและกฎหมาย ที่เกี่ยวของกับการ คุมครองผูบริโภค • สาเหตุของการเจ็บปวย และการตายของคนไทย เชน โรคจากการ ประกอบอาชีพ โรคทางพันธุกรรม • แนวทางการปองกัน การเจ็บปวย • การวางแผนการพัฒนา • หนวยการเรียนรูท ี่ 2 สุขภาพของตนเอง การวางแผนดูแล ครอบครัว สุขภาพของตนเอง และครอบครัว
เสร�ม
11
• หนวยการเรียนรูท ี่ 4 • หนวยการเรียนรูท ี่ 4 สิทธิผบู ริโภค สือ่ โฆษณากับ สุขภาพ • หนวยการเรียนรูท ี่ 5 การเจ็บปวยและ การตายของ คนไทย
-
-
-
คูม อื ครู
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
6. มีสวนรวมใน • การมีสวนรวมในการ การสงเสริมและ สงเสริมและพัฒนา พัฒนาสุขภาพ สุขภาพของบุคคล ของบุคคลใน ในชุมชน ชุมชน 7. วางแผนและ • การวางแผนพัฒนา ปฏิบัติตาม สมรรถภาพทางกาย แผนการพัฒนา และสมรรถภาพกลไก สมรรถภาพกาย และสมรรถภาพ กลไก
เสร�ม
12
สาระที่ 5
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน ชั้น ม.4
ชั้น ม.5
ชั้น ม.6
• หนวยการเรียนรูท ี่ 2 การสรางเสริม สุขภาพและ การปองกันโรค ในชุมชน • หนวยการเรียนรูท ี่ 6 สมรรถภาพทาง กายและทางกลไก
-
-
-
ความปลอดภัยในชีวิต
มาตรฐาน พ 5.1 ปองกันและหลีกเลี่ยงปจจัยเสี่ยง พฤติกรรมเสี่ยงตอสุขภาพ อุบัติเหตุ การใชยา สารเสพติด และความ รุนแรง ตัวชี้วัด
1. มีสวนรวมในการ ปองกันความ เสี่ยงตอการใชยา การใชสารเสพติด และความรุนแรง เพื่อสุขภาพของ ตนเอง ครอบครัว และสังคม 2. วิเคราะหผล กระทบที่เกิดจาก การครอบครอง การใชและ การจําหนาย สารเสพติด
คูม อื ครู
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน ชั้น ม.4
ชั้น ม.5
ชั้น ม.6
• การจัดกิจกรรมปองกัน • หนวยการเรียนรูท ี่ 6 ความเสี่ยงตอการใชยา การใชยาและ สารเสพติด และความ สารเสพติด รุนแรง
-
-
• การวิเคราะหผลกระทบ • หนวยการเรียนรูท ี่ 6 ทีเ่ กิดจากการครอบครอง การใชยาและ การใชและการจําหนาย สารเสพติด สารเสพติด (ตนเอง ครอบครัว เศรษฐกิจ สังคม) • โทษทางกฎหมายที่เกิด จากการครอบครอง การใชและการจําหนาย สารเสพติด
-
• หนวยการเรียนรูท ี่ 3 สารเสพติด
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
3. วิเคราะหปจจัยที่ มีผลตอสุขภาพ หรือความรุนแรง ของคนไทยและ เสนอแนวทาง ปองกัน 4. วางแผน กําหนด แนวทางลด อุบัติเหตุ และ สรางเสริมความ ปลอดภัยใน ชุมชน 5. มีสวนรวมใน การสรางเสริม ความปลอดภัยใน ชุมชน 6. ใชทักษะการ ตัดสินใจ แกปญหาใน สถานการณที่ เสี่ยงตอสุขภาพ และความรุนแรง 7. แสดงวิธีการชวย ฟนคืนชีพอยาง ถูกวิธี
• ปจจัยที่มีผลตอสุขภาพ ของคนไทยและเสนอ แนวทางปองกัน
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน ชั้น ม.4
ชั้น ม.5
ชั้น ม.6
-
• หนวยการเรียนรูท ี่ 7 ปจจัยทีม่ ผี ลตอ ความรุนแรงของ คนไทย
-
เสร�ม
13
• การวางแผน กําหนด แนวทางลดอุบัติเหตุ และสรางเสริมความ ปลอดภัยในชุมชน
-
-
• หนวยการเรียนรูท ี่ 5 การสรางเสริม ความปลอดภัย ในชุมชน
• กิจกรรมการสรางเสริม ความปลอดภัยในชุมชน
-
-
• ทักษะการตัดสินใจ • หนวยการเรียนรูท ี่ 7 แกปญ หาในสถานการณ ความรุนแรงใน ที่เสี่ยงตอสุขภาพ สังคม
-
• หนวยการเรียนรูท ี่ 5 การสรางเสริม ความปลอดภัย ในชุมชน -
• หนวยการเรียนรูท ี่ 8 การชวยฟน คืนชีพ
-
-
• วิธีการชวยฟนคืนชีพ อยางถูกวิธี
คูม อื ครู
จุดเนนการพัฒนาคุณภาพผูเรียน* การขับเคลื่อนหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 และการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษ ที่สอง (พ.ศ. 2552-2561) ใหประสบผลสําเร็จตามจุดเนนการพัฒนาคุณภาพผูเรียน โดยใหทุกภาคสวน รวมกันดําเนินการ กระทรวงศึกษาธิการไดกําหนดจุดเนนการพัฒนาคุณภาพผูเรียน ดังนี้ เสร�ม
14
ทักษะ ความสามารถ
คุณลักษณะ จุดเนนตามชวงวัย
ม. 4-6
แสวงหาความรู เพื่อแกปญหา ใชเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู ใชภาษาตางประเทศ (ภาษาอังกฤษ) มีทักษะการคิดขั้นสูง ทักษะชีวิต ทักษะการสื่อสารอยางสรางสรรคตามชวงวัย
ม. 1-3
แสวงหาความรูดวยตนเอง ใชเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู มีทักษะการคิดขั้นสูง ทักษะชีวิต ทักษะการสื่อสารอยางสรางสรรคตามชวงวัย
• อยูอยางพอเพียง
ป. 4-6
อานคลอง เขียนคลอง คิดเลขคลอง ทักษะการคิดขั้นพื้นฐาน ทักษะชีวิต ทักษะการสื่อสารอยางสรางสรรคตามชวงวัย
• ใฝเรียนรู
ป. 1-3
อานออก เขียนได คิดเลขเปน มีทักษะการคิดขั้นพื้นฐาน ทักษะชีวิต ทักษะการสื่อสารอยางสรางสรรคตามชวงวัย
• ใฝดี
• มุงมั่นในการศึกษา และการทํางาน
คุณลักษณะตามหลักสูตร
• รักชาติ ศาสน กษัตริย • ซื่อสัตยสุจริต • มีวินัย • ใฝเรียนรู • อยูอยางพอเพียง • มุงมั่นในการทํางาน • รักความเปนไทย • มีจิตสาธารณะ
* สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ. แนวทางการนําจุดเนนการพัฒนาผูเรียน สูการปฏิบัติ. (กรุงเทพมหานคร : ชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย, 2553), หนา 3-10.
คูม อื ครู
คําอธิบายรายวิชา รายวิชา สุขศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 รหัสวิชา พ…………………………………
กลุมสาระการเรียนรู สุขศึกษาและพลศึกษา ภาคเรียนที่ 1-2 เวลา 40 ชั่วโมง/ป
ศึกษา วิเคราะห และอธิบายกระบวนการสรางเสริมและดํารงประสิทธิภาพการทํางานของระบบหายใจ ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบยอยอาหาร และระบบขับถาย วางแผนดูแลสุขภาพตามภาวะการเจริญเติบโตและ เสร�ม พัฒนาการของตนเองและบุคคลในครอบครัว ปฏิบตั ติ ามแผนการพัฒนาสมรรถภาพทางกายและสมรรถภาพทาง 15 กลไก เลือกใชทักษะที่เหมาะสมในการปองกัน ลดความขัดแยง และแกปญหาเรื่องเพศและครอบครัว ปฏิบัติตน ตามสิทธิผบู ริโภค วิเคราะหสาเหตุการเจ็บปวยและการตายของคนไทย ปจจัยทีม่ ผี ลตอสุขภาพหรือความรุนแรง ของคนไทยและเสนอแนวทางปองกัน โดยใชกระบวนการคิด กระบวนการเรียนรูแบบรวมมือ กระบวนการสืบคนขอมูล กระบวนการปฏิบัติ และ กระบวนการกลุม เพือ่ ใหเกิดความรูค วามเขาใจ นําหลักการ แนวคิดไปปรับปรุง ปฏิบตั ใิ นการดูแลรักษาและพัฒนาคุณภาพ ชีวิตของตนเองและครอบครัว มีคุณธรรมจริยธรรม และมีคุณลักษณะอันพึงประสงคในดานความรักชาติ ศาสน กษัตริย ซื่อสัตยสุจริต มีวินัย ใฝเรียนรู มุงมั่นในการทํางาน มีจิตสาธารณะ รักความเปนไทย ตัวชี้วัด พ 1.1 พ 2.1 พ 4.1 พ 5.1
ม.4-6/1 ม.4-6/2 ม.4-6/3 ม.4-6/3 ม.4-6/4 ม.4-6/7 ม.4-6/3
รวม 7 ตัวชี้วัด
คูม อื ครู
ตาราง
วิเคราะหมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั รายวิชา สุขศึกษา ม.5
คําชี้แจง : ใหผูสอนใชตารางนี้ตรวจสอบความสอดคลองของเนื้อหาสาระการเรียนรูในหนวยการเรียนรูกับมาตรฐาน การเรียนรูและตัวชี้วัดชวงชั้น เสร�ม
16
สาระที่ 2 มาตรฐานการเรียนรู สาระที่ 1 มาตรฐาน และตัวชี้วัด มาตรฐาน พ 1.1 พ 2.1 ตัวชี้วัด ตัวชี้วัด หนวยการเรียนรู 1 2 1 2 3 4 หนวยการเรียนรูที่ 1 : ระบบหายใจ ระบบไหลเวียน โลหิตระบบยอยอาหาร และ ระบบขับถาย หนวยการเรียนรูที่ 2 : การวางแผนดูแลสุขภาพของ ตนเอง และครอบครัว หนวยการเรียนรูที่ 3 : ทักษะในการปองกัน ลด ความขัดแยงและแกปญหา เรื่องเพศและครอบครัว หนวยการเรียนรูที่ 4 : สิทธิผูบริโภค หนวยการเรียนรูที่ 5 : การเจ็บปวยและการตาย ของคนไทย หนวยการเรียนรูที่ 6 : สมรรถภาพทางกายและ ทางกลไก
สาระที่ 4 มาตรฐาน พ 4.1 ตัวชี้วัด 1
2
3
4
สาระที่ 5 มาตรฐาน พ 5.1 ตัวชี้วัด 5
6
7
2
3
✓
✓
✓
✓
✓
✓
หนวยการเรียนรูที่ 7 : ปจจัยที่มีผลตอความรุนแรง ของคนไทย
หมายเหตุ ✓ เฉพาะที่สอดคลองกับตัวชี้วัด ม.5 เทานั้น ตัวชี้วัดที่เหลือจะจัดการเรียนการสอนในชั้น ม.4 และ ม.6 สาระที่ 3 อยูในหนังสือเรียนพลศึกษา ม.5
คูม อื ครู
1
✓
4
5
6
7
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÃÒÂÇÔªÒ¾×é¹°Ò¹
สุขศึกษา ม.๕ ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๕
กลุมสาระการเรียนรูสุขศึกษาและพลศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ผูเรียบเรียง
รศ. ดร. พรสุข หุนนิรันดร รศ. ดร. ประภาเพ็ญ สุวรรณ ผศ. ดร. สุรียพันธุ วรพงศธร ดร. อนันต มาลารัตน
ผูตรวจ
ผศ. ดร. ทรงพล ตอนี ผศ. รัตนา เจริญสาธิต นางสาวกัญจนณัฏฐ ตะเภาพงษ
บรรณาธิการ
รศ. ดร. จุฬาภรณ โสตะ นายสมเกียรติ ภูระหงษ พิมพครั้งที่ ๖
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ รหัสสินคา ๓๕๑๔๐๐๓
¤Œ¹¤ÇÒÁÃÙŒ¢ÂÒ¤ÇÒÁ¤Ô´¨Ò¡ ¾ÔÁ¾ ¤ÃÑ駷Õè 1 ÃËÑÊÊÔ¹¤ŒÒ 3544005
EB GUIDE
ที่พิมพกํากับหัวขอสําคัญในหนังสือเรียนหลักสูตรแกนกลางฯ ผาน www.aksorn.com ไปยังแหลงความรูทั่วไทย-ทั่วโลก
คณะผูจัดทําคูมือครู เบญจพร ทองมาก ธงชัย หวลถึง
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
อธิบายความรู
Explore
ขยายความเขาใจ
Explain
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
¤íÒá¹Ð¹íÒ㹡ÒÃ㪌˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน สุขศึกษาเลมนี้ ใชประกอบการเรียนการสอนรายวิชาพื้นฐาน กลุม สาระการเรียนรูส ขุ ศึกษาและพลศึกษา ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ ๕ เนื้อหาตรงตามสาระการเรียนรูแกนกลางขั้นพื้นฐาน อานทําความเขาใจงาย ใหทั้งความรูและ ชวยพัฒนาผูเรียนตามหลักสูตรและตัวชี้วัด เนื้อหาสาระแบงออกเปนหนวยการเรียนรูตามโครงสรางรายวิชา สะดวกแกการจัดการเรียนการสอนและการวัดผลประเมินผล พรอมเสริมองคประกอบอื่นๆ ที่จะชวยทําให ผูเ รียนไดรบั ความรูอ ยางมีประสิทธิภาพ à¹×éÍËҵçµÒÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹Ãٌ᡹¡ÅÒ§
µÑǪÕÇé ´Ñ áÅÐÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙጠ¡¹¡ÅÒ§Ï µÒÁ·ÕËè ÅÑ¡Êٵà ¨Ñ´¡ÅØ‹Áà¹×éÍËÒ໚¹Ë¹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ ¡íÒ˹´ à¾×èÍãËŒ·ÃÒº¶Ö§à»‡ÒËÁÒÂ㹡ÒÃÈÖ¡ÉÒ Êдǡᡋ¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹
ó ·Ñ¡ÉÐ㹡Òû‡Í§¡Ñ¹
áÅÐá¡»Œ Þ ˜ ËÒàÃ×Íè §àž´¤ÇÒÁ¢Ñ´áÂŒ§ ÈáÅФÃͺ ¤ÃÑÇ ตัวชี้วัด ■
เลือกใชทกั ษะท ลดความขดั แย เี่ หมาะสมในการปองกัน และครอบคร ง และแกปญ ัว (พ ๒.๑ ม.๔-หาเรอื่ งเพศ ๖/๓)
สาระการเรียนรู
แกนกลาง
แนวทางในกา การปองกัน รเลือกใชทกั ษะตา งๆ ใน ลดค ปญหาเรื่องเพศ วามขัดแยง และแก - ทักษะการสื และครอบครัว ่อสารและสร าง สัมพันธภา - ทักษะการตพ - ทักษะการป อรอง - ทักษะการคิ ฏิเสธ ด วิ - ทักษะการตั เคราะห ดสินใจ และ แก ฯลฯ ไขปญหา ■
ธรรมชาติของมน
ุษยเกิดมาพร กับสิ่งแวดล อมกับความ อมภ ขัดแยงภายใน ทีร่ า ยแรงไปเส ายนอก จึงควรตองท ตนเอง แล ําคว ยี ะมีความขัด ตางๆ เชน ทั ทุกเรือ่ ง ซึง่ ความขัดแย ามเขาใจเรื่องความขัด แยง แยง กษะ ง สา การคดิ วิเคร การสอื่ สารและสรา งส มารถบรหิ ารจดั การได วาไมใชประเด็นปญหา ดวยการปลู มั พันธภาพ าะห ทักษะกา ทักษะการต กฝงทักษะชี รตดั สินใจแ ดังนั้น การจ อ วติ รอ ละ แก ง ทั ไ ขปญ กษะการปฏิ ัดการความ หา เปนต การกระทํา เ สธ ขั น ด ทั แย เพื ก ษะ อ ่ ง ลดความขัด ดวยสันติวิธ เพื่อแกปญ แยง ใหมนี อ หาโดยไมใช ี โดยการป เปนการเปลี ยลง ความรุน ลูกฝงทัก ่ยนพ บีบบังคับ เพื ฤติกรรมที่ไมถูกตองห แรง หรือถาอธิบายในม ษะชีวิตตางๆ จึงเปน รื ่อคุณภาพช ุมมองของสั ีวิตและสัมพั อไมชอบธรรมของอีก นติวิธี ก็คือ ฝาย โดยไม นธภาพที่ด ทําราย ขม ีสืบไป ขู หรือ
Design ˹ŒÒẺãËÁ‹ ÊǧÒÁ ¾ÔÁ¾ ô ÊÕ µÅÍ´àÅ‹Á ª‹ÇÂãˌ͋ҹࢌÒã¨ä´Œ§‹ÒÂ
ของระบบหายใจ
ควรออกก�ำลังกำยให้เหมำะสมตำมวั ย จะช่วยท�ำให้ร่ำงกำยแข็งแรง มีรูป เป็นประจ�ำอย่ำงน้อยสัปดำห์ละ 3 วัน วันละประมำณ ๓๐ นำที ซึ ่งกำรออกก�ำลังกำย ร่ำงสมส่วน
๑.๑ องคประกอบ านเขาออกในรางกาย ซึ่งประกอบไปดวย ระบบหายใจเปนกระบวนการหายใจที่ใหอากาศผ ายใจเขา-ออก ไดแก จมูก ปาก หลอดคอ อวัยวะ ๒ สวน คือ สวนที่เปนทางผานของลมห ่ยนแกส ไดแก ปอด โดยอวัยวะในแตละ เปลี นการแลก ใ ่ ที า หน า ํ ท ่ นที ว และส หลอดเสียง หลอดลม สวนก็จะทําหนาที่แตกตางกันออกไป ดังแผนภาพ
อ.๓ อารมณ์
อำรมณ์จะมีควำมสัมพันธ์กับสุขภำพมำก ไปด้วย แต่ในทำงตรงกันข้ำม หำกมี ซึ่งหำกมีอำรมณ์ดี ก็จะส่งผลท�ำให้กำรท�ำงำนของระบบต่ำงๆ ในร่ำงกำยดีตำม อ อำหำรไม่ย่อย นอนไม่หลับ เครีย ำรมณ์ไม่ดี ก็จะมีผลเสียต่อสุขภำพและอำจก่อให้เกิดควำมผิดปกติ ด เป็นต้น ต่อร่ำงกำยได้ เช่น
อ.๔ อนามัยชุมชน
สภำพแวดล้อมมีผลต่อสุขภำพอนำม ยั ของบุคคล โดยเรมิ่ ตัง้ แต่สภำพแวดล ที่ดี คือ มีกำรท�ำควำมสะอำด ถู อ้ มภำยในบำ้ น หำกสภำพแวดล้อ กสุขลักษณะ อำกำศถ่ำยเทสะดว ก ก็ย่อมส่งผลให้ทั้งตนเองและสมำชิ มด้งั กล่ำวมีสภำวะ สุขภำพที่ดีด้วย กภำยในครอบครัวมี
บบหายใจ
แผนภาพแสดงกระบวนการทํางานของระ
ตรงยาว หลอดคอ (Pharynx ) เป น หลอดตั้ ง อ งจมู ก ประมาณ ๕ นิ้ ว ติ ด ต อ ทั้ ง ช อ งปากและช บ หลอดอาหา ร ทํ า หน า ที่ เ ป น ตั ว แยกระหว า งหลอดลมกั ยกระดู ก อ อ น ซึ่ ง โครงสร า งของหลอด คอประกอบ ด ว หรือ ๙ ชิ้น โดยชิ้นที่ใหญที่สุด คือ กระดูกธัยรอยด ที่เราเรียกวา “ลูกกระเดือก” (Adam’s apple)
ตรง จมู ก (Nose) เป น ส ว นที่ ยื่ น ออกมาจาก ่ยม กึ่ ง กลางของใบ หน า มี ลั ก ษณะเป น รู ป สามเหลี ก พี ร ะมิ ด ภายในรู จ มู ก จะมี เ ยื่ อ บุ จ มู ก และขนจมู าไปและ ทําหนาที่เปนทางผานของอากาศที่หายใจเข กรองฝุนละออง
หลอดเสี ย ง (Larynx) อยู ติ ด ใตหลอดคอ ขณะกลืนอาหารหรือเครื่อง ดื่มจะมีแผนเนื้อเยื่อขนาดเล็ก ที่เรียกวา “ฝากลองเสียง” คอยปดหลอดลมเพื่อ ไมใหอาหารลงไปผิดชอง
หลอดลม (Trachea) เป น สวนที่ตอจากหลอดเสียงยาวลงไป ในทรวงอก ลั ก ษณะรู ป ร า งของ หลอดลมเปนหลอดกลมๆ ประกอบ ดวยกระดูกออนรูปวงแหวนวางอยู ทางดานหลังหลอดลมทําใหหลอดลม เปดอยูตลอดเวลา ไมแฟบเขาหา กันโดยแรงดันจากภายนอก สงผลให อากาศเขาไดตลอดเวลา
ภายในปอดจะ ปอด (Lang) ถูกหอหุมดวยกระดูกซี่โครง ออกซิเจนกับแกส มีถุงลม ซึ่งทําหนาที่ในการแลกเปลี่ยนแกส คารบอนไดออกไซด
๒
EB GUIDE
http://www.aksorn.com/LC/He/M5/01
อ.๔ อนามัยชุมชน
ควำมไม่มีโรค ควบคู่กับควำมไม่ ประมำท ถือเป็นลำภอันประเสริฐ ที่ส่งผลให้มีสุขภำพดี ท�ำให้สำมำรถท� ต่ำงๆ ได้อย่ำงมีประสิทธิภำพและมี ำงำนหรือกิจกรรม ควำมสุขในกำรด�ำรงชีวิตได้ดียิ่งขึ ้น จำกหลักกำร ๕ อ. ที
่ได้กล่ ตนเองและครอบครัว เพื่อกำรมีส ำวมำข้ำงต้นนี้ นักเรียนสำมำรถน�ำไปปรับใช้ในกำรวำงแผนดูแลสุ ุขภำพและคุณภำพชีวิตที่ดีต่อไป ขภำพของทั้ง
๓. การวิเคราะห์เพื่อการวางแผ นดูแลสุขภาพของตนเอง และครอบครัว
ทอปสสาวะ (Urethra) เปนสวน ที่ตอจากกระเพาะปสสาวะ เพื่อนํานํ้า ปสสาวะออกสูภายนอก
