Ca351 week04 tv language

Page 1

นศ 351

การผลิตรายการวิดที ศั น์ 1 [CA 351 Video Program Production 1] (ปี การศึกษาที่1/2557)

รวมรวม/เรียบเรียง โดย อาจารย์ ณัฏฐพงษ์ สายพิณ สาขาวิชานิเทศศาสตร์ บูรณาการ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ โจ้

ภาษาของสื่อโทรทัศน์ (TV Language) และคําศัพท์ เทคนิคเฉพาะทางในการผลิตรายการโทรทัศน์ • • •

วัจนภาษาและอวัจนภาษา ภาษาของสื่อโทรทัศน์ ภาษาภาพ คําศัพท์ด้านภาพและการตัดต่อภาพ (ขนาดภาพ, การเคลื่อนกล้ อง, มุมกล้ อง)


ภาษาของสื่อโทรทัศน (TV Language) และคําศัพทเทคนิคเฉพาะทางในการผลิตรายการโทรทัศน

และ

|2

ภาษาเป็ นตัวกลางในการถ่ายทอดความคิด จากผู้ถ่ายทอดไปยังผู้รับสาร การใช้ ภาษาจะต้ องเป็ นไปอย่างถูกต้ อง ชัดเจน สือ่ ความหมายได้ ตรงตามที่ต้องการ หากการถ่ายทอดมีความคลุมเครื อไม่ชดั เจน จะทําให้ การถ่ายทอดความคิดนันไม่ ้ บรรลุวตั ถุประสงค์ ภาษา คือ ระบบสัญลักษณ์ที่มนุษย์ใช้ เป็ นเครื่ องมือในการส่งความคิดถึงกันและกันจากความหมายของภาษานี ้ สามารถแยกพิจารณาความสําคัญของภาษาได้ เป็ น 2 ส่วน คือ 1. ภาษาเป็ นระบบสัญลักษณ์ คือ เป็ นกลุม่ เครื่ องหมายที่มีความสัมพันธ์กนั อย่างมีระเบียบ แบบแผน อาจเป็ นเสียง รูปภาพ หรื อ เครื่ องหมายต่างๆ ภาษาจึงมีองค์ประกอบ 2 ส่วนได้ แก่ ส่วนที่เป็ นภาพ ซึง่ อาจอยูใ่ นรูปลักษณ์ของ เครื่ องหมาย สัญลักษณ์ และส่วนที่เป็ นเสียง ระเบียบหรื อลําดับของเครื่ องหมายเหล่านัน้ จะต่างกันไปในแต่ละภาษา สิง่ นี ้เรี ยกว่าระบบ ภาษา ดังนันการที ้ ่จะเข้ าใจความหมายของคําพูดในภาษาใดภาษาหนึง่ ได้ จะต้ องรู้จกั สัญลักษณ์และเข้ าใจระบบของสัญลักษณ์ ของภาษานัน้ ซึง่ เรี ยกระบบสัญลักษณ์นี ้ว่า หลักภาษาผู้ใช้ ภาษาทังผู ้ ้ สง่ และผู้รับจะต้ องรู้หลักภาษาอย่างดีเสียก่อน จึงจะเข้ าใจ ภาษาได้ ตรงกัน 2. ภาษาเป็ นเครื่ องมือส่งความคิด ซึง่ เป็ นหน้ าที่หลักของภาษา หากไม่มีการนําภาษามาใช้ ภาษานันจะไม่ ้ มีประโยชน์ เหมือนกับภาษาที่เลิกใช้ หรื อภาษาที่ตายแล้ ว แต่ยงั คงมีระบบสัญลักษณ์ของภาษาอยู่ และไม่มีคา่ ในด้ านการใช้ จึงหมด ความสําคัญในฐานะเครื่ องมือในการส่งความคิด การที่จะใช้ เครื่ องมือให้ ได้ ผลเต็มที่นนั ้ ต้ องทําการศึกษาวิธีใช้ ให้ เข้ าใจกลไกและ ความสามารถของเครื่ องมือนันเป็ ้ นอย่างดี ซึง่ การใช้ ภาษาประกอบด้ วยบุคคล 2 ฝ่ าย คือ ฝ่ ายส่งและฝ่ ายรับ ฝ่ ายที่สง่ ภาษา เป็ นฝ่ ายที่ใช้ ภาษาในการแสดงความคิด ต้ องรู้หลักภาษาพอที่จะแสดงความคิดของตนออกมาเป็ นภาษาได้ อย่างถูกต้ องตาม หลักเกณฑ์ ส่วนผู้ที่เป็ นฝ่ ายรับต้ องใช้ ภาษาเพื่อให้ เข้ าใจความคิดและจะต้ องรู้หลักภาษาพอที่จะแปลความหมายของคําพูดนันๆ ้ ให้ ตรงกับความคิดของผู้สง่ ได้ จึงนับได้ วา่ ทังผู ้ ้ สง่ ภาษและผู้รับเป็ นผู้ที่ใช้ ภาษาทังคู ้ ่ การใช้ ภาษาจะสมบูรณ์ได้ ก็ตอ่ เมื่อมีบคุ คล 2 ฝ่ ายนี ้เข้ ารหัสภาษาในการส่งและถอดรหัสในการรับภาษานันๆ ้ หน้ าที่พนื ้ ฐานของภาษา 1. ให้ ข้อเท็จจริ ง ทําหน้ าที่บอกหรื อยืนยันว่าอะไรเป็ นอะไร ซึง่ สิง่ ที่ยืนยันอาจเป็ นเรื่ องจริ งหรื อเท็จ โดยคํานึงถึงเนื ้อหา ของคําพูดเป็ นหลัก เป็ นภาษาที่ใช้ ในการอ้ างอิงเหตุผล อธิบายและใช้ ข้อเท็จจริ งต่างๆ 2. แสดงความรู้สกึ ได้ แก่ ภาษาที่ใช้ ในคําประพันธ์ หรื อภาษาโฆษณา ซึง่ เป็ นภาษาประเภทเร้ าอารมณ์ มิได้ มี จุดมุง่ หมายที่จะให้ ข้อเท็จจริ งเป็ นสําคัญ แต่มีจดุ มุง่ หมายในทางเร้ าอารมณ์ผ้ อู า่ นหรื อผู้ฟังให้ คล้ อยตามและเกิดอารมณ์ เช่นเดียวกับผู้เขียนบทหรื อผู้พดู อาจจะเป็ นการแสดงความรู้สกึ ของผู้เขียน หรื อเป็ นไปได้ ทงั ้ 2 อย่าง 3. ทําหน้ าที่แนะนํา ทําให้ เกิดการกระทําอย่างใดอย่างหนึง่ เป็ นคําสัง่ หรื อคําขอร้ องไม่ได้ มีการบอกข้ อเท็จจริ งหรื อแสดง อารมณ์ใดๆ หากแต่วา่ การให้ ข้อเท็จจริ งจะเป็ นการแสดงเหตุผลประกอบเพื่อช่วยเพิ่มนํ ้าหนักของคําพูดให้ กระทําตาม ส่วนการใช้ นํ ้าเสียงเพื่อให้ อีกฝ่ ายกระทําตามคําขอร้ องเป็ นเพียงเครื่ องแสดงอารมณ์ประกอบเท่านัน้ เพราะการเร้ าอารมณ์อาจจะช่วยให้ บรรลุ จุดประสงค์ได้ ง่ายขึ ้น


ภาษาของสื่อโทรทัศน (TV Language) และคําศัพทเทคนิคเฉพาะทางในการผลิตรายการโทรทัศน

และ

|3

วัจนภาษาและอวัจนภาษา ประเภทของภาษาในการสือ่ สารความหมายนัน้ แบ่งออกเป็ น วัจนภาษา และอวัจนภาษา ดังนี ้ วัจนภาษา (VERBAL LANGUAGE) คือ ภาษาที่มีระบบสัญลักษณ์ของภาษา เช่น ตัวอักษรต่างๆ หรื อคําต่างๆ ที่สามารถฟั งหรื ออ่านแล้ วเกิดความเข้ าใจ ได้ ได้ แก่ 1. ภาษาพูด ภาษาพูด เกิดจากการเปล่งเสียงของมนุษย์ออกมาในระดับเสียงสูงตํ่าแตกต่างกัน แล้ วจึงมี การกําหนดสัญลักษณ์ให้ เป็ นที่เข้ าใจ ภาษาพูดนี ้มีข้อจํากัดในเรื่ องของเวลาและระยะทางเพราะเมื่อพูดไปแล้ วไม่สามารถเก็บคําพูดนันเอาไว้ ้ ได้ ระยะทาง ในการรับฟั งก็อยูใ่ นระยะจํากัดทําให้ เกิดการพยายามเอาชนะข้ อจํากัดนี ้ ในปั จจุบนั จึงมีการบันทึกเสียงลงบนวัสดุบนั ทึกเสียงชนิด ต่างๆ และถ่ายทอดเสียงผ่านสือ่ วิทยุกระจายเสียงหรื อโทรทัศน์ ซึง่ สามารถเอาชนะในเรื่ องของระยะทางได้ 2. ภาษาเขียน ภาษาเขียน เป็ นภาษาที่ใช้ ในการติดต่อสือ่ สาร ทําให้ มนุษย์ได้ พฒ ั นาภาษาให้ เจริ ญขึ ้นมา เกิดเป็ นภาษาเขียนซึง่ ทําให้ มนุษย์สามารถจารึกหรื อบันทึกเรื่ องราวด้ วยภาษาเขียนได้ และภาษาเขียนยังเป็ นเครื่ องมือในการกําหนด ความรู้ความเข้ าใจ และ ความคิดเห็นต่างๆ อวัจนภาษา (NON – VERBAL LANGUAGE) อวัจนภาษา คือ ภาษาที่ไม่มีสญ ั ลักษณ์ในการสือ่ ความคิดได้ แก่ - ท่าทาง - ภาษาภาพ นอกจากนี ้ ยังสามารถแบ่งประเภทของภาษาได้ ตามประเภทของสือ่ ดังนี ้ 1. ภาษาสําหรับสือ่ สิง่ พิมพ์ ได้ แก่ ภาษาเขียน 2. ภาษาสําหรับสือ่ เสียง ได้ แก่ ภาษาพูด บทสนทนา ดนตรี ประกอบ เสียงประกอบ 3. ภาษาภาพ ได้ แก่ ภาพนิ่ง ภาพวาด ภาพเคลือ่ นไหว สือ่ แต่ละสือ่ จะมีสญ ั ลักษณ์และระบบของภาษาที่ตา่ งกัน และยังมีข้อจํากัดของตัวสือ่ เองด้ วย เช่น ภาษาเสียง ไม่ สามารถอธิบายภาพได้ ชดั เจนเท่าภาษาภาพ แต่ในขณะเดียวกันภาษาภาพยังจําเป็ นต้ องใช้ เสียงบรรยายหรื อเสียงประกอบอื่นๆ มาช่วยเสริ ม นอกจากนี ้ ความยากง่ายในการเข้ าใจและการใช้ ภาษาแต่ละประเภทนัน้ เป็ นสิง่ สําคัญที่ผ้ ใู ช้ ภาษาจะต้ องเรี ยนรู้ โดยเฉพาะผู้ที่จะเป็ นนักเขียนบทโทรทัศน์ จะต้ องมีความสามารถในการใช้ ภาษาประเภทต่างๆ เหล่านัน้ ถ่ายทอดความคิดได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ซึง่ ไม่เพียงแต่มีความเข้ าใจในระบบสัญลักษณ์คณ ุ ลักษณะและธรรมชาติของภาษาเท่านันแต่ ้ ยงั ต้ องคํานึงถึง วัตถุประสงค์ในการถ่ายทอดความคิด รูปแบบของการถ่ายทอดความคิดและประเภทของสือ่ ที่จะใช้ ด้วย การใช้ ภาษาในการ ถ่ายทอดความคิดดังกล่าวจึงจะเกิดสัมฤทธิ์ผล


ภาษาของสื่อโทรทัศน (TV Language) และคําศัพทเทคนิคเฉพาะทางในการผลิตรายการโทรทัศน

และ

|4

แนวทางในการใช้ ภาษาถ่ ายทอดความคิด 1. ต้ องมีความเข้ าใจสัญลักษณ์ของภาษาที่จะใช้ 2. ต้ องมีความเข้ าใจในระบบของภาษาและหลักของภาษา 3. ต้ องรู้ลกั ษณะและธรรมชาติของภาษาแต่ละประเภท 4. ต้ องใช้ ภาษาให้ เหมาะสมกับหน้ าที่ของภาษา 5. ต้ องเลือกใช้ ภาษาให้ เหมาะสมกับกลุม่ เป้าหมายและโอกาสของการสือ่ สาร 6. ต้ องใช้ ภาษาสือ่ ความหมายได้ อย่างถูกต้ อง กระชับ ได้ ใจความ 7. ต้ องรู้วา่ ภาษาสามารถ่ายทอดความคิดได้ มากน้ อยเพียงไร และใช้ ได้ ผลดีเมื่อไร 8. ต้ องใช้ ภาษาให้ เหมาะสมกับบรรยากาศ และจังหวะของเรื่ อง 9. ต้ องใช้ ภาษาให้ เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ทางการสือ่ สาร 10. ต้ องใช้ ภาษาให้ เหมาะสมกับรูปแบบของการสือ่ สาร และประเภทของสือ่

ภาษาของสื่อโทรทัศน์

โทรทัศน์เป็ นสือ่ มวลชนแขนงหนึง่ ที่มีลกั ษณะพิเศษที่สลับซับซ้ อนทังกระบวนการผลิ ้ ตรายการ และกระบวนการทางด้ าน เทคนิค รวมทังกระบวนการแพร่ ้ ภาพรายการสูก่ ลุม่ เป้าหมาย ส่วนที่สาํ คัญที่จะเป็ นส่วนในการสือ่ สารกับกลุม่ เป้าหมายในแง่ของ เนื ้อหาสาระ ได้ แก่ รายการประเภทต่างๆ ซึง่ แต่รายการแต่ละประเภทที่ผลิตขึ ้นนัน้ มีสว่ นประกอบที่เป็ นโครงสร้ างสําคัญที่มีสว่ น เกี่ยวข้ องกับรายการโทรทัศน์ทวั่ ไป คือ ส่วนที่เป็ นภาพและส่วนที่เป็ นเสียง โดยส่วนที่เป็ นภาพและเสียงซึง่ ประกอบกันขึ ้นเป็ น รายการโทรทัศน์แต่ประเภทนัน้ จะมีสว่ นประกอบสําคัญซึง่ เป็ นวิธีการนําเสนอภาพและเสียงเกี่ยวข้ องอยู่ ส่วนประกอบดังกล่าว ได้ แก่ ภาษาภาพ (VISUAL LANGUAGE) และภาษาเสียง (SOUND LANGUAGE) เมื่อพิจารณาโดยภาพรวมแล้ วการผลิตรายการโทรทัศน์ เป็ นกระบวนการการนําเสนอความสมบูรณ์ ของ รายการทัง้ ด้ านภาพและเสียง เนื่องจากรายการโทรทัศน์ เป็ นการนําเสนอภาพที่เคลื่อนไหวต่ อเนื่องเช่ นเดียวกับการ นําเสนอภาพยนตร์ จะมีความแตกต่ างกันในเรื่องของวิธีการผลิตและอุปกรณ์ ในการถ่ ายทําเท่ านัน้ สือ่ แต่ละประเภทย่อมมีหลักการพื ้นฐานของสือ่ ที่เกี่ยวข้ องกับการสือ่ สารหรื อสือ่ ความหมายแตกต่างกันไป หลักการ สําคัญของสือ่ ที่เป็ นส่วนสําคัญในการสือ่ สารกับกลุม่ เป้าหมายนันเรี ้ ยกว่า ภาษาสือ่ (LANGUAGE OF MEDIA) เช่น สือ่ วิทยุกระจายเสียงมีสว่ นที่เกี่ยวข้ องกับภาษาเสียงเพื่อนําเสนอรายการวิทยุกระจายเสียง เป็ นต้ น ดังนันเมื ้ ่อสือ่ ทุกๆ สือ่ มีภาษาเฉพาะของสือ่ สือ่ โทรทัศน์ที่นําเสนอรายการในแต่ละประเภท จึงเป็ นการนําเสนอความ สมบูรณ์แห่งภาษาภาพและภาษาเสียง ซึง่ ทังภาษาภาพและภาษาเสี ้ ยงนันเรี ้ ยกโดยรวมว่า “ภาษาของสือ่ โทรทัศน์ (Television Language)” ซึง่ จะได้ อธิบายในรายละเอียดต่อไป


