ชีวิตกับการทํางาน พระพรหมคุณาภรณ (ประยุทธ ปยุตฺโต)
สารบัญ ชีวิตกับการทํางาน...................................................................๑ อ. สุลักษณ ศิวรักษ เกริ่นนํา........................................... ๑ ความหมายของงาน.....................................................................๒ ศรัทธากับกําลังใจ........................................................................๔ ศรัทธาในทางศาสนา ...................................................................๗ ความสุขแท อยที่รความจริงของชีวิต........................................... ๑๐ การทํางานคือการพัฒนาตน ...................................................... ๑๓ หลักการทํางาน ........................................................................ ๑๕ สรางสุขดวยการใหแกกนั ........................................................... ๑๙ ทํางานดี มีจิตใจที่พัฒนา พาใหสุขสมบูรณ ................................. ๒๒ สนทนาแลกเปลี่ยนทัศนะ .......................................................... ๒๖
ชีวิตกับการทํางาน
∗
อ. สุลักษณ ศิวรักษ เกริ่นนํา ขอกราบนมัสการทานเจาคุณพระเทพเวที ที่จริงดําริ ทีจ่ ะใหมี ประชุมกันประจําเดือน เลี้ยงขาวเลีย้ งปลา และก็เชิญใครตอใครมาพูด ใหกําลังใจพวกเราในการทํางาน เปนความคิดคุณอนันต วันนี้ก็เปน นิมิตดี โอกาสดี มีพระเทพเวที กรุณามาใหคําสอน โอวาทแกพวกเรา เพื่อเปนกําลังใจใน การทํางาน วันนีก้ ็เปนวันธรรมสวนะดวย แลวก็คง จะอาราธนาเจาคุณกลาวเปนทํานองธรรมกถา คงจะไมเทศน เจาพระ คุณทานกรุณามาก ผมรบกวนทานอยเ รื่อย ผมก็เกรงใจทานไมอยาก รบกวนทานเทาไร ตามปกติ เวลาทานพูดนี่มีคนอยากฟงกันมาก ใน ประเทศ ตางประเทศ ทานพูดมักจะเปนเนื้อหาสาระที่จับใจ ที่เปน ประโยชนมาก หวังวา พวกเราคงจะตั้งใจฟง แลวก็เอาไปคิดใครครวญ เพื่อประโยชนในการดํารงชีวิต การทํางานเพื่อความสวัสดีของตัวเอง และหนวยงานของเรานี้ ก็หวังวาคงจะเปนประโยชนตอ สังคมของพวก เราทุกคน ไมวาตําแหนงเล็กตําแหนงใหญ ก็หวังใจวาจะถูกนําไปใช ∗
ธรรมกถา แสดงที่สํานักงานบริษัทเคล็ดไทย จํากัด วันเสารที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๓๑ เวลา ๙.๔๕น.
๒ เปนประโยชน แตคนที่ไมนบั ถือ ศาสนาพุทธก็ไมเปนไร ก็เอาไปคิด ใครครวญ เอาไปเปนประโยชนได ขอกราบอาราธนา ขอเจริญพรทานอาจารยสุลักษณ พรอมทัง้ ญาติมิตรและคณะผทํางาน ทุกๆ คน วันนี้อาตมามา ก็เปนการทีไ่ ดรับนิมนตมาแบบสบายๆ นิมนต มาฉันภัตตาหารแลวก็มีการสนทนากัน พูดใหกันฟงบาง ตามปกติ วา ถึงการเลี้ยงพระ โดยมากก็นิมนตไปตามบาน นานๆ จึงจะมีนิมนตไปที่ ทํางาน ถานิมนตไปที่ทาํ งาน โดยมากก็เปนพิธเี ปดหรือพิธีการอื่นๆ ใน ทํานองนั้น เปนเรื่องของพิธี แตที่นิมนตมาคราวนี้ ไมเชิงเปนพิธกี าร มา แบบมาคุย มาสนทนา สํานักงานก็เปดอยแลว ก็เลยกลายเปนวามา พบกับคนทีท่ ํางาน และก็เปนเรื่องของการมา พบกับคนที่มีชีวิตในแนว เดียวกัน เพราะอยในสํานักงานเดียวกัน ทํางานประเภทเดียวกัน
ความหมายของงาน งานเปนเรื่องสําคัญ แตโดยทั่วไปพูดกันงายๆ คนมักมอง ความหมายของงานเพียงในแงวา เปนเครื่องชวยในการเลี้ยงชีวิต มี งานทําก็จะชวยใหเรามีเงินมีทองใชและเปนอยได เรียกวามีอาชีพ นั่นเอง คนที่ไมมีงานทําก็เดือดรอนมาก ถาเปรียบในแงนี้แลว คนทีม่ ี งานการทําก็สบายใจ มีความสุขไดอยางหนึ่ง อยางนอยตัวก็มที างที่จะ ไดเงินไดทองใช เปนทางทีจ่ ะใหมีความสุข เคยมีคําขวัญสมัยหนึง่ วา
๓ งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข เพราะถามีงานทําแลวก็มีเงินใช และเงินก็ทาํ ใหมีงาน เมื่อมีงานก็ทําใหมีเงิน และก็ทาํ ใหมีความสุข แต วาที่จริงมันไมใชแคนั้น งานไมใชแคคือเงิน อันนี้เปนความหมาย เบื้องตนที่มองกันงายๆ แควตั ถุ แตงานนัน้ มีความหมายลึกซึ้งลงไปอีก มาก เพราะงานทําใหกิจการ ทําใหโลกนี้ เปนไปได สิ่งที่เราเรียกวาการ พัฒนา หรือการสรางสรรค ตลอดจนกิจการบานเมืองทุกอยางเปนไป ไดก็เพราะวา คนทํางาน ถาไมมีการทํางานแลว ความเจริญกาวหนา ตางๆ ก็เปนไปไมได อยางไรก็ตาม อันนี้ก็ยงั อยในขัน้ ที่เนนวัตถุอยดี ลองมองตอไปอีก แคบเขามาก็ชวี ิตของเรา งานทําใหชีวิตมี คุณคา คนทีไ่ ดทํางานก็จะรสึกวาตัวไดทาํ สิ่งที่เปนประโยชน รสึกวา ชีวิตมีคุณคา ถาอยเฉยๆ เลือ่ นลอย บางทีก็เกิดความรสึกวาชีวิตนีว้ าง เปลาไมมีความหมาย ฉะนัน้ งานจึงเปนสิ่งที่ใหความหมายแกชวี ิต แต งานที่จะใหความหมายแกชวี ิตอยางแทจริงนัน้ ตามปกติก็ตองเปนงาน ที่มีคุณคา มีประโยชนดว ย เปนธรรมดาวาการที่เรามีงานกันขึ้น ก็ตอง มีความมงหมายอยแลววาเพื่อประโยชนอะไรสักอยาง จึงทําขึ้นมา ฉะนั้น ตามปกติแลวงานทั่วไปก็ตองมีความมง หมาย มีคุณคา มี ประโยชนอะไรอยางใดอยางหนึ่ง เปนแตวาผทที่ ํางานนัน้ จะมีความ เขาใจในความมงหมาย และความหมายของงานนัน้ หรือไม มองเห็น ประโยชนแคไหน ถามองเห็นประโยชนแลวก็มีศรัทธา ศรัทธาก็คือการ ที่มีความเชื่อ ความมัน่ ใจ เห็นคุณคา เห็นประโยชนของสิ่งนัน้ และ ศรัทธานี่จะเปนตัวสําคัญ เปนหลักที่อยในใจที่จะทําใหการทํางานขาง
๔ นอกทีเ่ ปนเรื่องทางรางกาย หรือเปนเรื่องทางสังคม เกิดความหมาย เปนประโยชนที่แทจริง เพราะฉะนัน้ งานก็ไมใชเปนเพียงภาพที่ปรากฏ มองเห็นกันภายนอกเทานัน้ แตจะตองมีหลักในทางจิตใจเปนฐานอย ดวย หลักอันแรกก็คือ ศรัทธา ถาเราจะทํางานใหสบายมีความสุข ก็ จะตองมี ศรัทธาในงานดวย แลวงานก็จะไมใชเรื่องทีท่ ําใหเราฝน หรือ มีความรสึกเบือ่ หนายและเหน็ดเหนื่อย หรือรสึกวาเปนสิ่งที่จะทําพอ ใหเสร็จๆ พนๆ ไป
ศรัทธากับกําลังใจ ศรัทธาที่มองเห็นคุณคา ความหมาย และประโยชนของงาน ก็ จะทําใหมกี ําลังใจเกิดขึ้น ศรัทธานี้เปนแรงสงไปสเปาหมาย คนเราตอง มีแรงอันนีท้ ี่เรียกวา กําลังใจ ถาไมมีกาํ ลังใจ จะทําอะไรจิตใจก็หอ เหี่ยว เมื่อกําลังใจไมมี กําลังกายแมจะมีก็ไมมีความหมาย บางทีมี กําลังกายแข็งแรง แตไมสามารถนํากําลังกายนั้นออกมาใชได กําลังใจ เปนเรื่องที่สําคัญอยางยิง่ คนที่แข็งแรงซึง่ เห็นวามีกาํ ลังกายมาก เปน นักมวยที่เกงกลาสามารถ หรือเปนนักวิ่ง วิ่งไดรวดเร็วแข็งแรงมาก แต ถาเมื่อใดเขาหมดกําลังใจแลว เขาก็ไมสามารถที่จะชกมวย ไม สามารถที่จะวิง่ แขงใหสาํ เร็จได ยกตัวอยางงายๆ นักเรียนไปสอบเขา เรียนที่แหงหนึง่ หรือบางคนไปสอบเขางานแหงหนึ่ง เสร็จแลวก็ไปดูผล การสอบ เขาเปนคนแข็งแรงมาก เมื่อไปดูประกาศผลสอบ ก็มีความมง หวังมาก อยากจะสอบได และการสอบไดก็จะมีความหมายตอชีวติ
