»¯Ô¨¨ÊÁØ»ºÒ· ©ºÑº ÇÔ à¤ÃÒÐËì -Êѧà¤ÃÒÐËì
จัดพิมพและเผยแพรโดย ธรรมสถานจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ขอขอบพระคุณ ศาสตราจารย ดร.มงคล เดชนครินทร ราชบัณฑิต สํานักวิทยาศาสตร ราชบัณฑิตยสถาน ที่ไดกรุณาตรวจแกสํานวนและวรรคตอนใหถูกตองและเหมาะสม
"ปฏิจจสมุปบาท ฉบับวิเคราะห-สังเคราะห” เรียบเรียง : เภสัชกรสุรพล ไกรสราวุฒิ
พิมพครัง้ ที่ 1 : พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ธรรมสถานฯ จํานวน 4,000 เลม หลวงพอปฏิจจะ สัมมัตตะ10 (พระวินยั สิรธิ โร) จํานวน 1,000 เลม ขอมูลทางบรรณานุกรมของหอสมุดแหงชาติ สุรพล ไกรสราวุฒิ. ปฏิจจสมุปบาท ฉบับวิเคราะห-สังเคราะห.- - กรุงเทพฯ : ธรรมสถานจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, 2553. 48 หนา. 1. ธรรมะกับชีวิตประจําวัน. I. ชื่อเรือ่ ง.
294.3144
ISBN : 978-616-551-210-7 บรรณาธิการอํานวยการ : ศาสตราจารยกติ ติคณ ุ ดร.ระวี ภาวิไล บรรณาธิการ : เภสัชกรสุรพล ไกรสราวุฒิ ออกแบบปก : นายมาโนช กลิน่ ทรัพย พิสูจนอักษร : นางปาลิดา จิรภาธงชัย ประสานงาน : นางสาวปทุมรัตน กิจจานนท, นางนิติพร ใบเตย พิมพที่ : โรงพิมพแหงจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย 254 ถ.พญาไท เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 โทร.0-2215-1991-2 ลิขสิทธิ์ : ธรรมสถานจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย โทร. 0-2218-3018 Website : http://www.dharma-centre.chula.ac.th Email : dharma-centre@chula.ac.th
คํานํา โดย ศาสตราจารยกิตติคุณ ดร.ระวี ภาวิไล *******************
สารบัญ l ปฏิจจสมุปบาทคือกฎธรรมชาติที่พระพุทธองคตรัสรู l เห็นปฏิจจสมุปบาท คือเห็นธรรม และเห็นพระพุทธเจา l ปฏิจจสมุปบาท เปนอริยญายธรรม l ปฏิจจสมุปบาท เปนธรรมที่รูตามยาก เห็นไดโดยยาก l ความหมายและอาการแหงปฏิจจสมุปบาท l จากปฏิจจสมุปบาท ประยุกตมาเปนอริยสัจ 4 lความหมายขององคธรรมแตละองคในปฏิจจสมุปบาทตามพระพุทธวจนะ lประมวลแนวทางอธิบายปฏิจจสมุปบาท 3 นัย ที่ ปรากฏในแวดวงชาวพุทธ l มู ลเหตุ ที่ ทําให มี การอธิ บ ายปฏิ จ จสมุ ป บาทในลั ก ษณะเป น 3 ชาติ และในลักษณะเปนกลไกการเกิดขึ้นของทุกขในปจจุบัน l การอธิ บายปฏิ จจสมุ ปบาทที่ แสดงว า เป นกระบวนการหรื อ กลไกการ เกิดขึ้นของทุกขในชีวิตประจําวัน ถูกตองตามหลักพุทธธรรมหรือไม ? lการอธิ บายและวิ เคราะห -สั งเคราะห ปฏิ จจสมุ ปบาท ตามนั ยที่ เ ป น กลไกการเกิดขึ้นของทุกขในปจจุบัน ♦เงื่อนไขสําคัญที่จะตองรูกอน ♦มองปฏิจจสมุปบาทโดยภาพรวม (bird’s-eye view) ♦วิเคราะห-สั งเคราะห อวิชชาเปนป จจั ยให เกิดสั งขาร ♦วิเคราะห-สั งเคราะห สั งขารเป นปจจั ยใหเกิ ดวิ ญญาณ ♦วิ เคราะห-สั งเคราะห วิ ญญาณเปนป จจั ยให เกิดนามรู ป ♦วิ เคราะห -สั งเคราะห นามรู ปเป นป จจั ยให เ กิ ดสฬายตนะ ♦วิ เคราะห-สั งเคราะห สฬายตนะเป นป จจัยให เกิ ดผัสสะ ♦วิเคราะห-สังเคราะห ผัสสะเปนปจจัยใหเกิดเวทนา ♦วิเคราะห-สั งเคราะห เวทนาเปนปจจัยใหเกิดตัณหา ♦วิเคราะห-สังเคราะห ตั ณหาเป นป จจั ยให เกิดอุ ปาทาน ♦วิเคราะห-สังเคราะห อุปาทานเปนปจจัยใหเกิดภพ ♦วิเคราะห-สังเคราะห ภพเปนปจจัยใหเกิดชาติ ♦วิเคราะห-สังเคราะห ชาติเปนปจจัยใหเกิดชรามรณะ l ผลของความเขาใจและรูแจงในปฏิจจสมุปบาท l การประยุกตปฏิจจสมุปบาท เปนหมวดธรรมตาง ๆ ♦จากปฏิจจสมุปบาท ประยุกตเปนอริยสัจ 4 และกิจในอริยสัจ 4 ♦จากปฏิจจสมุปบาท ประยุกตมาเปนพระอริยบุคคล 4 และสังโยชน 10 ♦จากปฏิจจสมุปบาท ประยุกตมาเปนเรื่องกรรม l บทสรุป / ดรรชนีคนคํา
หนา 1 2 2 3 3 5 7 8 10 11 12 12 15 18 20 21 24 25 27 28 28 30 30 32 33 34 34 37 41 43 / 44
»¯Ô¨¨ÊÁØ»ºÒ· ©ºÑºÇÔà¤ÃÒÐËì-Êѧà¤ÃÒÐËì
***********************************
ปฏิจจสมุปบาท เปนหลักธรรมสําคัญที่สุดและ
เขาใจยากทีส่ ดุ เรือ่ งหนึง่ ในพระพุทธศาสนา
ปฏิจจสมุปบาทคือกฎธรรมชาติทพ ี่ ระพุทธองคตรัสรู ความสําคัญยิง่ ของ ปฏิจจสมุปบาท คือ เปนธรรมอยางที่ เรียกวาเปน ธรรมธาตุ หรือกฎธรรมชาติ ทีม่ อี ยูแ ลว อยางทีพ่ ระพุทธองคตรัสไววา เปน ธัมมฐิติ (ความตัง้ อยูแ หงธรรมดา) เปน ธัมมนิยาม (ความเปนกฎตายตัวแหงธรรมดา) และยังไดตรัสสําทับลงไปใหเห็นถึง ความเฉียบขาดของกฎธรรมชาตินอ้ี กี วา เปน ตถตา (เชนนัน้ เอง) เปน อวิตถตา (ไมเปนเชนนัน้ ไมได) และเปน อนัญญถตา (เปนอยางอืน่ ไมได) เปนกฎที่ยืนยงและเปนอยูเชนนั้น ไมวาพระพุทธเจาจะทรง อุบตั ขิ นึ้ หรือไมกต็ าม 1
การตรัสรูของพระพุทธเจา กลาวไดวา คือการคนพบ และรูแจงแทงตลอดในปฏิจจสมุปบาทนี้เอง และจากปฏิจจสมุปบาทที่ตรัสรู จึงไดนํามาตรัสบอก แสดง บัญญัติ แตงตั้ง เปดเผย จําแนก กระทําใหตื้น1 จนกลายมาเปนพระธรรมที่ ตรัสสอนทัง้ หมด เห็น ปฏิจจสมุปบาท คือ เห็นธรรม และเห็นพระพุทธเจา ดังนัน้ การทีจ่ ะรูเ ขาใจธรรมทีต่ รัสสอน ตลอดจนภาวะแหงพุทธะ (= ภาวะแหงการรู ตืน่ เบิกบาน ซึง่ อันทีจ่ ริงคือภาวะทีป่ ฏิจจสมุปบาท ถูกดับลงจนหมดสิน้ ) ไดถกู ตองและตรงกับพุทธประสงคอยางแทจริง ก็ดว ยความรูค วามเขาใจ และการรูแ จงในปฏิจจสมุปบาทเปนพืน้ ฐาน สําคัญ สมดังพระพุทธพจนทต่ี รัสวา “ผูใ ดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผูน นั้ เห็นธรรม” 2 และ “ผูใ ดเห็นธรรม ผูน นั้ เห็นเรา(ตถาคต)” 3 ปฏิจจสมุปบาท เปนอริยญายธรรม ความสําคัญยิง่ ของปฏิจจสมุปบาทอีกประการหนึ่ง คือ เปน อริ ยญายธรรม4 (สิ่ งที่ ควรรู อันประเสริฐ) และเพราะไมรู ไมแจง แทงตลอดในปฏิจจสมุปบาท จึงทําใหจติ ของหมูส ตั วเปนเหมือนกลุม ดายยุง พันกันยุง เหมือนหญามุงกระตายและหญาปลอง ยอมไมสามารถ ลวงพนอบาย(ความเสือ่ ม) ทุคติ(ทางไปทีไ่ มด)ี วินบิ าต(ทีท่ ่มี ีแตทกุ ข และการลงโทษ) และสังสารวัฏ(การเวียนวายตายเกิด) ไปได 5 1
3 5
พระไตรปฎกเลมที่ 16 ขอ 61 ; พระไตรปฎกเลมที่ 17 ขอ 216 ;
2
4
พระไตรปฎกเลมที่ 12 ขอ 346 ; พระไตรปฎกเลมที่ 16 ขอ 159 ;
พระไตรปฎกเลมที่ 16 ขอ 225
2
ปฏิจจสมุปบาท เปนธรรมทีร่ ตู ามยาก เห็นไดโดยยาก ปฏิจจสมุปบาท เปนธรรมที่ลมุ ลึกเหลือประมาณ ลึกซึง้ ใน ระดับเทียบเคียงไดกบั เรือ่ งของ “นิพพาน” เลยทีเดียว ถึงขัน้ ทีพ่ ระพุทธเจา เมือ่ หลังจากตรัสรูใ หม ๆ ทรงรูส กึ ทอพระทัย และปรารภที่จะไมสอน ในตอนตน เพราะเล็งเห็นวาเรื่องนี้เปนเรื่องที่ลึก รูตามยาก เห็นได โดยยาก เปนธรรมสงบระงับ ประณีต อันความตรึกหยัง่ ไมถงึ ละเอียด รูไ ดแตบณ ั ฑิต การสอนเรือ่ งนีน้ า จะเปนการเหน็ดเหนือ่ ยเปลา6 แตดว ย พระมหากรุณาธิคณ ุ ไดทรงพิจารณาเห็นวา อาจมีบคุ คลบางคนอยางที่ เรียกวา เปนผูมีธุลีในดวงตานอย ซึ่งสามารถรูตามและเห็นตามได จะเสียโอกาส เพราะไมไดยินไดฟ ง จึงทรงเปลี่ ยนพระทัยที่ จะนํา มาสอน และยังมีอีกกรณีที่พระพุทธเจาไดตรัสเตือนพระอานนทวา อยากล าวเชนนั้ น เมื่ อไดกลาวถึงปฏิจจสมุปบาทวา แมเป นธรรม ทีล่ กึ ซึง้ แตกป็ รากฏแกทา นเหมือนเปนธรรมงาย ๆ7 ดั งนั้ น การเรี ยนรู ในเรื่ องปฏิ จจสมุ ปบาทนี้ จึ งควร กระทําอยางระมัดระวัง ดวยความรอบคอบ และละเอียดออน อยางยิ่ง ความหมายและอาการแหง ปฏิจจสมุปบาท ปฏิจจสมุปบาท ออกเสียงตามภาษาบาลี อานวา ปะ-ติดจะ-สะ-หมุบ-บาด แตหากออกเสียงตามภาษาไทยที่คนุ เคยกันทัว่ ไป อานวา ปะ-ติด-จะ-สะ-หมุบ-ปะ-บาด 6
พระไตรปฎกเลมที่ 13 ขอ 509 ;
7
พระไตรปฎกเลมที่ 16 ขอ 224
3
ปฏิจจสมุปบาท แยกศัพทไดเปน ปฏิจจฺ + สํ + อุปปฺ าท ปฏิจจฺ มีความหมายวา สัมพันธกนั อิงอาศัยกัน สํ มีความหมายวา พรอมกัน หรือดวยกัน อุปปฺ าท มีความหมายวา การเกิดขึน้ ความหมายโดยสรุป คือ การเกิดขึ้ นเพราะอิงอาศัยกัน ซึง่ ในทีน่ ค้ี อื การอิงอาศัยกันเกิดขึน้ ของทุกข หรือกลาวโดยภาษา สมัยใหมวา คือ กลไกการเกิดขึน้ ของทุกข นัน่ เอง การแสดงปฏิจจสมุปบาทของพระพุทธเจานั้น ยักเยื้องเปน หลายรูปแบบ แตในรูปแบบทีถ่ อื เปนมาตรฐานไดตรัสไวเปน 11 อาการ มี 12 องคธรรม ดังนี้ เพราะอวิชชาเปนปจจัย สังขารจึงมี เพราะสังขารเปนปจจัย วิญญาณจึงมี เพราะวิญญาณเปนปจจัย นามรูปจึงมี เพราะนามรูปเปนปจจัย สฬายตนะจึงมี เพราะสฬายตนะเปนปจจัย ผัสสะจึงมี เพราะผัสสะเปนปจจัย เวทนาจึงมี เพราะเวทนาเปนปจจัย ตัณหาจึงมี เพราะตัณหาเปนปจจัย อุปาทานจึงมี เพราะอุปาทานเปนปจจัย ภพจึงมี เพราะภพเปนปจจัย ชาติจงึ มี เพราะชาติเปนปจจัย ชราและมรณะจึงมี ความโศก ความคร่ําครวญ ทุกข โทมนัส และ ความคับแคนใจ จึงมีพรอม ความเกิดขึน้ แหงกองทุกขทงั้ ปวงนี้ จึงมีได ดวยประการฉะนี้
4
