ย่อคำพิพากษาคดีศาลโลก

Page 1

วีรพัฒน์ ปริ ยวงศ์ - ย่อคําพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร (พร้อมหมายเหตุทา้ ยคําพิพากษา

หน้าที่ ๑ จาก ๑๔

ย่ อคําพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร พร้ อมหมายเหตุท้ายคําพิพากษา วีรพัฒน์ ปริ ยวงศ์ * * อดีตนักกฎหมายในคดีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ สํานักกฎหมาย Freshfields Bruckhaus Deringer (กรุ งปารี ส). นิติศาสตรมหาบัณฑิต (รางวัล ทุนฟุลไบรท์และวิทยานิพนธ์เกียรตินิยม) มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด. นิติศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. บทย่อนี้ประมวลเพียงคําพิพากษาขั้นเนื้อหาส่ วนหลักฉบับภาษาอังกฤษ (ไม่รวมความเห็นเอกเทศและความเห็นแย้งของผูพ้ พิ ากษา) จากรายงาน คําพิพากษา ICJ Reports 1962 (เลขหน้ามุมบน). คําแปลหมายถึงคําแปลคําพิพากษาเผยแพร่ โดยสํานักทําเนียบนายกรัฐมนตรี วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๐๕ คัดจากเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ. วงเล็บในบทย่อเป็ นคําอธิบายประกอบของผูย้ อ่ โปรดดูเพิ่มที่หมายเหตุทา้ ยคําพิพากษา. บทย่อ เป็ นงานส่ วนตัวทางวิชาการอันอาจปรับปรุ งแก้ไขต่อไป เผยแพร่ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ก่อนครบรอบ ๕๐ ปี คําพิพากษาศาลยุติธรรม ระหว่างประเทศฉบับแรกที่ไทยเป็ นคู่พิพาท. ผูอ้ ่านสามารถคัดลอกเผยแพร่ ได้โดยโปรดระบุที่มา https://sites.google.com/site/verapat/temple. ผูย้ อ่ ขอน้อมรับข้อชี้แนะหรื อคําถามที่ อีเมล verapat@post.harvard.edu หรื อที่กระดานสนทนาบนเว็บไซต์. ใจความคําพิพากษา ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศวินิจฉัยคดีน้ ีแค่เรื่ องเดียว คือ กัมพูชาหรื อไทยเป็ นเจ้าของบริ เวณปราสาทพระวิหาร. ข้ออ้างเรื่ องแผนที่เป็ น แค่เหตุผลประกอบการวินิจฉัยว่าปราสาทฯตั้งอยูใ่ นกัมพูชาหรื อไทย. ศาลสรุ ปว่าคดีน้ ีเกิดจากการตกลงเขตแดนระหว่างไทยและฝรั่งเศส ซึ่ งกัมพูชา สื บสิ ทธิฝรั่งเศสต่อมาภายหลัง ดังนั้นกฎหมายที่ศาลใช้วนิ ิจฉัยก็คือ อนุสญ ั ญาสยาม-ฝรั่งเศสฯ ค.ศ. ๑๙๐๔ ซึ่ งเป็ นข้อตกลงเขตแดนต่างๆซึ่งรวมถึง บริ เวณที่ปราสาทฯตั้งอยู.่ ศาลอธิบายข้อกฎหมายว่า (๑) เมื่ออนุสญ ั ญาฯ มิได้ระบุที่ต้ งั ปราสาทฯไว้ ศาลจึงจําเป็ นต้องตรวจสอบว่าเส้นพรมแดนคือ เส้นใด (๒) แม้อนุสญ ั ญาฯ จะกําหนดให้พรมแดนบริ เวณปราสาทฯเป็ นไปตามเส้นสันปั นนํ้า แต่การกําหนดเส้นพรมแดนให้ชดั เจนนั้นเป็ นหน้าที่ ของคณะกรรมการผสมฝรั่งเศส-ไทย (พหูพจน์) และ (๓) เส้นพรมแดนที่แท้จริ งซึ่ งกําหนดโดยคณะกรรมการผสมฯนั้น สําคัญกว่าเส้นสันปั นนํ้า. ศาลสรุ ปข้อเท็จจริ งว่า คณะกรรมการผสมฯได้กาํ หนดเส้นพรมแดนบริ เวณปราสาทฯเสร็ จแล้ว แต่ไม่ได้บนั ทึกข้อสรุ ปไว้ว่าเส้นนั้นเป็ น อย่างไร. ต่อมาไทยได้ขอให้ฝรั่งเศสทําแผนที่บริ เวณพรมแดนต่างๆ ฝรั่งเศสจึงทําแผนที่ข้ ึนทั้งสิ้ น ๑๑ ฉบับ ซึ่ งหนึ่งในนั้นก็คือแผนที่ภาคผนวก ๑ ต่อท้ายคําฟ้ องกัมพูชา หรื อ Annex I Map (“แผนที่ฯ”) ซึ่ งกัมพูชานํามาอ้างว่าปราสาทฯตั้งอยูใ่ นเขตกัมพูชา . ศาลพิจารณาเกี่ยวกับแผนที่ฯ แบ่งเป็ นสามช่วงเวลา ดังนี้ ๑. ช่วงที่แผนที่ฯถูกทําขึ้น ศาลเห็นว่าแผนที่ฯไม่ผกู พันไทยเพราะฝรั่งเศสทําขึ้นฝ่ ายเดียวและไม่ใช่ผลงานของคณะกรรมการผสมฯ. ๒. ช่วงไทยได้รับแผนที่ฯมาแล้ว (ค.ศ. ๑๙๐๘ – ๑๙๐๙) ศาลเห็นว่า แม้แผนที่ฯจะแสดงชัดว่าปราสาทฯอยูใ่ นเขตกัมพูชา แต่ไทยก็ ยอมรับแผนที่ฯมาโดยไม่สอบถามหรื อทักท้วง. ไทยดูไม่ติดใจว่าฝรั่งเศสทําแผนที่ฯขึ้นฝ่ ายเดียวแต่กลับมีท่าทียอมรับให้แผนที่ฯ เป็ นเสมือนผลงานของคณะกรรมการฯผสม เช่น ไทยได้อธิบายถึงแผนที่ฯว่าเป็ นเรื่ องเกี่ยวกับคณะกรรมการผสมฯ (เอกพจน์) ตามที่กรรมการฝ่ ายไทยขอให้กรรมการฝ่ ายฝรั่งเศสทําขึ้น อีกทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสู งและกรรมการฝ่ ายไทยในคณะกรรมการผสมฯก็ ไม่ทกั ท้วงเกี่ยวกับแผนที่ฯ แม้บนหน้าแผนที่ฯจะมีคาํ ว่า “คณะกรรมการผสม” (เอกพจน์) ปรากฏอยูช่ ดั นอกจากนี้ไทยยังได้ขอให้ ฝรั่งเศสทําสําเนาแผนที่ฯเพิ่มเติมอีก ๑๕ ฉบับเพื่อนําไปแจกจ่ายในประเทศ. ศาลจึงเห็นว่าไทยได้ยอมรับให้แผนที่ฯเป็ นผลจากการ กําหนดเส้นพรมแดนบริ เวณปราสาทฯแล้ว. เมื่อแผนที่ฯลากเส้นชัดเจน ไทยจึงอ้างความเข้าใจผิดไม่ได้. ๓. ช่วงค.ศ. ๑๙๐๙ – ๑๙๕๙ ศาลเห็นว่าเหตุการณ์ตลอด ๕๐ ปี ยืนยันว่าไทยเคยยอมรับแผนที่ฯไปแล้ว เช่น การที่เจ้านายระดับสู งของ ไทยเสด็จเยีย่ มปราสาทฯ และเมื่อฝรั่งเศสต้อนรับโดยชักธงฝรั่งเศสเหนือปราสาทฯ ไทยกลับไม่ทกั ท้วง หรื อ การที่ไทยได้สาํ รวจ ดินแดนบริ เวณปราสาทฯและทําแผนที่ใช้เองใน ค.ศ. ๑๙๓๗ แต่แผนที่ของไทยกลับระบุให้ปราสาทฯอยูใ่ นเขตกัมพูชา. ศาลเห็นว่า ไทยย่อมเสี ยสิ ทธิที่จะปฏิเสธการประพฤติปฏิบตั ิตลอด ๕๐ ปี ซึ่งล้วนยืนยันว่าไทยได้ยอมรับแผนที่ฯ ไปก่อนหน้านั้น . ั ญาฯ เส้นในแผนที่ฯจึงมีสถานะสู งกว่าเส้นสันปั นนํ้า. อีกทั้ง ศาลอธิบายว่า ไทยได้ยอมรับแผนที่ฯให้กลายมาเป็ นส่ วนเดียวกันกับอนุสญ วัตถุประสงค์สาํ คัญของอนุสญ ั ญาฯคือการตกลงให้พรมเแดนแน่นอนและยุติ. สันปั นนํ้าเป็ นเพียงคําสะดวกที่ใช้อธิบายบริ เวณที่ตอ้ งการให้มีการ กําหนดเส้นพรมแดนให้ชดั เจน ซึ่ งในที่สุดไทยและฝรั่งเศสก็ได้ยอมรับนําเส้นตามแผนที่ฯมาเป็ นเส้นพรมแดน. แผนที่ฯจึงไม่ขดั กับอนุสญ ั ญาฯ. ศาลจึงวินิจฉัยว่า ปราสาทฯตั้งอยูใ่ นเขตกัมพูชา ดังนั้นไทยจึงต้องถอนกําลังออกจากปราสาทฯหรื อบริ เวณใกล้เคียงตัวปราสาทฯบนอาณา เขตของกัมพูชา. ศาลยํ้าว่าเรื่ องแผนที่ฯและเส้นพรมแดนนั้นเป็ นเพียงเหตุผลที่นาํ มาสู่ผลวินิจฉัย แต่ไม่ใช่เรื่ องที่ศาลพิพากษาผูพ้ นั ไทย.

หน้าตา “แผนที่เจ้าปัญหา” ประเด็นการเสี ยดินแดน และบทวิเคราะห์น่าสนใจเกี่ยวกับคดี โปรดดูที่ https://sites.google.com/site/verapat/temple


วีรพัฒน์ ปริ ยวงศ์ - ย่อคําพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร (พร้อมหมายเหตุทา้ ยคําพิพากษา

หน้าที่ ๒ จาก ๑๔

บทย่อ คดีปราสาทพระวิหาร (ระหว่ างกัมพูชากับไทย) ขั้นเนือ้ หา คําพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่ างประเทศ วันที่ ๑๕ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๖๒ ศาลตีกรอบคําพิพากษา (หน้ า ๖ - ๑๔, คําแปลหน้ า ๑ – ๑๘) ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศสรุ ปกระบวนพิจารณาคดีและกล่าวทวนคําแถลงสรุ ปของกัมพูชาและไทย โดยในหน้า ๑๔ ย่อหน้าสุ ดท้าย (คําแปลหน้า ๑๖ ย่อหน้าสุ ดท้าย) ศาลอ้างถึงคําอธิบายประเด็นแห่ งคดีที่ศาลเคยสรุ ปไว้วา่ กัมพูชากล่าวอ้างว่าไทยได้ละเมิด “อํานาจอธิปไตยเหนือ บริ เวณปราสาทพระวิหารและเขตที่เกี่ยวข้อง” (sovereignty over the region of the Temple of Preah Vihear and its precincts) และศาลก็ย้าํ กรอบ (confined) ประเด็นแห่งคดีตามคําสรุ ปดังกล่าวซํ้าดังเดิมแต่ละคําว่า “เขตที่เกี่ยวข้อง” (precincts) ออกไป (คํานี้ตีความหมายได้หลายทาง โปรดดู หมายเหตุ). ศาลสรุ ปว่า การที่คู่ความอ้างถึงแผนที่และข้อต่อสู ้ที่เกี่ยวเนื่องกับแผนที่น้ นั ศาลจะพิจารณาเพียงเท่าที่จาํ เป็ นต่อการหาเหตุผล (reasons) มาวินิจฉัยประเด็นพิพาทแห่ งคดี (settle the sole dispute) ที่จาํ กัดอยูเ่ ฉพาะเรื่ องอํานาจอธิปไตยเหนือบริ เวณปราสาทพระวิหารประเด็นเดียวเท่านั้น. ศาลระบุข้อกฎหมาย (หน้ า ๑๕ – ๑๖, คําแปลหน้ า ๑๘ – ๑๙) ศาลสรุ ปข้อเท็จจริ งเกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร (ย่อว่า “ปราสาทฯ”) และปฏิเสธที่จะนําข้อต่อสู้เชิงประวัติศาสตร์ ศาสนาและโบราณคดีมา ประกอบการพิจารณา. ศาลกล่าวถึงข้อพิพาทในคดีวา่ เป็ นเรื่ องที่สืบจากการตกลงเรื่ องเขตแดน (boundary settlement) ระหว่างสยามและฝรั่งเศสเมื่อ ช่วง ค.ศ. ๑๙๐๔ – ๑๙๐๘ ซึ่ งต่อมากัมพูชาได้รับเอกราชและสื บสิ ทธิต่อจากฝรั่งเศส. ศาลระบุวา่ การวินิจฉัยคดียอ่ มเป็ นไปตาม (depends upon) หนังสื อสัญญาเรื่ องเขตแดนระหว่างสยามและฝรั่งเศส วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๐๔ (ย่อว่า “อนุสญ ั ญาฯ”) ซึ่ งมีใจความสําคัญสองข้อ คือ ข้อ ๑. กําหนดให้ “พรมแดน” (frontier) ระหว่างไทยและฝรั่งเศสบริ เวณปราสาทฯเป็ นไปตามสันปั นนํ้า (follows the watershed); และ ข้อ ๓. กําหนดให้มีคณะกรรมการสองชุดทํางานผสมกัน (Mixed Commissions – อนุสญ ั ญาฯใช้รูปพหู พจน์) ระหว่างไทยและฝรั่งเศส เพื่อทําหน้าที่ปักปั นพรมแดนต่างๆ (delimitation of the frontiers) ทั้งนี้ให้คณะกรรมการผสมดังกล่าวดําเนินงานเกี่ยวกับพรมแดนที่ อนุสญ ั ญาฯ ข้อ ๑. กําหนดไว้ (the work will relate to the frontier determined by [Article I]). ศาลอธิบายข้ อกฎหมาย (หน้ า ๑๖ – ๑๗, คําแปลหน้ า ๑๙ - ๒๐) ศาลอธิบายถึงอนุสัญญาฯ ไว้สามประการ. ประการแรก เมื่ออนุสญ ั ญาฯ มิได้ระบุถึงปราสาทฯไว้ ศาลจึงจําเป็ นต้องตรวจสอบ (examine) ว่าเส้นพรมแดน (frontier line) คือเส้นใด เพื่อศาลสามารถวินิจฉัย (give a decision) ได้วา่ กัมพูชาหรื อไทยมีอธิปไตยเหนือบริ เวณปราสาทฯ (the Temple area). ประการที่สอง แม้อนุสญ ั ญาฯ ข้อ ๑. จะกําหนดให้พรมแดนเป็ นไปตามเส้นสันปั นนํ้า แต่แนวพรมแดนที่ชดั เจน (exact course) นั้นต้อง ปั กปั นตามอนุสญ ั ญาฯ ข้อ ๓. ซึ่ งให้มีคณะกรรมการผสมฝรั่งเศส-ไทย (Franco-Siamese Mixed Commission – ศาลใช้รูปเอกพจน์ ) เป็ นผูป้ ักปัน. ประการที่สาม แม้การดําเนิ นการปักปันตามอนุสญ ั ญาฯ ข้อ ๓. จะมีขอ้ สันนิษฐานเบื้องต้น (prima facie) ว่าต้องกระทําตามหลักเกณฑ์ที่ กําหนดไว้ในอนุสัญญาฯ ข้อ ๑. (อาศัยสันปั นนํ้า) แต่ศาลเห็นว่าเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ของอนุสญ ั ญาฯ ก็เพื่อทําให้มีเส้นพรมแดนที่เป็ นผลมา จากการปักปันตามความเป็ นจริ ง (establish the actual line of the frontier) เว้นแต่จะพิสูจน์ได้วา่ การปักปั นนั้นไม่มีผลทางกฎหมาย (invalid). (กล่าวโดยสังเขป คําว่า “ปักปัน” หรื อ delimitation นั้นศาลน่าจะหมายถึงการตกลงเส้นเขตแดนบนแผนที่หรื อเอกสาร ซึ่ งศาลเห็นว่า ชัดเจนกว่าการตกลงนิยามเบื้องต้น เช่น ตกลงพรมแดนให้อาศัยสันปั นนํ้า - โปรดดูหมายเหตุ) ศาลสรุปข้ อเท็จจริ งและเหตุผลที่คู่ความยกขึน้ ต่ อสู้ (หน้ า ๑๗ – ๒๑, คําแปลหน้ า ๒๐ – ๒๗) ศาลสรุ ปข้อเท็จจริ งว่า ไทยและฝรั่งเศสได้ต้ งั คณะกรรมการผสม (Mixed Commission – เอกพจน์) ขึ้นหนึ่งคณะแต่มีสองแผนก คือแผนก ไทยและแผนกฝรั่งเศสโดยแต่ละแผนกมีประธานกรรมการของตน (กล่าวคือศาลเรี ยกคณะกรรมการผสมตามอนุสัญญาฯ ข้อ ๓. ที่เป็ นพหูพจน์ให้ เป็ นเอกพจน์แทน – ต่อไปนี้ยอ่ ว่า “คณะกรรมการผสมฯ” - โปรดดูหมายเหตุ). ศาลสรุ ปว่า แม้คณะกรรมการผสมฯจะไม่ได้บนั ทึกข้อสรุ ปเรื่ องการ ปั กปั นพรมแดนบริ เวณปราสาทฯไว้ แต่สันนิษฐานจากหลักฐานว่าได้มีการสํารวจและกําหนดพรมแดนแล้ว (surveyed and fixed) แต่โดยใครหรื อ โดยวิธีการใดนั้นศาลเห็นว่าไม่ชดั เจน.