ภาษาของสื่อโทรทัศน (TV Language) และคําศัพทเทคนิคเฉพาะทางในการผลิตรายการโทรทัศน

และ

|5

ภาษาภาพ (VISUAL LANGUAGE) คําศัพท์ ด้านภาพและการตัดต่ อภาพ (ขนาดภาพ, การเคลื่อนกล้ อง, มุมกล้ อง) สําหรับภาษาของสือ่ โทรทัศน์นนั ้ ต้ องเน้ นหนักไปที่ภาษาภาพ ซึง่ ภาษาภาพนี ้เป็ นคําที่มีมานานแล้ ว และเป็ นที่เข้ าใจต่อ ความหมายของคํานี ้เป็ นอย่างดี ในกลุม่ ผู้อยูใ่ นวงการวิชาชีพภาพยนตร์ และโทรทัศน์ตา่ งประเทศ โดยเฉพาะในกลุม่ ทีมงานผู้ผลิต รายการโทรทัศน์และทีมงานผู้ถ่ายทําภาพยนตร์ และสร้ างภาพยนตร์ รวมทังผู ้ ้ ที่ศกึ ษาวิชาชีพแขนงนิเทศศาสตร์ และสือ่ มวลชน ภาษาภาพเป็ นแบบลักษณ์ตา่ งๆ ของภาพที่ได้ จากการถ่ายทํา โดยมีจดุ มุง่ หมายหลักเพื่อการนําเสนอภาพที่มีลกั ษณะ ต่างๆ เพื่อการสือ่ ความหมายกับกลุม่ เป้าหมาย ภาษาภาพเป็ นส่วนสําคัญในการสร้ างการรับรู้ให้ เกิดขึ ้นกับกลุม่ เป้าหมาย เพื่อ สร้ างอารมณ์ความรู้สกึ การถ่ายทอดความต่อเนื่องของเนื ้อหาสาระ การให้ คําอธิบายรายละเอียดของเนื ้อหา หรื อแม้ แต่เป็ นการ กําหนดบทบาทของผู้ชมเพื่อให้ ผ้ ชู มเสมือนหนึง่ กําลังเข้ าไปอยูใ่ นเกณฑ์นนๆ ั ้ อย่างใกล้ ชิด ซึง่ ภาษาภาพเป็ นส่วนสําคัญที่เกี่ยวข้ อง กับการรับรู้ทางจิตวิทยาของกลุม่ เป้าหมาย ดังนันผู ้ ้ ผลิตรายการโทรทัศน์และผู้ที่มีสว่ นเกี่ยวข้ องกับการใช้ สอื่ โทรทัศน์ ควรมีความเข้ าใจและศึกษาถึงรายละเอียด ของภาษาภาพอย่างลึกซึ ้ง และนําลักษณะต่างๆ ของภาษาภาพมาเลือกใช้ กบั การผลิตรายการโทรทัศน์อย่างเหมาะสมและ ถูกต้ องกับหลักการของภาษาภาพให้ มากที่สดุ ทังนี ้ ้เพื่อถ่ายทอดเนื ้อหาสาระของรายการไปสูก่ ลุม่ เป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ องค์ ประกอบของภาษาภาพ (VISUAL LANGUAGE) ภาษาภาพที่ใช้ เพื่อการผลิตรายการมีหลายแบบลักษณ์ ดังต่อไปนี ้ดังนี ้ 1. ขนาดภาพ (TYPE OF SHOT) 2. การเคลือ่ นกล้ อง (CAMERA MOVEMENT) 3. มุมกล้ อง (CAMERA ANGLE) 4. ทิศทางกล้ อง (CAMERA DIRECTION) 5. จุดแห่งการมองเห็น (POINT OF VIEW) 6. ความต่อเนื่องของภาพ (VISUAL CONTINUITY) 1. ขนาดภาพ (TYPE OF SHOT) ความหมายและความสําคัญของขนาดภาพ ขนาดภาพเป็ นการนําเสนอภาพแทนสายตาหรื อแทนการได้ เห็นของมนุษย์ โดยธรรมชาติมนุษย์จะมองเห็นภาพขนาด ต่างๆด้ วยตาคูเ่ ดียว หากต้ องการเห็นภาพใหญ่จะต้ องเดินเข้ าไปดูใกล้ ๆ วัตถุนนๆ ั ้ แต่ในการผลิตรายการกล้ องโทรทัศน์จะ นําเสนอภาพขนาดต่างๆสูก่ ลุม่ เป้าหมาย เช่นภาพขนาดใหญ่ ภาพขนาดกลาง และ ภาพขนาดเล็ก โดยที่กลุม่ เป้าหมายไม่ต้อง เคลือ่ นที่ ซึง่ จุดมุง่ หมายของการนําเสนอขนาดภาพนัน้ เพื่อสร้ างการเปรี ยบเทียบการรับรู้และการเชื่อมโดยงในการเห็นภาพของ กลุม่ เป้าหมาย รวมทังเพื ้ ่อเป็ นการสร้ างความต่อเนื่องของช่วงเหตุการณ์ตา่ งๆ ที่เกี่ยวข้ องกับการนําเสนอเนื ้อหาสาระในรายการ


ภาษาของสื่อโทรทัศน (TV Language) และคําศัพทเทคนิคเฉพาะทางในการผลิตรายการโทรทัศน

และ

|6

ลักษณะของขนาดภาพ ขนาดภาพที่ใช้ เพื่อการนําเสนอรายการโทรทัศน์มีหลายขนาด ภาพแต่ละขนาดมีจดุ มุง่ หมายในการสือ่ ความหมาย เฉพาะเนื ้อหา อารมณ์ หรื อเหตุการณ์ที่แตกต่างกัน กล่าวได้ วา่ ขนาดภาพที่ใช้ ในการผลิดรายการโทรทัศน์เพื่อการสือ่ ความหมาย นัน้ แบ่งได้ 3 ขนาดใหญ่ๆ คือ 1. ภาพระยะไกล (LONG SHOT) 2. ภาพระยะปานกลาง (MEDIUM SHOT) 3. ภาพระยะใกล้ (CLOSE UP SHOT) และภาพทัง้ 3 ขนาด หรื อ 3 ระยะนัน้ มีเกณฑ์การเปรี ยบเทียบไม่เหมือนกัน ทังนี ้ ้ขึ ้นอยูก่ บั วัตถุที่จะถ่ายทําว่าเป็ นบุคคลหรื อ สถานที่ ซึง่ ได้ มีการกําหนดขนาดของภาพมาตรฐานขึ ้น โดยยึดเอาขนาดและสัดส่วนร่างกายของคนเป็ นเกณฑ์ ดังนี ้ 1. ภาพระยะไกลมาก (EXTREME LONG SHOT – ELS) เป็ นภาพบุคคลขนาดเต็มส่วนที่เห็นส่วนรวมของร่างกาย ทังหมดตั ้ งแต่ ้ เท้ าจรดศีรษะและเห็นรวมไปถึงบริ เวณพื ้นที่ของฉากหลังทังหมด ้ 2. ภาพระยะไกล (LONG SHOT – LS) เป็ นภาพระยะไกลที่เห็นบุคคลเต็มส่วน ตังแต่ ้ เท้ าจรดศีรษะ แต่ความ กว้ างของฉากหลังและพื ้นที่สว่ นบนและพื ้นที่ด้านล่างลดลง 3. ภาพระยะไกลปานกลาง (MEDIUM LONG SHOT – MLS) ภาพขนาดนี ้เป็ นภาพจากระยะไกลที่มีขนาดปานกลาง แสงดรายละเอียดตังแต่ ้ บริ เวณหัวเข่าขึ ้นไปจรดศีรษะ 4. ภาพระยะปานกลาง หรื อ ภาพขนาดปานกลาง (MEDIUM SHOT – MS) เป็ นภาพที่แสดงรายละเอียดของสัดส่วน ตังแต่ ้ เองหรื อสะโพกจรดศีรษะ 5. ภาพระยะใกล้ ปานกลาง (MEDIUM CLOS SHOT – MCU) เป็ นภาพที่กําหนดตังแต่ ้ เหนือเอวขึ ้นไปจรดศีรษะ 6. ภาพระยะใกล้ (CLOSE UP SHOT – CU) เป็ นภาพขนาดที่กําหนดตังแต่ ้ บริ เวณไหล่จรดศีรษะ 7. ภาพระยะใกล้ มาก (BIG CLOSE UP SHOT – BCU) เป็ นภาพขนาดที่กําหนดเฉพาะใบหน้ า 8. ภาพระยะใกล้ พิเศษ (EXTREME CLOSE UP SHOT – ECU) เป็ นภาพขนาดที่กําหนดเอาเฉพาะจุดใดจุดหนึง่ ของ บริ เวณใบหน้ า เช่น เฉพาะดวงตา เฉพาะริ มฝี ปาก หรื อเฉพาะบริ เวณจมูก เป็ นต้ น ขนาดภาพและการถ่ ายทอดความหมาย ภาพขนาดต่างๆ ดังกล่าวนัน้ เป้ฯตัวกําหนดการรับรู้ความต่อเนื่องของช่วงเหตุการณ์ที่เกิดขึ ้น อีกทังเป็ ้ นการเน้ นหรื อ สร้ างอารมณ์ความรู้สกึ และการสือ่ ความหมายในลักษณะต่างๆ ดังนี ้ 1. ภาพระยะไกล (LONG SHOT) ภาพขนาดนี ้โดยทัวไปมี ้ จดุ มุง่ หมายเพื่อการนําเสนอหรื อการบอกเล่าเกี่ยวกับสถานที่เกิดเหตุการณ์ ภาพขนาดนี ้เป็ น ภาพมุมกว้ างที่บอกรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ๆ มีพื ้นที่กว้ างใหญ่ไพศาลใช้ ในการเปิ ดเรื่ องหรื อเปิ ดฉาก เพื่อบอกผู้ชมว่า เรื่ องราวเกิดขึ ้นที่ไหน บรรยากาศและเหตุการณ์โดยส่วนรวมเป็ นอย่างไร ภาพระยะนี ้มีชื่อเรี ยกอีกอย่างหนึง่ ว่า ESTABLISHING SHOTS หรื อ OPENING SHOT 2. ภาพระยะปานกลาง (MEDIA SHOT) การนําเสนอภาพระยะปานกลาง มีจดุ มุง่ หมายเพื่อแสดงให้ เห็นรายละเอียดของวัตถุที่ถ่ายทําให้ ใกล้ เข้ ามาอีกระยะหนึง่ ซึง่ จะทําให้ เห็นรายละเอียดเพิ่มมากขึ ้น อีกทังเป็ ้ นการเชื่อมโดยงระยะการมองเห็นภาพจากระยะไกลให้ ใกล้ เข้ ามามากขึ ้น การใช้ ภาพขนาดนี ้จะช่วยถ่ายทอดอารมณ์การรับรู้ตอ่ สิง่ นันๆ ้ ได้ ใกล้ ชิดยิ่งขึ ้น ทังภาพบุ ้ คคลและสถานที่


ภาษาของสื่อโทรทัศน (TV Language) และคําศัพทเทคนิคเฉพาะทางในการผลิตรายการโทรทัศน

และ

|7

3. ภาพระยะใกล้ (CLOSE UP SHOT) การนําเสนอภาพขนาดนี ้ มีจดุ มุง่ หมายเพื่อนเน้ นรายละเอียดของสิง่ ๆ นัน้ ให้ โดดเด่นมากขึ ้น ทังในรายละเอี ้ ยดของ วัตถุสงิ่ ของหรื อรายละเอียดเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สกึ ที่แสดงออกทางใบหน้ าของนักแสดงในรายการประเภทละคร ภาพระยะใกล้ นี ้จะช่วยถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สกึ ทาง ใบหน้ า ดวงตา ของผู้แสดงได้ ทีที่สดุ มากกว่าการใช้ ภาพขนาดอื่นๆ การกําหนดขนาดภาพบุคคลในกลุ่มเหตุการณ์ การกําหนดของขนาดภาพบุคคลนัน้ นอกจากจะกําหนดโดยถือเอาสัดส่วนของร่างกายมนุษย์เป็ นเกณฑ์ในการแบ่งและ สามารถแบ่งออกเป็ น 3 ขนาด คือ ภาพระยะไกลมาก ภาพระยะปานกลาง และภาพระยะใกล้ แล้ ว ยังมีการแบ่งและกําหนด ขนาดภาพบุคคลเพื่อให้ เหมาะสม และสะดวกต่อการผลิตรายการ อีกทังเพื ้ ่อให้ เกิดความเข้ าใจตรงกันในการเรี ยกชื่อ และ กําหนดภาพในการถ่ายทํา ซึง่ แบ่งออกเป็ น 3 ลักษณะ คือ 1. ONE SHOT – SINGLE SHOT เป็ นการกําหนดขนาดภาพบุคคลหรื อจําแนกภาพบุคคลที่อยูใ่ นกรอบภาพนันๆ ้ ให้ เป็ นเพียงบุคคลเดียว ทังนี ้ ้เป็ นภาพขนาดไหนก็ได้ เช่น ภาพบุคคลเดียวในกรอบภาพ แต่เป็ นภาพจากระยะไกล ภาพจากระยะ ปานกลาง หรื อภาพจากระยะใกล้ การกําหนดภาพขนาดนี ้ หมายความว่า ในเหตุการณ์ใดๆ ก็ตาม เมื่อผู้กํากับรายการสัง่ ให้ ผ้ ู ควบคุมกล้ องจับภาพเป็ น SINGLE SHOT แล้ ว ผู้ควบคุมกล้ องจะต้ องจับภาพให้ มีเพียงบุคคลเดียวในกรอบภาพนันๆ ้ 2. TWO SHOT เป็ นการกําหนดจํานวนบุคคลในกรอบภาพในเหตุการณ์ใดๆ ภายในฉากให้ มีภาพบุคคลในกรอบภาพ สองคน เช่น รายการประเภทสนทนา ซึง่ บางครัง้ อาจจะตัดภาพเน้ นเฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึง่ แต่เมื่อผู้กํากับรายการสัง่ ให้ จบั ภาพเป็ น TWO SHOT แล้ ว ผู้ควบคุมกล้ องจะต้ องจับภาพบุคคลสองคนในกรอบภาพทันที ภาพลักษณะนี ้มีจดุ มุง่ หมายเพื่อให้ รายละเอียดเกี่ยวกับปฏิกิริยาโต้ ตอบและรายละเอียดเกี่ยวกับการแสดงออกของบุคคลสองคน 3. GROUP SHOT เป็ นการกําหนดขนาดภาพในกรอบภาพใดกรอบภาพหนึง่ ของเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึง่ ให้ มี บุคคลอยูใ่ นกรอบภาพนันตั ้ งแต่ ้ 3 คนขึ ้นไป การกําหนดขนาดภาพเช่นนี ้ มีจดุ มุง่ หมายเพื่อให้ เห็นรายละเอียดของส่วนรวมทัง้ หมาดในการสแดงออกของบุคคลใดๆ ที่ร่วมกันอยูเ่ ป็ นกลุม่ ในเหตุการณ์นนๆ ั้ ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับขนาดภาพ จากการอธิบายถึงภาพขนาดต่างๆ ที่ได้ จากการถ่ายทําระยะต่างๆ ที่มีผลต่อการรับรู้และการสือ่ ความหมาย ได้ แก่ภาพ จากระยะไกล ภาพจากระยะปานกลาง และภาพจากระยะใกล้ ซงึ่ ขอสรุปให้ เห็นถึงความคิดรวบยอดเกี่ยวกับขนาดภาพ ดังนี ้ 1. ขนาดภาพแสดงการเชื่อมโยงการรับรู้ทางสายตา 2. ขนาดภาพสร้ างความต่อเนื่องในการมองเห็น 3. ขนาดภาพช่วยเชื่อมโยงช่วงสําคัญของเหตุการณ์ 4. ขนาดภาพสือ่ ความหมายด้ านเนื ้อหาสาระ 5. ขนาดภาพกําหนด และเสริ มความคิดรวบยอดของเรื่ อง 6. ขนาดภาพแสดงการเปรี ยบเทียบ 7. ขนาดภาพบอกสถานที่เกิดเหตุ 8. ขนาดภาพแสดงรายละเอียดของบรรยากาศ 9. ขนาดภาพสร้ างความรู้สกึ และอารมณ์ของเรื่ อง 10. ขนาดภาพแสดงการเน้ น ยํ ้า และให้ รายละเอียดเฉพาะแห่ง