ในหนังสือนี้ ผูเรียบเรียงจะกลาวถึงเฉพาะปฏิจจสมุปบาท ในรูปแบบขางตนนี้ ซึง่ หากเขาใจดีแลว ก็เปนอันวาจะเขาใจในรูปแบบ อื่น ๆ ที่ตรัสทั้งหมด จากปฏิจจสมุปบาท ประยุกตมาเปนอริยสัจ 4 ปฏิจจสมุปบาท เปนกฎธรรมชาติที่แสดงใหเห็นกลไกการ เกิดขึ้นและดับลงของทุกข โดยเริ่มตนจากอวิชชา ทําใหเกิดสังขาร --> วิญญาณ --> นามรูป --> สฬายตนะ --> ผัสสะ --> เวทนา --> ตัณหา --> อุปาทาน --> ภพ --> ชาติ --> ชรา มรณะ โสกะปริเทวะทุกขโทมนัสอุปายาส และมีคาํ สรุปในตอนทายวาความเกิดขึ้นพรอมแหง กองทุกขทง้ั สิน้ นี้ ยอมมีดว ยอาการอยางนี้ สวนความดับลงของอวิชชา ไปตามลําดับจนหมดสิน้ กระแสปฏิจจสมุปบาท ก็คอื ความดับลงแหง กองทุกข จากปฏิจจสมุปบาทซึ่ งเปนเรื่ องลึกซึ้ งและเขาใจยาก เมื่ อ พระพุทธเจาจะทรงนํามาตรัสสอน เพือ่ ใหเขาใจงายขึน้ และสามารถนํา ไปปฏิ บัติได โดยงาย ไดทรงประยุ กตและจําแนกแจกแจงใหม เปน อริยสัจ 4 โดยนําเอาชาติ ชรา มรณะ โสกะปริเทวะทุกขโทมนัส อุปายาส มาจัดใหอยูร วมกันและใหชอื่ เรียกใหมวา อุปาทานขันธ 5 และจัดใหเปน ทุกข และนําเอา ตัณหา มาจัดเปน สมุทยั เอา ความดับสิน้ ไปแหงตัณหา มาจัดเปน นิโรธ 5
อริยสัจ 4 ไมไดแสดงใหเห็นกลไกการเกิดขึน้ ของทุกขอริยสัจ คื อ ชาติ ชรา มรณะ ฯลฯ และสมุ ทั ย คื อตั ณหา ตลอดจนนิ โรธ วามีทม่ี าทีไ่ ป มีกลไกสัมพันธกนั มาเปนลําดับอยางไร เหมือนอยางที่ แสดงไวในปฏิจจสมุปบาท สวน มรรค นัน้ ปฏิจจสมุปบาทไดแสดงไว เปนการมี วิชชา หรือความรูแ จงแทงตลอดในปฏิจจสมุปบาท นัน่ เอง ซึ่งเปนสิ่งที่ ทําใหจติ หลุดพนจากอบาย ทุคติ วินบิ าต และสังสารวัฏ ดังทีไ่ ดกลาว ไปแลว สําหรับอริยสัจ 4 ไดแสดงไววา คืออริยมรรคมีองค 8 ซึง่ หาก พิจารณาใหดแี ลวจะเห็นวาเปนเรือ่ งเดียวกัน เพราะอริยมรรคมีองค 8 เมื่อปฏิบัตจิ นครบถวนสมบูรณแลว จะทําใหเกิดสัมมาญาณะ และ ตามดวยสัมมาวิมตุ ติ (ดูสมั มัตตะ10)8 สัมมาญาณะนี้ คือ วิชชา สวนสัมมาวิมตุ ติ ก็คอื นิโรธ จากปฏิจจสมุปบาทที่ทรงแสดง จึงทําใหสามารถเขาใจได ชัดเจนวา อริยมรรคมีองค 8 สามารถดับทุกขไดอยางไร กลาวคือ เมือ่ ปฏิบตั อิ ริยมรรคมีองค 8 จนครบถวนดีแลว จะทําใหเกิดสัมมาญาณะ หรือวิชชาขึน้ และวิชชานีเ้ องทีเ่ ปนตัวไปทําหนาทีด่ บั อวิชชาในกระแส ปฏิจจสมุปบาท จึงทําใหกองทุกขดบั สิน้ ไป ดวยเหตุนี้ จึงมีนกั ปราชญบางทานเรียกปฏิจจสมุปบาท วา อริยสัจใหญ หรือ อริยสัจฉบับสมบูรณ 8
พระไตรปฎกเลมที่ 24 ขอ 104
6
ความหมายขององคธรรมแตละองคในปฏิจจสมุปบาท ตามพระพุทธวจนะ พระไตรปฎกเลมที่ 16 สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ขอ 6 ถึงขอ 17 ไดใหความหมายขององคธรรมแตละองคในปฏิจจสมุปบาท ไววา 1. อวิชชา คือ ความไมรใู นทุกข ในเหตุแหงทุกข ในความดับทุกข และในปฏิปทาทีจ่ ะใหถงึ ความดับทุกข หรือความไมรใู นอริยสัจ 4 2. สังขาร คือ สังขาร 3 (กายสังขาร วจีสงั ขาร จิตตสังขาร) 3. วิญญาณ คือ หมูแ หงวิญญาณ 6 (วิญญาณทาง ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ) 4. นามรูป นาม คือ ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา มนสิการ สวนรูป คือ มหาภูตรูป ๔ และอุปาทายรูป (รูปทีอ่ าศัยมหาภูตรูป 4) 5. สฬายตนะ คือ อายตนะ 6 (ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ) 6. ผัสสะ คือ ผัสสะ 6 (สัมผัสทางตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ) 7. เวทนา คือ เวทนา 6 (เวทนาทางตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ) 8. ตัณหา คือ ตัณหา 6 (ตัณหาทางตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ) 9. อุปาทาน คือ อุปาทาน 4 (กามุปาทาน ทิฏุปาทาน สีลพั พตุปาทาน และอัตตวาทุปาทาน) 10. ภพ คือ ภพ 3 (กามภพ รูปภพ อรูปภพ) 11. ชาติ คือ ความเกิด ความบังเกิด ความหยัง่ ลง เกิด เกิดจําเพาะ ความปรากฏแหงขันธ ความไดอายตนะครบในหมูส ตั ว นัน้ ๆ ของเหลาสัตวนน้ั ๆ
7
12. ชราและมรณะ ชรา คือ ความแก ภาวะของความแก ฟนหลุด ผมหงอก หนังเหีย่ ว ความเสือ่ มแหงอายุ ความแกหงอมแหง อินทรีย ; มรณะ คือ ความเคลือ่ น ภาวะของความเคลือ่ น ความทําลาย ความอันตรธาน มฤตยู ความตาย กาลกิริยา ความแตกแหงขันธ ความทอดทิ้ งซากศพ ความขาดแหงชีวิตินทรีย จากหมูสัตวนั้น ๆ ของเหลาสัตวนน้ั ๆ ผูเ รียบเรียงจะไดอธิบายและวิเคราะห-สังเคราะห ในความหมาย ของแตละองคธรรม ใหชดั เจนยิง่ ขึน้ ในบทถัด ๆ ไป ประมวลแนวทางอธิบายปฏิจจสมุปบาท 3 นัย ทีป่ รากฏในแวดวงชาวพุทธ เรือ่ งปฏิจจสมุปบาทนี้ เปนทีน่ า แปลกยิง่ วา แมจะมีพระพุทธพจน ตรัสใหความหมายขององคธรรมแตละองค ซึง่ มีทง้ั สิ้น 12 องค คือ ตัง้ แตอวิชชา จนถึง ชรา มรณะ ไวอยางชัดเจนแลวก็ตาม แตอาจเปน เพราะความลุ มลึ กและความยากของปฏิ จจสมุ ปบาทอย างที่ ตรั ส เตือนไว จึงทําใหในปจจุบนั มีคาํ อธิบายปฏิจจสมุปบาทเปนที่ปรากฏ ในแวดวงชาวพุ ท ธแตกต างกั นออกไปได หลายแบบ ซึ่ งสามารถ ประมวลไดอยางนอยเปน 3 แบบหรือ 3 นัยใหญ ๆ คือ 1. ปฏิจจสมุปบาททีแ่ สดงถึงกระบวนการทีเ่ ปนไปใน ชวงกวางระหวางชีวิตตอชีวิต หรือกระบวนการเวียนวายตาย เกิดของชีวิต ซึ่งมีมุมมองสําคัญวา ชีวิตที่ยังตองเวียนวายตายเกิด เปนชีวิตที่ ยังจมอยูในกองทุกข หรือยังจมอยูในวัฏสงสาร การพน 8
ทุกขในที่นี้ก็คือ การพนจากกระแสของการเวียนวายตายเกิด โดยมี หัวใจสําคัญอยูท ว่ี า ทําอยางไรจึงจะไมตอ งมาเกิดอีก คําอธิบายปฏิจจสมุปบาทแบบนี้จึงมีลักษณะครอบคลุม 3 ชาติ คือ มีอดีตชาติ ปจจุบนั ชาติ และอนาคตชาติ โดยจัด อวิชชา สังขาร ใหอยูใ นอดีตชาติ ; วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ อยูในปจจุบันชาติ ; ชาติ ชรา มรณะ อยูในอนาคตชาติ 2. ปฏิจจสมุปบาททีแ่ สดงถึงกระบวนการของปจจยาการ ที่เกิดขึ้นในขณะจิตเดียว หมายความวาปฏิจจสมุปบาท 11 อาการ 12 องคธรรมนัน้ สามารถอธิบายไดวา กระบวนธรรมทัง้ หมดนี้ เกิดขึน้ ในจิตเพียงขณะเดียว การอธิบายแบบนีป้ รากฏอยูใ นคัมภีรท าง ฝายพระอภิธรรม ซึ่งจะตองมีการศึกษามาเปนการเฉพาะ จึ งจะพอ เขาใจการอธิบายในแบบนีไ้ ด 3. ปฏิจจสมุปบาททีแ่ สดงถึงกระบวนการหรือกลไก การเกิดขึน้ ของทุกขในจิตในคราวหนึง่ ๆ ซึง่ เปนสิง่ ทีเ่ กิดขึน้ ในชีวติ ประจําวันในปจจุบนั นีเ้ อง เปนการอธิบายใหเห็นวาทุกขทเ่ี กิดขึน้ ในจิต ครั้ งหนึ่ ง ๆ นั้ น เกิดขึ้ นเนื่ องจากการที่ จิ ตรับรู ต อสิ่ งต าง ๆ อย าง ไมถกู ตองอยางไร ในหนังสือนี้ ผูเ รียบเรียงจะเลือกการอธิบายและวิเคราะหสังเคราะหเฉพาะตามแนวทางการอธิบายในแบบที่ 3 เทานั้น เพราะเห็นวาเปนแบบทีบ่ คุ คลทัว่ ไปสามารถทําความเขาใจและ ตรวจสอบ หรือพิสจู นดว ยตนเองไดมากกวา และยังสามารถนํา ไปใชประโยชนในชีวติ ประจําวันไดงา ยกวา 9
มูลเหตุทที่ ําใหมกี ารอธิบายปฏิจจสมุปบาท ในลักษณะเปน 3 ชาติ และในลักษณะ เปนกลไกการเกิดขึน้ ของทุกขในปจจุบนั มูลเหตุสาํ คัญทีท่ าํ ใหมกี ารอธิบายปฏิจจสมุปบาทแตกตางกัน ในประเด็นทีว่ า เปนเรือ่ งทีเ่ กิดขึน้ ครอบคลุม 3 ชาติ หรือเปนเรือ่ งทีเ่ กิดขึน้ ในปจจุบนั มาจากความเขาใจในองคธรรม 2 องคในปฏิจจสมุปบาท ทีแ่ ตกตางกัน กลาวคือ วิญญาณ และ ชาติ ในฝายทีอ่ ธิบายวาเปนเรือ่ งทีเ่ กิดขึน้ ครอบคลุม 3 ชาติ ก็เพราะใหความหมายของ 2 องคธรรมดังกลาววา คือ ปฏิสนธิวญ ิ ญาณ ซึ่งใหความหมายวาเปนวิญญาณดวงแรกของบุคคลที่ตายจากอดีต ชาติแลวมาเกิดใหมในปจจุบันชาติ และ ชาติ คือการเกิดใหมของ ขันธหรือบุคคลทีต่ ายจากปจจุบนั ชาติ แลวไปเกิดใหมในอนาคตชาติ สวนในฝายที่อธิบายวาเปนกลไกการเกิดขึ้นของทุ กข ในปจจุ บัน ก็เพราะใหความหมายของ วิ ญญาณ วาคือหมู แหง วิญญาณ 6 (วิญญาณทางตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ) ซึง่ มีปรากฏอยูแ ลว ในชีวติ ปจจุบนั และใหความหมายของ ชาติ วาคือการปรากฏขึน้ ของ ทุกขอริยสัจ หรือ อุปาทานขันธ 5 (ขันธทป่ี ระกอบอยูด ว ยอุปาทาน หรือความยึดมั่นถือมั่น) ในจิตในชีวิตประจําวัน ตามที่ไดตรัสไวใน อริยสัจ 4 ซึง่ ไดประมวลองคธรรม ชาติ ชรา มรณะ ฯลฯ วาคือ อุปาทานขันธ 5 ไมไดมคี วามหมายวาการบังเกิดขึน้ ของขันธ 5 ใหม ในชาติใหม ซึง่ เปนอนาคตชาติ
10
การอธิบายปฏิจจสมุปบาททีแ่ สดงวาเปนกระบวนการ หรือกลไกการเกิดขึ้นของทุกขในจิตในชีวิตประจําวัน ถูกตองตามหลักพุทธธรรมหรือไม ? ในทีน่ ้ี ขอเสนอใหพจิ ารณาพระพุทธพจนทต่ี รัสแกอทุ ายีปริพาชก ซึง่ มีใจความสรุปวา บุคคลใดทีส่ ามารถระลึกถึงขันธในอดีต (อดีตชาติ) หรือขันธในอนาคต (อนาคตชาติ) จึงสมควรจะมาถามกับทานในเรือ่ ง ของขันธในอดีตหรืออนาคต และตรัสใหงดเรื่องของขันธในอดีตและ อนาคตไวกอ น จากนัน้ ก็ตรัสแสดงธรรมตามนัยของปฏิจจสมุปบาท 9 พระพุทธพจนขางตนนี้ ทําใหเห็นไดวาปฏิจจสมุปบาทเปน เรื่องที่ทรงมุงแสดงใหเห็นกลไกของสิ่งที่เกิดขึ้นในปจจุบัน เพราะได ตรั สให งดถามถึ งเรื่ องของขั นธ ในอดี ตและขั นธ ในอนาคต ไว เป น การลวงหนา แลวแสดงปฏิจจสมุปบาทตอไปเลย เรือ่ งนีไ้ ปสอดคลองยิง่ กับองคคณ ุ หรือลักษณะของพระธรรม (โดยเฉพาะธรรมในระดั บโลกุ ตตร) ตามที่ ตรั สไว 6 ประการ คื อ สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม, สนฺทิฏฐิโก, อกาลิโก, เอหิปสฺสิโก, โอปนยิโก, ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิ ฺ หู ิ โดยเฉพาะคําวา สนฺทฏิ ฐ โิ ก ซึง่ แปลวา เปนปจจุบนั เห็นทันตา หรือเห็นกับตา10
9 10
พระไตรปฎกเลมที่ 13 ขอ 371 พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวลศัพท ของทานเจาคุณพระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) พิมพครัง้ ที่ 11 หนา 431
11