หน้าตา “แผนที่เจ้าปัญหา” ประเด็นการเสี ยดินแดน และบทวิเคราะห์น่าสนใจเกี่ยวกับคดี โปรดดูที่ https://sites.google.com/site/verapat/temple


วีรพัฒน์ ปริ ยวงศ์ - ย่อคําพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร (พร้อมหมายเหตุทา้ ยคําพิพากษา

หน้าที่ ๓ จาก ๑๔

ต่อมาไทยกับฝรั่งเศสได้ทาํ หนังสื อสัญญาอีกฉบับใน ค.ศ. ๑๙๐๗ และตั้งคณะกรรมการผสมชุดที่สองขึ้นอีกชุดเพื่อปักปันพรมแดน บริ เวณอื่นที่ไม่ได้ดาํ เนินการตามอนุสัญญาฯ ค.ศ. ๑๙๐๔ อีกทั้งหนังสื อสัญญา ค.ศ. ๑๙๐๗ ยังมีพิธีสาร (protocol) กําหนดให้งานของคณะกรรมการ ชุดที่สองรวมไปถึงบริ เวณที่ปราสาทฯตั้งอยู่ แต่คณะกรรมการชุดที่สองก็มิได้ปักปันบริ เวณปราสาทฯ ศาลจึงสันนิษฐานว่าคณะกรรมการผสมฯชุด แรกตามอนุสญ ั ญาฯ ค.ศ. ๑๙๐๔ ได้ทาํ การสํารวจและปักปันพรมแดนบริ เวณปราสาทฯเสร็จแล้ว แต่ผลออกมาเป็ นเช่นใดนั้นศาลไม่ทราบ. ศาลอธิบายว่าขั้นตอนสุ ดท้ายของการปักปันพรมแดนคือการทําแผนที่ ไทยซึ่งไม่ชาํ นาญด้านแผนที่ได้ขอให้ฝรั่งเศสจัดทําแผนที่ ทั้งนี้ มี หลักฐานที่ไทยเคยกล่าวถึง “คณะกรรมการปั กปั นพรมแดนผสม (Mixed Commission – เอกพจน์) และคําขอของกรรมการฝ่ ายไทย (Siamese Commissioners) ที่ขอให้กรรมการฝ่ ายฝรั่งเศส (French Commissioners) ทําแผนที่พรมแดนต่างๆ (maps of various frontiers)” (ผูย้ อ่ ตีความจาก บริ บทว่าศาลพูดถึงคณะกรรมการผสมฯชุดแรกที่ศาลเรี ยกว่ามีแผนกไทยและแผนกฝรั่งเศส). ฝรั่งเศสจึงให้เจ้าหน้าที่ของตน ๔ คน (๓ คนเป็ นอดีต สมาชิกคณะกรรมการผสมฯ ชุดแรก) ทําแผนที่ท้ งั สิ้ น ๑๑ ฉบับ ซึ่ งหนึ่งในนั้นก็คือแผนที่ภาคผนวก ๑ ต่อท้ายคําฟ้ องกัมพูชา หรื อ Annex I Map (“แผนที่ฯ”) ซึ่งกัมพูชานํามาอ้างว่าปราสาทฯตั้งอยูใ่ นเขตกัมพูชา. ศาลสรุ ปข้อต่อสู้ของไทยเกี่ยวกับแผนที่ฯ สามข้อ ดังนี้. (๑) แผนที่ฯไม่ใช่ผลงานการปักปั นโดยคณะกรรมการผสมฯ จึงไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย; (๒) เส้นพรมแดนที่แท้จริ งต้องเป็ นไปตามสันปั นนํ้า (ตามอนุสญ ั ญาฯ ข้อ ๑.) ซึ่งย่อมทําให้ปราสาทฯตั้งอยูใ่ นเขตไทย แต่เมื่อแผนที่ฯ กลับลากเส้นที่ไม่ใช่เส้นสันปั นนํ้าในบริ เวณนั้น (in this vicinity – หน้า ๒๑) เนื้อหาแผนที่ฯ จึงผิดพลาดชัดเจน และไม่สามารถถือเป็ นการใช้อาํ นาจ หรื อดุลพินิจของคณะกรรมการผสมฯที่ถูกต้องได้; และ (๓) ไทยไม่เคยยอมรับแผนที่ฯหรื อเส้นพรมแดนตามแผนที่ฯ หรื อแม้หากไทยเคยยอมรับ ก็เพราะไทยเข้าใจผิดในข้อสําสัญว่าเส้นแผนที่ ฯได้เป็ นไปตามเส้นสันปั นนํ้าอย่างถูกต้อง. ศาลเห็นว่ าแผนที่ฯ ไม่ ผูกพันไทย แต่ เป็ นผลจากการสํ ารวจจริง (หน้ า ๒๑ ย่ อหน้ าสุ ดท้ าย, คําแปลหน้ า ๒๗ ย่ อหน้ าสุ ดท้ าย) ศาลเห็นในขั้นแรกว่า แผนที่ฯ ณ ขณะที่ทาํ ขึ้นย่อมไม่ผกู พันไทยในทางกฎหมาย เพราะฝรั่งเศสทําขึ้นฝ่ ายเดียวและไม่มีหลักฐานแสดงว่า คณะกรรมการผสมฯ ได้มอบหมายหรื อรับรองการทําแผนที่ฯ. อย่างไรก็ดี ศาลเชื่อว่าแผนที่ฯถูกทําขึ้นโดยอาศัยการสํารวจบริ เวณที่ปราสาทฯตั้งอยู่ จริ ง และเมื่อไทยเป็ นฝ่ ายร้องขอให้ฝรั่งเศสทําขึ้น แผนที่ฯจึงมีลกั ษณะที่เป็ นทางการ อีกทั้งเห็นว่าแผนที่ฯมีความน่าเชื่อถือในทางเทคนิคโดยชัดแจ้ง. ศาลเห็นว่ าไทยได้ยินยอมและยอมรับแผนทีฯ่ ในช่ วง ค.ศ. ๑๙๐๘ – ๑๙๐๙ (หน้ า ๒๒ – ๒๗, คําแปลหน้ า ๒๘ - ๓๖) ศาลอธิบายต่อว่า ในเมื่อไทยยอมรับเองว่าแผนที่ฯไม่ใช่ผลจากการปั กปั นโดยคณะกรรมการผสมฯ ศาลจึงมองว่าการที่คณะกรรมการผสม ฯ จะได้ปักปันพรมแดนและรับรองแผนที่ฯโดยถูกต้องหรื อโดยมีอาํ นาจหรื อไม่น้ นั ย่อมไม่ใช่ประเด็นที่แท้จริ ง แต่ประเด็นพิจารณาที่สาํ คัญคือ ใน ที่สุดแล้วไทยและฝรั่งเศสในฐานะภาคีอนุสญ ั ญาฯได้ถือเอา (adopt) แผนที่ฯ ให้เป็ นผลจากการปักปันพรมแดนบริ เวณปราสาทฯ (as representing the outcome of the work of delimitation) อันส่ งผลให้แผนที่ฯมีสถานะทางกฎหมายหรื อไม่? ศาลไม่เห็นด้วยกับข้อต่อสูข้ องไทยว่า ไทยเพียงแต่แสดง ั ญาฯ. ศาลพิจารณาถึงการ ท่าทีนิ่งเฉย (passive attitude) และไม่เคยเป็ นฝ่ ายยินยอม (consenting party) ให้เปลี่ยนแปลงเส้นสันปั นนํ้าตามอนุสญ ประพฤติปฏิบตั ิระหว่างไทยและฝรั่งเศสเกี่ยวกับแผนที่ฯ ดังต่อไปนี้ -

-

-

ชุดแผนที่ท้ งั ๑๑ ฉบับ (หนึ่งในนั้นคือแผนที่ฯที่กมั พูชาอ้าง) ถูกนําไปเผยแพร่ อย่างกว้างขวางกว่า ๑๖๐ ชุด ในหลายประเทศ; อัครราชทูตไทย ณ กรุ งปารี ส ได้ทาํ หนังสื อแจ้งรัฐบาลไทยโดยใช้ถอ้ ยคําว่า “สําหรับเรื่ องเกี่ยวกับคณะกรรมการปักปั นพรมแดนผสม (Mixed Commission – เอกพจน์) และคําขอของกรรมการฝ่ ายไทยที่ขอให้กรรมการฝ่ ายฝรั่งเศสทําแผนที่พรมแดนต่างๆ บัดนี้กรรมการ ฝ่ ายฝรั่งเศสได้ทาํ แผนที่เสร็ จแล้ว” เจ้าหน้าที่ระดับสู งของไทยและกรรมการฝ่ ายไทยในคณะกรรมการผสมฯเองรับทราบถึงแผนที่ฯดังกล่าวโดยมิได้ทกั ท้วง อีกทั้งกรรมการ ฝ่ ายไทยเองก็มิได้แสดงให้เห็นว่าแผนที่ฯมิได้เป็ นไปตามการปักปั นโดยคณะกรรมการผสมฯ; หน้าแผนที่ฯปรากฏชื่อชัดว่า “ดงรัก – คณะกรรมการปักปั นเขตแดนระหว่างอินโดจีนและสยาม” (Dangrek – Commission of Delimitation between Indo-China and Siam – โปรดสังเกตว่า Commission ทั้งในภาษาฝรั่งเศสตามแผนที่ฯและในภาษาอังกฤษตามคํา พิพากษาล้วนเป็ นคําเอกพจน์ ต่างจาก Commissions ซึ่ งเป็ นคําพหู พจน์ในอนุสัญญาฯ – ดูภาพแผนที่ฯได้ที่เว็บไซต์ผยู ้ อ่ ); และ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยได้ขอให้ฝรั่งเศสทําสําเนาแผนที่ฯเพิม่ เติมอีก ๑๕ ฉบับเพื่อนําไปแจกจ่ายให้ผวู ้ า่ ราชการจังหวัดของไทย ต่อไป.

หน้าตา “แผนที่เจ้าปัญหา” ประเด็นการเสี ยดินแดน และบทวิเคราะห์น่าสนใจเกี่ยวกับคดี โปรดดูที่ https://sites.google.com/site/verapat/temple


วีรพัฒน์ ปริ ยวงศ์ - ย่อคําพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร (พร้อมหมายเหตุทา้ ยคําพิพากษา

หน้าที่ ๔ จาก ๑๔

ศาลพิจารณาว่าการประพฤติปฏิบตั ิเหล่านี้โดยที่ไทยรับแผนที่ฯโดยไม่ทกั ท้วง ไม่วา่ จะในเวลานั้นหรื อต่อมาเป็ นเวลาหลายปี กฎหมายถือ ว่าเข้าลักษณะการยินยอมจากการนิ่งเฉยในการที่ควรปฏิบตั ิ (held to have acquiesced) ศาลจึงเห็นว่าไทยได้ยอมรับ (accept) แผนที่ฯให้เป็ นผลจาก การปั กปั นพรมแดนบริ เวณปราสาทฯแล้ว. ศาลกล่าวถึงข้อต่อสู ้ของไทยที่วา่ ณ เวลาที่ได้รับแผนที่ฯมานั้น ไทยไม่ทราบเกี่ยวกับตัวปราสาทฯ จึงไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับตัวปราสาทฯ ศาลพิจารณาว่าฟังไม่ข้ ึนเพราะไทยได้ยอมรับเองว่าคณะเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยได้คน้ พบปราสาทฯอีกครั้งตั้งแต่ ค.ศ. ๑๘๙๙. ศาลกล่าวต่อว่า ไทยจะยกข้อ ต่อสู้วา่ ไทยเข้าใจแผนที่ฯผิดไม่ได้ เพราะเส้นแผนที่ฯไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นชัดว่าปราสาทฯตั้งอยูใ่ นเขตกัมพูชา แต่ยงั แสดงให้เห็นอีกว่าการ ลากเส้นมิได้เป็ นไปตามตามแนวขอบหน้าผา แต่กลับลากเหนือขึ้นไปจากชะโงกผาที่ปราสาทฯตั้งอยูอ่ ย่างชัดเจน. ศาลกล่าวว่าผูท้ ี่ทราบถึงบริ เวณ ดังกล่าวย่อมต้องสงสัยได้ทนั ทีวา่ แผนที่ฯแสดงเส้นตามตามแนวสันปั นนํ้าหรื อไม่ แต่ไทยเองเป็ นฝ่ ายวางใจขอให้ฝรั่งเศสทําแผนที่ฯและรับมาโดย ไม่ตรวจสอบ ดังนั้น เมื่อกฎหมายไม่อนุญาตให้ฝ่ายที่ผิดพลาดอ้างความผิดพลาดของตนเองมาลบล้างความยินยอม ข้อต่อสู ้ของไทยเรื่ องความเข้าใจ ผิดจึงฟังไม่ข้ ึน. ศาลเห็นว่ าสิ่ งที่เกิดขึน้ หลัง ค.ศ. ๑๙๐๙ ยืนยันว่ าไทยเคยยอมรับแผนทีฯ่ และไทยเสี ยสิ ทธิที่จะปฏิเสธ (หน้ า ๒๗ – ๓๓, คําแปลหน้ า หน้ า ๓๖ - ๔๖) ศาลพิจารณาการประพฤติปฏิบตั ิของไทยหลัง ค.ศ. ๑๙๐๙ ต่อไปนี้ -

-

-

ไทยไม่ยกประเด็นปราสาทฯขึ้นเจรจากับฝรั่งเศส แม้มีโอกาสในช่วงการเจรจาหนังสื อสัญญาอื่นในปี ค.ศ. ๑๙๒๕ และ ๑๙๓๗ แต่ในทาง กลับกัน ไทยและฝรั่งเศสกลับมีท่าทียนื ยันพรมแดนที่ได้ตกลงไปแล้วเมื่อ ค.ศ. ๑๙๐๔; ไทยได้สาํ รวจดินแดนบริ เวณปราสาทฯด้วยตนเองช่วง ค.ศ. ๑๙๓๔ – ๑๙๓๕ จากนั้นใน ค.ศ. ๑๙๓๗ ไทยได้ทาํ แผนที่เพื่อใช้เองใน ประเทศ แต่แผนที่ฉบับดังกล่าวกลับระบุให้ปราสาทฯอยูใ่ นกัมพูชาโดยแผนที่มิได้อธิบายหรื อสงวนข้อความประการใด; ไทยอ้างว่าไทยได้ใช้อาํ นาจทางปกครองแสดงความมีอธิปไตยเหนือบริ เวณปราสาทฯ แต่ศาลกล่าวในหน้า ๓๐ ว่าการกระทําดังกล่าวเป็ น เพียงในระดับท้องถิ่นและภูมิภาคอันไม่ชดั เจนว่าเกี่ยวข้องกับยอดเขาพระวิหารและบริ เวณปราสาทฯ (the summit of Mount Preah Vihear and the Temple area) หรื อเป็ นที่อื่นในบริ เวณใกล้กนั (in the vicinity); ไทยนําแผนที่อีกฉบับมาแสดงในระดับระหว่างประเทศเมื่อ ค.ศ. ๑๙๔๗ โดยแผนที่ฉบับดังกล่าวระบุให้ปราสาทฯอยูใ่ นกัมพูชา; ผูแ้ ทนประเทศไทยเคยใช้ถอ้ ยคําในการประชุมระดับระหว่างประเทศใน ค.ศ. ๑๙๕๘ ซึ่ งถ้อยคําชี้ให้เห็นว่าไทยได้ปราสาทฯ กลับคืนมา เพียงแค่ช่วงหลัง ค.ศ. ๑๙๔๐ (สมัยที่ไทยเคยครอบครองดินแดนบางส่ วนของกัมพูชาชัว่ คราว) ซึ่งสอดคล้องกับเอกสารราชการไทยที่ใช้ คําว่าได้ปราสาทฯ “กลับคืนมา” (retaken) แม้ไทยจะอ้างว่าพิมพ์ผิด; และ ไทยมีท่าทีที่ไม่ชดั เจนเกี่ยวกับปราสาทฯเมื่อได้รับหนังสื อสอบถามจากฝรั่งเศสและกัมพูชา จนกัมพูชานําคดีมาสู่ศาลในปี ค.ศ. ๑๙๕๙.