ภาษาของสื่อโทรทัศน (TV Language) และคําศัพทเทคนิคเฉพาะทางในการผลิตรายการโทรทัศน

และ

|8

11. ขนาดภาพแสดงการเปรี ยบเทียบระดับของอารมณ์การรับรู้ จะเห็นว่าการใช้ ภาษาภาพในส่วนที่เกี่ยวข้ องกับขนาดภาพสามารถสร้ างอารมณ์ และถ่ายทอดเนื ้อหาเพื่อสือ่ ความหมาย ในลักษณะต่างๆ ได้ อย่างละเอียดอ่อนลึกซึ ้ง การผลิตรายการหรื อการถ่ายทํารายการโทรทัศน์ทกุ ๆ ประเภท จึงควรคํานึงถึง หลักการของภาษาภาพดังกล่าวให้ มากที่สดุ และนํามาใช้ ให้ ถกู ต้ องเหมาะสมซึง่ จะช่วยให้ การนําเสนอรายการโทรทัศน์เป็ นไปอย่าง มีประสิทธิภาพที่สดุ 2. การเคลื่อนกล้ อง (CAMERA MOVEMENT) การเคลือ่ นกล้ องเป็ นองค์ประกอบหนึง่ ของภาษาภาพ เป็ นการเปลีย่ นแปลงลักษณะของภาพที่เกิดขึ ้นจากการ เปลีย่ นแปลงทิศทางและตําแหน่งของกล้ อง ซึง่ ผลจากการเคลือ่ นกล้ องจะทําให้ ภาพแปรเปลีย่ นลักษณะรูปแบบ ขนาดภาพ และ ผลทางการสือ่ ความหมายด้ านเนื ้อหาและภาพที่เกิดจากการเคลือ่ นกล้ องในลักษณะต่างๆ ยังมีผลต่อการสือ่ ความหมายและสร้ าง ผลพิเศษทางการรับรู้เชิงจิตวิทยาอีกด้ วย การผลิตรายการโทรทัศน์ที่ใช้ วิธีการเครื่ องกล้ องที่ถกู ต้ องตามหลักการสือ่ ความหมายนัน้ จะเป็ นการนําเสนอภาษาภาพ ที่มีประสิทธิผลต่อการรับรู้ของกลุม่ เป้าหมาย ซึง่ การเคลือ่ นกล้ องมีรูปแบบที่นํามาใช้ ในการถ่ายทํา 4 วิธี คือ 2.1 การแพน (PANNING) 2.2 การทิลท์ (TILTING) 2.3 การดอลลี่ (DOLLYING) 2.4 การทรัค (TRUCKING) 2.5 กล้ องสัน่ (JERK) 2.1 การแพน (PANNING) การแพน เป็ นวิธีการเครื่ องกล้ องโดยวิธีการผันหน้ ากล้ องหรื อการส่ายหน้ ากล้ องไปในแนวนอนหรื อแนวราบ โดยการ ส่วนหน้ ากล้ องให้ อยูใ่ นระดับสายตา (EYE LEVEL) การผันหน้ ากล้ องกระทําได้ 2 ลักษณะคือ การแพนกล้ องไปทางซ้ าย (PAN LEFT) และการแพนกล้ องไปทางขวา (PAN RIGHT) PANNING เป็ นการส่ายหน้ ากล้ องที่เคลือ่ นไหวเฉพาะในส่วนที่เป็ น ตัวกล้ อง (LENS & CAMERA HEAD) เท่านัน้ ส่วนขาตังกล้ ้ องจะไม่เคลือ่ นไหว

PAN RIGHT

PAN LEFT

จุดประสงค์ของการเคลือ่ นกล้ องแบบ PANNING นี ้ หากพิจารณาในแง่ของการสือ่ ความหมายและการรับรู้แล้ ว มี จุดประสงค์เพื่อให้ เกิดการเชื่อมโยงเนื ้อหา หรื อเพื่อสร้ างความสัมพันธ์ระหว่างสิง่ ที่ถ่ายทํา ซึง่ เป็ นวัตถุใดๆ หรื อบุคคลใดๆ 2 สิง่


ภาษาของสื่อโทรทัศน (TV Language) และคําศัพทเทคนิคเฉพาะทางในการผลิตรายการโทรทัศน

และ

|9

ที่อยูค่ นละจุดหรื ออยูห่ า่ งกันแต่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้ องในเหตุการณ์เดียวกัน การใช้ วิธีการเชื่อมโยงและสร้ างความสัมพันธ์ใน เหตุการณ์นนเป็ ั ้ นวิธีการสร้ างความต่อเนื่องของเหตุการณ์ให้ เข้ ากันอย่างกลมกลืนและสมบูรณ์กว่าการใช้ วิธีการตัดภาพโดยตรง (DIRECT CUT) และโดยทัว่ ไปนัน้ การแพนหรื อการส่ายหน้ ากล้ องไปในแนวระดับซ้ ายหรื อขวานัน้ กระทําได้ หลายลักษณะ ดังนี ้ (1) FOLLOWING PAN FOLLOWING PAN เป็ นวิธีการแพนกล้ องตามวัตถุที่กําลังเคลือ่ นที่อยู่ การแพนแบบนี ้จะต้ องคอยระมัดระวังเกี่ยวกับ ความเร็ วของสิง่ ที่เคลือ่ นไหวเป็ นหลัก และต้ องคํานึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างตําแหน่งของกรอบภาพ (FRAME) กับการ เคลือ่ นไหวของสิง่ ที่ถ่ายทํา คือจะต้ องผันหน้ ากล้ องจับการเคลือ่ นไหวของสิง่ ที่ถ่ายให้ อยูภ่ ายในกรอบภาพ ทังนี ้ ้เพื่อรักษาความ ต่อเนื่องของเหตุการณ์และเนื ้อหาไว้ โดยตลอด (2) SUPVEYING PAN SUPVEYING PAN เป็ นวิธีการส่วยหน้ ากล้ องไปในแนวระดับซ้ ายหรื อขวาอย่างช้ าๆ ให้ ความรู้สกึ เหมือนกับติดตาม สํารวจตรวจตราเหตุการณ์ตา่ งๆ ที่เกิดขึ ้นตามทิศทางของการส่วยหน้ ากล้ องนัน้ การแพนหรื อการส่วยหน้ ากล้ องลักษณะนี ้เปรี ยบ ได้ กบั การที่เราผันใบหน้ ากวาดสายตาไปยังทิศทางใดทิศทางหนึง่ โดยปกติแล้ วการใช้ SURVEYING PAN นันใช้ ้ กบั วัตถุที่อยูก่ บั ที่ เช่น ทิวทัศน์ เป็ นต้ น (3) INTERUPTED PAN INTERUPTED PAN เป็ นวิธีการแพนแบบเป็ นระยะๆ คือ เป็ นการส่ายหน้ ากล้ องเป็ นช่วงระยะยาวแต่นิ่มนวล โดย บางช่วงเวลาอาจจะหยุดการแพนเพื่อจับภาพวัตถุใดวัตถุหนึง่ หรื อสิง่ ที่เกี่ยวข้ องกับเนื ้อหาและเหตุการณ์ของเรื่ องนันๆ ้ จากนัน้ กล้ องจะแพนต่อไปอีก เช่น กล้ องจะแพนตามชายคนหนึง่ ซึง่ เป็ นผู้ร้ายที่เดินอย่างเร่งรี บเบียดฝูงชนเพื่อหนีการติดตามของ เจ้ าหน้ าที่ตํารวจ กล้ องจะแพนตามผู้ร้ายไปเรื่ อยๆและมาหยุดอยูใ่ นขณะที่ผ้ รู ้ ายเดินชนกับผู้หญิงคนหนึง่ ล้ มลง ในช่วงนี ้กล้ องจะ จับภาพเหตุการณ์ที่หญิงคนนันถู ้ กชนล้ มลงและหญิงนันแสดงอารมณ์ ้ ไม่พอใจที่ถกู ชนอยูค่ รู่หนึง่ จากนันกล้ ้ องจะแพนติดตาม ผู้ร้ายต่อไปโดยทิ ้งเหตุการณ์ที่หญิงถูกชนในช่วงนันไป ้ (4) SWISH PAN SWISH PAN เป็ นการแพนหรื อส่วยหน้ ากล้ องไปในแนวระดับซ้ ายหรื อขวาอย่างเร็ ว ซึง่ ภาพที่เกิดขึ ้นจากการแพนกล้ อง แบบนี ้ไม่สามารถมองเห็นได้ อย่างชัดเจน เนื่องจากความเร็ วของการแพนเหนือส่ายหน้ ากล้ องทําให้ ภาพเป็ นเส้ นหรื อเบลอร์ SWISH PAN มีชื่อเรี ยกได้ อีกหลายชื่อ เช่น WHIP PAN, ZIP PAN, BLUR PAN เป็ นต้ น จุดประสงค์ของการใช้ SWISH PAN นัน้ เพื่อการเชื่อมโยงเหตุการณ์จากฉากหนึง่ ไปยังอีกฉากหนึง่ ซึง่ เกิดขึ ้นคนละ สถานที่ แต่วา่ มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้ องทางเนื ้อหาระหว่างกันเป็ นการเชื่อมโยงจุดสนใจระหว่างฉากเพื่อจุดมุง่ หมายต่างๆ ดังนี ้ 1. เพื่อการเชื่อมโยง (TRANSITTION) ระหว่าง SUBJECT ที่มีความแตกต่างกันอยูใ่ นเหตุการณ์เดียวกัน 2. เพื่อการเชื่อมโยงเรื่ องราวและเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้ องเป็ นแนวเดียวกัน 3. เพื่อเปลีย่ นแปลงจุดสนใจเหตุการณ์หนึง่ ไปสูอ่ ีกเหตุการณ์หนึง่ เช่น จากจุดเริ่ มต้ นของการตีกอล์ฟไปยังจุดที่ลกู กอล์ฟลงหลุม 4. เพื่อการแสดงเหตุที่เกิด และผลที่ตามมาของเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึง่ เช่น จากจุดที่เด็กเตะลูกฟุตบอล และ SWISH PAN อย่างรวดเร็ วมายังจุดที่ลกู ฟุตบอลกระทบกระจกหน้ าต่างแตก


ภาษาของสื่อโทรทัศน (TV Language) และคําศัพทเทคนิคเฉพาะทางในการผลิตรายการโทรทัศน

และ

| 10

5. เพื่อสือ่ ความหมายเกี่ยวกับช่วงเวลา ที่เปลีย่ นแปลงไปของเหตุการณ์ใดเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึง่ เช่น จากจุดที่นกั วิ่งเริ่ มออกจากจุดเริ่ มแล้ ว SWISH PAN ไปยังจุดที่กําลังจะเข้ าเส้ นชัย การใช้ วิธีการสือ่ ความหมายจากภาษาภาพด้ วยการใช้ SWISH PAN นัน้ โดยสรุปแล้ วมีจดุ มุง่ หมายเพื่อการเชื่อมโยง เหตุการณ์หรื อเพื่อสร้ างความต่อเนื่องระหว่างฉากที่มีความสัมพันธ์ซงึ่ กันและกันอย่างรวดเร็ ว 2.2 การทิลท์ (TILTING) TILTING เป็ นวิธีการเคลือ่ นกล้ องอีกลักษณะหนึง่ โดยการเงยหน้ ากล้ องขึ ้น หรื อกดหน้ ากล้ องลงในแนวดิ่ง (A TILTING IS A VERTICAL MOVE UP OR DOWN) (1) มีจดุ มุง่ หมายในการใช้ เพื่อติดตามการเคลือ่ นไหวของ SUBJECT ต่างๆ ในแนวดิ่ง ซึง่ การใช้ TILT นี ้มีอยู่ 2 ลักษณะคือ (1) TILT UP ได้ แก่การเงยหน้ ากล้ องขึ ้นจากแนวระดับสายตา

(2)

TILT DOWN ได้ แก่การกดหน้ ากล้ องลงจากแนวระดับสายตา

TILTING เป็ นการเปลีย่ นระดับของมุมกล้ องในแนวดิ่งอย่างต่อเนื่อง ซึง่ อาจจะ TILT ขึ ้นหรื อลงก็ได้ โดยเป็ นการ เคลือ่ นที่เฉพาะส่วนที่เป็ นตัวกล้ องเท่านัน้ ส่วนฐานรองรับกล้ องหรื อขาตังกล้ ้ องจะอยูก่ บั ที่เสมอ ซึง่ ลักษณะของภาพที่เกิดจากการ เคลือ่ นกล้ องแบบ TILT นี ้สามารถสร้ างการสือ่ ความหมายและให้ ผลทางจิตวิทยาการรับรู้ได้ หลายประการ คือ 1. นํามาใช้ เพื่อการสร้ างความต่อเนื่องของอารมณ์ 2. นํามาใช้ เพื่อสร้ างภาพแทนตําแหน่งการได้ เห็นของบุคคล (ภาพแทนสายตา) หรื อตัวละครในเหตุการณ์ของฉากใด ฉากหนึง่