การอธิบายและวิเคราะห-สังเคราะหปฏิจจสมุปบาท ตามนัยทีเ่ ปนกลไกการเกิดขึน้ ของทุกขในปจจุบนั ตอจากนี้ไป ผูเ รียบเรียงจะไดอธิบายพรอมกับการวิเคราะหสังเคราะหกระแสแหงปฏิจจสมุปบาท โดยยึดถือตามความหมายที่ พระพุทธเจาตรัสไว ซึง่ ไดยกมาไวแลวในหนา 7 - 8 ของหนังสือนี้ และ อาจมีพระพุทธพจนอนื่ อีกตามสมควร เพือ่ ใหเขาใจชัดเจนยิง่ ขึน้ โดยจะ อธิบายไปทีละขัน้ ทีละอาการตามลําดับ จนครบ 11 อาการ 12 องคธรรม และจะถืออยางเครงครัดวาองคธรรมที่ตรัสถึงกอนจัดเปนเหตุ สวน องคธรรมทีต่ รัสทีหลังจัดเปนผล โดยที่ เหตุตอ งมากอนผล ; ผลจะมากอนเหตุไมได จะมีขอ ยกเวนอยูก เ็ ฉพาะตรงอาการทีว่ า วิญญาณเปนปจจัย ใหเกิดนามรูป ซึง่ มีพระพุทธพจนตรัสไววา แมนามรูปก็เปนปจจัยให เกิดวิญญาณ ระหวางวิญญาณกับนามรูปนี้ สามารถเปนเหตุและผล สลับกันไปมาได ซึง่ นาสนใจมาก และจะไดวเิ คราะหตอ ไป เงือ่ นไขสําคัญทีจ่ ะตองรูก อ น ในกระแสปฏิจจสมุปบาท มีองคธรรมที่เปนจุดเชื่อมสําคัญ คือ ผัสสะ ซึง่ เปนจุดเชือ่ มตออันเนือ่ งจาก อายตนะภายใน (ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ) มากระทบกับอายตนะภายนอก (รูป, เสียง, กลิ่น, รส, สัมผัส, ธรรมารมณ) แลวเกิดวิญญาณ 6 ขึน้ (การเห็น การไดยนิ การรูก ลิน่ การรูร ส การรูส ง่ิ ตองกาย การรูเ รือ่ งในใจ) จนทําใหบคุ คล เกิดการรูเ รือ่ งราวของสิง่ ตาง ๆ เมือ่ มีผสั สะเกิดขึน้ บุคคลจึงมีการรูเ รือ่ งราวของสิงต ่ าง ๆ 12
ดังนัน้ ปฏิจจสมุปบาทในสวนทีเ่ กิดกอนผัสสะคือ อวิชชา, สังขาร, วิ ญญาณ, นามรู ป, สฬายตนะ จึ งเป นองคธรรมที่ เกิ ดขึ้ นก อนที่ บุคคลจะรูเ รือ่ งราวของสิง่ ตาง ๆ กลไกชวงนีเ้ ปนเรือ่ งภายในตัวชีวติ โดย เฉพาะ ทีท่ าํ หนาทีป่ รับองคาพยพทัง้ หมดของชีวติ ใหอยูใ นสภาพพรอมที่ จะรู และมีปฏิสมั พันธกบั เรือ่ งตาง ๆ ทีร่ อู ยางไร แลวทําใหเกิดทุกขขนึ้ กระบวนธรรมในชวงนีจ้ งึ เปรียบเสมือนเชือ้ ทีเ่ ปนสาเหตุแทจริง ทีท่ าํ ให ทุกขเกิดขึน้ สวนองคธรรมตัง้ แต เวทนา, ตัณหา, อุปาทาน, ภพ, ชาติ, ชรา มรณะ โสกะปริเทวะทุกขโทมนัสอุปายาส ซึง่ เปนชวงทีบ่ คุ คลสามารถรู เรือ่ งราวได เปนชวงปรากฏหรือแสดงตัวของทุกขทบ่ี คุ คลสามารถรับรูไ ด กรณีขา งตนนีอ้ าจเปรียบไดกบั บุคคลทีเ่ ปนโรคอะไรสักอยางหนึง่ บุคคลทัวไปจะยั ่ งไมสามารถรูถึ งในขณะทีสาเหตุ ่ ของโรคกําลังกอตัวอยู แตจะ เริม่ รูก เ็ มือ่ มีอาการของโรค เชน ความปวด, ไอ-จาม เปนตน ปรากฏขึน้ แลว ความยากยิงของปฏิ ่ จจสมุปบาททีต่ รัสวา รูต ามยาก เห็นได โดยยาก ก็คอื กระแสปฏิจจสมุปบาททีเ่ กิดขึน้ ในชวงกอนผัสสะ นีเ้ อง ซึง่ เปนชวงทีเ่ กิดขึน้ กอนบุคคลจะรูเ รือ่ งราวของสิง่ ตางๆ เพือ่ ใหเขาใจเรือ่ งนี้ ขอเสนอแนะใหทา นผูอ า นศึกษาเพิม่ เติมเรือ่ ง ของวิถจี ติ ซึง่ ในพระอภิธรรมไดแสดงไววา วิถจี ติ ทุกวิถจี ติ เริม่ ตนจาก ภวังคจิต (= จิตทีเ่ ปนองคแหงภพ ทีม่ ไิ ดเสวยอารมณทางทวาร 6)11 โดยทีภ่ วังคจิตเมือ่ ถูกอารมณภายนอกมากระทบแลว จะเกิดการไหว และตัดภวังค จากนั้นจะเกิดจิตที่ทําหนาที่เปดทวาร 6 แลวจึงเกิด วิญญาณ 6 ขึน้ ทําใหรเู รือ่ งราวของอารมณ ทีม่ ากระทบตอไป เมือ่ เทียบเคียงกลไกของวิถจี ติ กับกระแสปฏิจจสมุปบาทแลว จะเห็นไดวา มีสว นทีใ่ กลเคียงกันอยางยิง่ โดยเฉพาะ วิถจี ติ ในสวนตน 11
พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวลศัพท ของพระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) พิมพครัง้ ที่ 11 หนา 280
13
ตัง้ แตภวังค ภวังคไหว ตัดภวังค จนถึงตอนทีเ่ กิดจิตทีเ่ ปดทวาร 6 สามารถเทียบไดกบั กระแสปฏิจจสมุปบาท ในชวงตัง้ แต อวิชชา ไปจนถึงอายตนะ ซึง่ เปนชวงกอนทีบ่ คุ คลจะรูเรื อ่ งราวของสิง่ ตางๆ ภาวะของจิตทีอ่ ยูใ นภวังคน้ี อาจพอยกตัวอยางเพือ่ ใหเขาใจ งายขึน้ โดยเปรียบไดกบั จิตในขณะทีห่ ลับสนิท ไมฝน ซึง่ ขณะนัน้ ยังไมมี การรับรูอ ารมณใด ๆ ทางทวาร 6 (ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ) ตอเมือ่ ถูก อารมณตา ง ๆ จากภายนอกมากระทบ เชน เสียงปลุก, การเขยาตัว เปนตน ภวังคจิตจะถูกกระทบใหเกิดการไหว และหากไหวจนกระทัง่ เกิดการตัดภวังคหรือออกจากภวังคเมือ่ ใด จิตก็จะเริม่ ขึน้ สูว ถิ กี ารรับรู อารมณตา ง ๆ ทางทวาร 6 และรูเ รือ่ งราวตาง ๆ ของอารมณทม่ี ากระทบนัน้ ซึง่ เปรียบไดกบั บุคคลทีเ่ ริม่ รูส กึ ตัวตืน่ ขึน้ และรูเ รือ่ งราวของอารมณตา ง ๆ ที่ เกิ ดขึ้ น แต หากเพี ยงไหว แต ไม ถึ งขั้ นที่ ทําให เกิ ดการตั ดภวั งค จิตก็จะยังคงดํารงอยูใ นภาวะภวังค คือนอนหลับสนิท ไมฝน ตอไป ดังนั้น การที่จะอธิบายปฏิจจสมุปบาทใหเปนที่เขาใจ อย างแท จริ ง จึ งเห็ นว าควรจะมี จุ ดตั้ งต น เริ่ มจากภวั งคจิ ต ดังที่กลาวไปแลว และกระแสปฏิจจสมุปบาทจะเกิดขึ้นตั้งแต ภวังคจิตเริม่ ถูกอารมณจากภายนอกมากระทบเลยทีเดียว ทั้ ง นี้ หากจิ ตยั ง อยู ในภวั งค กระแสปฏิ จจสมุ ปบาท ก็จะยังไมสามารถเกิดขึน้ ได จิตทีอ่ ยูใ นภวังคนี้ คัมภีรอ รรถกถา ได แสดงว า เป น “จิ ตประภั สสร” เป นจิ ตที่ ผ องใส ยั งไม มี กิเลสใดๆ เกิดขึน้ รบกวน แตกย็ งั ไมใชจติ ทีบ่ ริสทุ ธิ์ เพราะหาก ออกจากภวังคเมือ่ ใด กระแสปฏิจจสมุปบาทและกิเลสทัง้ หลาย ซึง่ มีฐานะเปนอาคันตุกะหรือแขกจร ก็สามารถเกิดขึน้ และทําให จิตเศราหมองได 14
นอกจากนัน้ ความเขาใจตามนัยขางตนนีย้ งั เปนพืน้ ฐานสําคัญ ทีจ่ ะทําใหบคุ คลเขาใจ และสามารถแยกแยะไดถงึ ความแตกตางของ องคธรรมบางองคในปฏิจจสมุปบาท ทีใ่ หความหมายเปนอยางเดียวกัน ยกตัวอยาง วิญญาณ ทีใ่ หความหมายวา คือหมูแ หงวิญญาณ 6 ตรงปจจยาการ เพราะสังขารเปนปจจัย วิญญาณจึงมี ซึ่งเกิดกอน ผัสสะ มีความแตกตางจากวิญญาณ 6 ทีเ่ กิดขึน้ หลังผัสสะอยางไร ? หรือในกรณีนามรูป ซึ่งเกิดกอนผัสสะ ที่ใหความหมายของ นามไววา คือ เวทนา และผัสสะ เปนตน แตกตางกับองคธรรม คือผัสสะ และเวทนา ทีเ่ กิดขึน้ หลังผัสสะอยางไร ? ผูเ รียบเรียงจะไดอธิบายให ชัดเจนยิง่ ขึน้ ตอไป มองปฏิจจสมุปบาทโดยภาพรวม (bird’s-eye view) กอนทีจ่ ะอธิบายปฏิจจสมุปบาทซึง่ มี 11 อาการ 12 องคธรรม ไปตามลําดับทีละอาการ จะขออธิบายใหเห็นเปนเคาโครงหรือภาพรวม ทั้งหมดโดยสังเขปสักครั้งหนึ่งกอน ในลักษณะเหมือนกับการขึ้นไป มองทัศนียภาพจากทีส่ งู ในมุมสูง เพือ่ ใหเห็นภาพกวางโดยรวม อยางที่ เรียกวา bird’s-eye view ซึ่งจะชวยทําใหเขาใจไดงายขึ้นและ ชัดเจนมากขึ้น เมื่ อไดฟงการอธิบายรายละเอียดของอาการแตละ อาการ ในภายหลัง กลาวโดยสรุป ปฏิจจสมุปบาท คือกฎธรรมชาติทแี่ สดง ใหเห็นกลไกการเกิดขึน้ ของทุกข (= ทุกขอริยสัจ) หรืออุปาทานขันธ ทีเ่ กิดขึน้ ในจิตครัง้ หนึง่ ๆ โดยทีแ่ ตละครัง้ จะมีกลไกทีท่ ําใหเกิด จําแนกไดเปน 11 อาการ 12 องคธรรม 15
เนือ่ งจากปฏิจจสมุปบาทเปนกลไกการเกิดขึน้ ของทุกข ดังนัน้ จึง มีจดุ เริม่ ตนที่ อวิชชา คือ ความไมรใู นทุกข ในเหตุแหงทุกข ในความดับ ทุกข และในวิธปี ฏิบตั ใิ หถงึ ความดับทุกข หรือความไมรใู นอริยสัจ 4 เพราะไมรใู นทุกข เปนตน จึงมีการปรุงแตงใหเกิดกระแส ปฏิจจสมุปบาททีเ่ ปนกองทุกขขนึ้ มีขอ พึงระวังในทีน่ ้ี คือ อยาเขาใจผิดวา อวิชชา เปนเหตุตง้ั ตน อันดับแรกสุด (มูลการณ) หรือทีเ่ รียกในภาษาอังกฤษวา “The First Cause” เพราะมีพระพุทธพจนตรัสไววา แมอวิชชาก็มเี หตุปจ จัยทําให เกิดขึน้ กลาวคือ อาสวะเปนเหตุปจ จัยทีท่ าํ ใหเกิดอวิชชา12 ....ดวยอํานาจของอวิชชา จะปรุงแตงภวังคจิตซึง่ เปนจิตทีย่ งั ไมมพี ฤติใด ๆ ใหเกิดมีพฤติขนึ้ (สังขาร) และทําใหเกิดจิตทีจ่ ะออกมารับรู ตอสิง่ ตาง ๆ (วิญญาณ) เปนไปตามอํานาจของอวิชชา วิญญาณที่ เกิดขึน้ นีท้ าํ ใหเกิดการทําหนาทีร่ ว มกันของธรรมชาติชวี ติ 2 ฝาย คือ ฝายรูปและฝายนาม (นามรูป) ซึง่ สําเร็จออกมาเปนเครือ่ งเชือ่ มตอทีท่ าํ ให เกิดการรับรู (อายตนะ) จนรูเ รือ่ งราวของสิง่ ตาง ๆ (ผัสสะ) และทีส่ าํ คัญ คือ การรูเ รือ่ งราวนัน้ มีความรูส กึ หรือรสชาติของการรับรูเ กิดขึน้ ดวย (เวทนา) และโดยวิสยั ของสัตวโลกทัว่ ไปทีย่ งั มีอวิชชา จะเกิดความทะยานอยาก (ตัณหา) ไปตามรสชาติของเวทนาทีเ่ กิดขึน้ นัน้ จนเกิดเปนความยึดมัน่ ถือมัน่ (อุปาทาน) เมือ่ มีความยึดมัน่ ถือมัน่ เกิดขึน้ จิตก็จะเพลินและ โลดแลนอยูแ ตกบั ความยึดมัน่ ถือมันนั ่ น้ จนกลายเปนโลกของบุคคลนัน้ (ภพ) และเกิ ดเป นชี วิ ตทุ กข หรื อทุ กขอริ ยสั จขึ้ น กล าวโดยสรุ ป คื อเกิ ด อุปาทานขันธ หรือชีวติ ทีป่ ระกอบอยูด ว ยความยึดมัน่ ถือมัน่ โดยแสดง ตัวออกมาเปน ชาติ ชรา มรณะ โสกะปริเทวะทุกขโทมนัสอุปายาส 12
พระไตรปฎกเลมที่ 12 ขอ 128
16