ลผานไตและหนวย การทํางานของระบบขับถายปสสาวะจะเริ่มขึ้นเมื่อโลหิตหรือพลาสมาไห เขาไปใชใหมใน ละนํ้าบางสวนกลับ ไต ซึ่งในบริเวณนี้จะมีการกรองและดูดซึมสารที่มีประโยชนแ นรูปของ ออกจากไตใ ต ผลิ ก นจะถู ว บางส า ้ ละนํ แ รางกาย ในขณะที่สารซึ่งรางกายไมไดใชประโยชน ปสสาวะ และถูกขับออกมาจากไตไปเก็บยัง กระเพาะปสสาวะผานทอไต เมื่อปริมาณของ นํ้าปสสาวะในกระเพาะปสสาวะมากพอ ระบบ ประสาททีค่ วบคุมการขับถายปสสาวะจะกระตนุ ให ร า งกายมี ก ารขั บ นํ้ า ป ส สาวะออกม าทาง ทอปสสาวะตอไป เมื่อรางกายของคนเรานํา นํา้ เขาไปสูร า งกายนอย จะสงผลใหการทํางาน ของระบบขับถายปสสาวะดอยประสิทธิภาพลง เพราะไตจะไมมีนํ้าที่นําเขาไปใหขับออกมา จึง ตองใชนาํ้ ในรางกาย ซึง่ อาจเปนนํา้ เลือดทีไ่ ตดึง ออกมาเพื่อจะไดมีการขับถายที่ปกติ ดังนั้นเรา การดื่มนํ้าจะชวยใหรางกายขับถายของเสียออกมา แต จึงเห็นวาปสสาวะที่ขับออกมาจะสีเหลืองเขม ถาดืม่ นํา้ ในปริมาณทีน่ อ ยกวาความตองการของรางกาย
๓๑
¤íÒ¶ÒÁ»ÃШíÒ˹‹Ç à¾×èÍãËŒ¹Ñ¡àÃÕ¹䴌½ƒ¡¤Ô´áÅÐ ·º·Ç¹¤ÇÒÁÃÙŒ áÅСԨ¡ÃÃÁÊÌҧÊÃä ¾Ñ²¹Ò¡Òà àÃÕ¹ÃÙŒ à¾×èͪ‹Ç¾Ѳ¹Ò¼ŒÙàÃÕ¹ãËŒºÃÃÅؼÅÊÑÁÄ·¸Ôì µÒÁµÑǪÕéÇÑ´
àÊÃÔÁÊÒÃШҡà¹×Íé Ëҹ͡à˹×ͨҡ ·ÕÁè ãÕ ¹ÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙጠ¡¹¡ÅÒ§ à¾×Íè à¾ÔÁè ¾Ù¹áÅТÂÒ¾ÃÁá´¹¤ÇÒÁÃÙ㌠ˌ ¡ÇŒÒ§¢ÇÒ§ÍÍ¡ä»
¤Ò¶ÒÁ»ÃШíÒ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ
กิดการ แยลง สงผลใหเ ของประชากรให ขึ้น จึงทําใหสุขภาพ พื่อสุขภาพที่ดี ตามวิธีตอไปนี้ จจุบันเรงรีบมาก ลตัวเองเ แ ู มาด น ั วิถีชีวิตในสังคมป วรห ้น เราค นตน รายเพิ่มขึ้น ดังนั หนัง ฟงเพลง เป ืมตัว เสียชีวิตจากโรค น อานหนังสือ ดู อดิเรกที่เรารัก เชวนดีใจ เสียใจ หรือขาดสติโกรธจนล ด จิต ■ ทํางาน ๑. ใสใจสุขภาพ ียด ■ ฝกควบคุมอารมณ ไมมใส มีอารมณขัน แจ ลดความเคร ทําจิิตใจใหราเริง ■ งานยากวาเปน พักผอนใหเพียงพอลายๆ แงมุม เชน มองงานหนัก ■ รูจักมองโลกในห มารถ ■ มสา ควา ทาย า การท - ๑๐ แกว ้าสะอาดวันละ ๘ รรม ■ ดื่มนํงอาหารติดมัน อาหารทอดกรอบ ัม ๒. สรางพฤติก เลี่ย ■ ไดวันละครึ่งกิโลกรลูกเดือย ขาวโพด ห ใ ม ผลไ การกินที่ดี และ ก ือง ผั อ กิน ■ าหู และนมถั่วเหล ช เชน ขาวซอมมื เลือกบริโภคธัญพืสัตวไรไขมัน นมไขมันตํ่า ปลา เต ■ เลือกบริโภคเนื้อ ■ งกายทีี่งายที่สุด ลั า ํ อกก อ ี ธ วิ น เป าะการเดิน ๔ ครั้งขึ้นไป เดินใหมากขึ้น เพรางตํ่าครั้งละ ๓๐ นาที อาทิตยละนอิรยิ าบทเพือ่ ผอนคลาย ■ ๓. สรรหาเวลา ออกกําลังกายอยกนอยทีโ่ ตะทํางาน โดยการเปลยี่ ■ ออกกําลังกาย ตนไม ออกกําลังกายเล็ ■ น ถูบาน รดนํ้า า ดบ กวา อ ้ ื น กลามเน เองใหมากขึ้น เช นาทีขึ้นไป ทํางานบานดวยตนองแคลว ตอเนื่องกัน ตั้งแต ๒๐ ■ คล โดยตองทําแบบ
หนไี กลโรค
ธัญพืชอยูเสมอ
บประทานผัก ผลไม
ปนประจําและการรั
การออกกําลังกายเ หางไกลโรค
จากการศึกษาปัญหาสุขภาพใน ปัจจุบ ส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมสุขภาพขอ ัน พบว่าสาเหตุหรือปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ งบุคคลเป็นส�าคัญ เช่น ปัญหาเรือ่ งโรคอ้ วน ซึง่ สาเหตกุ เ็ กิด จากพฤติกรรมของการขาดการออกก� าลังกายที่เหมาะสม และพฤติกรรมกา รรับประทานอาหารที่ ไม่ถูกต้องง ดังนั้น หากต้องการที่จะพัฒนาตนเ องและบุคคลในครอบครัวให้มีสุขภาพท จะต้องมีการพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพข ี่ดี ก็จ�าเป็นที่ องตนเองและบุคคลในครอบครัวให้ เอื้อต่อวิถีชีวิตเพื่อ การสร้างเสริมสุขภาพมากขึ้น โดยม ีเป้าหมายเพื่อการมีสุขภาพอนามัยที ่สมบูรณ์
สุขภาพดี
ทอไต (Ureters) มี ๒ ทอ ตอจาก ไตขางละทอ จะนําปสสาวะที่ไหลจากไต ไปยังกระเพาะปสสาวะ
๔.๒ กระบวนการทํางานของระบบขับถายปสสาวะ
๒๒
ควรรับประทำนอำหำรที่ปรุงสุกสะอำด ป ลอดสำรพิษ หลีกเลี่ยงกำรรับประทำนอ ของกำรเกิดโรคต่ำงๆ ำหำรประเภทไขมันและแป้ง ซึ่งเป็ นสำเหตุ
อ.๒ ออกก�าลังกาย
เสริมสาระ
ถายปสสาวะ แผนภาพแสดงองคประกอบและหนาทีข่ องระบบขับ
ไตจะไมสามารถทํางานไดอยางมีประสิทธิภาพ
หลัก ๕ อ. เพื่อสุขภาพ และคุ ณภาพชีวิตที่ดี หลัก ๕ อ. นับเป็นหลักส� ชุมชน เพื่อกำรมีคุณภำพชีวิตที่ด ำคัญในกำรสร้ำงสุขภำพ ซึ่งสำมำรถน�ำมำใช้ในกำรดูแลตนเอง ครอบค ีได้ โดยหลัก ๕ อ. ประกอบด้วย รัว และ อ.๑ อาหาร
เจน ซึ่งไดมาจากระบบหายใจเขา-ออก การดํารงชีวิตของมนุษยจําเปนตองอาศัยแกสออกซิ ใจจึงเปนกระบวนการสําคัญที่มีหนาที่ใน แลกเปลี่ยนอากาศกับสิ่งแวดลอมภายนอก ระบบหาย ไซดระหวางเลือดกับอากาศ โดยแกส อนไดออก บ คาร ส การชวยแลกเปลี่ยนแกสออกซิเจนและแก ผลาญสารอาหารใหออกมาเปนพลังงาน เพื่อ ออกซิเจนที่ไดจะเปนสวนหนึ่งของกระบวนการเผา ซึ่งเปนอากาศที่ใชหายใจก็จะทําใหเสียชีวิตได ใชในการดํารงชีวิต ถารางกายขาดแกสออกซิเจน
Web Guide á¹Ð¹íÒáËÅ‹§¤Œ¹¤ÇŒÒ¢ŒÍÁÙÅ à¾ÔèÁàµÔÁ¼‹Ò¹Ãкº Online
à¡ÃÔè¹¹íÒà¾×èÍãˌࢌÒ㨶֧ÊÒÃÐÊíÒ¤ÑÞ ã¹Ë¹‹Ç·Õè¨ÐàÃÕ¹
กระเพาะป ส สาวะ (Urinary bladder) มีหนาที่รับนํ้าปสสาวะที่ กรองมาจากไตและเปนที่พักชั่วคราว กลไกการขั บ ถ า ยจะขึ้ น อยู กั บ ระบบ ประสาทอัตโนมัติ
à¡Ãç´¹‹ÒÃÙŒà¾ÔèÁàµÔÁ¨Ò¡à¹×éÍËÒ ÁÕá·Ã¡à»š¹ÃÐÂÐæ
เกร็ดน่ารู้
ñ. ÃкºËÒÂ㨠(Respiratory system)
หน ว ยที่
ไต (Kidneys) มี ๑ คู คลายเม็ดถั่ว จะอยู ๒ ขางของกระดูกสันหลังบริเวณ เหนือเอว มีหนาที่สกัดของเสียออกจาก เลือด ควบคุมสมดุลนํ้า รักษาความเปน กรด-ดาง ผลิตฮอรโมนและสารบาง ชนิด และกักเก็บสารที่มีประโยชน
ãËŒ¤ÇÒÁÃÙŒáÅÐàÍ×é͵‹Í¡ÒùíÒä»ãªŒÊ͹à¾×èÍ ãËŒºÃÃÅصÑǪÕéÇÑ´ áÅÐÊÌҧ¤Ø³ÅѡɳРÍѹ¾Ö§»ÃÐʧ¤
๑. ความรุนแรงหมายถึงอะไร ความรุนแรงที่มักเกิดขึ้นและพบไดบอยในสังคมไทย มีอะไรบาง ๒. ใหนักเรียนยกตัวอยางปญหาความรุนแรงมา ๑ ปญหา แลวอธิบายถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นพรอมทั้ง วิเคราะหหาแนวทางแกไข ๓. การกระทําใดบางที่ถือวาเปนการทํารายเด็ก ทํารายคูสมรส และทํารายผูสูงอายุ ๔. ปจจัยใดบางที่มีผลตอการเกิดความรุนแรงของคนไทย จงอธิบาย ๕. ใหนกั เรียนบอกแนวทางปองกันและแกไขปญหาความรุนแรงของคนไทย พรอมทัง้ ระบุดว ยวาแนวทาง ดังกลาวชวยลดปญหาความรุนแรงใดบาง
¡Ô¨¡ÃÃÁÊÌҧÊÃä ¾Ñ²¹Ò¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ
ข็งแรง ขภาพของเราใหแ
จะชวยเสริมสรางสุ
๙๕ ๑๓๔
กิจกรรมที่
๑
กิจกรรมที่
๒
กิจกรรมที่
๓
ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ ๓ คน สืบคนขอมูลเกี่ยวกับขาวความรุนแรงที่ มักเกิดขึ้นและพบไดบอยในสังคมไทย กลุมละ ๑ ขาว แลวรวมกันวิเคราะหขาว เพื่อหาสาเหตุและแนวทางแกไข ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ ๕ คน จัดทําโครงการเกี่ยวกับการลดปญหา การใชความรุนแรงในสังคมไทย ๑ โครงการ เชน โครงการรณรงคยตุ คิ วามรุนแรง ตอเด็กและสตรี ใหนักเรียนแตละกลุมจัดแสดงนิทรรศการและผลงานของโครงการจากกิจกรรม ที่ ๒ การลดปญหาการใชความรุนแรงในสังคมไทย เพื่อเปนการแลกเปลี่ยน ความรูกับเพื่อนตางกลุมและเผยแพรความรูตอบุคคลอื่นๆ ในโรงเรียน
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
ÊÒúÑÞ Ë¹‹Ç·Õè
ñ
ÃкºËÒÂ㨠ÃкºäËÅàÇÕ¹âÅËÔµ ÃкºÂ‹ÍÂÍÒËÒà áÅÐÃкº¢Ñº¶‹Ò ● ● ● ●
˹‹Ç·Õè
ò
● ● ●
˹‹Ç·Õè
ó
●
●
ô
ÊÀÒ¾»˜ÞËÒáÅÐÊÒà˵ؤÇÒÁ¢Ñ´áÂŒ§àÃ×èͧà¾È ÊÀÒ¾»˜ÞËÒáÅÐÊÒà˵ؤÇÒÁ¢Ñ´áÂŒ§ã¹¤Ãͺ¤ÃÑÇ á¹Ç·Ò§ã¹¡ÒÃàÅ×͡㪌·Ñ¡Éе‹Ò§æ 㹡Òû‡Í§¡Ñ¹Å´¤ÇÒÁ¢Ñ´áÂŒ§
ÊÔ·¸Ô¼ÙŒºÃÔâÀ¤ ● ● ●
ò ö ññ ñù
òõ-ôò
¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸ ÃÐËÇ‹Ò§ÊØ¢ÀÒ¾¢Í§µ¹àͧáÅФÃͺ¤ÃÑÇ á¹Ç¤Ô´ÊíÒ¤Ñޢͧ¡ÒÃÇҧἹ´ÙáÅÊØ¢ÀÒ¾¢Í§µ¹àͧáÅФÃͺ¤ÃÑÇ ¡ÒÃÇÔà¤ÃÒÐË à¾×èÍ¡ÒÃÇҧἹ´ÙáÅÊØ¢ÀÒ¾¢Í§µ¹àͧáÅФÃͺ¤ÃÑÇ ÇÔ¸Õ¡ÒÃÇҧἹ´ÙáÅÊØ¢ÀÒ¾¢Í§µ¹àͧáÅФÃͺ¤ÃÑÇ
·Ñ¡ÉÐ㹡Òû‡Í§¡Ñ¹ Å´¤ÇÒÁ¢Ñ´áÂŒ§ áÅÐá¡Œ»˜ÞËÒàÃ×èͧà¾ÈáÅФÃͺ¤ÃÑÇ ●
˹‹Ç·Õè
ÃкºËÒÂ㨠ÃкºäËÅàÇÕ¹âÅËÔµ ÃкºÂ‹ÍÂÍÒËÒà Ãкº¢Ñº¶‹ÒÂ
¡ÒÃÇҧἹ´ÙáÅÊØ¢ÀÒ¾¢Í§µ¹àͧ áÅФÃͺ¤ÃÑÇ ●
ñ - òô
ÊÔ·¸Ô¾×é¹°Ò¹áÅк·ºÒ·¢Í§¼ÙŒºÃÔâÀ¤ ¡®ËÁÒ¤،Á¤Ãͧ¼ÙŒºÃÔâÀ¤ ˹‹Ç§ҹ´ÙáŤ،Á¤Ãͧ¼ÙŒºÃÔâÀ¤
òö ò÷ óñ óó
ôó-öø ôô ôø õñ
öù-øô ÷ð ÷ó ÷ø
กระตุน ความสนใจ Engage
˹‹Ç·Õè
˹‹Ç·Õè
˹‹Ç·Õè
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
õ
¡ÒÃà¨çº»†ÇÂáÅСÒõÒ¢ͧ¤¹ä·Â
ö
ÊÁÃöÀÒ¾·Ò§¡ÒÂáÅзҧ¡Åä¡
÷
»˜¨¨Ñ·ÕèÁռŵ‹Í¤ÇÒÁÃعáç¢Í§¤¹ä·Â
ºÃóҹءÃÁ
● ● ●
● ● ●
● ● ●
øõ-ñðô
ʶҹ¡Òó ¡ÒÃà¨çº»†ÇÂáÅСÒõÒ¢ͧ¤¹ä·Â ÊÒà˵ØáÅÐá¹Ç·Ò§¡Òû‡Í§¡Ñ¹¡ÒÃà¨çº»†ÇÂáÅСÒõÒ¢ͧ¤¹ä·Â á¹Ç·Ò§¡Òû‡Í§¡Ñ¹¡ÒÃà¨çº»†ÇÂ
ÊÁÃöÀÒ¾·Ò§¡ÒÂáÅÐÊÁÃöÀÒ¾·Ò§¡Åä¡ ¡ÒþѲ¹ÒÊÁÃöÀÒ¾·Ò§¡ÒÂáÅзҧ¡Åä¡ ¡ÒÃÇҧἹ¾Ñ²¹ÒÊÁÃöÀÒ¾·Ò§¡ÒÂáÅзҧ¡Åä¡
¤ÇÒÁÃعáç¢Í§¤¹ä·Â »˜¨¨Ñ·ÕèÁռŵ‹Í¡ÒÃà¡Ô´¤ÇÒÁÃعáç¢Í§¤¹ä·Â á¹Ç·Ò§¡Òû‡Í§¡Ñ¹áÅÐᡌ䢤ÇÒÁÃعáç¢Í§¤¹ä·Â
øö øù ñðñ
ñðõ-ñòò ñðö ñðø ññó
ñòó-ñóô ñòô ñò÷ ñóñ
ñóõ
กระตุน้ ความสนใจ
ñ
กระตุEngage ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
อธิบายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
หน่ ว ยที่
อธิบายกระบวนการสรางเสริมและดํารง ประสิทธิภาพการทํางานของระบบอวัยวะตางๆ ได
ÃкºËÒÂ㨠ÃкºäËÅàÇÕ¹âÅËÔµ ÃкºÂ‹ÍÂÍÒËÒà áÅÐÃкº¢Ñº¶‹ÒÂ
สมรรถนะของผูเรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชทกั ษะชีวิต
ตัวชี้วัด ■
เปาหมายการเรียนรู
อธิบายกระบวนการสร้างเสริมและด�ารง ประสิทธิภาพการท�างาน ของระบบ อวัยวะต่าง ๆ (พ ๑.๑ ม.๔-๖/๑)
คุณลักษณะอันพึงประสงค สาระการเรียนรู้แกนกลาง ■
กระบวนการสร้ า งเสริ ม และด� า รง ประสิ ท ธิ ภ าพการท� า งานของระบบ อวัยวะต่างๆ - การท�างานของระบบอวัยวะต่างๆ - การสร้างเสริมและด�ารง ประสิทธิภาพของอวัยวะต่างๆ (อาหาร การออกก�าลังกาย นันทนาการ การตรวจสุขภาพ ฯลฯ)
การทํางานของระบบอวัยวะตางๆ ในรางกายลวนมีการทํางานที่ประสานสัมพันธกัน ไมสามารถที่จะแยกออกจากกันได การดํารงชีวิตของมนุษยก็ขึ้นอยูกับการทํางานของระบบ ตางๆ ในรางกาย หากระบบใดระบบหนึง่ หรือหลายระบบทํางานผิดปกติ ยอมสงผลใหสภาวะ สุขภาพโดยรวมเกิดปญหาขึน้ ได ซึง่ อาจกอใหเกิดความทุกขทรมานแกรา งกายและจิตใจ หรือ ถารายแรงก็อาจทําใหเสียชีวิตได ดังนั้น จึงตองมีการเรียนรูถึงกระบวนการสรางเสริมและ ดํารงประสิทธิภาพการทํางานของระบบอวัยวะตางๆ อยางถูกวิธี เพื่อใหรางกายสามารถ ดํารงชีวิตอยูไดอยางมีความสุข สําหรับในหนวยนี้ นักเรียนจะไดศึกษาเกี่ยวกับระบบอวัยวะ ๔ ระบบใหญๆ ไดแก ระบบ หายใจ ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบยอยอาหาร และระบบขับถาย
1. ใฝเรียนรู 2. มุงมั่นในการทํางาน
กระตุน้ ความสนใจ
Engage
ครูใหนักเรียนดูภาพหนาหนวยแลวตั้งคําถาม กระตุนความสนใจ โดยใหนักเรียนสามารถแสดง ความคิดเห็นไดอยางอิสระ • จากภาพ นักเรียนคิดวา บุคคลในภาพ กําลังทําอะไรอยู • การกระทําดังกลาว สงผลตอระบบ การทํางานของระบบอวัยวะตางๆ ใน รางกายสวนใดบาง
เกร็ดแนะครู ครูควรนําสื่อ เชน คลิปวิดีโอ ภาพโปสเตอร โมเดลจําลอง เปนตน มาใชใน การจัดการเรียนการสอน ซึ่งสื่อเหลานี้จะมีสวนชวยใหนักเรียนเกิดการเรียนรู เกิดความเขาใจ และเห็นภาพไดอยางชัดเจน เพราะหนวยการเรียนรูนี้มีเนื้อหาที่ คอนขางยากและซับซอน เนื่องจากตองทําความเขาใจเกี่ยวกับการทํางานของ ระบบตางๆ ในรางกาย เชน ระบบหายใจ ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบยอยอาหาร และระบบขับถาย เปนตน
คู่มือครู
1
กระตุน้ ความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุEngage ้นความสนใจ
Exploreนหา ส�ารวจค้
กระตุน้ ความสนใจ
Engage
ครูตั้งคําถามกระตุนความสนใจ โดยใหนักเรียน สามารถแสดงความคิดเห็นไดอยางอิสระ • นักเรียนคิดวา มนุษยดํารงชีวิตอยูได เพราะอะไร (แนวตอบ มนุษยดํารงชีวิตอยูไดดวยการหายใจ โดยการอาศัยแกสออกซิเจน) • อวัยวะสวนใดบาง ที่ชวยในการหายใจ (แนวตอบ ไดแก จมูก ปาก หลอดคอ หลอดเสียง หลอดลม และปอด)
ส�ารวจค้นหา
ñ. รкºËาÂใ¨ (Respiratory system) การด�ารงชีวิตของมนุษย์จ�าเป็นต้องอาศัยแก๊สออกซิเจน ซึ่งได้มาจากระบบหายใจเข้า-ออก แลกเปลี่ยนอากาศกับสิ่งแวดล้อมภายนอก ระบบหายใจจึงเป็นกระบวนการส�าคัญที่มีหน้าที่ใน การช่วยแลกเปลี่ยนแก๊สออกซิเจนและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ระหว่างเลือดกับอากาศ โดยแก๊ส ออกซิเจนที่ได้จะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเผาผลาญสารอาหารให้ ออกมาเป็นพลังงาน เพื่อ 1 ใช้ในการด�ารงชีวิต ถ้าร่างกายขาดแก๊สออกซิเจน ซึ่งเป็นอากาศที่ใช้หายใจก็จะท�าให้เสียชีวิตได้
1.1 องค์ประกอบของระบบหายใจ
2 ระบบหายใจเป็นกระบวนการหายใจที่ให้อากาศผ่านเข้าออกในร่างกาย ซึ่งประกอบไปด้วย อวัยวะ ๒ ส่วน คือ ส่วนที่เป็นทางผ่านของลมหายใจเข้า-ออก ได้แก่ จมูก ปาก หลอดคอ หลอดเสียง หลอดลม และส่วนที่ท�าหน้าที่ในการแลกเปลี่ยนแก๊ส ได้แก่ ปอด โดยอวัยวะในแต่ละ ส่วนก็จะท�าหน้าที่แตกต่างกันออกไป ดังแผนภาพ
Explore
ใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 4-5 คน ศึกษาเรือ่ ง ระบบหายใจ จากหนังสือเรียนและแหลงเรียนรูอ นื่ ๆ เพิม่ เติม
อธิบายความรู้
แผนภาพแสดงกระบวนการท�างานของระบบหายใจ จมู ก (Nose) เป็ น ส่ ว นที่ ยื่ น ออกมาจากตรง กึ่ งกลางของใบหน้ า มี ลั กษณะเป็ น รู ป สามเหลี่ ย ม พี ร ะมิ ด ภายในรู จ มู ก จะมี เ ยื่ อ บุ จ มู ก และขนจมู ก ท�าหน้าที่เป็นทางผ่านของอากาศที่หายใจเข้าไปและ กรองฝุ่นละออง
Explain
ใหนักเรียนดูแผนภาพแสดงกระบวนการทํางาน ของระบบหายใจ จากนั้นครูสุมนักเรียน 2 กลุม ออกมานําเสนอในประเด็นองคประกอบของ ระบบหายใจ โดยครูและนักเรียนกลุมอื่นๆ รวมกัน เสนอแนะเพิ่มเติมเพื่อใหไดขอสรุปที่ถูกตองรวมกัน
หลอดคอ (Pharynx) เป็ น หลอดตั้ ง ตรงยาว ประมาณ ๕ นิ้ ว ติ ด ต่ อ ทั้ ง ช่ อ งปากและช่ อ งจมู ก ท� า หน้ า ที่ เ ป็ น ตั ว แยกระหว่ า งหลอดลมกั บ หลอดอาหาร ซึ่ ง โครงสร้ า งของหลอดคอประกอบด้ ว ยกระดู ก อ่ อ น ๙ ชิ้น โดยชิ้นที่ใหญ่ที่สุด คือ กระดูกธัยรอยด์ หรือ ที่เราเรียกว่า “ลูกกระเดือก” (Adam’s apple)
หลอดลม (Trachea) เป็ น ส่วนที่ต่อจากหลอดเสียงยาวลงไป ในทรวงอก ลั ก ษณะรู ป ร่ า งของ หลอดลมเป็นหลอดกลมๆ ประกอบ ด้วยกระดูกอ่อนรูปวงแหวนวางอยู่ ทางด้านหลังหลอดลมท�าให้หลอดลม เปิดอยู่ตลอดเวลา ไม่แฟบเข้าหา กันโดยแรงดันจากภายนอก ส่งผลให้ อากาศเข้าได้ตลอดเวลา
หลอดเสี ย ง (Larynx) อยู ่ ติ ด ใต้หลอดคอ ขณะกลืนอาหารหรือเครื่อง ดื่มจะมีแผ่นเนื้อเยื่อขนาดเล็ก ที่เรียกว่า “ฝากล่องเสียง” คอยปิดหลอดลมเพื่อ ไม่ให้อาหารลงไปผิดช่อง
ปอด (Lung) ถูกห่อหุ้มด้วยกระดูกซี่โครง ภายในปอดจะมี ถุงลม ซึ่งท�าหน้าที่ในการแลกเปลี่ยนแก๊สออกซิเจนกับแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์
2
EB GUIDE http://www.aksorn.com/LC/He/M5/01
เกร็ดแนะครู เนือ่ งจากภาพในหนังสือเรียนนัน้ มีขนาดเล็ก ครูสามารถนําภาพแสดงองคประกอบ ของระบบหายใจมาใหนักเรียนดู เพื่อใหนกั เรียนเห็นอวัยวะตางๆ ไดอยางชัดเจน