๕ ตอความหวังขางหนาของเขาเปนอยางมาก เมื่อไป ดูรายชื่อ พอไมเห็น ชื่อ ไมมีชื่อของตนในประกาศ รตัววาตกแน ทั้งๆ ที่รางกายแข็งแรง แต เขาออน บางทียนื แทบไมอย นี่ละ กําลังกายทัง้ ๆ ทีแ่ ข็งแรงแตไมมี ความหมายเพราะไมมี กําลังใจ กําลังใจจึงเปนสิ่งสําคัญมาก ทีนี้ ในทางตรงกันขาม คนทีก่ ําลังกายก็ไมไดแข็งแรงอะไร แตถาเกิด กําลังใจขึน้ มา กําลังใจก็ทาํ ใหเขาแข็งแรงทําอะไรได ยกตัวอยาง เชน พอแมที่กาํ ลังไมสบาย รางกายก็คอนขางออนแอ พอดีมีเรื่องที่ตองเอา ใจใสลูกๆ ซึง่ พอแมรักมาก มีความเอาใจใสมีเมตตา เรื่องที่จะตองทํา ใหลูกเปนเรื่องสําคัญ ความรักลูกทําใหพอแมมีกําลังใจ ทั้งๆ ที่รา งกาย กําลังออนแอ ก็ลืม บางที ตอนนั้นโรคไมรหายไปไหน ทําเรื่องทําราว ทําธุระใหลูกได จนกระทั่งเสร็จ พอเสร็จแลวก็มานอนแบ็บตอไป อะไร ทํานองนี้ นี่กเ็ ปนเรื่องของกําลังใจ ถามีกาํ ลังใจแลวกําลังกายก็มาได งาย ถาไมมีกาํ ลังใจ แมจะมีกําลังกาย กําลังกายนัน้ ก็เหมือนกับไมมี หายหมด ดึงออกมาไมได แตอยางไรก็ตาม นี่ก็เปนการมองดานหนึ่ง ใหเห็นวา กําลังใจเปนหลักสําคัญ ถาใหดีก็ตองมีทั้งกําลังกายและ กําลังใจ ถากําลังใจดีแลว กําลังกายมาเสริม ก็ทํากิจทําการงานได สําเร็จผลเปนอยางดี กําลังใจนีก้ ็อยางที่วา เมื่อกี้ ตองมีศรัทธาเปน ปจจัยสําคัญ ศรัทธา คือความเชื่อ ความมั่นใจในคุณคา ในประโยชนของ สิ่งที่ตนกระทําอย เมื่อทํางานอะไรก็ตาม ถาเรามีศรัทธา เราเขาใจ
๖ ความหมายของงานที่ทาํ เรามีความเชื่อมัน่ ในคุณคา ในประโยชนของ งานนัน้ เราก็มกี ําลังใจที่จะทํางานการก็กา วหนาไปเปนอยางดี อยางไรก็ตาม สําหรับการมีชีวิตอยในโลกนี้ เรื่อง ศรัทธาหรือ ความเชื่อในสิง่ ตางๆ นี้กไ็ มแนนอนเสมอไป บางครั้งจิตของเราก็ เปลี่ยนแปลง เราเคยมีศรัทธาในงาน แตตอมาเราอาจจะเกิดปญหา ร สึกไมแนใจในคุณคาของงานนัน้ ขึ้นมา กําลังใจก็ถดถอย มีการ เปลี่ยนแปลงไปไดเรื่อยๆ จึงจะตองมีศรัทธาที่ลึกซึ้งลงไปอีก ศรัทธาใน งานในการก็จงึ มาสัมพันธกบั ศรัทธาหรือความเชื่อในวิถีชีวิตของเรา ดวย มัน สัมพันธกบั วิถีชีวิต ถึงแมวา งานนั้นจะมีความหมายมี ประโยชน แตเรามองเห็นไมสัมพันธกับแนวทางชีวิตที่เราคิดวาดีงาม บางทีก็เกิดความขัดแยง ฉะนั้น ศรัทธาที่ลกึ ลงไปก็คือ ความเชื่อความ มั่นใจตอความหมายของวิถีชีวิตของเราวา ชีวิต แบบไหนเปนชีวิตทีด่ ี งาม เปนชีวิตที่มีคุณคา ถาเราเชื่อในวิถีชวี ิตแบบใดแลว ไดดําเนินใน วิถีทางนัน้ อยในวิถีชีวิตแบบนั้น แบบที่เราเห็นวาดีมีคุณคา ศรัทธาก็ เกิดขึ้นลึกซึง้ ลงไป ทีนี้ ถาศรัทธาในวิถที างดําเนินชีวิตวาชีวิตที่ดีเปน อยางนี้ และวิถีชีวิตนัน้ ก็เขากับงานอยางนีด้ วย สองอยางสอดคลองกัน ก็จะทําใหศรัทธานีม้ ั่นคงแนนแฟนยิ่งขึน้ แลวก็จะเกิดผลและเกิด กําลังใจที่แทจริง เพราะฉะนั้น ถาจะใหดีก็ตองใหทงั้ สองอยางนีม้ า สอดคลองกัน คนจํานวนไมนอยจะมีปญหาขัดแยงในเรื่องนี้ คือ ในแง งานการก็มองดวยเหตุผลและเห็นแลววา มันก็มีคุณคาเปนประโยชน แตมันไมสอดคลองกับ ชีวิตที่ดีงามที่เราเขาใจ ไมเขากับชีวิตแบบที่เรา
๗ ตองการ ศรัทธาในวิถีชวี ิตก็ไปขัดกับศรัทธาในเรื่องงาน ไมกลมกลืนกัน ก็เกิดความขัดแยง ศรัทธาหักลางกันเอง ไมสามารถทํางานไดเต็มที่ ก็ เกิดความหอเหี่ยว เกิดความทอถอยขึ้นมา อันนี้กเ็ ปนเรื่องของความ ขัดแยงที่เกิดขึน้ ไดในชีวิตของคน จะทําอยางไรดีจึงจะแกปญหาได ก็ ตองมีศรัทธาที่ลึกซึง้ ลงไปอีก ซึ่งเปนเครื่องนําทาง และใหคุณคาแกวถิ ี ชีวิตอีกชั้นหนึง่
ศรัทธาในทางศาสนา ศรัทธาที่ลึกซึง้ นี้ มักเปนศรัทธาทางศาสนา ศรัทธาในสิง่ ที่สงู ที่เปนหลักยึดเหนีย่ วในจิตใจ ซึง่ ไมวาเราจะทําอะไรในภายนอก จะ ดําเนินชีวิตอยางไรก็ตาม ทํางานอะไรก็ตาม เราก็มีศรัทธาที่ลึกอยใน ใจเปนฐานอันแนนแฟน เปนความเชื่อในสิ่งที่สงู สุด สิง่ ที่เปนเครื่องเชิด ชูกําลังใจวา ไมวาเราจะมีชวี ติ อยอยางไรก็ตาม เราก็มสี ิ่งที่เราเคารพ นับถือ บูชา เปนสิ่งที่ดีที่สุดที่เราร แมวา จิตใจของเราจะอยในยามที่ไม มีอะไรเกี่ยวของพัวพัน เมือ่ นึกถึงสิ่งเหลานี้แลวเราก็มี ความสบายใจ ไมอางวาง ไมเลื่อนลอยไรความหมาย เชน ผท ี่นบั ถือพระพุทธศาสนา มีความเชื่อความเคารพในพระรัตนตรัย คําวามีศรัทธาใน พระพุทธศาสนา ก็หมายถึงวา มีศรัทธาในพระรัตนตรัย ใน พระพุทธเจา ในพระธรรม ในพระสงฆ ศรัทธาในพระพุทธเจา หมายความวา เราเห็นวามี บุคคลที่มชี ีวิตที่ดีที่สุดเปนตัวอยาง เปน แบบอยางของการที่ไดเขาถึงความจริง เขาถึงความสมบูรณแหง
๘ ศักยภาพของความเปนมนุษย เปนเครื่องยืนยันวามนุษยเราทุกคนมี ศักยภาพที่จะพัฒนาตนได จนเขาถึงความรและความดีงาม มีปญญา และคุณธรรมสูงสุด แตจะตองเพียรพยายามเขมแข็งใน การพัฒนา ศักยภาพของตน เรามีความเชื่อและมั่นใจอยางนี้ แลวก็มีกําลังใจ ใน เวลาที่ไมไดเกีย่ วของไมไดยง กับภารกิจ การงานอยางอื่น จิตใจก็จะ ไดมาผูกพันอยกับความรสกึ นี้ อันนี้ก็เปนหลักอยางหนึง่ ในทางจิตใจ ซึ่งทําใหจิตใจไมวาเหว ศรัทธานี้ นอกจากเปนแรงสงใหจิตใจของเรามีแรงทํางานทํา การแลว ก็ทําใหจิตใจไมวาเหวดวย คนเรานี้ เวลาอยว างๆ ไมมีอะไรทํา ไมมีงานทํา วางจากงาน บางทีก็เกิดอาการอางวางวาเหว เหนือ่ ย หนายหรือเหงาขึ้นมา ทําอยางไรจะใหหายเหงาได ก็ตองมีสิ่งที่เปน หลักยึดเหยีย่ วในใจ ศรัทธาความเชื่อในทางศาสนานี้มาเปนหลัก มา เปนเครื่องใหกาํ ลังใจในเวลาที่ไมมีสิ่งอืน่ ทีท่ ําอย หรือไมมีงานที่ทาํ อย หรือแมไมมีคนอื่นอย คนเราตามปกติก็ตองมีเพื่อน จึงจะไมเหงา แต บางทีเพื่อนก็ไมอยกับเรา เราก็อยคนเดียว ในเวลานั้นก็อาจจะเกิด ความเหงาขึ้น หรือบางที ทั้งๆ ที่มีเพื่อนนัน่ แหละ เพื่อนก็ไมสามารถ เขาไปในจิตใจที่ลึกซึง้ ได บางทีเรามีความตองการอะไรบางอยาง ที่ แมแตเพื่อนก็ไมอาจจะสนองได ใจเราก็เหงา เราก็วาเหว แตถาเรามี ศรัทธาเปนหลักใจอย ใจก็ไมอางวาง คนที่ไมมีศรัทธาอยในใจ ใจจะ เหงาจะวาเหวบอยๆ เสมอๆ
๙ ในโลกปจจุบนั นี้ ชีวิตวนวายสับสนมาก ความสับ สนวน วายนี้ บางครั้งก็ทาํ ใหเรารสึกสนุก แตบางครั้งก็ทําใหเรารสึกวาวน ยง ดังนัน้ ในเวลาที่สงิ่ วน วายเหลานี้ไมมี เราอยสงบวางๆ ใจของเราบางครั้งก็ สบาย เพราะในเวลาทีม่ ี ความรสึกวาเรื่องวนๆ ใจมีอะไรเกะกะ ทําใหย งมาก ถาจิตใจของเราไดวางเวนจากสิ่งเหลานัน้ แลวก็รสึกสงบและ สบาย แตบางครั้งเรากลับตองการความวน วายนั้น คลายกับวามัน ทํา ใหเกิดชีวิตชีวามีรสชาติ พอมาสงบเขากลับรสึกวาเหว ถาคนไมมหี ลัก ใจก็ยง ถาไมกระวนกระวายก็กลายเปนเหงาเปนวาเหว จิตใจมี ๒ ลักษณะอยางนี้ คนจํานวนมากเปนอยางนี้ เพราะฉะนัน้ จะทําอยางไร ในเวลาที่อยท า มกลางกิจกรรมก็ไมใหวน เวลาวางจากกิจกรรมก็ไมให เหงาไมใหวาเหว อันนี้ก็เปนเรื่องสําคัญของจิต คนที่มีศรัทธา ทานบอกวาเหมือนมีเพื่อนใจ เพื่อนที่อยในใจ ทําใหใจไมเหงาไมวาเหว ในทางพระศาสนาบอกวา ศรัทธาเปนเพื่อน ประจําใจของตัวเอง ไมวาเราจะมีเพื่อนภายนอกหรือไมมีเพื่อนก็ตาม ถามีศรัทธาแลวก็เทากับ มีเพื่อนอยในใจที่ชวยใหจิตใจแชมชื่น มีกาํ ลัง เสมอ ไมวา เหว เริ่มตนตัง้ แตศรัทธาทีว่ าเมื่อกี้ คือศรัทธาในการงาน ศรัทธาในวิถีชวี ิตที่เราเห็นวาดีงาม ตลอดจนถึงศรัทธาในพระศาสนา ศรัทธาในพระศาสนาเปนศรัทธาที่ลึกถึงกนกลางใจเปนฐาน เปนแกน ทําใหจิตใจของเรามีหลักยึดเหนีย่ ว มีทปี่ รึกษาอยเสมอ ไมอางวาง เปลาเปลี่ยว โดดเดี่ยว และไมหอเหี่ยว แตศรัทธาที่ถกู ตองจะตองให เครื่องนําทางแกชีวิตของเรา ไมใชวาเราจะมีศรัทธาเชื่อกันเฉยๆ