นอกจากนี้ ศาลกล่าวถึงกรณี ที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ อดีตเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยซึ่ง ณ เวลานั้น เป็ นผูม้ ีหน้าที่เกี่ยวกับโบราณสถาน ได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระมหากษัตริ ยไ์ ทยให้เสด็จเยีย่ มปราสาทฯเมื่อ ค.ศ. ๑๙๓๐ และเมื่อข้าหลวง ฝรั่งเศสให้การต้อนรับพร้อมชักธงฝรั่งเศสเหนือปราสาทฯ ฝ่ ายไทยกลับไม่ทกั ท้วงทั้งที่กรณี เสด็จเยีย่ มดังกล่าวมีลกั ษณะกึ่งทางการ. ศาลกล่าวต่อใน หน้า ๓๑ (คําแปลหน้า ๔๒ – ๔๓) ว่า หากพิจารณาการเสด็จเยีย่ มปราสาทฯโดยรวม (taken as a whole) ดูได้วา่ (it appears) ไทยได้รับรองว่ากัมพูชา มีอธิปไตยเหนือปราสาทฯโดยปริ ยาย (tacit recognition) และข้อที่น่าจะชัด (what seems clear) คือ ไทยไม่คิดว่าตนเป็ นเจ้าของปราสาทฯ หรื อไม่ (either…or) ไทยก็ยอมรับการอ้างสิ ทธิโดยฝรั่งเศส หรื อไม่ไทยก็ยอมรับเส้นพรมแดนตามที่ปรากฏบนแผนที่ฯ อย่างใดอย่างหนึ่ง. ศาลพิจารณาการประพฤติปฏิบตั ิของไทยหลัง ค.ศ. ๑๙๐๙ เป็ นต้นมา และสรุ ปในหน้า ๓๒ (คําแปลหน้า ๔๒ – ๔๓) ว่า ไม่วา่ ไทยจะได้ ยอมรับเส้นพรมแดนตามที่ปรากฏบนแผนที่ฯหรื อไม่ ไทยย่อมเสี ยสิ ทธิ (precluded) ที่จะปฏิเสธการประพฤติปฏิบตั ิของตนที่ต่อเนื่องมาเป็ นเวลา ๕๐ ปี . ศาลเห็นว่าไทยเองก็ได้อา้ งและรับประโยชน์จากการมีพรมแดนที่มนั่ คง (stable frontier) และไม่อาจปฏิเสธความยินยอมผูกพันของตนได้. จากนั้น ในย่อหน้าสุ ดท้ายของหน้า ๓๒ ไปถึงต้นหน้า ๓๓ (คําแปลหน้า ๔๕) ศาลได้กลับไปอาศัยสิ่ งที่ศาลเคยกล่าวไว้เกี่ยวกับช่วง ค.ศ. ๑๙๐๘ – ๑๙๐๙ (หน้า ๒๗ – ๓๓ หรื อคําแปลหน้า ๓๖ - ๔๖) เป็ นเหตุผลสําคัญในการพิจารณา (The Court however considers) ว่า ด้วยเหตุที่ไทยได้ ยอมรับ (accept) แผนที่ฯให้เป็ นผลจากการปั กปั นพรมแดนบริ เวณปราสาทฯนั้น ไทยย่อมได้รับรอง (recognized) เส้นตามแผนที่ฯว่าเป็ นเส้น พรมแดน เหตุดงั กล่าวจึงส่ งผลให้ปราสาทฯตั้งอยูใ่ นอาณาเขตกัมพูชา. ศาลกล่าวเพิ่มว่าการประพฤติปฏิบตั ิของไทยต่อมาหลัง ค.ศ. ๑๙๐๙ เป็ นข้อที่ ยืนยันและสื บเนื่อง (confirms and bears out) จากการที่ไทยได้ยอมรับแผนที่ฯ ไปก่อนหน้านั้น. ศาลกล่าวต่ออีกว่า การที่ไทยอ้างว่าตนเข้าใจแผนที่ฯผิดนั้น ฟังไม่ข้ ึนในสองระดับ. ในระดับแรกหากไทยเชื่อว่าเส้นบนแผนที่ฯคือเส้นสัน ปั นนํ้าจริ ง ไทยก็ยอ่ มต้องไม่เคยอ้างการกระทําใดๆในบริ เวณปราสาทฯ เพราะเส้นตามแผนที่ฯแสดงชัดว่าปราสาทฯอยูใ่ นเขตกัมพูชา แต่เมื่อในคดีน้ ี หน้าตา “แผนที่เจ้าปัญหา” ประเด็นการเสี ยดินแดน และบทวิเคราะห์น่าสนใจเกี่ยวกับคดี โปรดดูที่ https://sites.google.com/site/verapat/temple


วีรพัฒน์ ปริ ยวงศ์ - ย่อคําพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร (พร้อมหมายเหตุทา้ ยคําพิพากษา

หน้าที่ ๕ จาก ๑๔

ไทยกลับอ้างถึงการกระทําของไทยในบริ เวณปราสาทฯ ข้อต่อสู้ที่ขดั แย้งกันเองของไทยจึงฟังไม่ข้ ึน. ในระดับต่อมา แม้หากในหลักการ (in principle) ไทยจะอ้างได้วา่ เข้าใจผิดว่าจริ ง ไทยก็คงจะอ้างได้ถึงช่วงหลัง ค.ศ. ๑๙๓๔ – ๑๙๓๕ ซึ่งเป็ นตอนที่ไทยได้ทาํ การสํารวจดินแดนบริ เวณ ปราสาทฯด้วยตนเอง แต่จะนํามาอ้างต่อศาลในบัดนี้ไม่ได้ (กัมพูชาฟ้ องคดีน้ ีเมื่อ ค.ศ. ๑๙๕๙). ศาลอธิบายว่ าแผนที่ฯ ไม่ ขัดกับอนุสัญญาฯ (หน้ า ๓๓ – ๓๕, คําแปลหน้ า หน้ า ๔๗ – ๕๐, ดูประกอบกับหน้ า ๑๖ – ๑๗, คําแปลหน้ า ๑๙ - ๒๐) ศาลเห็นว่าศาลจําเป็ นต้องอธิบาย (finds it necessary to deal) เกี่ยวกับอนุสัญญาฯและแผนที่ฯว่า ไม่วา่ แผนที่ฯจะลากเส้นตรงกับเส้นสัน ั ญาฯ เพราะไทยและฝรั่งเศสได้ถือเอาการตีความ (adopted an ปั นนํ้าตามที่อนุสญ ั ญาฯ ข้อ ๑. กําหนดไว้หรื อไม่ แผนที่ฯก็ไม่ขดั ต่ออนุสญ interpretation) ว่าแผนที่ฯคือผลของการปักปั นเขตแดนตามอนุสญ ั ญาฯ ข้อ ๓. ดังนั้น แผนที่ฯจึงเข้าสู่ความตกลง (enter the treaty settlement) และ กลายมาเป็ นส่ วนเดียวกัน (integral part) กับอนุสญ ั ญาฯ และส่ งผลให้เส้นตามแผนที่ฯมีสถานะสูงกว่า (prevails) ข้อกําหนดเรื่ องสันปั นนํ้า. ศาลกล่าวเพิ่มเติมว่า แม้หากศาลจะต้องพิจารณาคดีโดยอาศัยการตีความสนธิสญ ั ญาโดยปกติ (solely of ordinary treaty interpretation) ศาลก็สามารถตีความโดยพิจารณาวัตถุประสงค์สาํ คัญ (primary object) ของอนุสญ ั ญาฯ ซึ่งวิธีน้ ีกจ็ ะทําให้ศาลได้ขอ้ สรุ ปเดียวกันกับการตีความแบบ แรก. ศาลอธิบายว่าวัตถุประสงค์สาํ คัญที่สุดของไทยและฝรั่งเศสในช่วง ค.ศ. ๑๙๐๔ – ๑๙๐๙ ก็คือการตกลงเรื่ องพรมเแดนให้มนั่ คงแน่นอนและเป็ น ที่ยตุ ิ (stability, certainty and finality) ดังจะเห็นได้วา่ การทําข้อตกลงเรื่ องพรมแดนนั้น ไทยและฝรั่งเศสจะตกลงว่าให้ใช้สนั ปั นนํ้ากําหนดพรมแดน เพียงขั้นตอนเดียวเท่านั้นก็ยอ่ มทําได้ แต่เมื่อไทยและฝรั่งเศสกลับตกลงให้มีคณะกรรมการผสมฯเป็ นผูป้ ักปันพรมแดนอีกขั้นตอน แสดงว่าไทยและ ฝรั่งเศสมองว่าสันปั นนํ้ามีความไม่ชดั เจน. ศาลอธิบายต่ออีกว่า ประเด็นการตกลงเรื่ องพรมเแดนในช่วง ค.ศ. ๑๙๐๔ – ๑๙๐๙ ได้ทาํ ให้ความสัมพันธ์ ระหว่างไทยและฝรั่งเศสมีปัญหากระทบกระทัง่ และนํามาสู่ “ความตึงเครี ยดที่ทวีข้ ึนเรื่ อยๆ”. ศาลอธิบายว่าหากปล่อยให้เส้นพรมแดนไม่ชดั เจนแล้ว นอกจากจะทําให้เกิดกระบวนการโต้แย้งกันที่ไม่จบสิ้ น ยังจะทําให้เกิดสถานการณ์สุ่มเสี่ ยงอย่างยิง่ . ศาลอธิบายต่อว่า วัตถุประสงค์สาํ คัญดังกล่าวยังเห็นได้จากเจรจาหนังสื อสัญญาใน ค.ศ. ๑๙๐๗, ค.ศ ๑๙๒๕ และ ค.ศ. ๑๙๓๗ ซึ่งไทยและ ฝรั่งเศสต่างให้ความสําคัญต่อการตกลงเรื่ องพรมแดนให้เป็ นที่ยตุ ิ. ศาลมองว่าการที่อนุสัญญาฯ ข้อ ๑. กล่าวถึงสันปั นนํ้าไว้ ก็เพื่อความสะดวกในการ อธิบายบริ เวณพรมแดนที่ตอ้ งการให้มีการปักปั นเท่านั้น อีกทั้งศาลก็ไม่พบหลักฐานว่าไทยและฝรั่งเศสให้ความสําคัญพิเศษกับสันปั นนํ้าแต่อย่างใด. ดังนั้น เมื่อแผนที่ฯสามารถทําให้การปั กปั นพรมแดนแน่นอนและเป็ นที่ยตุ ิ ศาลจึงตีความว่าไทยและฝรั่งเศสได้ยอมรับแผนที่ฯเพื่อบรรลุ วัตถุประสงค์สาํ คัญของอนุสญ ั ญาฯดังกล่าว และไม่มีความจําเป็ นต้องพิจารณาว่าเส้นแผนที่ฯเป็ นไปตามเส้นสันปันนํ้าที่ถูกต้องหรื อไม่อย่างไร. ศาลยํา้ กรอบคําพิพากษา (หน้ า ๓๖; คําแปลหน้ า ๕๐ – ๕๑) ศาลยํ้าสิ่ งที่ศาลได้กล่าวไว้แล้วในหน้า ๑๔ ว่า การที่กมั พูชาขอให้ศาลวินิจฉัยสถานะทางกฎหมายของแผนที่ฯและเส้นพรมแดนนั้น ศาล เพียงรับฟังในฐานะเหตุผล (grounds) ประกอบการวินิจฉัยคดีเท่านั้น มิใช่ในฐานะประเด็นพิพาท (claims) ที่ศาลจะต้องวินิจฉัยในบทปฏิบตั ิการของ คําพิพากษา. ส่ วนเรื่ องที่กมั พูชาขอให้วนิ ิจฉัยว่าไทยต้องคืนบรรดาวัตถุที่นาํ ออกไปจากปราสาทฯนั้น ถือเป็ นส่ วนหนึ่งของประเด็นอธิปไตยเหนือ ปราสาทฯ ศาลจึงรับมาวินิจฉัยได้. บทปฏิบัติการของคําพิพากษา (หน้ า ๓๖ – ๓๗; คําแปลหน้ า ๕๑ – ๕๒) ศาลโดยมติขา้ งมากจึงวินิจฉัยว่า (๑) ปราสาทพระวิหารตั้งอยูใ่ นอาณาเขตใต้อธิปไตยของกัมพูชา; และจากเหตุดงั กล่าว (in consequence) (๒) ไทยจึงต้องถอนกําลังเจ้าหน้าที่ออกจากปราสาทฯหรื อบริ เวณใกล้เคียงตัวปราสาทฯ (in its vicinity) บนอาณาเขตของกัมพูชา; และ (๓) ไทยจึงต้องคืนบรรดาวัตถุที่นาํ ออกไปจากปราสาทฯ หรื อบริ เวณปราสาทฯ (the Temple area) ตามที่กมั พูชาสามารถระบุได้.

(จบบทย่ อ โปรดดูหมายเหตุท้ายคําพิพากษาประกอบในหน้ าต่ อไป) ข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดู https://sites.google.com/site/verapat/temple

หน้าตา “แผนที่เจ้าปัญหา” ประเด็นการเสี ยดินแดน และบทวิเคราะห์น่าสนใจเกี่ยวกับคดี โปรดดูที่ https://sites.google.com/site/verapat/temple


วีรพัฒน์ ปริ ยวงศ์ - ย่อคําพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร (พร้อมหมายเหตุทา้ ยคําพิพากษา