นักเรียนควรรู 1 รางกายขาดแกสออกซิเจน เนื้อเยื่อสมองจะถูกทําลายและจะทําใหเสียชีวิต ภายในไมกี่นาที เชน คนที่จมนํ้าตาย รางกายจะสูดนํ้าเขาไปในปอดแทนการสูด แกสออกซิเจน จึงทําใหรางกายขาดแกสออกซิเจนและเสียชีวิตในที่สุด 2 การหายใจ การหายใจที่ถูกวิธี ตองหายใจอยางชาๆ และลึกๆ เมื่อหายใจ เขาทองจะปองออก เมื่อหายใจออกทองจะยุบ โดยที่ทรวงอกไมมีการเคลื่อนไหว หรืออาจเคลื่อนไหวนอยมาก
2
คู่มือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ในระหวางที่เราออกกําลังกาย เมื่อวัดอัตราการเตนของหัวใจและอัตรา การหายใจ นักเรียนคิดวา ผลที่ไดจะเปนอยางไร เพราะเหตุใด แนวตอบ ในขณะออกกําลังกาย จะมีอัตราการเตนของหัวใจที่เร็วกวาปกติ ประมาณ 180 - 200 ครั้ง/นาที และมีการหายใจถี่มากขึ้น ทั้งนี้เพื่อรับ แกสออกซิเจนเขาไปทดแทนแกสคารบอนไดออกไซดทเี่ กิดขึน้ จากกระบวนการ เผาผลาญสารอาหารใหเกิดเปนพลังงาน
บูรณาการเชื่อมสาระ
สามารถนําเนื้อหาเรื่อง ระบบหายใจ ไปบูรณาการเชื่อมโยงกับกลุมสาระ การเรียนรูวิทยาศาสตร วิชาวิทยาศาสตร เรื่อง ระบบหายใจ
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
Engage
Explore
อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบายความรู้
ครูสุมนักเรียน 2 คน ออกมาหนาชั้นเรียน เพื่อใหนักเรียนฝกการหายใจเขา-ออก อยางชาๆ โดยนักเรียนคนอื่นๆ รวมกันสังเกตการหายใจ ของเพื่อน จากนั้นครูตั้งคําถามเพื่อใหไดขอสรุปที่ ถูกตองรวมกัน • นักเรียนสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงอยางไร ในขณะที่เพื่อนฝกการหายใจ (แนวตอบ ในขณะที่หายใจเขา ทองจะปอง และในขณะที่หายใจออก ทองจะยุบ) จากนั้นครูอธิบายเพิ่มเติมวา กระบวนการ ทํางานของระบบหายใจ เริ่มตนตั้งแตเราหายใจ ผานเขาทางจมูก โดยอากาศจะถูกสงตอไปยัง โพรงจมูก หลอดคอ หลอดเสียง และหลอดลม จากนั้นอากาศก็จะถูกสงตอไปยังปอดทั้ง 2 ขาง ซึ่งในขณะที่เราหายใจเขา กระดูกซี่โครงจะเลื่อน สูงขึ้น กะบังลมจะเลื่อนตํ่าลงเมื่อมีอากาศเขา และในขณะที่เราหายใจออก กระดูกซี่โครง จะเลื่อนตํ่าลง กะบังลมจะเลื่อนสูงขึ้นเมื่อมี อากาศออก
1.2 กระบวนการท�างานของระบบหายใจ กระบวนการท�างานของระบบหายใจ เริ่มต้นตั้งแต่เราหายใจผ่านเข้าทางจมูก โดยอากาศ จะถูกส่งต่อไปยังโพรงจมูก หลอดคอ หลอดเสียง และหลอดลม จากนั้นอากาศก็จะถูกส่งต่อไปยัง ปอดทั้ง ๒ ข้าง ซึ่งวัตถุประสงค์ของการหายใจ คือ การน�าส่งแก๊สออกซิเจนจากอากาศไปยังเซลล์ ต่างๆ และก�าจัดแก๊สเสียโดยน�าแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากเซลล์ออกสู่อากาศ จึงจ�าเป็น ที่จะต้องมีการถ่ายเทอากาศในถุงลมหลังจากการแลกเปลี่ยนแก๊สกับเลือดแล้ว เพื่อน�าอากาศ บริสุทธิ์เข้าไปสู่ร่างกาย และปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากกระบวนการเผาผลาญ สารอาหารภายในร่างกาย ออกสู่ภายนอกร่างกายในรูปของลมหายใจออก การถ่ายเทอากาศในปอด เกิดจากการท�างานของกล้ามเนื้อส�าหรับหายใจ โดยกลไก ของการหายใจ เข้าและหายใจออกนั้นจะเกิดขึ้นสลับต่อเนื่องกัน ซึ่งเป็นไปตามหลักของความดัน บรรยากาศ ดังนี้ 1 การหายใจเข้ า เกิ ด จากกล้ า มเนื้ อ กะบั ง ลมหดตั ว ท� า ให้ แ ผ่ น กะบั ง ลมเลื่ อ นต�่ า ลงมา ทางช่องท้อง เป็นการเพิ่มปริมาตรของช่องอกในแนวตั้ง เนื่องจากเนื้อเยื่อปอดอยู่ประชิด แนบสนิทกับกะบังลม และช่องว่างระหว่างเนื้อเยื่อปอดกับกะบังลมเป็นสุญญากาศ เมื่อกะบังลม เลื่อนต�่าลงมา จึงดึงเนื้อเยื่อปอดให้ขยายตัวตามแนวตั้งด้วย ความดันภายในปอดจึงลดลง อากาศ จากภายนอกจึงเข้ามาแทนที 2 ่ได้ การหายใจออก เริ่ ม ขึ้ น เมื่ อ กล้ า มเนื้ อ กะบั ง ลมหรื อ กล้ า มเนื้ อ ยึ ด ระหว่ า งซี่ โ ครงด้ า น การหายใจออก นอกคลายตัว เนื่องจากผนังช่องอกและเนื้อเยื่อปอดมีความยืดหยุ่น ทั้งผนังช่องอกและเนื้อเยื่อ ปอดจะหดตัวกลับสู่ปริมาตรเดิม ท�าให้ความดันภายในปอดเพิ่มสูงขึ้นกว่าความดันบรรยากาศ อากาศจึงไหลออกจากปอดสู่บรรยากาศภายนอก อากาศเข้า
Explain
อากาศออก
3
กระดูกซี่โครงเลื่อนต�่าลง
กระดูกซี่โครงเลื่อนสูงขึ้น
กะบังลมเลื่อนสูงขึ้น
กะบังลมเลื่อนต�่าลง การท�างานของกะบังลมและกล้ามเนื้อยึดกระดูกซี่โครง ในกระบวนการหายใจเข้า
การท�างานของกะบังลมและกล้ามเนือ้ ยึดกระดูกซีโ่ ครงใน กระบวนการหายใจออก
๓
การหายใจของมนุษยมีความจําเปนอยางไร
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
แนวตอบ การหายใจมีวัตถุประสงคเพื่อนําสงแกสออกซิเจนจากอากาศ ไปยังเซลลตางๆ และกําจัดแกสเสียโดยนําแกสคารบอนไดออกไซด จากเซลลออกสูอากาศ เพื่อนําอากาศบริสุทธิ์เขาไปสูรางกาย และปลอย แกสคารบอนไดออกไซดที่เกิดจากกระบวนการเผาผลาญสารอาหาร ภายในรางกาย ออกสูภายนอกรางกายในรูปของลมหายใจออก ทั้งนี้สมอง ของมนุษยจะขาดแกสออกซิเจนไดไมเกิน 5 นาที
นักเรียนควรรู 1 การหายใจเขา การฝกหายใจเขาเพื่อบริหารปอด สามารถทําไดโดยสูดหายใจ เขาลึกๆ ทางจมูก ถาหายใจถูกตอง ทองจะปองออกและหนาอกจะมีการเคลื่อนไหว นอยมาก 2 การหายใจออก การฝกหายใจออกเพื่อบริหารปอด สามารถทําไดโดย ผอนลมหายใจออกเบาๆ ผานทางไรฟนในขณะที่ริมฝปากเผยอออกเพียงเล็กนอย ใหระยะเวลาของการหายใจออกเปนประมาณ 3 เทาของระยะเวลาหายใจเขา ถาหายใจถูกตอง ทองจะยุบลงและหนาอกจะมีการเคลื่อนไหวนอยมาก 3 กระดูกซี่โครง มีจํานวน 12 คู โดยจะเชื่อมตอกับดานขางของกระดูกสันหลัง ชวงอก ตอนปลายของกระดูกซีโ่ ครงจะโคงมาดานหนาและเชือ่ มติดกับกระดูกหนาอก (ยกเวนกระดูกซี่โครงคูที่ 11 และคูที่ 12)
คู่มือครู
3
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
Engage
Explore
อธิบายความรู้
อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
Explain
ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันระดมความคิด เกี่ยวกับแนวทางการสรางเสริมและดํารง ประสิทธิภาพการทํางานของระบบหายใจ จากนั้น ใหแตละกลุมสงตัวแทน 1 คน ออกมาเขียนแนวทาง การสรางเสริมฯ บนกระดานดํา โดยครูจะจับเวลา 2 นาที สําหรับในการเขียน ซึ่งเพื่อนในกลุมสามารถ ชวยบอกขอมูลเพื่อนได แตหามออกมาหนาชั้นเรียน เมื่อหมดเวลาครูและนักเรียนรวมกันตรวจสอบ ความถูกตองและจํานวนขอมูลที่ไดของแตละกลุม หากกลุมใดไดจํานวนขอมูลมากที่สุดและมีความ ถูกตอง จะไดคะแนนโบนัสกลุมละ 2 คะแนน หลังจากการทํากิจกรรมดังกลาว ครูและนักเรียน รวมกันเสนอแนะเพิ่มเติม และตั้งคําถามเพื่อใหได ขอสรุปที่ถูกตองรวมกัน • แนวทางการสรางเสริมและดํารงประสิทธิภาพ การทํางานของระบบหายใจมีแนวทาง อยางไรบาง (แนวตอบ เชน อยูในสถานที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ งดสูบบุหรี่ หรือใกลชิดกับบุคคลที่กําลัง สูบบุหรี่ รับประทานอาหารที่มีประโยชนใหมี สารอาหารครบ 5 หมู หมั่นดูแลสุขภาพของ ตนเอง หลีกเลี่ยงการอยูใกลชิดกับบุคคลที่ ปวยเปนโรคติดตอทางระบบทางเดินหายใจ เปนตน)
1.๓ การสร้างเสริมและด�ารงประสิทธิภาพการท�างานของระบบหายใจ ระบบหายใจเป็นระบบที่มีความส�าคัญต่อการด�ารงชีวิตของมนุษย์เป็นอย่างมาก ถ้าอวัยวะ ต่างๆ ของระบบหายใจท�างานผิดปกติ ย่อมส่งผลกระทบต่อร่างกายและอาจท�าให้เสียชีวิตได้ ดังนั้น จึงควรสร้างเสริมและด�ารงประสิทธิภาพการท�างานของระบบหายใจ เพื่อให้ระบบหายใจ ท�างานได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจปฏิบัติตามแนวทาง ดังนี้ ๑. อยู่ในสถานที่ที่มีอ1ากาศบริสุทธิ์ หลีกเลีย่ งการอยูใ่ นสถานทีแ่ ออัด หรือบริเวณที่ มีมลภาวะ เพราะอาจท�าให้มีโอกาสติดเชื้อโรค ในระบบทางเดินหายใจได้งา่ ย แต่ถา้ ไม่สามารถ หลีกเลีย่ งได้ ก็ควรจะมีอปุ กรณ์ไว้สา� หรับป้องกัน ตนเอง เช่น หน้ากากอนามัย ผ้าเช็ดหน้า เป็นต้น เมื่อป่วยเป็นโรคระบบทางเดินหายใจและต้องอยู่ร่วม ๒. งดสูบบุหรี ่ หรือใกล้ชดิ กับบุคคล กับผู้อื่น ควรใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่ ที่ก�าลังสูบบุหรี่ เนื่องจากบุหรี่เป็นสาเหตุของ กระจายของเชื้อโรค โรคในระบบทางเดิ นหายใจหลายๆ โรค เช่น 2 โรคถุงลมโป่งพอง โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง โรคมะเร็งปอด เป็นต้น ๓. เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของอากาศ ควรรักษาความอบอุ่นของร่างกายอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการตากน�้าค้างหรือตากฝน เพราะอาจท�าให้เป็นหวัดได้ ๔. รับประทานอาหารทีม่ ปี ระโยชน์ให้ครบ ๕ หมู ่ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกก�าลังกาย เป็นประจ�าอย่างสม�่าเสมอ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและช่วยท�าให้ประสิทธิภาพในการท�างานของ ปอดท�างานได้ดีขึ้น ๕. หลีกเลีย่ งการอยูใ่ กล้ชดิ กับบุคคลทีป่ ว่ ยเป็นโรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคหวัด วัณโรค เป็นต้น ๖. หมัน่ ดูแลรักษาสุขภาพของตนเอง เพือ่ ป้องกันการเกิดความผิดปกติทเี่ กีย่ วกับระบบ ทางเดินหายใจ และควรตรวจสอบสมรรถภาพในการท�างานของปอดเป็นระยะๆ ถ้าเป็นไปได้ควร ตรวจเอกซเรย์ปอด อย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง ๗. เมื่อเกิดความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรรีบไปพบ แพทย์เพื่อตรวจสุขภาพและท�าการรักษา ๔
เกร็ดแนะครู ครูควรยกตัวอยางโรคหรือลักษณะอาการที่เกิดขึ้นบอยๆ กับระบบทางเดิน หายใจ พรอมกับเชื่อมโยงโรคหรือลักษณะอาการดังกลาวกับแนวทางการสรางเสริม และดํารงประสิทธิภาพการทํางานของระบบหายใจ
นักเรียนควรรู 1 สถานที่แออัด เปนสถานที่ที่มีบุคคลมากมาย เชน คอนเสิรต โรงภาพยนตร ตลาด หางสรรพสินคา เปนตน 2 โรคมะเร็งปอด ปจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งปอด สวนใหญพบวาเกิด จากการสูบบุหรี่ และผูที่อยูใกลชิดกับบุคคลที่กําลังสูบบุหรี่ นอกจากนี้ยังพบวาผูที่ ทํางานเหมืองจะมีโอกาสเสี่ยงไดเชนเดียวกัน เนื่องจากตองสัมผัสหรือสูดดมควัน จากการเผาไหมนํ้ามันและถานหิน
4
คู่มือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ขอใดเปนวิธีการดํารงประสิทธิภาพการทํางานของระบบหายใจไดดีที่สุด 1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน 2. อยูในที่ซึ่งมีอากาศบริสุทธิ์ 3. ทําจิตใจใหราเริงแจมใส 4. พักผอนใหเพียงพอ วิเคราะหคําตอบ การดํารงประสิทธิภาพการทํางานของระบบหายใจที่ดี ที่สุดคือ การอยูในสถานที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ ไมมีมลภาวะ เพราะจะทําให รางกายไดรับแกสออกซิเจนจากอากาศไปหลอเลี้ยงเซลลตางๆ ของรางกาย เพื่อใหระบบหายใจทํางานไดอยางมีประสิทธิภาพ แตถาหากอยูในสถานที่ แออัด มีมลภาวะ อาจทําใหมีโอกาสติดเชื้อโรคในระบบทางเดินหายใจไดงาย
ตอบขอ 2.
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
ขยายความเขาใจ
ใหนกั เรียนศึกษาเพิม่ เติมเรือ่ ง โรคโพรงอากาศ อักเสบ จากเสริมสาระ แลวเขียนสรุปแนวทาง การปองกันเพื่อไมใหเกิดโรคโพรงอากาศอักเสบ ตอตนเองและครอบครัว จากนั้นครูใหนักเรียนแตละกลุมศึกษาอาการ ที่เกี่ยวของกับการหายใจ วาแตละอาการนั้นเกิดมา จากสาเหตุใด โดยใหนําหลักการและกระบวนการ เกี่ยวกับระบบการหายใจที่เรียนมามาประยุกตใช รวมกัน โดยมีประเด็นไดแก การจาม การหาว และการสะอึก โดยครูตั้งคําถามและชวยอธิบาย เพิ่มเติมเพื่อใหไดขอสรุปที่ถูกตองรวมกัน • นักเรียนคิดวา อาการดังกลาว เกิดมาจาก สาเหตุใด (แนวตอบ • การจาม เกิดจากการหายใจเอาอากาศ ที่ไมบริสุทธิ์เขาไปในรางกาย รางกาย จึงพยายามขับสิ่งแปลกปลอมเหลานั้น ออกมานอกรางกาย • การหาว เกิดจากการที่มีปริมาณแกส คารบอนไดออกไซดสะสมอยูในเลือดมาก เกินไป จึงตองขับออกจากรางกาย โดย การหายใจเขายาวๆ และลึก เพื่อรับ แกสออกซิเจนเขาปอดและแลกเปลี่ยน แกสคารบอนไดออกไซดออกจากเลือด • การสะอึก เกิดจากกะบังลมหดตัวเปน จังหวะๆ ขณะหดตัว อากาศจะถูกดัน ผานลงสูปอดทันที ทําใหสายเสียงสั่นและ เกิดเสียงขึ้น)
เสริมสาระ โรคภัยใกล้ตัว
โรคโพรงอำกำศอักเสบ
Expand
1
โรคโพรงอากาศอักเสบ หรือทีเ่ รียกกันว่า “โรคไซนั โรคไซนัส” เปนการอักเสบของโพรงอากาศข้างจมูก ทีท่ า� ให้เกิดความเจ็บปวดแบบเฉียบพลันทุกครัง้ ทีเ่ ปนหวัด เนือ่ งจากเกิดการติดเชือ้ แบคทีเรียและไวรัส เช่น เชื้อที่ท�าให้เกิดไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ เปนต้น อาจท�าให้เยื่อเมือกบุโพรงอากาศอักเสบขึ้น บวม เต็มไปด้วยเสลดและหนอง ซึ่งส่งผลท�าให้เกิดอาการปวดรอบๆ เบ้าตา ใบหน้า ขมับ และกลายเปน อาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงได้บ่อยๆ อาจมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า และเปนไข้ร่วมด้วย ดั ง นั้ น แม้ ผ ู้ ป ่ ว ยจะหายจากไข้ ห วั2ด หรื อ ไข้ ห วั ด ใหญ่ แ ล้ ว ก็ ยั ง อาจมี เชื้ อ ตกค้ า งอยู ่ ท� า ให้ เ กิ ด อาการคัดจมูกเนือ่ งจากการอุดตันและมีนา�้ มูกข้นเขียว ซึง่ หากช่องทางติดต่อระหว่างโพรงอากาศกับจมูกอุดตัน น�้ามูกจะหยุดไหล ส่งผลให้ผู้ป่วยต้องหายใจทางปาก นอนไม่ค่อยหลับ และมักปวดศีรษะอย่างรุนแรงใน ตอนเช้า ส�าหรับผู้ที่เคยเป็นโรคโพรงอากาศอักเสบ มาครัง้ หนึง่ แล้ว เยือ่ บุโพรงอากาศจะมีความไวต่อการ โพรงอากาศ สฟนอยด ติดเชือ้ ซ�า้ อีก ดังนัน้ จึงควรหลีกเลีย่ งปัจจัยเสีย่ งต่างๆ ที่จะก่อให้เกิดการอักเสบขึ้นได้ เช่น ห้ามอยู ใ ่ กล้ ช ด ิ 3 โพรงอากาศ กับผู้ป่วยที่เป็นโรคไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ให้สวม ฟรอนตอล หน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่ออยู่ในชุมชน ที่มีอากาศ ร้อนอบอ้าว บนรถประจ�าทาง และรถไฟ ควรปรับ โพรงอากาศ เอ็ทมอยด ความชื้นภายในบ้านให้พอเหมาะ หากรูส้ กึ ว่าตนเองก�าลังจะเป็นไข้หวัดให้อยู่ โพรงอากาศ ในห้ อ งที่ มี อุ ณ หภู มิ ค งที่ งดการออกก� า ลั ง กายที่ แม็กซิลลารี หักโหมจนเกินไป เนื่องจากจะท�าให้อุณหภูมิของ ร่างกายเพิ่มขึ้นและลดลงอย่างรวดเร็ว ควรดูแล ตนเองด้ ว ยการรั บ ประทานอาหารให้ ถู ก หลั ก โภชนาการและพั ก ผ่ อ นอย่ า งเพี ย งพอ เป็ น ต้ น โพรงอากาศบริเวณใบหน้ามี ๔ บริเวณ โดยโพรงอากาศ บางคนพบว่า การนอนหนุนหมอนสองใบจะท�า ฟรอนตอลที่ อ ยู ่ ใ นกระดู ก หน้ า ผากและโพรงอากาศ แม็กซิลลารีที่อยู่บริเวณกระดูกแก้ม เป็นโพรงอากาศ ให้นอนหลับได้สนิทขึ้น เนื่องจากท�าให้ศีรษะอยู่ใน ที่เกิดการอุดตันและบวมบ่อยที่สุด ต�าแหน่งสูงขึ้นเล็กน้อย
๕
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
โรคของระบบการหายใจในขอใด เกิดจากการหายใจเอาอากาศที่ไมบริสุทธิ์ เขาสูรางกายเปนเวลานาน 1. โรคหอบหืด 2. โรควัณโรค 3. โรคริดสีดวงจมูก 4. โรคถุงลมโปงผอง วิเคราะหคําตอบ การหายใจเอาอากาศที่ไมบริสุทธิ์เขาสูรางกายเปนเวลา นานๆ จะสงผลใหเกิดโรคหอบหืด เนื่องจากหายใจเอาสารที่แพเขาไปใน หลอดลม เชน กลิ่นนํ้าหอม ยาฆาแมลง กลิ่นอับ กลิ่นทอไอเสีย กลิ่นบุหรี่ ภาวะอากาศเปลี่ยน เปนตน ตอบขอ 1.