๑๐ เทานั้น เชนความเชื่อในพระรัตนตรัยนี้ ก็มีความหมายเปนเครื่องนํา ทาง ศรัทธาในพระรัตนตรัย คือในพระพุทธเจา ในพระธรรม ใน พระสงฆ เปนอยางไร
ความสุขแท อยที่รความจริงของชีวิต ศรัทธาในพระพุทธเจา ก็คอื ศรัทธาในบุคคลที่วาเมื่อกี้ มัน่ ใจ วามีบุคคลที่มคี วามบริสุทธิ์ มีปญญารแจงเปนแบบ อยางของมนุษยไว ใหเห็นวามนุษยทุกคนเปนสัตวที่ฝกฝนพัฒนาได สามารถพัฒนา ศักยภาพของตนใหถงึ ความสมบูรณ พระพุทธเจานี้ เดิมนั้นทานก็เปน มนุษยนนั่ เอง เหมือนกับเราทุกๆ คน แตกลายมาเปนพระพุทธเจาได อยางไร จากมนุษยมาเปนพระพุทธเจา ก็เพราะวาไดรเ ขาใจความจริง ของสิ่งทัง้ หลาย คือรเขาใจสิ่งทัง้ หลายตามความเปนจริง รกฎ ธรรมชาติ สิ่งทัง้ หลายทีอ่ ยแวดลอมเรานี้ ก็เกิดมาจากธรรมชาติทั้งนั้น เรามาอยก ับสิง่ แวดลอมปจจุบันนี้ เรามองเห็นวา มีวัตถุ มีบา นเรือน มี ตึกราม มีถนน มีรถยนต อะไรตางๆ ซึง่ เปนสิง่ ที่มนุษยสรางขึน้ เปน เรื่องเทคโนโลยีมากมาย ซึง่ ไมใชธรรมชาติ แตเทคโนโลยีหรือสิ่งที่เรา สรางสรรคประดิษฐขึ้นมานี้ ความจริงมันก็มาจากธรรมชาติ ไมไดมา จากไหนเลย แตสิ่งที่มนุษยสรางขึ้นนี้ เมือ่ สรางขึ้นมาแลว มันก็บด บัง ตัวเราจากธรรมชาติ ไมใหเขากับธรรมชาติ ความจริง ชีวติ ของเราเองก็ เปนธรรมชาติ เมื่อชีวิตเปนธรรมชาติ ก็เปนไปไมไดที่เราจะเหินหาง
๑๑ จากธรรมชาติโดยสิ้นเชิง เมื่อเรามาเพลิดเพลินสนุกสนาน ตอรสชาติ อันตื่นเตนของสิ่งที่มนุษย ประดิษฐขึ้นไปไดสักระยะหนึ่ง บางทีเราก็ เกิดความเบื่อหนาย และจิตใจของเราก็หนั ไปตองการธรรมชาติ ถาเรา ไมรจักความจริงที่เปนธรรมชาติของสิ่งทั้งหลายแลว จิตใจของเราก็จะ วาวน อยก ับสิ่งที่มนุษยประดิษฐขึ้น เปนเทคโนโลยีเปนอะไรตางๆ เหลานี้ เพราะชีวติ ของคนเราในยุคปจจุบนั อยกบั สิ่งเหลานี้ตลอดเวลา ไมไดอยกับธรรมชาติ เราตืน่ เตนเพลิดเพลินกับมัน แลวก็เบื่อหนาย ทํา ใหเกิดความขัดแยงขึ้นอีกแบบหนึง่ คนเราทีจ่ ะมีความสุข เห็นชีวิตมีความหมายอยางแทจริง จิตใจจะเขาถึงความสงบเปนตัวของตัวเองไดนั้น จะตองมองทะลุ ความจริงของสิ่งทัง้ หลาย ที่มาแวดลอมหมหอและมัด ตัวเราอยน ี้ ให เห็นแจงถึงธรรมชาติ จึงจะหมดความขัดแยง พระพุทธเจาก็เปนมนุษย แตที่กลายเปนพระพุทธเจาขึ้นมาไดก็เพราะรเขาใจความจริงของสิ่ง ทั้งหลาย ซึง่ เราเรียกวาเขาใจธรรมชาติของสิ่งทั้งหลายนั่นเอง ความ จริงของสิ่งทั้งหลายนี้เราเรียกวา ธรรม ธรรม คือ กฎเกณฑ ความจริง ความเปนเหตุปจจัยของสิ่งตางๆ การรเห็นสิ่งทั้งหลายตามความเปน จริงนี้แหละ คือการเขาถึงธรรม การทีพ่ ระพุทธเจาเห็นความจริงของสิง่ ทั้งหลาย มองสิ่งทัง้ หลายถูกตองตามความเปนจริงแลว ก็เรียกวาตรัสร ธรรม แลวจึงเปนพระพุทธเจาขึ้นมา ธรรมจึงเปนหลักการสําคัญ ประการที่ ๒ ในพระพุทธศาสนา เปนตัวทีท่ ําใหมนุษยผร แลวกลายเปน พุทธะ
๑๒ ทีนี้ หลักการของพระพุทธศาสนาบอกวา คนทุกคนสามารถ เปนพระพุทธเจาได ถาพัฒนาตนขึน้ มาใหรเขาใจ ธรรม คือความจริง ของสิ่งทัง้ หลาย ถาคนพยายามฝกฝนตัวเอง พยายามปฏิบัติตอสิ่ง ทั้งหลายอยางถูกตอง พยายามพัฒนาความรความเขาใจของตัวเอง ขึ้นมาแลว ใจเรารความจริง มีปญญาขึ้นมา เราก็เปนคนแบบเดียวกับ พระพุทธเจา คนจําพวกนีม้ ีมากๆ ขึ้น ก็แผขยายถายเทลักษณะที่มี ความสุข มีชีวิตที่ดงี ามแลวก็กลายเปนกลมชนหนึง่ ซึ่งมีชื่อเรียกวา "สงฆ" คือหมช นที่ไดรเขาใจความจริงของธรรมชาติ รความจริงมอง สิง่ ทั้งหลายตามที่มันเปนเหมือนอยางพระพุทธเจานัน่ เอง ที่วา มานี้ คือหลักการทีเรียกวาพระรัตนตรัย คนทีน่ ับถือ พระพุทธศาสนา ก็นับถือหลักการนี้ จึงเรียกวา นับถือพระรัตนตรัย คือ นับถือบุคคลทีเ่ ปนแบบอยางของการเขาถึง ความจริงที่เรียกวาธรรม นั้น และพยายามประพฤติตามอยางเพือ่ จะไดรวมกันเปนกลมชนผม ี ชีวิตที่ดีงาม ทีเ่ รียกวา "สงฆ" ถาเขาใจหลักนี้แลวก็มีศรัทธาเกิดขึ้น เปน ศรัทธาที่มองเห็น วา การมีชวี ิตอยเปนคนเปนมนุษยนี้ ทีจ่ ะมีชีวิตดีงาม ในที่สุดก็ไมมอี ะไรมาก ก็คือการเขาใจรสิ่งทัง้ หลายตามความเปนจริง เทานั้นเอง ไมวาจะดําเนินชีวิตอยางไรก็ตาม จะทํางาน อะไรก็ตาม ก็ จะมีหลักใหญที่ยึดถือไวในจิตใจ คือการมองสิ่งทั้งหลายใหเขาใจตาม ความเปนจริง พิจารณาอะไรๆ ตามเหตุปจ จัย อันนี้เปนหลักใหญ ถามี ความเชื่อตามหลักการนี้แลว ไมวาจะทําอะไรอย เปนคนมีงานหรือ วางงานก็ตาม ก็สามารถมีความสุขได จิตใจไมวาหว ไมไรความหมาย
๑๓ นี้ก็เปนศรัทธาที่ลึกลงไปอีก ไมใชศรัทธาดยๆ แตเปนศรัทธาที่โยง ยึดอยกับปญญา มีศรัทธาอยางนี้แลว ไมงมงาย ไมเปนอันตรายทัง้ แก ตนเองและแกคนอื่น
การทํางานคือการพัฒนาตน รวมความก็คือ คนเรานีส้ ามารถมีศรัทธาไดในระดับตางๆ มากมาย แตศรัทธาที่ควรยืนพืน้ เปนฐานก็คือศรัทธาอันนี้ ไดแก ความ เชื่อความมั่นใจ ในหลักการของการมองดู รเขาใจโลกและชีวิตนี้ตาม ความเปนจริง มองสิ่งทัง้ หลายตามที่มนั เปน เห็นวาทุกอยางในชีวิตนี้ จะดีงามสูงสุดก็อยที่เพียง วาเราเขาใจความจริงของสิ่งทั้งหลาย ปฏิบัติตอมันใหถูกตอง วางใจตอมันใหถกู ตองและฝกตนพัฒนาตัวเรา ขึ้นไปใหรเขาใจ ตระหนักในความจริงนี้อยเ สมอ ถาถึงแคนี้แลว จิตใจ ของเราก็สามารถมีความสุขได ทีนถี้ าเราจะทํางาน เราก็ทาํ งานไมใช เพียงเพื่อหาเงินหาทองซึ่งเปนเรื่องขั้นตน แตงานการนี้จะมีความหมาย มากขึ้น นอกจากศรัทธาในการงานทีท่ ําใหชีวิต ของเรามีคุณคามี ความหมาย และงานนัน้ มีประโยชนแลว เรายังมองเห็นงานทุกอยางมี ความหมายขึ้นมาอีกอยางหนึง่ คือ เปนเครื่องฝกตน เปนการปฏิบัติ ในทางที่จะใหมองเห็นสิง่ ทัง้ หลายตามที่มนั เปน มองตามทีม่ ันเปนใน แตละขณะๆ จะทําอะไรก็เขาใจตามที่มนั เปนอยางนัน้ และทําใหมนั ถูกตอง ใหมนั ดียิ่งขึน้ โดยที่ตัวเราเองก็พัฒนาศักยภาพของตัวเราเอง ใหสมบูรณยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ถาเรารสึกวาเราทําสิง่ หนึง่ อยและทําถูกตอง