หน้าที่ ๖ จาก ๑๔

หมายเหตุท้ายคําพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร วีรพัฒน์ ปริ ยวงศ์ คําพิพากษาอาจเป็ นที่สิ้นสุ ดในทางกฎหมาย แต่ความชอบธรรมนั้นใคร่ ครวญได้ไม่สิ้นกาลเวลา (A judgment may be final in law; its legitimacy is another matter in time). การอ่านคําพิพากษาที่แยบยล เช่น คดีปราสาทพระวิหาร ควรอ่านเชิงวิเคราะห์โดยประมวลใจความคํา พิพากษาทั้งฉบับ มิเพียงเรี ยงบรรทัดแต่พึงถอดรหัส. บทย่อและหมายเหตุคาํ พิพากษา (ซึ่ งควรอ่านประกอบกัน) ทําขึ้นเพื่อให้ผอู ้ ่านเห็นเหตุผล โดยรวมของมติเสี ยงข้างมากอันเป็ นเพียงแค่ขอ้ พิจารณาหลักส่ วนหนึ่ง แต่การศึกษาคําพิพากษาให้สมบูรณ์น้ นั อย่างน้อยต้องพิจารณาทั้งบรรทัด ที่ปรากฏและไม่ปรากฏ ทั้งจากคําพิพากษา ความเห็นผูพ้ พิ ากษา บันทึกกระบวนการพิจารณาและคําคู่ความ. แม้คาํ พิพากษาจะมีอายุเกือบครึ่ งศตวรรษและมีคาํ แปลภาษาไทยพอให้ศึกษา แต่กย็ งั มีผกู ้ ล่าวอ้างถึงเนื้อหาของคําพิพากษาแตกต่างกันไป หลายทาง บ้างก็วา่ ศาลได้ตดั สิ นว่าไทยต้องยอมรับผูกพันตามแผนที่ภาคผนวก ๑ ที่กมั พูชานํามาอ้าง ไทยจึงสมควรยอมรับเส้นเขตแดนในแผนที่ ฯตามที่กมั พูชาเรี ยกร้อง บ้างก็วา่ คําพิพากษาตัดสิ นเฉพาะตัวปราสาทฯเท่านั้น บ้างก็วา่ ปราสาทฯยังเป็ นของไทยและไทยมีสิทธิเอาคืนมาได้ บ้าง ก็วา่ ไทยถูกกฎหมายปิ ดปากเพราะปฏิบตั ิยอมรับแผนที่ฯเองตลอด ๕๐ กว่าปี และจะมาปฏิเสธแผนที่ฯในวันนี้ไม่ได้ ฯลฯ เกรงว่าคํากล่าวทั้งหลาย นี้อาจทําให้เกิดความสับสน จึงทําหมายเหตุทา้ ยคําพิพากษาดังต่อไปนี้. ๑. เรื่องตัวปราสาทพระวิหาร ตัวปราสาทฯเป็ นของกัมพูชาตามคําพิพากษา แม้ไทยจะไม่เห็นด้วยแต่ในฐานะอารยประเทศผูม้ ีสจั จะและเคารพกฎหมาย ไทยก็เคารพคํา พิพากษาและปฏิบตั ิตามโดยดี. ประชาชนคนไทยควรจะภาคภูมิใจ เพราะยังมีประเทศมหาอํานาจในโลกที่เรี ยกตนว่าเป็ นผูน้ าํ แต่เมื่อศาลโลก พิพากษาไม่ตรงความคาดหวัง ก็กลับเมินเฉยไม่ปฏิบตั ิตามคําพิพากษา. ส่ วนที่มีผกู ้ ล่าวว่าไทยสงวนสิ ทธิเอาปราสาทฯคืนมาได้น้ นั ย่อมกระทํา ได้และควรกระทําอย่างแยบยล การสงวนสิ ทธิในทางกฎหมายระหว่างประเทศไม่ใช่แค่เรื่ องการขอให้ศาลทบทวนคําพิพากษาหรื ออายุความ เพียงอย่างเดียว แต่สามารถสงวนอย่างทัว่ ไป ต่อเนื่อง และไม่มีระยะเวลาจํากัด หลายประเทศในโลกที่เชี่ยวชาญกฎหมายระหว่างประเทศไม่ เพียงแต่นิยมสงวนสิ ทธิเท่านั้น แต่กลับประท้วงปฏิเสธอย่างเอิกเกริ กจนเกิดคําศัพท์ที่มีนยั สําคัญว่า “persistent objector” (ซึ่ งล้วนมีบริ บท แตกต่างกันไป). แม้จะไม่มีหลักประกันใดว่าการสงวนสิ ทธิจะก่อให้เกิดสิ ทธิ ฉันใดก็ฉนั นั้น รัฐย่อมพึงระวังสงวนสิ ทธิไว้เพือ่ เป็ นเครื่ องมือใน การรักษาผลประโยชน์ในอนาคตอย่างแยบยล หากแต่มิใช่เป็ นเงื่อนไขที่ขดั ขวางโอกาสสร้างประโยชน์ร่วมกันในปัจจุบนั . ๒. เรื่องบริเวณใกล้ เคียงตัวปราสาทฯ บริ เวณใกล้เคียงตัวปราสาทฯเป็ นของกัมพูชาตามคําพิพากษา แต่ศาลมิได้ระบุให้แน่ชดั ว่า “บริ เวณใกล้เคียง” (in the vicinity) ดังกล่าวมี ความหมายว่าอย่างไร. ไทยเองเคยทํารั้วรอบปราสาทฯเพราะเห็นว่า “บริ เวณใกล้เคียง” ดังกล่าวมีอยูจ่ าํ กัดและไม่รวมถึงพื้นที่บนยอดเขาพระ วิหารทั้งหมด ซึ่งกัมพูชาไม่เห็นด้วย. ในเดือนเมษายน ๒๕๕๔ กัมพูชาได้ขอให้ศาลตีความคําพิพากษาและแม้อาจจะหวังผลในเรื่ องเกี่ยวกับ “บริ เวณใกล้เคียง” แต่ใจความสําคัญของคําร้องขอ (Application) ของกัมพูชากลับมิได้ขอให้ศาลตีความคําว่า “บริ เวณใกล้เคียง” โดยตรง แต่เป็ น การพยายามขอให้ศาลตีความอย่างกว้างไปในทางว่า “บริ เวณใกล้เคียง” ดังกล่าวย่อมต้องพิจารณาตามแผนที่ฯ. สุ ดท้ายแล้วศาลจะรับตีความ หรื อไม่อย่างไรย่อมขึ้นอยูก่ บั ข้อพิจารณาสําคัญหลายประการซึ่ งเมื่อคดียงั ไม่เสร็ จสิ้ นก็มิควรจะกล่าวไว้อย่างละเอียดในที่น้ ี อย่างไรก็ดี หากเรา ต้องการทราบในเบื้องต้นว่า “บริ เวณใกล้เคียง” นั้นศาลอาจหมายความว่าอย่างไร เราสามารถ “ถอดรหัส” ถ้อยคําในคําพิพากษาได้ดงั ต่อไปนี้. (๑.) ผูค้ นทัว่ ไปมักพยายามหาคําตอบโดยแปลถ้อยคําว่า “in the vicinity” ที่ศาลกล่าวไว้ในบทปฏิบตั ิการท้ายคําพิพากษาในหน้า ๓๗ (คํา พิพากษาฉบับฝรั่งเศสใช้คาํ ว่า “dans ses environs” ซึ่ งต้องพิจารณาประกอบฉบับภาษาอังกฤษที่ศาลยึดเป็ นหลักในคดีน้ ี) แต่คาํ ดังกล่าวทั้ง ในภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสก็แปลทัว่ ไปได้วา่ “บริ เวณใกล้เคียง” หรื อ “บริ เวณรอบๆ” ตัวปราสาทฯ. หากเราอาศัยการเทียบเคียงคําว่า “vicinity” ในจุดอื่นของคําพิพากษา เช่น ในหน้า ๒๑ หรื อ ๓๕ ก็จะพบว่าศาลใช้อย่างกว้างๆเพือ่ กล่าวถึง “บริ เวณเดียวกัน”. เช่นเดียวกับคํา ว่า “region” ก็ถูกนํามาใช้หลายครั้งซึ่ งมิอาจตีความเทียบกับบริ บทของบริ เวณรอบปราสาทฯได้โดยชัดได้. ที่สาํ คัญ ศาลใช้คาํ ว่า “vicinity” ในหน้า ๓๐ เพื่ออธิบายถึงละแวกอื่นที่ไม่ได้อยูบ่ ริ เวณเดียวกับตัวปราสาทหรื อยอดเขาพระวิหาร ดังนั้น “vicinity” ในหน้า ๓๐ ดังกล่าวจึง มิอาจนํามาเทียบเคียงกับ “vicinity” ในบทปฏิบตั ิการณ์ในหน้า ๓๗ ได้. คําว่า “vicinity” จึงมีความหมายที่ไม่แน่นอนในตัวเอง. (๒.) แท้จริ งแล้วคํารหัสที่อาจสําคัญมากกว่าคําว่า “vicinity” กลับเป็ นคําที่ปรากฏอยูใ่ นย่อหน้าแรกของคําพิพากษาหลังที่ศาลได้ทบทวนคํา แถลงสรุ ปของไทยและกัมพูชา นัน่ ก็คือถ้อยคําว่า “and its precincts” ในหน้า ๑๔ ซึ่ งศาลทวนข้อสรุ ปของศาลเองที่สรุ ปไว้วา่ กัมพูชากล่าว อ้างว่าไทยได้ละเมิด “อํานาจอธิปไตยเหนือบริ เวณปราสาทพระวิหารและเขตที่เกี่ยวข้อง” (sovereignty over the region of the Temple of หน้าตา “แผนที่เจ้าปัญหา” ประเด็นการเสี ยดินแดน และบทวิเคราะห์น่าสนใจเกี่ยวกับคดี โปรดดูที่ https://sites.google.com/site/verapat/temple


วีรพัฒน์ ปริ ยวงศ์ - ย่อคําพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร (พร้อมหมายเหตุทา้ ยคําพิพากษา

หน้าที่ ๗ จาก ๑๔

Preah Vihear and its precincts). คําว่า “precincts” ที่ปรากฏในคําพิพากษานี้แปลอย่างเป็ นกลางได้วา่ “เขตที่เกี่ยวข้อง” แต่มีนยั ที่สาํ คัญ ยิง่ กว่านั้นอย่างน้อยสี่ ระดับ. (ก.) นัยระดับแรก คําว่า “precincts” นั้นเป็ นศัพท์ที่เข้ารหัสเฉพาะได้หลายทาง. หากถอดรหัสตามนัยรัฐศาสตร์ คํานี้หมายถึงเขตการ ปกครองหรื อเขตบริ หารที่แบ่งตามพื้นที่ เช่น ในเมืองแห่งหนึ่งอาจมี เขตสถานีตาํ รวจ หรื อ เขตเลือกตั้ง แบ่งออกเป็ นเขต (precincts) ต่างๆ. แต่หากถอดรหัสตามนัยศาสนาหรื อโบราณคดีแล้ว จะแปลว่าบริ เวณทั้งหลายที่ถือรวมเป็ นส่ วนหนึ่งของสถานที่เดียวกัน เช่น เราอาจเรี ยก เจดีย ์ อุโบสถ ศาลาและลานวัดทั้งหลายที่ต้ งั อยูใ่ นกําแพงวัด ว่าเป็ น precincts ของวัด โดยการใช้ลกั ษณะนี้มกั ใช้รูป พหูพจน์. การถอดรหัสคําว่า precincts ในคําพิพากษาต้องแปลจากบริ บทที่ศาลกล่าวว่า “sovereignty over the region of the Temple of Preah Vihear and its precincts”. คําถามคือศาลอธิบายถึง precincts ของ “region” (บริ เวณ) หรื อ ของ “Temple” (ตัวปราสาทฯ) เพราะหากเป็ นกรณี “Temple” เราอาจตีความได้วา่ ศาลกําลังพูดถึงบริ เวณบันไดนาค โคปุระ บ่อนํ้า หรื อรอยกําแพงรอบๆตัวปราสาท ฯที่ถือเป็ นส่ วนหนึ่งของปราสาทพระวิหารเท่านั้น. แต่หากมองว่าศาลกําลังพูดถึง “region” ก็อาจมีผมู ้ องว่าศาลกําลังกล่าวถึงเขตการ บริ หารปกครองต่างๆ ที่กมั พูชาอาจแบ่งได้ในบริ เวณเขาพระวิหารหรื อไม่. การตีความโดยเน้นที่ “region” นี้อาจรับฟังได้ยาก เพราะ ศาลกล่าวถึงคําว่า precincts เป็ นพหูพจน์ ยากที่จะฟังว่ากัมพูชาจะแบ่งเขตในพื้นที่รอบปราสาทฯเป็ นหลายเขต. อีกทั้งในคําพิพากษา ฉบับภาษาฝรั่งเศสศาลยังได้ใช้คาํ ว่า “environs” ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป. (ข.) นัยระดับที่สอง วิธีที่ศาลกล่าวถึงคําว่า precincts นี้สื่อรหัสพิเศษ เพราะในย่อหน้าแรกศาลใช้คาํ นี้โดยการยกถ้อยคํา (quote) มาจากคํา พิพากษาอีกฉบับในคดีเดียวกัน นัน่ คือคําพิพากษาเรื่ องเขตอํานาจ (jurisdiction) ลงวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ค.ศ ๑๙๖๑ ซึ่ งศาลวินิจฉัยว่า ศาลมีอาํ นาจรับคดีปราสาทพระวิหารไว้พิจารณาในขั้นเนื้อหาต่อไปได้ (ซึ่งประมาณเกือบ ๑ ปี ต่อมาศาลก็ได้ทาํ คําพิพากษาอีกฉบับ ในขั้นเนื้อหาที่ถูกกล่าวถึงในหมายเหตุฉบับนี้ ). วิธีการกล่าวของศาลมีนยั พิเศษเพราะ ในย่อหน้าแรกศาลยกถ้อยความมาอ้างว่า กัมพูชากล่าวอ้างว่าไทยได้ละเมิด “อํานาจอธิปไตยเหนือบริ เวณปราสาทพระวิหารและเขตที่เกี่ยวข้อง” (sovereignty over the region of the Temple of Preah Vihear and its precincts) แต่ยอ่ หน้าถัดมาในหน้าเดียวกัน ศาลได้อธิบายยํ้าถึงกรอบของคดีโดยใช้ถอ้ ยคําซํ้า ดังเดิม แต่ละคําว่า “precincts” ออกไป กล่าวคือศาลกล่าวว่า ประเด็นแห่ งคดีน้ ีจาํ กัดอยูเ่ ฉพาะเรื่ อง “อํานาจอธิ ปไตยเหนือบริ เวณ ปราสาทพระวิหาร” (sovereignty over the region of the Temple of Preah Vihear). การที่กล่าวถึงคําว่า “precincts” ในตอนแรกและ ละคําทิ้งในย่อหน้าถัดมาจะตีความอย่างไรนั้น มองได้หลายทาง. อย่างไรก็ดี หากคําว่า “precincts” ไม่ได้เป็ นคําที่คาํ ว่า “ปราสาทพระ วิหาร” กินความถึงอยูแ่ ล้ว ก็แสดงว่าศาลเผลอยกข้อความขัดกันเองโดยมิได้อธิบายไว้ หรื ออาจผิดพลาดพิมพ์ตกไป ซึ่ งเมื่อพิจารณา ถึงความละเอียดของศาลแล้ว มิน่าเป็ นเช่นนั้น. เหตุที่เป็ นไปได้ขอ้ หนึ่ง ก็คือศาลละคําว่า “precincts” เพราะคําว่า “the region of the Temple of Preah Vihear” ชัดเจนพอแล้ว จึงไม่ตอ้ งกล่าวซํ้า ซึ่ งย่อมหมายความว่า “precincts” คือบริ เวณในทางโบราณคดีที่เป็ นส่ วน หนึ่งของปราสาทฯนัน่ เอง. (ค.) นัยระดับที่สาม การที่ศาลอ้างถึง “precincts” และละคํานี้จากประโยคที่ซ้ าํ กันในย่อหน้าถัดไปนั้น สมควรต้องอ่านรหัสควบคู่ไปกับ สิ่ งที่ศาลกล่าวต่อมาในหน้าถัดไป โดยในหน้า ๑๕ ศาลกล่าวสรุ ปว่า ศาลปฏิเสธที่จะนําข้อต่อสู้เชิงประวัติศาสตร์ ศาสนาและ โบราณคดีมาประกอบการพิจารณาคดี. การกล่าวเช่นนี้ตีความได้หลายทาง ทางหนึ่งคือเป็ นเครื่ องยืนยันว่า “precincts” ถูกกล่าวถึงใน บริ บทเชิงศาสนาและโบราณคดี (แต่เมื่อศาลเลือกละคําๆนี้ออก ย่อมมีทางตีความที่แตกต่างกันไปได้อีก). (ง.) นัยระดับที่สี่ คําว่า “precincts” ในหน้าที่ ๑๔ นี้ ศาลใช้คาํ ภาษาฝรั่งเศสว่า “environs” ซึ่ งก็เป็ นคําแปลคําเดียวกันกับคําว่า “vicinity” ในบทปฏิบตั ิการหน้า ๓๗. แม้คาํ พิพากษาจะกําหนดให้ใช้ฉบับภาษาอังกฤษเป็ นหลักก็ตาม แต่การเลือกคําแปลเหล่านี้เป็ นเรื่ อง ละเอียดอ่อนที่ผพู ้ ิพากษาและนักกฎหมายที่ดีทุกคนต่างตระหนัก หากหน้าที่แพทย์คือการจับชีพจร หน้าที่ของนักกฎหมายก็คือการ จับถ้อยคํา และผูท้ าํ หมายเหตุกม็ ิได้คิดว่าเรื่ องดังกล่าวเป็ นเรื่ องบังเอิญที่มีการใช้คาํ แปลฝรั่งเศสตรงกัน. (๓.) นอกจากการถอดรหัสเรื่ องคําว่า “vicinity” โดยอาศัยคําว่า “precincts ข้างต้นแล้ว การถอดรหัสคําว่า “vicinity” ย่อมทําได้โดยการตีความ จากบริ บทโดยรวมของบทปฏิบตั ิการทั้งสามข้อในหน้า ๓๖ – ๓๗. สมควรจะกล่าวทบทวนถ้อยคําที่ศาลใช้มีใจความดังนี้ (๑) ศาลเห็นว่าปราสาทพระวิหารตั้งอยูใ่ นอาณาเขตใต้อธิปไตยของกัมพูชา; และจากเหตุดงั กล่าว (in consequence) (๒) ไทยจึงต้องถอนกําลังเจ้าหน้าที่ออกจากปราสาทฯหรื อในบริ เวณใกล้เคียงตัวปราสาทฯ (in its vicinity) บนอาณาเขตของกัมพูชา (on Cambodian territory); และ (๓) ไทยจึงต้องคืนบรรดาวัตถุที่นาํ ออกไปจากปราสาทฯ หรื อบริ เวณปราสาทฯ (the Temple area) ตามที่กมั พูชาสามารถระบุได้. หน้าตา “แผนที่เจ้าปัญหา” ประเด็นการเสี ยดินแดน และบทวิเคราะห์น่าสนใจเกี่ยวกับคดี โปรดดูที่ https://sites.google.com/site/verapat/temple


วีรพัฒน์ ปริ ยวงศ์ - ย่อคําพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร (พร้อมหมายเหตุทา้ ยคําพิพากษา