ชีวิตที่มีความยึดมั่นถือมั่นนี้แหละ ที่ทางพุทธศาสนา แสดงวาเปนชีวติ ทุกข ยึดมัน่ มากก็ทกุ ขมาก ยึดมัน่ นอยก็ทกุ ขนอ ย ไมยึดมั่นก็ไมทุกข และสาระสําคัญของอุปาทานขันธนี้มีราก ฐานอยูท คี่ วามยึดมัน่ ถือมัน่ วาเปน เรา ของเรา ตัวตนของเรา ดังนัน้ อุปาทานขันธอนั ดับแรกสุดทีเ่ กิดขึน้ คือ ชาติ นี้ จึงมี สาระสําคัญ คือ การเกิดขึน้ ของภาวะชีวติ ทีม่ คี วามยึดมัน่ ถือมัน่ วาเปน เรา ของเรา ตัวตนของเรา เมือ่ ชาติ คือภาวะชีวติ ทีม่ คี วามยึดมัน่ ถือมัน่ วาเปน เรา ของเรา ตัวตนของเรา เกิดขึน้ อุปาทานขันธในลําดับถัดไปคือ ชรา ก็จะเกิดขึน้ ความหมายในที่ นี้ คื อ ภาวะชี วิ ต ที่ มี ค วามยึ ด มั่ นถื อ มั่ น ว า มี เราผูเ สือ่ ม เราผูด อ ยลง เราผูง อ นแงนคลอนแคลน เราผูไ มมนั่ คง ทําใหเกิดระดับความรุนแรงของทุกขอริยสัจมากขึน้ ไปอีก และถึงทีส่ ดุ ก็เกิดเปน มรณะ ซึ่งหมายถึง ภาวะชีวิตที่มคี วามยึดมั่นถือมัน่ วามี เราผูพ ลัดพราก เราผูส ญ ู สิน้ เราผูห ายนะ เราผูถ กู ทําลาย ทําให ทุกขอริยสัจเพิม่ ระดับจนถึงขีดสูงสุด ส ว น โสกะปริ เ ทวะทุ กข โ ทมนั ส อุ ป ายาส (ความโศก ความคร่าํ ครวญ ทุกข โทมนัส และความคับแคนใจ) เปนเพียงอาการ ปรากฏของทุกขอริยสัจ ทีแ่ สดงใหเห็นชัดเจนออกมาเทานัน้ ความเกิดขึน้ แหงกองทุกขทงั้ ปวง จึงมีไดดว ยประการฉะนี้ กลไกของปฏิจจสมุปบาทดังที่ไดอธิบายแลวนี้ อาจจะกลาว ใหกระชับยิง่ ขึน้ อีกไดวา เกิดขึน้ เนือ่ งจากจิตมีทา ทีในการรับรูต อ สิง่ ตาง ๆ อยางไมถกู ตอง จึงทําใหเกิดการปรุงแตงไปในทางยินดีและเพลินกับ การแสวงหารสชาติของสัมผัสที่รับรูตอสิ่งตาง ๆ จนยึดมั่นถือมั่นใน สิง่ ตาง ๆ วาเปน เรา ของเรา ตัวตนของเรา และเกิดเปนกองทุกขขนึ้ 17
♦วิเคราะห-สังเคราะห อวิชชาเปนปจจัยใหเกิดสังขาร
ดังทีได ่ เสนอไววา การจะอธิบายปฏิจจสมุปบาท ใหเปนทีเข่ าใจและ แจมแจง ควรจะมีจดุ ตัง้ ตนจากภวังคจิต โดยทีผ่ เู รียบเรียงไดยกตัวอยาง ใหพอเขาใจแลววา ภวังคจิต คือ จิตในขณะหลับสนิท ไมฝน นัน้ มีเรื่องที่จะตองทําความเขาใจตรงนี้ใหดีกอนวา การกลาว ถึงภวังคจิตนี้ ไมไดเปนการบอกวา กระแสปฏิจจสมุปบาทมีจดุ เริม่ ตน จากบุคคลในขณะที่กําลังหลับสนิทอยู การกลาวถึงภาวะของจิตใน ขณะที่หลับสนิท ไมฝน เปนเพียงการยกตัวอยางเพือ่ ใหพอรูจักและ เขาใจภาวะของภวังคจิตเทานัน้ เพราะในขณะนอนหลับสนิท ไมฝน จิตจะดํารงอยูแตในภาวะที่เปนภวังคจิต เกิด-ดับ ๆ อยูตลอดเวลา โดยไมเกิดจิตประเภทอืน่ แทรกขึน้ มาเลย แตในขณะตืน่ อยูห รือกําลัง ทําอะไรอยู ซึง่ จิตขึน้ สูว ถิ นี น้ั ไมใชวา จะไมมภี วังคจิตเกิดขึน้ ทุกวิถจี ติ ทีเ่ กิดขึน้ รับรูแ ละมีปฏิสมั พันธตอ อารมณภายนอก โดยธรรมชาติจะมี จุ ดเริ่ มต นที่ ภวั งคจิ ต และจบลงด วยภวั งคจิ ตทั้ งนั้ น การรั บรู ต อ อารมณหนึง่ ๆ จะมีวถิ จี ติ เกิดขึน้ เปนจํานวนมาก ดังนัน้ แมในขณะทีก่ าํ ลังตืน่ อยู ก็ปรากฏมีภวังคจิตเกิด ขึน้ สลับกับการเกิดจิตประเภทอืน่ ๆ ทีข่ นึ้ สูว ถิ กี ารรับรู ปฏิจจสมุปบาทจึงเกิดไดตลอดเวลา เมื่อจิตออกจากภวังคและขึ้นสู วิถี เมื่ อภวังคจิตถูกอารมณจากภายนอกมากระทบ การ กระทบนัน้ มีผลทําใหภวังคจิตเกิดการไหว ; การไหวของภวังคจิต ดังกลาวทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงของภวังคจิต จากภวังคจิต ที่ ยังไมมีพฤติใดๆ กลายมาเปนภวังคจิตที่ เริ่ มมีพฤติ ซึ่ งใน 18
ที่ นี้ ก็ คื อบุ คลิ กภาพทั้ งทางกาย วาจา และความรู สึ กนึ กคิ ด หรืออุปนิสยั การแสดงออกทีเ่ ปนของบุคคลนัน้ ๆ ทีเ่ กิดขึน้ พฤติซึ่งเปนบุคลิกภาพทางกาย วาจา และความรูสึก นึกคิด หรืออุปนิสัยการแสดงออกที่เปนของบุคคลนี้ ในทาง ศาสนาก็คือสิง่ ทีเ่ รียกวา กายสังขาร วจีสงั ขาร และจิตตสังขาร หรือความสามารถในการปรุงแตงเพือ่ แสดงออกทางกาย วาจา ใจ ของบุคคลนั่ นเอง สังขารทั้ งหมดเหล านี้ จะมี ลั กษณะหรื อ คุณภาพเปนอยางไร ขึ้นอยูกับความรู (วิชชา) หรือความไมรู (อวิชชา) ที่จิตของบุคคลนั้นสะสมจนเปนความเคยชินหรือจน เปนปกติ กลาวใหชัดยิ่งขึ้น อวิชชาในปฏิจจสมุปบาทนี้มีความหมาย เฉพาะวา คือ ความไมรใู นทุกข ในเหตุแหงทุกข ในความดับทุกข และ ในปฏิปทาทีจ่ ะใหถงึ ความดับทุกข หรือความไมรใู นอริยสัจ 4 ดังนัน้ อวิชชาในปฏิจจสมุปบาทนี้จึงทําหนาทีป่ รุงแตงภวังคจิตทีถ่ กู อารมณภายนอกมากระทบจนไหวนัน้ ใหมพี ฤติหรือสังขาร (กายสังขาร วจีสงั ขาร จิตตสังขาร) ทีเ่ ปนบุคลิกภาพและอุปนิสยั ของ บุคคล ในทางทีจะออกไปรั ่ บรูอ ารมณแลวเกิดเปนทุกขขนโดยเฉพาะ ึ้ จึงเห็นไดวา ในขณะที่บุคคลหลับสนิท ไมฝน ซึ่งจิตอยูใน ภวังคนน้ั จะไมมกี ารรับรูใ ด ๆ ทางทวาร 6 และจะยังไมมพี ฤติตา ง ๆ ของจิตเกิดขึน้ แตพอถูกปลุกหรือถูกอารมณจากภายนอกมากระทบ จนภวังคจิตเกิดการไหวเทานั้น พฤติของจิตซึ่งเปนบุคลิกภาพและ อุปนิสยั ตาง ๆ ในความเปนบุคคลคนนัน้ ก็ถกู ปรุงแตงใหเกิดขึน้ ทันที อวิชชาเปนปจจัยใหเกิดสังขาร เกิดขึ้นดวยอาการดังที่ กลาวแลวนี้ 19
♦วิเคราะห-สังเคราะห สังขารเปนปจจัยใหเกิดวิญญาณ
ภวั ง คจิ ต ที่ ถู กอารมณ ภ ายนอกมากระทบให ไ หว จะถู ก ปรุงแตงจากจิตที่ไมมีพฤติใด ๆ ใหกลายมาเปนจิตที่เริ่มมีพฤติหรือ บุคลิกภาพทีเ่ ปนไปตามอํานาจอวิชชาของบุคคลนัน้ ๆ ภวังคจิตที่เริ่มมีพฤติดังกลาวนี้ คือภวังคจิตที่เริ่มไหว และจะเริม่ ออกไปทําหนาทีร่ บั รูอ ารมณตา งๆ ทีม่ ากระทบตอไป การทีภ่ วังคจิตจะออกไปทําหนาทีร่ บั รูอ ารมณตา งๆ ทีม่ ากระทบ ไดนนั้ ปจจัยสําคัญคือ จะตองตัดภวังคหรือออกจากสภาพความ เปนภวังคอยางสิน้ เชิงเสียกอน ซึง่ ทําไดโดยอารมณทมี่ ากระทบ เมือ่ กระทบแรงขึน้ ๆ ก็จะเราใหภวังคจิตทีไ่ หวนัน้ ปรุงแตงใหเกิด วิญญาณ 6 ขึน้ (จะเกิดเปนวิญญาณในทางใด ขึน้ อยูก บั อารมณภาย นอกอะไรทีม่ ากระทบ) เพือ่ ทีจ่ ะรับรูต อ อารมณทมี่ ากระทบนัน้ วิญญาณ 6 ทีเ่ กิดขึ้นในขั้นตอนนี้ แตกตางจากวิญญาณ 6 ทีเ่ กิดขึน้ ในขัน้ ตอนสฬายตนะเปนปจจัยใหเกิดผัสสะ ซึง่ เปนวิญญาณ 6 ทีเ่ กิดจากอายตนะภายในและอายตนะภายนอกมากระทบกัน แลวทําให เกิดการรูเ รือ่ งราวตาง ๆ ของอารมณขนึ้ แตวญ ิ ญาณ 6 ในขัน้ ตอนนี้ เปนวิญญาณ 6 ทีเ่ กิดขึน้ จาก การกระทบกันของอารมณภายนอกกับภวังคจิตโดยตรง (ไมใช เกิดขึนจากอายตนะภายในกระทบกั ้ บอายตนะภายนอก) วิญญาณ 6 ในขัน้ ตอนนี้ จึงเพียงสามารถรับรูตอ อารมณทมี่ ากระทบเทานัน้ แตยงั ไมสามารถรูเ รือ่ งราวของอารมณนนั้ ๆ ได ; วิญญาณ 6 ที่ เกิดขึน้ นีเ้ อง ทีท่ ําใหเกิดการตัดภวังคและเกิดการเคลือ่ นออก จากสภาพของภวังคจิต ใหขนึ้ สูว ถิ เี พือ่ รับรูอ ารมณตอ ไป 20
ในกรณีนี้ อาจเปรียบไดกับการปลุกบุคคลที่กําลังหลับสนิท ไมฝน (จิตขณะนัน้ อยูใ นภวังค) ในขัน้ ตอนนี้ บุคคลเริม่ รับรูต อ อารมณ ที่ มากระทบ แต ยั งไม สามารถรู เรื่ องราวของอารมณ ได คื อเพี ยง รับรูว า มีอะไรบางอยางทีเ่ ขามากระทบ แตยงั ไมรวู า เปนอะไร สังขารเปนปจจัยใหเกิดวิญญาณ เกิดขึน้ ดวยอาการดังที่ กลาวแลวนี้ ♦วิเคราะห-สังเคราะห วิญญาณเปนปจจัยใหเกิดนามรูป ประเด็นสําคัญทีจ่ ําเปนตองรูก อน เพือ่ การทําความเขาใจใน ปจจยาการขัน้ ตอนนี้ คือ นามรูปในทีน่ มี้ ลี กั ษณะเปนเอกพจน ไมได เปนพหูพจน โดยแยกเปนนามสวนหนึง่ และเปนรูปอีกสวนหนึง่ ความเปนเอกพจนของนามรูป มีความหมายวา ธรรมชาติ ของชีวติ ทีป่ ระกอบดวยสวนทีเ่ ปนนามธรรมและรูปธรรม ทัง้ นามและรูป จะต องผสมผสานและรวมกั นเป นหนึ่ งเดี ยวในการทําหนาที่ จึงจะสามารถขับเคลือ่ นองคาพยพของชีวิตทัง้ หมดเพื่อรู และ ปฏิสมั พันธกบั สิง่ ตางๆ ภายนอกได เพือ่ ความเขาใจในเรื่องนี้ ขอเสนอใหพิจารณาพระพุทธพจน บทหนึง่ ทีก่ ลาววา “บุรษุ นีป้ ระกอบอยูด ว ยธาตุ 6 อยาง คือ ปฐวีธาตุ (ดิน), อาโปธาตุ (น้าํ ), เตโชธาต ุ (ไฟ), วาโยธาตุ (ลม), อากาสธาตุ (ทีว่ า ง) และวิญญาณธาตุ (รู) ”13 ธาตุทั้ง 6 ดังกลาว เปนธาตุพื้นฐานหรือธาตุตั้งตนของสิ่งที่ เป นสังขตธรรมหรื อสิ่ งที่ มี ป จจั ยปรุ งแต งทั้ งหลาย หมายความว า สิง่ ตาง ๆ หรือปรากฏการณตา ง ๆ เกิดขึน้ จากการผสมผสาน หรือการ ปรุงแตงของธาตุทง้ั 6 นีเ้ อง จนมาเปนสรรพสิง่ ทีเ่ ปนสังขตธรรม 13
พระไตรปฎก เลมที่ 14 ขอ 679
21
ธาตุดนิ ธาตุนา้ํ ธาตุไฟ ธาตุลม และธาตุทวี่ า ง จัดเปน ธาตุฝา ยรูป สวนวิญญาณธาตุ หรือธาตุรู จัดเปนธาตุฝา ยนาม คําวา นามรูป จึงมีความหมายวา เปนองคธรรมทีเ่ กิดขึน้ จากการผสมผสานจนเปนหนึง่ เดียวของธาตุทงั้ 6 ดังกลาว จะเห็นไดวา ตัง้ แตเริม่ ตนของกระแสปฏิจจสมุปบาท จากอวิชชา --> สังขาร จนมาถึงวิญญาณ ยังไมมีเรือ่ งราวของธรรมชาติฝา ยรูป เขามาเกีย่ วของ แตหลังจากเกิดวิญญาณแลว จึงมีธรรมชาติฝา ยรูป เขามาเกีย่ วของ โดยเกิดเปน นามรูป ดังนัน้ ในขัน้ ตอนของกระแสปฏิจจสมุปบาท ตัง้ แต อวิชชา --> สั ง ขาร --> วิ ญ ญาณ และยั ง ไม ไ ด ป รุ ง แต ง ให นามรู ป เกิดขึ้น ภาวะของชีวิตจะอยูในลักษณะที่เปนธาตุ 6 ที่กระจัด กระจาย โดยเฉพาะธาตุ ฝ ายรู ปกั บธาตุ ฝ ายนามยั งดํารงอยู อยางเปนเอกเทศตอกัน จึงยังไมสามารถขับเคลือ่ นองคาพยพ ของชีวติ ทัง้ หมดเพือ่ รู และปฏิสมั พันธกบั สิง่ ตางๆได กลาวใหชดั ยิง่ ขึน้ ถึงความหมายของ นามรูป นาม ในทีน่ ้ี มีทม่ี าจาก วิญญาณ 6 ทีเ่ กิดขึน้ ในขัน้ ตอนของ สังขารเปนปจจัยใหเกิดวิญญาณ สวน รูป ในทีน่ ้ี มีทม่ี าจาก ตัวประสาท ทีเ่ กิดขึน้ จากการปรุง แตงของธาตุดนิ น้าํ ไฟ ลม คําวา นามรูป จึงหมายถึง การผสมผสานจนเปนหนึง่ เดียว ของวิญญาณ 6 กับ ตัวประสาท และเพราะการรวมกันจนเปน หนึง่ เดียวในการทําหนาที่ จึงทําใหเกิดคุณสมบัตพิ เิ ศษบางอยางขึน้ จนทําใหสามารถขับเคลือ่ นองคาพยพของชีวติ ทัง้ หมดได 22