ภาษาของสื่อโทรทัศน (TV Language) และคําศัพทเทคนิคเฉพาะทางในการผลิตรายการโทรทัศน

และ

| 11

3. นํามาใช้ เพื่อการพินิจรายละเอียดของ SUBJECT ต่างๆ เช่น บุคคล วัตถุ สถานที่ 4. นํามาใช้ กบั การสือ่ ความหมาย ในลักษณะการนําผู้ชมเข้ าไปในเหตุการณ์ที่เกิดขึ ้น นอกจากนี ้ภาพที่เกิดจากการใช้ วิธี TILT ยังให้ ความหมายในลักษณะอื่นๆ ดังนี ้ 1. การ TILT จากมุมตํ่าสูม่ มุ สูง จะให้ ความหมายในแง่ของการกําลังติดตามพิเคราะห์ SUBJECT นันๆ ้ อย่างต่อเนื่อง และอย่างตื่นเต้ น หรื อเป็ นการมองอย่างชื่นชม อย่างน่ายกย่อง 2. การ TILT จากมุมสูงสูม่ มุ ตํ่า จะให้ ความหมายในแง่ของการกําลังติดตามพิเคราะห์ SUBJECT นันๆ ้ อย่างต่อเนื่อง แต่ให้ ความรู้สกึ ที่ไม่คอ่ ยดี หากเป็ นการมองบุคคลอาจให้ ความรู้สกึ ในลักษณะการดูหมิ่นเหยียดหยาม ไร้ ความหมาย ไร้ ความสําคัญ เป็ นการสร้ างภาพแทนสายตาของบุคคลหนึง่ ที่กําลังมองบุคคลหนึง่ โดยการ TILT จากศีรษะมายังเท้ า เป็ นต้ น 2.3 การดอลลี่ (DOLLYING) DOLLYING เป็ นการเคลือ่ นกล้ องอีกลักษณะหนึง่ โดยการเคลือ่ นกล้ องเข้ าไปหาวัตถุหรื อเคลือ่ นกล้ องถอยห่างออกจาก วัตถุในทิศทางใดทิศทางหนึง่ ในแนวเส้ นตรง และ แบ่งออกเป็ น 2 ลักษณะ คือ ( 1) DOLLY IN ได้ แก่ การเคลือ่ นกล้ องเข้ าไปหา SUBJECT ใดๆ อย่างช้ าๆ และนิ่มนวลในแนวเส้ นตรงอย่าง ต่อเนื่อง (2) DOLLY OUT ได้ แก่ การเคลือ่ นกล้ องถอยห่างออกจาก SUBJECT ใดๆ อย่างช้ าๆ และนิ่มนวล ในแนวเส้ นตรง อย่างต่อเนื่อง DOLLY เป็ นการเคลือ่ นกล้ องโดยเคลือ่ นไปทังตั ้ วกล้ องและฐานรองรับกล้ องพร้ อมๆ กันซึง่ การเคลือ่ นกล้ องแบบนี ้ ฐานรองรับกล้ องจะต้ องเป็ นแบบที่มีล้อเลือ่ น (DOLLY) เท่านัน้ จึงจะสามารถเคลือ่ นกล้ องในลักษณะนี ้ได้

DOLLY และการสื่อความหมาย ภาพที่เกิดจากการเคลือ่ นกล้ องด้ วยวิธีการ DOLLY นัน้ สือ่ ความหมายได้ หลายลักษณะ ดังนี ้ 1. การใช้ DOLLY IN การใช้ DOLLY IN ให้ ความรู้สกึ เหมือนกับการนําผู้ชมเข้ าไปอยูใ่ นเหตุการณ์ โดยนําผู้ชมค่อยๆเข้ าสูช่ ่วงเหตุการณ์ นันๆ ้ อย่างใกล้ ชิดภาพในลักษณะนี ้ให้ ความรู้สกึ ถึงการเข้ าไปในเหตุการณ์นนๆ ั ้ เป็ นการสร้ างอารมณ์ร่วมให้ เกิดขึ ้นอย่างต่อเนื่อง หรื อสร้ างการสือ่ ความหมายในลักษณะนําผู้ชมเข้ าไปพิจารณาถึงสิง่ ใดสิง่ หนึง่ อย่างพินิจพิเคราะห์ และละเอียดอ่อน 2. การใช้ DOLLY OUT การใช้ DOLLY OUT จะให้ ความรู้สกึ ตรงข้ ามกับการใช้ DOLLY IN ภาพที่ได้ จากการใช้ DOLLY OUT จะให้


ภาษาของสื่อโทรทัศน (TV Language) และคําศัพทเทคนิคเฉพาะทางในการผลิตรายการโทรทัศน

และ

| 12

ความรู้สกึ เหมือนผู้ชมค่อยๆ ถอยออกจากเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึง่ หรื อนําผู้ชมออกมาจาก SUBJECT ใด SUBJECT หนึง่ เป็ นการเบี่ยงเยนความรู้สกึ ของผู้ขมออกมาจากเหตุการณ์หนึง่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ซึง่ เป็ นการสร้ างความหมายในลักษณะที่นําผู้ชม ออกมาจากเหตุการณ์นนๆ ั้ DOLLY OUT ปกติใช้ กบั กรณีที่ดงึ ผู้ชมให้ ถอยห่างออกมาจาก SUBJECT ในขณะที่ SUBJECT อยูก่ บั ที่ไม่มีการ เคลือ่ นไหวใดๆ แต่บางกรณี DOLLY OUT อาจจะใช้ กบั SUBJECT ที่เคลือ่ นไหวเข้ าหากล้ อง ซึง่ ต้ อง DOLLY OUT ถอย ออกมาเพื่อรักษาขนาดของภาพภายในกรอบภาพให้ คงที่ รวมทังถอยออกมาเพื ้ ่อรักษาระยะชัดของภาพให้ คงที่ด้วย 2.4 การทรัค (TRUCKING) เป็ นวิธีการเคลือ่ นกล้ องขันพื ้ ้นฐานอีกลักษณะหนึง่ ที่นํามาใช้ กบั การนําเสนอภาพเพื่อการสือ่ ความหมาย ซึง่ การ TRUCK นี ้จะเป็ นการเคลือ่ นกล้ องไปในแนวขนานกับวัตถุ โดยการเคลือ่ นกล้ องขนานไปทางด้ านขวา (TRUCK RIGHT) และ ด้ านซ้ าย (TRUCK LEFT) การใช้ TRUCK นี ้มุมมองของหน้ ากล้ องจะอยูใ่ นตําแหน่งแนวระดับสายตาเสมอ เช่นเดียวกับมุม ของการแพน การใช้ TRUCK มีจดุ มุง่ หมายเพื่อเสนอรายละเอียดของเหตุการณ์หรื อเพื่อแสดงให้ เห็นถึงรายละเอียดด้ านข้ างของ SUBJECT หรื อของฉากใดฉากหนึง่ อย่างต่อเนื่อง หรื อมีจดุ มุง่ หมายเพื่อการเชื่อมโยงภาพระหว่าง ACTION หนึง่ ไปยังอีก ACTION หนึง่ ที่อยูใ่ นทิศทางอื่นแต่อยูใ่ นเหตุการณ์เดียวกัน ซึง่ การเคลือ่ นกล้ องด้ วยการ TRUCK นี ้ เป็ นการเคลือ่ นไปทังตั ้ ว กล้ องและฐานรองรับกล้ อง โดยภาพที่เกิดขึ ้นจะมีลกั ษณะคล้ ายๆ กับการเดินผ่าน SUBJECT หรื อเดินผ่านเหตุการณ์ใดๆไป ทางซ้ ายหรื อขวา ซึง่ เป็ นวิธีการสร้ างความเคลือ่ นไหวให้ เกิดกับภาพภายในฉากนันๆ ้ เพื่อความน่าสนใจของเหตุการณ์ที่กําลัง เกิดขึ ้น สรุ ปการเคลื่อนกล้ องที่มีผลต่ อการเปลี่ยนแปลงลักษณะภาพ 1. การเคลือ่ นกล้ องเฉพาะตัวกล้ อง แต่ขาตังกล้ ้ องยังอยูก่ บั ที่ ได้ แก่การ PAN 2. การเคลือ่ นทังตั ้ วกล้ องขาตังกล้ ้ อง ได้ แก่ การ DOLLY และการ TRUCK 3. การเปลีย่ นแปลงมุมของภาพให้ กว้ างหรื อแคบอย่างต่อเนื่องได้ แก่ การ ZOOM 2.5 กล้ องสั่น (JERK) JERK กล้ องสัน่ ! เป็ นการเคลือ่ นกล้ องอีกแบบหนึง่ เพราะจะทาให้ ตากล้ องและทีมงานรู้วิธีการทางานได้ ง่ายขึ ้นมากกว่า การวาดเฟรมนิ่งๆ การวาดขอบเฟรมซ้ อนเหลือ่ มกันหลายๆ ชัน้ จะช่วยแสดงความรู้สกึ สัน่ หรื อแกว่งไกวของภาพได้

3. มุมกล้ อง (CAMERA ANGLE) ความสําคัญของมุมกล้ อง มุมกล้ องเป็ นองค์ประกอบหนึง่ ของภาษาภาพ ที่มีความสําคัญต่อการนําเสนอเรื่ องราวต่างๆ ผลของภาพที่เกิดขึ ้นจาก มุมกล้ องในลักษณะต่างๆนัน้ เปรี ยบเสมือนภาพแทนสายตาของกลุม่ เป้าหมายที่ช่วยถ่ายทอดความหมายและอารมณ์ความรู้สกึ ต่างๆ ให้ เกิดขึ ้นรวมทังช่ ้ วยสร้ างผลการรับรู้ทางจิตวิทยาแก่กลุม่ เป้าหมายเป็ นสําคัญ


ภาษาของสื่อโทรทัศน (TV Language) และคําศัพทเทคนิคเฉพาะทางในการผลิตรายการโทรทัศน

และ

| 13

การใช้ มมุ กล้ องได้ อย่างถูกต้ องามหลักการแห่งการรับรู้จะทําให้ การนําเสนอภาพและเนื ้อหาต่างๆนันมี ้ ประสิทธิผล ทางการสือ่ สารทัว่ ๆ ไปและการสือ่ สารเชิงจิตวิทยา ดังนันจึ ้ งควรที่จะศึกษาเรื่ องราวที่เกี่ยวข้ องกับมุมกล้ องให้ ถ่องแท้ ยิ่งขึ ้น ซึง่ มุม กล้ องที่ใช้ ในการถ่ายภาพนันกํ ้ าหนดได้ 2 ลักษณะ คือ มุมกล้ องในแนวดิ่งและมุมกล้ องในแนวนอน การกําหนดมุมกล้ องทางแนวดิ่ง (VERTICAL VIEW POINT) การกําหนดมุมกล้ องในแนวดิ่งแบ่งอ อกเป็ น 5 ระดับ ตามที่มองเห็นได้ แก่ 1. การถ่ายภาพจากมุมสูงมากพิเศษ (EXTREME HIGH ANGLE SHOT) 2. การถ่ายภาพจากมุมสูง (HIGH ANGLE SHOT) 3. การถ่ายภาพในระดับสายตา (EYE LEVEL SHOT) 4. การถ่ายภาพจากมุมตํ่า (LOW ANGLE SHOT) 5. การถ่ายภาพจากมุมตํ่ามากพิเศษ (EXTREME LOW ANGLE SHOT) การกําหนดตําแหน่ง และระดับความสูงตํ่าของกล้ องทางแนวดิ่งหรื อแนวตัง้ สรุปได้ เป็ น 3 ระดับ ดังนี ้ 1. การถ่ายภาพจากมุมตํ่า (LOW ANGLE SHOT) 2. การถ่ายภาพระดับสายตา (EYE LEVEL SHOT) 3. การถ่ายภาพจากมุมสูง (HIGH ANGLE SHOT) 1. การถ่ ายภาพจากมุมตํ่า (LOW ANGLE SHOT) การถ่ายภาพจากมุมตํ่า เป็ นการกําหนดตําแหน่งของกล้ องให้ ตํ่ากว่าระดับขงสิง่ ที่ถกู ถ่าย หรื อกล้ องยูใ่ น ตําแหน่งที่ตํ่ากว่าระดับสายตา ซึง่ มีจดุ มุง่ หมายในการนําเสนอเพื่อกําหนดให้ เป็ นภาพแทนสายตาของกลุม่ เป้าหมาย ตามความเป็ นจริ งของเหตุการณ์ที่กําลังเกิดขึ ้นภายในฉากหรื อการแสดงนันๆ ้ เช่น ผู้แสดงที่ยืนอยูใ่ นตําแหน่งที่ตํ่ากว่า มองขึ ้นไปยังผู้แสดงอีกคนหนึง่ ซึง่ ยืนอยูด่ ้ านบนที่สงู กว่า ซึง่ ผู้แสดงทังสองฝ่ ้ ายอยูใ่ นเหตุการณ์และช่วงเวลาเดียวกัน ดังนันการสร้ ้ างภาพแทนสายตาหรื อการแทนค่าความเป็ นจริ งที่เกิดขึ ้นจากการเห็น จึงเป็ นตัวกําหนดมุมกล้ องตามความ เป็ นจริ งของจุดแห่งการมองเห็น (POINT OF VIEW) ที่เกิดขึ ้นในเหตุการณ์นนๆ ั ้ หรื ออาจสรุปจุดมุง่ หมายของการ ถ่ายภาพจากมุมตํ่าได้ 2 ประการ คือ 1.1 เพื่อการกําหนดภาพที่เป็ นจริ งตามเหตุการณ์ที่กําลังเกิดขึ ้นภายในฉากนันๆ ้ 1.2 เพื่อการกําหนดการสือ่ ความหมายและการสร้ างผลการรับรู้ทางจิตวิทยา การถ่ายภาพมุมตํ่านัน้ จะช่วยถ่ายทอดและสือ่ ความหมายให้ สงิ่ ที่ถกู ถ่ายนันมี ้ ความยิ่งใหญ่ มีศกั ดิ์ศรี มีพลัง มีอํานาจ มีความขลัง มีความศักดิ์สทิ ธิ์ มีความแข็งแรง มีความมัง่ คง มีความน่าเกรงขาม ซึง่ ลักษณะของภาพที่ถ่าย จากมุมตํ่านี ้จะส่งผลต่อการรับรู้เชิงจิตวิทยาเหมอ หากเหตุการณ์ใดหรื อสถานการณ์ใด ที่ต้องการสร้ างการสือ่ ความหมายและต้ องการกําหนดให้ ผ้ ชู มมีความรู้สกึ ถึงความยิ่งใหญ่ ความมีอํานาจ อิทธิพล ศักดิ์ศรี หรื อให้ เกิดการ ได้ เปรี ยบในสถานการณ์นนๆ ั ้ ต้ องกําหนดมุมกล้ องให้ เป็ นมุมระดับตํ่าเสมอ