หน้าที่ ๘ จาก ๑๔

เราจะเห็นว่าบทปฏิบตั ิการข้อแรกมุ่งไปที่ตวั ปราสาทฯอย่างเดียว คําที่เป็ นปัญหาคือคําว่า “vicinity” ในข้อที่ ๒ นั้น สามารถถอดรหัสโดย การอ่านรหัสควบคู่กบั คําว่า “in consequence” และ”Temple area”. ในทางหนึ่งกล่าวได้วา่ การที่ศาลใช้คาํ ว่า “vicinity” ในข้อ ๒ และใช้ คําว่า “Temple area” ในข้อ ๓ ทั้งที่กเ็ ป็ นเรื่ องผลที่ตามมาจากข้อ ๑ เหมือนกันแสดงให้เห็นว่าในบริ บทโดยรวมศาลก็หมายถึง บริ เวณที่ ใกล้ชิดหรื อเป็ นส่ วนหนึ่งของตัวปราสาทฯ (precincts). ยิง่ ไปกว่านั้น คําว่า “in consequence” สื่ อให้เห็นว่าการที่ไทยต้องถอนเจ้าหน้าที่ ออกจากปราสาทฯหรื อในบริ เวณใกล้เคียงตัวปราสาทฯเป็ นผลที่ตามมา หมายความว่าศาลกําลังเน้นไปที่เหตุเกี่ยวกับตัวปราสาทฯเป็ น สําคัญ. ถามว่าอะไรคือสาระสําคัญของตัวปราสาทฯที่ทาํ ให้ไทยต้องถอนเจ้าหน้าที่ออกจากบริ เวณใกล้เคียงตัวปราสาทฯ ตอบได้หลาย อย่าง แต่วิธีตอบวิธีหนึ่งคือการกลับไปอ่านรหัสถ้อยคําของศาลในหน้า ๑๕ ที่อธิบายเกี่ยวกับปราสาทฯไว้วา่ ในปัจจุบนั (พ.ศ. ๒๕๐๕) ปราสาทฯยังคงถูกใช้เป็ นที่สาํ หรับ “การจาริ กแสวงบุญ” (is still used as a place of pilgrimage). เมื่อปราสาทฯเป็ นของกัมพูชาและศาล เชื่อว่าชาวกัมพูชาหรื อผูใ้ ดยังเดินทางไปจาริ กแสวงบุญได้ หากไทยจะส่ งกองทหารหรื อตํารวจไปยืนประชิดสถานที่จาริ กแสวงบุญ ดังกล่าว ก็คงเป็ นผล (consequence) ที่มิเหมาะสมนัก. การถอดรหัสคําว่า vicinity ลักษณะนี้จึงเป็ นการเน้นเพื่อมิให้ไทยแทรกแซงหรื อ ก่อกวนการใช้ปราสาทฯจากบริ เวณใกล้เคียง มิได้หมายถึงบริ เวณอื่นรอบๆ หรื อตามแผนที่ฯแต่อย่างใด. (๔.) คํารหัสสําคัญอีกคําหนึ่งที่ควรเน้นถึงก็คือคําว่า “บริ เวณปราสาทฯ” (Temple area) ซึ่งมิได้ปรากฏอยูแ่ ต่ในบทปฏิบตั ิการข้อ ๓. เท่านั้น แต่ เป็ นคําที่ศาลใช้บ่อย เช่นในหน้า ๑๕, ๑๗, ๑๙, ๒๑, ๒๒, ๒๙, ๓๐, ๓๓ และ ๓๖. หากเราเทียบเคียงจากบริ บทในบทปฏิบตั ิการว่า “Temple area” ต้องเป็ นบริ เวณที่มีโบราณวัตถุที่สามารถถูกเคลื่อนย้ายได้ ก็ยอ่ มสนับสนุนการตีความว่า “Temple area” นั้นต้องหมายถึง “precincts” ในเชิงศาสนาและโบราณคดีเท่านั้น และไม่สามารถรวมไปถึงบริ เวณพื้นที่รอบๆตัวปราสาทอย่างอื่นได้. ข้อสรุ ปนี้จะสําคัญพิเศษหาก พิจารณาถึงคําว่า “Temple area” ที่ศาลใช้ในหน้า ๑๗ ซึ่ งตีความได้วา่ ศาลต้องการจํากัดประเด็นพื้นที่ให้อยูเ่ ฉพาะสิ่ งที่ถือเป็ นส่วนหนึ่งของ ปราสาทฯเท่านั้น. (๕.) นอกจากนี้ หากเราพิจารณาบริ บทโดยรวมของคําพิพากษา เราจะเห็นว่าศาลเขียนคําพิพากษาด้วยความระมัดระวังอย่างยิง่ ว่าศาลไม่ได้ วินิจฉัยเรื่ องเรื่ องเส้นพรมแดนและแผนที่ฯแต่อย่างใด (หัวข้อนี้จะอธิบายต่อไปในหมายเหตุฉบับนี้ ) ซึ่ งย่อมสอดคล้องกับแนวการตีความ คําว่า “vicinity” ว่ามิอาจรวมไปถึงบริ เวณอื่นๆโดยกว้างได้. (๖.) จากรหัสที่ถอดมาข้างต้น อาจสรุ ปได้วา่ คําว่า “บริ เวณใกล้เคียง” (vicinity) สามารถตีความเทียบเคียงได้กบั “precincts” หรื อ “Temple area” ซึ่ งย่อมส่ งผลให้คาํ พิพากษาจํากัดพื้นที่ของกัมพูชาว่าได้แก่บริ เวณที่ถือได้ว่าเป็ นส่วนหนึ่งของตัวปราสาทฯเท่านั้น ซึ่ งหากเป็ น เช่นนั้นจริ งก็คงต้องฟังนักโบราณคดีของแต่ละฝ่ ายอธิบายว่าพื้นที่ดงั กล่าวเป็ นอย่างไร. อนึ่ง ด้วยเวลาอันจํากัด ผูท้ าํ หมายเหตุได้เลือก กล่าวถึงเฉพาะรหัสที่ปรากฏให้เห็นชัดบางรหัส สิ่ งที่กล่าวมาเป็ นเพียงข้อพิจารณาส่วนหนึ่งที่ยงั ถกเถียงได้ อีกทั้งยังมีวิธีการอื่นบางวิธีที่ กัมพูชาเองก็อาจนํามาใช้ถอดรหัสเพื่อตีความไปอีกทาง แต่ผทู ้ าํ หมายเหตุพึงเก็บไว้กล่าวภายหลังคดีสิ้นสุ ด. ในฐานะผูท้ ี่พอมีประสบการณ์ ช่วยทําคดีในศาลโลก ไม่เป็ นที่สงสัยว่าบรรดานักกฎหมายทั้งฝ่ ายไทยและกัมพูชาต่างได้ศึกษาคําเหล่านี้แล้ว อีกทั้งถ้อยคําอื่นๆ ทั้งในเชิง ศัพทมูลวิทยา อัครวิเคราะห์ บริ บทวิเคราะห์ ทั้งในคําพิพากษาฉบับอังกฤษและฝรั่งเศสและคําคู่ความทั้งฉบับอักษรและวาจา ประกอบกับ การประพฤติปฏิบตั ิของคู่พิพาท แนวการวินิจฉัย และหลักการตีความอื่นซึ่ งมีอีกหลายวิธี. สมควรเน้นเพิ่มว่า ไม่วา่ คู่พพิ าทในคดีจะสงวน ชั้นเชิงและท่าทีตามความจําเป็ นอย่างไร แต่สาํ หรับผูท้ ี่มีใจเป็ นธรรมและเชื่ อมัน่ ในระบบยุติธรรมนั้น สิ่ งที่ไม่ควรหลีกหนีก็คือความจริ ง. ๓. เรื่องเส้ นพรมแดนและแผนที่ฯ ขอกล่าวให้ชดั ว่าเรื่ องเดียวที่ศาลวินิจฉัย (adjudge) คือเรื่ องบริ เวณตัวปราสาทฯ ศาลไม่ได้วนิ ิจฉัยว่าแผนที่ฯผูกพันไทยหรื อไม่ และศาล ไม่ได้วินิจฉัยว่าเส้นพรมแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาคือเส้นใด ที่สาํ คัญ ศาลไม่ได้อาศัยแผนที่ฯเป็ นเหตุผลหลักในการวินิจฉัยคดี. มักมีผเู้ ข้าใจ ผิดว่าแผนที่ฯคือเหตุผลหลักที่ศาลใช้วนิ ิจฉัยว่าปราสาทฯและบริ เวณใกล้เคียงเป็ นของกัมพูชา เกรงว่าเหตุผลสําคัญที่ศาลใช้กค็ ืออนุสญ ั ญาฯ ค.ศ. ั ญาฯโดยอาศัยแผนที่ฯ – ชอบธรรมหรื อไม่จะได้กล่าวต่อไป) แผนที่ฯจึงไม่ใช่ ๑๙๐๔ ที่ไทยตกลงเขตแดนกับฝรั่งเศส (ศาลเพียงตีความอนุสญ ประเด็นที่ศาลวินิจฉัยและไม่ใช่เหตุผลโดยตัวเอง (per se) ที่ศาลใช้วนิ ิจฉัยคดี ดังนั้น สาระสําคัญของคําพิพากษาไม่วา่ โดยตรงหรื อโดยอ้อมมิได้ เป็ นเรื่ องแผนที่ฯ เส้นพรมแดนตามแผนที่ฯที่กมั พูชาอ้างจึงไม่ผกู พันไทยโดยผลของคําพิพากษา. ข้อสรุ ปดังกล่าวถอดรหัสอธิบายได้ดงั นี้. (๑.) ช่วงต้นของคําพิพากษาในหน้า ๑๔ ย่อหน้าสุ ดท้าย ศาลตีกรอบว่าประเด็นพิพาทแห่ งคดีจาํ กัดอยูเ่ ฉพาะ (confined to) เรื่ อง “อํานาจ อธิปไตยเหนือบริ เวณปราสาทพระวิหาร” (sovereignty over the region of the Temple of Preah Vihear) และกล่าวต่อว่าศาลจะพิจารณา แผนที่และข้ออ้างที่เกี่ยวเนื่อง (ซึ่งย่อมหมายถึงเรื่ องเส้นพรมแดน) เพียงเท่าที่จาํ เป็ นต่อการหาเหตุผล (reasons) มาวินิจฉัยประเด็นพิพาท แห่ งคดี (settle the sole dispute) ที่จาํ กัดอยูเ่ ฉพาะเรื่ องอํานาจอธิปไตยเหนืออาณาบริ เวณปราสาทพระวิหารประเด็นเดียวเท่านั้น.

หน้าตา “แผนที่เจ้าปัญหา” ประเด็นการเสี ยดินแดน และบทวิเคราะห์น่าสนใจเกี่ยวกับคดี โปรดดูที่ https://sites.google.com/site/verapat/temple


วีรพัฒน์ ปริ ยวงศ์ - ย่อคําพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร (พร้อมหมายเหตุทา้ ยคําพิพากษา

หน้าที่ ๙ จาก ๑๔

(๒.) ศาลอธิบายข้อกฎหมายในหน้า ๑๖ – ๑๗ ว่า การวินิจฉัยคดียอ่ มเป็ นไปตาม (depends upon) อนุสญ ั ญาฯ แต่เมื่ออนุสัญญาฯ มิได้ระบุถึง ปราสาทฯไว้ ศาลจึงมีความจําเป็ นต้องตรวจสอบ (examine) ว่าเส้นพรมแดน (frontier line) คือเส้นใด เพือ่ ศาลสามารถพิจารณาวินิจฉัย (give a decision) ได้วา่ กัมพูชาหรื อไทยมีอธิปไตยเหนือบริ เวณปราสาทฯ (the Temple area). (๓.) ในหน้า ๒๑ ศาลกล่าวว่าแผนที่ฯ ณ ขณะที่ทาํ ขึ้นย่อมไม่ผกู พันไทยในทางกฎหมาย เพราะฝรั่งเศสทําขึ้นฝ่ ายเดียวและไม่มีหลักฐานแสดงว่า คณะกรรมการผสมฯ ได้มอบหมายหรื อรับรองการทําแผนที่ฯ. (๔.) จากนั้นในหน้า ๒๒-๓๓ ศาลจึงตั้งประเด็นการพิจารณา (ไม่ใช่ประเด็นคดีที่ศาลวินิจฉัย) คือ ไทยและฝรั่งเศสได้ถือให้แผนที่ฯเป็ นผลจาก การปั กปั นพรมแดนบริ เวณปราสาทฯ (as representing the outcome of the work of delimitation) ตามที่อนุสญ ั ญาฯข้อ ๓ กําหนดไว้หรื อไม่ ศาลพิจารณาการประพฤติปฏิบตั ิต่างๆของไทยและเห็นว่าไทยได้ยอมรับให้เส้นแผนที่ฯ เป็ นผลการปักปันตามอนุสญ ั ญาฯ ข้อ ๓ แล้ว. (๕.) อย่างไรก็ดี ในหน้า ๓๓ – ๓๕ ศาลกล่าวว่ามีความจําเป็ นต้องอธิบายข้อกฎหมายว่าแผนที่ฯได้เข้าสู่ ความตกลง (enter the treaty settlement) และกลายมาเป็ นส่ วนเดียวกัน (integral part) กับอนุสัญญาฯ และส่ งผลให้เส้นแผนที่ฯมีสถานะสู งกว่า (prevails) ข้อกําหนดเรื่ องสันปั นนํ้า. (๖.) ช่วงท้ายของคําพิพากษาในหน้า ๓๖ ศาลยํ้าสิ่ งที่กล่าวไว้แล้วในหน้า ๑๔ ว่า การที่กมั พูชาขอให้ศาลวินิจฉัยสถานะทางกฎหมายของแผนที่ ฯและเส้นพรมแดนนั้น ศาลเพียงรับฟังในฐานะเหตุผล (grounds) ประกอบการวินิจฉัยคดีเท่านั้น มิใช่ในฐานะประเด็นพิพาท (claims) ที่ ศาลจะต้องวินิจฉัยในบทปฏิบตั ิการของคําพิพากษา. ๔. อนุสัญญาฯและแผนที่ฯ อาจพิจารณาด้วยกันแต่ ไม่ ใช่ สิ่งเดียวกันในทางกฎหมายระหว่ างประเทศ คําอธิบายเรื่ อง อนุสญ ั ญาฯ-แผนที่ฯ ข้างต้นอาจมีผทู ้ กั ท้วงว่าเป็ นการตีความแบบ “หัวหมอ” ที่ยกโยงเหตุผลเพือ่ สรุ ปว่าไทยไม่ตอ้ งผูกพัน ตามแผนที่ฯตามคําพิพากษา ทั้งที่ในความเป็ นจริ งแล้วศาลโลกก็รู้ดีแก่ใจว่าไทยได้ยอมรับผูกพันตามแผนที่ฯไปเรี ยบร้อยแล้ว. ผูท้ าํ หมายเหตุไม่ แน่ใจว่าลําพังความ “หัวหมอ” นั้นจะเพียงพอต่อการอธิบายเชิงวิเคราะห์ขา้ งต้นหรื อไม่ กระนั้นก็ดี เกรงว่าผูท้ ี่มี “หัวกฎหมาย” (legal mind) ก็คง จะอธิบายเพิม่ เติมได้ดงั นี้. (๑.) ในขั้นแรกต้องเข้าใจเสี ยก่อนว่า “ศาลโลก” ที่เรานิยมเรี ยกกันติดปากแท้จริ งหาได้เป็ นศาลแห่ งโลก หรื อ ศาลที่มีอาํ นาจพิจารณาคดีรัฐบาล ทัว่ โลกไม่ ชื่อจริ งของศาลโลกคือ “ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ” ซึ่ งเป็ นศาลที่มีเขตอํานาจจํากัดและอาศัยความยินยอมของรัฐเป็ นหลัก การที่รัฐ เช่น ประเทศไทยหรื อประเทศกัมพูชาจะนําคดีให้ศาลโลกพิจารณานั้น โดยปกติตอ้ งตกลงกันเสี ยก่อนว่าทั้งสองฝ่ ายจะขอให้ศาล วินิจฉัยเรื่ องอะไร เพราะ (ก.) โครงสร้างของกฎหมายระหว่างประเทศยุคปั จจุบนั นั้นแตกต่างจากระบบกฎหมายภายในประเทศที่เรามักคุน้ เคย. สังคมระหว่าง ประเทศแม้จะมีองค์กรที่บงั คับกฎหมายให้เป็ นไปตามคําพิพากษาได้ในบางกรณี เช่น คณะมนตรี ความมัน่ คงแห่งสหประชาชาติ แต่ก็ ไม่มีสภาโลกที่ตราหรื อแก้กฎหมาย ไม่มีกองทหารหรื อตํารวจหรื อเจ้าพนักงานบังคับคดีตามคําพิพากษา อีกทั้งทรัพยากรของศาล โลกก็มีอย่างจํากัด. ดังนั้น รัฐบาลจึงจําเป็ นต้องสงวนอํานาจอธิปไตยที่จะดําเนิ นการแก้ไขปั ญหาของประเทศด้วยตนเอง เช่น การถ้อย ทีถอ้ ยอาศัย การเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ไปจนถึงการใช้กาํ ลังยามจําเป็ น. หากมีประเด็นที่รัฐแก้ไขเองไม่ได้จริ งๆ จึงจะระบุ ประเด็นให้ชดั เพือ่ ให้ศาลโลกพิจารณา ลักษณะทางกฎหมายของศาลโลกจึงสะท้อนความเป็ นจริ งของสังคมระหว่างประเทศ. (ข.) อีกข้อสําคัญก็คือเรื่ องความชอบธรรมในทางประชาธิปไตย. รัฐบาลอาจมาจากการเลือกตั้งที่ยดึ โยงกับประชาชนแต่ผพู ้ ิพากษาศาล โลกมาจากการเลือกตั้งโดยองค์กรในสหประชาชาติอนั ประกอบขึ้นจากหลายประเทศ ซึ่งย่อมมิได้คาํ นึงถึงผลประโยชน์ของ ประชาชนประเทศอื่นเป็ นหลัก ไทย หรื อ กัมพูชา หรื อประเทศใดย่อมไม่ตอ้ งการให้เรื่ องสําคัญที่กระทบต่อประชาชนถูกตัดสิ นโดย องค์กรภายนอกประเทศ. แม้ศาลในประเทศตนเองประชาชนบางประเทศยังรู ้สึกว่าเชื่อมโยงถึงไม่ได้ จึงไม่มีหลักประกันว่าศาลโลก ณ กรุ งเฮก จะเข้าใจหรื อใยดีต่อชาวกันทรลักษณ์หรื อจอมกระสานต์ได้มากไปกว่าผูน้ าํ ประเทศของประชาชนเหล่านั้น. (ค.) หากศาลใช้อาํ นาจตามกฎหมายอย่างระมัดระวัง รัฐก็ยอ่ มเชื่อถือวางใจใช้กลไกศาลแก้ไขปัญหา. ปรากฏชัดว่ากว่า ๖๐ ปี ที่ผ่านมารัฐมี แนวโน้มนําคดีมาสู่ ศาลมากขึ้นและศาลก็ได้ช่วยคลายปัญหาโดยสันติวิธีในหลายคดี เช่น หลายประเทศในแอฟริ กาได้ทิ้งมีดวางปื น มาจับปากกาเพือ่ ขอให้ศาลช่วยลากเส้นเขตแดนที่อดีตเจ้าอาณานิคมทิ้งปริ ศนาไว้ ประเทศยุโรปที่เคยแย่งกันลากอวนจับกุง้ หอยบัดนี้ ก็รู้ได้วา่ ทะเลส่ วนไหนเป็ นของใคร และมิใช่เรื่ องเขตแดนเท่านั้น เช่น เมื่อประเทศเพื่อนบ้านในอเมริ กาใต้ตกลงกันไม่ได้หลังฝ่ าย หนึ่งใช้เครื่ องบินพ่นยาฆ่าวัชพืชช่วยเกษตรกรของตนแต่ลมกลับพัดสารเคมีไปที่อีกประเทศ ทั้งสองก็ขอศาลให้พิจารณาว่าจะกําจัด วัชพืชอย่างไรให้ยตุ ิธรรม หรื อ ล่าสุ ดญี่ปุ่นและออสเตรเลียก็มีคดีในศาลเกี่ยวกับกรณี การล่าวาฬในมหาสมุทรแอนตาร์กติก เป็ นต้น. หน้าตา “แผนที่เจ้าปัญหา” ประเด็นการเสี ยดินแดน และบทวิเคราะห์น่าสนใจเกี่ยวกับคดี โปรดดูที่ https://sites.google.com/site/verapat/temple