นักเรียนควรรู 1 ไซนัส คือโพรงอากาศในกะโหลกศีรษะ เรียกวา โพรงไซนัส มีทั้งหมด 4 ตําแหนงเปนคูๆ ไดแก บริเวณหนาผากใกลกับหัวคิ้วทั้ง 2 ขาง บริเวณหัวตา ทั้ง 2 ขาง บริเวณโหนกแกมทั้ง 2 ขาง และบริเวณกะโหลกศีรษะใกลฐานสมอง 2 นํ้ามูก เกิดจากสารคัดหลั่งที่อยูในจมูก ซึ่งจะหลั่งออกมาเพื่อใหความชุมชื้น กับรูจมูก โดยปกตินํ้ามูกจะมีสีใสๆ และจะมีปริมาณมากหรือนอยก็ขึ้นอยูกับการ ระคายเคือง 3 ไขหวัดใหญ สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส Inflfluenza ซึ่งจะอยูในนํ้ามูก นํ้าลาย และเสมหะของผูปวย โดยสามารถติดตอไดดวยการไอ จาม หรือใชสงิ่ ของบางอยาง รวมกับผูป ว ย เชน ผาเช็ดหนา ชอน แกวนํา้ เปนตน อาการทีส่ าํ คัญ คือ มีไขสูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว และปวดกลามเนื้อ พบไดทุกชวงวัย โดยเฉพาะผูที่มี ภูมิคุมกันตํ่า เชน เด็กเล็ก ผูสูงอายุ เปนตน
คูมือครู
5
กระตุ้นความสนใจ Engage
ส�ารวจค้นหา
อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
Exploreนหา ส�ารวจค้
ส�ารวจค้นหา
Explore
ใหนักเรียนศึกษาเรื่อง ระบบไหลเวียนโลหิต จากคลิปวิดีโอ โดยใหนักเรียนจดบันทึกสาระสําคัญ ลงในสมุดเพื่อเตรียมอภิปราย
อธิบายความรู้
๒. รкºäËÅàÇÕÂนâÅËÔµ (Circulatory system) ระบบไหลเวียนโลหิตเปรียบเสมือนระบบขนส่งสารอาหาร แก๊สออกซิเจน น�า้ และสิง่ มีประโยชน์ อื่นๆ ให้กับเซลล์ทั่วร่างกาย มีหน้าที่ส�าคัญคือ ล�าเลียงอาหาร แก๊สออกซิเจนไปสูเ่ ซลล์ตา่ งๆ ใน เวลาเดียวกัน ก็น�าแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ หัวใจ และของเสียต่างๆ ที่ร่างกายใช้แล้วออกจาก เลือด เซลล์ผ่านทางระบบหายใจ อีกทั้งยังช่วยรักษา สมดุ ล ของร่ า งกายผ่ า นทางระบบขั บ ถ่ า ย ปัสสาวะ ควบคุมอุณหภูมิ และน�าแอนติบอดี ไปให้เซลล์เพื่อช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อ หลอดเลือด โรคอีกด้วย
Explain
หลังจากดูคลิปวิดีโอ ครูใหนักเรียนรวมกัน อภิปรายในประเด็น องคประกอบของระบบไหลเวียน โลหิต โดยครูและนักเรียนคนอื่นๆ รวมกันเสนอแนะ เพิ่มเติม แลวตั้งคําถามเพื่อใหไดขอสรุปที่ถูกตอง รวมกัน • ระบบไหลเวียนโลหิตประกอบดวยอะไรบาง (แนวตอบ เลือด หัวใจ หลอดเลือด นํ้าเหลือง และหลอดนํ้าเหลือง) • นักเรียนคิดวา เลือดมีหนาที่สําคัญอยางไร (แนวตอบ เลือดมีหนาที่ในการนําแกสออกซิเจน ไปยังสวนตางๆ ของรางกาย แตในขณะ เดียวกันก็จะนําแกสคารบอนไดออกไซดออก จากรางกาย โดยผานกระบวนการหายใจ) • เมื่อรางกายเกิดบาดแผลสงผลใหเลือดไหล กลไกของรางกายมีสิ่งใดที่ชวยหยุดเลือด บริเวณปากแผลได (แนวตอบ เกล็ดเลือด ซึ่งมีหนาที่ชวยทําให เลือดแข็งตัวเมื่อเกิดบาดแผล)
หัวใจ หลอดเลือด และเลือด เป็นส่วนประกอบที่ส�าคัญ ของระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายมนุษย์
2.1 องค์ ป ระกอบของระบบ ไหลเวียนโลหิต
ระบบไหลเวียนโลหิตประกอบด้วยส่วนส�าคัญ คือ เลือด หัวใจ หลอดเลือด น�้าเหลืองและหลอดน�้าเหลือง ซึ่งแต่ละส่วนก็มีหน้าที่การท�างาน ที่แตกต่างกันไปตามกระบวนการท� างานของระบบไหลเวียนโลหิต ดังนี้ 1 ๑) เลือด (Blood) เป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดเดียวที่มีลักษณะเป็นของเหลวสีแดง ประกอบด้วยส่วนที่เป็นของเหลวเรียกว่า “นํ้าเลือด” หรือ “พลาสมา” และส่วนที่เป็นของแข็ง คือ เซลล์เม็ดเลือดชนิดต่างๆ ซึ่งจ�าแนกออกเป็ 2 น ๓ ชนิดใหญ่ๆ ได้แก่ ๑.๑) เซลลเม็ดเลือดแดง (Red blood cell) เป็นเซลล์เม็ดเลือดที่เกิดใน ไขกระดูกแดง มีอายุอยู่ได้ประมาณ ๑๒๐ วัน ก็จะแก่ตัว ถูกกินและท�าลายโดย “เซลล์ฟาโก ไซต์” (Phagocyte) ในม้าม ตับ และในไขกระดูกเอง รูปร่างของเซลล์เป็นแผ่นคล้ายจานและ มีส่วนเว้าทั้งสองด้าน ไม่มีนิวเคลียส ท�าหน้าที่ขนส่งแก๊สออกซิเจนจากปอดไปยังเนื้อเยื่อ และ น�าแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากเนื้อเยื่อไปขจัดออกทางปอด โดยภายในเซลล์มีสารสีม่วงแดง เรียกว่า “ฮีโมโกลบิน” (Hemoglobin) เมือ่ เลือดไหลผ่านปอด ฮีโมโกลบินจะท�าหน้าทีจ่ บั กับออกซิเจน กลายเป็น “ออกซีฮีโมโกลบิน” (Oxyhemoglobin) ซึ่งมีสีแดงสด และเมื่อเซลล์เม็ดเลือดแดง น�าออกซิเจนไปส่งให้แก่เซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกายแล้ว ออกซีฮีโมโกลบินจะเปลี่ยนกลับมาเป็น ฮีโมโกลบินอีกครั้ง โดยในร่างกายของเพศหญิงจะมีจ�านวนเซลล์เม็ดเลือดแดงประมาณ ๔.๕ - ๕ ล้านเซลล์ต่อเลือด ๑ ซี.ซี. และในเพศชายมีประมาณ ๕ ล้านเซลล์ต่อเลือด ๑ ซี.ซี. 6
นักเรียนควรรู 1 เลือด ในรางกายของคนเรามีเลือดอยูป ระมาณ 6,000 ลูกบาศกเซนติเมตร (6 ลิตร) หรือประมาณ 7- 9 เปอรเซ็นตของนํา้ หนักตัว มีคณ ุ สมบัตเิ ปนเบสออน (pH ประมาณ 7.3 -7.4) ซึง่ แตละคนจะมีเลือดไมเทากัน ทัง้ นีข้ นึ้ อยูก บั เพศ อายุ นํา้ หนัก และสุขภาพรางกาย 2 เซลลเม็ดเลือดแดง โรคทีเ่ กิดกับเซลลเม็ดเลือดแดงทีพ่ บไดบอ ย คือโรคเลือดจาง ซึ่งหมายถึง การที่มีปริมาณเซลลเม็ดเลือดแดงนอยกวาปกติ
มุม IT ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิต ไดจาก http://www.nookjung. com/health/34/comment-page-1
6
คู่มือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
เพราะเหตุใด การวัดชีพจรจึงตองจับที่เสนเลือดแดง แนวตอบ เพราะเสนเลือดแดงจะเปนเสนเลือดขนาดใหญที่ลําเลียงเลือด จากหัวใจ ทุกครั้งที่หัวใจมีการบีบตัว เสนเลือดแดงก็จะหดขยายตามแรง เหลานั้นไปตลอดเสน และเมื่อถึงบริเวณที่เสนเลือดแดงขึ้นมาใกลผิวหนัง แลวเราเอานิ้วไปสัมผัส จะสามารถรูสึกไดถึงการหด ขยาย หรือการเตน ของหัวใจนั้นได
บูรณาการเชื่อมสาระ
สามารถนําเนื้อหาเรื่อง ระบบไหลเวียนโลหิต ไปบูรณาการเชื่อมโยงกับ กลุม สาระการเรียนรูว ทิ ยาศาสตร วิชาวิทยาศาสตร เรือ่ ง ระบบหมุนเวียนเลือด
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
Engage
Explore
อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบายความรู้
ครูนําโมเดลจําลองหัวใจมาใหนักเรียนดู จากนั้นครูสุมนักเรียน 2-3 คน ใหออกมาชวยกัน สรุปหนาที่การทํางานของหัวใจโดยใชโมเดล จําลองประกอบการอธิบาย จากนั้นครูและนักเรียน คนอื่นๆ รวมกันเสนอแนะเพิ่มเติม และตั้งคําถาม เพื่อใหไดขอสรุปที่ถูกตองรวมกัน • จากโมเดลจําลองพบวา ภายในหัวใจ แบงออกเปน 4 หอง นักเรียนคิดวา แตละ หองจะทําหนาที่ตางกันหรือเหมือนกัน อยางไร (แนวตอบ หัวใจแตละหองจะทําหนาทีต่ า งกัน โดยหัวใจหองบนขวา จะมีหนาทีร่ บั เลือดเสีย หรือเลือดดําจากทุกสวนของรางกาย หัวใจ หองบนซาย มีหนาทีร่ บั เลือดดีหรือเลือดแดง จากปอด หัวใจหองลางขวา มีหนาทีร่ บั เลือด จากหัวใจหองบนขวา แลวสงเลือดไปฟอก ทีป่ อด เพื่อสูบฉีดเลือดไปยังปอด และหัวใจ หองลางซาย มีหนาที่รับเลือดดีจากหัวใจ หองบนซาย แลวสงไปเลี้ยงทั่วรางกาย ซึ่งหัวใจหองนี้จะทํางานหนักที่สุด จึงมี ผนังหัวใจหนาที่สุด)
1 ๑.๒) เซลลเม็ดเลือดขาว ดขาว (White blood cell) (White blood cell) เป็นเซลล์เม็ดเลือดที่มีขนาดใหญ่ กว่าเซลล์เม็ดเลือดแดง มีนิวเคลียสแต่ไม่มีฮีโมโกลบิน สามารถเคลื่อนไหวได้โดยอิสระ และ ลอดผ่านผนังของหลอดเลือดขนาดเล็กเข้าสู่เนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกายได้ ท�าหน้าที่ต่อต้าน ท�าลายเชื้อโรค สิ่งแปลกปลอม และสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย แบ่งออกเป็น ๒ พวกใหญ่ๆ เซลล์เม็ด คือ แกรนูโลไซต์ (Granulocyte) เป็นพวกที่ เลือดขาว มีแกรนูลของไลโซโซมจ�านวนมากในไซโทพลาสซึ ม พวกนี้ จ ะสร้ า งมาจากไขกระดู ก มีนิวเคลียส มีอายุประมาณ ๒-๓ วัน และ อะแกรนูโลไซต์ (Agranulocyte) เป็นพวกที่ ไม่มีแกรนูลของไลโซโซมอยู่ในไซโตพลาสซึม เซลล์เม็ด พวกนี้ ถู ก2สร้ า งจากอวั ย วะน�้ า เหลื อ ง ได้ แ ก่ เลือดแดง เกร็ด ต่อมไทมัส ต่อมน�า้ เหลือง ม้าม มีอายุประมาณ เลือด ๑๐๐-๓๐๐ วัน นประกอบต่างๆ ของเลือดมีหน้าที่เฉพาะตัว เมื่อ ๑.๓) เกล็ดเลือด (Platelet) ส่ร่าวงกายเสี ยเลือดจะท�าให้เกิดอาการผิดปกติขึ้น เป็นส่วนประกอบของเลือดทีไ่ ม่ใช่เซลล์ แต่เป็น ส่วนประกอบชิ้นเล็ก ๆ ของเซลล์ ปกติจะมีรูปร่างคล้ายจานแบนๆ มีขนาดเล็กมาก ไม่มีสีและ ไม่มีนิวเคลียส ท�าหน้าที่ช่วยท�าให้เลือดแข็งตัวเมื่อเกิดบาดแผล โดยการแข็งตัวของเลือดตรง ส่วนนั้น จะเกิดขึ้นเมื่อมีเลือดไหลออกจากบาดแผล เลือดก็จะเปลี่ยนเป็นลิ่มคล้ายวุ้น เรียกว่า “ลิ่มเลือด” ซึ่งประกอบด้วยไฟบริน โดยมีเกล็ดเลือดเป็นตัวกระตุ้นปฏิกิริยา ลิ่มเลือดจะท�าหน้าที่ ช่วยห้ามเลือดและป้องกันมิให้เชื้อโรคเข้าสู่บาดแผล ๒) หัวใจ (Heart) เป็นอวัยวะที่ส�าคัญที่สุดในระบบไหลเวียนโลหิต มีขนาดเท่าก�าปั้น ของบุคคลผู้เป็นเจ้าของ ตั้งอยู่ในทรวงอกระหว่างปอดทั้ง ๒ ข้าง ซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายของร่างกาย มีพื้นที่ประมาณ ๒ ใน ๓ ส่วน มีส่วนประกอบที่ส�าคัญคือ “เยื่อหุ้มหัวใจ” มีลักษณะเป็นถุงหุ้มอยู่ รอบๆ หัวใจ มีหน้าทีป่ อ้ งกันอันตรายทีจ่ ะเกิดขึน้ กับหัวใจ และช่วยให้หวั ใจมีการเคลือ่ นไหวสะดวก ไม่เสียดสีกัน และ “ผนังหัวใจ” ซึ่งประกอบด้วยผนัง ๓ ชั้น คือ เอ็พพิคาร์เดียม (Epicardium) อยู่ชั้นนอกสุด มัยโอคาร์เดียม (Myocardium) อยู่ชั้นกลาง และเอนโดคาร์เดียม (Endocardium) อยู่ชั้นในสุด 3 ภายในหัวใจจะแบ่งออกเป็น ๔ ห้อง คือ ข้างบน ๒ ห้อง ข้างล่าง ๒ ห้อง โดยมี ลิ้นหัวใจ กั้นระหว่างห้องบนและห้องล่าง ซึ่งแต่ละห้องมีหน้าที่ ดังนี้ http://www.aksorn.com/LC/He/M5/02
Explain
EB GUIDE 7
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
เซลลเม็ดเลือดแดงและเซลลเม็ดเลือดขาว ทําหนาที่ตางกันอยางไร 1. เซลลเม็ดเลือดแดงฆาเชื้อโรค เซลลเม็ดเลือดขาวลําเลียงแกส 2. เซลลเม็ดเลือดแดงลําเลียงแกส เซลลเม็ดเลือดขาวฆาเชื้อโรค 3. เซลลเม็ดเลือดแดงฆาเชื้อโรค เซลลเม็ดเลือดขาวชวยใหเลือดแข็งตัว 4. เซลลเม็ดเลือดแดงชวยใหเลือดแข็งตัว เซลลเม็ดเลือดขาวฆาเชื้อโรค
วิเคราะหคําตอบ เซลลเม็ดเลือดแดงและเซลลเม็ดเลือดขาวทําหนาที่ ตางกัน โดยเซลลเม็ดเลือดแดงจะทําหนาที่ขนสงแกสออกซิเจนจากปอด ไปยังเนื้อเยื่อ และนําแกสคารบอนไดออกไซดจากเนื้อเยื่อไปขจัดออก ทางปอด สวนเซลลเม็ดเลือดขาวจะทําหนาที่ตอตานทําลายเชื้อโรค สิ่งแปลกปลอม และสรางภูมิคุมกันใหแกรางกาย ตอบขอ 2.
นักเรียนควรรู 1 เซลลเม็ดเลือดขาว ในเลือดของคนปกติจะมีเซลลเม็ดเลือดขาวประมาณ 1 เปอรเซ็นต หรือมีอยูประมาณ 5,000 -10,000 เซลลในเลือดหนึ่งมิลลิลิตร ซึ่งใน ทางการแพทยจะใชจํานวนของเซลลเม็ดเลือดขาวเปนขอบงชี้ของโรค เชน ผูที่ปวย เปนโรคลูคิเมียหรือมะเร็งเม็ดเลือดขาว จะมีจํานวนเซลลเม็ดเลือดขาวมากกวาปกติ 2 ตอมไทมัส มีลักษณะเปนพู มีตําแหนงอยูระหวางกระดูกอกกับหลอดเลือดใหญ ของหัวใจ มีหนาที่สรางเซลลเม็ดเลือดขาวลิมโฟไซตชนิดที หรือเซลลที (T-cell) 3 ลิ้นหัวใจ เปนแผนของกลามเนื้อหัวใจและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่แข็งแรงที่ยื่นออก มาจากผนังของหัวใจ เพื่อควบคุมทิศทางการไหลของเลือดภายในหัวใจใหเปนไปใน ทิศทางเดียวกัน โดยอาศัยความแตกตางของความดันโลหิตในแตละหอง
คู่มือครู
7
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
Engage
Explore
อธิบายความรู้
อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
Explain
ใหนักเรียนรวมกันตอบคําถามจากบทเรียน ซึ่งครูจะใหคะแนนโบนัสสําหรับนักเรียนที่ตอบ คําถามไดถูกตอง และมีสวนรวมในการแสดง ความคิดเห็น ซึ่งคําถามมี ดังนี้ • หลอดเลือดแบงออกเปนกี่ชนิด มีอะไรบาง (แนวตอบ หลอดเลือดแบงออกเปน 3 ชนิด ไดแก หลอดเลือดแดง (Artery) หลอดเลือดดํา (Vein) และหลอดเลือดฝอย (Capillary)) • หลอดเลือดใดที่สามารถเกิดการเปราะของ เสนเลือดไดงายที่สุด และมีหนาที่ในการ ทํางานอยางไร (แนวตอบ คือ หลอดเลือดฝอย เนื่องจากเปน หลอดเลือดที่มีขนาดเล็กมาก จึงเกิดการ เปราะไดงาย มีหนาที่นําเลือดจาก หลอดเลือดแดงไปยังเซลล และนําเลือดดํา จากเซลลไปยังหลอดเลือดดํา หลอดเลือดฝอย จึงเปรียบเสมือนตัวกลางที่เชื่อมโยงระบบ ไหลเวียนโลหิตระหวางหลอดเลือดแดงและ หลอดเลือดดํา ซึ่งทําใหระบบไหลเวียนโลหิต สามารถทําหนาที่ไดอยางมีประสิทธิภาพ)
แผนภาพแสดงส่วนประกอบและหน้าทีข่ องหัวใจทัง้ ๔ ห้อง หั ว ใจห้ อ งบนขวา (Right atrium) เป็ น ช่ อ งที่ รับเลือดเสียหรือเลือดด�าจากทุกส่วนของร่างกาย ซึง่ น�ามา โดยหลอดเลือด ๓ เส้น คือ หลอดเลือดด�าใหญ่บน รับเลือด จากส่วนบนของร่างกาย หลอดเลือดด�าใหญ่ล่าง รับเลือด จากส่วนล่างของร่างกาย และโพรงโลหิตด�า ของหัวใจ รับเลือดจากกล้ามเนื้อของหัวใจ เอง หัวใจห้องบนขวาเปิ1ดสูห่ วั ใจห้องล่าง ขวาผ่านลิ้นไตรคัสปิด (Tricuspid valve) ซึ่งกั้นอยู่ระหว่างหัวใจห้อง บนและห้องล่าง ลิ้นนี้จะปิดตอน หัวใจห้องล่างบีบตัว เพื่อป้องกัน ไม่ให้เลือดไหลกลับเข้าหัวใจห้อง บนขวา
หัวใจห้องบนซ้าย (Left atrium) รับเลือดดี หรือเลือดแดงจากปอด ซึ่งถูกส่งมาทางหลอดเลือดด�า จากปอดสู่ห2ัวใจและเปิดเข้าสู่หัวใจห้องล่างซ้าย ผ่าน ลิ้นไบคัสปิด (bicuspid valve) ซึ่งท�าหน้าที่เหมือนลิ้น ไตรคัสปิด
หัวใจห้องล่างขวา (Right ventricle) รับเลือดจากหัวใจห้องบนขวา แล้ว ส่งเลือดไปฟอกทีป่ อด เนือ่ งจากหัวใจห้องล่างต้องท�าหน้าที่ สูบฉีดเลือดไปยังปอด เพราะฉะนั้นผนังจะหนากว่าหัวใจ ห้องบน ส่วนที่อยู่ในหัวใจมีลิ้นลักษณะเป็นเสี้ยวจันทร์ เรียกว่า ลิ้นเซมิลูนาร์ (Semilunar valve) ซึ่งป้องกันไม่ให้ เลือดไหลกลับเข้าหัวใจห้องล่างในขณะที่หัวใจห้องล่าง คลายตัว
หั ว ใจห้ อ งล่ า งซ้ า ย (Left ventricle) รั บ เลื อ ดดี จ ากหั ว ใจห้ อ ง บนซ้าย แล้วส่งไปเลี้ยงทั่วร่างกาย หัวใจห้องนี้จะ ท�างานหนักที่สุด จึงมีผนังหัวใจหนาที่สุด การสูบฉีด เลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย จะผ่านทางหลอดเลือดแดง ใหญ่ ซึ่งภายในมีลิ้นเอออร์ติก (Aortic valve) ลักษณะ คล้ายเสี้ยวจันทร์ปิดกั้นไม่ให้เลือดไหลกลับ ซึ่งหัวใจ ห้องล่างขวาและซ้ายจะบีบตัวพร้อมกัน
3
๓) หลอดเลือด (ฺBlood vessels) แบ่งออกเป็น ๓ ชนิด ได้แก่
๓.๑) หลอดเลือดแดง (Artery) เป็นหลอดเลือดที่น�าเลือดออกจากหัวใจ เพราะ ฉะนั้นหลอดเลือดแดงจึงเป็นเส้นทางน�าเลือดที่มีปริมาณออกซิเจนสูง ไปยังหลอดเลือดฝอย เพื่อน�าไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ของร่างกายต่อไป ๓.๒) หลอดเลือดด�า (Vein) เป็นหลอดเลือดทีน่ า� เลือดจากส่วนต่างๆ ของร่างกาย กลับเข้าสู่หัวใจ ซึ่งเลือดที่อยู่ในหลอดเลือดด�ามีปริมาณของออกซิเจนอยู่น้อย ๓.๓) หลอดเลือดฝอย (Capillary) เป็นหลอดเลือดที่มีขนาดเล็กมาก มีหน้าที่ น�าเลือดจากหลอดเลือดแดงไปยังเซลล์ และน�าเลือดด�าจากเซลล์ไปยังหลอดเลือดด�า หลอดเลือดฝอย จึงเปรียบเสมือนตัวกลางทีเ่ ชือ่ มโยงระบบไหลเวียนโลหิตระหว่างหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดด�า ซึ่งท�าให้ระบบไหลเวียนโลหิตสามารถท�าหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 8
นักเรียนควรรู 1 ลิ้นไตรคัสปด อยูระหวางหัวใจหองบนขวาและหองลางขวา มีลักษณะเปน แผน 3 แผน 2 ลิ้นไบคัสปด อยูที่โคนของเสนเลือดพัลโมนารีอารเทอรี มีลักษณะเปนถุง รูปพระจันทรครึ่งเสี้ยว 3 ใบบรรจบกัน แตไมไดยึดติดกันดวยเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน 3 หลอดเลือด มีอยูในทุกสวนของรางกายทําหนาที่นําสารอาหารและ แกสออกซิเจนที่ลําเลียงไปกับเลือดไปเลี้ยงสวนตางๆ ของรางกาย เมื่อไปถึงเซลล จะมีการแลกเปลี่ยนอาหารและแกสตางๆ ซึ่งถานําหลอดเลือดในรางกายมาตอกัน จะมีความยาวประมาณ 160,934.4 กิโลเมตร
8
คู่มือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
โรคของหลอดเลือดที่พบไดบอยที่สุด คือโรคใด 1. โรคมะเร็ง 2. โรคเบาหวาน 3. โรคเสนเลือดขอด 4. โรคความดันโลหิต วิเคราะหคําตอบ โรคของหลอดเลือดที่พบไดบอยที่สุด คือ โรคเสนเลือด ขอด ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของลิ้นและผนังของหลอดเลือด ซึ่งลิ้นใน หลอดเลือดดํานั้น เปนกลไกสําคัญในการปองกันเลือดไหลยอนกลับ และ การนั่งนานๆ หรือยืนนานๆ ก็อาจเปนสาเหตุที่ทําใหเกิดโรคนี้ได โดย อาการนั้น จะมีอาการปวดขาเมื่อยืนหรือนั่งนานๆ และมีเสนเลือดที่ขา โปงออก ตอบขอ 3.
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
Engage
Explore
อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบายความรู้
ใหนักเรียนรวมกันตอบคําถามตอจากบทเรียน ซึ่งครูใหคะแนนโบนัสสําหรับนักเรียนที่ตอบคําถาม ไดถกู ตอง และมีสว นรวมในการแสดงความคิดเห็น • หลอดนํ้าเหลืองมีหนาที่อยางไร (แนวตอบ หลอดนํ้าเหลืองมีหนาที่นํานํ้า และโปรตีนกลับเขาสูเลือด) • ตอมนํ้าเหลืองมีความสําคัญอยางไรกับ รางกายของเรา (แนวตอบ ตอมนํ้าเหลืองมีความสําคัญกับ รางกายของเรามาก เนื่องจากจะเปนที่ ผลิตเม็ดเลือดขาว กักเก็บวัตถุแปลกปลอม ที่เขาสูกระแสนํ้าเหลือง อีกทั้งยังชวยปองกัน อันตรายใหแกรางกาย เพื่อใหรางกาย สามารถตอตานเชื้อโรคหรือทําลาย เชื้อโรคได) • อาการบวมนํ้า เกิดขึ้นไดอยางไร (แนวตอบ อาการบวมนํ้าเกิดขึ้นเมื่อของเหลว ที่ควรเดินทางผานหลอดเลือดและนํ้าเหลือง กลับซึมออกมาสูเซลลและชองวางระหวาง เซลล เนือ่ งจากรางกายไดรบั ปริมาณโซเดียม มากเกินไปจึงทําใหเกิดอาการบวมนํ้าขึ้นที่ บริเวณมือ ขอเทา และขา)
๔) น�้าเหลืองและหลอดน�้าเหลือง (Lymph and Lymphatic vessels) หลอด
น�า้ เหลืองเป็นส่วนหนึง่ ของระบบไหลเวียนโลหิต ท�าหน้าทีน่ า� น�า้ และโปรตีนกลับเข้าสูเ่ ลือด ภายใน หลอดน�้าเหลืองประกอบด้วยน�้าเหลือง ซึ่งได้จากเลือด มีลักษณะใสคล้ายน�้า หลอดน�้าเหลืองมี โครงสร้างคล้ายเส้นเลือดด�า แต่มีลิ้นจ�านวนมากกว่า จึงมีผลท�าให้น�้าเหลืองไหลไปทางเดียว เมื่อน�้าเหลืองไหลผ่านหลอดน�้าเหลือง จะมองเห็นจากภายนอกเป็นเม็ดๆ อยู่เรียงกันไป ทั้งนี้ ผนังหลอดน�้าเหลืองตอนที่ไม่มีลิ้นกั้นจะป่อง ออกมา เนื่องจากมีปริมาณของน�้าเหลืองไหล เข้าไปมาก ขณะที่แขนงของหลอดน�้าเหลือง มีจ�ากัด ไม่เหมือนหลอดเลือดซึ่งแตกแขนง กระจัดกระจายเข้าไปตามเนื้อเยื่อทั่วไป ตลอด หลอดเลือดด�า ทางของหลอดน�้าเหลืองจะมี ต่อมน�้าเหลือง หลอดเลือดแดง หลอดเลือดฝอย (Lymph node) อยู่ขนาบข้างเป็นระยะๆไป หลอดเลือดแต่ละชนิดมีลกั ษณะทีแ่ ตกต่างกัน โดยหลอด ซึ่งต่อมน�้าเหลืองจะเป็นที่ผลิตเม็ดเลือดขาว เลือดแดงจะมีผนังหนาที่สุดเพื่อให้ทนทานต่อแรงดัน และกั ก เก็ บ วั ต ถุ แ ปลกปลอมที่ เ ข้ า สู ่ ก ระแส เลือดที่ถูกฉีดออกจากหัวใจ รองลงมาคือ หลอดเลือดด�า ส่วนหลอดเลือดฝอย จะมีผนังบางที่สุด น�้าเหลือง อีกทั้งยังช่วยป้องกันอันตรายให้แก่ ร่างกายอีกด้วย
หลอดเลือดด�า
หัวใจ
ต่อมน�้าเหลือง หลอดน�้าเหลือง
การไหลเวียนน�้าเหลืองประกอบด้วยร่างแหของหลอด น�้าเหลืองที่กระจายอยู่ที่ร่างกาย ซึ่งจะล�าเลียงน�้าเหลือง กลับเข้าสู่กระแสเลือด
Explain
การไหลเวียนของน�้าเหลืองไปตาม หลอดน�้าเหลือง อาศัยแรงผลักดันภายนอก หลอดน�้าเหลือง เช่น การหดตัวของกล้ามเนื้อ การเคลื่ อนไหวของอวัยวะภายใน และการ ท�างานของหัวใจ กิจกรรมต่างๆ เหล่านี ้ จะช่วย บีบหลอดน�า้ เหลือง ส่งผลให้นา�้ เหลืองไหลเข้าสู่ เส้นเลือดด�า นอกจากนี้ ก ารไหลเวี ย นของน�้ า เหลืองจะช่วยล�าเลียงของเหลวและสารอาหาร จากทางเดินอาหารกลับสู่ระบบไหลเวียนเลือด รวมทัง้ การถ่ายเทของเหลวและโปรตีนส่วนเกิน ที่ได้รับจากหลอดเลือดฝอยออกจากเนื 1 ้อเยื่อ ต่างๆ ช่วยไม่ให้เกิด อาการบวมน�้า (edema) 9
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
โรคที่มักเรียกกันวา “นํ้าเหลืองเสีย หรือนํ้าเหลืองไมดี” ที่มีสาเหตุเกิดจาก การหมุนเวียนเลือดที่ผิดปกติ สงผลใหผิวหนังมีเลือดมาเลี้ยงไมเพียงพอ ไมสามารถตอสูกับเชื้อโรคตางๆ ได นักเรียนคิดวา ลักษณะอาการของโรค ดังกลาว จะมีลักษณะอาการอยางไร 1. ผื่นตุมพอง และกลายเปนหนอง 2. ปวดตามรางกาย 3. มีไข หนาวสั่น 4. หายใจผิดปกติ วิเคราะหคําตอบ ผูที่มีปญหาเกี่ยวกับโรคระบบนํ้าเหลือง ผิวหนังจะถูก กระตุนไดงาย เพียงแคเกา หรือเมื่อสัมผัสโดยตรงกับสารที่แพ ผิวหนังก็จะ ปลอยสารกอภูมิแพขึ้น ทําใหเกิดผื่นขึ้นเปนตุมพอง มีอาการคันซึ่งเมื่อเกา จนเปนแผลก็จะนําไปสูการเปนหนอง หรือบางครั้งถึงขั้นติดเชื้อที่ผิวหนังได
เกร็ดแนะครู ครูสามารถแนะนํานักเรียนเพิ่มเติมเกี่ยวกับเซลลเม็ดเลือดขาว ที่เปนสวนที่ รางกายสรางขึ้นมาเพื่อตอตานหรือตอสูกับเชื้อโรค ซึ่งเรียกวา ภูมิคุมกัน แตถา รางกายของเรามีความผิดปกติของระบบภูมิคุมกันจะสงผลใหเกิดโรคตางๆ เชน โรคภูมิแพ โรคเอดส เปนตน
นักเรียนควรรู 1 อาการบวมนํ้า สาเหตุที่พบไดบอย คือ บริโภคอาหารที่มีโซเดียมมากเกินไป การสวมถุงเทาที่ยาวถึงเขาและรัดแนนดานบน การยืนนานๆ และการนั่งหอยขา ก็สามารถทําใหขอเทาบวมได
ตอบขอ 1.