ยกตัวอยาง ในภาวะทีห่ ลับสนิท ไมฝน ซึง่ ยังไมมวี ญ ิ ญาณ 6 เกิดขึน้ หรือในภาวะทีต่ น่ื อยู แตประสาทสวนนัน้ เสียไป หรือถูกทําให อยูในภาวะที่คลายกับเสียไป ก็ไมสามารถรูและทําอะไรได นั่นเปน เพราะธาตุทง้ั 2 ฝาย คือ นาม และ รูป ไมสามารถหรือไมไดผสมผสาน กันจนเปนหนึง่ เดียวในการทําหนาที่ นัน่ เอง เพือ่ ใหเห็นเปนรูปธรรมยิง่ ขึน้ อาจเปรียบชีวติ ไดกบั เครือ่ งใชไฟฟา ซึง่ จะตองมีทง้ั กระแสไฟฟา(=วิญญาณ) และสายไฟฟา (=ตัวประสาท) เปนปจจัยรวมสําคัญ (=นามรูป) จึงทําใหเครือ่ งใชไฟฟาทํางานได เมือ่ มีการตัดภวังคและเกิดวิญญาณ 6 ขึน้ ; วิญญาณ 6 ที่ เกิดขึ้นนี้จะโลดแลนไปตามตัวประสาท และผสมผสานกับตัว ประสาท จนเปนอันหนึง่ อันเดียวกัน เกิดเปนนามรูป ขึน้ การเกิดขึน้ ของนามรูป ทําใหเกิดมีคณ ุ สมบัตพิ เิ ศษบาง อยางเพิมมากขึ ่ นไปอี ้ ก โดยในสวนของนาม ทําใหเกิดคุณสมบัตทิ สามารถ ่ี จะรูเ รือ่ งราว(ผัสสะ), รูส กึ (เวทนา), จดจํา(สัญญา), ตลอดจนสามารถ แสดงเจตนจาํ นง (เจตนา) และความใสใจ (มนสิการ) และในสวนของ รูป ทําใหเกิดรูปทีอ่ าศัยมหาภูตรูป ซึง่ ทัง้ หมดเปนคุณสมบัตสิ าํ คัญทีท่ าํ ให สามารถขับเคลือ่ นองคาพยพของชีวติ เพือ่ รูแ ละปฏิสมั พันธกบั สิง่ ตาง ๆ ได ภาวะของนามรูปจึงเปนภาวะชีวติ ทีพ่ รอมจะทําหนาทีต่ า งๆ ตอไป วิญญาณเปนปจจัยใหเกิดนามรูป เกิดขึ้นดวยอาการ ดังทีก่ ลาวแลวนี้ ปจจยาการในขั้นตอนนี้ มีความพิเศษยิ่งกวาในขั้นตอนอื่น ทัง้ หมด กลาวคือ นอกจากตรัสวาวิญญาณเปนปจจัยใหเกิดนามรูปแลว พระพุทธองคยงั ไดตรัสอีกวา แมนามรูปก็เปนปจจัยใหเกิดวิญญาณ ซึง่ นาพิจารณายิง่ วาทําไมจึงตรัสเชนนี้ 23
ทัง้ นีเ้ พราะภาวะของนามรูป เปนภาวะทีว่ ญ ิ ญาณ 6 ผสม ผสานจนเปนหนึงเดี ่ ยวกับตัวประสาท ในการทําหนาที่ จึงทําใหทงจิ ั้ ต และตัวประสาททํางานอยูตลอดเวลา ตราบเทาทีนามรู ่ ปยังปรากฏอยู การทีน่ ามรูปทํางานตอเนือ่ งอยูเ ปนระยะเวลานานนัน้ ทําใหทงั้ จิต และประสาทเหน็ดเหนื่อย และหากนานจนเกินไป ก็จะทําให กระทบกระเทือนและเป นอันตรายตอทั้ งจิ ตและตั วประสาท ไดมาก ดังนัน้ เมือ่ ทํางานไปไดชว งเวลาหนึง่ โดยธรรมชาติจะมีการ สลายจากนามรูป กลับไปเปนวิญญาณ 6 และกลับสูภ วังคหรือเขาสู ภาวะหลับ ทัง้ นีเ้ พือ่ ใหทงั้ จิตและตัวประสาทไดพกั และสะสมพลัง เพือจะได ่ สามารถกลับมาทํากิจตางๆ ไดอยางมีประสิทธิภาพตอไป ดังนัน้ ในขัน้ ตอนนี้ จึงมีปจ จยาการตามทีต่ รัสไววา แมนามรูป ก็เปนปจจัยใหเกิดวิญญาณ ดวย ♦วิเคราะห-สังเคราะห นามรูปเปนปจจัยใหเกิดสฬายตนะ
เมือ่ นามรูปเกิดขึน้ จะมีการปรุงแตงตอใหนามรูป นัน้ เกิด เปนอายตนะหรือเครือ่ งเชือ่ มตอกับอารมณตา งๆ ภายนอก ซึง่ มี 6 อยางดวยกัน คือ ตา หู จมูก ลิน้ กาย และใจ มนสิการ หรือ ความใสใจในนามรูป เปนสิง่ ทีม่ บี ทบาท สําคัญทีจ่ ะเลือกปรุงแตงใหเกิดอายตนะใดขึน้ เชน หากมีมนสิการ มาทีต่ า อายตนะคือตาจึงเกิดขึน้ และจึงสามารถรับรูแ ละรูต อ อารมณ ทีผ่ า นเขามาทางตาได ในอายตนะอืน่ ๆ ก็เชนเดียวกัน นอกจากนั้น มนสิการยังมีบทบาทสําคัญยิ่งในขั้นตอนของ ผัสสะ โดยจะทําหนาทีเ่ ลือกอารมณ ตลอดจนเลือกการใสใจตออารมณ ทีร่ บั รู ซึง่ แยกไดเปน 2 แบบใหญ ๆ คือการใสใจแบบโยนิโสมนสิการ 24
และการใสใจแบบ อโยนิโสมนสิการ ซึง่ เปนเงือ่ นไขสําคัญทีจ่ ะกําหนด กระแสปฏิจจสมุปบาทในลําดับตอจากผัสสะไปนัน้ วาจะใหดาํ เนินไป ในทิศทางใด ดีหรือชัว่ ทุกขหรือไมทกุ ข ในกรณีน้ี เปรียบไดกบั บุคคลทีถู่ กปลุกใหตน่ื จนอายตนะตาง ๆ ทัง้ 6 อยูใ นภาวะพรอมทีจ่ ะรับรูและรูเ รือ่ งราวของอารมณตา ง ๆ ทีเ่ ขามาสัมผัส นามรูปเปนปจจัยใหเกิดสฬายตนะ เกิดขึน้ ดวยอาการ ดังทีก่ ลาวแลวนี้ ♦วิเคราะห-สังเคราะห สฬายตนะเปนปจจัยใหเกิดผัสสะ
คําวา อายตนะ มีความหมายวา เครือ่ งเชือ่ มตอการรับรู บุ ค คลจะรู เรื่ องราวของสิ่ งต า งๆ ที่ เป น อารมณ ภายนอกได ก็โดยผานอายตนะนีเ้ อง ; หากไมมอี ายตนะเกิดขึน้ ก็ไมสามารถรูเ รือ่ งราวของสิง่ ตางๆ ทีเ่ ปนอารมณภายนอกได อายตนะ 6 ในขณะใดขณะหนึ่ง จะเกิดขึ้นไดเพียงครั้งละ อายตนะเดียวเทานัน้ ขึน้ อยูก บั วาในขณะนัน้ ๆ กําลังมีมนสิการไปใน อายตนะใด เชน หากอายตนะ คือ ตา เกิดขึน้ อายตนะอืน่ อีก 5 อยางก็ ไมสามารถเกิดขึน้ ได อยางไรก็ตาม อายตนะทัง้ 6 สามารถเกิดสลับไปมา ไดอยางรวดเร็ว จนคลายกับวาอายตนะตาง ๆ นัน้ เกิดขึน้ พรอม ๆ กัน เมือ่ อายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิน้ กาย และใจ เกิดขึน้ หมายความวามีเครือ่ งเชือ่ มตอการรับรูเ กิดขึน้ จึงสามารถไปเชือ่ มตอ กับอายตนะภายนอกทีถ่ กู คูก นั คือ รูป เสียง กลิน่ รส สัมผัสทางกาย และธรรมารมณ ตามลําดับ ; อายตนะภายในและอายตนะภายนอก ที่ไมถูกคูกัน ไมสามารถเชื่อมตอกันได เชน ตา ตองเชื่อมตอกับรูป ไมสามารถเชือ่ มตอกับเสียง เปนตน 25
อายตนะภายในทีเ่ กิดขึน้ เมือ่ มากระทบหรือเชือ่ มตอกับอายตนะ ภายนอก จะทําใหเกิดสิง่ ทีเ่ รียกวา วิญญาณ 6 ขึน้ ซึง่ ในขัน้ ตอนนี้ เปนวิญญาณ 6 ทีร่ แู จงและรูเ รือ่ งราวของอารมณทมี่ าเชือ่ มตอ ทางอายตนะ ไดแก การเห็น การไดยิน การไดกลิ่น การรูรส การรูส งิ่ ตองกาย และการรูเ รือ่ งในใจ การเกิดขึน้ ขององคประกอบ 3 อยางนี้ คือ อายตนะภายใน อายตนะภายนอก และวิญญาณทางอายตนะ มีชอื่ เรียกรวมวา ผัสสะ เมือ่ มีผสั สะเกิดขึน้ บุคคลจึงมีการรูเ รือ่ งราวของสิง่ ตางๆ ในกรณีของผัสสะ หากกลาวใหละเอียดยิง่ ขึน้ ยังมีการจําแนก เป น 2 ประเภท คื อ ปฏิ ฆสั มผั ส และอธิ ว จนสั มผั ส14 ซึ่ งไดมี คําอธิบายไวสน้ั ๆ วา คือ สัมผัสทางรูป และสัมผัสทางนามคือใจ ตามลําดับ สัมผัสทางรูป มีความหมายวา เปนการสัมผัสที่ผา นเขามา ทางอายตนะ 5 คือ ตา หู จมูก ลิน้ และกาย ซึง่ เปนการสัมผัสและรับรู เฉพาะสี เสียง กลิน่ รส และสิง่ ตองกาย ลวน ๆ โดยยังไมมเี รือ่ งราวของ คุณคาและความหมายของสิง่ ตาง ๆ ทีร่ บั รูเ กิดขึน้ สวนสัมผัสทางนาม มีความหมายวา เปนการสัมผัสทีผ่ า น เขามาทางอายตนะที่ 6 คือ ใจ ซึง่ เปนการสัมผัสทีม่ กี ารรับรูท ก่ี วางขวาง มาก สัมผัสทางรูปเมือ่ เกิดขึน้ แลว จะมีการสงตอมายังสัมผัสทางนาม อีกครัง้ หนึง่ เพือ่ ใหเกิดความรูใ นเรือ่ งราวของสิง่ ตาง ๆ ทีเ่ ปนสัมผัสทางรูป มากยิ่ งขึ้ นไปอี ก โดยเฉพาะในส วนที่ เป นคุ ณค าและความหมาย ตลอดจนชือ่ บัญญัตขิ องสิง่ ตาง ๆ เหลานัน้ นอกจากนัน้ ยังรับรูธ รรมารมณ ตาง ๆ ทีม่ าสัมผัสทางนามโดยตรง เชน ความรูส กึ นึก คิด ฯลฯ 14
พระไตรปฎก เลมที่ 29 ขอ 62
26
สฬายตนะเปนปจจัยใหเกิดผัสสะ เกิดขึ้นดวยอาการ ดังทีก่ ลาวแลวนี้ ♦วิเคราะห-สังเคราะห ผัสสะเปนปจจัยใหเกิดเวทนา
การรูเรื่องราวของสิ่งตาง ๆ โดยผัสสะนี้เปนสิ่งที่สําคัญมาก เพราะผัสสะเปนแหลงหรือชุมทางสําคัญที่จะทําใหเกิดสิ่งหรือเรื่อง ตาง ๆ แตกตัวออกไปไดมากมายมหาศาล ในนิพเพธิกสูตร15 พระพุทธองคไดทรงแสดงไววา ผัสสะเปน เหตุเกิดแหงกาม, เวทนา, สัญญา และกรรม ซึง่ ลวนเปนสิง่ ทีส่ าํ คัญยิง่ และมีความหมายตอชีวติ เปนอยางมาก แตในกระแสปฏิจจสมุปบาท ทรงเลือกเอาเฉพาะปจจยาการ ทีว่ า ผัสสะเปนเหตุเกิดแหงเวทนา เปนประเด็นสําคัญ ทัง้ นีเ้ พราะ เวทนาหรือความรูสึกที่เกิดขึ้นจากการสัมผัสกับสิ่งตางๆ ทาง อายตนะทั้ ง 6 ซึ่ งอาจเรียกว าเป นรสชาติ ของการสัมผั สนั้ น มีอทิ ธิพลผูกมัดจิตใจ ตลอดจนครอบงําธรรมอืน่ ๆ ใหเปนไป ตามอํานาจ ยิง่ กวาสิง่ ใด ถึงขัน้ มีพระพุทธพจนตรัสไววา “ธรรม ทัง้ หลายมีเวทนาเปนทีป่ ระชุมลง”16 ซึง่ หมายความวา พฤติกรรม และการกระทําทัง้ หลายของผูท ยี่ งั มีอวิชชา และดวยอํานาจของ อโยนิโสมนสิการ จะชักนําใหการรับรูตรงผัสสะนี้ มีจดุ มุงเพื่อ แสวงหาเวทนาหรือรสชาติจากการสัมผัสเปนสําคัญ ผัสสะเปนปจจัยใหเกิดเวทนา เกิดขึ้นดวยอาการดังที่ กลาวแลวนี้ 15
พระไตรปฎก เลมที่ 22 ขอ 334 ;
16
พระไตรปฎก เลมที่ 24 ขอ 58
27
♦วิเคราะห-สังเคราะห เวทนาเปนปจจัยใหเกิดตัณหา
เมือ่ เวทนาหรือรสชาติแหงการสัมผัสทัง้ หลายทางอายตนะ 6 ซึง่ เปนสิง่ ทีม่ อี ทิ ธิพลผูกมัดจิตใจของบุคคลเปนอยางยิง่ เกิดขึน้ จะเรา ความปรารถนาหรือความทะยานอยาก (ตัณหา) ใหเกิดขึน้ และเปน ไปตามอํานาจของเวทนาทีเ่ กิดขึน้ นัน้ กลาวคือ หากเปน สุขเวทนา ก็จะเราใหเกิดความปรารถนา หรือความทะยานอยากไปในทางทีจะครอบครองเป ่ นเจาของ (= กามตัณหา) หรือตองการดํารงอยูเปนอันหนึ่งอันเดียวกับภาวะของสุขเวทนานั้น (= ภวตัณหา) แตหากเปน ทุกขเวทนา ก็จะเราใหเกิดความปรารถนาหรือ ความทะยานอยากไปในทางที่ จ ะผลั ก ไสหรื อ หนี จ ากภาวะของ ทุกขเวทนานัน้ (= วิภวตัณหา) ในกรณีที่เปน อทุกขมสุขเวทนา (เวทนาที่ยังตัดสินลงไป ไมไดวา เปนสุขหรือเปนทุกข) ก็ขนึ้ อยูก บั บุคคลแตละคนวาจะตัดสินตอ เวทนานัน้ อยางไร หากตัดสินไปในทางทีป่ รารถนาจะครอบครอง หรือ ดํารงอยูเ ปนอันหนึ่งอันเดียวกับเวทนานัน้ ก็จะเราใหเกิดกามตัณหา และภวตัณหา ตามลําดับ ; ในทางตรงขามหากตัดสินไปในทางที่ ปรารถนาจะผลักไสหรือหนีไป ก็จะเราใหเกิด วิภวตัณหา ขึน้ เวทนาเปนปจจัยใหเกิดตัณหา เกิดขึ้นดวยอาการดังที่ กลาวแลวนี้ ♦วิเคราะห-สังเคราะห ตัณหาเปนปจจัยใหเกิดอุปาทาน