๑๔ ตามวิถที างของมันแลว เราก็สบายใจวาเรา กําลังทําสิ่งที่เปนธรรม และขณะนั้นเราก็กําลังฝกตนเองให พัฒนาอยเสมอ เพราะฉะนั้น การ งานตางๆ จึงเปนเครื่อง มือในการพัฒนาตนเอง ไมวางานนัน้ จะมี คุณคาเปนประโยชนถูกตองตามวิถชี ีวิตทีเ่ ราตองการหรือไมก็ตาม แต ก็เปนเครื่องฝกตัวเองเสมอ ฝกใจฝกกายของตัวเอง เปนอันวา การมองงานก็มีไดหลายอยาง ตามทีว่ ามาแลว ใน ระดับที่หยาบที่สุดก็คือ มองวางานเปนเครื่องมือหาเลี้ยงชีพทําใหได เงินไดทอง อันนี้เปนขัน้ ที่ ๑ เปนวัตถุมากเกินไป ขัน้ ที่ ๒ ก็มองวา งาน เปนเครื่องทําใหกิจการดําเนินไป ทําใหโลกนี้เปนไปได ความเจริญ ความกาวหนาใน สังคมจะดําเนินไปไดก็เพราะคนทํางานกัน ขั้นที่ ๓ มอง ลึกเขาไปอีกก็คือ มองวา งานนัน้ มีคุณคามีความหมายมี ประโยชนตอเพื่อนมนุษย ทําใหเพื่อนมนุษยมีความสุขอยางใดอยาง หนึง่ ขั้นที่ ๔ มองลึกยิ่งขึน้ ไปอีกวา งานนี้มีความหมายตอชีวิตจิตใจ ของเรา ถูกตองกับชีวิตที่เราเห็นวาดีงาม มีคุณคาเปนประโยชน ทําให ชีวิตของเรามีคุณคาขึ้น ตอมา ถึงขั้นที่ ๕ นี้ ก็มองวา งานเปนเครื่องฝก ตัวเรา เปนเครื่องพัฒนาตนเอง และเปนเครื่องสะสมการพัฒนาตัวเอง นี้ขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะฉะนัน้ ผที่ทาํ งานโดยมีศรัทธาอยางนี้ ไมวาจะเห็น วา ตัวเองไดผลประโยชนตอบแทนหรือไม แคไหนเพียงไหนก็ตาม แต ถาจิตใจขั้นลึกซึ้งในเวลาทํางานแตละขณะมีความรสกึ วาเรากําลัง พัฒนาตัวเราเอง กําลังฝกฝนตนเองใหดขี ึ้น ก็จะทําใหรสึกวางานนัน้ เปนสิ่งทีน่ าทําเสมอทุก ขณะทุกเวลา ไมเบื่อหนายกลัดกลม
๑๕ นอกเหนือจากนั้นก็คือ การที่รสึกวาไดทําในสิ่งที่เปนธรรม สิ่งทีถ่ ูกตอง ทําจิตใจ มองสิ่งทีท่ ํานั้นใหเห็นตามความเปนจริงวาทําอะไรอย แลวก็ ทําสิง่ นัน้ ใหมนั สําเร็จไปตามวิถที างของมัน แคนี้กส็ บายใจในการ ทํางานได คนเราบางทีกม็ ีความคาดหวังตางๆ กับสิ่งที่กระทํา และเมื่อ เห็นวาจะไมสาํ เร็จตามความหวัง ก็ทําใหเกิดความผิดหวัง เกิดความ ทุกข เกิดความทอถอยหมดกําลังใจ แลวก็จะตองมีวธิ ีแกไขในระดับ ตางๆ แตถา ทําใจใหถูกตองอยางนี้ ก็สามารถทําการทํางานทุกอยาง ใหดําเนินไปไดดวยดี ถาเขาใจในเรื่องงานแลวทําใจใหไดในทุกระดับ ที่วา มา คุณ คาของงานก็จะเกิดในทุกระดับ ตั้งตนแตเปนการพัฒนา ตนเองในทุกขณะที่ทาํ งานนัน้ ไปจนกระทัง่ ภายนอกเปนเครื่อง มือหา เลี้ยงชีพไดเงินไดทอง ทั้งหมดนี้ก็สุดแตวาจะทําใจไดแคไหนเพียงไร
หลักการทํางาน อนึ่ง ในการทํางานนี้ นอกจากหลักใหญคือศรัทธาที่เขาใจใน คุณคา ซึ่งเปนเครื่องทําใหเกิดกําลังใจตลอดเวลาแลว ก็ยังตองอาศัย ตัวประกอบซึ่งเปนเรื่องของการทํางานโดยตรงมาเปนเครื่องชวยเสริม ดวย จึงจะทําใหการทํางานนัน้ ไดผลจริงในทางปฏิบัติ และเมื่อการ ทํางานไดผล ก็ยิ่งเปนเครื่องชวยเสริมใหเรามีพลัง หรือทําใหเรามี ความมัน่ ใจในชีวิตของเรามากขึ้น หลักการทํางานที่เปนขอสําคัญๆ ก็ คือ เมื่อทําอะไรก็ตาม หนึง่ จะตองมีความรความเขาใจชัดเจนในงาน
๑๖ นั้น เมื่อกี้นี้ไดบอกวา การทํางานเปนการฝกฝน พัฒนาตนเองอยาง หนึง่ แตเราจะพัฒนาตนเองอยางไรใหไดผล การพัฒนาตนเองอยาง งายๆ ก็คือทําใหเกิดความชํานิชํานาญ และความสามารถในการ ทํางานนัน้ ดีขึ้น แตการที่จะทําใหไดผลจริง พัฒนาตัวเองไดจริง พัฒนา งานไดจริงนัน้ จะตองมีความรความเขาใจในงานที่ทาํ ความรความ เขาใจ ชัดเจนในงานที่ทาํ นีก้ เ็ ปนปญญาอยางหนึ่ง จึงพูดสั้นๆ วา ตอง มีปญญาดวย รงานของตนเองวางานในหนาที่ของตนคือ อะไร และทํา ใหถูกตองใหถกู จุดใหถูกกับตัวงานนั้น และทําใหถกู ตามวิถีของงานนัน้ งานนัน้ ก็จะเจริญไปดวย และตัวเองก็ไดรับการฝกฝนพัฒนาไปดวย เราตองพยายามสรางเสริมความรความเขาใจนี้ใหทนั กับงานอยเสมอ ทํางานอะไร ก็ตอ งมีหลักอันแรกวา รงาน หรือรงานดี หมายถึงงานที่ เปนกิจเปนหนาที่ของเรา ประการที่ ๒ เมื่อรงานดีแลว ถาเรามีศรัทธาอยางที่วา เมื่อกี้ เราก็ยอมมีกําลังใจในการงาน คุณสมบัตทิ ี่ตองการในตอนนี้ก็คือ เรา จะตองพยายามทํางานดวยความขยันหมัน่ เพียร ทําใหเต็มที่ของเรา การทําใหเต็มที่ของเรามีความหมายอยางหนึ่งคือการทําหนาที่ไมให บกพรอง การขยันหมั่นเพียรทําหนาที่ใหสาํ เร็จลุลวงไปดวยดีไม บกพรอง นี้กเ็ ปนหลักอยางหนึง่ ในการทํางาน เรียกวามีความเพียร ใช ภาษาธรรมดาก็คือ ทําหนาทีไ่ มใหบกพรอง กาวตอไปคือ นอกจากรงานดี ทําหนาที่ไมให บกพรองแลว ใน การปฏิบัติตัวตองานนัน้ ก็มักจะมีปญหา วาคนนัน้ ทํางานอยางสุจริต
๑๗ หรือไมสุจริต ถาทํางานอยางสุจริต ก็ตรงไปตรงมาตองานนั้น ในการ รับผลประโยชนจากงาน ก็ตรงไปตรงมาตามที่ตกลงไว ไมหาทางที่ เรียกวา บิดเบือน เฉโก เรียกงายๆ วา ไมโกงหรือไมหาผลประโยชนที่ ผิด จากงานนั้น คือมีความสุจริต ไมทจุ ริต การทํางานถูกตอง ตาม หลักการที่ตราไวนี้ ก็เปนเรือ่ งของขอตกลงในทางสังคม ดวย นับวา เปนหลักประการหนึง่ ในการทํางาน เรียกวา มือ สะอาด หรือมีความ สุจริต ขอตอไป ในการทํางานนั้น ตามปกติเราก็ทํารวมกับผอนื่ การร จักรวมอยรวมทํากับผอนื่ ก็เปนปจจัยสําคัญอยางหนึง่ ทีจ่ ะทําใหงาน ดําเนินไปดวยดี จึงตองมีความสัมพันธกับผรว มงานอยางถูกตอง ปญหาสําคัญอยางหนึ่งในการทํางานก็คือ ผรวมงานมีความสัมพันธ กันดีหรือไมดี ถามีความสัมพันธไมดี ก็เกิดความขัดแยง เกิดปญหาใน วงงาน อันนี้เปนเรื่องธรรมดา คนเราอยก ันมากมีนิสัยใจคอตางๆ กัน มักจะมีปญหาเรื่องความขัดแยง ความไมสอดคลอง ไมกลมกลืนกัน มองขัดหูขัดตา อะไรตางๆ หรือการกระทําที่ไมเปนไปอยางใจเรา อยาง นอยก็ตองมีความรสึกวาไมไดอยางใจ พอไมไดอยางใจก็ไมสบายใจ แลวก็เกิดปญหาขึ้นมา เปนเรื่องของความสัมพันธในวงงาน ซึ่งยอมรับ กันวามีเปนธรรมดาเลย เมือ่ เราทํางาน เมื่อเราเกี่ยวของกับคนมาก ก็ จะตองมีเรื่องอยางนี้เกิดขึน้ ขั้นตนก็ตองทําใจไดวา นีม้ ันเรื่องของงาน เรื่องของการเกี่ยวของกับคนอื่น ก็ตองมีความของขัดบาง ถาเราจะให เปนอยางใจของเราทัง้ หมด เราก็ตองอยค นเดียว ซึง่ เปนไปไมได จึง
๑๘ ตองรเขาใจตามความเปนจริง แลวยอมรับความจริงนัน้ แตเมื่อรความ จริงวาเปนอยางนั้นแลว ก็ตอ งกาวตอไปสขั้นที่วา เราจะแกไขอยางไรให ดีที่สุด เมื่อปรับใหมีความสัมพันธที่ดีเทาที่จะเปนไปได จะปรับอยางไร ก็ตาม ใหงานนี้มนั ดําเนินไปดวยดีก็แลวกัน เรายอมรับ ยอมที่จะไม ตองเปนไปตามใจของเรา แตมงไปที่วัตถุประสงคของเรา คือทําใหงาน สําเร็จ ใหงานมันสําเร็จไปไดดวยดีก็แลวกัน อันนี้ก็เปนหลักหนึ่ง คือ เอาความสําเร็จตามวัตถุประสงคเปนเกณฑ ไมเอาใจอยากใจชอบของ เราเปนเกณฑ มองการณไกลคิดถึงผลระยะยาว ไมเอาความชอบใจขัด ใจเดี๋ยวนัน้ ชัว่ ครชั่วยาม ถาอยางนี้แลวก็แกปญหาไดอีกในระดับหนึ่ง แตถาใหดีกวานั้นก็คือ ทําใหมีความกลมเกลียว ปรับใจ ปรับตัวเขากันไดในระหวางคนทีท่ ํางานดวยกัน ใหอยดวยกันอยางมี ความสุข และความสามัคคี การที่จะมีความสุข ความสามัคคี ก็คือการ ที่เอาใจเขามาใสใจเรา และการทีจ่ ะตองรจักปรับตัวปรับใจเขาหากัน เราตองยอมรับวา คนเรานี้มีพนื้ ฐานมาคนละอยาง พื้นฐานพืน้ เพไม เหมือนกัน มีการสั่งสมอุปนิสัยใจคอกันมาตางๆ มีประสบการณตางๆ กัน มาจากครอบครัว มาจากฐานะอะไรตางๆ ไมเหมือนกัน เมื่อมาอย มาทํางานดวยกันแลว ความไมเหมือนกันที่มมี าแตเดิมมันก็มา แสดงออก แลวเกิดเปนความไมกลมกลืนหรือ ความขัดแยงกันขึ้น ถา เรายอมรับความจริงนี้แลว เราตองเปนฝายรจักปรับตัวดวย ปรับตัวก็ คือ เริ่มตนจิตใจตองไมววาม ไมถือการกระทบกระทัง่ นัน้ เปนเรื่องที่ จะตองทําใหมี ความหมายรายแรง ที่จะตองเปลี่ยนใหไดดั่งใจ แตถือ