ภาษาของสื่อโทรทัศน (TV Language) และคําศัพทเทคนิคเฉพาะทางในการผลิตรายการโทรทัศน

และ

| 14

ระดับองศาของการถ่ ายทําภาพจากมุมตํ่า การถ่ายภาพมุมตํ่า ให้ ยดึ เอาองศาของการเงยหน้ ากล้ องขึ ้นทํามุมกับ SUBJECT ที่ถกู ถ่ายเป็ นหลัก โดยการ เปรี ยบเทียบกับมุมมองในระดับสายตาปกติ ซึง่ การถ่ายภาพจากมุมตํ่าสามารถแบ่งออกได้ 2 ระดับ คือ 1. LOW ANGLE SHOT 2. VERY LOW ANGLE SHOT LOW ANGLE SHOT LOW ANGLE SHOT ได้ แก่ การถ่ายภาพจากมุมระดับตํ่าที่ยดึ เอามุมในการถ่ายตามการเงยหน้ ากล้ องขึ ้น ทํามุมกับวัตถุที่ถกู ถ่าย ประมาณตังแต่ ้ 20 – 40 องศา ซึง่ เรี ยกการถ่ายภาพที่ได้ จากมุมระดับนี ้ว่า การถ่ายภาพมุมตํ่า VERY LOW ANGLE SHOT VERY LOW ANGLE SHOT ได้ แก่ การถ่ายภาพจากมุมระดับตํ่าที่มีมมุ ในการถ่ายทําประมาณ 50-60 องศา ซึง่ ภาพที่ได้ จากการถ่ายทําในมุมระดับนี ้หากเป็ นภาพอาคารหรื อภาพบุคคล ภาพที่ได้ จะมีลกั ษณะพิเศษทาง PERSPECTIVE ที่ให้ ความรู้สกึ สูงตระหง่านยิ่งใหญ่ มัง่ คง แข็งแรง หรื อเรี ยกภาพที่ได้ จากการถ่ายภาพในมุมระดับนี ้ ว่า ANT EYE VIEW หรื อมุมตํ่าพิเศษ 2. การถ่ ายภาพระดับสายตา (EYE LEVEL SHOT) การถ่ายภาพโดยใช้ มมุ ระดับสายตา เป็ นการกําหนดตําแหน่งของการตังกล้ ้ องอยูใ่ นแนวระดับสายตาปกติ ภาพที่ได้ จากการกําหนดมุมระดับสายตานี ้ จะให้ ความรู้สกึ เหมือนจริ งตามสภาพที่ตามองเห็น ซึง่ การนําเสนอภาพใน มุมระดับสายตานี ้ ผู้ถ่ายภาพจะต้ องรักษาความเป็ นจริ งและความถูกต้ องของทุกๆ สิง่ ทุกๆ อย่างที่ถ่ายทําตามที่ตา มองเห็น โดยเฉพาะต้ องระวังเกี่ยวกับเรื่ องของเส้ นต่างๆ ทังเส้ ้ นในแนวนอน (HORIZONTAL LINE) และเส้ นใน แนวดิ่ง (VERTICAL LINE) เนื่องจากเส้ นต่างๆ จะปรากฏอย่างชัดเจน เช่น เส้ นของแนวขอบฟ้ า เส้ นนอนของอาคาร เส้ นตังของต้ ้ นไม้ เสา ซึง่ หากผู้ถ่ายภาพไม่ระวังในเรื่ องเกี่ยวกันเส้ นบังคับกรอบภาพดังกล่าว จะทําให้ เกิดการบกพร่อง ของภาพขึ ้นได้ เช่น การเอนเอียงไม่ได้ ระดับหรื อเกดอาการผิดสัดส่วนของวัตถุ อาการบิดเบือน (DISTORTION) ของ สิง่ ที่ถ่ายอาจผิดเพี ้ยนไปจากความเป็ นจริ งที่ตามองเห็น 3. การถ่ ายภาพจากมุมสูง (HIGH ANGLE SHOT) การถ่ายภาพจากมุมสูง เป็ นวิธีการถ่ายภาพที่วางตําแหน่งของกล้ องไว้ ในตําแหน่งที่สงู กว่าสิง่ ที่ถกู ถ่าย ตัว กล้ องจะตังอยู ้ บ่ นที่สงู และกดหน้ ากล้ องหรื อเลนส์ให้ เป็ นมุมตํ่าลงมา มุมในการกดหน้ ากล้ องจะกดตํ่าลงเป็ นมุมกี่องศา นันขึ ้ ้นอยูก่ บั จุดมุง่ หมายของการถ่ายทํา และการนําเสนอภาพในลักษณะมุมสูงดังกล่าวมีจดุ มุง่ หมาย ดังนี ้ 3.1 เพื่อถ่ายทอดตามความเป็ นจริ ง ของเหตุการณ์ที่กําลังเกิดขึ ้นตามตําแหน่งแห่งการมองเห็นภายในฉากใด ฉากหนึง่ เช่น ผู้แสดงที่อยูบ่ นที่สงู มองลงไปยังที่ตํ่ากว่า หรื อผู้แสดงคนหนึง่ ซึง่ เป็ นผู้ร้ายกําลังวิ่งหนีตํารวจขึ ้นไปอยูบ่ น บันไดขันที ้ ่สี่ มองลงมายังพื ้นชันล่ ้ างซึง่ เห็นตํารวจกําลังวิ่งตามบันไดขึ ้นไปทังตํ ้ ารวจและผู้ร้ายต่างอยูใ่ นเหตุการณ์ เดียวกันในช่วงเวลาเดียวกัน และภาพของตํารวจที่อยูด่ ้ านล่างนัน้ เป็ นภาพที่เกิดจากความเป็ นจริ งตามตําแหน่งแห่ง


ภาษาของสื่อโทรทัศน (TV Language) และคําศัพทเทคนิคเฉพาะทางในการผลิตรายการโทรทัศน

และ

| 15

การมองเห็นของผู้ร้ายที่อยูบ่ นพื ้นที่ๆ สูงกว่าหรื อเรี ยกว่าเป็ นภาพแทนสายตาของผู้ร้ายที่มองตํารวจจากที่สงู 3.2 เพื่อสร้ างการรับรู้เชิงจิตวิทยา เนื่องจากลักษณะของภาพที่เกิดขึ ้นจากการใช้ มมุ สูงจะส่งผลทางการรับรู้ พิเศษเชิงจิตวิทยาและให้ ความรู้สกึ ว่า SUBJECT ที่ถกู ถ่ายนัน้ อยูใ่ นสภาพที่ออ่ นแอ หมดหวัง สิ ้นหวัง ถูกจํากัด ถูก ครอบงํา ถูกบังคับ หมดทางสู้ ด้ อยศักดิ์ศรี ไม่มีความสําคัญ หรื อภาพที่ได้ จะให้ ความรู้สกึ เหมือนหนึง่ ลดบทบาทของ SUBJECT นัน้ อย่างสิ ้นเชิง ดังนัน้ หากมีจดุ มุง่ หมายในการนําเสนอภาพ เพื่อให้ ได้ ความหมายและความรู้สกึ เชิงจิตวิทยาการรับรู้ เพื่อให้ SUBJECT นันๆ ้ ตกอยูภ่ ายใต้ อิทธิพล มีความอ่อนแอ อ้ างว้ าง ถูกทอดทิ ้ง โดดเดี่ยว หรื อไร้ คณ ุ ค่า แล้ วจะต้ อง นําเสนอภาพที่ได้ จากการถ่ายทําจากการกําหนดมุมกล้ องให้ เป็ นมุมสูงเท่าเสมอ

3.

ระดับองศาของการถ่ ายภาพจากมุมสูง ในทางปฏิบตั ินนได้ ั ้ กําหนดให้ องศาของกล้ องที่กดมุมลงไปยังสิง่ ที่ถ่ายเป็ นเกณฑ์ในการกําหนดมุมระดับต่างๆ ซึง่ การถ่ายภาพจากมุมสูงแบ่งออกได้ 4 ระดับ คือ 1. HIGH ANGLE SHOT HIGH ANGLE SHOT หมายถึง การถ่ายภาพจากมุมระดับสูง ที่มีมมุ ของการถ่ายทําประมาณ 20 – 40 องศา ซึง่ เรี ยกว่า การถ่ายภาพจากมุมสูงปกติ 2. VERY HIGH ANGLE SHOT VERY HIGH ANGLE SHOT หมายถึง การถ่ายภาพจากมุมระดับสูงที่มีมมุ ของการถ่ายทําประมาณ 50 – 60 องศา ซึง่ เรี ยกว่าการถ่ายภาพจากมุมสูงมาก OVERHEAD SHOT OVERHEAD SHOT หมายถึง การถ่ายภาพจากมุมระดับสูงที่มีมมุ ของการถ่ายทําตังแต่ ้ 60 องศาขึ ้นไป โดยที่เลนส์ของกล้ องจะกดลงเป็ นแนวดิ่งกับ SUBJECT ที่ถกู ถ่าย ซึง่ หากเป็ นการถ่ายสิง่ ก่อสร้ างภาพที่ได้ จะเห็นพื ้นที่ ส่วนบน (TOP VIEW) ทังหมด ้ และหากเป็ นภาพบุคคล ภาพที่ได้ จะเป็ นด้ านบนศีรษะทังหมด ้ 4. EXTREME HIGH ANGLE SHOT EXTREME HIGH ANGLE SHOT หมายถึง การถ่ายภาพจากมุมระดับสูงมากพิเศษโดยทัว่ ไปจะกําหนดเอา ระยะห่างระหว่างกล้ องกับสิง่ ที่ถกู ถ่ายเป็ นเกณฑ์ เช่น การถ่ายภาพจากเครื่ องบินที่ติดตัวกล้ องไว้ กบั ส่วนท้ องของ เครื่ องบิน การใช้ มมุ กล้ องระดับสูงมากพิเศษนี ้มุมกดจากเลนส์ของกล้ องจะเป็ นแนวดิ่ง 90 องศา ซึง่ เป็ นการถ่ายภาพ ทางอากาศที่เรี ยกว่า ARIAL SHOT หรื อมีชื่อเรี ยกทัว่ ไปว่า BIRD EYE VIEW การถ่ายภาพจากมุมสูงมากพิเศษนี ้ มี จุดมุง่ หมายโดยทัว่ ไปเพื่อการนําเสนอบรรยากาศ เหตุการณ์ และรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่เกิดเหตุ หรื อเพื่อการ นําเสนอภาพความกว้ างใหญ่ไพศาลไร้ ขอบเขตของสภาพภูมิประเทศโดยภาพรวม ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับมุมกล้ อง 1. มุมกล้ องให้ รายละเอียด และความหมายของเรื่ อง 2. มุมกล้ องสร้ างและกําหนดความคิดรวบยอด 3. มุมกล้ องสร้ างอารมณ์ความรู้สกึ ในลักษณะต่างๆ


ภาษาของสื่อโทรทัศน (TV Language) และคําศัพทเทคนิคเฉพาะทางในการผลิตรายการโทรทัศน

และ

| 16

4. มุมกล้ องสร้ างผลทางการรับรู้เชิงจิตวิทยา 5. มุมกล้ องกําหนด ระดับ ฐานะ ศักดิ์ศรี และ สถานภาพของตัวละคร 6. มุมกล้ องอธิบายเหตุการณ์ที่กําลังเกิดขึ ้น 7. มุมกล้ องอธิบายรายละเอียดของเหตุการณ์ และสถานที่เกิดเหตุ 8. มุมกล้ องสร้ างความลวงตา และสร้ างความต่อเนื่อง 9. มุมกล้ องสร้ างภาพแทนสายตาและสร้ างภาพแทนตําแหน่งแห่งการมองเห็น 4. ทิศทางกล้ อง (CAMERA DIRECTION) ทิศทางกล้ อง (CAMERA DIRECTION) หมายถึง การกําหนดตําแหน่งของกล้ องขณะจับภาพเหตุการณ์ที่กําลังเกิดขึ ้น การกําหนดทิศทางกล้ องมีความสัมพันธ์กบั การเคลือ่ นไหวของ SUBJECT เสมอ ซึง่ กําหนดทิศทางของกล้ องได้ 3 ทิศทาง โดย ยึดเอา SUBJECT ที่ถกู ถ่ายเป็ นหลัก คือ 1. ทิศทางด้ านหน้ า (FRONT DIRECTION) 2. ทิศทางด้ านข้ าง (SIDE DIRECTION) 3. ทิศทางด้ านหลัง (BACK DIRECTION) การกําหนดทิศทางของกล้ องจากด้ านหน้ าและด้ านข้ างของ SUBJECT นัน้ เป็ นการกําหนดการวางตําแหน่งของกล้ อง แต่ละกล้ องในกรณีที่อาจใช้ กล้ องหลายตัวพร้ อมๆ กัน ซึง่ ทิศทางของกล้ องลักษณะนี ้จะต้ องเคลือ่ นไหวและอยูใ่ นองศาของการ เคลือ่ นที่เพียง 180 องศาเท่านัน้ องศาของทิศทางในการเคลือ่ นกล้ องเป็ นมุม 180 องศานัน้ เป็ นการกําหนดทิศทางของกล้ อง ให้ อยูใ่ นแนวเส้ นแกนการแสดง (AXIS OF ACTION) ซึง่ หากเคลือ่ นกล้ องหรื อกําหนดทิศทางของกล้ องข้ ามเส้ นแกนการแสดง เดิน 180 องศา เมื่อใดจะทําให้ เกิดการไขว้ เขวและสับสนต่อการสือ่ ความหมาย เนื่องจากทิศทางของ ACTION หรื อทิศทาง ตําแหน่งของตัวแสดงจะเปลีย่ นไปทันทีจึงควรระมัดระวังและทําความเข้ าใจในเรื่ องของทิศทางกล้ องและเส้ นแกนการแสดงให้ เข้ าใจ ดังนันการถ่ ้ ายทําการแสดงที่ภายในเหตุการณ์มีฉากหลังเป็ นหลักนอกจากจะต้ องคํานึงถึงองศาของเส้ นแกนการแสดง แล้ ว กรณีใช้ กล้ องโทรทัศน์หลายกล้ องร่วมกัน การจับภาพควรคํานึงถึงทิศทางของใบหน้ าและทิศทางที่ผ้ แู สดงเคลือ่ นที่ไปด้ วย ทังนี ้ ้เพื่อการตัดภาพระหว่างกล้ องแต่ละตัวเชื่อมโยงทิศทางการมองหรื อการเคลือ่ นที่ไปของตัวแสดงได้ อย่างถูกต้ อง ในกรณีนี ้หาก วางตําแน่งของทิศทางกล้ องไม่ถกู ต้ อง อาจทําให้ ตดั ภาพเชื่อมต่อทิศทางของผู้แสดงผิดได้ ง่าย เช่น ในกรณีที่ใช้ กล้ อง 2 กล้ อง จับภาพบุคคล 2 คนกําลังหันหน้ าสนทนากัน เหตุการณ์นี ้หากต้ องการตัดภาพของแต่ละกล้ องด้ วยสวิชเชอร์ ให้ เห็นบนจอรับภาพ เป็ นภาพขนาดบุคคลเดียว (SINGLE SHOT) ภาพที่ตดั จากกล้ องทัง้ 2 แต่ละครัง้ จะต้ องให้ คนทัง้ 2 ที่สนทนาหันหน้ าเข้ าหา กัน ซึง่ หมายความว่าองศาและตําแหน่งของกล้ องทัง้ 2 กล้ องจะต้ องไม่เคลือ่ นไหวข้ ามพื ้นที่ๆ เกินมุม 90 องศาของกล้ องตัวใด ตัวหนึง่ เป็ นอันขาด หากเมื่อใดที่ภาพใบหน้ าของผู้สนทนาหันไปในทิศทางเดียวกัน แสดงว่าการกําหนดทิศทางของกล้ องผิดซึง่ เรี ยกว่า การถ่ายผิดคู่ (MISMATCHED SHOT) ซึง่ จะทําให้ เกิดการสับสน สือ่ ความรู้สกึ ผิดธรรมชาติและการสือ่ ความหมายได้ เส้ นแกนการแสดง (AXIS OF ACTION) เนื่องจากการนําเสนอภาพจากกล้ องโทรทัศน์ เป็ นการนําเสนอภาพในลักษณะ 2 มิติ ซึง่ มีฉากหลังเป็ นตัวกําหนด จุดสิ ้นสุดความลึก การเคลือ่ นกล้ องข้ ามทิศทางด้ านข้ างของตัวแสดงออกไปด้ านหลังจะมีผลทําให้ ทิศทางของภาพที่ได้ เปลีย่ นไป