บุคคลเมือ่ มีความทะยานอยากในรสชาติสมั ผัสของสิง่ ใด (ตัณหา) ก็จะยึดติดอยูก บั สิง่ นัน้ และกอตัวเปนความยึดมัน่ ถือมัน่ 28
ในรูปแบบตางๆ ขึน้ (อุปาทาน) โดยมีจติ ฝงลงไปวา ความยึดมัน่ ถือมัน่ นี้ จะทําใหชีวติ มีความสุข ความมัน่ คง และความยัง่ ยืน ทีแ่ ทจริง อุปาทาน หรือความยึดมัน่ ถือมัน่ จําแนกออกเปน 4 อยาง ดวยกัน คือ 1. กามุปาทาน คือ ความยึดมัน่ ถือมัน่ ในกาม หรือใน ความสุขทีเ่ กิดขึน้ จากการสัมผัสทางตา หู จมูก ลิน้ กาย โดยมี ความยึดมัน่ ถือมัน่ วา ความสุขทีแ่ ทจริงของชีวติ คือความสุขทีม่ าจาก กามคุณ 5 ; การจะมีความสุขทีม่ นั่ คงและยัง่ ยืน คือการมีชวี ติ อยูด ว ย ความพรัง่ พรอมของ รูป เสียง กลิน่ รส และสิง่ ตองกาย ทีน่ า ยินดีและ นาปรารถนา 2. ทิฏุปาทาน คือ ความยึดมั่นถือมั่นในทิฏฐิ หรือ ทฤษฎี ความเห็น หรือความเชือ่ ในคําสอนตางๆ โดยมีความยึดมัน่ ถือมั่นวา ความสุขที่แทจริง จะเกิดขึ้นไดดวยการดําเนินชีวิตไปตาม ทิฏฐิ ทฤษฎี หรือความเห็น ทีเ่ ชือ่ หรือทีย่ ดึ มัน่ อยูเ ทานัน้ 3. สีลพ ั พตุปาทาน คือ ความยึดมัน่ ถือมัน่ ในศีลพรต หรือในการปฏิบตั ติ ามขอวัตรอะไรบางอยาง แลวจะทําใหบรรลุ ความสุขทีแ่ ทจริง 4. อัตตวาทุปาทาน คือ ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน โดยมีความยึดมัน่ ถือมัน่ วา มีสง่ิ ทีเ่ รียกวาตัวตนทีเ่ ปนแกนสารของชีวติ ความสุขที่แทจริงจะเกิดขึ้นไดดวยการที่ตัวตนนี้ไดเขาถึงหรือบรรลุ อะไรสักอยางหนึง่ ทีเ่ ปนภาวะสูงสุด ตัณหาเปนปจจัยใหเกิดอุปาทาน เกิดขึน้ ดวยอาการดังที่ กลาวแลวนี้ 29
♦วิเคราะห-สังเคราะห อุปาทานเปนปจจัยใหเกิดภพ
เมื่ อบุ คคลมี จิ ตฝ งลงไปในความยึ ดมั่ นถื อมั่ นอั นใด (อุปาทาน) จิตก็จะเพลิดเพลินและโลดแลนอยูแ ตกบั ความยึดมัน่ ถือมัน่ นัน้ จนกลายเปนโลกของบุคคลนัน้ (ภพ) ภพในที่ นี้ จํ า แนกตามสุ ข เวทนาหรื อ อุ เ บกขาเวทนาที่ ละเอียดประณีตยิ่งไปกวาสุขเวทนาที่บุคคลยึดมั่นถือมั่นเปนสําคัญ ประมวลสุ ขเวทนาหรื ออุ เบกขาเวทนาที่ บุ คคลที่ ยั งมี อวิ ชชา (คื อ ความไมรใู นอริยสัจ 4) จะรูจ กั และยึดมัน่ ถือมัน่ อยู จัดไดเปน 3 ระดับ คือ - สุขเวทนาทีเ่ นือ่ งมาจากกาม - สุขเวทนาหรืออุเบกขาเวทนาทีเ่ นือ่ งมาจากรูปฌาน - อุเบกขาเวทนาทีเ่ นือ่ งมาจากอรูปฌาน ซึ่งมีชื่อเรียกตามเวทนาที่ยึดมั่นขางตนนี้วา กามภพ, รูปภพ และ อรูปภพ ตามลําดับ อุปาทานเปนปจจัยใหเกิดภพ เกิดขึ้นดวยอาการดังที่ กลาวแลวนี้ ♦วิเคราะห-สังเคราะห ภพเป็นปจจัยใหเกิดชาติ
คําวา ชาติ ตามที่ไดมีพระพุทธพจนตรัสอธิบายไววา คือ ความปรากฏของขันธ เปนตนนั้น เปนคําที่มีความหมายพิเศษที่ จะตองวินจิ ฉัยใหดี ในทีน่ ข้ี อเสนอใหพจิ ารณาเรือ่ ง อริยสัจ 4 ตามทีพ่ ระพุทธองค ทรงแสดง โดยเฉพาะในหัวขอแรก คือ ทุกขอริยสัจ ซึง่ ใหความหมาย ไววา คือ ความเกิด (ชาติ), ความแก (ชรา), ความตาย (มรณะ), 30
ความโศก ความคร่าํ ครวญ ทุกข โทมนัส และความคับแคนใจ (โสกะ ปริเทวะทุกขโทมนัสอุปายาส) ฯลฯ และมีคาํ ตรัสสรุปรวบยอดไววา “วาโดยยอ อุปาทานขันธ 5 เปนทุกข” ดังนัน้ ความปรากฏของขันธ ในทีน่ ้ี จึงมีความหมายพิเศษ วาเปน ความปรากฏของอุปาทานขันธ หรือขันธ 5 ที่ประกอบอยู ดวยความยึดมัน่ ถือมัน่ ซึง่ เปนความปรากฏของชีวติ ทุกข หรือทุกขอริยสัจ นัน่ เอง โดยใหนํา้ หนักอยูท อ่ี ุปาทาน คือ อัตตวาทุปาทาน หรือความ ยึดมั่นถือมั่นวาเปน เรา ของเรา ตัวตนของเรา ซึ่งมีความหมาย ครอบคลุมอุปาทานอืน่ ๆ ทัง้ หมด เมื่อจิตเพลิดเพลินและโลดแลนอยูแตกับความยึดมั่น ถือมัน่ นัน้ จนกลายเปนโลกของบุคคลนัน้ (ภพ) บุคคลจึงเกิด ความรูส กึ วามีภาวะชีวติ ทีเ่ ปน เรา ของเรา และตัวตนของเรา (ชาติ) เปนผูโ ลดแลนอยูใ นโลกนัน้ ภาวะชีวติ ทีม่ คี วามยึดมัน่ ถือมัน่ วาเปนเรา ของเรา ตัวตนของ เรา นัน้ ทําใหบคุ คลเกิดความรูส กึ แปลกแยก และมี “เรา” ทีแ่ ยกออก ไปจากธรรมชาติ จึงทําใหเกิดความรูสกึ ที่ตอ งการเขาไปควบคุมและ จัดการธรรมชาติ ตลอดจนสิง่ ทีย่ ดึ วาเปนเราและของเรานัน้ ใหเปนไป อยางที่ “เรา” ตองการ ซึง่ โดยสรุป ก็คอื ตองการไมใหมกี ารเปลีย่ นแปลง ไปในทางที่ไมตองการ (นิจจัง) ตองการใหคงทนอยูเ ชนนั้นตลอดไป (สุขขัง) และตองการใหสง่ิ ตางๆ เปนไปตามอํานาจการบังคับของตน (อัตตา) ซึ่งเปนเรื่องที่ขัดแยงกับสัจจะหรือความจริงของธรรมชาติ ที่ทุกสิ่งลวนดํารงอยูและเปลี่ ยนแปลงไปตามเหตุปจจัย (อนิจจัง) อยูในภาวะที่ทนอยูในสภาพเดิมไมได (ทุกขัง) และไมอยูในอํานาจ การบังคับของใคร (อนัตตา) 31
ดังนัน้ ชีวติ ทีม่ คี วามยึดมัน่ ถือมัน่ วา เรา ของเรา ตัวตน ของเรานี้ โดยธรรมชาติจงึ เปนชีวติ ทีข่ ดั แยงกับสัจจะหรือความจริง ของธรรมชาติตลอดเวลา ผลของความขัดแยงนีเ้ องทีก่ อ ใหเกิด เปนชีวติ ทุกข (ทุกขอริยสัจ) และพรอมทีจ่ ะกอตัวเปนความทุกข ทีร่ นุ แรงยิง่ ขึน้ ตอไป หากยึดมัน่ ถือมัน่ มาก จะทําใหเกิดทุกขมาก หากยึดมัน่ ถือมัน่ นอย จะทําใหเกิดทุกขนอ ย ความหมายของชาติอี กนัยหนึ่ ง ที่ตรัสไววา คือ ความได อายตนะครบในหมูส ตั ว ก็เปนขอความทีม่ คี วามหมายพิเศษอีกเชนกัน ในทีน่ ้ี หมายความวา นอกจากจะยึดมัน่ ถือมัน่ ในขันธ 5 วาเปน เรา ของเรา ตัวตนของเรา แลว แมแตอายตนะรวมทั้ งสิ่ งที่รับรู ทางอายตนะ ก็พลอยถูกยึดมัน่ ถือมัน่ วาเปน เรา ของเรา ตัวตนของเรา ไปดวย ภพเปนปจจัยใหเกิดชาติ เกิดขึ้นดวยอาการดังที่กลาว แลวนี้ ♦วิเคราะห-สังเคราะห ชาติเป็นปจจัยใหเกิดชรามรณะ
เมือ่ ชาติ คือ อุปาทานขันธ หรือ ภาวะชีวติ ทีป่ ระกอบอยูด ว ย ความยึดมั่ นถือมั่นวา เรา ของเรา ตัวตนของเรา เกิดขึ้น จะทําให อุปาทานขันธในลําดับถัดไป คือ ชรา เกิดขึน้ คําวา ชรา โดยสาระสําคัญแลว หมายถึง ความเสือ่ ม ภาวะที่ ดอยลง ความงอนแงนคลอนแคลน หรือความไมมนั่ คง ดังทีพ่ ระพุทธองคไดตรัสใหเห็นเปนรูปธรรมวา คือภาวะของความแก ฟนหลุด ผมหงอก หนังเหีย่ ว ความเสือ่ มแหงอายุ ความแกหงอมแหงอินทรีย เปนตน 32
ดังนัน้ ชรา ในที่นี้ จึงมีความหมายพิเศษเชนเดียวกัน กับคําวา ชาติ กลาวคื อ เปนอุปาทานขันธ หรือภาวะชีวิตที่ ยึดมัน่ ถือมัน่ วา เรา ของเรา ตัวตนของเรา ทีเ่ ปนผูเ สือ่ ม ผูด อ ยลง ผูง อ นแงนคลอนแคลน ผูไ มมนั่ คง ซึง่ ทําใหระดับความรุนแรงของ อุปาทานขันธ หรือทุกขอริยสัจ เพิม่ มากขึน้ ไปอีก สําหรับคําวา มรณะ ก็เชนกัน มีสาระสําคัญ หมายถึงความ พลัดพราก ความสูญสิน้ ความหายนะ หรือการถูกทําลาย ดังนัน้ มรณะ ในทีน่ ี้ จึงมีความหมายพิเศษวา เปนอุปาทานขันธ หรือภาวะชีวติ ทีย่ ดึ มัน่ ถือมัน่ วา เรา ของเรา ตัวตนของเรา ทีเ่ ปนผูพ ลัดพราก ผูส ญ ู สิน้ ผูห ายนะ ผูถ กู ทําลาย ซึง่ ทําใหระดับความ รุนแรงของอุปาทานขันธ หรือทุกขอริยสัจเพิม่ มากขึน้ จนถึงขีดสูงสุด สวน โสกะปริเทวะทุกขโทมนัสอุปายาส (ความโศก ความคร่าํ ครวญ ทุกข โทมนัส และความคับแคนใจ) นัน้ อยางทีไ่ ดกลาวไปแลว เปน เพียงอาการปรากฏของทุกขอริยสัจทีแ่ สดงใหเห็นชัดเจนออกมาเทานัน้ ชาติเปนปจจัยใหเกิดชรามรณะ เกิดขึน้ ดวยอาการดังที่ กลาวแลวนี้ ..... กองทุกขทงั้ ปวง จึงมีไดดว ยอาการเชนนี้ ผลของความเขาใจและรูแ จงในปฏิจจสมุปบาท ปฏิจจสมุปบาท ดังที่กลาวไปแลว จะทําใหบุคคลไดรูชัดถึง กลไกทัง้ หมดทีท่ าํ ใหทกุ ข (= ทุกขอริยสัจ) เกิดขึน้ และดับลง ซึง่ เทากับ ทําใหบคุ คลรูถ งึ พระธรรมทีต่ รัสสอนทัง้ หมด สมดังพระพุทธพจนที่ วา “แตกอนก็ดี บัดนี้ ก็ดี ตถาคต บัญญัตแิ ตเรือ่ งของทุกข และความดับไปแหงทุกขเทานัน้ ” ความเขาใจทีถ่ กู ตองในเรือ่ งปฏิจจสมุปบาทนี้ มีผลมาก 33
ถึงขั้นที่พระพุทธองคตรัสไววา เปนองคคุณขอหนึ่งที่ใชในการ พยากรณตนเองวา เปนผูถ ึงแลวซึ่งกระแส เปนพระโสดาบันผู เทีย่ งแทตอ นิพพาน17 และการประจักษแจงหรือเกิดวิชชาในปฏิจจสมุปบาท ทําใหบคุ คลเปนพระอรหันต แจงพระนิพพาน รูช ดั วา ชาติสิ้นแลว พรหมจรรยอยูจบแลว กิจที่ควรทําทําเสร็จแลว กิจอืน่ เพือ่ ความเปนอยางนี้ มิไดม18ี การประยุกตปฏิจจสมุปบาท เปนหมวดธรรมตางๆ ตอจากนี้ไปจะไดแสดงใหเห็นตัวอยางการประยุกตปฏิจจสมุปบาท มาเปนหมวดธรรมหมวดตาง ๆ โดยจะเลือกกลาวถึงเฉพาะ หมวดทีส่ าํ คัญบางหมวด ซึง่ จะชวยทําใหเขาใจในทีม่ าทีไ่ ป ตลอดจน เรือ่ งราวของหมวดธรรมนัน้ ๆ ไดชดั เจนและถูกตองยิง่ ขึน้ ♦จากปฏิจจสมุปบาท ประยุกตมาเปนอริยสัจ 4
และกิจในอริยสัจ 4 นอกจากการประยุกตจากปฏิจจสมุปบาท มาเปนอริยสัจ 4 ดังทีไ่ ดอธิบายไปแลวในหนา 5-6 นัน้ การจะไดรบั ประโยชนจากอริยสัจ 4 โดยสมบูรณ ยังจะตองทราบถึงกิจหรือหนาทีท่ จ่ี ะตองปฏิบตั ติ อ อริยสัจ ทัง้ 4 หัวขอ ใหถกู ตองอีกดวย พระพุทธองคไดทรงแสดงไววา ทุกข ให กําหนดรู สมุทยั ให ละ หรือทําใหไมเกิดขึน้ นิโรธ ให ทําใหแจง มรรค ให เจริญ หรือใหปฏิบตั ิ 17
พระไตรปฎก เลมที่ 16 ขอ 154-155 ;
18
พระไตรปฎก เลมที่ 16 ขอ192
34