๑๙ เปนเรื่องที่เกิดขึ้นมาแลว จะตองรับพิจารณากอน คือตอนแรกก็ยงั้ คิด พอยั้งคิดแลวก็คิดหาทางวา จะใชวิธีอยางไร ที่จะปรับตัวเขาหากันโดย เรียบรอย แตขอสําคัญอันแรกคือไมววาม ฉุกคิด ยั้งคิดกอน คิดและก็ หาวิธี การทีย่ งั้ คิดและหาวิธนี ี้เรียก วาใชปญ ญา คือใชปญญาหาทางที่ จะปรับตัวเขาหากันไดถูกตอง และโดยการพูดจากัน ถายังพูดกันไมได ปรับตัวเขาหากันยังไมได เวลายังไมเหมาะยังไมสะดวก โอกาสยังไม ถึง ก็เอาแควาทําอยางไรจะวางตัวของเราใหดีใหถกู ตองไวกอน นีก้ ็ เปนวิธีตางๆ แตรวมความก็คือ จะตองมีการปรับตัวปรับใจเขาหากัน โดยมีวัตถุประสงคเพื่อใหอยร ว มกันดวยดี มีความสงบสุข มีความ สามัคคีกลมเกลียว
สรางสุขดวยการใหแกกัน อยางไรก็ตาม การที่จะรอปรับตัวปรับใจเขาหากัน อยางเดียว นี้ไมพอ เราตองแสดงออก วิธกี ารทีจ่ ะอยรวมกัน ดวยดีในสังคมนั้น ไมใชรอใหเขาปรับตัวเขามาหาเรา หรือรอที่เราจะปรับตัวเขาหาเขา อยางเดียว แตอยที่วา จะตองมีการแสดงออก การแสดงออกทีถ่ ูกตอง ในการรวมอยร วมงานก็คือการใหตอกัน มนุษยเรานั้นเปนธรรมชาติวา มีความพอใจที่จะได เมื่อไดรับมาเราก็มคี วามสุข แตในการฝกฝนตัว ของมนุษยหรือในการที่มนุษยจะเจริญพัฒนาขึน้ ไดนั้น เราจะตองออก จากการเปนผร ับหรือฝายไดไปสการเปนผใ ห คนที่พฒ ั นาตนนัน้ จะฝก ตนที่จะไมหาความสุขจากการรับ หรือการเอา แตฝกฝนตนใหมี
๒๐ ความสุขจากการใหแกผอนื่ แตการที่เราใหแกคนอืน่ แลว จะมีความสุข ไดนั้น เปนไปไดจริงหรือไม ขอใหคิดดูวา คนเราเมื่อใหแกคนอื่นแลวมี ความสุขไดไหม ที่จริงมันฝน เราตองไดเราตองเอา เมื่อเราไดมาเรา ไดรับเราก็มีความสุข เราไปใหคนอืน่ แลวจะมีความสุขไดอยางไร มัน ฝน แตขอใหคิดดู บางทีเรามีความสุขจากการใหไดเหมือนกัน ถาคน ไหนเปนพอเปนแมคงเห็นงาย เปนพอเปนแมมีลูกแลว ก็รักลูก คนที่รัก ลูกนี้สามารถใหแกลูกไดอยางมีความสุข และใหแลวก็มคี วามสุข แทน ที่วา จะเอาแลว รับแลวจึงจะมีความสุข แตใหลูก ทําใหลูกมีความสุข แลวตัวเองก็มคี วามสุข ทีนบี้ างคนใจกวางกวานัน้ รักไมใชเฉพาะลูก เทานั้น แตรักพี่รักนองดวย คนไหนเรารัก เราใหแกเขา เราก็มีความสุข แตถาเราใหแกคนที่เราไมไดรัก ใจเราก็ฝนและก็มีความสุขยาก ถาใจ กวางออกไปอีกคือรักเพื่อนรักพอง เอาอะไรใหแกเพื่อนก็มีความสุข ตก ลงวา การใหนี้สามารถทําใหคนมีความสุขได แตมีเงื่อนไขวา ตองมีใจ รักกอน ถา ความรักนี้ขยายออกไป รักไปถึงไหน เมื่อใหเขาก็ได ความสุขไปถึงนั่น ยิง่ รักคนมาก รักเพื่อนมนุษยกวางออกไปเทาใด ก็ได ความสุขจากการใหมากขึ้นเทานั้น ถาในหมผรวมงานมีความรักตอกัน มีความรักผอื่นแลว ก็ สามารถใหแกเขาได และมีความสุขจากการใหนนั้ กลายเปนวาให ความสุขแกคนอื่น แลวตัวเองก็ไดความสุข ใจที่มีความรัก ก็มีความสุข อยูขั้นหนึ่งแลว เมื่อใหดว ยความรักนั้น ก็ไดความสุขเพิม่ ขึ้นอีกชัน้ หนึง่ นี้คือวิถที างของการฝกฝนพัฒนาตนอยางหนึง่ คือการที่จะรจักไดรับ
๒๑ ความสุขจากการใหแกผอนื่ ในการอยรว มกันในวงการทํางาน ถาเรา ทํางานที่เห็นวามีคุณคาเปนประโยชน การทํางานนัน้ ก็เปนทางนําไปส อุดมคติ เราก็ไดมีการฝกฝนพัฒนาตนในการทํางานขัน้ หนึง่ แลว เมือ่ ทํางานนัน้ รวมกับผอื่น การที่อยรวมกันเปนเพื่อนรวมงาน นอกจากมี การฝกตนในการทํางานแลว ก็ทําใหมีการฝกตนในการอยรวมกับผอนื่ ดวยอีกชัน้ หนึง่ การที่จะทําตนใหมีความสุขจากการใหแกผอื่นนี้ ก็ทาํ ไดหลายทาง เพราะการใหมีหลายอยาง เริ่มแตการใหวัตถุสงิ่ ของเปน เบื้องแรก แตไมใชแคนี้หรอก เราสามารถใหความเอื้อเฟอ ใหกําลังกาย ที่จะชวยเหลือกัน ใหแรงงานในการทําธุระ ใหกําลังใจในการทํางาน ให คําปลุกปลอบใจ ตลอดจนใหโอกาสแกเขา เพื่อที่เขาจะไดเจริญเติบโต เชน เราเห็นคนๆ หนึ่ง ทําอะไรไมไดอยางใจเรา เราก็รสกึ ขัดใจเพราะ เอาใจเราเปนหลัก ทีนี้ถา เรารจักให คือ ใหโอกาสแกเขาในการที่เขาจะ พัฒนาตัวเองขึ้นมา พอเรารส ึกวาเราใหโอกาสแกเขา ใจเราก็สวางแลว ก็โปรงขึ้นมา เราก็สามารถมีความสุขได ทนดูเขาไดที่เขาทําไมไดอยาง ใจของเรานี้ เรียกวาใหโอกาส เพราะฉะนั้น การใหจงึ มีหลายแบบ ให วัตถุสิ่งของ ใหกําลังกายชวยเหลือ ใหความเอื้อเฟอรวมมือ ใหกําลังใจ ใหคําแนะนําความรความเขาใจ ใหความเปนกันเองสนิทสนม แลวก็ให โอกาส เปนธรรมดาวา คนทัว่ ไป ตัง้ แตจะตั้งกิจการ ก็ตงั้ ใจไวแลววา จะทําเอา คือ เก็บเอาผลประโยชน ถาเปนคนทํางาน กอนเขาทํางาน ก็ ตั้งใจมาแลววาจะมาเอา คือมาเอาผลตอบแทน เอาเงินเดือน เอา
๒๒ เครื่องเลี้ยงชีพ พอมาทํางานรวมกับคนอืน่ ก็คิดมาเอาอีก ถาไมมีอะไร อื่นจะใหเอา ก็จะมาเอาเปรียบ อยางนอยก็ไมยอมเสียเปรียบใคร เมื่อ มากมายหลายคนและทุกคนก็คิดแตจะเอา สิง่ ทีจ่ ะเอาไดก็ไมพอ ก็ ตองแยงกัน กดขี่ขมเหง ครอบงํากัน แลวทุกคนนัน่ แหละ ก็แหงแลง โดดเดี่ยว กดดัน ไมมีความสุข แตถาทุกคนคิดตั้งใจในทางที่จะให แลว คอยหาโอกาสใหแกกนั ก็กลายเปนมี มากมายเหลือลน สิง่ ที่จะใหแก กันนั้น ก็อยางที่วา มาแลว คือไมจําเปนตองเปนทรัพยสินเงินทอง หรือ วัตถุสิ่งของ แลวแตจะมีอะไรและในโอกาสใด ก็ใหไปตามแตจะมีหรือ จะใหได อยางนอยก็ใหน้ําคําและน้าํ ใจ ซึง่ จะทําใหทาํ งานอยรว ม กัน อยางชม ชื่น อิม่ ใจ ปลอดโปรงและมีความสุข พูดสั้นๆ ก็คือใหความสุข แกกันนั่นเอง มีพุทธภาษิตวา รจักใหความสุข ก็ไดความสุข คนที่ให ความสุขแกคนอื่น ถามีนา้ํ ใจจริงก็ยอมไดความสุขตอบแทน อยางนอย แทนที่จะตั้งใจวาจะไมยอมเสียเปรียบใคร ก็เปลีย่ นเปนตั้งใจเสียใหม วา เราจะไมยอมเอาเปรียบใคร แตความจริงแลว ทุกคนมีสิ่งที่จะใหแก คนอื่นได ไมอยางโนนก็อยางนี้ ลองสํารวจตัวเองดูก็รวาเรามีอะไร พอจะใหแกผรว มงานและคนอื่นไดบาง ในดานวัตถุ เรามีเงินทอง สิ่งของพอจะเผื่อแผชวยเหลือใครไดไหม ในดานวิชาความร ในดาน ถอยคํา ในดานแรงกาย และในดานไมตรี สัมพันธ เรามีอะไรจะชวย แนะนํา ใหกาํ ลังใจ ใหความสบายใจ ใหความชวยเหลือแสดงน้ําใจ และใหความสนิท สนมเปนกันเอง เปนตน แลวก็จะพบวาทุกคนมีอะไร ที่จะใหแกคนอื่นได คนละไมนอยทีเดียว
๒๓