ภาษาของสื่อโทรทัศน (TV Language) และคําศัพทเทคนิคเฉพาะทางในการผลิตรายการโทรทัศน

และ

| 17

หรื อเกิดการกลับข้ างของตําแหน่งของผู้แสดงจากซ้ ายกลายเป็ นขวา ดังนันการถ่ ้ ายทําจึงกําหนดให้ กล้ องอยูใ่ นทิศทางภายในเส้ น แกนการแสดงเสมอ เส้ นแกนการแสดงมีความสําคัญต่อเทคนิคการวางกล้ อง ทังนี ้ ้เพื่อให้ ผ้ ชู มดูภาพอย่างถูกต้ อง เส้ นแกนการแสดงจะถูก กําหนดให้ วางอยูใ่ นแนวขนานกับวัตถุ (SUBJECT) เป็ นมุมตรง 180 องศาเสมอ การจัดวางตําแหน่งของกล้ องไว้ ในทิศทางด้ านหน้ าของเส้ นแกนการแสดง จะทําให้ ภาพของคูส่ นทนา 2 คนหันหน้ าเข้ า หากันอย่างเป็ นความจริ ง และหากใช้ กล้ อง A วางไว้ ในตําแหน่งทิศทางล่วงลํ ้าเข้ าไปด้ านหลังเส้ นแกนการแสดง ภาพที่ได้ จาก กล้ อง A ภาพผู้ชายจะหันหลังให้ กบั ผู้หญิงทันที ซึง่ ผิดหลักแห่งความจริ ง การถ่ ายผิดคู่ (MISMATCHED SHOT) การถ่ายผิดคูเ่ ป็ นผลจากการตัดภาพข้ ามกล้ อง ในกรณีใช้ กล้ องหลายกล้ องและวางตําแหน่งกล้ องไว้ หลายทิศทาง รายการโทรทัศน์ประเภทสนทนานัน้ นอกจากจะกําหนดทิศทางของกล้ องให้ อยูใ่ นพื ้นที่ด้านหน้ าของเส้ นแกนแสดงแล้ ว ยังต้ อง คํานึงถึงหลักแห่งการตัดภาพเชื่อมโยงจากกล้ องแต่ละกล้ องอีกด้ วย แม้ วา่ จะได้ กําหนดทิศทางของกล้ องถูกต้ องแล้ ว หากตัดภาพ เชื่อมโยงผิดคูจ่ ะมีผลทําให้ การสือ่ ความหมายไขว้ เขวได้ ดังตัวอย่างจากภาพบุคคลที่กําลังนัง่ ในแนวเดียวกันและใช้ กล้ อง 3 กล้ องจับภาพ ซึง่ หากตัดภาพที่ได้ จากกล้ อง 1 ไปยังกล้ อง 3 ภาพที่ได้ จะสือ่ ได้ วา่ นายบี ที่อยูใ่ นจอด้ านขวาของกล้ อง 1 กระโดดข้ ามมาอยูใ่ นจอด้ ายซ้ ายของกล้ อง 3 ซึง่ ผิดความจริ ง ดังนันการเชื ้ ่อมต่อทิศทางของภาพในกรณีนี ้ ที่ถกู ต้ องจะต้ องตัดภาพจากกล้ อง 1 ไปยังกล้ อง 2 และกล้ อง 3 ตามลําดับ จึงจะทําให้ ทิศทางของ SUBJECT ไม่เปลีย่ นแปลง และเพื่อไม่ให้ เกิดการผิดพลาดในการตัดภาพผิดคู่ ในกรณีใช้ กล้ อง 2 กล้ องขึ ้นไป มีหลักการการตัดภาพง่ายๆ คือ อย่าตัดภาพข้ ามองศาในการจับภาพของแต่ละกล้ องเกิน 90 องศา โดย ยึดเอามุมการตังฉากกั ้ บเส้ นแกนการแสดงตรงจุดกึ่งกลางเป็ นหลัก 5. จุดแห่ งการมองเห็น (POINT OF VIEW) POINT OF VIEW เป็ นองค์ประกอบที่สาํ คัญต่อการนําเสนอเหตุการณ์และเนื ้อหา การใช้ จดุ แห่งการมองเห็น จะเป็ น การกําหนดให้ ผ้ ชู มหรื อกลุม่ เป้าหมายเข้ าไปร่วมอยูใ่ นเหตุการณ์หรื ออยูน่ อกเหตุการณ์นนๆ ั ้ POINT OF VIEW เป็ นลักษณะของ ภาษาภาพอย่างหนึง่ ที่สอื่ ความหมายหรื อสือ่ เรื่ องราวต่างๆ สูก่ ลุม่ เป้าหมาย โดยทัว่ ไปนันภาพเคลื ้ อ่ นไหวและภาพนิ่ง ที่สอื่ ความหมายหรื อสือ่ เรื่ องราวต่างๆ สูก่ ลุม่ เป้าหมาย โดยทัว่ ไปนันภาพเคลื ้ อ่ นไหวและภาพนิ่งนัน้ ภายในตัวของภาพย่อมเป็ นสือ่ ชนิดหนึง่ ที่บรรจุเอาสารหรื อหรื อเรื่ องราวเข้ าไว้ เพื่อการสือ่ สารไปยังผู้ชม ดังนัน้ POINT OF VIEW จึงเป็ นจุดแห่งการมองเห็น ภาพ ที่สามารถกําหนดความรู้สกึ และบทบาทของผู้ชม (AUDIENCE ROLE) ที่มีตอ่ เหตุการณ์ได้ หลายลักษณะ เนื่องจากการ ชมภาพยนตร์ แต่ละเรื่ องนันหากสั ้ งเกตให้ ดีจะพบว่าบางครัง้ ผู้ชมได้ ถกู กําหนดให้ มีความรู้สกึ เสมือนหนึง่ เข้ าไปร่วมอยูใ่ นเหตุการณ์ ที่เกิดขึ ้นจริ งๆ เช่น ความรู้สกึ ตื่นเต้ น หวิว ผวา สนุกสนาน หวาดเสียว หรื อบางครัง้ ผู้ชมจะถูกกําหนดให้ มีความรู้สกึ ว่าเข้ าไป แอบดูอย่างใกล้ ชิดหรื อบาครัง้ ก็เป็ นเพียงผู้สงั เกตการณ์อยูห่ า่ งๆ เท่านัน้ อารมณ์ความรู้สกึ ต่างๆ ที่เกิดขึ ้นขณะที่ชมภาพยนตร์ นนั ้ เป็ นบทบาทหรื เป็ นจุดแห่งการมองเห็นของผู้ชม ซึง่ ถูกกําหนด โดยภาษาภาพในลักษณะต่างๆ และการที่จะทําให้ ผ้ ชู มเข้ าไปอยูใ่ นตําแหน่งแห่งบทบาทใดๆ ได้ อย่างสมจริ งแค่ไหนนัน้ ขึ ้นอยูก่ บั ความสามารถของการนําเสนอภาพด้ วยลักษณะนันๆ ้ เป็ นหลัก


ภาษาของสื่อโทรทัศน (TV Language) และคําศัพทเทคนิคเฉพาะทางในการผลิตรายการโทรทัศน

และ

| 18

ลักษณะการนําเสนอภาพ ตามจุดแห่ งการมองเห็น (FORMAT OF POINT OF VIEW) 1. OBJECTIVE POINT OF VIEW การนําเสนอภาพในลักษณะนี ้ เป็ นการนําเสนอภาพเหตุการณ์ตา่ งๆที่เปรี ยบเสมือนภาพแทนค่าการมองเห็นโดยทัว่ ของ ผู้ชม โดยที่ผ้ ชู มไม่มีสว่ นร่วมยูใ่ นเหตุการณ์นนๆ ั ้ ผลของภาพในลักษณะ OBJECTIVE POINT OF VIEW นี ้ จะให้ ความหมาย เกี่ยวกับการรายงานเหตุการณ์ตา่ งๆ โดยบอกให้ ทราบว่าเกิดอะไรขึ ้นที่ไหน เกิดขึ ้นเมื่อไร และเกิดขึ ้นอย่างไร ผู้ชมมีความรู้สกึ ธรรมดาๆ เหมือนกับการมองเหตุการณ์ออยูห่ า่ งๆ หรื เป็ นเพียงการสังเกตการณ์เท่านัน้

การนําเสนอภาพในลักษณะนี ้ ได้ แก่ การถ่ายภาพพื ้นฐานทัว่ ๆ ไป ที่มีจดุ มุง่ หมายเพื่อบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ ้น เช่น ภาพจากรายการสารคดีทอ่ งเที่ยว สารคดีชีวิตสัตว์ หรื อสารคดีที่มีเนื ้อหาอื่นๆ โดยกําหนดมุมกล้ อง ทิศทางกล้ อง และขนาด ภาพในลักษณะทัว่ ๆ ไป 2. SUBJECTIVE POINT OF VIEW SUBJECTIVE POINT OF VIEW เป็ นการนําเสนอภาพในลักษณะที่ดงั ผู้ชมเข้ าไปร่วมในเหตุการณ์ที่เกิดขึ ้นจริ งๆ เช่น ตํารวจกําลังขับมอเตอร์ ไซค์ไล่ยิงผู้ร้ายที่กําลังวิ่งเข้ าไปในตรอกแคบๆ อย่างสุดชีวิต ซึง่ มีคนซ้ อนท้ ายเป็ นตํารวจคนหนึง่ กําลังจ้ อง ปื นไปยังผู้ร้าย ภาพเหตุการณ์นี ้ ผู้ถ่ายทําจะต้ องนัง่ ถ่ายภาพในตําแหน่งของตํารวจที่นงั่ ซ้ อนท้ ายรถจักรยานยนต์ซงึ่ ต้ องนัง่ ซ้ อน ท้ ายคนขับอยูใ่ นตําแหน่งเดียวกับปื น กล้ องจะสร้ างภาพแทนสายตาของผู้ชมให้ มีความรู้สกึ ว่าเป็ นเสมือนมือปื นที่กําลังติดตามยิง ผู้ร้ายเอง


ภาษาของสื่อโทรทัศน (TV Language) และคําศัพทเทคนิคเฉพาะทางในการผลิตรายการโทรทัศน

และ

| 19

ภาพลักษณะนี ้ เป็ นการกําหนดภาพในรูปแบบการดึงผู้ชมเข้ าไปพัวพันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ ้น ซึง่ จะเป็ นการสร้ าง อารมณ์ความรู้สกึ ที่ตื่นเต้ น หวาดเสียว ให้ เกิดขึ ้นกับผู้ชม นอกจากการนําเสนอภาพโดยใช้ รูปแบบของ OBJECTIVE POINT OF VIEW และ SUBJECTIVE POINT OF VIEW แล้ ว ยังมีรูปแบบการนําเสนอภาพอีกลักษณะหนึง่ ที่กําหนดบทบาทของ ผู้ชมให้ เข้ าไปรับรู้เหตุการณ์อย่างใกล้ ชิด แต่ไม่ถึงกับเข้ าไปมีสว่ นร่วมในเหตุการณ์เหมือนรูปแบบของ SUBJECTIVE POINT OF VIEW การนําเสนอภาพในรูปแบบที่ให้ ผ้ ชู มเข้ าไปรับรู้อย่างใกล้ ชิด เป็ นวิธีการที่อยูใ่ นลักษณะกํ่ากึ่งระหว่าง OBJECTIVE POINT OF VIEW และ SUBJECTIVE POINT OF VIEW เป็ นการใช้ เทคนิคของการวางตําแหน่งและทิศทางของกล้ อง โดยทัว่ ไปจะใช้ กบั ฉกหรื อเหตุการณ์ที่มีผ้ แู สดงสองคนกําลังสนทนากันอยู่ กล้ องจะถ่ายผ่านไหล (OVER SHOULDER SHOT) ของผู้แสดงคนหนึง่ ไปยังใบหน้ าของอีกคนหนึง่ ที่มองมายังทิศทางของคูส่ นทนา แต่ไม่มองตรงมาที่กล้ องซึง่ ภาพในลักษณะนี ้จะ สร้ างให้ ผ้ ชู มเกิดความรู้สกึ เหมือนกับได้ อยูใ่ กล้ ชิดเหตุการณ์ที่ผ้ แู สดงสองคนสนทนากันอยู่ การนําเสนอภาพลักษณะที่ดงึ ผู้ชมเข้ าไปมีสว่ นรับรู้อย่างใกล้ ชิดนี ้ ส่วนใหญ่จะกําหนดมุมกล้ องและทิศทางกล้ อง ด้ วย การถ่ายผ่านศีรษะหรื อผ่านไหลบุคคลหนึง่ ไปยังสิง่ ที่ต้องการจะถ่าย ซึง่ รูปแบบการถ่ายทําแบบนี ้จะใช้ กบั เหตุการณ์ที่มีบคุ คล 2 คน หรื อมากกว่าก็ได้ 6. ความต่ อเนื่องของภาพ (CONTINUITY) ความหมายของความต่ อเนื่อง ความต่อเนื่อง หมายถึง ความสัมพันธ์เชื่อมโยงอย่างกลมกลืน ของเหตุการณ์ตา่ งๆ (EVENTELY) จังหวะ (RHYTHM) ลักษณะภาพ (TYPE OF SHOT) เนื ้อหา (CONTENT) และช่วงเวลา (TIME & SPACE) ความต่อเนื่องเป็ นภาษาภาพอย่างหนึง่ ที่ใช้ เพื่อการเชื่อมโยงเนื ้อหาหรื อเรื่ องราวที่นําเสนอให้ กลมกลืนต่อการสร้ างการ รับรู้เกี่ยวกับช่วงเวลาของเหตุการณ์ตา่ งๆที่นําเสนอ หากการนําเสนอรายการโทรทัศน์ใดๆ ขาดความต่อเนื่องของเนื ้อหา ภาพ ช่วงเวลา หรื อ เหตุการณ์แล้ ว รายการโทรทัศน์นนๆ ั ้ ก็จะเป็ นรายการโทรทัศน์ที่สมบูรณ์ไม่ได้ อย่างแน่นอน แบบของความต่ อเนื่อง ความต่อเนื่อง เป็ นภาษาภาพที่มีรูปแบบในการนําเสนอหลายลักษณะ โดยแบ่งความต่อเนื่องได้ 3 ลักษณะ ดังนี ้ 1. ความต่อเนื่องที่เกี่ยวกับภาพ (PICTORIAL CONTINUITY) 2. ความต่อเนื่องที่เกี่ยวกับช่วงเวลา ระยะเวลา (SPATIAL CONTINUITY) 3. ความต่อเนื่องที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ (EVENT CONTINUITY) แบบลักษณะของความต่ อเนื่อง แบบลักษณะของความต่อเนื่องที่นํามาใช้ สร้ างความต่อเนื่องทางภาพ มีดงั นี ้ 1. CUT 2. FADE 3. DISSOLVE


ภาษาของสื่อโทรทัศน (TV Language) และคําศัพทเทคนิคเฉพาะทางในการผลิตรายการโทรทัศน

และ

| 20

4. WIPE 5. DE FOCUS 6. RE-FOCUS 7. SWISH PAN CUT CUT เป็ นภาษาภาพที่นํามาใช้ เพื่อการสร้ างความต่อเนื่องทางภาพ โดยมีรูปแบบหรื อลักษณะเป็ นการตัดภาพจากภาพ หนึง่ ไปสูอ่ ีกภาพหนึง่ หรื อตัดภาพจากขนาดหนึง่ ไปยังภาพอีกขนาดหนึง่ ซึง่ เรี ยกว่าเป็ นการตัดภาพระหว่าง SHOT หรื อตัดภาพ ระหว่างเหตุการณ์ การใช้ CUT นันมี ้ จดุ มุง่ หมายเพื่อการเชื่อมโยงให้ เกิดความต่อเนื่องด้ านขนาดภาพ ซึง่ อยูใ่ นช่วงเวลาและเหตุการณ์ เดียวกันในฉากใดฉากหนึง่ ซึง่ จะทําให้ เกิดการสือ่ ความหมายด้ านเนื ้อหาอย่างต่อเนื่อง และการสร้ างความต่อเนื่องด้ วย CUT นี ้ แบ่งออกได้ หลายลักษณะดังนี ้ 1. CUT IN 2. CUT AWAY 3. DYNAMIC CUT 4. CROSS CUT 5. INSERT CUT CUT IN CUT IN ได้ แก่ ลักษณะการตัดภาพระหว่าง SHOT หรื อตัดภาพระหว่างขนาดภาพที่มีขนาดที่แตกต่างกัน เป็ นการตัด ภาพที่นําไปสูร่ ายละเอียดของเหตุการณ์ วัตถุ หรื อสิง่ ของที่มีความสัมพันธ์ในเนื ้อหาซึง่ กันและกัน โดยเป็ นการตัดภาพจาก ภาพรวมไปสูร่ ายละเอียดที่เป็ นย่อย ทังนี ้ ้เพื่อสร้ างความชัดเจนหรื อเป็ นการเพิ่มรายละเอียดของสิง่ ๆนัน้ การใช้ CUT IN นี ้จะ เป็ นการช่วยเพิ่มระดับอารมณ์ ความรู้สกึ และการรับรู้ของกลุม่ เป้าหมายให้ เด่นชัดยิ่งขึ ้น เช่น การใช้ CUT IN กับรายการ ประเภทการสาธิต ที่ต้องการนําเสนอรายละเอียดของวัสดุ สิง่ ของบางอย่าง เป็ นต้ น CUT AWAY CUT AWAY ได้ แก่ ลักษณะของการตัดภาพแทรกเหตุการณ์ โดยการตัดภาพจาก SHOT ใด SHOT หนึง่ เข้ ามา แทรกเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึง่ ที่กําลังดําเนินเรื่ องอยูแ่ ละเป็ นเหตุการณ์หลักของเรื่ อง ซึง่ ภาพที่ตดั มาแทรกเหตุการณ์หลักของ เรื่ องนัน้ แม้ จะเป็ นช่วงสันๆ ้ แต่ภาพที่ตดั มาแทรกนันมี ้ ความเกี่ยวข้ องสัมพันธ์กบั เนื ้อหาของเรื่ องนันๆ ้ ซึง่ จุดมุง่ หมายหลักในการ ใช้ CUT AWAY นัน้ เพื่อการเบี่ยงเบนความสนใจของผู้ชม ให้ ออกไปจากเรื่ องราวของเหตุการณ์หลักซึง่ กําลังดําเนินอยูช่ วั่ ขณะหนึง่ จากนันจึ ้ งตัดภาพกลับมาที่ฉากหลักเพื่อดึงผู้ชมให้ กลับเข้ าสูเ่ หตุการณ์เดิม ซึง่ การใช้ CUT AWAY นี ้จะเป็ นสร้ าง เสริ มความสัมพันธ์ด้านเนื ้อหาให้ สมบูรณ์ยิ่งขึ ้น ตัวอย่างการใช้ CUT AWAY ได้ แก่ การแข่งขันฟุตบอลระหว่างทีมชาติไทยและทีมชาติเกาหลี ณ ราชมังคลาสถาน ซึง่ กล้ องได้ นําเสนอภาพการแข่งขันภายในสนามฟุตบอลที่ตื่นเต้ นเร้ าใจ ผลัดกันรุกผลัดกันรับระหว่างทังสองที ้ ม และในช่วงหนึง่ ศูนย์หน้ าทีมไทยพาบอลเลี ้ยงเดี่ยวลากผ่านกองหลังของทีมเกาหลีใต้ คนแล้ วคนเล่า และเข้ าไปผจญหน้ ากับผู้รักษาประตูของทีม