คู่มือครู
9
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
Engage
Explore
อธิบายความรู้
อธิบายความรู้
ขยายความเข้าใจ Expand าใจ ขยายความเข้
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบExplain ายความรู้
Explain
ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน โดยให แตละกลุมสงตัวแทนออกมารวมพูดคุยแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นถึงกระบวนการในการทํางานของ ระบบไหลเวียนโลหิต และเสนอแนะแนวทาง การสรางเสริมและดํารงประสิทธิภาพการทํางาน ของระบบไหลเวียนโลหิตรวมกัน โดยครูชวยอธิบาย เพิ่มเติม
ขยายความเข้าใจ
2.2 กระบวนการท�างานของระบบไหลเวียนโลหิต กระบวนการท�างานของระบบไหลเวียนโลหิต ใน ๑ รอบ เป็นกระบวนการที่เลือดต้องไหล ผ่านเข้าสู่หัวใจ ๒ ครั้ง คือ ครั้งแรก เลือดด�าจากส่วนต่างๆ ของร่างกายที่มีปริมาณออกซิเจนต�่า จะกลับเข้าสู่หัวใจห้องบนขวา จากนั้นหัวใจห้องบนขวาจะบีบตัวส่งเลือดไปยังหัวใจห้องล่าง ขวา แล้วจะถูกสูบฉีดออกจากหัวใจห้องล่างขวาไปยังปอด เพื่อไปฟอกหรือแลกเปลี่ยนแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์กบั แก๊สออกซิเจน เมือ่ เลือดมีปริมาณแก๊สออกซิเจนสูงเพียงพอแล้ว เลือดก็จะ ถูกส่งกลับมายังหัวใจห้องบนซ้ายอีกครัง้ หนึง่ และไหลลงสูห่ วั ใจห้องล่างซ้าย จากนัน้ หัวใจห้องล่าง ซ้ายจะส่งเลือดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยมีลนิ้ หัวใจในแต่ละห้องเป็นตัวปิ1ดกัน้ ไม่ให้เลือดไหล ย้อนกลับ ซึ่งการปิดกั้นของลิ้นหัวใจจะเป็นตัวที่ท�าให้เกิด “การเต้ “การเต้นของหัวใจ” ใจ” (Heart beat) ขึ้น กระบวนการท�างานของหัวใจและระบบไหลเวียนโลหิตใน ๑ รอบ
Expand
ใหนักเรียนเขียนสรุปกระบวนการทํางานของ ระบบไหลเวียนโลหิตและเสนอแนะแนวทาง การสรางเสริมและดํารงประสิทธิภาพการทํางาน ของระบบไหลเวียนโลหิตในรูปแบบของผังความคิด
(๑)
หัวใจ หองบนขวา
หัวใจ หองบนซาย
หัวใจ หองลางขวา
หัวใจ หองลางซาย
เลือดจากร่างกายเข้าสู่หัวใจ ห้องบนขวา
(๒)
หัวใจห้องบนขวาบีบตัว ส่งเลือดไปห้องล่างขวา
(๓)
(๔)
หัวใจห้องล่างขวา ส่งเลือดไปปอด
เลือดจากปอดถูกส่งมายัง หัวใจห้องบนซ้ายและไหล ลงสู่หัวใจห้องล่างซ้าย
2.๓ การเสริมสร้างและด�ารงประสิทธิภาพการท�างานของระบบ ไหลเวียนโลหิต
ระบบไหลเวียนโลหิตนับเป็นระบบที่มีความส�าคัญมากระบบหนึ่งของร่างกายมนุษย์ เพราะ นอกจากจะเป็นตัวที่น�าแก๊สออกซิเจนไปยังเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกายแล้ว ยังเป็นตัวขนส่งสารอาหาร ที่ได้จากกระบวนการย่อยอาหาร เพื่อน�าไปใช้ในการเจริญเติบโตของร่างกายอีกด้วย หากมีความ ผิดปกติหรือเป็นโรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิต อาจท�าให้เกิดอันตรายถึงแก่เสียชีวิตได้ ดังนั้น จึงควรเสริมสร้างและด�ารงประสิทธิภาพการท�างานของระบบไหลเวียนโลหิต เพื่อให้กระบวนการ ท�างานของระบบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจปฏิบัติตามแนวทาง ดังนี้ ๑. เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยรับประทานอาหารให้ครบ ๕ หมู่ แต่ละหมู่ให้หลากหลายและเหมาะสมต่อความต้องการของร่างกาย เช่น ผัก ผลไม้ เป็นต้น ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีปริมาณไขมันหรือคอเลสเตอรอล สูง เพราะนอกจากจะท�าให้ เป็นโรคอ้วนแล้ว ยังท�าให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจ อีกด้วย 10
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
นักเรียนควรรู 1 การเตนของหัวใจ อัตราการเตนของหัวใจสําหรับคนปกติในแตละชวงวัย สามารถแบงได ดังนี้
10
อายุ
อัตราการเตนของหัวใจ
1 เดือน
ประมาณ 120 -160 ครั้ง/นาที
1-12 เดือน
ประมาณ 100 -140 ครั้ง/นาที
1- 6 ป
ประมาณ 80 -120 ครั้ง/นาที
6 -12 ป
ประมาณ 70 -120 ครั้ง/นาที
อายุมากกวา 12 ป
ประมาณ 60 -100 ครั้ง/นาที
คู่มือครู
การดูแลปองกันไมใหเกิดโรคความดันโลหิตสูง ควรปฏิบัติดังตอไปนี้ ยกเวน ขอใด 1. พักผอนใหเพียงพอ 2. ไมดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล 3. รับประทานอาหารที่มีรสเค็มจัด 4. ทําจิตใจใหราเริงแจมใสอยูเสมอ วิเคราะหคําตอบ การรับประทานอาหารที่มีรสเค็มจัด หรือมีปริมาณ โซเดียมสูง อาจสงผลใหเกิดโรคความดันโลหิตสูงได เนื่องจากโซเดียม จะมีหนาที่ควบคุมความสมดุลของเหลวในรางกาย และรักษาความดันโลหิต ใหอยูในระดับปกติ หากมีมากเกินไปก็จะสงผลเสียตอรางกาย โดยโซเดียม จะพบมากในผงชูรส อาหารกึ่งสําเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว และอาหารกระปอง ซึ่งวิธีการปองกันไมใหรับโซเดียมในปริมาณที่มากเกินไปนั้น ใน 1 วัน ไมควร รับประทานโซเดียมเกิน 6 กรัม หรือเกิน 1 ชอนชาตอวัน ตอบขอ 3.
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา สํารวจค Exploreนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุEngage นความสนใจ
กระตุน ความสนใจ
ครูตั้งคําถามกระตุนความสนใจ โดยให นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็นไดอยางอิสระ • นักเรียนคิดวา เมื่อเรารับประทานอาหาร เขาไปแลว อาหารเหลานั้นจะเกิดการ เปลี่ยนแปลงอยางไร (แนวตอบ อาหารเหลานั้นจะมีโมเลกุลของ สารอาหารขนาดเล็กลงจนสามารถลําเลียง เขาสูเซลลได เนื่องจากเกิดกระบวนการ ยอยอาหาร) • ถารางกายของเราไมมีระบบยอยอาหาร จะเกิดอะไรขึ้น (แนวตอบ จะทําใหรา งกายไมไดรบั สารอาหาร ตางๆ ในการเจริญเติบโต เนื่องจากอาหารที่ เรารับประทานเขาไปนั้นจะไมสามารถ ถูกยอยใหเปนโมเลกุลขนาดเล็ก จนสามารถ เขาสูเซลลตางๆ ของรางกายได รางกาย จึงไมไดรับสารอาหารที่ชวยเสริมสรางให รางกายมีพลังงานเพียงพอในการทํางาน ออกกําลังกาย หรือประกอบกิจกรรมตางๆ ในการดําเนินชีวิต)
๒. หมัน่ ดูแลสุขภาพตนเองอย่างสม�า่ เสมอ ควรตรวจวัดความดันโลหิต หรือตรวจเลือด เพื่อค้นหาโรคเบาหวานโดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น มีญาติป่วยเป็นโรคเบาหวาน เป็นต้น เพื่อที่จะได้ด�าเนินการรักษาได้อย่างทันท่วงที 1 ๓. ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงการเสพสารเสพติดทุกชนิด ๔. หมั่นออกก�าลังกายอย่างสม�่าเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งหรือการเต้นแอโรบิก ก็ตาม จะช่วยท�าให้การท�างานของหัวใจดีขึ้น กล้ามเนือ้ หัวใจแข็งแรง แต่ทงั้ นีค้ วรเลือกวิธกี าร ออกก�าลังกายให้เหมาะสมกับวัยและสภาพ ร่างกายด้วย ๕. ควรหาเวลาในการพักผ่อนให้ เพี ย งพอต่ อ ความต้ อ งการของร่ า งกาย ไม่ หักโหมท�างานหนักจนเกินไป เพราะอาจท�าให้ เกิ ด ความเครี ย ดสะสม จนเป็ น ปั ญ หาต่ อ การพักผ่อนโดยการท�ากิจกรรมที่เหมาะสมกับตนเอง สุขภาพโดยรวม โดยเฉพาะในเรื่องของโรค ช่วยให้เกิดความผ่อนคลายและเป็นการดูแลระบบไหล เวียนโลหิตให้ท�างานได้ปกติ หัวใจได้ ๖. ควรท�าจิตใจให้รา่ เริงแจ่มใสอยูเ่ สมอ เพราะจะส่งผลให้มสี ขุ ภาพกายทีด่ ี หากบุคคลใด ที่มีอารมณ์แปรปรวน หรือเคร่งเครียดเป็นประจ�า อาจมีโอกาสสูงต่อการเกิด โรคความดันโลหิตสูง อาจท�าให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว หลอดเลือดในสมองแตก ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ ๗. เมื่อเกิดความผิดปกติของระบบไหลเวียนโลหิต ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจ สุขภาพ และท�าการรักษาอย่างทันท่วงที
ó. รкºÂ‹อÂอาËาร (Digestive system)
สํารวจคนหา
ระบบย่อยอาหารเป็นระบบที่มีความส�าคัญต่อร่างกาย ซึ่งร่างกายจะต้องใช้สารอาหารต่างๆ ในการเจริญเติบโต เพื่อให้มีพลังงานเพียงพอในการท�างาน ออกก�าลังกาย และประกอบกิจกรรม ต่างๆ ในการด�าเนินชีวิต รวมไปถึงการรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่ด้วย แต่เนื่องจากอาหาร ประเภทต่างๆ ที่เราบริโภคเข้าไปในแต่ละวัน โดยเฉพาะสารอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย คือ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ล้วนแต่มีโมเลกุลขนาดใหญ่เกินกว่าที่จะล�าเลียงเข้าสู่เซลล์ ส่วนต่างๆ ของร่างกายเพื่อที่จะน�าไปใช้ประโยชน์ได้ ยกเว้นวิตามินและเกลือแร่ ซึ่งมีอนุภาค ขนาดเล็ก จึงจ�าเป็นต้องมีอวัยวะและกลไกการท�างานต่างๆ ที่จะท�าให้โมเลกุลของสารอาหาร มีขนาดเล็กลงจนสามารถล�าเลียงเข้าสู่เซลล์ได้ เราเรียกกระบวนการนี้ว่า “การย่อยอาหาร” http://www.aksorn.com/LC/He/M5/03
Engage
Explore
ใหนักเรียนศึกษาเรื่อง ระบบยอยอาหาร จากหนังสือเรียน โดยมีประเด็นในการศึกษา ดังตอไปนี้ • องคประกอบของระบบยอยอาหาร • กระบวนการทํางานของระบบยอยอาหาร • การสรางเสริมและดํารงประสิทธิภาพ การทํางานของระบบยอยอาหาร
EB GUIDE 11
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
เพราะเหตุใด อาหารจึงตองผานกระบวนการยอย
แนวตอบ เพราะการที่อาหารผานกระบวนการยอย จะทําใหสารอาหาร มีโมเลกุลขนาดเล็กลง ซึ่งสามารถละลายไปกับนํ้า เพื่อใหเกิดกระบวนการ แพรผานเนื้อเยื่อเขาสูเซลลตางๆ ไดสะดวกขึ้น
บูรณาการเชื่อมสาระ
สามารถนําเนื้อหาเรื่อง ระบบยอยอาหาร ไปบูรณาการเชื่อมโยงกับ กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร วิชาวิทยาศาสตร เรื่อง ระบบยอยอาหาร
เกร็ดแนะครู หากมีเวลาในการจัดการเรียนการสอน ครูสามารถนําคลิปวิดีโอเกี่ยวกับ ระบบยอยอาหารมาใหนักเรียนดู เพื่อใหนักเรียนเกิดความเขาใจในกระบวนการ การทํางานของระบบยอยอาหารมากยิ่งขึ้น
นักเรียนควรรู 1 เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล ผลิตจากวัตถุดิบที่มีสวนประกอบของนํ้าตาลมาหมัก และเติมยีสตลงไปเพื่อใหยีสตดูดซึมนํ้าตาลที่อยูในวัตถุดิบ และเปลี่ยนใหกลายเปน แอลกอฮอล ซึ่งผูที่ดื่มแอลกอฮอลเขาไปแลวจะทําใหเสียการทรงตัว พูดไมชัด และ หมดสติ เนื่องจากแอลกอฮอลมีฤทธิ์กดระบบประสาทสวนกลาง
คูมือครู
11
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
Engage
Explore
อธิบายความรู้
อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
Explain
ใหนักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็นวา กระบวนการยอยอาหารนัน้ มีกวี่ ธิ ี และมีองคประกอบ ที่สําคัญไดแกอะไรบาง โดยครูตั้งคําถามกระตุน การเรียนรูของนักเรียน • การยอยอาหารมีกี่วิธี ไดแกอะไรบาง และ ตางกันอยางไร (แนวตอบ มี 2 วิธี ไดแก การยอยเชิงกล คือ การบดเคี้ยวอาหารโดยฟน ซึ่งเปนการ เปลี่ยนแปลงขนาดโมเลกุลของสารอาหาร ใหมีขนาดเล็กลง และการยอยเชิงเคมี คือ การเปลีย่ นแปลงขนาดโมเลกุลของสารอาหาร โดยใชเอนไซมที่เกี่ยวของทําใหโมเลกุลของ สารอาหารเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี ทําใหโมเลกุลมีขนาดเล็กลง) • องคประกอบที่สําคัญของระบบยอยอาหาร แบงออกเปนกี่สวน ไดแกอะไรบาง (แนวตอบ แบงออกเปน 3 สวน ไดแก อวัยวะในชองปาก อวัยวะในสวนของ ทอทางเดินอาหาร และอวัยวะเสริมในการ ยอยอาหารอื่นๆ)
การย่อยอาหารมี ๒ วิธี ได้แก่ “การย่อยเชิงกล” คือ การบดเคี้ยวอาหารโดยฟัน เป็นการ เปลี่ยนแปลงขนาดโมเลกุลของสารอาหารให้มีขนาดเล็กลง และ “การย่อยเชิงเคมี” คือ การ เปลี่ยนแปลงขนาดโมเลกุลของสารอาหาร โดยใช้เอนไซม์ ที่เกี่ยวข้องท�าให้โมเลกุลของสารอาหาร เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี ท�าให้ได้โมเลกุลที่มีขนาดเล็กลง ในกระบวนการย่อยอาหารนั้น วิธีการทั้ง ๒ วิธี จะด�าเนินการควบคู่และต่อเนื่องกัน เพื่อ ให้สารอาหารสามารถจะดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด และถูกพาไปยังเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย เพื่อสร้างเป็นพลังงานต่อไป
๓.1 องค์ประกอบของระบบย่อยอาหาร กระบวนการย่อยอาหารเพื่อให้ได้สารอาหารที่ร่างกายสามารถน�าไปใช้ประโยชน์ได้นั้น เริ่ ม ต้ น ตั้ ง แต่ เ มื่ อ อาหารเข้ า สู ่ ร ่ า งกายทางปากไปจนถึ ง ขั บ ถ่ า ยออกมาทางทวารหนั ก ซึ่ ง องค์ประกอบที่ส�าคัญของระบบย่อยอาหาร แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน ดังนี้ ๑) ส่วนที่ ๑ เริ่มตั้งแต่อวัยวะในช่องปาก คือ ริมฝีปาก แก้ม เพดานปาก ฟัน เหงือก ลิน้ จนถึงคอหอย โดยอวัยวะภายในช่องปากจะมีอวัยวะเสริมทีม่ สี ว่ นช่วยในการย่อยอาหาร ได้แก่ ๑.๑) ฟน (Teeth) เป็นอวัยวะที่แข็งแรงที่สุด และมีหน้าที่ส�าคัญ คือ การย่อย เชิงกล โดยการบดเคี้ยวของฟันจะท�าให้อาหารมีขนาดเล็กลง ๑.๒) ลิ้น (Tongue) มีส่วนช่วยในการคลุกเคล้าอาหาร การกลืน และมีส่วน เกี่ยวข้องกับการรับรส เนื่องจากบริเวณเยื่อบุผิวของลิ้นนั้นจะมีตุ่มนูนเล็กๆ เรียกว่า “พาพิลลา” (Papilla) ซึ่งสามารถรับรสได้ เมื่ออวัยวะรับ รสที่ลิ้นได้รับการกระตุ้น จะท�าให้ต่อมน�้าลาย ขั บ น�้ า ลายเพิ่ ม มากขึ้ น1 โดยในน�้ า ลายจะมี เอนไซม์ทชี่ อื่ ว่า อะไมเลส (Amylase) ท� อะไมเลส (Amylase) ท�าหน้าที่ เปลี่ยนแป้งให้เป็นน�้าตาลมอลโทส (Maltose) ซึ่งเอนไซม์ดังกล่าวจะท�างานได้ดีในสภาพที่ เป็นด่างเล็กน้อย และลิ้นของมนุษย์นั้นมีความ รู้สึกที่ไวที่สุด ทั้งนี้อาจจะเป็นกลไกที่ลิ้นสร้าง ขึน้ มาป้องกันตนเอง เช่น ถ้ารับประทานอาหาร รสขมจะท� า ให้ ค นเราคายอาหารนั้ น ออกมา ปากเป็นอวัยวะส�าคัญเริ่มแรกส�าหรับการย่อยอาหาร ซึ่งภายในปากจะมีทั้งการย่อยเชิงกลและย่อยทางเคมี ทันที 12
นักเรียนควรรู 1 อะไมเลส เปนเอนไซมที่ทําหนาที่เปลี่ยนแปงใหเปนนํ้าตาล หากรางกายขาด เอนไซมอะไมเลส จะทําใหเกิดหนองภายในชองปากไดงายมาก โดยเฉพาะผูที่ ปวดฟนหรือปวดเหงือกรอบฟน ซึ่งสาเหตุเนื่องมาจากการรับประทานอาหารที่มี รสหวานจัดเปนประจํา จึงสงผลใหรางกายผลิตเอนไซมอะไมเลสไมทัน
มุม IT ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบยอยอาหาร ไดจาก http://www.youtube.com/ watch?v=UWD7SVNXP7w
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
อวัยวะใดในระบบยอยอาหารที่มีกระบวนการยอยและการดูดซึมมากที่สุด 1. ปาก 2. ลําไสเล็ก 3. ลําไสใหญ 4. กระเพาะอาหาร วิเคราะหคําตอบ อวัยวะในระบบยอยอาหารที่มีกระบวนการยอยและ การดูดซึมมากที่สุด คือ ลําไสเล็ก โดยเอนไซมในลําไสเล็กจะทํางานไดดี ในสภาพที่เปนดาง ซึ่งจะมีการยอยอาหารทั้งคารโบไฮเดรต โปรตีน และ ไขมัน สําหรับวิตามิน แรธาตุและนํ้า จะถูกดูดซึมผานผนังลําไสเล็กเขาสู หลอดเลือดฝอย และหลอดนํ้าเหลือง แลวลําเลียงตอไปยังเซลลตางๆ ทัว่ รางกาย สวนอาหารทีไ่ มถกู ยอยหรือยอยไมไดกจ็ ะถูกสงตอไปยังลําไสใหญ
ตอบขอ 2.