ทํางานดี มีจิตใจที่พัฒนา พาใหสุขสมบูรณ คนทีพ่ ยายามฝกตัวเองในการทํางาน ก็มวี ิถีชีวิตที่เอางานเปน เครื่องฝกฝนพัฒนาตนเอง ถาเปนอยอยางนี้กเ็ รียกวา อยอยางมีหลัก ใจ จะมีความสุขในการดําเนินชีวิต ในการทํางานทําการ และ แกปญหาชีวิตของตนเองได เรื่องของการอยในโลกนี้ เราจะใหโลก เปนไปอยางทีเ่ ราปรารถนาทุกอยางยอมเปนไปไมได เพราะวาโลกและ สิ่งทัง้ หลายเปนไปตามเหตุปจ จัย เหตุปจจัยบางอยางนั้นทําขึน้ มา ในทันทีไมได ถาจะใหทาํ ไดทันทีเปนไปตามความอยากของเรา ก็ตอง บันดาล ตองเนรมิตขึ้น ซึง่ เปนไปไมได สิ่งทัง้ หลายเปนไปตามเหตุ ปจจัย เหตุปจ จัยนี้บางทีกต็ องใชเวลาทํากันตัง้ นาน คนที่ไมรจักทําใจ ก็มีเรื่องวน วายจิตใจมาก เพราะสิง่ ทัง้ หลายจะเกิดความขัดแยง ไม เปนไปตามปรารถนา ไมเปนไปตามความอยากของตนเอง ฉะนัน้ หลักการในทางศาสนาจึงสอนใหรจักทําใจ ถาทําใจของเราไดแลวก็มี ความสุข แตการทําใจนี้กเ็ พื่อเปนพืน้ ฐานในการที่จะดําเนินชีวิตใหดี เพื่อทําการทํางานใหไดผล เพื่อพัฒนาตนใหยงิ่ ขึ้นไป ไมใชเพื่อให สบายใจแลวเลยนิ่งเฉยเฉื่อยชา แตเพื่อกาวหนา ตอไปจนกวาจะถึง ความสมบูรณ วันนี้อาตมาก็พูดเรื่อยไป แบบวาคุยกันโดยไมไดมี จุดมี ประเด็นอะไรที่เปนเรื่องแนนอนตายตัว นึกอะไรไดก็วา ไปเรื่อยๆ ตกลง ก็ปรารภแตเรื่องงานที่ทาํ เทานัน้ เอง เพราะมาพูดกับทานซึ่งอยในที่ ทํางาน ก็เลยพูดเรื่องงาน แตความจริงในการมาพูดกับคนทํางานนัน้
๒๔ คนทํางานหลายคนไมอยากใหพูดเรื่องงาน เพราะอยก ับงานมา เบื่อ เต็มทีแลว อาตมาก็กลับมาพูดเรื่องงานอีก แตก็ไมไดประสงคจะมา ซ้ําเติมความเบื่อ มาพูดดวยความประสงคจะใหมีความสุขกับงาน รวม ความวา การที่จะใหมีความสุขกับงานนัน้ ก็อยางทีว่ ามาแลว คือ มอง งานใหมีความหมายหลายอยาง จนกระทั่งในที่สุด ไมมอง ไม คาดหมาย ไมหวังอะไรขางหนา แตมองในแตละขณะที่ทาํ มองทุก ขณะที่ทาํ นัน้ วาเราไดฝกฝน พัฒนาตัวเองทุกขณะ ทําใหถกู ตองตาม แนวทางวิถีของมันแลวก็มีความพอใจ มีความพอใจก็มคี วามสุข แลวก็ ขยายออกไปสภ าคปฏิบัติอยางที่วา ตามแนวทางของการทํางานที่จะ ใหเกิดประโยชนแทจริง ก็มหี ลักอยท ี่วา ตองหนึ่ง รงานดี ถามตัวเองวา งานที่เราทําอยนี้ เรารดีไหม ถาไมรดีก็ตอง ทําความเขาใจใหดี สอง ทํา หนาที่ไมบกพรอง ขยันทํา ตัง้ ใจทําใหสาํ เร็จ ไมใหบกพรอง แลวก็ สาม มือสะอาด และสุดทาย สี่ คือไมขาดมนุษยสัมพันธ มีความสัมพันธกบั เพื่อนรวมงานดีทั้งเบื้องบนเบื้องลาง ดวยวิธีการรจักใหรูจักหาความสุข จากการที่ไดใหแกผอื่น ซึ่งมีความหมายไมใชวา ใหเฉพาะวัตถุอยาง เดียว แตใหไดแมกระทั่งโอกาส ความพรอมที่จะใหอยางนี้ก็เรียกวามี น้ําใจ หรือใจกวาง ซึง่ ไมใชเกิดผลประโยชนแกผอื่นเทานั้น ตัวของเราก็ ไดตลอดเวลา ตัวเองก็มีความสุข อาตมาพูดมาในเรื่องของการทํางาน ก็กินเวลาไปมากมาย แลว ถือวาวันนี้เปนมงคลอยางหนึ่งที่ไดมาพบกับผท าํ งาน เพราะเปนผ ที่สรางสรรค คนทีท่ ํางานนี้เปนผสรางสรรคดังที่กลาวแลวตัง้ แตแรก
๒๕ ตัวผทํางานอยางนอยก็ไดชื่อวาเปนผทที่ ําสิง่ ที่มีคา เปนคุณประโยชน แกโลกอยแลว แตแคนั้นก็ยงั ไมพอ จะทําใจของตัวเองอยางไร ทั้งที่ ทํางานไปก็ไมใหเบื่อหนาย ไมใหทอถอย จะใหใจเปนสุขตลอดเวลาที่ ทํางานดวย ซึง่ ทัง้ หมดนี้ก็ตอ งมีวิธกี าร วิธีการทัง้ หมดที่พูดมา ก็อยท ี่ การทําใจ วางใจ ที่ถกู ตอง และมีหลักใจ แลวก็จะสบายใจ และทํางาน ดวยใจทีม่ ีความสุข งานนัน้ ก็ไดผลดี ดวย ตกลงทุกอยางก็ตอง สอดคลองกัน ขออนุโมทนา ขอใหทุกคน ทุกทาน ไดมีความเจริญงอกงามใน จิตใจของตัวเอง ในการพัฒนาตน ทั้งทางดานทักษะในการประกอบ อาชีพการงาน และการพัฒนาจิตใจให เจริญกาวหนา ไมใชในความดี งามอยางเดียว แตในความดีงามและความสุขดวย ซึ่งจะสุขแท ก็ตอง มีปญญารจักมองโลกและชีวิตตามเปนจริง ขอใหการทํางานนี้ การมี ชีวิตอยรวมกันนี้ ตลอดจนการดําเนินชีวติ ประจําวันของทุกๆ ทาน จง นํามาซึง่ ความสุข ความเบิกบาน ความรมเย็นแจมใส ความกาวหนา งอกงามในชีวติ ตลอดกาลนานเทอญ
สนทนาแลกเปลี่ยนทัศนะ อ.สุลักษณ ศิวรักษ: สมัยเมือ่ ผมไปพิมพหนังสืออยท ี่โรงพิมพศวิ พร ซึง่ ขึ้นชื่อมากสมัยนัน้ เจาของโรงพิมพเห็นวา พอตกเย็น พนักงานมักจะ กินเหลา เลนไพ พอถึงปใหมก็เลย นิมนตเจาคุณปญญานันทะมา เทศน ทานก็บอกวาอบายมุข มันเลวอยางนัน้ มันเลวอยางนี้ ก็พนมมือ ฟงกันเงียบ พอทานฉันเพลเสร็จ กลับวัด ตกเย็นก็กนิ เหลา เลนไพ ตามปกติ ดังนั้นผมจึงไมคอ ยเห็นดวยกับการยัดเยียด คงจะตองขึ้นอย กับการฝก การปฏิบัติมากกวา พระเทพเวที: จิตใจมันเครียดในงาน งานก็ทําใหเครียด พอเครียดใน งาน ก็ไปหาทางผอนคลาย อบายมุขก็มาเปนตัวคลายให ทําใหหาย เครียด ทีนี้ ถาเราทํางานอยางมีความสุขและพอใจในงานแลว มันก็ คลายไปแลวไมตองมาคลายอีก แตบางคนบอกวาเพื่อเปลี่ยน บรรยากาศ เขาอาจจะเถียงวา ผมทํางานก็มีความสุขดี แตเปน ความสุขอีกแบบหนึง่ ไปกินเหลาเสีย ก็เปนความสุขอีกแบบหนึ่ง เรียกวา เปลีย่ นเสียบาง อนันต วิริยะพินิจ: บางคนเขามีความรส ึกวาชีวิตนี้เขาทุกขเหลือเกิน บางครั้ง ถาเขามีความสุขสักนิดหนึง่ จากการดื่มสุรา หรือความสุขสัก
๒๗ นิดหนึ่งจากการเสพอบายมุข เขาบอกวาขอใหเขาทีเถอะ ทัศนะเชนนี้ ผมเห็นวาเปนความสุขทีช่ ั่วคราว เปนความสุขที่ไมแท ทานจะกรุณา ขยายความก็จะเปนพระคุณ พระเทพเวที: ก็อยางที่วา มันเปนวิธีสบั เปลี่ยน แตที่จริงเปนการหนี ลักษณะทีห่ นึง่ ก็คือหนีจากทุกขอันนี้ ไปหาอะไรทีท่ ําใหลืมความทุกข นั้นไป อันนีก้ ็เปนลักษณะของความไมกลา คลายๆ กับวา เผชิญกัน จนกระทั่งกลัวมัน ไมกลา เลยหนี ดีกวา แตก็แกความทุกขนี้ไมได เพราะไมไดกําจัดเหตุ ความทุกขนั้นมันก็อยตามเดิม เพราะวาหนีไป ผานไปไดชั่วครแลว กลับมาเจอตามเดิมอีก คือไมไดแกที่ตัวทุกข เพราะฉะนัน้ ในหลักการที่แทจริง การที่จะมีชีวิตดีงามมีความสุขก็คอื ไปแกที่ตัวทุกข ปญหาอยท ี่ไหน ปญหาอยที่ตัวความทุกขนนั้ จิตใจที่ เปนทุกข การที่เปนทุกขจากเรื่องนัน้ นีจ้ ะแกไขอยางไร ไมตองหนี ไม ตองแฉลบไปแฉลบมา ไมเขาถึงตัวเรื่องนัน้ สักที ก็เปนวิธีเลี่ยงนัน่ เอง ซึ่งบางทีก็กลับไปเติมปญหา คือนอกจากไมแกปญหาแลว บางทีก็ไป เพิ่มปญหาในรูปอื่น คือบางทีขอลองนิดๆ หนอยๆ แตพอตอไปมันติด พอติดแลวทีนมี้ ันกลายเปนสิ้นเปลืองเงินทอง แลวเติมปญหาอีก อันหนึ่งคือปญหาจากเงินทองไมพอใช บางทีหยิบยืมเปนหนี้ ปญหา เกามีแลวก็เติมใหมนั มากขึ้น ก็หนักเขาไป ทีนถี้ า เกิดวากินเหลามาก เขา สุขภาพไมดี ก็เกิดปญหาใหมอีกแลว หาปญหาใหแกตนเอง บางที ไมเจอขณะนี้แตไปเจอระยะยาว จนกระทั่งอายุมากชักแกลงไปๆ แก ตัวจึงมีปญหา หรือแมแตในตอนนั้นเอง สมมติวาเกิดเรื่องรุนแรงไป