ภาษาของสื่อโทรทัศน (TV Language) และคําศัพทเทคนิคเฉพาะทางในการผลิตรายการโทรทัศน

และ

| 21

เกาหลีตวั ต่อตัว จากนันศู ้ นย์หน้ าทีมไทยแทงลูกหลบผู้รักษาประตูเกาหลีเข้ าไปตุงตาข่ายอย่างสวยงาม ในช่วงนี ้ภาพจะตัดจาก ช่วงที่ลกู ฟุตบอลเข้ าไปตุงตาข่ายนันกลั ้ บไปเป็ นภาพของผู้ชมชาวไทยที่อยูบ่ นอัฒจรรย์ที่นงั่ ซึง่ กําลังกระโดดโลดเต้ นไชโยโห่ร้อง ด้ วยความดีใจ โดยที่ภาพของผู้ชมฟุตบอลที่แสดงปฏิกิริยาดีใจนี ้จะถูกตัดให้ เห็นเพียงไม่กี่วินาที แล้ วภาพจะถูกตัดกลับไปยัง เหตุการณ์หลักของการแข่งขันที่สนามฟุตบอลอีกครัง้ หนึง่ เห็นภาพผู้เล่นทีมไทยวิ่งรอบสนามและกระโดดกอดกันด้ วยความดีใจ ซึง่ ช่วงเวลาของการตัดภาพจากสนามฟุตบอลไปยังผู้ชมที่กําลังดีใจอยูบ่ นอัฒจรรย์นนเรี ั ้ ยกว่า CUT AWAY DYANMIC CUT DYANMIC CUT เป็ นภาพภาษาภาพพื ้นฐานอีกลักษณะหนึง่ ที่ใช้ เพื่อการสร้ างความต่อเนื่องทางภาพ ช่วงเวลา ฉาก และเหตุการณ์ และสถานที่ การใช้ DYANMIC CUT นันมี ้ จดุ ประสงค์หลักเพื่อการเชื่อมโยงเนื ้อหาของเหตุการณ์ใดเหตุการณ์ หนึง่ เข้ ากับเหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึง่ ที่มีความเกี่ยวข้ องกันในเนื ้อหา การใช้ DYANMIC CUT เพื่อการเชื่อมโยงนี ้ อาจจะใช้ เชื่อมโยงได้ ทงเหตุ ั ้ การณ์ที่อยูใ่ นช่วงเวลาเดียวกันหรื อเหตุการณ์ที่ตา่ งช่วงเวลากัน แต่ที่สาํ คัญที่สดุ นันเหตุ ้ การณ์ตา่ งๆที่ใช้ DYANMIC CUT เป็ นตัวเชื่อมโยงนันจะต้ ้ องมีความสัมพันธ์กนั ในเนื ้อหาเสมอ นอกจากนี ้ DYANMIC CUT อาจจะใช้ สอื่ ความหมายเพื่อการเปลีย่ นแปลงเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้ องกับการล่วงเลยไปของเวลา เช่นจากเหตุการณ์และช่วงเวลาหนึง่ ที่ตวั ละคร ตัวหนึง่ อยูใ่ นวัยเด็ก แล้ วใช้ DYANMIC CUT ตัดภาพเปลีย่ นไปเชื่อมโยงกับเหตุการณ์อีกช่วงเวลาหนึง่ ที่เด็กคนนันเป็ ้ นหนุม่ วัย 20 ปี เป็ นต้ น รูปแบบการใช้ DYANMIC CUT DYANMIC CUTมีชื่อเรี ยกอีกอย่างหนึง่ ว่า INVISIBLE CUT แบ่งเป็ น 3 ลักษณะ คือ 1. การใช้ DYANMIC CUT เชื่อมโยงเหตุการณ์ด้วยภาพ 2. การใช้ DYANMIC CUT เชื่อมโยงเหตุการณ์ด้วยเสียง 3. การใช้ DYANMIC CUT เชื่อมโยงเหตุการณ์ด้วยภาพและเสียง ตัวอย่ างการใช้ DYANMIC CUT เพื่อเชื่อมโยงภาพและเสียง ในเหตุการณ์และฉากๆ หนึง่ ตํารวจยศ รตอ . คนหนึง่ ยืนถือปี นเดินไปมาอย่างอารมณ์เสีย ที่ไม่สามารถจับคนร้ าย ปล้ นร้ านทองได้ และ รตอ. คนนี ้ได้ ยกปื นขึ ้นเล็งตรงมายังกล้ องซึง่ กําลังจับภาพลํากล้ องของปื นกระบอกนันเป็ ้ นภาพขนาดใกล้ มากพร้ อมกับมีคําพูดของ รตอ . ผู้นนว่ ั ้ า “ถ้ าเจอมึงอีกครัง้ ละก้ อ มึงเสร็ จกูแน่ไอ้ เสือสัก ” ขณะนันภาพตั ้ ดไปรับภาพที่ปืนอีก กระบอกหนึง่ ซึง่ เป็ นภาพขนาดใกล้ มากซึง่ ภาพอยูใ่ นตําแหน่งและทิศทางกล้ องที่จบั ภาพปื นของ รตอ .คนนัน้ พร้ อมกับมีคําพูด ของโจรปล้ นร้ านทองที่ชื่อว่าเสือสักพูดขึ ้นมาว่า “ไอ้ สารวัตรกู้ถ้ากูเจอมึงอีกละก้ อ ไม่มงึ ก็กตู ้ องตายกันไปข้ างหนึง่ ” พร้ อมกับซูม ภาพออกให้ เห็นอีกฉากหนึง่ ซึง่ เป็ นที่หลบซ่อนของแก๊ งโจรปล้ นร้ านทอง จากการยกตัวอย่างดังกล่าวไปแล้ วนัน้ จะเห็นว่าในช่วงของการเปลีย่ นภาพกระบอกปื นและคําพูดของสารวัตรจากฉาก ซึง่ เป็ นสถานีตํารวจแห่งหนึง่ มารับภาพกระบอกปื นในตําแหน่งและขนาดภาพเดียวกัน พร้ อมคําพูดของเสือสักหัวหน้ าโจรปล้ นร้ าน ทองซึง่ อยูอ่ ีกสถานที่หนึง่ นัน้ เป็ นการใช้ DYANMIC CUT โดยอาจจะเชื่อมโยงเหตุการณ์ด้วยภาพเพียงอย่างเดียว เชื่อมโยง ด้ วยเสียงอย่างเดียว และหรื ออาจจะเชื่อมโยงด้ วยภาพและเสียงทังสองอย่ ้ างก็ได้


ภาษาของสื่อโทรทัศน (TV Language) และคําศัพทเทคนิคเฉพาะทางในการผลิตรายการโทรทัศน

และ

| 22

CROSS CUT การใช้ CROSS CUT นี ้ มักใช้ กบั เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึง่ ซึง่ กําลังดําเนินเรื่ องอยู่ แล้ วมีเหตุการณ์อื่นๆ ที่ เกี่ยวข้ องกับเหตุการณ์แรกนันเข้ ้ ามาแทรก ซึง่ เหตุการณ์ที่ตดั เข้ ามาแทรกนี ้ จะเป็ นเพียงเหตุการณ์ประกอบเหตุการณ์หลักที่กําลัง ดําเนินเรื่ องอยู่ โดยเหตุการณ์ที่แทรกเข้ ามานี ้จะถูกตัดแทรกในช่วงระยะเวลาสันๆ ้ และจะถูกตัดแทรกเป็ นช่วงๆ สลับไปมากับ เหตุการณ์แรกหรื อเหตุการณ์หลักอย่างต่อเนื่อง ดังนันเหตุ ้ การณ์ทงสองนั ั้ นจะต้ ้ องเป็ นเหตุการณ์ที่อยูใ่ นช่วงเวลาเดียวกัน มีความ เกี่ยวข้ องกันแต่ตา่ งสถานที่กนั ซึง่ ลักษณะการนําเสนอเหตุการณ์ของสองเหตุการณ์หรื อมากกว่าสองเหตุการณ์ที่มีความเกี่ยวข้ อง กันดังกล่าวนันเรี ้ ยกว่า CROSS CUT และการใช้ CROSS CUT นัน้ ไม่จําเป็ นว่าจะต้ องใช้ ได้ เพียงแค่สองเหตุการณ์เท่านัน้ อาจจะมีเหตุการณ์อื่นๆ อีกหลายๆ เหตุการณ์เข้ ามาแทรกเหตุการณ์หลักนันในเวลาเดี ้ ยวกัน และเชื่อมโยงเหตุการณ์ตา่ งๆ เหล่านันเข้ ้ าด้ วยกันก็ได้ ตัวอย่ างสถานการณ์ การใช้ CROSS CUT จากตัวอย่างเหตุการณ์นี ้ ภาพจะนําเสนอเหตุการณ์ที่ผ้ รู ้ ายฉุดลูกสาวผู้ใหญ่บ้านขึ ้นรถกะบะโฟร์ วิลหนีออกจากหมูบ่ ้ าน บึง่ ไปตามถนนสายหนึง่ อย่างเร่งรี บ ซึง่ เหตุการณ์นี ้จะถือว่าเป็ นเหตุการณ์หลักของเรื่ อง จากนันภาพจะตั ้ ดกลับไปที่บ้านของ กํานันซึง่ มีลกู บ้ านมาแจ้ งความและกําลังจะออกติดตามผู้ร้ายไป จากนันภาพตั ้ ดกลับไปที่สถานีตํารวจทางหลวงแห่งหนึง่ ซึง่ อยูร่ ิ ม ถนนสายหนึง่ ซึง่ ผู้เห็นเหตุการณ์มาแจ้ งว่า มีคนร้ ายฉุดผู้หญิงคนหนึง่ เข้ าป่ าไป โดยทิ ้งรถไว้ ข้างทาง เมื่อตํารวจได้ รับแจ้ งก็รีบ ขึ ้นรถพร้ อมกําลังตํารวจไปยังจุดที่มีผ้ มู าแจ้ งความทันที ภาพตัดกลับไปที่ผ้ รู ้ ายที่กําลังฉุดลากลูกสาวผู้ใหญ่บ้านเข้ าไปในป่ า โดย ลูกสาวผู้ใหญ่บ้านพยายามดิ ้นรนขัดขืนตลอดเวลา ภาพตัดกลับไปที่กํานันพาลูกบ้ านมาพบรถจิ๊บของผู้ร้ายข้ างทางและพา ลูกบ้ านลุยป่ าเข้ าไป ภาพตัดกลับไปที่ตํารวจมาถึงจุที่ผ้ รู ้ ายทิ ้งรถไว้ และพากําลังเจ้ าหน้ าที่บกุ เข้ าไปในป่ า ภาพตัดกลับมาที่ผ้ รู ้ าย พาลูกสาวผู้ใหญ่บ้านเข้ าถึงกระท่อมกลางป่ าหลังหนึง่ แล้ วจับลูกสาวผู้ใหญ่บ้านมัดไว้ ในกระท่อมและกําลังจะทําอนาจาร ภาพ ตัดกลับมายังกํานันและลูกบ้ านและตํารวจมาถึงบริ เวณกระท่อมหลังนันและล้ ้ อมไว้ พร้ อมกับประกาศให้ ผ้ รู ้ ายปล่อยตัวลูกสาว ผู้ใหญ่บ้านและออกมามอบตัวต่อเจ้ าหน้ าที่เสีย จากสถานการณ์สมมติซงึ่ เป็ นตัวอย่างของการใช้ CROSS CUT ดังกล่าวนัน้ จะเห็นว่าภาพจะตัดกลับไปมาระหว่าง เหตุการณ์ที่เกิดขึ ้นอย่างตื่นเต้ น ซึง่ เป็ นส่วนที่มีความเกี่ยวข้ องกันและเกิดขึ ้นในช่วงเวลาเดียวกัน โดยมีเหตุการณ์หลักซึง่ เป็ น THEME หลักของเรื่ อง แล้ วมีสถานการณ์อื่นๆ เข้ ามาประกอบ เพื่อสร้ างความสมบูรณ์ให้ เกิดขึ ้นกับเนื ้อหา โดยใช้ CROSS CUT เป็ นตัวเชื่อมโยงเหตุการณ์ตา่ งๆ เหล่านันเข้ ้ าด้ วยกัน

FADE FADE เรี ยกในภาษาไทยได้ หลายชื่อ เช่น การเลือ่ นภาพ การจางภาพ ซึง่ เป็ นภาษาภาพพื ้นฐานอีกลักษณะหนึง่ ที่มี ความสําคัญต่อการสร้ างความต่อเนื่องทางภาพ ความต่อเนื่องของช่วงเวลา และความต่อเนื่องของเหตุการณ์ จุดมุ่งหมายในการใช้ FADE เพื่อสร้ างความต่ อเนื่อง การใช้ FADE เพื่อสร้ างความต่อเนื่องของรายการโทรทัศน์นนั ้ มีจดุ มุง่ หมายเพื่อสร้ างความต่อเนื่องทางภาพ ความ ต่อเนื่องของช่วงเวลา และความต่อเนื่องของเหตุการณ์ดงั นี ้ 1. ใช้ FADE เพื่อการเปิ ดเรื่ อง การบอกจุดเริ่ มต้ น การเริ่ มต้ นเหตุการณ์ การเริ่ มช่วงเหตุการณ์ของแต่ละฉาก