วีรพัฒน์ ปริ ยวงศ์ - ย่อคําพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร (พร้อมหมายเหตุทา้ ยคําพิพากษา

หน้าที่ ๑๐ จาก ๑๔

(๒.) ด้วยเหตุน้ ี ในคดีปราสาทพระวิหารศาลโลกจึงระมัดระวังเรื่ องการใช้อาํ นาจของตนมากและไม่ทาํ หน้าที่มากไปกว่าสิ่ งที่ไทยและกัมพูชาได้ ตกลงให้วินิจฉัย. ศาลก็ได้รับฟังการอธิบายขอบเขตประเด็นพิพาทหลายครั้ง ซึ่งในขั้นแรกทั้งไทยและกัมพูชาก็จาํ กัดข้อต่อสู ้หลักอยูท่ ี่เรื่ อง บริ เวณปราสาทฯ จนกระทัง่ เวลาผ่านไปเกือบ ๒ ปี กว่า กัมพูชาถึงตั้งประเด็นเรื่ องแผนที่ฯอย่างชัดแจ้ง. หากศาลรับประเด็นแผนที่มา วินิจฉัยแล้วย่อมเกิดปัญหาอย่างน้อยสองประการ. ประการแรกคือศาลอาจกระทําเกินอํานาจที่ไทยและกัมพูชาให้ความยินยอมวินิจฉัยคดี มาแต่ตน้ และระบบยุติธรรมระหว่างประเทศก็จะเสี ยความน่าเชื่อถือในที่สุด หรื อประการที่สอง แม้ไทยอาจไม่เคยคัดค้านประเด็นแผนที่ฯ ออกไป แต่ไทยเองก็อาจจะตกเป็ นฝ่ ายเสี ยเปรี ยบอย่างไม่เป็ นธรรม เพราะตลอดเวลาสองปี กว่าที่ผ่านมา กัมพูชาอาจได้ดกั เตรี ยมที่จะต่อสู ้ เรื่ องแผนที่ไว้แล้วโดยที่ไทยไม่มีโอกาสเตรี ยมตัวต่อสูอ้ ย่างเต็มที่ ความยุติธรรมระหว่างคู่พิพาทในการสูค้ ดีกย็ อ่ มเสี ยไป. ศาลจึงมีความ จําเป็ นต้องควบคุมไม่ให้ประเด็นแผนที่ฯ หรื อประเด็นอื่นๆถูกวินิจฉัยเพิม่ เติมอย่างไม่เป็ นธรรม. (๓.) นอกจากเรื่ องการรักษาความยุติธรรม ศาลเองยังจะต้องปฏิบตั ิตามกฎหมายที่ควบคุมศาลด้วย ซึ่งกฎหมายนี้โดยหลักก็คือ “ธรรมนูญศาล ยุติธรรมระหว่างประเทศ” ซึ่ งแม้ชื่อจะเรี ยกว่าธรรมนูญ (Statute) แต่แท้จริ งแล้วเป็ นสนธิสัญญาที่ท้ งั ไทย กัมพูชาและสมาชิกองค์การ สหประชาชาติท้งั หลายทัว่ โลกต่างเป็ นภาคี. การเป็ นภาคีธรรมนูญศาลฯมิได้หมายความว่ารัฐภาคีจะต้องตกอยูใ่ ต้อาํ นาจการพิจารณาคดี ของศาลเสมอไป ในทางกลับกัน ธรรมนูญศาลฯ คือข้อตกลงระหว่างประเทศที่จาํ กัดอํานาจของศาล เช่น หากศาลจะพิจารณาคดีใหม่ ศาล ต้องได้รับความยินยอมจากรัฐ เป็ นต้น. สําหรับเรื่ องว่าด้วย อนุสญ ั ญาฯ-แผนที่ฯ นั้น ธรรมนูญศาลฯ ข้อ ๓๘ (ซึ่ งนักเรี ยนกฎหมายระหว่าง ประเทศทุกคนย่อมท่องได้ข้ ึนใจ) ได้จาํ กัดอํานาจในการพิจารณาคดีของศาลไว้ชดั เจนว่าศาลต้องวินิจฉัยคดีไปตาม (ก.) สนธิสญ ั ญาที่คู่พิพาทยอมรับผูกพัน (ข.) จารี ตประเพณี ระหว่างประเทศที่ยดึ ถือปฏิบตั ิเป็ นกฎหมายโดยทัว่ ไป (ค.) หลักกฎหมายทัว่ ไปอันเป็ นที่ยอมรับโดยนานาอารยชาติ นอกจากนี้ ธรรมนูญศาลฯ ข้อ ๓๘ ยังกําหนดอีกว่า ศาลอาจนําคําวินิจฉัยตุลาการหรื อคําสอนของผูท้ รงคุณวุฒิสูงสุ ดจากนานาชาติมา ประกอบการพิจารณากฎหมาย. ส่ วนการจะวินิจฉัยคดีโดยการอาศัยเพียงหลักความเป็ นธรรมหรื อวินิจฉัยตามธรรมนองคลองธรรม (ex aequo et bono) นั้น ธรรมนูญศาลฯกําหนดว่าศาลจะต้องอาศัยความยินยอมของคู่พพิ าทต่อการนั้นเป็ นการเฉพาะ. ดังนั้น เมื่อแผนที่ฯ มิได้ เป็ นหนึ่งในสิ่ งที่กฎหมายอนุญาตให้ศาลนํามาใช้วินิจฉัยคดี อีกทั้งไทยและกัมพูชาก็ไม่เคยยินยอมให้ศาลวินิจฉัยโดยดูเพียงแผนที่ฯให้ เป็ นไปตามธรรมนองคลองธรรม ศาลจึงไม่มีอาํ นาจวินิจฉัยว่า ตัวแผนที่ฯและเส้นพรมแดนฯนั้นผูกพันไทยหรื อไม่ และตัวแผนที่ฯเองย่อม ไม่สามารถเป็ นเหตุผลหลักที่ศาลใช้วินิจฉัยคดีได้. (๔.) อาจมีผโู ้ ต้แย้งต่อไปว่า ก็ในเมื่อศาลบอกเองว่า แผนที่ฯได้กลายมาเป็ นส่ วนเดียวกันกับอนุสญ ั ญาฯ (integral part) แถมยังกล่าวด้วยว่าเส้น ในแผนที่ฯนั้นมีค่าบังคับสูงกว่า (prevails) เส้นสันปันนํ้า ไทยก็ยอ่ มมีหน้าที่ตอ้ งเคารพผูกพันแผนที่ฯมิใช่หรื อ? ข้อนี้ตอบได้วา่ ไทยย่อม ต้องเคารพปฏิบตั ิตามอนุสญ ั ญาฯ ค.ศ. ๑๙๐๔ แต่การปฏิบตั ิตามอนุสญ ั ญาฯในวันนี้เป็ นเรื่ องของการตีความอนุสญ ั ญาฯตามหลักกฎหมาย ั ญาฯ ค.ศ. ๑๙๖๙ (ไม่วา่ วันนี้ไทยจะเป็ นภาคีหรื อไม่ บางส่ วนของอนุสญ ั ญา ในวันนี้ ซึ่งก็คือ อนุสญ ั ญากรุ งเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสญ ฯนี้กผ็ กู พันไทยในฐานะกฎหมายจารี ตประเพณี ). หากพิจารณาหลักกฎหมายในอนุสญ ั ญากรุ งเวียนนาฯ การตีความอนุสญ ั ญาฯในวันนี้มิใช่ ว่าจะต้องเป็ นไปตามแผนที่ฯ แต่ยงั มีขอ้ สําคัญประการอื่นที่ท้ งั ไทย (และกัมพูชา ซึ่ งเป็ นภาคีเรี ยบร้อยแล้ว) ต้องนํามาประกอบการตีความ เช่น การประพฤติปฏิบตั ิภายหลังระหว่างไทยและกัมพูชา (subsequent practice) และข้อตกลงภายหลังอื่นๆระหว่างไทยและกัมพูชา (subsequent agreement) ที่เกี่ยวข้องกับการตีความอนุสญ ั ญาฯ ที่เคยมีมาตั้งแต่มีอนุสัญญาฯ มิใช่แค่ช่วง ค.ศ. ๑๙๐๔ หรื อ ช่วงที่มีคาํ พิพากษา แต่ตอ้ งพิจารณาทุกสิ่ งที่มีมาจนถึงปัจจุบนั เช่น สมมติวา่ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๓ ไทยและกัมพูชาเคยทําข้อตกลงเกี่ยวกับหลักเขตแดน ทางบก หากไทยพิสูจน์ได้วา่ ข้อตกลง พ.ศ. ๒๕๔๓ แสดงให้เห็นว่าไทยกับกัมพูชามีเจตนาจะร่ วมกันสํารวจและทําแผนที่ฉบับใหม่ข้ ึนมา ใช้แทนที่แผนที่ท้ งั หลายที่มีมาก่อนหน้านี้ ไทยย่อมอาศัยข้อตกลง พ.ศ. ๒๕๔๓ ดังกล่าวมาตีความอนุสญ ั ญาฯค.ศ. ๑๙๐๔ (พ.ศ. ๒๕๐๕) ได้วา่ แผนที่ฯที่กมั พูชาอ้างต่อศาลโลกเมื่อกว่า ๕๐ ปี ที่แล้ว แม้ตอนนั้นศาลจะมองว่าเป็ นส่ วนหนึ่งของอนุสญ ั ญาฯ แต่การกระทําและการ ตกลงระหว่างไทยและกัมพูชาตลอดเวลาที่ผา่ นมาได้พิสูจน์วา่ ณ วันนี้แผนที่ฯ มิได้มีสาระสําคัญสําหรับไทยและกัมพูชาดังที่ศาลเห็นใน อดีตอีกต่อไป เป็ นต้น. ฉันใดก็ฉนั นั้น กัมพูชาก็อาจนําข้อตกลงใน พ.ศ. ๒๕๔๓ มาอ้างตีความในทางตรงกันข้ามได้. ๕. สยามมิใช่ ผู้ทถี่ ูกปิ ดปาก นอกจากความเข้าใจผิดเรื่ องแผนที่ฯแล้ว มักมีผกู้ ล่าวว่าศาลได้อาศัยหลัก estoppel หรื อ “กฎหมายปิ ดปาก” มาวินิจฉัยว่าไทยจะ “อ้าปาก” ปฏิเสธแผนที่ฯ ไม่ได้. เกรงว่าผูท้ ี่กล่าวเช่นนั้นอาจต้องด้วยกฎหมายปิ ดปากเสี ยเอง. ประการแรก คําพิพากษาส่ วนหลักที่ศาลลงมติน้ นั มิได้อาศัย หน้าตา “แผนที่เจ้าปัญหา” ประเด็นการเสี ยดินแดน และบทวิเคราะห์น่าสนใจเกี่ยวกับคดี โปรดดูที่ https://sites.google.com/site/verapat/temple


วีรพัฒน์ ปริ ยวงศ์ - ย่อคําพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร (พร้อมหมายเหตุทา้ ยคําพิพากษา