12
คู่มือครู
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
Engage
Explore
อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบายความรู้
Explain
ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับ องคประกอบของระบบยอยอาหาร โดยครูและ นักเรียนรวมกันเสนอแนะเพิ่มเติม และตั้งคําถาม เพื่อใหไดขอสรุปที่ถูกตองรวมกัน • หลอดอาหารมีหนาที่อยางไร (แนวตอบ หลอดอาหารมีหนาทีล่ าํ เลียงอาหาร จากหลอดคอเพือ่ ผานลงสูก ระเพาะอาหาร โดยการหดตัวและคลายตัวของชัน้ กลามเนือ้ ซึง่ บีบตัวในลักษณะลูกคลืน่ เปนระยะๆ จน อาหารเคลือ่ นทีล่ งสูก ระเพาะอาหารจนหมด) • เพราะเหตุใด รูปรางและขนาดกระเพาะอาหาร ของแตละคนจึงมีความแตกตางกัน (แนวตอบ เพราะขึน้ อยูก บั รูปรางของแตละคน เชน บางคนรูปรางใหญอาจมีกระเพาะอาหาร ที่ใหญตามไปดวย เปนตน หรือขึน้ อยูก บั การรับประทานอาหารในแตละมื้อ ซึ่งใน ขณะที่ยังไมไดรับประทานอาหาร กระเพาะอาหารจะมีขนาดปกติตามรูปราง ของแตละคน แตเมื่อไดรับประทานอาหาร เขาไป กระเพาะอาหารจะสามารถขยายตัว ไดถึง 10 - 40 เทา)
๒) ส่วนที่ ๒ อวัยวะในส่วนของ ท่อทางเดินอาหาร มีลกั ษณะเป็นท่อกล้ามเนือ้
เริม่ ตัง้ แต่หลอดอาหาร ลงไปยังกระเพาะอาหาร ปาก ล�าไส้เล็ก และล�าไส้ใหญ่ ๒.๑) หลอดอาหาร (Esophagus) มี ลั ก ษณะเป็ น ท่ อ กล้ า มเนื้ อ เรี ย บ หลอดอาหาร 1 มีความยาวประมาณ ๑๐ นิว้ อยูร่ ะหว่างคอหอย และกระเพาะอาหาร ในบริเวณนี้จะมีการสร้าง ตับ เมือกเพื่อให้เกิดการหล่อลื่น และมีการย่อย กระเพาะ อาหาร เชิงกลโดยการบีบตัวของกล้ามเนื้อทางเดิน อาหารเป็นช่วง ๆ ท�าให้อาหารสามารถเคลือ่ นที่ ล�าไส้ใหญ่ ล�าไส้เล็ก ลงสู่กระเพาะอาหารได้ 2 กระเพาะอาหาร (Stomach) ๒.๒) กระเพาะอาหาร (Stomach) ระบบทางเดินอาหารของมนุษย์เป็นระบบพื้นฐานของ ร่างกายในการแปรรูปพลังงานจากอาหารเพือ่ ให้รา่ งกาย มีลักษณะรูปร่างคล้ายตัวเจ (J) เป็นท่อที่มี สามารถน�าไปใช้ได้ ลั ก ษณะโป่ ง พองทางด้ า นบน ส่ ว นบนของ 3 กระเพาะอาหารจะต่ออยู่กับหลอดอาหาร ปลายส่วนล่างจะต่อกับล�าไส้เล็กส่วนดูโอดินัม (Duodenum) รูปร่างและขนาดของกระเพาะอาหารจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล และในแต่ละมื้อ ของอาหารที่รับประทานเข้าไป ในขณะที่ยังไม่ได้รับประทานอาหาร กระเพาะอาหารจะมีขนาด ๕๐ ลูกบาศก์เซนติเมตร แต่เมื่อได้รับประทานอาหารเข้าไป กระเพาะอาหารสามารถขยายตัวได้ อีก ๑๐ - ๔๐ เท่า ในกระเพาะอาหารจะมีการย่อยเชิงกล โดยการบีบตัวของกล้ามเนือ้ ทางเดินอาหาร และมีการย่อยทางเคมีโดยเอนไซม์เปบซิน (Pepsin) ซึ่งจะท�างานได้ดีในสภาพที่เป็นกรด ชั้นใน สุดของกระเพาะอาหารจะมีต่อมสร้างน�้าย่อย คือ เอนไซม์เปบซินและกรดไฮโดรคลอริกเป็นส่วน ประกอบ โดยเอนไซม์เปบซินจะย่อยโปรตีนให้เป็นเปบไทด์ (Peptide) นอกจากนีใ้ นกระเพาะอาหาร นี้ยังมีเอนไซม์อยู่อีกชนิดหนึ่งชื่อว่า “เรนนิน” (Rennin) ท�าหน้าที่ย่อยโปรตีนในน�้านม ๒.๓) ล�าไส้เล็ก (Small intestine) เป็นส่วนของทางเดินอาหาร อยูร่ ะหว่างกระเพาะ อาหารกับล�าไส้ใหญ่ทมี่ คี วามยาวมากทีส่ ดุ ประมาณ ๒๑ ฟุต หรือประมาณ ๓.๔ เมตร และมีขนาด เส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ ๑ นิ้ว มีลักษณะขดพับทบไปทบมา เพื่อให้สามารถบรรจุอยู่ใน ช่องท้องได้ แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน คือ 1๓
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
การเคี้ยวอาหารใหละเอียด สงผลดีตอระบบการยอยอาหารอยางไร
แนวตอบ การเคี้ยวอาหารใหละเอียดกอนกลืนมีความสําคัญมาก เพราะ จะสงผลดีตอระบบการยอยอาหาร เนื่องจากการเคี้ยวอาหารเปนขั้นตอนแรก ของกระบวนการยอย ซึ่งถาเราสามารถบดเคี้ยวอาหารใหละเอียดมากๆ ระบบการยอยอาหารก็จะสามารถทํางานไดดียิ่งขึ้น และไมกอใหเกิด โรคทองอืด หรืออาหารไมยอย โดยการเคี้ยวอาหารที่ดีนั้น ควรเคี้ยวอาหาร ใหไดอยางนอย 30 ครั้งตอคํา
นักเรียนควรรู 1 คอหอย ทําหนาที่เปนทางผานของหลอดลมหรืออากาศจากจมูกไปยัง กลองเสียง และเปนทางผานของอาหารไปยังหลอดอาหาร 2 กระเพาะอาหาร ถากระเพาะอาหารมีการหลั่งกรดมากเกินไป หรือ ความตานทานของผิวเยื่อบุอาหารลดลง จะทําใหเกิดแผลในกระเพาะอาหาร สงผลใหมีอาการปวดแสบ จุกเสียด จุกแนนตรงบริเวณใตลิ้นป บางครั้งอาจมี เลือดออกหรือเปนแผล สงผลใหเกิดโรคกระเพาะอาหารได 3 ลําไสเล็กสวนดูโอดินัม มีขนาดยาวประมาณ 30 เซนติเมตร รูปรางเหมือน ตัวยูคลุมอยูรอบๆ บริเวณสวนหัวของตับออน ภายในดูโอดินัมมีตอมสรางนํ้ายอย และเปนตําแหนงที่ของเหลวจากตับออนและนํ้าดีจากตับมาเปดเขา จึงเปน ตําแหนงที่มีการยอยเกิดขึ้นมากที่สุด
คู่มือครู
13
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
Engage
Explore
อธิบายความรู้
อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
Explain
ใหนักเรียนดูแผนภาพแสดงสวนประกอบ ของลําไสเล็ก และรวมกันอภิปรายตอเกี่ยวกับ องคประกอบของระบบยอยอาหาร โดยครูและ นักเรียนรวมกันเสนอแนะเพิ่มเติม และตั้งคําถาม เพื่อใหไดขอสรุปที่ถูกตองรวมกัน • ลําไสเล็ก สามารถสรางเอนไซมใดไดบาง (แนวตอบ ไดแก มอลเทส (Maltase) เปน เอนไซมที่ยอยนํ้าตาลมอลโทสใหเปนกลูโคส ซูเครส (Sucrase) เปนเอนไซมที่ยอยนํ้าตาล ทรายหรือนํ้าตาลซูโครสใหเปนกลูโคสกับ ฟรุกโทส และแล็กเทส (Lactase) เปน เอนไซมที่ยอยนํ้าตาลแล็กโทสใหเปนกลูโคส กับกาแล็กโทส) • ไสติ่งอักเสบเกิดมาจากสาเหตุใด (แนวตอบ เกิดจากการอุดตันภายในของรูไสติ่ง เชน มีเศษอาหาร อุจจาระ พยาธิ เปนตน ตกเขาไปหรืออุดตันทําใหมีการติดเชื้อ แลวเกิดการอักเสบขึ้น)
แผนภาพแสดงส่วนประกอบของล�าไส้เล็ก ล�าไส้เล็กส่วนต้น (Duodenum) ยาวประมาณ ๑ ฟุต
เจจู นั ม (Jejunum) ยาว ประมาณ ๘ ฟุต
ไอเลี ย ม (Ileum) ยาว ประมาณ ๑๒ ฟุต
ล�าไส้เล็กเป็นบริเวณที่มีการย่อยและการดูดซึมมากที่สุด โดยเอนไซม์ในล�าไส้เล็ก จะท�างานได้ดีในสภาพที่เป็นด่าง ซึ่งเอนไซม์ที่ล�าไส้เล็กสร้างขึ้น ได้แก่ มอลเทส (Maltase) เป็น เอนไซม์ที่ย่อยน�้าตาลมอลโทสให้เป็นกลูโคส ซูเครส (Sucrase) เป็นเอนไซม์ที่ย่อยน�้าตาลทราย หรือน�้าตาลซูโครสให้เป็นกลูโคสกับฟรุกโทส และแล็กเทส (Lactase) เป็นเอนไซม์ที่ย่อยน�้าตาล แล็กโทสให้เป็นกลูโคสกับกาแล็กโทส นอกจากนี้ การย่อยอาหารที่ล�าไส้เล็กจะใช้เอนไซม์จากตับอ่อนมาช่ว1ยย่อยด้วย เช่น ทริปซิน (Trypsin) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ย่อยโปรตีนหรือเปบไทด์ให้เป็นกรดอะมิโน อะไมเลส (Amylase) เป็นเอนไซม์ที่ย่อยแป้งให้เป็นน�้าตาลมอลโทส และไลเปส (Lipase) เป็นเอนไซม์ที่ ย่อยไขมันให้เป็นกรดไขมันและกลีเซอรอล ๒.๔) ล�าไส้ใหญ่ (Large intestine) เป็นส่วนปลายของทางเดินอาหารที่ต่อมาจาก บริเวณไอเลียมของล�าไส้เล็ก ยาวประมาณ ๑.๕ เมตร มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๓ นิ้ว ซึง่ ประกอบด้วยส่วนทีเ่ รียกว่า “ซีกมั ” (Caecum) “โคลอน” (Colon) และส่วนทีเ่ ป็นไส้ตรงทีต่ อ่ กับ ล�าไส้ใหญ่ ส่วนที่เป็นท่อทวารหนัก เพื่อขับอุจจาระออกสู่ โคลอน กระเปาะล�าไส้ใหญ่ ภายนอกร่างกาย นอกจากนีส้ ว่ นของล�าไส้ใหญ่ (Caecam) ก้อน กากอาหาร ยังมีอวัยวะทีเ่ รียกว่า “ไส้ตงิ่ ” ซึ่งเป็นส่วนที่ยื่น (อุจจาระ) ออกมาจากบริเวณของซีกม ั อยูส่ ว่ นล่างขวาของ ไส้ติ่ง ช่องท้อง ไม่ใช่อวัยวะทีจ่ า� เป็นต่อระบบทางเดิน ไส้ตรง อาหาร โดยไส้ตงิ่ เป็นอวัยวะทีม่ ปี ลายตัน แต่มรี ู ทวารหนัก ที่สามารถท�าให้เศษอาหารหรือเศษอุจจาระตก หลังจากการย่อยอาหารเสร็จสิ้น อาหารส่วนที่เหลือที่ ร่างกายไม่สามารถย่อยได้จะถูกก�าจัดออกทางล�าไส้ใหญ่ เข้าไปได้ ซึ่งในบางครั2้งท�าให้เกิดการอักเสบที่ ในรูปอุจจาระ เรียกว่า “ไส้ ไส้ติ่งอักเสบ” 1๔
นักเรียนควรรู 1 กรดอะมิโน ที่จําเปนสําหรับมนุษยมีทั้งหมด 8 ชนิด ที่รางกายไมสามารถ สังเคราะหเองได ตองไดรับจากอาหารที่รับประทานเทานั้น ไดแก 1. ไอโซลิวซีน (Isoleucine) 2. ลิวซีน (Leucine) 3. ไลซีน (Lysine) 4. เมไทโอนีน (Methionine) 5. ฟนิลอะลานีน (Phenylalanine) 6. ทรีโอนีน (Threonine) 7. ทริปโตเฟน (Tryptophan) 8. วาลีน (Valine) 2 ไสติ่งอักเสบ จะมีอาการปวดทองบริเวณทองนอยดานขวาตํ่ากวาสะดือ มีไขขึ้นสูง เบื่ออาหาร คลื่นไส อาเจียน ทองเสีย ถาไสติ่งอักเสบอยางเฉียบพลัน แพทยจะทําการผาตัดโดยตัดไสติ่งออกทันที
14
คู่มือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ลําไสใหญมีสวนชวยในการยอยอาหารโดยตรงหรือไม อยางไร แนวตอบ ลําไสใหญไมมสี ว นชวยในการยอยอาหารโดยตรง แตจะมีหนาที่ ในการดูดนํา้ และแรธาตุกลับคืนสูร า งกาย โดยหลังจากการยอยอาหาร เสร็จสิน้ อาหารสวนทีเ่ หลือทีเ่ ปนกากอาหารทีร่ า งกายไมสามารถยอยได จะเคลือ่ นทีไ่ ปรวมกันที่ปลายของลําไสใหญเพื่อรอขับถายออกทางทวารหนัก ในรูปของอุจจาระตอไป
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
Engage
Explore
อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบายความรู้
Explain
ครูสุมนักเรียน 2 คน ใหออกมานําเสนอ เกี่ยวกับอวัยวะเสริมในการยอยอาหาร โดยครู และนักเรียนคนอื่นๆ รวมกันเสนอแนะเพิ่มเติม และตั้งคําถามเพื่อใหไดขอสรุปที่ถูกตองรวมกัน • นํ้าดีมีสวนชวยในการยอยอาหารไดอยางไร (แนวตอบ นํ้าดีจะทําหนาที่ยอยโมเลกุลไขมัน ใหเล็กลง เพื่อชวยใหเอนไซมจากตับออน ยอยสลายไขมันไดดีขึ้น และแพรเขาสู เซลลตางๆ ได) • ตับและตับออน มีหนาที่ในการทํางาน ตางกันอยางไร (แนวตอบ ตับ มีหนาที่ผลิตนํ้าดี ซึ่งสามารถ ชวยยอยไขมันในบริเวณลําไสเล็ก สวน ตับออนนั้น มีหนาที่ผลิตนํ้ายอยสําหรับ ยอยโปรตีน คารโบไฮเดรต และไขมัน)
หน้าที่ของล�าไส้ใหญ่ในส่วนครึ่งแรกคือ ดูดซึมของเหลว น�้า เกลือแร่ และน�้าตาล กลู โ คสที่ ยั ง เหลื อ อยู ่ ใ นกากอาหาร ส� า หรั บ ล� า ไส้ ใ หญ่ ส ่ ว นครึ่ ง หลั ง จะเป็ น ที่ พั ก กากอาหาร ซึ่ ง มี ลั ก ษณะกึ่ ง ของแข็ ง ล� า ไส้ ใ หญ่ จ ะขั บ เมื อ กออกมาหล่ อ ลื่ น เพื่ อ ให้ ก ากอาหารเคลื่ อ น ตับ ไปตามล�าไส้ใหญ่ได้ง่ายขึ้น ถ้าล�าไส้ใหญ่ดูดน�้า มากเกิ น ไปเนื่ อ งจากกากอาหารตกค้ า งอยู1่ ในล�าไส้ใหญ่หลายวัน จะท�าให้ กากอาหารแข็ง เกิดความล�าบากในการขับถ่าย ซึ่งเรียกอาการ ตับอ่อน นี้ว่า “ท้องผูก”
๓) ส่วนที ่ ๓ อวัยวะเสริมในการ ย่อยอาหารอื 2 ่นๆ มีหน้าที่หลั่งสารที่เรียกว่า
“เอนไซม์” (Enzyme) ซึง่ เป็นสารประกอบประเภท ถุงน�้าดี โปรตีนที่ร่างกายสร้างขึ้น ท�าหน้าที่เร่งอัตรา การเกิดปฏิกริ ยิ าเคมีในร่างกาย เอนไซม์ทใี่ ช้ใน ตับ ตับอ่อน และถุงน�้าดี เป็นอวัยวะที่ไม่เกิดกระบวน การย่อยสารอาหารนัน้ เรียกว่า “นํา้ ย่อย” อวัยวะ การย่อยอาหารโดยตรง แต่เป็นอวัยวะเสริมที่มีส่วนช่วย เสริมเหล่านี้ ประกอบด้วย ตับ ถุงน�้าดี ตับอ่อน ในการย่อยอาหาร และต่อมน�้าลาย ๓.๑) ตับ (Liver) เป็นอวัยวะซึ่งประกอบด้วยต่อมมีท่อเรียงตัวกันอยู่มากมาย ตับมีน�้าหนักประมาณ ๓ ปอนด์ (๑.๓๖ ก.ก.) มีต�าแหน่งอยู่ในช่องท้องด้านหน้าเยื้องไปทางขวา ติดกับเยื่อกะบังลม เซลล์ตับท�าหน้าที่หลั่งน�้าดี (Bile) น�้าดีที่ผลิตจากเซลล์ตับจะออกจากท่อ ไปรวบรวมเก็บไว้ในถุงน�้าดี (Gall bladder) โดยน�้าดีจะมีประโยชน์ช่วยการย่อยไขมันในบริเวณ ล�าไส้เล็ก ๓.๒) ถุงน�้าดี (Gall bladder) มีลักษณะเป็นถุงคล้ายลูกแพร์ อยู่ใต้ตับ มีขนาด ยาวประมาณ ๘-๑๐ เซนติเมตร กว้าง ๒.๕ เซนติเมตร เป็นที่เก็บน�้าดีที่ผลิตมาจากตับ ส�าหรับน�้าดีนั้น ไม่จัดเป็นเอนไซม์เพราะไม่ใช่สารประกอบประเภทโปรตีน น�้าดีจะมีสีน�้าตาล ปนเหลือง หรืออาจเป็นสีเขียวมะกอกใส ๆ มีรสขม ลักษณะเป็นด่าง ท�าหน้าที่ย่อยโมเลกุล ไขมัน ให้เล็กลง แล้วน�้าย่อยจากตับอ่อนจะย่อยต่อ ท�าให้ได้อนุภาคที่เล็กที่สุดที่สามารถแพร่ เข้าสู่เซลล์ได้ ๓.๓) ตับอ่อน (Pancreas) เป็นอวัยวะที่ท�าหน้าที่เป็นทั้งต่อมมีท่อและต่อมไร้ท่อ เนือ้ เยือ่ ส่วนทีเ่ ป็นต่อมมีทอ่ เป็นเนือ้ เยือ่ ส่วนใหญ่ของตับอ่อน ท�าหน้าทีใ่ นการผลิตน�า้ ย่อยส�าหรับ ย่อยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ซึง่ มีทอ่ เปิดอยูท่ ลี่ า� ไส้เล็กส่วนต้นใกล้กบั ท่อเปิดของท่อน�า้ ดี 1๕
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ขอใดคือโรคที่เกี่ยวของกับระบบทางเดินอาหาร 1. โรคลูคิเมีย 2. โรคตับแข็ง 3. โรคเบาหวาน 4. โรคไทรอยด
วิเคราะหคําตอบ โรคที่เกี่ยวของกับระบบทางเดินอาหาร คือ โรคตับแข็ง เกิดจากการที่เนื้อเยื่อตับถูกทําลายจากการอักเสบเรื้อรังจากสาเหตุตางๆ เชน โรคไวรัสตับอักเสบบีและซี การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล ผลขางเคียง จากยาบางชนิด เปนตน ทําใหตับสูญเสียการทํางาน เมื่อมีการอักเสบเพิ่ม มากขึ้นจะทําใหเกิดการบวมของเนื้อเยื่อตับและเมื่อมีการอักเสบเรื้อรัง เนื้อเยื่อตับจะเปนพังผืดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และทําใหตับแข็งในที่สุด ตอบขอ 2.
นักเรียนควรรู 1 กากอาหารแข็ง จะทําใหขับถายลําบากและมีกลิ่นเหม็น สาเหตุเกิดจาก การหมักหมมของเศษอาหารในลําไสใหญ เนื่องมาจากการรับประทานอาหารที่ไมมี กากใย รวมถึงรับประทานอาหารที่มีแตโปรตีนและไขมัน 2 เอนไซม ปจจัยที่มีผลตอการทํางานของเอนไซม ไดแก • อุณหภูมิ เอนไซมแตละชนิดทํางานไดดีที่อุณหภูมิตางกัน ซึ่งเอนไซมในรางกาย มนุษยทํางานไดดีที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส • ความเปนกรด-เบส เชน เอนไซมในกระเพาะอาหารทํางานไดดีในสภาวะ เปนกรด เอนไซมในลําไสเล็กทํางานไดดีในสภาวะเปนเบส เปนตน • ความเขมขน เอนไซมที่มีความเขมขนมากจะทํางานไดดีกวาเอนไซมที่มี ความเขมขนนอย
คู่มือครู
15
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
Engage
Explore
อธิบายความรู้
อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
Explain
ครูขออาสาสมัครนักเรียน 2 คน ใหออกมา สรุปสาระสําคัญจากการศึกษาเกี่ยวกับองคประกอบ ของระบบยอยอาหาร ซึ่งครูจะใหคะแนนโบนัสเพิ่ม คนละ 5 คะแนน หากนักเรียนสามารถสรุป สาระสําคัญไดอยางครบถวนและถูกตอง หลังจากที่นักเรียนสรุปสาระสําคัญเสร็จสิ้น ครูใหนักเรียน 2 คน ดังกลาว ถามคําถามนักเรียน คนอื่นๆ ที่อยูในหอง คนละ 2 คําถาม โดยจะให นักเรียนที่ตองการจะตอบคําถามไดยกมือขึ้น หากนักเรียนคนใดตอบคําถามไดถูกตอง ครูจะให คะแนนโบนัส 1 คะแนน ซึ่งนักเรียนที่ตอบคําถาม ไปแลวไมสามารถตอบคําถามขอตอไปไดอีก เมื่อนักเรียน 2 คน ถามคําถามครบแลว ครูอธิบาย เพิ่มเติมและเสนอแนะเพื่อใหไดขอสรุปที่ถูกตอง รวมกัน
๓.๔) ต่อมน�้าลาย (Salivary gland) มีจ�านวน ๓ คู่ ได้แก่ ต่อมน�้าลายใต้ลิ้น ๑ คู่ มีขนาดเล็กที่สุด อยู่ใต้เยื่อเมือกของปากทั้งสองข้างลิ้นมีท่อเล็กๆ เปิดไปสู่ช่องปาก ต่อมน�้าลาย ใต้ขากรรไกรล่าง ๑ คู่ มีท่อเปิดไปสู่ช่องปากระหว่างใต้ปลายลิ้นกับพื้น ปาก ต่อมน�้าลายใต้กกหู ๑ คู่ เป็นต่อมน�้าลายที่ใหญ่ที่สุด มีท่อเปิดไปสู่ กระพ้งุ แก้ม โดยต่อมน�า้ ลายจะผลิตน�า้ ลายได้วนั ละ ๑-๑.๕ ลิตร จะช่วยคลุกเคล้าอาหาร ท�าให้ อาหารอ่อนนุม่ สะดวกในการกลืน ซึง่ ในน�า้ ลาย จะมีเอนไซม์อะไมเลส มีหน้าที่ย่อยสารอาหาร ประเภทคาร์โบไฮเดรตจ�าพวกแป้งและ ไกลโคเจน ต่อมน�้าลาย ให้มโี มเลกุลขนาดเล็กลง โดยเอนไซม์อะไมเลส จะท�างานได้ดีในสภาวะที่เป็นเบสเล็กน้อย เป็น กลางหรือเป็นกรด ซึ่งจะขึ้นอยู่กับชนิดของ น�า้ ตาลและอุณหภูมปิ กติของร่างกาย (ประมาณ ถ้าหากต่อมน�้าลายได้รับการติดเชื้อไวรัส จะท�าให้ต่อม น�้ า ลายอั ก เสบและเกิ ด อาการบวมได้ ที ่ เ รี ย กว่ า เป็ น ๓๗ องศาเซลเซียส) 1 คางทูม
เกร็ดน่ารู้ แก้ท้องผูกง่ายๆ กับกายบริหาร ส�าหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารผิดปกติ จนเป็ 2 นสาเหตุให้การขับถ่ายอุจจาระของล�าไส้ใหญ่ เป็นไปด้วยความยากล�าบาก ซึ่งอาจมีผลท�าให้เกิดอาการท้องผูก ได้ แต่ปัญหานี้จะได้รับการแก้ไขแบบไม่ต้อง พึ่งยาถ่าย ด้วยการท�าท่ากายบริหารง่ายๆ ๒ ท่า ดังนี้ ขั้นที่ 1 นอนหงายกับพื้น มือทั้งสองวางรองไว้ใต้ศีรษะ ขาทั้งสองวางชิดกัน แล้วยกขึ้นช้า ๆ ให้ตั้งฉากกับล�าตัว นับ ๑ - ๑๐ แล้ว ค่อยๆ วางลง ท�าซ�้า ๖ ครั้ง
ขั้นที่ 2
มือทั้งสองกางออกข้างล�าตัว แล้วค่อยๆ ยกขาขึ้นตั้งฉากกับล�าตัว วางขาทั้งสองข้างลงด้านข้างทางขวา นับ ๑ - ๕ ยกขึ้นตั้ง ฉาก แล้วสลับท�าอีกข้าง จากนั้นจึงค่อย ๆ วางขาทั้งสองลงบนพื้น ผ่อนคลายสักครู่ แล้วท�าซ�้า ๓ - ๕ ครั้ง
ท่ากายบริหารทั้ง 2 ท่า ดังกล่าว นอกจากจะช่วยคลายอาการท้องผูกให้หมดไปแล้ว ยังสามารถช่วยบริหาร ให้ระบบย่อยอาหารท�างานได้อย่างมีประสิทธิภาพในทางอ้อมได้อีกด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ควรจะรับประทานอาหาร ที่มีประโยชน์โดยเฉพาะอาหารที่มีกากใยควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้กระบวนการท�างานของระบบย่อยอาหารและ การขับถ่ายอุจจาระในส่วนของล�าไส้ใหญ่ท�างานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
16
นักเรียนควรรู 1 คางทูม เปนโรคติดเชื้อชนิดหนึ่งที่เกิดจากการอักเสบของตอมนํ้าลาย สามารถ ติดตอกันไดโดยการหายใจ การจาม การไอ และการสัมผัสกับนํ้าลายของผูปวย เชน การดื่มนํ้าและรับประทานอาหารโดยใชภาชนะรวมกัน เมื่อไดรับเชื้อ ผูปวย จะเริ่มมีอาการเปนไขตํ่าๆ ออนเพลีย เบื่ออาหารและปวดเมื่อยตามตัว หลังจากนั้น จะมีอาการเจ็บบริเวณขากรรไกร เนื่องจากตอมนํ้าลายบริเวณขางหูบวมโตขึ้น สงผลใหผูปวยมีอาการปวดหูเวลาพูด กลืน และเคี้ยวอาหารไดลําบากมากขึ้น 2 อาการทองผูก คนปกติจะถายอุจจาระอยางนอยวันละ 1 ครั้งตอวัน หรือ มากกวา 3 ครั้งตอสัปดาห ผูที่ถายอุจจาระนอยกวา 3 ครั้งตอสัปดาห ประกอบกับ การถายลําบาก จะถือวามีอาการทองผูก
16
คู่มือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
หากนักเรียนมีอาการทองผูก นักเรียนจะมีวิธีการแกไขปญหาหรือ ปฏิบัติตนอยางไรบาง แนวตอบ เมื่อมีอาการทองผูก ควรรับประทานอาหารที่มีกากใยจําพวกผัก ผลไม ธัญพืชตางๆ และควรดืม่ นํา้ เปนประจําทุกวันอยางนอยวันละ 6-8 แกว หรืออาจจะดื่มนํ้าหลังจากการตื่นนอนตอนเชาประมาณ 2-3 แกว ทันที เนื่องจากลําไสจะถูกกระตุนทําใหรูสึกอยากขับถาย ซึ่งวิธีนี้เปนวิธีการแก อาการทองผูกที่ปลอดภัยโดยไมตองใชยาระบายหรือยาถาย แตควรทําเปน กิจวัตรจนรางกายเกิดความเคยชินและกลับมาขับถายในตอนเชาเปนปกติ
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบายความรู
ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน แลวให แตละกลุมสงตัวแทนออกมาอธิบายกระบวนการ ทํางานของระบบยอยอาหาร โดยใชแผนภาพ แสดงการทํางานของระบบยอยอาหารประกอบ การอธิบาย จากนั้นครูชวยอธิบายเพิ่มเติม และ ตั้งคําถามเพื่อใหไดขอสรุปที่ถูกตองรวมกัน • กระบวนการยอยอาหาร มีขั้นตอน อยางไรบาง (แนวตอบ เริ่มจากการยอยอาหารในปาก ซึ่งอาหารจะถูกบดเคี้ยวใหมีขนาดเล็กลง และทําใหออ นนุม ดวยนํา้ ลาย ภายในนํา้ ลาย จะมีเอนไซมอะไมเลส ทําหนาที่ยอยอาหาร คารโบไฮเดรตจําพวกแปงและไกลโคเจน ใหมีขนาดเล็กลง เมื่อเรากลืนอาหาร อาหาร จะเคลื่อนไปตามหลอดอาหาร โดยอาศัย การบีบตัวของหลอดอาหารเพื่อลงสู กระเพาะอาหาร ซึง่ อาหารทีถ่ กู ยอยสวนใหญ จะเปนโปรตีน และลําไสเล็กจะดูดซึม สารอาหาร ซึ่งจะมีการยอยอาหารทั้ง คารโบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน จากนั้น ลําไสใหญจะดูดซึมของเหลว นํ้า เกลือแร และนํา้ ตาลกลูโคสทีย่ งั เหลืออยูใ นกากอาหาร เพื่อขับออกนอกรางกายในรูปของอุจจาระ ทางทวารหนักตอไป)
๓.2 กระบวนการท�างานของระบบย่อยอาหาร ระบบย่อยอาหารจะท�างานโดยอาศัยการบีบตัวของทางเดินอาหาร การสร้างน�้าย่อยตลอดจน เมือกต่างๆ เพื่อช่วยในการย่อยอาหารและการดูดซึมสารอาหารต่างๆ โดยที่การบีบตัวของทาง เดินอาหาร จะแบ่งได้เป็น ๒ ส่วน คือ การบีบตัวของทางเดินอาหารส่วนต้น เริ่มตั้งแต่ภายใน ช่องปากถึงหลอดอาหาร ซึ่งเป็นไปในลักษณะที่ท�าให้เกิดการบดเคี้ยวและการกลืน กับการบีบตัว ของทางเดินอาหารส่วนปลาย โดยเริ่มตั้งแต่กระเพาะอาหาร ล�าไส้เล็ก ไปจนถึงล�าไส้ใหญ่ ส�าหรับ การบีบตัวในช่วงนี้จะเป็นไปในลักษณะของการคลุกเคล้าและการเคลื่อนย้ายอาหารเป็นส�าคัญ โดยในระบบทางเดินอาหารจะมีการสร้างน�า้ ย่อยและเมือกจากอวัยวะต่างๆ เพือ่ ช่วยย่อยอาหารและ ดูดซึมสารอาหาร ได้แก่ น�้าลายจากต่อมน�้าลาย น�้าย่อยจากกระเพาะอาหาร น�้าย่อยจากล�าไส้เล็ก และล�าไส้ใหญ่ น�้าดีจากตับ และน�้าย่อยจากตับอ่อน โดยกระบวนการย่อยอาหารจะแบ่งออกเป็น ๕ ขั้นตอน ดังนี้ แผนภาพแสดงการท�างานของระบบย่อยอาหาร ขั้นที่ 1 การย่อยอาหารในปาก อาหารจะถูกบดเคี้ยว ให้มีขนาดเล็กลง และท�าให้อ่อนนุ่มด้วยน�้าลาย ภายใน น�้าลายจะมีเอนไซม์อะไมเลส ท�าหน้าที่ย่อยอาหาร คาร์โบไฮเดรตจ�าพวกแป้งและไกลโคเจน ให้มี ขนาดเล็กลง
ขั้นที่ ๕ การดูดซึมในล�าไส้ใหญ่ ในส่ ว นนี้ จ ะมี ก ารดู ด ซึ ม น�้ า ออก เหลือเป็นกากอาหาร ที่จะถูกขับออก นอกร่างกายในรูปของอุจจาระทาง ทวารหนักต่อไป
Explain
ขั้ น ที่ 2 กล้ า มเนื้ อ บริ เ วณหลอดคอบั ง คั บ ให้ อาหารเคลื่อนไปยังหลอดอาหาร โดยมีลิ้นไก่ปิดกั้นไม่ให้ อาหารตกลงไปในหลอดลม จากนั้นอาหารจะเคลื่อน ไปตามหลอดอาหาร โดยอาศัยการบีบตัวของ หลอดอาหาร
ขั้ น ที่ ๓ การย่ อ ยในกระเพาะ อาหาร ในส่ ว นนี้ อ าหารที่ ถู ก ย่ อ ย ส่วนใหญ่จะเป็นโปรตีน โดยเอนไซม์ เปบซิน
ขั้ น ที่ ๔ การย่ อ ยและดู ด ซึ ม สารอาหารในล� า ไส้ เ ล็ ก ในส่ ว นนี้ จ ะมี ก ารย่ อ ยอาหารทั้ ง คาร์ โ บไฮเดรต โปรตีน และไขมัน โดยในส่วนของคาร์ 1 โบไฮเดรตนั้นจะมีการย่อยต่อด้วยเอนไซม์อะไมเลสจากตับอ่อน จนกลายเป็นน�้าตาลโมเลกุลเดี่ยว และถูกดูดซึมไปใช้ในการสร้างพลังงานต่อไป ในขณะที่โปรตีนจะถูกย่อยด้วย เอนไซม์เปบซินอย่างต่อเนื่องจนได้กรดอะมิโน ส่วนไขมันจะถูกย่อยโดยเอนไซม์ไลเปสจนได้ โมโนกลีเซอไรด์ กรดไขมัน และกลีเซอรอล เพื่อน�าไปใช้ประโยชน์ในร่างกายต่อไป
17
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ขอใดสามารถอธิบายกระบวนการทํางานของระบบยอยอาหารไดถูกตอง 1. ปาก ➝ หลอดอาหาร ➝ กระเพาะอาหาร ➝ ลําไสเล็ก ➝ ลําไสใหญ 2. ปาก ➝ หลอดอาหาร ➝ กระเพาะอาหาร ➝ ลําไสใหญ ➝ ลําไสเล็ก 3. ปาก ➝ หลอดอาหาร ➝ ลําไสเล็ก ➝ กระเพาะอาหาร ➝ ลําไสใหญ 4. ปาก ➝ หลอดอาหาร ➝ ลําไสใหญ ➝ ลําไสเล็ก ➝ กระเพาะอาหาร วิเคราะหคําตอบ กระบวนการทํางานของระบบยอยอาหารจะเริ่มจากปาก ซึ่งอาหารจะถูกบดเคี้ยว จากนั้นอาหารจะเคลื่อนที่ไปตามหลอดอาหาร ดวยการกลืนลงไปสูกระเพาะอาหาร เพื่อใหลําไสเล็กไดทําหนาที่ยอยและ ดูดซึมสารอาหาร โดยสวนที่ลําไสเล็กไมสามารถยอยและดูดซึมไดจะเปน กากอาหารเพื่อสงตอไปยังลําไสใหญใหรอขับถายออกทางทวารหนักในรูปของ อุจจาระตอไป ตอบขอ 1.