ภาษาของสื่อโทรทัศน (TV Language) และคําศัพทเทคนิคเฉพาะทางในการผลิตรายการโทรทัศน

และ

| 23

2. ใช้ FADE เพื่อบอกการเปลีย่ นไปของเหตุการณ์ การจบช่วงของฉาก การปิ ดเรื่ อง การจบเรื่ อง การเปลีย่ นไปของ ช่วงเวลา การสิ ้นสุดเหตุการณ์ 3. ใช้ FADEเพื่อบอกการเปลีย่ นแปลงสถานที่ 4. ใช้ FADE เพื่อการเชื่อมโยงช่วงเวลาหนึง่ สูอ่ ีกช่วงเวลาหนึง่ 5. ใช้ FADE เพื่อการเชื่อมโยงเวลา เหตุการณ์ และสถานที่เข้ าด้ วยกัน 6. ใช้ FADE เพื่อสร้ างความต่อเนื่องด้ านภาพและเนื ้อหา แบบลักษณ์ ของการใช้ FADE เพื่อการสื่อความหมาย FADE หรื อการจางภาพ มีรูปแบบในการใช้ 2 รูปแบบ คือ FADE IN และ FADE OUT FADE IN FADE IN หมายถึง การจางภาพเข้ า เป็ นรูปแบบที่ใช้ กบั การสือ่ ความหมายที่ต้องการจะบอกให้ กลุม่ เป้าหมายทราบว่า เรื่ องกําลังเกิดขึ ้น หรื อ เรื่ องกําลังเริ่ มต้ นขึ ้น (INTRODUCTORY) หรื อใช้ ในกรณีที่ต้องการเปิ ดฉากใหม่ สถานที่แห่งใหม่ในช่วง ใดช่วงหนึง่ และนอกจากนี ้ FADE IN ยังใช้ ในความหมายที่เป็ นนามธรรมต่างๆ เช่น การใช้ FADE IN เพื่อแสดงความหมาย ว่ามีการเกิดขึ ้น การอุบตั ิขึ ้น การกําเนิดขึ ้น การปรากฏขึ ้น เป็ นต้ น FADE OUT FADE OUT หมายถึง การจางภาพออก เป็ นรูปแบบที่ใช้ กบั การสือ่ ความหมายในลักษณะตรงข้ างกับ FADE IN คือ ใช้ FADE OUT เพื่อต้ องการที่จะบอกให้ กลุม่ เป้าหมายทราบว่า เรื่ องนันๆ ้ หรื อเหตุการณ์นนๆ ั ้ จบลงแล้ ว เรื่ องนันๆ ้ เหตุการณ์ นันๆ ้ สิ ้นสุดลงแล้ ว มีความถึง การจบสิ ้น การจบฉาก การจบเรื่ อง การจบรายการ เป็ นต้ น และอาจใช้ กบั ความหมายที่เป็ น นามธรรม เช่น หมายถึงการสูญสิ ้น การดับสูญ การยุติการอวสาน เป็ นต้ น DISSOLVE DISSOLVE หรื อเรี ยกว่า การจางภาพซ้ อน ซึง่ ในทางเทคนิคนัน้ DISSOLVE เป็ นลักษณะของภาพที่เกิดขึ ้นจากการ สร้ างภาพแบบ FADE IN และ FADE OUT ซ้ อนกันในช่วงเวลาสันๆ ้ และภาพที่ซ้อนกันในช่วงระยะเวลาสันๆ ้ ที่ปรากฏบน จอโทรทัศน์นนเรี ั ้ ยกว่า การ DISSOLVE การใช้ DISSOLVE เพื่อการสื่อความหมาย DISSOLVE หมายถึง การจางซ้ อน ใช้ สอื่ ความหมายเมื่อต้ องการสร้ างการรับรู้เกี่ยวกับการเปลีย่ นแปลงไปของ ช่วงเวลา เหตุการณ์และสถานที่เป็ นหลัก โดยเฉพาะในเรื่ องของการสร้ างความต่อเนื่องและการเปลีย่ นไปของช่วงเวลานัน้ การใช้ DISSOLVE จะช่วยให้ การสือ่ ความหมายและการรับรู้ของกลุม่ เป้าหมายเป็ นไปอย่างถูกต้ องมากกว่าการใช้ ความต่อเนื่องรูปแบบ อื่นๆ นอกจากจะใช้ DISSOLVE เพื่อสร้ างความต่อเนื่องและเชื่อมโยงเหตุการณ์ รวมทังสร้ ้ างการสือ่ ความหมายเกี่ยวกับการ เปลีย่ นไปของช่วงเวลาแล้ ว DISSOLVE ยังนํามาใช้ กบั การสือ่ ความหมายในกรณีที่จะสร้ างการรับรู้เกี่ยวกับความนุม่ นวล ความ กลมกลืนระหว่างการเปลีย่ นขนาดภาพ และการเปลีย่ น SHOT อีกด้ วย


ภาษาของสื่อโทรทัศน (TV Language) และคําศัพทเทคนิคเฉพาะทางในการผลิตรายการโทรทัศน

และ

| 24

สรุ ปจุดมุ่งหมายในการใช้ DISSOLVE เพื่อการสื่อความหมาย 1. ใช้ DISSOLVE เพื่อแสดงการเปลีย่ นแปลงไปของช่วงเวลาในเหตุการณ์ 2. ใช้ DISSOLVE เพื่อแสดงการเปลีย่ นแปลงของเหตุการณ์ตา่ งๆ 3. ใช้ DISSOLVE เพื่อแสดงความเปลีย่ นไปของสถานที่ 4. ใช้ DISSOLVE เพื่อสร้ างความกลมกลืนระหว่างการเปลีย่ น SHOT ต่างๆ 5. ใช้ DISSOLVE เพื่อสือ่ ความหมายเกี่ยวกับสิง่ ๆ หนึง่ กลายไปเป็ นอีกสิง่ หนึง่ WIPE WIPE เป็ นภาษาภาพพื ้นฐานอีกลักษณะหนึง่ ที่นํามาใช้ สร้ างความต่อเนื่องทางภาพซึง่ จะมีสว่ นช่วยให้ การผลิตรายการ โทรทัศน์มีความสมบูรณ์ด้านการสือ่ ความหมายมากขึ ้น WIPE เป็ นรูปแบบของการกวาดภาพ ซึง่ มีรูปแบบ (PATTERN) ที่ นํามาใช้ ในการกวาดภาพมากมายหลายร้ อยหลายพันรูปแบบ และรูปแบบของการกวาดภาพจะมีมากน้ อยแค่ไหนนันขึ ้ ้นอยูก่ บั การออกแบบของบริ ษัทผู้ผลิตเครื่ องสร้ างผลพิเศษทางภาพเป็ นหลัก นอกจากนี ้ความแตกต่างของรูปแบบและจํานวนแบบของการ กวาดภาพยังขึ ้นอยูก่ บั ระดับของการใช้ งานว่าเป็ นเครื่ องสร้ างผลพิเศษทางภาพที่ผลิตขึ ้นเพื่อใช้ กบั งานระดับสมัครเล่น ระดับกึ่ง อาชีพ ระดับอาชีพ หรื อระดับสถานีวิทยุโทรทัศน์ เป็ นต้ น

3. ใช้

แนวคิดในการใช้ WIPE เพื่อการสื่อความหมาย WIPE เป็ นรูปแบบการกวาดภาพที่นํามาใช้ สอื่ ความหมายในลักษณะต่างๆ ดังนี ้ 1. ใช้ WIPE เพื่อการเปลีย่ นฉากสูฉ่ าก 2. ใช้ WIPE เพื่อการเปลีย่ น SHOT สู่ SHOT WIPE เพื่อการเปลีย่ นแปลงจากสถานที่หนึง่ ไปเป็ นอีกสถานที่หนึง่ 4. ใช้ WIPE เพื่อการเปลีย่ นแปลงจากเหตุการณ์หนึง่ ไปสูอ่ ีกเหตุการณ์หนึง่ 5. ใช้ WIPE เพื่อการเปลีย่ นแปลงเกี่ยวกับช่วงเวลา 6. ใช้ WIPE เพื่อแสดงการเปรี ยบเทียบเกี่ยวกับเหตุการณ์ เนื ้อหา และอื่นๆ

DE - FOCUS DE – FOCUS เป็ นภาษาภาพอีกลักษณะหนึง่ ที่นํามาใช้ เพื่อการสร้ างความต่อเนื่องทางภาพ โดายนํามาสร้ างการรับรู้ และการสือ่ ความหมายเกี่ยวกับการเปลีย่ นไปของช่วงเวลา เหตุการณ์ และสถานที่ นอกจากนี ้ DE – FOCUS ยังนํามาใช้ สอื่ ความหมายในลักษณะของความฝั น ความมึนงง ความไม่ร้ ูสกึ ตัว การขาดสติ ความสับสน หรื อ การระลึกถึงสิง่ ใดสิง่ หนึง่ ลักษณะของภาพที่เกิดจากการใช้ DE – FOCUS DE – FOCUS เป็ นแบบลักษณ์หนึง่ ของผลพิเศษทางภาพ ที่นํามาสร้ างความต่อเนื่องทางภาพ ซึง่ ภาพที่เกิดจากการใช้ DE – FOCUS จะเริ่ มจากภาพ SHOT ใด SHOT หนึง่ หรื อภาพขนาดใดขนาดหนึง่ ทีมีความชัดเจน แล้ วภาพนันจะค่ ้ อยๆ เลือนไปสูค่ วามพร่ามัว (BLUR) จนภาพนันขาดความชั ้ ดเจนในที่สดุ


ภาษาของสื่อโทรทัศน (TV Language) และคําศัพทเทคนิคเฉพาะทางในการผลิตรายการโทรทัศน

และ

| 25

แนวคิดในการใช้ DE – FOCUS เพื่อการสื่อความหมาย 1. ใช้ DE – FOCUS เพื่อการสร้ างความต่อเนื่องเกี่ยวกับเวลา 2. ใช้ DE – FOCUS เพื่อการสร้ างความต่อเนื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์และสถานที่ 3. ใช้ DE – FOCUS เพื่อการเชื่อมโยงเกี่ยวกับเหตุการณ์และสถานที่ 4. ใช้ DE – FOCUS เพื่อสือ่ ความหมายเกี่ยวกับการย้ อนระลึกถึงอดีต 5. ใช้ DE – FOCUS เพื่อสือ่ ความหมายเกี่ยวกับความรู้สกึ ที่สบั สนงุนงง ขาดสติ 6. ใช้ DE – FOCUS เพื่อสือ่ ความหมายเกี่ยวกับการระลึกถึงเหตุการณ์ที่ยงั ไม่เกิดขึ ้น 7. ใช้ DE – FOCUS เพื่อสือ่ ความหมายเกี่ยวกับการสร้ างภาพแทนการจินตนาการ 8. ใช้ DE – FOCUS เพื่อการเปลีย่ นแปลงเกี่ยวกับช่วงเวลา 9. ใช้ DE – FOCUS เพื่อสือ่ ความหมายเกี่ยวกับ การจิตนาการ ควาฝั น การนึกคิด 10. ใช้ DE – FOCUS เพื่อสือ่ ความหมายเกี่ยวกับจิตใต้ สาํ นึกที่ปราศจากการควบคุม RE – FOCUS RE – FOCUS เป็ นภาษาภาพที่นํามาใช้ สร้ างความต่อเนื่องทางภาพ มีจดุ ประสงค์ในการใช้ เพื่อการสือ่ ความหมายใน ลักษณะที่ตรงข้ ามกับการใช้ RE – FOCUS ซึง่ ลักษณะของภาพที่เกิดจากการใช้ RE – FOCUS นัน้ จะเป็ นภาพที่เริ่ มชัดเจน แล้ วค่อยๆ เบลอร์ หรื อพร่ามัวไปในที่สดุ แต่ลกั ษณะของภาพที่เกิดจากการใช้ RE – FOCUS นันจะมี ้ ลกั ษณะของภาพที่เริ่ มจาก พร่ามัวแล้ วภาพนันค่ ้ อยๆกลับมาชัดเจนอีกครัง้ ซึง่ ลักษณะของภาพที่เริ่ มจากพร่ามัวแล้ วชัดเจนนันเรี ้ ยกว่า “IN FOCUS” ส่วน ภาพที่เริ่ มจากชัดเจนแล้ วค่อยๆ เบลอร์ หรื อพร่ามัวแล้ วชัดเจนนัน้ เรี ยกว่า “OUT OF FOCUS” และทัง้ DE – FOCUS และ RE – FOCUS นันเป็ ้ นผลมาจากการปรับวงแหวนระยะชัด (FOCUS RING) ของเลนส์กล้ องโทรทัศน์นนั่ เอง แนวคิดในการใช้ RE – FOCUS เพื่อการสื่อความหมาย RE – FOCUS นํามาใช้ กบั แนวคิดเพื่อการสือ่ ความหมายหลายลักษณะ ดังนี ้ 1. เพื่อการสร้ างความต่อเนื่องของช่วงเวลา เหตุการณ์ และสถานที่ 2. เพื่อสือ่ ความหมายเกี่ยวกับการเปลีย่ นไปของช่วงเวลา 3. เพื่อการเชื่อมโยงระหว่าง SHOT ต่อ SHOT และฉากต่อฉาก 4. เพื่อสือ่ ความหมายเกี่ยวกับการระลึกได้ การหวนระลึกมาสูจ่ ิตสํานึกเดิมที่เป็ นปกติ 5. เพื่อสือ่ ความหมายเกี่ยวกับการรู้สกึ ตัว การคืนสติ การตื่นจากภวังค์ ตื่นจากฝั น 6. เพื่อสือ่ ความหมายเกี่ยวกับการกลับจากช่วงเวลาในอดีตเวลาในปั จจุบนั 7. เพื่อสือ่ ความหมายเกี่ยวกับการเปลีย่ นแปลงจากสิง่ ที่ไม่ดีสสู่ งิ่ ที่ดี

บรรณานุกรม

ศุภางค์ นันตา. (2552). หลักการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ . พิมพ์ครัง้ ที่ 1. มหาสารคาม : สํานักพิมพ์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. สมสุข หินวิมาน และคณะ. ( 2554). ความรู้เบือ้ งต้ นทางวิทยุและโทรทัศน์ . พิมพ์ครัง้ ที่ 1. กรุงเทพมหานคร : สํานักพิมพ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ . สุโขทัยธรรมาธิราช, มหาวิทยาลัย, สาขาวิชานิเทศศาสตร์ . (2550). เอกสารการสอนชุดวิชาการสร้ างสรรค์ รายการโทรทัศน์ หน่ วยที่ 1-5.


ภาษาของสื่อโทรทัศน (TV Language) และคําศัพทเทคนิคเฉพาะทางในการผลิตรายการโทรทัศน

และ

| 26

พิมพ์ครัง้ ที่ 2. นนทบุรี : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สุโขทัยธรรมาธิราช, มหาวิทยาลัย, สาขาวิชานิเทศศาสตร์ . (2539). เอกสารการสอนชุดวิชาการสร้ างสรรค์ และการผลิตภาพยนตร์ เบือ้ งต้ น . พิมพ์ครัง้ ที่ 3. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชวนพิมพ์. สุทิติ ขัตติยะ. (2555). หลักการทางวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ . พิมพ์ครัง้ ที่ 1. กรุงเทพมหานคร : บริ ษัท ประยูรวงศ์พริ น้ ท์ติ ้ง จํากัด. อรนุช เลิศจรรยารักษ์ . (2544). หลักการเขียนบทโทรทัศน์ . พิมพ์ครัง้ ที่ 2. กรุงเทพมหานคร : สํานักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ . อุษณีย์ ศิริสนุ ทรไพบูลย์. (2552). หลักการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ . พิมพ์ครัง้ ที่ 1. กรุงเทพมหานคร : สํานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. Zettl, H. (1976). Television Production Handbook. 3rd. Edition. Wadsworth Publishing Company. Inc. Belmont, California.


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.