หน้าที่ ๑๑ จาก ๑๔

หลักกฎหมายปิ ดปากดังกล่าวแต่อย่างใด อีกทั้งผูพ้ ิพากษาชาวอังกฤษเสี ยงข้างมากในคดีน้ ี คือ Sir Gerald Fitzmaurice ได้อธิบายถึงลักษณะของ หลักกฎหมายปิ ดปากว่าไม่เหมาะกับคดีปราสาทพระวิหารที่อาศัยพื้นฐานความยินยอมตามข้อตกลง (ICJ Reports 1962, หน้า 63) อีกทั้งต่อมา ศาลเดียวกันในคดี North Sea Continental Shelf Cases ก็ได้กล่าวถึงหลักกฎหมายปิ ดปากในทางระหว่างประเทศว่า ฝ่ ายที่ถูกปิ ดปากมักประพฤติ ปฏิบตั ิในทางลวงหรื อทําให้อีกฝ่ ายหลงชื่อและเสี ยประโยชน์. ดังนี้ เมื่อพระมหากษัตริ ยแ์ ละบรรพชนชาวสยามได้เจรจาเขตแดนกับมหาอํานาจ เรื อปื นอย่างเปิ ดเผย อาจหาญ และเยือกเย็น เราจึงสมควรร่ วมรณรงค์มิให้อนุชนผูห้ วังดีหลงใช้คาํ ว่า “กฎหมายปิ ดปาก” โดยรู ้เท่าไม่ถึงการ. ๖. หลักการตีความสนธิสัญญา แท้จริ งแล้วหลักกฎหมายสําคัญที่ศาลใช้วนิ ิจฉัยคดีก็คือหลักการตีความสนธิสญ ั ญา แม้มีผอู ้ ธิบายได้ไม่บ่อย แต่มีขอ้ สังเกตดังนี้. (๑.) ศาลได้อาศัยหลักการตีความเจตนาโดยอาศัยบริ บทการประพฤติปฏิบตั ิประกอบกับวัตถุประสงค์สาํ คัญมาปรับเปลี่ยนถ้อยคําตัวอักษรใน อนุสญ ั ญาฯ. ศาลให้ความสําคัญกับการประพฤติปฏิบตั ิของไทยกว่า ๕๐ ปี คือตั้งแต่ช่วง ค.ศ. ๑๙๐๔ ก่อนไทยได้รับแผนที่ฯมา จนกัมพูชา นําคดีมาสู่ศาล เมื่อ ค.ศ. ๑๙๕๙ โดยศาลอาศัยเหตุการณ์สาํ คัญหลายประการมาสรุ ปว่าไทยได้ยอมรับ (accept) แผนที่ฯ และยินยอมโดยนิ่ง เฉยในการที่ควรปฏิบตั ิ (acquiesced) หรื อรับรองโดยปริ ยาย (tacit recognition) หรื อเสี ยสิ ทธิ (precluded) ทั้งนี้ศาลอธิบายประมาณ ๑๑ จาก ๓๗ หน้า. หลักเหล่านี้มิได้เป็ นเรื่ องประหลาด ศาลเองก็ได้นาํ หลักลักษณะเดียวกันหรื อใกล้เคียงกันไปใช้ในคดีอื่น เช่น ในคดีพิพาท พรมแดนกรณี Canada/United States of America (1984) หรื อ กรณี El Salvador/Honduras (ICJ Reports 1992) เป็ นต้น. (๒.) การกล่าวถึงการประพฤติปฏิบตั ิไทยตลอดกว่า ๕๐ ปี ในทางหนึ่งมองได้วา่ เป็ นข้อดีของตุลาการที่ใส่ ใจรายละเอียด แม้ในรายละเอียดอาจ เต็มไปด้วยการสันนิษฐาน แต่สิ่งที่น่าตกใจคือศาลให้ความสําคัญกับหลักการที่ใหญ่กว่าไว้นอ้ ยนิด นัน่ คือหลักการตีความสนธิสัญญาตาม ถ้อยคําตัวอักษร ซึ่ งศาลกล่าวไว้อย่างไม่ชดั เจนเพียง ๒ หน้ากระดาษกว่า คือเบื้องต้นในหน้า ๑๗ และต่อมาในหน้า ๓๓ – ๓๕ ซึ่ งมี ข้อความตอนหนึ่งที่ศาลกล่าวทํานองว่า การวินิจฉัยคดีน้ ีศาลมิได้กระทําไปโดยการตีความปกติ (solely of ordinary treaty interpretation) ซึ่ งอันที่จริ งสิ่ งนั้นเป็ นสิ่ งที่ศาลควรจะได้กระทําตั้งแต่แรก. ในคดีน้ ีศาลไม่เพียงแต่กา้ วข้ามเข้ามาปรับถ้อยคําตัวอักษรโดยเปลี่ยน “สันปั น นํ้า” จากหลักเกณฑ์ให้กลายมาเป็ นเพียงความสะดวกในการอ้างอิง แต่ยงิ่ กว่านั้นศาลยังลบถ้อยคําตัวอักษรคือ “คณะกรรมการผสมฯ” ให้ กลายเป็ นกลไกที่ประหนึ่งไม่มีความจําเป็ น คือสุ ดท้ายแล้วคณะกรรมการผสมฯจะทําหน้าที่ผิดถูกอย่างไร ก็อนุโลมให้ใช้แผนที่ฯซึ่ งฝ่ าย เดียวทําขึ้นก็ได้. ศาลอาศัยการประพฤติปฏิบตั ิมาเดาใจไทยและฝรั่งเศสว่าสิ่ งที่สาํ คัญที่สุดในเวลานั้นคือการตกลงให้มีเส้นกําหนด พรมแดนให้ชดั เจน ทั้งที่ในความเป็ นจริ ง การตกลงพรมแดนอาจเป็ นเรื่ องที่ฝ่ายหนึ่ง ณ เวลานั้น ไม่เคยแม้แต่คิดอยากจะตกลงเพราะ “ดินแดนแบบเดิม” ที่เคยมีอยูก่ ็อาจปกติสุขดีอยูแ่ ล้ว เพียงแต่จาํ ใจต้องตกลงกับอีกฝ่ ายอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ดังนั้น สิ่ งสําคัญที่สุดที่แท้จริ ง ของฝ่ ายนั้นอาจเป็ นการยืนหยัดอย่างอดทน แยบยลและเยือกเย็นเพือ่ ปกป้ องผลประโยชน์ของชาติที่มิมีพละกําลังจะสู้อีกฝ่ าย เมื่อวัดกันที่ กําลังหรื อการกระทํามิได้ ถ้อยคําตัวอักษรบนแผ่นกระดาษจึงเป็ นเพียงหลักประกันชิ้นเดียวที่รับรองความยุติธรรมอย่างเท่าเทียมกันภายใต้ กฎหมาย. (๓.) หลักการตีความโดยยึดถ้อยคําตัวอักษรเป็ นใหญ่น้ ีปรากฏชัดตามอนุสญ ั ญากรุ งเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสญ ั ญาฯ ค.ศ. ๑๙๖๙ ซึ่ ง กําหนดให้ตีความสนธิสญ ั ญาโดยสุ จริ ตและอาศัยความหมายตามปกติของถ้อยคําตัวอักษรที่ปรากฏในบริ บท พร้อมคํานึงถึงวัตถุประสงค์ และความมุ่งหมาย ทั้งนี้การประพฤติปฏิบตั ิระหว่างภาคีสนธิสญ ั ญาเป็ นเพียงข้อที่ตอ้ งพิจารณาประกอบ (taken into account). อาจมีผสู ้ งสัย ว่าเหตุใดศาลจึงมิได้อธิบายถึงหลักการตีความดังกล่าว. ศาลมิได้อา้ งถึงหลักกฎหมายดังกล่าวและก็อา้ งถึงโดยตรงมิได้ เพราะในขณะที่ วินิจฉัยคดีน้ นั อนุสญ ั ญากรุ งเวียนนายังเป็ นเพียงรายงานร่ างพิจารณาในชั้นต้นอีกทั้งเรื่ องการตีความก็มิได้เป็ นหัวข้อที่ได้รับการพิจารณา เป็ นลําดับแรกในการร่ าง อย่างไรก็ดีหลักการตีความดังกล่าวมิได้ถูกประดิษฐ์ข้ ึน ณ กรุ งเวียนนาเมื่อ ค.ศ. ๑๙๖๙ ในบัดดล แต่เป็ นหลักที่ สะท้อนกฎหมายจารี ตประเพณี ระหว่างประเทศเรื่ องการตีความสนธิสัญญาที่ยดึ ถือมาอย่างยาวนาน. ผูพ้ ิพากษาบางท่านในคดีน้ ีก็ยอ่ มทราบ ดีเพราะเคยดํารงตําแหน่งในคณะกรรมาธิการที่มีส่วนสําคัญในการยกร่ างรายงานที่นาํ มาสู่ อนุสัญญาดังกล่าว. ฉะนั้น การตรวจสอบ ความชอบธรรมของคําพิพากษาจึงต้องพิจารณาว่ากฎหมายจารี ตประเพณี ในช่วงเวลาที่เกี่ยวข้องมีเนื้อเช่นใด. (๔.) แต่หากวันนี้เราจะลองตรวจสอบความชอบธรรมของคําพิพากษาโดยอาศัยหลักกฎหมายที่เป็ นสากลในปัจจุบนั จุดเริ่ มต้นย่อมมิใช่ประเด็น ั ญาฯ ค.ศ. ๑๙๐๔ อย่าง ว่าไทยได้ประพฤติปฏิบตั ิกว่า ๕๐ ปี อย่างที่ศาลว่าจริ งหรื อไม่ แต่ตอ้ งเริ่ มพิจารณาจากถ้อยคําตัวอักษรในอนุสญ ละเอียดเสี ยก่อนว่าศาลได้อธิบายถึงปั ญหาถ้อยคําตัวอักษรของอนุสัญญาฯโดยกระจ่างหรื อไม่วา่ ตัวอักษรไม่ชดั หรื อ มีปัญหา หรื อปฏิบตั ิ ไม่ได้อย่างไร อีกทั้งศาลได้ให้ความสําคัญต่อถ้อยคําตัวอักษรกับบริ บทการประพฤติปฏิบตั ิอย่างสมดุลหรื อไม่ ที่สาํ คัญต้องใคร่ ครวญว่า การที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ ายใดทําแผนที่ให้อีกฝ่ าย ทั้งที่รู้ถึงความไม่ชาํ นาญในแผนที่ของอีกฝ่ าย ทั้งที่ทราบดีถึงความตึงเครี ยดทางการทหารที่ตน

หน้าตา “แผนที่เจ้าปัญหา” ประเด็นการเสี ยดินแดน และบทวิเคราะห์น่าสนใจเกี่ยวกับคดี โปรดดูที่ https://sites.google.com/site/verapat/temple


วีรพัฒน์ ปริ ยวงศ์ - ย่อคําพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร (พร้อมหมายเหตุทา้ ยคําพิพากษา

หน้าที่ ๑๒ จาก ๑๔

ได้เปรี ยบอีกฝ่ าย ซํ้ายังทําแผนที่โดยลดประโยชน์ทางดินแดนของอีกฝ่ ายอันต่างไปจากตัวอักษรที่ร่วมตกลงกันและผิดไปจากภูมิศาสตร์ ปกติอย่างเห็นได้ชดั เยีย่ งนี้จะถือว่าจะตีความให้เกิดความผูกพันในทางที่สุจริ ตได้หรื อไม่? หากเราสามารถตอบคําถามเหล่านี้วา่ “ไม่” ประเด็นการยอมรับแผนที่ฯ (acceptance) ก็ดี การยินยอมจากการนิ่งเฉยในการที่ควรปฏิบตั ิ (acquiescence) ก็ดี การเสี ยสิ ทธิ (preclusion) ก็ ั ญา เป็ นการวินิจฉัยกฎหมาย ดี หรื อการรับรองโดยปริ ยาย (tacit recognition) ที่ศาลกล่าวมาทั้งหมดก็ดีน้ นั ย่อมปราศจากมูลฐานในสนธิสญ ที่ขา้ มขั้นตอน น่ากังขาในความชอบธรรม และล้มครื นได้โดยแท้. ๗. การตีความการประพฤติปฏิบัติ ไม่วา่ ศาลจะตีความถ้อยคําในอนุสัญญาฯ ค.ศ. ๑๙๐๔ ถูกต้องหรื อไม่ เราก็ไม่ควรสรุ ปโดยง่ายว่าศาลได้อาศัยการประพฤติปฏิบตั ิต่างๆของ ไทยกว่า ๕๐ ปี มาเป็ นหลักฐานมัดว่าไทยได้ยอมรับแผนที่ฯแล้ว. คนไทยจํานวนไม่นอ้ ยเข้าใจว่าไทยเองเป็ นฝ่ ายมีท่าทียอมรับแผนที่ฯชัดเจน อย่างต่อเนื่องและเป็ นเวลานาน แต่เกรงว่ายังมีขอ้ สําคัญอีกไม่นอ้ ยที่นอ้ ยคนได้พินิจถึง ดังนี้. (๑.) หากเราอ่านคําพิพากษาส่ วนที่มีการลงมติเสี ยงข้างมากแล้ว เราจะพบว่าศาลกล่าวถึงการประพฤติปฏิบตั ิของไทยแยกเป็ นสองช่วง ช่วงแรก คือ ค.ศ. ๑๙๐๘ – ๑๙๐๙ ซึ่ งไทยได้รับแผนที่ฯมา และช่วงที่สองคือ หลัง ค.ศ. ๑๙๐๙ มาจนกระทัง่ ก่อนกัมพูชาฟ้ องคดีใน ค.ศ. ๑๙๕๙. หาก เราถอดรหัสคําพิพากษา จะพบว่าศาลใช้ถอ้ ยคําและภาษาที่แตกต่างกันระหว่างช่วงเวลาทั้งสองอย่างมีนยั สําคัญ ดังต่อไปนี้. (ก.) ในช่วงแรก ศาลใช้ถอ้ ยคําอธิบายหลักฐานหรื อการประพฤติปฏิบตั ิที่ผกู มัดไทยชัดเจน เพือ่ สรุ ปว่าไทยได้ยอมรับแผนที่ฯ เช่นในหน้า ๒๒-๒๓ ศาลใช้ถอ้ ยคําว่า “It is clear” (เห็นได้ชดั ว่า) ถึงสามครั้ง หรื อต่อมาในหน้า ๒๓-๒๔ ศาลใช้คาํ ว่า “is clear from” (เห็นได้ ชัดจาก), “in a very definite way” (ในลักษณะชัดแจ้ง), “must be held to” (ต้องถือว่า), “not merely” (ไม่ใช่แค่เพียง), “must necessarily have known” (ย่อมจําต้องทราบ), “this could only have been because” (ข้อนี้จะต้องเป็ นเพราะว่า), “is shown by” (เห็น ได้จาก), “further evidence” (หลักฐานเพิ่มเติม) หรื อต่อมาในหน้า ๒๖ ศาลใช้คาํ ว่า “make it obvious” (ทําให้เห็นชัดว่า) หรื อ “must be presumed to have known” (ต้องถือว่าได้ทราบ) เป็ นต้น. (ข.) ในทางกลับกัน สําหรับหลักฐานหรื อการประพฤติปฏิบตั ิของไทยในช่วงหลัง ค.ศ. ๑๙๐๙ นั้น ศาลใช้ถอ้ ยคําอย่างระมัดระวังเพือ่ ไม่ ผูกมัดความแน่ใจของศาล ดังจะเห็นได้จากการถ้อยคําที่ไม่เด็ดขาด เช่น ศาลใช้ถอ้ ยคํา “finds it difficult” (แปลอย่างหลวมคือ แม้ศาล เห็นว่าข้อต่อสูไ้ ทยยากที่จะเห็นด้วย แต่มิปักใจว่าเป็ นไปไม่ได้) ถึงสองครั้งในหน้า ๒๗ และ ๓๐ หรื อใช้ถอ้ ยคําเชิงอนุมาน “inference” (กล่าวอย่างหลวมคือ ศาลเดาสรุ ปอย่างมีเหตุผล แต่มิอาจสรุ ปโดยตรงจากข้อเท็จจริ ง) ถึงสองครั้งในหน้า ๒๘ และ ๒๙ หรื อต่อมาในหน้า ๓๐-๓๑ ศาลใช้คาํ ว่า “it appears” (ดูได้วา่ ) และ “What seems clear” (ข้อที่น่าจะชัด) อีกทั้งศาลยังใช้รูปประโยค “either…or” (อย่างใดอย่างหนึ่ง) เพื่ออธิบายใจความตอนสําคัญ คือศาลไม่สรุ ปให้ชดั ว่าการปฏิบตั ิของไทยเป็ นเพราะ (either) ไทย ยอมรับผูกพันตามแผนที่ฯ หรื อ (or) เพราะสาเหตุอื่นอย่างใดอย่างหนึ่ง. (ค.) การเข้ารหัสถ้อยคําที่แตกต่างกันทั้งสองช่วงปรากฏให้เห็นชัดเจนในหน้า ๓๒ โดยสําหรับกรณี หลัง ค.ศ. ๑๙๐๙ เป็ นต้นมานั้นศาล เลือกใช้ถอ้ ยคําที่ครอบคลุม (even if) เพื่อสรุ ปผลโดยมิพึงต้องเข้าระบุเหตุให้ชดั คือกล่าวไม่วา่ ไทยจะยอมรับแผนที่ฯหรื อไม่ ไทยก็ เสี ยสิ ทธิที่จะปฏิเสธการยอมรับแผนที่ฯ ซึ่ งก็สอดคล้องกับย่อหน้าถัดไปที่ศาลกลับไปเน้นถึงการประพฤติปฏิบตั ิของไทยในช่วงก่อน ค.ศ. ๑๙๐๙ ว่านัน่ คือจุดที่ไทยยอมรับแผนที่ฯ ส่ วนสิ่ งที่เกิดขึ้นหลังจาก ค.ศ. ๑๙๐๙ มานั้นเป็ นเครื่ องยืนยันการยอมรับแผนที่ฯของ ไทย. การถอดรหัสข้อความส่ วนนี้ตอ้ งโยงกับข้อความในหน้า ๒๑ ตั้งแต่ช่วงแรก ซึ่ งศาลใช้รูปประโยค “either…or” เพื่อแสดงว่าศาล ยังไม่แน่ใจโดยชัดว่าไทยได้ยอมรับแผนที่ฯไปตั้งแต่ก่อนหรื อหลัง ค.ศ. ๑๙๐๙. (๒.) การตีความถ้อยคําในคําพิพากษาเกี่ยวกับกรณี ก่อนและหลัง ค.ศ. ๑๙๐๙ ที่กล่าวมานี้เป็ นการอาศัยการถอดรหัสเพียงทางหนึ่งจากหลายทาง ผูท้ าํ หมายเหตุเองในฐานะนักกฎหมายผูถ้ อดรหัสก็พอจะโต้แย้งตัวเองกลับได้ เช่น รู ปประโยค either…or เป็ นการเพิ่มความเป็ นไปได้ใน การหักล้างข้อต่อสู ้ของไทย หรื อ “finds it difficult” เป็ นการเน้นจุดอ่อนของข้อต่อสู ้ของไทย หรื อมีผพู ้ ิพากษาที่ร่วมเขียนคําพิพากษาคน ละช่วงโดยมีเอกลักษ์การเขียนที่ต่างกัน ฯลฯ ฉันใดก็ฉนั นั้น ประเด็นคําว่า “it appears” และ “What seems clear” ที่ยกมา แม้จะในโลกของ นักถอดรหัส (ซึ่งก็มิปราศจากอคติ) ก็ตาม อาจจบลงที่วา่ “what seems clear, it appears!” (อะไรที่น่าจะชัด นัน่ เราเห็น!). (๓.) แต่หากเราเห็นด้วยกับการถอดรหัสข้างต้น ก็ยอ่ มตีความต่อได้วา่ (ก.) การปฏิบตั ิของไทยหลัง ค.ศ. ๑๙๐๙ เป็ นต้นมาเป็ นเพียงข้อพิจารณาประกอบการยอมรับแผนที่ฯของไทยที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น (เพียง ๑-๒ ปี ) แต่จะถือว่าสิ่ งอื่นที่ไทยปฏิบตั ิต่อมาประมาณ ๕๐ ปี ผูกมัดไทยชัดแจ้งด้วยตัวเองหรื อไม่น้ นั คําพิพากษามิได้กล่าวไว้ชดั เจน.