เกร็ดแนะครู ครูควรอธิบายเพิ่มเติมวา หากรับประทานอาหารที่มากหรืออิ่มจนเกินไป และเขานอนทันที อาจสงผลใหเกิดโรคกรดไหลยอนได โดยกรดหรือนํ้ายอยใน กระเพาะอาหารจะไหลยอนขึ้นมาบริเวณหลอดอาหาร จึงทําใหเกิดอาการเจ็บแนน หนาอก หรือแสบหนาอก และเรอเหม็นเปรี้ยว
นักเรียนควรรู 1 นํ้าตาลโมเลกุลเดี่ยว เรียกวา Monosaccharide ซึ่งเปนคารโบไฮเดรตที่มี โมเลกุลเล็กที่สุด มีรสหวาน ละลายนํ้าไดงาย และรางกายสามารถดูดซึมไปใชได ทันที ไดแก กลูโคส (Glucose) ฟรักโทส (Fructose) และกาแล็กโทส (Galactose)
คูมือครู
17
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
Engage
Explore
อธิบายความรู้
อธิบายความรู้
ขยายความเข้าใจ Expand าใจ ขยายความเข้
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบExplain ายความรู้
Explain
ใหนักเรียนกลุมเดิมสงตัวแทนออกมานําเสนอ เรื่อง การสรางเสริมและดํารงประสิทธิภาพ การทํางานของระบบยอยอาหาร โดยครูชวยอธิบาย เพิ่มเติมแลวตั้งคําถามเพื่อใหไดขอสรุปที่ถูกตอง รวมกัน • นักเรียนจะมีแนวทางในการสรางเสริมและ ดํารงประสิทธิภาพการทํางานของ ระบบยอยอาหารดวยวิธีใดบาง (แนวตอบ ไดแก รับประทานอาหารที่สะอาด และปรุงสุกใหมๆ ควรเปนอาหารที่ยอยงาย และรสไมจัด เคี้ยวอาหารใหละเอียดกอนกลืน รับประทานอาหารใหเปนเวลา ดูแลสุขภาพ ของชองปากและฟนอยางสมํ่าเสมอ ออกกําลังกาย และฝกนิสัยการขับถาย ใหเปนเวลาอยางนอยวันละ 1 ครั้ง)
ขยายความเข้าใจ
๓.๓ การสร้างเสริมและด�ารงประสิทธิภาพการท�างานของระบบย่อย อาหาร ระบบย่อยอาหาร ท�าหน้าทีใ่ นการย่อยอาหารทีเ่ รารับประทานเข้าไปให้มขี นาดเล็กจนร่างกาย สามารถดูดซึมน�าสารอาหารไปใช้ประโยชน์ต่างๆ ได้ หากระบบย่อยอาหารมีการท�างานผิด ปกติ อาจส่งผลให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ น้อยลง จนมีผลให้ร่างกายอ่อนแอและอาจ เกิดโรคขาดสารอาหารต่างๆ ได้ ดังนั้น เราจึง ควรเสริ ม สร้ า งและด� า รงประสิ ท ธิ ภ าพการ ท�างานของระบบย่อยอาหาร เพื่อให้ระบบย่อย อาหารท�างานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจ ปฏิบัติตามแนวทาง ดังนี้ ๑. รับประทานอาหารทีส่ ะอาด และ ปรุงสุกใหม่ๆ เหมาะสมกับวัย ครบทุกประเภท การเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสมกับวัยและถูก สุขลักษณะ จะช่วยให้การท�างานของระบบย่อยอาหาร ในแต่ละมื้อ ทั้งนี้ควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย รส เป็นไปอย่างปกติ ไม่จัด ไม่ควรรับประทานอาหารมากเกิ นความ 1 ต้องการของร่างกาย เพราะอาหารจะย่อยไม่หมดส่งผลให้เกิดอาการท้องเฟ้อได้ รวมถึงไม่ควร รับประทานอาหารประเภทหมักดอง ซึ่งอาจไม่สะอาดและท�าให้เกิดโรคระบบทางเดินอาหาร ๒. เคีย้ วอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน เพือ่ ช่วยลดภาระในการย่อยอาหารให้มขี นาดเล็ก ลงของอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย อย่ารีบรับประทานอาหารขณะก�าลังเหนื่อย ๓. รับประทานอาหารให้เป็นเวลา เนือ่ งจากการรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา จะท�าให้ กรดในกระเพาะอาหารที่ขับออกมาเพื่อช่วยย่อยอาหารไม่มีอาหารให้ย่อย และจะย่อยกระเพาะ อาหารของเราเอง ส่งผลท�าให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร ได้ในที่สุด ๔. ดูแลรักษาสุขภาพของช่องปากและฟันอย่างสม�่าเสมอ เนื่องจากการมีฟันที่ แข็งแรง จะช่วยท�าให้การบดเคีย้ วอาหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยย่อยอาหารในเบือ้ งต้นได้ ซึ่งนักเรียนสามารถที่จะดูแลสุขภาพของช่องปากและฟันได้ ดังนี้ แปรงฟัน อย่างถูกวิธี อย่างน้อยวันละ ๒ ครั้ง ในตอนเช้าและก่อนนอน หรือ หากเป็นไปได้ ควรแปรงฟันทุกครั้งภายหลังรับประทานอาหารเสร็จแล้ว รับประทานผักและผลไม้ที่ช่วยบ�ารุงเหงือกและช่วยท�าความสะอาดฟัน เช่น ฝรั่ง ชมพู่ เป็นต้น
Expand
ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน จัดทําบอรดความรูเรื่อง การสรางเสริมและดํารง ประสิทธิภาพการทํางานของระบบยอยอาหาร โดยใหนําไปติดไวตามอาคารตางๆ ภายในโรงเรียน
■
■
18
เกร็ดแนะครู ครูควรแนะนําโรคที่เกี่ยวของกับระบบยอยอาหารใหกับนักเรียน เชน โรคกระเพาะอาหาร โรคกรดไหลยอน โรคทองอืด ทองเฟอ เปนตน เพื่อใหนักเรียน รูจักการปฏิบัติตนในการสรางเสริมการทํางานของระบบยอยอาหารใหหางไกลจาก โรคดังกลาว
กิจกรรมสรางเสริม ใหนักเรียนเขียนอธิบายกระบวนการทํางานของระบบยอยอาหาร โดยมีรูปภาพประกอบการอธิบาย แลวนําสงครูผูสอน
กิจกรรมทาทาย
นักเรียนควรรู 1 ทองเฟอ เปนอาการที่มีแกสในทองมากกวาปกติ ซึ่งสาเหตุเกิดจากมีกรด มากเกินไป เปนแผลในกระเพาะอาหารและลําไส ความผิดปกติของการยอยอาหาร เชน ขาดเอนไซมซึ่งเปนสารชวยยอยอาหารประเภทตางๆ เปนตน ดื่มเครื่องดื่มที่มี แอลกอฮอลและนํ้าอัดลมเปนประจํา และการรับประทานอาหารเร็วๆ เคี้ยวอาหาร ไมละเอียด ก็อาจเปนสาเหตุหนึ่งที่ทําใหเกิดอาการทองอืด ทองเฟอไดเชนเดียวกัน
18
คู่มือครู
ใหนักเรียนสรางวงจรกระบวนการทํางานของระบบยอยอาหาร พรอมทั้ง อธิบายรายละเอียดใหชัดเจน โดยอาจทําในรูปแบบของโปสเตอร หรือ Power Point ตามความถนัดของนักเรียน แลวนําสงครูผูสอน
กระตุน้ ความสนใจ กระตุEngage ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
อธิบายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุน้ ความสนใจ ■
หลีกเลี่ยงการใช้ฟันที่ผิดวิธี เช่น ใช้ฟันฉีกหรือกัดของแข็ง อาจท�าให้ฟันบิ่น
■
ควรไปพบทันตแพทย์สม�่าเสมอ อย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง เพื่อตรวจสุขภาพ
หรือหักได้
Engage
ใหนักเรียนทุกคนกระโดดตบ 30 ครั้ง จากนั้นใหนักเรียนสังเกตการเปลี่ยนแปลงรางกาย ของตนเองวาเกิดอะไรขึ้นหลังจากการกระโดดตบ โดยครูถามนักเรียนวา • รางกายเกิดการเปลี่ยนแปลงอยางไรบาง (แนวตอบ ขึ้นอยูกับคําตอบของนักเรียน โดยอาจตอบวา หอบเหนื่อย เหงื่อออกมาก หัวใจเตนแรง) • นักเรียนคิดวา เหงื่อที่ออกตามรูขุมขนนั้น เกิดมาจากสาเหตุใด (แนวตอบ เกิดจากการที่รางกายขับถาย ของเสียออกจากรางกาย ซึ่งผิวหนังจะกําจัด นํ้าและเกลือแรที่รางกายไมตองการออกมา ในรูปของเหงื่อ)
ฟันและช่องปาก ๕. ออกก�าลังกายอย่างสม�่าเสมอ การออกก�าลังกายจะช่วยท�าให้ระบบต่างๆ ของ ร่างกายท�างานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นยังท�าให้สุขภาพจิตดี ไม่เกิด ความเครียด ซึ่งเป็นสาเหตุท�าให้ระบบการย่อยอาหารเกิดความแปรปรวน และอาจเกิดปัญหาเรื่องท้องอืด ท้องเฟ้อตามมา ๖. ฝึกนิสยั การขับถ่าย ให้เป็นเวลาอย่ 1 างน้อยวันละ ๑ ครัง้ อย่าปล่อยให้ทอ้ งผูก เพราะ จะท�าให้เกิดปัญหาในเรื่องของโรคริดสีดวงทวาร ตามมาได้ การฝึกนิสัยการขับถ่ายอุจจาระให้เป็น เวลานั้น นอกจากจะช่วยท�าให้การท�างานของระบบย่อยอาหารดีขึ้นแล้ว ยังช่วยป้องกันปัญหาใน การขับถ่ายอุจจาระในระหว่างการเดินทางอีกด้วย ๗. เมื่อเกิดปัญหากับระบบย่อยอาหารในร่างกายของตนเอง ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อท�าการรักษาโดยทันที
ô. รкº¢ัº¶‹า (Excretory system) ในร่างกายของเราจะมีระบบขับถ่าย ช่วยท�าหน้าทีข่ บั ถ่ายของเสียออกจากร่างกาย โดยมีอวัยวะ ที่ส�าคัญ ได้แก่ ไตและตับ นอกจากนี้ยังมีป2อด ซึ่งคอยก�าจัดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ 3 ในขณะที่เรา หายใจออก ผิวหนังจะก�าจัดน�้าและเกลือแร่ที่ร่างกายไม่ต้องการออกมาในรูปเหงื่อ และล�าไส้ใหญ่ ก�าจัดกากอาหารออกมาในรูปอุจจาระ แต่ ใ นที่ นี้ จ ะขอกล่ า วถึ ง ระบบขั บ ถ่ า ย ปัสสาวะ (Urinary system) ซึ่งเป็นระบบที่มี ความส�าคัญต่อร่างกายระบบหนึ่ง เนื่องจาก เป็นระบบที่มีหน้าที่ในการควบคุมความเป็น กรด-ด่าง ภายในร่างกายให้เหมาะสม ซึ่งใน ร่างกายของมนุษย์นั้นมีน�้าเป็นส่วนประกอบ มากที่ สุ ด ดั ง นั้ น การควบคุ ม ความเป็ น กรด-ด่างภายในร่างกายของมนุษย์ โดยการ เ ป็น อาหารที่ มีเส้ น ใยสู งจะช่ ว ยป้ อ งกั น อาการ ขับออกมาในรูปของปัสสาวะ จึงเป็นเรื่องที่มี ผลไม้ ท้องผูก ท�าให้การท�างานของระบบขับถ่ายดีขึ้น ความส�าคัญอย่างยิ่ง 19
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
เพราะเหตุใด นักกีฬาจึงตองดื่มนํ้ามากกวาคนปกติทั่วไป
แนวตอบ เพราะนักกีฬาจะสูญเสียนํ้าในรางกายมาก เนื่องจากการ ออกกําลังกายจะทําใหเกิดความรอนขึ้น จึงจําเปนตองระบายออกสูภายนอก รางกายพรอมกับการขับนํ้าในรูปของเหงื่อ โดยระบบประสาทอัตโนมัติ จะมีการสั่งการใหรางกายเกิดความรูสึกตองการนํ้าเขามาชดเชยสวนที่ ขาดหายไป จึงเกิดการกระหายนํ้า ทําใหนักกีฬาตองดื่มนํ้ามากกวาปกติ เพื่อใหเกิดความสมดุลของปริมาณนํ้าในรางกาย
นักเรียนควรรู 1 โรคริดสีดวงทวาร เปนภาวะที่มีการอักเสบของเสนเลือดดําบริเวณลําไสตรง จนทําใหเสนเลือดบริเวณนี้โปงหรือพองออกมา ซึ่งถาเปนมากๆ จะเห็นเหมือนเปน ติ่งเนื้อโผลออกมาทางทวารหนัก ซึ่งผูปวยจะมีอาการเจ็บๆ คันๆ ในระยะแรกและ จะเพิ่มอาการเจ็บปวดมากขึ้น โดยการโปงของเสนเลือดนี้จะทําใหเกิดการเสียดสีกับ อุจจาระ ในที่สุดก็จะเกิดเปนแผลและมีเลือดออกขณะเบงหรือถายอุจจาระ 2 เกลือแร เปนสารที่จําเปนตอรางกายมีอยูหลายชนิดที่สําคัญตอรางกาย ไดแก แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และโซเดียม 3 เหงื่อ เปนของเสียชนิดหนึง่ ทีร่ า งกายขับออกมาในรูปของเหลว และจะขับออกมา ทางผิวหนัง มักจะมีรสเค็มเนื่องจากมีแรธาตุสําคัญ คือ โซเดียม และโพแทสเซียม
คู่มือครู
19
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
Engage
Exploreนหา ส�ารวจค้
ส�ารวจค้นหา
Explore
ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน ศึกษาเรื่อง ระบบขับถาย จากหนังสือเรียนและแหลงเรียนรูอื่นๆ เพิ่มเติม โดยมีประเด็นการศึกษา ดังนี้ • องคประกอบของระบบขับถายปสสาวะ • กระบวนการทํางานของระบบขับถายปสสาวะ • การสรางเสริมและดํารงประสิทธิภาพ การทํางานของระบบขับถายปสสาวะ
อธิบายความรู้
๔.1 องค์ประกอบของระบบขับถ่ายปัสสาวะ ระบบขับถ่ายปัสสาวะมีองค์ประกอบของอวัยวะที่ส�าคัญ ดังนี้ ๑) ไต (Kidneys) มีจ�านวน ๑ คู่ อยู่ด้านหลังของช่องท้องบริเวณเอว รูปร่างคล้าย เม็ดถัว่ แดง มีลกั ษณะโค้งออกด้านข้างและด้านในเว้าเข้า ซึง่ เนือ้ ไตทัง้ หมดจะมีเนือ้ เยือ่ บางๆ คลุม อยู่เรียกว่า “เยื่อไต” (Renal capsule) โดยทั่ว1ไปแล้วไตข้างขวาจะมีขนาดใหญ่กว่าไตข้างซ้าย ในแต่ละข้างจะประกอบด้วยหน่วยไตหรือเนฟรอน (nephrons) ประมาณ ๑ - ๒ ล้านหน่วย เนื่องจากระบบการขับถ่ายปัสสาวะ เป็นระบบที่เกี่ยวข้องกับการผลิตน�้าปัสสาวะ และการขับถ่ายน�้าปัสสาวะ ซึ่งเป็นระบบการขับถ่ายของเสียในรูปของเหลว การท�างานของ ระบบปัสสาวะจึงมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับระบบไหลเวียนโลหิต โดยโลหิตที่เป็นของเหลว ที่อยู่ภายนอกเซลล์จะเป็นตัวพาสารต่าง ๆ ที่ร่างกายต้องการขับออกไปที่ไต เพื่อให้ไตกรองสาร ที่ไม่ต้องการออก พร้อมทั้งท�าการผลิตและขับออก หน้าที่ส�าคัญของไตมีมากมาย ได้แก่ ๑. สร้างน�า้ ปัสสาวะทีเ่ กิดจากการกรองน�า้ โลหิตทีไ่ ต ซึง่ ของเสียส่วนใหญ่เป็นของ เสียที่เกิดจากขบวนการเมแทบอลิซึมของเซลล์ และขับออกทางหลอดไตไปยังกระเพาะปัสสาวะ ๒. 2ขับของเสียจากกระบวนการเมแทบอลิซึม ของร่างกาย ได้แก่ ยูเรีย ครีเอตินิน แอมโมเนีย กรดยูรกิ และสารพิษทีร่ า่ งกายไม่สามารถท�าลายได้ ซึง่ ถือว่าเป็นหน้าทีโ่ ดยตรงของไต ในการช่วยก�าจัดสารพิษที่เข้าไปในร่างกาย แล้วขับออกกับน�้าปัสสาวะ ๓. กักเก็บสารทีม่ ปี ระโยชน์ตอ่ ร่างกายเพือ่ น�ากลับมาใช้ใหม่ เช่น กลูโคส กรดอะมิโน ฮอร์โมน และวิตามินต่างๆ กรวยไต ๔. รั ก ษาสมดุ ล ของน�้ า ใน ร่างกาย และเป็นตัวท�าละลายส�าหรับสารต่าง ๆ หลอดเลือดแดง ของไต ที่เป็นของเสียจากขบวนการเมแทบอลิซึมที่ ร่างกายต้องการขับออก ไตจึงเป็นตัวควบคุม ปริมาณน�้าในร่างกายไม่ให้มีการขับน�้าออกมา มากเกินไป ๕. ควบคุมสมดุลของเกลือแร่ หลอดเลือดด�า ในร่างกาย โดยการขับแร่ธาตุส่วนที่มีมากเกิน ของไต ความต้องการออก และดูดกลับแร่ธาตุส่วนที่ ท่อไต ร่างกายมีความต้องการเข้าสู่ร่างกายผ่านทาง ส่วนประกอบของไตที่ท�าหน้าที่ขับถ่ายของเสีย รักษา ผนังของท่อไต สมดุลของสารเคมี และผลิตฮอร์โมน
Explain
ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายวา องคประกอบของการขับถายปสสาวะที่สําคัญนั้น มีอะไรบาง โดยครูตงั้ คําถามกระตุน การเรียนรูข อง นักเรียน • ระบบขับถายปสสาวะ มีองคประกอบของ อวัยวะที่สําคัญ ไดแกอะไรบาง (แนวตอบ ไดแก • ไต (Kidneys) • ทอไต (Ureters) • กระเพาะปสสาวะ (Urinary bladder) • ทอปสสาวะ (Urethra))
20
เกร็ดแนะครู ครูสามารถนําโมเดลจําลององคประกอบของระบบขับถายปสสาวะ เชน ไต กระเพาะปสสาวะ เปนตน มาใหนักเรียนดู เพื่อใหนักเรียนสามารถเห็นลักษณะของ อวัยวะตางๆ ไดอยางชัดเจน
นักเรียนควรรู 1 เนฟรอน ในไตแตละขางจะประกอบดวยเนฟรอน ประมาณ 1.2 ลานหนวย ทําหนาที่ในการกรองของเสียออกจากเลือดและดูดกลับสารที่มีประโยชนเขาสูเลือด 2 กรดยูริก เปนของเสียที่รางกายขับออกมาทางปสสาวะ ซึ่งถามีมากเกินไปและ ขับออกไมทันก็จะทําใหกรดยูริกในเลือดเพิ่มสูงขึ้นไดงาย และอาจสงผลใหเกิด โรคเกาต
20
คู่มือครู
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 51 ออกเกี่ยวกับระบบขับถาย นักวิ่งระยะสั้นฝกซอมการวิ่ง 100 เมตร ติดตอกัน 10 เที่ยวทําใหลา เนื่องจากเกิดของเสียใดในรางกาย 1. กรดแลคติก 2. กรดยูริก 3. กรดเกลือ 4. กรดอะมิโน วิเคราะหคําตอบ การที่รางกายเกิดอาการเหนื่อยลาเนื่องมาจากการ ออกกําลังกาย รางกายจะขับของเสียออกมาในรูปของการหายใจเพื่อ เผาผลาญพลังงานโดยไมใชออกซิเจน ซึ่งของเสียที่ถูกขับออกมานั้น คือ กรดแลคติก ตอบขอ 1.