ปฏิจจสมุปบาทดังที่ ไดอธิบายไปแลว ทําใหบุคคลมีความ รอบรู และสามารถกําหนดรู ในทุกข(= ทุกขอริยสัจ) ที่ พระพุทธเจา ตรั สสอนได ถู กต อง ทั้ งนี้ เพราะได รู ชั ดว าทุ กข หรื ออุ ปาทานขั นธ ตลอดจนกลไกทีท่ าํ ใหเกิดขึน้ คืออะไรและเปนอยางไร ดังนัน้ การศึกษาและปฏิบตั เิ พือ่ ใหเกิดความรูเ ขาใจในปฏิจจสมุปบาท แททีจริง ่ คือ การทํากิจ “กําหนดรู” ใน ทุกข (อริยสัจ) นัน่ เอง สําหรับประเด็นของสมุทยั คือ ตัณหา ปฏิจจสมุปบาท ก็ ทําใหเขาใจในรายละเอียดตาง ๆ ของ ตัณหา ชัดเจนยิง่ ขึน้ กลาวโดยสรุป : ทําใหเขาใจ ตัณหา หรือ ความทะยานอยาก นี้ คือ ความอยากในเวทนา เปนสําคัญ : ทําใหเขาใจวาตัณหาทําใหเกิดทุกข (อริยสัจ) ไดอยางไร กลาวคือ ตัณหาเปนปจจัยทําใหเกิดอุปาทาน ซึง่ เปนปจจัยสําคัญและ เปนเหตุใกลทจ่ี ะทําใหเกิดอุปาทานขันธ หรือทุกข (อริยสัจ) ตอไป : นอกจากนัน้ ยังทําใหเขาใจวา กิจ “ละ” ในตัณหา ทําอยางไร กลาวคือ การกระทําใดๆ ก็ตาม ทีท่ าํ ใหจติ ไมตกอยูใ ตอาํ นาจของ เวทนา หรือการระวังรักษาจิตไมใหออกมารับรูเ พือ่ แสวงหาเวทนา อยางทีต่ อ งการ ทัง้ นีเ้ พราะสิง่ ทีม่ อี ทิ ธิพลตอตัณหามากทีส่ ดุ ก็คอื เวทนา ดังทีม่ แี สดงไวในปฏิจจสมุปบาทวา เวทนาเปนปจจัยใหเกิดตัณหา มีขอ นาพิจารณาเกีย่ วกับการทํา กิจ “ละ” ในขัน้ ตอนนีว้ า แททจี่ ริงแลวมีจดุ มุง หมายเพือ่ อะไร ? กลาวโดยสรุป มีจุดมุง หมายเพียงเพือ่ ทําใหตณ ั หาไมเกิดขึน้ รบกวนจิตใจในปจจุบนั ซึง่ จะมีผลทําใหทกุ ข (อริยสัจ) ทีบ่ คุ คลสามารถ รับรูแ ละรูเ รือ่ งราวได ไมเกิดขึน้ รบกวนจิตใจในปจจุบนั ดวย โดยยังไมได ชําระลางตัณหาใหหมดสิน้ ไปแตประการใด 35
หากเปรียบเทียบกับการรักษาโรค กิจ “ละ” นี้ เปรียบไดกบั การรั กษาโรคตามอาการ หรื อมุ งรั กษาอาการที่ ปรากฏของโรค เพือ่ ใหอาการของโรคสงบตัวลง โดยยังไมไดเขาไปรักษาถึงสาเหตุหรือ ตนตอที่ แทจริงของโรค การทําเชนนี้ นัยหนึ่งก็มีผลดีอยูพอสมควร กลาวคือ ชวยทําใหคนปวยรูสกึ ดีขึ้น และสามารถดําเนินชีวติ ไดเปน ปกติตามสมควร แตตราบใดทีส่ าเหตุหรือตนตอของโรคยังไมไดรบั การ รักษาใหหายขาด อาการของโรคก็อาจแสดงออกมา ทําใหเกิดปญหาขึน้ มาอีกเมือ่ ใดก็ได ดังนัน้ ในอริยสัจ 4 จึงตองมกี จิ “เจริญมรรค” อีกขัน้ ตอนหนึง่ ซึ่งเปรียบไดกบั การรักษาโรคที่สาเหตุหรือตนตอ เพื่อ กําจัดสาเหตุหรือทําใหตน ตอของโรคหมดไป ซึง่ จะทําใหบคุ คลหายขาด จากโรคไดอยางเด็ดขาด กิจที่เกี่ยวของกับ นิโรธ คือ ทําใหแจงนั้ น หมายถึง การทําใหปรากฏ ซึง่ ปฏิจจสมุปบาทแสดงไวชดั วา คือการทําใหปรากฏ ดวยการดับกระแสปฏิจจสมุปบาท ใหหมดไปอยางสิน้ เชิง ดังนั้ น กิ จของนิโรธ คือทําให แจงนี้ จึงไมใช นิโรธที่ บุคคลสามารถทําใหเกิดขึ้น หรือปฏิบัติเพื่อเขาถึงไดโดยตรง แตเปนนิโรธทีจ่ ะปรากฏขึน้ เอง ภายหลังจากกระแสปฏิจจสมุปบาทถูกดับลงแลวอยางสิน้ เชิง สวน มรรค นั้ น เปนสิ่งที่ จะตองเจริญหรือปฏิบัติให เกิดขึน้ โดยมีวตั ถุประสงคเพือ่ ทําใหจติ ทีไ่ มถกู ครอบงําดวยตัณหาใน ขั้นตอนของ กิจ “ละ” นั้น เกิดวิชชาขึ้น ซึ่งจะมีผลใหอวิชชาที่เกิด กอนผัสสะนัน้ ดับลงอยางสิน้ เชิง พลอยทําใหตณ ั หาถูกดับลงอยางสิน้ เชิง และทุกข (อริยสัจ) ก็ถกู ดับลงอยางสิน้ เชิงดวย 36
สําหรับการปฏิบตั นิ น้ั จะอยางไรก็ตอ งปฏิบตั ติ รงผัสสะนัน่ เอง ปฏิ จจสมุ ปบาททําให เข าใจชั ดว า ประเด็ นสําคั ญของการปฏิ บั ติ อริยมรรคมีองค 8 ก็เพือ่ ทําใหเกิดสัมมาญาณะ หรือวิชชา ดังทีไ่ ดกลาว ไปแลว แตเนือ่ งจากอวิชชาเปนสิง่ ทีเ่ กิดกอนผัสสะ ดังนัน้ พระพุทธองคจึงไดตรัสใหปฏิบัติมาก ๆ และใหตอเนื่อง (ภาวิตา พหุลีกตา) ทั้ งนี้ ก็ เพื่ อให วิชชาที่ เกิดหลังผั สสะนั้ นหยั่ งตั วลง จนกลายเปนวิชชาในระดับที่เกิดกอนผัสสะ จึงสามารถไปดับ อวิชชาในกระแสปฏิจจสมุปบาทใหดบั ลงอยางสิน้ เชิงได จากปฏิจจสมุปบาท จึงทําใหเขาใจชัดเจนยิง่ ขึน้ วา ทําไมเมือ่ มี กิจ “ละตัณหา” แลว จึงยังตองมี กิจ “เจริญมรรค” อีก ♦จากปฏิจจสมุปบาท ประยุกตมาเปนพระอริยบุคคล 4
และสังโยชน 10
สังโยชน คือสิง่ ผูกมัดจิตใหจมอยูใ นกองทุกข มี 10 ประการ คือ สักกายทิฏฐิ วิจกิ จิ ฉา สีลพั พตปรามาส กามราคะ ปฏิฆะ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา คําวา กองทุกข ในทีน่ ้ี กลาวโดยสรุปก็คอื อุปาทานขันธ หรือ ภาวะชีวติ ทีป่ ระกอบอยูด ว ยความยึดมัน่ ถือมัน่ ดังนัน้ ความหมายทีแ่ ทจริงของการจมอยูใ นกองทุกข ก็คอื ภาวะชี วิ ต ที่ ยั ง มี อุ ป าทานขั น ธ เ กิ ด ขึ้ น หรื อ ยั ง เวี ย นว าย หรือยังจมอยูใ นอุปาทานขันธ 37
เนือ่ งจากอุปาทานขันธมสี าระสําคัญอยูท อ่ี ปุ าทาน ซึง่ จําแนก ไดเปน 4 อยางดวยกัน คือ ทิฏุปาทาน, สีลพั พตุปาทาน, กามุปาทาน และอัตตวาทุปาทาน ; ดังนัน้ อุปาทานขันธ หรือกองทุกข ทัง้ หมดทัง้ สิน้ หากประมวลแลว สามารถจําแนกไดเปน 4 ประเภท คือ อุปาทานขันธ ที่เนื่องดวยทิฏุปาทาน, อุปาทานขันธที่เนื่องดวยสีลัพพตุปาทาน, อุปาทานขันธทเ่ี นือ่ งดวยกามุปาทาน และอุปาทานขันธทเ่ี นือ่ งดวยอัตตวาทุปาทาน ตามลําดับ การดับทุกขในพระพุทธศาสนา จึงเปนการดับทุกขอัน เนือ่ งมาจากอุปาทาน ดังทีไ่ ดกลาวขางตนนี้ คําวา “พระอริยบุคคล” ในพระพุทธศาสนา จึงเปนชื่อ เรียกบุคคลทีส่ ามารถดับอุปาทานขันธไดอยางเด็ดขาด กลาวคือ * พระโสดาบัน เปนผูด บั ทุกขหรืออุปาทานขันธทเ่ี นือ่ งดวย ทิฏุปาทาน และทีเ่ นือ่ งดวยสีลพั พตุปาทาน ไดอยางเด็ดขาด * พระสกทาคามี เปนผูด บั ทุกขหรืออุปาทานขันธทเ่ี นือ่ งดวย ทิฏุปาทาน และทีเ่ นือ่ งดวยสีลพั พตุปาทาน ไดอยางเด็ดขาด และยัง สามารถทําใหทกุ ขหรืออุปาทานขันธทเ่ี หลือเบาบางลง * พระอนาคามี เปนผูด บั ทุกขหรืออุปาทานขันธไดเพิม่ ขึน้ ไปอีก ในสวนทีเ่ นือ่ งดวยกามุปาทาน ไดอยางเด็ดขาด * พระอรหันต เปนผูดบั ทุกขหรืออุปาทานขันธไดเพิ่มขึ้น ไปอีก ในสวนทีเ่ นือ่ งดวยอัตตวาทุปาทาน ไดอยางเด็ดขาด จึงเห็นไดวา การจําแนกพระอริยบุคคล 4 ประเภท มีทมี่ า จากอุปาทานขันธ ที่เนื่องดวยอุปาทาน 4 ในปฏิจจสมุปบาท นีเ้ อง 38
กรณีของ “สังโยชน 10” ซึ่งเปนกิเลสเครื่องรอยรัดสัตว ไว ในภพ ก็ เช นเดี ยวกั น อั นที่ จริ งก็ มี ที่ มาจาก อุ ปาทาน 4 กลาวคือ * จาก ทิฏุปาทาน และสีลัพพตุปาทาน ถูกขยายออก มาเปนสังโยชน คือ สักกายทิฏฐิ วิจกิ จิ ฉา และสีลพ ั พตปรามาส * จาก กามุ ปาทาน ถู กขยายออกมาเป นสั งโยชน คื อ กามราคะ และปฏิฆะ * จาก อัตตวาทุปาทาน ถูกขยายออกมาเปนสังโยชน คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวิชชา การจําแนกพระอริยบุคคลและสังโยชน ทีเ่ นือ่ งดวยอุปาทาน 4 ตามนั ย ที่ ได แ สดงไปแล ว นี้ อาจจะยั งมี ข อถกเถี ย งไม เป นที่ ยุ ติ โดยเฉพาะในกรณีของกามุปาทาน และอัตตวาทุปาทาน เพราะถือ หลักฐานที่แตกตางกัน โดยเฉพาะตามที่ปรากฏในพระอภิธรรมปฎก กับในพระสุตตันตปฎก พระอภิ ธรรมป ฎก ไดแสดงวา กามุปาทาน บั งเกิ ดใน จิตตุปบาททีส่ หรคตดวยโลภะ 8 ดวง ; สวน ทิฏุปาทาน สีลพ ั พตุปาทาน และอัตตวาทุปาทาน บังเกิดในจิตตุปบาทที่สัมปยุตดวย ทิฏฐิ 4 ดวง19 และ ไดใหความหมายของ อัตตวาทุปาทาน ไวเปน ความหมายเดียวกันกับ สักกายทิฏฐิ 20 กลาวโดยสรุป ตามนัยที่ แสดงไว ในพระอภิธรรมป ฎก พระโสดาบันสามารถละทิฏุปาทาน สีลพ ั พตุปาทาน และอัตตวาทุปาทาน ได อยางเด็ดขาด ; พระอรหันตจึงสามารถละ กามุปาทานไดอยางเด็ดขาด 19
พระไตรปฎก เลมที่ 34 ขอ 956
;
20
พระไตรปฎก เลมที่ 34 ขอ 784
39
สวน พระสุตตันตปฎก ไดกลาวถึงอุปาทาน 4 วา “สมณพราหมณเหลาอืน่ สามารถรอบรูแ ละบัญญัตไิ ดเฉพาะทิฏุปาทาน สีลพ ั พตุปาทาน และกามุปาทาน เทานัน้ ไมสามารถรอบรูแ ละ บัญญัติ อัตตวาทุปาทาน ไดเลย” 21 ดังนัน้ ตามนัยของพระสุตตันตปฎก อัตตวาทุปาทาน จึงเปน สิง่ ทีล่ มุ ลึกยิง่ ไปกวา กามุปาทาน และไมควรมีความหมายเทากับ สักกายทิฏฐิ ทีเ่ ปนเรือ่ งของ “ความเห็น” แตควรจะมีความหมาย เปน “ความรูส กึ ” ยึดมัน่ ถือมัน่ ในตัวตนระดับลึก เทียบเทาไดกบั สังโยชนคอื มานะ มากกวา ซึง่ จะละไดในระดับพระอรหันต กรณีตวั อยางทีย่ นื ยันในเรือ่ งนีช้ ดั เจน ก็คอื ตอนทีพ่ ระพุทธเจา แสดงอนัตตลักขณสูตร โปรดพระปญจวัคคีย หลังจากทีไ่ ดทรงแสดง ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร จนพระปญจวัคคียไ ดดวงตาเห็นธรรม สําเร็จ เปนพระโสดาบัน ละสังโยชน 3 คือ สักกายทิฏฐิ วิจกิ จิ ฉา และสีลพั พตปรามาส ไดหมดสิ้นแลว ก็ยังไดตรัสสอนใหพิจารณาขันธ 5 วา ไมใชเรา ไมใชของเรา ไมใชตวั ตนของเรา เพือ่ ละสังโยชนเบือ้ งสูง ตอไป จนสําเร็จเปนพระอรหันต การพิจารณาขันธ 5 วา ไมใชเรา ไมใชของเรา ไมใชตวั ตน ของเรา ในขัน้ ตอนหลังนี้ ไมไดเปนไปเพือ่ การละอัตตาหรือตัวตน ในระดับทิฏฐิหรือ “ความเห็น” ทีเ่ ปนสักกายทิฏฐิอยางแนนอน เพราะ ไดละจนหมดสิน้ ไปแลว แตเปนการละอัตตาหรือตัวตนในอีกระดับ หนึง่ ซึง่ เปนตัวตนทีเ่ ปน “ความรูส กึ ” และอยูใ นระดับทีล่ กึ ไปยิง่ กวา อยางทีต่ รัสในพระสูตรขางตนวา ลึกซึง้ ถึงขนาดทีไ่ มมสี มณพราหมณ เหลาใดจะรอบรูและสามารถบั ญญัตไิ ด ซึง่ ก็คอื อัตตวาทุปาทาน 21
พระไตรปฎก เลมที่ 12 ขอ 156 - 157
40