๒๘ ทะเลาะวิวาทกันก็สรางปญหาใหมอีกรูปหนึง่ เรียกวา ทางที่จะเกิด ปญหาใหมนมี้ นั มากมาย แตอยางนอยก็คือไมแกปญหาโดยตนเอง เพราะไปเลี่ยงหลบอย อ.สุลักษณ: อบายมุขเทาที่ผมสังเกตมีคน ๓ ประเภท ประเภททีห่ นึง่ มันยากจนเหลือเกิน มันเปนหนี้เปนสิน มันก็หนีไปกินเหลา หนีไปเลน การพนันโดยหวังวาคงจะรวยมาใชได เลนหวยรัฐบาล เลนหวยเถือ่ น เปนเยอะเลยพวกคน ยากคนจน กินเหลาเพราะไมอยากเจอปญหา มันร สภาพเดิมมันก็รแตมนั ไมอยากเผชิญ นีพ้ วกที่จนมาก อีกประเภท หนึง่ มันรวยมาก เปนเยอะเลยในเมืองนอก เปนเยอะเลยที่องั กฤษ รอบๆ วัดทานสุเมโธ คนรวยอยทั้งนัน้ เลย แถบคนรวยอยนอก London ๖๐% ติดเฮโรอีน ลูกคนรวยนะ และโรงเรียนในอเมริกามีเยอะเลยที่ ขายเฮโรอีน รูปโปสเตอรมีทิ้งไวที่บาน มันติดกัน ก็พยายามสูบกัน บานเรานี่กเ็ ปนมาก มันเบื่อ ทําไดทุกอยางเลย มันทําอะไรก็ได มันหนี สูบไปแลวมันฝนมันเพลิน รนะเรื่องสุขภาพนี่ร อันที่สามนี้พวกเรา โดยตรง ทํางานถาจับเรื่องเครียดนี่ชวยได ทําแลวบางทีมันเครียด ทํา แลวบางทีมนั เบื่อ ทําแลวบางทีแหมเงินเดือนไมเห็นขึ้น ทําแลวเปนหนี้ อะไรอยางนี้ มันก็ตองหนี เพราะฉะนัน้ อยางที่วา กันนิดหนอยๆ เสร็จ แลวมันหนัก อันตรายมันอยต รงนี้ พระเทพเวที: ในการแกปญ หา วิธีแกปญ หาในขัน้ สุดทายอยทวี่ า ทํา อยางไรใหทุกขณะนี้ เราเรียกวาปจจุบนั แตละขณะใหมันมีความสุข เพราะไมงั้นมันก็เปนการหนีอยเรื่อย หนีออกจากขณะที่เปนอย หรือ
๒๙ ขณะที่เปนอยน ี้เปนขณะที่ไมมีความสุข ความสุขนัน้ มันอยขางหนาๆ เราอยขางหลังก็ไลตามความสุขกันอยเรื่อยไป ก็ไมพบ ทีนที้ ําอยางไร จะใหแตละขณะทุกขณะนีม้ ันมีความสุข มันก็จะเต็มอิ่มไปเลย เห็น ไหม คนเราแกปญหาไมถกู ก็ตรงนี้ โดยปกติทวั่ ไปไมสามารถ อย ในขณะนัน้ เพราะฉะนัน้ จะทําอะไรก็ตามในขณะนั้นๆ ใหมีความสุข ไปเลย มีความพอใจ แตถา จะปลอบใจเบื้องตน อยางนอยคนที่มงี าน ทํานี้ ก็ยงั ดีขั้นหนึง่ แลว เรื่องเงินเดือน พอไมพอก็วากันอีกเรื่อง หาเหตุ กัน แตอยางนอยมองคนทีไมมีงานทําเหมือนตัวเอง เราก็ไดเปรียบกวา เยอะแยะ ยิง่ ใน สมัยปจจุบนั นี้ คนวางงานในสังคมมีมาก เราก็เปนคน โชคดี มาก แตอันนี้ก็ยงั ไมใชการแกปญหาที่แทเลย เปนแตเพียง ปลอบใจเทานัน้ เอง ที่แทตองมาถึงขัน้ นี้ คือทําอยางไรใหมี ความสุข ความพอใจในการดํารงชีวิตอยในแตละขณะ อ.สุลักษณ: แตวิธีแกมนั ตองปรับ ๒ ระดับ ครับ - ระดับหนึง่ สวนบุคคล ทีท่ า นเทศน พยายามมี ทัศนะที่ถกู ตอง เรียกรองจากชีวิตใหนอย มีความสุขในการทํางาน - อีกระดับหนึง่ ในหนวยงาน ก็จะตองปรับเหมือนกัน ก็เปดโอกาส ใหเปนประชาธิปไตยใหมากขึ้น เปดโอกาสใหคนออกสิทธิ์ออก เสียงมากขึ้น บางทีมนั ก็จะชวย ในที่บางแหงเขาใชระบบเครดิต ยูเนียนมาชวย รจักการออมทรัพยใหเปน รจักวิธีวา จะเผชิญ หนี้สนิ อยางไร เผชิญเหตุการณอยางไร คือมีทางออกและชนะได ก็จะมีกาํ ลังใจ มากขึน้ ทีนี้ ไอเรื่องอบายมุขอะไรตางๆ นี้ ในสังคม
๓๐ มัน ยัว่ ยุมากเหลือเกิน โฆษณาเหลา โฆษณาเบียร หรืออะไรก็ แลวแต บุหรี่ แมกระทัง่ โคคาโคลา อะไรตางๆ อบายมุข ทั้งนั้นเลย แตวาไมรสึกนะ มันเอาโคเคนใสเขาไป ดีกรีมัน อาจจะออน ทั้ง ฟาสทฟูดอะไรตางๆ ทัง้ นัน้ หมายถึงเยอะแยะที่ไมรเทาทัน ก็สอน ใหรเทาทันไอพวกนี้ดวย พระเทพเวที: การใหโอกาสแกผอื่น เอาใจใสผอื่น เอาใจใส ความสุข ของผอื่นนี้ มันทําใหลืมเรื่องตัวเองไป แลวก็ทกุ ขนอยลง คนที่ไปคอย เอาใจใสผอื่นบาง มองความทุกขความสุขของผอื่น แลวก็ทาํ ใหจิตใจ ของเราโปรง ทีนี้ ถาหากวา มองแตเรื่องตัวเอง ตัวยังไมไดนั่น ตัวยัง ไมไดน่ี จิตใจก็บีบคั้นตลอดเวลา มันแคบ ก็ไปมองวา เอ ! คนอื่นเขา เปนอยางไร สุขสบายดีหรือเปลา ไมใชมองในแงที่จะอิจฉาริษยา คนเรานีถ้ าไปมองในแงแตจะไดไมได พอมองคนอืน่ ก็มองในแง อิจฉา ริษยา วาเขาไดมากกวาเรา เราทําไมได ทีนถี้ าทําใจเปลี่ยนทาทีปบ กลับไปมองคนอื่น เอะ! นี่เขามีความทุกขลําบากอะไรหรือเปลา เขาจะ มีความสุขไหม ทําไมเขาจึงไมมีความสุข คนเรารักคนอื่น ก็เหมือนกับ พอแมรักลูก เห็นลูก มีความสุขเราก็มีความสุข แตถา เราไมรัก เห็นเขา มีความสุข เราอาจจะทุกขเพราะวาเราอิจฉา แตถาเรารักเขาปบ เขามี ความสุข เราก็สุขดวย ทีนี้ ถาเราขยายความรสึกเอาใจใสตอผอื่นนี้ ออกไป โอกาสที่จะมีความสุขก็มากขึน้ แตถาเราเหลือ ตัวคนเดียว เมื่อไร ทุกขยงิ่ มากขึ้น ถาเรามองแตตัวเองคนเดียว พอเราไปสัมพันธ กับคนอื่นอีกคน เราก็มโี อกาสทีจ่ ะทุกขเพิ่ม ขึ้นอีกหนึ่ง เพราะเรา
๓๑ จะตองขัดแยง หรือตองแขงกับเขา เราก็มีตัวทุกขเพิ่มมาหนึง่ พอไป เจออีกคนหนึง่ ก็เจออีกทุกขหนึ่งเรื่อยไป ยิ่งเจอคนมากก็ยิ่งทุกขมาก หรือมิฉะนัน้ ก็จะเปนไปในทางแบงแยกเปนฝายเปนพวก คือขัดแยง กับคนหนึง่ แลว ก็เขากับอีกคนหนึง่ เพื่อเอามาชวยขัดแยงแขงดวย ก็ กลายเปนพวกเปนฝาย ความขัดแยงก็ย่งิ รุนแรงมากขึน้ ปญหาก็มาก ขึ้น แตถาเราเอาใจใสผอนื่ หมายความวาสรางความสุขดวยการให หรือใหความเอาใจใสซึ่งก็เปนการให อยางหนึง่ มีความรักคือความ ตองการใหเขามีความสุข เพิ่ม คนเขามาเทาไรก็ยิ่งมีความสุขเทานัน้ เรื่องก็อยท ี่นี้ ถาเราไมสามารถเปลี่ยนทาทีของจิต เราก็มีความทุกขได มาก เพราะฉะนั้น การพัฒนาตัวก็อยท ี่นดี้ วย พัฒนาจิตใจใหมองกวาง ออกไป มองเพื่อจะใหความเอาใจใส ความสุขก็เพิ่มมากขึ้น หรินทร สุขวัจน: ทานครับ บุคคลทีท่ ํางานอยในกิจการที่รสึกเปนโทษ ทางสังคม เชน กระทําอยในโรงเหลา โรงบุหรี่ แลวจะทําใหมีความสุข ในการทํางาน ทั้งๆ ที่เปนกิจกรรมที่เปนพิษเปนภัยกับทางสังคม แลว เขาจะมีความสุขในการทํางานอยางไรครับ พระเทพเวที: นี้แหละอยางที่วา เมื่อกี้ มันมีหลายระดับ ตอนแรกศรัทธา ในงานไมมีเลยใชไหม ศรัทธาในงานวางานนี้เปนสิง่ ทีม่ ีคุณคา เปน ประโยชนแกสงั คม แกเพื่อนมนุษย ศรัทธาในงานไมมี อันนี้เปนจุดออน อันดับทีห่ นึง่ ทําใหทอ ถอยไมมีกําลังใจ งานนั้นไมมคี ุณคาทางสังคม เราก็รสึกวา มันไมมีคุณคาตอชีวิตนี้ดวย ไมทาํ ใหชีวิตนี้มีคุณคา แต กลับเปนวาชีวติ ของเรากลายเปนโทษแกคนอื่น การที่ไปทํางานนี้ก็
๓๒ คลายกับเอาชีวิตนี้ไปเปนสวนรวมในการทําใหเกิดโทษ ทีนี้ จะทํา อยางไร ก็ตองมองลึกลงไป หมายถึงวา อยางนอยการทํางานนัน้ เปน การฝกฝนพัฒนาตน การทํางานนัน้ ใหดีก็เปนการพัฒนาตนเองเสมอ ตลอดเวลา ทําหนาที่ของตัวเองใหดที ี่สดุ นี้ก็เปนจุดทีท่ ําใหสบายใจได แตจะไปลืมเสียเลยไมไดนะ เดี๋ยวไปลืมวางานนี้เปนโทษจริงๆ เพราะฉะนัน้ ในแงหนึง่ ถาวาตามหลักของทางศาสนาก็คือ เราก็ตองหา ทางออก ดวย แตในกรณีทยี่ ังทําอยดว ยเหตุใดก็ตาม ก็ตองทําใจอยาง นี้วา เราทํางานของเรา ทําใหถูกตอง วางเจตนาที่จะไมใหไปเห็นดีเห็น งามรวมสงเสริมความชัว่ รายนั้นดวย แตมง ชวยผอนเบาความชัว่ รายที่ มีอยหรือทํากันอยในงานนัน้ ก็เปนความดีอยางหนึ่ง และก็ไดพัฒนา ตัวในเวลานัน้ ดวย อันนีก้ ็ทาํ ใหจิตใจสบายได ก็มีหลักอย อ.สุลักษณ ทีนี้มนั ไมใชเฉพาะโรงงาน โรงเหลา หรือโรงฆาสัตวนะ หลายตอหลายครั้งงานทุกอยางทีท่ ําแลวไมมีคุณ คา อันนี้สําคัญ ยกตัวอยาง ครูมีปญหามาก พวกครูรสกึ วาเขาสอนไมมีความหมาย เด็กมันก็ไมเชือ่ เขา มันไปเชื่อโทรทัศนมากกวา เงินเดือนเขาก็นอย ปญหาอยตรงนี้ ตอง จับที่เจาคุณทานวาใหได อยางนอยงานของเรามี คุณคาหรือไมมีคุณคา เราตองพัฒนาความคิด พัฒนาวิธกี ารของเรา ให ชัดและพยายามหาคุณคาในสิ่งนั้น ยกเวนอาชีพที่ไมสุจริตหรือ อาชีพที่มนั เปนโทษเสียแลว หลายอยางมันเปนประโยชนได ในแงหนึง่ นวนิยายมีคนอานนี้ บางทีอาจจะหวังดี บาง คนอาจจะอานเปนเพื่อน ก็ได นี้เราตองพยายาม พยายามมองทาทีใหถูกตอง