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบายความรู
Explain
ครูสุมนักเรียน 2-3 กลุม ออกมานําเสนอใน ประเด็น องคประกอบของระบบขับถายปสสาวะ โดยครูและนักเรียนกลุมอื่นๆ รวมกันเสนอแนะ เพิ่มเติม และตั้งคําถามเพื่อใหไดขอสรุปที่ถูกตอง รวมกัน • กระเพาะปสสาวะ มีหนาที่สําคัญอยางไร (แนวตอบ มีหนาที่รับนํ้าปสสาวะที่กรองมา จากไตและเปนที่พักชั่วคราวของนํ้าปสสาวะ เพื่อปองกันไมใหปสสาวะไหลออกทาง ทอปสสาวะตลอดเวลา และเมื่อกระเพาะ ปสสาวะรวบรวมปสสาวะมากเทาที่สามารถ บรรจุได ก็จะมีการขับถายออกมาเปน ครั้งคราว) • เพราะเหตุใด กระเพาะปสสาวะจึงสามารถ ขยายตัวได (แนวตอบ เนื่องจากกระเพาะปสสาวะจะตอง รับนํ้าปสสาวะในปริมาณมาก ซึ่งจะขยายได ครั้งละ 1 มิลลิเมตร เมื่อกระเพาะปสสาวะ รับนํ้าปสสาวะไดประมาณ 200 - 400 ซี.ซี. จะเกิดความรูส กึ ปวดปสสาวะ แตในบางครัง้ กระเพาะปสสาวะสามารถขยายตัวไดถึง 700 ซี.ซี. หากมีการกลั้นปสสาวะ แตถา เกินกวานั้นจะเปนอันตรายตอรางกายได)
1 ๖. รักษาสมดุลของกรด-ด่างในน�า้ โลหิต โดยทัว่ ไปแล้ว โลหิตจะมีคา่ pH ประมาณ pH ๗.๔ ซึ่งเป็นระดับที่เซลล์ในร่างกายสามารถท�าหน้าที่ได้ การที่โลหิตมี pH เป็นด่าง (Alkalosis) หรือมี pH เป็นกรดมากเกินไป (Acidosis) จะส่งผลให้การท�างานของเซลล์มีประสิทธิภาพลดลง ๗. สร้างและหลั่งฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง และผลิต ฮอร์โมนที่เกี่ยวกับการควบคุมความดันของโลหิต โดยในแต่ละวันนั้น โลหิตที่หมุนเวียนอยู่ ภายในร่างกายจะต้องไหลผ่านมายังไต ซึ่งประมาณการว่าในแต่ละนาทีจะมีโลหิตถูกส่งมายังไต ประมาณ ๑,๒๐๐ มิลลิลิตรต่อนาที หรือประมาณวันละ ๑๘๐ ลิตร ๒) ท่อไต (Ureters) เป็นท่อกลวงที่ประกอบด้วยกล้ามเนื้อเรียบทั้งหมด มีจ�านวน ๒ ท่อ แต่ละท่อจะมีความยาวประมาณ ๑๐ - ๑๒ นิ้ว โดยท่อไตจะเป็นทางติดต่อระหว่างไตและ กระเพาะปัสสาวะ ท�าหน้าที่รับน�้าปัสสาวะจากไต เพื่อส่งต่อไปยังกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งการส่งผ่าน น�้าปัสสาวะเกิดจากการบีบตัวของผนังกล้ามเนื้อเรียบที่ล้อมรอบท่อไต บริเวณท่อไตตรงส่วนที่ต่อ ระหว่างท่อไตกับกระเพาะปัสสาวะจะมีลิ้น (valves) อยู่ภายในท่อ เพื่อท�าหน้าที่ป้องกันการไหล ย้อนกลับของน�้าปัสสาวะเข้าสู่ไต ๓) กระเพาะปัสสาวะ (Urinary bladder) เป็นอวัยวะที่ประกอบด้วยกล้ามเนื้อ ภายใน เป็นโพรงส�าหรับพักปัสสาวะก่อนขับออกภายนอกร่างกาย ในกระเพาะปัสสาวะจะมีทาง เปิด ๓ ช่อง คือทางเปิดของท่อไตเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ จ�านวน ๒ ช่อง และทางเปิดออกสู่ท่อ ปัสสาวะ จ�านวน ๑ ช่อง หน้าทีส่ า� คัญของกระเพาะปัสสาวะคือ รับน�า้ ปัสสาวะทีก่ รองมาจากไตและ เป็นทีพ่ กั ชัว่ คราวของน�า้ ปัสสาวะ ทัง้ นีเ้ พือ่ ป้องกันมิให้ปสั สาวะไหลออกทางท่อปัสสาวะตลอดเวลา และเมือ่ กระเพาะปัสสาวะรวบรวมปัสสาวะมากเท่าทีส่ ามารถบรรจุได้ ก็จะมีการขับถ่ายออกมาเป็น ครั้งคราว โดยมีระบบประสาทส่วนกลางเป็นตัวควบคุมการขับถ่ายอย่างอัตโนมัติ ซึ่งจะกระตุ้นให้ เกิดความรู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะออกมา กระเพาะปัสสาวะสามารถขยายตัวได้จากขนาดปกติครั้งละน้อยๆ คือ ขยายได้ครั้งละ ๑ มิลลิเมตร จนเต็มที่ได้ถึง ๑ ลิตร เมื่อกระเพาะปัสสาวะรับน�้าปัสสาวะได้ประมาณ ๒๐๐ - ๔๐๐ ซี.ซี. (โดยเฉลี่ย คือประมาณ ๒๕๐ ซี.ซี.) จะเกิดความรู้สึกปวดปัสสาวะ อยากขับถ่ายปัสสาวะ ออกทันที แต่พบว่าในบางครั้งกระเพาะปัสสาวะสามารถที่จะขยายตัวได้ถึง ๗๐๐ ซี.ซี. (หากมี การกลั้นปัสสาวะ) แต่ถ้าเกินกว่านั้นโดยไม่มีการขับถ่ายออกมา จะเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ๔) ท่อปัสสาวะ (Urethra) เป็นส่วนทีต่ อ่ จากกระเพาะปัสสาวะ เพือ่ น�าปัสสาวะออกสู่ ภายนอกร่างกาย ในเพศหญิงท่อปัสสาวะจะมีความยาวประมาณ ๔ เซนติเมตร ในขณะที่เพศชาย จะมีความยาวประมาณ ๒๐ เซนติเมตร 21
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ขอใดอธิบายหนาที่การทํางานของไตไม ถูกตอง 1. กักเก็บสารที่มีประโยชนตอรางกายเพื่อนํากลับมาใชใหม 2. ขับของเสียจากกระบวนการเมแทบอลิซึมของรางกาย 3. ผลิตนํ้ายอยสําหรับยอยโปรตีน และไขมัน 4. ควบคุมสมดุลของเกลือแรในรางกาย
วิเคราะหคําตอบ ไตจะมีหนาที่สรางและหลั่งฮอรโมนที่เกี่ยวกับการสราง เม็ดเลือดแดง และผลิตฮอรโมนที่เกี่ยวกับการควบคุมความดันของโลหิต ดังนั้น ไตจึงไมมีหนาที่ในการผลิตนํ้ายอยสําหรับยอยโปรตีน และไขมัน แตหนาที่ดังกลาวเปนหนาที่ของตับออน ตอบขอ 3.
เกร็ดแนะครู ครูควรเพิ่มเติมความรูใหกับนักเรียนเรื่อง กระเพาะปสสาวะอักเสบ ซึ่งเปนโรค ที่พบไดบอยในผูหญิง โดยเฉพาะในชวงอายุ 20-50 ป ทั้งนี้เพราะทอปสสาวะของ ผูหญิงจะสั้นกวาผูชายและอยูใกลกับทวารหนัก บริเวณทวารหนักจะมีเชื้อแบคทีเรีย จํานวนมาก จึงมีโอกาสสูงที่จะเคลื่อนเขาสูกระเพาะปสสาวะทําใหเกิดการอักเสบได
นักเรียนควรรู 1 pH เปนคาที่แสดงความเปนกรด-เบส ของสารเคมี สําหรับตัวเลขที่แสดงคา pH ถาพิจารณาอยางงาย คาเทากับ 7 แสดงวาสารนั้นเปนกลางไมมีฤทธิ์เปน กรด-เบส ถามีคานอยกวา 7 แสดงวาเปนกรด และถามีคามากกวา 7 แสดงวาเปน เบส
คูมือครู
21
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
Engage
Explore
อธิบายความรู้
อธิบายความรู้ อธิบExplain ายความรู้
ขยายความเข้าใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
Explain
ใหนักเรียนกลุมที่ออกมานําเสนอแลว เลือกเพื่อนอีก 2 คน ออกมานําเสนอในประเด็น กระบวนการทํางานของระบบขับถายปสสาวะ ซึ่งหลังจากที่แตละกลุมนําเสนอเสร็จสิ้น ครูให นักเรียนกลุมดังกลาวไดเปดโอกาสใหนักเรียน กลุมอื่นๆ ไดซักถามและแสดงความคิดเห็นรวมกัน เพื่อใหนักเรียนไดมีสวนรวมในชั้นเรียน โดยครู เสนอแนะและอธิบายเพิ่มเติมวา การทํางานของระบบขับถายปสสาวะจะเริ่มขึ้น เมื่อโลหิตไหลผานไตและหนวยไต ซึ่งในบริเวณนี้ จะมีการกรองและดูดซึมสารที่มีประโยชนและนํ้า บางสวนกลับเขาไปใชใหมในรางกาย ในขณะที่สาร ซึ่งรางกายไมไดใชประโยชนและนํ้าบางสวนจะถูก ผลิตออกจากไตในรูปของปสสาวะ และถูกขับออก มาจากไตไปเก็บยังกระเพาะปสสาวะผานทอไต เมื่อปริมาณของนํ้าปสสาวะในกระเพาะปสสาวะ มากพอ ระบบประสาทที่ควบคุมการขับถาย ปสสาวะจะกระตุนใหรางกายมีการขับนํ้าปสสาวะ ออกมาทางทอปสสาวะตอไป
แผนภาพแสดงองค์ประกอบและหน้าทีข่ องระบบขับถ่ายปัสสาวะ ไต (Kidneys) มี ๑ คู่ คล้ายเม็ดถั่ว จะอยู่ ๒ ข้างของกระดูกสันหลังบริเวณ เหนือเอว มีหน้าที่สกัดของเสียออกจาก เลือด ควบคุมสมดุลน�้า รักษาความเป็น กรด-ด่าง ผลิตฮอร์โมนและสารบาง ชนิด และกักเก็บสารที่มีประโยชน์ กระเพาะปั ส สาวะ (Urinary bladder) มีหน้าที่รับน�้าปัสสาวะที่ กรองมาจากไตและเป็นที่พักชั่วคราว กลไกการขั บ ถ่ า ยจะขึ้ น อยู ่ กั บ ระบบ ประสาทอัตโนมัติ
ท่อไต (Ureters) มี ๒ ท่อ ต่อจาก ไตข้างละท่อ จะน�าปัสสาวะที่ไหลจากไต ไปยังกระเพาะปัสสาวะ
ท่อปัสสาวะ (Urethra) เป็นส่วน ที่ต่อจากกระเพาะปัสสาวะ เพื่อน�าน�้า ปัสสาวะออกสู่ภายนอก
๔.2 กระบวนการท�างานของระบบขับถ่ายปัสสาวะ การท�างานของระบบขับถ่ายปัสสาวะจะเริ่มขึ้นเมื่อโลหิตหรือพลาสมาไหลผ่านไตและหน่วย ไต ซึ่งในบริเวณนี้จะมีการกรองและดูดซึมสารที่มีประโยชน์และน�้าบางส่วนกลับเข้าไปใช้ใหม่ใน ร่างกาย ในขณะที่สารซึ่งร่างกายไม่ได้ใช้ประโยชน์และน�้าบางส่วนจะถูกผลิตออกจากไตในรูปของ ปัสสาวะ และถูกขับออกมาจากไตไปเก็บยัง กระเพาะปัสสาวะผ่านท่อไต เมื่อปริมาณของ น�้าปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะมากพอ ระบบ ประสาททีค่ วบคุมการขับถ่ายปัสสาวะจะกระตุน้ ให้ ร ่ า งกายมี ก ารขั บ น�้ า ปั ส สาวะออกมาทาง ท่อปัสสาวะต่อไป เมื่อร่างกายของคนเรา น�า น�า้ เข้าไปสูร่ า่ งกาย นอ้ ย จะส่งผลให้การท�างาน ของระบบขับถ่ายปัสสาวะด้อยประสิทธิภาพลง เพราะไตจะไม่มีน�้าที่น�าเข้าไปให้ขับออกมา จึง ต้องใช้นา�้ ในร่างกาย ซึง่ อาจเป็นน�า้ เลือดทีไ่ ตดึง 1 ออกมาเพื่อจะได้มีการขับถ่ายที่ปกติ ดังนั้นเรา การดื่มน�้าจะช่วยให้ร่างกายขับถ่ายของเสียออกมา แต่ ถ้าดืม่ น�า้ ในปริมาณทีน่ อ้ ยกว่าความต้องการของร่างกาย จึงเห็นว่าปัสสาวะที่ขับออกมาจะสีเหลืองเข้ม ไตจะไม่สามารถท�างานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
22
นักเรียนควรรู 1 การดื่มนํ้า ในกรณีของคนที่มีความผิดปกติหรือมีภาวะความเจ็บปวยของไต หากมีการดื่มนํ้ามากเกินไปจะสงผลเสียตอรางกาย ซึ่งอาจจะทําใหปสสาวะเขมขน นอยลง ปริมาณโซเดียมในเลือดตํ่า ทําใหเกิดอาการชัก และทําใหเกิดอาการบวม ขึ้นได เนื่องจากการขับถายนํ้าออกนอกรางกายทําไดไมดี
มุม IT ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ความสําคัญของระบบขับถายปสสาวะ จากบทความ “ปสสาวะบอกโรคและการขับพิษทางปสสาวะ” ไดจาก http://doctor.or.th/ article/detail/3045
22
คู่มือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
เพราะเหตุใด การตรวจปสสาวะจึงสามารถทราบตนเหตุของโรคตางๆ ได แนวตอบ เพราะการทํางานของระบบปสสาวะจะมีความสัมพันธเกี่ยวของ กับระบบไหลเวียนโลหิต โดยโลหิตที่เปนของเหลวที่อยูภายนอกเซลลจะเปน ตัวพาสารตางๆ ที่รางกายตองการขับออกไปที่ไต เพื่อใหไตกรองสารที่ ไมตองการออก สําหรับในทางการแพทย ปสสาวะถือเปนสิ่งที่มีประโยชน มากในการวินิจฉัยโรค เพราะในปสสาวะจะมีสารเคมีมากมายที่รางกาย ขับออกมา เชน โปรตีน บิลิรูบิน ครีอะตินิน เปนตน ซึ่งสามารถบอก ความผิดปกติของโรคบางชนิดไดอยางแมนยํา
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
อธิบายความรู้
Engage
Explore
Explain
ขยายความเข้าใจ Expand าใจ ขยายความเข้
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
ขยายความเข้าใจ
Expand
ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันเสนอแนะวิธีการ สรางเสริมและดํารงประสิทธิภาพการทํางานของ ระบบขับถายปสสาวะ โดยนําเสนอในรูปแบบของ ผังความคิด จากนั้นใหนักเรียนแตละกลุมสงตัวแทน กลุมละ 1 คน ออกมานําเสนอโดยใชผังความคิด ประกอบการอธิบาย หลังจากทุกกลุมนําเสนอ เสร็จสิ้น ครูชวยเสนอแนะและอธิบายเพิ่มเติม แลวตั้งคําถามเพื่อขยายความเขาใจของนักเรียน • นักเรียนมีแนวทางในการสรางเสริมและ ดํารงประสิทธิภาพการทํางานของ ระบบขับถายปสสาวะอยางไรบาง (แนวตอบ ดื่มนํ้าสะอาดในปริมาณที่เพียงพอ ตอความตองการของรางกาย รับประทาน อาหารประเภทโปรตีน ไมควรกลั้นปสสาวะ เปนเวลานาน และเมื่อมีอาการผิดปกติ เกิดขึ้นกับระบบทางเดินปสสาวะ ควรรีบ ปรึกษาแพทยทันที)
๔.๓ การสร้างเสริมและด�ารงประสิทธิภาพการท�างานของระบบ ขับถ่ายปัสสาวะ ระบบขับถ่ายปัสสาวะเป็นระบบที่มีความส�าคัญต่อร่างกายระบบหนึ่ง เนื่องจากเป็นระบบที่ มีหน้าที่ในการควบคุมความเป็นกรด - ด่าง ภายในร่างกายให้เหมาะสม เราถึงสามารถด�ารงชีวิต อยู่ได้ หากร่างกายขาดความสมดุลที่เหมาะสม อาจส่งผลให้ร่างกายผิดปกติจนถึงแก่ชีวิตได้ เพื่อให้ระบบขับปัสสาวะ ท�างานได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ จึงควรมีการเสริมสร้างและด�ารง ประสิทธิภาพการท�างานของระบบขับถ่าย ดังนี้ ๑. ดื่มน�้าสะอาดในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย คืออย่างน้อย วันละ ๘ - ๑๐ แก้ว เพื่อทดแทนปริมาณน�้าที่ขับออกมาทางปัสสาวะ 1 ๒. ไม่ควรรับประทานผักที่มีปริมาณของสาร ออกซาเลตสูง เช่น ยอดผัก หน่อไม้ ชะพลู เป็ น ต้ น ในปริ ม าณมากๆ เนื่ อ งจากจะท� า ให้ เ กิดการสะสมของผลึก สารแคลเซียม ออกซาเลตในไตหรือกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งส่งผลอาจท�าให้เกิดเป็น “นิ่ว” ได้ ๓. ควรรับประทานอาหารประเภทโปรตีนเช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่วต่างๆ เป็นต้น ซึ่งมี ปริมาณของสารฟอสเฟตสูง เพราะจะช่วยลดอัตราการเกิดนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะได้ ๔. ไม่ควรกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน เพราะจะท�าให้มีโอกาสเกิดการอักเสบติดเชื้อ ในระบบทางเดินปัสสาวะได้โดยง่าย ๕. เมื่ อ มี อ าการผิ ด ปกติ เ กิ ด ขึ้ น กั บ ระบบทางเดิ น ปั ส สาวะ เช่ น ปั ส สาวะขั ด ปัสสาวะกะปริบกะปรอย ปัสสาวะมีสีผิดปกติ เป็นต้น ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อท�าการรักษาทันที
เ
มือ่ เรารับประทานอาหาร หรือหายใจเอาอากาศเขาไปในรางกาย ระบบตางๆ ของรางกายก็ จะเริ่มทําหนาที่ของตนเอง โดยเริ่มตนตั้งแตการยอยอาหารในระบบยอยอาหาร การแลกเปลี่ยน แกสออกซิเจนกับแกสคารบอนไดออกไซดในระบบหายใจ ไปจนถึงการนําสารอาหารและแกส ออกซิเจนที่จําเปนตอรางกายไปสูเซลลตาง ๆ ผานทางระบบไหลเวียนโลหิต และระบบไหลเวียน โลหิตก็จะนําสารที่ไมจําเปนตอรางกายขับออกมาผานทางระบบทางเดินหายใจ ระบบขับถาย ปสสาวะ และระบบอื่นๆ ในที่สุด จะเห็นไดวาระบบอวัยวะตางๆ ทั้ง ๔ ระบบ จะตองมีการทํางานที่ ประสานสัมพันธกนั เปนอยางดี จึงจะทําใหรา งกายสามารถดํารงสภาวะสุขภาพอยูอ ยางเปนปกติสขุ ได หากระบบใดระบบหนึ่งทํางานผิดปกติยอมจะสงผลกระทบตอ ระบบอื่น ๆ และมีผ ลตอ สุขภาพโดยตรง ดังนัน้ เราจึงควรดูแลรักษา เอาใจใส และเสริมสรางดํารงประสิทธิภาพการทํางาน ของระบบอวัยวะตางๆ อยางถูกวิธีเพื่อปองกันปญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได
2๓
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 53 ออกเกี่ยวกับการสรางเสริมการทํางานของระบบขับถาย ปสสาวะ ธิดามีอาชีพเปนพนักงานขายของหนารานมีอาการของโรคกระเพาะ ปสสาวะอักเสบ ธิดาควรมีวิธีดูแลระบบทางเดินปสสาวะที่ถูกตองอยางไร 1. ทําความสะอาดอวัยวะเพศหลังการขับถาย 2. ถายปสสาวะจนหมด และดื่มนํ้าวันละ 8 -10 แกว 3. ไมกลั้นปสสาวะ และทําความสะอาดอวัยวะเพศหลังการขับถายทุกครั้ง 4. ดื่มนํ้าวันละ 8 -10 แกว ถายปสสาวะจนหมด และรับประทานยา ตามแพทยสั่ง วิเคราะหคําตอบ ธิดาไมควรกลั้นปสสาวะ เพราะจะทําใหเกิดการอักเสบ ของกระเพาะปสสาวะได ถึงแมวาจะเปนพนักงานขายของหนาราน ซึ่งตอง ดูแลหนารานตลอดเวลา หากมีความจําเปนควรใหพนักงานคนอื่นดูแลราน ใหชั่วคราว และหลังการขับถายทุกครั้ง ควรจะทําความสะอาดอวัยวะเพศ เพราะหากไมทําความสะอาด อาจสงผลใหเกิดการติดเชื้อในระบบทางเดิน ปสสาวะได ตอบขอ 3.
เกร็ดแนะครู ครูสามารถเพิ่มเติมความรูเรื่องการดื่มนํ้าใหกับนักเรียน โดยคํานึงถึงสูตรของ องคการอนามัยโลกที่ไดกําหนดไววา ในแตละวันคนเราตองดื่มนํ้าใหไดปริมาณที่ เหมาะสมกับนํ้าหนักตัว โดยมีวิธีคํานวณ ดังนี้ นํ้าหนักตัว (ก.ก.) × 2.2 × 30 = c.c. ซึ่ง 1,000 c.c. = 1 ลิตร = 5 แกว 2
นักเรียนควรรู 1 ออกซาเลต (oxalate) เปนสารทีย่ บั ยัง้ การดูดซึมของแคลเซียมและแรธาตุสาํ คัญ หลายชนิดในกระแสเลือด หากรางกายไดรับแคลเซียมและแรธาตุตางๆ จากอาหาร มากเกินไป รางกายจะไมสามารถดูดซึมกลับเขาไปสะสมในกระดูกได แตจะสะสม อยูใ นกระแสเลือดและเนือ้ เยือ่ แทน จึงทําใหอวัยวะทีม่ แี คลเซียมออกซาเลตไปสะสม ทํางานผิดปกติ และอาจทําใหเกิดกอนนิ่วในไตหรือกระเพาะปสสาวะได คู่มือครู
23
กระตุ้นความสนใจ
ส�ารวจค้นหา
อธิบายความรู้
ขยายความเข้าใจ
Engage
Explore
Explain
Expand
ตรวจสอบผล
ตรวจสอบผล Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate
Evaluate
1. การเขียนสรุปแนวทางการปองกันเพื่อไมใหเกิด โรคโพรงอากาศอักเสบตอตนเองและครอบครัว 2. การเขียนสรุปผังความคิดเกี่ยวกับกระบวนการ ทํางานของระบบไหลเวียนโลหิตและแนวทาง การสรางเสริมและดํารงประสิทธิภาพ การทํางานของระบบไหลเวียนโลหิต 3. การจัดทําบอรดความรูเรื่อง การสรางเสริมและ ดํารงประสิทธิภาพการทํางานของระบบ ยอยอาหาร 4. การเขียนผังความคิดเรื่อง การสรางเสริมและ ดํารงประสิทธิภาพการทํางานของระบบขับถาย ปสสาวะ
คา¶าÁปรШíาËน‹ÇÂการàรÕÂนรÙŒ ๑. จงอธิบายขัน้ ตอนการท�างานของระบบอวัยวะดังต่อไปนี ้ ระบบหายใจ ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบย่อย อาหาร ระบบขับถ่ายปัสสาวะ มา ๑ ระบบ ๒. เพราะเหตุใดระบบขับถ่ายปัสสาวะจึงมีความสัมพันธ์กับระบบไหลเวียนโลหิตมากกว่าระบบอื่น ๆ ๓. ถ้าระบบอวัยวะระบบใดระบบหนึ่งท�างานผิดปกติ นักเรียนคิดว่าจะมีผลกระทบต่อสุขภาพของเรา หรือไม่อย่างไร จงอธิบาย ๔. การสร้างเสริมและด�ารงประสิทธิภาพในการท�างานของระบบอวัยวะต่าง ๆ มีความสัมพันธ์กับการ ด�าเนินชีวิตของเราอย่างไร ๕. การออกก�าลังกายเป็นประจ�ามีผลดีต่อระบบอวัยวะต่าง ๆ ของเราอย่างไรบ้าง จงวิเคราะห์
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู
กÔ¨กรรมสร้ำงสรรค์พั²นำกำรเรÕยนรู้
1. ผังความคิดเกี่ยวกับกระบวนการทํางานของ ระบบไหลเวียนโลหิตและแนวทางการสรางเสริม และดํารงประสิทธิภาพการทํางานของระบบ ไหลเวียนโลหิต 2. บอรดความรูเรื่อง การสรางเสริมและดํารง ประสิทธิภาพการทํางานของระบบยอยอาหาร 3. ผังความคิดเรื่อง การสรางเสริมและดํารง ประสิทธิภาพการทํางานของระบบขับถาย ปสสาวะ
กิจกรรมที่ ๑
กิจกรรมที่ ๒
กิจกรรมที่ ๓
แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มกลุ่มละ ๓ - ๕ คน ให้เลือกท�ารายงานเกี่ยวกับระบบ อวัยวะตามทีไ่ ด้ศกึ ษา กลุม่ ละ ๑ ระบบ โดยให้แต่ละกลุม่ มีแผนภาพประกอบด้วย เสร็จแล้วให้น�ารายงานส่งครูผู้สอน ครูและนักเรียนช่วยกันหาแผนภาพ หุ่นจ�าลอง ซีดี เกี่ยวกับองค์ประกอบและ หน้าที่ของระบบอวัยวะต่าง ๆ น�ามาแสดงในชั้นเรียนและร่วมกันอภิปราย ในประเด็นที่จะศึกษา เชิญบุคลากรด้านสาธารณสุขในท้องถิ่น มาบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับแนวทาง ปฏิบัติตนในการสร้างเสริมและด�ารงประสิทธิภาพการท�างานของระบบอวัยวะ ต่าง ๆ ทั้ง ๔ ระบบ โดยให้นักเรียนสรุปสาระส�าคัญจดบันทึกไว้
2๔
แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู 1. ระบบยอยอาหาร เริ่มจากการยอยอาหารในปาก ซึ่งอาหารจะถูกบดเคี้ยวใหมีขนาดเล็กลง และทําใหออนนุมดวยนํ้าลาย ภายในนํ้าลายจะมีเอนไซมอะไมเลส ทําหนาที่ ยอยอาหารคารโบไฮเดรตจําพวกแปงและไกลโคเจนใหมีขนาดเล็กลง เมื่อเรากลืนอาหาร อาหารจะเคลื่อนไปตามหลอดอาหาร โดยอาศัยการบีบตัวของหลอดอาหาร เพื่อลงสูกระเพาะอาหาร ซึ่งอาหารที่ถูกยอยสวนใหญจะเปนโปรตีน และลําไสเล็กจะดูดซึมสารอาหาร ซึ่งจะมีการยอยอาหารทั้งคารโบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน จากนั้นลําไสใหญจะดูดซึมของเหลว นํ้า เกลือแร และนํ้าตาลกลูโคสออกใหเหลือเปนกากอาหาร เพื่อขับออกนอกรางกายในรูปของอุจจาระทางทวารหนักตอไป 2. เพราะการทํางานของระบบขับถายปสสาวะจะเริ่มขึ้นเมื่อโลหิตหรือพลาสมาไหลผานไตและหนวยไต ซึ่งในบริเวณนี้จะมีการกรองและดูดซึมสารที่มีประโยชนและ นํา้ บางสวนกลับเขาไปใชใหมในรางกาย โดยโลหิตทีเ่ ปนของเหลวทีอ่ ยูภ ายนอกเซลลจะเปนตัวพาสารตางๆ ทีร่ า งกายตองการขับออกไปทีไ่ ต เพือ่ ใหไตกรองสารทีไ่ มตอ งการออก 3. มีผล เพราะรางกายจะสามารถดํารงภาวะสุขภาพไดดนี นั้ ระบบอวัยวะตางๆ ของรางกายตองทํางานประสานสัมพันธกนั อยูต ลอดเวลา จึงจะทําใหมนุษยสามารถดํารงชีวติ อยูไดอยางปกติ โดยเริ่มตั้งแตการหายใจเขาสูรางกายผานกระบวนการของระบบหายใจ การยอยอาหารและนําสารอาหารที่จําเปนเขาสูรางกายผานทางระบบไหลเวียน โลหิต และรางกายจะขับสารที่ไมจําเปนตอรางกายออกมาทางระบบทางเดินหายใจและระบบขับถายปสสาวะ 4. หากเรารูว ธิ กี ารปฏิบตั ติ นดูแลรักษา เอาใจใส และสรางเสริมดํารงประสิทธิภาพการทํางานของระบบอวัยวะตางๆ อยางถูกวิธี ก็ยอ มสงผลใหสขุ ภาพของเรามีความแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไขเจ็บตางๆ และสามารถปองกันปญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได 5. การออกกําลังกายเปนการสรางประโยชนใหแกรางกาย ทําใหรางกายมีสุขภาพสมบูรณแข็งแรง สงผลใหความดันโลหิต การเตนของหัวใจ และระดับคอเลสเตอรอลเปนไป อยางปกติ นอกจากนี้ยังทําใหรางกายมีความกระฉับกระเฉง คลองแคลว และลดความเครียดได
24
คู่มือครู