หน้าตา “แผนที่เจ้าปัญหา” ประเด็นการเสี ยดินแดน และบทวิเคราะห์น่าสนใจเกี่ยวกับคดี โปรดดูที่ https://sites.google.com/site/verapat/temple


วีรพัฒน์ ปริ ยวงศ์ - ย่อคําพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร (พร้อมหมายเหตุทา้ ยคําพิพากษา

หน้าที่ ๑๓ จาก ๑๔

(ข.) ดังนั้น หากเราจะตรวจสอบความชอบธรรมของ “การยอมรับแผนที่ฯ” ตามที่ศาลอธิบาย เราจึงต้องเน้นพิจารณาสิ่ งที่เกิดขึ้นใน ช่วงเวลาสั้นๆ คือ ค.ศ. ๑๙๐๘ – ๑๙๐๙ ที่ไทยได้รับแผนที่ฯมา หากเราพิเคราะห์ได้วา่ เหตุการณ์ในช่วงเวลาอันสั้นนี้ไม่เพียงพอต่อการ สรุ ปว่าไทยได้ยอมรับแผนที่ฯมาแล้วไซร้ การประพฤติปฏิบตั ิอื่นๆอีก ๕๐ ปี ให้หลังที่ศาลกล่าวมาทั้งหมดก็ยอ่ มขาดนํ้าหนัก เพราะ ศาลก็ยอ่ มมิอาจอ้างเหตุผลประกอบการยอมรับแผนที่ฯ หากไม่มีการยอมรับแผนที่ฯ มาแต่แรก. (ค.) เรื่ องความชอบธรรมของ “การยอมรับแผนที่ฯ” ในช่วง ค.ศ. ๑๙๐๘ – ๑๙๐๙ นี้สมควรจะกล่าวถึงไว้เบื้องต้นบางประเด็น เรื่ องแรก ได้แก่คาํ ว่า “Mixed Commissions” พหูพจน์ในอนุสัญญาฯ ข้อ ๑. ที่ศาลกลับถือเอาเองว่าให้เรี ยกเป็ นเอกพจน์ (Mixed Commission) แต่มีสองแผนก ซึ่ง ต่อมาศาลก็กล่าวถึงชื่อคณะกรรมการที่เป็ นเอกพจน์อย่างมีนยั สําคัญอีกอย่างน้อยสองกรณี กรณี แรกคือคําที่ ปรากฏในหนังสื อจากอัครราชทูตไทย ณ กรุ งปารี ส (คําพิพากษาหน้า ๒๓) และคําที่ปรากฏบนหน้าแผนที่ฯ (หน้า ๒๔) ซึ่งทั้งสอง เป็ นหลักฐานสําคัญที่ศาลนํามาอ้างว่าไทยได้ยอมรับแผนที่ฯให้ประหนึ่งเป็ นผลงานของคณะกรรมการผสมฯ (Mixed Commissions – พหูพจน์ตามอนุสัญญาฯ) แต่ท้ งั นี้ คําที่อคั รราชทูตไทยอ้างถึงก็ดี หรื อที่ปรากฏบนหน้าแผนที่ฯก็ดี ล้วนเป็ นคําเอกพจน์ และจะถือว่า ั ญาฯกําหนดให้เป็ นพหูพจน์ หรื อไม่อย่างไรนั้นศาลมิได้อธิบาย. แตกต่างอย่างมีนยั สําคัญกับคําว่า “Mixed Commissions” ที่อนุสญ ฝ่ ายไทยอาจชอบที่จะเข้าใจว่าแผนที่ฯ คือเป็ นผลงานของคณะกรรมการผสมฝ่ ายฝรั่งเศส (Commission – เอกพจน์) เพียงฝ่ ายเดียวโดย แท้ก็เป็ นได้ แต่ศาลมิได้อธิบายถึงเช่นกัน. หากหลักฐานสําคัญทั้งสองกรณี พิจารณาอย่างหละหลวมแล้วไซร้ ความชอบธรรมของ “การยอมรับแผนที่ฯ” ในช่วง ค.ศ. ๑๙๐๘ – ๑๙๐๙ นี้กย็ อ่ มล้มครื น. (ง.) ไม่วา่ คําพิพากษาจะล้มครื นเพราะศาลสับสนในเอกพจน์-พหูพจน์หรื อไม่ อีกประเด็นที่กงั ขาอยูก่ ค็ ือมาตรฐานที่ศาลใช้วดั ความรู ้ ความเข้าใจที่แท้จริ งของไทย (สยามในเวลานั้น) เกี่ยวกับระบบแผนที่แบบตะวันตกในบริ บทที่ไม่ปกติ. ศาลกล่าวในหน้า ๒๖-๒๗ ฟังประหนึ่งว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยเมื่อรับแผนที่ฯมาก็ควรจะได้ตรวจสอบและเห็นความผิดปกติอย่างเด่นชัดในทันที อย่างไรก็ดี หาก เรานึกย้อนไปถึงช่วง ค.ศ. ๑๙๐๘ – ๑๙๐๙ ไทยมิได้เพียงแต่ขาดความชํานาญและอาศัยความเชื่อใจฝรั่งเศสเท่านั้น แต่บริ บทของ กรอบเวลาอันสั้นนั้นเป็ นเวลาที่ผเู้ กี่ยวข้องต่างใจจดใจจ่อกับเรื่ องในภาพใหญ่ คือดินแดนที่มิใช่เฉพาะบริ เวณเทือกเขาดงรักแต่เกือบ ทั้งแนวพรมแดน ทั้งตามอนุสญ ั ญาฯ ค.ศ. ๑๙๐๔ และหนังสื อสัญญาใน ค.ศ ๑๙๐๗ เรื่ องแผนที่เป็ นเพียงข้อพิจารณาส่ วนหนึ่งแต่ก็ มิใช่ท้งั หมด อีกทั้งแผนที่กท็ าํ ขึ้นพร้อมกัน ๑๑ ฉบับ มิใช่ฉบับที่เป็ นปั ญหาเท่านั้น. จึงยังเป็ นที่กงั ขาอยูว่ า่ ศาลได้มีความละเอียดอ่อน ต่อความไม่พร้อมอันชอบธรรมตามความเป็ นจริ งในส่ วนของฝ่ ายไทยมากน้อยเพียงใด. อนึ่ง ผูท้ าํ หมายเหตุเองก็ได้มีโอกาสกางแผน ที่ฯดูดว้ ยตนเองที่บา้ น (ในจอภาพความละเอียดสู งขนาด ๔๒ นิ้ว) และก็ขอสารภาพอย่างตรงไปตรงมาว่าตนเองก็มิได้สงั เกตเห็น สัญลักษณ์ปราสาทพระวิหารโดยชัดและทันทีดงั ที่ศาลกล่าวไว้ในคําพิพากษา ทั้งนี้ ผูอ้ ่านที่สนใจสามารถเปิ ดดูภาพแผนที่ฯและ ทดสอบทักษะตนเองได้ที่เว็บไซต์ของผูท้ าํ หมายเหตุ (https://sites.google.com/site/verapat/temple/annex-i-map). (จ.) สมมติวา่ รู ปเอกพจน์-พหูพจน์ของ “คณะกรรมการผสมฯ” ไม่ทาํ ให้เกิดปัญหา และสมมติวา่ ไทยเป็ นฝ่ ายเลินเล่ออ่านแผนที่ฯผิดพลาด เองก็ดี อีกประเด็นที่ยงั กังขายิง่ นักก็คือเรื่ องการทําพรมแดนให้ชดั เจนเป็ นที่สิ้นสุ ด ซึ่ งศาลอ้างไว้ในหน้า ๑๗ ประกอบกับหน้า ๒๐ และ หน้า ๓๔-๓๕. ศาลอธิบายทํานองว่าสันปั นนํ้าไม่ชดั เจนและเป็ นเพียงวิธีอา้ งอิงที่สะดวก ไทยจึงตกลงยอมรับแผนที่ฯเพื่อ “ปั ก ปั น” พรมแดนให้ชดั เจน. ปัญหาในขั้นแรกที่กล่าวมาแล้วคือ ศาลไม่ได้อธิบายว่ามีขอ้ เท็จจริ งใดที่พิสูจน์วา่ สันปั นนํ้าไม่ชดั เจน นอก ไปจากการเดาใจภาคีอนุสญ ั ญาฯ. ปั ญหาต่อมาคือศาลดูจะเข้าใจคําว่า “ปั กปั น” ว่าต้องอาศัยแผนที่ฯ. การใช้ศพั ท์เทคนิคเกี่ยวกับ พรมแดนนี้เป็ นเรื่ องที่ท้ งั นักกฏหมาย วิศวกรและผูเ้ ชี่ยวชาญอื่นๆได้ถกเถียงกันมานาน. โดยทัว่ ไป “การปักปั น” หรื อ delimitation หมายถึงการอธิบายเส้นเขตแดนบนเอกสาร เช่น การลากเส้นบนแผนที่ การปักปั นมักอาศัยการเจรจาและการสํารวจพื้นที่แต่กไ็ ม่ เสมอไป. การปั กปั นนั้นต่างกับการตกลง “บทนิยาม” (definition) ซึ่ งหมายถึงการใช้ถอ้ ยคําอธิ บายว่าเขตแดนนั้นเป็ นอย่างไร อาจ อาศัยธรรมชาติมาช่วยนิยาม เช่น แม่น้ าํ ภูเขา หรื อสันปันนํ้า หรื ออาศัยสิ่ งอื่น เช่น ทางรถไฟ หรื อแนวกําแพงโบราณ ฯลฯ. การปั ก ปั นนั้นต่างกับ “การปั กเขต” หรื อ demarcation ซึ่ งมักใช้วตั ถุปักลงบนพื้นดิน หรื ออาจใช้วิธีอื่น เช่น อาศัยร่ องนํ้าลึกตามธรรมชาติก็ เป็ นได้. หากกล่าวพอเป็ นตัวอย่าง วิธีจดั ทําเขตแดนรู ปแบบหนึ่ง อาจเริ่ มจากการที่สองประเทศตกลง “บทนิ ยาม” ในสนธิสญ ั ญาก่อน จากนั้นจึงมีคณะกรรมการไปสํารวจพื้นที่เพือ่ “ปักปัน” โดยลากเส้นบนแผนที่ จากนั้นจึงส่ งเจ้าหน้าที่ไป “ปั กเขต” ในพื้นที่ตามเส้น ในแผนที่ เป็ นต้น แต่ขอ้ สําคัญคือบางประเทศอาจใช้วิธีอื่นที่ไม่เหมือนกันเลยและอาศัยขั้นตอนหรื อชื่ออื่นๆ ก็เป็ นได้ เช่น allocation, fixation, delineation, abornement, administration ฯลฯ หรื อจะเรี ยกทุกขั้นรวมกันว่า delimitation ก็เป็ นได้ (ผูส้ นใจ โปรดดู Rushworth, IBRU Boundary and Security Bulletin (1997), 61). ดังนั้น การที่ศาลสรุ ปทํานองว่าการยอมรับแผนที่ฯเป็ นขั้นตอน สําคัญของการปักปันพรมแดนในช่วง ค.ศ. ๑๙๐๘ – ๑๙๐๙ นั้น เป็ นที่กงั ขาว่าศาลได้อธิบายข้อสรุ ปส่ วนนี้ไว้หนักแน่นเพียงใด.

หน้าตา “แผนที่เจ้าปัญหา” ประเด็นการเสี ยดินแดน และบทวิเคราะห์น่าสนใจเกี่ยวกับคดี โปรดดูที่ https://sites.google.com/site/verapat/temple


วีรพัฒน์ ปริ ยวงศ์ - ย่อคําพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร (พร้อมหมายเหตุทา้ ยคําพิพากษา

หน้าที่ ๑๔ จาก ๑๔

๘. พระนามเต็ม หรือ ชื่อเต็ม สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ หมายถึง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดํารงรา ชานุภาพ. หนังสื อสัญญาเรื่ องเขตแดนระหว่างสยามและฝรั่งเศส วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๐๔ หมายถึง อนุสญ ั ญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ั ญาฉบับลงวันที่ ๓ ตุลาคม รัตนโกสิ นทรศก ๑๑๒ ว่าด้วยดินแดนกับข้อตกลงอื่น ๆ ฉบับลงนาม ณ กรุ งปารี ส แก้ไขเพิ่มเติมข้อบทแห่ งสนธิสญ ั ญาระหว่างพระเจ้า เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ รัตนโกสิ นทรศก ๑๒๒. หนังสื อสัญญาอีกฉบับใน ค.ศ. ๑๙๐๗ และพิธีสาร หมายถึง สนธิสญ แผ่นดินสยามกับประธานาธิบดีแห่ งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ฉบับลงนาม ณ กรุ งเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม รัตนโกสิ นทรศก ๑๒๕ กับพิธี สารว่าด้วยการปักปันเขตแดนแนบท้ายสนธิสญ ั ญา ฉบับลงวันที่ ๒๓ มีนาคม รัตนโกสิ นทรศก ๑๒๕. ๙. คําแปลคําพิพากษา ผูท้ าํ หมายเหตุยงั ไม่มีโอกาสได้ตรวจสอบความถูกต้องของคําแปลคําพิพากษาฉบับที่เผยแพร่ โดยสํานักทําเนียบนายกรัฐมนตรี ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๕ อย่างไรก็ดี มีขอ้ สังเกตเบื้องต้นดังนี้.

เมื่อวันที่

(๑.) มีขอ้ ความที่ขาดไปจากคําแปล เช่น ในคําพิพากษาหน้า ๒๖ มียอ่ หน้าสั้นที่มีใจความว่า “แผนที่แสดงให้เห็นชัดว่าปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ บนฝั่งกัมพูชา โดยมีสญ ั ลักษณ์บ่งบอกตัวปราสาทและทางบันไดพอสังเขป” แต่คาํ แปลช่วงเดียวกันในหน้า ๓๕-๓๖ ไม่ปรากฏใจความ ดังกล่าว หรื อ คําพิพากษาหน้า ๒๗ ปรากฎการขึ้นย่อหน้าที่ไม่ตรงกับคําแปลหน้า ๓๗. (๒.) เรื่ องการเลือกใช้ถอ้ ยคํานั้น นอกจากกรณี คาํ ว่า precincts หรื อ vicinity ที่กล่าวไว้ในหมายเหตุน้ ีแล้ว ยังมีคาํ แปลอื่นอีกมากที่มีนยั สําคัญ เช่น คําแปลหน้า ๑๖ ย่อหน้าสุ ดท้ายแปล “region” ว่า “อาณาบริ เวณ” ซึ่งมีนยั สําคัญต่างจากคําว่า คําว่า “บริ เวณ” หรื อ คําแปลหน้า ๔๒ ย่อ หน้าสุ ดท้ายได้แปล “it appears” ว่า “ก็เท่ากับเป็ น” และ แปล “What seems clear” ว่า “สิ่ งที่ปรากฏชัด” แต่หากอาศัยการถอดรหัสคํา พิพากษาที่กล่าวถึงเหตุการณ์ก่อนและหลัง ค.ศ. ๑๙๐๙ อย่างแตกต่างกัน เราอาจพิจารณาใช้คาํ แปลที่ผกู มัดศาลน้อยลง. นอกจากนี้ คําแปล แปล “frontier” ว่า “เขตแดน” แต่บทย่อใช้คาํ ว่า “พรมแดน” ส่ วนคําว่า “boundary” ทั้งคําแปลและบทย่อใช้คาํ ว่า “เขตแดน” เหมือนกัน คํา เหล่านี้อาจมีนยั สําคัญที่ต่างกันในทางพิจารณาของศาล แม้อนุสญ ั ญาฯภาษาไทยจะใช้คาํ ว่า เขตแดน และคําคู่ความของไทยจะใช้คาํ ว่า “boundary line” แต่ในคําพิพากษาศาลกลับใช้คาํ ว่า “frontier line” แทบทั้งหมด จึงเป็ นอีกจุดที่สมควรพิจารณา. (๓.) ผูท้ าํ หมายเหตุไม่ทราบว่าคําพิพากษาภาษาอังกฤษจากเว็บไซต์ศาลในปัจจุบนั มีขอ้ ความตรงกับฉบับที่ผแู ้ ปลได้รับเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕ หรื อไม่ แต่สิ่งที่สมั ผัสทราบได้จากคําแปล คือความทุ่มเทตั้งใจของผูท้ าํ คําแปลที่สามารถเผยแพร่ ขอ้ มูลสู่ประชาชนได้เพียงภายใน ๑๕ วัน หลังศาลมีคาํ พิพากษาและมีคุณค่าแก่การศึกษาถึงทุกวันนี้ . จึงขอฝากกําลังใจไปยังนักกฎหมายกระทรวงการต่างประเทศและทุกฝ่ ายที่ เกี่ยวข้องหากจะร่ วมกันเริ่ มต้นจากการชําระคําแปลเอกสารประวัติศาสตร์สาํ คัญฉบับนี้ อีกทั้งข้อเท็จจริ งที่เกี่ยวข้อง อย่างน้อยก็เพื่อ ประโยชน์ของอนุชนสื บไป. ๑๐. กฎหมายระหว่ างประเทศ การแก้ไขปัญหาระหว่างไทยและกัมพูชาให้เป็ นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศมิได้ยดึ ติดอยูก่ บั เพียงคําพิพากษาหรื อข้อตกลงบางฉบับ เท่านั้น แต่ยงั มีหลักการและกลวิธีที่เกี่ยวข้องอีกมาก เช่น หลักทัว่ ไปตามข้อ ๗๔ แห่ งกฎบัตรสหประชาชาติหรื อมติสมัชชาใหญ่แห่ งสหประชาชาติที่ ๒๖๒๕ เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๑๙๗๐ หรื อการประยุกต์กลไกในระบบสนธิสญ ั ญาแอนตาร์ กติก ค.ศ. ๑๙๕๙ ที่ทุกฝ่ ายต่างได้ เพราะทุกฝ่ ายต่างยอม. (จบหมายเหตุทา้ ยคําพิพากษา)

หน้ าตา “แผนที่เจ้ าปั ญหา” ที่กัมพูชานํามาอ้ างโต้ แย้ งอธิ ปไตยของไทย ภาพสี สดละเอียดแบบ Hi-Definition ข้ อมูลเบือ้ งลึกเรื่ องการเสี ยดินแดนจากพันธมิตรฯ ภาคีเครื อข่ ายฯ นักวิชาการหลากสํานัก ฯลฯ มุมมองของรั ฐบาลตั้งแต่ สมัยพรรคพลังประชาชนมาจนประชาธิปัตย์ ภาพถ่ ายสวยๆ มรดกโลกของเรา โปรดดูที่ https://sites.google.com/site/verapat/temple หน้าตา “แผนที่เจ้าปัญหา” ประเด็นการเสี ยดินแดน และบทวิเคราะห์น่าสนใจเกี่ยวกับคดี โปรดดูที่ https://sites.google.com/site/verapat/temple


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.