อัตตวาทุปาทาน กับ สักกายทิฏฐิ จึงเปนคนละอยางกัน และมีระดับความลุม ลึกไมเทากัน นอกจากนัน้ คําวา อัตตวาทุปาทาน แยกศัพทไดวา อัตตา+ วาทะ+อุปาทาน ซึง่ คําวา วาทะ ในทีน่ ี้ ในภาษาบาลีไมไดมคี วาม หมายวาเปนเพียง คําพูด เทานัน้ แตหมายถึง ลัทธิ ซึง่ เปนเรือ่ ง ของความเชือ่ ความรูส กึ ความผูกพัน และมีจติ ฝงลงไปจนเปน สวนหนึง่ ของชีวติ เลยทีเดียว กรณี อัตตวาทุปาทาน จึงไมใชเปน อัตตาในระดับทีเ่ ปนความเห็น ดังเชนในกรณีของ สักกายทิฏฐิ กลาวโดยสรุป การปฏิบตั จิ นถึงทีส่ ดุ แหงทุกข ก็คอื การดับสิน้ ลงแหงอุปาทาน 4 ทั้งหมด เพียงแตมีขอปลีกยอยที่แตกตางกันวา พระอริยบุคคลขัน้ ใด สามารถดับอุปาทานชนิดใดใหหมดสิน้ เทานัน้ ♦จากปฏิจจสมุปบาท ประยุกตมาเปนเรือ่ งกรรม
ในคัมภีรอ รรถกถา ซึง่ อธิบายปฏิจจสมุปบาทแบบครอบคลุม 3 ชาติ ไดมกี ารจําแนกองคธรรมตาง ๆ ใหเปนระบบทีเ่ รียกวา ไตรวัฏฏ คือ กิเลส - กรรม - วิบาก โดยจําแนกตามอัทธา (= กาลอันยาวนาน) ไดดงั นี้ : (อดีตอัทธาหรืออดีตชาติ = อดีตเหตุ) อวิชชา จัดเปน กิเลส ; สังขาร จัดเปน กรรม (ปจจุบนั อัทธาหรือปจจุบนั ชาติ = ปจจุบันผล)
วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา จัดเปน วิบาก
(ปจจุบนั อัทธาหรือปจจุบันชาติ = ปจจุบนั เหตุ)
ตัณหา อุปาทาน จัดเปน กิเลส ; ภพ จัดเปน กรรม
(อนาคตอัทธาหรืออนาคตชาติ = อนาคตผล)
ชาติ ชรามรณะ (+โสกะ ฯลฯ) จัดเปน วิบาก 41
แตจากปฏิจจสมุปบาทในแบบชีวิตประจําวัน เมื่อพิจารณา นิพเพธิกสูตร ตามที่ ไดอางไวในหน า 27 ซึ่ งแสดงวา ผัสสะเปน เหตุเกิดแหงกรรม แลว กรรมจึงเปนเรือ่ งทีเ่ กิดหลังผัสสะ และเมือ่ พิจารณากระบวนธรรมในปฏิจจสมุปบาทชวงหลังผัสสะ ซึ่ งเป น ช ว งที่ จิ ตรั บรู เรื่ อ งราวพร อ มทั้ งรสชาติ จ ากการสั มผั สกั บ อารมณ และปรุ งแต ง ไปในทางที่ จะแสวงหารสชาติ ของสั มผั สที่ ตองการ จนเกิดความยึดมัน่ ถือมั่นและเกิดเปนกองทุกขขนึ้ จึงทําให เขาใจในเรือ่ งของกรรมและวิบากกรรมไดดยี งิ่ ขึน้ 22 โดยทีเ่ รือ่ งของกรรม นัน้ ไดประยุกตมาจากปฏิจจสมุปบาทในชวงหลังผัสสะนีเ้ อง กลาวโดยสรุป การกระทําใดทีม่ งุ ตอเวทนาหรือมีเวทนา เปนจุดมุง หมาย การกระทํานัน้ จัดเปนเรือ่ งของ “กรรม” จึงทําให บุคคลวนเวียนอยูใ นวิบากหรือผลของกรรมทีเ่ ปนสุขและทุกข สวนการกระทําใดทีม่ งุ หมายเพือ่ แสวงหาความจริงหรือ มีวชิ ชาเปนเปาหมาย การกระทํานัน้ จัดเปนเรือ่ งของ “กิรยิ า” หรือ หากใชคาํ วา “กรรม” ก็เปนกรรมทีเ่ ปนไปเพือ่ ความสิน้ กรรม ปฏิจจสมุปบาททีก่ ลาวขางตน ทําใหเห็นความแตกตางของวิถี ดําเนินชีวติ แบบปุถชุ นกับแบบอริยบุคคลไดอยางชัดเจน ซึง่ อยูท ผ่ี สั สะนีเ้ อง กลาวคือ วิถขี องปุถชุ น จะมีผสั สะดวยอโยนิโสมนสิการ ทําใหหลงใหล และมุง แสวงหาเวทนาทีส่ มั ผัสเปนสําคัญ และนําไปสูท กุ ขในทีส่ ดุ ; สวนวิถี ของอริยบุคคล จะมีผสั สะดวยโยนิโสมนสิการ ทําใหมงุ ทีจ่ ะเรียนรูแ ละ แสวงหาความจริงตอสิง่ ทีร่ บั รูน น้ั นําไปสูว ชิ ชาและความสิน้ ทุกข นอกจากนัน้ ยังขอเสนอแนะใหพิจารณาปฏิจจสมุปบาททีพระพุทธองค ่ ไดทรงแสดงแตกแขนงออกไปอีกแบบหนึง่ กลาวคือ เมือปรุ ่ งแตงมาถึงตัณหา 22
พระไตรปฎก เลมที่ 13 ขอ 707
42
แทนทีจ่ ะปรุงแตงใหเกิดอุปาทาน กลับทรงแสดงออกไปอีกแบบหนึง่ คือ .....--> ตัณหา --> ปริเยสนา (การแสวงหา) --> ลาภะ (การได) --> วินจิ ฉัย (การกะกําหนด) --> ฉันทราคะ (ความชอบชิดติดพัน) --> อัชโฌสาน (ความหมกมุน ฝงใจ) --> ปริคคหะ (การยึดถือ ครอบครอง) --> มัจฉริยะ (ความตระหนี)่ --> อารักขะ (ความ หวงกัน) ้ อาศัยอารักขะ จึงมีการถือไม ถือมีด การทะเลาะ แกงแยง วิวาท การด าว า การส อเสี ยด มุ สาวาท บาปอกุ ศลธรรมทั้ งหลาย เปนอเนก ยอมเกิดมีพรัง่ พรอมดวยอาการอยางนี้ 23 จะเห็นไดวา กระแสปฏิจจสมุปบาท ซึง่ แยกจากตัณหา ไปเปนปริเยสนา คือเกิดการแสวงหา จนเกิดกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ทีเ่ ปนบาปอกุศลธรรมทัง้ หลาย ไดสง ผลกระทบ ใหเกิดความทุกขและการเบียดเบียนกันในสังคมอยางมหาศาล บทสรุป ทังหมดที ้ ได ่ กลาวมาแลว ทําใหเห็นถึงความกวางขวางครอบคลุมของกระแสปฏิจจสมุปบาท ยิงขึ ่ นวา ้ นอกจากจะมีผลทําใหเกิดทุกข และเปนกรรมในสวนของบุคคลแลว ยังมีผลตอเนือ่ งเปนกรรมและ กอใหเกิดทุกขและการเบียดเบียนกันในสังคม รวมไปดวยกันเสมอ การดับกระแสปฏิจจสมุปบาท จึงไมไดมีความหมาย เปนเพียงการดับทุกขในจิตใจของบุคคลใหหมดสิน้ เทานัน้ แต ยังหมายรวมไปถึงการดับทุกขของสังคมโดยรวม ตลอดจนดับ กระแสกรรมทัง้ หมดใหสนิ้ ไปอีกดวย 23
พระไตรปฎก เลมที่ 10 ขอ 59
43
เมื่อไดพิจารณาเปนลําดับมาจนถึงตอนนี้ คงจะทําให ประจักษชดั และแจมแจงถึงทีส่ ดุ แลววา ปฏิจจสมุปบาททีพ ่ ระพุทธเจาตรัสรูนี้ มีความสําคัญยิ่งอยางไร การเขาใจ-รูแจงใน ปฏิจจสมุปบาท มีคณ ุ คาสูงสุดตอบุคคลและสังคมเพียงใด... ดรรชนีคน คํา
กฎธรรมชาติ 1 กรรม 27,41,42,43 กาม 27,30 กามคุณ5 29 กามตัณหา 28 กามภพ 7,30 กามราคะ 37,39 กามุปาทาน 7,29, 38,39,40 กายกรรม 43 กายสังขาร 7,19 กิจในอริยสัจ4 34 กิริยา 42 กิเลส 14, 41 ขันธ 7,10,11, 30,31,40 จิตตสังขาร 7,19 จิตตุปบาท 39 จิตประภัส สร 14 เจตนา 7,23 ฉันทราคะ 43 ชรา 4,5, 8,9,10,13, 17,30,32,33,41 ชาติ 4,5,7,9,10,13,17, 30,31,32,33,41 ดวงตาเห็นธรรม 40 ตถตา 1 ตถาคต 2 ตรัส รู 2,3,44 ตัณหา 4,5,7,9,13,16, 28,29,35,37,41,42,43 ตัวตน 17,29,31,32,33,40 เตโชธาตุ 21 ไตรวัฏฏ 41 ทฤษฎี 29 ทวาร6 13,14,19 ทิฏฐิ 29,39,40 ทิฏุปาทาน 7,29, 38,39,40 ทุกข 5,6,15,16,19,34,35
ทุกขเวทนา 28 ทุกขอริยสัจ 6,10,15, 16,17,30,31,32,33,35,36 ทุกขัง 31 ทุคติ 2, 6 ธรรมธาตุ 1 ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร40 ธัมมฐิติ 1 ธัมมนิยาม 1 ธาตุ 6 21, 22 นาม 22,23 นามรูป 4,5,7,9,12,13,15, 16,21,22,23,24,25,41 นิจจัง 31 นิพพาน 3,34 นิพเพธิก สูตร 27, 42 นิโรธ 5,6,34,36 บัญญัติ 26 ปฏิฆะ 37,39 ปฏิฆะสัมผัส 26 ปฏิสนธิวิญญาณ 10 ปฐวีธาตุ 21 ประสาท 22,23 ,24 ปริคคหะ 43 ปริเยสนา 43 ปจจุบนั ชาติ 9,10,41,42 ปจจุบันอัทธา 41,42 ปญจวัคคีย 40 ปุถุชน 42 ผัสสะ 4,5,7,9,12,13, 14,15,16,20,23,25,26, 27,36,37,41,42 พระพุทธเจา 1,2,3, 12,35,40,44 พระสกทาคามี 38 พระสุตตันตปฎก 39,40 พระโสดาบัน 34,38,39,40 พระอนาคามี 38 พระอภิธรรม 9,13,39
พระอรหันต 38,39,40 พระอานนท 3 พุทธะ 2 ภพ 4,5,7,9,13,16, 30,31,32,39,41 ภวตัณหา 28 ภวังค 13,14,18,19, 20,21,23,24 ภวังคจิต 13,14,18,19,20 ภาวิตา พหุลกี ตา 37 มนสิการ 7,23,24 มโนกรรม 43 มรณะ 4,5,8,9,10, 13,17,30,32,33,41 มรรค 6,34,36,37 มหาภูตรูป4 7 มัจฉริยะ 43 มานะ 37,39,40 โยนิโสมนสิก าร 24, 42 รูป 22,23 รูปฌาน 30 รูปภพ 7,30 รูปราคะ 37,39 ลัทธิ 29,41 ลาภะ 43 โลกุตตร 11 วจีก รรม 43 วจีสังขาร 7,19 วัฏสงสาร 8 วาทะ 41 วาโยธาตุ 21 วิจิกิจฉา 37,39,40 วิชชา 6,19,34,36,37,42 วิญญาณ 4,5,7,9,10,12, 13,14,15,16,20,21,22, 23,24,25,26,41 วิญญาณธาตุ 21,22 วิถีจิต 13,14,18 วินิจฉัย 43
44
วินิบาต 2, 6 วิบาก 41,42 วิภวตัณหา 28 เวทนา 4,5,7,9,13, 15,16,23,27,28, 35,36,37,41,42 เวียนวายตายเกิด 2, 8,9 ศีลพรต 29 สงสาร 2,6 สมุทัย 5,6,34,35 สฬายตนะ 4,5,7,9,13, 16,20,24,25,27,41 สักกายทิฏฐิ 37,39, 40,41 สังขตธรรม 21 สังขาร 4,5,7,9,13, 15,16,18,19,20 21,22,41 สังสารวัฏ 2, 6 สังโยชน10 37,39,40 สัญญา 7,23,27 สันทิฏฐิโก 11 สัมมัตตะ10 6 สัมมาญาณะ 6,37 สัมมาวิมุตติ 6 สีลพั พตปรามาส 37, 39,40 สีลัพพตุปาทาน 7, 29,38,39,40 สุขขัง 31 สุขเวทนา 28,30 อกุศลธรรม 43 อดีตชาติ 9,10,11,41 อดีตอัทธา 41 อทุกขมสุขเวทนา 28 อธิว จนสัมผัส 26 อนัญญถตา 1 อนัตตลั กขณสูตร 40
อนัตตา 31 อนาคตชาติ 9,10,11, 41,42 อนาคตอัทธา 41,42 อนิจ จัง 31 อบาย 2,6 อโยนิโสมนสิการ 25,27,42 อรรถกถา 14, 41, 42 อริยญายธรรม 2 อริยบุคคล 37,38,39,41,42 อริยมรรคมีองค8 6,37 อริยสัจ 5,6,16,17, 19,30,34,35,36 อรูปฌาน 30 อรูปภพ 7,30 อรูปราคะ 37,39 อวิชชา 4,5,7,9,13,14 16,18,19,20,22,27, 30,36,37,39,41 อวิตถตา 1 อัชโฌสาน 43 อัตตวาทุปาทาน 7, 29,31,38,39,40,41 อัตตา 31,40,41 อากาสธาตุ 21 อาคันตุกะ 14 อาโปธาตุ 21 อายตนะ7,12,13,14,16, 20,24,25,26,27,28,32 อารักขะ 43 อาสวะ 16 อุทธัจ จะ 37,39 อุเบกขาเวทนา 30 อุปาทาน 4,5,7,9,13 16,28,29,30,31,35, 38,39,40,41,42,43 อุปาทานขันธ 5,10, 15,16,17,31,32, 33,35,37,38
การตรัสรูข องพระพุทธเจา กลาวไดวา คือการคนพบและรูแ จง แทงตลอดในปฏิจจสมุปบาทนีเ้ อง และจากปฏิจจสมุปบาท ที่ ตรัสรู จึงไดนาํ มาตรัสบอก แสดง บัญญัติ แตงตัง้ เปดเผย จําแนก กระทําใหตน้ื จนกลายมาเปนพระธรรมทีต่ รัสสอนทัง้ หมด ดังนัน้ การทีจ่ ะรูเ ขาใจธรรมทีต่ รัสสอน ตลอดจนภาวะแหง พุทธะ (= ภาวะแหงการรู ตื่น เบิกบาน ซึ่งอันที่จริงคือภาวะที่ ปฏิจจสมุปบาท ถูกดับลงจนหมดสิ้น) ไดถูกตองและตรงกับ พุทธประสงคอยางแทจริง ก็ดว ยความรูค วามเขาใจ และการรูแ จง ใน ปฏิจจสมุปบาท เปนพืน้ ฐานสําคัญ สมดังพระพุทธพจนทต่ี รัสวา...... “ผูใ ดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผูน นั้ เห็นธรรม” และ “ผูใ ดเห็นธรรม ผูน นั้ เห็นเรา(ตถาคต)”