๓๓ อนันต: หลายกิจการ อยางกิจการดานสุรานี้ อาจจะเปนภาพที่เห็นชัด วาเปนกิจการที่คอนขางขัดแยงกับศีลธรรม แตมีหลายกิจการที่มนั อย เบื้องหลังของกิจการเหลานี้ เชน ธนาคาร เปนตน ธนาคารเปนผปลอย สินเชื่อใหโรงเหลา ซึ่งความจริงแลวกิจการธนาคารนี้ใครๆ ก็คิดวาเปน กิจการที่มีเกียรติ เปนการดําเนินงานที่ดูคลายๆ วาไมมีโทษ ถาเรามอง ใน ระดับหนึ่ง แตถาจะพิจารณาใหลึกลงไป กรณีที่โรงเหลา ตอนนี้มี ปญหาเกี่ยวกับการดําเนินงาน ปรากฏวา ธนาคาร ๓-๔ แหงตองเขา ไประดมทุนหลายพันลานบาท อยเบื้องหลัง ในแงของการประกอบการ แลวคงตองพิจารณาใหลึกลงไปวา เอื้อตอสังคมหรือสวนรวมมาก เพียงใด ซึ่งพนักงาน ระดับลางคงจะไมรสึก หรือรสึกก็ทําอะไรไมได เพราะระบบ มันใหญเกินตัวเอง นี่เปนเพียงตัวอยางเดียว อ.สุลักษณ: ทานเห็น ทานเห็นปญหา เพราะฉะนัน้ คนทํางานธนาคาร ๙๙% ไมเห็นปญหาหรอกเพราะเขาปดดวย และโบนัสมันแพงดวย วิธี ซื้อ วิธีดงึ แลวโอกาสกินกันมาก โอกาสฉอฉลก็มีมาก มันอันตรายมาก พระเทพเวที: อันนี้เปนกรณีซับซอน กรณีซับซอนนี้ ถาเราอยในสถานะ นั้น อยท ามกลางแตเราเปนตัวกลไกเล็กนิดเดียว เราไปบิดผันอะไร ไมได เราจําเปนตองทําสวนของเราใหดี กอน และถามีโอกาสเราก็หัน เหเบนงานนั้นไปในทางที่ใหเกิดคุณคา หรือหาทางทําใหเกิดประโยชน จากงานนัน้ แต อยางนอยการพัฒนาตนไว ก็มีประโยชนไมเฉพาะ ขณะนั้น แตพอถึงโอกาสเมือ่ ไร ความพรอมที่เราสะสมไว ที่จะทํางาน อื่นที่มีคุณคาได เมื่อโอกาสนั้นมาถึงเรา เราก็พรอมที่จะทําสิง่ ที่เปน
๓๔ ประโยชนได เหมือนอยางเราอยในธนาคารหรือใน กิจการใดก็ตามที่ มันสองแงสองงาม มันอาจจะเกิดโทษ ตอนนี้เราไมมโี อกาสที่จะทํา สวนที่จะแกไขสภาพเหลานี้ได แต ดวยการฝกปรือตัวเราเอง พัฒนา ตนในการทํางานนั้นไวดี เราก็จะไปถึงจุดหนึ่งหรือสถานะอะไรก็ตาม ที่ เราจะมีความสามารถขึน้ มาในตอนใดตอนหนึ่ง ถาเรามีความพรอม จากการพัฒนาตนอยเสมอ ตอนนัน้ เราก็จะไดทําสิง่ ทีเ่ ราเห็นวา มี คุณคา คือแกไขได แตถาเรามัวไปงอมืองอเทา เห็นวา งานนี้ไมมี ประโยชนไมมคี ุณคา มันเปนโทษ แลวตัวเองก็ไมพยายามฝกฝนมาตัง้ นาน ใหตัวเองมีความสามารถในงานนั้น แลวก็ไมรจักทนทานที่จะไป แกไข ก็เลยไมมีโอกาสจะไปแกไขไดเลย จะมีโอกาสหรือไมมีโอกาส อะไรมันจะเปนอยางไร แตขณะนี้หรือขณะนั้นทําใหเปนประโยชนใหดี ที่สุด พอไป ถึงจุดหนึ่งความพรอมที่สงั่ สมไวเกิดประโยชนเองนะ อันนี้ เรียกวาหลัก "ปุพเพกตปุญญตา" มันก็ตองมี "ถึงทีฉันบาง" อะไร ทํานองนี้ แต "ถึงทีฉันบาง" จะมาไดเมื่อไร ถาตัวเองไมรจักพัฒนาตน ไมใชขณะปจจุบันนี้ใหดีที่สดุ เพราะฉะนัน้ จึงตองใชขณะปจจุบันใหดี ที่สุด อ.สุลักษณ: แตที่อนันตวา ใหเขาใจถึงประเด็นนี้มนั ยาก และสวนมาก จะไปนึกถึงอยางอืน่ ยกตัวอยางงายๆ บางคนนี้เคยมีที่ขายไมได แลวที่ มีราคาเปนลานขึ้นมาก็ขายที่ถวายวัด วัดก็ไมรอีกวาเปนผลจากไอ ความอะไร ความไมถูกตองในสังคม แตคนที่จะรเทาทันนีน้ อย นี้เปน ปญหาหนึง่ ซึ่งเราจะตองแก กรณีวัดธรรมกายเห็นชัดเลย มันนึกวาการ
๓๕ ซื้อที่ไมเปนการเสียหายอะไร ชาวบานเดือดรอนนะ พอไมรนมี่ ัน อันตราย อนันต: ที่ผมเสนอเมื่อสักครน ี้ เห็นดวยกับทานทีว่ า มันยากทีจ่ ะไประบุ ประเภทของงาน เพราะมันมองไดยากที่จะวินิจฉัยความดีชวั่ ที่ ยกตัวอยางธนาคาร ในระดับพนักงานเขาไมสนใจเรื่องพวกนี้ เขาก็คง ทําไปตามหนาที่ของเขาใหดีที่สุด เหมือนกับคนที่จะทํางานโรงงาน เหลา หรือทํางานโรงฆาสัตว มันก็เปนหนาที่อยางหนึง่ บรรษัทขาม ชาติบรรษัทหนึ่ง เวลาลูกไกลนตลาด ราคาไขไกและไกมันจะตก เขา แกปญหา อยางไร เขาแกโดยเอาลูกไกเปนแสนๆ ตัวนี้ไปทิ้งทะเล ซึ่ง เขาก็ไมรสึกวาเรื่องนี้เปนเรื่องบาป เพราะเขามองใน ฐานะทุนนิยม เปนเรื่องธุรกิจ ถาไมเอาลูกไกเปนหมืน่ ๆ แสนๆ ตัวนี้ไปถวงน้ําแลวละก็ หายนะมันจะตามมา ระบบ ชีวิตสังคมปจจุบัน มันหนีเรื่องตางๆ เหลานี้พน ยากเหลือเกิน อ.สุลักษณ: ตองเศรษฐศาสตรชาวพุทธ เศรษฐศาสตรมันอธรรม เศรษฐศาสตรมันอธรรมปบ มันทําทุกอยาง อาจารยประเวศเขียนไว รัฐบาลหมดพืน้ ฐานทางจริยธรรมแลวหรือ รัฐบาลพยายามจะผลิต บุหรี่ใหมากขึน้ ในขณะที่ฝา ยรนใหมพยายามรณรงคใหเลิกสูบบุหรี่ ก็ จะผลิตเหลาให มากขึน้ จับเหลาเถื่อน ไมใชอะไรนะ ที่จับเหลาเถื่อน ไมใช วาเขาจะเปนหวงราษฎรจะกินเหลาเถื่อนแลวจะเปนอันตราย จับ เหลาเถื่อนเพือ่ วากูจะผลิตเหลาขาย (กูจะไดเพิ่มผลผลิต) อันตราย มาก
๓๖ พระเทพเวที: อยางนี้ตองแยกออกเปนปญหาที่จะตองแกไขในระดับ ไหน กรณีอยางนี้ถือเปนปญหาระดับซับซอน ยากกวาการแกปญหา ระดับหนึง่ โดยเฉพาะ ตองมีผรเทาทันที่จะใหปญญาแกสังคมอะไร ตางๆ เหลานี้ หรือแมแตการจัด สรรวางระบบใหมในวงกวาง ทีนี้ เราอยในสวนยอยมันอีก ระดับหนึง่ (อนันต ซึง่ ยากที่จะไปแกเรื่อง ตางๆ เหลานัน้ ) ตองรวา อันนี้มนั เปนปญหาของระดับไหน ถาเราอย ใน สวนยอยนี้ เราไปกังวลมากกับปญหาระดับใหญ เราวาวน ใจดวย ความขัดแยงใจมาก ยิง่ ทําใจไมถูกก็ลาํ บาก ก็ตองวางใจใหถูกที่ วา ตอนนี้เราอยจดุ ไหน ทําอยางไรใหดีที่สุด แลวจังหวะของปญหาการแก อยูที่ตรงไหน ผิดจังหวะผิดระดับมันก็ยง เหมือนกัน อันนี้ก็อยที่ผให ปญญาแกสังคม เพราะการแกปญหาในระดับซับซอนนี้ ตองอาศัย ปญญาที่รเทาทันกัน ก็อยางที่วา คนจํานวนมากเขาก็เปนคนดี แตเขา ก็ไมรวาที่เขาทํานั้นมันทําใหเกิดโทษเกิดภัยมารูปไหน ก็ตองมาชี้แนะ กัน ทําความเขาใจ ถาเปนคนดีที่แทจริงก็คิดวาเขาก็รับฟง รวมความ แลวก็อยางทีว่ า เปนปญหาใหญและซับซอน ตองมีปจจัยแกหลาย อยาง ที่สาํ คัญคือ ความรเทาทันปญหาจริยธรรมของทุกฝายที่ เกี่ยวของ ซึง่ เขมแข็งพอที่จะไมหาผลประโยชน จากสิ่งที่กอความทุกข แกเพื่อนมนุษยหรือปญหาแกสังคม และการจัดระบบทีเ่ อื้อตอความดี งามและประโยชนสุขของประชาชน มีขอพิจารณาอยางหนึ่งวา ถาทุก คนงดดื่ม ไมมีใครกินเหลา โรงงานสุราก็ไมมี เพราะไมรจะผลิตใหใคร กิน ในทางตรงขาม ถาจํากัดการผลิต ไมสงเสริมใหขยายโรงงานสุรา
๓๗ ไมโฆษณาชวนดื่ม คนติดเหลา ก็มที างนอยลง ควรจะแกปญหาดวย วิธีไหน หรือจะใชทั้งสองอยางประสานกัน นีก่ ็เปนตัวอยางใหพิจารณา ดู ขอสําคัญขอใหทํา มิใชวา อยางไหนก็ไมทํา ไมจริงจังอะไรสักอยาง